Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานวิจัยเกษตร 3 บท ครูน่าน

งานวิจัยเกษตร 3 บท ครูน่าน

Published by น่านมงคล อินด้วง, 2021-03-15 01:30:37

Description: งานวิจัยเกษตร 3 บท ครูน่าน

Search

Read the Text Version

วจิ ยั ในช้นั เรยี น เรื่อง “การศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนและทักษะกระบวนการกลมุ่ สาหรับนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๔ กล่มุ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ (งานเกษตร) โดยใชร้ ูปแบบการสอนแบบบูรณาการ” โดย นายนา่ นมงคล อนิ ด้วง ตาแหนง่ ครผู ชู้ ว่ ย โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๓๑ จงั หวดั เชียงใหม่ สานกั บรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

บทคัดย่อ การวจิ ยั คร้งั นี้มวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่อื 1)เพ่อื ศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี ๔ ห้อง ๔ สายเกษตร กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานเกษตร) เร่ืองการปลูก ผักสวนครัว โดยใช้รูปแบบการสอนแบบบูรณาการ ให้จานวนนักเรียนร้อยละ 75 ขึ้นไป มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 2)ศึกษาทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ห้อง ๔ สายเกษตร กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานเกษตร) เรื่องการปลูกผักสวน ครัว โดยใช้การสอนแบบบูรณาการ เป็นการวิจัยเชิงทดลองโดยมีรูปแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดี่ยว กลุ่มเปา้ หมายในการวจิ ยั คือนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๔ ห้อง ๔ สายเกษตร ท่ีกาลังศึกษาในภาคเรียนท่ี ๒ ปกี ารศึกษา25๖๒ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาเภอแมแ่ จม่ จงั หวัดเชยี งใหม่ สานักบริหารงาน การศึกพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ จานวน 1๒ คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ๔ แผน แบบประเมินผลการสังเกต การปฏิบัติกิจกรรมการทางานกลุ่ม แบบตรวจผลงาน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสถิติท่ี ใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู คือคา่ เฉล่ยี และคา่ ร้อยละ

บทที่ 1 บทนา หลักการและเหตุผล ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและสังคมมนุษย์ อันเน่ืองมาจากความก้าวหน้าทาง วทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยีส่งผลใหม้ กี ารปรบั ปรงุ กลไกและพัฒนาคุณภาพการศึกษา ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และ สังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 (2550 - 2554) จึงได้มุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพื้นฐานจิตใจท่ี งดงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมทั้งมีสมรรถนะ ทักษะความรู้พ้ืนฐานที่จาเป็น ในการดารงชีวิต อันจะส่งผล ต่อการพัฒนาประเทศอย่างย่ังยืน (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ,2550) ซ่ึงในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ.2545 มาตรา 22 และ 23 ได้กาหนดแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ในกระบวนการจัดการศึกษา ถือว่าผู้เรียนสาคัญที่สุด ส่งเสริมให้วารสารศึกษาศาสตร์ฉบับวิจัยบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีท่ี 4 ฉบับพิเศษ 2553 113 ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ในการจัดการศึกษา ท้ังการศึกษาใน ระบบการศึกษานอกและการศึกษาตามอัธยาศัยต้องเน้นความสาคัญท้ังความรู้คุณธรรม กระบวนการ เรียนและบูรณาการ ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษาต่าง ๆ รวมท้ัง ความรู้ทักษะในการ ประกอบอาชีพและการดารงชีวิต อย่างมีความสุข ครูซึ่งทาหน้าท่ีเป็นผู้สอน ผู้จัดการศึกษาจะต้องเป็น ผู้ออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบต่างๆ ให้เหมาะสม และเปลี่ยนแปลงบทบาท จากเป็นผู้ ถ่ายทอดความรู้เพียงอย่างเดียวเป็นผู้ช้ีนา ผู้ช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนผู้เรียนในการแสงหาความรู้ จากสอื่ และแหล่งเรียนรูต้ า่ ง ๆ การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และ หลักสูตร กลุ่มสาระการงานอาชีพ จึงยดึ หลักการเรียนรูท้ เ่ี นน้ ผู้เรียนเป็นสาคัญ ให้ความสาคัญในเร่ืองของ องค์รวม ยึดงานกระบวนการจดั การการแก้ปัญหาเปน็ สาคัญบนพน้ื ฐานของการใช้หลักการและทฤษฎีเป็น หลกั (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2552ก) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ได้ตระหนักถึง แนวทางการจัดการเรียนรู้และรูปแบบการสอนเพ่ือให้เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีเกิดจาก การบูรณาการความรู้ทักษะและความดีท่ีหลอมรวมกัน จนก่อเกิดเป็นคุณลักษณะของผู้เรียนทั้งด้าน คุณภาพ และคุณธรรมตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกาหนด และสอดคล้องสัมพันธ์กับการดาเนิน ชีวติ ความรู้ ประสบการณ์ และคุณลักษณะที่เกดิ จากการเรยี นรจู้ ะทาให้นักเรียนสามารถเช่ือมโยงกับส่ิงที่ เกิดข้ึนจริงในชีวิต เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างความคิดรวบยอดในศาสตร์ต่างๆ ทาให้ผู้เรียนเกิด การเรียนร้อู ย่างมีความหมาย ช่วยให้เกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้ มีทักษะในการสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง ชว่ ยพฒั นาทักษะกระบวนการ ประสบความสาเรจ็ ดังนั้นการจัดหารูปแบบการสอน เพ่ือให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเกิดคุณลักษณะท้ังด้านคุณภาพ และคุณธรรมตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกาหนด ในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ จึงมี ความสาคัญเช่นกัน อนึ่งพบว่า นักเรียนท่ีเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ (งานเกษตร) เรื่อง การปลกู ผักสวนครัว ด้านทกั ษะกระบวน การกลุ่มจากการสังเกตพฤติกรรมผู้เรียนและผล การปฏิบัติงาน

อย่างสม่าเสมอในการทางานกลุ่มแต่ละครั้ง นักเรียนไม่รู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ด้านการมีบทบาท ในกลุ่ม การเป็นผู้นาทางความคิด การร่วมกันระดมความคิด การนาเสนอและสรุปประเด็น จะมีผู้ปฏิบัติ กิจกรรมอยู่เพียง 2-3 คนเท่านั้น สมาชิกท่ีเหลือจะไม่มีบทบาทหรือมีบ้างเล็กน้อย นักเรียนขาดความ รับผิดชอบบางคนไม่สนใจงานกลุ่มท่ีได้รับมอบหมาย ทาให้ได้ผลงาน ไม่เป็นท่ีน่าพอใจ นักเรียนไม่ สามารถนา ไปปรับใช้ในชีวิตประจาวันได้และจากผลการประเมินของสานักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ในมาตรฐานและตัวบ่งช้ีด้านผู้เรียน การมีวินัยในตนเอง ความ รับผิดชอบ การนาทรัพยากรไปใช้ได้ระดับคุณภาพ พอใช้และปัญหาจากผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กลุ่ม สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๔ ห้อง ๔ สานเกษตร ปีการศึกษา 25๖2 ได้เฉลี่ยร้อย ละ 69.72 ซ่ึงต่ากว่าเกณฑ์ที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ กาหนด ไว้รอ้ ยละ 75 ดังนั้น ผวู้ จิ ัยในฐานะครผู ูส้ อนจงึ มีความสนใจทจี่ ะศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และทักษะ กระบวนการกลุ่ม ด้วยการนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการภายในวิชา มาใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการ จัดการเรียนรู้เพื่อแก้ไข ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการ กลุ่มของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ ๔ ห้อง ๔ สานเกษตร กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ (งานเกษตร) เรื่องการปลูกผัก สวนครัว วตั ถุประสงค์ 1. เพือ่ ศึกษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ห้อง๔ สานเกษตร กลุ่ม สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ (งานเกษตร) เรื่องการปลูกผักสวนครัว โดยใช้รูปแบบการสอนแบบบูรณา การ ให้จานวนนักเรียนร้อยละ 75 ข้นึ ไปมผี ลสมั ฤทธิ์ทาง การเรยี นไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 75 และผลสัมฤทธ์ิ ทาง การเรียนเฉลี่ยไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 75 2. เพือ่ ศกึ ษาทกั ษะกระบวนการกลุม่ ของ นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๔ ห้อง ๔ สายเกษตร กลุ่ม สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ (งานเกษตร) เรื่องการปลูกผักสวนครัวโดยใช้รูปแบบการสอนแบบบูรณา การ ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยคร้ังนี้คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ห้อง ๔ สายเกษตร ภาค เรียนที่ ๒ ปกี ารศกึ ษา 25๖๒ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาเภอแมแ่ จ่ม จังหวัดเชียงใหม่ จานวน ๑๒ คน 2. ตัวแปรท่ีทาการวิจัย ตัวแปรต้น คือ รูปแบบการสอนแบบบูรณาการภายในวิชา ตัวแปรตาม คอื ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นและทักษะกระบวนการกลุ่ม 3. รปู แบบการวิจัย ในการวิจัยคร้ังน้ีเป็น การวิจัยเชิงทดลองรูปแบบกลุ่มเดี่ยวทดสอบหลังเรียน เปรยี บเทยี บ คะแนนกบั เกณฑท์ ีก่ าหนดไว้คือ 75/75

บทท่ี 2 งานวิจัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง การศึกษาค้นคว้าครัง้ นีผ้ ู้ศึกษาคน้ ควา้ ได้ศกึ ษาเอกสารทเี่ ก่ียวข้องกับการศึกษาคน้ คว้าโดย เรียงลาดับตามหัวข้อดงั ต่อไปนี้ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ดว้ ยกลุ่มร่วมมอื ประสทิ ธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ งานวิจยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง 1 งานวจิ ัยภายในประเทศ 2 งานวิจัยต่างประเทศ การเรยี นรู้ดว้ ยกลุ่มร่วมมอื 1. ความหมายการเรียนรูด้ ้วยกลมุ่ รว่ มมอื อารี สณั หฉวี (2543 : 33) กลา่ วว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ หมายถึงเป็นวิธีการเรียนที่ให้ นักเรยี นทางานด้วยกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพ่ือให้เกิดผลการเรียนรู้ทั้งทางด้านความรู้และทางด้านจิตใจ ช่วย ให้นักเรียนเห็นด้านจิตใจคุณค่าในความแตกต่างระหว่างบุคคลของเพ่ือนๆ เคารพความคิดเห็นและ ความสามารถของผอู้ ่นื ที่แตกต่างจากตนตลอดจนรูจ้ ักช่วยเหลือและสนบั สนุนเพื่อนๆ สลาวิน (พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์. 2544 : 6 ; อ้างอิงมาจาก Slavin. 1977 : 3) กล่าวว่า การ เรียนรูด้ ้วยกลุ่มร่วมมือ หมายถึง วิธีการสอนอีกแบบหนึ่ง ซึ่งกาหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่าง กันทางานรว่ มกันเปน็ กลุ่มเลก็ ๆ โดยปกติจะมี 4 คน เป็นนักเรียนท่ีเรียนเก่ง 1 คน เรียนปานกลาง 2 คน และเรียนอ่อน 1 คน การทดสอบของนักเรียนจะแบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนแรกจะพิจารณาค่าเฉลี่ยของ ทง้ั กลุม่ ตอนท่ี 2 จะพจิ ารณาคะแนนทดสอบเปน็ รายบุคคลโดยการทดสอบนักเรียนต่างคนต่างทาแต่เวลา เรยี นต้องเรยี นร่วมกนั รบั ผิดชอบงานของกล่มุ ร่วมกัน โดยที่กลุ่มจะประสบผลสาเร็จได้ เมื่อสมาชิกทุกคน ได้เรยี นรู้ บรรลุตามจดุ มงุ่ หมาย เช่นเดียวกนั มานพ ประธรรมสาร (2546 : 10) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ คือการทางาน ร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายท่ีมีอยู่ด้วยกัน ภายในกิจกรรมที่ร่วมทาน้ี แต่ละคนจะแสวงหาผลลัพธ์ที่เป็น ประโยชนต์ ่อตนเองและเปน็ ประโยชน์ตอ่ สมาชกิ คนอน่ื ๆในกลุ่มการเรียนร้แู บบร่วมมือ ใชใ้ นการสอนกลุ่ม เล็ก ๆ ให้ทางานร่วมกันตามท่ีได้รับมอบหมายจนกระทั่งสมาชิกในกลุ่มทุกคนมีความเข้าใจถูกต้องและ ทางานจนเสรจ็ สมบูรณ์ สมาชกิ ทุกคนในกลุ่มได้รบั ประโยชนจ์ ากความพยายามรว่ มกัน สมบัติ กาญจนารักพงค์ (2547 : 5) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือเป็นการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ โดยแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม เล็กๆ 4 - 5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกันทางานร่วมกันเพื่อเป้าหมายกลุ่มสมาชิกมีปฏิสัมพันธ์

ส่งเสริมซ่ึงกันและกันรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม ผลงานของกลุ่มข้ึนอยู่กับผลงานของ สมาชิกแตล่ ะคนในกลมุ่ ความสาเรจ็ ของแตล่ ะคนคอื ความสาเร็จของกลุม่ จากการศกึ ษาความหมายการเรยี นแบบร่วมมอื สามารถสรปุ ได้วา่ การจัดการเรยี นรดู้ ้วยกลุม่ ร่วมมือกันเรียนรู้ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนใช้ความสามารถเฉพาะตัวใน การร่วมมือกันแก้ปัญหาต่างๆ นักเรียนรู้จักวิธีการทางานกลุ่มการช่วยเหลือซ่ึงกันและกันตลอดจนมี ปฏสิ มั พันธท์ ่ดี ีต่อกัน เพ่ือให้บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายโดยสมาชิกในกลุ่มตระหนักว่าแต่ละคนเป็นส่วน หน่งึ ของกลุม่ 2. หลกั การเรียนรดู้ ้วยกลมุ่ รว่ มมือ 2.1 การทางานเป็นชีวิตจริงเป็นการทางานร่วมกับผู้อื่น ผู้เรียนจึงควรได้ฝึกการทางาน แบบ รว่ มมือเพอ่ื เป็นการเตรียมผู้เรียนได้รู้จกั การทางานรว่ มกับผอู้ น่ื 2.2 การทางานเปน็ ทีมเป็นลักษณะหนงึ่ ของการทางานของนักวิทยาศาสตร์ 2.3 การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนสอนทุก คนและตอ้ งลงมอื ทางานกับเพ่ือนสมาชิกอยา่ งจรงิ จัง จึงเปน็ การสนับสนุนให้ผู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลางวธิ หี นงึ่ 2.4 การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมืออาจจัดเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนประกอบหรือเป็น กิจกรรมย่อยของวิธีสอนสงั คมศกึ ษาแบบตา่ งๆ ได้อย่างดี 3. หน้าที่ครูของผสู้ อน 3.1 จดั ผเู้ รียนให้มสี มาชิกแตกต่างกัน กลมุ่ ละประมาณ 3 – 5 คน 3.2 ทบทวนบทบาทการทางานกลมุ่ หน้าทีข่ องสมาชิก การชว่ ยเหลอื ซง่ึ กันและกัน 3.3 ช้แี จงวตั ถปุ ระสงค์ในการเรยี นให้เข้าใจชัดเจนเก่ียวกบั เนื้อหาในบทเรยี นทต่ี ้องศึกษา 3.4 ใหค้ วามร่วมมือกลมุ่ ในการทางาน 3.5 ประเมินผล 4. ขน้ั ตอนการเรยี นรู้ดว้ ยกลุ่มร่วมมอื 4.1 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน ใช้เวลาประมาณ 8 – 15 นาที เพ่ือทบทวนเรื่องท่ีมาเรียนแล้ว และทบทวนบทบาทสมาชิกภายในกลมุ่ 4.2 ขั้นการทางานกลุ่ม ใช้เวลา 25 – 30 นาที เป็นข้ันท่ีครูแจกอุปกรณ์หรือสื่อการเรียน ผ้เู รยี นปฏิบตั ติ ามบทบาทท่ไี ดร้ ับมอบหมาย ใชเ้ วลา 25 – 30 นาที เป็นขั้นท่ีครู แจกอุปกรณ์หรือสื่อการ เรยี น ผเู้ รียนปฏิบัติตามบทบาททีไ่ ดร้ บั มอบหมาย 4.3 ข้ันระดมสมอง ใช้เวลา 10 – 15 นาที เป็นการเสนอผลงาน เสนอแนะร่วมกันท้ังห้อง ใหแ้ ต่ละกลุ่มได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น โดยครูคอยถามให้ผู้เรียนเสนอความคิดเห็นได้อย่างเต็มท่ีและ ท่วั ถงึ 5. การประเมิน 5.1 การเสนอผลงานของผ้เู รียนด้วยวิธตี า่ ง ๆ 5.2 การทดสอบ 5.3 การสงั เกตการณท์ างานของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม 5.4 การแสดงความคดิ เห็นของผเู้ รยี นในชั้นระดมสมอง

6. ขอ้ คานงึ ถึงในการจดั กจิ กรรมการเรียนรูด้ ้วยกลุ่มร่วมมอื ครคู วรคานงึ ถึงกิจกรรมที่เออื้ ตอ่ ผู้เรยี นใหม้ บี ทบาทในการเรยี น มสี ว่ นรว่ มในกิจกรรม 6.1 เป็นกจิ กรรมทีเ่ อ้อื ตอ่ การท่ีจะให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียน มีส่วนร่วมในกิจกรรม ไดม้ ากและทั่วถึง 6.2 เปน็ กิจกรรมทีใ่ ห้ผูเ้ รยี นได้ข้อมูลและเรียนรจู้ ากคนอ่นื ๆ ในกล่มุ 6.3 เป็นกิจกรรมท่ตี อ้ งชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถพบคาตอบดว้ ยตนเอง 6.4 เปน็ กจิ กรรมท่ีตอ้ งให้ผู้เรยี นได้เรยี นรู้กระบวนการทางานร่วมกัน ควบคู่กับผลงานที่ ทา 6.5 เป็นกจิ กรรมที่จะชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารรถนาไปใชไ้ ด้จรงิ 7. ประโยชนข์ องการเรยี นรู้ด้วยกลมุ่ ร่วมมอื 7.1 บรรยากาศในการเรียนจะมคี วามเป็นกนั เองมากขึน้ ผู้เรียนจะรู้สกึ ปลอดภยั 7.2 สร้างความเช่ือม่ันให้กับผู้เรียน เพระสมาชิกทุกคนภายในกลุ่มรู้สึกว่าตนเอง มีความสาคัญต่อกลุ่มเท่ากัน ความเชื่อม่ันในตนเองก็จะถูกกระตุ้นให้เพิ่มมากขึ้น และช่วยแก้นิสัย ข้ีอาย กบั ผ้เู รยี นบางคน 7.3 ฝึกความมรี ะเบยี บวินัย การจดั กิจกรรมการเรียนร้ดู ว้ ยกลุม่ ร่วมมือ 1. ความหมายของการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการเรียนรู้แบบจิกซอว์ เป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้ด้วยกลุ่ม รว่ มมือ ซ่ึงนักการศึกษาหลายทา่ นได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ อรอนสัน (นาตยา ปิลันธนานนท์. 2537 : 209 - 210 ; อ้างอิงจาก Aronson. 1978 : abstract) ได้กล่าวถึงความหมายการเรียนด้วยกลุ่มร่วมมือแบบจิกซอว์ ไว้ว่า เป็นแนวทางกิจกรรม โดย เอาแนวคิดการต่อภาพจิกซอว์ มาใช้ โดยผู้สอนแบ่งนักเรียนในห้องออกเป็นกลุ่มๆละ 5 - 6 คน แต่ละ กลุ่มใหม้ สี มาชกิ เท่ากันทุกกล่มุ และสมาชกิ กลมุ่ มีความสามารถคละกัน ผู้สอนจะกาหนดงานแยกเป็นส่วน ๆ เท่ากบั จานวนสมาชิกทม่ี อี ยขู่ องแตล่ ะกลุ่ม ใหส้ มาชิกแต่ละคนทางาน ของตนไป สลาวิน (Slavin. 1995 : 26) ได้กล่าวถึงความหมายไว้ว่า การเรียนแบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิคจิกซอว์ ได้รับการพัฒนาโดย อรอนสัน (Aronson) ซึ่งมีลักษณะคล้ายจิกซอว์ 2 แต่มีลักษณะ แตกต่างกันที่สาคัญหลายอย่างด้วยกันทั้งนี้ วิธีสอนโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ นักเรียนจะได้อ่านเน้ือหาที่ แตกต่างกันไปจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มทั้งนี้การเรียนแบบจิกซอว์ เนื้อหาท่ีใช้ศึกษาจะถูกเขียนเรียบเรียงเป็น บทยอ่ ย ๆ ขนึ้ ใหมเ่ พอ่ื ให้ เข้าใจง่าย ซึ่งตรงข้ามกับจิกซอว์ 2 ซ่ึงเนื้อหาที่ใช้ศึกษามีความสัมพันธ์กันไม่ถูก แบ่งออกเป็นเนอ้ื หาย่อย ๆ สุมณฑา พรหมบุญ (2540 : 70 - 71) ได้กล่าวถึงการเรียนด้วยกลุ่มร่วมมือแบบจิกซอว์ (Jigsaw) ไว้ว่า เป็นกิจกรรมที่ครูมอบหมายให้สมาชิกในกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มศึกษาเน้ือหาในบทเรียนหรือ เอกสารท่กี าหนดให้ สมาชิกแต่ละคนจะถูกกาหนดให้ศึกษาเน้ือหาคนละตอนแตกต่างกันคนเรียนเร็วและ อ่านเร็วอาจจัดให้ศึกษาเนื้อหามากกว่าคนเรียนช้า อ่านช้านักเรียนที่ศึกษาหัวข้อเดียวกันจากทุก ๆ กลุ่ม

จะร่วมกันเป็นกลุ่มผู้เช่ียวชาญ หลังจากที่ทุกคนศึกษาเน้ือหาจนเข้าใจ และร่วมกันคิดหาวิธีอธิบายให้ เพื่อนนักเรียนในกลุ่มประจาของตนฟังแล้ว นักเรียนแต่ละคนจะกลับมายังกลุ่มประจาของตน สมาชิกที่ ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหน้าต้นๆหรือโจทย์ข้อแรกจะเป็นคนเล่าเร่ืองที่ตนศึกษา ให้สมาชิกคนอ่ืน ๆ ใน กลุ่มฟัง ทาเช่นเดียวกนั น้ีโดยการเรยี งลาดับไปจนถงึ หน้าสุดท้ายหรือโจทย์ ข้อสุดท้าย จึงขอให้สมาชิกคน ใดคนหน่ึงสรุปเน้ือหาของสมาชิกทุกคนเข้าด้วยกันครูควรทดสอบความเข้าใจในเน้ือหาที่เรียนในช่วง สดุ ท้ายของการเรยี นและใหร้ างวัล ไสว ฟักขาว (2542 : 135) กล่าวถึงการสอนโดยแบบจิกซอว์ไว้ว่า เป็นการสอนท่ีอาศัย แนวคิดการต่อภาพ ผู้เสนอวิธีนี้เป็นคนแรกคือ Elliot Aronson และคณะ ต่อมามีการปรับและเพิ่มเติม ขั้นตอน แต่วิธีหลักยังคงเดิม การสอนแบบน้ีนักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาเพียงส่วนหน่ึง หรือหัวข้อย่อย ของเนื้อหาท้ังหมด โดยการศกึ ษาเร่ืองน้ัน ๆ จากเอกสารหรือกิจกรรมท่ีครูจัดให้ ในตอน ท่ีศึกษาหัวย่อย นั้น นักเรียนจะทางานเป็นกลุ่มกับเพื่อนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาใน หัวข้อย่อยเดียวกัน และ เตรยี มพร้อมทจ่ี ะกลับไปอธบิ ายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพน้ื ฐานของตนเอง สมศักด์ิ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2544 : 21) กล่าวถึงวิธีการติดต่อภาพ ไว้ว่า วิธีน้ีคิดข้ึนโดย Elliot Aronson และคณะ เป็นวิธีง่ายๆ เพ่ือให้ผู้เรียนรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อกลุ่ม โดยการ แต่งตงั้ ให้ผูเ้ รยี นแต่ละคนเปน็ “ผ้เู ช่ยี วชาญ” (Expert) ในแต่ละสาขา ทีม่ อบหมายและ“ผูเ้ ชี่ยวชาญ” น้ัน ตอ้ งมาสอนคนอน่ื ๆ ในทมี ในเรอื่ งท่ีตนรู้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 176) ได้อธิบายถึง ปริศนาความคิดไว้ว่า เป็นเทคนิคท่ี พัฒนาข้ึนเพ่ือส่งเสริมความร่วมมือ และการถ่ายทอดความรู้ระหว่างเพื่อนในกลุ่ม เทคนิคนี้ใช้กันมากใน รายวชิ าท่ผี ้เู รยี นตอ้ งเรยี นเนือ้ หาวชิ าจากตาราเรียน (เช่น สงั คมศึกษา ภาษาไทย) สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2545 : 177 - 181) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดย ใช้เทคนิคจิกซอว์ เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้แนวคิดการต่อภาพ โดยแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม ทุกกลุ่มจะได้รับมอบหมายให้ทากิจกรรมเดียวกัน ผู้สอนจะแบ่งเน้ือหาของเรื่องท่ีจะให้เรียนรู้ออกเป็น หัวข้อย่อย เท่ากับจานวนสมาชิกแต่ละกลุ่ม และมอบหมายให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มศึกษา ค้นคว้าคนละ หัวข้อ ซ่ึงผู้เรียนแต่ละคนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเร่ืองท่ีตนได้รับมอบหมายให้ศึกษาจากกลุ่ม สมาชิก ต่างกลุ่มท่ีได้รับมอบหมายในหัวข้อเดียวกันก็จะทาการศึกษาค้นคว้าร่วมกัน จากนั้นผู้เรียนแต่ละคนจะ กลับเข้ากลุ่มเดมิ ของตนเพ่อื ทาหนา้ ทเ่ี ปน็ ผู้เชย่ี วชาญอธิบายความรู้ เนื้อหาสาระ ท่ีตนศึกษาให้เพื่อนร่วม กลุ่มฟัง เพ่ือให้เพ่ือนสมาชิกท้ังกลุ่มได้รู้เน้ือหาสาระครบทุกหัวข้อย่อยและเกิดการเรียนรู้เน้ือหาสาระท้ัง เรือ่ ง จากการศึกษาความหมายของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบจิกซอว์ สรุปได้ว่า เป็นการจัดให้ผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน กลุ่มละ 3 - 5 คน เรียนรู้ร่วมกัน โดยครูแบ่งบทเรียน ออกเปน็ เรือ่ งยอ่ ย ๆ เท่ากบั จานวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม สมาชิกแต่ละกลุ่มแบ่งหัวข้อในการศึกษาคนละ หัวข้อ แล้วให้สมาชิกที่ศึกษาหัวข้อเดียวกันของทุกกลุ่มไปศึกษาและอภิปรายร่วมกันจนเกิดความเข้าใจดี แลว้ จึงกลับไปรายงานผลให้สมาชิกในกลุ่มฟังทีละหัวข้อจนครบถ้วนเมื่อจบบทเรียนครูจะทาการทดสอบ ความรู้ และใหร้ างวลั เป็นการเสริมแรง

2. วตั ถุประสงคข์ องการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ การจดั การเรยี นการสอนทุกรปู แบบการสอน จะต้องมวี ตั ถุประสงค์ว่าจัดกิจกรรมข้ึนมาเพ่ือ อะไร ไดม้ ีนักวชิ าการได้กล่าวถงึ วัตถุประสงคข์ องการจัดการเรียนการสอนแบบจิกซอว์ ดงั นี้ สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2545 : 177) กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรม เรยี นการสอนโดยใช้เทคนคิ จิกซอว์ไว้ 2 ขอ้ คือ 1. เพอ่ื ส่งเสริมให้ผู้เรียนไดศ้ ึกษา คน้ คว้าหาความรดู้ ้วยตนเอง 2. เพอ่ื ส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นฝกึ ทักษะกระบวนการทางสงั คม และความรบั ผดิ ชอบ จากวตั ถุประสงค์ทก่ี ลา่ วมานนั้ สรุปไดว้ า่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์ เป็นการ สง่ เสริมให้ผเู้ รยี นไดศ้ ึกษาหาความรู้ดว้ ยตนเอง ทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม นักเรียนได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ กนั และมคี วามรบั ผดิ ชอบในการทางานรว่ มกัน 3. องค์ประกอบการจดั กจิ กรรมการเรียนร้แู บบจกิ ซอว์ นกั วิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงองค์ประกอบการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบจกิ ซอว์ ดงั นี้ ไสว ฟกั ขาว (2542 : 135) กล่าววา่ องค์ประกอบการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์ มีดังนี้ 1. การเตรียมส่ือการเรียนการสอน (Preparation of Materials) ครูสร้างใบงานให้ ผ้เู ชี่ยวชาญแต่ละคนของกลุ่ม และสร้างแบบทดสอบยอ่ ยในแต่ละหน่วยการเรียน แต่ถ้ามีหนังสือเรียนอยู่ แล้วย่ิงทาให้ง่ายข้ึนได้ โดยแบ่งเน้ือหาในแต่ละหัวข้อเร่ืองท่ีจะสอนเพื่อทาใบงานสาหรับผู้เช่ียวชาญ ใน ใบงานควรบอกว่านักเรียนต้องทาอะไร เช่น ให้อ่านหนังสือหน้าอะไร อ่านหัวข้ออะไร จากหนังสือหน้า ไหนถึงหน้าไหน หรอื ให้ดวู ีดิทัศน์ หรอื ใหล้ งมือปฏิบตั ิการทดลอง พร้อมกับมีคาถามให้ตอบตอนท้ายของ กิจกรรมที่ทาดว้ ย 2. การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Teams and Expert Groups) ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ (Home Group) แต่ละกลุ่มจะมีผู้เช่ียวชาญในแต่ละเร่ืองตามใบงาน ของตนก่อนที่จะแยกไปตามกลุ่มของผู้เช่ียวชาญ (Expert Groups) เพ่ือทางานตาม ใบงานน้ันๆ เม่ือ นักเรยี นพร้อมทจ่ี ะทากิจกรรม ครแู ยกกลมุ่ นักเรยี นใหมต่ ามใบงาน กิจกรรมในกลมุ่ ผู้เชยี่ วชาญแต่ละกลุ่ม อาจแตกต่างกัน ครูพยายามกระตุ้นให้นักเรียนศึกษาหัวข้อตามใบงานท่ีแตกต่างกัน ดังนั้นใบงานที่ครู สร้างขึ้นจึงมีความสาคัญมาก เพราะในใบงานจะนาเสนอด้วยกิจกรรมท่ีแตกต่างกัน ซ่ึงผู้เช่ียวชาญในแต่ ละกลมุ่ อาจจะลงมือปฏบิ ตั ิการทดลอง ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งท่ีได้รับมอบหมาย พร้อมกับเตรียมการนาเสนอ สิ่งนน้ั ๆ อย่างสัน้ ๆ เพอื่ วา่ เขาจะได้นากลบั ไปสอนสมาชิกคนอืน่ ๆ ในกลุ่มทไี่ ม่ไดศ้ กึ ษาในหวั ข้อดงั กลา่ ว 3. การรายงานและการทดสอบย่อย (Reports and Quizzes) เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ แต่ละกลมุ่ ทางานเสรจ็ แลว้ ผเู้ ชี่ยวชาญแต่ละคนก็จะกลับไปยงั กลมุ่ เดิมของตัวเอง (Home Groups) แล้ว สอนเร่อื งท่ีตัวเองทาใหก้ บั สมาชิกคนอืน่ ๆ ในกลมุ่ ครูกระตุ้นให้นักเรียนใช้วิธีการต่างๆ ในการนาเสนอสิ่ง ที่จะสอน นักเรียนอาจใช้วิธีการสาธิต อ่านรายงาน ใช้คอมพิวเตอร์ รูปถ่ายไดอะแกรม แผนภูมิหรือ ภาพวาดในการนาเสนอความคิดเห็น ครูกระตุ้นให้สมาชิก ในกลุ่มได้มีการอภิปรายและซักถามปัญหา ตา่ งๆ โดยที่สมาชกิ แต่ละคนต้องมคี วามรบั ผิดชอบในการเรยี นรู้แต่ละเรือ่ งทผี่ ู้เชีย่ วชาญแตล่ ะคนนาเสนอ

เมื่อผู้เช่ียวชาญได้รายงานผลงานกับกลุ่มของตัวเองแล้ว ควรมีการอภิปรายร่วมกันท้ัง หอ้ งเรยี นอีกคร้ังหน่งึ หรอื มกี ารถามคาถาม และตอบคาถามในหัวข้อเรื่องที่เชี่ยวชาญแต่ละคน ได้ศึกษา หลงั จากน้นั ครูก็ทาการทดสอบ สุวิทย์ มูลคา และอรทยั มลู คา (2545 : 178) กลา่ ววา่ การจดั การเรียนรู้โดยใช้เทคนิค จิกซอว์ มอี งคป์ ระกอบสาคญั 3 ส่วน คอื 1. การเตรียมสื่อการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องเตรียมใบงาน ใบความรู้ สื่อการเรียนรู้อ่ืน ๆ สาหรบั ผ้เู ชย่ี วชาญแตล่ ะกลุ่ม และสรา้ งแบบทดสอบยอ่ ยในในแตล่ ะหนว่ ยการเรียน 2. การจัดสมาชิกของกลุ่ม ผู้สอนจะต้องแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆ เรียกว่า “กลุ่มพื้นฐาน” (Home Groups) แตล่ ะกลมุ่ จะมีผูเ้ ชยี่ วชาญ แตล่ ะเรอื่ งตามใบงานท่ผี สู้ อนสรา้ งขนึ้ 3. การรายงานและทดสอบย่อย เมื่อผู้เช่ียวชาญกลับเข้ากลุ่มตัวเองและสอนเร่ืองท่ี ตนเองได้เรียนรู้มาสอนหรือรายงานให้กับสมาชิกในกลุ่มแล้ว ควรมีการอภิปรายกันท้ังห้องเรียนอีกครั้ง หรือมีการถาม–ตอบในหัวขอ้ เรอ่ื งทเ่ี รยี นรู้ หลังจากนั้นผูส้ อนทาการทดสอบยอ่ ยและประเมนิ ให้คะแนน จากท่ีกล่าวมาน้ันสรุปได้ว่า องค์ประกอบของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์นั้น ครูผู้สอนจะต้องเตรียมส่ือต่างๆ ให้สอดคล้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เพียงพอ และแบ่ง นักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ โดยแต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องตามใบงานของตนก่อนที่จะแยกไป ตามกลุ่มของผูเ้ ช่ียวชาญ เพือ่ ทางานตาม ใบงานนน้ั ๆ แลว้ จะไดน้ าความรู้ท่ีได้กลับไปสอนสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มท่ไี มไ่ ดศ้ ึกษาในหัวขอ้ ดังกลา่ ว เมือ่ ทากิจกรรมเสรจ็ แล้วประเมนิ ผลโดยการทดสอบย่อย 4. ข้นั ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรแู้ บบจิกซอว์ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์มีหลายขั้นตอน ซึ่งนักวิชาการได้กล่าวถึงข้ันตอน ดงั ตอ่ ไปนี้ กรมสามัญศึกษา (2540 : 42 - 43) ไดเ้ สนอขั้นตอนในการดาเนินการการจัดกิจกรรมการ เรียนรดู้ ้วยกลมุ่ รว่ มมอื แบบจกิ ซอว์ ดังนี้ 1. ครแู บง่ หวั ขอ้ ท่จี ะเรียนเปน็ หวั ขอ้ ยอ่ ยๆใหเ้ ทา่ กบั จานวนสมาชกิ ของแตล่ ะกลุ่ม 2. จัดกลุ่มนักเรียนกลุ่มละประมาณ 4 คน โดยให้สมาชิกของกลุ่มมีความสามารถคละ กนั กลุ่มนเี้ รยี กวา่ กล่มุ ประจา 3. มอบหมายให้สมาชิกแต่ละคน อ่าน/ศึกษาหัวข้อย่อยที่จัดแบ่งไว้ เช่น ในกลุ่ม A มี สมาชกิ เป็นจานวน A1, A2 , A3 และ A4 นกั เรียน A1 อา่ นเฉพาะหัวขอ้ ย่อยที่ 1 นักเรยี น A2 อ่านเฉพาะหัวข้อยอ่ ยท่ี 2 นกั เรียน A3 อ่านเฉพาะหัวขอ้ ยอ่ ยที่ 3 นกั เรียน A4 อา่ นเฉพาะหัวข้อยอ่ ยท่ี 4 กลุ่มอ่ืนๆ ทเี่ หลอื กด็ าเนินการมอบหมายรบั ผดิ ชอบในลกั ษณะเดยี วกนั 4. ให้นักเรียนที่อ่านหัวข้อ/หัวเรื่องเดียวกัน แยกออกมารวมกันเป็นกลุ่มช่ัวคราว เพื่อ อภิปราย ซักถามและทากิจกรรมร่วมกันให้เกิดความรอบรู้ในหัวข้อเรื่องน้ันๆกลุ่มใหม่นี้เราเรียกว่ากลุ่ม ผเู้ ชีย่ วชาญ ในกรณนี ้ถี า้ มีกลมุ่ ประจาอยู่ 4 กลมุ่ คือ กล่มุ A , B , C และ D

กลมุ่ ผเู้ ช่ยี วชาญกลมุ่ ท่ี 1 กจ็ ะประกอบดว้ ยสมาชิก A1 , B1 , C1 , และ D1 กลุ่มผ้เู ช่ยี วชาญกลุ่มท่ี 2 กจ็ ะประกอบดว้ ยสมาชิก A2 , B2 , C2 , และ D1 อย่างนีไ้ ปเร่อื ย ๆ 5. มอบหมายหนา้ ท่ีใหน้ กั เรยี นในกลุ่มผเู้ ชย่ี วชาญ เชน่ นักเรียนคนท่ี 1 อา่ นคาถาม/คาสง่ั /คาช้แี จง นกั เรียนคนที่ 2 จดบันทกึ ข้อมูลสาคัญทก่ี าหนดให้ และอธิบายวา่ กลมุ่ จะต้องทาอะไร นกั เรยี นคนท่ี 3 หาคาตอบ/เหตุผล/คาอธบิ าย นักเรยี นคนที่ 4 สรุปทบทวนและตรวจสอบคาตอบอกี ทีหนึ่ง เมอ่ื นักเรียนทาแต่ละข้อ (ประเด็น) เสร็จแล้วให้นักเรยี นหมุนเวยี นเปลยี่ นหนา้ ทก่ี นั ครบทกุ ข้อ (ประเด็น) 6. นักเรียนในกลุ่มผู้เช่ียวชาญแยกตัวกลับไปยังกลุ่มประจาของตน แล้วผลัดกันอธิบาย ความรู้ท่ีได้จากการทากิจกรรม (ในข้อ5) ให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟังตามลาดับหัวข้อย่อย โดยเร่ิมจาก หัวขอ้ ที่ง่ายและเปน็ ความรูพ้ ื้นฐานก่อน 7. นักเรียนทุกคนทาแบบทดสอบย่อย เพื่อวัดความรู้ทุกหัวข้อย่อย (เป็นการสอบเด่ียว) แลว้ นาคะแนนของสมาชกิ แตล่ ะคนมารวมกันเปน็ คะแนนของกลมุ่ 8. กลุ่มที่ได้คะแนนรวม (หรอื คา่ เฉลยี่ ) สงู สดุ จะได้รับการยกยอ่ ง ชมเชยอาจจะเขยี น ตดิ ป้ายประกาศ ไวท้ บ่ี อร์ดของหอ้ ง และบันทึกสถติ ไิ ว้เพ่ือมอบรางวลั เป็นระยะๆ กระทรวงศกึ ษาธิการ (2547 : 114 - 115) ไดแ้ บง่ ขน้ั ตอนกจิ กรรมการเรียนการสอน โดยใช้เทคนิคจิก ซอว์ ดังนี้ 1. ผูส้ อนแบง่ หัวข้อท่จี ะเรียนเปน็ หัวขอ้ ยอ่ ยเทา่ กับจานวนสมาชกิ ของแตล่ ะกลุม่ 2. จัดกลุ่มผเู้ รียนโดยให้มคี วามสามารถคละกันภายในกลุ่ม เป็นกลุ่มบ้าน สมาชิกแต่ละ คนในกลมุ่ อา่ นเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตนไดร้ ับมอบหมายเท่าน้ัน โดยใช้เวลาตามทผี่ ู้สอนกาหนด 3. ผู้เรียนท่ีอ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมาน่ังด้วยกัน เพ่ือทางาน ซักถาม และทากิจกรรม ซึ่งเรียกว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกทุกๆคนร่วมกันอภิปรายหรือทางาน อย่างเท่าเทียมกัน โดยใช้เวลา ตามท่ผี ู้สอนกาหนด 4. ผู้เรยี นแตล่ ะคนในกลุ่มเชี่ยวชาญ กลบั มายังกลุ่มบา้ นของตน จากนั้นผลัดเปลี่ยนกัน อภิปราย ใหเ้ พอื่ นสมาชิกในกลุ่มฟัง เรม่ิ จากหวั ขอ้ ยอ่ ย 1,2,3 และ 4 5. ทาการทดสอบหัวข้อย่อย 1- 4 กับผู้เรียนทั้งห้อง คะแนนของสมาชิกแต่ละคน ใน กลมุ่ รวมเป็นคะแนนกล่มุ กล่มุ ท่ีไดค้ ะแนนสูงสุดจะได้รับการติดประกาศ ทศิ นา แขมมณี (2548 : 266) กล่าวถงึ กระบวนการเรียนการสอนรูปแบบจิกซอว์ ดังนี้ 1. จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง–กลาง–อ่อน) กลุ่มละ 4 คนและเรียก กล่มุ นี้วา่ กลุ่มบา้ นของเรา (Home Group) 2. สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับมอบมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ 1 ส่วน (เปรยี บเสมอื นได้ชน้ิ สว่ นของภาพตัดต่อคนละ 1 ช้ิน) และหาคาตอบในประเด็นปัญหาท่ีผู้สอนมอบหมาย ให้

3. สมาชิกในกลุ่มบ้านเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอ่ืน ซ่ึงได้รับเน้ือหาเดียวกัน ต้ังเป็นกลุ่มผู้เช่ียวชาญ ขึ้นมาและร่วมกันทาความเข้าใจในสาระน้ันอย่างละเอียด และร่วมกันอภิปราย หาคาตอบประเดน็ ปัญหาทีผ่ ู้สอนมอบหมายให้ 4. สมาชิกกลุ่มผู้เช่ียวชาญ กลับไปสู่กลุ่มบ้านของเรา แต่ละคนช่วยสอนเพ่ือน ในกลุ่ม ให้เข้าใจในสาระที่ตนได้ศึกษาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เช่นน้ี สมาชิกทุกคนก็จะได้เรียนรู้ภาพรวมของ สาระทัง้ หมด 5. ผู้เรียนทุกคนทาแบบทดสอบ แต่ละคนจะได้คะแนนเป็นรายบุคคล และนาคะแนน ของทกุ คนในกลมุ่ บ้านของเรามารวมกัน (หรือหาค่าเฉล่ีย) เป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มท่ีได้คะแนนสูงสุด ได้รับ รางวลั ขอ้ ดแี ละขอ้ จากัดของการจดั การเรียนรู้แบบจิกซอว์ มีดงั นี้ ข้อดี 1. ผูเ้ รียนมคี วามเอาใจใส่ รบั ผดิ ชอบตวั เองและกลุ่มร่วมกบั สมาชิกอืน่ 2. สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนมคี วามสามารถต่างกนั ได้เรียนรู้รว่ มกัน 3. ส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้นา 4. สง่ เสริมให้ผ้เู รียนไดฝ้ กึ และเรียนรทู้ กั ษะทางสังคมโดยตรง ขอ้ จากดั 1. ผู้เรียนขาดความเอาใจใส่และรับผิดชอบจะส่งผลให้ผลงานกลุ่มและการเรียนรู้ ไม่ ประสบความสาเร็จ 2. เป็นวิธีการที่ผู้สอนจะต้องใช้เวลาในการเตรียมการและต้องดูแล ช่วยเหลือ เอาใจใส่ ในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอยา่ งใกล้ชดิ สรุปได้ว่า การจัดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบจกิ ซอวน์ นั้ ผสู้ อนจะตอ้ งเตรียมเน้ือหาไว้ให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ และเรียนรู้โดยการแบ่งกลุ่มคละความสามารถ ผู้เรียนแต่ละคนรับผิดชอบงานท่ีตนเองได้รับ มอบหมาย นักเรียนทเ่ี รียนเก่งจะช่วยเหลือนกั เรียนท่ีเรยี นอ่อนในการศกึ ษาหาความรู้ เพ่ือให้ผลงานของ กลมุ่ สาเรจ็ ตามเป้าหมายทว่ี างไวม้ ีการทดสอบความรู้หลังเรียนคะแนนรายบุคคลรวมเป็นคะแนนของกลุ่ม กลมุ่ ท่ไี ด้คะแนนมากจะได้รบั รางวลั รูปแบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบจกิ ซอว์ วิมลรัตน์ สุนทรวิโรจน์ (2551 : 24 - 25) ได้เสนอรูปแบบการเรียนรู้แบบต่อภาพมี 2 รูปแบบดงั น้ี รูปแบบท่ี 1 (Jigsaw I) การเรียนรู้แบบ Jigsaw I เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นเพ่ือส่งเสริมความร่วมมือและถ่ายทอด ความรู้ระหว่างกลุ่ม เป็นเทคนิคท่ีใช้กันมากในรายวิชาท่ีผู้เรียนต้องเรียนเนื้อหาวิชาจากตาราเรียน (เช่น สงั คมศกึ ษา ภาษาไทย) ขัน้ ตอนกจิ กรรมประกอบดว้ ย 1. ครแู บ่งเน้ือหาท่จี ะเรียนออกเปน็ หวั ข้อยอ่ ย ๆ ให้เทา่ กบั จานวนสมาชกิ กลุ่ม 2. จัดกลุ่มผู้เรียนให้มีความสามารถคละกัน เรียนว่า “กลุ่มบ้าน” แล้วมอบหมายให้ สมาชิกแต่ละคนศกึ ษาหัวขอ้ ทตี่ า่ งกนั

3. ผู้เรียนได้รับหัวข้อเดียวกันจากแต่ละกลุ่มมาน่ังด้วยกันเพื่อทางานและศึกษา ร่วมกันในหวั ข้อดังกลา่ ว เรียกวา่ “กล่มุ เชีย่ วชาญ” 4. สมาชิกแต่ละคนออกจากกลุ่มเชี่ยวชาย และกลับไปกลุ่มเดิมของตนผลัดกัน อธบิ ายเพอื่ ถา่ ยทอดความรู้ท่ตี นศกึ ษาใหเ้ พ่ือนฟงั จนครบทุกหัวข้อ 5. ครทู ดสอบเนอ้ื หาทีศ่ ึกษาแลว้ ให้คะแนนรายบุคคล รูปแบบท่ี 2 (Jigsaw 2) การเรียนรู้แบบ Jigsaw II เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นจากเทคนิคเดิม โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือ ส่งเสริมให้ผู้เรยี นได้มีส่วนร่วมชว่ ยเหลือกัน และพ่ึงพากันในกลุ่มมากขึ้นกระบวน Jigsaw II เหมือนเดิมทุก ประการ เพียงแต่ในช่วงของการประเมินผล ครูจะนาคะแนนทุกคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มทไ่ี ดค้ ะแนนรวมหรือคา่ เฉลี่ยสูงสดุ จะตดิ ประกาศไวท้ ปี่ ้ายประกาศของหอ้ ง ผู้เรียนเข้าร่วมในวิธีการนี้จะแบ่งเป็นทีม โดยมีสมาชิกท่ีคละเคล้ากัน เช่นเดียวกับทีมใน TGT และ STAD ผู้เรียนแต่ละคนจะได้รับมอบหมายให้อ่านเนื้อเรื่องที่กาหนดและได้รับ“ หัวข้อสาหรับ ผู้เชีย่ วชาญ ” ท่ตี อ้ งการศึกษาโดยละเอียด เม่ือผู้เรียนทุกคนอ่านเน้ือหาเน้ือเรื่องจบในหัวข้อเดียวกันของ แต่ละกลุ่ม จะรวมกันอภิปรายในหัวข้อนั้นโดยใช้เวลาประมาณ 30 นาทีหลังจากน้ัน ผู้เชี่ยวชาญก็จะ กลับมายังทีมของตนเพ่ืออธิบายในส่วนท่ีตนรู้ให้คนอื่น ๆฟัง และในท่ีสุดผู้เรียนทุกคนต้องตอบข้อสอบท่ี ออกคลมุ เน้ือหาทกุ หวั ขอ้ คะแนนทผี่ ้เู รียนไดม้ าจะใชร้ วมเป็นคะแนนของทีม เช่นเดียวกับ STAD และอาจ มีคะแนนพิเศษให้ผู้เรียนคนที่ทาคะแนนได้ดีเกินคาด ดังน้ันผู้เรียนทุกคนต้องศึกษาในหัวข้อของตนให้ดี เพื่อจะได้ช่วยทาให้เพื่อนในทีมทาคะแนนสอบได้ดีหัวใจสาคัญของ Jigsaw คือ การพ่ึงพาซึ่งกันและกัน ผ้เู รยี นทุกคนตอ้ งพึ่งพาความรู้จากผเู้ รียนคนอ่นื ๆ เพือ่ จะได้ทาขอ้ สอบได้ดี ขน้ั ตอนการดาเนนิ การสอนแบบ Jigsaw มีดงั นี้ 1. ครแู บง่ หัวข้อท่จี ะเรียนเป็นหัวข้อยอ่ ย ๆ ใหเ้ ทา่ กับจานวนสมาชิกของนักเรยี น แตล่ ะกลมุ่ 2. จัดกลุ่มนักเรียนกลุ่มละประมาณ 4 คน โดยให้สมาชิกของกลุ่มมีความสามารถคละกัน กลมุ่ นเ้ี รียก กลุม่ ประจา ( Home Groups หรือ Original Group) 3. มอบหมายให้สมาชิกแต่ละคน อ่าน/ศึกษาหัวข้อย่อยท่ีจัดแบ่งให้ เช่น ในกลุ่ม A มี สมาชิก A1, A2, A3, A4 นกั เรยี น A1 อา่ นเฉพาะหัวข้อย่อยท่ี 1 นกั เรียน A2 อ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 2 นกั เรียน A3 อา่ นเฉพาะหัวข้อย่อยท่ี 3 นกั เรยี น A4 อ่านเฉพาะหวั ขอ้ ยอ่ ยท่ี 4 กลมุ่ อื่นๆทเ่ี หลอื ดาเนนิ การมอบหมายความรบั ผิดชอบในลักษณะเดียวกนั 4. ให้นักเรียนที่อ่านหัวข้อ/หัวเรื่องเดียวกัน แยกออกมาร่วมกันเป็นกลุ่มใหม่นี้เรียกว่า กลุ่ม เช่ียวชาญ (Expert Group หรือ Mastery Group) ในกรณีน้ีถ้ามีกลุ่มประจาอยู่ 5 กลุ่มคือ A, B, C, D และ E กล่มุ ผเู้ ชยี่ วชาญกลมุ่ ท่ี 1 ก็จะประกอบดว้ ยสมาชิก A1, B1,C1,D1 และ E1 กลุ่มผเู้ ชีย่ วชาญกลุม่ ที่ 2 กจ็ ะประกอบดว้ ยสมาชกิ A2, B2,C2,D2 และ E2

อย่างนไ้ี ปเรอ่ื ย ๆ 5. มอบหมายหนา้ ทใ่ี หน้ กั เรียนในกลุ่มเช่ยี วชาญ เช่น นักเรยี นคนท่ี 1 อา่ นคาถาม/คาส่งั /คาชี้แจง นักเรียนคนที่ 2 จดบันทึกข้อมูลสาคัญที่กาหนดให้ และอธิบายว่ากลุ่มจะต้องทา อะไร นกั เรียนคนที่ 3 และ 4 ทาคาตอบ/เหตุผล/คาอธบิ าย นกั เรยี นคนที่ 5 สรุปทบทวนและตรวจสอบคาตอบอกี ครั้ง 6. นักเรียนในกลุ่มเชี่ยวชาญ แยกตัวกลับไปยังกลุ่มประจาของตน แล้วผลัดกันอธิบาย ความรู้ที่ได้จากการทากิจกรรม (ในข้อ 5) ให้เพ่ือนสมาชิกของกลุ่มฟังตามลาดับหัวข้อย่อย โดยเริ่มจาก หวั ขอ้ ทงี่ ่ายหรอื เป็นความรู้พน้ื ฐานกอ่ น 7. นกั เรยี นทุกคนทาแบบทดสอบยอ่ ย (Quiz) เพือ่ วดั ความรทู้ ุกหวั ข้อยอ่ ย (เปน็ การสอบ เด่ยี ว) แล้วนาคะแนนของสมาชกิ แต่ละคนมารว่ มกนั เป็น “คะแนนของกลุ่ม” 8. กลุ่มที่ไดค้ ะแนนรวม (คา่ เฉลี่ย) สูงสุด จะได้รับการยกย่องชมเชย อาจจะเขียนติด ประกาศไว้ที่บอร์ดของห้อง และบนั ทึกสถิติไวเ้ พอ่ื มอบรางวัลเป็นระยะๆ แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ความหมายของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 : 1 - 2) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการเรียนการสอน หมายถึง แผนการหรอื โครงการท่ีจัดทาเป็นลายลักษณ์อักษรเพ่อื ใชใ้ นการปฏบิ ัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่ง เป็น การเตรียมการสอนอย่างมีระบบและเป็นเคร่ืองมือที่ช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่ จุดประสงค์การเรียนรู้ และจุดหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูผู้สอนต้องมีความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกบั หลักในการจดั ทาแผนการสอน ซึ่งมีความสาคัญดังน้ี 1. ก่อให้เกิดการวางแผนและเตรียมการล่วงหน้า เป็นการนาเทคนิควิธีการสอน การ เรียนรู้ ส่ือเทคโนโลยี และจิตวิทยาการเรียนการสอนมาผสมผสานประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม กับ สภาพแวดลอ้ มด้านตา่ งๆ 2. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิคการเรียนการสอนการ เลือกใชส้ ่อื การวดั และการประเมนิ ผลตลอดจนประเด็นต่างๆทเ่ี ก่ยี วข้องจาเปน็ 3. เป็นคมู่ อื การสอนสาหรบั ตัวครูผู้สอนและครูท่ีสอนแทน นาไปใช้ปฏิบัติการสอนอย่าง มนั่ ใจ 4. เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน และการวัดประเมินผลท่ีเป็น ประโยชนต์ ่อการจัดการเรยี นการสอนต่อไป 5. เปน็ หลักฐานแสดงความเชย่ี วชาญของครูผู้สอน ซงึ่ สามารถนาไปเสนอเปน็ ผลงานทาง วิชาการได้ ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง และคณะ (2545 : 53) กล่าวว่า แผนการเรียนรู้ หมายถึง การ เตรียมการจัดการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ และเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการ

ดาเนินการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาใดวิชาหน่ึง ให้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายท่ีหลักสูตรกาหนด แผนการ จัดการเรยี นรูม้ ี 2 ระดับ ไดแ้ ก่ ระดบั หน่วยการเรยี น (Unit Plan) และระดับบทเรยี น (Lesson Plan) รุจิร์ ภู่สาระ (2545 : 159) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการ จัดการเรียนรู้เป็นเคร่ืองมือแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนตามที่กาหนดไว้ในสาระ การเรียนร้ขู องแต่ละกลมุ่ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ดีตอ้ งสามารถตอบคาถามได้ ดังนี้ 1. ให้นักเรยี นมีคณุ สมบัติท่ีพงึ ประสงคอ์ ะไรบา้ ง 2. จะเสริมสร้างกิจกรรมเพ่ือพัฒนาผู้เรียนอะไรบ้าง จึงจะทาให้นักเรียนบรรลุผล ตามจุดประสงค์ 3. ครูจะต้องมบี ทบาทอยา่ งไรในการจดั กจิ กรรม 4. จะใชส้ อ่ื /อปุ กรณอ์ ะไรจงึ จะช่วยให้นักเรียนบรรลุจดุ ประสงค์ 5. ไดอ้ ยา่ งไรว่านกั เรียนเกดิ คณุ สมบัตติ ามทคี่ าดหวังไว้ สุวิทย์ มูลคา และคณะ (2549 : 58) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการเตรียมการสอนหรือการกาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบและจัดทาไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมลู ตา่ ง ๆมากาหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ จุดมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ โดยเร่ิมจากการกาหนดวัตถุประสงค์จะให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านใด (สติปัญญา / เจตคติ / ทักษะ) จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิธีใด ใช้ส่ือการสอนหรือแหล่งเรียนรู้ใด และจะประเมินผลอยา่ งไร สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการหรือโครงสร้างที่จัดทาไว้เป็นลายลักษณ์ อกั ษรเพือ่ การปฏบิ ตั กิ ารสอนในวชิ าหน่งึ เป็นการเตรียมการสอนอย่างเป็นระบบ และเป็นเคร่ืองมือที่ช่วย ให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร อย่างมี ประสิทธิภาพ สุวิทย์ มูลคา และคณะ (2549 : 58) ได้กล่าวถึงความสาคัญของการจัดทาแผนการ จดั การเรยี นรู้ไวด้ ังนี้ 1. ทาให้เกิดการวางแผนวิธีสอนที่ดี วิธีเรียนท่ีดี ท่ีเกิดจากการผสมผสานความรู้และ จติ วทิ ยาการศึกษา 2. ช่วยให้ครูผู้สอนมีเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ที่ทาไว้ล่วงหน้าด้วยตนเองและทาให้ ครมู ีความมน่ั ใจในการจดั การเรยี นรไู้ ด้ตามเป้าหมาย 3. ช่วยให้ครูผู้สอนทราบว่าการสอนของตนได้เดินไปในทิศทางใด หรือทราบว่าจะสอน อะไร ดว้ ยวิธีใด สอนทาไม สอนอย่างไร จะใชส้ ่ือและแหล่งเรยี นรูอ้ ะไรและจะวดั และประเมนิ ผลอย่างไร 4. สง่ เสริมให้ครูผ้สู อนใฝศ่ กึ ษาหาความรู้ ท้ังเรือ่ งหลกั สูตร วธิ ีจัดการเรียนรู้จะจัดหาและ ใช้ส่ือ แหล่งเรยี นรู้ ตลอดจนการวัดและประเมนิ ผล 5. ใชเ้ ปน็ ค่มู ือสาหรบั ครทู ม่ี าสอน (จัดการเรียนรู้) แทนได้ 6. แผนการจัดการเรยี นรูท้ น่ี าไปใชแ้ ละพฒั นาแลว้ จะเกดิ ประโยชน์ต่อวงการศกึ ษา 7. เป็นผลงานทางวิชาการท่ีแสดงถึงความชานาญและความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน สาหรับประกอบการประเมินเพอ่ื ขอเลื่อนตาแหนง่ และวิทยะฐานะครูให้สงู ขึน้

ประโยชนข์ องการทาแผนการจัดการเรียนรู้ ณฐั วฒุ ิ กจิ รุง่ เรอื ง และคณะ (2545 : 53 - 54) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการทาแผนการ จดั การเรยี นรไู้ วด้ งั น้ี 1. เพือ่ ใหเ้ หน็ ความตอ่ เนื่องของการจัดการเรียนร้ตู ามหลักสตู ร 2. เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และความต้องการ ของผ้เู รยี น 3. เพ่อื สามารถเตรียมวัสดุ อปุ กรณ์ และแหล่งเรยี นรใู้ ห้พร้อมก่อนทาการสอนจรงิ 4. เพื่อใหผ้ ูส้ อนมคี วามมั่นใจเละเช่ือมนั่ ในการจดั การเรยี นรู้ 5. เพือ่ ให้เกดิ การปรบั ปรงุ วิธีการจดั การเรียนรูจ้ ากข้อจากัดที่พบ 6. เพอ่ื ให้ผู้อนื่ สอนแทนได้ในกรณที ี่มีเหตุจาเปน็ 7. เพือ่ เป็นหลกั ฐานสาหรับพจิ ารณาผลงานและคุณภาพในการปฏบิ ตั กิ ารสอน 8. เพ่ือเป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นวิชาชีพของครูผู้สอน (แผนจัดการเรียนรู้เป็น ลักษณะเฉพาะของวิชาชพี ) ลกั ษณะของแผนการจดั การเรยี นรทู้ ดี่ ี แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ดี ี ควรมีลกั ษณะดงั น้ี (สวุ ิทย์ มลู คา และคณะ. 2549 : 59) 1. กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ไว้ชัดเจน (ในการสอนเร่ืองน้ันๆ ต้องการให้ผู้เรียนเกิด คณุ สมบัตอิ ะไร หรอื ด้านใด) 2. กาหนดกจิ กรรมการเรียนการสอนไวช้ ัดเจน และนาไปสู่ผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ ได้จริง (ระบบุ ทบาทของครผู ู้สอนและผเู้ รียนไวอ้ ย่างชัดเจนวา่ จะตอ้ งทาอะไรจึงจะทาให้การเรียนการสอน บรรลุผล) 3. กาหนดส่อื อปุ กรณ์และแหลง่ เรยี นรไู้ วช้ ดั เจน (จะใชส้ ่อื อปุ กรณ์หรอื แหล่งเรียนรู้อะไร ชว่ ยบา้ ง และจะใช้อยา่ งไร) 4. กาหนดวิธีวัดและประเมินผลไว้ชัดเจน (จะใช้วิธีการและเคร่ืองมือในการวัดและ ประเมินผลใด เพ่ือใหบ้ รรลจุ ดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้นนั้ ) 5. ยืดหยุ่นและปรับเปล่ียนได้ (ในกรณีท่ีมีปัญหาเมื่อมีการนาไปใช้ หรือไม่สามารถ กาหนดการจัดการเรียนรู้ตามแผนน้ันได้ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอ่ืนได้ โดยไม่กระทบต่อการเรียน การสอนและผลการเรยี นรู้ 6. มีความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวต่างๆ และสอดคล้องกับสภาพที่ เป็นจริงท่ีผ้เู รียนดาเนนิ ชีวติ อยู่ 7. แปลความได้ตรงกนั แผนการจัดการเรียนรู้ท่ีเขียนขึ้นจะต้องสื่อความหมายได้ตรงกัน เขียนให้อ่านเข้าใจง่าย กรณีมีการสอนแทนหรือเผยแพร่ ผู้นาไปใช้สามารถเข้าใจและใช้ได้ตรงตาม จดุ ประสงค์ของผู้เขยี นแผนการจดั การเรียนรู้ 8. มีการบูรณาการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี จะสะท้อนให้เห็นการบูรณาการแบบองค์ รวมของเน้อื หาสาระความรู้และวธิ ีการจัดการเรียนรู้เขา้ ด้วยกนั

9. มีการเช่ือมโยงความรู้ไปใช้อย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นาความรู้และ ประสบการณ์เดิมมาเช่อื มโยงกับความรแู้ ละประสบการณใ์ หม่ และนาไปใช้ในชวี ิตจริงกบั การ เรยี นในเร่ืองตอ่ ไป การจัดทาแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ในการจัดทาแผนการเรียนรู้ ผู้สอนมีอิสระในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซง่ึ มหี ลากหลายรปู แบบ แตอ่ ยา่ งไรก็ตามผู้สอนควรปฏิบตั ติ ามนโยบายของโรงเรียนที่กาหนดรูปแบบไว้ว่า ให้ใช้รูปแบบใด หากโรงเรียนไม่ได้กาหนดรูปแบบไว้จึงเลือกแบบท่ีตนเองเห็นว่า สะดวกต่อการนาไปใช้ ซงึ่ สรปุ ขั้นตอนการจัดทาแผนการจดั การเรียนรู้ ไดด้ ังน้ี (เอกรินทร์ ส่ีมหาศาล. 2545 : 441) 1. เลอื กรูปแบบแผนการจดั การเรียนร้ใู ห้สอดคลอ้ งกบั สาระการเรียนรู้แผนนน้ั ๆ 2. ตง้ั ชอื่ แผนการเรียนร้ใู ห้สอดคล้องกับสาระการเรยี นร้แู ผนนนั้ ๆ 3. กาหนจานวนเวลา ระบุระดบั ชน้ั และช่วงเวลาของหลกั สตู รใหช้ ดั เจน 4. วิเคราะหจ์ ดุ ประสงค์การเรยี นรทู้ ี่สอดคล้องและครอบคลุมกบั ผลการเรียนรู้ ทคี่ าดหวังรายปี/รายภาคทีก่ าหนดไว้ ลงมือเขยี นเปน็ จดุ ประสงคก์ ารเรียนร้รู ายวชิ า 5. เลอื กจุดประสงคก์ ารเรียนรทู้ ีว่ ิเคราะหต์ ามขอ้ 4 นาเฉพาะจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ หัวข้อเรื่อง และสาระการเรียนรู้ของแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อกาหนดเป็นจุดประสงค์ปลายทางตาม ธรรมชาตวิ ชิ าของแผนน้ันๆ 6. วิเคราะห์รายละเอียดสาระการเรียนรู้ของแผนการเรียน เพ่ือนาไปจัดการเรียนรู้ตาม เน้ือหาสาระที่จาเป็นต้องสอน ให้ผู้เรียนเข้าใจ และเป็นมวลเนื้อหาที่สาคัญหรือจาเป็นต่อการเรียนรู้ตาม จดุ ประสงค์ของหลักสูตร 7. กาหนดจดุ ประสงคน์ าทางตามลาดบั ความยากง่ายของเน้ือหานน้ั ๆ 8. เลือกกิจกรรมการเรียนการสอนและเทคนิควิธีการสอนที่เหมาะสมกับเน้ือหาและ สภาพของผู้เรียน 9. เลือกส่ืออุปกรณ์การเรียนการสอนท่ีจาเป็น สาหรับใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ให้ เหมาะสมกบั สาระการเรียนรู้ที่กาหนดไวใ้ นแผน เชน่ รูปภาพ บตั รคา วดี ทิ ัศน์ 10. กาหนดขั้นตอนการจัดกิจกรรมเรียนรู้ โดยคานึงถึงข้ันตอนการเรียนการสอนตาม ธรรมชาติวิชา ตามลาดับจุดประสงค์นาทาง และควรคานึงถึงการบูรณาการเทคนิควิธีการสอน กระบวนการเรียนรู้ทั้งสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ที่สอดคล้องกัน เพ่ือเช่ือมโยงเข้าไว้ในแต่ละข้ันตอนของการ ปฏบิ ตั ิกิจกรรมการเรียนรู้ 11. กาหนดวิธีการวัดผลและประเมินผล โดยระบุเคร่ืองมือและวิธีการประเมินผลการ เรียน ท้ังที่เกิดขึ้นระหว่างเรียน ตามลาดับจุดประสงค์นาทางและที่เกิดขึ้นภายหลังการเรียนการสอน ให้ สอดคลอ้ งกับผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวงั ตามหลกั สูตร

ประสทิ ธิภาพของผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ การหาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง การนาแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ไปใช้ (Try – out) คือ นาการนาไปทดลองใช้ตามข้ันตอนท่ีกาหนดไว้แล้วนาผลมาปรับปรุงแก้ไข และทดลองใชจ้ รงิ (Trail Run) เพ่อื ใหไ้ ด้ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ทีก่ าหนด (ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ. 2521 : 143) การกาหนดเกณฑป์ ระสทิ ธภิ าพ เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ หากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพแล้ว แผนการจัดการเรียนรู้นั้น มี คุณค่าท่จี ะนาไปสอนนักเรยี นได้ การกาหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระทาได้โดยการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียน 2 ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเน่ืองและพฤติกรรมขั้นสุดท้าย โดยกาหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ซ่ึงคิดเป็นร้อยละของผลเฉล่ียของ คะแนนที่ได้ ดังน้ัน E1/ E2 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ / ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ เช่น 80/80 หมายความว่า เมื่อเรียนจากแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้วผู้เรียนสามารถทาแบบฝึกหัด หรืองาน ได้ผลเฉล่ียร้อยละ 80 และทาแบบทดสอบหลังเรียนร้อยละ 80 โดยปกติเนื้อหาท่ีเป็นความรู้ ความจา มักจะต้ังไว้ 80/80 , 85/85 หรือ 90/90 ส่วนเนื้อหาท่ีเป็นทักษะมักจะต่ากว่านี้ เช่น 75/75 การหาประสทิ ธภิ าพของผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ การหาประสทิ ธิภาพของผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง การนาแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ไปทดลองใช้ตามข้ันตอนที่กาหนดไว้ แล้วนาผลท่ีได้มาปรับปรุงเพื่อนาไปสอนจริงให้ได้ ประสทิ ธิภาพตามเกณฑก์ าหนด มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2537 : 479 - 498) ให้ความหมาย ของเกณฑป์ ระสิทธิภาพผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เกณฑ์การหาประสทิ ธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เป็นระดับท่ีจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้จะพึงพอใจหากแผนการจัดการ เรยี นรมู้ ปี ระสทิ ธิภาพถงึ ระดบั น้นั แลว้ การจัดกจิ กรรมการเรียนรนู้ ัน้ ก็จะมีคณุ คา่ ทจ่ี ะนาไปสอนนักเรยี น เกณฑ์การหาประสิทธิภาพ กาหนดเป็นเกณฑ์ท่ีผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะเปล่ียน พฤติกรรมของผู้เรียนท้ังหมด ต่อเปอร์เซ็นต์ของผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมดน้ัน คือ E1 / E2 คือประสิทธิภาพของกระบวนการ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ การกาหนดเกณฑ์ E1 / E2 ให้มีค่า เท่าใด ใหผ้ ู้สอนเปน็ ผู้พิจารณาตามความเข้าใจ การหาประสิทธภิ าพของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เมื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สูงข้ึนต้องนาไปหาประสิทธิภาพแล้วนาไปปรับปรุ ง แกไ้ ขตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ข้ัน 1:1 (แบบเด่ียว) คือ นาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับนักเรียน 6 – 10 คน คานวณหาประสิทธิภาพแลว้ ปรบั ปรงุ ให้ดขี ึ้น

2. ขน้ั 1 : 10 (แบบกลุ่ม) คือนาแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับนักเรียน 6 – 10 คน คานวณหาประสทิ ธิภาพแล้วปรับปรุงใหด้ ีข้นึ 3. ข้ัน 1 : 100 (ภาคสนามหรือกลุ่มใหญ่) คือ นาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ไปใชก้ บั นกั เรียน 30 – 100 คน คานวณหาประสทิ ธภิ าพแลว้ ปรับปรงุ ใหด้ ขี ้ึน เกณฑ์ประสิทธิภาพมีหลายเกณฑ์ เช่น 75/75, 80/80, 90/90 จากการทดลอง ผลปรากฎว่า เกณฑ์ที่เหมาะสมสาหรับวิชาท่ีให้ความรู้ความจา คือ 85 วิชาทักษะทางภาษา คอื 80 (เพยี รจติ พนั ธ์โุ อภาส. 2541 : 34) การหาประสทิ ธิภาพมขี ้นั ตอนการหาประสทิ ธภิ าพ ดงั นี้ 1. ทดลองกลุ่มทีไ่ ม่ใชต่ วั อย่าง ท้ังกับเด็กอ่อน ปานกลาง และเก่ง นาผลที่ได้คานวณหา ประสทิ ธภิ าพเสร็จแลว้ ปรับปรงุ ใหด้ ีข้ึน ปกตคิ ะแนนทีไ่ ด้จากการทดลองน้จี ะมคี ่าตา่ กว่าเกณฑ์มาก 2. ทดลองสนาม คือ ทดลองกับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง นาผลการทดลองท่ีได้ คานวณหาประสิทธภิ าพแล้วปรับปรุงใหส้ มบรู ณอ์ ีกครั้ง ผลลพั ธท์ ่ีไดค้ วรใกลเ้ คียงกับเกณฑ์ที่ต้ังไว้ หากต่า กวา่ ไม่เกนิ รอ้ ยละ 2.5 กย็ อมรับ แต่ถ้าหากต่างกันมาก ต้องปรับปรุงแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ให้ ไดป้ ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ท่ตี ้งั ไว้ตอ่ ไป งานวจิ ัยที่เกย่ี วข้อง งานวิจัยภายในประเทศ นรินทร์ กระพ้ีแดง (2542 : 63 - 82) ได้ทาการศึกษาผลของการเรียนร่วมมือโดยใช้ เทคนิคจิกซอว์ ทม่ี ีต่อทักษะการทางานร่วมกันและสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง ระบบประชาธิปไตย ใน รายวิชา ส 402 สังคมศึกษา ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จังหวัด ขอนแก่น จานวน 59 คน ผลการวิจัย พบว่านักเรียนที่ได้รับ การสอนโดยการเรียนร่วมมือโดยใช้ เทคนิคจิกซอว์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนตามปกติ อย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติท่ีระดับ .05 และนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ มีทักษะการทางาน รว่ มกนั สงู กว่านักเรยี นทีไ่ ดร้ บั การเรยี นตามปกติ อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05 ปิยะฉัตร ขาวแก้ว (2542 : 53 - 74) ได้ทาการศึกษาผลของการเรียนร่วมมือ โดยใช้ เทคนิคจิกซอว์ทีม่ ีต่อทักษะการทางานงานรว่ มกันและสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชา ส 306 ประเทศ ของเรา 4 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อาเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ผลการวจิ ยั พบว่า ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนท่ไี ดร้ ับการสอน โดยการเรยี นแบบรว่ มมอื โดยใช้ เทคนิคจิกซอว์ สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอน แบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ ทักษะการทางานร่วมกันของนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ หลังเรียนสูงกว่า กอ่ นเรียน อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 เยาวลกั ษณ์ พงศธรววิ ฒั น์ (2547 : 36 - 61) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย วิชา หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ส 021 ช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนกระเทียมวิทยา อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมอื จานวน 60 คน ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า นักเรียนทีไ่ ดร้ บั การสอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ จกิ ซอว์ มผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรียนสงู กวา่ นกั เรยี นทีไ่ ด้รบั การสอนแบบบรรยาย อยา่ งมี

นัยสาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั 0.01 อารุณี บุญยืน (2547 : 27 - 51) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบจิก ซอว์ เรื่องชมุ ชนสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ สาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ อาเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ จานวน 40 คน พบว่าแผนการจัดการ เรียนรู้แบบจิกซอว์ ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 83.58/83.50 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการ จัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์ คิดเป็นร้อยละ 77 โดยสรุปว่า แผนการเรียนรู้ที่สร้างข้ึนตามขั้นตอนอย่างมี ระบบ มีการวเิ คราะห์หลักสูตร สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวงั มกี จิ กรรมเป็นกระบวนการที่ มีขั้นตอน มีสื่อการเรียนรู้ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเน้ือหาและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์จากการ เรยี นรดู้ ว้ ยตนเองแลว้ ยงั ทาใหน้ ักเรียนเกิดความก้าวหนา้ ทางด้านการเรียนรู้เพ่ิมขน้ึ ด้วย ณรงค์ สังข์มุรินทร์ (2549 : 36 - 55) ได้ทาการวิจัยผลการจัดกิจกรรมการเรียนแบบ ร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิกซอว์ ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนวัดวิจิตรรังสรรค์ จังหวัดชัยนาท จานวน 30 คนเป็นกลุ่มทดลอง และโรงเรียนวัดท่าโบสถ์ จังหวัดชัยนาท จานวน 30 คน เป็นกลุ่ม ควบคุม ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา แ ละ วฒั นธรรม ของนกั เรียนท่เี รียนด้วยการจดั กิจกรรมการเรยี นแบบจิกซอว์ สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่าง มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และนักเรียนกลุ่มทดลองมีความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมการเรียน แบบรว่ มมือโดยใช้เทคนิค จกิ ซอว์ในระดบั มาก ปฐมพงษ์ บานฤทัย (2549 : 80 – 108) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Jigsaw) เร่ือง การเมืองการปกครองสมัยอยุธยา กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 40 คน ผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เร่ือง การเมือง การปกครองสมัยอยุธยา กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 มี ประสิทธภิ าพ เท่ากับ 93.25/91.42 สูงกว่าเกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ คือ 80/80 ค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.8884 แสดงว่านักเรยี นมีความก้าวหน้าทางการเรียนสูงข้ึนร้อยละ 88.84 มีเจตคติด้านความรักชาติ ความภูมใิ จตอ่ ชาติและการเมอื งการปกครองสมัยอยุธยาซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการศึกษาเร่ืองการเมือง การปกครองสมยั อยุธยา กลุม่ สาระสังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรมโดยรวมอยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ กมล ขวัญคุ้ม (2550 : 44 - 76) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Jigsaw) เรื่อง การเมืองการปกครองกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 42 คน ผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Jigsaw) เรื่อง การเมืองการปกครอง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.20/87.08 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ท่ีตั้งไว้ ค่าดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.8242 พฤติกรรม ประชาธปิ ไตยของนกั เรียนอยูใ่ นระดับดมี าก วีณา บุญปัทม์ (2550 : 33 – 65) ได้ศึกษาค้นคว้าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิก ซอว์ เรอื่ งพัฒนาการของอาณาจกั รสุโขทัยที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และความพึงพอใจในการเรียนรู้ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 จานวน 40 คน ผลการศึกษา ค้นคว้าพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิกซอว์ เรื่องพัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัยมี

ประสิทธิภาพเท่ากับ 85.41/89.42 และดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.7589 หมายถึง นักเรียนมี ความก้าวหน้าในการเรียนคิดเป็นร้อยละ 75.89 และนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพอใจต่อผล การเรยี นด้วยแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบจกิ ซอว์ โดยรวมและเปน็ รายด้านอยใู่ นระดับมากทีส่ ดุ งานวจิ ยั ตา่ งประเทศ ฮอลเิ ดย์ (Holliday. 1966 : abstract) ไดศ้ กึ ษาผลของการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค จิกซอว์ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และปฏิสัมพันธ์ร่วมกันที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติในโรงเรียน มัธยมศึกษาที่เรียนวิชาสังคมศึกษา ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูง มีปฎิสัมพันธ์ิทางการเรียนระหว่างกลุ่มดี ซ่ึงส่งผลถึงความสัมพันธ์ทางด้านเชื้อชาติ และ รกั เรียนมที ัศนคตทิ ี่ดตี ่อการเรยี น แมททิงลี , แวนซิคเคิล (Mattingly ; Vansickle. 1991 : abstract) ได้ทาการวิจัยการ เรียนแบบร่วมมือ(จิกซอว์ 2) และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในวิชาสังคมศึกษา โดยได้ทาการศึกษาวิจัยกับ นักเรียนระดับ 9 จานวน 2 ห้องเรียน ซ่ึงผู้วิจัยได้สุ่มนักเรียนจานวน 23 คน ให้ได้รับการสอนโดยการ เรียนแบบร่วมมือ (จิกซอว์ 2) และสุ่มนักเรียนอีก 22 คน ให้ได้รับการสอนแบบดั้งเดิม ผลการวิจัย ปรากฏว่านักเรียนท่ีเรียนแบบจิกซอว์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการสอนแบบดั้งเดิม อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 สแตพกา (Stepka. 1999 : p.109 - A) ได้ศึกษาเปรียบเทียบการใช้วิธีการเรียนแบบจิก ซอว์ กับวิธีเรียนแบบบรรยายในช้ันเรียนระดับอุดมศึกษาของวิทยาลัยชุมชนแห่งหน่ึง เพื่อศึกษาส่ิงท่ี เหมือนกันของวิธีการท้ังสองแบบ และศึกษาว่ากลุ่มใดมีผลการปฎิบัติงานท่ีดีกว่า ผลปรากฏว่านักศึกษา กลุ่มท่ีใช้วิธีการเรียนแบบจิกซอว์ มีค่าคะแนนสูงกว่ากลุ่มที่ใช้วิธีการเรียนแบบบรรยาย การประเมิน ทศั นคตเิ ป็นรายบุคคลในมติกลมุ่ พบวา่ การใชว้ ธิ ีการแบบจกิ ซอว์ มีทัศนคติเป็นไปในทางบวกมากกว่าการ ใช้วิธีการแบบบรรยาย เฉิน (Chen. 2004 : 57 - A) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการศึกษาผลกระทบของวิธีการจัดการ เรียนการสอนแบบรว่ มมือท่มี ตี ่อผลสมั ฤทธิ์ทางดา้ นวิชาการของนักเรียน ในชั้นเรียนวิชาภาษาอังกฤษเป็น ภาษาตา่ งประเทศ ในวิทยาลยั แหง่ หนงึ่ ของประเทศไต้หวัน การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอน แบบรว่ มมอื 2 แบบที่นามาใช้กับกลุ่มทดลองคือ เทคนิคจิกซอว์และเทคนิค STAD ส่วนนักศึกษาในกลุ่ม ควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างของ นักศึกษาในกลุ่มทดลองมีผลคะแนนสูงกว่ากลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาในกลุ่มควบคุม และกลุ่มตัวอย่าง ของนักศึกษาชายในกลุ่มที่ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ สามารถแสดงผลการปฏิบัติท่ีดีขึ้น มากกวา่ กล่มุ ตัวอย่างของนกั ศกึ ษาชายในกล่มุ ที่ใชว้ ธิ กี ารจัดการเรยี นการสอนแบบปกติ เวง (Wang. 2006 : abstract) ได้ศึกษาผลกระทบของการใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือ เทคนิคจิกซอว์ ท่ีมีต่อแรงจูงใจในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักศึกษาในสถาบันเทคโนโลยี Chung- Hwa Institute of Technology ประเทศไต้หวัน โดยทาการศึกษาข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างของนักศึกษา ในสาขาวิชาเอกการบริหารธุรกิจ 77 คนจานวน 2 ชั้นเรียน ช้ันเรียนหน่ึงใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือ เทคนิคจิกซอว์ อีกชนั้ เรยี นหนงึ่ ซ่งึ ใชว้ ิธีการสอนแบบเดิมตามปกติท่ัว ๆ ไป ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษา

ที่ผ่านการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือ ปรากฏผลคะแนนจากแบบทดสอบปลายภาคในระดับท่ี สูงขึ้น และผลคะแนนรวมท่ีมากกว่านักศึกษาท่ีผ่านการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบเดิมตามปกติท่ัวๆ ไป และพบวา่ กลมุ่ ตัวอย่างของนักศึกษาท่ีได้รับการจดั การเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบร่วมมือ มีเจตคติใน ด้านบวกตอ่ การเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งมีผลต่อการนาไปใช้ในการติดต่อส่ือสารกับคนที่ใช้ภาษาอังกฤษใน การพูด รวมท้ังยังมีเจตคติในด้านบวกต่อการเรียนรู้คาศัพท์ด้านการใช้เคร่ืองมือซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ มากกวา่ นกั ศึกษาที่ได้รับการจัดการเรยี นรู้โดยใชว้ ธิ ีสอนแบบเดมิ ตามปกติท่วั ๆ ไป

บทที่ 3 วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั การวิจยั ในครง้ั นเี้ ป็นการวิจัยในชัน้ เรียน 1. กลมุ่ ที่ศกึ ษา นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ ห้อง ๔ สายเกษตร ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา 25๖๒ โรงเรียน ราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ อาเภอแมแ่ จ่ม จงั หวดั เชยี งใหม่ จานวน ๑๒ คน 2. เครือ่ งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย 1) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการทดลองปฏิบัติได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ บูรณาการกลุ่มสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี (งานเกษตร) ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ ห้อง ๔ สายเกษตร เรื่อง การปลูกผักสวนครวั จานวน ๔ แผน 2) เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการสะทอ้ นผลการปฏิบตั ิ ประกอบด้วย (1) แบบประเมนิ ผลการปฏิบตั ิกจิ กรรมการทางานกล่มุ ของนกั เรยี น (2) แบบตรวจผลงานเป็นการประเมินจากสภาพจรงิ 3) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรม คือ แบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น วชิ างานเกษตร เรอ่ื งการปลกู ผกั สวนครัว 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัยเพ่ือศึกษาผลสัมฤทธิ์และทักษะกระบวนการกลุ่มโดยใช้รูปแบบการสอน แบบรู ณาการดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา 25๖๒ ดังน้ีผู้วิจัยได้นาแผนการ จัดการเรียนรู้เรื่องการปลูกผักสวนครัว โดยใช้รูปแบบการสอนแบบบูรณาการจานวน ๔ แผน แผนละ 1 ช่ัวโมง/สัปดาห์ ไปใช้สอนนักเรียนกลุ่มเป้าหมายโดยใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในแต่ละ แผนการจดั การเรยี นรู้ไดแ้ ก่แบบสงั เกตพฤตกิ รรมแบบตรวจผลงาน และเมอ่ื ดาเนนิ การสอนเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงทาการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องการปลูกผักสวนครัว จานวน 30 ข้อ 1. กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยคร้ังน้ี คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ ห้อง ๔ สายเกษตร ท่ีกาลัง ศึกษาในภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศึกษา25๖๒ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัด เชียงใหม่ สานักบริหารงานการศึก พิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐา น กระทรวงศกึ ษาธกิ าร จานวน 1๒ คน 2. ตวั แปรที่ทาการวจิ ัย ตัวแปรต้นคือรูปแบบการสอนแบบบูรณาการภายในวิชา ตัวแปรตามคือ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนและทกั ษะกระบวนการกลมุ่ 3. รูปแบบการวิจัยในการวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงทดลองรูปแบบกลุ่มเดี่ยวทดสอบหลังเรียน เปรียบเทียบคะแนนกับเกณฑ์ที่กาหนดไว้คือ 75/75

4. เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ยั ในครั้งน้ีจาแนกตามลกั ษณะการใชด้ ังนี้ 1) เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการทดลองปฏบิ ตั ิ ไดแ้ ก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ สอนแบบบูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานเกษตร) ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ ห้อง ๔ สายเกษตร เรื่องการปลูกผกั สวนครัว จานวน ๔ แผน 2) เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการสะท้อนผลการปฏิบัติ ประกอบดว้ ย (1) แบบประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรมการทางานกลุ่มของนักเรียนโดยใช้ Rubric Scoring (2) แบบตรวจผลงานเปน็ การประเมนิ จากสภาพจริงโดยใช้ Rubric Scoring 3) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรม คือ แบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน วชิ างานเกษตร เรื่องการปลูกผักสวนครัว 4. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล การวจิ ัยครั้งนี้ผวู้ จิ ัยไดน้ า ข้อมลู มาวิเคราะห์ ดงั นี้ 1. วิเคราะหข์ อ้ มลู ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการ หา ค่าเฉล่ีย (×) และค่าร้อยละ เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม และหาค่าร้อยละของจานวน นกั เรียนที่ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 2. วิเคราะห์ข้อมูลด้านทักษะกระบวนการกลุ่ม วิเคราะห์จากแบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติ กจิ กรรม และแบบตรวจผลงาน โดยนาการหาคา่ รอ้ ยละเทยี บกับ เกณฑร์ ะดบั คุณภาพ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook