Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภูมิปัญญา

ภูมิปัญญา

Published by clac dusit, 2022-02-01 02:28:06

Description: ภูมิปัญญา (จัดใหม่)

Search

Read the Text Version

ภูมิปัญญา (local wisdom) นาเสนอวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญา หรือองค์ความรู้ จากทอ้ งถน่ิ ในสาขาด้านต่าง ๆ ที่ถกู พัฒนาข้นึ มาโดยประชาชนในเมืองลาปางยุคสมัยต่าง ๆ แบ่งขอบเขตความรู้ของภมู ิปญั ญา ไว้ 8 ด้าน ประกอบดว้ ย 1) อาหารพ้ืนถิ่นและกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ 2) เครื่องนุ่งหม่ เส้อื ผา้ และการแตง่ กาย 3) ย า รั ก ษ า โ ร ค ย า ส มุ น ไ พ ร ก า ร น ว ด ตอกเส้น 4) ท่ีอยูอ่ าศัย อาคารสถานท่ี 5) ภาษา/วรรณกรรม 6) งานศิลปะ 7) เคร่อื งมือเครอ่ื งใช้ 8) ภูมปิ ญั ญาอัตลักษณพ์ ื้นที่



ภูมิปัญญา (local wisdom) ด้านอาหารพ้ื นถ่ินและกลุ่มชาติพั นธุ์ โดยนาเสนอ ความแตกต่างทางอัตลักษณ์ของอาหารพื้ นถ่ินลาปาง และอาหารพ้ื นถิ่นของแต่ละ กลมุ่ ชาติพันธ์ใุ นลาปาง ซ่งึ มีความแตกตา่ งในลักษณะสาคญั ตามปัจจัยแวดล้อมหลัก คือ สภาพทางภูมิศาสตร์และความหลากหลาย และการผสมผสานทางวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลต่อความแตกต่างทางอัตลักษณ์ของเรื่องราวหรือท่ีมาของชนิดอาหาร ประเภทอาหาร ชื่อเรียก (ภาษา) วิธีการ ส่วนประกอบ (วัตถุดิบ) เคร่ืองปรุง รสชาติ และวัฒนธรรมการรบั ประทาน



“อาหาร” ประวตั แิ ละความสาคญั ของอาหารพ้ืนถนิ่ ลาปาง อาหารพื้นถนิ่ ลาปาง มปี ระวตั ิความเปน็ มาจากหลายปัจจยั ประกอบ ไดแ้ ก่ (1) การประกอบอาหารจากวัตถุดบิ หรือทรัพยากรภายในพ้ืนท่ี ตาม ฤดูกาลภายใต้บริบททางภูมิศาสตร์ และภูมิสภาพแวดล้อม (2) การสั่งสมภูมิปัญญา และการสืบทอดจากบรรพบุรุษ (วิถีชีวิต) ท้ังส่วนผสมของ อาหาร (แกพ้ ิษ/ชรู ส) การเลอื กสรรวัตถุดิบหรอื ส่วนผสม เทคนิควธิ ีการตา่ งๆ (การประกอบ การถนอม และการปรงุ ) ดงั ท่ี อาจารยป์ ระดษิ ฐ์ สรรพ ช่าง (ตัวแทนจากสภาวฒั นธรรม) กล่าวว่า “การรับประทานพืชผกั นน้ั เป็นการรับประทานตามช่วงฤดูกาล อาหารที่เปน็ โปรตีนหลักนน้ั เราก็ได้มาจาก อาหารที่เป็นของปา่ เช่น งู หนู เต่า ไน เป็นความรู้เป็นภูมิปญั ญาของคนในอดตี ” และ (3) การผสมผสานทางวัฒนธรรมของชาตพิ ันธ์ ก่อเกิดเปน็ การผสมผสาน และเปล่ียนแปลงในเชิงต่างๆ ทางด้านวัฒนธรรมอาหาร ดังที่ ผศ.โอฬาร รัตนภักดี (ตัวแทนจากวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ศูนยล์ าปาง ) กล่าววา่ “ลาปางเปน็ เมืองที่มคี วามหลากหลายทางชาติพันธุ์ สง่ ผลให้อาหารพ้ืนถิน่ มคี วามหลากหลายตาม ไปด้วย เกิดการผสมผสานวฒั นธรรมทางอาหารให้มีความหลากหลายมากย่งิ ขนึ้ เปน็ จดุ เดน่ และเปน็ ขอ้ ดีของอาหารพื้นถ่ินลาปาง” โดยการผสมผสานดังกลา่ ว เกิดข้นึ ตัง้ แต่วัตถดุ บิ ทีใ่ ช้ (หรือส่วนประกอบ) การประกอบ(เทคนิควิธกี าร) การปรงุ (รสชาต)ิ กระทงั่ วฒั นธรรม ในการรับประทานอาหารภายใต้ค่านิยมและความเชื่อต่างๆ อาทิ อาหารที่รับประทานในชีวิตประจาวันอันมีอิทธิพลมาจากการประกอบอาชีพหลัก คือ เกษตรกรรม รวมถงึ อาหารทใ่ี ช้ในประเพณี พิธีกรรม เทศกาล หรือโอกาสสาคญั เปน็ ต้น ดังเช่นท่ี คุณสมพิศ บัวชุม (ตัวแทนจากวิทยาลัยสารพัดช่างลาปาง) กล่าวว่า “อาชีพดั้งเดิมของเราคือเกษตรกรรม วิถีชีวิตส่วนใหญจ่ ึงเกี่ยวขอ้ ง กับการเกษตรเป็นหลัก อาหารที่ทากินจึงมาจากพื้ นท่ีเกษตรกรรม (ไร่นา) เช่น การทาน้าปู (ปูนา) ท่ีใช้เป็นเคร่ืองปรุงรสชาติในอาหารนานาชนิดท รวมไปถึงพืชผักท่ขี ึ้นแซมตามทอ้ งไร่ทอ้ งนาทส่ี ามารถนามาประกอบอาหาร หรือเปน็ ผักแนม (ผกั เครือ่ งเคยี ง) ได้” อาจารย์มงคล ถูกนึก กล่าวว่า “ลาบ นับเป็นอาหารท่ีวิเศษมาก โดยนิยมทาในช่วงเวลาโอกาสพิ เศษ หรือในพิ ธีการสาคัญ ดังนั้น นานคร้ัง จงึ จะมีโอกาสได้รับประทาน เชน่ การเลี้ยงผีปู่ย่า”

อตั ลักษณ์อาหารพื้นถิ่นลาปาง อาหารพื้ นถิ่นลาปาง หนึ่งในอัตลักษณ์อาหารเหนือที่มีความงดงามทั้งในด้านรสสัมผัส (สีสันและรสชาติ) และวิถีวัฒนธรรมอันมีเสน่ห์ท่ี ซอ่ นเลน้ อยภู่ ายใน ทงั้ การสะทอ้ นถึงความอดุ มสมบูรณข์ องทรัพยากรธรรมชาติจากพื ชพรรณ สัตว์ปา่ ซึ่งเปน็ อาหารตามฤดกู าล การสะท้อนถึงภูมิ ปัญญาท้องถิ่นท่ีเกี่ยวกับอาหารจากการเกบ็ หาหรอื การเลือกใชว้ ตั ถุดบิ การประกอบอาหาร และการแสวงหาประโยชน์จากอาหาร (สรรพคุณทางยา) โดยวฒั นธรรมท่ัวไป ของอาหารพ้ืนถน่ิ ภาคเหนือ อาทิ - วฒั นธรรมการรบั ประทานขา้ วเหนยี วและการใชม้ อื “เปิบ” - วฒั นธรรมการรับประทานอาหารดิบ ประเภท ลาบ สา้ หลู้ - วัฒนธรรมการรับประทาน “กินชูรส/กลิน่ กนิ เสริม (คุณคา่ /สรรพคุณ) กนิ แก้ (พิษ/รส/กล่นิ ) กินแยก กนิ รวม” - เครือ่ งปรงุ พ้ืนฐานที่ประกอบด้วย พริก เกลอื หอมแดง และปลาร้า เป็นหลัก - ประเภทของอาหารท่ีนิยมโดยมากแบ่งตามลักษณะของการการประกอบอาหาร อาทิ แกง ยา ส้า น่งึ ลวก จอ เปน็ ตน้ โดยไม่นิยม การผัด หรือการคว่ั แบบใสน่ า้ มนั - รสชาติอาหาร ได้แก่ รสชาติไม่จัดจ้าน คือ ไม่เผ็ดมาก ไม่เค็มมาก ไม่หวาน และไม่ใส่กะทิ โดยในการปรุงรสชาติ หรือการชูรสชาติ รวมถึงการกลบรสชาติ และกลบกลนิ่ ตา่ งๆ ของอาหารนั้นจะใช้วตั ถุดิบตามธรรมชาตเิ ปน็ ตัวช่วยเสริมเตมิ แตง่ เชน่ หอมแดงให้ความหวาน เกลือให้ ความเคม็ เครือ่ งเทศกลบกลนิ่ คาวของเน้ือสัตว์ เปน็ ตน้ ดังท่ี อาจารย์มงคล ถูกนกึ กล่าวว่า “ลาบทางเหนือนน้ั จะใชเ้ คร่อื งเทศเปน็ ตวั ดับกลน่ิ คาว ส่วนลาบทางอสี านจะใชม้ ะนาวเปน็ ตัวหลักในการดบั กล่นิ คาว แตกตา่ งกนั ” - เทคนิคในการปรุงและการประกอบอาหาร เพื่อรักษารสชาติ และคณุ คา่ อาหาร เช่น ❖ การปรุงน้าพริกแดง มีส่วนประกอบหลักคือ ข่า ตะไคร้ หอม เกลือ พริก และปลาร้า การใส่ปลาร้าลงไปอย่างเดียวจะทาให้ อาจมกี ลิ่นคาว ดังนน้ั จะดับคาวดว้ ยการเตมิ กะปิลงไป ❖ แกงอ่อม จะใส้เม้ม (ม้าม) และเครื่องใน รวมทั้งมะเขือเทศ ซ่ึงเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ แต่จะไม่ใส่ตับเด็ดขาด เพราะ รสชาติของตบั จะทาให้เสียรสชาตหิ ลกั ของอาหาร

❖ ขนุน ท่ีนามาแกง และตา ควรเป็นขนุนตา่ งประเภทกัน คอื ขนุนสาหรับแกง จะใช้ขนนุ ที่มลี ักษณะเป็นแกว้ (เริ่มแก่ และมีเมด็ อ่อน ๆ เกดิ ขึ้น) สว่ นขนนุ สาหรบั ตา จะใชข้ นนุ ที่ออ่ นมากๆ ❖ ปลีกล้วยท่นี ามาทาแกง ควรใช้ปลีกล้วยแก่ และทุบให้แตกถึงเน้อื ปลดี ้านใน แลว้ จึงนามาแกะ ตอนที่จะใส่ลงในหมอ้ แกง หาก แกะปลีออกมาก่อนจะทาให้น้าแกงปลกี ล้วยกลายเปน็ สีคลา้ ดูไมน่ ่ารับประทาน ❖ การปรุงแกงแค ผักท่ีใส่ลงไปจะตบและปิด ก่อนนาไปปรุง จะไม่ใช้วิธีหั่นผัก เพราะจะทาให้รสชาติของผกั ไม่ออกมาเท่าทีค่ วร และควรใส่ดอกงว้ิ กอ่ น ตามด้วยเห็ดลม ให้พอเป่ ือย แล้วจึงใส่ผกั สุกง่ายชนิดอ่นื ๆ นอกจากน้ีแกงแคยังนิยมใส่เกลอื และ เสนห่ ์อยู่ทหี่ อมแย่ ❖ “แกงปลา ใส่ขมิ้น แกงจิ้น ใส่จั๊กไค” เป็นคากล่าวของคนโบราณ และเป็นภูมิปัญญาสาหรับการประกอบหารพ้ื นถิ่นได้เป็น อย่างดี เพราะปลามีกลิ่นคาว ใส่ขม้ินเพื่อดับความคาว และจ้ิน (เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู หรือไก่) จะต้องดับความคาว ดว้ ยตะไคร้ ❖ การตาพริกแกง หรือน้าพริกแกง ควรใส่วัตถุดิบท่ีแข็งก่อน เช่น เกลือ และกระเทียมก่อน หอมแดงจะตาทีหลัง เพราะน้า เยอะ และแหลกง่ายกวา่ เป็นตน้ ❖ เทคนิคการหุงข้าวเหนยี ว จะตอ้ มกี ารเก็บนา้ ซาวข้าวไวเ้ พ่ือนาไปแช่กบั ข้าวเหนียวไว้คา้ งคืน ซง่ึ นา้ ซาวข้างนจ้ี ะเปน็ ยีสต์ท่ีดี ที่ จะทาปฏบฺ ิรยิ ากบั ขา้ ว ทาใหข้ ้างทีน่ ึง่ นั้นสกุ และนุม่ ❖ เทคนคิ การแกง “แกงเนอ้ื ใส่น้ามาก แกงผักใสน่ า้ น้อย” ทั้งนี้ ความแตกต่างทางอัตลกั ษณ์ของอาหารพ้ืนถ่ินลาปางแบ่งออกเป็นลกั ษณะสาคัญตามปัจจัย แวดล้อมหลัก คือ สภาพทางภมู ศิ าสตร์ และความหลากหลายและการผสมผสานทางวัฒนธรรม ซ่ึงส่งผลต่อความแตกต่างอันเป็นอัตลักษณ์ทั้งในเรื่องของ เร่ืองราวหรือที่มาของชนิด อาหาร ประเภทอาหาร ช่ือเรียก (ภาษา) วิธีการ ส่วนประกอบอาหาร (วัตถุดิบพื้นบ้าน) เครื่องปรุง รสชาติอาหาร และวัฒนธรรมการรับประทานทมี่ ี รูปแบบเฉพาะ



ประเภทและชนดิ ของอาหารพ้ืนถน่ิ ลาปาง จากการการจัดทาองค์ความรู้อาหารพื้ นถ่ินลาปางสามารถแบ่งอาหารพื้ นถ่ินลาปางออกเป็น 6 ประเภทคือ อาหารประเภทแกง อาหาร ประเภทต้ม อาหารประเภทน้าพริกและผกั กับ อาหารประเภทตา ยา ลาบ สา้ อาหารประเภท ป้ ิง แหนบ จี้ หมก น่ึง ลาม และอาหารประเภทพิเศษ

1. อาหารประเภทแกง อาหารประเภทแกงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื แกงเนอ้ื กับแกงผกั โดยแกงเน้ือจะมี 2 ลกั ษณะคอื อบกับอ่อม อบเนื้อ เป็นแกงเนอ้ื ท่ีใช้เนอื้ ชนิ้ ใหญ่ ใช้เวลาอบนานและนา้ ขลุกขลกิ (ในพ้ืนทจี่ ังหวดั ลาปางนิยมอบไก)่ และอ่อมเนอื้ เปน็ แกงเนือ้ ท่ใี ชเ้ นื้อชนิ้ เล็ก ใช้เวลาอ่อม จนเนอ้ื เป่ อื ย มลี ักษณะคลา้ ยแกงพรกิ ของภาคของภาคใต้แต่ตา่ งตรงท่ีนา้ พริกและวธิ กี าร (ในพื้นที่จงั หวดั ลาปางนิยมออ่ มหมู กับอ่อมเนื้อวัว) ส่วน แกงผักแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือแกงแบบค่ัวน้าพริกกับไม่คั่วน้าพริก แกงค่ัวส่วนใหญ่จะเป็นแกงผักท่ีใส่เนื้อ เช่นไก่ หมู เน้ือวัว กบ เขียด หรือ อื่นๆที่มีลักษณะเดียวกัน โดยจะต้องคั่วน้าพริกกับเน้ือก่อนจนหอมแล้วค่อยใส่น้า พอน้าเดือดก็ตามดว้ ยผัก และแกงค่ัวจะมีท้ังคั่วแห้ง เช่น ค่ัวแค อัดกบ อัดเขียด ค่ัวใส่น้า เช่น แกงผักกาดใส่ไก่ แกงฝักเขียวใส่ไก่ แกงท่ีไม่ค่ัวน้าพริกส่วนใหญ่จะเป็นแกงท่ีใส่ปลาสดหรือปลาแห้ง หรือเป็นแกง เฉพาะผักที่เรียกว่า (แกงล้วง) หรือแกงผักบางประเภทก็จะใส่ถั่วเน่าเพ่ือปรุงรส แกงผักแบบไม่ค่ัวยังแบ่งอออกเป็นแกงท่ีใช้พริกแห้ง กับพริกสด และเปน็ แกงแบบใส่ส้มมีลักษณะเหมือนแกงส้มของภาคอืน่ ๆ แตต่ ่างตรงที่บางแกงจะใช้สม้ มะกรูดซง่ึ เปน็ ลักษณะเฉพาะของอาหารลาปาง บางพื้นท่ี มีผักท่มี รี สส้มแกงโดยไม่ตอ้ งใสส่ ม้ เช่น ผกั บ้งุ สม้ ส่วนแกงผกั ไมใ่ ส่สม้ มลี ักษณะเหมอื นแกงเลียงของภาคอน่ื

2. อาหารประเภทตม้ อาหารประเภทตม้ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภทคือ ต้มเน้ือกับตม้ ผัก โดยต้มเนอื้ จะมี 2 ลักษณะคือ ต้มส้มกับต้มขม ต้มส้ม มีลักษณะคล้ายต้มยาน้าใสของภาคกลาง แต่เสน่ห์ของต้มส้มอยู่ท่ีเคร่ืองปรุงรสส้มมีหลากหลายเช่น ส้มป่อย(ปลา ขาหมู) ยอดมะขามอ่อน (ต้มส้ม กบ อ่ึง) ส้มใบเม่า (ใส่แกงเห็ดถอบ) ส้มอ่อบ (ใส่ต้มปลา) ต้มขมส่วนใหญ่เป็นต้มเน้ือวัว โดยรสขมเกิดจากการใส่ดี หรือเพลี้ย เจ๋ียวมีลักษณะ คล้ายต้มจดื ของภาคกลาง เช่น เจี๋ยวใข่ เจ๋ียวปลา เจีย๋ วใขม่ ดแดง สว่ นต้มผักมี 2 ลักษณะคือการเจ๋ียว กบั จอ เป็นการต้มผักแบบใส่ส้มมีทั้งแบบ ใส่เนื้อและไมใ่ ส่เน้ือต้องทานกบั นา้ พรกิ

3. อาหารประเภทน้าพริกและผกั กบั (เคร่ืองเคียง) อาหารประเภทน้าพริกและผักกับแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ น้าพริกธรรมดา น้าพริกที่มี ส่วนผสมของเน้ือ น้าพริกทีมีส่วนผสมผัก ผลไม้ และน้าพริกทั้ง 3 ประเภทนั้นมีทั้งทาจากพริกแห้ง และพริกสด และผักกับที่นามาทานกับน้าพรกิ มี ทงั้ เนอ้ื และผัก ทง้ั ทานสดและผา่ นกรรมวธิ ีในการประกอบอาหารหลายรปู แบบ เช่น ลวก ต้ม ต้มเค็ม จอ นึ่ง ดอง ป้ ิง จ้ี ซึ่งนา้ พริกแตล่ ะประเภทจะมี ผักกับที่มลี กั ษณะเฉพาะแตกตา่ งกันไป

4. อาหารประเภทตา ยา ลาบ ส้า อาหารประเภทตา ยา ลาบ ส้า แบง่ ออกเปน็ 4 ประเภทคอื อาหารประเภทตา เป็นการประกอบอาหารท่มี กี าร ตาเคร่ืองก่อน แล้วนาเนื้อหรือผัก ผลไม้ที่ต้องการลงไปตาด้วย เนื้อผักผลไม้ท่ีนาไปตามีท้ังแบบสด หรือผ่านกรรมวิธีการประกอบอาหารเช่น ต้ม เผ่า จ้ี ข้ึนอยู่ท่ีชนิดอาหารที่ประกอบ เช่น ตาขนุน ตามะเขือ ตากุ้ง ตาเนื้อ ตามดแดง อาหารประเภทยาเป็นอาหารท่ีมีลักษณะเฉพาะท่ีแตกต่างจาก ยาของภาคอื่น ยาทางเหนือเป็นการประกอบอาหารท่ีมีการตาเคร่ืองพริกก่อน และนาเน้ือหรือผักมาผสมกับน้าพริก เนื้อผักที่นาไปยามีท้ังแบบสด หรือผา่ นกรรมวิธีการประกอบอาหารส่วนใหญ่จะเป็นการต้ม เช่น ยาไก่ ยาเนอื้ ยาหนัง อาหารประเภทลาบ เป็นอาหารขนึ้ ชือ่ ของภาคเหนอื และพ้ื นถิ่น ลาปาง โดยกรรมวิธีการทาต้องตาเครื่องพริกก่อน และนาเน้ือดิบมาลาบ(สับ)ให้ละเอียด แล้วนาท้ัง 2 ส่วนมาคน(ผสม)ให้เข้ากัน ส่วนใหญ่นิยมทาน ดิบ หรอื นาไปคั่วใหส้ ุก ลาบสว่ นใหญ่ทาจากเน้ือ เชน่ ลาบหมู ลาบววั ลาบไก่ ลาบปลา อาหารประเภทสา้ เป็นอาหารทมี่ ลี ักษณะคลา้ ยยาหรอื พลา่ ของ ภาคกลาง มที ้งั ส้าเนื้อและสา้ ผัก

5. อาหารประเภท ป้ ิง แหนบ จี่ หมก นึ่ง หลาม อาหารประเภท ป้ ิง แหนบ จี่ หมก นึ่ง หลาม แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ ป้ ิง กับ แหนบ คือเป็นการประกอบอาหารคลา้ ยการย่างของภาคกลาง (ถา้ เป็นยา่ งของทางภาคเหนอื เปน็ ลกั ษณะการถนอมอาหารเปน็ ลกั ษณะการรมควันของภาค กลาง) ส่วนแหนบจะต้องนาส่ิงท่ีจะทาอาหารมาห่อดว้ ยใบตองก่อนแลว้ ค่อยนาไปย่าง จ่ี กับหมก เป็นการนาอาหารท่ีจะนาไปประกอบวางลงในถ่าน ไฟโดยตรง ส่วนหมกต้องห่อใบตองก่อน นงึ่ เป็นการประกอบอาหารที่เป็นลกั ษณะเดยี วกนั กบั ภาคอื่นๆ มีทง้ั นึ่งเน้ือและน่ึงผกั แต่อาหารประเภทน่ึง ภาคเหนือส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องเคียงของน้าพริก อาหารประเภทลามเป็นการประกอบอาหารที่นาอาหารใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ แล้วนามาเผาด้วย ความรอ้ น 6. อาหารประเภทพิเศษ เป็นอาหารท่ีมีกรรมวิธีการประกอบอาหารท่ีมีลักษณะเฉพาะที่ไม่สามารถแบ่งได้ตาม 5 ประเภทข้างต้น เช่น ไส้อั่ว ห่อนง่ึ แกงกระดา้ ง แกงฮงั เล แกงโฮะ๊ ขนมเสน้ (ขนมจนี ) ข้าวกั่นจ้นิ ปา่ มใข่

ภูมิปัญญา (local wisdom) ด้านเครื่องนุ่งห่ม เส้ือผ้า และการแต่งกาย เสื้อผ้า เป็นหน่ึงในปัจจัยสี่ที่จาเป็น ต่อการดารงชีพของมนุษย์ มนุษย์ทอผ้าเพื่อที่จะนามาประดิษฐ์ตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม ป้องกันอันตรายและให้ความ อบอุ่นแก่ร่างกาย นอกจากนี้ แต่ละกลุ่มชนยังทอผ้าและตัดเย็บเครื่องแต่งกายท่ีแสดงออกถึงตัวตนของแต่ละกลุ่ม ชน จนเกิดเป็นเอกลกั ษณ์ชนชาติพันธุ์ต่างๆ ทง้ั ไทยวน ไทลอ้ื กล่มุ ชาวไทยภเู ขา ม้ง เมยี่ น กะเหร่ียง ลวั ะ ในสังคมภาคเหนือ งานทอผ้าเป็นงานของผู้หญิง เป็นคุณสมบัติสาคัญท่ีพึ งมีสาหรับผู้หญิงในสมัยอดีต ผู้หญิงจึงทอผ้าเพ่ื อแสดงออกถึงวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต ความเชื่อผ่านทางลวดลายของผืนผ้าและเคร่ือง แต่งกายของสตรีและชาติพั นธุ์ของตนเอง ซึ่งการเปล่ียนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจ ก็ได้ส่งผลให้วัฒนธรรม การแตง่ กายมกี ารเคล่อื นตัวเปลยี่ นแปลงตามไป ดังนั้น ในส่วนน้ี จึงเป็นการนาเสนอเก่ียวกับ ลักษณะเคร่ืองนุ่งห่ม ลวดลายของเส้ือผ้า และรูปแบบการแต่ง กายของชาวเมืองลาปางนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตามพั ฒนาการและอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ได้รับเข้ามา สอดคล้องกับการเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ สงั คม วัฒนธรรม ภายใตภ้ ูมหิ ลงั และภมู ิเมอื งทแ่ี ปรผนั ไป



ฃ “ผ้า” ▪ อัตลักษณ์แห่งผา้ : เส้นสาย ลวดลาย และการถกั ทอ งานเย็บปักถักร้อย (Embroidery)1 หรืองานศิลปหัตถกรรมประเภทงานถักทอ และงานเย็บปักถักร้อยมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตชาวล้านนาแต่กำเนิด อาทิ เมาะสำหรบั เด็กอ่อน สะลีหรอื ฟกู หมอนหนุนศรีษะที่ทำใช้กันเองในครวั เรือน โดยเอกลักษณ์เครื่องนอนล้านนามีการประดบั ตกต่างด้วยการปักหรือทอผ้าหน้าหมอน การทอผ้าหลบหรอื ผา้ ปูสะลีไว้ใช้เอง ทำให้เกิดลวดลายทแ่ี ตกตา่ งกันไปตามการสร้างสรรคข์ องผู้ทอ และเปน็ เอกลกั ษณข์ องชนแตล่ ะกล่มุ หรอื ในส่วนผลงานที่สร้างขึ้นด้วย ความศรัทธาและความเช่ือ เปน็ การถักทอด้วยเทคนิคการเยบ็ ปักถักร้อยทเ่ี พิ่มวัสดุมีค่า เชน่ ดิ้นเงนิ ด้นิ ทอง เสน้ ไหม ตลอดจนวสั ดุอนั มีค่าที่ผู้มจี ิตรศรัทธาทางพุทธศาสนา ไดใ้ ช้สร้างผลงานเพื่อถวายแก่พทุ ธศาสนา เชน่ ผ้าหอ่ คัมภีร์ใบลาน เปน็ ต้น “ผา้ ซ่ินล่มุ น้ำปงิ และวัง” โดย ผศ.เธยี รชาย อักษรดิษฐ์ จากภาควิชาศลิ ปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ ผู้ทรงคณุ วุฒิดา้ นผา้ ทอล้านนา ❖ เสน้ ใยและการถกั ทอ ภาคเหนือของประเทศไทย เป็นดินแดนประวัติศาสตร์ มีความเป็นมาอย่างยาวนานจากอดีตจนถึงปัจจุบัน จึงส่งผลให้ก่อเกิดศิลปวัฒนธรรม ประเพ ณี ตลอดจนวิถีชีวิตอย่างหลากหลาย วัฒนธรรมการทอผ้าเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ที่ถูกสืบทอดจา กรุ่นสู่รุ่นจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามาแทนที่ การทอผ้าจึงค่อย ๆ เลือนหายไปจากสังคมภาคเหนือ แต่ยังพอพบหลงเหลืออยู่บ้างตามชนบทห่างไกล ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามี ความพยายามในการศึกษาค้นคว้าและฟื้นฟูการทอผ้าพื้นเมืองในภาคเหนือขึ้นมาตามกระแส การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมชาติ จากการเป็นหัตกรรมใน ครัวเรือน สู่การยก ย่องใหเ้ ปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ การอนรุ ักษแ์ ละสืบสานงานผ้าทอพื้นถ่นิ นอกจากจะเปน็ การรักษามรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของชาติแลว้ ยังสามารถต่อยอด และพัฒนาไปสกู่ ารส่งเสริมอาชพี สร้างงานสรา้ งรายได้ ท่ามกลางสังคมเทคโนโลยสี มยั ใหม่ ท่ีโหยหาและต้องการรากเหงา้ และวฒั นธรรมดง้ั เดิม ข้อมูลพน้ื ฐานการทอพ้นื เมอื งในภาคเหนือ พอจะแบง่ เปน็ หมวดหมไู่ ดพ้ อสังเขป ดังนี้ 1 สวุ ิภา จำปาวลั ย.์ 2557. ล้านนาคดศี ึกษา: อาหารในวถิ ลี า้ นนา. โครงการลา้ นนาคดศี ึกษามหาวทิ ยาลัยเชียงใหม.่ เชียงใหม่: สเุ ทพการพิมพ์.

ฃ 1. เส้นใย เส้นใยที่นำมาทอผ้าในภาคเหนือมีความหลากหลาย จากอดีตที่ทอผ้าจากเส้นใยธรรมชาติจากวัสดุในท้องถิ่น เส้นใยที่ใช้เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ การติดต่อและค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า นำมาซึ่งเส้นใยจากต่างถิ่น จนมาถึงการใช้เส้นใยสมัยใหม่ที่สังเคราะห์ขึน้ ตามยุคสมัย และค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไป เกิดเป็นความ หลากหลายของผา้ ทอทต่ี อบสนองความตอ้ งการของผบู้ ริโภคในปจั จุบนั 1) เสน้ ใยพืช ฝา้ ย (Cotton) ฝ้ายเปน็ พืชล้มลุก ตระกลู เดียวกับกระเจีย๊ บ ดอกฝ้ายเม่อื แกจ่ ะให้เสน้ ใย นำมาทอผ้าได้ ฝ้ายเปน็ เสน้ ใยพืน้ ฐานในการทอผ้าของภาคเหนือ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศเหมาะสม สามารถปลูกและผลิตฝ้ายเองได้ จากคุณสมบัติของฝ้ายที่ซับและระบายความร้อนได้ดี จึงเหมาะส มกับวิถีชีวิตความ เปน็ อยขู่ องผู้ตนในเขตภูมิอากาศรอ้ นช้ืน ฝ้ายใหเ้ สน้ ใยสขี าวนวล นำไปฟอกย้อมสีได้ตามต้องการ นอกจากสขี าวแล้วยังมีฝา้ ยพันธเ์ุ ส้นสีนำ้ ตาลอ่อน เรียกว่า ฝ้ายตนุ่ หรือ ฝา้ ยตุ่ย(น่าน,แพร่) และ ในปัจจบุ นั มกี ารพฒั นาฝา้ ยพนั ธเ์ุ ส้นใยสขี าวอีกดว้ ย ผ้าฝ้าย ถือเป็นเอกลักษณ์ของผ้าภาคเหนือ เกือบทุกกลุ่มชาติพันธ์ุในภาคเหนอื ทอผ้าฝ้ายเป็นหลัก ทั้งคนไทยวน ไทลื้อ ลัวะ กะเหรี่ยง แม้ว่าใน ปัจจุบัน การปลูกฝ้ายแลว้ นำมาทอผ่าจะลดน้อยลง ถูกแทนที่ดว้ ยเสน้ ฝ้ายจากโรงงาน เนอ่ื งจากมคี วามสะดวกรวดเร็วและทันตอ่ ความตอ้ งการ กญั ชง (Hemp) เป็นไมล้ ม้ ลุกมีลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์คล้ายกญั ชา แตกต่างกัน คือต่อมน้ำมนั ของกญั ชงมีน้อยกว่า จดั อยู่ในพืชซงึ่ ใหป้ ระโยชน์หลกั ทางดา้ นส่งิ ทอเป็นสำคัญ ชาวมง้ เรียกใยกญั ชาว่า ม่าง นำมาทอผา้ เปน็ เครือ่ งนุง่ ห่มและใช้ในพธิ ๊กรรม ปจั จบุ นั มกี ารพัฒนาผ้าทอจากใยกญั ชงใหม้ ีคุณภาพมากข้นึ เพ่ือตอบรับความ ตอ้ งการของสงิ่ ทอจากเส้นใยธรรมชาติสำหรบั ตลาดในระดบั สากล 2) เสน้ ใยสตั ว์ ไหม (Silk) เส้นใยจากดักแด้ผีเสื้อชนิดหนึง่ ให้เส้นใยที่เล็กละเอียด มันวาวสวยงาม กลุ่มชนในภาคเหนือไม่นยิ มเลีย้ งไหม แต่มีการใช้เส้นไหมถักท อเป็น เครื่องแต่งกายของชนชั้นสูงมาแต่โบราณ เส้นไหมที่ใชท้ อผา้ ในอดีตนัน้ นำเขา้ มาจากจีนและพมา่ โดยผ่านเส้นทางการค้าโบราณ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมท่ี จังหวัดลำพูนและอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ จึงนำเข้าเส้นไหมมาจากภาคอีสานแทนที่ไหมจากจีนและพม่า เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าไ หมสันกำแพง และผ้ายกไหม ลำพนู ขนแกะ (Wool) ขนแกะ เป็นเสน้ ใยทีน่ ิยมในเขตพ้นื ทภี่ มู ิอากาศหนาวเย็น ใหค้ วามอบอุ่นแกร่ า่ งกาย ในภาคเหนือมีการเลย้ี งแกะและทอผ้าขนแกะ บ้าน ห้วยหอม อำเภอแม่ลาน้อย จงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน ในครงั้ น้ัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถในรัชกาลท่ี ๙ เสด็จฯ เย่ียมประชาชนท่บี า้ นห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน ทรงมพี ระราชดำริสง่ เสริมให้ชาวบา้ นกะเหรี่ยง มีอาชีพเสรมิ คือ “การทำผ้าทอขนแกะ” ทรงพระราชทานให้ความช่วยเหลือด้านการปรับปรุงพันธุ์ โดย

ฃ ทรงโปรดฯ ให้เจ้าหนา้ ที่นำพันธุ์แกะจากตา่ งประเทศ มาทำการผสมพันธุแ์ กะพืน้ เมือง จนได้แกะลูกพันธ์ุตัดขน ทอผ้าโดยใช้กีเ่ อวโบราณดั้งเดิม ผลติ ภณั ฑท์ ่ไี ด้จากการทอก็ มดี ว้ ยกันหลายอย่าง เชน่ ผา้ พันคอ ผ้าคลุมไหล่ ยา่ ม ผา้ ตัดเส้อื ผา้ คลมุ โตะ๊ ฯลฯ เสน้ ใยสงั เคราะห์ (Man-made fiber) เกดิ จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากผลิตภัณฑป์ ริโตเลยี ม เกดิ เป็นเส้นใยสงเคราะห์ทส่ี ามารถผลิตได้ จำนวนมากและมคี ุณภาพและมคี ุณสมบตั ทิ ี่หลากหลาย ตอบสนองความของผูบ้ รโิ ภคในสงั คมสมยั ใหม่ เส้นใยสังเคราะห์แบ่งออกได้ เป็น ๓ กลุ่ม ที่มีคุณสมบัติของเส้นใยแตกต่างกนั ออกไปคือ อะคริลิค (Acrylic), โพลีเอสเตอร์(Polyester), เรยอน(Rayon) มีชอื่ เรยี กเส้นใยสังเคราะหเ์ หลา่ น้ตี ามความคนุ้ เคยของผู้จำหน่ายและช่างทอผ้าโดยท่ัวไป เชน่ ด้ายโทเร ไหมประดษิ ฐ์ ไหมพรม ไหมเรยอน เปน็ ตน้ ไหมทอง(Gold thread) (ไหมเงิน, ไหมมคำ) เป็นเส้นใยที่มีค่าและมีความงาม เป็นของนำเข้ามาจากประเทศอินเดียและจนี ทำมาจากโลหะมีค่า เช่น ทองคำ เงินหรือโลหะอน่ื นำมาดึงหรือตีแผใ่ หไ้ ด้เส้นบาง แล้วนำไปปน่ั หรอื พนั กับแกนเสน้ ด้าย ไหมเงิน ไหมคำนำมาทอผ้าเพ่ือเคร่ืองแตง่ กายของเจา้ นายและชนชน้ั สูง เพื่อ แสดงถงึ สถานะภาพของผสู้ วมใส่ 2. สีย้อม ในสังคมดั้งเดิม ผ้าทอล้วนแต่ย้อมสีจากสีที่ได้จากธรรมชาติ ส่งนใหญ่ได้จากพรรณพืชที่ให้สี เช่น คราม มะเกลือ เป็นต้น ส่วนสีย้อมที่ ได้จาก สตั วค์ ือ คร่งั (Lac) ซ่ึงเป็นแมลงจำพวกเพลยี้ ทข่ี ับสารเหมือนยางไม้ออกมา ซงึ่ นำมายอ้ มผา้ การย้อมสีจากธรรมชาติมีกระบวนการย้อมหลากหลายวธิ ี ท้งั ใชค้ วามร้อน (ย้อม ร้อน) และไมใ่ ช้ความรอ้ น(ยอ้ มเยน็ ) การหมกั การย้อมซำ้ การเพ่มิ กรด ด่าง เพ่อื ให้เกดิ สีตามที่ตอ้ งการ ตวั อยา่ งพรรณพืชท่ีใช้เป็นสีย้อมธรรมชาติ สแี ดง : ครงั่ ,ไม้ฝาง,คำเงาะ,คำแสด สีเหลือง : ขนนุ ,มะม่วง,หกู วาง.ประโหด,สะเดา สีนำ้ เงิน : คราม,หอ้ ม สนี ำ้ ตาล,ดำ : มะเกลือ,ประด่,ู ยอป่า สีเขียว : สาบเสือ,เพกา,ขี้เหลก็ ,ต้ิว 3. อปุ กรณ์ทอผา้ อุปกรณท์ ี่สำคญั คอื ก่ี และหกู นอกจากนย้ี ังมีอุปกรณ์ประกอบขน้ั ตอนการเตรียมเสน้ ใยเพื่อทอผา้ อีกหลายหลาก กี่,หูก (Loom) เป็นเครื่องที่ประกอบขึ้นจากโครงสร้างหลายส่วนเพื่อให้ขึงเส้นยืนแล้วทอเส้นพุ่ง ขัดกันออกมาเป็นผืนผ้า ในภาคเหนือพบกี่ทอผ้าแบ่ง ออกเปน็ ๓ แบบ คอื กี่แบบพื้นบ้านแบบดั้งเดิม (Loom) เป็นโครงสร้างไม้ทรงกล่องสี่เหลี่ยม ผู้ทอจะนั่งหย่อนเท้าบนแผ่นไม้ ใช้มือพุ่งกระสวย แล้วทอด้วยมือทุกขั้นตอน พบในกลมุ่ ชาวพ้ืนเมืองโดยท่วั ไป ไทยวน ล้ือ ยอง ลาว กี่กระตุก เป็นกี่ทอผ้าที่พัฒนาจากแบบดั้งเดิม โดยมีกลไกเป็นสายกระตุกเพื่อให้กระสวยพุ่งไปได้เองเป็นการทุ่นแรงและย่นระยะเวลาในการทอผ้า ในประเทศไทยมกี ารใช้กก่ี ระตกุ ซ่งึ เป็นผลพวงจากการสง่ เสริมให้มกี ารผลติ ผ้าใช้เองในชว่ ง พ.ศ.๒๔๘๐ เปน็ ตน้ มา

ฃ ก่เี อว (Backstrap loom) เปน็ กี่ทีม่ ีโครงสรา้ งไม้ มีเพียงอปุ กรณ์ดึงขงึ เส้นยนื โดยอ้อมดา้ นหลังเอวขอผู้ทอ ไปมดั ขึงกับหลักที่อยู่ด้านหน้า ขณะทอผู้ทอ ต้องน่ังแลว้ เหยียดเทา้ ไปดา้ นหนา้ แลว้ ดันตวั ทิ้งนำ้ หนกั ไปดา้ นหลังเพ่ือดึงเส้นผนื ให้ขงึ ตรง ก่เี อวสามารถเคล่อื นยา้ ยไปท่ีต่าง ๆ ได้งา่ ย ข้อจำกดั คือ ทอผา้ ได้หน้าแคบ ก่ีเอว พบในกลุ่มชาตพิ นั ธุ์ ลัวะ กะเหรี่ยง 4. อุปกรณส์ ำหรับเตรียมเสน้ ฝ้าย หบี ฝา้ ย,อดี ฝา้ ย เปน็ อุปกรณแ์ ยกเมล็ดออกจากปุยฝา้ ย อว้ิ ฝา้ ย กเ็ รยี ก จ่าลุ้น,ซ้าลุ่น และก๋งยิงฝ้าย เป็นภาชนะจักสานคล้ายกระบุง นำเอาดอกฝ้ายที่อีดเอาเมล็ดออกแล้วมาตีให้ขึ้นฟู(ยิงฝ้าย) ด้วย ก๋ง หรือคันธนู ภายใน กระบุง เพอ่ื ใหไ้ ด้ฝา้ ยเน้ือละเอียดเนยี นเป็นเนอ้ื เดยี วกัน แปน้ ล้อฝ้าย,ไม้ลอ้ นำฝา้ ยทตี่ ีขึน้ ฟู มาแผบ่ นแผน่ ไม้ ใช้แกนไม(้ ไมล้ ้อ) วางตรงกลาง แล้วใชฝ้ า่ มือคลึงฝา้ ยใหเ้ ปน็ หลอดดงึ แกนไม้ออก ไดฝ้ ้ายออก ได้ฝ้าย เป็นตว้ิ หรือ หาง เผยี่ น,หลา เป็นการนำติ้วฝ้ายหรอื หางฝ้ายมาป่นั เปน็ เส้นด้ายด้วยแกนเหล็ก แล้วหมุนกงล้อดึงฝ้ายออกเป็นเส้นขนาดเล็กลง เส้นฝ้ายจะถูกกรอเข้าจนเต็ม เหลก็ ในที่ปั่น เปยี ขอ เปน็ อปุ กรณ์แกนไม้รปู ตัวที ปิดหวั ทา้ ยไขว้กนั นำเส้นฝา้ ยท่ปี ัน่ แล้วออกมาจากแกนเหล็กป่ันฝา้ ยมาเปยี จนหมด ถอดเส้นฝ้ายออกจากเปีย ได้เส้น ฝา้ ย ๑ กลุ่มหรอื ๑ ไจ นำไปฟอกย้อมกหรอื ลงชบุ นำ้ ข้าว เพื่อรอขัน้ ตอนตอ่ ไป การเตรียมฝ้านเสน้ ยดื (Warp) หลงั จากเตรยี มฝา้ ยโดยการยอ้ มสี หรือนำไปชบุ นำ้ ข้าวและตากใหแ้ ห้งแลว้ เสน้ ฝ้ายท่จี ะใช้เปน็ เส้นดา้ ยยนื จะต้องนำมา พักดา้ ยโดยใช้อปุ กรณ์ ๓ อยา่ งคอื มะกวกั ทำจากไมไ้ ผ่สานคล้ายชะลอมทรงสูงขนาดเล็ก สว่ นขอบปากจะสานให้บานออกเล็กน้อย หางเห็นทำจากไม้เนอ้ื แขง็ รูปทรงคลา้ ยเกา้ อ้ีเต้ียสามขา มีทอ่ นไม้เลก็ กลมยาวย่ืนออกไปคล้ายหาง สำหรบั ไว้เสยี บมะกวกั ระวิง,โกง้ กว้าน เป็นกงล้อ ส่วนเสาหลักทำจากไมเ้ นื้อแขง็ มีไม้ไผเ่ ป็นคาน เสยี บไม้ไผท่ ่ีไขวก้ ันเป็น ๖ แฉก ฟากละอนั โยงตอ่ กันดว้ ยเส้นเชือก เอาไจฝ้าย คล้องในระวิงหรือโก้งกว้าน แล้วดึงมาเส้นฝ้ายพันใส่มะกวักหรือมะกวักเสียบอยู่กับหางเห็น จนได้เส้นฝ้ายตามปริมาณที่ต้องการ แล้วนำมะกวักที่มีเส้นไปโยงเข้าหลั กไม้ เรียก หลกั โวน้ ทำการโวน้ เครือ คือการจดั เรยี งด้ายเส้นยนื พร้อมที่จะนำไป สบื หกู โดยการสอดเส้นฝา้ ยผ่านรูฟมื เพ่อื รอดำเนินการทอผ้าต่อไป การเตรียมด้ายเส้นพุ่ง (weft) หลังจากเตรียมเส้นฝ้ายเป็นไจแล้ว นำมาเข้าระวิงหรือโก้งกว้านดึงส้นด้ายมาพันกับแกนหลอดที่เสียบไว้ที่เหล็กปั่นฝ้าย ของเผี่ยน แลว้ ใช้มอื ดึงเอาเส้นฝา้ ยจากโกงกว้าน เข้าสู่หลอดฝ้ายเรียกวา่ การผดั หลอด หลอดฝา้ ยทำจากไม้ไผ่ปล้องเล็กหรือต้นผักกาดทแ่ี ห้งแลว้ เพือ่ นำไปใส่ในกระสวยทอ ผ้า จะนำไปข้ันตอนการทอในลำดับตอ่ ไป

ฃ 5. เทคนิคการทอผ้าและตกแต่งผา้ ผา้ พืน้ (Plain weaving) เปน็ การทอผ้าแบบพนื้ ฐาน ดว้ ยเทคนคิ ขัดสานธรรมดา ไม่มลี วดลาย มสี เี ดียวกันตลอดผืน ลายริ้ว (Stripe) เป็นการทอสลับสเี ป็นลายทาง ลายร้วิ เกดิ ไดจ้ ากการจัดเรยี งสีเสน้ ยนื ไว้ หรือเกดิ จากการพ่งุ เส้นพุ่งดา้ ยสลบั สเี ป็นลาย ตาราง (Checker,Tartan) เป็นการทำลายรว้ิ โดยจดั เรยี งเส้นยนื เปน็ ลายริว้ รอไว้ แลว้ พุง่ เส้นยนื สลบั สขี ัดกัน เกิดเป็นลวดลายตาราง ยกตะขอ,ยกเขา (Twill) เป็นเทคนิคการทอโดยยกตะขอกอพิเศษ ๓-๔ ตะขอ แยกเส้นขึ้นลง แต่ไม่ได้เพิ่มเส้นพุ่งพิเศษแต่อย่างใด เกิดเป็นลวดลายใน ตวั เป็นการเพิม่ ความหนาใหก้ บั ผืนผ้า ขิด (Continuous supplementary weft) เป็นการนำลวดลายบนผืนผ้าจากการเพิ่มเส้นด้ายพุ่งพิเศษ จากริมผ้าด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง เ กิดเป็น ลวดลายสีเดยี วกันตามแนวหนา้ ผา้ สว่ นกลุ่มชาวไทลื้อ เรียกเทคนิคนวี้ ่า มุก จก (Discpntinuous supplentary weft) เป็นการทำลวดลายบนผืนผ้าจากการใช้นิ้วมือ หรือขนเม่น ยกเส้นยืนแล้วเพิ่มเส้นด้ายพุ่งพิเศษ เกิด ลวดลายเฉพาะจุดเปน็ ช่วง ๆ เกิดลวดลายไดห้ ลายสสี ัน มกุ (Continuous supplementary warp) เปน็ การทำลวดลายบนผนื ผา้ จากการเพมิ่ เสน้ ด้ายยนื พิเศษ เกิดเป็นลวดลายสีเดยี วกันตามแนวเสน้ ยืน เกาะ หรอื ล้วง (Tapestry weaving) เปน็ การทอผา้ ให้เกิดลวดลายโดยการเกย่ี วด้ายเสน้ พ่งุ เป็นห่วงรอบเสน้ ยืนเพื่อยดึ เส้นพุ่งแต่ละชว่ งไว้ สอดกลับไป มาเป็นชอ่ งสตี ่าง ๆ ตามตอ้ งการโดยไม่ตอ้ งเพิม่ เส้นพุ่งพเิ ศษ เกิดเปน็ ลวดลายทสี่ วยงาม ปั่นไก่ (Twisted yarn) เป็นการนำด้ายสองสีมาปั่นตีเกลียวกันแล้วนำมาทอ เกิดเป็นลวดลายคล้ายหางกระรอก เรียกว่า “ผ้าหางกระรอก” บางพื้นท่ี เห็นคล้ายตะไครน่ ้ำ หรอื ไก่ เลยเรียกว่า ป่ันไก่ มดั หมีเ่ ส้นยืน (Warp ikat) เป็นการมดั ย้อมเสน้ ยนื เปน็ ลวดลายตามทต่ี อ้ งการก่อนทำมาทอ เกดิ เปน็ ลวดลายตามแนวเส้นยืน มัดหมเ่ี ส้นพุ่ง (Weft ikat) เปน็ การมดั ย้อมเสน้ พุ่งเปน็ ลวดลายตามทตี่ อ้ งการก่อนนำมาทอลวดลายเกิดตามแนวเส้นพุ่งขนานกับหน้าผ้า ปัก (Embroidered) นำวัสดุต่าง ๆ มาปักลงบานเนื้อผ้าเพื่อให้เกิดลวดลาย เช่น การปักด้วยด้ายสีแบบ cross stitch ของชาวเมี่ยน การปักลูกเดือย ลกู ปัด ของชาวกระเหร่ยี ง การปกั หน้าหมอนด้วยดิน้ เงนิ ดน้ิ ทอง ของกลุ่มชาวไทยวน เป็นตน้ บาตกิ (Batik) เกิดจากการนำเทียนไขละลายมาวาดลงบนผืนผา้ เป็นลวดลายตามต้องการ แล้วนำผ้าไปยอ้ มสโี ดยวิธยี ้อมเย็น(cold dye) แลว้ นำผ้ามาต้ม เพื่อละลายเอาเทียนทตี่ ดิ ออก สว่ นท่ีไม่ตดิ สจี ะเกดิ เป็นลวดลายตามท่วี าดไว้ ในภาคเหนอื พบในกลุ่ม มง้ ผา้ เขยี นเทียน กเ็ รยี ก อดั จบี ,อัดพลีต (Pleated) ผา้ ที่ถกู จบี พับทบซอ้ นกัน เกิดเป็นสันสลับข้นึ ลง ยืดและหดตามแนวผ้าท่จี ีบไว้ ชาวมง้ ตกแต่งกระโปรงดว้ ยวิธีนี้ ถกั (Macrame)เปน็ การถกั เส้นดา้ ยเพอ่ื ให้เกิดลวดลายทส่ี วยงาม เช่น ถักชายผ้าทน่ี อน(ผา้ หลบ) ผา้ ปูโต๊ะ

ฃ 6. หนา้ ท่ีการใช้สอย บรบิ ททางวิถชี ีวิต วฒั นธรรม ประเพณี คติความเชื่อ ของสงั คมน้นั ๆ จะเปน็ ตัวกำหนดรปู แบบและหนา้ ท่ขี องผา้ ผา้ ทอในภาคเหนือ แบง่ ได้ตามหน้าทใ่ี ชส้ อยได้ 3 ประเภท คือ เสื้อผา้ เครื่องแต่งกาย เสอ้ื ผา้ เปน็ หนึง่ ในปจั จัยส่ี ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของมนุษย์ มนุษย์ทอผา้ เพ่ือท่ีจะนำมาประดิษฐต์ ัดเยบ็ เป็นเคร่ืองนุ่งห่ม ป้องกัน อันตรายและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย นอกจากนี้ แต่ละกลุ่มชนยังทอผ้าและตัดเย็บเครื่องแต่งกายที่แสดงออกถึงตัวตนของแต่ละกลุ่มชนจนเกิ ดเป็นเอกลักษณ์ทางชาติ พันธุไ์ ทต่าง ๆ ทงั้ ไทยวน ไทล้อื กลมุ่ ชาวไทยภูเขา มง้ เมีย่ น กะหรีย่ ง ลวั ะ ในสงั คมภาคหนือ งานทอผา้ เป็นงานของผู้หญิง เปน็ คุณสมบตั สิ ำรญั ท่พี ึงมสี ำหรับผหู้ ญิงในสมัยอดตี ผหู้ ญิงจงึ ทอผา้ ที่แสดงออกถึงวฒั นธรรมประเพณี วิถี ชีวิต ความเชื่อผ่านทางลวดลายของผนื ผ้าและเครื่องแต่งกายของสตรี เพื่อแสดงออกถึงชาติพันธุ์ของตนเอง ยกตัวอย่าง ผ้าซิ่นตีนจกของสตรีกลุ่มไทยวน ผ้าซิ่นลายเกาะ ล้วงของสตรีไทลื้อ ผ้ากระโปรงพลตี บาตกิ ของสตรชี าวม้ง เปน็ ตน้ ผ้าที่ใช้ในครัวเรอื น ในอดีตนอกจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแลว้ ผู้หญิงตอ้ งทอผ้าและตัดเย็บเครื่องเรือนเอาไว้ใช้สอยเอง ได้แก่ เครื่องนอน ประกอบด้วย หมอน สะล(ี ฟกู ) ผา้ หลบ(ผา้ ปูท่ีนอน) ผา้ หม่ ม้งุ ถงุ ยา่ ม ผ้าทที่ อมักจะใส่ลวดลายตกแต่งเพอื่ ความสวยงามและแสดงออกถึงกลุ่มชาติพนั ธข์ุ องตนหรือเมืองท่ีตนอาศัยอยู่ ผา้ ในพธิ ีกรรม ในสงั คมภาคเหนือ มพี ุทธศาสนาเปน็ หลักทคี่ นนบั ถือ สง่ อิทธพิ ลตอ่ วิถีชวี ิตและรปู แบบวฒั นธรรมประเพณี จากความเชื่อ ความศรัทธาที่มี ต่อศาสนา และแรงศรัทธาทำให้เกิดงานสิ่งทอที่เกี่นวเนื่องในพุทธศาสนา ได้แก่ ผ้าไตรจีวร ตุง ผ้าห่อคมภีร์ ผ้าอาสนา เหล่านี้เป็นสิ่งทอที่ผู้หญิงจะทอถวายเอสั่งสมบุญ เน่อื งจากตนเองไมส่ ามารถบวชได้ ส่งิ ทถ่ี วายไดจ้ ะทำอยา่ งประณีตและสวยงาม สทุ ธิพนั ธุ์ เหรา 2 2 สุทธพิ นั ธ์ุ เหรา (เรยี บเรยี ง) เอกสารอา้ งองิ ทรงศกั ดิ์ ปรางคว์ ฒั นากลุ . (๒๕๕๑). มรดกวฒั นธรรมผา้ ทอไทล้อื . เชียงใหม่ : ภาควิชาภาษาไทย คณะมนษุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม.่ ธีรพนั ธ์ุ จันทร์เจริญ. (๒๕๖๐). ผา้ ยก. กรุงเทพ : อัมรนิ ทร์พรินตง้ิ แอนพับลซิ ซงิ่ วิถี พานิชพันธุ.์ (๒๕๔๕). ผา้ สง่ิ ถักทอและผ้าไท. เชียงใหม่ : ซลิ เวิรม์ . สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติและเสาวนีย์ บันสทิ ธิ์. (๒๕๓๖). แสงดา บันสทิ ธ์ิ ศลิ ปินแหง่ ชาติ สาขาทัศนศิลป(์ การทอผา้ ). กรุงเทพ : อมั รินทร์พรนิ ต็งแอนดพ์ ับลิชชง่ิ . เว็บไซต์อ้างองิ http://www.thaitexliemuseum.com/Thai/A_2/B_7/COTTON/COTTON_2/cotton_2.html http://sites.google.com/site/phainmthiy12358555/xupkrn-kar-thx-pha-him

ฃ ❖ “ผา้ ซิ่น” มนต์เสนห่ แ์ ห่งภูษาล้านนา “ซิ่น” (คำเมือง) เป็นผ้านุ่งของผู้หญิง มีลักษณะที่แตกต่างไปตามท้องถิ่น ทั้งขนาด การนุ่งและลวดลายบนผืนผ้า โดยมีการสวมใส่ในประเทศลาวและ ประเทศไทยโดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคอสี านของไทย ผา้ ซิ่นนับเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของหญิงไทย ในสมัยโบราณการทอผ้าเป็นงานในบ้าน ลกู ผหู้ ญงิ มีหนา้ ท่ที อผา้ แม่จะส่ังสอนให้ลูกสาวฝึกทอผ้าจน ชำนาญ แลว้ ทอผา้ ผืนงามสำหรับใช้ในโอกาสพิเศษ เชน่ งานแต่งงาน งานบวช หรือ งานบุญประเพณีตา่ ง ๆ การน่งุ ผ้าซิน่ ของผ้หู ญงิ จงึ เป็นเหมือนการแสดงฝีมือของตนให้ ปรากฏ ผ้าซิน่ ทท่ี อไดส้ วยงามมฝี ีมอื ดี จะเปน็ ท่ีกลา่ วขวัญและชืน่ ชมอยา่ งกว้างขวาง ผ้าซิ่นของไทยมักจะแบ่งได้เป็นสองลักษณะ อย่างแรกคือ ผ้าซิ่นสำหรับใช้ทั่วไป มักจะไม่มีลวดลาย ทอด้วยผ้าฝ้ายหรือด้ายโรงงาน(ในสมัยหลั ง) อาจใส่ ลวดลายบ้างเล็กนอ้ ยในเนื้อผ้า อีกอย่างหนึง่ ผา้ ซนิ่ สำหรบั ใช้ในโอกาสพเิ ศษมักจะทอดว้ ยความประณีตเป็นพิเศษ มีการใส่ลวดลาย สีสันงดงาม และใชเ้ วลาทอนานนับแรม เดอื น ขนาดและลักษณะของผ้าซิ่นนั้นขึ้นกับฝีมือ รสนิยม ขนบการทอในแต่ละท้องถิ่น และยังขึ้นกับขนาดของกี่ทอด้วย การทอผ้าด้วยกี่หน้าแคบ จ ะได้ผ้าที่ แคบ ผา้ ซนิ่ สำหรบั ใช้จริงจึงต้องนำมาต่อเปน็ ผืนให้กว้างขนึ้ อยา่ งไรกต็ ามผา้ ซนิ่ ในปจั จบุ ันจะทอด้วยก่หี นา้ กวา้ ง ไม่ต้องต่อผืนอยา่ งในสมยั โบราณอกี ต่อไป ผ้าซนิ่ ไทยวนล้านนาสว่ นมาก มีโครงการสร้างคล้ายกนั คอื ประกอบดว้ ย 3 ส่วนหลกั ได้แก่ 1) หวั ซ่ิน เปน็ สว่ นบนสุดของซิน่ ไมน่ ยิ มทอลวดลาย บางแห่งใช้ผา้ ขาว แดง น้ำตาล หรือ ดำ เยบ็ เปน็ หวั ซน่ิ และเหน็บพกไว้ มองไมเ่ หน็ จากภายนอก 2) ตัวซิ่น เป็นส่วนหลักของซิ่น อาจมีการทอลวดลายริ้วสลับสีแนวขวาง ขนานกับลำตัว ในลักษณะของลวดลายที่กลมกลืนโดยรวม หากแต่ใน รายละเอียดกลับมีการใส่เส้นสีตัดกันให้เกิดน้ำหนักของสีที่มีมิติ ที่เรียกว่า “ต๋า” หรือ “ต๋าซิ่น” ที่อาจแตกออก เป็นลวดลายเฉพาะลงไป ดังเช่น “ต๋าสามแลว” “ต๋าหมู่” หรอื “ต๋าเหลือง” และ “ตา๋ มะนาว” เปน็ ต้น 3) ตีนซิ่น เป็นส่วนสุดของซิ่น ในบางท้องถิ่นนิยมทอลวดลายเป็นพิเศษ สำหรับต่อตีนซิ่นโดยเฉพาะ มีขนาดแคบบ้าง กว้างบ้าง ที่ทอด้วยเท คนิคการจก เช่น ซนิ่ ตีนจก ขณะที่ซน่ิ ในชวี ติ ประจำวันจะต่อด้วยผา้ พ้ืนสเี ข้ม โดยเฉพาะชาวลา้ นนาเรยี กผ้านุ่งสำหรับผหู้ ญิงว่า “ซน่ิ ” เช่นกัน ผา้ ซ่ินคือผา้ ท่เี ยบ็ เป็นถุงสำหรับผ้หู ญิงนุ่ง จะมขี นาดสัน้ ยาว และกว้าง แคบ ต่าง ๆ กัน ไป ข้นึ อยู่กบั รูปรา่ งของผนู้ ่งุ และวธิ ีการนงุ่ นอกจากนยี้ งั ข้ึนอยู่กบั โอกาส เวลา และสถานที่ ตลอดจนอาจจะเปลย่ี นแปลงตามความนยิ มในแต่ละยคุ สมัยดว้ ย โครงสร้างของ ผ้าซิน่ โดยทว่ั ไป ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ สว่ นเอวหรือหวั ซิ่น และส่วนตนี ซ่นิ และสว่ นตนี ซ่ิน สำหรับผ้าซิ่นทใี่ ช้นุง่ ในโอกาสพเิ ศษ เชน่ ในพิธกี รรม ในงานทำบุญท่ีวัด จะต่อ ตีนซิน่ ดว้ ยผา้ ทอพเิ ศษดว้ ยเทคนิคการ “จก” มีการตกแตง่ ลวดลายงดงามกว่าปกติ เรียกวา่ “ผ้าซน่ิ ตนี จก” ลวดลายของซิ่นตนี จกน้นั มีความหลากหลายสูงมากตามท้องถ่ิน แต่โดยรวมแล้ว ลวดลายทัง้ หมดล้วนได้แนวคิดมาจาก “ธรรมชาติรอบตัว” “คติความเชื่อ” และ “พุทธศาสนา” โดยผ้าซิน่ ตีนจกในเขตภาคลุม่ แม่น้ำปิงท่ีมชี ่ือเสียงโด่งดัง

ฃ ตัวอย่างเช่น ผ้าซิ่นตีนจกในเวียงเชียงใหม่ที่เป็นความนิยมในหมู่คหบดีและเจ้านาย นอกจากนี้ยังมีผ้าซิ่นท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์โดดเ ด่น ทั้งจากอำเภอแม่แจ่ม สันป่าตอง จอมทอง ฮอด ดอยเตา่ จงั หวดั เชยี งใหม่ และผ้าซ่ินตีนจกจากอำเภอเมืองลำพนู บา้ นโฮ่ง ปา่ ซาง ล้ี จงั หวัดลำพนู ตลอดจนผ้าซนิ่ ล่มุ น้ำวัง อนั ได้แก่ ผา้ ซน่ิ ตีนจกจากอำเภอ เมอื ง แม่ทะ เกาะคา เถนิ จงั หวัดลำปาง เปน็ ตน้ “ผา้ ซิ่นลุ่มน้ำปงิ และวงั ” โดย ผศ.เธียรชาย อักษรดิษฐ์ จากภาควิชาศิลปะไทย คณะวจิ ิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ผ้ทู รงคณุ วฒุ ดิ ้านผา้ ทอล้านนา ผ้าทอพ้ืนบา้ นพ้ืนเมืองของชาวเชียงใหม่ในอดีต คอื มรดกทางศิลปวฒั นธรรมอันมีคุณคา่ ทง้ั ทางด้านรูปแบบท่ีงดงาม วิธกี ารทอทป่ี ระณีต ละเอียดอ่อน และคุณค่า ทางด้านวชิ าการทีส่ ะท้อนถงึ ความเปน็ มา ความสัมพนั ธแ์ ละวถิ ชี ีวิตของกลมุ่ ชน ท่ีอนชุ นรุ่นหลังควรจะได้เรียนรอู้ ยา่ งเขา้ ใจ ทรงศักดิ์ ปรางค์วฒั นากุล แพทรีเซีย แนน่ หนา โครงการศูนย์สง่ เสรมิ ศิลปวฒั นธรรมมหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ❖ “ผา้ ปกั ลกู เดือย” ลายโบราณชนเผา่ กะเหร่ยี ง (ปกาเกอะญอ) หัตถภูษากับวัฒนธรรมร่วมทางชาตพิ นั ธุ์ ชนเผ่ากระเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ที่ยังคงแต่งกายตามแบบดั้งเดิม จะมีการทอผ้าขึ้นใช้เอง ทั้งนี้เป็นเพราะรูปแบบเครื่องแต่งกายส่วนใหญ่ จะใช้ผ้าหน้า แคบ ผืนยาวมาเย็บประกอบกันเป็นผืน ลักษณะผ้าดังกล่าวหาซื้อไม่ได้ในตลาดทั่วไป ทำให้กะเหรี่ยง ยังคงรักษาภูมิปัญญาในการทอผ้าและสืบทอดสู่ลูกหลานมาจนถึง ปจั จบุ นั ในปจั จุบนั กลุ่มกะเหรีย่ งที่ยงั คงสวมใส่เครอ่ื งแต่งกายประจำเผ่าในวถิ ชี ีวติ มีเพียงกลุ่มโป และกลุม่ สะกอเทา่ นั้น ท้ังนก้ี ะเหรี่ยงแตล่ ะกลุ่มนอกจากจะมีการแต่งกายที่ แตกต่างกัน กะเหรี่ยงกลุ่มเดียวกันแต่อยู่ต่างพื้นที่กัน ก็มีลักษณะการแต่งกายที่ไม่เหมือนกัน เช่น กะเหรี่ยงโปแถบอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่งกายมีสีสัน มากกว่าแถบอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหหรือ หญิงกะเหรี่ยงสะกอแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอแม่แจ่มและกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ตกแต่งเนื้อผ้ามีลวดลาย หลากหลายและละเอียดมาก แต่กระนั้นทุกกลุ่มในทุกพื้นที่ก็ยังคงรักษาลักษณะร่วมทางวัฒนธรรมในการแสดงสถานะของหญิงสาวและหญิงแม่เรือน (แต่งงานแล้ว) ไว้ เชน่ เดยี วกัน คือ หญิงทุกวันทย่ี งั ไม่ไดแ้ ตง่ งาน ต้องสวมชดุ ยาวกรอมเทา้ สขี าว เรยี กว่า “ชุดเชวา” เมื่อแตง่ งานแลว้ จะต้องเปลยี่ นมาสวมใสเ่ สือ้ “เชซ”ู และผ้าถงุ คนละท่อน เท่านนั้ หา้ มกลับไปสวมใส่ชดุ ยาวสีขาวอีก

ฃ หลังจากชาวกะเหรี่ยงทำการทอผ้าและเย็บเป็นผืนเรียบร้อยแล้ว ก็จะเป็นการทำลวดลายบนผืนผ้าให้สวยงาม ส่วนใหญ่ กะเหรี่ยงสะกอจะนิยมปัก ประดิษฐ์ลวดลายบนเสื้อผู้หญิงแม่เรือน ลักษณะการประดับประดาจะใช้ด้ายหลากสีปักสลับลูกเดือย ซึ่งเป็นพืชที่กะเหรี่ยงต้องปลูกไว้เพ่ื อใช้ในกิจกรรมนี้โดยเฉพาะ ลวดลายการปักผ้าของกะเหรี่ยงส่วนใหญ่เป็นการลอกเลียนแบบจากธรรมชาติ ทั้งลายปักด้วยด้าย เช่น ลายเส่อกอข่าพอ (ลายดอกมะเขือพวง) ลายเก่อเปหมื่อนื่อ (ลาย สามัคคีธรรม) ลายเก่อเปเผล่อ หรือ เก่อเปโพ่ (ลายมะเขือพวง) ลายชะแอ๊ะ (ลายแบ่ง) ลายโยฮ่อกื้อ (ลายเกล็ดนิ่ม) ลายเชมีกอ (ลายดอกชบา) และลายปักลูกเดือย เชน่ พะโดกิ (ลายงเู หลอื ม) ทีลคู า (ลายบอกนำ้ เต้า) ลอเมอ่ เฉาะ (ลายต่อลูกเดือย) และ ซิพอ (ลายตวั บุ้ง) เป็นต้น ลักษณะเสื้อปักลูกเดือย สว่ นใหญม่ กั จะปักตกแต่งบริเวณชายเส้ือดา้ นล่างเป็นสว่ นใหญ่การผสมผสานลายมักใชล้ ายลูกเดือยเป็นแนวกำหนดก่อน เพื่อให้ ได้ช่องว่างที่จะเป็นแนวปักลวดลายชัดขึ้น จากนั้นจึงปักด้ายลงไป ปกติการปักลูกเดือยประดับชายเสื้อผู้หญิง จะใช้วิธีปักหลังจากเย็บผา้ ประกอบเป็นตัวแล้ว โดยร้อยลูก เดอื ยเขา้ กบั เส้นด้ายขวางระหว่างด้ายยืน โดยให้ลูกเดอื ยลอยตัวอยูบ่ นผืนผ้า เมอื่ ประกอบเปน็ ลวดลายแล้วจงึ ปักทับด้ายสลับสลี งในช่องระหว่างลูกเดือยเหล่าน้ัน เป็นการ ทำลวดลายบนผืนผ้าใหส้ วยงามหลังจากเยบ็ เป็นเครือ่ งนุง่ ห่มแล้ว สีลูกเดือยที่ใช้ จะเป็นสีขาวซึ่งชาวกะเหรี่ยงเช่ือว่าลูกเดือยสามารถป้อ งกันภูตผีได้ ส่วนด้ายที่นิยมใช้ปกั สลกั ลกู เดอื ย จะใช้ทกุ สีและใหน้ ้ำหนักกบั สีแดง สีเหลือง และสีขาว สปี ระกอบ ได้แก่ สีชมพู สีนำ้ เงิน สีส้ม สีเขยี ว เป็นกลุ่มสที ีน่ ำมาใช้ภายหลงั และนยิ มใช้กันมากข้ึนด้วย เหตผุ ลทีส่ สี วยและสีไมต่ ก เรอ่ื งราว บอกเล่าทมี่ า ภษู าล้านนา : จงั หวดั ลำปาง จงั หวดั ลำปางกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมยั สื่อสะทอ้ นทางดา้ นความนิยมในการแตง่ กายของสตรีในราชสำนักต้ังแต่ช่วงรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ซ่งึ วัฒนธรรมการ แต่งกายของสตรีทั้งในราชสำนักและสตรีชาวบ้านมีการเปลี่ยนแปลงไปจากการนุ่งผ้าแถบและโจงกระเบน ไปสู่การนุ่งเสื้อแบบเสื้อแพรไหม ลูกไ ม้ตัดแบบตะวันตก จนกระทงั่ ในช่วงรัชกาลที่ 6 การแตง่ กายเปลี่ยนแปลงไปสตรีในราชสำนักสยามนยิ มการแต่งกายดว้ ยการนุ่งผ้าซ่ิน สวมเส้ือแพรโปรง่ บาง ซึง่ เปน็ รปู แบบท่ีเป็นพระราชนิยม โดยในชว่ งนน้ั การน่งุ ผ้าซ่ินของสตรใี นราชสำนกั สยามมักนยิ มนงุ่ ผ้าซิน่ ลายเชิงเปน็ หลักจะเห็นได้วา่ ผา้ ซิ่นล้านนากย็ ังคงแฝงอยใู่ นวฒั นธรรมของราชสำนักสยามนับต้ังแต่ยุค สมัยของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เรื่อยมาทั้งยังมีการผสมผสานรูปแบบการแต่งกายที่หลากหลายมากขึ้น เช่น มีการส่วนชุดกิโมโนตามแบบญี่ปุ่นแต่นุ่งผ้าซิ่นตาแบบ ล้านนา หรือใช้ผ้าซิ่นแทนกระโปรงแบบตะวันตก เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการนุ่งผ้าซิ่นตีนจกของชาวล้า นนา โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ จังหวดั ลำปางนั้นก็คือ ความนิยมในการนงุ่ ซ่ินตามากกวา่ การนุ่งผ้าซ่ินตนี จก นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจ ยังส่งผลให้วัฒนธรรมการแต่งกายมีการเคลื่อนตัวเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย จากเดิมที่มีการทอ ผ้าเพื่อใช้ใน ครวั เรือน เม่อื มเี ทคโนโลยีจากตา่ งประเทศเขา้ มาอำนวยความสะดวกในเร่ืองของการทอใหง่ ่ายมากยงิ่ ขนึ้ รวมไปถึงการค้าขายที่จากเดิมใชเ้ ส้นทางการคา้ แบบววั ต่างม้าต่าง และการล่องเรือ สู่ยุคของการใช้รถไฟเข้ามาอำนวยสะดวกในการขนส่งมากยิ่งขึ้น ในช่วงปี 2463 – 2465 เส้นทางรถไฟสายเหนือได้เดินทางมาถึงนครลำปาง ทำให้ ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจากกรุงเทพมหานครเข้ามาสู่ท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น กระแสความนิยมของสินค้าและเครื่องใช้ต่างๆที่มาพร้อมกับรถไฟส่งผลการลดบทบาทและความ

ฃ นิยมต่างๆเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การที่จะนุ่งตีนจกแบบดั้งเดิมเป็นเรื่องที่ยุ่งยากทำให้เสื่อมถอยความนิยมไป ส่งผลให้คนหันมานิยมซิ่ นตามากขึ้นจากเดิมที่เป็นแค่ซ่ิน พ้นื ๆท่ีใสใ่ นชีวิตประจำวนั กลายเป็นซนิ่ ทส่ี ามารถใส่ออกงานได้ทุกโอกาสปรบั เปลี่ยนเพียงวัสดุท่ีใช้เทา่ นั้นเช่น หากอยู่ในบา้ นอาจเป็นเพียงการนุ่งซิ่นผ้าฝ้ายทั่วไป แต่หาก ไปรว่ มกจิ กรรมสำคญั อาจเปลี่ยนเป็นซ่ินไหมแทน ความนยิ มในการนุ่งซิ่นตีนจกจงึ ลดลง ผทู้ อหันมาทอผ้าซิ่นตามากย่ิงขน้ึ ทำให้การถ่ายทอดในเร่ืองของเทคนิคการจกถูก เลอื นหายไปขาดการถา่ ยทอดองค์ความรใู้ ห้กบั ร่นุ ต่อไป อัตลักษณ์แห่งผ้าของจังหวัดลำปางทีโ่ ดดเดน่ ประการหน่ึง คือ ซิ่นตีนจกลำปาง ทั้งนี้หลายคนคงนึกภาพไม่ออกว่าเป็นแบบไหน ซิ่นตีนจกลำปางนนั้ แบ่งออกเป็น สองกลุ่มคือซิ่นตีนจกี่ใช้ในราชสำนักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับซิ่นตีนจกในราชสำนักเชียงใหมเ่ พราะลำปางและเชียงใหมน่ ั้นมีความสัมพันธท์ างเชื้อสายราชวงศ์ เจ้าเจ็ดตน ซิ่นที่ใช้ในราชสำนักของลำปางจึงนิยมสัง่ ทำจากเชียงใหม่เป็นหลักส่วนซิ่นตีนจก ที่ใช้ในกลุ่มชาวบา้ นแถบชานเมืองของลำปางนั้น จะมีความแตกตา่ งจากซิ่นในราชสำนัก คือลวดลายบนตีนจกจะไม่มีแบบแผนชัดเจน ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ทอ เน้นสีฉูดฉาด แต่อย่างไรก็ตามลวดลายก็ยังมีเอกลักษณ์ของชาวไทยยวนดั้งเดิมที่มีจุดกำเนิด รว่ มกนั ทเ่ี มอื งเชียงแสน ปัจจุบันซิ่นตนี จกของลำปางนบั ไดว้ ่าเป็นซ่ินตีนจกทีห่ าไดย้ ากที่สุด ผ้าซิ่นตีนจกที่เป็นผืนดั้งเดิมพบได้น้อยกว่าเมอื งอื่นๆในภาคเหนอื ผ้าซิ่นตีนจกลำปางนับไดว้ ่า เปน็ ผ้าซนิ่ ทม่ี ีเอกลักษณ์และมีความสวยงามเนื่องจากเป็นกลุ่มซน่ิ ที่ได้รบั อทิ ธิพลทั้งจากเชียงแสนและจากราชสำนักเชยี งใหม่ โดยลวดลายสว่ นใหญ่ของผ้าซ่ินรุ่นแรกนั้นจะ อยใู่ นกล่มุ ซิน่ ตระกลู เชียงแสน โดยจะเนน้ การจกลวดลายทไ่ี ม่ค่อยถ่ีมากนักและจกบนผ้าพ้ืนสีแดงเปน็ หลักและลดทอนในส่วนของเล็บซน่ิ ออกไป แตกตา่ งจากผ้าตีนจกของ ทางเชยี งใหมท่ ่ีจะจกลายใหถ้ จ่ี นเต็มเน้ือผา้ นอกจากนีเ้ อกลักษณ์อีกประการหนง่ึ ของซ่ินตีนจกลำปางน้ันกค็ ือการจกลายท่เี รยี กว่าลายเครือกาบหมากหรือควั๊ ะดอกเอ้ือง ซึ่ง เป็นกลุ่มลายที่พบในเขตพื้นที่เมืองลำปางและเมืองลองเท่านั้น เนื่องจากเมืองลองเป็นเมืองหนึ่งที่เคยขึ้นตรงต่อนครลำปาง ทำให้กลายเ ป็นแหล่งทอตีนจกที่สำคัญให้กับ เมืองลำปางตั้งแต่อดีตและได้มีการพัฒนาต่อมาเรือ่ ยๆ และเนื่องด้วยเป็นซิ่นที่ไม่ได้ใช้สวมใส่ในชีวติ ประจำวันแต่จะใช้ในโอกาสพิเศษสำคัญเท่านั้นทำให้ไม่ได้มกี ารทอขนึ้ บ่อยๆ ขาดการสืบทอดและค่อยๆ สูญหายไป รูปแบบของซิ่นตีนจกเมืองลำปางแม้จะมีลักษณะที่คล้ายกับเชียงใหม่ ลำพูน แต่ก็มีอัตลักษณ์ที่แตกต่างออกไปเช่น การใช้สีซึ่งหากเป็นจกของเจ้านายจะใช้สีที่ เหมือนกบั แบบราชสำนักเชยี งใหม่ แตห่ ากเป็นจกของชาวบ้านโดยทั่วไปจะมกี ารใช้ไหมลว้ นและไหมผสมที่มีลักษณะโดดเดน่ คอื การเล่นสีในการจก ซง่ึ ข้นึ อย่กู ับความพอใจ ของผทู้ อ สามารถปรบั เปลย่ี นสไี ดต้ ามความชอบหรอื ความตอ้ งการของผทู้ อเองโดยไม่ได้คำนึงถึงรูปแบบสวี ่าจะต้องเหมือนกันตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งจะไมพ่ บเทคนิคการทอใน ลักษณะนี้ในกลุ่มวัฒนธรรมอื่น นอกจากนี้ยังสีที่มักนิยมนำมาจกในผ้าของกลุ่มผ้าซิ่นลำปางมักจะเป็นสีน้ำเงิน คราม และสีเขียว(เขียวม ะกอก) ซึ่งทำให้ลวดลายมีสี่สันท่ี หลากหลายมากยิง่ ข้ึน ถอื ไดว้ า่ เป็นเอกลักษณ์ทีช่ ัดเจนของซน่ิ ตีนจกลำปางอีกประการหน่ึง โครงสร้างของรปู แบบการจกส่วนใหญจ่ ะเน้นการจกลายโคม ลายขัน และลาย นกหรือลายหงส์กินน้ำรว่ มตน้ ลวดลายมีขนาดใหญเ่ นื่องจากลดทอนลายเครอื ใหม้ ขี นาดลดลงเพ่ือเพิ่มเนื้อท่ีให้กบั ลายหลัก ซึ่งถอื เปน็ โครงสรา้ งหลกั ในการจกลายของผ้าซ่ิน ตนี จกลำปาง พัฒนาใหล้ วดลายมคี วามหลากลายมากยิง่ ข้นึ เชน่ ลายโคมหงสด์ ำ ลายเครอื กาบหมาก ลายเชียงแสนหงสค์ ู่ ลายโคมขอหกั (ขอผกั กดู ) เอกลักษณ์ทโี่ ดดเด่นอีก

ฃ ประการหนึ่งของซน่ิ ตนี จกลำปางท่ีไม่เหมือนท่ีอ่ืนคือ ตวั ซิน่ ซง่ึ โดยปกติจะเป็นซิน่ เหลืองละกอน ยังมกี ารใชส้ ีที่เป็นคสู่ ีพิเศษกวา่ เมืองอื่นโดยจะใช้สีเขยี วและสีแดง โดยให้สี แดงเปน็ สีพน้ื และทอขวางด้วยสีเขียวซง่ึ เป็นความนิยมในกลุ่มผ้าซนิ่ ลำปาง อาจกล่าวได้ว่ารูปแบบเอกลักษณ์ของผ้าซิ่นลุ่มแม่น้ำปิงและวัง มีลักษณะร่วมกันอยู่หลายประการภายใต้วัฒนธร รมไทยวน อีกทั้งมีความสัมพันธ์ของสังคมและ เศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน หากแต่ในแต่ละท้องถิ่นยังสามารถสร้างความโดดเด่นในรายละเอียดของสีสัน ลวดลาย ตลอดจนเทคนิคการทอที่ส ลับซับซ้อนแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีพัฒนาการของรูปแบบที่ได้รับความนิยมในแต่ละยุคสมัยแตกต่างกัน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการผลิตที่ได้ถดถอยในบาง รปู แบบจนเลกิ ผลติ ไปในที่สุด อกี ทางหน่งึ ก็ได้กลายเปน็ วัตถุที่สูงคา่ ในความเป็นโบราณวตั ถปุ ระเภทสงิ่ ทอที่มคี วามตอ้ งการของผู้สนใจและสะสมของเกา่ ถงึ กระนนั้ สาเหตุ ดังกล่าวยังจะไดผ้ ลักดันให้เกิดการผลิตซ้ำในงานส่ิงทอทีอ่ ิงอยู่กับรปู แบบดั้งเดิมที่เคยมีการสรา้ งงานในท้องถ่ินตา่ ง ๆ ขึ้นมาอีกวาระหนึ่งจึงนับได้ว่าใน รอบสามทศวรรษที่ ผ่านมานี้การสืบสารงานสิ่งทอแพรพรรณในล้านนาได้มีการฟื้นฟูและเผยแพร่กลับคืนขึ้นมาโดยกลุ่มช่างผู้ผลิต กลุ่มผู้บริโภคหน้ าใหม่ ๆ จากผลงานของการสนับสนุนท้ัง ภาครัฐและเอกชน อกี ท้งั คณุ ปู การของสื่อแขนงและประเภทต่าง ๆ รวมถงึ การสอ่ื สารทีก่ ้าวลำ้ ทนั สมัยในโลกดจิ ติ อลในเวลาน้ี

ฃ อำเภอเมอื งลำปำง : กล่มุ ผำ้ ทอมือบำ้ นบ่อแฮว้ กลุ่มผา้ ทอมอื บา้ นบ่อแฮว้ ตงั้ อยู่หมู่ท่ี 2 ตาบลบ่อแฮว้ ก่อตงั้ ข้นึ เมอ่ื ปี 2553 ภายใตก้ ารนวมตวั ของกลุม่ ชาวบา้ นตาบลบ่อแฮว้ เพ่อื ผลติ สินคา้ ท่เี กี่ยวกบั ผา้ ทอท่มี า จากฝีมอื ของชาวบา้ นบา้ นบ่อแฮว้ โดยในระยะแรกทางกลุ่มมสี มาชิกประมาณ 30 คน ซ่ึงเป็นกลุ่มแม่บา้ นท่ีว่างจากการทางานประจาหรือจากการทาการเกษตร โดยไดใ้ ห้ สมาชิกในกลุ่มไปเรียนรูก้ รรมวิธีในการทอผา้ จากกลุ่มทอผา้ บา้ นนา้ โทง้ แลว้ นา องคค์ วามรูม้ าต่อยอดในการทอผา้ ของกลมุ่ ทง้ั น้ีทางกลุม่ เองยงั ไดร้ บั การสนบั สนุนจาก หน่วยงานภายในพ้นื ท่เี ช่น การสนบั สนุนจากเทศบาลตาบลบ่อแฮว้ ในดา้ นงบประมาณ และจากพฒั นาชมุ ชนจงั หวดั ในการส่งเสรมิ องคค์ วามรูแ้ ละเทคนคิ ในการทอ เป็นตน้ ในอดตี ชาวบา้ นในพ้นื ท่บี า้ นบ่อแฮว้ มกี ารทอผา้ ใชใ้ นครวั เรือน โดยใชก้ รรมวธิ ี ดง้ั เดมิ ในการทอดว้ ยการใชฝ้ ้ ายพ้นื เมอื งหรือท่เี รียกว่าฝ้ายดอก ปนั่ และอดี ฝ้ายดว้ ย ตนเองซ่ึงส่วนใหญ่มกั จะทอเป็นผา้ ห่มท่เี รียกว่า ผา้ ห่มตาก้ีบ หรือหากเป็นเส้อื ผา้ หรอื ผา้ ซ่ินก็มกั จะยอ้ มดว้ ยสีครามเป็นหลกั ดว้ ยยุคสมยั ท่ีเปล่ยี นไปการทอผา้ ดว้ ยฝ้ าย พ้นื เมอื งไดร้ บั ความนิยมนอ้ ยลง และการเขา้ มาของไหมประดษิ ฐแ์ ละฝ้ายจากโรงงานท่ี หาซ้อื งา่ ย สะดวกต่อการนามาผลติ ส้นิ คา้ จงึ ไดร้ บั ความนิยมมากกวา่ ผา้ ซน่ิ ทท่ี างกลมุ่ ทอในปจั จบุ นั เป็นการทอดว้ ยก่กี ระตกุ โดยส่วนใหญ่จะทอเป็น ลายพ้ืนฐานเช่น ลายตาโกง้ ลายตาล่อง ผา้ ก่านคอควาย เป็นตน้ แต่ผา้ ท่ีเป็นลาย เอกลกั ษณข์ องกลมุ่ คอื ผำ้ ทอลำยเวียงละกอน โดยเป็นผา้ ทอทเ่ี นน้ การทอดว้ ยสเี หลอื ง และสดี าสลบั กนั ทง้ั ทงั้ ผนื ซง่ึ เป็นผา้ ทอทไ่ี ดร้ บั ความนยิ ม และมกี ารสงั่ ทอมากทส่ี ดุ

ฃ อำเภอเกำะคำ : กล่มุ ทอผำ้ ก่กี ระตกุ บำ้ นไหลห่ นิ กลุ่มทอผา้ กี่กระตุกบา้ นไหล่หิน ตง้ั อยู่หมู่ท่ี 6 ตาบลไหล่หิน โดยเร่ิมก่อตงั้ กลมุ่ เมอ่ื ปีพ.ศ.2550 ซง่ึ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื รวมชาวบา้ นทม่ี คี วามตอ้ งการหารายไดเ้ สรมิ จากอาชีพหลกั จึงไดต้ งั้ กลุ่มทอผา้ ฝ้ายก่ีกระตุกข้นึ โดยไดร้ บั การสนบั สนุนจากศูนย์ สงเคราะหอ์ าชพี สตรีภาคเหนือในดา้ นการเรียนการสอนทอผา้ ฝ้ายก่ีกระตุก นอกจากน้ี ยงั ไดร้ บั ความอนุเคราะหจ์ ากเทศบาลตาบลไหล่หินซ่ึงไดม้ อบก่ีกระตุกใหก้ บั กลุ่ม แม่บา้ นไหล่หิน ดว้ ยการสนบั สนุนในระยะแรกทาใหก้ ลุ่มเกิดแนวคิดในการพฒั นา ผลติ ภณั ฑข์ องกลมุ่ สูก่ ารเป็นหน่งึ ตาบลหนึงผลติ ภณั ฑ์ (OTOP) ผา้ ทอของกลุ่มทอผา้ ก่ีกระตุกบา้ นไหล่หนิ ไดน้ าเอาภูมปิ ญั ญาการทอผา้ ฝ้ าย กี่กระตกุ ทม่ี กี ารสบื ทอดจากบรรพบรุ ษุ ผนวกเขา้ กบั แนวความคดิ รเิ ร่มิ สรา้ งสรรคต์ ่างๆ ใหเ้กิดผลติ ภณั ฑท์ ม่ี คี วามหลากหลายมากย่งิ ข้นึ แต่ยงั คงไวซ้ ่งึ ลวดลายทม่ี เี อกลกั ษณ์ สวยงามและผสมผสานทง้ั ลวดลายโบราณและลวดลายทค่ี ดิ คน้ ใหมไ่ ดอ้ ย่างลงตวั กลุ่มทอผา้ กี่กระตุกบา้ นไหล่หิน เป็นกลุ่มทอผา้ ท่มี กี ารผสมผสานเทคนิคการ ทอท่ีหลากหลายเช่น การไกฝ้ าย โดยเป็นการนาเสน้ ฝ้ ายสองสีมาปนั่ ใหข้ ้ึนเกลียว เป็นเสน้ เดียวแลว้ นามาทอเรียกว่า ซ่ินไก รวมไปถึงเทคนิคการมดั ยอ้ ม ลวดไปถึง ลวดลายท่เี นเอกลกั ษณ์เช่น ลายข้งี า ลายเกลด็ เต่า ลายตาเก้ียว ลายสายฝน ลายก่าน คอควาย ลายดอกแกว้ เป็นตน้ ซง่ึ สามารถพบไดใ้ นแหลง่ ทอผา้ แห่งน้ี

ฃ อำเภอเสรมิ งำม : ตูบแกว้ มำ ตูบแกว้ มา ตง้ั อยู่เลขท่ี 198 หมู่ 6 บา้ นนาเดา ตาบลเสริมซา้ ย ก่อตงั้ ข้นึ เมอ่ื ปีพ.ศ. 2526 จากการรวมตวั กนั ของกลุ่มทอผา้ บา้ นนาเดา โดยมนี าง จนั ทร์คา แกว้ มา เป็นผูน้ าเพ่ือหารายไดเ้ ป็นอาชีพเสริม ต่อมาไดร้ บั การ สนบั สนุนจากอตุ สาหกรรมจงั หวดั ลาปางในการพฒั นาผลติ ภณั ฑแ์ ละลวดลาย นอกจากน้ีในปี พ.ศ.2545 ไดร้ บั การสนบั สนุนจากโครงการฝ้ ายแกมไหม สถาบนั วจิ ยั และพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยมี หาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ดา้ น การบริหารจดั การการปลูกฝ้ าย การผลิตเสน้ ดา้ ย และการทอผา้ ยอ้ มสี ธรรมชาติ สง่ ผลใหส้ ามารถพฒั นาศกั ยภาพของกลมุ่ จนเปิดเป็นศูนยก์ ารเรยี นรู้ การผลติ เสน้ ใยและผา้ ฝ้ายทอมอื สธี รรมชาตบิ า้ นนาเดาในปี พ.ศ.2549 ผา้ ทอมอื ยอ้ มสธี รรมชาติของตูบแกว้ มา เป็นการต่อยอดการผลติ ผา้ ฝ้ายปนั่ มอื ซ่งึ มาจากองคค์ วามรูแ้ ละภูมปิ ญั ญาดงั้ เดมิ และจากประสบการณ์ ของผูท้ อสู่การสรา้ งสรรค์อตั ลกั ษณ์ท่ีโดดเด่นของผา้ ทอตูบแกว้ มา คือ ลายสรอ้ ยดอกหมาก และ ลายเม็ดพริกไทย ซ่ึงทอข้ึนโดยผา้ ฝ้ ายยอ้ มสี จากธรรมชาติท่ีมีความงามเฉพาะตัวเป็ นเอกลกั ษณ์ท่ีสามารถพบไดท้ ่ี ตูบแกว้ มาเทา่ นน้ั

ฃ อำเภอสบปรำบ : กล่มุ ทอผำ้ ก่คี ำ กลุ่มทอผา้ กี่คา ตง้ั อยู่เลขท่ี 106 หมู่ 2 ตาบลสมยั เป็นแหล่งผา้ ฝ้ ายทอมือยอ้ มสีธรรมชาติ เดิมคือกลุ่มทอผา้ บา้ นนา้ หลง แต่ไดม้ ีกา รพฒั นา ผลติ ภณั ฑภ์ ายใตช้ ่อื ”กคี่ า” โดยก่อตง้ั กลมุ่ เมอ่ื ปี 2543 จากการทอตนี จกจากไหมประดษิ ฐ์ โดยลวดลายทใ่ี ชใ้ นการจกนน้ั เป็นลวดลายทม่ี าจากจงั หวดั แพร่ ผ่านการเชิญวทิ ยาการเขา้ มาสอนใหก้ บั สมาชิกในกลุ่มในระยะแรก ซ่งึ ต่อมาประสบปญั หาในเร่อื งของการจาหน่ายผลติ ภณั ฑ์ ทาใหท้ างกลุ่มปรบั เ ปลย่ี น กระบวนการผลติ โดยใชผ้ า้ ฝ้ายเขา้ มาทดแทน ทง้ั น้ที างกลมุ่ ยงั ไดร้ บั การสนบั สนุนจากองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลสมยั ในดา้ นงบประมาณ สาหรบั การจดั ซ้อื วสั ดุอปุ กรณ์ ทใ่ี ชใ้ นการผลติ ผา้ ทอ รวมไปถงึ หน่วยงานต่างภายในจงั หวดั อาทิ พฒั นาชมุ ชน อตุ สาหกรรมจงั หวดั ในดา้ นการอบรมใหค้ วามรู้ เป็นตน้ การทอผา้ ของกลุม่ ทอผา้ กี่คาเป็นการทอทส่ี บื ทอดภมู ปิ ญั หามาตงั้ แต่บรรพบรุ ุษจนสามารถพฒั นาฝีมอื ในการทอผา้ โดยเนน้ ความพถิ พี ถิ นั ในทกุ ขนั้ ตอนตงั้ แต่การเพาะเมลด็ ฝ้าย การอนุรกั ษณผ์ า้ ทอแบบดง้ั เดมิ รวมไปถงึ การใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรในทอ้ งถน่ิ จนกลายเป็นผลติ ภณั ฑท์ ม่ี เี อกลกั ษณเ์ ป็นของตนเอง

ฃ อำเภอเมอื งปำน : กล่มุ น้ำมอญแจซ้ อ้ นผำ้ ทอยอ้ มสธี รรมชำติ กลุ่มนา้ มอญแจซ้ อ้ นผา้ ทอยอ้ มสธี รรมชาติ ตงั้ อยู่เลขท่ี 147 หมู่ 2 บา้ นศรี ดอนมลู ตาบลแจซ้ อ้ น ก่อตงั้ ข้นึ เมอ่ื ปี พ.ศ.2539 จาการรวมกลุม่ ของแม่บา้ นบา้ น ศรีดอนมูล ตาบลแจซ้ อ้ น ท่มี คี วามสนใจและรกั งานทอผา้ แบบพ้นื เมอื ง ซ่งึ หลาย คนก็มพี ้นื ฐานการทอผา้ เป็นทนุ เดมิ อยู่แลว้ นอกจากน้ี ในเกือบทกุ หลงั คาเรอื นใน ชุมชนบา้ นศรีดอนมูลจะมีอุปกรณ์ในการทอผา้ และก่ีทอผา้ อยู่เกือบทุกหลงั จึงเป็นสาเหตุหน่ึงในการใชเ้ วลาว่างหลงั จากการทางานหลกั เพ่ือหารายไดเ้ สริม จึงไดร้ วมกนั คิดออกแบบลวดลายจากส่ิงท่ีอยู่ใกลต้ วั ผนวกเขา้ กบั ภูมิปัญญา ดง้ั เดิมท่ีไดส้ ืบทอดจากรุ่นปู่รุ่นย่าสรา้ งสรรค์เป็นผลงานผา้ ฝ้ ายทอมือยอ้ มสี ธรรมชาติ ซ่งึ ทางกลุ่มไดน้ าออกมาจาหน่ายในช่วงเทศกาลตามสถานทท่ี ่องเทว่ี และ หน่วยงานต่างๆ จนเป็นทร่ี ูจ้ กั และไดร้ บั การยอมรบั นาไปสู่การส่งเสริมและพฒั นา เป็นสนิ คา้ โอทอ๊ ประดบั จงั หวดั อตั ลกั ษณ์ท่โี ดดเด่นของผา้ ทอยอ้ มสธี รรมชาติของกลุม่ นา้ มอญแจซ้ อ้ นคือ การนาวัสดุจากธรรมชาติมาผลิตเป็ นผา้ ทอท่ีมีลวดลายเป็ นเอกลกั ษณ์ มีกระบวนการผลติ ต่างๆท่ีเป็นมิตรต่อส่ิงแวดลอ้ ม ไม่ว่าจะเป็นสียอ้ มท่ีมาจาก ธรรมชาติ 100% หรอื การพฒั นาผลติ ภณั ฑส์ ู่การเป็น Green Production รวมไป ถงึ การสรา้ งสรรคผ์ ลติ ภณั ฑท์ ่มี คี วามแตกต่างอย่างการนาเสน้ ใยจากสปั ปะรดซ่ึง เป็นเสน้ ใยจากธรรมชาตมิ ารงั สรรคจ์ นเป็นผลติ ภณั ฑท์ ส่ี ะทอ้ นอตั ลกั ษณ์ของผา้ ทอ นา้ มอญไดเ้ ป็นอย่างดี ทาใหเ้ หน็ ถงึ ความลงตวั ระหว่างภูมปิ ญั ญาดง้ั เดมิ ทส่ี ามารถ นามาประยุกตใ์ ชก้ บั ความคิดสรา้ งสรรคข์ องคนรุ่นใหม่ไดเ้ป็นอยา่ งดี

ฃ อำเภอเถนิ : กล่มุ ทอผำ้ บำ้ นทำ่ ชำ้ ง กลมุ่ ทอผา้ บา้ นท่าชา้ ง (ทอลาย) ตงั้ อยูเ่ ลขท่ี 71 หมู่ 2 บา้ นท่าชา้ ง ตาบลแมว่ ะ เน่อื งจากสภาพภาวะทางเศรษฐกิจท่มี กี ารขยายตวั เพม่ิ ข้นึ ค่าครอง ชีพสูงข้นึ ทาใหค้ ่าใชจ้ ่ายในครอบครวั มากข้นึ ตามไปดว้ ย กลุ่มแม่บา้ นท่าชา้ งจงึ รวมตวั เพอ่ื หาแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาและเพม่ิ ช่องทางในการหารายได้ เสรมิ จงึ ไดก้ ่อตงั้ กลุม่ ทอผา้ บา้ นท่าชา้ งข้นึ โดยนาเอาภูมปิ ญั ญาการทอผา้ ทส่ี บื ทอดจากบรรพบุรุษสรา้ งสรรลวดลายบนผา้ ทอจนเกิดเป็นอาชี พ สรา้ งงาน สรา้ งรายไดแ้ ก่คนในชมุ ชน ผา้ ทอบา้ นทา่ ชา้ งไดร้ บั การสนบั สนุนจากหน่วยงานต่างๆทงั้ ภายในทอ้ งถน่ิ และหน่วยงานภายนอกทเ่ี กีย่ วขอ้ ง อาทิ องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลแม่วะ ศูนยส์ งเคราะหส์ ตรภี าคเหนอื พฒั นาชมุ ชนในการถา่ ยทอดเทคนิคและวธิ กี าร เป็นตน้ นอกจากน้ยี งั มกี ารทอผา้ ลวดลายโบราณ ซง่ึ มเี อกลกั ษณโ์ ดดเด่น อาทิ ลายราชวตั ร ลายดอกหลวง ลายดอกนอ้ ยทไ่ี ดม้ าจากลายผา้ ห่มส่วนลายทถ่ี อื ว่ามคี วามยากทส่ี ุดคือ ลายเกลด็ เต่า ซง่ึ หาผูท้ อทเ่ี ช่ยี วชาญไดย้ ากเน่อื งจากใชเ้ทคนิคการทอทต่ี อ้ งสลบั เสน้ ฝ้ายทอตลอดผนื

ฃ อำเภอแจห้ ่ม : กลมุ่ ทอผำ้ วเิ ชตนคร (บำ้ นบนดอย) กลุม่ ทอผา้ วเิ ชตนคร (บา้ นบนดอย) ตงั้ อยู่เลขท่ี 290 หมู่ 3 บา้ นใหม่ผา้ ขาว ตาบลวเิ ชตนคร ก่อตงั้ เมอ่ื ปี พ.ศ.2545 โดยเป็นการรวมกลุ่มสมาชกิ ทม่ี คี วามรูด้ า้ นการทอผา้ เพอ่ื สบื สานภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ และหารายไดส้ รมิ จากการเกษตรทเ่ี ป็นอาชพี หลกั ทาการทอผา้ ดว้ ยก่ีกระตกุ พฒั นาสสี นั รูปแบบ และลวดลาย ทาการเพม่ิ คุณค่าผา้ ทอดว้ ยการตดั เยบ็ เส้อื ผา้ เคร่อื งแต่งกาย เคร่อื งใชแ้ ละเคร่อื งประดบั จากผา้ เป็นตน้ ผา้ ทอวเิ ชตนครนนั้ มลี กั ษณะท่โี ดดเด่นและแตกต่างจากผา้ ทอทอ่ี ่นื เน่ืองจาก ผา้ มคี วามหนาแน่นใชง้ านไดน้ าน สไี ม่ตก และลวดลายท่มี รี ูปแบบ เฉพาะตวั ไมเ่ หมอื นกบั ทอ่ี น่ื ซง่ึ เป็นลวดลายทไ่ี ดม้ าจากการถา่ ยทอดความรูข้ องวทิ ยาการจากรมสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรม และเป็นลายทค่ี ดิ คน้ ข้นึ มาเอง โดยใชเ้ทคนิคการทอแบบยกตะกรอ (ก่เี หยยี บ) เพอ่ื ใหเ้กิดลายบนผา้ หรือทเ่ี รยี กว่า ผา้ ยก โดยความยากงา่ ยของลายข้นึ อยู่กบั การยกตะกรอของผา้ แต่ละผนื เร่มิ ตง้ั แต่การยก 4 ตะกรอ ไปจนถงึ 8 ตะกรอ รวมไปถงึ การพ่งุ เสน้ ดา้ ย 2 เสน้ พรอ้ มกนั ซง่ึ ตอ้ งข้นึ อยูก่ บั ความชานาญของผูท้ อดว้ ยเช่นกนั ผา้ ทอทไ่ี ด้ จงึ มรี าคาค่อนขา้ งสูงจงึ มกั ไดร้ บั ความนิยมในการนาไปตดั เป็นชดุ สาหรบั พธิ สี าคญั เป็นหลกั

ฃ อำเภองำว : กล่มุ สตรที อผำ้ แม่ฮำ่ ง กลุ่มทอผา้ วิเชตนคร (บา้ นบนดอย) ตงั้ อยู่ท่ี บา้ นแม่ฮ่าง หมู่ 3 ตาบลนาแก ก่อตงั้ เมอ่ื ปี พ.ศ.2548 โดยมแี กนนาในการก่อตง้ั กลุ่มคือ นางอาภรณ์ ศิราไพบูลยพ์ ร ไดร้ เิ รม่ิ ชกั ชวนสตรบี า้ นแม่ฮ่างทม่ี คี วามสนใจ มคี วามสามารถในการทอผา้ มารวมกลุม่ กนั โดยมแี นวคิดในการหารายไดเ้สรมิ ใหแ้ ก่ครวั เรอื น เน่อื งจากวถิ ชี วี ติ ของชนเผ่ากระเห ร่ยี งนนั้ ผูห้ ญงิ ตอ้ งทอผา้ เพ่อื ใชเ้ ป็นเร่อื งนุ่งห่มและใชใ้ นวถิ ชี วี ติ ประจาวนั ไดเ้ป็นทุนเดมิ อยู่แลว้ จึงอยากรวมกลุ่มคนท่มี คี วามพรอ้ มในการสืบทอดภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ มาร่วม แบ่งปนั ความรูแ้ ละถ่ายทอดเทคนิควธิ ีการทอ เพ่อื สรา้ งสรรคผ์ ลติ ภณั ฑผ์ า้ ท่ที ่เี ป็นอตั ลกั ษณ์เฉพาะถ่นิ ของบา้ นแม่ฮ่าง โดยใหส้ มาชิกแต่ละคนเป็นทอผา้ ท่บี า้ นของตนแลว้ ทางกลมุ่ จะเป็นศูนยข์ อ้ มลู และจาหน่ายผลติ ภณั ฑจ์ ากฝีมอื ของสมาชกิ ลมุ่ ผา้ ทอบา้ นแม่ฮ่าง เป็นการทอผา้ ทใ่ี ชเ้ สน้ ดา้ ยจากการยอ้ มสดี ว้ ยวสั ดุธรรมชาติ และใชเ้ ทคนิคการทอจากก่ีเอวหรือหา้ งหลงั ของชาวปกาเกอญอ โดยผูท้ อจะมกี ารคิด ลวดลายและออกแบบไวก้ ่อนลงมอื ทอ การเก็บดอกดว้ ยการยกเสน้ ดา้ ยขา้ มเสน้ เพอ่ื ให้ ลายมีความสวยงาม ส่งผลลวดลายเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั มลี วดลายดง้ั เดิมซ่ึงมี ตน้ แบบมาจากคติความเช่อื และวถิ ชี วี ติ ลวดลายท่ปี รบั ปรุงประยุกตเ์ ป็นลายใหม่ โดย ใชฐ้ านจากลายเก่ามาปรบั ซง่ึ ทาใหผ้ า้ ทอมคี วามสวยงามและทนั สมยั มากยง่ิ ข้นึ ผา้ ทอท่ถี ูกทอข้นึ ทุกครงั้ จะตอ้ งมกี ารกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ในการนาไปใชง้ าน หากตอ้ งการนาไปตกแต่งจะตอ้ งคาถึงความสวยงามและจะเพ่ิมมูลค่าไดอ้ ย่างไร นอกจากผา้ ทอทถ่ี กู นาไปใชท้ าเส้อื ทายา่ ม ทาผา้ ซน่ิ แลว้ กลมุ่ สตรที อผา้ แม่ฮ่างยงั มกี าร ทอผา้ พ้นื สธี รรมชาตเิ พอ่ื นาไปใชส้ าหรบั การตดั เยบ็ เส้อื ผา้ สาเร็จรูปอกี ดว้ ย

ฃ อำเภอแม่พรกิ : กล่มุ สบื สำนงำนฝ้ ำย กลุ่มสบื สานงานฝ้าย ตงั้ อยู่เลขท่ี 50 หมู่ท่ี 4 ตาบลบา้ นดง ก่อตง้ั เม่อื ปี พ.ศ.25๕๙ โดยเร่ิมแรกนน้ั เป็นการทอผา้ จากภูมปิ ญั ญาของ บรรพบุรุษ โดยเป็นการทอผา้ ใชเ้ องภายใน ครวั เรอื นต่อมาไดห้ ยุดทอไปเน่อื งจากสว่ นใหญ่ตอ้ งทาอาชพี หลกั และการเปลย่ี นแปลงของวฒั นธรรมการบริโภคท่มี ่งุ เนน้ สง่ิ ทอสมยั ใหม่มากข้นึ ราวปี 2559 จงึ ไดเ้กิดแนวคิดในการร้อื ฟ้ืนการ ทอผา้ เพอ่ื เป็นการอนุรกั ษแ์ ละสบื ทอดองคค์ วามรูซ้ ่งึ เป็นอตั ลกั ษณ์ของทอ้ งถ่นิ ข้นึ ทางกลุ่มไดม้ กี ารวางแผนในการสารวจความสนใจและความ ตอ้ งการของผูบ้ ริโภคเพอ่ื หาตลาดในการส่งออก สนิ คา้ มกี ารคดั เลอื กวตั ถดุ ิบท่ใี ชใ้ นการทอ รวมไปถงึ การใชก้ รรมวธิ ีในการทอใหม้ รี ูปแบบท่ผี สมผสานระหว่างองคค์ วามรูด้ ง้ั เดิมและเทคโ นโลยีสมยั ใหม่ โดยเนน้ การปนั่ ฝ้ายและยอ้ มสเี อง ซ่งึ สที ่ใี ชส้ าหรบั ยอ้ มเสน้ ดา้ ยท่ไี ดจ้ ากการปนั่ นนั้ จะเป็นสียอ้ มจากธรรมชาติซ่งึ เป็นวัตถดุ ิบท่สี ามารถหาไดใ้ นชุมชนและนามายอ้ ม มวี ธิ ีการและเทคนิคท่หี ลากหลายข้นึ เพ่อื ใหส้ ีท่ไี ดม้ ีความ หลากหลายและเขา้ ถงึ ความตอ้ งการมากย่งิ ข้นึ นอกจากน้ที างกลมุ่ ยงั มแี นวคดิ ทจ่ี ะเปิดเป็นศูนยก์ ารเรียนรู้ การปลูก การปนั่ ดา้ ย และการทอผา้ เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรียนรูใ้ หก้ บั ผูท้ ต่ี อ้ งการศกึ ษา หรือผูท้ ส่ี นใจใหส้ ามารถเขา้ มาเรียนรูข้ นั้ ตอน วธิ ีการและรูปแบบของผา้ ทอ ปจั จบุ นั ผา้ ทอโดยสว่ นใหญ่จะเนน้ การทอผา้ ซน่ิ และผา้ พ้นื เป็นหลกั และทอ เป็นผา้ หม่ โดยมจี ดุ เดน่ คอื การใช้ ลายดอกแกว้ เป็นลายหลกั ในการทอ (ทม่ี ำ : สำนกั งำนวฒั นธรรมจงั หวดั ลำปำง, 2560. อตั ลกั ษณ์ภษู ำลำ้ นนำ. โครงกำรพฒั นำและยกระดบั กำรท่องเท่ยี ว พ้นื ทกี่ ล่มุ จงั หวดั ภำคเหนือตอนบน 1 กจิ กรรมตำมรอยอำรยธรรมลำ้ นนำตะวนั ตกเพ่อื กำรท่องเท่ยี วเชิงวฒั นธรรม ปีงบประมำณ 2560)

ภูมิปัญญา (local wisdom) ด้านยารักษาโรค ยาสมุนไพร การนวด ตอกเส้น ชุมชนคนเมือง ลาปางมีการดาเนินชีวิตที่เรียบง่ายอิงแอบกับธรรมชาติในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การทา ไร่ทานา หรือแม้แต่การรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนาสมุนไพรท่ีหาได้ตามพื้ นบ้านมาใช้เป็นยาใน การรักษาโรคต่าง ๆ ซ่ึงความรู้เหล่านี้เองที่เป็นภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น มีการอนุรักษ์สืบทอดต่อ กันมาหลายรนุ่ ในส่วนนี้จึงเป็นการนาเสนอภูมิปัญญาในการดารงชีวิตท่ีควบคู่กับการรักษาความสมดุลของ ร่างกาย และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วยวิธีธรรมชาติหรือการแพทย์ภูมิปัญญา ด้วยการใช้สมุนไพร การนวด และการตอกเส้น อันเป็นกระบวนการแยบยลที่ใช้ความเข้าใจในร่างกาย จิตใจ ธรรมชาติ ฤดูกาลและส่งิ รอบตัว เป็นปจั จัยในการดารงอยู่ และการดูแลรกั ษา

ภูมิปัญญา (local wisdom) ด้านท่ีอยู่อาศัย อาคารสถานท่ี การสร้างบ้านเรือนของเมืองลาปาง นอกจากจะสัมพันธ์กับธรรมชาติ การเกษตรและวิถีชีวิตผู้คนแล้ว ยังเกี่ยวเนื่องกับคติความเชื่อในการ สร้างบ้านซ่ึงมีอยู่ทุกท้องถ่ินแต่ละแห่งมีพิ ธีการ ความคิด ความเช่ือถือมีทั้งเหมือนกันและแตกต่างกัน นอกจากน้ียังมีความเช่ือต่อพระ เจ้า ผีสาง เทวดา แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แผ่นดิน สายน้า ทางลม ฯลฯ ซง่ึ มีอทิ ธิพลต่อชีวิตประจาวนั ของชาวบ้านอย่างแนบแน่น เม่ือจะกระทาสิง่ ใดทเี่ หน็ วา่ สาคญั กับความสุขความเจริญ กต็ อ้ งหาอุบายมาปดั เปา่ หรือปอ้ งกัน ในส่วนนี้ จึงเป็นการรวบรวมนาเสนอรูปแบบบ้านท่ีอยู่อาศัย รวมถึงอาคารสถานท่ีที่ได้รับอิทธิพล ทางวัฒนธรรมจากผู้คนในพื้ นที่ต่างๆ ในเชิงศิลปะ วัฒนธรรม และแนวคิดกลไกภายใต้ศาสตร์ ทางสถาปตั ยกรรมน้ันๆ อนั เปน็ การอธบิ ายให้เหน็ ถึงสภาพแวดลอ้ มเมืองและชมุ ชนไดใ้ นอกี นัยหนง่ึ

ภูมิปัญญา (local wisdom) ด้านภาษา วรรณกรรม ซ่ึงมีการบันทึกเรื่องราวในอดีตของคนท้องถ่ิน ซ่ึงมีประเภทของวรรณกรรม 2 ประเภท คือ การถ่ายทอดด้วยปากเปลา่ เป็นการบอกเล่าหรือการขับร้อง และ การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ คากลอนบันทึกทางประวัติศาสตร์ นิทานหรือตาราความรู้ต่างๆ โดยใช้ ภาษาทอ้ งถนิ่ ในการจดบนั ทกึ มีรปู แบบการประพันธด์ ้วยภาษาท้องถ่นิ ทสี่ วยงาม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภูมิปัญญาของกวีพื้ นบ้านในการใช้ท่วงทานองและลีลาภาษาบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ อย่างชัดเจน และเป็นเสมือนบทบันทึกของชาวบ้านล้านนาในช่วงเวลาน้ัน ที่มีความคิดเห็นความรู้สึก ตอ่ เหตกุ ารณ์บา้ นเมืองในดา้ นต่างๆ เป็นความรู้ ภมู ิปัญญาทช่ี าวบ้านสัง่ สมและสืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นคน ในส่วนน้ี ได้มีการนาเสนอ โดยแบ่งหมวดหมู่ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ภาษา / วรรณกรรม ที่เก่ียวข้อง กับพุ ทธศาสนา อาทิ บทสวด บทเทศนาต่างๆ และ ภาษา / วรรณกรรม พ้ืนบ้าน อาทิ จ้อยซอ ค่าว เล่าเจยี้ (เรื่องเลา่ ) ของลาปาง



ในจงั หวดั ลำปำงและหลำยจงั หวดั ในภำคเหนอื ตอนบน หำกเอย่ ชอ่ื อำจำรยศ์ กั ด์ิ รตั นชยั เชอ่ื ไดว้ ่ำเป็นทค่ี ุน้ เคยต่อผูค้ นในแถบถน่ิ น้อี ย่ำงยง่ิ โดยเฉพำะในแวดวงงำน วชิ ำกำร งำนกำรศกึ ษำ งำนวฒั นธรรมงำนศลิ ปะ นำฏดนตรี ดว้ ยเหตทุ บ่ี คุ คลทำ่ นน้ไี ดร้ บั กำรกลำ่ วขวญั กนั ในหมนู่ กั วชิ ำกำรว่ำเป็น “คมั ภรี ภ์ มู ิปญั ญา” อนั หมำยถงึ ควำมเป็น ผูม้ คี วำมรอบรูอ้ ย่ำงลกึ ซ้งึ ในสรรพศำสตร์ สรรพวชิ ำอย่ำงแทจ้ ริงผูห้ น่ึงของชำวเหนือคนเมอื งเฮำ ทง้ั ดำ้ นวรรณศิลป์ ดุริยศิลป์ นำฏศิลป์ วจิ ิตศิลป์ ประวตั ิศำสตร์ ศำสนำ ปรชั ญำ และกิจกรรมสงั คม ศกั ด์ิ รตั นชยั , ศกั ด์ิ ส.รตั นชยั ,สกั เสรญิ รตั นชยั หรอื ศกั ด์ิ สกั เสรญิ รตั นชยั ทกุ ช่อื น้ี หมำยถงึ บคุ คลท่ำนเดยี วกนั ทไ่ี ดร้ บั กำรยอมรบั ว่ำเป็นปรำชญท์ อ้ งถน่ิ เป็นครู ภูมปิ ญั ญำ เป็นบคุ คลทม่ี ผี ลงำนอนั ทรงคุณค่ำเป็นทป่ี ระจกั ษม์ ำตลอดระยะเวลำหลำยสบิ ปีในหลำกหลำยสำขำ ไม่ว่ำจะเป็นดำ้ นกำรแสดงพ้นื บำ้ น กำรแสดงประยุกต์ ดำ้ น ดนตรี กำรประพนั ธเ์ พลง กำรถ่ำยภำพ งำนเขยี นหนงั สอื งำนเขยี นรูป งำนศิลปะ กำรต่อสู ้ กำรผลติ หนงั สอื สอ่ื สง่ิ พมิ พ์ และอ่นื ๆ อกี มำกมำย กล่ำวเฉพำะในดำ้ นศิลปะกำรแสดง ผลงำนของปรำชญท์ ่ำนน้ีนบั ไดว้ ่ำอยู่ในระดบั บรมครู เน่ืองเพรำะไดค้ ิดคน้ สรำ้ งสรรค์ สืบสำน ถ่ำยทอด ปรบั ประยุกต์ จนเกิดผลงำนช้ินเอกมำกมำย ควำมโดดเด่นในงำนกำรแสดงของอำจำรยศ์ กั ด์ิ ท่ีชดั เจน คือกำรประยุกตใ์ ชค้ วำมรูจ้ ำกตน้ แบบงำนศิลปะต่ำง ๆ มำคิดคน้ เป็นท่ำทำง ท่วงทำนองในงำนกำรแสดง ทม่ี ลี ลี ำบอกควำมหมำย ไดอ้ ย่ำงลงตวั หมดจด อำทิ กำรนำผำ้ ขำวมำ้ มำเป็นเคร่อื งมอื ในกำรต่อสูแ้ ทนอำวุธและคิดคน้ ออกแบบเป็นท่ำร่ำยรำท่ี สมจริง กำรนำท่ำทำงจำกภำพนำงรำในจิตรกรรมฝำผนงั มำประดิษฐเ์ ป็นท่ำรำท่ีงดงำม กำรผลติ ส่งิ ทอ 12 ขน้ั ตอนเขำ้ กบั กำรสำธิตและบรรยำยในพิพธิ ภณั ฑ์แก่ครูและ นกั เรยี นกำรเขำ้ ร่วมนำคณะนำฏศลิ ป์ จำกลำปำงไปทำกำรแสดงศิลปะพ้นื บำ้ นในงำนมหกรรมศลิ ปะพ้นื บำ้ นนำนำชำตเิ ลฟคำดำ้ ครงั้ ท่ี 37 ทป่ี ระเทศกรซี และผลงำนกำรแสดง ทร่ี งั สรรคโ์ ดยอำจำรยศ์ กั ด์ิ รตั นชยั ทเ่ี ลำ่ ลอื กลำ่ วขำนกนั ถงึ ขนำดยกใหเ้ป็นกำรแสดงอนั เป็นตวั แทนแหง่ เมอื งลำปำง หรอื “เพลงชำตขิ องนำฏศิลป์ลำปำง” นนั่ คือ กำรแสดง ในชดุ ทช่ี ่อื วำ่ รำ่ เปิงลำปำง

กำรแสดงในชุดท่ีช่ือว่ำ “รา่ เปิ งลาปาง” เป็นกำรแสดงภำยใตบ้ ทเพลงและท่วงท่ำ บทเพลง ร่ำเปงิ ลำปาง นำฏศิลป์อนั เป็นอมตะ ท่นี ำเอำสญั ลกั ษณ์ของชำวลำปำง เช่น กำรคลองสไบของแม่ญิงลำปำง มำประกอบเขำ้ ในกำรร่ำยรำ ทม่ี ลี ลี ำท่ำเดนิ ย่ำงเทำ้ อย่ำงมแี บบฉบบั เฉพำะตวั ภำยใตบ้ ทเพลง ยง ยง ยง ต๋าวันส่อง ลำแสงแจ้งแล้ว และดนตรีท่แี ปลกแตกต่ำง ดว้ ยเน้ือเพลงท่เี ป็นภำษำคำเมอื งแท้ ๆ จนหลำยคนบอกว่ำ “กุกำ หันใส ดังแก้ว ต้ีปลา๋ ยธาตุเจ้า ลำปางหลวง เมยี งแต๊ ๆ” โดยไดบ้ รรยำยถงึ วถิ ชี วี ติ ชำวลำปำงอยำ่ งมองเหน็ ภำพ รบั รูไ้ ดท้ นั ทถี งึ ควำมเป็นคน เมอื งลำปำง ซง่ึ ทง้ั ดนตรี บทเพลง เน้อื รอ้ งทำนอง ลว้ นเป็นผลงำนของ อำจำรยศ์ กั ด์ิ รตั นชยั ยกมอื ไหวส้ า ตึงบปุ ผา ดอกดวง เม่ือเหมย ยวั ยวง ก็ล้ัวะหล่งิ ใบ ลงดนิ (ทีม่ า: ขวญั นภา สุขคร, 2556. คานิยมในเอกสารหลกั ฐานผลงานเพือ่ เสนอขอประกาศเชิดชู นัน นัน นัน เสียงนันเดือดซ้ือขายกาดเจ๊า เกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาชาศิลปะการแสดง พุทธศกั ราช 2556 ของ อ.ศกั ดิ์ สกั เสริญ เปี้ยดซ้า ของขา้ ว ตึงก๋วยแต๋งเตา้ บุงจ๊ิน รตั นชยั ) แถมครัว ผกั สวน ปา้ วต๋าลตังมวล กลว้ ยส้มหมากปนิ สัตว์น้ำ สตั ว์ดิน ตงึ แมงตีบ้ นิ ไปมา เสียงลอ้ เสียงเกวีย๋ นงวั ตา่ ง ตงึ เสียงผ่างลาง ฮอกเดง็ ตีเ้ ตยี ว ตงึ เสยี ง คนเอ็กคนเอย๋ี ว ไปซ่ือ ไปเลีย้ ว นัง่ จ๊างตา่ งม้า ครวั แพะ ครัวปา่ ครัวปง ครัวโตง้ ครัวโฮง ต้ีแป๋งแต่งดา ปี๋ใหม่ เข้าออกวสา และป๋าเวณี ย่ีเป็ง ป๊ะ ป๊ะ ป๊ะ หอกลอ๋ งพระ ตป๋ี ะ๊ ตึง่ ตงึ สะลอ้ ซอ ซึง จุมกล๋องถดึ ทงึ ติด้ ตง่ึ โหนง่ เหนง้ หนัวเจงิ ก็ฟ้อนกั๋น ผีไผผีมัน ผีมดซอนเมง็ งอ่ มใจฮ๋ ำ่ เพลง กก็ ๊ึดร่ำเปิง ลำปาง บทร้อง-ทำนอง ศักดิ์ รัตนชยั บรรเลงโดย วงออเคสตรา้ กองทพั เรือ ขบั ร้องโดย ครชู ุตมิ ณฑน์ เขียวรน่ื รมณ์ และครูศรนี วย สำอางคศ์ รี

เพลงรำ่ เปิงลำปำง ปี 2510 คือเพลงกำรบำ้ นของ ศกั ด์ิ ส.สมยั เป็นศิษย์ ในส่วนคำว่ำผีไผผีมนั ผีมดซอนเมง อธิบำยไดว้ ่ำ คนโบรำณก่อน พรบ. ทฤษฏีประสำนเสยี ง น.ท.อำรี สุขเกษ หน.ดย.ทอ.ท่คี รูประสงคจ์ ะใหส้ รำ้ งเพลงแนว นำมสกุล ร.6 ทกั ทำยกนั จำมถำมถงึ ผอี ะหยงั คือตระกูลผอี ะไร ผมี ดก็มที ำนองเพลงผี ตำนำนโอเปร่ำอนิ เดอะเปอรเ์ ซยี นมำรเ์ ก็ต โดยโหมดเสยี งดนตรีพ้นื เมืองลำปำงทม่ี กี ำร มด ช่อื เพลง เคำ้ หำ้ (โหมดเสยี ง Panta tonic) ผเี มงก็มเี พลงตระกูลผเี มง (โหมดเสยี ง จบั เคำ้ ลำนำเพลงท่บี อกเป็นทำงเหนอื ในแบบลำปำง ในบทรอ้ ง เรอื่ งทต่ี ดิ พนั จงึ ของเล่ำ ท่เี รียกว่ำผเี มงTonic คลำ้ นพวก Asian minor คือโครงเสยี งไพเรำะแบบรำ่ เปิงลำปำง ถงึ ประวตั เิ คำ้ ผเี มงคู่สญั ลกั ษณ์ลำปำง นบั แต่บทรอ้ ง “โยงๆตำ๋ วนั สองลำแสงแจง้ ” แลว้ เขำ้ คำภำษำพ้นื เมอื ง แบบคำเมอื งลำปำงเป็นอตั ลกั ษณ์ โดยท่พี ่อเจำ้ บุญวำทยว์ งศม์ ำนิต เจำ้ ผูค้ รองนครลำปำงสุดทำ้ ย (2440-2465) มรี ำชบุตรเขยเป็นสำยผเี มง กบั รำชบุตรีสบื “โยงๆๆ” คือคำกริยำ วิเศษ ภำษำคำเมือง หมำยถึง วำว เร่ือเรืองรอง ผบี รรบรุ ุษคือผมี ด จงึ ไดม้ พี ธิ ีไขว่ครูหลวงเคำ้ มดและเคำ้ ผเี มง เป็นตระกูลผมี ดซอนเมง ขณะแสงอำทติ ยป์ รำกฏจำกง่ำมกอยประจำเมอื งพรอ้ มลกั ษณะเคล่อื นไหว “โยงๆๆ” ประเพณีฟ้อนผีดงั กล่ำวคือ ข้นึ 3 คำ เดือน 6 เหนือ (รำวมนี ำคม) ดงั ควำมเป็นมำ สญั ลกั ษณ์ลำปำงคู่ตำนำนกุกกุตตนคร เมอื งไก่ขนั ดงั กล่ำว จึงเป็นหวั ขอ้ หน่ึงในอีกหลำย ๆ ขอ้ ของคำว่ำลำปำงเก่ำกว่ำประเทศไทย ร่วม หวั ขอ้ “ตำนำนมหศั จรรยเ์ ร่ืองมรดกผเี มงกเทพเจำ้ ขลำงคำ” เน้ือรอ้ งเพลงรำ่ เปิงลำปำง ตอน ปะๆๆหอกลอ๋ งพระตปี๋ ะต้งี ๆ สะลอ้ ซอซงึ จุ ( ท่ี ม ำ : ต ำ น ำ น ม หัศ จ ร ร ย์ เ รื่ อ ง ม ร ด ก ผี เ ม ง กั บ เ ท พ เ จ้ำ ข ล ำ ง ค ำ มกลอ๋ งถืดทึงติดตึงโหน่งเหนง้ หนวั เจิงก็ฟ้อนกนั๋ ผไี ผผีมนั ผมี ดซอน เมง ง่อมใจฮ๋ ำ่ http://www.thainews70.com) จงั หวดั . คน้ ควำ้ อิสระหลกั สูตรอกั ษรศำสตรบณั ฑติ เพลง กก็ ดึ๊ รำ่ เปิงลำปำง” สำขำวชิ ำภำษำไทยเพอ่ื กำรพฒั นำอำชพี . บนั ฑติ วทิ ยำลยั มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร) นอกจำกน้ี ในผลงำนวจิ ยั เรื่อง กำรใชภ้ ำษำและเน้ือหำเพลงประชำสมั พนั ธ์ จงั หวดั (เสำวภำคยด์ สิ วสั ด์,ิ 2562) ไดม้ กี ำรวเิ ครำะหเ์ น้อื เพลง “รำ่ เพงิ ลำปำง” หรอื รำ่ เปิงลำปำง โดยระบวุ ำ่ พจนำนุกรมลำ้ นนำ - ไทย ฉบบั แม่ฟ้ำหลวง (2534: 301) ไดใ้ หค้ วำมหมำย ของคำวำ่ “งอ่ ม” หมำยถงึ วำ้ เหว่ หงอยเหงำ เปลย่ี วใจ พจนำนุกรมลำ้ นนำ - ไทย ฉบบั แมฟ่ ้ำหลวง (2534 : 1626) ไดใ้ หค้ วำมหมำย ของคำว่ำ “ฮำ่ ” หมำยถงึ รำ่ พรรณนำ พจนำนุกรมลำ้ นนำ - ไทย ฉบบั แม่ฟ้ำหลวง (2534 : 1075) ไดใ้ หค้ วำมหมำย ของคำวำ่ “รำ่ เพงิ ” หมำยถงึ รำพงึ คดิ คำนงึ ใคร่ครวญ จำกกำรวเิ ครำะหเ์ พลง “รำ่ เพงิ ลำปำง” เม่อื นำมำประกอบกบั คำในภำษำถ่ิน แลว้ ปรำกฏควำมหมำย อำรมณ์เหงำใจ จึงรอ้ งเพลงทำใหเ้ กิดควำมคำนึงถงึ จงั หวดั ลำปำง (ท่ีมำ: เสำวภำคย์ ดิสวสั ด์ิ, 2562. กำรใชภ้ ำษำและเน้ือหำในเพลงประชำสมั พนั ธ์ จงั หวดั . คน้ ควำ้ อสิ ระหลกั สูตรอกั ษรศำสตรบณั ฑติ สำขำวชิ ำภำษำไทยเพอ่ื กำรพฒั นำ อำชพี . บนั ฑติ วทิ ยำลยั มหำวทิ ยำลยั ศิลปำกร)

บทเพลงรำ่ เปงิ ลำปาง เป็นเพลงทอ่ี าจารย์ศักดิ์ สักเสรญิ รตั นชัย1 ประพนั ธ์ขนึ้ ในปี พ.ศ. 2510 เนื้อเพลงไดก้ ล่าวถงึ ความอาลยั อาวรณถ์ ึงเมืองลำปาง และ บรรยายบรรยากาศของวิถีชีวติ ของผู้คนเมืองลำปางได้อยา่ งชัดเจน ซึ่งสะท้อนความงดงามของเมืองลำปางได้เป็นอย่างดี โดยมีการประดิษฐ์ท่า รำประกอบเพลงจำนวน 2 ชุด ชุดแรกประดิษฐ์โดยอาจารย์ศักดิ์ สักเสริญ รัตนชัย และชุดที่สองโดยอาจารย์สามปอยดง เครือนันตาซึ่งเป็นที่นิยมใช้สำหรับการแสดงในงานสำคัญต่างๆ ของจังหวัด ลำปาง นับเป็นสัญลักษณแ์ ห่งเพลงท่ีสามารถถ่ายทอดคุณคา่ ในวิถีสังคมร่นุ เกา่ ไดอ้ ย่างงดงาม เอกสารอ้างองิ ขวญั นภา สุขคร, 2556. คำนิยมในเอกสารหลักฐานผลงานเพอ่ื เสนอขอประกาศเชดิ ชเู กยี รตเิ ปน็ ศลิ ปนิ แห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พทุ ธศกั ราช 2556 ของ อ.ศกั ดิ์ สกั เสริญ รตั นชยั . เสาวภาคย์ ดิสวัสด์ิ, 2562. การใชภ้ าษาและเนอื้ หาในเพลงประชาสมั พันธจ์ งั หวดั . ค้นคว้าอิสระหลกั สูตร อกั ษรศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าภาษาไทยเพอ่ื การพฒั นาอาชพี . บันฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ตำนานมหัศจรรย์เรือ่ งมรดกผเี มงกบั เทพเจา้ ขลางคำ http://www.thainews70.com 1 อาจารย์ศักดิ์ เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตในวัย 80 กว่า อย่างสมถะกับครอบครัว ในบ้านธรรมดาๆ หลังหนึ่งในตัวเมืองลำปาง เดินทางไปไหนมาไหนด้วยมอเตอร์ไซด์คู่ใจอายุพอ ๆ กับคนขี่ นับเป็ นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย พอเพียง แต่สิ่งที่ท่านมีให้มาตลอดชีวติ คอื การเขา้ ร่วมในกิจกรรมของท้องถิ่น บา้ นเกิดเมอื งนอนอยา่ งต่อเน่ือง ดว้ ยความเป็นผรู้ ู้ทเี่ กิดจากการศึกษา ค้นคว้าวจิ ัย อยา่ งมุ่งม่นั อาจารย์ศักดิ์จึงเข้ารับหน้าที่ในงาน ตา่ ง ๆ ด้วยการอาสาอย่างผ้มู จี ติ สาธารณะเสมอมา บทบาททีส่ ำคัญ เชน่ เป็นผรู้ ว่ มบุกเบิกในการค้นหาร่องรอยความเป็นลำปาง โดยการสำรวจทำแผนที่เมอื งโบราณนอกบัญชที ะเบียนโบราณสถาน, การแจ้งกรม ศลิ ปากรทำแผนท่ฉี บับแรกเมอื งเขลางค์อาลัมพางค์ เปน็ ผรู้ วบรวมและจดั แปลตำนานสำคัญต่าง ๆ ของลำปาง เช่น ตำนานพระธาตลุ ำปางหลวง, พงศาวดารสวุ รรณหอคำมงคล, พงศาวดารเถนิ , ตำนานพระธาตุ เสด็จ, ตำนานวัดพระธาตจุ อมปิงค์, ตำนานวัดกู่คำ, ตำนานวดั พระแก้วดอนเต้า, ตำนานวัดศรีลอ้ ม, ตำนานม่อนคีรีชัย, คมั ภรี ว์ ชิรเป๊กสูตร, กฎหมายมังรายฉบับไฟม้างกัปป์ เปน็ ต้น มีการยอมรับกันว่า อาจารย์ ศักดิ์ รัตนชัย เป็น “คัมภีร์เรื่องลำปางเคลื่อนที่” ผลงานที่เป็นระบบและโดดเด่นคือ หนังสือชุดป ระวัติศาสตร์ที่ชื่อว่า “ของดีนครลำปาง” (พ.ศ.2512-2513) ที่เป็นงานค้นคว้าเกี่ยวกับลำปาง ในยุคหริภุญไชย เมอื งเขลางคร์ ปู หอยสงั ข์ ลำปางในยคุ ลา้ นนา ตลอดจนมาถึงยุคเจ้าเจ็ดตน (รว่ มสมัยกบั กรุงรัตนโกสนิ ทร)์ นอกจากนี้อาจารย์ศักดิ์ ยังได้ทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง เจ้าสำนักจุมสะหรีวัดกู่คำลำปาง บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคเหนือ นิวส์ -เสียงโยนก นายก สมาคมเพื่อการรักษาสมบัติและวฒั นธรรมแหง่ ชาติสาขาจังหวัดลำปาง สสร.๒๕๕๐ กรรมการฯหลายองค์กร ฯลฯ รวมทั้งเคยไดร้ ับรางวัลอันทรงเกียร ติจากหลายองค์กรทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น วัตรปฏิบัติ แห่งวถิ ีชีวิต ท่ีตง้ั อยบู่ นพนื้ ฐานความพอเพยี ง มีคุณธรรม รกั วชิ าชพี ของตนมีความสามารถ เชี่ยวชาญ พัฒนา อนุรักษ์ และผดงุ ไวซ้ ง่ึ ศิลปะ จึงเป็นอีกด้านหน่ึงของอาจารย์ ทคี่ วรค่าแก่การนบั ถือ โดยผลงานและการดำรงอยู่อยา่ งมีคุณค่าเชน่ นี้ อาจารย์ศักดิ์ รัตนชัย จึงไดช้ ือ่ วา่ เปน็ ปราชญ “ผบู้ กุ เบกิ งานประวัตศิ าสตรแ์ ละการสร้างความเป็นลำปาง” ถ้าจะไดม้ ีการยกย่องเทิดทูนบคุ คลผู้ทรงคุณค่า ในระดับชาติเชน่ น้ี ไวอ้ ย่างเปน็ ทางการเพื่อแสดงถงึ การใหค้ วามสำคัญอยา่ งยิง่ คงคู่แผน่ ดินนไ้ี ปอกี ยาวนาน ก็คงจะเปน็ สิง่ เหมาะสมดว้ ยประการท้งั ปวง

ภูมิปัญญา (local wisdom) ด้านศิลปะ อีกหน่ึงมรดกภูมิปัญญาแห่งสุนทรีย์ ของลาปางท่ีมีเอกลักษณ์บนความหลากหลายและการผสมผสานทางวัฒนธรรม ผ่านช่างฝีมอื ในงานศลิ ปกรรมแขนงตา่ งๆ โ ด ย ใ น ส่ ว น นี้ เ ป็ น ก า ร ร ว บ ร ว ม ภู มิ ปั ญ ญ า ด้ า น ศิ ล ป ะ ห รื อ ศิ ล ป ก ร ร ม ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ง า น พุ ท ธ ศิ ล ป์ ดุ ริ ย ศิ ล ป์ ข อ ง ล า ป า ง ง า น ส ถ า ปั ต ย ก ร ร ม งานจิตรกรรมและภาพวาด ภาพลายเส้น งานแกะสลัก งานปนู ป้ ัน และงานเครอื่ งเงิน ที่มอี ยู่อยา่ งกระจดั กระจายในพ้ืนที่/ชุมชน หรือสถานที่สาคญั ตา่ งๆ ในจงั หวดั ลาปาง

งานพทุ ธศิลป์ งานสถาปตั ยกรรมสกุลช่างลาปาง สกุลชา่ งเชียงแสน วัดปงสนุก หรือวัดปงสนุกเหนือ ตั้งอยู่ในเขต ต.เวียงเหนือ อ.เมือง จ.ลาปาง เป็นวัดสาคัญคู่กับจังหวัดลาปางมาช้านาน “ปผงพระพิมพื” หนึ่งในรปู แบบงานพุทธศลิ ป์ นครลาปาง จากการเก็บรวบรวมงานโบราณวัตถุศิลปวัตถุท่ีปรากฎภายในวัดปงสนุกเหนือ โดยพระครูโสภิตขันตยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดปงสนุก จดั แสดง ณ วัดปงสนกุ เหนือ ชมุ ชนปงสนุก ดา้ นเหนือประมาณ 50 กวา่ ปที ี่ผ่านมา ทาใหง้ านพทุ ธศิลปต์ า่ งๆ ที่ครบู าโนได้สร้างไว้ยงั คงถกู เก็บรกั ษาไวภ้ ายในวดั ปงสนุกเหนอื เปน็ ทม่ี าภาพ : สยามรัฐ อย่างดี จนต่อมาพระน้อย นรตฺตโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และอาจารย์อนุกูล ศิริพันธุ์ คนในชุมชนบ้านปงสนุก ได้เล็งเห็นถึงคุณคา่ และ ความสาคัญของมรดกทางวัฒนธรรมเหลา่ น้ี จึงได้มีการศึกษาทั้งในรูปแบบลวดลาย การนาไปใช้งานต่างๆ รวมไปถึงประวัติในการ สร้างงานพทุ ธศลิ ป์ชนิ้ นนั้ ๆ เพื่อนาข้อมูลเหล่านี้มาจัดเปน็ ระบบฐานข้อมลู มรดกทางวัฒนธรรมทม่ี ภี ายในชุมชน และจงึ ได้พิพิธภัณฑ์ งานศลิ ปเ์ มืองละกอน วดั ปงสนุกเหนือ อาเภอเมอื ง จังหวัดลาปาง โดยแบ่งเป็นพพิ ธิ ภณั ฑย์ อ่ ยอกี มากมาย คือ 1. พพิ ิธภัณฑ์หบี ธรรม รวบรวมหบี บรรจุใบลานซง่ึ จารเรอื่ งราวหรือพระสูตรในพระพระพุทธศาสนา โดยหีบธรรมท่ีปรากฎ ในวัดปงสนกุ มอี ยหู่ ลายใบ และหลากหลายรปู แบบ 2)พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปไม้ คนล้านนาในอดีตนิยมสร้างพระพุทธรูปไม้เพ่ือเป็นเครื่องทานถวายแทนตนเอง ให้สามารถ เขา้ สูพ่ ุทธภมู ิได้น้นั ก็คอื “นิพพาน” วัดปงสนกุ เป็นอีก 1 แหง่ ทีม่ ีพระพุทธรปู ไม้เป็นจานวนมาก 3)พิพิธภัณฑ์ตุงค่าวธรรม ภาพวาดบนผืนผ้าแสดงเร่ืองราวในพุทธประวัติ โดยในอดีตนิยมนามาใช้ในการเทศมหาชาติ ในช่วงยี่เป็ง ปัจจุบนั ถูกทดแทนด้วยงานจติ รกรรมฝาผนัง นบั ว่าเป็นงานจติ รกรรมท่หี ายากในปจั จบุ นั 4)พิพิธภัณฑ์งานพุทธศิลป์และเคร่ืองใช้ในพิธีกรรม คนในล้านนานั้นปฏิบัติบูชาด้วยความเคารพต่อพระพุทธศาสนาเป็น อยา่ งยิ่ง การทาเครือ่ งสักการะในพิธกี รรม จึงต้องอดุ มไปดว้ ยของท่ีดแี ละทรงคณุ คา่ นบั ว่าเปน็ หน่งึ ในวถิ ีชีวิตของชาวลา้ นนา 5)พิพิธภัณฑ์ครูเมืองละกอน เล่าเรื่องราวเก่ียวกับครูบาอาโนชัยธรรมจินดามุนีอดีตเจ้าอาวาสวัดปกสนุก “เค้าครู” แห่ง เมืองลาปาง และ 6)ศนู ยก์ ารเรียนรู้ชมุ ชนบา้ นปงสนุก พื้นทถ่ี ่ายทอดความรู้ ภมู ปิ ญั ญา ประวตั ศิ าสตร์ชุมชนให้กบั คนทสี่ นใจ เป็นต้น ชุมชนปงสนุกจึงเป็นแหล่งเก็บรวบรวมข้อมูลที่เก่ียวข้องกับงานพุทธศิลป์สกุลช่างลาปาง โดยเฉพาะอย่างย่ิงสกุลช่างสาย ครูบาอาโนชัย ที่สาคัญอีกแห่งหน่ึง อันเป็นเอกลักษณ์ทางเทคนิคเชิงช่างท่ีปรากฏในนครลาปาง ซึ่งพิพิธภัณฑ์ต่างๆเหล่าน้ี ถือเป็น แหลง่ ข้อมลู ด้านงานพทุ ธศิลป์สาคญั แหง่ หนึ่งในจังหวดั ลาปาง ทาหน้าท่ีเผยแพรอ่ งค์ความรแู้ ละมรดกทางวัฒนธรรมสู่สังคมภายนอก เพอ่ื นาไปใชเ้ ป็นประโยชน์ซ่ึงแต่ละพิพิธภัณฑ์ย่อย มรี ปู แบบการนาเสนองานพทุ ธศิลปกรรมทีน่ ่าสนใจและเปน็ ประโยชน์ต่อผู้เข้าชม เป็นอย่างมาก (ฐาปกรณ์ เครือระยา, 2559)

ภูมิปัญญา (local wisdom) ด้านเครื่องมือเคร่ืองใช้ โดยเป็นการนาเสนอถึงงานภูมิ ปัญญาหัตถกรรมและหัตถอุตสาหกรรมทโี่ ดดเดน่ ของลาปาง ประกอบด้วย งานไม้ (จักสาน) งานดิน (ดินขาว) งานหิน (ครกหิน) งานกระดาษ (โคม ตุง ป๊ ับสา) และศาสตราวุธ (มีด ดาบ ฯลฯ) โดยวัตถุเหล่าน้ี นอกจากคุณลักษณะของวัตถุ และวัสดุที่ประกอบเป็นตัววัตถุข้ึน มาแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงบางแง่มุมของวัตถุเหล่านี้เพ่ื อทาความเข้าใจสังคม วัฒนธรรม และความสัมพั นธ์ทางสังคมสามารถบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงของที่ใช้ อาทิ การสร้าง ประวัติความเป็นมาการสงวนรักษา และการตีความวัตถุ อันสะท้อนให้เห็นภูมิ ปัญญาท้องถ่ินท่ีประดิษฐ์คิดค้นวัตถุทางวัฒนธรรมเหล่านี้ขึ้นมาและลักษณะการดารงชีวิต ของคนในชุมชนนนั้ ๆ



“ครกหิน” วัฒนธรรมทางอาหารกบั ภูมปิ ญั ญาในการ ตาใหแ้ หลก และ บดพอ(ให้)หยาบ ครกหนิ อปุ กรณ์ตา บด อาหารและวตั ถดุ บิ ในการปรงุ ประกอบอาหาร ประเภทจิม้ - ต้ม – แกง ...เขาเล่าว่า “เดิมทีคนไทยสมัยโบราณนิยมใช้ครกท่ีทาจากดินเผาเร่ือยมาจนถึงสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น ซ่ึงมีการติดต่อค้าขายกับจีน อิทธิพลจากชาวจีนไดม้ ีสว่ นทาให้ครกหนิ เป็นที่ รู้จักและแพร่หลายมากข้ึนโดยอาศัยฝีมือในการแกะสลักหินของชาวจีนมาดัดแปลงทาครกนั่นเอง แต่ครกหินในสมัยนั้นนิยมใช้กันเฉพาะในหมู่ชนช้ันสูงเท่านั้น ชาวบ้านโดยท่ัวไปยังนิยมใช้ครกที่ทา จากดินเผาอยู่เช่นเดิม เน่ืองจากมีน้าหนกั เบาและราคาถูกหาซ้ือได้ง่าย จนกระทั่งการทาครกหนิ ได้ กลายเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนของไทยรวมถึงคุณสมบัติที่แข็งแรงทนทาน จึงทาให้ครกหิน เป็นที่นิยมและแพร่หลายในหมู่คนท่ัวไปมากข้ึน อาจกล่าวได้ว่า การเกิดของครกหินน่าจะเป็นผล พวงจากวัฒนธรรมการกินอยู่ร่วมกันระหว่างผู้คนท้ัง 2 วัฒนธรรม ว่ากันว่าการประกอบอาหาร ไทยกว่าครึ่งจึงมีครกเป็นเคร่ืองมือชิ้นสาคัญ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยทาให้อาหารไทยน้ันสามารถ ประยุกต์ดัดแปลงได้หลายประเภท ชาวตะวันออกชาติอื่น ๆ ก็มีการประดิษฐ์ครกขึ้นใช้เหมือนกัน แตโ่ ดยมากใชเ้ พื่อปรงุ ยาหรอื สมนุ ไพร มเี พียงคนไทยเทา่ น้ันท่สี ามารถใชค้ รกเพื่อการปรุงอาหารได้ อยา่ งมีจินตนาการและสร้างสรรค์ เพราะครกไมบ่ ดอาหารจนละเอยี ดทาให้คงกลิ่นและรสของอาหาร ไดด้ ี อกี ทัง้ มขี ัน้ ตอน วิธกี ารเคลด็ ลบั ท่ีต่างกันออกไปแต่ละภูมภิ าคหรือท้องถน่ิ ”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook