การคดั กรอง สขุ ภาพจิตเด็กวยั เรยี น นายแพทยทวศี ักด์ิ สิรริ ตั นเรขา จิตแพทยเ ดก็ และวัยรุน
ชื่อหนังสือ การคดั กรองสุขภาพจิตเด็กวยั เรียน ผูเ้ ขียน นายแพทย์ทวีศกั ด์ิ สริ ิรตั นเ์ รขา จติ แพทยเ์ ด็กและวยั รนุ่ ISBN 978-974-296-882-3 พิมพค์ รง้ั ท่ี 1 สงิ หาคม พ.ศ.2560 ส�ำ นักพมิ พ์ บรษิ ัท บียอนด์ พับลสิ ชง่ิ จ�ำ กัด จัดพมิ พโ์ ดย ศูนยส์ ขุ ภาพจิตท่ี 13 กรมสขุ ภาพจิต งบประมาณ ศูนยส์ ุขภาพจติ ที่ 13 กรมสขุ ภาพจติ จำ�นวน 1,000 เล่ม ขอ้ มูลทางบรรณานุกรม ทวีศักดิ์ สริ ิรตั น์เรขา. (2560). การคัดกรองสุขภาพจติ เด็กวัยเรียน. กรงุ เทพฯ: บียอนด์ พบั ลิสชง่ิ .
ก คำ�น�ำ การคัดกรองสุขภาพจิต เป็นการใช้ชุดเคร่ืองมือหรือการทดสอบแบบย่อและเฉพาะเจาะจง เพื่อระบุความเสี่ยง หรอื โอกาสทีจ่ ะพบประเดน็ เฉพาะทางสุขภาพจิต ปญั หาสุขภาพจติ หรอื โรคทางจติ เวช ในประชากรกลุม่ เป้าหมาย เด็กวยั เรยี น คือ เด็กในช่วงอายุ 6-12 ปี หรือระดบั ช้นั ประถมศกึ ษา ซึง่ เปน็ ช่วงวยั แห่งการพัฒนาการเรียนรู้ต่าง ๆ เพ่อื เพิ่มพูนทักษะชีวิต และทกั ษะทางวชิ าการ การคัดกรองสุขภาพจิตเด็กวัยเรียน ปัจจุบันมีการดำ�เนินการในหลายระดับ หลายรูปแบบ และมีการนำ�เคร่ืองมือ คัดกรองมาใชอ้ ย่างหลากหลาย ท�ำ ให้ในบางกรณเี กิดความเข้าใจผิด ใชผ้ ิดวัตถุประสงค์ และแปลผลคลาดเคลอ่ื น หนงั สือ “การคัดกรองสุขภาพจติ เดก็ วยั เรยี น” เปน็ การรวบรวมความร้ตู ่าง ๆ เกี่ยวกับการคัดกรองสุขภาพจิตเดก็ วยั เรยี น ทมี่ กี ารน�ำ มาใชใ้ นประเทศไทยในปจั จบุ นั เพอ่ื ใหบ้ คุ ลากรทเ่ี กยี่ วขอ้ งในการดแู ลเดก็ วยั เรยี นและผทู้ สี่ นใจ เขา้ ใจ ถงึ ความหมาย ความส�ำ คญั หลกั การ แนวคดิ และแนวทางในการคดั กรองสขุ ภาพจติ เดก็ วยั เรยี น และสามารถน�ำ ไปใชไ้ ด้ อยา่ งเขา้ ใจและสมเหตสุ มผล นายแพทย์ทวศี ักด ์ิ สริ ริ ตั นเ์ รขา จติ แพทย์เด็กและวยั ร่นุ การคัดกรองสขุ ภาพจิตเด็กวัยเรียน
ข สารบญั หนา้ คำ�น�ำ ก สารบัญ ข ความรู้ในการคัดกรองสุขภาพจติ เด็กวัยเรยี น 1 ความหมายของการคดั กรองสขุ ภาพจิตเด็กวัยเรียน 2 ความสำ�คญั ของการคดั กรองสุขภาพจติ เด็กวัยเรยี น 6 หลักการคัดกรองสุขภาพจติ เด็กวยั เรียน 10 ระบบการคัดกรองสขุ ภาพจิตเดก็ วัยเรียน 13 การใชเ้ ครื่องมือคดั กรองสุขภาพจิตเดก็ วยั เรียน 18 เครอื่ งมอื คดั กรองสุขภาพจิตเด็กวยั เรยี น 21 แบบประเมนิ จดุ แขง็ และจดุ อ่อน SDQ 22 แบบสอบถามพฤติกรรม PSC 32 แบบคดั กรองนกั เรยี นทมี่ ีภาวะสมาธสิ ้ัน บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 38 และออทิซึม KUS-SI แบบคัดกรองบุคคลที่มีความตอ้ งการพเิ ศษทางการศึกษา 40 สำ�นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน แบบสงั เกตพฤติกรรม สำ�หรบั เด็กทมี่ ีระดับสตปิ ัญญาตาํ่ กวา่ เกณฑ์ 53 ภาวะบกพรอ่ งของทกั ษะการเรยี น โรคสมาธสิ น้ั และกลมุ่ อาการออทิซึม แบบประเมินพฤตกิ รรม SNAP-IV (Short Form) 58 แบบสำ�รวจพัฒนาการเดก็ PDDSQ 61 แบบสอบวดั ภาวะซึมเศร้าในเดก็ CDI 64 แบบสอบถามผลกระทบจากเหตุการณภ์ ัยพิบตั ิสำ�หรับเดก็ CRIES-13 68 แบบทดสอบการติดเกม GAST 71 บรรณานกุ รม 77 ภาคผนวก 83 ขอ้ มลู ศนู ยส์ ุขภาพจิตที่ 13 84 ประวัตแิ ละผลงานผู้เขียน 85 การคัดกรองสขุ ภาพจิตเด็กวัยเรียน
2 ความหมายของการคัดกรอง สุขภาพจติ เด็กวัยเรียน “เด็กวัยเรียน” ตรงกับคำ�ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “school age” ในนิยามทั่วไป หมายถึง เด็กช่วงอายุระหว่าง 6 ถงึ 12 ปี หรอื เดก็ นกั เรยี นในระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษา เปน็ ชว่ งวยั แหง่ การเตรยี มความพรอ้ มทงั้ ดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญา เป็นวัยทเี่ ดก็ เริ่มเรยี นรู้ส่งิ ตา่ ง ๆ จากสงั คมและสิ่งแวดล้อมนอกบ้านมากขึน้ ผ่านการเรียนและการเลน่ มีความใฝ่รู้และพยายามทำ�สิ่งต่าง ๆ ให้ประสบความสำ�เร็จ ให้ได้รับการยอมรับ ซ่ึงจำ�เป็นต้องได้รับการส่งเสริมและ ช่วยเหลือจากผูใ้ หญแ่ ละสงั คมรอบตัวเพอ่ื ให้เด็กมีการพัฒนาศักยภาพสงู สุด โดยไมท่ �ำ ให้เด็กเกดิ ความรู้สึกด้อยคา่ หรอื ไมม่ ีความสามารถ ในหนังสือเล่มนี้ ใช้นิยามเด็กวัยเรียนตามข้างต้น ซึ่งปัจจุบันมีการดูแลสุขภาพจิตในช่วงวัยนี้อย่างเป็นระบบเพ่ือ ให้เด็กมีการพัฒนาเต็มศักยภาพ การคัดกรองเป็นกระบวนการหนึ่งซึ่งนำ�มาใช้แพร่หลายทั้งในระบบการศึกษาและ ระบบสาธารณสุข ดงั นน้ั จงึ ควรมคี วามรู้ ความเขา้ ใจท่ถี ูกตอ้ งเกยี่ วกับการคดั กรองสขุ ภาพจิตเดก็ วัยเรียน เพ่อื ให้บรรลุ เปา้ หมายการพัฒนาเด็กวัยเรียนตามทตี่ งั้ ไว้ การคดั กรอง “การคัดกรอง” ตรงกับค�ำ ศพั ท์ภาษาอังกฤษว่า “screening” หมายถึง กลยทุ ธ์ทีน่ ำ�มาใชใ้ นการระบคุ วามเสย่ี งตอ่ ปญั หา ความผดิ ปกติ ความบกพร่อง หรอื ความพิการ ในกลมุ่ ประชากรทั่วไป ซ่ึงอาจยงั ไมป่ รากฏอาการชดั เจน หรือเริ่ม มอี าการแลว้ แตย่ งั ไมไ่ ดเ้ ขา้ สรู่ ะบบการรกั ษาพยาบาลในสถานบรกิ ารสาธารณสขุ ด�ำ เนนิ การโดยการตรวจทางคลนิ กิ การ ตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรอื การทดสอบอ่ืน ๆ เมอื่ บคุ คลใดรบั การคดั กรองแลว้ มผี ลการคดั กรองเปน็ บวก คอื จดั อยใู่ นกลมุ่ เสย่ี งตอ่ ปญั หา หรอื กลมุ่ มปี ญั หา ควรเขา้ รบั การประเมนิ เฉพาะดา้ นในขน้ั ตอนตอ่ ไป จนไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั จากแพทยใ์ นทสี่ ดุ ชว่ ยใหส้ ามารถแกไ้ ขหรอื ดแู ลชว่ ยเหลอื ได้ อยา่ งทนั ทว่ งที เพอ่ื ช่วยลดผลกระทบจากความผิดปกติ ความบกพรอ่ ง หรือความพิการต่าง ๆ ท่มี โี อกาสเกดิ ข้ึนตามมา การคดั กรอง มีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื 1. การคัดกรองโรค (disease screening) คือ การคัดกรองว่าบุคคลใดป่วยเป็นโรคบ้าง หากสงสัยว่าจะมีโรค จะทำ�การส่งตรวจเพอื่ การวินจิ ฉยั ต่อไป 2. การคดั กรองความเสย่ี ง (risk screening) คือ การคัดกรองว่าบุคคลใดมโี อกาสเกิดปัญหาสุขภาพ หรือปจั จัย เสยี่ งตอ่ การเกิดโรคบา้ งขณะท่ยี งั ไมไ่ ดป้ ว่ ยเปน็ โรค หากพบจะดำ�เนนิ การให้ค�ำ แนะนำ�ในการลดปัจจัยเสย่ี งนั้น ซ่ึงการคัดกรองความเสี่ยงเป็นเคร่ืองมือสำ�คัญในการกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความตระหนัก และนำ�ไปสู่แรงจูงใจ ในการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ ดังนน้ั การพฒั นาเคร่ืองมอื ในการคัดกรองควรเปน็ เครอ่ื งมือทป่ี ระชาชนสามารถ เขา้ ถึงไดง้ า่ ย และใช้ท�ำ การทดสอบด้วยตนเองได้ การคัดกรองสขุ ภาพจติ เด็กวยั เรยี น
3 การคัดกรองสุขภาพจิต “การคัดกรองสุขภาพจิต” (mental health screening) เป็นการใช้ชุดเครื่องมือหรือการทดสอบแบบย่อและ เฉพาะเจาะจง เพอ่ื ระบคุ วามเสย่ี งหรอื โอกาสทจี่ ะพบประเดน็ เฉพาะทางสขุ ภาพจติ ปญั หาสขุ ภาพจติ หรอื โรคทางจติ เวช ในประชากรกลุม่ เปา้ หมาย เป้าหมายของการคัดกรองสุขภาพจิต เป็นการค้นหาปัจจัยเสี่ยง ลักษณะพฤติกรรม หรืออาการในระยะเร่ิมแรก ทเ่ี ป็นตัวท�ำ นายความผิดปกตขิ องจิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรม แต่มขี อ้ ควรระวงั คอื ไม่ใชก่ ารวินจิ ฉยั โรค หรือบ่งชี้ว่า มคี วามผิดปกติ เปน็ กระบวนการในการคัดแยกประชากรออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามประเด็นเฉพาะ ปญั หาสขุ ภาพจิต หรอื โรคทางจติ เวช ที่มี คอื กลุ่มผู้ป่วย/กลุ่มท่ีมปี ญั หา กล่มุ เส่ยี ง และกลมุ่ ปกติ เพือ่ การส่งต่อตามข้นั ตอนจนถึงการตรวจวนิ ิจฉยั หาความ ผิดปกตทิ างจิตใจตอ่ ไป หรอื แนะน�ำ ให้กลุม่ เส่ียงไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขพัฒนาตามขั้นตอนการปอ้ งกันปญั หาสขุ ภาพจติ มกั ใชช้ ดุ เครอ่ื งมอื คดั กรองสขุ ภาพจติ ทสี่ ามารถด�ำ เนนิ การโดยบคุ ลากรวชิ าชพี ทไี่ ดร้ บั การอบรมดา้ นการใชเ้ ครอื่ งมอื นน้ั ๆ นอกจากนี้ยังมีการคัดกรองท่ีให้ผู้สงสัยหรือสนใจด้านสุขภาพจิต สามารถทำ�การทดสอบด้วยตนเอง หรือทางระบบ ออนไลน์ เพือ่ เป็นข้อมูลตัดสินใจเบอ้ื งต้นได้ทจ่ี ะเขา้ บ�ำ บัดรักษา หรือใชพ้ ฒั นาสุขภาพจติ ด้านต่าง ๆ ตอ่ ไป การใช้เคร่ืองมือคัดกรองในทางสุขภาพจิต มีข้อแตกต่างจากทั่วไปอยู่บ้าง คือ ไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือเครื่องมือทดสอบที่วัดได้ชัดเจนเหมือนโรคทางกาย มีเพียงการใช้แบบสอบถาม (questionnaire) และการสังเกต (observation) ซ่งึ มีการใชค้ า่ คะแนนในแตล่ ะหัวข้อ แตล่ ะหมวด หรอื คะแนนรวม เปน็ เคร่ืองมือคัดกรองทสี่ �ำ คัญ นอกจากนี้ ผลการคัดกรองยงั ยากที่จะตัดสนิ ที่คะแนนจดุ ตัด (cut off point) ไม่สามารถสรปุ วา่ เปน็ หรอื ไมเ่ ปน็ โรค แต่หมายถึงความเส่ียงของโรค ปัญหา หรือภาวะที่สนใจ และคะแนนยังสะท้อนให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของภาวะ ดังกลา่ วได้ การคัดกรองสุขภาพจิตอาจนำ�มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเข้ารับการตรวจรักษาของผู้ป่วย เพ่ือติดตาม ความก้าวหน้าในการรักษา ผลลัพธ์ และการเปลยี่ นแปลงของอาการ การคัดกรอง การประเมิน การทดสอบ และการประเมนิ ผล มีความแตกต่างกันระหว่างคำ�ว่า “การคัดกรอง” (screening) กับศัพท์คำ�อื่นท่ีมีความหมายใกล้เคียงกัน คือ “การประเมนิ ” (assessment) “การทดสอบ” (testing) และ “การประเมนิ ผล” (evaluation) ในการน�ำ มาใช้ในงาน ดา้ นสขุ ภาพจติ ถงึ แมว้ า่ จะใชแ้ ทนกนั ไดใ้ นบางกรณี แต่ละคำ�ก็มีความหมายเฉพาะแตกต่างกนั ค�ำ วา่ “การประเมนิ ” (assessment) เปน็ กระบวนการใชช้ ดุ เครอื่ งมอื หรอื การทดสอบทม่ี คี วามละเอยี ดและครอบคลมุ มากขน้ึ เพอ่ื ประเมนิ ความผดิ ปกตดิ า้ นจติ ใจทมี่ คี วามชดั เจนมากขน้ึ สามารถระบถุ งึ ปญั หาสขุ ภาพจติ และประเมนิ ระดบั ความรุนแรงของปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคทางจิตเวช ในประชากรกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเป็นข้อมูลในการช่วยวินิจฉัยโรค การตัดสินใจวางแผนการบำ�บัดรักษา การจัดบริการที่เหมาะสม และการช่วยเหลือท่ีตรงตามความจ�ำ เป็นต่อไป ซ่ึงมัก ด�ำ เนินการโดยนักจติ วทิ ยา หรอื บุคลากรวชิ าชีพท่ไี ดร้ บั การอบรมเฉพาะด้านในการใช้เครื่องมอื ประเมิน การประเมนิ สุขภาพจิต ครอบคลุมถงึ การประเมินระดับความสามารถของสมองและจติ ใจในมติ ติ ่าง ๆ เช่น ความจำ� (memory) ภาษา (language) การแกไ้ ขปญั หา (problem solving) ความสามารถของสมองดา้ นการจดั การ (executive functioning) ความสามารถในการปรบั ตวั (adaptive functioning) ศกั ยภาพในการดแู ลตนเอง (capacity for self-care) สภาวะทางจิต (psychological status) การคดั กรองสุขภาพจิตเด็กวยั เรยี น
4 การเลอื กใชเ้ ครอื่ งมอื ในการประเมนิ ทเ่ี หมาะสม อาจตอ้ งพจิ ารณาจากผลการคดั กรองประกอบดว้ ย และการแปลผล การประเมินท่คี รอบคลุม อาจต้องพิจารณาผลการคดั กรองร่วมกับข้อมูลต่าง ๆ ท่ีไดจ้ ากการประเมิน การประเมินจะใช้ชุดเครื่องมือที่มีความละเอียดและครอบคลุมมากกว่าการคัดกรอง การคัดกรองจะได้รู้ถึงระดับ ความเสีย่ งต่อปญั หา ในขณะที่การประเมินจะไดร้ ูถ้ งึ ระดบั ความผดิ ปกติ และความรุนแรงของปญั หา การคัดกรองจะท�ำ โดยบคุ ลากรวชิ าชพี หรือทดสอบดว้ ยตนเองกไ็ ด้ ในขณะทกี่ ารประเมินมักท�ำ โดยบุคลากรวชิ าชพี เทา่ นั้น การคัดกรองกบั การประเมนิ จึงมคี วามแตกตา่ งกนั ทง้ั ในดา้ น เป้าหมายท่ีตอ้ งการ ขอ้ บ่งชใี้ นการน�ำ มาใช้ ระดบั ของ ความซบั ซอ้ น และผลลพั ธ์ทไี่ ด้ ส่วนค�ำ วา่ “การทดสอบ” (testing) เปน็ ค�ำ สามัญท่ีใชไ้ ด้ท่วั ไปในหลายบรบิ ท มคี วามหมายกวา้ ง ครอบคลุมท้ังการ คัดกรองและการประเมิน โดยส่วนใหญ่ หมายถึง กระบวนการที่บุคลากรวิชาชีพ เช่น แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา ผู้ให้การปรึกษา ครู ครูการศึกษาพเิ ศษ ฯลฯ ตอ้ งการเรียนร้เู พิม่ เตมิ เกยี่ วกับประชากรเป้าหมาย การทดสอบสามารถ แสดงใหเ้ ห็นถึงจุดแขง็ จุดอ่อน ชว่ ยในการวินิจฉยั ตามอาการ และสามารถใหข้ อ้ มลู เกยี่ วกบั ระดบั สตปิ ญั ญา ผลสมั ฤทธิ์ ทางการศึกษา หรือพฤติกรรมที่เปน็ ปัญหา นอกจากนยี้ งั มคี �ำ วา่ “การประเมนิ ผล” (evaluation) ซง่ึ เปน็ กระบวนการทม่ี คี วามละเอยี ดและครอบคลมุ มากทส่ี ดุ ประกอบดว้ ย การคัดกรอง การประเมิน และการทดสอบ ตามทีก่ ล่าวข้างต้น รว่ มกบั การสัมภาษณป์ ระชากรเปา้ หมาย ครอบครวั และผูท้ เ่ี กีย่ วขอ้ ง เพือ่ รวบรวมข้อมลู ประวตั ิ พ้ืนเพ ปัจจยั ต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ทำ�ให้ได้ขอ้ มูลครอบคลุมทุกมติ ิ ตามประเด็นเฉพาะหรือปัญหาสุขภาพจิต ผลลัพธ์ท่ีได้สามารถนำ�ไปใช้ในกระบวนการดูแลช่วยเหลือทั้งด้านการแพทย์ การศกึ ษา และกระบวนการทางศาล ซงึ่ บุคลากรทมี สหวชิ าชพี รว่ มกนั ดำ�เนนิ การ การคัดกรองสขุ ภาพจิตเดก็ วยั เรยี น “การคดั กรองสขุ ภาพจติ เดก็ วยั เรยี น” คอื การคดั กรองเพอ่ื คน้ หาปญั หาทางสขุ ภาพจติ หรอื โรคทางจติ เวช ในเดก็ วยั เรยี น (ช่วงอายุระหว่าง 6 ถึง 12 ปี หรือ เด็กนักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษา) ซ่ึงในท่ีน้ีครอบคลุมถึงปัญหาพัฒนาการ สตปิ ญั ญา อารมณ์ จติ ใจ พฤติกรรม การปรับตัว และการเรยี น ช่วงวยั เรยี นเปน็ วัยแห่งการเตรียมความพรอ้ มท้ังดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สังคม และสตปิ ญั ญา เป็นวยั ทีร่ ่างกายกำ�ลงั เจริญเตบิ โต มคี วามกระตอื รอื ร้นในการเรียนรู้สง่ิ ใหม่ ๆ รอบตวั ชอบซักถาม ชอบทดลองท�ำ ส่งิ ทที่ า้ ทายความสามารถ ชอบเล่นกับเพ่อื นเปน็ กลมุ่ ชอบการแข่งขัน ชอบออกก�ำ ลังกาย และแสดงออกในรปู แบบต่าง ๆ ต้องการให้คนรอบขา้ ง สนใจ ยกยอ่ งชมเชย รวมทั้งการยอมรบั เดก็ วยั เรยี นจะใชเ้ วลาสว่ นใหญอ่ ยใู่ นโรงเรยี น และรบั เขา้ บรกิ ารทางการแพทยท์ ห่ี นว่ ยบรกิ ารสาธารณสขุ ระดบั ปฐมภมู ิ ดงั นน้ั สถานทเี่ หมาะสมในการคดั กรองสขุ ภาพจติ ในชว่ งวยั นจ้ี งึ ควรท�ำ ในโรงเรยี น หรอื หนว่ ยบรกิ ารสาธารณสขุ เมอื่ เดก็ มารับบริการ เพ่ือคัดกรองความเส่ียงและอาการในระยะเริ่มแรก ซ่ึงเด็กจะได้รับผลกระทบจากการคัดกรองน้อยท่ีสุด สามารถดำ�เนนิ การได้งา่ ย และตน้ ทุนไม่สูงเมอื่ เทียบกับการคัดกรองในชุมชน ข้อควรระวัง คือ เมื่อทำ�การคัดกรองสุขภาพจิตเด็กแล้วห้ามสรุปว่าเด็กเป็นโรคอะไร หรือมีปัญหาแน่นอน ตอ้ งสง่ ตรวจประเมนิ เพมิ่ เตมิ ในเดก็ กลมุ่ เสย่ี งและกลมุ่ มปี ญั หาตอ่ ไป แตใ่ นระหวา่ งรอสง่ ตอ่ สามารถใหก้ ารดแู ลชว่ ยเหลอื เบื้องต้นไดเ้ ลย เพื่อมิใหเ้ กดิ ความลา่ ช้า และสามารถแก้ไขปญั หาได้อยา่ งทนั ทว่ งที การคัดกรองสขุ ภาพจติ เดก็ วัยเรียน
5 รปู แบบการคัดกรองสขุ ภาพจติ เด็กวยั เรยี น การคัดกรองสุขภาพจิตเด็กวัยเรียนมีหลายวิธี หลายรูปแบบ สามารถทำ�ได้ทั้งรูปแบบท่ีไม่เป็นทางการ และเป็น ทางการ หรอื ท�ำ ควบคกู่ นั 1) การคัดกรองที่ไม่เป็นทางการ (informal screening) คือ การให้ครูสังเกตพฤติกรรมเด็กในห้องเรียน ว่ามีความยากล�ำ บากในการเรยี นอยา่ งไรบ้างเมื่อเปรยี บเทียบกบั เพ่ือนในห้องเดียวกนั เช่น จดงานไม่เสร็จ เขยี นสะกด ผดิ มาก ลายมืออ่านไมอ่ อก น่ังคยุ ไม่สนใจเรยี น อ่านหนงั สอื ไมค่ ล่อง ไมส่ ง่ งาน ฯลฯ และดวู า่ ผลการเรยี นต่ำ�กวา่ ความ สามารถทแ่ี ทจ้ ริงของเด็กท่ีครูสังเกตเห็นหรอื ไม่ เช่น เวลาพดู คยุ ด้วย เดก็ ดฉู ลาดคล่องแคล่ว มีไหวพรบิ แก้ไขปญั หาได้ดี แตผ่ ลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนต�่ำ กว่าความสามารถทีส่ งั เกตเหน็ 2) การคดั กรองทเ่ี ปน็ ทางการ (formal screening) คอื การใชเ้ ครอื่ งมอื คดั กรองชนดิ ตา่ ง ๆ ในการคดั กรองปญั หา การเรยี น อาจเป็นแบบฉบบั เดยี วหรือหลายฉบบั ก็ได้ มที ้ังแบบใหเ้ ดก็ ประเมินตนเอง ใหค้ รปู ระเมิน และให้ผู้ปกครอง ประเมนิ การคดั กรองสขุ ภาพจติ เด็กวัยเรียน
6 ความสำ�คัญของการคัดกรอง สุขภาพจิตเดก็ วยั เรียน เดก็ ทมี่ สี ขุ ภาพจติ ดเี ปน็ ปจั จยั ส�ำ คญั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การด�ำ รงชวี ติ ในครอบครวั โรงเรยี น และสงั คม ใหป้ ระสบความส�ำ เรจ็ และมคี วามสขุ เดก็ วยั เรยี นเปน็ วยั แหง่ การเตรยี มความพรอ้ มทงั้ ดา้ นรา่ งกาย สตปิ ญั ญา อารมณ์ จติ ใจ พฤตกิ รรม คณุ ธรรม การปรบั ตวั และการเรยี นรใู้ นดา้ นตา่ ง ๆ เพอ่ื ออกสสู่ งั คมนอกบา้ น หากเดก็ มปี ญั หาสขุ ภาพจติ ยอ่ มสง่ ผลกระทบตอ่ การ พฒั นาในทกุ ด้านขา้ งตน้ รวมถึงผลสมั ฤทธ์ิทางการศกึ ษาต่ํา การออกจากระบบโรงเรยี น และภาวะว่างงานในอนาคต ผ้ทู ดี่ แู ลเด็กมักจะมีความรกั เด็กเปน็ พน้ื ฐานอย่แู ล้ว แตค่ วามรักเพียงอยา่ งเดียวอาจไม่เพียงพอและไมย่ ่ังยืน ถา้ ไม่มี ความเขา้ ใจ และไมส่ ามารถรบั รถู้ งึ ปญั หาสขุ ภาพจติ ทเ่ี ดก็ มี และลงมอื แกไ้ ขปญั หาตง้ั แตแ่ รกเรมิ่ ตงั้ แตป่ ญั หายงั ไมร่ นุ แรง ขณะเดยี วกนั หากผทู้ ด่ี แู ลมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในเรอ่ื งสขุ ภาพจติ เดก็ กจ็ ะยง่ิ มปี ระโยชนใ์ นการชว่ ยเหลอื เดก็ ไดเ้ รว็ และทนั ทว่ งที ช่วยประคบั ประคองให้เด็กมสี ภาพจติ ใจท่ดี ี เตบิ โตอย่างมีคุณภาพ และอยู่ในสังคมได้อยา่ งมคี วามสขุ การเรยี นรู้ และทำ�ความเขา้ ใจเรือ่ งการคดั กรองสุขภาพจติ เด็กสามารถช่วยสง่ เสริมศักยภาพนี้ได้ สถานการณ์ดา้ นสขุ ภาพจติ เดก็ วยั เรยี น จากสภาพความเป็นจริง พบว่า เด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิต และเด็กที่มีความต้องการพิเศษ มีอยู่ในทุกโรงเรียนและ ทุกชุมชน แต่จะพบได้มากหรือน้อยข้ึนอยู่กับว่า มีระบบการคัดครองที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ ที่จะสามารถค้นหา เด็กกลุ่มเส่ียง และกลุ่มท่ีมีปัญหา เพื่อนำ�มาดูแลช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและทันท่วงทีปัญหาสุขภาพจิตเด็กวัยเรียน ทพ่ี บไดบ้ อ่ ย สามารถแบง่ ออกเปน็ 4 กลุม่ ปญั หา ดังนี้ 1. ปญั หาการเรยี น เช่น สมาธสิ ้ัน ออทิสตกิ ความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ความบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา เรยี นรชู้ า้ ขาดแรงจูงใจในการเรยี น 2. ปญั หาพฤติกรรม เช่น ทะเลาะววิ าท กา้ วรา้ ว ดือ้ ต่อตา้ น รงั แกผูอ้ ่นื โกหก ลักขโมย ตดิ เกม 3. ปัญหาทางอารมณ์ เช่น วิตกกงั วล ซมึ เศรา้ กลวั การไปโรงเรียน 4. ปัญหาการปรับตัว เช่น เขา้ กบั เพื่อนไม่ได้ ในสหรฐั อเมรกิ า ศนู ย์ควบคมุ และป้องกนั โรคไดร้ ายงานผลการวิเคราะหข์ ้อมูลการเฝา้ ระวังปัญหาสุขภาพจติ ในเด็ก อายุ 3-17 ปี ช่วง ปี ค.ศ. 2005-2011 พบว่า เด็กประมาณรอ้ ยละ 20 หรอื คดิ เปน็ สัดส่วน 1 ใน 5 มีปัญหาสุขภาพจติ ปญั หาสุขภาพจิตทีพ่ บไดบ้ อ่ ยสุด คือ สมาธิสนั้ (รอ้ ยละ 6.8) รองลงมา คอื ปญั หาพฤติกรรมเกเร กา้ วร้าว (รอ้ ยละ 3.5) วิตกกังวล (รอ้ ยละ 3.0) ซึมเศรา้ (ร้อยละ 2.1) และออทสิ ตกิ (รอ้ ยละ 1.1) แต่เด็กทมี่ ปี ัญหาสุขภาพจติ ก็ยงั ไดร้ ับการ คน้ หาหรือดูแลรกั ษาเพียงรอ้ ยละ 25 การคัดกรองสขุ ภาพจติ เด็กวยั เรยี น
7 เมอ่ื พจิ ารณาเฉพาะกลมุ่ ปญั หาการเรยี น ซงึ่ จดั อยใู่ นการวนิ จิ ฉยั โรคทางจติ เวชเดก็ ในกลมุ่ ความผดิ ปกตขิ องพฒั นาการ และระบบประสาท (neurodevelopmental disorder) พบวา่ มขี นาดของปัญหา ดังน้ี 1. สมาธิส้ัน (Attention-Deficit/ Hyperactivity Disorder) พบความชุกในเด็กทั่วโลกประมาณร้อยละ 5.29 และมีแนวโน้มเพ่ิมสงู ขึ้น จากรายงานการส�ำ รวจสขุ ภาพเดก็ ประเทศสหรฐั อเมริกา ปี ค.ศ.2012 พบวา่ เด็กอายุ 3-17 ปี มีความชุกของโรคสมาธิสัน้ ร้อยละ 9.5 และจากผลการสำ�รวจในประเทศไทยเมือ่ ปี พ.ศ.2555 โดยกรมสขุ ภาพจิต พบ อตั ราความชกุ ของโรคสมาธสิ น้ั ในเดก็ วัยเรยี น อายุ 8-11 ปี พบรอ้ ยละ 8.1 2. ความบกพร่องทางการเรยี นรู้ หรอื แอลดี (Specific Learning Disorder) พบได้บ่อยในทกุ ประเทศทวั่ โลก พบ ในเดก็ วยั เรียนประมาณรอ้ ยละ 5-15 พบว่าร้อยละ 80 เปน็ ความบกพร่องด้านการอา่ น จากรายงานการสำ�รวจสขุ ภาพ เดก็ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ปี ค.ศ.2012 พบวา่ เด็กอายุ 3-17 ปี มีความชกุ ของความบกพร่องทางการเรียนรู้ รอ้ ยละ 8.0 และจากการสำ�รวจในประเทศไทย ปี พ.ศ.2552 คัดกรองนักเรียนด้วย KUS-SI 9,828 โรงเรียน พบว่า สงสัยแอลดี ร้อยละ 15.6 แตย่ ังไมไ่ ด้ยนื ยันการวนิ ิจฉัย 3. ความบกพรอ่ งทางการสตปิ ญั ญา (Intellectual Disability) พบความชกุ ในประชากรทวั่ โลกประมาณรอ้ ยละ 1.04 พบสงู สดุ ในกลุ่มเด็กและวยั รุ่น โดยพบรอ้ ยละ 1.83 และพบไดม้ ากกว่าเกือบ 2 เทา่ ในกล่มุ ประเทศทมี่ รี ายไดน้ ้อยและ ปานกลาง เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั กลมุ่ ประเทศทมี่ รี ายไดส้ งู และจากการส�ำ รวจสถานการณร์ ะดบั สตปิ ญั ญา (IQ) ในเดก็ ไทย ระดบั ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 ปี พ.ศ.2559 โดยกรมสขุ ภาพจิต พบว่า กลุ่มทม่ี รี ะดับสติปญั ญาบกพรอ่ ง (IQ น้อยกว่า 70) พบร้อยละ 6.5 แต่ทั้งนี้ยงั ไม่ได้ยืนยันการวินจิ ฉยั 4. ออทสิ ตกิ (Autism Spectrum Disorder) พบมากขน้ึ ในทกุ ประเทศทว่ั โลก ปจั จบุ นั พบความชกุ ประมาณรอ้ ยละ 1 ของเดก็ วยั เรยี น จากเดมิ รอ้ ยละ 0.1 ในชว่ งเวลา 10 กวา่ ปที ผ่ี า่ นมา โดยการส�ำ รวจลา่ สดุ ในพนื้ ทเี่ ฝา้ ระวงั ของศนู ยค์ วบคมุ และป้องกนั โรค สหรัฐอเมรกิ า ปี ค.ศ.2012 พบความชกุ รอ้ ยละ 1.46 ในเด็กอายุ 8 ปี คดิ เปน็ สดั ส่วน 1 ตอ่ 68 คน ความส�ำ คญั ของการคัดกรองสขุ ภาพจติ จากสถติ กิ ารเพมิ่ ขนึ้ ของปญั หาสขุ ภาพจติ ในเดก็ จงึ ตอ้ งมกี ารปรบั เปลย่ี นวธิ กี ารจดั การระบบสขุ ภาพใหส้ ามารถดแู ล ช่วยเหลือเด็กให้เร็วท่ีสุดและครอบคลุมมากท่ีสุด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบท่ีรุนแรงตามมา การคัดกรองสุขภาพจิตเป็น กจิ กรรมหนง่ึ ทสี่ ามารถคน้ หาปญั หาในกลมุ่ เปา้ หมายไดร้ วดเรว็ และเปน็ กจิ กรรมแรกทคี่ วรลงมอื ปฏบิ ตั ใิ นการสง่ เสรมิ สขุ ภาพจติ และปอ้ งกนั โรคทางจิตเวชในเดก็ วยั เรียน ปัญหาสุขภาพจิตส่วนใหญ่ไม่สามารถหายได้เอง โดยไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างเหมาะสม อาจค่อย ๆ ส่ังสม ปัญหาจนเกิดความเร้อื รงั และรนุ แรงในท่ีสุด เชน่ เด็กทม่ี ีภาวะซมึ เศร้าอาจนำ�ไปสกู่ ารพยายามฆา่ ตัวตายในที่สดุ เดก็ ที่ มปี ญั หาสมาธสิ ั้นอาจนำ�ไปสคู่ วามรุนแรงกา้ วรา้ ว หรอื ก่อคดีอาชญากรรมในทสี่ ดุ ฯลฯ นอกจากน้ี ปญั หาสุขภาพจติ มกั แปรผกผันกับผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษาด้วย กล่าวคือ ปัญหาสุขภาพจิตท่ีรุนแรงมากข้ึนจะส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการ ศกึ ษาที่ตา่ํ ลง ในมุมมองด้านการป้องกันโรค เป้าหมายของการคัดกรองคือ ช่วยให้สามารถค้นหาบุคคล กลุ่มบุคคล หรือชุมชน ท่ีมีความส่ียง หรือมีอาการในระยะเร่ิมแรกซ่ึงส่งผลด้านลบต่อพฤติกรรมและอารมณ์ และให้การดูแลช่วยเหลือก่อนที่ จะปว่ ยหรอื มปี ญั หาชัดเจน การคัดกรองสขุ ภาพจิตเด็กวยั เรียน
8 การคดั กรองสขุ ภาพจติ เดก็ วยั เรยี นมคี วามจ�ำ เปน็ เนอ่ื งจากสามารถท�ำ ใหท้ ราบวา่ เดก็ มคี วามเสยี่ งเรอื่ งใด และสภาพ ปัญหาเป็นอย่างไร ข้อมลู ท่ไี ดช้ ่วยใหแ้ พทยส์ ามารถวางแผนในการป้องกนั ให้การดแู ลชว่ ยเหลอื เบื้องตน้ วินิจฉยั และ ใหก้ ารบ�ำ บดั รกั ษาทเ่ี หมาะสมตอ่ ไป และยงั ชว่ ยใหค้ รใู นโรงเรยี นสามารถใหค้ �ำ ปรกึ ษา ดแู ลชว่ ยเหลอื เบอ้ื งตน้ และเขยี น แผนการศึกษาเฉพาะบคุ คลไดอ้ ีกด้วย การดำ�เนินโปรแกรมการคัดกรองสุขภาพจิตในโรงเรียน ควรกำ�หนดวัตถุประสงค์เฉพาะท่ีชัดเจนด้วย เช่น ลดการ รงั แกหรอื ทำ�รา้ ยกันในโรงเรียน เพิม่ ความสมั พันธท์ ีด่ กี ับครูและเพือ่ น เพิ่มความม่ันคงและปลอดภยั ในโรงเรยี น เรยี นรู้ ที่จะจดั การและควบคุมพฤตกิ รรม เป็นต้น โดยมีเป้าหมายหลกั คือ เพอ่ื ป้องกนั การเกดิ ปัญหาทางจติ ใจ อารมณ์ และ พฤตกิ รรม ซึ่งกระทบตอ่ ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรขู้ องเดก็ นักเรยี น จากผลการศึกษาวิจัยส่วนใหญ่พบว่า การระบุปัญหาได้ต้ังแต่ระยะเริ่มแรก และให้การดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในชนั้ เรยี น รว่ มกบั การเสรมิ สรา้ งทกั ษะการเลยี้ งดใู หผ้ ปู้ กครอง จะชว่ ยลดอาการ และเพม่ิ ความสามารถทง้ั ในชวี ติ ประจ�ำ วนั และด้านการศกึ ษาดว้ ย เด็กท่ีมีความต้องการพิเศษก็เช่นเดียวกัน ถ้าค้นพบได้เร็วก็สามารถช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที สามารถวางแผนการ ดแู ลชว่ ยเหลอื อยา่ งเหมาะสมและตอ่ เนอ่ื ง ในทางกลบั กนั ถา้ พบไดช้ า้ เดก็ กจ็ ะเตบิ โตมาพรอ้ มกบั ปญั หาทรี่ นุ แรงมากขน้ึ และผลกระทบที่ตามมาอกี มาก เช่น ปญั หาการดแู ลตนเองในชีวติ ประจ�ำ วนั ปัญหาการส่อื สาร ปญั หาดา้ นสัมพนั ธภาพ กับคนรอบข้าง ปัญหาการเรยี น ปญั หาด้านอารมณ์และพฤตกิ รรม ผลกระทบทต่ี ามมาไม่ได้เกดิ เฉพาะกับตัวเดก็ เท่านนั้ แตก่ ระทบต่อผูค้ นรอบข้างทุกคนทีอ่ ยู่กบั เด็กด้วย ท�ำ ใหเ้ กดิ ความเครยี ด วติ กกงั วล หรอื ซมึ เศร้า ตามมา “ครู” และ “ผู้ดูแลเด็ก” มีบทบาทสำ�คัญในการสังเกต และออกแบบการเรียนให้กลุ่มเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ โดยสังเกตความบกพร่องท่ีอาจยังค้นหาไม่พบจากการคัดกรองต้ังแต่ระยะแรกมา แล้วส่งต่อเพื่อวินิจฉัยโดยแพทย์ต่อ ไป หรอื ติดตามดแู ลกลุ่มเสย่ี งหรือกลมุ่ มีปญั หาจากการคดั กรอง โดยออกแบบการเรียนทีเ่ หมาะสมกบั สภาพปัญหาและ ความตอ้ งการของเด็ก น�ำ ไปสู่การสอนท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ และผลสมั ฤทธิ์ทด่ี ี การคดั กรองเปน็ กิจกรรมท่ที ำ�เพือ่ คัดแยกเดก็ ตามสภาพปัญหาและความเสย่ี งตอ่ ปญั หา โดยทัว่ ไปสามารถคัดกรอง แล้วแบ่งเดก็ ออกเปน็ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุม่ ปกติ กลุ่มเส่ียง และกลุม่ มีปัญหา หลงั จากน้นั ให้วางแผนการดแู ลชว่ ยเหลือ ทีเ่ หมาะสมกบั เดก็ แตล่ ะกลุ่ม ควรแนะน�ำ ให้กลุม่ เสีย่ งไปปรบั ปรุงแกไ้ ขพฒั นาตามข้ันตอนการปอ้ งกนั ปญั หาสขุ ภาพจิต และกล่มุ มีปญั หาใหส้ ่งต่อตามข้นั ตอนจนถึงการตรวจวินิจฉัยหาความผดิ ปกตทิ างจิตใจตอ่ ไป ในปัจจุบัน หลายประเทศมีการคัดกรองครอบคลุมนักเรียนทุกคนในโรงเรียน เพื่อค้นหากลุ่มเสี่ยงด้านปัญหาการ เรียน ซึ่งเปน็ ข้ันตอนแรกในระบบการช่วยเหลือเด็ก แบบ RTI (Response to Intervention) คอื กระบวนการคัดกรอง ประเมิน ให้การช่วยเหลือ และติดตามการตอบสนองต่อการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ตามระดับความเข้มข้นในการ ชว่ ยเหลือ รวมถงึ บรู ณาการการคดั กรองปัญหาด้านอารมณ์ พฤตกิ รรม และสงั คม เขา้ เปน็ ระบบเดียวกนั ซง่ึ เปน็ การใช้ ทรพั ยากรที่มีอยแู่ ลว้ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ขอ้ พึงระวัง ส่ิงสำ�คัญที่พึงต้องระวังในการคัดกรองสุขภาพจิตเด็กวัยเรียน คือ การคัดกรองต้องไม่ใช่การทำ�เพ่ือแบ่งแยกหรือ คัดแยกเด็กออกมาจากระบบบริการปกติ ทั้งด้านการแพทย์และด้านการศึกษา เด็กจะต้องได้รับบริการและการดูแล ทเี่ หมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพด้วยเมื่อมกี ารคดั กรอง การคัดกรองสุขภาพจติ เดก็ วยั เรยี น
9 ในระบบการศกึ ษา ไมค่ วรท�ำ การคดั กรองเดก็ นกั เรยี นเพอ่ื ใชใ้ นการจดั ชน้ั เรยี นพเิ ศษ หรอื แยกเดก็ ออกจากระบบโรงเรยี น แต่ควรทำ�เพ่อื ให้มีการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในช้ันเรียนท่ีเหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของแต่ละคน การคดั กรองสขุ ภาพจติ เดก็ ในโรงเรยี นมกั มอี ปุ สรรค และอาจไมไ่ ดร้ บั ความรว่ มมอื เทา่ ทคี่ วร ดว้ ยเหตผุ ลหลายประการ ดังนี้ 1. ความกงั วลของครเู กย่ี วกบั บทบาทของครทู ลี่ ดลงในการไตรต่ รองปญั หาของนกั เรยี น วา่ นกั เรยี นคนใดมปี ญั หา หรอื ไม่ อย่างไร 2. เปน็ การเพิ่มภาระงานใหก้ ับครู 3. มโี อกาสเกิดผลกระทบทางลบตอ่ นักเรยี นทีถ่ ูกจดั อยใู่ นกลุ่มเสีย่ งหรือมีปญั หา เชน่ ถูกลอ้ เลียน ถูกมองว่าเปน็ เดก็ พิเศษ หรอื เด็กมีปัญหา 4. มักมีคำ�ถามเก่ียวกับความเช่อื ถอื ได้ ความเท่ยี งตรงแม่นยำ� ของเคร่ืองมอื คัดกรอง โดยเฉพาะในเพศ เชื้อชาติ หรือสถานะทางเศรษฐกจิ และสังคมทแี่ ตกต่างกัน 5. ความกงั วลของผปู้ กครองในเรือ่ งการจดั แบง่ ประเภทหรอื กลุม่ ปญั หาใหก้ ับเดก็ และการใหค้ วามยินยอม ดงั นนั้ ควรเลอื กเครื่องมือคดั กรองทสี่ ัน้ และใชง้ ่าย มีการอบรมเตรียมความพรอ้ มครู ให้ข้อมลู กบั ผูป้ กครองเก่ยี วกบั การคัดกรอง และควรไดร้ ับความยนิ ยอมในการดำ�เนินการด้วย รวมทัง้ การรับฟังถงึ ข้อกังวลตา่ ง ๆ ท่ีผปู้ กครองมี และ มีแนวทางการป้องกนั ไมใ่ ห้เกิดผลกระทบทางจติ ใจต่อเดก็ และครอบครัว การคัดกรองสขุ ภาพจิตเด็กวยั เรียน มีความส�ำ คัญและให้ประโยชนต์ ามทีก่ ล่าวมาขา้ งตน้ แต่ควรพึงระลึกไวเ้ สมอว่า ทุกการทดสอบมีโอกาสเกิดผลบวกลวงและผลลบลวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ผลบวกลวง คือ คัดกรองพบว่าเด็กเส่ียง หรอื มีปญั หา แต่จริง ๆ แล้วเดก็ ปกติ ส่วนผลลบลวง คือ คัดกรองพบวา่ เด็กปกติ แตจ่ ริง ๆ แล้วเด็กเสยี่ งหรอื มปี ญั หา) อกี ท้ังผลกระทบจากผลลวงบางชนดิ อาจอยตู่ ดิ ตวั ท�ำ ให้เดก็ และครอบครวั เกดิ ความวิตกกังวลไปตลอดได้ ดังน้ัน การให้ ความรู้ความเขา้ ใจทีถ่ ูกตอ้ งเกยี่ วกบั ผลการคดั กรองจึงเปน็ สง่ิ ท่ีไมค่ วรละเลย การคดั กรองสุขภาพจติ เด็กวยั เรยี น
10 หลักการคดั กรอง สขุ ภาพจติ เดก็ วัยเรยี น ปญั หาสขุ ภาพจติ เดก็ วยั เรยี น มหี ลายกลมุ่ ปญั หา และมคี วามชกุ ของปญั หาทงั้ หมดสงู จงึ ไมส่ ามารถคดั กรองทกุ กลมุ่ ปญั หาในเดก็ ทุกคนได้ภายใต้ทรพั ยากรทม่ี อี ยู่อย่างจำ�กดั ท้ังในเรอ่ื งบุคลากรและงบประมาณ ดังน้นั การเลอื กว่าจะคัด กรองเร่อื งใด ในเด็กกลุ่มไหน จึงตอ้ งมีหลกั การในการพิจารณา เพือ่ ให้เกดิ ความคุม้ ค่า และประสิทธภิ าพสงู สุด หลกั การคัดกรอง ในปี ค.ศ.1968 องคก์ ารอนามยั โลก ได้เสนอหลักการและแนวทางปฏบิ ตั ิส�ำ หรบั การคัดกรองโรค ตามแนวทางของ Wilson’s criteria ซึง่ หลกั การดงั กล่าวมีการนำ�มาประยุกตใ์ ช้กนั อยา่ งแพรห่ ลายจนถึงปัจจบุ ัน ดงั น้ี 1. ภาวะที่คัดกรองค้นหาควรเปน็ ปญั หาสขุ ภาพท่สี ำ�คัญ 2. ควรมวี ธิ ีการรักษาที่เปน็ ทีย่ อมรบั ส�ำ หรับผทู้ ่ปี ว่ ย 3. ควรมคี วามพร้อมในการตรวจวินจิ ฉยั และรกั ษา 4. ควรจำ�แนกอาการในระยะเริ่มแรก หรอื ในระยะฟักตัวได้ 5. ควรเปน็ การทดสอบหรอื การตรวจทเี่ หมาะสม 6. ควรไดร้ บั การยอมรบั จากผู้ถูกคดั กรองในการท�ำ การทดสอบ 7. ควรเขา้ ใจธรรมชาติของโรค และการดำ�เนินโรคอยา่ งเพยี งพอ 8. ควรเปน็ นโยบายทีไ่ ดร้ ับการยอมรบั จากผู้ถกู คัดกรอง 9. ต้นทนุ ท่ีใชใ้ นการค้นหาผู้ป่วย ควรมคี วามสมดลุ เม่ือเปรยี บเทียบกบั ค่าใช้จา่ ยในบรกิ ารทางการแพทย์ทง้ั หมด 10. การค้นหาผู้ป่วยควรทำ�เปน็ กระบวนการต่อเน่อื ง ไมใ่ ช่เพยี งครัง้ เดยี วหรือแค่จบโครงการ ในปี ค.ศ.2008 องคก์ ารอนามยั โลก ไดท้ บทวนหลกั เกณฑส์ �ำ หรบั ใชใ้ นการคดั กรองเดมิ ตามแนวทางของ Wilson’s criteria ซง่ึ น�ำ มาใชก้ นั อยา่ งแพรห่ ลายถงึ 40 ปี โดยมกี ารปรบั ปรงุ หลกั การและแนวทางปฏบิ ตั สิ �ำ หรบั การคดั กรอง ดงั น้ี 1. โปรแกรมการคดั กรองควรตอบสนองต่อความจำ�ทีม่ อี ยู่ 2. ควรระบวุ ตั ถุประสงค์ของการคดั กรองไวต้ ัง้ แตแ่ รกเร่มิ 3. ควรระบกุ ลมุ่ ประชากรเปา้ หมาย 4. ควรมีหลักฐานทางวทิ ยาศาสตร์สนบั สนนุ ประสทิ ธผิ ลของโปรแกรมการคัดกรอง 5. ควรบูรณาการท้งั การใหค้ วามรู้ การทดสอบ การจดั บรกิ ารทางการแพทย์ และการบรหิ ารจดั การโปรแกรม 6. ควรมกี ารประกนั คุณภาพ ด้วยกลไกที่ช่วยลดความเส่ียงของการคดั กรอง 7. ควรให้ความม่ันใจในเรอื่ ง การใหข้ อ้ มูลทางเลือก การรักษาความลบั และเคารพความเป็นส่วนตัว 8. ควรสง่ เสริมความเทา่ เทียม การเข้าถึงการคดั กรองของกลมุ่ ประชากรเป้าหมายท้ังหมด การคดั กรองสขุ ภาพจิตเดก็ วยั เรยี น
11 9. ควรวางแผนการประเมินผลโปรแกรมตั้งแต่เริม่ แรก 10. ประโยชนท์ ไี่ ด้จากการคดั กรองทั้งหมด ควรมากกว่าผลกระทบทเ่ี กิดขน้ึ โดยสรปุ หลักเกณฑท์ ่วั ไปท่ใี ช้ในการพจิ ารณาวา่ ควรทำ�การคัดกรองสุขภาพจติ หรอื ไม่ มดี ังนี้ 1. ปัญหาท่คี ดั กรอง ตอ้ งเปน็ ปญั หาสขุ ภาพจิตท่สี ำ�คญั เป็นปญั หาพบบ่อยในช่วงวัยทค่ี ดั กรอง มีอัตราความชกุ สูง มีความรุนแรง มคี วามเรอ้ื รัง เพมิ่ ความเสีย่ งต่อการมีพฤติกรรมกา้ วรา้ วรนุ แรง การใช้สารเสพตดิ หรือเป็นปัญหาในการ ดแู ลรกั ษา และท่สี �ำ คัญคือ เมื่อตรวจพบในระยะเริ่มแรกจะให้ผลการรักษาทดี่ ีกวา่ เมื่ออาการมากแล้ว 2. วธิ กี ารคดั กรอง ต้องเปน็ วธิ ีทม่ี คี ุณสมบัตใิ นการวดั ทด่ี ี มคี วามเปน็ ไปไดใ้ นทางปฏิบตั ิ ได้ผลเร็ว คา่ ใชจ้ า่ ยไมส่ งู และไมส่ ง่ ผลข้างเคียงหรอื เป็นอันตรายตอ่ ผถู้ กู ทดสอบ 3. มวี ธิ ตี รวจวนิ จิ ฉยั และระบบตดิ ตามทดี่ ี เมอ่ื ผลการคดั กรองพบวา่ มคี วามเสย่ี งหรอื มปี ญั หา ซงึ่ เปน็ กระบวนการ ตอ่ เน่อื งจนไดผ้ ลการวนิ จิ ฉัย 4. มีทางเลอื กให้ตัดสินใจ หลังจากได้ผลการตรวจวนิ ิจฉยั เกณฑ์สำ�คัญที่ใช้ในการพิจารณาความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ คือ ความพร้อมของทรัพยากรต่าง ๆ ท่ีจะใช้ใน การคัดกรอง และความพร้อมในการจัดโปรแกรมป้องกันและดูแลช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงตามกลุ่มเป้าหมายหลังจาก ทำ�การคดั กรองแล้ว ระดับของการคัดกรอง เมอื่ พิจารณาตามกลมุ่ เป้าหมายท่ีจะคัดกรอง พบว่า การคัดกรองสามารถท�ำ ได้ 2 ระดับ คอื การคดั กรองในระดบั ประชากรทั้งหมด และการคดั กรองแบบเลอื กเฉพาะเจาะจง 1. การคดั กรองในระดับประชากรทงั้ หมด (mass screening / universal screening) คอื การคัดกรองในกลมุ่ ประชากรเป้าหมายท้ังหมดเพื่อค้นหาปัญหา โดยไม่คำ�นึงถึงปัจจัยเส่ียงเฉพาะบุคคล เพื่อดำ�เนินการป้องกันโรคแบบ ครอบคลุม (universal prevention) การคัดกรองจะด�ำ เนินทั้งชุมชนหรอื ทง้ั โรงเรยี น เช่น การคัดกรองปญั หาพฤตกิ รรมในเด็กนักเรยี นทกุ คน เพอ่ื ค้นหา เด็กกลุ่มเสี่ยงและมปี ัญหา การพิจารณาว่าการคัดกรองในระดับประชากรท้ังหมดมีความจำ�เป็นหรือไม่ อาจประเมินจากอุบัติการณ์ ความชุก หรือแนวโน้มการระบาด อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ไม่มีความชุกหรืออุบัติการณ์สูง แต่เมื่อเกิดแล้วส่งผลกระทบในวงกว้าง หรือเกิดความบกพร่อง ความพิการตามมา ก็ถือว่ามีความสำ�คัญเช่นเดียวกัน ปัญหาหรือโรคที่จะทำ�การคัดกรอง ควรมีสัญญาณความผิดปกติท่ีตรวจพบแต่เนิ่น ๆ ด้วย และควรมีข้อมูลการแสดงอาการชัดเจน เพ่ือให้มั่นใจว่า การคัดกรองเกิดประโยชนจ์ ริง 2. การคดั กรองแบบเลอื กเฉพาะเจาะจง (selective screening / case finding) คอื การคดั กรองในกลมุ่ ประชากร เปา้ หมายที่เฉพาะเจาะจง หรอื การคัดกรองรายบคุ คล การคัดกรองจะดำ�เนินในกลุ่มที่มีอัตราเส่ียงสูงต่อปัญหาเป้าหมายท่ีต้องการค้นหา เพ่ือดำ�เนินการป้องกันโรคแบบ เฉพาะกลุม่ (selected prevention) เชน่ การคดั กรองภาวะเครยี ดภายหลงั เหตุการณ์สะเทอื นขวัญ (Post-Traumatic Stress Disorder: PTSD) ในกลมุ่ เดก็ ทปี่ ระสบกบั เหตกุ ารณภ์ ยั พบิ ตั ิ หรอื เดก็ ทปี่ ระสบอบุ ตั เิ หตุ สญู เสยี บคุ คลในครอบครวั การคัดกรองอาจเจาะจงเฉพาะบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาเป้าหมายท่ีต้องการค้นหา เพ่ือดำ�เนินการป้องกันโรค แบบเจาะจงรายบุคคล (indicated prevention) เช่น มีปัจจัยเสี่ยง มีโรคเร้ือรัง มีอาการในระยะเริ่มแรกบางอาการ หรอื บางพฤตกิ รรม แตย่ งั ไมค่ รบตามเกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั โรค มคี วามบกพรอ่ งในการท�ำ หนา้ ทดี่ า้ นตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจ�ำ วนั การคดั กรองสขุ ภาพจติ เด็กวยั เรียน
12 หลกั การพจิ ารณาเครือ่ งมือคดั กรอง เครอื่ งมอื คดั กรองแตล่ ะชนดิ จะมกี ารอธบิ ายวธิ กี ารใชแ้ ละการคดิ คะแนนเพอื่ ประเมนิ ผล ซง่ึ สามารถอา่ นไดจ้ ากคมู่ อื การใช้เครื่องมอื คดั กรองนัน้ ๆ โดยผูท้ จี่ ะนำ�เครื่องมอื มาใชต้ อ้ งศึกษาขอ้ บ่งชี้ในการใช้ พิจารณาตามหลกั เกณฑ์ ดังน้ี 1. ควรพิจารณาวัตถุประสงค์ที่จะนำ�ไปใช้ในการคัดกรอง นำ�ไปใช้กับใคร ที่ไหน และใครเป็นผู้ทำ�การคัดกรอง การพิจารณาตามวัตถุประสงค์นั้นเพื่อจะได้ผลการประเมินท่ีเท่ียงตรงเชื่อถือได้ และนำ�ไปสู่การให้ความช่วยเหลือท่ี เหมาะสมต่อไป 2. เคร่อื งมอื คดั กรองทีน่ ยิ มใช้มี 2 แบบ ได้แก่ แบบประเมนิ ตนเอง และแบบสมั ภาษณห์ รือแบบสอบถาม 3. ควรพจิ ารณาเคร่อื งมอื คัดกรองทมี่ ีคณุ ภาพ ท่ีสร้างอยใู่ นวฒั นธรรมของผู้รบั การคัดกรองก่อน ถ้ามี 4. ควรพิจารณาเลือกใช้เครื่องมือคัดกรอง ซึ่งเป็นเคร่ืองมือท่ีผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เช่ียวชาญ และการวเิ คราะหค์ ณุ ภาพตามเกณฑ์ มคี า่ ความเทยี่ ง หรอื ความเชอื่ ถอื ได้ (reliability) และคา่ ความตรง หรอื ความแมน่ ย�ำ (validity) อยูใ่ นเกณฑด์ ี 5. ควรพจิ ารณาเครือ่ งมือคัดกรองทเ่ี หมาะสมกับวัย อายุ เพศ โรค อาการ และพฤติกรรมของกลมุ่ เป้าหมาย หลกั การพิจารณาคุณสมบัตขิ องเครื่องมอื คัดกรอง เมอ่ื เลอื กเครอ่ื งมอื คดั กรองตามวตั ถปุ ระสงคไ์ ดเ้ หมาะสมกบั กลมุ่ เปา้ หมายแลว้ การประเมนิ คณุ สมบตั ขิ องเครอื่ งมอื คัดกรองวา่ มีประสทิ ธิภาพหรือไม่ ก็เป็นเรื่องทมี่ ีความส�ำ คัญ โดยสามารถพจิ ารณาจากเกณฑ์ ดังนี้ 1. ความเทย่ี ง หรอื ความเช่ือถือได้ (reliability) คอื ความสามารถของเครอื่ งมอื ในการใหผ้ ลลัพธ์เหมอื นเดมิ หรือ ใกล้เคียงกนั ทุกคร้งั เมอื่ มีการทดสอบซ้ำ� ในกลุ่มเปา้ หมายเดยี วกัน ภายใต้บริบทเดมิ 2. ความตรง หรอื ความแมน่ ย�ำ (validity) คอื ความสามารถของเครอื่ งมอื ในการแสดงผลสอดคลอ้ งกบั สงิ่ ทต่ี อ้ งการ วัด วัดได้ตรงกบั ความเป็นจริง หรือใกล้เคียงกบั ความเปน็ จริงมากทส่ี ดุ แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ 2.1. ความตรงเชงิ เน้ือหา (content validity) 2.2. ความตรงเชิงโครงสร้าง (construct validity) 2.3. ความตรงตามเกณฑส์ มั พันธ์ (criterion-related validity) 3. ความไว (sensitivity) คอื ความสามารถของเคร่อื งมอื ในการระบวุ า่ มีปญั หาหรอื ความผดิ ปกติไดถ้ ูกต้อง 4. ความจำ�เพาะ (specificity) คอื ความสามารถของเครือ่ งมอื ในการการระบุวา่ ไมม่ ปี ัญหาหรือไมม่ คี วามผิดปกติ ไดถ้ กู ตอ้ ง 5. ค่าการพยากรณ์ (predictive value) คือ ความน่าจะเป็นของการเกิดปัญหาเมื่อได้ผลการทดสอบเป็นบวก (positive predictive value; PPV) และความน่าจะเปน็ ของการไม่เกิดปญั หาเมอ่ื ได้ผลการทดสอบเปน็ ลบ (negative predictive value; NPV) การเลอื กใชเ้ ครอื่ งมอื คดั กรองทมี่ อี ยหู่ ลากหลาย นอกจากตอ้ งเลอื กใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสมแลว้ การประเมนิ ผลทไ่ี ดจ้ าก การคดั กรองเปน็ เรอื่ งทตี่ อ้ งระมดั ระวงั และใหค้ วามส�ำ คญั เนอ่ื งจากรปู แบบของแบบประเมนิ มคี วามแตกตา่ งกนั การคดิ คะแนนของแบบประเมินก็จะมีความแตกต่างเช่นกัน ต้องมีการประเมินผลได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานของเคร่ืองมือ ทีใ่ ช้ในการคัดกรอง ก่อนใชเ้ คร่อื งมือคัดกรอง ควรศึกษาคมู่ ือการใช้อยา่ งละเอียด และเข้ารบั การฝึกอบรมวิธีการใชใ้ นกรณีทรี่ ะบวุ ่าผู้ใช้ เคร่อื งมอื ต้องผ่านการอบรมเทา่ นนั้ การคดั กรองสขุ ภาพจิตเดก็ วัยเรยี น
13 ระบบการคัดกรอง สขุ ภาพจิตเดก็ วยั เรยี น ระบบการคดั กรองสขุ ภาพจติ เดก็ วยั เรยี นทมี่ กี ารด�ำ เนนิ งานในปจั จบุ นั มคี วามหลากหลาย แตกตา่ งกนั ไปตามหนว่ ย บรกิ ารทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เดก็ วยั เรยี นโดยตรง ในทนี่ จี้ ะกลา่ วถงึ ระบบทม่ี กี ารด�ำ เนนิ การอยา่ งแพรห่ ลายในประเทศไทย และ ระบบที่เป็นท่ยี อมรับในระดับนานาชาตทิ ่เี ริ่มมกี ารน�ำ มาทดลองใช้ ดงั น้ี 1) ระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี น กระทรวงศกึ ษาธิการ ร่วมกบั กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้กำ�หนดให้มกี ารคดั กรองปญั หาพฤติกรรมใน โรงเรยี น เพอ่ื ให้สามารถค้นหากลุ่มเส่ียง และกลุ่มทมี่ ีปญั หา เพ่อื ใหก้ ารดูแลช่วยเหลือนกั เรยี นได้อยา่ งเหมาะสม ตาม ระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น ซึ่งมีการดำ�เนนิ การในโรงเรียนตง้ั แต่ปี พ.ศ.2542 จนถงึ ปจั จบุ ัน ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นกระบวนการดำ�เนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างมีข้ันตอน พร้อมด้วยวิธี การและเคร่ืองมือการท�ำ งานทีช่ ัดเจน โดยมคี รทู ปี่ รึกษาเปน็ บุคลากรหลกั ในการดำ�เนินการดังกล่าว และมกี ารประสาน ความรว่ มมืออย่างใกล้ชิดกับครูทีเ่ กยี่ วข้องหรอื บุคลากรภายนอก รวมทง้ั การสนบั สนุนส่งเสริมจากโรงเรยี น มีวัตถุประสงค์เพื่อใหก้ ารดำ�เนนิ งานดูแลช่วยเหลอื นักเรยี นของโรงเรยี น เป็นไปอยา่ งระบบและมปี ระสทิ ธิภาพ และ เพื่อใหโ้ รงเรียน ผ้ปู กครอง หน่วยงานท่เี ก่ียวข้อง หรือชมุ ชน มกี ารท�ำ งานรว่ มกันโดยผ่านกระบวนการท�ำ งานทม่ี ีระบบ พรอ้ มด้วย เอกสาร หลกั ฐานการปฏบิ ตั ิงาน สามารถตรวจสอบ หรอื รับการประเมินได้ กระบวนการดำ�เนนิ งานตามระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรียน มอี งค์ประกอบส�ำ คญั 5 ประการ ได้แก่ 1. การรูจ้ กั นกั เรียนเปน็ รายบคุ คล 2. การคัดกรองนักเรยี น 3. การสง่ เสริมนักเรียน 4. การปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หา 5. สง่ ตอ่ “การคัดกรองนักเรียน” เป็นองค์ประกอบหน่ึงในระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เคร่ืองมือคัดกรองท่ีน�ำ มาใช้ใน โรงเรียนเพอ่ื คัดกรองปัญหาพฤติกรรม คอื แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน SDQ (The Strengths and Difficulties Questionnaire) ซ่ึงจัดแบ่งเป็นกลุ่มปัญหาพฤติกรรม 5 ด้าน ได้แก่ ด้านอารมณ์ ด้านอยู่ไม่นิ่ง ด้านเกเร ด้านความ สมั พนั ธก์ บั เพื่อน และดา้ นสัมพันธภาพทางสังคม การคัดกรองสขุ ภาพจติ เดก็ วัยเรยี น
14 การคดั กรองนกั เรียนเปน็ การพิจารณาข้อมูลทเี่ ก่ียวกบั ตวั นักเรียน เพือ่ การจัดกลมุ่ นักเรยี นเป็น 3 กลุ่ม ดังน้ี 1. กลุ่มปกติ คือ นกั เรียนทไ่ี ดร้ บั การวิเคราะห์ข้อมลู ต่าง ๆ ตามเกณฑก์ ารคดั กรองของโรงเรียนแลว้ อยใู่ นเกณฑ์ ของกลุม่ ปกติ ซงึ่ ควรไดร้ ับการสรา้ งเสรมิ ภมู ิคุ้มกันและการสง่ เสรมิ พฒั นา 2. กลมุ่ เสยี่ ง คอื นกั เรยี นทจี่ ดั อยใู่ นเกณฑข์ องกลมุ่ เสย่ี งตามเกณฑก์ ารคดั กรองของโรงเรยี น ซงึ่ โรงเรยี นตอ้ งใหก้ าร ปอ้ งกันหรือแกไ้ ขปัญหาตามแต่กรณี 3. กลมุ่ มปี ญั หา คอื นกั เรยี นทจี่ ดั อยใู่ นเกณฑข์ องกลมุ่ มปี ญั หาตามเกณฑก์ ารคดั กรองของโรงเรยี น ซง่ึ โรงเรยี นตอ้ ง ชว่ ยเหลือและแก้ปัญหาโดยเร่งด่วน การจดั กลมุ่ นกั เรยี นมปี ระโยชนต์ อ่ ครทู ปี่ รกึ ษาในการหาวธิ กี ารเพอ่ื ดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง โดยเฉพาะ การแกไ้ ขปญั หาของนกั เรยี นไดด้ ยี งิ่ ขน้ึ และมคี วามรวดเรว็ ในการแกไ้ ขปญั หา เพราะมขี อ้ มลู ของนกั เรยี นในดา้ นตา่ ง ๆ ซงึ่ หากครทู ปี่ รกึ ษาไมไ่ ดค้ ดั กรองนกั เรยี นเพอื่ การจดั กลมุ่ แลว้ ความชดั เจนในเปา้ หมายเพอื่ การแกไ้ ขปญั หาของนกั เรยี นจะ มนี ้อยลง มผี ลต่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือ ซ่ึงบางกรณจี ำ�เปน็ ต้องแกไ้ ขโดยเรง่ ดว่ น ผลการคัดกรองนักเรียน ครูที่ปรึกษาจำ�เป็นต้องระมัดระวังอย่างยิ่งท่ีจะไม่ทำ�ให้นักเรียนรับรู้ได้ว่าตนถูกจัดกลุ่มอยู่ ในกลุ่มเส่ียงหรือกลุ่มมีปัญหา ซ่ึงมีความแตกต่างจากกลุ่มปกติ แม้ว่านักเรียนจะรู้ตัวดีว่าขณะน้ีตนมีพฤติกรรมอย่างไร หรือประสบกับปญั หาใดก็ตาม และเพื่อเปน็ การปอ้ งกันการลอ้ เลยี นในหมูเ่ พ่อื นอีกดว้ ย ดังนัน้ ครทู ปี่ รกึ ษาตอ้ งเก็บผล การคดั กรองนกั เรยี นเปน็ ความลบั นอกจากนหี้ ากครทู ป่ี รกึ ษามกี ารประสานงานกบั ผปู้ กครองเพอื่ การชว่ ยเหลอื นกั เรยี น ก็ควรระมดั ระวงั การสื่อสารท่ที ำ�ให้ผู้ปกครองเกิดความรู้สึกวา่ บุตรหลานของตนอยใู่ นกลมุ่ ที่ผิดปกติแตกตา่ งจากเพอ่ื น นักเรยี นอน่ื ๆ ซ่ึงอาจมผี ลเสียตอ่ นกั เรียนในภายหลังได้ “การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล” ท้ังด้านความสามารถ ด้านสุขภาพ ด้านครอบครัว ฯลฯ สามารถดำ�เนินการ โดยศกึ ษาขอ้ มลู จากแหลง่ ตา่ งๆ เชน่ ระเบยี นสะสม เครอ่ื งมอื คดั กรองหรอื ประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ ชนดิ ตา่ ง ๆ การสอบถาม จากนกั เรยี นหรอื ผู้ปกครอง การเยย่ี มบ้านนกั เรยี น ฯลฯ “การสง่ เสริมนกั เรยี น” สามารถด�ำ เนินการได้ในเด็กนกั เรียนทกุ กลมุ่ เชน่ การจัดกิจกรรมโฮมรมู (home room) จดั ประชมุ ผู้ปกครองชน้ั เรยี น (classroom meeting) หรอื จดั กจิ กรรมอ่ืน ๆ ท่คี รพู จิ ารณาว่าเหมาะสมในการสง่ เสริม นักเรียนใหม้ คี ุณภาพมากขึ้น “การป้องกันและแก้ไขปัญหา” มีความจำ�เป็นมากสำ�หรับนักเรียนกลุ่มเส่ียงหรือกลุ่มมีปัญหา ซึ่งดำ�เนินการได้โดย ใหก้ ารปรกึ ษาเบื้องตน้ ประสานงานกับครแู ละผู้เกย่ี วข้องอนื่ ๆ เพือ่ การจัดกิจกรรมส�ำ หรบั การปอ้ งกนั และชว่ ยเหลอื ปญั หาของนกั เรยี น เชน่ กจิ กรรมในหอ้ งเรยี น กจิ กรรมเสรมิ หลกั สตู ร กจิ กรรมเพอื่ นชว่ ยเพอื่ น กจิ กรรมซอ่ มเสรมิ กจิ กรรม ส่อื สารกบั ผปู้ กครอง ฯลฯ “การส่งต่อ” สามารถดำ�เนินการได้โดย บันทึกการส่งนักเรียนไปยังครูท่ีเกี่ยวข้องในการช่วยเหลือนักเรียนต่อไป เช่น ครูแนะแนว ครูปกครอง ครูประจำ�วิชา ครูพยาบาล ฯลฯ ซ่ึงเปน็ การสง่ ตอ่ ภายใน หรือบนั ทึกการสง่ นกั เรยี นไปยงั ผ้เู ช่ยี วชาญภายนอกโดยครูแนะแนว หรือฝา่ ยปกครองเปน็ ผู้ดำ�เนนิ การซึ่งเปน็ การส่งตอ่ ภายนอก การคัดกรองสุขภาพจติ เด็กวยั เรยี น
15 ระบบการดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน มีการดำ�เนนิ การตอ่ เน่ืองในโรงเรยี นสงั กัดภาครัฐ มาเกือบ 20 ปี ซึง่ ความเขม้ ข้น ในการดำ�เนินงานเร่ิมลดลงตามระยะเวลา จึงควรมีการทบทวนและพัฒนาระบบให้มีความย่ังยืน และควรขยายผล ให้ครอบคลมุ ทุกโรงเรียนต่อไป 2) ระบบการคัดกรองบคุ คลทม่ี ีความตอ้ งการพิเศษทางการศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร โดยส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ไดก้ �ำ หนดใหโ้ รงเรยี นในสงั กดั มกี ารคดั กรอง บคุ คลทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษทางการศกึ ษา ทง้ั 9 ประเภท ตามประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เรอ่ื ง ก�ำ หนดประเภทและ หลกั เกณฑข์ องคนพิการทางการศึกษา พ.ศ.2552 ไดแ้ ก่ 1) บคุ คลที่มคี วามบกพรอ่ งทางการเหน็ 2) บุคคลทม่ี ีความบกพร่องทางการไดย้ ิน 3) บคุ คลท่มี คี วามบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา 4) บคุ คลทมี่ คี วามบกพร่องทางรา่ งกาย หรือการเคล่อื นไหว หรือสขุ ภาพ 5) บคุ คลทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ 6) บคุ คลทมี่ ีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 7) บคุ คลทม่ี ีความบกพร่องทางพฤตกิ รรมหรืออารมณ์ 8) บุคคลออทสิ ตกิ 9) บคุ คลทีม่ ีความพิการซ้อน การคัดกรองสามารถทำ�ได้โดยการสังเกตเด็กโดยตรงจากครูประจำ�ชั้น และการใช้เครื่องมือคัดกรอง โดยผู้ที่จะใช้ เครอ่ื งมอื คดั กรองตอ้ งผ่านการอบรมวธิ ีการใช้ และควรมีอย่างน้อย 2 คนขน้ึ ไป โดยสอบถามขอ้ มลู เพ่มิ เตมิ จากผทู้ ี่อยู่ ใกลช้ ดิ เดก็ มากที่สุด เช่น ผ้ปู กครองหรือครู เพอ่ื ให้เกดิ ความชดั เจนและถูกต้อง เม่ือคัดกรองพบกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มที่มีปัญหาแล้ว จะส่งต่อพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป ในขณะเดียวกันก็จะมี การจัดระบบการดูแลชว่ ยเหลือเดก็ ในโรงเรยี นควบค่กู ันไปด้วย การคดั กรองบคุ คลทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษทางการศกึ ษาทง้ั 9 กลมุ่ ขา้ งตน้ ท�ำ ในกรณที น่ี กั เรยี นยงั ไมไ่ ดพ้ บแพทยเ์ พอื่ ตรวจประเมนิ ยงั ไมม่ ใี บรบั รองความพกิ าร สมดุ ประจ�ำ ตวั คนพกิ าร หรอื ใบรบั รองแพทย์ ในกรณที มี่ เี อกสารดงั กลา่ วแลว้ ไม่จำ�เป็นต้องย้อนกลับมาท�ำ แบบคัดกรองอีก ระบบการคดั กรองบคุ คลทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษทางการศกึ ษา ยงั ตอ้ งมกี ารพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยเฉพาะการพฒั นา แบบคดั กรองทีม่ ีคุณสมบัตใิ นการวดั ทดี่ ี การอบรมผใู้ ชเ้ ครือ่ งมือคัดกรองให้ครอบคลุม และทสี่ �ำ คัญคือการพัฒนาระบบ การสง่ ต่อภายนอกสู่หนว่ ยบริการสาธารณสขุ ซงึ่ ยงั เป็นอุปสรรคท่สี �ำ คัญ 3) ระบบการช่วยเหลอื เด็ก แบบ RTI (Response to Intervention) ระบบการชว่ ยเหลอื เด็ก แบบ RTI (Response to Intervention) คือ กระบวนการคัดกรอง ประเมิน ใหก้ ารชว่ ย เหลอื และตดิ ตามการตอบสนองตอ่ การชว่ ยเหลอื อยา่ งเปน็ ระบบ ตามระดบั ความเขม้ ขน้ ในการชว่ ยเหลอื (multi- tiered system of supports) ซ่งึ โดยทว่ั ไปใช้ 3 ระดับ แตล่ ะระดบั เป็นดงั นี้ ระดับที่ 1 (tier 1) เป็นการจัดการเรียนการสอนตามปกติ (universal) สำ�หรับนักเรียนทุกคนในช้ันเรียน ให้มี ประสิทธิภาพสูงสุดโดยใช้วิธกี ารหลากหลายที่ทำ�ใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรียนรู้ การคัดกรองสุขภาพจิตเด็กวยั เรยี น
16 ระดบั ที่ 2 (tier 2) เปน็ การชว่ ยเหลอื แบบเขม้ ขน้ (intensive support) ใหก้ ารชว่ ยเหลอื แบบกลมุ่ ยอ่ ย 2-5 คน โดยครู ประจ�ำ ชนั้ หรอื ผเู้ ชย่ี วชาญเฉพาะรายวชิ า สอนซอ่ มเสรมิ 3-4 ครง้ั ตอ่ สปั ดาห์ ครงั้ ละ 30-60 นาที ระยะเวลาในการชว่ ยเหลอื 9-12 สปั ดาห์ มกี ารประเมนิ อย่างสม่ําเสมอ และปรับเปลีย่ นการจัดการเรยี นการสอนตามการตอบสนองของผเู้ รียน ระดับท่ี 3 (tier 3) เป็นการช่วยเหลือแบบรายบุคคล (individualized support) โดยมีครูการศึกษาพิเศษเป็น ผู้รับผิดชอบจัดการเรียนการสอนหรือให้ความช่วยเหลือผู้เรียนท่ีมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ มีครูประจำ�ชั้นและ ผู้ปกครองเป็นทีมสนับสนุนรับทราบและมีส่วนร่วมในกระบวนการทุกอย่าง มีการประเมินและติดตามผลอย่างใกล้ชิด และบ่อยครง้ั ว่าผู้เรยี นตอบสนองตอ่ การเรียนการสอนอย่างไร รวมทง้ั ความตอ้ งการเทคโนโลยี สิ่งอ�ำ นวยความสะดวก ส่ือและบรกิ ารอ่นื ใดทางการศกึ ษา การคัดกรองแบบครอบคลุมนักเรียนทุกคน (universal screening) นำ�มาใช้เพ่ือค้นหากลุ่มเสี่ยงด้านการเรียนรู้ ซง่ึ เปน็ ขัน้ ตอนแรกในระบบการชว่ ยเหลือเดก็ แบบ RTI เพ่ือรวบรวมข้อมูล และตดั สินใจวา่ จะประเมินเดก็ เพิ่มเติม หรอื ให้ความช่วยเหลือในระดับท่ีเข้มข้นข้ึนหรือไม่ และในการปรับเปล่ียนระดับความเข้มข้นจะต้องได้รับการอนุญาตจาก ผู้ปกครองด้วยเสมอ เคร่ืองมือคัดกรองไม่ได้มีการกำ�หนดตายตัวว่าจะใช้เคร่ืองมือใด สามารถพิจารณาตามความเหมาะสม แต่ที่สำ�คัญ คือมีคุณสมบัติในการวัดท่ีดี มีค่าความเชื่อถือได้ (reliability) และค่าความแม่นยำ� (validity) สูง การนำ�มาใช้ควรใช้ อย่างระมัดระวังและถูกวิธี การคดั กรองจะทำ�ทกุ ภาคการศึกษาในแต่ละปี ประเทศในอเมริกาและยุโรปใน 1 ปีการศกึ ษามี 3 ภาคการศึกษา มีการคัดกรองท้ัง 3 ภาคการศึกษา สำ�หรับในประเทศไทยซ่ึงมี 2 ภาคการศึกษา อาจทำ�การคัดกรองเพียง 2 ภาค การศกึ ษากเ็ พยี งพอ แตค่ วรก�ำ หนดช่วงเวลาทจี่ ะท�ำ การคัดกรองใหช้ ดั เจน การให้ความช่วยเหลือเด็ก แบบ RTI เน้นในด้านการศึกษาเป็นหลัก ในปัจจุบันมีการบูรณาการการช่วยเหลือด้าน สขุ ภาพจติ คอื ปญั หาดา้ นอารมณ์ พฤตกิ รรม และสงั คม เขา้ เปน็ ระบบเดยี วกนั ดว้ ย (Positive Behavior Interventions and Supports - PBIS) ซง่ึ นอกจากชว่ ยลดปญั หาพฤตกิ รรมของนกั เรยี น ยังช่วยเพม่ิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการศกึ ษาอีกด้วย สามารถดำ�เนินการโดยการเพิ่มการใช้เครื่องมือคัดกรองด้านพฤติกรรม และการให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม เช่น การเสรมิ สรา้ งทกั ษะสงั คม กลมุ่ เสรมิ สรา้ งทกั ษะการแกไ้ ขความขดั แยง้ กลมุ่ เพอ่ื นชว่ ยเพอ่ื น และการพบกบั นกั จติ วทิ ยา โรงเรียนหรือผู้ให้การปรึกษาประจ�ำ โรงเรียน เปน็ ตน้ ระบบนี้ยงั ไมไ่ ดด้ �ำ เนนิ การอยา่ งแพรห่ ลายในประเทศไทย แต่มกี ารศึกษาวิจัย และน�ำ รอ่ งระบบไปบา้ งแล้ว ในกลมุ่ นักวิชาการด้านการศึกษา และมีการดำ�เนินการในโรงเรียนนานาชาติบางแห่ง เป็นระบบท่ีควรพัฒนาต่อและขยายผล ให้ครอบคลุม เนือ่ งจากสามารถชว่ ยเหลอื เดก็ ได้ทุกคน โดยความเข้มข้นในการช่วยเหลอื ปรบั เปลีย่ นไปตามผลการตอบ สนองตอ่ การช่วยเหลือ 4) ระบบการคัดกรองสขุ ภาพจิต ในผู้ป่วยเด็กท่ีมารับบริการ การคดั กรองสขุ ภาพจติ โดยเฉพาะปญั หาทางดา้ นอารมณแ์ ละพฤตกิ รรมในเดก็ รวมถงึ ปญั หาทางดา้ นจติ สงั คมตา่ ง ๆ ที่แผนกผู้ป่วยนอกกุมารเวชศาสตร์ เม่ือผู้ป่วยเด็กมารับบริการที่โรงพยาบาล หรือหน่วยบริการสาธารณสุข จะช่วยให้ เดก็ ไดร้ บั การดแู ลชว่ ยเหลอื อยา่ งครอบคลมุ ทง้ั ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ และสงั คม รวมถงึ การสง่ ตอ่ เพอ่ื วนิ จิ ฉยั การดแู ลรกั ษา ที่ถกู ต้อง เหมาะสม และรวดเรว็ ที่สดุ เทา่ ที่จะเป็นไปได้ สามารถชว่ ยลดโอกาสท่ีเดก็ จะมีปญั หาสขุ ภาพจติ หรอื โรคทาง จติ เวชท่รี ุนแรงและเรือ้ รงั และลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการรกั ษา การคัดกรองสุขภาพจิตเด็กวยั เรยี น
17 โดยทั่วไป ผู้ปกครองหรือผู้เลี้ยงดูมักนำ�เด็กมาปรึกษาก็ต่อเม่ือเด็กมีปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมมากถึงระดับ ท่ีทำ�ให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน ซึ่งเป็นกลุ่มท่ีรักษายากและไม่ค่อยได้ผลเต็มท่ี เพราะมีอาการเรื้องรัง และส่ังสมปัญหามานาน ผู้ปกครองหรือผู้เล้ียงดูมักไม่รู้ว่าอาการเร่ิมต้นท่ีเห็นน้ันคือปัญหาจึงไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ ในขณะที่ทีมงานด้านการ แพทยก์ ไ็ ม่มีเครอ่ื งมอื คัดกรองทสี่ ะดวกและน่าเช่อื ถอื เพอ่ื ดูแลเด็กที่มปี ัญหาเหล่าน้ี พบว่ามีเด็กประมาณ 1 ใน 4 ท่ีมารับบริการด้านสาธารณสุข มีปัญหาทางด้านจิตสังคมท่ีต้องให้ความสำ�คัญด้วย และในเด็กที่เจ็บป่วยด้วยโรคเร้ือรังจะมีปัญหาทางด้านจิตสังคมเพ่ิมข้ึน การคัดกรองสุขภาพจิตในผู้ป่วยเด็กเป็นวิธีการ ท่ีสามารถชว่ ยใหก้ มุ ารแพทย์หรอื ผู้ท่ีทำ�งานเก่ยี วข้องกบั เดก็ สามารถคัดกรองเดก็ ทมี่ ีปญั หาออกมาให้การดูแลเพิม่ เตมิ ได้ และชว่ ยเสริมการดูแลด้านจิตสังคมเพื่อชว่ ยลดเวลาในการต้องอยรู่ กั ษาในโรงพยาบาลใหส้ ัน้ ลง เครอ่ื งมอื คดั กรองทมี่ กี ารน�ำ มาใชไ้ ดอ้ ยา่ งมสี ทิ ธภิ าพ ควรเปน็ แบบสอบถามอยา่ งสน้ั และใชง้ า่ ย ไดแ้ ก่ แบบสอบถาม พฤตกิ รรม PSC (Pediatric Symptom Checklist) ซ่ึงมีคำ�ถาม 35 ขอ้ พบวา่ สามารถคน้ หาปญั หาทางพฤตกิ รรมได้มี ประสทิ ธภิ าพดี เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั แบบทดสอบมาตรฐานในการส�ำ รวจปญั หาพฤตกิ รรมเดก็ เชน่ แบบส�ำ รวจพฤตกิ รรมเดก็ CBCL (Child Behavior Check List) ซงึ่ มคี �ำ ถาม 118 ขอ้ และแบบส�ำ รวจพฤตกิ รรมเดก็ TYC (Thai Youth Checklist) ซ่ึงฉบบั ส�ำ หรับผ้ปู กครอง มีค�ำ ถาม 134 ข้อ ฉบบั ส�ำ หรบั ครู มีคำ�ถาม 133 ขอ้ ระบบนี้ยังไม่ได้ดำ�เนินการอย่างแพร่หลายในประเทศไทย แต่มีการศึกษาวิจัย และนำ�ร่องระบบไปบ้างแล้ว ในกลุ่มแพทย์และนักวิชาการด้านการแพทย์ เป็นระบบท่ีควรพัฒนาต่อและขยายผลให้ครอบคลุม เน่ืองจากเป็นการ บรู ณาการการดแู ลดา้ นจติ ใจและสงั คม เข้ากบั บรกิ ารปกตทิ เ่ี ด็กมารบั การรักษาโรคทางกาย เพ่ือใหค้ รอบคลุมการดูแล ทกุ มติ ิของสุขภาพ การคัดกรองสขุ ภาพจิตเดก็ วยั เรียน
18 การใชเ้ คร่อื งมอื คัดกรอง สขุ ภาพจติ เด็กวยั เรยี น เครื่องมอื คดั กรองสขุ ภาพจิตเดก็ วัยเรียน ท่ีมีการนำ�มาใช้ในปัจจบุ นั มจี �ำ นวนมาก มใี ช้ท้ังในระบบสาธารณสุข และ ระบบการศึกษา ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการนำ�มาใช้ มีทั้งท่ีใช้ในการคัดกรองปัญหาการเรียน ปัญหาทางพฤติกรรม ปญั หาทางอารมณ์ และความบกพร่องหรอื ความพิการชนดิ ตา่ ง ๆ ข้อบง่ ชี้ในการใชเ้ คร่ืองมอื คัดกรอง เครื่องมอื คัดกรองท่ีมีการนำ�มาใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลายในปัจจบุ นั สามารถแบง่ เปน็ 2 กลุ่ม ตามลกั ษณะปญั หาที่คดั กรอง คือ เคร่อื งมือคัดกรองสำ�หรับปัญหาทัว่ ไป และเคร่ืองมอื คดั กรองสำ�หรับปัญหาเฉพาะ ดังนี้ 1. เคร่ืองมือคัดกรองส�ำ หรบั ปัญหาทัว่ ไป น�ำ มาใชค้ ดั กรองปัญหาสขุ ภาพจติ ในภาพรวม แบ่งตามกลุ่มปญั หา หรอื ลกั ษณะพฤตกิ รรม โดยไมร่ ะบเุ ฉพาะเจาะจงรายโรค พบวา่ มปี ระสทิ ธภิ าพดกี วา่ และไดป้ ระโยชนม์ ากกวา่ ในการน�ำ มาใช้ คดั กรองในระดบั ประชากร เมอ่ื เทยี บกบั การคัดกรองส�ำ หรับปญั หาเฉพาะ ซ่งึ ในหนงั สือเล่มนจี้ ะกลา่ วถึงรายละเอยี ดของ แบบประเมินจดุ แข็งและจดุ อ่อน SDQ (The Strengths and Diffi- culties Questionnaire) และแบบสอบถามพฤติกรรม PSC (Pediatric Symptom Checklist) 2. เคร่อื งมอื คัดกรองส�ำ หรบั ปัญหาเฉพาะ นำ�มาใช้คดั กรองปัญหาสุขภาพจติ โดยเจาะจงเฉพาะโรค หรือประเด็น เฉพาะทีต่ อ้ งการรู้ เช่น สมาธิสัน้ ออทสิ ติก แอลดี ภาวะซมึ เศรา้ ในเดก็ การติดเกม ฯลฯ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดของ แบบคัดกรองนักเรียนท่ีมีภาวะสมาธิส้ัน บกพร่องทางการเรียนรู้ และออทิซึม KUS-SI, แบบคัดกรองบุคคลที่มีความต้องการพิเศษทางการศึกษา สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน, แบบสังเกตพฤติกรรม สำ�หรับเด็กท่ีมีระดับสติปัญญาตำ่�กว่าเกณฑ์ ภาวะบกพร่องของทักษะการเรียน โรคสมาธสิ น้ั และกลมุ่ อาการออทซิ มึ , แบบประเมนิ พฤตกิ รรม SNAP-IV, แบบส�ำ รวจพฒั นาการเดก็ PDDSQ, แบบสอบ วัดภาวะซึมเศร้าในเด็ก CDI, แบบสอบถามผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยพิบัติสำ�หรับเด็ก CRIES-13 และแบบทดสอบ การติดเกม GAST การเลือกใช้เครื่องมือคัดกรอง จึงต้องรู้ว่าต้องการจะคัดกรองเร่ืองอะไร คัดกรองปัญหาทั่วไป หรือคัดกรองปัญหา เฉพาะ เพอื่ ทจ่ี ะเลือกใชเ้ คร่ืองมือคัดกรองตามข้อบง่ ชใี้ นการใช้ได้ถกู ตอ้ ง ข้อบ่งช้ีในการใช้มักจะมีการกำ�หนดชัดเจนว่า เครื่องมือคัดกรองชุดนี้ใช้คัดกรองเร่ืองอะไร ในกลุ่มเป้าหมายใด ช่วงอายุเทา่ ไหร่ และในบริบทไหนบา้ ง และเครอื่ งมอื คดั กรองบางชุดยงั มขี ้อบง่ ชี้ในการใช้อ่นื ๆ ท่สี ามารถท�ำ ได้เพิ่มเติม เชน่ ใช้ประเมนิ ความรนุ แรงของอาการ และใช้ตดิ ตามความก้าวหนา้ ของการรกั ษา การคัดกรองสุขภาพจติ เด็กวัยเรียน
19 การพัฒนาเครื่องมอื คัดกรอง เครื่องมือคัดกรองท่ีมีการนำ�มาใช้ทั่วไปในประเทศไทย มักแปลมาจากภาษาต่างชาติอย่างถูกต้องครบถ้วน หรือ อาจคิดค้นข้ึนใหม่ดว้ ยตนเอง ปรับปรงุ จากต้นฉบบั เดิม และมีงานวจิ ัยรองรบั ชดั เจน การแปลเครื่องมือคัดกรองฉบับภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย ผู้แปลจะคำ�นึงถึงความถูกต้องของการแปล ความสอดคลอ้ งกบั ภาษาไทยทงั้ ในแงค่ วามหมายและความเหมาะสมกบั บรบิ ทดว้ ย และมกี ารแปลกลบั เพอื่ ความสมบรู ณ์ และความเชอื่ ถอื ไดข้ องการแปล เมอื่ การแปลเสรจ็ สนิ้ และไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากเจา้ ของเครอ่ื งมอื คดั กรองแลว้ จงึ มกี าร ทดสอบคา่ มาตรฐานตา่ ง ๆ ในบริบทของสังคมไทยทง้ั จากตัวอยา่ งในคลนิ กิ และจากประชากรท่วั ไป คุณสมบตั ขิ องเครื่องมอื คัดกรอง เคร่อื งมือคัดกรองท่มี ีการนำ�มาใช้ และมีงานวิจัยรองรับ มักมีการศึกษาเพ่อื หาคุณสมบัติต่าง ๆ ในกล่มุ ประชากร เปา้ หมาย เชน่ ความเทย่ี ง หรอื ความเชอ่ื ถอื ได้ (reliability) ความตรง หรอื ความแมน่ ย�ำ (validity) ความไว (sensitivity) ความจ�ำ เพาะ (specificity) คา่ การพยากรณ์ (predictive value) ฯลฯ การน�ำ เครอ่ื งมอื คดั กรองมาใชจ้ งึ ตอ้ งรถู้ งึ คณุ สมบตั ขิ องเครอ่ื งมอื คดั กรองดว้ ย เพอ่ื ใหส้ ามารถเลอื กใช้ แปลผลไดถ้ กู ตอ้ ง เหมาะสมตรงตามบรบิ ท ข้อจำ�กดั ของเครือ่ งมือคัดกรอง เคร่ืองมือคัดกรองที่นำ�มาใช้ส่วนใหญ่มักไม่สมบูรณ์แบบ มีโอกาสท่ีจะให้ผลการคัดกรองท่ีไม่ถูกต้องได้ คือ อาจให้ ผลอยู่ในกลุ่มเส่ียงหรือกลุ่มมีปญั หาทงั้ ท่เี ด็กไม่มปี ญั หา (ผลบวกลวง) และอาจให้ผลอย่ใู นกล่มุ ปกตทิ ั้งท่ีเด็กมคี วามเสยี่ ง หรอื มปี ัญหา (ผลลบลวง) ซึ่งขอ้ จำ�กัดของเครื่องมอื คัดกรอง มีดงั น้ี 1. การคัดกรองก่อในเกิดต้นทุน และใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ ไปกับประชากรส่วนใหญ่ซึ่งไม่จำ�เป็นต้องได้รับ การดูแลรกั ษา 2. ผลกระทบจากการคัดกรองสามารถเกิดขึ้นได้ ทำ�ให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล ตามมาท้ังในตัวเด็กเอง และครอบครัว 3. ความเครียดและความวติ กกงั วล อาจท�ำ ใหห้ มกมุน่ ครนุ่ คดิ อย่กู ับเรอ่ื งโรคและความผิดปกติมากขน้ึ โดยไมม่ ีการ เปลย่ี นแปลงใดที่จะชว่ ยใหผ้ ลลัพธด์ ีขึ้น 4. ความเครียดและความวิตกกังวล ทำ�ให้การคัดกรองเกิดผลบวกลวงได้ ส่งผลให้ต้องประเมินเพิ่มเติม ส่งต่อเพื่อ การวนิ ิจฉยั และให้การดแู ลรกั ษาทไ่ี มจ่ �ำ เปน็ 5. ความรู้สึกไม่มั่นคงในตนเอง กลัวว่าผลคัดกรองจะออกมาผิดปกติ ทำ�ให้เกิดผลลบลวงได้ ส่งผลให้การวินิจฉัย ปญั หา และการดแู ลช่วยเหลือต้องลา่ ชา้ ออกไป วิธกี ารใชเ้ ครอื่ งมอื คดั กรอง ก่อนนำ�เคร่ืองมือคดั กรองมาใชค้ ดั กรองสขุ ภาพจติ ในเด็ก สิ่งสำ�คัญอนั ดบั แรก คอื การได้รับอนญุ าตจากผ้ปู กครอง และการยนิ ยอมจากเด็กที่จะเข้าร่วมทดสอบดว้ ย เครือ่ งมอื คัดกรองบางชดุ มใี ห้เลอื กใชม้ ากกว่า 1 ฉบบั เลอื กใช้ตามกลมุ่ ผ้ทู �ำ เครือ่ งมอื คดั กรองทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป ส่วน ใหญม่ ฉี บบั ส�ำ หรบั พอ่ /แม/่ ผปู้ กครอง ฉบบั ส�ำ หรบั คร/ู ผดู้ แู ลเดก็ และฉบบั ส�ำ หรบั ตวั เดก็ ประเมนิ ตนเอง โดยทงั้ 3 ฉบบั มลี ักษณะข้อค�ำ ถามคล้ายคลงึ กนั ซ่ึงอาจเลือกใช้เพยี งบางฉบบั หรอื ใช้ร่วมกนั ก็ได้ การคดั กรองสขุ ภาพจิตเด็กวยั เรยี น
20 ในการใช้เครื่องมือคัดกรอง ควรตอบให้ครบตามจำ�นวนข้อที่มี และทำ�ให้เสร็จในคร้ังเดียว ถ้ามีเครื่องมือคัดกรอง มากกว่า 1 ฉบบั ควรทำ�ในเวลาใกล้เคียงกัน แต่ละข้อมักมีตัวเลือกให้ตอบ 2-5 ตัวเลือก ให้เลือกตอบใกล้เคียงความเป็นจริงกับพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นในช่วงเวลา ทีผ่ า่ นมา ซ่ึงเคร่ืองมอื คัดกรองแต่ละชุดก็มีการก�ำ หนดชว่ งเวลาท่แี ตกต่างกัน ในปัจจุบันมีการพัฒนาเครื่องมือคัดกรองท่ีประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และใช้ทำ�การทดสอบด้วยตนเองได้ ผา่ นทางระบบอิเลก็ ทรอนิกส์ หรอื ส่อื ออนไลน์ตา่ ง ๆ ส�ำ หรับผู้ท่ีสนใจสามารถศกึ ษาวิธีการใช้ การคิดคะแนน และการ แปลผล จากคำ�แนะนำ�ในการใช้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและใชไ้ ด้อย่างถกู ต้อง การคิดคะแนนและการแปลผล การคดิ คะแนนควรศกึ ษาจากคมู่ อื การใชเ้ ครอื่ งมอื คดั กรองแตล่ ะชนดิ อยา่ งละเอยี ด ซง่ึ มวี ธิ กี ารคดิ คะแนนแตกตา่ งกนั ลกั ษณะของขอ้ ค�ำ ถามทใี่ ชใ้ นเครอ่ื งมอื คดั กรองจะมที ง้ั ค�ำ ถามดา้ นบวกและค�ำ ถามดา้ นลบ ซงึ่ การคดิ คะแนนจะกลบั กนั เชน่ ขอ้ ค�ำ ถามดา้ นบวก ตอบวา่ “ใช”่ ให้ 1 คะแนน ในขณะท่ีข้อคำ�ถามด้านลบ ตอบว่า “ใช่” ให้ 0 คะแนน เป็นต้น จดุ ตดั ของคะแนนทเ่ี หมาะสมในการสบื คน้ ปญั หา ของเครอ่ื งมอื คดั กรองแตล่ ะฉบบั กม็ กั มคี า่ แตกตา่ งกนั เชน่ SDQ ฉบบั ผ้ปู กครองประเมนิ มจี ุดตดั คะแนนส�ำ หรบั กลุม่ เส่ียง ที่ 16-18 คะแนน ในขณะท่ี SDQ ฉบับครูประเมิน มีจดุ ตัดคะแนน ส�ำ หรับกลมุ่ เส่ยี ง ที่ 14-16 คะแนน นอกจากน้ี ยงั สามารถก�ำ หนดจดุ ตดั ของคะแนนทเี่ หมาะสมของเครอ่ื งมอื คดั กรองไดใ้ หม่ ตามวตั ถปุ ระสงคใ์ นการน�ำ มาใช้ โดยพจิ ารณาจากค่าความไว ค่าความจำ�เพาะ และคา่ การพยากรณ์ เพ่อื ประกอบการตัดสินใจ พบได้บ่อยครั้งที่ครูและผู้ปกครองมีความเห็นไม่สอดคล้องกัน ซ่ึงไม่ได้หมายความว่าเครื่องมือคัดกรองนั้นมี คณุ สมบตั ไิ มด่ ี หรอื เปน็ เพราะวา่ ใครกรอกเครอ่ื งมอื คดั กรองไมต่ รงตามความเปน็ จรงิ แตเ่ ปน็ เพราะวา่ บรบิ ทแตกตา่ งกนั ท่ีบ้านและที่โรงเรียนเด็กอาจมีการแสดงออกของพฤติกรรมและอารมณ์แตกต่างกัน ซ่ึงความเห็นที่แตกต่างกันเหล่านี้ ชว่ ยในการวเิ คราะหป์ ญั หาและความรนุ แรงไดด้ ว้ ย เชน่ เดก็ ทม่ี ปี ญั หาทงั้ ทบ่ี า้ นและทโี่ รงเรยี น มกั มคี วามรนุ แรงมากกวา่ เด็กทมี่ ีปญั หาเฉพาะท่ีบา้ นหรอื โรงเรยี นเพียงแห่งเดียว นอกจากนย้ี งั มขี ้อสงั เกตท่ีควรพึงระวัง คอื ครูมกั ไวต่อปัญหาพฤติกรรม ซน อยูไ่ ม่นงิ่ มากกวา่ ในขณะท่ผี ู้ปกครอง มกั ไวตอ่ ปญั หาทางดา้ นอารมณ์ วิตกกงั วล ซึมเศรา้ มากกวา่ เครือ่ งมือคดั กรองสุขภาพจิตเดก็ ท่ีนำ�มาใชใ้ นปจั จบุ นั มีหลายชดุ น�ำ มาใชค้ ัดกรองในบริบทต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ ท่แี ตกต่างกนั รายละเอยี ดของเครอื่ งมือคัดกรองสุขภาพจิตท่มี ีการนำ�มาใช้บอ่ ยในประเทศไทย จะกล่าวถงึ ตอ่ ไป การคดั กรองสขุ ภาพจิตเดก็ วัยเรียน
22 แบบประเมินจุดแข็งและจดุ อ่อน SDQ แบบประเมนิ จดุ แขง็ และจดุ ออ่ น SDQ (The Strengths and Difficulties Questionnaire) เป็นเคร่อื งมอื ที่นำ�มา ใช้คดั กรองปญั หาสขุ ภาพจติ ทพี่ บไดบ้ ่อยในเดก็ เป็นแบบคดั กรองท่ีใชง้ า่ ย สน้ั กระชับ ครอบคลุมปัญหาหลัก มจี ดุ เดน่ คอื มกี ารประเมินถงึ ผลกระทบต่อพฤติกรรม ใช้ตดิ ตามความก้าวหน้า และการเปล่ียนแปลงของอาการได้อีกดว้ ย ผพู้ ัฒนา พฒั นาจากต้นฉบับเดิมของ นายแพทย์โรเบิร์ต กู๊ดแมน (Robert Goodman) จิตแพทยช์ าวอังกฤษ ในปี ค.ศ.1994 แปลและศกึ ษาความถกู ตอ้ งโดยกรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสขุ ฉบบั แรกต้ังแต่ปี พ.ศ.2541 และฉบับปรบั ปรุงใน ปี พ.ศ.2546 โดยเพม่ิ การตรวจสอบความตรงด้านภาษา ขอ้ บ่งช้ีในการใช้ 1. ใช้คัดกรองปัญหาพฤตกิ รรม ในเดก็ อายุ 4-16 ปี ในโรงเรียน หรือสถานบริการสาธารณสุข 2. ใชป้ ระเมินระดับความรุนแรงของปัญหาพฤตกิ รรม 3. ใช้ตดิ ตามความก้าวหนา้ และการเปลี่ยนแปลงของอาการ คณุ สมบตั ิ ฉบบั ปรบั ปรงุ ในปี พ.ศ.2546 ไดเ้ พม่ิ ขน้ั ตอนการแปลและแปลย้อนกลบั เป็นภาษาอังกฤษ ตรวจสอบความตรงของ การแปลโดยผู้เช่ียวชาญท้ังในประเทศไทย สหพันธรัฐเยอรมัน และสหราชอาณาจกั ร และมีการศึกษาหาค่าเกณฑ์เฉลยี่ ในเด็กไทย ในปี พ.ศ.2547 จากการประเมนิ คา่ เกณฑเ์ ฉลยี่ ของระดบั คะแนนมปี ญั หา ในฉบบั ภาษาไทย พบวา่ สงู กวา่ ฉบบั ทม่ี กี ารศกึ ษาในประเทศ แถบตะวันตกเลก็ น้อย ดังนนั้ จงึ ควรมีการใช้จุดตัดคะแนนเพ่อื คดั แยกเดก็ กลุ่มมีปัญหาออกจากเด็กกลมุ่ อื่น ๆ โดยใช้ เกณฑ์เฉล่ียของไทย หาค่าความเช่ือถือได้ (reliability) พบว่า ข้อคำ�ถามทุกข้อมีค่าความสอดคล้องภายใน (internal consistency) ระดับสูง โดยมคี า่ Cronbach’s alpha ฉบบั ครู 0.76 ฉบบั ผู้ปกครอง 0.81 และฉบบั ประเมนิ ตนเอง 0.70 ปจั จัยด้าน อายุ เพศ มีลักษณะความสมั พนั ธส์ อดคล้องกบั ฉบบั ภาษาอังกฤษ และฉบบั แปลอน่ื ๆ ข้อจำ�กัด แบบประเมินน้ไี ม่สามารถประเมินปัญหาการเรียน ในเรื่อง ความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ หรอื ความบกพรอ่ งทางสติ ปญั ญาได้ และปัญหาพฤตกิ รรมอ่นื ๆ ในเดก็ โต เข่น สารเสพติด เล่นการพนนั พฤติกรรมทางเพศทไี่ ม่เหมาะสม เปน็ ตน้ การใชใ้ นโรงเรยี นจงึ ควรมรี ะบบคดั กรองและการชว่ ยเหลอื อนื่ รว่ มดว้ ย ในกรณที ตี่ อ้ งการคน้ หาปญั หาทค่ี รอบคลมุ มากขนึ้ การคัดกรองสุขภาพจิตเดก็ วัยเรยี น
23 วธิ ีการใช้ แบบประเมนิ จุดแข็งและจุดอ่อน SDQ ประกอบดว้ ยแบบประเมนิ 3 ฉบับ คือ 1. ฉบับครปู ระเมิน 2. ฉบับผปู้ กครองประเมิน 3. ฉบบั นกั เรยี นประเมินตนเอง (เฉพาะเดก็ โต อายุ 11-16 ปี) ซง่ึ อาจเลือกใชเ้ พยี งบางฉบับ หรอื ใชร้ ว่ มกนั กไ็ ด้ โดยท้ัง 3 ฉบับ มลี กั ษณะขอ้ คำ�ถามคล้ายคลึงกัน แตม่ คี วามแตก ตา่ งกนั ในเกณฑท์ ใ่ี ชแ้ ปลผลเลก็ นอ้ ย โดยมกี ารก�ำ หนดจดุ ตดั ทเ่ี หมาะสมในการสบื คน้ ปญั หาแตล่ ะดา้ นของแบบประเมนิ แต่ละฉบบั แตกตา่ งกัน แบบประเมนิ ประกอบดว้ ยข้อค�ำ ถาม ฉบับละ 25 ขอ้ ซงึ่ มลี กั ษณะของพฤติกรรมดา้ นบวกและดา้ นลบ จดั เป็นกลมุ่ พฤติกรรม 5 ด้าน ๆ ละ 5 ข้อ คอื 1. พฤติกรรมเกเร (Conduct problems) ขอ้ 5, 7, 12, 18, 22 2. พฤตกิ รรมอยู่ไม่นง่ิ (Hyperactivity) ข้อ 2, 10, 15, 21, 25 3. ปัญหาทางอารมณ์ (Emotional problems) ขอ้ 3, 8, 13, 16, 24 4. ปญั หาความสมั พันธ์กับเพื่อน (Peer problems) ขอ้ 6, 11, 14, 19, 23 5. พฤติกรรมสมั พนั ธภาพทางสงั คม (Pro-social behavior) ข้อ 1, 4, 9, 17, 20 คะแนนรวมของกลมุ่ ท่ี 1-4 เปน็ คะแนนทแี่ สดงถงึ ปญั หาพฤตกิ รรมของเดก็ ในดา้ นนนั้ ๆ (Total Difficulties Score) สว่ นคะแนนในดา้ นที่ 5 เป็นคะแนนทแ่ี สดงถึงจุดแข็งของเด็ก (Strength score) ซึง่ เป็นส่วนส�ำ คญั ในการพิจารณานำ� จุดแข็งมาใช้เพ่อื ให้การชว่ ยเหลอื แก้ปัญหาในด้านอ่ืน ๆ ใหก้ บั เด็กต่อไป ในขณะเดียวกนั คะแนนดา้ นสมั พันธภาพทาง สังคมก็เป็นตัวบ่งช้ีให้ครูได้ทราบถึงความยากง่ายในการแก้ปัญหา ถ้าเด็กมีจุดแข็ง (คะแนนด้านสัมพันธภาพทางสังคม สูง) การใหค้ วามช่วยเหลอื ปญั หาพฤตกิ รรมจะงา่ ยกวา่ เด็กท่ไี มม่ จี ดุ แขง็ (คะแนนดา้ นสมั พนั ธภาพทางสังคมต่�ำ ) เป็นต้น แตล่ ะมีข้อ 3 ตวั เลือก คอื “ไม่จรงิ ” “จริงบา้ ง” และ “จรงิ แนน่ อน” ให้เลือกตอบเพียงตัวเลือกเดยี ว ในแต่ละข้อค�ำ ถาม โดยตอบให้ครบทุกข้อ ให้ใกล้เคียงความเป็นจริงกับพฤติกรรมของเด็กท่ีเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ยกเว้นการใช้ เพือ่ ติดตามลักษณะพฤติกรรมของนกั เรียน การประเมินซ้�ำ สามารถท�ำ ไดท้ ุกปีการศึกษา ค�ำ ถามเพมิ่ เตมิ ในดา้ นหลงั ของแบบประเมนิ เปน็ การประเมนิ ผลกระทบของพฤตกิ รรมวา่ มคี วามเรอื้ รงั สง่ ผลกระทบ ต่อบุคคลรอบข้าง ตัวเด็กเอง มีผลต่อสัมพันธภาพทางสังคม ชีวิตประจำ�วันของเด็ก มากน้อยอย่างไร ซ่ึงในส่วนนี้ ใช้คำ�ลงสรุปวา่ “เปน็ ระดบั ความรุนแรงของปัญหา” อาจใชก้ ารสมั ภาษณห์ รอื เครอื่ งมอื อนื่ ชว่ ยในการพจิ ารณาเพม่ิ เตมิ กรณที เ่ี หน็ วา่ ผลทไี่ ดข้ ดั แยง้ กบั ความเปน็ จรงิ อยา่ ลมื วา่ ไม่มีเครื่องมือชนิดใดสมบูรณ์แบบ ข้ึนอยู่กับสภาพความพร้อมของผู้ตอบแบบประเมินเป็นสำ�คัญ แบบประเมิน ชุดนี้เป็นเพียงเคร่ืองมือเพื่อช่วยเหลือในการคัดกรองปัญหานักเรียนเท่านั้น ไม่ใช่เป็นตัวช้ีนำ�ครูในการตัดสินปัญหา ของนักเรียน ผปู้ ระเมนิ โดยเฉพาะครู ผปู้ กครอง ควรรจู้ กั เดก็ และมคี วามใกลช้ ดิ กบั เดก็ มาระยะเวลาหนงึ่ และควรประเมนิ ทง้ั 25 ขอ้ ในครั้งเดียวกัน ระยะเวลาท่ีนักเรียนประเมินตนเอง ครูเป็นผู้ประเมินนักเรียน หรือผู้ปกครองเป็นผู้ประเมินนักเรียน ควรเปน็ ระยะเวลาท่ีใกลก้ นั การคดั กรองสขุ ภาพจติ เด็กวยั เรยี น
24 การแปลผล การใหค้ ะแนน แบ่งเปน็ 5 ดา้ น ด้านละ 5 ขอ้ คะแนนแต่ละด้านจะอย่รู ะหวา่ ง 0-10 คะแนน คะแนนรวม 0 - 40 คะแนน (รวม 4 ดา้ น ยกเวน้ ด้านสมั พันธภาพทางสงั คม) ขอ้ ค�ำ ถามส่วนใหญ่ ถ้าตอบ “ไมจ่ ริง” ให้ 0 คะแนน “จรงิ บา้ ง” ให้ 1 คะแนน และ “จริงแน่นอน” ให้ 2 คะแนน ในขณะที่บางข้อ การให้คะแนนจะตรงกันขา้ ม ขอ้ คำ�ถามท่ี 1, 2, 3, 4, 5, 6, 8, 9, 10, 12, 13, 15, 16, 17, 18, 19, 20, 22, 23 และ 24 ตอบ “ไม่จริง” ให้ 0 คะแนน “จรงิ บ้าง” ให้ 1 คะแนน “จริงแนน่ อน” ให้ 2 คะแนน ขอ้ ค�ำ ถามท่ี 7, 11, 14, 21 และ 25 ตอบ “ไมจ่ ริง” ให้ 2 คะแนน “จรงิ บ้าง” ให้ 1 คะแนน “จริงแนน่ อน” ให้ 0 คะแนน ในแบบแบบประเมนิ แตล่ ะฉบบั จะมจี ดุ ตดั ของคะแนน ทแี่ บง่ เดก็ ออกเปน็ 3 กลมุ่ คอื “กลมุ่ ปกต”ิ “กลมุ่ เสยี่ ง” และ “กลุ่มมีปญั หา” ซึ่งแต่ละกลมุ่ กจ็ ะมีระบบการดูแลช่วยเหลอื ตามล�ำ ดับข้ัน การแปลผลแบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน ฉบับภาษาไทย จากการศึกษาหาค่าเกณฑ์เฉลี่ยในเด็กไทย สำ�หรับ ฉบบั ปรับปรงุ ปี พ.ศ.2546 เปน็ ดังนี้ การคดั กรองสุขภาพจติ เดก็ วยั เรยี น
25 SDQ ฉบับครปู ระเมิน ปกติ เสย่ี ง มีปัญหา รายการประเมิน 0-13 14-16 17-40 คะแนนรวม 0-3 4 5-10 - คะแนนปัญหาทางอารมณ์ 0-3 4 5-10 - คะแนนพฤติกรรมเกเร 0-5 6 7-10 - คะแนนพฤติกรรมอย่ไู มน่ ง่ิ 0-4 5 6-10 - คะแนนปญั หาความสมั พนั ธก์ บั เพอื่ น 5-10 0-4 - คะแนนพฤติกรรมด้านสัมพันธภาพทางสงั คม (มีจุดแข็ง) (ไม่มจี ดุ แข็ง) SDQ ฉบบั ผปู้ กครองประเมนิ ปกติ เสย่ี ง มปี ัญหา รายการประเมิน 0-15 16-18 19-40 คะแนนรวม 0-4 5 6-10 - คะแนนปัญหาทางอารมณ์ 0-3 4 5-10 - คะแนนพฤติกรรมเกเร 0-5 6 7-10 - คะแนนพฤตกิ รรมอยไู่ มน่ ิง่ 0-4 5 6-10 - คะแนนปัญหาความสัมพันธก์ บั เพ่อื น 5-10 0-4 - คะแนนพฤตกิ รรมด้านสัมพนั ธภาพทางสังคม (มจี ุดแขง็ ) (ไมม่ ีจดุ แข็ง) SDQ ฉบับนักเรียนประเมินตนเอง ปกติ เสย่ี ง มีปญั หา รายการประเมนิ 0-15 16-18 19-40 คะแนนรวม 0-4 5 6-10 - คะแนนปัญหาทางอารมณ์ 0-4 5 6-10 - คะแนนพฤติกรรมเกเร 0-5 6 7-10 - คะแนนพฤตกิ รรมอยไู่ ม่นงิ่ 0-4 5 6-10 - คะแนนปญั หาความสัมพันธ์กบั เพื่อน 5-10 0-4 - คะแนนพฤติกรรมด้านสัมพนั ธภาพทางสังคม (มจี ุดแขง็ ) (ไมม่ ีจดุ แข็ง) การคัดกรองสุขภาพจติ เด็กวยั เรยี น
26 พ.ศ. 2546 ตวั อย่าง ครู แบบประเมนิ จุดแข็งและจดุ ออ่ น SDQ (Strengths and Difficulties Questionnaire) ช่อื เด็ก …………………........…………………………..….....…………… วัน/เดือน/ปีเกิด ………......……… อายุ ……..... ป ี เพศ ชาย หญิง ทำ�เครอื่ งหมาย X ลงในช่อง ใต้ข้อความ ไมจ่ รงิ จรงิ บ้าง จรงิ แน่นอน เพียงช่องเดียวในแต่ละขอ้ คำ�ถาม กรุณาตอบทุกขอ้ ให้ใกล้ เคยี งความเปน็ จรงิ กับพฤติกรรมของเด็กทเ่ี กิดขึน้ ในชว่ ง 6 เดือนท่ผี า่ นมา หรอื ในช่วงปกี ารศกึ ษาน้ี 1. ใสใ่ จกับความรสู้ ึกของผอู้ ่นื ไมจ่ รงิ จริงบ้าง จรงิ แน่นอน 2. อยไู่ ม่สขุ เคลื่อนไหวมาก ไม่สามารถอย่นู ิง่ ได้นาน 3. บน่ ปวดศีรษะ ปวดท้องหรอื คลนื่ ไส้บอ่ ย ๆ 4. เต็มใจแบง่ ปนั กับเดก็ อนื่ (ขนม ของเล่น ดนิ สอ ฯลฯ) 5. แผลงฤทธบ์ิ ่อย หรืออารมณ์ร้อน 6. ค่อนข้างอยู่โดดเดี่ยว มักเล่นตามลำ�พงั 7. โดยปกตแิ ล้ว เชื่อฟัง ท�ำ ตามทผ่ี ู้ใหญบ่ อก 8. มคี วามกังวลหลายเรือ่ ง ดเู หมือนกังวลบ่อย 9. ช่วยเหลือถ้ามใี ครบาดเจ็บ ไมส่ บายใจหรือเจ็บป่วย 10. หยกุ หยิก หรอื ดน้ิ ไปดนิ้ มาตลอดเวลา 11. มีเพ่ือนสนทิ อยา่ งนอ้ ยหนง่ึ คน 12. มเี รอ่ื งตอ่ ส้หู รอื รงั แกเด็กอน่ื บอ่ ย ๆ 13. ไม่มคี วามสุข เศร้าหรอื รอ้ งไห้บอ่ ย ๆ 14. โดยทัว่ ไปเป็นทชี่ อบพอของเด็กอ่ืน 15. วอกแวกง่าย ไมม่ ีสมาธิ 16. วิตกกังวลหรือตดิ แจเมื่ออย่ใู นสถานการณ์ใหม่ เสียความม่นั ใจง่าย 17. ใจดีกบั เด็กท่อี ายุนอ้ ยกว่า 18. พูดปดหรอื ขีโ้ กงบ่อย ๆ 19. ถูกเดก็ คนอื่นแกล้งหรอื รงั แก 20. มักอาสาชว่ ยเหลอื ผอู้ น่ื (พอ่ แม่ ครู เดก็ อ่นื ) 21. คดิ กอ่ นทำ� 22. ขโมยของทบี่ า้ น ทโ่ี รงเรยี น หรอื ทอี่ ่ืน 23. เข้ากบั ผใู้ หญ่ไดด้ กี ว่าเข้ากับเดก็ อืน่ 24. มีความกลวั หลายเรือ่ ง หวาดกลวั ง่าย 25. มีสมาธิในการตดิ ตามทำ�งานจนเสร็จ โปรดกรอกเพิ่มเติมถา้ คณุ มีความคดิ เห็นอ่นื ………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (โปรดพลกิ หนา้ ถดั ไป) การคดั กรองสขุ ภาพจิตเด็กวัยเรยี น
27 ครู โดยรวมคุณคิดว่าเด็กมีปัญหาในด้านอารมณ์ ด้านสมาธิ ด้านพฤติกรรม หรือความสามารถเข้ากับผู้อื่นด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ ไมม่ ีปญั หา มปี ัญหาเลก็ นอ้ ย มปี ัญหาชดั เจน มปี ัญหาอย่างรนุ แรง ถ้าคุณตอบ “มปี ญั หา” โปรดตอบข้อ 1-4 ตอ่ ไปนด้ี ว้ ย 1) ปญั หาทมี่ ี เกดิ ขนึ้ มานานเทา่ ไรแล้ว มากกวา่ 1 ปี นอ้ ยกวา่ 1 เดอื น 1–5 เดอื น 6–12 เดือน 2) เด็กรสู้ ึกหงดุ หงิดหรือไมส่ บายใจกบั ปัญหาทม่ี หี รอื ไม่ มากทสี่ ดุ ไมเ่ ลย เล็กน้อย ค่อนข้างมาก 3) ปญั หาที่มี รบกวนชวี ติ ประจ�ำ วนั ของเด็กในด้านต่าง ๆ ต่อไปน้หี รือไม่ มากท่สี ดุ ไมเ่ ลย เลก็ นอ้ ย ค่อนข้างมาก 4) ปัญหาทม่ี ี ท�ำ ให้คณุ หรอื ช้นั เรียนเกดิ ความย่งุ ยากหรอื ไม่ มากทีส่ ดุ ไม่เลย เล็กน้อย คอ่ นขา้ งมาก ในแตล่ ะสปั ดาหเ์ ดก็ คนนอ้ี ยกู่ บั คณุ โดยเฉลยี่ กชี่ วั่ โมง (โปรดระบ)ุ ……………………….............................................…………………………… ชวั่ โมง ชอ่ื ผตู้ อบแบบประเมิน ………………………….……..………………..……………....... ลายเซน็ …………………………………….. วันที่ ………………………. โปรดระบุความสมั พันธก์ ับเด็ก (ครปู ระจำ�ชั้น/อืน่ ๆ) ……………………………………………..........…………………….……………………………………… โปรดตรวจสอบอกี คร้งั วา่ ทา่ นตอบครบทุกข้อ ขอบคณุ ที่ใหค้ วามรว่ มมือในการกรอกแบบประเมินนี้ © Robert Goodman, 2003 การคดั กรองสขุ ภาพจติ เดก็ วยั เรียน
28 พ.ศ. 2546 ตัวอย่าง ผปู้ กครอง แบบประเมนิ จดุ แขง็ และจุดออ่ น SDQ (Strengths and Difficulties Questionnaire) ชอ่ื เดก็ …………………........…………………………..….....…………… วัน/เดือน/ปีเกิด ………......……… อายุ ……..... ป ี เพศ ชาย หญงิ ท�ำ เครอื่ งหมาย X ลงในชอ่ ง ใตข้ อ้ ความ ไม่จริง จริงบา้ ง จรงิ แนน่ อน เพยี งชอ่ งเดียวในแตล่ ะข้อค�ำ ถาม กรุณาตอบทกุ ข้อ ให้ใกล้ เคียงความเป็นจรงิ กับพฤตกิ รรมของเดก็ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในช่วง 6 เดอื นทีผ่ ่านมา หรอื ในชว่ งปกี ารศกึ ษาน้ี ไมจ่ ริง จรงิ บา้ ง จริงแนน่ อน 1. ใสใ่ จกบั ความรสู้ กึ ของผอู้ ืน่ 2. อยไู่ ม่สขุ เคลือ่ นไหวมาก ไมส่ ามารถอยนู่ ิ่งได้นาน 3. บ่นปวดศีรษะ ปวดท้องหรอื คลืน่ ไสบ้ ่อย ๆ 4. เตม็ ใจแบง่ ปนั กับเดก็ อ่นื (ขนม ของเล่น ดินสอ ฯลฯ) 5. แผลงฤทธบ์ิ อ่ ย หรอื อารมณร์ ้อน 6. ค่อนขา้ งอยโู่ ดดเด่ียว มกั เลน่ ตามล�ำ พัง 7. โดยปกตแิ ลว้ เชอ่ื ฟงั ท�ำ ตามทผี่ ู้ใหญ่บอก 8. มคี วามกงั วลหลายเรอ่ื ง ดูเหมือนกงั วลบอ่ ย 9. ชว่ ยเหลอื ถา้ มใี ครบาดเจ็บ ไมส่ บายใจหรือเจ็บป่วย 10. หยุกหยิก หรือดิ้นไปดิน้ มาตลอดเวลา 11. มีเพื่อนสนทิ อยา่ งน้อยหนึ่งคน 12. มีเรือ่ งต่อสูห้ รอื รังแกเด็กอ่ืนบอ่ ย ๆ 13. ไม่มีความสขุ เศรา้ หรอื รอ้ งไหบ้ ่อย ๆ 14. โดยท่ัวไปเป็นที่ชอบพอของเดก็ อืน่ 15. วอกแวกงา่ ย ไม่มีสมาธิ 16. วติ กกงั วลหรือติดแจเมื่ออยูใ่ นสถานการณใ์ หม่ เสียความมนั่ ใจง่าย 17. ใจดกี บั เด็กที่อายุน้อยกวา่ 18. พูดปดหรือขี้โกงบอ่ ย ๆ 19. ถกู เด็กคนอื่นแกลง้ หรอื รังแก 20. มกั อาสาช่วยเหลือผ้อู ่นื (พอ่ แม่ ครู เด็กอืน่ ) 21. คดิ ก่อนทำ� 22. ขโมยของท่ีบ้าน ที่โรงเรยี น หรือที่อนื่ 23. เขา้ กับผใู้ หญไ่ ดด้ ีกว่าเขา้ กบั เดก็ อน่ื 24. มีความกลวั หลายเร่อื ง หวาดกลัวงา่ ย 25. มีสมาธใิ นการตดิ ตามท�ำ งานจนเสรจ็ โปรดกรอกเพม่ิ เติมถา้ คุณมคี วามคดิ เหน็ อ่ืน ………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (โปรดพลิกหน้าถดั ไป) การคัดกรองสขุ ภาพจิตเด็กวัยเรยี น
29 ผ้ปู กครอง โดยรวมคุณคิดว่าเด็กมีปัญหาในด้านอารมณ์ ด้านสมาธิ ด้านพฤติกรรม หรือความสามารถเข้ากับผู้อื่นด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ ไม่มีปัญหา มปี ญั หาเลก็ น้อย มีปญั หาชัดเจน มปี ญั หาอย่างรุนแรง ถ้าคณุ ตอบ “มปี ญั หา” โปรดตอบข้อ 1-4 ต่อไปน้ดี ้วย 1) ปญั หาทม่ี ี เกดิ ขึ้นมานานเท่าไรแลว้ 6–12 เดอื น มากกวา่ 1 ปี น้อยกว่า 1 เดือน 1–5 เดือน 2) เดก็ รู้สึกหงดุ หงดิ หรอื ไมส่ บายใจกับปัญหาท่มี หี รอื ไม่ มากที่สุด ไมเ่ ลย เล็กนอ้ ย ค่อนขา้ งมาก 3) ปัญหาทม่ี ี รบกวนชีวติ ประจำ�วันของเดก็ ในด้านต่าง ๆ ตอ่ ไปน้ีหรือไม่ มากที่สุด ไมเ่ ลย เล็กนอ้ ย ค่อนขา้ งมาก ความเป็นอยทู่ ีบ่ ้าน การคบเพอ่ื น การเรยี นในห้องเรียน กจิ กรรมยามว่าง 4) ปญั หาทม่ี ี ท�ำ ให้คณุ หรอื ครอบครวั เกิดความยงุ่ ยากหรอื ไม่ มากที่สุด ไมเ่ ลย เลก็ นอ้ ย ค่อนขา้ งมาก ชอื่ ผตู้ อบแบบประเมนิ …………………….……………………………………..…………....... ลายเซน็ …………………………………….. วนั ที่ ………………………. โปรดระบุความสัมพนั ธก์ ับเดก็ (พ่อ/แม่/อน่ื ๆ) ……………………………………………………...……..…….……………………………………………………. โปรดตรวจสอบอกี ครง้ั วา่ ท่านตอบครบทุกขอ้ ขอบคณุ ทใ่ี ห้ความรว่ มมือในการกรอกแบบประเมินน้ี © Robert Goodman, 2003 การคดั กรองสุขภาพจติ เด็กวัยเรียน
30 พ.ศ. 2546 ตัวอย่าง ตนเอง แบบประเมนิ จุดแข็งและจุดอ่อน SDQ (Strengths and Difficulties Questionnaire) ชื่อเด็ก …………………........…………………………..….....…………… วนั /เดือน/ปเี กิด ………......……… อายุ ……..... ป ี เพศ ชาย หญิง ทำ�เครือ่ งหมาย X ลงในชอ่ ง ใตข้ อ้ ความ ไม่จรงิ จรงิ บา้ ง จรงิ แน่นอน เพียงช่องเดยี วในแต่ละขอ้ ค�ำ ถาม กรณุ าตอบทุกขอ้ ให้ใกล้ เคียงความเปน็ จรงิ กับพฤตกิ รรมของเดก็ ท่ีเกดิ ขนึ้ ในช่วง 6 เดือนทผี่ ่านมา หรอื ในช่วงปกี ารศึกษาน้ี 1. ฉันพยายามท�ำ ดตี อ่ ผ้อู นื่ ฉนั ใสใ่ จความรู้สึกของผอู้ ืน่ ไมจ่ รงิ จรงิ บา้ ง จรงิ แนน่ อน 2. ฉนั อยู่ไมส่ ุข ฉันไมส่ ามารถอยู่นิง่ ได้นาน 3. ฉันปวดศีรษะ ปวดท้องหรือคล่นื ไส้บ่อย ๆ 4. โดยปกตแิ ล้ว ฉนั แบง่ ปนั กับผ้อู ่ืน (อาหาร เกมส์ ปากกา ฯลฯ) 5. ฉนั โกรธรุนแรงและมักควบคมุ อารมณ์ไมไ่ ด้ 6. ฉนั มักอยู่กบั ตัวเอง ฉนั มกั เลน่ คนเดียวหรอื อยูต่ ามลำ�พงั 7. โดยปกติแล้ว ฉันท�ำ ตามท่คี นอ่ืนบอก 8. ฉนั กังวลมาก 9. ฉันช่วยเหลือถ้ามีใครบาดเจบ็ ไมส่ บายใจหรอื เจบ็ ปว่ ย 10. ฉนั หยุกหยิก หรือดิ้นไปดิ้นมาตลอดเวลา 11. ฉันมีเพื่อนสนิทอย่างนอ้ ยหนึง่ คน 12. ฉนั มเี รื่องตอ่ สู้บ่อย ๆ ฉนั บังคับใหผ้ ู้อน่ื ทำ�ตามทฉี่ ันตอ้ งการได้ 13. ฉนั มักไม่มีความสขุ เศร้าหรือรอ้ งไห้บอ่ ย 14. คนอ่นื ในวยั เดยี วกับฉันมกั ชอบฉนั 15. ฉันวอกแวกงา่ ย ฉันมีความล�ำ บากที่จะใช้สมาธิ 16. ฉนั วิตกกังวลเมือ่ อยู่ในสถานการณ์ใหม่ ๆ ฉนั เสียความมัน่ ใจงา่ ย 17. ฉนั ใจดีกบั เดก็ ท่ีอายนุ อ้ ยกวา่ 18. ฉนั ถูกกล่าวหาวา่ พูดปดหรือข้ีโกงบ่อย ๆ 19. เด็กคนอื่น ๆแกล้งหรือรังแกฉัน 20. ฉนั มกั อาสาชว่ ยเหลือผู้อื่น (พอ่ แม่ ครู เด็ก) 21. ฉนั คดิ ก่อนทำ� 22. ฉันเอาของทไ่ี ม่ใชข่ องฉนั ออกไปจากบ้าน โรงเรียนหรือท่อี ื่น 23. ฉนั เข้ากบั ผู้ใหญไ่ ดด้ กี ว่าเข้ากับเดก็ วยั เดยี วกัน 24. ฉนั มคี วามกลวั หลายอยา่ ง ฉันหวาดกลัวงา่ ย 25. ฉนั ท�ำ งานทีท่ ำ�อย่ไู ด้เสรจ็ ฉนั มสี มาธดิ ี โปรดกรอกเพม่ิ เตมิ ถา้ คณุ มีความคิดเห็นอนื่ ………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (โปรดพลิกหน้าถัดไป) การคดั กรองสขุ ภาพจิตเด็กวยั เรยี น
31 ตนเอง โดยรวมคดิ วา่ ตวั เองมีปญั หาในดา้ นอารมณ์ ดา้ นสมาธิ ด้านพฤตกิ รรม หรือความสามารถเข้ากบั ผูอ้ ื่นด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ ไมม่ ปี ัญหา มปี ญั หาเล็กนอ้ ย มีปญั หาชัดเจน มีปญั หาอย่างรุนแรง ถ้าคณุ ตอบ “มีปญั หา” โปรดตอบข้อ 1-4 ตอ่ ไปนดี้ ว้ ย 1) ปัญหาทมี่ ี เกิดขึ้นมานานเท่าไรแลว้ 1–5 เดือน มากกวา่ 1 ปี นอ้ ยกวา่ 1 เดอื น 6–12 เดอื น 2) คณุ รสู้ ึกหงุดหงิดหรือไม่สบายใจกบั ปัญหาที่มีหรอื ไม่ มากทสี่ ดุ ไมเ่ ลย เล็กน้อย คอ่ นข้างมาก 3) ปัญหาที่มี รบกวนชีวติ ประจ�ำ วนั ของคุณในดา้ นต่าง ๆ ต่อไปน้ีหรอื ไม่ มากที่สดุ ไม่เลย เลก็ นอ้ ย ค่อนข้างมาก ความเปน็ อยูท่ ี่บา้ น การคบเพอ่ื น การเรียนในหอ้ งเรียน กจิ กรรมยามว่าง 4) ปญั หาที่มี ทำ�ให้คนรอบขา้ งเกดิ ความยุง่ ยากหรือไม่ (ครอบครัว เพือ่ น ครู ฯลฯ) มากทสี่ ดุ ไมเ่ ลย เลก็ น้อย ค่อนขา้ งมาก ชอ่ื ผตู้ อบแบบประเมนิ …………………………………….………………………………....... ลายเซน็ …………………………………….. วนั ที่ ………………………. โปรดตรวจสอบอกี ครง้ั ว่าทา่ นตอบครบทกุ ขอ้ ขอบคุณท่ีใหค้ วามรว่ มมือในการกรอกแบบประเมินนี้ © Robert Goodman, 2003 การคัดกรองสุขภาพจิตเด็กวัยเรยี น
32 แบบสอบถามพฤตกิ รรม PSC แบบสอบถามพฤตกิ รรม PSC (Pediatric Symptom Checklist) น�ำ มาใช้คัดกรองปญั หาทางดา้ นจิตสังคมในเด็ก เพ่อื ลดโอกาสทเี่ ด็กจะเป็นโรคทางจิตเวชทีร่ นุ แรงและเร้อื รัง และลดคา่ ใชจ้ ่ายในการรักษา ผ้พู ฒั นา แบบสอบถามพฤตกิ รรม PSC (Pediatric Symptom Checklist) ฉบบั ดง้ั เดิม เปน็ ฉบับสำ�หรบั ผู้ปกครองรายงาน (parent-completed version) เท่าน้นั มีจำ�นวน 35 ข้อ สร้างและพัฒนาโดย M.S. Jellinek และ J.M. Murphy โรง พยาบาลแมซซาชเู สท สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1988 โดยพัฒนามาจาก Washington Symptom Checklist เร่มิ นำ�มา ใชโ้ ดยกุมารแพทย์ และทีมผเู้ ช่ียวชาญ เพ่ือคัดกรองปญั หาทางจิตสงั คม ในเดก็ ทแี่ ผนกผู้ป่วยนอกกุมารเวชศาสตร์ ปัจจุบันมกี ารแปลเปน็ ภาษาต่าง ๆ และมกี ารพฒั นาหลายรูปแบบ ได้แก่ ฉบับประเมนิ ตนเอง (Y-PSC) โดยเด็กอายุ ตงั้ แต่ 11 ปี ข้นึ ไป, ฉบับยอ่ จ�ำ นวน 17 ข้อ (PSC-17) และฉบบั ประเมินตนเอง ฉบับย่อ จำ�นวน 17 ข้อ (Y-PSC-17) รวมถงึ มกี ารแปลเป็นภาษาไทยเพ่อื นำ�ใช้ในการประเมินปญั หาทางจิตสังคมในเดก็ ข้อบ่งช้ีในการใช้ คดั กรองปญั หาทางดา้ นจติ สงั คม (psychosocial problem) ในเดก็ อายุ 4-16 ปี ซง่ึ ประกอบดว้ ยปญั หาทางอารมณ์ พฤตกิ รรม และความสัมพนั ธ์กับผอู้ ่ืน คุณสมบัติ แบบสอบถามพฤตกิ รรม PSC มปี ระสิทธภิ าพในการคดั กรองเดก็ ที่มีปัญหาทางพฤติกรรมโดยเฉพาะอย่างย่งิ เมื่อใช้ ค่าคะแนนจุดตัดทีเ่ หมาะสม แบบสอบถามพฤติกรรม PSC ฉบับผู้ปกครอง (P-PSC) จุดตัดที่เหมาะสม คือ มากกว่าหรือเท่ากับ 20 คะแนน สามารถคดั กรองเด็กทีม่ ีปัญหาทางพฤตกิ รรมไดโ้ ดยมพี นื้ ทใ่ี ต้ ROC curve เท่ากบั 0.895 มคี า่ ความไว (sensitivity) เทา่ กับร้อยละ 58.76 ค่าความจ�ำ เพาะ (specificity) เทา่ กบั ร้อยละ 93.65 คา่ การทำ�นายเมื่อได้ผลเป็นบวก (positive predictive value) เท่ากบั รอ้ ยละ 93.44 และค่าการท�ำ นายเมอื่ ได้ผลเปน็ ลบ (negative predictive value) เทา่ กับ รอ้ ยละ 59.59 แบบสอบถามพฤติกรรม PSC ฉบบั ประเมินตนเอง (Y-PSC) จดุ ตดั ท่ีเหมาะสม คอื มากกวา่ หรือเท่ากบั 16 คะแนน มีค่าความไว (sensitivity) เทา่ กบั รอ้ ยละ 83.51 ค่าความจ�ำ เพาะ (specificity) เท่ากบั ร้อยละ 79 ค่าการทำ�นายเมอื่ ได้ผลเป็นบวก (positive predictive value) เท่ากบั รอ้ ยละ 86.17 และค่าการทำ�นายเมอ่ื ไดผ้ ลเปน็ ลบ (negative predictive value) เท่ากับรอ้ ยละ 75.76 การคดั กรองสุขภาพจติ เดก็ วัยเรยี น
33 ขอ้ จ�ำ กดั ผูป้ กครองทีม่ สี ัมพันธภาพกับลูกไม่ดีนัก อาจไมร่ บั ทราบถึงปญั หาพฤตกิ รรมของลกู ไดท้ ้ังหมด จึงรายงานสงู หรือตํ่า กว่าท่คี วรจะเปน็ วิธกี ารใช้ แบบสอบถามพฤติกรรม PSC ฉบบั ผปู้ กครอง (P-PSC) มขี อ้ ค�ำ ถามท้ังหมด 35 ขอ้ แต่ละขอ้ มี 3 ตวั เลือกให้ตอบ คอื “ไม่เป็น” “เป็นบางครง้ั ” และ “เป็นบ่อย ๆ” (ส�ำ หรบั เดก็ อายุ 4-5 ปี ไมต่ ้องท�ำ ขอ้ 5, 6, 17 และ 18) การแปลผล การใหค้ ะแนน เป็นดงั นี้ • ไมเ่ ปน็ = 0 คะแนน • เปน็ บางคร้งั = 1 คะแนน • เป็นบ่อย ๆ = 2 คะแนน การคิดคะแนนในเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป จนถึง 16 ปี ได้คะแนนเกิน 20 คะแนน ให้ส่งประเมินเพ่ิมเติม ส่วนเด็กอายุ 4-5 ปี คะแนนเกิน 24 คะแนน ให้สง่ ประเมนิ เพิม่ เตมิ แบบสอบถามพฤติกรรม PSC ฉบับประเมินตนเอง (Y-PSC) ใช้ในเด็กโตอายุต้ังแต่ 11 ปีขึ้นไป จนถึง 16 ปี มีข้อคำ�ถามทั้งหมด 35 ขอ้ เชน่ เดียวกนั ไดค้ ะแนนเกิน 16 คะแนน ใหส้ ง่ ประเมนิ เพ่ิมเติม การคัดกรองสขุ ภาพจติ เด็กวยั เรียน
34 ตัวอย่าง แบบสอบถามพฤตกิ รรม PSC ฉบบั ผปู้ กครอง (Pediatric Symptom Checklist – Parent-completed version) ชอื่ -นามสกุล เดก็ ............................................................................................... เพศ................ อาย.ุ ..........ปี วนั เกดิ . .............................. ชอ่ื -นามสกุล ผูต้ อบ........................................................................................ เก่ียวขอ้ งเปน็ ................ วนั ประเมนิ ................................... จงตอบแบบสอบถามนโ้ี ดยใสเ่ คร่อื งหมาย X ลงใน ตามท่ีท่านเห็นวา่ เดก็ มีลกั ษณะดงั กลา่ ว 1. บน่ ปวดหวั ปวดท้อง ปวดร่างกายสว่ นอนื่ ไมเ่ ปน็ เปน็ บางครงั้ เปน็ บ่อย ๆ 2. ชอบอยู่คนเดยี ว 3. เหนอ่ื ยง่าย ไมม่ แี รง 4. ซุกชน ไม่อยู่นิง่ 5. มปี ัญหากบั ครู 6. ไม่ค่อยสนใจไปโรงเรียน 7. ซนตลอดเวลา ไม่รจู้ ักเหนด็ เหนื่อย 8. ฝนั กลางวนั เหม่อลอย 9. เปลีย่ นความสนใจงา่ ย 10. กลวั สถานการณใ์ หม่ ๆ 11. เศรา้ ไม่มีความสขุ 12. หงุดหงดิ ข้โี มโห 13. ท้อแท้หมดหวัง 14. ไม่มีสมาธิ รวบรวมสมาธิยาก 15. ไมส่ นใจเพือ่ น 16. ทะเลาะต่อสกู้ ับเด็กอน่ื 17. หนโี รงเรยี น 18. การเรยี นตกลง 19. ดถู กู ตนเอง 20. ไปหาหมอบอ่ ย แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ 21. นอนหลับยาก 22. กงั วลมาก 23. ติดพ่อแมผ่ ู้ปกครองครูมากกว่าแต่ก่อน 24. รู้สกึ ว่าตนเองเป็นคนไมด่ ี 25. ชอบท�ำ อะไรเสี่ยงโดยไม่จ�ำ เป็น การคัดกรองสขุ ภาพจิตเด็กวัยเรียน
35 26. หาเรอ่ื งเจบ็ ตวั บอ่ ย ๆ ไม่เปน็ เป็นบางครัง้ เป็นบ่อย ๆ 27. ไมร่ า่ เรงิ 28. ท�ำ ตวั เดก็ กว่าอายจุ ริง 29. ไมย่ อมรบั กฎเกณฑ์ 30. ไม่แสดงอารมณ์ ดูไม่ออกวา่ สุขหรอื ทกุ ข์ 31. ไม่เข้าใจความร้สู ึกของคนอ่ืน 32. ชอบวา่ กระทบกระเทียบเปรียบเปรยผอู้ น่ื 33. ชอบโทษคนอืน่ ในความผิด 34. หยบิ ฉวยของคนอนื่ ทไี่ ม่ใช่ของตน 35. ไม่ยอมแบง่ ปันของของตนเองให้กบั ใคร เดก็ มีปญั หาทางอารมณห์ รอื พฤติกรรมท่ีต้องการความชว่ ยเหลอื หรอื ไม ่ ไมใ่ ช ่ ใช่ คุณต้องการบริการที่ให้ความช่วยเหลอื เด็กส�ำ หรับปัญหาเหลา่ นห้ี รอื ไม่ ไมใ่ ช ่ ใช่ ถา้ ใช่ บรกิ ารทต่ี อ้ งการ คอื .............................................................................................................................................................................. © M.S. Jellinek and J.M. Murphy, Massachusetts General Hospital, 1988 การคัดกรองสขุ ภาพจติ เดก็ วัยเรยี น
36 ตวั อย่าง แบบสอบถามพฤติกรรม PSC ฉบับประเมนิ ตนเอง (Pediatric Symptom Checklist – Youth self-report) ชื่อ-นามสกุล ..................................................................................................... เพศ................ อาย.ุ ..........ปี วนั เกดิ . .............................. จงตอบแบบสอบถามนโี้ ดยใส่เครอ่ื งหมาย X ลงใน ตามที่ท่านมีลกั ษณะดงั กล่าว 1. บ่นปวดหัว ปวดท้อง ปวดร่างกายส่วนอื่น ไม่เป็น เปน็ บางครง้ั เป็นบ่อย ๆ 2. ชอบอยูค่ นเดยี ว 3. เหน่ือยงา่ ย ไมม่ ีแรง 4. ซุกชน ไมอ่ ยนู่ ่ิง 5. มปี ัญหากับครู 6. ไมค่ ่อยสนใจไปโรงเรยี น 7. ซนตลอดเวลา ไมร่ ูจ้ กั เหน็ดเหน่ือย 8. ฝันกลางวนั เหมอ่ ลอย 9. เปล่ียนความสนใจง่าย 10. กลวั สถานการณใ์ หม่ ๆ 11. เศร้า ไมม่ ีความสขุ 12. หงุดหงดิ ขี้โมโห 13. ทอ้ แท้หมดหวัง 14. ไมม่ ีสมาธิ รวบรวมสมาธยิ าก 15. ไม่สนใจเพ่ือน 16. ทะเลาะตอ่ สู้กบั เดก็ อ่ืน 17. หนีโรงเรยี น 18. การเรียนตกลง 19. ดถู ูกตนเอง 20. ไปหาหมอบ่อย แตไ่ ม่พบสง่ิ ผิดปกติ 21. นอนหลบั ยาก 22. กงั วลมาก 23. ตดิ พ่อแมผ่ ู้ปกครองครมู ากกว่าแตก่ อ่ น 24. ร้สู กึ ว่าตนเองเป็นคนไมด่ ี 25. ชอบท�ำ อะไรเส่ยี งโดยไมจ่ ำ�เปน็ การคดั กรองสุขภาพจติ เดก็ วัยเรียน
37 26. หาเรื่องเจ็บตวั บ่อย ๆ ไมเ่ ป็น เปน็ บางคร้ัง เป็นบอ่ ย ๆ 27. ไมร่ า่ เรงิ 28. ท�ำ ตวั เด็กกวา่ อายจุ รงิ 29. ไม่ยอมรบั กฎเกณฑ์ 30. ไม่แสดงอารมณ์ ดูไม่ออกวา่ สขุ หรอื ทกุ ข์ 31. ไมเ่ ข้าใจความร้สู ึกของคนอ่นื 32. ชอบว่ากระทบกระเทียบเปรียบเปรยผู้อนื่ 33. ชอบโทษคนอื่นในความผดิ 34. หยิบฉวยของคนอนื่ ทีไ่ ม่ใชข่ องตน 35. ไมย่ อมแบง่ ปันของของตนเองให้กับใคร © M.S. Jellinek and J.M. Murphy, Massachusetts General Hospital, 1988 การคัดกรองสุขภาพจติ เดก็ วัยเรยี น
38 แบบคัดกรอง นกั เรียนที่มีภาวะสมาธสิ ้ัน บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ และออทิซมึ KUS-SI แบบคัดกรองนักเรียนที่มีภาวะสมาธิสั้น บกพร่องทางการเรียนรู้ และออทิซึม KUS-SI Rating Scales: ADHD/ LD/ Autism (PDDs) เปน็ เครอ่ื งมือทน่ี ำ�มาใช้คัดกรองปญั หาการเรยี นในเดก็ นักเรียน 3 ปัญหาท่ีพบได้บอ่ ย ผูพ้ ฒั นา สร้างและพฒั นาข้ึนในปี พ.ศ.2549 โดยความร่วมมือระหว่าง ดร.ดารณี อทุ ัยรัตนกิจ ศูนย์วิจยั และพฒั นาการศกึ ษา โรงเรียนสาธติ แหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กับ นายแพทยช์ าญวิทย์ พรนภดล และคณะ สาขาวชิ าจติ เวชศาสตรเ์ ดก็ และวัยรุ่น ภาควิชาจติ เวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิรริ าชพยาบาล ชอื่ KUS-SI น�ำ มาจากตวั อกั ษรยอ่ ภาษาองั กฤษ ของโรงเรยี นสาธติ แหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ (KUS - Kasetsart University Laboratory School) และโรงพยาบาลศิริราช (SI - Siriraj Hospital) ข้อบ่งช้ีในการใช้ ใช้คัดกรองปญั หาการเรยี นในเด็กนักเรียนอายรุ ะหวา่ ง 6 ปี – 13 ปี 11 เดือน ในโรงเรยี น โดยคัดกรอง 3 ปญั หา ที่พบไดบ้ ่อย คือ 1. สมาธิส้ัน (Attention-Deficit/ Hyperactivity Disorder; ADHD) 2. บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ (Specific Learning Disorder; LD) โดยแบง่ ออกเปน็ 3 ดา้ น คอื ดา้ นการอา่ น ดา้ นการเขยี น และดา้ นการคำ�นวณ 3. ออทิสตกิ หรือออทซิ ึม (Autism Spectrum Disorder; ASD หรอื Pervasive Developmental Disorders; PDDs) คณุ สมบัติ ผลทดสอบความแม่นตรงด้านเนื้อหา (content validity) โดยผู้เช่ียวชาญ พบว่า ข้อความท่ีบ่งบอกพฤติกรรม สอดคลอ้ งกบั โครงสรา้ งของการสรา้ งแบบคดั กรอง ครอบคลมุ พฤตกิ รรมตามค�ำ จ�ำ กดั ความและเกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั และมี ความชดั เจนในการสอื่ ความหมาย คา่ อ�ำ นาจจ�ำ แนกรายขอ้ ของแบบคดั กรองเปน็ ทย่ี อมรบั ได้ และมคี วามตรงตามเนอื้ หา หาคา่ ความเชอื่ ถอื ได้ (reliability) พบวา่ มคี า่ ความสอดคลอ้ งภายใน (internal consistency) สงู มากในทกุ กลมุ่ อาการ และทกุ กลุ่มตัวอยา่ ง โดยมีคา่ Cronbach’s alpha coefficient ในกลมุ่ ตัวอย่างมาตรฐาน เท่ากบั 0.97-0.98 และมี ความเหมาะสมในการนำ�ไปใชท้ ้งั ในสถานศกึ ษา และสถานบรกิ ารทางการแพทย์ การคดั กรองสุขภาพจติ เด็กวัยเรยี น
39 วธิ ีการใช้ ประกอบด้วยแบบประเมนิ 5 ดา้ น รวม 130 ขอ้ โดยใชเ้ วลาทำ�ประมาณ 30 นาที แต่ละด้านมีจำ�นวนขอ้ ดังนี้ 1. สมาธิสนั้ 30 ข้อ 2. บกพร่องทางการเรียนรู้ ดา้ นการอา่ น 20 ข้อ 3. บกพร่องทางการเรียนรู้ ดา้ นการเขียน 20 ข้อ 4. บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ดา้ นคำ�นวณ 20 ข้อ 5. ออทสิ ตกิ 40 ขอ้ แตล่ ะข้อมี 4 ตัวเลือก ตามระดับความถี่ หรือความรุนแรงของพฤติกรรม หรือปัญหาทเ่ี กิดข้นึ โดยจัดลำ�ดับ ดังน้ี “ไม่เคย” หมายถงึ นกั เรยี นไม่เคยแสดงพฤตกิ รรมนเี้ ลย ครูไมเ่ คยพบพฤตกิ รรมน้เี ลย “เลก็ น้อย” หมายถงึ นักเรยี นทำ�หรือแสดงพฤตกิ รรมน้เี ลก็ นอ้ ย ครูพบพฤติกรรมนเ้ี ล็กน้อย “ค่อนข้างมาก” หมายถึง นกั เรียนท�ำ หรือแสดงพฤติกรรมน้คี อ่ นข้างมาก ครูพบพฤตกิ รรมนค้ี ่อนขา้ งมาก “บ่อยมาก” หมายถึง นักเรียนท�ำ หรอื แสดงพฤตกิ รรมน้บี อ่ ยมาก ครูพบพฤตกิ รรมน้ีบ่อยมาก ผู้ตอบแบบคดั กรองเปน็ คร/ู อาจารย์ ผ้สู อนวิชาภาษาไทยและคณติ ศาสตรอ์ ย่างน้อย 2 ทา่ น ทรี่ ูจ้ ักและคนุ้ เคยกบั นักเรียนเป็นอย่างดี หรอื มีโอกาสสอนนกั เรยี นอยา่ งใกล้ชดิ อยา่ งนอ้ ย 1 ภาคการศึกษา ผู้ตอบแบบคดั กรองและผู้ประเมนิ ควรศกึ ษารายละเอียดคำ�ชีแ้ จงการใชแ้ บบคัดกรอง ใหเ้ ข้าใจ อยา่ งละเอียด กอ่ นตอบ แบบคดั กรองเพื่อความถกู ต้องของการประเมินพฤติกรรมนกั เรียน การแปลผล เนอ่ื งจากการใชแ้ บบคดั กรองชดุ นมี้ คี า่ ลขิ สทิ ธใิ์ นการน�ำ มาใช้ ในทนี่ จี้ งึ ไมไ่ ดน้ �ำ เสนอรายละเอยี ดของขอ้ ค�ำ ถามตา่ ง ๆ และการแปลผล คู่มอื การใช้แบบคัดกรอง KUS-SI Rating Scales ทีม่ า : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2550) การคัดกรองสขุ ภาพจติ เด็กวยั เรยี น
40 แบบคัดกรอง บคุ คลที่มคี วามต้องการพิเศษทางการศกึ ษา ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน แบบคดั กรองบุคคลทีม่ คี วามตอ้ งการพิเศษทางการศกึ ษา ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน กระทรวง ศึกษาธกิ าร เปน็ เคร่อื งมอื ทน่ี �ำ มาใช้คดั กรองเดก็ ทม่ี ีความตอ้ งการพิเศษทางการศึกษาด้านตา่ ง ๆ ผู้พัฒนา พัฒนาโดย ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ขอ้ บง่ ชี้ในการใช้ ใช้คดั กรองเดก็ ที่มีความต้องการพิเศษทางการศกึ ษาดา้ นตา่ ง ๆ รวม 9 ดา้ น ตามประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เรอื่ ง กำ�หนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศกึ ษา พ.ศ.2552 วิธกี ารใช้ แบบคดั กรองน้ี นำ�มาใช้ในกรณีทเ่ี ด็กยงั ไมม่ ีใบรบั รองความพิการ บัตรประจ�ำ ตัวคนพิการ หรอื ใบรบั รองแพทย์ ที่ ระบถุ งึ ความบกพรอ่ งหรือความพิการ เปน็ การคัดกรองเบื้องต้น ประกอบดว้ ยแบบคดั กรอง จ�ำ นวน 8 ชดุ ส�ำ หรบั บคุ คลทมี่ คี วามบกพรอ่ งดา้ นตา่ ง ๆ 8 ดา้ น (ไมม่ ชี ดุ ส�ำ หรบั ประเภท พิการซอ้ น ซ่งึ กค็ อื ความบกพร่องมากกวา่ 1 ดา้ น) ดังนี้ 1. ความบกพร่องทางการเหน็ (จำ�นวน 10 ขอ้ ) 2. ความบกพรอ่ งทางการได้ยนิ (จำ�นวน 9 ขอ้ ) 3. ความบกพรอ่ งทางสติปัญญา (จำ�นวน 20 ขอ้ ) 4. ความบกพรอ่ งทางร่างกายหรือการเคล่ือนไหวหรอื สุขภาพ (จำ�นวน 11 ขอ้ ) 5. ความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ (มี 2 ฉบับ คือ ประถมศกึ ษา และมธั ยมศกึ ษา แตล่ ะฉบับมี 2 สว่ น คือ สว่ นท่ี 1 จำ�นวน 3 ขอ้ ส่วนท่ี 2 จำ�นวน 30 ขอ้ ) 6. ความบกพรอ่ งทางการพดู และภาษา (จ�ำ นวน 10 ข้อ) 7. ความบกพรอ่ งทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ (จำ�นวน 18 ข้อ) 8. ออทิสตกิ (จ�ำ นวน 18 ขอ้ ) ผทู้ �ำ การคัดกรองตอ้ งผ่านการอบรมวิธกี ารใชแ้ ละการประเมนิ ตามแบบคดั กรองนี้ และควรมอี ย่างน้อย 2 คนข้ึนไป ควรสอบถามขอ้ มลู เพิม่ เติมจากผู้ทอ่ี ย่ใู กล้ชดิ เด็กมากทสี่ ดุ เชน่ ผูป้ กครองหรอื ครู เพ่อื ใหเ้ กดิ ความชัดเจน ถูกตอ้ ง การคดั กรองสุขภาพจติ เดก็ วยั เรยี น
41 การแปลผล แบบคดั กรองฉบับนเี้ ป็นแบบคดั กรองเพื่อประโยชนใ์ นการจัดการศกึ ษาเทา่ นั้น ไมส่ ามารถสรปุ วา่ เดก็ เป็นอะไรจาก การคดั กรองได้ ควรส่งผ้เู ช่ียวชาญประเมนิ ต่อไป การแปลผล นับจากจำ�นวนขอ้ ทตี่ อบว่าใช่ โดยมเี กณฑ์การพจิ ารณาแตล่ ะชุด ดงั น้ี ประเภทความบกพร่อง จ�ำ นวนขอ้ 1. ความบกพรอ่ งทางการเห็น ทั้งหมด เกณฑพ์ ิจารณา 2. ความบกพร่องทางการไดย้ ิน 3. ความบกพร่องทางสตปิ ัญญา 10 5 4. ความบกพรอ่ งทางรา่ งกายหรอื การเคล่อื นไหวหรอื สุขภาพ 93 20 2 ทกั ษะ ๆ ละ 2 ขอ้ 11 1 5. ความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 33 ส่วนที่ 1 10 ประถม 7 / มธั ยม 7 ส่วนท่ี 2 1) ด้านการอ่าน 10 ประถม 7 / มธั ยม 7 2) ดา้ นการเขยี น 10 ประถม 6 / มัธยม 5 3) ด้านการคำ�นวณ 10 5 6. ความบกพรอ่ งทางการพูดและภาษา 18 2 ข้อยอ่ ยใน 1 หวั ข้อ 7. ความบกพร่องทางพฤตกิ รรมหรอื อารมณ์ 18 3 ดา้ น ๆ ละ 2 ขอ้ 8. ออทสิ ติก การใหค้ ะแนนและแปลผลศกึ ษาไดเ้ พม่ิ เตมิ จากคมู่ อื การใชแ้ บบคดั กรอง ในทน่ี จ้ี ะน�ำ เสนอตวั อยา่ งเฉพาะแบบคดั กรอง ท่ีอยู่ในขอบเขตงานสุขภาพจิตเด็กวัยเรียนโดยตรง คือ ความบกพร่องทางสติปัญญา ความบกพร่องทางการเรียนรู้ ความบกพร่องทางการพูดและภาษา ความบกพร่องทางพฤตกิ รรมหรอื อารมณ์ และบคุ คลออทิสตกิ การคัดกรองสุขภาพจิตเดก็ วยั เรยี น
42 ตวั อย่าง แบบคดั กรองบุคคลทีม่ ีความบกพรอ่ งทางสติปญั ญา (เนือ่ งจากไมม่ ีใบรับรองความพกิ าร/สมดุ ประจำ�ตัวคนพิการ/ใบรบั รองแพทย)์ ชอ่ื -นามสกลุ (ด.ช./ด.ญ./นาย/นางสาว) .................................................................................................................................................... วัน เดือน ปี เกิด...................... อายุ ..... ปี ..... เดือน ระดับชน้ั ............. วัน เดือน ปี ทีป่ ระเมิน ......................... ประเมินครงั้ ท่ี ............. คำ�ชี้แจง ๑. แบบคัดกรองฉบับน้ีเป็นแบบคัดกรองเพอ่ื ประโยชนใ์ นทางการจดั การศึกษาเทา่ น้นั ๒. วิเคราะห์ลักษณะ/พฤติกรรม ของเด็กซึ่งเป็นลักษณะหรือพฤติกรรม ที่เด็กแสดงออกบ่อย ๆ โดยให้ทำ� เครื่องหมาย “√” ลงในช่อง “ใช”่ หรือ “ไมใ่ ช”่ ท่ตี รงกับลักษณะหรอื พฤตกิ รรมน้ัน ๆ ของเด็ก ๓. ผู้ทำ�การคัดกรองเบื้องต้นต้องผ่านการอบรมวิธีการใช้ และการประเมิน ตามแบบคัดกรองนี้ และควรสอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติมจากผูท้ อี่ ยใู่ กลช้ ิดเดก็ มากที่สดุ เชน่ ผ้ปู กครองหรือครู เพื่อให้เกิดความชดั เจน ถูกตอ้ ง ๔. ผคู้ ัดกรองควรจะมอี ย่างน้อย ๒ คนขึ้นไป ท่ี ลักษณะ / พฤตกิ รรม ผลการวเิ คราะห์ ใช่ ไมใ่ ช่ ทกั ษะการสื่อสาร ๑ ใช้ภาษาไมส่ มวัย ๒ ไม่เขา้ ใจคำ�สง่ั ไม่สามารถทำ�ตามคำ�สั่งได้ ทกั ษะการดูแลตนเอง ๓ ไมส่ ามารถ หรอื สามารถดูแลตัวเองในชีวติ ประจ�ำ วันไดน้ อ้ ย ในการรบั ประทานอาหาร / การอาบนํ้า / แปรงฟัน / การแตง่ กาย ๔ ไม่สามารถท�ำ ความสะอาดหลงั การขับถ่าย ทักษะการด�ำ รงชวี ิตภายในบ้าน ๕ ตอ้ งกระตนุ้ ในการปฏิบตั กิ จิ วตั รประจำ�วันอยูเ่ สมอ ๖ ชว่ ยเหลือตนเองในชีวิตประจำ�วันไดต้ ่ํากวา่ วยั ทักษะทางสังคม/การปฏสิ ัมพันธก์ บั ผอู้ น่ื ๗ ชอบเล่นกบั เด็กทม่ี อี ายนุ ้อยกว่า หรือไมส่ ามารถเล่นกบั เพอื่ นตามวัย ๘ เลน่ เลยี นแบบผูอ้ น่ื อยา่ งไมเ่ หมาะสมกบั วัย ทกั ษะการรู้จักใชท้ รัพยากรในชุมชน ๙ มีปัญหาด้านพฤติกรรมในการใช้สิ่งของสาธารณะประโยชน์ เช่น ชอบทำ�ลายหรือใช้ อย่างไม่ระมดั ระวัง ๑๐ ไม่รจู้ ักวิธีการใช้ การจดั เก็บ และการดแู ลรกั ษา ของสว่ นรวม ทักษะการร้จู กั ดูแลควบคมุ ตนเอง ๑๑ เอาแตใ่ จตนเอง มอี ารมณโ์ กรธ ฉนุ เฉียวบ่อย ๆ ๑๒ ไม่สามารถควบคมุ ตนเองท�ำ ตามส่งิ ท่ตี ้องทำ� การคัดกรองสุขภาพจติ เด็กวัยเรยี น
43 ท่ี ลักษณะ / พฤตกิ รรม ผลการวเิ คราะห์ ใช่ ไม่ใช่ ทักษะการน�ำ ความรู้มาใช้ในชีวิตประจำ�วัน ๑๓ ลมื ง่าย / จ�ำ ในส่ิงทเี่ รียนมาแล้วไมไ่ ด้ ๑๔ ไมส่ ามารถนำ�ทกั ษะท่ีเรยี นรู้ไปแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหน้าได้ ทกั ษะการทำ�งาน ๑๕ ชว่ งความสนใจสั้น ไมส่ ามารถรบั ผดิ ชอบงานทตี่ ้องทำ� ๑๖ ทำ�ตามค�ำ สง่ั ตอ่ เนือ่ ง ๒ คำ�สงั่ ข้นึ ไปไดย้ าก สบั สนงา่ ย ทกั ษะการใชเ้ วลาวา่ ง ๑๗ สนใจสง่ิ รอบตวั น้อย ๑๘ ใช้เวลาว่างแสดงพฤติกรรมท่ีไมเ่ หมาะสม ทักษะการรักษาสุขภาพอนามัยและความปลอดภยั ๑๙ ดูแลสุขภาพตนเองได้น้อย เช่น ล้างมือไม่เป็น หรือไม่รู้จักรับประทานอาหารที่เป็น ประโยชน์ ๒๐ มคี วามระมดั ระวงั เร่อื งความปลอดภัยตนเองน้อย หมายเหตุ ท้งั น้ีพฤตกิ รรมดังกลา่ วตอ้ งเทียบเคียงกับพฒั นาการของเด็กท่วั ไป เกณฑก์ ารพิจารณา แตล่ ะทกั ษะจะตอ้ งมผี ลการวเิ คราะหพ์ ฤตกิ รรมทกั ษะวา่ ใชท่ งั้ ๒ ขอ้ แสดงวา่ ไมผ่ า่ นทกั ษะนน้ั และหากวา่ พบทกั ษะการปรบั ตวั ไมผ่ า่ น ตง้ั แต่ ๒ ทักษะข้นึ ไป แสดงว่ามแี นวโนม้ ที่จะเป็นบุคคลทีม่ คี วามบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา ควรให้การช่วยเหลอื ตามความต้องการจำ�เป็น พเิ ศษทางการศกึ ษาของผเู้ รียน และสง่ ต่อใหแ้ พทยต์ รวจวินิจฉัยตอ่ ไป ผลการคัดกรอง ไม่พบความบกพร่อง พบความบกพร่อง ความคดิ เห็นเพิ่มเตมิ ..................................................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ ..................................................... ใบวุฒบิ ตั ร เลขท่ี.............................. (ผู้คัดกรอง) (.....................................................) ลงชือ่ ..................................................... ใบวุฒบิ ตั ร เลขที่.............................. (ผู้คดั กรอง) (....................................................) คำ�ยินยอมของผ้ปู กครอง ข้าพเจ้า(นาย/นาง/นางสาว) ....................................................................................................................................................................... เปน็ ผู้ปกครองของ (ด.ช./ด.ญ./นาย/นางสาว) ............................................................................................................................................ ยนิ ยอม ไมย่ ินยอม ใหด้ ำ�เนินการคดั กรอง (ด.ช./ด.ญ./นาย/น.ส.) ............................................................... ตามแบบคดั กรองน้ี เมอ่ื พบวา่ มีแนวโนม้ เปน็ ผ้ทู ่มี คี วามบกพรอ่ งตามแบบคดั กรองข้างต้น ยินดี ไม่ยินดี ใหจ้ ัดบริการช่วยเหลือทางการศกึ ษาพเิ ศษต่อไป ลงชอ่ื ........................................................... ผู้ปกครอง (..........................................................) การคัดกรองสุขภาพจติ เดก็ วยั เรียน
44 ตวั อยา่ ง แบบคดั กรองบคุ คลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (ประถมศึกษา) (เน่อื งจากไม่มีใบรับรองความพกิ าร/สมดุ ประจ�ำ ตวั คนพกิ าร/ใบรับรองแพทย)์ ช่ือ-นามสกลุ (ด.ช./ด.ญ./นาย/นางสาว)............................................................................................................................................... วนั เดือน ปี เกดิ ...................... อายุ ..... ปี ..... เดือน ระดับชั้น.......... วัน เดือน ปี ท่ีประเมนิ .................. ประเมนิ ครง้ั ที่ ................ คำ�ช้ีแจง ๑. แบบคดั กรองฉบับนีเ้ ป็นแบบคดั กรองเพ่ือประโยชน์ในทางการจัดการศึกษาเท่าน้ัน ๒. วเิ คราะหล์ กั ษณะ/พฤตกิ รรม ของเดก็ ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะหรอื พฤตกิ รรม ทเ่ี ดก็ แสดงออกบอ่ ย ๆ โดยใหท้ �ำ เครอ่ื งหมาย “√” ลงในชอ่ ง “ใช่” หรอื “ไม่ใช่” ทต่ี รงกบั ลักษณะหรอื พฤติกรรมน้ัน ๆ ของเดก็ ๓. ผทู้ �ำ การคดั กรองเบื้องต้นตอ้ งผา่ นการอบรมวิธีการใช้ และการประเมนิ ตามแบบคดั กรองนี้ และควรสอบถามข้อมูลเพ่มิ เติม จากผู้ท่อี ย่ใู กล้ชดิ เดก็ มากท่ีสุด เชน่ ผปู้ กครองหรือครู เพอ่ื ให้เกิดความชดั เจน ถกู ตอ้ ง ๔. ผคู้ ดั กรองควรจะมอี ยา่ งนอ้ ย ๒ คนขนึ้ ไป สว่ นท่ี ๑ การวิเคราะหเ์ บอื้ งตน้ / ข้อมลู พ้นื ฐานของบคุ คลทีม่ ีความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ที่ ลักษณะ / พฤติกรรม ผลการวเิ คราะห์ ใช่ ไมใ่ ช่ ๑ ดฉู ลาดหรอื ปกติ ในดา้ นอื่น ๆ นอกจากในด้านการเรียน ๒ ตอ้ งมปี ญั หาทางการเรยี น ซง่ึ อาจทำ�ไม่ได้เลยหรือทำ�ได้ต�่ำ กวา่ ๒ ชนั้ เรยี น ในดา้ นใดด้านหนงึ่ หรอื มากกว่า ๑ ด้าน ตอ่ ไปน้ี ๑.๑ ดา้ นการอา่ น ๑.๒ ดา้ นการเขียน ๑.๓ ดา้ นการคำ�นวณ ๓ ไมม่ ปี ญั หาทางดา้ นการเหน็ การไดย้ นิ สตปิ ญั ญา หรอื ออทสิ ตกิ หรอื จากการถกู ละทง้ิ ละเลย หรือความด้อยโอกาสอนื่ ๆ เกณฑ์การพิจารณา ถา้ ตอบว่าใช่ ๓ ขอ้ แสดงวา่ มีแนวโนม้ ที่จะเปน็ บุคคลทม่ี ีความบกพร่องทางการเรยี นรู้ ควรสงั เกตในส่วนที่ ๒ ตอ่ ผลการพิจารณาส่วนท่ี ๑ ไม่พบความบกพรอ่ ง พบความบกพรอ่ ง (ถ้าพบสังเกตในสว่ นท่ี ๒ ต่อ) การคดั กรองสขุ ภาพจิตเด็กวยั เรียน
45 ผลการวเิ คราะห์ ใช่ ไม่ใช่ ส่วนท่ี ๒ การสงั เกตปัญหาทางการเรยี นรู้ของเดก็ ในแตล่ ะดา้ น ท่ี ลักษณะ / พฤตกิ รรม ๑) ดา้ นการอ่าน ๑ อา่ นช้า อ่านข้าม อ่านไมห่ มด ๒ จำ�คำ�ศพั ท์คำ�เดมิ ไมไ่ ด้ ท้งั ๆ ทีเ่ คยผา่ นสายตามาแล้วหลายครัง้ ๓ อา่ นเพิ่มค�ำ ซา้ํ ค�ำ อ่านผิดต�ำ แหน่ง ๔ อา่ นสลับตวั อกั ษรหรอื ออกเสียงสลับกัน เช่น “บก” อ่านเป็น “กบ” ๕ สบั สนในพยญั ชนะคลา้ ยกนั เช่น ก-ภ-ถ, ฦ-ฎ-ฏ, ด-ต-ค ๖ จำ�ศพั ทใ์ หมไ่ มค่ ่อยได้ ๗ มปี ัญหาในการผสมค�ำ การอา่ นออกเสียงคำ� ๘ สับสนค�ำ ท่คี ล้ายกนั เชน่ บาน-บา้ น ๙ อ่านคำ�ทไี่ มค่ นุ้ เคยไม่ได้ ๑๐ อา่ นค�ำ ในระดบั ชนั้ ของตนเองไมไ่ ด้ ๒) ดา้ นการเขยี น ๑ ไม่ชอบและหลกี เลีย่ งการเขยี น หรือการลอกคำ� ๒ เขียนไม่สวยไมเ่ รยี บรอ้ ย สกปรก ขดี ทงิ้ ลบทง้ิ ๓ เขยี นตวั อกั ษรและค�ำ ที่คล้าย ๆ กันผดิ ๔ ลอกคำ�บนกระดานผดิ (ลอกไมค่ รบตกหลน่ ) ๕ เขยี นหนงั สอื ไมเ่ วน้ วรรค ไม่เว้นชอ่ งไฟ ตัวอักษรเบียดกนั จนท�ำ ใหอ้ า่ นยาก ๖ เขยี นสลับตำ�แหน่งระหวา่ งพยญั ชนะ สระ เช่น ตโ ๗ เขียนตามคำ�บอกของคำ�ในระดับชนั้ ตนเองไมไ่ ด้ ๘ เขียนตัวอักษรหรอื ตัวเลขกลับด้าน คลา้ ยมองกระจกเงา ๙ เขียนพยัญชนะหรอื ตวั เลขท่มี ลี ักษณะคลา้ ยกันสลับกัน เช่น ม-น, ด-ค, พ-ย, b-d, p-q, 6-9 ๑๐ เรียงล�ำ ดับตัวอกั ษรผิด เช่น “สถติ ”ิ เป็น “สตถิ ”ิ ๓) ด้านการค�ำ นวณ ๑ นับเลขเรยี งล�ำ ดบั นบั เพ่ิม นับลดไมไ่ ด้ ๒ ยากลำ�บากในการบวก, ลบ จำ�นวนจรงิ ๓ ยากลำ�บากในการใชเ้ ทคนิคการนบั จำ�นวนเพ่มิ ทีละ ๒, ๕, ๑๐, ๑๐๐ ๔ ยากล�ำ บากในการประมาณจำ�นวนค่า การคดั กรองสขุ ภาพจติ เด็กวยั เรยี น
Search