Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้

วิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้

Published by sumalee.pare, 2019-12-03 01:52:30

Description: วิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

หน่วยการเรียนรอู้ ิงมาตรฐาน รหสั วิชา ว 21102 รายวิชา วิทยาศาสตร์พ้นื ฐาน ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 ผ้จู ดั ทา นางสุมาลี สายธนู กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรียนน้าปลีกศึกษา สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 29

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 เร่อื ง พลังงานความร้อน รหสั วิชา ว 21102 รายวิชาวทิ ยาศาสตร์พ้นื ฐาน ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีการศึกษา 2562 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 21 ชว่ั โมง ผู้สอน นางสุมาลี สายธนู 1.มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตวั ชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ (รายวิชาพนื้ ฐานมีทั้งมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชวี้ ัด รายวิชาเพิม่ เติม มีผลการเรียนร)ู้ 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานว2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งานการเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและคลื่น แม่เหลก็ ไฟฟ้ารวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 1.2ตัวชีว้ ัด ว 2.3 ม.1/1 วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และคานวณปริมาณความร้อนที่ทาให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิและ เปลีย่ นสถานะโดยใช้สมการโดยใช้สมการ Q = mcΔt และQ = mL ว2.3ม.1/2ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการวดั อณุ หภูมขิ องสสาร ว2.3ม.1/3สร้างแบบจาลองที่อธิบายการขยายตัวหรือหดตวั ของสสารเนือ่ งจากได้รบั หรอื สญู เสียความร้อน ว2.3 ม.1/4ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการหดและขยายตัวของสสารเน่ืองจากความร้อนโดยวิเคราะห์ สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะวิธีการนาความรู้มาแก้ปญั หาในชีวติ ประจาวัน ว 2.3 ม.1/5 วิเคราะห์สถานการณ์การถ่ายโอนความร้อน และคานวณปริมาณความร้อนที่ถ่ายโอน ระหว่างสสาร จนเกิดสมดลุ ความร้อนโดยใช้สมการ Qสูญเสีย = Qได้รับ ว2.3ม.1/6สร้างแบบจาลองที่อธิบายการถ่ายโอนความร้อนโดยการนาความร้อนการพาความร้อนการแผร่ ังสี ความร้อน

1.3 ผลการเรียนรู้ 1. รู้จักวิธีการใช้เคร่ืองมือวัดอุณหภูมิ หรือที่เรียกว่าเทอร์มอมิเตอร์ และสามารถเปรียบเทียบค่าอุณหภูมิ ระหว่างหน่วยวดั อณุ หภูมไิ ด้อย่างถกู ต้องตลอดจนนาเทอร์มอมิเตอร์ไปใช้ประโยชน์ในการดาเดินชีวติ ประจาวันได้ 2.สามารถสร้างแบบจาลองการขยายตวั หรอื หดตวั ของสาร ทีไ่ ด้รบั การสญู เสียความร้อน 3. รู้จักปริมาณความร้อนที่ทาให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิขึ้นอยู่กับมวล ความร้อนจาเพาะ และอุณหภูมิที่ เปลี่ยนไป และปริมาณความร้อนที่ทาให้สสารเปลี่ยนสถานะขึ้นอยู่กับมวล และความร้อนแฝงจาเพาะ โดยขณะที่สสาร เปลีย่ นสถานะอุณหภมู จิ ะไม่เปลี่ยนแปลง 4. รู้จักความร้อนถ่ายโอนจากสสารที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยังสสารที่มีอุณหภูมิต่ากว่าจนกระท่ังอุณหภูมิของ สสารท้ังสองเท่ากัน สภาพทีส่ สารท้ังสองมีอณุ หภมู เิ ท่ากนั เรียกว่าสมดุลความร้อน 5. อธิบายการถ่ายโอนความร้อนท้ัง 3 แบบ คือ การนาความร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสีความร้อน การนาความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนที่อาศัยตัวกลาง โดยที่ตัวกลางไม่เคลื่อนที่ การพาความร้อนเป็นการถ่ายโอน ความร้อนที่อาศัยตัวกลาง โดยที่ตัวกลางเคลื่อนที่ไปด้วย ส่วนการแผ่รังสีความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนที่ไม่ต้อง อาศัยตวั กลาง 2. สาระสาคัญ /ความคดิ รวบยอด 1. เคร่ืองมือวัดอุณหภูมิ เรียกว่า เทอร์มอมิเตอร์ (thermometer) มี 2 แบบ คือ เทอร์มอมิเตอร์แบบกระเปาะ ใช้ หลักการการขยายตัวและหดตัวของของเหลวที่บรรจุอยู่ในกระเปาะตามอุณหภูมิภายนอก เทอร์มอมิเตอร์แบบดิจิทัล ภายในมีไมโครชิปสามารถเปลี่ยนกระแสไฟฟ้าให้เป็นตัวเลข ซึ่งเป็นค่าอุณหภูมิขณะน้ันได้ โดยหน่วยวัดอุณหภูมิมีอยู่ หลายหน่วย ได้แก่ องศาเซลเซียส เคลวิน และองศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งแต่ละหน่วยจะมีจุดเยือกแข็ง และจุดเดือดแตกต่างกัน หากต้องการเปรียบเทียบค่าอณุ หภมู ริ ะหว่างหน่วยวดั อณุ หภูมิ จะได้สมการดังนี้ C/5= (K-273)/5= (F-32)/9 =R/4 2. สารเม่ือได้รับความร้อนอาจมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ สถานะ หรือรูปร่างของสาร เม่ือสารได้รับความร้อน จะทาใหอ้ นุภาคเคลื่อนทีเ่ รว็ ขึน้ ทาใหเ้ กิดการขยายตัวและหดตวั ส่งผลใหข้ นาดและรูปร่างเปลี่ยนแปลงไป 3. สารเม่ือได้รับความร้อนจะทาให้อุณหภูมิของสารสารเปลี่ยนแปลง แต่สถานะของสารไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่ง ปริมาณความร้อนที่ทาให้อุณหภูมิของสารเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับมวล ความร้อนจาเพาะ และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป และสารเม่ือได้รับความร้อนจะทาให้สารเปลี่ยนสถานะ แต่อุณหภูมิของสารไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากอนุภาคของสารอยู่ หา่ งกนั มาก ซึ่งปริมาณความร้อนที่ทาใหส้ ารเปลีย่ นสถานะขึน้ อยู่กบั มวลและความร้อนจาเพาะ

4. สารที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันเกิดการถ่ายโอนความร้อนระหว่างกันจนกระทั่งอุณหภูมิของสารเท่ากัน เรียก สภาพนี้ว่า สมดุลความร้อน โดยความร้อนทีเ่ พิ่มขนึ้ ของสารหนึ่งจะเท่ากับความร้อนที่ลดลงของอีกสารหนึง่ ซึ่งเป็นไปตาม กฎการอนุรกั ษ์พลงั งาน การถ่ายโอนความร้อนจนเกิดสมดุลความร้อนเปน็ ไปตามสมการ Qสญู เสีย = Qได้รับ 5.สารทีม่ ีอุณหภูมิแตกต่างกัน จะมีการถ่ายโอนความร้อนระหว่างกัน การถ่ายโอนความร้อนมี 3 แบบ คือการ นาความร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสีความร้อน ซึ่งการนาความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนที่อาศัยตัวกลาง โดยตัวกลางไม่เคลื่อนที่ การพาความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนที่อาศัยตัวกลาง โดยตัวกลางมีการเคลื่อนที่ ส่วนการ แผร่ งั สีความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนที่ไม่อาศยั ตัวกลาง 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง/สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม(รายวิชาเพิ่มเติม) -เครอ่ื งมอื วัดอุณหภมู ิ ทีเ่ รียกว่าเทอร์มอมิเตอร์ - ความร้อนกับการขยายตัวของสาร - ผลของพลังงานความร้อนต่อสถานะของสาร - การถ่ายโอนความร้อน : การนาความร้อน - การถ่ายโอนความร้อน : การพาความร้อน -การถ่ายโอนความร้อน:การแผร่ งั สีความร้อน 3.2.สาระการเรียนรู้ท้องถิน่ (ถา้ มี) ...................................................................................................................................................................................................................................................... 4. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น (เฉพาะทเ่ี กิดในหน่วยการเรยี นรนู้ ี)้ 4.1 ความสามารถในการสือ่ สาร 4.2 ความสามารถในการคิด 4..3 ความสามารถในการแก้ปญั หา 4.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ 4.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ( เฉพาะทเ่ี กดิ ในหน่วยการเรยี นร้นู ี้) 5.1คุณลักษณะอนั พึง่ ประสงค์ (ตามหลักสูตรแกนกลาง) 1) รักชาตศิ าสน์ กษตั ริย์ 2) ซื่อสัตย์สจุ ริต 3) มีวนิ ัย 4) ใฝเ่ รียนรู้ 8) มีจิตสาธารณะ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมัน่ ในการทางาน 7) รกั ความเปน็ ไทย

5.2คุณลักษณะตามหลกั สตู รมาตรฐานสากล 1) มีความรู้พอ้ื นฐานในยคุ ดิจติ อลวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ภาษาพหวุ ัฒนธรรมตระหนักสานึก ระดับโลก 2) สามารถคดิ ประดษิ ฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวใฝร่ ู้ ใฝเ่ รียนวิเคราะห์ สังเคราะห์ สรปุ สร้างองค์ความรู้ 3) มีทักษะสือ่ สารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ 5) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ทักษะผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 (3Rs8Cs 2Ls) (กาหนดลอยไวถ้ า้ จดั กจิ รรมทีม่ ีการปฏบิ ตั /ิกลุ่ม/ช้นิ งาน/โครงงานจะเกิดอยแู่ ล้ว) 1. ทักษะในสาระวิชาหลกั (3Rs) 1.1 Reading (อ่าน) 1.2 (W)Riting(เขียน) 1.3(A)Rithemetics(คณิตฯ) 2. ทักษะการเรยี นรู้และนวตั กรรม(8Cs) 2.1 CriticalThinking and Problem Solving(การคิดวิจารณญาณและแก้ปญั หา) 2.2 Creativity and Innovation(การสร้างสรรค์และนวตั กรรม) 2.3 Cross-culturalUnderstanding(ความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม) 2.4  Collaboration, Teamworkand Leadership (การทางานเปน็ ทีมภาวะผนู้ า) 2.5 Communications, Information,and MediaLiteracy (การสื่อสารสารสนเทศ) 2.6 Computing and ICTLiteracy (ทกั ษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลย)ี 2.7 Career and Learning Skills(ทกั ษะอาชีพและการเรยี นรู้) 2.8  Compassion(คุณธรรมเมตตากรณุ าระเบียบวินัย) 7. บูรณาการกิจกรรมสะเตม็ ศึกษา (จาก STEM สู่ STEAM) 1.S (Science) :ระบเุ นื้อหา/กจิ กรรม ...................................................................................................................................................................................................................................................... 2.T(Technology) :ระบเุ น้ือหา/กิจกรรมการใช้คอมพิวเตอรส์ ืบค้นออกแบบ ......................................................................................................................................................................................................................................................

3.E(Engineering) :ระบเุ น้ือหา/กิจกรรม ...................................................................................................................................................................................................................................................... 4.A (Art) :ระบเุ น้ือหา/กิจกรรมการออกแบบโครงสร้างป้ายนิเทศ ...................................................................................................................................................................................................................................................... 5.M (Mathematics) :ระบุเนอื้ หา/กิจกรรม ...................................................................................................................................................................................................................................................... 8. การบูรณาการตามพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ (เฉพาะทเ่ี กิดในหน่วยการเรยี นรู้นี)้ 8.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 8.2บรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง 8.3บูรณาการหอ้ งเรียนสีเขยี ว 8.4 อื่นๆ (โปรดระบ)ุ .............................................................................................................................................................................................................................. 9. การบูรณาการและเตรียมความพร้อมในการสอบ Pre O-NET, O-NET, PISA มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วัดตวั ชีว้ ัดมาตรฐาน .................... ข้อสอบ /ประเด็น /หวั ข้อ ......... 10. ชิ้นงาน /ภาระงาน (รวบยอด) (กรณเี ป็น STEAM ควรแบ่งกลุม่ มอบหมายงาน ชิน้ งาน) 10.1 แบบฝึกเสริมประสบการณ์ เร่ือง องค์ประกอบของแผนที่ 10.2 แผนทีเ่ ส้นทางการเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอานาจเจริญ 10.2 รายงานบันทึกผลการเกบ็ รวบรวมข้อมูลทางภูมิศาสตร์ 10.3 แผนที่เส้นทางการเดินทางจากบ้านมายงั โรงเรยี นด้วย GPS 11. สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้ 11.1แบบฝกึ เสริมประสบการณ์ เรอ่ื งองค์ประกอบของแผนที่ 11.2แผนที่ภมู ิประเทศของประเทศไทย 11.3ภาพเทอร์โมมิเตอร์ บอรอมิเตอร์ มาตรวดั ลมเคร่อื งวัดฝน

11.4 บตั รคาคาว่าcompass,mapmeasurer, planimeter, barometer, thermometer, psychrometer, hygrometer, anemometer, rain gauge 11.5 ภาพจากดาวเทียม 11.6หนังสือเรียนรายวิชาพืน้ ฐานภมู ศิ าสตร์ ม. 4–6 12. การวัดและประเมินผล การวดั และประเมินผล(มีหรอื ไม่กไ็ ด้ อาจระบุกว้างๆ) ความก้าวหน้า วิธีวัด เครอ่ื งมอื เกณฑผ์ า่ น ของผเู้ รียน ขั้นต่า -ใบงานที่ 4.1 1.ด้านความรู้ (K) -ตรวจใบงานที่ 4.1 -ใบงานที่ 4.2 ผา่ นเกณฑ์ -ใบงานที่ 4.3 ร้อยละ 60 -ตรวจใบงานที่ 4.2 -แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ -แบบสงั เกตพฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์ -ตรวจใบงานที่ 4.3 การทางานรายบุคคล 8 คะแนน - แบบสังเกตพฤติกรรม -ตรวจแบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ การทางานรายกลุ่ม ขึน้ ไป - แบบประเมินการนาเสนอผลงาน 2.ด้านทักษะกระบวนการ -สงั เกตพฤติกรรม - แบบประเมินสมรรถนะ 5 คะแนน สาคัญของผเู้ รียน5 (P) การทางานรายบคุ คล ประการ 5 คะแนน -แบบประเมินทกั ษะผเู้ รียนใน -สงั เกตพฤติกรรม ศตวรรษที่ 21(21st Century Skils) การทางานรายกลุ่ม - ประเมินการนาเสนอผลงาน 3.ด้านสมรรถนะสาคญั -สังเกตพฤติกรรมการเรยี นรู้ ของผเู้ รียน5ประการ -ประเมินผลงานและการ ปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม 4.ด้านทกั ษะผเู้ รียนใน -สงั เกตพฤติกรรมการเรยี นรู้ ศตวรรษที่ 21(21st -ประเมินผลงานและการ Century Skils) ปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่ม

13. กิจกรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื งท่ี 1 เรอ่ื ง อุณหภมู ิและการวดั จานวนเวลาเรียน 4 ชวั่ โมง วิธีสอนสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5EsInstructionalModel) ช่วั โมงท่ี 1 ข้ันนา กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1.ครูแจง้ ผลการเรียนรใู้ หน้ กั เรยี นทราบ 2.ครูใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน 3.ครถู ามคาถามBigQuestionว่าความร้อนมีความสาคญั ต่อการดารงชีวติ อย่างไร (แนวตอบ ความร้อนมีความสาคญั ต่อการดารงชีวติ ในหลายดา้ นเช่นใช้ในการประกอบอาหารใหค้ วามอบอุ่นแก่ ร่างกาย ใช้ในการสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพืชเป็นต้น) 4.ครูนาน้า3ชนิดมาวางไว้ทีห่ น้าช้ันเรียนดังนี้ -อ่างน้าใบที่ 1 น้าอุ่น -อ่างน้าใบที่ 2 น้าอุณหภมู หิ ้อง -อ่างน้าใบที่ 3 น้าใส่นา้ แขง็ 5.ครตู ง้ั ประเดน็ คาถามเพือ่ กระตุ้นความสนใจของนักเรยี นเช่นน้าในอ่างน้าแต่ละใบมีอณุ หภูมเิ ท่ากันหรอื ไม่ สงั เกตจากอะไร ขน้ั สอน สารวจคน้ หา (Explore) 1.ครถู ามคาถามprior knowledge นกั เรียนว่าเพราะเหตใุ ดเม่อื เราจับสิ่งต่างๆเราจงึ รู้สกึ ร้อนเยน็ แตกต่างกนั (แนวตอบเนื่องจากวัตถุมีความร้อนแตกต่างกนั และมีความร้อนแตกต่างกบั ความร้อนในมอื เรา) 2.ครใู หน้ กั เรยี นแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ5-6คนแล้วใหแ้ ต่ละกลุ่มวางแผนและแบ่งหน้าทคี่ ้นคว้าความรู้ เรอ่ื ง เครอ่ื งมอื วัดอณุ หภมู ิ จากหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้า3-4หรอื อินเทอร์เน็ตและเอกสารต่างๆที่ เกี่ยวขอ้ ง 3.นกั เรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิดแล้วสรุปข้อมลู ลงในสมดุ บนั ทึก

อธิบายความรู้ (Explain) 1.นักเรียนแต่ละกลุ่มผลดั กันเล่าเร่อื งทีต่ นได้ศกึ ษามาใหส้ มาชิกในกลุ่มฟังเพื่อแลกเปลีย่ นขอ้ มูล 2.นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนออกมานาเสนอผลการสบื ค้นข้อมูลหน้าช้ันเรียน 3.ครเู สริมข้อมลู หรอื ความรเู้ พิม่ เติมใหก้ บั ขอ้ มลู ทีต่ ัวแทนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอและแก้ไขใหถ้ กู ต้อง 4.ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภปิ รายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยใช้แนวคาถามดงั นี้ -เคร่อื งมอื วดั อณุ หภมู ิ คืออะไร (แนวตอบเทอร์มอมเิ ตอร์) -เคร่อื งมอื วดั อณุ หภมู มิ ีกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวตอบ 2ประเภท ได้แก่ เทอร์มอมิเตอร์แบบกระเปาะและเทอร์มอมิเตอร์แบบดิจทิ ลั ) -เครอ่ื งมอื วดั อณุ หภมู มิ ีหลักการการทางานอย่างไร (แนวตอบ ขั้นอยกู่ ับประเภทของเคร่อื งเช่นเทอร์มอมิเตอร์แบบกระเปาะใช้หลกั การหดตัวและ ขยายตวั ของปรอทเม่อื ได้รบั ความร้อนจากสารเปน็ ต้น) 5.ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรปุ ผลจากการปฏิบัติกิจกรรมในชั้นเรียน ชวั่ โมงท่ี 2 ขน้ั สอน สารวจค้นหา (Explore) 1.ครใู หน้ ักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ3-4คนจากน้ันใหแ้ ต่ละกลุ่มส่งตัวแทนกลุ่มออกมารบั ใบงานที่ 4.1เรอ่ื ง การวัดอณุ หภมู ิ 2.ครูใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มศกึ ษาใบงานที่ 4.1เรอ่ื งการวดั อณุ หภูมิ 3.ครใู หน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันทาการทดลองเพื่อวัดอุณหภูมขิ องน้าในอ่างน้าแต่ละใบ ตามข้ันตอนที่ กาหนดในใบงานที่ 4.1เร่อื งการวัดอณุ หภูมิ และบนั ทึกผลการทดลองลงในใบงาน อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครสู ุ่มตวั แทนกลุ่มออกมานาเสนอผลการทดลองในใบงานที่ 4.1 เร่อื งการวัดอณุ หภูมิ 2.ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั เคร่อื งมอื วดั อณุ หภูมิ 3.ครูอธิบายเพิ่มเติมว่าในปจั จบุ ันเครอ่ื งมอื วัดอุณหภูมดิ ิจทิ ลั มีหลายประเภทใหเ้ ลือกใช้งานดังนี้ -เคร่อื งมอื วัดอณุ หภูมแิ บบ data logger -เคร่อื งมอื วดั อุณหภูมแิ บบ pentype -เครอ่ื งมอื วัดอุณหภูมแิ บบแยกโพรบ -เครอ่ื งมอื วดั อุณหภมู ไิ ร้สายwireless

-เคร่อื งมอื วดั อุณหภูมอิ ินฟราเรด - กล้องถ่ายภาพความร้อน -เครอ่ื งมอื วดั อุณหภมู ิ fiber optic ซึ่งครอู าจนาเสนอด้วยภาพเคร่อื งมอื และเสริมความรใู้ หก้ บั นกั เรียนว่าแต่ละประเภทนิยมนามาใช้งาน ประเภทใด ขนั้ สรปุ ขยายความรู้ (Expand) 1.ครมู อบหมายใหน้ กั เรียนสรปุ ความรู้เกีย่ วกบั เคร่อื งมอื วดั อณุ หภูมแิ ละวิธีใช้งานโดยสรปุ เขียนเปน็ แผนผัง ความคิดหรอื ผงั มโนทัศน์ 2.ครใู หน้ ักเรยี นทาแบบฝกึ หดั ในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 ชว่ั โมงท่ี 3 ขัน้ นา กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1.ครนู าภาพอุณหภูมขิ องสิง่ ต่างๆ มาใหน้ ักเรยี นดู แล้วอธบิ ายใหน้ กั เรียนฟังว่าเทอร์มอมิเตอร์ที่ใช้วดั อณุ หภมู โิ ดยทัว่ ไปสามารถวดั คา่ อณุ หภูมไิ ด้หลายหน่วยเช่นองศาเซลเซียสองศาฟาเรนไฮต์ เคลวินองศาโรเมอร์ 2.ครตู งั้ ประเด็นคาถามเพื่อกระตุ้นความสนใจของนกั เรยี นเช่นครเู ขียนสญั ลกั ษณ์หน่วยวดั อณุ หภมู บิ น กระดานแล้วใหน้ กั เรียนช่วยกันบอกว่าสัญลกั ษณบ์ นกระดานใช้แทนหน่วยวัดอุณหภูมใิ ดบ้าง ข้ันสอน สารวจคน้ หา (Explore) 1.แบ่งนักเรยี นเปน็ กลุ่มกลุ่มละเท่าๆกนั ใหแ้ ต่ละกลุ่มวางแผนและแบ่งหน้าทีค่ ้นคว้าความรู้ เร่อื ง ความสมั พนั ธ์ของหน่วยวดั อุณหภูมติ ่างๆ จากหนังสือเรียนอินเทอรเ์ น็ตเอกสารต่างๆทเี่ กีย่ วข้องหรอื จากสื่อต่างๆ 2.ครใู หต้ ัวแทนแต่ละกลุ่มออกมารับบัตรภาพแล้วนาบัตรภาพไปใหส้ มาชิกภายในกลุ่มศกึ ษา 3.นักเรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิด แล้วสรุปข้อมูลเปน็ ความรู้ของกลุ่มลงในสมุดบนั ทึก อธิบายความรู้ (Explain) 1.นกั เรียนแต่ละกลุ่มผลดั กนั เล่าเร่อื งที่ตนได้ศกึ ษามาใหส้ มาชิกในกลุ่มฟงั 2.นักเรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนออกมานาเสนอผลการสบื ค้นข้อมลู หน้าชั้นเรียน

3.ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบัติกิจกรรมโดยใช้แนวคาถามเช่น -หน่วยวัดอุณหภมู ิ คืออะไร (แนวตอบ หน่วยที่วัดได้จากเทอร์มอมิเตอร์) -หน่วยวัดอุณหภูมิ มีอะไรบ้างพร้อมยกตวั อย่าง (แนวตอบ องศาเซลเซยี สองศาฟาเรนไฮต์ เคลวนิ และองศาโรเมอร์) -การเปลี่ยนหน่วยวดั อณุ หภมู ิ เพื่อหาความสมั พันธ์ระหว่างหน่วยต่างๆทาอย่างไร (แนวตอบใช้สมการ C/5= (K-273)/5= (F-32)/9= R/4) จากนั้นครูใหน้ กั เรยี นจดคาถามและตอบคาถามทไี่ ด้จากการอภปิ รายร่วมกนั ลงในสมุดบันทกึ 4.ครูและนักเรียนร่วมกนั สรปุ ผลจากการปฏิบัติกิจกรรมในชั้นเรียน ขั้นสรปุ ขยายความรู้ (Expand) 1.ครใู หน้ ักเรียนนาบัตรภาพทไี่ ด้จากตวั แทนกลุ่มไปถ่ายเอกสารแล้วติดลงในสมดุ จากนั้นใหแ้ ต่ละคนเปลยี่ น หน่วยอณุ หภูมติ ่างๆ ที่แสดงในบัตรภาพใหเ้ ปน็ หน่วยองศาฟาเรนไฮต์ เคลวินและองศาโรเมอร์ ตามลาดบั โดยแสดงวิธที า ลงในสมดุ บันทึก 2.ครูใหน้ กั เรยี นทาแบบฝกึ หัดในแบบฝกึ วทิ ยาศาสตร์ ม.1เลม่ 2 ช่ัวโมงท่ี 4 ขน้ั สอน สารวจค้นหา (Explore) 1.ครูใหน้ ักเรียนจบั คู่กบั แล้วแล้วใหต้ ัวแทนออกมารบั ใบงานที่ 4.2เร่อื งการเปลี่ยนหน่วยวัดอุณหภมู ิ 2.ครูใหน้ ักเรยี นแต่ละคู่รว่ มกนั ศกึ ษาและทาตามข้ันตอนที่กาหนดในใบงานที่ 4.2เร่อื งการเปลี่ยนหน่วยวดั อุณหภมู ิ อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครูสุ่มตวั แทนนกั เรียน6คู่ แสดงวิธีคิดตามโจทยใ์ นใบงานที่ 4.2เรอ่ื งการเปลีย่ นหน่วยวดั อณุ หภูมิ โดย 2คู่ ต่อ1ข้อหน้าช้ันเรียนแล้วใหเ้ พื่อนคู่อ่นื ที่ไมไ่ ด้นาเสนอตรวจสอบเปรียบเทียบวิธีคิดระหว่างคู่ที่ 1กับ 2ในแต่ละข้อ และเปรียบเทียบกบั วิธีทาของตนเองจากน้ันเพิ่มเติมในส่วนทบี่ กพร่องและส่งตัวแทนกลุ่มออกมาแก้ไขและอธบิ ายให้ เพื่อนเข้าใจ 2.ครูคอยเสริมและแนะแนวทางความคิดของนกั เรียน

ข้นั สรปุ ขยายความรู้ (Expand) 1.ครใู หน้ กั เรียนทาแบบฝกึ หัดในแบบฝกึ วทิ ยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 2.ครูใหน้ กั เรยี นทาชิน้ งานเคร่อื งมอื เปลีย่ นหน่วยอณุ หภมู ิ โดยใหน้ กั เรียนออกแบบลงในกระดาษ A4โดยมี หัวข้อในการออกแบบ ดงั นี้ -ลักษณะ/รปู ร่างของเคร่อื ง -ความสามารถในการเปลยี่ นหน่วย

เร่อื งท่ี 2 เร่อื ง ผลของความร้อนท่มี ีผลตอ่ การขยายหรอื หดตัวของสาร จานวน เวลาเรียน 3 ชว่ั โมง วิธีสอนสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5EsInstructionalModel) ช่วั โมงท่ี 1 ขนั้ นา กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1.ครูแจง้ ผลการเรียนรใู้ หน้ กั เรยี นทราบ 2.ครถู ามคาถามprior knowledge กระตุ้นความคิดของนกั เรียนว่าเม่อื สสารได้รบั ความร้อนจะเกิดการ เปลีย่ นแปลงอย่าง (แนวตอบเม่อื สสารได้รบั ความร้อนอาจทาใหอ้ นุภาคของสารเกิดการสน่ั สะเทือนและขยายตวั เกิดการเปลยี่ น สถานะของสารหรอื อาจทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงอณุ หภูมขิ องสาร) 3.ครสู นทนากบั นักเรียนเกี่ยวกบั ความร้อนต่อการเปลี่ยนแปลงอณุ หภมู ขิ องสารเช่น -บอลลูนสามารถลอยอยใู่ นอากาศได้อย่างไร (แนวตอบ ความหนาแน่นอากาศภายในบอลลูนน้อยกว่าความหนาแน่นอากาศภายนอก) -แอลกอฮอล์ทีอ่ ยใู่ นเทอร์มอมเิ ตอร์ เมอ่ื ได้รบั ความร้อนจะเปน็ อย่างไร (แนวตอบ อนุภาคของแอลกอฮอล์จะออกหา่ งกนั มากขนึ้ อนภุ าคจะสัน่ เคลื่อนทเี่ ร็วมากขนึ้ ) -ถ้าเป็นของแข็งทไี่ ด้รบั ความรอ้ นจะเปน็ อย่างไร (แนวตอบเกิดการขยายตัวแต่ขยายตวั ได้นอ้ ยกว่าของเหลวและแก๊ส) 4.ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายจากแนวคาตอบของนกั เรียนเพือ่ เชื่อมโยงไปสกู่ ารเรียนรเู้ ร่อื งผลของความร้อน ต่อการเปลี่ยนแปลงอณุ หภมู ขิ องสาร ข้นั สอน สารวจคน้ หา (Explore) 1.ครูใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่มออกเปน็ กลุ่มละเท่าๆกันใหแ้ ต่ละกลุ่มวางแผนและแบ่งหน้าทีค่ ้นคว้าความรู้ เรอ่ื ง การขยายตวั หรอื หดตวั ของสารจากหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้า6-7หรอื จากแหล่งการเรียนรทู้ าง อินเทอรเ์ น็ตและเอกสารต่างๆทีเ่ กีย่ วข้อง 2.นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มระดมความคิดแล้วสรุปข้อมลู เป็นความรู้ของกลุ่ม

อธิบายความรู้ (Explain) 1.นักเรียนแต่ละกลุ่มผลัดกนั เล่าเรอ่ื งที่ตนได้ศกึ ษามาใหส้ มาชิกในกลุ่มฟัง 2.นักเรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนออกมานาเสนอผลการสบื ค้นข้อมูลหน้าช้ันเรียน 3.ครูและนักเรียนร่วมกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยใช้แนวคาถามเช่น -การขยายตวั ของวตั ถทุ ีไ่ ด้รับความร้อนแบ่งไดเ้ ปน็ กี่แบบอย่างไรบ้าง (แนวตอบ มี 3แบบ คือ1.การขยายตัวเชิงเส้น2.การขยายตัวเชิงพืน้ ที่ 3.การชยายตวั เชิง ปริมาตร) -การขยายตวั หรือหดตวั ของวตั ถทุ ีไ่ ด้รับความร้อนนาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง (แนวตอบ การวางรางรถไฟ การเว้นรอยต่อของสะพาน การขึงสายไฟ เป็นต้น) 4.ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรปุ ผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม ชว่ั โมงท่ี 2 ขน้ั สอน สารวจคน้ หา (Explore) 1.ครูใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่มออกเปน็ กลุ่มละ4-5คนเพอื่ ทากิจกรรมเรอ่ื งการขยายตัวของสาร ในหนังสือ เรียนวิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้า9 แล้วบนั ทึกผลและตอบคาถามท้ายกิจกรรมในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครสู ุ่มตัวแทนนกั เรียนแตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอผลจากกิจกรรม 2.ครูและนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายผลทีจ่ ากการทากิจกรรม 3.ครูใหน้ ักเรียนตอบคาถามทา้ ยกิจกรรมและเฉลยคาตอบ ดงั นี้ -เม่อื ใหค้ วามร้อนโดยการนาขวดรปู ชมพู่ท้ัง2ใบไปแช่นา้ ร้อน ระดบั น้าและขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลาง ลกู โป่งมกี ารเปลี่ยนแปลงอย่างไร (แนวตอบ ระดบั น้าเพิ่มขึน้ และขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางเพิม่ ขนึ้ ) - ความร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาตรของของเหลวและแก๊สอย่างไร (แนวตอบ ส่งผลใหป้ ริมาตรของของเหลวขยายตวั และส่งผลใหป้ ริมาตรของแก๊สขยายตวั ดว้ ย) -นกั เรียนคิดว่าสารในสถานะใดทีส่ ามารถขยายตัวได้ดีกว่ากนั ระหว่างของแข็งของเหลวและแก๊ส เพราะเหตุใด (แนวตอบ แกส๊ ของเหลวของแขง็ ตามลาดับ เน่อื งจากแรงดึงดดู ระหว่างโมเลกลุ ของแกส๊ น้อย กว่าของเหลวและของแขง็ )

ข้ันสอน ชว่ั โมงท่ี 3 สารวจคน้ หา (Explore) 1.ครูใหน้ ักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ5-6 คนเพือ่ ทากิจกรรมเร่อื งการสร้างแบบจาลองการขยายตวั หรอื หดตวั ของสสารเมอ่ื ได้รบั หรอื สูญเสียความร้อนในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม2หน้าที่ 10 แล้วบันทกึ ผล และตอบคาถามท้ายกิจกรรมในแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ม.1เลม่ 2 อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครูสุ่มตัวแทนนกั เรียนแตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอผลจากกิจกรรม 2.ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายผลที่จากการทากิจกรรม 3.ครูใหน้ กั เรียนตอบคาถามทา้ ยกิจกรรมและเฉลยคาตอบ ดงั นี้ -เม่อื สสารได้รบั หรอื สูญเสยี ความร้อนสสารจะมีการเปลีย่ นแปลงรูปร่างอย่างไร (แนวตอบ หดตวั ) -ลักษณะการขยายตัวของวตั ถเุ ม่อื ได้รบั ความร้อนแบ่งออกเปน็ กีล่ กั ษณะอะไรบ้าง (แนวตอบ 3ลกั ษณะได้แก่ การขยายตวั เชิงเส้นการขยายตัวเชิงพืน้ ที่ และการขยายตัวเชิง ปริมาตร) -ประเมินแบบจาลองของกลุ่มอืน่ ว่าแสดงถึงเน้ือหาทีถ่ กู ต้องและครบถว้ นหรอื ไม่ อย่างไร (แนวตอบ คาตอบของนักเรียนขนึ้ อยู่กับแบบจาลองของนกั เรียนแต่ละกลุ่มโดยการประเมิน ของนักเรียนขึน้ อยู่กบั ดุลยพินจิ ของครผู ู้สอน) ขน้ั สรปุ ขยายความรู้ (Expand) 1.ครูและนักเรยี นร่วมกนั สรปุ เกี่ยวกบั การขยายตัวหรอื หดตวั ของสารและประโยชน์ที่จากการขยายตวั ของวตั ถุ เนือ่ งจากความร้อนโดยอาจร่วมกันสรุปเปน็ แผน่ พบั เร่อื งการขยายตวั ของวตั ถุ 2.ครใู หน้ กั เรยี นทาแบบฝกึ หัดในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2

เร่อื งท่ี 3 เร่อื ง ผลของความร้อนท่มี ีตอ่ การเปลย่ี นแปลงอุณหภูมิของสาร จานวนเวลาเรียน 2 ชว่ั โมง วิธีสอนสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5EsInstructionalModel) ชวั่ โมงท่ี 1 ขั้นนา กระต้นุ ความสนใจ (Engage) 1.ครนู าไอศกรีมมาวางไว้บนจานประมาณ3-5นาที แล้วใหน้ กั เรียนสังเกตถึงความเปลยี่ นแปลงของไอศกรีม ยงั คงเหมอื นเดิมหรอื ไม่ จากนั้นครนู าเทอร์มอมิเตอร์มาใหว้ ัดอณุ หภมู ขิ องไอศกรีมก่อนละลายและเมอ่ื ไอศกรีมละลาย หมดแล้วใหว้ ดั อณุ หภมู อิ ีกครั้งแล้วถามนกั เรยี นว่าอุณหภูมทิ ี่วัดได้ 2ครั้งค่าอุณหภมู แิ ตกต่างกนั หรอื ไม่ อย่างไร 2.ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกบั ความร้อนต่อการเปลี่ยนแปลงของสารดังนี้ -ถ้านาน้าแข็งใส่แก้วตั้งทิง้ ไว้ในหอ้ งจะเป็นอย่างไร (แนวตอบ น้าแขง็ จะเปลยี่ นสถานะเปน็ ของเหลวและมีอณุ หภมู ิเพิ่มขึน้ จนกระทง่ั เท่ากบั อณุ หภูมหิ อ้ ง) -ถ้าต้มน้าเป็นเวลานานจนน้าในภาชนะแหง้ หายไป น้าจะหายไปไหน (แนวตอบ น้าจะระเหยกลายเป็นไอลอยปะปนอยใู่ นอากาศ) -ถ้าจุดเทียนผลทเี่ กิดขึน้ จะเปน็ อย่างไร (แนวตอบเทียนไขซึง่ มีสถานะเปน็ ของแข็งจะเปลยี่ นสถานะเปน็ เทียนเหลวซึง่ มีสถานะเป็น ของเหลว) 3.นกั เรียนช่วยกันอภปิ รายและแสดงความคิดเห็นเพือ่ เชื่อมโยงไปสกู่ ารเรียนรเู้ ร่อื งผลของความร้อนต่อการ เปลี่ยนแปลงอณุ หภูมแิ ละสถานะของสาร ขน้ั สอน อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครถู ามคาถามทบทวนความรู้เดิมของนกั เรยี นว่าปริมาณความร้อนที่ทาใหส้ ารเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ขิ นึ้ อยู่ กับปจั จัยใดบ้าง (แนวตอบ มวลความร้อนจาเพาะและอณุ หภมู ทิ ีเ่ ปลีย่ นแปลง) 2.ครูเขียนสมการคานวณหาปริมาณความร้อนทีท่ าใหส้ ารเปลี่ยนแปลงอณุ หภมู บิ นกระดาน Q = mcΔt จากนั้น ครูอธิบายความหมายของตวั แปรและหน่วยของตัวแปรทใี่ ช้คานวณ

3.ครยู กตวั อย่างโจทย์การคานวณหาปริมาณความร้อนที่ทาใหส้ ารเปลี่ยนแปลงอณุ หภูมิ ในหนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้า11 ขน้ั สรุป ขยายความรู้ (Expand) 1.ครใู หน้ ักเรียนทาแบบฝกึ หดั ในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 ชว่ั โมงท่ี 2 ขน้ั สอน สารวจค้นหา (Explore) 1.ครใู หน้ ักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ4-5คนทากิจกรรมแล้วใหต้ วั แทนกลุ่มออกมารบั ใบงานที่ 4.3 เรอ่ื งน้าเปลยี่ นสถานะ 2.ครใู หแ้ ต่ละกลุ่มศกึ ษาข้ันตอนการทากิจกรรมในใบงานที่ 4.3เรอ่ื งน้าเปลีย่ นสถานะแล้วใหส้ มาชิกภายใน กลุ่มวางแผนแบ่งหน้าทีใ่ นการทากิจกรรมจากนั้นครูใหแ้ ต่ละกลุ่มบันทกึ ผลและตอบคาถามท้ายกิจกรรมลงในใบงาน ขน้ั สรปุ ตรวจสอบผล (Evaluate) 1.ครูตรวจแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ในแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 2.ครตู รวจใบงานที่ 4.3เรอ่ื งน้าเปลีย่ นสถานะ 3.ครูประเมินนักเรียนจากการทาใบงานโดยใช้แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายกลุ่ม 4.ครปู ระเมินการนาเสนอใบงานโดยใช้แบบประเมินการนาเสนอผลงาน 5.ครปู ระเมินนักเรียนจากการสืบค้นข้อมลู และการตอบคาถามในชั้นเรียนโดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทางานรายบคุ คล

เร่อื งท่ี 4 เรอ่ื ง ผลของความร้อนท่มี ีตอ่ การเปลย่ี นสถานะของสาร จานวนเวลาเรยี น 2 ชั่วโมง วิธีสอนสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5EsInstructionalModel) ชวั่ โมงท่ี 1 ข้ันนา กระตุน้ ความสนใจ (Engage) 1.ครถู ามคาถามprior knowledge กระตุ้นความคิดของนกั เรียนว่าวัตถุสองสิง่ ทีม่ คี วามร้อนแตกต่างกันเม่อื สมั ผสั จะมีการเปลี่ยนแปลงความร้อนอย่างไร (แนวตอบ วตั ถทุ ี่มคี วามร้อนแตกต่างกนั จะเกิดการถ่ายโอนความร้อนจากวัตถุที่มอี ณุ หภูมสิ ูงกว่าไปยงั วตั ถทุ ีม่ ี อณุ หภูมติ ่ากว่าจนกระทัง่ วัตถุท้ังสองมีอณุ หภมู เิ ท่ากัน) 2.ครสู นทนากับนักเรียนเกี่ยวกบั สมดุลความร้อนในชีวติ ประจาวันโดยใช้แนวคาถามดงั นี้ -นกั เรียนคิดว่ามีเหตกุ ารณ์ในชีวติ ประจาอะไรบ้างงที่เกยี่ วข้องกบั สมดลุ ความร้อน (แนวตอบการละลายของน้าแขง็ ในน้าการปลอ่ ยอาหารใหเ้ ย็นลงการผสมน้าทีม่ อี ณุ หภูมิ ต่างกนั เปน็ ต้น) - สมดุลความร้อน คืออะไร (แนวตอบ สมดลุ ความร้อนคือพลงั งานความร้อนที่ถ่ายโอนระหว่างสองบริเวณจนมีอณุ หภมู เิ ท่ากัน) 3.นกั เรียนช่วยกันอภปิ รายและแสดงความคิดเหน็ เพือ่ เชื่อมโยงไปสกู่ ารเรียนรเู้ ร่อื งผลของความร้อนต่อการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมแิ ละสถานะของสาร ข้นั สอน สารวจค้นหา (Explore) 1.ครูใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละเท่าๆกันแลว้ ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มวางแผนและแบ่งหน้าทคี่ ้นคว้าความรู้ เร่อื ง สมดุลความร้อนจากหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้า14-15และแหล่งการเรียนรู้ทางอินเทอร์เนต็ หรอื เอกสารต่างๆ ที่เกยี่ วข้อง 2.ครใู หน้ ักเรยี นแต่ละกลุ่มระดมความคิดแล้วออกแบบการทดลองเกยี่ วกบั เรอ่ื งสมดลุ ความรอ้ น ลงในสมุด บันทึกโดยมีหวั ข้อดังนี้ • ชื่อการทดลอง •ปญั หา • สมมติฐาน

• อุปกรณ์ • วิธีการทดลอง •อภปิ รายผลการทดลอง อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครูสุ่มตวั แทนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอหัวข้อทีแ่ ต่ละกลุ่มจะทดลองเกี่ยวกบั สมดุลความร้อนโดยใหน้ ักเรียน นาเสนอปัญหาสมมตฐิ าน และอุปกรณใ์ นการทดลอง 2.ครพู ิจารณาหัวข้อของแต่ละกลุ่มว่าสามารถทาการทดลองได้หรอื ไม่ จากน้ันมอบหมายใหแ้ ต่ละกลุ่มวางแผน และแบ่งหน้าทีใ่ นการทาการทดลองหน้าชั้นเรียนในช่ัวโมงถัดไปภายใน 15นาที ชวั่ โมงท่ี 2 ขัน้ สอน อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครูใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มออกมาทาการทดลองหน้าชั้นเรียนโดยสมาชิกทกุ คนภายในกลุ่มตอ้ งมีบทบาทและ หน้าที่ ดังนี้ -อธิบายชื่อการทดลองสมมตฐิ านอปุ กรณก์ ารทดลองวิธกี ารทดลง - แสดงขั้นตอนการทดลอง -อภปิ รายและสรุปผลการทดลอง 2.ครูใหน้ ักเรยี นบันทกึ ผลการทดลองของกลุ่มตนเองและเพื่อนกลุ่มอืน่ ลงในสมุด ขั้นสรปุ ขยายความเข้าใจ (Expand) 1.ครูเขียนโจทย์การคานวณเกยี่ วกบั สมดลุ คามร้อนบนกระดาน แล้วใหน้ กั เรยี นแสดงวธิ ีทาลงในสมดุ 2.ครใู หน้ ักเรยี นทาแบบฝกึ หัดในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 ตรวจสอบผล (Evaluate) 1.ครตู รวจแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ในแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 2.ครูประเมินนกั เรียนจากการทาใบงานโดยใช้แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายกลุ่ม 3.ครปู ระเมินนักเรียนจากการสืบค้นข้อมูลและการตอบคาถามในช้ันเรียนโดยใช้แบบสงั เกตพฤติกรรมการ ทางานรายบคุ คล

เร่อื งท่ี 5 เรอ่ื ง การถ่ายโอนความร้อน : การนาความร้อน จานวนเวลาเรียน 5 ชว่ั โมง วิธีสอนสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5EsInstructionalModel) ช่ัวโมงท่ี 1 ข้นั นา กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1.ครถู ามคาถามpriorknowledgeกระตุ้นความคิดของนกั เรียนวา่ วตั ถุสามารถถ่ายโอนความร้อนใหแ้ ก่กนั ได้ อย่างไร (แนวตอบ วัตถสุ ามารถถ่ายโอนความร้อนใหแ้ ก่กันโดยการถ่ายโอนความร้อนผา่ นตัวกลางซึง่ ตวั กลาง อาจเคลือ่ นที่หรอื ไม่เคลอื่ นที่ อาจถ่ายโอนความร้อนโดยไม่อาศัยตวั กลางโดยการแผร่ ังสีความร้อน) 2.ครสู นทนาและถามคาถามนกั เรียนเกยี่ วกบั การถ่ายโอนความร้อนดังนี้ -เพราะเหตใุ ดเราจงึ รู้สกึ ร้อนขณะทีถ่ ูกแสงแดดจากดวงอาทิตย์ (แนวตอบ ดวงอาทิตย์แผร่ ังสีความร้อนมายงั โลกทาใหค้ นบนโลกได้รบั พลังงานความร้อน) -เพราะเหตใุ ดทพั พีตกั อาหารทาจากวสั ดตุ ่างชนิดกนั เช่นพลาสติกไม้ เป็นต้นทาใหข้ ณะทตี่ ักอาหาร รู้สกึ ว่าทัพพีรอ้ นไมเ่ ท่ากนั (แนวตอบ ทพั พีตักอาหารบรเิ วณช้อนตักทาด้วยโลหะมีสมบตั นิ าความร้อนได้ ส่วน ด้ามจบั ถูก ออกแบบมาใหใ้ ช้วัสดทุ ีม่ สี มบตั ิเปน็ ฉนวนกันความร้อนเช่นพลาสติกไม้ เป็นต้น) -เพราะเหตุใดเวลาเปิดฝาหม้อน้าที่กาลังเดือดเราจงึ รู้สกึ ร้อน (แนวตอบไอน้าเดือดที่ระเหยจากหม้อเกิดการพาความร้อนทาใหเ้ ราได้รบั พลังงานความร้อน) 3.นกั เรียนช่วยกนั อภปิ รายและแสดงความคิดเห็นเพื่อเชือ่ มโยงไปสกู่ ารเรียนรู้ จากน้ันครูจงึ สรุปเหตุการณ์ท้ัง 3ตวั อย่างว่าเปน็ เหตกุ ารณ์ทเี่ กิดขึน้ เนื่องจากสารมีการถ่ายโอนความร้อน ขนั้ สอน สารวจค้นหา (Explore) 1.ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษาประเภทของการถ่ายโอนความร้อนจากหนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.1เลม่ 2หน้า16- 17 2.ครใู หน้ ักเรยี นแบ่งกลุ่มออกเปน็ กลุ่มละ3-4คนและแบ่งหน้าทีเ่ พือ่ ทากิจกรรมเรอ่ื งการสร้างแบบจาลอง การถ่ายโอนความร้อนในหนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้าที่ 18 3.ครใู หน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มทากิจกรรมและตอบคาถามท้ายกจิ กรรมลงในแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ม.1เล่ม2

ชว่ั โมงท่ี 2 ขัน้ สอน อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครใู หน้ ักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลงานด้วยการส่งตัวแทนกลุ่มละ2-3คนนาเสนอผลการทากิจกรรมเร่อื ง การสร้างแบบจาลองการถ่ายโอนความร้อน 2.ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายผลทีไ่ ด้จากการทากิจกรรม 3.ครูใหแ้ ต่ละกลุ่มเสนอคาตอบท้ายกิจกรรมและครเู ฉลยคาตอบ ดังนี้ -การถ่ายโอนความร้อนแต่ละประเภทมีลกั ษณะอย่างไร (แนวตอบการนาความร้อนเปน็ การถ่ายโอนความร้อนผา่ นตัวกลางทีไ่ ม่เคลอื่ นที่ การพาความ ร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนผา่ นตวั กลางที่เคลื่อนที่ การแผร่ ังสีความร้อนเป็นการถ่ายโอน ความ ร้อนโดยไม่อาศัยตัวกลาง) -การถ่ายโอนความร้อนแต่ละประเภทมีตวั กลางสถานะใดที่ถ่ายโอนความร้อนได้ดีทีส่ ุด (แนวตอบการนาความร้อนตัวกลางที่เปน็ ของแขง็ จะสามารถนาความร้อนได้ดีที่สดุ การพาความร้อนตวั กลางทเี่ ปน็ แก๊สจะสามารถพาความร้อนไดด้ ีทีส่ ุด) -ประเมินแบบจาลองของกลุ่มอื่นว่าแสดงถึงเน้ือหาทีถ่ กู ต้องและครบถว้ นหรอื ไม่ อย่างไร (แนวตอบ คาตอบขึน้ อยู่กบั แบบจาลองของนกั เรียนและดลุ ยพนิ ิจของนกั เรียนและคร)ู ชวั่ โมงท่ี 3 ข้นั สอน อธิบายความรู้ (Explain) 1.นักเรียนแต่ละกลุ่มผลดั กนั เล่าเรอ่ื งทีต่ นได้ศกึ ษามาใหส้ มาชิกในกลุ่มฟงั 2.นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนออกมานาเสนอผลการสบื ค้นข้อมูลหน้าชั้นเรียน 3.ครูและนักเรียนร่วมกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมโดยใช้แนวคาถามเช่น -นักเรียนจะรู้สกึ ร้อนเมอ่ื จับแก้วน้าร้อนเพราะสาเหตใุ ด (แนวตอบเนือ่ งจากน้าร้อนมีการถ่ายโอนพลงั งานความร้อนจากน้าผา่ นตัวกลางหรอื ภาชนะที่ บรรจุ (แกว้ น้า) มายังมอื ของเรา)

-การถ่ายโอนความร้อนผา่ นตัวกลางมีหลักการอย่างไร (แนวตอบ อาศยั หลกั การสน่ั ของอะตอมหรอื โมเลกุลเม่อื ได้รบั ความร้อนทาใหอ้ ะตอมหรอื โมเลกุลที่อยู่ข้างเคียงเกิดการสนั่ ด้วยซึง่ การสั่นจะเกิดขึน้ ต่อเนอื่ งจนไปอะตอมหรอื โมเลกลุ ทอี่ ยู่ติดกับ ตวั กลางน้ัน) -ความสามารถในการนาความร้อนของสารแต่ละชนิดเหมอื นกนั หรอื ไม่ อย่างไร (แนวตอบ ต่างกัน ขึน้ อยู่กบั สารแต่ละชนิดเรียกว่าสภาพการนาความร้อนโดยของแข็งมักน้า ความร้อนได้ดกี ว่าของเหลวและของเหลวนาความร้อนได้ดีกว่าแก๊ส) 4.ครูและนักเรียนร่วมกนั สรปุ ผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม ชวั่ โมงท่ี 4 ขั้นสอน สารวจค้นหา (Explore) 1.ครใู หน้ ักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 3-4คนและแบ่งหน้าทีเ่ พื่อทากิจกรรมเรอ่ื งการนาความร้อนใน หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้า20 2.ครูใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มทากิจกรรม แล้วบนั ทึกผลและตอบคาถามท้ายกิจกรรมลงในแบบฝกึ หัด วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครใู หน้ ักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลงานด้วยการส่งตวั แทนกลุ่มละ 2-3คนนาเสนอผลการทากิจกรรมเรอ่ื ง การนาความร้อน 2.ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายผลที่ได้จากการทากิจกรรม 3.ครูใหแ้ ต่ละกลุ่มเสนอคาตอบท้ายกิจกรรมและครูเฉลยคาตอบ ดงั นี้ -เมอ่ื สงั เกตดินน้ามันบนแท่งวสั ดุแท่งเดียวกันดินน้ามันบริเวณกลางแท่งหรอื ปลายแท่งที่รว่ งก่อนกัน เพราะเหตใุ ด (แนวตอบ ดินน้ามนั บริเวณกลางแท่งเพราะเป็นบริเวณทใี่ กล้กบั แหล่งความร้อนมากกว่า) -เม่อื สงั เกตดินน้ามนั บรเิ วณกลางแท่งวัสดุท้ัง 5แท่งดินน้ามนั ทีต่ ดิ กับวัสดใุ ดที่รว่ งก่อนและดิน น้ามันทีต่ ดิ กบั วสั ดุใดที่ไม่ร่วง (แนวตอบ ดินน้ามนั ทีต่ ดิ กบั ทองแดงจะร่วงก่อนดินน้ามนั ทีต่ ดิ กบั วัสดุอืน่ ส่วนดินน้ามันที่ตดิ กับ ไม้และแก้วจะไม่ร่วง)

ชว่ั โมงท่ี 5 ข้ันสรุป ขยายความรู้ (Expand) 1.ครยู กตวั อย่างวสั ดุทีส่ ามารถนาความร้อนได้ และฉนวนความร้อนโดยอธบิ ายใหน้ ักเรียนเหน็ ภาพว่ากระทะที่ ใช้ประกอบอาหารทาใหอ้ าหารสกุ แต่ทาไมมอื เราจงึ ไม่สกุ ไปด้วย เนือ่ งจากตวั กระทะทาจากโลหะเช่นเหล็ก อะลมู ิเนียม เป็นต้นแต่ดา้ มจบั กระทะมักนยิ มทามาจากวัสดทุ เี่ ป็นฉนวนกนั ความร้อนคือวัสดทุ ไี่ ม่นาความร้อนเช่นพลาสติกยาง ไม้ เปน็ ต้น 2.ครใู หน้ กั เรยี นทาแบบฝกึ หัดในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 ตรวจสอบผล (Evaluate) 1.ครูตรวจแบบฝกึ หัดในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 2.ครปู ระเมินนกั เรียนจากการทางานกลุ่มโดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายกลุ่ม 3.ครปู ระเมินนกั เรียนจากการสืบค้นข้อมูลและการตอบคาถามในชั้นเรียนโดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทางานรายบุคคล

เร่อื งท่ี 6 เร่อื ง การถ่ายโอนความร้อน : การพาความร้อน จานวนเวลาเรียน 5 ชวั่ โมง วิธีสอนสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5EsInstructionalModel) ช่ัวโมงท่ี 1 ขัน้ นา กระตุน้ ความสนใจ (Engage) 1.ครสู นทนากบั นักเรียนเกี่ยวกบั การพาความร้อนของสารดังนี้ -นกั เรียนมีวธิ ีระบายอากาศร้อนในหอ้ งอย่างไร (แนวตอบเปิดหน้าต่างเพื่อระบายความร้อนหรอื พาความร้อนออกจากหอ้ งหรอื เปิด เครอ่ื งปรบั อากาศเพือ่ ใหอ้ ากาศเย็นมาแทนที่อากาศร้อน) -ของเหลวและแก๊สสามารถถ่ายโอนความร้อนด้วยวิธใี ด (แนวตอบ การพาความร้อน) 2.นักเรียนช่วยกันอภปิ รายและแสดงความคิดเห็นเพือ่ เชื่อมโยงไปสกู่ ารเรียนรู้ เร่อื งการพาความร้อน ขน้ั สอน สารวจค้นหา (Explore) 1.แบ่งนักเรยี นเปน็ กลุ่มกลุ่มละเท่าๆกันใหแ้ ต่ละกลุ่มวางแผนและแบ่งหน้าทีค่ ้นคว้าความรู้ เร่อื ง การพา ความร้อนจากหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้า21และแหล่งการเรียนรทู้ างอินเทอร์เนต็ หรอื เอกสารต่างๆ ที่ เกี่ยวขอ้ ง 2.นักเรียนแตล่ ะกลุ่มระดมความคิดแล้วสรปุ ข้อมูลเปน็ ความรู้ของกลุ่ม ชว่ั โมงท่ี 2 ข้ันสอน อธิบายความรู้ (Explain) 1.นักเรียนแต่ละกลุ่มผลัดกันเล่าเรอ่ื งทีต่ นได้ศกึ ษามาใหส้ มาชิกในกลุ่มฟงั 2.นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนออกมานาเสนอผลการสบื ค้นข้อมูลหน้าช้ันเรียน 3.ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบัติกิจกรรมโดยใช้แนวคาถามเช่น -การพาความร้อนเปน็ การถ่ายโอนความร้อนแบบใด

(แนวตอบเปน็ การถ่ายโอนความร้อนโดยอาศยั ตวั กลาง) -การพาความร้อนในตัวกลางทตี่ ่างชนิดกนั มีผลอย่างไร (แนวตอบ มีผลทาใหร้ ู้สกึ ร้อนเรว็ และช้าต่างกันซึ่งตัวกลางทีเ่ ปน็ แก๊สจะพาความร้อนได้ดีกว่า ตัวกลางที่มสี ถานะเป็นของเหลว) -จงยกตวั อย่างการพาความร้อนในธรรมชาติ (แนวตอบการเกิดกระแสลมการเกิดลมบก-ลมทะเลเปน็ ต้น) -การเกิดกระแสลมแบบต่างๆเกี่ยวข้องกบั การพาความร้อนหรอื ไม่ อย่างไร (แนวตอบเกีย่ วข้องเนือ่ งจากบริเวณที่มอี ากาศร้อนอากาศจะขยายตัวและมีความหนาแน่นน้อยกว่า บริเวณข้างเคยี งอากาศจงึ ลอยตัวสูงขึน้ ขณะเดียวกันบรเิ วณที่มอี ากาศเย็นอากาศจะมีความหนาแน่น มากกว่าจงึ เคลื่อนทีเ่ ข้ามาแทนที่บริเวณที่มอี ากาศร้อน) 4.ครูและนกั เรียนร่วมกันสรปุ ผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม ชวั่ โมงท่ี 3 ขน้ั สอน สารวจค้นหา (Explore) 1.ครใู หน้ ักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 3-4คนทากิจกรรมเรอ่ื งการพาความร้อนในหนงั สือเรียน วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้า21 2.ครใู หน้ ักเรยี นแต่ละกลุ่มทากิจกรรมแล้วบนั ทึกผลและตอบคาถามท้ายกิจกรรมลงในแบบฝกึ หัด วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครูใหน้ ักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลงานด้วยการส่งตวั แทนกลุ่มละ2-3คนนาเสนอผลการทากิจกรรมเร่อื ง การพาความร้อน 2.ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายผลทีไ่ ด้จากการทากิจกรรม 3.ครใู หแ้ ต่ละกลุ่มเสนอคาตอบท้ายกิจกรรมและครเู ฉลยคาตอบ ดังนี้ -สีผสมอาหารสีใดทีเ่ ปรียบเสมอื นเปน็ น้าร้อนและสีผสมอาหารใดทเี่ ปรยี บเสมอื นเปน็ น้าเย็น (แนวตอบ สีแดงเปรยี บเสมอื นนา้ ร้อนส่วนสีนา้ เงนิ เปรียบเสมอื นน้าเยน็ ) -เมอ่ื นาแก้วใส่นา้ ร้อนไปวางไวใ้ ต้ถาดบริเวณตรงกลางของถาดสีผสมอาหารสีแดงและสีนา้ เงนิ มีการ เคลือ่ นทอี่ ย่างไร (แนวตอบ สีแดงจะเคลื่อนที่จากก้นถาดลอยขึน้ ไปบนผวิ น้าส่วนสีนา้ เงนิ จะเคลื่อนทีเ่ ข้ามาตรง กลางถาด)

ขนั้ สรุป ขยายความรู้ (Expand) 1.ครูใหน้ กั เรียนทาแบบฝกึ หดั ในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 ตรวจสอบผล (Evaluate) 1.ครูตรวจแบบฝกึ หดั ในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม 2 2.ครูประเมินนกั เรียนจากการทางานกลุ่มโดยใช้แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายกลุ่ม 3.ครูประเมินนกั เรียนจากการสืบค้นข้อมลู และการตอบคาถามในชั้นเรียนโดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทางานรายบคุ คล

เร่อื งท่ี 7 เร่อื ง การถ่ายโอนความร้อน : การแผ่รงั สคี วามร้อน จานวนเวลาเรียน 5 ชว่ั โมง วิธีสอนสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5EsInstructionalModel) ชั่วโมงท่ี 1 ขั้นนา กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1.ครูสนทนากบั นกั เรียนเกี่ยวกบั การแผร่ งั สีความร้อนเช่น -นกั เรียนคิดว่าดวงอาทิตย์อยหู่ า่ งจากโลกของเรามากแลว้ ทาไมนกั เรยี นยงั รู้สกึ ร้อน (แนวตอบ ดวงอาทิตย์แผร่ ังสีความร้อนมายงั โลก) -เมอ่ื นักเรียนนาอาหารไปอุ่นดว้ ยเตาไมโครเวฟอาหารจะสกุ ด้วยความร้อนโดยวธิ ีใด (แนวตอบใช้หลกั การแผร่ งั สีความร้อนโดยปล่อยคลืน่ ไมโครเวฟผา่ นเข้าไปในอาหารทาให้ โมเลกุลของน้าในอาหารสัน่ ส่งผลใหอ้ ณุ หภมู อิ าหารสูงขนึ้ อย่างรวดเร็ว) 2.นกั เรียนช่วยกนั อภปิ รายและแสดงความคิดเหน็ เพือ่ เชือ่ มโยงไปสกู่ ารเรียนรู้ เรอ่ื งการแผร่ งั สีความร้อน ข้ันสอน สารวจค้นหา (Explore) 1.แบ่งนกั เรยี นเปน็ กลุ่มกลุ่มละเท่าๆกันใหแ้ ต่ละกลุ่มวางแผนและแบ่งหน้าที่ค้นคว้าความรู้ เร่อื ง การแผร่ งั สี ความร้อนจากหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2หน้า23และแหล่งการเรียนรทู้ างอินเทอร์เน็ตหรอื เอกสารต่างๆ ที่ เกี่ยวขอ้ ง 2.นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มระดมความคิดแล้วสรุปข้อมูลเปน็ ความรู้ของกลุ่ม อธิบายความรู้ (Explain) 1.นักเรียนแต่ละกลุ่มผลดั กันเล่าเร่อื งที่ตนได้ศกึ ษามาใหส้ มาชิกในกลุ่มฟงั 2.นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนออกมานาเสนอผลการสบื ค้นข้อมลู หน้าช้ันเรียน 3.ครแู ละนักเรียนร่วมกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบัติกิจกรรมโดยใช้แนวคาถามดงั นี้ -การแผร่ ังสีความร้อนเปน็ การถ่ายโอนความร้อนแบบใด (แนวตอบเปน็ การถ่ายโอนความร้อนแบบไม่อาศัยตวั กลาง) -จงยกตวั อย่างการแผร่ งั สีความร้อนในธรรมชาติ (แนวตอบ ดวงอาทิตย์แผร่ งั สีความร้อนมายงั โลก) 4.ครูและนกั เรียนร่วมกันสรปุ ผลจากการปฏิบัติกิจกรรม

ข้นั สอน ชวั่ โมงท่ี 2 สารวจค้นหา (Explore) 1.ครใู หน้ ักเรียนแบ่งกลุ่มทากจิ กรรมเร่อื งการแผร่ ังสีความร้อนโดยครูนาผา้ สีดาสีขาวและวตั ถุที่มพี ืน้ ผวิ เรียบมนั และขรขุ ระไม่มันไปวางกลางแดดหรอื ใช้ความร้อนจากหลอดไฟแล้วใหน้ กั เรียนนามอื ท้ังสองข้างไปวางบนผา้ สีดา สีขาวและวัตถทุ ้ังสองชนิด 2.ครใู หน้ ักเรยี นเปรียบเทยี บความเหมอื นหรอื แตกต่างกันหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด อธิบายความรู้ (Explain) 1.ครูสุ่มตัวแทนกลุ่มนักเรียนออกมานาเสนอผลทีไ่ ด้จากการทากิจกรรม 2.ครเู พิ่มเติมและแก้ไขข้อมลู การนาเสนอของตวั แทนกลุ่มใหถ้ กู ต้อง ขน้ั สรปุ ขยายความรู้ (expand) 1.ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรปุ เกี่ยวกบั การถ่ายโอนความร้อนโดยสรุปเขียนเปน็ แผนผงั มโนทัศน์ เร่อื งการถ่าย โอนความร้อน 2.ครใู หน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียน 3.ครใู หน้ ักเรียนทาแบบฝกึ หัดในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 ตรวจสอบผล (Evaluate) 1.ครูตรวจแบบทดสอบหลงั เรียน 2.ครตู รวจแบบฝกึ หัดในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ม.1เล่ม2 3.ครูประเมินผังมโนทัศน์ เรอ่ื งการถ่ายโอนความร้อนโดยใช้แบบประเมินชิน้ งาน/ภาระงานรวบยอด 4.ครูประเมินนกั เรียนจากการสืบค้นข้อมูลและการตอบคาถามในหอ้ งเรียนโดยใช้แบบสงั เกตพฤติกรรมการ ทางานรายบุคคล 5.ครูประเมินนกั เรียนจากการทางานกลุ่มโดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายกลุ่ม 14.แหลง่ เรยี นรู้ 1) หอ้ งเรียน 2) หอ้ งปฏิบตั กิ าร

บนั ทึกการนิเทศจากฝ่ายบริหาร(ส่งก่อนจัดการเรียนรู้ 1 สัปดาห)์ ความเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้  เหน็ ควรอนุญาตให้ใชป้ ระกอบการจดั การเรียนรู้ได้ โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม คือ ……………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………………………  ไม่เห็นควรอนญุ าตให้ใช้ประกอบการจัดการเรยี นรู้ เพราะ ……………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ลงชื่อ......................................................... (นางสาวภทั ริยา โพธิศ์ รีคุณ) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ............/......................../.............. ความเหน็ ผบู้ ริหาร/ผทู้ ี่ได้รับมอบหมาย  อนุญาตให้ใช้ประกอบการจัดการเรยี นรู้ได้ โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมคือ ……………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………………………  ไม่อนญุ าตใหใ้ ช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ เพราะ ……………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ………………………………………………………………..…………………………………………………………………………..………………………… ลงชือ่ ......................................................... ( นายเถลิงศกั ดิ์ เถาว์โท ) ผชู้ ่วยผอู้ านวยการฝา่ ยบริหารวิชาการ ............/......................../............


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook