ชื่อหนงั สอื ภาษา : มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรมของชาติ จัดทำ�โดย กรมส่งเสรมิ วัฒนธรรม จ�ำ นวนหนา้ ๙๖ หน้า พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๑/๒๕๕๙ จำ�นวน ๑,๐๐๐ เล่ม พมิ พ์เม่ือ มนี าคม ๒๕๕๙ ISBN 978-616-543-381-5 จดั พิมพโ์ ดย สำ�นกั งานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะหท์ หารผา่ นศกึ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ภาพปก “ภาษาเขมรถ่ินไทย” สถาบนั วิจยั และวัฒนธรรมเอเซยี มหาวทิ ยาลัยมหิดล
สาร รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อเนื่องมายาวนานประเทศหนึ่ง ในโลก ความร่ํารวยและงดงามท้ังทางด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติเป็นเสน่ห์ทำ�ให้ประเทศไทยเป็นท่ีกล่าวขาน มาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงมรดกภูมิปัญญาของคนไทยท่ีได้สร้างสรรค์ ถ่ายทอดมารุ่นต่อรุ่น ทั้งทจี่ บั ตอ้ งได้ อันไดแ้ ก่ ผลงานดา้ นสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประตมิ ากรรม และทจ่ี บั ตอ้ งไมไ่ ด้อนั ไดแ้ ก่ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทักษะ ในสาขาตา่ ง ๆ จนสามารถผลิตผลงานชนั้ เลศิ ที่ไม่มใี ครเสมอเหมือน เช่น ดนตรี การแสดง ผา้ ทอ เครอ่ื งจกั สาน นทิ าน ตำ�รา นอกจากนย้ี ังมปี ระเพณี กีฬา การเล่นพื้นบา้ น อาหาร การแพทยพ์ นื้ บา้ น ภาษา ฯลฯ ที่หล่อหลอมและสร้างความเปน็ ชาติที่มวี ฒั นธรรมงดงามดังท่เี ปน็ อยู่ในปัจจบุ นั กระทรวงวัฒนธรรม จึงกำ�หนดนโยบายให้ประกาศข้ึนทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ ชาติเพื่อเป็นหลักฐานสำ�คัญของชาติ คงคุณค่าและอัตลักษณ์ไทย เป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลทางวิชาการ และ เป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เกิดความภาคภูมิใจ และร่วมรักษาวัฒนธรรมของตนให้คงอยู่ ในวิถีการดำ�เนินชีวิตของคนไทยต่อไป รวมท้ังเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลด้านการศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำ�รุงศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการนำ�ทุนทางวัฒนธรรมของประเทศมาสร้างคุณค่าทางสังคมและเพ่ิม มูลคา่ ทางเศรษฐกิจ หนงั สอื มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ ซง่ึ รวบรวมองคค์ วามรแู้ ละภมู ปิ ญั ญาดง้ั เดมิ ตามสาขาของมรดก ภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม ท้งั ๗ สาขา ทีไ่ ด้รบั การขึ้นทะเบียนตัง้ แต่ปีพุทธศักราช ๒๕๕๒-๒๕๕๘ จงึ เปน็ ประโยชน์ ในการศึกษา คน้ คว้า ต่อยอดความรู้ในเรื่องภมู ิปัญญาของไทยแขนงตา่ ง ๆ ให้กว้างขวางยงิ่ ขน้ึ (นายวรี ะ โรจนพ์ จนรตั น์) รฐั มนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ก
สาร ปลดั กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมมีภารกิจหนึ่งที่สำ�คัญคือการรักษา สืบทอด วัฒนธรรมของชาติและความหลากหลาย ของวัฒนธรรมท้องถ่ินให้คงอยู่อย่างม่ันคง ในการดำ�เนินงานที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ ภายใต้กระทรวงวัฒนธรรม ไดม้ งุ่ เนน้ การด�ำ เนนิ งานในลกั ษณะการศกึ ษาคน้ ควา้ วจิ ยั การอนรุ กั ษ์ การฟน้ื ฟกู ารพฒั นา การสง่ เสรมิ การถา่ ยทอด และการแลกเปล่ียน จนประสบผลสำ�เร็จในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบ ต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนต่างๆ อย่างรวดเร็วท้ังในด้านที่เสี่ยงต่อการสูญหาย การนำ�มรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไปใช้ในทางที่บิดเบือนหรือไม่เหมาะสมและอาจเป็นเหตุให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เหลา่ น้ันตอ้ งสญู เสยี ซง่ึ คุณคา่ และอัตลักษณ์ไป เป็นตน้ การดำ�เนินงานข้ึนทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติของกระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริม วัฒนธรรม จึงเป็นมาตรการหน่ึงท่ีสำ�คัญให้เยาวชนและประชาชนท่ัวไปตระหนักถึงคุณค่าและเกิดความภาคภูมิใจ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ ซงึ่ นอกจากจะเปน็ การเกบ็ บนั ทกึ องคค์ วามรตู้ า่ งๆไวเ้ ปน็ หลกั ฐานส�ำ คญั ของ ชาตแิ ลว้ ยงั ตอ้ งมกี ารเผยแพรแ่ ละถา่ ยองคค์ วามรเู้ หลา่ นใี้ หแ้ กเ่ ดก็ และเยาวชนไดท้ ราบถงึ สาระส�ำ คญั อนั เปน็ แกน่ แท้ อย่างจริงจงั รวมถึงสามารถน�ำ ไปพฒั นาต่อยอดอยา่ งสรา้ งสรรคไ์ ด้ อันจะเป็นหนทางหนึ่งในการปกปอ้ งคุ้มครองให้ มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมคงอย่ตู ่อไปอยา่ งเหมาะสมกบั ยคุ สมัย การจัดพิมพ์หนังสือชุด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติคร้ังนี้ เป็นการรวมมรดกภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรมของชาตทิ ่ไี ด้รับการข้นึ ทะเบียนแล้วตดิ ตอ่ กัน เป็นเวลา ๗ ปี รวมท้ังสิน้ ๓๑๘ รายการ เพอื่ เผยแพร่แก่ สถานศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชมุ ชน และประชาชนทวั่ ไป กระทรวงวัฒนธรรม จงึ หวงั เปน็ อย่างยงิ่ ว่า หนังสือมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ทั้ง ๗ เล่มน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยทุกคนในการส่งเสริมและ สืบสานมรดกวัฒนธรรมของชาตใิ หค้ งอยู่ต่อไป (ศาสตราจารย์อภินนั ท์ โปษยานนท)์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ช
ค�ำ นยิ ม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะหน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีส่งเสริมและดำ�เนินงานการปกป้อง คมุ้ ครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทั้งในระดับท้องถนิ่ ระดบั ชาติ และระดับนานาชาติ ไดร้ ิเริ่มการขึน้ ทะเบยี น มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมของชาติคร้ังแรกในปี พ.ศ.๒๕๕๒ โดยเร่ิมจากสาขาศลิ ปะการแสดงและงานช่างฝมี อื ด้งั เดมิ สว่ นสาขาวรรณกรรมพ้ืนบา้ นและสาขากฬี าภมู ปิ ัญญาไทยเรม่ิ ดำ�เนินการขน้ึ ทะเบียน ตัง้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๓ สาขาแนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คมพธิ กี รรมและงานเทศกาล และสาขาความรแู้ ละแนวปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล เรมิ่ ดำ�เนินการขึน้ ทะเบยี น ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๔ และสาขาภาษาไดด้ �ำ เนินการขึ้นทะเบียน ต้งั แตป่ ี พ.ศ.๒๕๕๕ การจัดพิมพ์หนังสือชุด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติคร้ังน้ี เป็นการรวบรวมมรดกภูมิปัญญา ทางวฒั นธรรมของชาตทิ ไี่ ดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นแลว้ โดยหนงั สอื “ภาษา : มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาต”ิ เป็น ๑ ใน ๗ เล่มชุดหนังสือมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ในการนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรมขอขอบคุณ ศาสตราจารย์สุวิไล เปรมศรีรัตน์ ประธานกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขาภาษาและ กรรมการผ้ทู รงคุณวฒุ ฯิ ทกุ ท่านที่ไดพ้ ิจารณาคัดเลือกมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมอนั ทรงคุณคา่ ของไทย รวมทั้ง ขอขอบคณุ ผเู้ รยี บเรยี งเนอื้ หาสาระของมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมดา้ นภาษาทกุ ทา่ นทไ่ี ดป้ ระมวลองคค์ วามรเู้ พอ่ื ประโยชนต์ อ่ ประชาชนและประเทศชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะเพ่ิมพูนความรู้ให้แก่ผู้ท่ีสนใจและกระตุ้นให้เกิด ความตระหนักถึงความสำ�คัญและความภาคภูมิใจในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ อันจะมีผลให้เกิดการ ส่งเสริมและรักษามรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรมของชาติ ให้ด�ำ รงอยู่คกู่ บั ชาติไทยสืบไป (นางพิมพ์รวี วัฒนวรางกูร) อธิบดกี รมส่งเสริมวฒั นธรรม ค
คำ�น�ำ ภาษาเป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำ�คัญที่สุดอย่างหนึ่งของแต่ละกลุ่มชน นอกจากจะใช้ในการส่ือสาร ท่ัวไปแล้ว ภาษายังเป็นแหล่งรวมของภูมิปัญญาหรือองค์ความรู้ในการจัดการกับส่ิงแวดล้อมและการดำ�รงชีวิตของ แต่ละกลุ่มชนท่ีต่อเนื่องกันนานนับพันปี อย่างไรก็ตามในยุคของการเปล่ียนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ภาษาของกลมุ่ ชนตา่ ง ๆ อยใู่ นภาวะถดถอยและจ�ำ นวนมากอย่ใู นภาวะวกิ ฤตใกลส้ ญู อนั เนื่องมาจากยุคโลกาภวิ ตั น์ การส่ือสารท่ีทรงพลัง สามารถเข้าถึงครัวเรือนแม้ในที่ห่างไกล รวมทั้งอิทธิพลทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในยุคโลกาภิวัฒน์ก็ล้วนทำ�ให้ภาษาของกลุ่มชนท้ังกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ท่ีไม่มีพลังทางทางการเมืองและสังคม ต่างอยู่ในภาวะถดถอย ปรากฏการณ์นี้เห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะกว่า ๒๐ ปีท่ีผ่านมา จึงมีการคาดคะเน จากนกั ภาษาศาสตรว์ า่ หากไมม่ กี ารด�ำ เนนิ การอยา่ งไร ภายในศตวรรษนี้ ๖๐% – ๙๐% ของภาษาโลกจะเสอ่ื มสลายไป ซ่ึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการสญู เสียวัฒนธรรมและความรทู้ ้องถ่นิ ของชนกลุ่มตา่ ง ๆ ดว้ ยเหตนุ ี้ ปจั จบุ นั จงึ ไดม้ คี วามพยายามทจี่ ะปกปอ้ งรกั ษาภาษาในหลายระดบั ตง้ั แตร่ ะดบั ทอ้ งถน่ิ ระดบั ชาติ จนถึงระดับนานาชาติ องคก์ รสหประชาชาติ เชน่ UNESCO ได้ยกย่องใหภ้ าษาเปน็ มรดกของมนษุ ยชาติ และมกี าร รณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีการดูแลรักษาภาษาไว้ให้ชนรุ่นหลัง เช่น การเน้นให้มีการนำ�ภาษาไปใช้ในการพัฒนา คุณภาพชีวิตของประชากรในโลก อันเป็นจุดมุ่งหมายของการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millenium Development Goals) ในปี ๒๐๑๕ ดังเชน่ การพฒั นาด้านการศกึ ษา, สิง่ แวดลอ้ ม, ความยากจน เป็นต้น อีกทง้ั การประกาศให้ปี ๒๐๐๘ เปน็ ปีแหง่ ภาษาสากล (International Year of Languages) และการกำ�หนดให้วันท่ี ๒๑ กมุ ภาพันธ์ ของ ทุกปีเป็นวนั แหง่ การเฉลมิ ฉลองวนั ภาษาแมส่ ากล (Mother Language Day) เปน็ ตน้ สำ�หรับในประเทศไทย ชุมชนเจ้าของภาษาชาติพันธ์ุหลายกลุ่มได้มีความพยายามและร่วมมือกับนักวิชาการ เพอ่ื ศกึ ษา อนรุ กั ษ์ พฒั นา และฟนื้ ฟภู าษาทอ้ งถนิ่ ซงึ่ เปน็ ภาษาแมข่ องตน ทงั้ ภาษาพดู และภาษาเขยี น หรอื ภาษามอื ดงั ตวั อยา่ งการด�ำ เนนิ งานของศนู ยศ์ กึ ษาและฟนื้ ฟภู าษาและวฒั นธรรมในภาวะวกิ ฤต สถาบนั วจิ ยั ภาษาและวฒั นธรรม เอเชยี มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล หรอื มลู นธิ เิ พอ่ื การศกึ ษาฟนื้ ฟภู าษาและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เปน็ ตน้ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามชมุ ชน ภาษาตา่ ง ๆ ตอ้ งการก�ำ ลงั ใจและการสนบั สนนุ ทเี่ ปน็ รปู ธรรม เพอ่ื ใหส้ ามารถด�ำ เนนิ การเพอ่ื รกั ษาภาษาและองคค์ วามรู้ ทอ้ งถน่ิ ของตนไว้ได้ การสง่ เสริม สนบั สนุน และการข้ึนทะเบียนภาษาในฐานะที่เป็นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม ของชาติ จงึ เป็นบทบาทของกรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม กระทรวงวฒั นธรรม ทีม่ ีคุณคา่ ทางจติ ใจแก่ชมุ ชนภาษาตา่ ง ๆ เปน็ อย่างย่งิ (ศาสตราจารยเ์ กยี รตคิ ณุ สุวไิ ล เปรมศรีรัตน)์ ประธานกรรมการ ในนามคณะกรรมการผูท้ รงคณุ วุฒิมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม สาขาภาษา ง
สารบญั หน้า ๑ บทน�ำ ๑ ๑ ความหมายของภาษา ๒ ประเภทของภาษา ๓ เกณฑ์การขน้ึ ทะเบียน ๔ ภาษาที่ข้นึ ทะเบียน พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ๘ ๑๑ ภาษาทอ้ งถิ่น ๑๕ ภาษากะซอง ๑๘ ภาษากอฺ๋ ง ๒๒ ภาษากูย/กวย ๒๔ ภาษาเขมรถ่นิ ไทย ๒๗ ภาษาชอง ๓๑ ภาษาชองุ ๓๕ ภาษาซมั เร ๓๘ ภาษาโซ่ (ทะวืง) ๔๑ ภาษาญอ้ ๔๓ ภาษาญฮั กรุ ๔๖ ภาษาตากใบ (เจ๊ะเห) ๔๙ ภาษาไทยโคราช/ไทยเบิง้ ๕๕ ภาษาบซี ู ๕๗ ภาษาผู้ไทย ๖๐ ภาษาพวน ๖๒ ภาษาพเิ ทน ๖๔ ภาษามลาบร ี ภาษามอแกน ภาษามานิ (ซาไก) ภาษาเลอเวือะ จ
สารบญั (ตอ่ ) ภาษาสะกอม หน้า ๖๘ ภาษาแสก ๗๐ ภาษาอมึ ป้ี ๗๒ ภาษาอูรกั ลาโวยจ ๗๔ อกั ษรไทยนอ้ ย ๗๖ อักษรธรรมล้านนา ๗๙ อกั ษรธรรมอสี าน ๘๑ รายการมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ ๘๖ สาขาภาษา (แยกตามปที ข่ี ึ้นทะเบียน) คณะกรรมการผทู้ รงคณุ วุฒิมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม ๘๗ สาขาภาษา คณะท�ำ งาน ๘๘ ฉ
บทนำ� การข้ึนทะเบียนมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม เปน็ สมบตั อิ นั ลา้ํ คา่ ทบ่ี รรพบรุ ษุ ไดส้ รา้ งสรรค์ สงั่ สม และสบื ทอดมาถงึ ลกู หลาน รนุ่ ตอ่ รนุ่ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม หมายถงึ การปฏบิ ตั ิ การเปน็ ตวั แทน การแสดงออก ความรู้ ทกั ษะ ตลอดจน เครอ่ื งมอื วตั ถุ สิ่งประดิษฐ์ และพ้ืนทีท่ างวัฒนธรรมทเ่ี กี่ยวเนื่องกับสงิ่ เหล่านั้น ซึ่งชุมชน กลมุ่ ชน และในบางกรณี ปัจเจกบุคคล ยอมรับว่าเป็นส่วนหน่ึงของมรดกทางวัฒนธรรมของตน มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมซึ่งถ่ายทอด จากคนรุ่นหนึ่งไปยังคน อีกรุ่นหนึ่งน้ี เป็นสิ่งซึ่งชุมชนและกลุ่มชนสร้างขึ้นใหม่อย่างสม่ําเสมอ เพ่ือตอบสนองต่อ สภาพแวดลอ้ มของตน เปน็ ปฏสิ ัมพนั ธ์ทก่ี ลมุ่ ชนมตี อ่ ธรรมชาติ สังคม และประวัติศาสตรข์ องตน และท�ำ ใหก้ ลุม่ ชน เกิดความรสู้ กึ ส�ำ นกึ ในอัตลักษณท์ างวัฒนธรรมของตน การประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ เป็นหนทางหนึ่งในการปกป้องคุ้มครองเพื่อ ไม่ให้เกิดการสูญเสีย อัตลักษณ์ และสูญเสียภูมิปัญญาที่เป็นองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นข้อมูลสำ�คัญของ ประเทศชาติ และยงั เปน็ หนทางหนงึ่ ในการประกาศความเปน็ เจา้ ของมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมตา่ งๆ ในขณะทยี่ งั ไมม่ มี าตรการทางกฎหมายทจี่ ะคุม้ ครองมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมของชาติ ทงั้ น้ี ภาษา เป็น ๑ ใน ๗ สาขาของ มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรมทีก่ รมส่งเสริมวฒั นธรรมประกาศข้นึ ทะเบยี นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาติ ความหมายของภาษา ภาษา หมายถงึ เครอื่ งมอื ทใ่ี ชส้ อ่ื สารในวถิ กี ารด�ำ รงชวี ติ ของชนกลมุ่ ตา่ งๆ ซง่ึ สะทอ้ น โลกทศั น์ ภมู ปิ ญั ญาและ วัฒนธรรมของแตล่ ะกลุ่มชน ทัง้ เสยี งพูด ตัวอักษร หรอื สญั ลักษณท์ ่ีใช้แทนเสียงพูด ประเภทของภาษา ๑. ภาษาไทย หมายถงึ ภาษาประจำ�ชาติ หรอื ภาษาราชการทีใ่ ช้ในประเทศไทย ๒. ภาษาทอ้ งถน่ิ หมายถงึ ภาษาทใี่ ชส้ อ่ื สารในทอ้ งถนิ่ ใดทอ้ งถน่ิ หนงึ่ และมกั เปน็ ภาษาแมข่ องคนในทอ้ งถนิ่ นน้ั ในประเทศไทยมภี าษาทอ้ งถน่ิ ทงั้ ทเี่ ปน็ ภาษาตระกลู ไทและภาษาตระกลู อน่ื ๆ แบง่ ออกเปน็ ภาษาไทยถน่ิ ตามภมู ภิ าค ซงึ่ เปน็ ภาษาทใ่ี ชส้ อ่ื สารในแตล่ ะภมู ภิ าคของประเทศไทย เชน่ ภาษาไทยกลาง ภาษาไทยถนิ่ อสี าน ภาษาไทยถนิ่ เหนอื ภาษาไทยถิ่นใต้ และภาษาชาตพิ นั ธ์ุ ซ่ึงเป็นภาษาทใี่ ช้สื่อสารในชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ตา่ งๆ ของประเทศไทย เช่น ภาษาเขมร ถ่นิ ไทย ภาษามลายปู าตานี ภาษามง้ ภาษาอาข่า ภาษาชอง ภาษามอแกน ภาษาลอ้ื ภาษายอง ภาษาญ้อ ภาษาภูไท ภาษาพวน ภาษาไทยเบงิ้ /เดงิ้ หรือภาษาไทยโคราช เป็นตน้ ๓. ภาษาสญั ลกั ษณ์ หมายถงึ ภาษาทใี่ ชต้ ดิ ตอ่ สอื่ สารดว้ ยภาษามอื ภาษาทา่ ทาง หรอื เครอื่ งหมายตา่ งๆ เปน็ ตน้ 1
เกณฑก์ ารพจิ ารณาข้ึนทะเบียน ๑. เป็นมรดกทางภมู ปิ ัญญาของชมุ ชน ๒. เป็นภาษาที่เคยใชห้ รอื ใชใ้ นชมุ ชน และเสี่ยงต่อการสูญหายหรอื เผชญิ กบั ภัยคกุ คาม ๓. มกี ารสืบทอดและยังปฏิบัติอยู่ในวถิ ีชวี ิต ๔. เปน็ เอกลกั ษณข์ องชาติ หรืออัตลกั ษณ์ของชมุ ชนหรือภมู ภิ าค ๕. คณุ สมบัตอิ นื่ ๆ ท่ีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวฒุ ิเหน็ ว่าเหมาะสม 2
ภาษาทข่ี น้ึ ทะเบยี น พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ประเภท ภาษาทอ้ งถิ่น 3
ภาษากะซอง เรยี บเรียงโดย ศาสตราจารย์สุวไิ ล เปรมศรรี ตั น,์ สุนี คำ�นวลศลิ ป์ และ ณัฐมน โรจนกลุ คำ�ว่า กะซอง เป็นช่ือที่ผู้พูดเรียกภาษาของตัวเองและเรียกกลุ่มชาติพันธ์ุของพวกเขา สันนิษฐานว่ามีความ หมายวา่ “คน” ภาษากะซองเปน็ ภาษาในตระกลู ออสโตรเอเชยี ตกิ สาขามอญ-เขมร กลมุ่ ยอ่ ยเดยี วกนั กบั ภาษาชองที่ จงั หวดั จนั ทบรุ แี ละภาษาซมั เรทจ่ี งั หวดั ตราด ผพู้ ดู กะซองมถี นิ่ ฐานอยทู่ อี่ �ำ เภอบอ่ ไร่ จงั หวดั ตราด เขตชายแดนตดิ ตอ่ กบั กัมพูชา ภาษานเ้ี ดมิ เป็นทีร่ ู้จักของคนภายนอกว่า “ชองจงั หวัดตราด (Chong of Trat)” ด้วยมคี วามคล้ายคลงึ ของชือ่ และความใกล้เคียงของภาษา ทำ�ใหเ้ ขา้ ใจว่าเปน็ ภาษาเดยี วกนั ชาวกะซองเองบางคนก็เรียกตัวเองวา่ คนชอง พูดชอง ดว้ ยเหมือนกัน ภาษากะซองมีพยัญชนะต้น ๒๑ หน่วยเสียง สระเดีย่ ว ๑๗ หนว่ ยเสียง สระประสมหน่วยเสยี งเดยี ว คือ <อัว> และพยญั ชนะทา้ ย ๑๒ หนว่ ยเสยี ง โดยเฉพาะเสยี งตวั สะกด <จ> <ญ> <ล> และ <ฮ> แสดงลกั ษณะของภาษากลมุ่ มอญ-เขมร ภาษากะซองในปัจจุบันจดั วา่ มีลกั ษณะน้ําเสียงแบบผสมผสาน นัน่ คือใชล้ ักษณะนํา้ เสียงและระดบั เสยี ง ด้วยกัน ในการแยกความต่างของคำ�นี้แตกต่างจากระบบเสียงภาษาชองและซัมเร ลักษณะนํ้าเสียงแบบผสมผสาน ในภาษากะซองมี ๔ ลกั ษณะ ได้แก่ ลักษณะน้าํ เสียงปกติระดบั เสียงกลาง (เช่น ปาง = ดอกไม้) ลักษณะนา้ํ เสยี ง ปกติระดับเสียงก่งึ สงู -สูง-ตก (เชน่ ช้อ = หมา) ลักษณะน้าํ เสียงพ่นลมระดับเสยี งกลาง-กึง่ สงู -ตก (เช่น จอฺ้ = เปรีย้ ว) และลักษณะน้ําเสียงพ่นลมระดับเสียงกึ่งตํ่า (เช่น ป่าง = พรุ่งน้ี) ท้ังน้ีภาษากะซองกำ�ลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ไปสู่ภาษามีวรรณยุกต์จากอิทธิพลภาษาไทย ด้านการใช้ศัพท์ มีศัพท์เฉพาะ เช่น ระแนง = ปาก, ครัน = น่อง, คดั = กดั , ตกั = ใหญ,่ มาล = ไร่ เปน็ ตน้ การเพม่ิ หนว่ ยค�ำ เตมิ ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะส�ำ คญั ของภาษากลมุ่ มอญ-เขมรยงั พบใน ค�ำ ภาษากะซอง ตวั อยา่ งคคู่ �ำ ทเ่ี พมิ่ หนว่ ยเตมิ หนา้ เชน่ คนึ = ตวั เมยี กบั ส�ำ คนึ = ผหู้ ญงิ , ฮอ้ บ = กนิ (ขา้ ว) กบั นะฮอ้ บ = ของกิน (อาหาร) เป็นตน้ ทว่าลกั ษณะการ สร้างคำ�เช่นนี้กำ�ลังจะสูญหายไปพร้อมกับการเลิกใช้ คำ� การเรียงคำ�ในประโยคมีลักษณะแบบ ประธาน- กริยา-กรรม (SVO) เช่น ฮ้อบ กลง ฮือ นาน <กิน- ข้าว-หรอื -ยงั > = กินข้าวหรือยงั อยั ป่ี ทอ่ จาม แปจ <ใคร-ทำ�-ชาม-แตก> = ใครท�ำ ชามแตก อาวนั ทู่ นฮั <วนั น-ี้ รอ้ น-มาก> = วนั นี้ร้อนมาก เป็นต้น 4
ชาวกะซองสว่ นใหญอ่ าศยั อยทู่ หี่ มบู่ า้ นคลองแสง บา้ นดา่ นชมุ พล และจ�ำ นวนเลก็ นอ้ ยอยทู่ บ่ี า้ นปะเดาในต�ำ บล ดา่ นชมุ พล อ�ำ เภอบ่อไร่ จงั หวดั ตราด พวกเขาอยกู่ ระจัดกระจายกนั และปะปนกับคนไทยและคนกลุ่มอน่ื ๆ เช่น ลาว อีสาน จนี เขมร ทีเ่ ขา้ มาตง้ั รกรากทหี ลงั บริเวณถิน่ ที่อยู่เปน็ ท่ีราบเชงิ เขาและเนินเต้ียๆ อาชีพท่ีทำ�คือ เกษตรกรรม อาทิ ปลกู ยางพารา ท�ำ ไรส่ บั ปะรด และสวนผลไม้ ท�ำ นาเพอื่ บรโิ ภคในครวั เรอื นและไวข้ ายบา้ ง นอกจากนยี้ งั มรี ายได้ เสรมิ จากการเกบ็ ของปา่ ในชว่ งฤดแู ลง้ ชาวกะซองมกี ารแตง่ งานกบั คนนอกกลมุ่ จงึ เกดิ การผสมผสานระหวา่ งเชอ้ื สาย และวัฒนธรรมตามแบบไทย ส่งผลให้ประเพณีด้ังเดิมหลายอย่างเลือนหาย ท่ียังคงปฏิบัติกันอยู่ตามแบบฉบับของ กลมุ่ เหน็ จะมีพิธีแตง่ งาน การบชู าผเี รอื นหรือผีบรรพบุรษุ และประเพณกี ารเล่นผีแมม่ ด ซง่ึ มีการประกอบพธิ เี ชญิ ผี มาเขา้ รา่ งทรงเพอื่ ชว่ ยใหค้ นปว่ ยหายเจบ็ ไขต้ ามความเชอ่ื แตไ่ มเ่ ครง่ ครดั ในการจดั แลว้ และการเลน่ ผแี มม่ ดในหมบู่ า้ น กะซองปัจจุบนั ก็ไมค่ ึกคักเทา่ ของกลมุ่ ซัมเรท่มี ปี ระเพณกี ารเล่นนเ้ี ชน่ กนั หมอทำ�พิธีสะเดาะเคราะห์ พิธีแตง่ งาน 5
ผพู้ ูดภาษาในปจั จบุ นั เปน็ กลมุ่ สุดทา้ ยทยี่ ังใชภ้ าษากะซองสื่อสารได้ มที ี่ร้ภู าษาดีไม่เกนิ ๑๐ คน ซง่ึ ลว้ นเป็น ผสู้ งู อายุ และจ�ำ นวนลดลงเรอ่ื ยๆ คนกะซองในวยั กลางคนจนถงึ รนุ่ เยาวส์ อื่ สารกนั ดว้ ยภาษาไทย แมจ้ ะมคี วามเขา้ ใจ ในภาษาของตนอยบู่ า้ งแตไ่ มส่ ามารถสอ่ื สารเปน็ ประโยคยาวๆ ได้ ลกู หลานไมส่ นใจทจี่ ะเรยี นรภู้ าษาของตนจากพอ่ แม่ ภาษากะซองในปัจจบุ นั นบั วา่ อยใู่ นข้นั วกิ ฤตรุนแรง รวมถึงวฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาทกี่ ำ�ลังสูญหายไปตามกาลเวลา พร้อมกับคำ�ศัพท์ในภาษา โดยเฉพาะที่เป็นความรู้เกี่ยวกับป่า พันธุ์พืช สมุนไพร อาหาร พิธีกรรมและความเชื่อที่ เช่ือมโยงวิถชี วี ติ และประวัติของชุมชน ทายาทของผพู้ ดู ภาษากะซอง ทีม่ ีความพยายามฟื้นฟแู ละเรยี นรู้ภาษาของตนเอง 6
ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ชาวกะซองได้มีความพยายามฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญาท้องถ่ินของตนเอง เริ่มจากการ สรา้ งระบบตวั เขยี นภาษากะซองดว้ ยตวั อกั ษรไทย ผลติ หนงั สอื นทิ านภาษากะซองเพอ่ื เปน็ คมู่ อื ในการสอนภาษาและ พยายามทจี่ ะน�ำ เขา้ ไปสอนในโรงเรยี นของชมุ ชน รวมทงั้ มกี ารสรา้ งแผนทช่ี มุ ชนและแหลง่ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ แตก่ ระนน้ั ภาษากะซองยงั อยใู่ นภาวะทไี่ มด่ ขี น้ึ มากนกั เนอ่ื งจากผสู้ งู วยั ทเ่ี ปน็ แหลง่ ความรเู้ รม่ิ ลม้ หายลง ในปจั จบุ นั ทมี ชาวบา้ น ทีค่ ุ้นเคยกบั การผลิตวรรณกรรมภาษากะซองร่วมกันท�ำ การฟน้ื ฟลู มหายใจสุดทา้ ยของภาษาตนเอง มีแนวคิดในการ สร้างเยาวชนทีพ่ ูดภาษากะซองได้ เริม่ ดว้ ยการฝึกทกั ษะฟงั -พดู ภาษากะซองอยา่ งเขม้ ขน้ กับครภู มู ปิ ญั ญาในวันหยดุ ด้วยความหวังว่าจะสามารถสร้างผู้พูดภาษากะซองรุ่นใหม่และกระตุ้นการเรียนรู้ภาษาของตนเองให้กับคนในชุมชน เพือ่ ส่งตอ่ องค์ความร้ขู องบรรพบรุ ษุ ให้กับลูกหลานกะซองไดเ้ พิม่ มากขน้ึ ภาษากะซอง ไดร้ ับการข้นึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจ�ำ ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ เอกสารอา้ งองิ นายสันติ เกตุถึก และคณะ. (๒๕๕๒). แนวทางการพลิกฟื้นภาษากะซองเพื่อสืบทอดให้คนรุ่นหลัง อยา่ งยัง่ ยนื บ้านคลองแสง ต.ด่านชมุ พล อ.บอ่ ไร.่ จ.ตราด. กรุงเทพฯ : ส�ำ นักงานกองทนุ สนับสนุน การวิจยั . สวุ ไิ ล เปรมศรรี ตั น์ และพรสวรรค์ พลอยแกว้ . (๒๕๔๘). สารานกุ รมกลมุ่ ชาตพิ นั ธใุ์ นประเทศไทย: กะซองและซมั เร. กรงุ เทพฯ:เอกพมิ พ์ไทย จำ�กดั . Sunee Kamnuansin. (2002). Kasong Syntax. M.A. thesis, Institute of Language and Culture for Rural Development, Mahidol University. 7
ภาษากฺ๋อง เรยี บเรียงโดย มยรุ ี ถาวรพัฒน์ คำ�ว่า “ก๋อฺ ง” เปน็ ค�ำ ทค่ี นกฺ๋องใชเ้ รยี กช่อื กล่มุ และภาษาของตัวเอง คนไทยในพน้ื ทใ่ี กลเ้ คียงส่วนใหญ่มกั เรยี ก “ละวา้ ” จนปรากฏมคี �ำ วา่ “ละวา้ ” น�ำ หนา้ ชอ่ื หมบู่ า้ นทมี่ ชี าวกอฺ๋ ง อาศยั อยแู่ ทบทกุ หมบู่ า้ น เชน่ บา้ นละวา้ คอกควาย บ้านละว้าวังควาย วิถีชีวิตชาวกฺ๋องส่วนใหญ่พ่ึงพิงธรรมชาติ ช้อนกุ้ง จับปลา ล่าสัตว์ หาหน่อไม้ เก็บเห็ด และ ปลกู ขา้ วไร่ ในอดตี ชาวกอฺ๋ งมวี ฒั นธรรมการแตง่ กายดว้ ยผา้ ทที่ อขน้ึ เองเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั แตป่ จั จบุ นั การแตง่ กาย ในชุดพื้นเมืองแทบจะไม่เหลือให้เห็นกันแล้วส่วนศิลปะการทอผ้านั้นหายไปกับอดีต จนกระทั่งมีชาวกฺ๋องกลุ่มหน่ึง ฟน้ื ฟหู ตั ถกรรมทอผา้ ขนึ้ ชาวกอฺ๋ งจงึ เรมิ่ หนั กลบั มาทอผา้ กนั อกี ครง้ั ในขณะเดยี วกนั แนวคดิ อกี ดา้ นหนงึ่ ทเี่ หนยี วแนน่ คอื แนวคดิ ความเชอ่ื เรอื่ งการนบั ถอื ผี ทกุ วนั นใ้ี นวนั ขา้ งขน้ึ เดอื น ๖ เรายงั คงเหน็ ชาวกอฺ๋ งทบ่ี า้ นละวา้ กกเชยี งพรอ้ มใจ ทำ�พิธีเซ่นไหว้ผบี รรพบรุ ษุ ผีบ้านผีเรือน เจ้าป่าเจ้าเขา ตามความเชื่อเดิมอยู่เปน็ ประจำ�ทุกปี 8
ภาษากฺ๋องเป็นภาษาในตระกูลจีน-ทิเบต สาขาเบอมิส (พม่า) ภาษาท่ีมีความใกล้เคียง ได้แก่ ภาษาพม่า ภาษาบซี ทู พี่ บในจังหวดั เชยี งราย และภาษาอมึ ปีท้ ี่พบในจงั หวัดแพร่ ภาษากอฺ๋ งเปน็ ภาษาที่แสดงลกั ษณะของภาษา ตระกลู จีน-ทเิ บตอยา่ งเดน่ ชดั กล่าวคอื มรี ะบบเสียงวรรณยกุ ต์ เชน่ กฺอง = ม้า, กอฺ่ ง = ม้า, กอฺ้ ง = สูง, กอฺ๋ ง = คนละว้า พยัญชนะท้ายหรือพยัญชนะสะกดภาษาก๋องนั้นดำ�รงเอกลักษณ์ของภาษาตระกูลทิเบต-พม่าไว้คือมีเสียง พยัญชนะสะกดน้อยเพียง ๓ หน่วยเสยี งเท่าน้ันคอื /-k, - ช,ี -n / เชน่ เอ้กิ = ไม้ กง = ตะกรา้ , นังเอาะ = กระแต คง๋ = นกยงู , ความสน้ั -ยาวของเสยี งสระไมไ่ ดท้ �ำ ใหค้ วามหมายของค�ำ เปลย่ี นไป นอกจากนย้ี งั มลี กั ษณะไวยากรณท์ ม่ี ี การเรียงล�ำ ดบั คำ� (word order) แบบประธาน-กรรม-กริยา (S-O-V) เช่น งา มัง ชูออ <ฉัน-ข้าว-กนิ > = ฉันกินขา้ ว งา เฮาะ แยะออ่ <ฉนั -นก-ยงิ > = ฉนั ยงิ นก แบบประธาน-กรรมตรง-กรรมรอง-กรยิ า มองา ยงึ้ ชอิ อ่ <เขา-ฉนั -เสอื้ -ให>้ = เขาให้เสอื้ ฉัน แบบประธาน-สถานท่ี-กริยา งา กกเชยี ง น่อี อ่ <ฉนั -กกเชยี ง-อย>ู่ = ฉนั อยู่สุพรรณบุรี เปน็ ตน้ จากอดีตชุมชนละว้ากกเชียงมีเพียงคนเช้ือสายกฺ๋องเท่าน้ันที่อาศัยอยูในพ้ืนท่ี ภาษาที่ใช้จึงมีภาษาเดียวต่อ มามีการแต่งงานกับคนต่างเชื้อสาย เกิดการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมกัน คนเฒ่าคนแก่ใช้ภาษากฺ๋องปนกับ ภาษาอืน่ ๆ เชน่ ภาษาลาว เดก็ ๆชาวกฺ๋องวนั น้ีไมเ่ ขา้ ใจภาษาแม่ เมอ่ื ไมเ่ ขา้ ใจจึงไมใ่ ช้ ไม่พดู วัยรนุ่ เข้าใจเพยี งระดบั ค�ำ 9
แตไ่ มน่ ยิ มใช้ ดว้ ยความรสู้ กึ วา่ ภาษาแมน่ นั้ เชย ทศั นคตใิ นทางลบของเจา้ ของภาษาเปน็ สญั ญาณเตอื นวา่ ภาษาละวา้ กำ�ลงั จะสญู ไปในไม่ชา้ อกี ทงั้ จ�ำ นวนคนท่ีสามารถใช้ภาษากฺ๋องในการส่ือสารไดไ้ มถ่ ึง ๕๐ คนจาก ๓๐๐ คน ของทงั้ ๓ หมู่บา้ น คือบา้ นละวา้ วงั ควาย บ้านกกเชยี ง ต�ำ บลขม้ิน อ�ำ เภอดา่ นช้าง จังหวัดสพุ รรณบรุ ี และบ้านคอกควาย ตำ�บล ทองหลาง อ�ำ เภอหว้ ยคต จงั หวัดอทุ ัยธานี อย่างไรก็ตาม เมื่อคนกฺ๋องรู้สถานการณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง เกิดความตระหนัก และได้พยายามอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรม ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยได้มีการสร้างระบบตัว เขียนภาษากฺ๋องอักษรไทย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ และพยายามปกป้องคุ้มครอง องคค์ วามรแู้ ละภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ไดเ้ มอ่ื ลกู หลานและประเทศชาติ ภาษากฺอ๋ ง ได้รบั การขึน้ ทะเบียนเป็นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจำ�ปพี ุทธศักราช ๒๕๕๕ 10
ภาษากูย/กวย เรยี บเรยี งโดย ผชู้ ่วยศาสตราจารยบ์ ญั ญตั ิ สาลี และ มยุรี ถาวรพัฒน์ กลมุ่ ชาตพิ นั ธกุ์ ลมุ่ น้ี เรยี กตนเองวา่ กยู กยุ โกยหรอื กวย ซง่ึ แตกตา่ งกนั ไปตามลกั ษณะการออกเสยี งของแตล่ ะถนิ่ ส่วนคำ�ว่า สว่ ย เปน็ คำ�ที่คนอนื่ เรยี ก คนกูยกวยส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพ้ืนที่ลุ่มแม่น้ําโขงและเทือกเขาพนมดงรัก บริเวณประเทศสาธารณรัฐ ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ราชอาณาจกั รกมั พชู า สาธารณรฐั สงั คมนยิ มเวยี ดนาม และประเทศไทย จากงานแผนท่ี ภาษาและชาตพิ นั ธใ์ุ นประเทศไทย (สวุ ไิ ล และคณะ, ๒๕๔๗) พบวา่ มชี าวกยู กวยอยใู่ นภาคอสี านหลายจงั หวดั ไดแ้ ก่ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี เป็นตน้ สว่ นภาคกลาง-ตะวนั ออก ได้แก่ จังหวดั สระแกว้ ฉะเชิงเทรา และ สพุ รรณบุรี ชาวกยู หรือกวยเป็นกลุ่มชาตพิ นั ธุท์ ี่มอี ัตลกั ษณ์ด้านภาษา วัฒนธรรม และวิถีชวี ิต มคี วามชำ�นาญในการ เลยี้ งช้าง และทอผา้ ไหม ภาษากยู กวย เป็นภาษาในตระกลู ออสโตรเอเชยี ติก สาขามอญ-เขมร สาขายอ่ ยกะตุอคิ ภาษากูยมคี วามแตก ตา่ งกบั ภาษากวยนิดหนอ่ ย แตเ่ จา้ ของภาษากส็ ามารถส่ือสารและเขา้ ใจกันได้เป็นอย่างดี ตวั อย่างเช่น กยู -กวย= คน โตง-ตงู =มะพรา้ ว อะจงี -เจยี ง=ชา้ ง โดย-ดอย=กนิ เปน็ ตน้ ค�ำ ศพั ทบ์ างค�ำ กใ็ ชแ้ ตกตา่ งกนั บา้ ง เชน่ โค-ชลี กวด=กางเกง อะเป-อะเนือว=น้า พยญั ชนะต้นภาษากยู กวย ไดแ้ ก่ /ก ค ง จ ช ซ ญ ด ต ท น บ ป พ ม ย ร ล ว อ ฮ/(หน่วยเสยี ง ร จะปรากฏ เฉพาะในภาษากยู ) พยัญชนะสะกดภาษากยู /กวยแสดงลักษณะของภาษากลุ่มมอญ-เขมรทชี่ ดั เจน ได้แก่ /ก ง จ ญ ด น บ ย ร ลอฮ์ / สระได้แก่ /อะอา ออิ ี อึออื ออุ ู เอะเอ แอะแอ โอะโอ เอาะออ เออะเออ เอยี ะเอีย อวั ะอัวเอือะ เออื เอา/และไมม่ รี ะดบั เสยี งวรรณยกุ ต์ แตใ่ ชล้ กั ษณะนาํ้ เสยี งทเี่ กดิ กบั สระเปน็ องคป์ ระกอบหนง่ึ ทใ่ี ชแ้ ยกความหมาย ได้แก่ นา้ํ เสียงปกติ เชน่ วิ=งาน ดุฮ=ถกู น้าํ เสยี งใหญ่ ต่าํ ทุ้ม (เสียงกอ้ ง มลี ม) เช่น ว=่ิ แหวก มฮุ่ =จมูก ค�ำ ทมี่ สี องพยางค์ คนกยู กวยเวลาออกเสยี งจะเนน้ หนกั พยางคท์ สี่ อง ไดแ้ ก่ อาจอ = หมา กะนยั = หนกู ะซนั =งู อะลีอ์=หมู เกาเท่ือง=แมงป่อง แต่ก็มีคำ�สองพยางค์อีกแบบหน่ึงท่ีออกเสียงพยางค์แรกเพียงไม่เต็มเสียงหรือ เต็มพยางค์ และจะแปรไปตำ�แหน่งการเกิดเสียงพยัญชนะต้นของพยางค์ท่ีสอง เช่น อึมปลอน=วิ่ง อึนแท่ล=ไข่ องึ เคยี บ=น้อยหนา่ การเรียงค�ำ ในประโยคมีลกั ษณะ ประธาน-กริยา-กรรม เช่น ฮัย ซะมฮุ ปราณ<ี ฉัน-ชือ่ -ปราณี>= ฉันช่อื ปราณี งัยแนฮัย จา ดอย นึงบจั กา<วนั -นี้-ฉนั - กนิ -ขา้ ว-กบั -แกง-ปลา>=วนั นีฉ้ นั กนิ ข้าวกับแกงปลา เอม บออ<์ อร่อย-คำ� แสดงค�ำ ถาม>= อร่อยไหม เอม วาอ์<อร่อย-คำ�ลงท้าย>= อรอ่ ยค่ะ เนา เกดิ กวย มกั วอ บญุ <เขา-เป็น-คน-ชอบ- ทำ�-บุญ>= เขาเปน็ คนชอบทำ�บุญ 11
นอกจากลักษณะโครงสรา้ งทางภาษาแลว้ คนกูยกวยยงั มีองคค์ วามรแู้ ละภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินทโ่ี ดดเด่น คอื การ ทอผา้ ไหม และการเลย้ี งชา้ งซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ คนกยู มากกวา่ โดยเฉพาะกยู ทอ่ี ยใู่ นเขตจงั หวดั สรุ นิ ทร์ จะเหน็ ไดช้ ดั ใน กล่มุ ชาวกยู ทเี่ รยี กว่า “กูยอาจีง หรอื กยู อาเจียง” เขมรสุรนิ ทรเ์ รียกวา่ “กยู ด�ำ เร็ย” จะนับถอื ผปี ะก�ำ ภาษาที่คนกูย ใชฝ้ ึกชา้ งเรียกว่า “ภาษาผปี ะก�ำ ” ภาษาน้ีเปน็ ภาษาพิเศษท่ีคนกูยที่ใชส้ ื่อสารกนั ในระหว่างการเดินทางไปคลอ้ งชา้ ง ซง่ึ ตามปกตเิ มื่ออยบู่ า้ นจะใช้ภาษากูย ตัวอยา่ งคำ�ศพั ทเ์ กยี่ วกบั การเลี้ยงช้าง ภาษากูยทว่ั ๆ ไป ภาษาผปี ะกำ� ความหมายภาษาไทย กยะ อนั โทน ผวั -สามี กันแตล อนั จึง เมีย-ภรรยา กอน เจลย ลกู อู ้ ก�ำ โพด ไฟ เดยี ะห์ (เสียงยาว) อวน นํา้ เบย่ี ง ลองจาว ห้วย อาจงึ เทวเดีย/เทวะดา้ ช้าง กูย มานุด(มนุษย)์ คน อาจึงทะเนียะ ทนะ ชา้ งต่อ ปอยเดียะ/ปอยดะห ์ ปอยตวน อาบน้าํ จาโดย กรโิ กรด กินข้าว 12
ตัวอยา่ งคำ�ศัพท์เกย่ี วกบั การทอผา้ ชิ่เกบ = ผ้าลายลูกแกว้ เลาะ โซด = ย้อมไหม แตะฮโซด = ค้น หรือสืบไหม ละเวโซด = เข็นไหม ท่ีเขาเอาไหมสองเส้น มาละเวพันกนั ใหเ้ ปน็ เส้นเดยี ว พ่ออโ์ ซด = ฟอกไหม ควีโ่ ซด = ข้ันตอนปนั่ ไหม ท่ีท�ำ ใหเ้ ส้นไหม แน่น ตาน อึนช่ ิ = ทอผา้ ในภาวการณป์ จั จบุ นั ภาษากยู กวยคอ่ ยๆ เลอื นหายไป คนรนุ่ ใหมข่ าดโอกาสทจ่ี ะไดเ้ รยี นรภู้ าษาและวฒั นธรรม จากผู้ใหญ่ ดว้ ยบรบิ ทแวดล้อมที่เปลีย่ นแปลงไป และอทิ ธิพลจากสือ่ ต่างๆ ทีม่ าจากภายนอก และระบบการศึกษาที่ มุ่งให้เรียนภาษาราชการจนให้ผู้เรียนละเลยการใช้ภาษาแม่หรือภาษาท้องถิ่น เด็กๆ เริ่มหันมาพูดภาษาของกลุ่มท่ี ใหญ่กว่าและเห็นว่าส�ำ คญั กว่า คนอายสุ ิบห้าปลี งมาบางชุมชนอาจไมส่ ามารถพดู ภาษากูยกวยได้ อยา่ งไรกต็ าม กลมุ่ ชาตพิ นั ธก์ุ ยู กวยหลายแหง่ มคี วามส�ำ นกึ ในชาตพิ นั ธุ์ รว่ มกนั สรา้ งกระบวนการเรยี นรู้ อนรุ กั ษ์ และฟน้ื ฟภู าษากยู กวยใหล้ กู หลาน อาทิ สภาวฒั นธรรมอ�ำ เภอส�ำ โรงทาบ รว่ มกบั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บลส�ำ โรงทาบ จัดท�ำ โครงการ“หมูบ่ ้านอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมชาวกยู ”ต้งั แตว่ นั ที่ ๖ เดือน พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ณ หมบู่ า้ นอาลึ หมทู่ ี่ ๔ ต�ำ บลส�ำ โรงทาบ ชมุ ชนวดั ไตรราษฎรส์ ามัคคี (บ้านตาตาและบา้ นซ�ำ ) ตำ�บลโพธ์กิ ระสังข์ อำ�เภอขนุ หาญ จงั หวดั ศรสี ะเกษ ไดด้ �ำ เนนิ การโครงการศกึ ษากลมุ่ เยาวชนกบั การฟนื้ ฟแู ละอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมประเพณชี าตพิ นั ธก์ุ วย (สว่ ย) การวจิ ยั ครงั้ นไ้ี ดส้ รา้ งภาพยนตรส์ นั้ เรอ่ื ง “กอนกวย สว่ ยไมล่ มื ชาต”ิ และโครงการศกึ ษากระบวนการสรา้ งระบบ การแตง่ กายของชาวกูย กวย 13
ตัวเขยี นภาษากวย เพ่อื สบื ทอดวิถีวัฒนธรรมชมุ ชนวัดไตรราษฎรส์ ามคั คี บา้ นซ�ำ บ้านตาตา ส�ำ หรบั อกั ษรไทย และ สอื่ การเรียนการสอนวิจยั ครั้งนี้ ได้พฒั นาระบบตัวเขียนภาษาเดก็ กอ่ นวัยเรยี น ท้งั สองโครงการน้ีได้รบั การสนับสนนุ ของส�ำ นักงานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ัย นอกจากน้ียังมีการรวมตัวกันเพื่อการอนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมกูยหรือกวย เช่น ศูนย์กลางการ เผยแพรศ่ ลิ ปวฒั นธรรมกวย (สว่ ย) วดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ์ิ คณะสลกั ๓ ถนนหนา้ พระธาตุ แขวงพระบรมมหาราชวงั เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร และมโี ครงการสร้างอทุ ยานเรียนรู้กวยทีอ่ �ำ เภอสงั ขะ จงั หวดั สุรนิ ทร์ ปฏิบัติการทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์กูยหรือกวยเพ่ือการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูวัฒนธรรมและภาษาของตนเอง ทา่ มกลางการสญู หายไปของภาษาและวฒั นธรรม จงึ ควรยกระดบั ภาษาเปน็ ภาษามรดกทางสงั คม เพอ่ื จะไดส้ นบั สนนุ และเสรมิ แรงใจใหก้ ลมุ่ ชาติพันธก์ุ ูยหรอื กวยไดร้ ว่ มสรา้ งสำ�นกึ อนรุ ักษ์ และฟ้ืนฟูวฒั นธรรมของตนเองสบื ไป ภาษากยู /กวย ไดร้ ับการขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปีพุทธศกั ราช ๒๕๕๘ เอกสารอ้างองิ อัมพร ปรเี ปรม. และคณะ. รายงานฉบบั สมบรู ณโ์ ครงการศกึ ษากระบวนการสร้างระบบตัวเขียนภาษากวยเพือ่ สืบทอดวิถีวัฒนธรรมชุมชนวัดไตรราษฎร์สามัคคี (บ้านซำ� บ้านตาตา) ต.โพธ์ิกระสังข์ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ. ส�ำ นกั งานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ัย. ๒๕๕๖. บัญญัติ สาลี. การปรับตัวกลุ่มชาติพันธุ์เขมรและนัยการบริหารจัดการพ้ืนที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กรณีศึกษา ช่องจอม จงั หวัดสุรนิ ทร.์ สำ�นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั .๒๕๕๒. ประเสริฐ ศรีวิเศษ. พจนานุกรมกยู (ส่วย) – ไทย – อังกฤษ. กรงุ เทพฯ : โครงการวิจัยภาษาไทยและภาษาพ้ืนเมือง ถิน่ ต่าง ๆ สถาบันภาษาจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๑. ไพฑรู ย์ มกี ศุ ล. ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมวฒั นธรรมภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย ศกึ ษากรณหี วั เมอื งเขมร ปา่ ดอย สุรินทร์ สังขะและขุขนั ธ.์ วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรดุษฎีบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยวอชงิ ตัน. ๒๕๒๗. สมทรง บุรุษพัฒน์. สารานุกรมชนชาตกิ ยู . นครปฐม : โรงพมิ พ์สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวทิ ยาลัย มหดิ ล, ๒๕๓๘. สุวิไล เปรมศรรี ตั น์ และคณะ. แผนทีภ่ าษาและชาติพนั ธใ์ุ นประเทศไทย. ๒๕๔๗. 14
ภาษาเขมรถิ่นไทย เรยี บเรยี งโดย ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์อรวรรณ บุญยฤทธ์ิ ประชุมพร สงั ขน์ อ้ ย และ ศาสตราจารย์สุวไิ ล เปรมศรีรตั น์ ภาษาเขมรมีผู้พูดอยู่ในหลายประเทศทั้งในประเทศกัมพูชา ประเทศเวียดนาม และประเทศไทย ภาษา เขมรที่พูดในประเทศไทยเรียกว่า ภาษาเขมรถิ่นไทย ซ่ึงเป็นภาษาท้องถ่ินที่พูดในหลายจังหวัดทางภาคตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แม้ว่าภาษาเขมรถ่ินไทยจะมีลักษณะทางภาษาใกล้เคียงกับภาษาเขมร ที่พูดในประเทศกัมพูชาแต่ก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะอย่างย่ิงภาษาเขมรถ่ินไทยในหลาย พนื้ ท่ี เช่น ภาษาเขมรสรุ นิ ทร์และศรีสะเกษ ยังคงรักษาเสยี งพยญั ชนะสะกด “ร” อยา่ งเคร่งครัด เปน็ ตน้ กล่มุ ผพู้ ูด ภาษาเขมรในประเทศไทยตง้ั ถน่ิ ฐานหนาแนน่ ทางตอนใต้ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และ กระจัดกระจายในภาคตะวันออก เช่น ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี และตราด ค�ำ วา่ เขมร เปน็ ชอื่ ชาตพิ นั ธแุ์ ละ ภาษา คนไทยเชอ้ื สายเขมรในประเทศไทย ส่วนใหญ่เรียกตนเองวา่ คแมร หรอื คแฺ ม ชาวเขมรในจังหวัดสุรินทร์เรียกภาษาของ ตนเองวา่ คแมร ลอ̣ื = เขมรสงู หรอื เขมรบน และเรียกเขมรกัมพูชาว่า คแมร กรอม = เขมรตา่ํ ชาวเขมรมวี ฒั นธรรมทีม่ อี ัตลักษณ์ เฉพาะตน เชน่ การแตง่ กายและการทอผ้า ไหม ชาวเขมรนบั ถอื พทุ ธศาสนาแตก่ น็ บั ถอื ผบี รรพบรุ ษุ และเรอื่ งทางไสยศาสตร์ มกี าร เขา้ ทรงแมม่ ดหมอผี เพอ่ื การรกั ษาพยาบาล จากโรคร้ายต่างๆ ภาษาเขมรเปน็ ภาษาส�ำ คญั ในตระกลู ภาษาออสโตรเอเชียติก (Austro-asiatic language family) ภาษาเขมรเป็นภาษา 15
ท่มี ีลกั ษณะการสรา้ งค�ำ ด้วย การแผลงค�ำ เช่น ชนั = ฉันอาหาร (ใชก้ บั พระ), จงั ฮนั = อาหารพระ, ตมุ = เกาะ (กรยิ า), ตรนุม = คอน (สำ�หรับเกาะ) ภาษาเขมรไม่มีวรรณยุกต์ เรยี งโครงสร้างประโยคแบบประธาน-กรยิ า-กรรม เชน่ แม ก�ำ ปงุ ตน�ำ บาย <แม-่ ก�ำ ลงั -หงุ -ขา้ ว> = แมก่ �ำ ลงั หงุ ขา้ ว ประโยคปฏเิ สธจะมกี ารใชค้ �ำ แสดงการปฏเิ สธ ๒ ค�ำ วางไวห้ น้าและหลงั คำ�กริยา เชน่ คญ̣ม มนั เติว็ เต <ฉัน-ไม-่ ไป-ไม>่ = ฉนั ไม่ไปหรอก ค�ำ ขยายมกั อยูห่ ลงั คำ�หลกั เชน่ ปเตยี ็ฮ ทแม็ย <บ้าน-ใหม>่ = บา้ นใหม่ แต่ค�ำ ขยายในประโยคบางคร้งั จะวางไวห้ น้าค�ำ หลกั เชน่ โกน กเมญ รว็ ด ดูล บะ ดยั <เด็ก-เด็ก-วงิ่ -ลม้ -หัก-แขน> = เด็กนอ้ ยว่ิงหกลม้ แขนหกั ภาษาเขมรมเี สยี งพยญั ชนะคลา้ ยคลงึ กบั ภาษาไทย โดยมหี นว่ ยเสยี งพยญั ชนะตน้ ๒๒ ตวั ทแ่ี ตกตา่ งจากภาษาไทย คือ ญ- หน่วยเสียงพยัญชนะทา้ ยมี ๑๔ ตัว ที่แตกต่างจากภาษาไทยคือ –จ, -ญ, -ร, -ล, -ฮ พยัญชนะต้นควบกลาํ้ ในภาษาเขมรมีความหลากหลายและมีการเกิดร่วมกันได้มากกว่าภาษาไทย เช่น คลอจ =ไหม้, จราน = ผลัก, ซลบั = ตาย ค�ำ สว่ นใหญใ่ นภาษาเขมรเปน็ ค�ำ พยางคเ์ ดยี วและค�ำ สองพยางค์ สว่ นค�ำ สามพยางคแ์ ละสพ่ี ยางคม์ จี �ำ นวน ไมม่ าก สระในภาษาเขมรมเี สยี งแปรตา่ งกนั ไปตามพนื้ ที่ เชน่ จงั หวดั สรุ นิ ทรม์ กี ารออกเสยี งสระแตกตา่ งกนั ตามระดบั ความสงู ของล้นิ สว่ นจังหวดั จนั ทบรุ มี กี ารออกเสยี งสระที่ตา่ งกันท่ีลกั ษณะนํ้าเสยี งด้วย ภาษาเขมรในประเทศไทยอยู่ในภาวะถอดถอยเนื่องจากความเจริญทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำ�ให้ชุมชน ท้องถ่ินเข้าถึงภาษาไทยได้ง่าย และละเลยการอนุรักษ์ภาษาพูดของตน อย่างไรก็ตาม คนไทยเช้ือสายเขมรในพ้ืนท่ี และนกั วชิ าการไดร้ ว่ มกนั พยายามอนรุ กั ษภ์ าษาและวฒั นธรรมเขมรถนิ่ ไทย ทม่ี ลี กั ษณะเฉพาะตวั แตกตา่ งจากภาษา เขมรกมั พชู าไว้ โดยด�ำ เนนิ โครงการสอนภาษาเขมรถน่ิ ไทยดว้ ยอกั ษรไทย เพอ่ื ชว่ ยบนั ทกึ และรกั ษาภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ วรรณกรรมมุขปาฐะต่างๆ และนำ�ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนภาษาเขมรถิ่นไทยด้วยอักษรไทย การดำ�เนิน การน้ีนอกจากช่วยในการรักษาภาษาเขมรถ่ินไทย และภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้ว ยังช่วยให้สามารถเช่ือมโยงไปสู่การ พัฒนาการเรียนภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาราชการและใช้เป็นภาษาของการศึกษาด้วย ดังเช่นท่ีดำ�เนินการในโรงเรียน โพธิ์กอง อำ�เภอปราสาท จงั หวดั สุรนิ ทร์ และราชบณั ฑิตยสถานได้จดั พิมพค์ มู่ ือระบบเขยี นภาษาเขมรถิน่ ไทยอักษร ไทย อันจะเป็นการช่วยอนุรักษ์ภาษาเขมรถิ่นไทยในท้องถิ่นต่างๆ และช่วยพัฒนาการศึกษาของเยาวชน และเป็น พืน้ ฐานสำ�หรบั การเรยี นรภู้ าษาเขมรกัมพูชาตอ่ ไป ภาษาเขมรถ่ินไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ 16
17
ภาษาชอง เรยี บเรียงโดย ศาสตราจารย์สวุ ไิ ล เปรมศรีรตั น์ คำ�ว่า “ชอง” แปลว่า “คน” ชาวชองเป็นกลุ่มคนด้ังเดิมในดินแดนเอเชียอาคเนย์สมัยอาณาจักรเขมร เป็นกลุ่มชนท่ีมีชื่อเสียงในการทำ�กระวาน และเคร่ืองเทศต่าง ๆ ชาวชองและกลุ่มชนใกล้เคียง กระจายตัวอยู่ใน ภาคตะวันออกของประเทศไทย ไดแ้ ก่ จังหวดั จนั ทบรุ ี ตราด ระยอง และฉะเชงิ เทรา โดยเฉพาะบริเวณที่ต่อเนอ่ื ง กับประเทศกัมพูชา ในบางพน้ื ท่จี ะเรียกคนชองวา่ “ชมึ่ ชอ์ ง” ปัจจบุ นั พบชาวชองอาศยั อยหู่ นาแน่น ในเขตก่ิงอำ�เภอ เขาคชิ ฌกฎู จงั หวดั จนั ทบรุ ี ต�ำ บลตะเคยี นทอง และต�ำ บลคลองพลู สว่ นในเขตต�ำ บลพลวง และในเขตอ�ำ เภอโปง่ นาํ้ รอ้ น ยังมีประชากรท่ีพูดภาษาชองได้เพียงไม่กี่คน ชาวชองส่วนมากประกอบอาชีพทำ�สวนผลไม้ และยางพารา มีการ ทำ�นาเพอื่ กินในครอบครวั สว่ นการท�ำ กระวานมีเฉพาะในเขตเขาสอยดาว ภาษาชอง เปน็ ภาษาในตระกลู ออสโตรเอเชยี ติก สาขามอญ–เขมร กลุ่มยอ่ ยเปยี รกิ ภาษาในสาขาเดียวกนั ทม่ี ี ความใกลเ้ คยี ง ได้แก่ ภาษากะซอง และภาษาซัมเรท่พี บในจงั หวัดตราด และภาษาซะองุ ทีพ่ บในจังหวดั กาญจนบุรี ภาษาชองมีระบบเสียงที่แสดงลักษณะของภาษากลุ่มมอญ- เขมรท่ชี ัดเจน โดยมพี ยญั ชนะตน้ (๒๒ ตัว) พยัญชนะสะกด (๑๑ ตัว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ตัวสะกด จ ญ และ ฮ เป็นต้น และมีลักษณะนํ้าเสียงท่ีโดดเด่น แทนการมีเสียง วรรณยุกต์ดังในภาษาไทย ภาษาชองไม่มีวรรณยุกต์แต่มี ลักษณะนํา้ เสียง ๔ ลกั ษณะ ได้แก่ ๑) ลกั ษณะนา้ํ เสยี งกลางปกติ เชน่ กะวาญ = กระวาน, กะปาว = ควาย ๒) ลกั ษณะนา้ํ เสยี งตา่ํ ใหญ่ (เสยี งกอ้ งมลี ม) เชน่ กะวา่ ย = เสอื , มะงา่ ม = ผึ้ง ๓) ลักษณะน้ําเสียงสูงบีบ (เสียงปกติตามด้วยการกัก ของเสน้ เสยี ง) เช่น ค้อน = หนู, ซู้จ = มด ๔) ลกั ษณะนาํ้ เสยี งตา่ํ กระตกุ (เสยี งกอ้ งมลี มตามดว้ ย การกักของเสน้ เสยี ง) เชน่ ช์อง = ชอง, เมว์ = ปลา ระบบเขยี นภาษาชองทสี่ ร้างขน้ึ โดยชาวชองและนกั วิชาการ 18
19
ไวยากรณภ์ าษาชองโดยทวั่ ไปมลี กั ษณะเรยี งค�ำ แบบประธาน – กรยิ า – กรรม เชน่ เดยี วกบั ภาษากลมุ่ มอญ-เขมร อื่น ๆ เช่น ประโยคว่า อญู ฮอบ ปลอ็ ง มอ่ ง เม์ว <พ่อ-กิน-ขา้ ว-กับ-ปลา> = พอ่ กินขา้ วกบั ปลา ลกั ษณะไวยากรณ์ ทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ คอื การใช้ค�ำ ปฏเิ สธ ๒ ค�ำ ประกบหนา้ และหลังค�ำ กรยิ าหรือกรยิ าวลี เชน่ ยา่ ย มอ่ ง ตา พ์าย นั่ก อิฮ อนี กะปิฮ ฮอบ ปล็อง อฮิ <ยาย-กบั -ตา-สอง- คน-ไม-่ มี-อะไร-กิน-ข้าว-ไม่> = สองคนตายายไม่มอี ะไรจะกิน เปน็ ตน้ ปจั จบุ นั การใชภ้ าษาชอง ตลอดจนวฒั นธรรมของชาวชองอยใู่ นภาวะถดถอยเปน็ อยา่ งมาก คนชองสว่ นมากใช้ ภาษาไทยในการสอื่ สารในชวี ิตประจำ�วันแม้แต่ผูส้ งู อายุ เยาวชนชาวชองร่นุ อายุตา่ํ กวา่ ๓๐ ปี ไม่สามารถพดู ภาษา ชองได้และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่หน่ึง ภาษาชองจึงจัดเป็นภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตขั้นรุนแรงใกล้สูญ ซ่ึงมีผลต่อ การสูญเสียภูมิปัญญาท้องถ่ินและองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ ที่สะท้อนผ่านคำ�ศัพท์ในภาษาชอง เช่น เรื่องเกี่ยวกับ ปา่ พนั ธ์ุพชื อาหารพ้ืนบ้าน สมุนไพร พิธกี รรม ความเชือ่ และประเพณี เช่น พธิ ีแต่งงาน “กาตกั ” ของชาวชอง และ การละเลน่ พนื้ บ้าน เช่น “ซะบา” เปน็ ต้น การแตง่ งานของคนชอง ชาวชองร่นุ กลาง ในเขตอ�ำ เภอเขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี 20
อย่างไรก็ตามชาวชองได้มีความพยายามฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมของตนเองตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยได้มี การสร้างระบบตัวเขียนภาษาชองด้วยตัวอักษรไทย และการสร้างวรรณกรรมหนังสืออ่านภาษาชองระดับต่าง ๆ มี การสอนภาษาชองเปน็ หลกั สตู รทอ้ งถนิ่ ในโรงเรยี น และมกี ารพฒั นาศนู ยก์ ารเรยี นรเู้ พอ่ื ฟนื้ ฟภู าษา – วฒั นธรรมชอง ส�ำ หรับเป็นแหลง่ ขอ้ มลู จัดกจิ กรรมทางวัฒนธรรมและอน่ื ๆ อีกท้ังมกี ารเริ่มศึกษาพชื พนื้ บ้าน เช่น คลุม้ – คลา้ หรอื ชาวชองเรียกวา่ “ร่นุ ทาก – รนุ่ เชอ” ภาษาชอง ไดร้ ับการข้ึนทะเบียนเปน็ มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจำ�ปีพทุ ธศักราช ๒๕๕๕ สื่อการเรยี นการสอนภาษาชองโดยชุมชนชอง เพ่อื เยาวชนชอง 21
ภาษาชองุ เรยี บเรยี งโดย สนุ ี ค�ำ นวลศลิ ป์ และ ณัฐมน โรจนกุล คำ�ว่า ชอุง มีความหมายว่า “คน” ออกเสียงด้วยลักษณะน้ําเสียงต่ํากระตุกคล้ายคำ�ว่า ชอง ในภาษาชอง ชาวชอุงปัจจบุ ันอยูท่ ี่บ้านทงุ่ นา อ�ำ เภอศรสี วัสดิ์ และบางส่วนอย่ใู นอำ�เภอลาดหญา้ จังหวัดกาญจนบรุ ี ถ่ินฐานเดิม ของพวกเขาอยใู่ นจงั หวดั กมั ปงโสม จงั หวดั ชายทะเลทางตะวนั ตกเฉยี งใตข้ องประเทศกมั พชู า โดยสนั นษิ ฐานวา่ ชาว ชอุงทอี่ ยใู่ นประเทศไทยอพยพเขา้ มาในช่วงเวลาของสงครามอานามสยามยทุ ธราวพทุ ธศักราช ๒๓๗๔ – ๒๓๘๗ โดยพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพนำ�ชาวชอุงเดินทางจากตะวันออกสู่จังหวัดกาญจนบุรี สดุ แดนตะวนั ตกของประเทศไทย และใหต้ งั้ บา้ นเรอื นอยบู่ รเิ วณรมิ แมน่ าํ้ แคว อ�ำ เภอลาดหญา้ กอ่ นทช่ี าวชองุ กลมุ่ ใหญ่ จะยา้ ยไปยงั อ�ำ เภอศรสี วสั ดใ์ิ นปจั จบุ นั พวกเขาเปน็ ทรี่ จู้ กั ในชอ่ื อดู ขา่ สะอดู ชองอดู หรอื นาอดู ค�ำ วา่ อดู มคี วามหมาย ในภาษาชอุงว่า “ไม้ฟืน” พวกเขาเรียกตนเองว่า ชอุ์ง และไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกว่า อูด หรือ สะโอจ (ตามเอกสาร เกา่ อา้ งทถ่ี งึ ชาวชองุ ในประเทศกมั พูชา) ซ่ึงมคี วามหมายในเชงิ ดูถูก ภาษาชอุงจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติกสาขามอญ-เขมร กลุ่มย่อยเปียริก เช่นเดียวกับภาษาชอง จงั หวดั จนั ทบุรี ภาษากะซองและภาษาซมั เรจงั หวัดตราด ทั้งสีภ่ าษามคี วามใกลเ้ คียงกนั มาก เชน่ “คน” ภาษาชองุ ว่า กะเจม่ิ , ชอุ์ง ภาษาชองวา่ กะช่มึ , ชอ์ ง ภาษากะซองวา่ กะซมึ่ และภาษาซัมเรวา่ กะซุ้มภาษาชองุ มีพยัญชนะต้น ๒๑ หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะสะกด ๑๓ หนว่ ยเสยี ง พยญั ชนะประสม ๙ หนว่ ยเสยี ง สระเสยี งสน้ั และยาว ๑๘ หนว่ ยเสยี ง โดยมีพยัญชนะสะกดท่ีเป็นลักษณะของภาษากลุ่มมอญ-เขมร ได้แก่ <จ><ญ><ล>และ <ฮ> รวมท้ังมีลักษณะ นาํ้ เสยี งทเ่ี ปน็ ลกั ษณะส�ำ คญั ของภาษากลมุ่ น้ี ภาษาชองุ มลี กั ษณะนา้ํ เสยี ง ๔ แบบ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะนาํ้ เสยี งกลางปกติ เชน่ ตาก = ถ่วั , ลักษณะนํา้ เสียงสูงบีบ (เสียงปกตติ ามด้วยการกกั ของเสน้ เสยี ง) เชน่ ต้าก= ล้นิ , ลักษณะนํา้ เสียงตํา่ ใหญ่ (เสียงก้องมีลม) เช่น ต่าก= นํ้า, และลักษณะนํ้าเสียงตํ่ากระตุก (เสียงก้องมีลมตามด้วยการกักของเส้นเสียง) เช่น มู์ย = หน่งึ ลกั ษณะทางไวยากรณ์มีการเรียงประโยคแบบ ประธาน-กรยิ า-กรรม เช่น เอญ็ เจวทอ็ ง พงี เมว์ เออะ.เกลา “ฉนั – ไป – ตก (ปลา) – ปลา – ท่.ี บ่อ” ยงั มกี ารสร้างคำ�ด้วยการเติมหนว่ ยคำ�เตมิ หน้า (Prefix) ตามลกั ษณะ ภาษากลุ่มมอญ-เขมร ได้แก่ ปะ และ เออะ “ท”่ี ทแ่ี สดงการระบสุ ถานทข่ี องคำ�นาม และ เปงิ ทเ่ี ปลีย่ นจากค�ำ วา่ โฮจ “ตาย” ใหเ้ ป็น เปงิ โฮจ “ฆ่า” ลกั ษณะไวยากรณ์ท่ีน่าสนใจคอื การใชค้ ำ�ปฏิเสธ ๒ คำ� ประกบคำ�กรยิ าหรือกรยิ า วลี เชน่ ทก็ – บืด – เอฮ “ไม่ – ดี – ไม่” เปน็ ต้น ภาษาชอุงมคี วามใกล้ชิดกับภาษาชองมากกวา่ ภาษากะซองและ ซัมเร ทัง้ ลกั ษณะนํา้ เสยี ง ๔ ลักษณะ เชน่ คำ�วา่ เมว์ ทั้งในภาษาชอุงและชองมคี วามหมายว่า “ปลา” เหมอื นกัน มี วงศค์ �ำ ศพั ท์ทีค่ ลา้ ยคลงึ กัน เชน่ “ข้าวสุก” ภาษาชองุ และชองว่า ปล็อง ในขณะทภ่ี าษากะซองวา่ กลง และภาษา ซมั เรวา่ กล็อง รวมทัง้ การใชห้ น่วยค�ำ ปฏิเสธสองค�ำ ประกบกรยิ าวลเี ช่นเดยี วกบั ภาษาชอง แตกต่างกนั ทห่ี น่วยคำ�ที่ ใชใ้ นภาษาชองจะใชห้ น่วยค�ำ ซา้ํ กนั คือ อฮิ - อิฮ “ไม่ – ไม่” แต่ภาษาชอุงจะใช้ค�ำ ต่างกนั คอื ท็ก – เอฮ “ไม่ – ไม่” 22
คนชองุ มีวิถชี วี ติ ทเ่ี รียบงา่ ย ประกอบอาชพี เกษตรกรรม เชน่ ปลกู มะพร้าว พริก หมาก และจับปลาจากเข่อื น ศรนี ครนิ ทรไ์ ปขายตามฤดกู าล จ�ำ นวนประชากรชาวชองุ ทเี่ หลอื อยไู่ มม่ าก พวกเขาอยอู่ าศยั รว่ มกบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธอุ์ น่ื ๆ ในหมบู่ า้ นเดยี วกนั เชน่ ลาว กะเหรยี่ ง ขมุ รวมทง้ั ไทยทเ่ี ปน็ กลมุ่ ใหญก่ วา่ สง่ ผลใหช้ าวชองุ มจี �ำ นวนนอ้ ยลง ประเพณี วัฒนธรรมด้ังเดิมและภาษาที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มค่อยๆ สูญหายและกลมกลืนไปกับกลุ่มอ่ืนๆ ผู้พูดภาษา กลมุ่ สดุ ทา้ ยเปน็ ผสู้ งู อายุ ภาษาและวฒั นธรรมของชองุ ไมส่ ามารถสง่ ตอ่ ใหก้ บั ลกู หลาน คนชองุ รนุ่ ใหมม่ กั ออกมาหางาน ท�ำ ภายนอกหม่บู ้าน ภาษาไทยจงึ มบี ทบาทสำ�คญั กบั พวกเขามากกว่า ปจั จุบนั ภาษาชองุ ในประเทศไทยอยใู่ นสภาวะ วกิ ฤตรนุ แรง ไมแ่ ตกตา่ งไปจากภาษาซมั เร กะซอง และชอง ซง่ึ เปน็ กลมุ่ ภาษาเดยี วกนั รวมไปถงึ ภาษาชองุ ในประเทศ กมั พูชาด้วย นับว่ามโี อกาสนอ้ ยมากทีจ่ ะฟ้ืนฟภู าษาชองุ รวมท้งั วฒั นธรรมใหค้ งอย่ตู ่อไป เนอื่ งจากขาดทงั้ ผู้ถา่ ยทอด และผสู้ บื ทอด จงึ จ�ำ เปน็ อยา่ งเรง่ ดว่ นทจี่ ะมกี ารรวบรวมองคค์ วามรทู้ างภาษาและวฒั นธรรมชองุ ในประเทศไทยไวใ้ ห้ มากทสี่ ุด และจัดท�ำ เปน็ คลงั ขอ้ มลู เพื่อเปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของชาตติ อ่ ไป ภาษาชองุ ได้รับการข้ึนทะเบยี นเป็นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปีพุทธศกั ราช ๒๕๕๗ บา้ นเรอื นของชาวชอุง ชาวชองุ รนุ่ พ่อแมแ่ ละลูกหลาน 23
ภาษาซมั เร เรยี บเรียงโดย สุนี คำ�นวลศลิ ป์ ภาษาซมั เรมผี พู้ ูดตั้งถ่นิ ฐานอยใู่ นอ�ำ เภอบ่อไร่ จังหวดั ตราด ทีห่ มบู่ า้ นมะม่วง บ้านนนทรีย์ และบ้านคลองโอน เขตต�ำ บลนนทรยี เ์ ชอื่ วา่ ชาวซมั เรเปน็ คนพนื้ ถนิ่ แตด่ งั้ เดมิ อพยพมาจากบรเิ วณเทอื กเขาบรรทดั ในกมั พชู า ค�ำ วา่ ซมั เร มีความหมายว่า “คน (คนท�ำ นา)” เปน็ ชื่อที่ผูพ้ ูดเรยี กกลุ่มตนเองและภาษาของเขา แตบ่ คุ คลภายนอก เรียกว่า ชอง เชน่ เดยี วกบั กลมุ่ กะซองซงึ่ อยใู่ นต�ำ บลใกลๆ้ กนั ชาวบา้ นเองกย็ อมรบั ชอ่ื ทค่ี นภายนอกเรยี กกลมุ่ ตนไปดว้ ย ซงึ่ แทจ้ รงิ แล้วเปน็ คนละกลุม่ คนละภาษากนั ภาษาซมั เรเปน็ ภาษาในตระกลู ออสโตรเอเชยี ตกิ สาขามอญ-เขมร กลมุ่ ยอ่ ยเปยี รกิ เชน่ เดยี วกบั ภาษาชองและ กะซองทั้งสามภาษาน้ีมีความใกล้เคียงกันแต่ก็มีความแตกต่างในลักษณะทางภาษาซ่ึงเจ้าของภาษารู้สึกถึง ความแตกต่างอาทิเช่นคำ�ศัพท์ภาษาซัมเรมีพยัญชนะต้น ๒๑ หน่วยเสียง และพยัญชนะท้าย ๑๓ หน่วยเสียง โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ มกี ารใชต้ วั สะกด จ ญ และ ฮ ทแ่ี สดงลกั ษณะภาษาของกลมุ่ มอญ-เขมรอยา่ งชดั เจน ปจั จบุ นั ภาษา ซมั เรเปลยี่ นแปลงไปเปน็ ภาษาทม่ี วี รรณยกุ ต์ ใชร้ ะดบั เสยี งเปน็ ลกั ษณะเดน่ ในการแยกความหมายของค�ำ ซง่ึ แตกตา่ งไป จากภาษาชองและกะซอง (สุวไิ ล เปรมศรีรตั น์ และพรสวรรค์ พลอยแกว้ ๒๕๔๘: ๑๔-๑๖) เชน่ ซวง = รำ� ซว่ ง = ดม ซว้ ง = บอก เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ ามผพู้ ดู ภาษาซมั เรยงั มลี กั ษณะนา้ํ เสยี งผสมผสานทแ่ี สดงลกั ษณะดง้ั เดมิ ของภาษากลมุ่ มอญ- เขมร ทำ�ให้เกดิ เสียงท่ีผฟู้ ังรบั รถู้ ึงลักษณะเสยี ง เชน่ เสยี งทุ้ม เสยี งตาํ่ หรอื เสียงหนกั เสียงพ่นลม เปน็ ตน้ ควบคไู่ ปกบั ระดบั เสยี งหรอื วรรณยกุ ต์ การเรยี งค�ำ ในประโยคมลี กั ษณะแบบ ประธาน-กรยิ า-กรรม (SVO) เชน่ ฮวบ กลอ็ ง ฮอื นาน <กนิ -ข้าว-หรือ-ยัง> = กนิ ขา้ วหรือยัง จีว ติฮ น่ี ยบิ <ไป-ที-่ ไหน-มา> = ไปไหนมา โป่ ญา้ ย ปะซา จัมปี อนี นา่ ด <แก-พดู -ภาษา-อะไร-ได-้ บ้าง> = คณุ พูดภาษาอะไรได้บ้าง เว่ย คีน ตอ่ ปี <ต-ี ลูก-ทำ�ไม> = ตลี ูกทำ�ไม เป็นตน้ วิถีชีวิตของกลุ่มซัมเรไม่ค่อยเป็นท่ีรู้จักของสังคมภายนอก แม้ว่าจะเป็นคนพื้นถิ่นท่ีอยู่มาช้านานในเขตแดน จังหวัดตราดและมีสัญชาติไทยกันทุกคน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพ้ืนท่ีท่ีพวกเขาอาศัยอยู่น้ันค่อนข้างทุรกันดารห่างไกล และยงั เปน็ เขตชายแดนคนซมั เรด�ำ รงชวี ติ ดว้ ยการหาอาหารจากธรรมชาตริ อบตวั และเกบ็ ของปา่ เชน่ หนอ่ ไม้ หวาย สัตวป์ ่า และสมนุ ไพรตา่ งๆ ไปขาย บางครอบครัวทมี่ ที ีด่ นิ ทำ�กินก็จะท�ำ ไร่สับปะรด ปลูกมันส�ำ ปะหลงั ผลไมย้ ืนตน้ ปลกู ขา้ วไวก้ นิ เองและขายบา้ ง บา้ งกห็ าเชา้ กนิ คา่ํ โดยการรบั จา้ งเหมอื นกบั คนทวั่ ไปในทอ้ งถน่ิ นน้ั นอกจากภาษาแลว้ กลมุ่ ซมั เรมวี ฒั นธรรมทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณพ์ วกเขามคี วามเชอื่ และนบั ถอื ผี ดงั นนั้ การประกอบพธิ กี รรมตา่ งๆ เกย่ี วกบั ชวี ติ จึงมักจะมีการเซน่ ไหว้ผี การเล่นผีแม่มดเป็นประเพณีท่ีส�ำ คญั ของคนซัมเร เช่น เดยี วกับคนกะซองทมี่ กี ารเลน่ นีด้ ว้ ย เหมอื นกันแตอ่ าจแตกตา่ งกันในรายละเอยี ด 24
การเล่นผีแม่มดมีวัตถุประสงค์เพื่อปัดเป่าความเจ็บไข้ให้หายไปจากคนป่วยตามความเช่ือของกลุ่ม คนที่เข้า ป่าแล้วเกิดทำ�สิ่งท่ีไม่ควรหรือไม่เคารพสิ่งศักด์ิสิทธิ์ผีจะตามมาและทำ�ให้เจ็บป่วย ในพิธีจะมีการเชิญผีแม่มดมาเข้า รา่ งทรงและบอกผชี ว่ ยใหห้ ายปว่ ยมกี ารเลน่ ตกี ลองและรอ้ งร�ำ กนั อยา่ งครกึ ครน้ื นบั เปน็ โอกาสทเ่ี พอื่ นบา้ นจะมารวม ตัวกัน ร่วมกันประกอบพิธีกรรมและร่วมสนุกสนานรื่นเริงทุกวันนี้ก็ยังคงมีการเล่นผีแม่มดโดยจะจัดในเดือนสามแต่ น่าเสียดายว่าท้ังภาษาและวัฒนธรรมด้ังเดิมหลายอย่างของชาวซัมเร กำ�ลังสูญหาย โดยเฉพาะภาษาซ่ึงเป็นเคร่ืองบ่งชี้ถึงชาติพันธ์ุที่สำ�คัญ ย่ิงและยังเป็นเคร่ืองบันทึกความรู้และภูมิปัญญาต่างๆ ปัจจุบันมี ผู้พดู ภาษาซมั เรในประเทศไทยประมาณ ๕๐ คน โดยผ้รู ภู้ าษาดีมีไม่ เกนิ ๑๐ คน ซง่ึ สว่ นใหญอ่ ายมุ ากกวา่ ๖๐ ปี เนอ่ื งจากผพู้ ดู ภาษาซมั เร เปน็ บคุ คลทวภิ าษาคอื พดู ภาษาซมั เรและภาษาไทย ทงั้ ยงั ใชภ้ าษาไทย มากกว่าภาษาของตนเอง เพราะอยู่ร่วมกับคนไทยอ่ืนๆ ในท้องถ่ิน ภาษาของตนจะใชใ้ นกลมุ่ ผสู้ งู อายทุ พี่ ดู ไดเ้ ทา่ นน้ั เดก็ ๆ เรยี นภาษาไทย จากโรงเรยี นและไมห่ ดั พดู ภาษาแมข่ องตนเลย คนวยั หนมุ่ สาวกไ็ มเ่ หน็ ความส�ำ คัญและรูส้ ึกวา่ ภาษาของตนเองดอ้ ยกว่าภาษาไทย ภาษาซัมเรนับเป็นภาษาในกลุ่มภาวะวิกฤตข้ันรุนแรง คาดได้ ว่าอีกหน่ึงหรือสองช่วงอายุคนคงจะสูญหายไปโอกาสท่ีจะฟ้ืนฟูให้คง อยู่ต่อไปเป็นไปได้ยาก เพราะขาดบุคคลที่จะร่วมสืบทอด จึงมีความ จ�ำ เปน็ อยา่ งยง่ิ ทจี่ ะตอ้ งมกี ารศกึ ษาและเกบ็ รวบรวมองคค์ วามรภู้ าษา และวัฒนธรรมกลุ่มซัมเรน้ีไว้ให้มากท่ีสุดและจัดทำ�เป็นคลังข้อมูล อนุรักษ์ และเพอื่ เผยแพร่เปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของชาตติ ่อไป ภาษาซัมเร ได้รับการข้ึนทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปีพุทธศกั ราช ๒๕๕๗ เอกสารอา้ งองิ พรสวรรค์ พลอยแก้ว. (๒๕๔๗). ศัพทานุกรมหมวดคำ�ศัพท์ภาษาซัมเร: สื่อสะท้อนโลกทัศน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ในภาวะวกิ ฤตขน้ั สดุ ทา้ ย. กรงุ เทพฯ : ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษาและส�ำ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั . สวุ ไิ ล เปรมศรรี ตั น์ และพรสวรรค์ พลอยแกว้ . (๒๕๔๘). สารานกุ รมกลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นประเทศไทย: กะซองและซมั เร. กรงุ เทพฯ: เอกพมิ พไ์ ทย จำ�กดั . 25
ผู้พดู ชาวซมั เร พิธีกรรมเกี่ยวกบั การรกั ษาอาการเจ็บปว่ ย 26
ภาษาโซ่ (ทะวงื ) เรยี บเรยี งโดย กมุ ารี ลาภอาภรณ์ ชาวโซ่ (ทะวงื ) ตงั้ ถน่ิ ฐานอยใู่ นเขตบ้านหนองมว่ ง บ้านหนองแวง และบา้ นหนองเจริญ ตำ�บลปทมุ วาปี อำ�เภอ สอ่ งดาว จงั หวัดสกลนคร ซง่ึ เปน็ พื้นทีท่ ี่มกี ล่มุ ชาตพิ ันธอุ์ ่ืน ๆ ต้ังถิ่นฐานอย่รู ่วมกัน ได้แก่ กล่มุ ภูไท กลมุ่ ญอ้ และ กลมุ่ ลาว ซงึ่ เปน็ กลมุ่ ชนทมี่ ปี ระวตั ศิ าสตรก์ ารอพยพมาจากประเทศลาวดว้ ยกนั โดยประชากรทยี่ งั คงพดู ภาษาโซ่ (ทะวงื ) มปี ระมาณ ๑,๐๐๐ คน สว่ นมากอยใู่ นกลมุ่ ผสู้ งู อายุ สว่ นกลมุ่ เดก็ และกลมุ่ เยาวชนสว่ นใหญแ่ ทบจะพดู ภาษาโซ่ (ทะวงื ) ไมไ่ ด้เลย นอกจากนี้ยงั เกิดการแตง่ งานข้ามกล่มุ ชาติพันธ์ุ ท�ำ ใหภ้ าษาโซ่ (ทะวงื ) ถกู ภาษาอนื่ กลืนไปอกี ระดับหน่งึ ภาษาโซ่ (ทะวืง) เป็นภาษาท่ีจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก สาขาเวียดติก ซึ่งอยู่ในสาขาเดียวกับ ภาษาเวียดนาม และมีลกั ษณะท่คี ล้ายคลงึ กนั หลายประการ ดงั ตวั ค�ำ นับ เชน่ มดู = หนงึ่ ฮา้ น = สอง ปา = สาม โป้น = สี่ ดัม = ห้า คำ�เรียกช่ือว่า โซ่ เป็นชื่อรวมที่ใช้เรียกกลุ่มชนหลายกลุ่ม และมีความสับสนในหลายพื้นท่ี โดยแบง่ ออกเป็น ๑) กลุม่ ทค่ี นภายนอกเรยี กวา่ โซ่ แตเ่ จ้าของภาษาเรยี กตนเองว่า บรู อาศัยอยู่ในจังหวัดมกุ ดาหาร และจงั หวดั สกลนคร ๒) กลมุ่ ทคี่ นภายนอกเรยี กวา่ โซ่ แตเ่ จา้ ของภาษาเรยี กตนเองวา่ ขา่ อาศยั อยใู่ นจงั หวดั มกุ ดาหาร ๓) กลุ่มท่ีคนภายนอกเรียกว่าโซ่ และเจ้าของภาษาเรียกตนเองว่าโซ่เช่นเดียวกัน อาศัยอยู่ในอำ�เภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ทั้งน้ีโดยภาษาท้ัง ๓ กลุ่มดังกล่าวอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติกเช่นเดียวกัน แต่คนละสาขากับ ภาษาโซ่ในตำ�บลปทุมวาปี ซึ่งภาษาโซ่ในตำ�บลปทุมวาปี เป็นภาษาเดียวกับภาษาของกลุ่มชนท่ีหมู่บ้านทะวืงใน ประเทศลาว จึงเรียกกลุ่มโซ่ในต�ำ บลปทมุ วาปีวา่ กลุม่ โซ่ (ทะวืง) ภาษาโซ่ (ทะวงื ) มีระบบเสียงทแี่ สดงลกั ษณะของภาษากลุ่มมอญ – เขมร สาขาเวยี ดตกิ โดยมพี ยัญชนะต้น ๑๙ เสียง และพยัญชนะสะกด ๑๑ เสียง มีลักษณะน้ําเสียง ๓ ลักษณะ ได้แก่ นํ้าเสียงปกติ นํ้าเสียงเครียดและ นา้ํ เสยี งทมุ้ เบา เชน่ ค�ำ วา่ ทะนู = ไข้ (นา้ํ เสยี งปกต)ิ แตกตา่ งจากค�ำ วา่ ทะนู้ = ตด (นา้ํ เสยี งเครยี ด) ค�ำ วา่ ซาม = นอ้ ง (นา้ํ เสียงปกติ) แตกตา่ งจากคำ�วา่ ซ้าม = แปด (น้าํ เสยี งเครยี ด) ค�ำ ว่า แตฮ = คลอดลกู (นาํ้ เสยี งปกต)ิ แตกต่างจาก คำ�ว่า แต่ฮ = ปลงิ (นํา้ เสยี งทุ้มเบา) เป็นตน้ นอกจากน้ีภาษานกี้ �ำ ลงั อยใู่ นช่วงของการพฒั นาระบบวรรณยุกต์จาก การได้รบั อทิ ธพิ ลจากภาษาไทย – ลาว ซงึ่ เปน็ ประชากรสว่ นใหญใ่ นท้องถ่ินหรอื บริเวณใกล้เคียงเป็นอยา่ งมาก เชน่ ค�ำ วา่ แกน = แกน่ ไม้ (เสยี งวรรณยุกตก์ ลางระดับ) ต่างจากค�ำ ว่า แกน้ = มด (เสียงวรรณยกุ ต์ข้ึน – ตก) มีตวั อย่าง คำ�ที่ระดบั เสียงสงู ข้ึน เชน่ กะแทะ = เกวียน หรอื ปะซฮั = เสอื่ เปน็ ตน้ 27
28
ในปจั จบุ นั ภาษาโซ่ (ทะวงื ) มภี าษาไทย – ลาวเขา้ มาปนในการใชภ้ าษามาก ทงั้ ค�ำ ศพั ทจ์ �ำ นวนมาก สว่ นลกั ษณะ ไวยากรณ์ก็มคี วามคลา้ ยคลึงกับภาษาไทย คำ�เชอื่ มขอ้ ความหรือประโยคก็มกั จะเป็นภาษาลาว นอกจากนยี้ งั ปรากฎ ชัดเจนว่าภาษาท่ีใช้ในกลุ่มของผู้สูงอายุจะต่างไปจากกลุ่มเยาวชน ท้ังคำ�ศัพท์ท่ีใช้และการใช้ลักษณะนํ้าเสียง เช่น ตะกอ้ ย = สตั วท์ มี่ เี ขา เชน่ ววั ในขณะทค่ี นรนุ่ ใหมไ่ มร่ จู้ กั และใชค้ �ำ วา่ งวั แทน ค�ำ เรยี ก พอ่ แม่ ทเ่ี ปน็ ภาษาโซ่ (ทะวงื ) ใช้คำ�วา่ อ็อง = พอ่ เม้อ = แม่ แตเ่ ยาวชนมักจะใช้คำ�วา่ (อ)ี โพะ = พอ่ (อ)ี เมะ = แม่ ซง่ึ เป็นค�ำ ภาษาญอ้ เปน็ ตน้ ชาวโซ่ (ทะวืง) แต่เดิมมีการนบั ถือผี และมีการเล้ียงผีทกุ ปีในวันขนึ้ ๓ คาํ่ เดือน ๓ ปัจจุบนั ชาวโซ่ (ทะวืง) ส่วนใหญ่ รวมถึงชาวญ้อ ภไู ท และลาวที่อาศยั ในตำ�บลปทมุ วาปี อำ�เภอสอ่ งดาว จงั หวดั สกลนคร นบั ถอื ศาสนาพุทธ และมีประเพณี พิธกี รรมตามแบบชาวอีสานท่ัวไปเช่นเดียวกัน เชน่ งานบุญผะเหวด งานบุญบั้งไฟ เปน็ ตน้ เครื่องแต่งกายของชาวโซ่ (ทะวืง) ในอดีตผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่น เกล้าผม สวมเส้ือผ้าฝ้ายคอกลม แขนยาว ตดิ กระดมุ เงนิ กระดมุ ทอง สว่ นผชู้ ายนงุ่ ผา้ โสรง่ สขี าว แบบโจงกระเบน สวมเสอื้ ผา้ ฝา้ ยคอกลม แตป่ จั จบุ นั การแตง่ กาย ของชาวโซ่ (ทะวงื ) เปลยี่ นแปลงไปตามยคุ สมัยแล้ว นอกจากนี้ชาวโซ่ (ทะวงื ) ยงั มอี งค์ความรูแ้ ละภมู ิปัญญาท้องถิน่ ท่สี ำ�คัญ ได้แก่ การสานเสอื่ ใบเตย และการรักษาโรคด้วยสมนุ ไพร รวมถงึ วิธีการรกั ษาแบบดั้งเดิม เช่น การเป่า และ การฝงั เข็ม เป็นตน้ ปัจจบุ ันในชุมชนยงั มภี มู ิปญั ญาท่ีมีองคค์ วามรู้เก่ียวกบั สมุนไพรและการรักษาโรคอยูจ่ �ำ นวนหน่ึง ภาษาโซ่ (ทะวืง) จดั เปน็ หนงึ่ ในภาษาทีอ่ ยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สญู หาย เนื่องจากมผี พู้ ดู ไดเ้ ปน็ จำ�นวนนอ้ ย และ เยาวชนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาของตนแล้วทำ�ให้ชาวโซ่ (ทะวืง) ได้มีความพยายามในการฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรม ของตนเองต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๘ จนถึงปัจจบุ นั ด�ำ เนินการในพืน้ ท่ีต�ำ บลปทุมวาปี อ�ำ เภอสอ่ งดาว จงั หวดั สกลนคร โดยมีการพัฒนาระบบเขยี นภาษาโซ่ (ทะวืง) ด้วยอักษรไทย การน�ำ ภาษาโซ่ (ทะวืง) เขา้ สรู่ ะบบโรงเรยี น การฟื้นฟู ภูมิปัญญาในการรักษาและดแู ลสุขภาพของชาวโซ่ (ทะวงื ) และการจัดทำ�ศนู ยก์ ารเรยี นรู้ภาษา – วัฒนธรรมชมุ ชน ซงึ่ ไดม้ กี ารท�ำ งานรว่ มกบั กลมุ่ ญอ้ ภไู ท และลาวในชมุ ชนอกี ดว้ ย การท�ำ งานฟน้ื ฟภู าษาและวฒั นธรรมของชมุ ชนดงั กลา่ ว ไดท้ ำ�ใหเ้ กดิ องคค์ วามร้ทู ้องถน่ิ ตลอดจนเกดิ การพัฒนาศักยภาพชมุ ชนโดยส่วนรวมอกี ดว้ ย ภาษาโซ่ (ทะวงื ) ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ 29
30
ภาษาญ้อ เรยี บเรียงโดย ผูช้ ่วยศาสตราจารยบ์ ญั ญัติ สาลี กลมุ่ ชาตพิ นั ธญุ์ อ้ แตเ่ ดมิ อาศยั อยเู่ ปน็ จ�ำ นวนมากในเมอื งหงสาและค�ำ มว่ น ซงึ่ เปน็ ดนิ แดนทอ่ี ยใู่ นประเทศลาว ต่อมาได้อพยพมาต้ังถ่ินฐานในเขตประเทศไทยบริเวณพ้ืนที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของไทย พบมกี ลุ่มชาตพิ ันธญุ์ อ้ ยา้ ยมาตัง้ ถน่ิ ฐานหลายจงั หวดั ได้แก่ หนองคาย อุดรธานี มหาสารคาม สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ขอนแกน่ นครสวรรค์ สระบุรี ปราจีนบุรี และสระแกว้ นอกจากน้ี ยงั พบวา่ มีกลมุ่ ชาติพันธญุ์ ้อ อาศยั อยู่ ในประเทศกมั พูชา ได้แก่ จังหวัดบนั ทายมีชัยและอดุ รมชี ัย ประเทศกมั พูชาอีกดว้ ย การย้ายถ่ินฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ญ้อมีสาเหตุมาจากการถูกเกณฑ์และอพยพมาในภายหลังเพื่อต้ังถิ่นฐาน ตามญาตพิ นี่ ้องทอ่ี าศัยอยู่ในพนื้ ที่ตา่ ง ๆ ของประเทศไทย โดยการอพยพแต่ละครง้ั จะมผี ู้น�ำ มาด้วย เชน่ ในปี พ.ศ. ๒๓๕๑ ญ้อเมืองท่าอุเทน มีทา้ วหมอ้ เป็นหวั หน้า ไดพ้ าลูกเมียและบา่ วไพร่จำ�นวน ๑๐๐ คน ต้งั บ้านเมอื งอยูท่ ป่ี าก แมน่ าํ้ สงครามซงึ่ อยใู่ นบรเิ วณพนื้ ทจ่ี งั หวดั นครพนม แตห่ ลงั จากนนั้ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ไดม้ กี ารอพยพกลบั ไปตง้ั ถนิ่ ฐาน อยู่ฝัง่ ซา้ ยแม่น้าํ โขงท่เี มอื งปงุ ลิง (ปัจจุบันอยู่ในแขวงค�ำ ม่วน ประเทศลาว) และในปี พ.ศ. ๒๓๗๑ ก็อพยพกลับมาตง้ั ถน่ิ ฐานในพืน้ ท่ีของเมืองไชยบรุ ี (ปัจจบุ ันเป็นแขวงไชยบรุ ี ประเทศลาว) ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ เจ้าเมืองหลวงปงุ ลงิ ได้พาครอบครัวและบ่าวไพร่ขา้ มแมน่ ้ําโขงมาประเทศไทยโดยพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยูห่ ัวทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ต้งั ถิน่ ฐานทเ่ี มอื งท่าอุเทน ปัจจบุ ันเปน็ อำ�เภอท่าอุเทน จงั หวดั นครพนม สว่ นหวั หน้าของกลมุ่ ชาตพิ นั ธุญ์ อ้ อีกกลุ่มหนึ่ง คอื พระค�ำ กอ้ น เจา้ เมอื งคำ�เกิด ประเทศลาวได้ขอสวามภิ กั ด์ิ ตอ่ กรงุ สยาม ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอย่หู วั ในปี พ.ศ. ๒๓๗๙ และในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ ได้อพยพ มาตั้งถ่ินฐานทเ่ี มืองท่าขอนยาง (ปัจจบุ ันเปน็ ต�ำ บลทา่ ขอนยาง อ�ำ เภอกนั ทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม) กลุ่มชาติพันธุ์ญ้อในประเทศไทยมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับคนไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากประเพณี ท่ีถือว่าเป็นเอกลักษณะเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ญ้อคือประเพณีไหลเรือไฟในวันข้ึน ๑๕ ค่ําเดือน ๑๑ หรือ วนั ออกพรรษา เรยี กวา่ “ไหลเฮอื่ ไฟ” นอกจากนี้ ยงั มวี ฒั นธรรมการละเลน่ ทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธญ์ุ อ้ คอื หมากโข่งโหล่ง หมากต่อไก่ หมากนู่เนียม ปาบกึ แลน่ มาฮาด หมอ่ จํา้ หมอ่ มี และหมากอีหมากอำ� การละเลน่ แต่ละ ประเภทจะมวี ธิ กี ารเลน่ และมเี พลงประกอบการละเลน่ ดว้ ย เชน่ การละเลน่ หมอ่ จาํ้ หมอ่ มี มเี พลงประกอบวา่ จม้ั หมอ่ มี่มาจีห่ มอ่ หม่น หักคอคนเซอหนา้ นกกด หน้านกกดหน้าลิงหนา้ ลาย หนา้ ผีพายหนา้ กิกหน้าก่อม หน้ากกิ (หน้าสน้ั ) หน้าก่อม (หนา้ กลม) ยอมแยะแตะปกี ผึง่ วะผ่งึ วะ (ซํ้าตงั้ แต่ตน้ ไปเร่อื ยๆ) เป็นตน้ 31
จากงานวจิ ยั เกยี่ วกบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธญ์ุ อ้ ของ บญั ญตั ิ สาลี และคณะ (๒๕๕๑) พบหลกั ฐานการตง้ั ถนิ่ ฐานของกลมุ่ ชาตพิ นั ธญุ์ อ้ ในหมบู่ า้ นทา่ ขอนยาง พบจารกึ ๒ แผน่ คอื จารกึ ใบเสมาและจารกึ บนฐานพระพทุ ธรปู ซง่ึ พบทว่ี ดั มหาผล บา้ นทา่ ขอนยาง ต�ำ บลทา่ ขอนยาง อำ�เภอกนั ทรวชิ ัย จังหวดั มหาสารคาม ในจารึกทงั้ ๒ หลักได้กล่าวถงึ เจ้าเมือง ทา่ ขอนยาง นามว่า พระสุวรรณภักดี ซึ่งเปน็ หวั หน้ากลุ่มชาตพิ นั ธ์ญุ ้อไดส้ ร้างพัทธสีมาและพระพุทธรปู ในจลุ ศกั ราช ๑๒๒๒ ลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของภาษาญ้อซ่ึงถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหน่ึงของภาษาญ้อ ได้แก่ เสียงสระ เออ ของค�ำ ทต่ี รงกบั เสียงสระ ใ –ของภาษาไทยมาตรฐาน (ถ่ายถอดเสียงเป็นอักษรไทยตาม ธนานันท์ ตรงดี, ๒๕๕๗) เชน่ หัวเจอ๋ = หัวใจ เฮอ = ให้ ผ้เู ญอ่ = ผ้ใู หญ่ ลกู เพอ่ หรอื ลุเพ่อ = ลกู สะใภ้ เส้อ = ใส่ เบ๋อ = ใบไม้ เม่อ = ใหม่ เสอ = ใส เตอ = ใต้ เกอ = ใกล้ เญ่อ = ใหญ่ เน้อ = ใน ลกั ษณะทโี่ ดดเดน่ อกี ประการหน่ึงก็คือ ค�ำ แสดงคำ�ถาม เชน่ เตอ/เบอะเตอ = อะไร น่ันเตอ / นัน่ เบอะเตอ = นนั่ อะไร เจา้ เฮด็ เตอ / เจา้ เฮ้อ เบอเต๋อ = คณุ ทำ�อะไร เฮ็ดเตอ = ทำ�ไม ถาม ข้อย เฮด็ เตอ = ถามฉันท�ำ ไม เลอ เลอ่ / จง้ั เลอ = อย่างไร เช่น เขา เว่อ เลอ เล่อ = เขาพูดอย่างไร แม่ ซิ เฮ็ด เลอ เลอ่ = แมจ่ ะทำ�อย่างไร เจา ซิ เวา่ จ้งั เลอ = คณุ จะพูดอย่างไร มือ่ เลอ = เมื่อใด/เมื่อไร เช่น เจา คึ้น เฮอื น มอื่ เลอ = คุณขึน้ บา้ นใหม่เม่อื ใด กะเลอ = ที่ไหน / ไหน เจา ซิ ไป กะเลอ =คณุ จะไปไหน คำ�ศพั ท์ท่ีใช้ในประโยคค�ำ ถามเก่ยี วกบั บคุ คล ใช้คำ�วา่ เพอ = ใคร เพอเลอ = ใคร สามารถใชท้ งั้ ขน้ึ ตน้ และ ลงท้ายประโยค เชน่ เพอ มา หา่ ข้อย = ใครมาหาฉนั เพอเลอ เอนิ้ ข้อย = ใครเรียกฉัน น่ันคอื เพอ = นั่นคอื ใคร เฮือนของเพอเลอ = บา้ นของใคร แมว้ า่ จะมกี ารใชภ้ าษาญอ้ ในชมุ ชนทอี่ ยู่ในพนื้ ทีต่ า่ งๆ ดงั กล่าวขา้ งตน้ แตผ่ ทู้ พี่ ดู ภาษาญอ้ เริม่ มจี �ำ นวนลดนอ้ ย ลงไปเรื่อยๆ หากไม่มีแนวทางในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และสืบทอด จึงจัดได้ว่า ภาษาญ้อเป็นภาษาหน่ึงที่อยู่ในภาวะ วิกฤต การฟื้นฟูและอนุรักษ์ภาษาจึงเป็นส่ิงที่จำ�เป็น จึงมีหน่วยงานหลายฝ่ายที่ร่วมกันฟ้ืนฟูและอนุรักษ์ทั้งท่ีเป็น งานวิจัยเพ่ือสร้างองค์ความรู้และกิจกรรมเสริมสร้างให้เกิดความสำ�นึกในการอนุรักษ์ภาษา ดังท่ีกลุ่มชาติพันธุ์ญ้อ ท่าขอนยาง อำ�เภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม จัดให้มีโครงการหลายประเภท เพื่อการฟ้ืนฟูและการอนุรักษ์ ภาษาญ้อ เช่น โครงการวิจัยเรื่อง การฟื้นฟูและการอนุรักษ์ภาษา ตำ�นาน ประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน และการละเล่น พ้ืนบ้านญ้อ บ้านท่าขอนยาง ตำ�บลขามเรียง อำ�เภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม นอกจากน้ียังมีการจัดศาลา วัฒนธรรมญ้อสร้างข้ึนเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมญ้อ ชุมนุมวัฒนธรรมญ้อก่อตัวขึ้นมาในโรงเรียน ประเพณีไหลเรือไฟ ไดร้ บั การฟนื้ ฟกู ารละเลน่ ญอ้ ปรากฏอยใู่ นลานวดั จดั ท�ำ ปา้ ยแหลง่ วฒั นธรรมญอ้ และรว่ มสรา้ งอาคารศนู ยก์ ารเรยี นรู้ วฒั นธรรมญอ้ ทา่ ขอนยาง ปฏบิ ตั กิ ารทางสงั คมของกลมุ่ ชาตพิ นั ธญุ์ อ้ เพอื่ การอนรุ กั ษแ์ ละฟนื้ ฟวู ฒั นธรรมและภาษาของตนเองทา่ มกลาง การสญู หายไปของภาษาและวฒั นธรรม จงึ ควรยกระดบั ภาษาญอ้ ขนึ้ เปน็ มรดกทางสงั คม เพอื่ จะไดส้ นบั สนนุ และเสรมิ แรงใจใหก้ ลุม่ ชาตพิ นั ธญ์ุ อ้ ได้รว่ มสร้างส�ำ นึก อนุรักษ์ และฟน้ื ฟูวฒั นธรรมของตนเองสืบไป ภาษาญอ้ ได้รบั การข้นึ ทะเบยี นเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๕๗ 32
การละเลน่ ปาบกึ แล่นมาฮาด 33
เอกสารอ้างอิง จ�ำ รูญ พัฒนศร. (๒๕๒๑). ประวัติเมอื งอรัญ (ตอนท่ี ๑). ปราจีนบุรี : โรงพมิ พ์ประเสรฐิ ศิร.ิ บัญญตั ิ สาลี และคณะ.(๒๕๕๑). การฟนื้ ฟูภาษา ต�ำ นาน การละเล่น และประวัติศาสตรท์ ้องถิน่ ญอ้ ทา่ ขอนยาง. กรงุ เทพฯ : สำ�นักงานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.). บญั ญัติ สาลี. (๒๕๕๔). ฮากเหงา้ เผ่าพันธุ์ ญ้อ บา้ นทา่ ขอนยาง : มมุ มองด้านภาษา ตำ�นานประวัตศิ าสตร์ท้องถิ่น และการละเล่นพืน้ บา้ นญ้อ ผา่ นงานวจิ ัยเพ่ือท้องถ่นิ . กรงุ เทพฯ: วนดิ าการพมิ พ์. ทมี วจิ ยั ไทญอ้ . (๒๕๕๑). รากเหงา้ เผา่ พนั ธญุ์ อ้ ทา่ ขอนยาง. มหาสารคาม : งานบรกิ ารวชิ าการ โครงการรปู แบบการ พฒั นาชุมชนรอบมหาวิทยาลยั อยา่ งย่ังยนื มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. ธนานันท์ ตรงดี และคณะ. (๒๕๕๐). การฟ้นื ฟแู ละการอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมญอ้ ท่าขอนยาง. รายงานการ วิจยั ฉบับสมบูรณ์ มหาสารคาม : คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ธนานนั ท์ ตรงด.ี (๒๕๕๗). เสนห่ ภ์ าษาญอ้ . เอกสารอัดสำ�เนา มหาสารคาม : คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. นนั ตพร นลิ จนิ ดา. (๒๕๓๒). การศกึ ษาเรอ่ื งศพั ทภ์ าษาญอ้ ในจงั หวดั สกลนคร นครพนม และปราจนี บรุ .ี วทิ ยานพิ นธ์ ศศ.ม. กรงุ เทพฯ :, มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. ป่ินกนก คำ�เรืองศรี. (๒๕๔๕). การแบ่งกลุ่มภาษาญ้อโดยใช้ระบบเสียงวรรณยุกต์เป็นเกณฑ์. การค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. พรวลี เข้มแข็ง. (๒๕๔๕). การศึกษาเสียงวรรณยุกต์ภาษาญ้อในผู้พูดที่มีอายุต่างกัน บ้านท่าขอนยาง อ�ำ เภอกันทรวชิ ัย จังหวดั มหาสารคาม. การศึกษาคน้ คว้าอิสระ (กศ.ม. ภาษาไทย)” พระสุขุม มัชชิกานัง. (๒๕๔๒). ลักษณะคำ�และการเรียงคำ�ในภาษาญ้อ หมู่บ้านท่าขอนยาง อำ�เภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม. วิทยานพิ นธ์ ศศ.ม. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. ศรีพนิ สริ วิ ิศษิ ฐก์ ลุ . (๒๕๒๙). ลักษณะภาษาย้อ (ญ้อ) ทต่ี �ำ บลคลองนํา้ ใส อ�ำ เภออรัญประเทศ จงั หวดั ปราจีนบรุ .ี วิทยานพิ นธ์ ศศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั ศิลปากร. 34
ภาษาญฮั กุร เรยี บเรียงโดย มยรุ ี ถาวรพัฒน์ ค�ำ วา่ “ญฮั กรุ ” แปลวา่ “คนภเู ขา” ญฮั แปลวา่ “คน” และ กรุ แปลวา่ “ภเู ขา” คนทว่ั ไปรจู้ กั คนกลมุ่ นใี้ นนาม “คนดง” หรอื “ชาวบน” ชาวญฮั กุรอาศัยอยใู่ นป่าบนภเู ขา เดิมเปน็ พรานป่าและย้ายท่ีอยูไ่ ปเรื่อย ๆ เคยอาศัยอยู่ ในปา่ แถบเทอื กเขาพงั เหย มีอาณาเขตทตี่ อ่ เน่อื งกนั ระหว่างภาคกลาง ไดแ้ ก่ จังหวัดลพบุรี ภาคเหนือ ได้แก่ จงั หวดั เพชรบูรณ์และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไดแ้ ก่ จงั หวดั ชัยภูมิ และจังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันพบชาวญฮั กุรอาศัย หนาแน่นในเขตอ�ำ เภอเทพสถติ จังหวดั ชยั ภูมิ ภาษาญฮั กรุ เปน็ ภาษาทอ่ี ยใู่ นตระกลู ออสโตรเอเชยี ตกิ สาขามอญ – เขมร สาขายอ่ ยโมนกิ มคี วามใกลเ้ คยี งกบั ภาษามอญซง่ึ อยู่ในสาขาเดียวกนั นักภาษาศาสตรเ์ ชงิ ประวัติ ไดแ้ ก่ ชอโต และ ดฟิ ฟลอด พบว่าภาษาญฮั กรุ ทพ่ี ดู กัน ในปจั จบุ นั มคี วามคลา้ ยคลงึ กบั ภาษามอญโบราณทปี่ รากฏอยใู่ นจารกึ สมยั ทวารวดที คี่ น้ พบในประเทศไทยเปน็ อยา่ ง มากจนเรยี กไดว้ า่ เปน็ ภาษาเดยี วกนั เนอื่ งจากนกั วชิ าการเชอื่ วา่ ภาษามอญโบราณเปน็ ภาษากลางของคนในยคุ ทวารวดี เมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว จึงทำ�ให้เช่ือได้ว่าชาวญัฮกุรน่าจะเป็นลูกหลานของคนมอญสมัยทวารวดีท่ียังหลง เหลอื อยู่ถึงปัจจบุ นั ภาษาญฮั กรุ มรี ะบบเสียงที่แสดงลกั ษณะภาษากลมุ่ มอญ – เขมรชดั เจน ท้ังพยัญชนะตน้ (๒๖ ตวั ) พยัญชนะ สะกด (๑๔ ตวั ) ภาษาญฮั กุรไม่มวี รรณยกุ ตแ์ ต่มีลักษณะนา้ํ เสยี ง โดยมีลักษณะนาํ้ เสยี ง ๒ ลกั ษณะ คือ ๑) ลกั ษณะ น้าํ เสียงใหญ่ทุ้มตา่ํ (เสียงก้อง มลี ม) เช่น ชุ่ร = แมลง, เนจ่ = ผ้า ๒) ลักษณะนา้ํ เสยี งปกติ และสูง-ตก เชน่ ชรุ = สนุ ขั , เนจ = เลก็ เปน็ ตน้ มพี ยญั ชนะตน้ นาสกิ อโฆษะนอกเหนอื จากพยญั ชนะตน้ นาสกิ โฆษะทพี่ บกนั ทวั่ ไป เชน่ ฮนยู = ลงิ , ฮมุม = หม,ี แฮรจ็ = เกีย่ ว (ข้าว) เสยี งสระในพยางค์เปิดตามหลังดว้ ยการกกั ของเสน้ เสียงเสมอท�ำ ใหเ้ สียงสระคอ่ น ข้างยาว เชน่ ฮี = บ้าน, ฮลา = ใบไม้, ฮวา = ชน้ิ เนอื้ และมเี สยี งพยัญชนะสะกดเปน็ เอกลักษณ์ของภาษากลมุ่ มอญ – เขมร เช่น ชุร = สนุ ขั , จีญ = ชา้ ง, ยลุ ยุล =ชะน,ี รฮิ่ = รากไม้, ปซั = เก้ง เปน็ ตน้ ไวยากรณ์ภาษาญฮั กรุ มลี ักษณะ การเรียงคำ�แบบประธาน – กรยิ า – กรรม เช่นเดยี วกบั ภาษากล่มุ มอญ – เขมรทัว่ ไป เชน่ ประโยควา่ แม่ะ พ่ะ โจว โดง เฮย <แม-่ พอ่ -กลับไป-หมบู่ า้ น-แล้ว> = พ่อแมก่ ลับบ้านไปแล้ว ชาวญฮั กรุ มอี งค์ความรเู้ กย่ี วกับปา่ สตั ว์ป่า พนั ธุพ์ ืชพน้ื บา้ น สมนุ ไพร และมีการละเลน่ พืน้ บา้ นซ่ึงเป็นการขับ เพลงของชาวญฮั กรุ โดยมเี สยี งเออ้ื นทไ่ี พเราะเปน็ เอกลกั ษณ์ เรยี กวา่ “ปา เร่ เร”่ มเี นอ้ื รอ้ งเปน็ ภาษาญฮั กรุ บรรยาย ถงึ ความงามของธรรมชาติ การเกยี้ วพาราสรี ะหวา่ งชายหญงิ การลาจากและการโหยหาอดตี ปจั จบุ นั มผี สู้ ามารถเลน่ และขับรอ้ งได้ไมม่ ากนัก 35
ปัจจุบันภาษาญัฮกุรอยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญ เนื่องจากการรุกคืบของคนต่างถ่ิน ต่างเช้ือสายที่เข้ามาอาศัย ปะปน และชาวญฮั กรุ บางสว่ นไดม้ กี ารยา้ ยถนิ่ ฐานกระจดั กระจายไปยงั พน้ื ทต่ี า่ ง ๆ ท�ำ ใหภ้ าษาและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ของชาวญฮั กรุ อยใู่ นภาวะถดถอย เยาวชนเรม่ิ มกี ารใชภ้ าษาแมข่ องตนนอ้ ยลงไปเรอื่ ย ๆ และใชภ้ าษาไทยเปน็ ภาษาพดู โดยส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ชาวญฮั กุรได้มีความพยายามฟืน้ ฟูภาษาและวฒั นธรรมของตนเอง ตั้งแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยไดม้ กี ารพฒั นาระบบตัวเขยี น การสร้างวรรณกรรมท้องถ่ิน การสอนภาษาญัฮกรุ ในโรงเรยี น และชุมชน เป็นต้น ภาษาญฮั กุร ได้รบั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรมของชาตปิ ระจ�ำ ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๕๕ การเรยี นการสอนภาษาญัฮกุรท้ังในโรงเรียนและในชมุ ชน 36
กลมุ่ ชาวญฮั กรุ กลมุ่ ชาวญัฮกรุ ในอำ�เภอเทพสถติ จงั หวัดชัยภมู ิ 37
ภาษาตากใบ (เจ๊ะเห) เรยี บเรยี งโดย คร่นื มณีโชติ ในภาคใตข้ องประเทศไทย นอกจากภาษาไทยถ่นิ ใต้ แลว้ ยังมีภาษาท่ีโดดเด่นอกี ๓ ภาษา ได้แก่ ภาษาตากใบ (เจะ๊ เห) ภาษาสะกอม และภาษาพเิ ทน มผี สู้ นั นษิ ฐานวา่ ภาษาทง้ั สามนมี้ คี วามเกยี่ วขอ้ งกนั แตย่ งั ไมม่ หี ลกั ฐานทช่ี ดั เจน ภาษาตากใบ (เจ๊ะเห) เป็นภาษาตระกูลไทท่ีพูดอยู่ในจังหวัดปัตตานี นราธิวาสตลอดไปถึงรัฐกลันตัน ประเทศ มาเลเซยี มจี �ำ นวนผพู้ ดู ประมาณหนงึ่ แสนคนเศษ เปน็ ภาษาทใ่ี ชศ้ พั ทแ์ ละส�ำ เนยี งบง่ บอกความเปน็ อตั ลกั ษณเ์ ฉพาะถน่ิ เป็นภาษาท่ีอยู่ท่ามกลางคนส่วนใหญ่ท่ีพูดภาษามลายูท้องถ่ิน ช่ือภาษาตากใบ(เจ๊ะเห) น่าจะมาจากการสำ�รวจของ นกั ภาษาศาสตร์ ท่พี บวา่ คนสว่ นใหญ่ในอำ�เภอตากใบพูดภาษาไทยทมี่ ีศพั ทส์ �ำ เนียงต่างจากภาษาไทยถ่นิ ใตท้ ว่ั ไป อ�ำ เภอตากใบตงั้ อยทู่ ต่ี �ำ บลเจะ๊ เหเปน็ อ�ำ เภอชายแดนหมบู่ า้ นเจะ๊ เหกบั บา้ นตาบาตดิ ตอ่ กบั รฐั กลนั ตนั ประเทศ มาเลเซยี โดยมแี มน่ า้ํ บางนราเปน็ เสน้ กนั้ อาณาเขต ในสมยั รชั กาลท่ี ๖ เรยี กอ�ำ เภอนว้ี า่ อ�ำ เภอเจะ๊ เห ตามชอื่ ต�ำ บลตอ่ มาเปลยี่ นชอื่ เปน็ อ�ำ เภอตากใบจนเทา่ ทกุ วนั นี้ ชาวบา้ นในอ�ำ เภอตากใบพดู ๒ ภาษาคอื ภาษาไทยและภาษามลายเู ชน่ เดียวกบั คนมาเลเซยี เชื้อสายไทยในรัฐกลนั ตัน ภาษาไทยท่ใี ช้พดู กนั นักวิชาการ เรยี กว่า “ภาษาตากใบ” ส่วนคนใน ทอ้ งถนิ่ เรยี ก “ภาษาเจะ๊ เห” และอกี ภาษาหนง่ึ ทคี่ นไทยแถบนใี้ ชค้ อื ภาษามลายถู น่ิ เชน่ เดยี วกบั ชาวไทยมสุ ลมิ ในสาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาษาตากใบ (เจ๊ะเห) นี้มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากภาษาสมัยสุโขทัย ปัจจุบันภาษาตากใบ (เจ๊ะเห) เปน็ ภาษาพดู ของคนไทยในจงั หวดั นราธวิ าส ปตั ตานแี ละรฐั กลนั ตนั ประเทศมาเลเซยี แบง่ เปน็ กลมุ่ ทอี่ ยใู่ นอ�ำ เภอเมอื ง อำ�เภอตากใบ อำ�เภอแว้ง อำ�เภอศรีสาคร อำ�เภอสุไหงโก-ลก อำ�เภอสุไหงปาดี อำ�เภอระแงะ อำ�เภอรือเสาะ อ�ำ เภอย่ีงอ และอำ�เภอบาเจาะ จังหวัดนราธวิ าส กลมุ่ ที่อยู่ในอ�ำ เภอไมแ้ ก่น อ�ำ เภอสายบรุ ี อ�ำ เภอปะนาเระ อ�ำ เภอ กะพอ้ และมายอ จงั หวดั ปตั ตานี และกลมุ่ ทอี่ ยใู่ นอ�ำ เภอตมุ ปตั อ�ำ เภอโกตาบารแู ละอ�ำ เภอบาเจาะ รฐั กลนั ตนั ประเทศ มาเลเซยี ประเพณดี ้งั เดมิ ของชาวไทยพุทธทีใ่ ชภ้ าษาตากใบท่ียงั ปฏิบตั ิอยู่ไดแ้ ก่ ประเพณีลาซังหรือลม้ ซัง เป็นประเพณี เฉลมิ ฉลองหลงั การเกบ็ เกยี่ วของชาวนา ประเพณไี หวห้ นา้ บา้ น เปน็ ประเพณไี หวท้ า้ วเวสสวุ ณั หรอื ทา้ วกเุ วร จะจดั ท�ำ พธิ ีประมาณเดือน ๙ ของทุกปี และประเพณรี บั เจา้ เข้าเมอื ง เปน็ ประเพณีรบั ปใี หมจ่ ดั ในวนั แรม ๑ คา่ํ เดือน ๕ ของ ทุกปี เพ่ือรบั เทวดามาปกปกั รกั ษาบา้ นเมืองและคมุ้ ครองผ้คู นใหอ้ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ เป็นต้น อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมท่ีโดดเด่นชัดเจนคือภาษาพูดนั่นเอง ภาษาตากใบเป็นภาษาตระกูลไทมีคำ�ศัพท์และ ส�ำ เนยี งเฉพาะของตน เชน่ มีเสยี งพยญั ชนะ ๒๓ หน่วยเสียง เสยี งวรรณยุกต์มี ๖ หน่วยเสยี ง ใช้พยญั ชนะควบกล้ํา ตา่ งจากภาษาถิน่ ใตท้ ่วั ไป เชน่ มลฺ ื่น = ลืน่ เมลฺ ือง = วาวเป็นมนั บฺลา, บลึ า = ท�ำ เชน่ บฺลาทำ�อีไหร = ท�ำ ไปท�ำ ไม 38
กืมฺรา้ํ = เครอ่ื งล่อ เชน่ ทำ�บ๊อกมื รฺ ํ้า = ท�ำ บ่อลอ่ ปลา กมึ รฺ า้ํ กงุ้ = ท�ำ เครอื่ งล่อดกั กงุ้ แมลฺ บ = ฟ้าแลบ หนว่ ยเสยี ง สระเสยี งสน้ั มี ๙ หนว่ ยเสยี ง สระเสียงยาวมี ๙ หนว่ ยเสียง และสระประสมมี ๓ หน่วยเสยี ง ตวั อยา่ งการออกเสยี ง ไอ [ai] ที่ปรากฏรปู วรรณยกุ ตเ์ อกและโท จะออกเสยี ง ไอ เปน็ อาย เชน่ ไก่ > ก๊าย ไข่ > ค้าย ไผ่ > พา้ ย ใหญ่ > หญ่าย เชน่ พุงหญ่าย = มคี รรภ์ เป็นตน้ ทใี่ ช้เฉพาะในภาษาตากใบมีหลายคำ�ท่ีต่างจากภาษาถนิ่ ใตท้ ่ัวไป เช่น ดอย = ตาย กะด๊อก, กึดอ๊ ก = วา่ งเปล่า องั๋ กะปั๋ง, อัง๋ กปึ งั๋ = คดิ อะไรไม่ออก ผ้าปลอ่ ย หรือ ผ้ารดั กพื ดั = ผ้าขาวม้า ผ้าม่นิ ป้อ = ผา้ เช็ดหนา้ โลกกะจ๋นี , โลกกจึ ี๋น = พริกขห้ี นู กล้วยหลา = มะละกอ เชียกเอ๋ว = เข็มขัด ไฟบ๊บี = ไฟฉาย เป็นต้น นอกจากน้ีสงั เกตพบวา่ ในภาษาตากใบ (เจะ๊ เห) มกี ารใช้และเติมพยางค์หน้า (prefix) ตา่ งจากภาษาถนิ่ ใต้ท่ัวไป และพยางคท์ เ่ี ตมิ นี้ จะเปน็ ส�ำ เนียงที่บ่งบอกว่าผู้พูดอยใู่ นทอ้ งถิ่นใดเชน่ กะ กึ ก,ื ยะ ยึ ยือ, สะ สึ ซ,ื ตะ ตึ ตื, ปะ ปิ ปึ ป,ื เช่น กระบอก ใช้ กะ บ๊อก กบึ อ๊ ก, ป๋ยุ ใช้ กยึ า บืยา พึยา พยื า มะยา, สะพาน ใช้ ตะพาน ตพึ าน สพึ าน ตืพาน, สวรรค์ ใช้ กหื วนั สึหวนั ซืหวนั เป็นต้น และคำ�บางคำ�แมเ้ ติมพยางค์หน้า ก็ไมท่ �ำ ใหค้ วามหมายเปลี่ยนไป เช่น ยาม(เวลา) ใช้ กึยา๋ ม ปียา๋ ม ปยี ๋าม ด่วน ใช้ กะดว๊ น กึด๊วน กืด๊วน เป็นต้น นอกจากนี้ เนื่องจากดินแดนตากใบเคยเป็นที่ตั้งหัวเมืองมลายูมาก่อน และอยู่ใกล้ประเทศมาเลเซียท่ีใช้ ภาษามลายู จงึ มีคำ�ยืมจากมลายจู ำ�นวนมาก เช่น โตะ๊ บดิ ัน = หมอต�ำ แย ยาคง, รืคง = ขา้ วโพด แตแหร, กแื หร = มะม่วงหมิ พานต์ โลกกึม,ู โลกยา้ มู = ลูกชมพู่ ตีหมา, กหึ มาเตา๊ ะ = ภาชนะท�ำ ด้วยกาบหลาวชะโอนหรือกาบหมาก ใช้ตักนํา้ จากบ่อ กอตะ = กลอ่ ง เบ๊ะ = กระเปา๋ ยา่ ม ลาต้า = บา้ จ้ี กอหรัง = ขาด ยาดี = ตกลง รุฆี = ขาดทนุ แบงอ็ ง = งง ช่ือปลาทะเล เชน่ ปลาสหึ ลากุหนิง, ซาหลากุหนิง = ปลาขา้ งเหลือง ปลากโึ หมง = ปลาทู ปลาหยอ = ปลาทูน่า ปลาต้าหมนั , ปลาตอื หมนั = ปลาหลังเขียว ปลาบาวา = ปลาจาระเมด็ เปน็ ตน้ ภาษาตากใบบางค�ำ เปน็ ค�ำ ศัพทไ์ ทยโบราณ และค�ำ ไทยทใี่ ช้เปน็ ราชาศัพท์ เช่น แหน็บเพลาหรือแหนด็ เพลา = กางเกง กลด = ร่ม ประสตู ิ = เกดิ (ใช้ทัง้ คนและสตั ว)์ ยาตรา = เดนิ นั่งแพงเชงิ = นัง่ ขดั สมาธิ ประโยคค�ำ ถามในภาษาตากใบ(เจ๊ะเห) ตา่ งกับประโยคคำ�ถามในภาษาถิ่นใต้ทัว่ ไป คอื ใชค้ ำ�ว่า หมี,หมิ เปน็ คำ� ลงท้ายแทนค�ำ วา่ ไหม ของภาษาไทยภาคกลาง เชน่ ชา่ ยหมี = ใชไ่ หม กนิ ขา้ วแลว้ หมี = กินข้าวแลว้ หรือยงั ปจั จบุ นั การใชภ้ าษาตากใบ (เจ๊ะเห) เปลี่ยนแปลงไปมาก เนือ่ งจากอิทธพิ ลของการศึกษาและเทคโนโลยีการ ตดิ ตอ่ สื่อสาร ค�ำ ศพั ท์บางคำ�จงึ เลอื นหายไป คนรุน่ ใหมจ่ ะใชค้ ำ�ภาษาไทยมาตรฐานมากขึน้ เช่น พู่น ใช้ โคม กึลามัง หรือ (กะลามงั ) กหื ลำ�, กหึ ล�ำ ใช้ ท้าด (ถาด) กหื นี, กหึ นี ใช้ กานาํ้ นาํ้ ป๊าร้า ใช้ นา้ํ บูดู โลกกืจี๋น ใช้ พรกิ ล้อกเก๊าะ แกแร็ต ใช้ บหุ รี (บหุ ร)่ี โลกกึไต๋ซ็อก ใช้ ลูกต๋อดอ๋ ง (สะตอดอง) โลกนา้ํ เต้าปึง้าด ใช้ ลูกฟักทอง เป็นต้น ดว้ ยเหตนุ ีจ้ งึ มคี วามพยายามของเจ้าของภาษาและนักวชิ าการท่รี กั หวงแหนภาษาตากใบ (เจะ๊ เห) จึงได้รวบรวมอนุรักษแ์ ละฟ้นื ฟู ภาษาอันเป็นศิลปวฒั นธรรมของตนไวเ้ พอื่ เปน็ มรดกของชาติสบื ไป ภาษาตากใบ (เจะ๊ เห) ได้รบั การข้ึนทะเบียนเปน็ มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ 39
40
ภาษาไทยโคราช/ไทยเบ้งิ เรยี บเรยี งโดย รองศาสตราจารย์ชลธิชา บำ�รุงรกั ษ์ และ มยุรี ถาวรพฒั น์ ภาษาไทยโคราช/ภาษาไทยเบง้ิ เปน็ ภาษาไทยถิ่นหนง่ึ ในภาษาตระกลู ไท กลมุ่ คนท่ีพูดภาษานีส้ ว่ นใหญอ่ าศยั อยใู่ นจงั หวดั นครราชสมี า ยกเวน้ อ�ำ เภอบวั ใหญ่ และอ�ำ เภอปกั ธงชยั ซงึ่ ใชภ้ าษาไทยถน่ิ อสี าน และมบี างสว่ นในจงั หวดั ชัยภมู ิ เชน่ อำ�เภอจัตรุ ัส และอำ�เภอบำ�เหน็จณรงค์ ในจังหวัดบุรรี มั ย์ เช่น อำ�เภอนางรอง อ�ำ เภอพทุ ไธสง อำ�เภอ ล�ำ ปลายมาศ อ�ำ เภอสะตกึ และยงั มผี พู้ ดู บางสว่ นในจงั หวดั ปราจนี บรุ ี โดยจะเรยี กภาษาทใ่ี ชพ้ ดู วา่ “ภาษาไทยโคราช” ส่วนกลุ่มคนท่ีอาศัยอยู่ในจังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรีและจังหวัดสุรินทร์ จะเรียกภาษาและกลุ่มคนว่า “ไทยเบ้ิง” อย่างไรก็ตามจากหลักฐานการศึกษาพบวา่ ภาษาไทยโคราชกับภาษาไทยเบ้ิงเปน็ ภาษาเดียวกนั ภาษาไทยโคราช/ภาษาไทยเบิ้ง มีลักษณะบางประการคล้ายคลึงกับภาษาไทยกลางหรือภาษาไทยกรุงเทพ เนื่องจากเป็นพ้ืนท่ีท่ีมีเขตติดต่อกับภาคกลางของประเทศไทยและภาษาท่ีใช้มีหลายภาษาเช่น ภาษาไทยถิ่นอีสาน ภาษาเขมรถนิ่ ไทย จงึ ท�ำ ใหภ้ าษาไทยโคราช/ภาษาไทยเบงิ้ มลี กั ษณะบางสว่ นคลา้ ยคลงึ กบั ภาษาไทยถน่ิ อสี าน ตลอดจน มีคำ�ศัพท์ภาษาเขมรปะปนอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม คำ�ศัพท์ที่ใช้เฉพาะในภาษาไทยโคราช/ภาษาไทยเบิ้งยังมีจำ�นวน มาก เชน่ อีนาง = คำ�เรยี ก เดก็ ผูห้ ญิง ไอ้นาย = คำ�เรียกเด็กผูช้ าย กะโผง่ แกม้ = กระพุ้งแกม้ โขนงหัว = หนังศรี ษะ ประแจ = กญุ แจ เกอื ก = รองเทา้ ละกอ = มะละกอ สเี ดอื น = ไสเ้ ดือน เห่อื = เหงื่อ ฟ้าแขยบ = ฟา้ ร้อง ปะ๊ = พบ ฉก = ขโมย หนา้ จะหรนึ = หน้าทะเล้น หน้ามนึ = หนา้ ด้าน กะเหลินเปิน = ซุม่ ซ่าม เปน็ ตน้ ภาษาไทยโคราช/ภาษาไทยเบ้ิง มีหนว่ ยเสียงพยัญชนะต้น ๒๑ หนว่ ยเสยี ง คอื /ก จ ต ป อ ค ช ท พ ด บ ซ ฟ ฮ ม น ง ล ร ย ว/ ปรากฏเสยี งควบกลํา้ /ร ล/ ไมป่ รากฏเสยี งควบกลา้ํ /ว/ สระเดีย่ วมี ๑๘ หนว่ ยเสยี ง คือ /อะ อา อิ อี อึ ออื อุ อู เอะ เอ แอะ แอ เออะ เออ เอาะ ออ ไอ/ใอ เอา/ ส่วนสระประสม มี ๓ หน่วยเสยี ง คือ /เอีย เอือ อวั / หนว่ ยเสียงวรรณยุกตม์ ี ๔-๖ หนว่ ยเสียง ส่วนไวยากรณ์มลี กั ษณะการเรยี งคำ�แบบประธาน – กรยิ า – กรรม นอกจากนม้ี ีการใชล้ กั ษณะภาษาท่เี ปน็ ลักษณะเฉพาะ เช่น จั๊ก จ๊ักแหลว่ จกั๊ เด่ = ไมร่ ู้ ยังงน้ั ดอกนิ = อยา่ งนัน้ หรือ ยังงี้ดอกวา = อยา่ งนี้หรอกหรอื ประโยคคำ�ถามท่ถี ามจำ�นวนใช้ จั๊ก เชน่ อนั นจ้ี ัก๊ บาท = อนั นร้ี าคาเท่าไร ประโยค ปฏิเสธ ใช้ ดอก เชน่ ไม่ถกู ดอก = ไมถ่ ูกนะ ใช้ เด้อ ทา้ ยประโยคแจ้งให้ทราบ เช่น ไปละเดอ้ มาอีกเด้อ มคี ำ�ลงท้าย เบงิ้ = บา้ ง เชน่ ฉนั ขอกินเบงิ้ = ฉันขอกนิ บ้าง ส�ำ นวน พอสมมาพาควร = พอหอมปากหอมคอ หาอยู่หากนิ = ทำ�มาหากนิ ขี้สบรอ่ ง = ไดจ้ ังหวะพอดี ไกลโพด = ไกลเกนิ ไป น้อยจ่น = นอ้ ยเกินไป 41
Search