Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 - เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น Introduction to Economics (1)

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 - เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น Introduction to Economics (1)

Published by Pipatphong Songprom, 2021-01-26 03:39:28

Description: หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 - เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น Introduction to Economics (1)

Search

Read the Text Version

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 เศรษฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ Introduction to Economics

หนังสอื เลม่ น้ีจัดทําขึน้ มาเพอ่ื เปน็ สอ่ื การเรยี นการสอนใน รายวิชา เศรษฐศาสตร์ (ส31103) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 เพอื่ ใหไ้ ดค้ วามรใู้ นเรอื่ ง เศรษฐศาสตรเ์ บอื้ งต้นในหน่วยการ เรยี นรูท้ ่ี 1 และไดศ้ ึกษาอย่างเข้าใจเพอื่ ประโยชน์กับการเรยี น คณะผู้จดั ทาํ หวงั ว่า รายงานเลม่ น้ีจะเปน็ ประโยชน์กบั ผู้ อา่ น หรอื นักเรยี น ทก่ี ําลงั ศกึ ษาในเรอ่ื งนี้อยู่ หากมีขอ้ แนะนํา หรอื ผิดพลาดประการใด คณะผ้จู ัดทาํ ขอน้อมรบั ไวแ้ ละ ขออภยั มา ณ ทนี่ ี้ด้วย คณะผ้จู ดั ทํา 16/1/2564 1

สารบญั หน้า 1 หวั ขอ้ 2 คํานํา 3 สารบัญ 4 ความรเู้ บื้องต้นทางเศรษฐศาสตร์ 13 ความเปน็ มาของวชิ าเศรษฐศาสตร์ 16 ความสาํ คัญของวิชาเศรษฐศาสตร์ 20 ประโยชน์ของวชิ าเศรษฐศาสตร์ 22 ขอบข่ายของวชิ าเศรษฐศาสตร์ ความสมั พันธร์ ะหว่างเศรษฐศาสตรก์ บั 29 ศาสตรอ์ นื่ ๆ 30 ความรพู้ ื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ 46 ปจั จยั สาํ คญั ในการตดั สนิ ใจ 48 หน่วยเศรษฐกจิ 52 ปญั หาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ 56 เศรษฐกิจภาครฐั 57 ระบบเศรษฐกิจ 60 การวางแผนพฒั นาเศรษฐกิจ 68 กลไกราคา บรรณานกุ รม 2

ความรเู้ บอื้ งตน้ ทางเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ คือ การศกึ ษาเกยี่ วกบั วิธกี าร ควบคุมและกระจายทรพั ยากรของมนษุ ย์ คําวา่ เศรษฐศาสตรใ์ นภาษาองั กฤษคือ Economics มาจากคําวา่ Oikonomia ใน ภาษากรกี โบราณ ซ่ึงมีความหมายว่า การจดั ระเบยี บเรอ่ื งในบ้าน และ การบรหิ ารจัดการ ภาระหน้าที่ เดมิ ทีเศรษฐศาสตรเ์ ปน็ สว่ นหน่ึง ของสาขาวิชารฐั ศาสตร์ ทเี่ พ่งิ แยกออกมา เปน็ วชิ าของตัวเองช่วงปลายศตวรรษท่ี 19 3

ความเปน็ มาของวิชาเศรษฐศาสตร์ แนวความคดิ ทางเศรษฐศาสตรมีมา ตงั้ แตสมัยโบราณโดยแทรกอยูในขอ เขยี น และหนังสอื สอนศาสนาของนกั ปราชญใน สมัยนั้น เชน หลกั ปรัชญาของโซเครตีส (Socrates) เพลโต (Plato) ฯลฯ แตแนว ความคิดดงั กลา วถึง ยงั ไมถอื เปนหลกั หรือ ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร Socrates Plato 4

5

แผนที่แสดงการคา้ ขายแบบพาณิชย์นิยมของชาตยิ ุโรป 6

ต่อมาในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 18 อดัม สมทิ (Adam Smith) ศาสตราจารยแ์ หง่ มหาวิทยาลยั กลาสโกว์ ซ่ึงเปน็ แกนนําของนัก เศรษฐศาสตรส์ าํ นักคลาสสกิ (classical school) ไดเ้ ขยี น หนังสอื ชื่อ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations หรอื ทน่ี ิยมเรยี กสนั้ ๆวา่ The Wealth of Nations ใน ค.ศ. 1776 นับไดว้ ่าเปน็ ตําราเศรษฐศาสตรเ์ ล่ม แรกและยิง่ ใหญท่ ่ีสดุ เล่มหน่ึงของโลกมาจนถึงปัจจุบัน ซ่ึง ทาํ ใหอ้ ดัม สมทิ ได้รบั การยอมรบั และยกย่องให้เปน็ บิดาแหง่ วชิ า เศรษฐศาสตร์ แนวคดิ หลกั ของสาํ นักคลาสสกิ สนับสนนุ ระบบ เศรษฐกิจแบบเสรนี ิยม (laissez-faire) โดยจาํ กัดบทบาทของ รฐั บาลในด้านเศรษฐกจิ เพราะมีความเชื่อวา่ ระบบเศรษฐกจิ แบบ เสรนี ิยม จะทาํ ให้ประเทศพัฒนาไปได้ด้วยดี เศรษฐกจิ ของ ประเทศจะมีความม่งั คัง่ กต็ อ่ เม่ือรฐั บาลแทรกแซงหรอื มบี ทบาท ในกิจกรรมทางเศรษฐกจิ ให้น้อยท่สี ดุ (ไม่แทรกแซงเลยดที ส่ี ดุ ) รฐั บาลมหี น้าที่เพียงแตค่ อยอาํ นวยความสะดวก รกั ษาความสงบ เรยี บรอ้ ยของบา้ นเมอื ง และปอ้ งกันประเทศ ปลอ่ ยใหเ้ อกชน เปน็ ผดู้ ําเนินกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ อยา่ งเสรี นั่นคอื สมิทเช่ือใน พลงั งานกลไกตลาด (ราคา) หรอื ทเี่ ขาเรยี กว่า มอื ที่มองไม่เหน็ (invisible hand) อดัม สมทิ Adam Smith 1723 - 1790 7

การสอบสวนธรรมชาตแิ ละสาเหตุแห่งความมงั่ ค่งั ของประชาชาติ (องั กฤษ: An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations) หรอื มักเรยี กชื่อเรอ่ื งสนั้ วา่ ความมัง่ ค่งั ของ ประชาชาติ (องั กฤษ: The Wealth of Nations) ถูกตี พมิ พครง้ั แรกในปี 1776 ซ่ึงถกู เขยี นโดย Adam Smith 8

หลงั จากกลมุ่ ของสาํ นักคลาสสกิ กเ็ ปน็ กลมุ่ ของสาํ นัก นีโอคลาสสกิ (neoclassical school) ซึ่งเปน็ สาํ นัก เศรษฐศาสตรท์ ่กี อ่ ตวั และพฒั นาขน้ึ ในตอนปลายครสิ ต์ ศตวรรษท่ี 19 แนวคดิ หลกั ของสาํ นักนีโอคลาสสกิ สว่ นมาก สบื ตอ่ หรอื ดดั แปลงแกไ้ ขมาจากแนวคดิ ของสาํ นักคลาสสกิ โดยเช่ือว่าการแขง่ ขนั อย่างเสรจี ะเป็นแรงผลักดันให้ เศรษฐกิจมีความมง่ั คั่ง น่ันคือ สนับสนุนแนวคิดของระบบ เศรษฐกจิ แบบเสรี เช่นเดียวกับของสาํ นักคลาสสกิ นอกจาก นั้น ยงั เน้นใหเ้ ห็นว่าเน่ืองจากทรพั ยากรมจี ํานวนจํากัด ดงั นั้น ผู้บรโิ ภคจะตอ้ งพยายามเลอื กบรโิ ภคสนิ ค้าและบรกิ ารเพ่ือให้ ไดร้ บั ความพอใจสงู สดุ และเช่นเดยี วกนั ผู้ผลติ จะต้อง ตดั สนิ ใจเลอื กวธิ กี ารผลติ ที่ทาํ ให้เสยี ต้นทุนตาทสี่ ดุ หรอื ให้ได้ กําไรสงู สดุ น่ันคอื แตล่ ะฝา่ ยจะต้องพยายามใช้ทรพั ยากร อยา่ งคุม้ คา่ และประหยัดท่สี ดุ นักเศรษฐศาสตรท์ เ่ี ปน็ ผู้ วาง รากฐานแนวคิดที่สาํ คัญของสาํ นักนีโอคลาสสกิ คืออลั เฟรด มารแ์ ชลล์ อลั เฟรด มารแ์ ชลล์ Alfred Marshall 1842 - 1924 9

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตรข์ องท้งั สาํ นักคลาสสกิ และนีโอคลาสสกิ ต่างมคี วามเชื่อว่า อปุ ทานจะเปน็ ตวั สรา้ งอปุ สงค์ (supply creates its own demand) ซ่ึงแนวคิดดงั กลา่ วเปน็ ท่รี จู้ กั กนั ว่าคือ กฎของเซย์ (Say's law) ซึ่งมสี าระสาํ คญั ว่า อปุ ทานจะเปน็ ตัว กระต้นุ ใหเ้ กิดอปุ สงค์ กลา่ วคอื ไม่ว่า ผู้ผลติ จะผลติ สนิ คา้ หรอื บรกิ ารอะไรออกมาก็จะมผี ู้รบั ซ้ืออยู่ตลอด เวลา น่ันคอื จะไม่เกดิ ภาวะสนิ ค้าลน้ ตลาด ภาวะ เศรษฐกจิ ตกตา หรอื เกิดการวา่ งงาน ซึ่งตอ่ มาแนวความ คิดนี้ไมต่ รงกบั ความเปน็ จรงิ เนื่องจากเกดิ ภาวะ เศรษฐกจิ ตกตาอยา่ งรุนแรง เกิดปญั หาการว่างงาน จาํ นวนมากใน ค.ศ. 1930 ซ่ึงกฎของเซยไ์ มส่ ามารถ อธบิ ายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกจิ ทีเ่ กิดขึ้นดังกลา่ วได้ 10

จอห์น เคนส์ (John Keynes) แกนนําแนวคิดทาง เศรษฐศาสตรส์ ํานักเคนส์ (Keynesian Economics) ได้เขยี นหนังสือ ชื่อ The General Theory of Employment, Interest and Money ซึ่งถือวา่ เป็นตาํ ราเศรษฐศาสตรม์ หภาคเล่มแรกของโลก ใน ค.ศ. 1936 เพื่ออธบิ ายถึงสาเหตขุ องภาวะสนิ คา้ ล้นตลาด เศรษฐกิจตกตา และการว่างงานจํานวนมากตลอดจนวิธกี ารแก้ไข นับเปน็ ครง้ั แรกของ วงการเศรษฐศาสตรท์ ีไ่ ด้มีการศกึ ษาเศรษฐศาสตรโ์ ดยรวมของทง้ั ระบบ เศรษฐกจิ หรอื ของทั้งประเทศ เคนสม์ ีความเชื่อว่าแนวความคดิ ท่ถี ูกตอ้ ง คอื อปุ สงค์จะเปน็ ตวั กาํ หนดอปุ ทาน ซึ่งตรงข้ามกบั กฎของเซย์ โดยอปุ สงค์และอปุ ทานดงั กลา่ วเปน็ ตัวมวลรวมของท้ังประเทศ เคนสอ์ ธบิ ายว่า สาเหตุทีท่ าํ ใหเ้ กดิ ภาวะเศรษฐกจิ ตกตาคอื การท่ีระบบเศรษฐกิจมีอปุ สงค์ มวลรวมน้อยเกนิ ไป ดงั น้ันวธิ แี กไ้ ขคือการเพมิ่ อปุ สงค์มวลรวมของระบบ เศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการเงนิ การคลงั จะเหน็ ไดว้ า่ เคนสเ์ ปน็ นัก เศรษฐศาสตรค์ นแรกของโลกท่ีกลา่ วถึงหรอื ใหค้ วามสนใจกับเศรษฐกจิ มวลรวม อนั เปน็ มลู เหตุทีท่ ําให้มีการแยกศกึ ษาวิชาเศรษฐศาสตรอ์ อก เปน็ 2 ภาค คือ ภาคเศรษฐกจิ สว่ นยอ่ ยซึ่งเรยี กว่าเศรษฐศาสตร์ จลุ ภาค กับภาคเศรษฐกิจส่วนรวมซึ่งเรยี กวา่ เศรษฐศาสตรม์ หภาค และยกยอ่ ง ใหเ้ คนสเ์ ปน็ บิดาของวิชาเศรษฐศาสตรม์ หภาค จอห์น เคนส์ John Keynes 1883 - 1946 11

ทฤษฎีท่วั ไปเกย่ี วกบั การจา้ งงาน, ดอกเบยี้ และ เงินตรา (The General Theory of Employment, Interest and Money) ถกู ตีพิมพ์ครงั แรกในปี 1936 และหลงั จากน้ันก็ถกู ยอมรบั ว่าเปน็ ตําราเศรษฐศาสตรม์ หภาคเลม่ แรกของ โลก 12

ความสําคญั ของวชิ าเศรษฐศาสตร์ วิชาเศรษฐศาสตรม์ คี วามสาํ คัญ ตอ่ ท้งั บุคคลและประเทศชาตใิ น การตัดสนิ ใจเลอื กใช้ทรพั ยากรทีม่ ี จํากัดให้เกิดประโยชน์สูงสดุ ความ สาํ คญั ของวชิ าเศรษฐศาสตร์ สามารถแบง่ ได้เปน็ 2 ระดบั ดงั นี้ 1. ระดบั บุคคลมี ผู้ บรโิ ภคกบั ผผู้ ลติ 2. ระดับประเทศ 13

1) ในฐานะพลเมืองของประเทศ ทาํ ให้เขา้ ใจปญั หา เศรษฐกจิ ท่เี กิดขึ้น เข้าใจบทบาท และการดําเนินนโยบายเศรษฐกจิ ของรฐั บาล เพื่อจะได้ตอบ สนองนโยบายของรฐั ให้เปน็ ไปตาม เปา้ หมายท่วี างไว้ 1.1) ในฐานะผบู้ รโิ ภค ทาํ ให้ผบู้ รโิ ภคตัดสนิ ใจเลอื กสนิ คา้ / บรกิ ารที่ตนไดร้ บั ความพอใจ สงู สดุ ภายใตร้ ะดับรายได้ท่ีมีอยู่ เปน็ การใช้ทรพั ยากรอยา่ ง ประหยัดคุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากทส่ี ดุ และยงั ช่วยให้ผู้ บรโิ ภคเข้าใจสภาวะทางเศรษฐกจิ ท่ีเปลย่ี นแปลงและปรบั ตัวใหท้ ันต่อ สถานการณ์ท่ีเกิดข้นึ ตลอดจนรจู้ กั การออมแสวงหารายได้ และใช้จ่ายอย่างคุม้ ค่า 1.2)ในฐานะผู้ผลติ ทาํ ให้ผูผ้ ลติ ตดั สนิ ใจเลอื กใช้ทรพั ยากรท่ี มีอย่อู ย่างจํากัดไป ในการผลติ สนิ ค้า/บรกิ ารอย่างคุม้ ค่า ประหยัดและช่วยลดตน้ ทนุ การผลติ ทําให้ไดร้ บั กําไรเพิ่มขน้ึ และยงั ช่วยให้ผผู้ ลติ เข้าใจการเปลย่ี นแปลงของสภาวะทาง เศรษฐกจิ และปรบั ตวั ใหท้ นั ต่อ สถานการณ์การ เปลย่ี นแปลงทเ่ี กิดขนึ้ สามารถตัดสนิ ใจเลอื กลงทุน ดําเนิน ธรุ กิจไดอ้ ย่างเหมาะสมกบั สถานการณ์ 14

2. ระดับประเทศ ประเทศต่างๆไมว่ า่ จะรารวยหรอื ยากจนต่างกต็ อ้ ง ประสบปญั หาทางเศรษฐกิจด้วยกันท้ังน้ัน ซึ่งปญั หาเรานี้ตา่ งก็มี พื้นฐานมาจากการท่ที รพั ยากรมรี า้ นจาํ กดั และไม่เพยี งพอท่ีจะนํามา ผลติ เปน็ สนิ คา้ และบรกิ ารเพื่อสนองความต้องการของประชาชนได้ อย่างครบถ้วน ดงั น้ัน ความรทู้ างเศรษฐศาสตร์ จะช่วยรฐั บาลในการ จดั สรรทรพั ยากรให้เกิดประโยชน์สงู สดุ และช่วยประเทศชาติเมอื่ ตอ้ ง ประสบกับปญั หาเศรษฐกจิ อน่ื ๆ เช่น ปญั หาความยากจนของ ประชากร ปญั หาการว่างงาน ปญั หาคา่ ครองชีพที่สงู ขนึ้ เปน็ ต้น 15

ประโยชน์ของวชิ าเศรษฐศาสตร์ 1. ประโยชน์ทเี่ กิดกับผูศ้ กึ ษาโดยตรง ผ้ศู ึกษาจะเข้าใจหลกั ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ เขา้ ใจภาวะเศรษฐกจิ และการ เปลย่ี นแปลงของภาวะเศรษฐกจิ ทาํ ให้ปรบั ตัวเข้ากบั เหตุการณ์ การเปลย่ี นแปลงได้อย่างดี สามารถดาํ รงชีวติ ประจาํ วันได้ อย่างมหี ลกั เกณฑ์ 2. ประโยชน์ในฐานะผ้บู รโิ ภค ทําให้ผู้ บรโิ ภคตัดสนิ ใจเลอื กบรโิ ภคสนิ คา้ และ บรกิ ารที่ ตนไดร้ บั ความพอใจสงู สดุ ภาย ใต้ระดบั รายได้ทมี่ ีอยู่ เปน็ การใช้ ทรพั ยากรอยา่ งประหยดั คมุ้ คา่ และเกดิ ประโยชน์มากท่สี ดุ นอกจากนี้ช่วยใหผ้ ู้ บรโิ ภคเข้าใจการเปลยี่ นแปลงของ สภาวะเศรษฐกจิ และปรบั ตวั ใหท้ นั ตอ่ สถานการณ์การเปลย่ี นแปลงทเี่ กิดขน้ึ ตลอดจนรูจ้ ักการออม แสวงหารายได้ และรายจา่ ยอยา่ งค้มุ ค่า 16

3. ประโยชน์ในฐานะผผู้ ลติ ทาํ ใหผ้ ูผ้ ลติ ตัดสนิ ใจเลอื กใช้ ทรพั ยากรทม่ี ีอยู่อย่างจํากดั ไปในการผลติ สนิ คา้ และบรกิ าร อย่างคมุ้ ค่า ประหยัด ช่วยลดตน้ ทุนการผลติ ทําให้ธรุ กจิ ได้รบั กําไรเพิ่มขึ้น นอกจากน้ีช่วยให้ผ้ผู ลติ เขา้ ใจการเปลยี่ นแปลงของ สภาวะทางเศรษฐกจิ และปรบั ตวั ใหท้ นั ตอ่ สถานการณ์การท่ี เกิดขน้ึ สามารถตัดสนิ ใจเลอื กลงทนุ หรอื ดาํ เนินธรุ กจิ ไดอ้ ย่าง เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ 4. ประโยชน์ในฐานะรฐั บาล ทําให้ ผูบ้ รหิ ารเข้าใจลกั ษณะโครงสรา้ ง ทางเศรษฐกิจของประเทศ สามารถวิเคราะห์ถงึ สาเหตุของ ปญั หาทางเศรษฐกจิ และหา แนวทางแกไ้ ข โดยกําหนดออกมา เปน็ แผนและนโยบายทางเศรษฐกิจ ท่ีจะนําไปใช้ในการแก้ปญั หา ให้ เกิดประสทิ ธภิ าพและเกดิ ประโยชน์ สงู สดุ แกป่ ระเทศ 17

5. ประโยชน์ในฐานะพลเมืองของ ประเทศ ทําใหเ้ ข้าใจปญั หา เศรษฐกจิ ท่ีเกิดขึน้ ในบา้ นเมอื ง เขา้ ใจบทบาท 6.ในแงผ่ บู้ รหิ ารหรอื รฐั บาล หากมคี วามรูค้ วามเข้าใจดา้ นเศษรฐศาสตร์ เปน็ อยา่ งดีจะทาํ ให้สามารถจักดาร ปญั หาและวางแนวทางแกไ้ ข รวมท้ัง กาํ หนดทิศทางการพัฒนาเศษรฐกิจ ของประเทศได้อย่างเหมาะสมและมี ประสทิ ธภิ าพ 18

ขอบขา่ ยของวิชาเศรษฐศาสตร์ วชิ าเศรษฐศาสตรแ์ บ่งขอบขา่ ยของการ ศึกษาออกเปน็ 2 สาขาวิชาใหญๆ่ ได้แก่ เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาค และเศรษฐศาสตร์ มหภาค 1. เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาค (microeconomics) เปน็ การศกึ ษาถึงพฤตกิ รรมทางเศรษฐกิจ ในสว่ นยอ่ ยระดับบุคคล หรอื องค์กรธรุ กิจหน่วยใด หน่วยหน่ึง เช่น การศึกษาถึงพฤติกรรมผบู้ รโิ ภค พฤตกิ รรมผู้ผลติ เน้ือหาสว่ นใหญ่ของเศรษฐศาสตร์ จลุ ภาคจึงเปน็ เรอื่ งของการผลติ การบรโิ ภค การกําหนดราคาสนิ ค้า ตลาดสนิ ค้า และปจั จัยการ ผลติ ภายใต้การดาํ เนินการของตลาดตา่ งๆ เนื่องจากเศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาคสว่ นใหญ่จะเก่ยี วกบั การกาํ หนดราคาของสนิ คา้ และบรกิ ารหรอื ปจั จยั การผลติ ทําให้ในบางครงั้ เรยี กเศรษฐศาสตร์ จุลภาควา่ “ทฤษฎีราคา” 19

2. เศรษฐศาสตรม์ หภาค (macroeconomics) เปน็ การศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกจิ ทั้งในระบบในระดบั สว่ นรวมของประเทศ เช่น ศกึ ษารายไดป้ ระชาชาติ ปรมิ าณเงนิ ระดบั ราคาสนิ ค้าและบรกิ าร ความสมั พันธร์ ะหว่างรายได้ การ บรโิ ภค การออมและลงทุน การจา้ งงานดดยรวม การค้า ระหวา่ งประเทศ การหารายไดข้ องรฐั การใช้จ่ายของรฐั บาล และการพฒั นาเศรษฐกิจ นอกจากน้ียงั มีการศกึ ษาปญั หาการ ว่างงาน ปญั หาภาวะซบเซาของภาคธรุ กจิ ปญั หาเงินเฟอ้ เงินฝืด เปน็ ตน้ 20

ความสัมพันธร์ ะหวา่ งเศรษฐศาสตร์ กบั ศาสตรอ์ น่ื ๆ เศรษฐศาสตรเ์ ปน็ วิชาทางสงั คมศาสตร์ ทศ่ี ึกษาถึงพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของ มนษุ ย์ดังน้ันจึงมีความสัมพันธก์ ับ ศาสตรอ์ นื่ ๆ มากมายดงั ต่อไปนี้ 21

1. เศรษฐศาสตรส์ ัมพันธ์ กับรฐั ศาสตร์ การเมอื ง และกฎหมายอย่างใกลช้ ิด ในสมัยกอ่ นเรยี กวิชา เศรษฐศาสตรว์ า่ “เศรษฐศาสตรก์ ารเมือง” เพราะการคา้ เปน็ กิจกรรม ตา่ ง ๆ มกั ถูกรฐั บาลเข้า แทรกแซงเสมอ แม้กระทง่ั ในปจั จุบนั ก็เช่นกนั และมคี วามสมั พนั ธก์ ับกฎหมายใน แงท่ ี่ว่าการออกกฎหมาย บางเรอ่ื งอาจเกิดข้นึ จาก การพยายามทจี่ ะแกป้ ญั หา เศรษฐกิจ เช่น กฎหมาย การคา้ กาํ ไรเกนิ ควร กฎหมายคุ้มครองผูบ้ รโิ ภค กฎหมายค่าแรงข้ันตา เปน็ ตน้ 22

2. เศรษฐศาสตรม์ คี วาม สัมพนั ธก์ ับการบรหิ าร ธรุ กิจอย่างมาก เพราะใน การตัดสนิ ใจของนักธรุ กจิ ไมว่ ่าจะเปน็ การเลอื ก โครงการลงทนุ การกําหนด ปรมิ าณการผลติ และ กาํ หนดราคาสนิ คา้ จําเปน็ ต้องอาศัยหลกั เกณฑท์ าง เศรษฐศาสตรเ์ ข้าช่วยใน การตัดสนิ ใจ รวมทัง้ ตอ้ ง เข้าใจถงึ ระบบเศรษฐกจิ ภาวะเศรษฐกจิ ตลอดจน ปญั หาเศรษฐกิจ เพราะจะ มผี ลกระทบต่อการลงทุน โดยตรง 23

3. เศรษฐศาสตรม์ คี วาม สมั พนั ธก์ ับหลกั จติ วทิ ยา เพราะพฤติกรรมของมนษุ ย์ ในการตัดสนิ ปญั หา เศรษฐกจิ ตอ้ งคํานึงถงึ หลกั จิตวิทยาดว้ ย เช่น การ ต้ังราคาสนิ คา้ ใหล้ งท้าย ด้วย 9 199 299399 เปน็ ต้น เพื่อทาํ ให้ผู้บรโิ ภค รูส้ กึ ว่าสนิ คา้ มรี าคาถูกโดย เฉพาะ เมื่อเปรยี บเทียบกบั ค่แู ขง่ หรอื การมขี องแถม ใหก้ ับผู้บรโิ ภคถา้ ซ้ือ ปรมิ าณมาก เปน็ ตน้ 24

4. เศรษฐศาสตรก์ ับ ภมู ศิ าสตร์ การศึกษาวิชา เศรษฐศาสตรต์ ้องเก่ยี วกับ เรอื่ งทรพั ยากร ดนิ ฟา้ อากาศ ตลอดจนท่ตี ้ังของ หน่วยเศรษฐกจิ หรอื ประเทศต่าง ๆ ดังนั้นความ รทู้ างภูมศิ าสตรจ์ ึงสามารถ ช่วยใหน้ ักเศรษฐศาสตร์ วิเคราะหเ์ รอื่ งต่าง ๆ ไดด้ ยี ิ่ง ขึน้ เช่น การวเิ คราะห์ ปญั หาการค้าระหวา่ ง ประเทศ เปน็ ตน้ และ ทรพั ยากรธรรมชาตจิ ะมีค วามเกยี่ วขอ้ งกบั ความรู้ ทางภูมิศาสตรม์ าก 25

5. เศรษฐศาสตรก์ บั ประวตั ศิ าสตร์ การอาศยั เหตุการณ์ในประวตั ศิ าสตร์ เปน็ สงิ่ ช่วยอธบิ ายหรอื คาด คะเนเหตกุ ารณ์ทเี่ กดิ ข้ึนใน ปจั จุบันหรอื อาจเกดิ ขึน้ ใน อนาคต เหตุการณ์ใน ประวัติศาสตรอ์ าจเปน็ สงิ่ เตือนใจให้นักเศรษฐศาสตร์ ระลกึ วา่ ถา้ มีเหตุการณ์ อะไรเกิดข้ึนจะมีสง่ิ ใดเกิด ตามมาเพ่อื จะได้รบั เหตุการณ์น้ันได้ดยี งิ่ ขนึ้ 26

6. เศรษฐศาสตรก์ บั นิตศิ าสตร์ การออก กฎหมายบางอย่างหรอื โดยบางประเทศอาจ มีสว่ นจาํ กดั หรอื เปน็ อปุ สรรคตอ่ การดําเนิน การทางเศรษฐกจิ เช่น กฎหมายสงวนอาชีพ บางอย่าง หรอื แม้แต่การตรากฎหมายภาษี อากร กฎหมายการค้า กฎหมายสง่ เสรมิ การ ลงทุน การกาํ หนดอาณาเขตไมลท์ ะเล ระหวา่ งประเทศ เปน็ ต้น มีสว่ น กระทบกระเทอื นถงึ การดาํ เนินการทาง เศรษฐกจิ ของประเทศทีเ่ กยี่ วขอ้ งในทาํ นอง เดยี วกนั การจะออกกฎหมายอะไรอาจต้อง คาํ นึงถึงสถานะทางเศรษฐกิจวา่ เมื่อออก กฎหมายแลว้ จะมผี ลกระทบกระเทือนถงึ ประชาชนมากน้อยแคไ่ หน 27

7. เศรษฐศาสตรก์ บั จรยิ ศาสตร์ เนื่องจาก ศาสนามอี ทิ ธพิ ลเหนือการกระทําของคนมา นานแลว้ บทบญั ญตั ิทุกศาสนาลว้ นแตส่ อน ให้บคุ คลมีความเออ้ื เฟ้ อื เผอ่ื แผ่ช่วยเหลอื ซ่ึง กนั และกนั มใิ หเ้ อารดั เอาเปรยี บกนั สอนให้ คนละเวน้ ความโลภ ถา้ จะมองในเชิง เศรษฐศาสตร์ หมายความว่า ศาสนา ประณามการเอารดั เอาเปรยี บกนั ในการ ค้าขาย เช่น การค้ากาํ ไรเกินควร การ ปลอมแปลงสนิ คา้ การให้กู้ยมื โดยเรยี ก ดอกเบ้ยี สงู ๆ เปน็ ตน้ ซึ่งเปน็ วธิ กี ารทํานาบน หลงั คนแบบหน่ึง และเปน็ ผลเสยี แก่ เศรษฐกิจสว่ นรวม 28

ความรพู้ นื้ ฐานทางเศรษฐศาสตร์ ควมหมายของวชิ าเศรษฐศาสตร์ เปน็ วิชาทศี กึ ษาถงึ พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ เกีย่ วกับการเลอื กใช้ทรพั ยากรการผลติ ท่มี ีอยู่ อย่างจาํ กดั มาทําให้เกิดประโยชน์สงู สดุ โดย ผลติ สนิ ค้าและบรกิ ารข้ันสดุ ทา้ ย และ จาํ หน่ายจา่ ยแจกไปยังบุคคลกลมุ่ ตา่ งๆ ของ สงั คมหน่ึงๆ เพื่อสนองความต้องการของ มนษุ ย์ทม่ี ีอยู่อยา่ งไม่จาํ กัดให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพ สงู สดุ 29

1. ทรพั ยากรมจี ํากัด ทรพั ยากรในทางเศรษฐศาสตร์ เรยี กอกี อย่างหน่ึงว่า ทรพั ยากรการผลติ (productive resources) หรอื ปจั จยั การผลติ (factors of production) หมายถงึ สงิ่ ทนี่ ํามาใช้ใน การผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารเพื่อสอนงความต้องการของมนษุ ย์ ได้แก่ ทีด่ นิ (Land) ซ่ึงใชเป้ น็ ทีข่ องอาคารโรงงานที่ทําการ ผลติ รวมถงึ ทรพั ยากรทีอ่ ยู่ใน ดนิ โดยผลตอบแทน ของทดี่ ินไดแก้ ่ ค่าเช่า (Rent) แรงงาน (Labour) หมายถงึ ความคิดและกําลงั กาย ของมนษุ ยไ์ ดน้ ํา ไปใช้ในการผลติ โดยมี ผลตอบแทนคือ ค่าจา้ ง (Wage or Salary) 30

ผู้ประกอบการ(Entrepreneurship) หมายถงึ บุคคลท่สี ามารถนํา ปจั จยั การผลติ ตา่ ง ๆ มา ดาํ เนินการผลติ ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพทสี่ ดุ โดยอาศยั หลกั การบรหิ ารที่ดกี ารตัดสนิ ใจจากข้อมูลหรอื จาก เกณฑ์ มาตรฐานอยา่ งรอบคอบ รวมถึงความ รบั ผดิ ชอบ ผลตอบแทน คือกําไร (Profit) ทุน ( Capital) ในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง สงิ่ ก่อสรา้ งและเครอื่ งจกั รเครอื่ งมือที่ ใช้ในการผลติ นอกจากนี้ทนุ ยังแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1.เงินทุน (Money Capital) หมายถึงปรมิ าณเงนิ ตราท่ี เจ้าของเงนิ นา ไปซื้อวตั ถดุ ิบ จา่ ยค่าจา้ งค่าเช่า และดอกเบยี้ 2.สนิ ค้าประเภททนุ (Capital Goods) หมายถงึ สงิ่ กอ่ สรา้ งรวมถงึ เครอื่ งมือเครอื่ งจกั รทีใ่ ช้ในการผลติ เปน็ ต้น ผลตอบแทนจากเงินทนุ คอื ดอกเบี้ย (Interest) 31

2. ความตอ้ งการมีไม่จํากัด มนษุ ยโ์ ดยทัว้ ไปมีความต้องการ หรอื ความอยากไดอ้ ยู่ตลอดเวลาโดย ไม่มขี อบเขต เช่น เมื่อมปี จั จยั สค่ี อื เครอ่ื งน่งุ ห่ม อาหาร ยารกั ษาโรค และทีอ่ ยอู่ าศยั เพียงพอแลว้ ก็อยากได้ สงิ่ อาํ นวยความสะดวกสบาย สงิ่ ท่ีให้ ความเพลดิ เพลนิ บันเทิงใจ สงิ่ ทีจ่ ะ เชิดหน้าชูตาและยกระดบั ฐานะทาง สงั คมของตนและอน่ื ๆ ตอ่ ไปอกี ไม่มที ี่ สน้ิ สดุ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ เกี่ยว กับการตดั สนิ ใจในการผลติ การ กระจายและการแลกเปลย่ี นเกิดจาก ความพยายามทจี่ ะสนองความ ตอ้ งการอนั ไมจ่ าํ กดั ของมนษุ ย์ 32

ความตอ้ งการในทางเศรษฐศาสตร์ (economic wants) หมายถึง ความปรารถนาท่ีจะได้มาซ่ึงบางส่งิ บางอย่างท่มี ี อย่แู ลว้ แต่ไมเ่ พียงพอหรอื ไมม่ อี ยู่เลย และเราตอ้ งมีเงิน พอทจี่ ะซ้ือหามาได้ ความตอ้ งการของมนษุ ยเ์ ปน็ พน้ื ฐาน เบ้ืองตน้ ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือ การผลติ การกระจาย การแลกเปลย่ี น และการบรโิ ภค สว่ นความจําเปน็ ทาง เศรษฐศาสตร์ (economic needs) หมายถงึ ความจาํ เป็น ขัน้ พื้นฐานทีม่ นุษยต์ ้องมีไว้เพื่อสนองวามตอ้ งการใหส้ ามารถ ดาํ รงชีพไดต้ ามอตั ภาพ ได้แก่ ปจั จัยส่ี คอื อาหาร ทอ่ี ยู่ อาศัย เครอ่ื งนุ่งหม่ และยารกั ษาโรค สว่ นความตอ้ งการ เครอื่ งสาํ อาง เสอื่ ผ้าแฟชั่นราคาแพง เครอ่ื งประดบั มคี ่าเหลา่ นี้เปน็ ความต้องการทางเศรษฐศาสตรม์ ใิ ช่ความจําเปน็ ทาง เศรษฐศาสตร์ 33

3. ความขาดแคลน หากเรามีทรพั ยากรเหลา่ นี้อยู่ มากมายหรอื มไี ม่จาํ กดั เราก็สามารถ ผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารสนองตอบ ความตอ้ งการของคนในประเทศได้ อย่างเพียงพอ ปญั หาความ ขาดแคลน (scarcity) ในประเทศ ตา่ งๆ ก็ย่อมไมเ่ กิดขึน้ แต่ในความ เปน็ จรงิ น้ัน ความขาดแคลนและ ปญั หาเศรษฐกิจยงั คงมีอยทู่ ว่ั โลก เน่ืองจากทรพั ยากรการผลติ ของ ประเทศตา่ งๆ มีอยู่อยา่ งจาํ กดั แต่ ความตอ้ งการของคนเรามีมากมายไม่ จาํ กัดนั่นเอง 34

เนื่องจากทรพั ยากรทกุ ชนิดนําไป ใช้ประโยชน์ไดห้ ลายทาง จงึ เปน็ ทาง เลอื ก (choice) ประกอบกับการขาด สมดลุ ระหว่างทรพั ยากรกับความ ต้องการของมนษุ ย์ จงึ ตอ้ งมกี าร ตัดสนิ ใจเลอื กใช้ทรพั ยากรให้เกิด ประโยชน์สงู สดุ และเปน็ ทีพ่ งึ พอใจ ของคนสว่ นใหญ่ สว่ นทางด้านการ บรโิ ภคก็จะต้องตดั สนิ ใจเลอื กซ้ือ สนิ ค้าและบรกิ ารทม่ี ีประโยชน์ หรอื ให้ความพอใจแก่ตนเพอื่ ให้คุ้มคา่ เงนิ ที่ จ่ายไป 35

4. คา่ เสยี โอกาส การเลือกทุกกรณีจะมีต้นทนุ การ เลือก เรยี กวา่ ค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ซึ่งหมายถึง มลู ค่าของทางเลือกท่ดี ีท่ีสดุ ในการ ใช้รพั ยากร ที่ตอ้ งเสยี สละไปเม่อื ได้ ตัดสินใจเลือกทางเลอื กอน่ื มที ดี่ ินอยูแ่ ปลงหน่ึงถา้ ให้เขาเช่าจะได้ค่าเช่าปีละ 60,000 บาท ถา้ ปลกู ผกั จะมีรายไดป้ ีละ 12,000 บาท และถ้าปลกู พชื ไรจ่ ะมีรายได้ปีละ 10,000 บาท ดงั น้ัน ถา้ ให้เขาเช่า มีตน้ ทุนค่าเสยี โอกาสเปน็ รายได้จากการปลกู ผักปีละ 12,000 บาท (รายได้จากการปลกู ผกั สงู กว่าการปลกู พชื ไร)่ ถ้าปลกู ผกั มีต้นทุนคา่ เสยี โอกาสเปน็ คา่ เช่าปลี ะ 60,000 บาท (ราย ไดจ้ ากคา่ เช่าสงู กว่ารายไดจ้ ากการปลกู ผกั และปลกู พืชไร)่ ถา้ ปลกู พชื ไรม่ ีต้นทุนค่าเสยี โอกาส เปน็ ค่าเช่าปลี ะ 60,000 บาท (รายไดจ้ ากค่าเช่าสงู กวา่ รายได้จากการปลกู ผัก) 36

5. การเลอื ก ความหมายของการผลติ การผลติ (production) หมายถงึ การนําปจั จยั การผลติ ซ่ึงมี อย่จู ํากัด ไดแ้ ก่ ทีด่ นิ แรงงาน ทนุ และผ้ปู ระกอบการ มาผ่าน กระบวนการผลติ อยา่ งใดอย่างหนึ่ง เพ่ือผลติ เปน็ สนิ ค้าและ บรกิ ารประเภทเศรษฐทรพั ย์ (economic goods = เปน็ สนิ คา้ ทม่ี มี ลู ค่าคํานวณเปน็ ราคาซ้ือขาย เพราะมจี าํ นวนจํากดั ตรง ขา้ มกับทรพั ยเ์ สรี (free goods) ซ่ึงมีปรมิ าณเกนิ ความ ต้องการของมนษุ ย์ จงึ ไม่จําเปน็ ต้องคาํ นวณราคาซ้ือขาย) สาํ หรบั ผลติ สนองความต้องการของผูบ้ รโิ ภค (needs and wants) เช่น โรงงานนาตาลนําออ้ ยไปผา่ นกระบวนการผลติ รวมท้ังการใช้เครอ่ื งมือ เครอ่ื งจักร อปุ กรณ์ และแรงงานขน ย้าย ไดผ้ ลผลติ เปน็ นาตาลทราย เปน็ ต้น 37

ความสามารถของสนิ คา้ และบรกิ ารในการบาํ บดั ความ ต้องการของมนษุ ย์ ในทางเศรษฐศาสตรเ์ รยี กว่า อรรถประโยชน์ หรอื ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (utility) จงึ กลา่ วได้อกี นัยหนึ่งวา่ การผลติ ก็คอื การสรา้ งอรรถประโยชน์ (creation of utilities) จากปจั จยั การผลติ ต่างๆ นั่นเอง 1. ทดี่ นิ รวมถงึ สง่ิ ทเี่ กดิ ข้นึ จากธรรมชาติ ซึ่งมนษุ ยไ์ ม่ ได้สรา้ งข้นึ เช่น นา ปา่ ไม้ แรธ่ าตุ 2.ทนุ รวมถงึ เครอ่ื งมอื เครอ่ื งจกั ร อปุ กรณ์ และ สถานทีท่ ี่ใช้ในการผลติ หมายถงึ สงิ่ ท่มี นษย์สรา้ งขนึ้ สาํ หรบั ใช้รว่ มกับปจั จยั การผลติ อน่ื ๆ เพือ่ การผลติ สนิ ค้าและบรกิ าร 3. แรงงาน รวมถึงกาํ ลงั กายและกําลงั ความคดิ ของ คนที่ใช้ในการผลติ หมายถึง ความสามารถท้ังกําลงั กายและกาํ ลงั ความคิด ตลอดจนความรคู้ วาม ชํานาญของมนษุ ย์ ท่ีใช้ไปในการผลติ สนิ คา้ และ บรกิ าร 4. ผู้ประกอบการ คือ ผู้ทีน่ ําทด่ี นิ ทนุ แรงงาน มารว่ ม ดําเนินการผลติ ผู้ประกอบการ (entrepreneur) หมายถึง ผทู้ น่ี ําที่ดนิ แรงงาน และทนุ มาดาํ เนินการ ผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารเพือ่ สนองความตอ้ งการของผู้ บรโิ ภค 38

6. ความหมายของการบรโิ ภค และผบู้ รโิ ภค การบรโิ ภค (consumption) หมายถงึ การใช้ประโยชน์จาก สนิ คา้ และบรกิ าร เพ่อื สนองความตอ้ งการของผู้บรโิ ภค การ บรโิ ภคในทางเศรษฐศาสตรจ์ ึงมิไดห้ มายถึงเฉพาะการรบั ประทาน อาหารเทา่ น้ัน แต่ยงั รวมไปถงึ การใช้สนิ ค้าและบรกิ ารสนองความ ตอ้ งการของผู้บรโิ ภคโดยวธิ กี ารอนื่ ๆ ด้วย เช่น การด่มื เครอื่ งดมื่ การชมภาพยนตร์ การฟงั เพลง การดมนาหอม การอา่ น หนังสอื พิมพ์ การใช้ปากกา การซื้อเสอ้ื ผา้ การเช่าบา้ น การรบั บรกิ ารตรวจรกั ษา การโดยสารรถประจาํ ทาง เปน็ ต้น ผบู้ รโิ ภค (consumer) หมายถึง ผ้ซู ื้อสนิ คา้ และบรกิ ารเพ่อื สนองความตอ้ งการของตน จุดมุ่งหมายที่สาํ คญั ของผบู้ รโิ ภค คอื ความพอใจสงู สดุ จากการบรโิ ภคสนิ ค้าและบรกิ ารที่ซื้อมา คาํ ว่า ผบู้ รโิ ภค เปน็ คาํ กลางๆ ยงั มคี ําอน่ื ๆ ทใ่ี ช้เรยี กผู้บรโิ ภคใน ลกั ษณะต่างๆ ไดอ้ กี เช่น คําวา่ ผูซ้ ้ือ ลกู ค้า ผูช้ ม ผ้อู า่ น ผ้ฟู งั ผู้ เช่า ผโู้ ดยสาร เปน็ ต้น 39

7. หลกั การและวธิ เี ลือกสนิ คา้ และบรกิ าร ความประหยัด - ควรคํานึงหลกั ความประหยัด ซึ่งเปน็ การ บรโิ ภคตามความเหมาะสมไม่เกนิ ความจําเปน็ ประโยชน์ - สนิ คา้ หรอื บรกิ ารนั้นมีความจําเปน็ ทจ่ี ะต้อง บรโิ ภคหรอื ไม่ หากเปน็ สง่ิ จาํ เปน็ จงึ ควรบรโิ ภคสนิ คา้ และ บรกิ ารบางอย่างเปน็ สงิ่ ฟุม่ เฟือย มีความจําเปน็ หรอื มี ประโยชน์ต่อการดําเนินชีวิตของเราน้อย เรากไ็ ม่จาํ เปน็ ต้อง บรโิ ภคสนิ คา้ หรอื บรกิ ารนั้น 40

คณุ ภาพและราคา - สนิ ค้าและบรกิ ารโดยทั่วไปท่มี คี ุณภาพ สงู มักจะมีราคาสงู ตามไปดว้ ย แมแ้ ต่สนิ คา้ ประเภทเดีวกนั กม็ ี คณุ ภาพแตกต่างกัน เช่น นาตาลทราย ข้าวสาร เปน็ ตน้ การประหยัดของผบู้ รโิ ภคในการเลอื กซ้ือสนิ ้าและบรกิ ารควร คํานึงเรอื่ งคณุ ภาพควบคูไ่ ปด้วย ปลอดภยั - ในยคุ ท่ีเทคโนโลยกี ารผลติ ทนั สมยั ทําใหม้ กี ารนํา มาใช้ในกรรมวิธกี ารผลติ เพื่อเพ่มิ ปรมิ าณการผลติ หรอื ทําให้ สนิ ค้าคงทนมสี สี นั สดุดตา โดยใช้วัสดุที่เปน็ อนั ตรายต่อ สขุ ภาพ ฉะน้ันผู้บรโิ ภคจะต้องดูฉลากก่อนการบรโิ ภค โดย คํานึงถึงสว่ นผสม และวนั หมดอายุ 41

6. กฎหมายของการค้มุ ครอบผูบ้ รโิ ภค การคุม้ ครองผบู้ รโิ ภค หมายถงึ การปอ้ งกนั ดแู ลประชาชน ซึ่งเปน็ ผบู้ รโิ ภคให้ไดร้ บั ความปลอดภยั ความเปน็ ธรรม และ ความประหยดั ในการบรโิ ภคสนิ ค้าและบรกิ าร ความปลอดภยั หมายถึง เมอ่ื นําสนิ คา้ และบรกิ ารไปใช้ จะตอ้ งไม่เปน็ พิษเปน็ ภยั ตอ่ ชีวติ และทรพั ย์สนิ ของผู้ บรโิ ภค ตัวอยา่ งสนิ คา้ ที่ เปน็ อนั ตรายต่อสขุ ภาพ ความเป็นธรรม หมายถึง การท่ผี ูผ้ ลติ หรอื ผู้ขาย หรอื ผู้ ประกอบธรุ กิจจะต้องไม่ หลอกลวงผู้บรโิ ภคดว้ ยกลวธิ ี ต่างๆ เช่น การปลอมปน คณุ ภาพ ความประหยดั หมายถงึ การสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรมในการซ้ือขาย แลกเปลยี่ นสนิ คา้ และบรกิ าร โดยไมก่ ําหนดราคาสนิ คา้ ใน ลกั ษณะท่กี อ่ ใหเ้ กิดการ แลกเปลย่ี นในมลู คา่ สงู กวา่ ราคาทแ่ี ท้จรงิ ของสนิ คา้ และ บรกิ ารนั้นๆ 42

การคุ้มครองผู้บรโิ ภคของภาคเอกชนและภาครฐั บาลกระทํา ไดด้ งั นี้ 1. การคมุ้ ครองผ้บู รโิ ภคของภาคเอกชน การให้การคมุ้ ครองผู้ บรโิ ภคของภาคเอกชน หมายถงึ ผู้ประกอบการ และผบู้ รโิ ภคทีเ่ ปน็ ประชาชนทว่ั ไป 1) ผูป้ ระกอบการ ผปู้ ระกอบการผลติ และจาํ หน่ายสนิ ค้าใหผ้ ู้ บรโิ ภคมกั มุ่งแสวงหากาํ ไรสงู สดุ โดยการลดตน้ ทนุ การผลติ ใหก้ บั ธรุ กิจ แนวคิดของผปู้ ระกอบการโดยทั่วไปมกั ไม่เน้นการรกั ษาผล ประโยชน์ของผูบ้ รโิ ภคมากนัก มบี างสว่ นทม่ี นี โยบายคนื กําไรสสู่ งั คม 2) ผูบ้ รโิ ภคทเี่ ปน็ ประชาชนทว่ั ไป ผู้บรโิ ภคไดร้ วมตัวรว่ มมอื กัน ในรูปของสมาคม มูลนิธิ ชมรม กลมุ่ ไมน่ ้อยกวา่ 50 องค์กร ทําการ รณรงค์เพื่อผู้บรโิ ภคตลอดจนกระจายข่าวขอ้ มลู ต่างๆ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้บรโิ ภค 43

2. การคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภคของภาครฐั บาล เปน็ หน้าที่ของรฐั บาลทีจ่ ะ แกป้ ญั หาความเดือดรอ้ นจากการดําเนินธรุ กจิ ของภาคเอกชน โดย ตราพระราชบญั ญัตคิ ้มุ ครองผบู้ รโิ ภค พ.ศ. 2522 และกฎหมายอนื่ ท่ี เก่ยี วข้องการคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภค เช่น พระราชบัญญัติอาหารและยา พระราชบัญญตั เิ ครอื่ งสาํ อางเพือ่ ค้มุ ครองผบู้ รโิ ภคให้ได้รบั ความเปน็ ธรรม ความปลอดภัย และเปน็ แนวทางใหผ้ ู้บรโิ ภคปฏิบัติตนไดถ้ กู ตอ้ งตามสทิ ธแิ ละเหน้าที่ที่พงึ มี หากผูบ้ รโิ ภคไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรม สามารถติดต่อสายดว่ นผบู้ รโิ ภคกับ อย.1556 หรอื สาํ นักงานคณะ กรรมการอาหารและยา (อย.) นอกจากนี้หากพบเหน็ ผจู้ ําหน่ายเกนิ ราคาหรอื ใช้มาตรฐานชั่งตวงวดั ท่ไี มเ่ ปน็ ไปตามสภาพความเปน็ จรงิ ก็สามารถแจง้ ไดท้ ีก่ รมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โทรศัพท์ 0-2547-4771-7 44

7. สิทธขิ องผบู้ รโิ ภค พระราชบญั ญตั คิ ุ้มครองผบู้ รโิ ภค พ.ศ. 2522 ซึ่งได้แก้ไข เพิม่ เติมโดยพระราชบัญญตั ิคุ้มครองผู้บรโิ ภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 บญั ญัติสทิ ธขิ องผบู้ รโิ ภคทีจ่ ะได้รบั ความคุ้มครองตาม กฎหมายไว้ 5 ประการ ดงั นี้ 1. สทิ ธทิ ี่จะได้รบั้ ขา่ วสาร 2. สทิ ธทิ จี่ ะมอี สิ ระในการ รวมทงั้ คาํ พรรณนาคุณภาพ เลอื กหาสนิ ค้าหรอื บรกิ าร ทีถ่ กู ตอ้ งและเพียงพอเกีย่ ว กบั สนิ ค้าหรอื บรกิ าร 3. สทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บ้ั ความ 4. สทิ ธทิ จ่ี ะได้รบั ความเปน็ ปลอดภยั ด้านสขุ ลษั ณะและ ธรรมในการทาํ สญั ญา สขุ อนามยั จากการใช้สนิ คา้ หรอื บรกิ าร 5. สทิ ธทิ ่ีจะได้รบั การ พจิ ารณา และชดเชยความ เสยี หาย 45

การประกอบกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ไดแ้ ก่ การผลติ การ จาํ แนกแจกจา่ ย การแลกเปลยี่ น และการบรโิ ภคจาํ เปน็ ตอ้ งมี ผดู้ ําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกจิ เพอ่ื ปฏิบัตภิ ารกจิ ให้เปน็ ไป ตามวัตถุประสงค์ และสามารถสนองความต้องการของผู้ บรโิ ภคได้สงู สดุ ผู้ดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกจิ เรยี กว่า “หน่วยเศรษฐกจิ ” (economic units) หน่วยเศรษฐกจิ แบง่ ตามภาระหน้าทไ่ี ด้ 3 ฝา่ ย คอื 1. ฝา่ ยครวั เรอื น (household) ทํา หน้าท่ี 2 ประการ ได้แก่ 1) ขายปจั จัยการผลติ ของคนแกฝ่ า่ ย ผลติ 2) บรโิ ภคสนิ คา้ และบรกิ ารตา่ งๆ จดุ มุง่ หมายสาํ คัญ คือ ตอ้ งการให้ สมาชิกทกุ คนในครวั เรอื นได้รบั ความ พอใจสงู สดุ หรอื ไดร้ บั สวสั ดกิ ารสงู สดุ 46

2. ฝา่ ยผลติ (fram) หรอื ฝา่ ยธรุ กิจ (business) ทําหน้าท่ี 2 ประการ ได้แก่ 1) ผลติ สนิ คา้ และบรกิ าร 2) กระจายสนิ ค้าและบรกิ าร และ กระจายรายไดใ้ หแ้ กเ่ จา้ ของปจั จยั การ ผลติ จุดมงุ่ หมายสาํ คญั คอื ต้องการแสวง หากาํ ไรสงู สดุ จากการประกอบการ 3. ฝา่ ยรฐั บาล (government) ทาํ หน้าท่เี ปน็ ทั้งผู้ผลติ ผ้บู รโิ ภค และ เจ้าของปจั จัยการผลติ โดยมีจดุ มุ่งหมายเพอื่ สง่ เสรมิ สนับสนนุ และ ควบคมุ ดูแลฝา่ ยอนื่ ๆ ในระบบ เศรษฐกิจใหเ้ ปน็ ไปตามทีป่ ระเทศ ตอ้ งการ 47

ปญั หาพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจ เกดิ ขึน้ จากการทีท่ รพั ยากร เศรษฐกจิ มีจาํ กดั เมอ่ื เทียบกับความต้องการของมนษุ ย์ท่ีมอี ยู่ อยา่ งไม่จํากัด ทาํ ให้ทุกสงั คมประสบปญั หาพืน้ ฐานทาง เศรษฐกจิ ซึ่งจําแนกออกไดเ้ ปน็ 3 ปญั หา คือ ● เลอื กผลติ อะไร (What to produce) ● ผลติ อยา่ งไร (How to produce) ● ผลติ เพ่ือใด (For Whom to produce) 48

1. ปญั หาว่าจะผลิตอะไร (What) เน่ืองจากมที รพั ยากรจํากัด เม่ือเทียบกับความต้องการ ดงั นั้นจงึ ตอ้ งมีการตดั สินใจวา่ ควร จะเลอื กทรพั ยากรที่มอี ยู่ นําไปผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารอะไรได้ บา้ งที่จําเปน็ และเปน็ จํานวนเทา่ ใด จงึ จะสามารถสนองความ ต้องการและเปน็ ประโยชน์สงู สุดตอ่ สังคม ตัวอย่างเช่น ประเทศชาติมีทรพั ยากรจาํ กดั ก็ตอ้ งตัดสินใจวา่ จะเลอื กใช้ ทรพั ยากรทมี่ ีอยู่จํากดั นั้นไปในการผลิตอาหารเพือ่ ปากทอ้ งของ พลเมอื งอยา่ งทั่วถงึ หรอื ควรจะผลิตอาวธุ ยุทโธปกรณ์ทาง ทหารใหเ้ ปน็ ประเทศมหาอาํ นาจ เปน็ ตน้ OR 49