ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ท่ีมตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ 1.1 การนารูปแบบการสอนน้ีไปใช้ ผสู้ อนตอ้ งศึกษาข้นั ตอนต่างๆ ของการจดั การเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 7 ข้นั และเทคนิค KWL ใหเ้ ขา้ ใจและวางแผนการจดั กิจกรรมแต่ละข้นั ตอนใหเ้ หมาะสม ครอบคลุม เน้ือหา โดยเฉพาะการกาหนดเวลาท่ีพอเหมาะในการสอนแต่ละเน้ือหา ตลอดจนการนาส่ือต่างๆ และการสร้าง สถานการณ์เพื่อนามาใชต้ อ้ งใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียนเพ่ือใหก้ ารจดั การเรียนรู้มีประสิทธิผลมากข้ึน 1.2 ในข้นั ตอนที่มีการใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นหรืออภิปรายร่วมกนั จะเห็นว่า นกั เรียนมกั ไม่ ค่อยกลา้ พดู ครูตอ้ งกระตุน้ ใหน้ กั เรียนมีส่วนร่วมในการอภิปรายและแสดงความคิดเห็น ใหน้ กั เรียนรู้วา่ คาตอบของ ตนเองไมม่ ีถกู ผิด 1.3 ผสู้ อนควรจดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีใหผ้ เู้ รียนไดล้ งมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง มีส่วนร่วมใน กิจกรรมมากท่ีสุดและทวั่ ถึงทุกคน โดยใหผ้ เู้ รียนไดใ้ ชท้ กั ษะกระบวนการต่าง ๆ ในการศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ เพื่อใหส้ ามารถคน้ ควา้ หาความรู้และสร้างองค์ความรู้ดว้ ยตนเองตลอดจนนาความรู้ไปประยกุ ต์ใชใ้ นสถานการณ์ ต่าง ๆ ได้ อนั จะทาใหเ้ กิดความคงทนในการเรียนรู้ไดด้ ีข้ึนอีกดว้ ย 1.4 ผสู้ อนควรสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนใหม้ ีความเป็นกนั เองกบั ผเู้ รียนเพื่อเปิ ดโอกาส ใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกข้นั ตอน 1.5 ผูส้ อนควรคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในขณะร่วมทากิจกรรมหรือตอบคาถาม โดยเฉพาะในข้นั ตอนการแสวงหาความรู้ ซ่ึงเป็ นข้นั ตอนที่ตอ้ งใชเ้ วลาในการศึกษาคน้ ควา้ หาขอ้ มลู และใชท้ กั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อใหไ้ ดค้ วามรู้ใหม่ โดยครูควรมีการช้ีแนะแนวทางในการหาคาตอบมากกว่าการ บอกคาตอบน้นั แทน 2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้ังต่อไป ผวู้ จิ ยั มีขอ้ เสนอแนะท่ีเป็นประโยชนต์ ่อการวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ งดงั น้ี 2.1 ควรมีการวิจยั และพฒั นาวธิ ีการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ท่ีสอดแทรกหรือบูรณาการ กบั เทคนิคใหม่ๆ ในระหวา่ งจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือพฒั นาความสามารถของนกั เรียนในดา้ นผลสมั ฤทธ์ิทางการ เรียนวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะการคิด และเจตคติต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ เป็นตน้ 2.2 ควรมีการวิจยั ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคนิค KWL กบั วิธีสอนแบบอื่นๆ ในวิชาวิทยาศาสตร์หรือวิชาต่างๆ และในระดบั ช้นั อ่ืนๆ บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2552). ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลกั สูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จากดั . ชนินนั ท์ พฤกษป์ ระมลู . (2557). การประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์. สุทธิปริทัศน์, 28(86), 353-364. สืบคน้ จาก http://www.dpu.ac.th/dpurc/assets/uploads/magazine/exvz48vvbyo8gcg.pdf 228 | ปี ท่ี 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ ณฐั พล หงส์คง. (2556). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ที่เรียนด้วยการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL และการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั . (วทิ ยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบณั ฑิต ไมไ่ ดต้ ีพิมพ)์ . มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, มหาสารคาม. ณฐั ฐธ์ มล สอโส. (2553). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน เร่ือง สารในชีวิตประจาวนั ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6. (การศึกษาคน้ ควา้ อิสระปริญญาการศึกษามหาบณั ฑิต ไม่ไดต้ ีพิมพ)์ . มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, มหาสารคาม. นรินทร์ เคหาบาล. (2553). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การคิดวิเคราะห์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบวฏั จักรการเรียนรู้ 7 ขน้ั และการจัดการเรียนรู้ แบบ KWL. (วทิ ยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบณั ฑิต ไม่ไดต้ ีพิมพ)์ . มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, มหาสารคาม. พรพิมล คาแสน. (2556). การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขนั้ เรื่องแรงและการเคล่ือนท่ี ชั้น ประถมศึกษาปี ท่ี 5. (การศึกษาคน้ ควา้ อิสระปริญญาการศึกษามหาบณั ฑิต ไม่ไดต้ ีพิมพ)์ . มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, มหาสารคาม. เรวดี กิจพฒั นาสมบตั ิ. (2556). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความสามารถในการคิดอย่างมี เหตุผลของนักเรี ยนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใช้ รูปแบบการเรี ยนรู้ 7E. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตร มหาบณั ฑิต ไม่ไดต้ ีพิมพ)์ . มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร, กรุงเทพมหานคร. โรงเรียนบา้ นนาเจริญ. (2555). สรุปผลการทดสอบระดบั ชาติ(O-NET) ปี การศึกษา 2555. ชยั ภูมิ: โรงเรียนบา้ นนาเจริญ. _________. (2556). สรุปผลการทดสอบระดบั ชาติ(O-NET). ปี การศึกษา 2556. ชยั ภมู ิ: โรงเรียนบา้ นนาเจริญ. _________. (2557). สรุปผลการทดสอบระดบั ชาติ(O-NET). ปี การศึกษา 2557. ชยั ภมู ิ: โรงเรียนบา้ นนาเจริญ. วรรณภา เสรีรักษ.์ (2556). ผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 7Es เร่ือง สารในชีวิตประจาวัน ท่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนวัดนาพรม (มนมหาวิริยาคาร) จังหวดั เพชรบรุ ี. (การศึกษาคน้ ควา้ อิสระปริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต ไมไ่ ดต้ ีพิมพ)์ . มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, มหาสารคาม. สิทธิพล ใจเยน็ . (2550). การพฒั นาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขนั้ กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การดารงพันธ์ุของพืช ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5. (การศึกษาคน้ ควา้ อิสระปริญญาการศึกษามหาบณั ฑิต ไม่ไดต้ ีพิมพ)์ . มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, มหาสารคาม. ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 229
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ท่ีมตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ สุกญั ญา นนทมาตย.์ (2557). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เร่ืองสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 7 ขนั้ . (การศึกษาคน้ ควา้ อิสระปริญญาครุศาสตรมหาบณั ฑิต ไมไ่ ดต้ ีพิมพ)์ . มหาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม, มหาสารคาม. สุวคนธ์ ผา่ นสาแดง. (2552). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้นั (7E) เร่ือง อาหารและสารอาหาร กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 4. (การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ ปริญญาการศึกษามหาบณั ฑิต). มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, มหาสารคาม. Eisenkraft, Arthur. (2003). Expanding the 5E Model: A Proposed 7E Model Emphasizes Transferring Learning and the Importance of Eliciting Prior Understanding, The Science Teacher. 70(6), 56-59. Muzaffar, Khan and Muhammad Zafar Iqbal. (2011). Effect of Inquiry Lab Teaching Method on The Development of Scientific Skills Through the Teaching of Biology in Pakistan. Language in India Strength for Today and Bright Hope for Tomorrow, 11(1), 169-178 . Retrieved from www.languageinindia.com/.../inquirymethodpakistan.pdf. Ogle, D. (1986). KWL: A teaching model that develops active reading in expository text. The Reading Instructor, 39(6), 564-570. 230 | ปี ท่ี 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ขัน้ ตอนรว่ มกับเทคนคิ การใชค้ ำ� ถามทม่ี ตี อ่ ทักษะการคิดวเิ คราะห์และผล สมั ฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรข์ องนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 The Effect of Using 7 Steps Learning Cycle with Questioning Technique on Analytical Thinking Skills and Learning Achievement in Science Learning Area of Prathomsuksa 6 Students ผู้วจิ ยั รตั ยา สงอปุ การ1 Rattaya Songauppakan1 [email protected] อารยี ์ สาริปา2 Aree Saripa2 สุพัฒน ์ บุตรด3ี Supat Buddee3 บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนโดยใช้ วฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถามกบั เกณฑร์ อ้ ยละ 70 และเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ันตอนร่วมกับเทคนิคการใช้ค�ำถามกับเกณฑ์ร้อยละ 75 กลมุ่ ตวั อยา่ งทใ่ี ช้ในการวจิ ยั เปน็ นักเรียนช้นั ประถมปที ่ี 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2558 จ�ำนวน 35 คน ซ่งึ ได้มาโดยการ สุ่มอยา่ งง่ายแบบจับฉลาก โดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ หนว่ ยสมุ่ เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั ได้แก่ แผนการจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้วัฏจักรการ เรยี นรู้ 7 ขั้นตอน ร่วมกับเทคนิคการใช้ค�ำถาม จ�ำนวน 5 แผน แบบวดั ทักษะการคิดวิเคราะห์ แบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการ เรยี นวทิ ยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน คา่ รอ้ ยละ และทดสอบสมมติฐาน โดยใชก้ าร ทดสอบค่าที แบบ t-test one sample group ผลการวจิ ยั พบว่า 1) นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ทไี่ ดร้ บั การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขน้ั ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถาม มที ักษะการคิดวิเคราะห์ หลังเรยี นสงู กว่าเกณฑร์ อ้ ยละ 70 อย่างมนี ัยสำ� คัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 2) นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขน้ั ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถาม มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรยี นสงู กวา่ เกณฑ์รอ้ ยละ 75 อยา่ งมนี ัยสำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 คำ� ส�ำคัญ: วัฏจกั รการเรียนรู้ 7 ขนั้ ตอน เทคนิคการใชค้ ำ� ถาม ทักษะการคิดวเิ คราะห์ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน Abstract The purposes of this research were to; compare the analytical thinking skills of prathomsuksa 6 students after learning through 7 step learning cycle and question technique with the 70 percent threshold and compare learning achievement of prathomsuksa 6 students after learning through 7 steps learning cycle and questioning technique with 75 percent threshold. The samples used in the research included 35 Prathomsuksa 1มหาบัณฑติ หลกั สตู รครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสตู รและการเรยี นการสอน มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครศรีธรรมราช 103 2อาจารย์ ภาควิชาหลักสตู รและการเรยี นการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครศรธี รรมราช : ประธานทป่ี รกึ ษา 3อาจารย์ ภาควชิ าหลกั สตู รและการเรียนการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช : กรรมการทป่ี รกึ ษา วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
6 students in Khian Sa District, Surat Thani province in the second semester of the 2015 academic year. They were selected by simple random . The tools used in this research included 5 lesson plans, using 7 steps learning and questioning technique. A measure analytical thinking skills and learning achievement test. The data were analyzed by using arithmetic means, percentage, standard deviations and t-test was utilized to test hypotheses. The results of the research were as follows : 1. Prathomsuksa 6 students taught with the 7 steps learning cycle with questioning technique showed a higher score in analytical thinking skills the 70 percent threshold at .05 statistical significant level. 2. Prathomsuksa 6 students taught with the 7 steps learning cycle with questioning technique showed a higher score in scientific achievement the 75 percent threshold at .05 statistical significant level. Keywords: 7 steps learning cycle, questioning technique, Analytical thinking skills, Learning Achievement บทน�ำ ฉลาด การคิดวิเคราะห์จึงเป็นรากฐานส�ำคัญของการเรียนรู ้ ปัจจุบันสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาแบบ ทที่ กุ คนสามารถพฒั นาได้ (ประพนั ธศ์ ริ ิ สเุ สารจั , 2553, น.13) ก้าวกระโดด โดยเฉพาะการขยายตัวทางเทคโนโลยี การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เป็นวิชาท่ีต้อง อุตสาหกรรมและวิทยาการสมัยใหม่ท่ีจะส่งผลเช่ือมโยงไปสู่ อาศัยความรู้เดิมกับการคิดวิเคราะห์ในการจัดระบบความรู ้ การเปลยี่ นแปลงทางการเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรมและ โดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้จากประสบการณ์ สิง่ แวดล้อมด้วย จากการเปลยี่ นแปลงดังกลา่ วสง่ ผลใหม้ นุษย์ ตรงมากทส่ี ดุ เพอื่ กระตนุ้ ใหเ้ กดิ กระบวนการคดิ วเิ คราะหห์ าคำ� กลายเปน็ ทรพั ยากรหลกั ทมี่ บี ทบาทสำ� คญั ตอ่ การเปลยี่ นแปลง ตอบดว้ ยตนเอง ครจู ำ� เปน็ ตอ้ งออกแบบกจิ กรรม การเรยี นรไู้ ด้ น้ัน เนื่องจากมนุษย์มีความรู้และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ อยา่ งหลากหลาย เปน็ การจดั การเรยี นรทู้ เี่ นน้ ใหน้ กั เรยี นไดฝ้ กึ ทางด้านเทคโนโลยี รวมไปถงึ ทกั ษะด้านความคดิ และทกั ษะ ปฏบิ ตั ทิ างวทิ ยาศาสตร์ เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ อื่น ๆ บนพื้นฐานของจรยิ ธรรมทีด่ ี แตใ่ นทางตรงกนั ข้ามเมอ่ื ท่ีลึกข้ึน นักเรียนได้ฝึกต้ังค�ำถามและหาวิธีตอบค�ำถามที่ช่วย บรบิ ทของสังคมโลกเกดิ การเปลี่ยนแปลง ปญั หาในดา้ นตา่ ง ๆ ให้มนุษย์เข้าใจโลกรอบตัว ไม่ใช่สอนจากต�ำราวิชาการเพียง ก็ย่อมเกิดตามมาอีกมากมาย จึงท�ำให้การจัดหลักสูตรการ อย่างเดียว (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, น. 1) สอดคลอ้ งกับ ศกึ ษาตอ้ งมกี ารพฒั นาตามไปดว้ ย โดยการปรบั วธิ เี รยี นเปลยี่ น พระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพมิ่ เติม วิธีสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะที่จ�ำเป็นส�ำหรับการด�ำรงชีวิตใน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 มาตรา สังคมยคุ ใหมท่ ่ีมีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ี ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห ์ เปน็ ทกั ษะการคดิ ทม่ี คี วามสำ� คญั เก่ียวขอ้ งดำ� เนนิ การจัดเนอื้ หาสาระและกิจกรรมให้สอดคลอ้ ง และเป็นคุณลักษณะของผู้เรียนตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร กบั ความสนใจและความถนดั ของผเู้ รยี น โดยคำ� นงึ ถงึ ความแตก การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 เปน็ กระบวนการทาง ต่างระหว่างบคุ คล ฝึกทกั ษะ กระบวนการคดิ การจัดการ การ ปญั ญาทมี่ นษุ ยใ์ ชใ้ นการตรวจสอบความรู้ ขอ้ มลู ขา่ วสารเพอื่ ให้ เผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกัน เกิดความถูกต้องเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือ การคิดวิเคราะห์ยัง และแก้ไขปัญหา มีการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก ช่วยให้มนุษย์สังเคราะห์หรือสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ข้ึนมาจาก ประสบการณ์จรงิ ฝึกการปฏบิ ตั ิใหท้ �ำได้ คิดเป็น ท�ำเปน็ รัก องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ทมี่ อี ยเู่ ดมิ และทำ� ใหบ้ คุ คลมศี กั ยภาพในการ การอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเน่ือง ซึ่งในการจัดกิจกรรม คดิ สงู ขนึ้ สามารถจดั การกบั ปญั หา สถานการณท์ เ่ี ผชญิ อยอู่ ยา่ ง การเรียนการสอนให้นักเรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ได้นั้น 104 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ ปีท่ี 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
ต้องมีองค์ประกอบของพื้นฐานความรู้ของนักเรียนและบริบท การเรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นตอนร่วมกับเทคนิค ในด้านต่าง ๆ ของโรงเรยี นดว้ ย การใช้คำ� ถาม สภาพท่ัวไปและรายงานประจ�ำปีของส�ำนักเขตพ้ืนที่ การจัดการเรยี นการสอนโดยใชว้ ัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้นั การประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ปีการศึกษา 2557 (7E) เป็นการจัดการเรียนการสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ท่ี พบว่า ประสบกับปัญหาการจัดการเรียนการสอนในรายวิชา เอสเซนคราฟ (Eisenkraft, 2003,P 56-59) ได้พฒั นารูปแบบ วทิ ยาศาสตร์ โดยศกึ ษาจากผลการประเมนิ ผลสมั ฤทธทิ์ างการ ของวงจรการเรยี นรู้ 5 ขั้นตอน เปน็ 7 ขั้นตอน โดยมเี หตุผลวา่ เรียนวิทยาศาสตร์ พบว่า อยู่ในระดับต�่ำ ทั้งน้ีต่�ำกว่าเกณฑ์ ขั้นตอนของวงจรการ เรียนรู้แบบ 5E เป็นข้ันตอนที่ยังไม่ ท่ีทางโรงเรียนได้ก�ำหนดไว้ คือ ร้อยละ 75 (ส�ำนักเขตพ้ืนท่ี ตอ่ เนอ่ื ง จึงไดเ้ พ่มิ ข้ันตอนของการเรยี นรูอ้ กี 2 ข้ันตอน คอื ข้นั การประถมศกึ ษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 3, 2557, น. 105) อันมี ตรวจสอบความรเู้ ดมิ (Elicit) และ ขน้ั นำ� ความรไู้ ปใช้ (Extend) สาเหตุเนื่องจากปัจจัยด้านครูผู้สอนท่ียังคงใช้วิธีการสอนแบบ โดยข้ันตอนของรปู แบบการเรยี น การสอนโดยใช้การเรียนรู้ 7 บรรยาย ใช้สื่อไม่สอดคล้องกับเน้ือหาการเรียนรู้ ประกอบ ขนั้ (7E) มีขั้นตอนดงั นี้ 1) ข้ันตรวจสอบความรู้เดิม (Elicit) 2) กับผลการประเมินคุณภาพภายนอก รอบสามของส�ำนักงาน ขนั้ เรา้ ความสนใจ (Engage) 3) ขน้ั สำ� รวจและคน้ หา (Explore) รบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพทางการศกึ ษา (สมศ.) ใน 4) ขนั้ อธิบายและลงข้อสรุป (Explain) 5) ขนั้ ขยายความคิด ปกี ารศึกษาท่ีผ่านมา พบวา่ ตวั บง่ ช้ีที่ 4 ผู้เรียนคิดเปน็ ทำ� เป็น (Elaborate) 6) ขนั้ ตอนการประเมินผล (Evaluate) 7) ขัน้ อยู่ในระดับดีและมีข้อเสนอในการพัฒนาด้านผู้เรียนว่าควร นำ� ความรูไ้ ปใช้ (Extend) ในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้ ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิด วงจรการเรยี นรู้ 7 ขัน้ (7E) จะเน้นเรือ่ งการตรวจสอบความรู้ สร้างสรรค์และทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและควร เดมิ และน�ำความร้ไู ปใช้ สำ� หรับการตรวจสอบความร้เู ดิมจะ สง่ เสรมิ การจดั บรรยากาศใหเ้ ออื้ ตอ่ การจดั การเรยี นรู้ ในแหลง่ ใช้วธิ ีการกระตุ้นให้นักเรียนเกดิ ความสงสยั ด้วยการตั้งค�ำถาม การเรียนรู้ภายในสถานศึกษา เป็นข้ันตอนท่ีนักเรียนเช่ือมโยงความรู้เดิมกับประสบการณ์ ปญั หาดังกลา่ วช้ใี ห้เห็นว่า ครูควรปรับบทบาทการเรยี น ใหม่ โดยใช้กระบวนการค้นคว้าเพื่อหาค�ำตอบ การฝึกคิด การสอน จากการถ่ายทอดความรู้ เป็นผู้อ�ำนวยความสะดวก วิเคราะห์ เพ่ือน�ำมาเขียนอภิปรายผลการทดลอง สรุปผล คือ เป็นผู้ชี้แนะ ผู้กระตุ้น จัดส่ิงเร้า ให้ค�ำปรึกษาเพ่ือให้ผู้ การทดลอง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และน�ำความรู้ท่ีได้ไป เรียนเกิดการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ จัด เช่อื มโยงและแก้ปัญหาสถานการณใ์ หม่ ๆ ที่เก่ยี วข้อง กจิ กรรมทห่ี ลากหลายใหผ้ เู้ รยี นเลอื กตามความถนดั และความ การถามเปน็ สว่ นหนงึ่ ของกระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละ สนใจ เนน้ กระบวนการเรยี นรทู้ มี่ สี ว่ นชว่ ยในการพฒั นาดา้ นสติ การสอน ท่ีช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ความเข้าใจและพัฒนา ปญั ญาและความคิดของนกั เรียน ในการจัดการเรยี นการสอน ความคดิ ใหม่ ๆ มงุ่ ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรู้ สามารถ ควรมีการใช้เทคนิคการต้ังค�ำถามด้วย เพราะการเรียนการ แกป้ ัญหาและสรปุ แนวคดิ ได้ด้วยตนเอง การใชค้ �ำถามเปน็ สอ่ื สอนวิทยาศาสตร์จะประสบความส�ำเร็จมากน้อยเพียงใดน้ัน น�ำในการเรียนรู้ อาจจะเป็นการถามด้วยวาจาระหว่างผู้สอน องคป์ ระกอบทางดา้ นเทคนคิ การใชค้ ำ� ถามมสี ว่ นเปน็ อยา่ งมาก กบั ผเู้ รยี น หรอื ระหวา่ งนกั เรยี นกบั นกั เรยี น บทบาทของคำ� ถาม เพราะเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น ในการให้นกั เรียนแสวงหาความร้มู ี 3 แบบ (ภพ เลาหไพบลู ย์, เปน็ หลัก และนักเรยี นสามารถสรา้ งความร้ดู ว้ ยตนเอง 2537) คอื แบบทคี่ รเู ปน็ ผถู้ ามคำ� ถาม (Passive inquiry) แบบ จากการศกึ ษาแนวทางการพฒั นาทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ ทนี่ กั เรยี นเปน็ ผตู้ ง้ั คำ� ถาม (Active inquiry) และแบบทคี่ รแู ละ ของผู้เรียนพบว่า มีนวัตกรรมหลากหลายที่สามารถพัฒนา นักเรียนเป็นผู้ตั้งค�ำถาม (Combined inquiry) ซ่ึงค�ำถามท่ี ทักษะการคิดวิเคราะห์ ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5 เหมาะสมจะท�ำให้ไดป้ ระโยชน์ในการเรียนการสอน ขั้นตอน รูปแบบการสอนโดยใช้ผังกราฟิก การจัดการเรียนรู้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจน�ำการจัดการเรียน แบบวฏั จกั รสบื เสาะหาความรู้ 7 ขัน้ ร่วมกับเทคนิคผงั กราฟิก รู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ันตอนร่วมกับเทคนิคการใช้ เปน็ ตน้ กระบวนการหนง่ึ ทผ่ี วู้ จิ ยั สนใจนำ� มาใชฝ้ กึ ทกั ษะการคดิ คำ� ถาม มาใชเ้ พ่ือพฒั นาทักษะการคิดวิเคราะห์และผลสมั ฤทธ์ิ วิเคราะห์ท่ีนอกเหนือจากกระบวนการท่ีศึกษามาแล้วน้ันคือ ทางการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ 105 ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
ประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นแนวทางในการพฒั นาและสง่ เสริมให้ ตอนรว่ มกับเทคนคิ การใชค้ �ำถาม นักเรียนได้ค้นควา้ หาความรูด้ ้วยตนเอง เป็นศนู ย์กลางในการ 4.2 ตวั แปรตาม คอื ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ และ ผล ทำ� กจิ กรรมตา่ ง ๆ ในเรอื่ งทนี่ กั เรยี นสนใจ ทำ� ใหน้ กั เรยี นมคี วาม สมั ฤทธ์ิทางการเรยี น คดิ อย่างมีระบบ มคี วามสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ และมีผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ท่ีสูงขึ้น และสามารถน�ำไป นิยามศัพท์เฉพาะ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้สอดคล้องกับบริบทของสังคม 1. วงจรการเรียนรู้ 7 ขั้นตอนร่วมกับเทคนิคการใช้ โลก ค�ำถาม หมายถึง การก�ำหนดแนวทางหรือรูปแบบการเรียน จุดมงุ่ หมายของการวจิ ัย การสอน แบบสบื เสาะหาความรอู้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งซงึ่ มขี นั้ ตอนการ 1. เพ่อื เปรยี บเทียบทกั ษะการคดิ วิเคราะหข์ องนกั เรยี น สอนแบบวงจรการเรียนรู้ 7 ขัน้ ตอนรว่ มกับการใช้ค�ำถาม โดย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนโดยใช้ วัฏจักรการเรียนรู้ 7 การใช้คำ� ถาม มี 3 ลักษณะ คือ ครเู ปน็ ผตู้ งั้ ค�ำถาม นักเรียน ขัน้ ตอนร่วมกับเทคนิคการใชค้ ำ� ถามกบั เกณฑ์ร้อยละ 70 ตง้ั คำ� ถามและทงั้ ครู นกั เรยี นรว่ มกนั เปน็ ผตู้ งั้ คำ� ถามซง่ึ ผวู้ จิ ยั ใช้ 2. เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ระดบั ค�ำถาม 4 ระดบั ตามทฤษฎคี วามคดิ ของบลมู (Blooms ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 หลงั เรยี นโดยใชว้ ฏั จกั รการ Taxonomy) คือความร้/ู ความจำ� (Knowledge) ความเข้าใจ เรยี นรู้7ขนั้ ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถามกบั เกณฑร์ อ้ ยละ75 (Comprehension) การประยกุ ต์ (Application) การวเิ คราะห ์ ขอบเขตของการวิจัย (Analysis) ทเ่ี น้นให้นกั เรียนได้คดิ วิเคราะห์โดยมขี น้ั ตอนการ การวิจัยในคร้ังน้ีผู้วิจัยได้ก�ำหนดขอบเขตและราย เรยี นรู้ ดงั น้ี ละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี 1.1 ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) 1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ครูใชค้ ำ� ถามในระดบั ความรู้/ความจ�ำ ความเข้าใจ การน�ำไป 1.1 ประชากร การวิจัยในคร้ังนี้ เป็นนักเรียนชั้น ใช้และการวิเคราะห์ เพื่อตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียน ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2558 ของโรงเรยี น กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงความรเู้ ดิมออกมา ขยายโอกาสในเครือข่ายใต้ร่มเย็น อ�ำเภอเคียนซา จังหวัด 1.2 ขน้ั เร้าความสนใจ (Engagement Phase) ครู สรุ าษฎรธ์ านี จ�ำนวน 3 โรงเรยี น ไดแ้ ก่ โรงเรียนบ้านทบั ใหม ่ ใชส้ อื่ หรอื กจิ กรรมกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ สนใจ ความสงสยั โดย โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 15 และโรงเรียนบ้านหน้าเขาใต้ร่มเย็น ใหน้ กั เรยี นตง้ั คำ� ถามจากความสงสยั โดยคำ� ถามนนั้ อยใู่ นระดบั ซึง่ ท้ัง 3 โรงเรยี นมสี ภาพบริบทในดา้ นตา่ ง ๆ ใกล้เคยี งกนั ความรคู้ วามจำ� และความเขา้ ใจ ตง้ั สมมตฐิ านนำ� ไปสกู่ ารคน้ หา 1.2 กลุม่ ตวั อย่าง การวิจยั ในคร้งั น้ี เปน็ นักเรยี นชน้ั ค�ำตอบ ประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2558 จำ� นวน 1.3 ข้ันส�ำรวจและค้นหา (Exploration Phase) 35 คน ซ่ึงได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random ครูและนักเรียนร่วมกันตั้งค�ำถามโดยค�ำถามนั้นอยู่ในระดับ Sampling) แบบจบั ฉลาก โดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ หนว่ ยสมุ่ (Unit ความรู้ความจ�ำความเข้าใจ การน�ำไปใช้ และการวิเคราะห์ Sampling) เพ่อื วางแผนกำ� หนดแนวทาง การสำ� รวจตรวจสอบสมมตฐิ าน 2. เน้อื หาที่ใช้ทดลองสอน เนอ้ื หาทีน่ ำ� มาวจิ ัยในครั้งน้ี ก�ำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพ่ือเก็บรวบรวม คือ เร่ืองสารและสมบัติของสารวิชาวิทยาศาสตร์ (ว 16101) ข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ นักเรียนลงมือ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ค้นหาค�ำตอบด้วยตนเอง โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสังเกต 3. ระยะเวลาในการทดลอง ระยะเวลาทผี่ วู้ ิจยั ใช้ในการ การทดลอง การค้นคว้าจากแหลง่ ข้อมูลตา่ ง ๆ การสำ� รวจ ทดลอง คอื ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2558 จำ� นวน 5 สปั ดาห ์ 1.4 ขน้ั อธบิ าย (Explanation Phase) นกั เรยี นนำ� ผล สัปดาห์ละ 2 ช่ัวโมง รวมเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนร ู้ การสำ� รวจ การคน้ หา มาวเิ คราะห์ แปลผล สรปุ ผล โดยมกี ารให้ 10 ชว่ั โมง นกั เรยี นต้งั ค�ำถาม ถามเพอ่ื นในห้อง เพอ่ื ร่วมกันอภิปรายสรปุ 4. ตวั แปร ผลและทำ� ความเขา้ ใจใหช้ ดั เจน ครใู ชค้ ำ� ถาม ถามนกั เรยี นเปน็ 4.1 ตัวแปรอิสระ คอื การใชว้ งจรการเรียนรู้ 7 ขั้น ลำ� ดบั ขน้ั โดยคำ� ถามนนั้ อยใู่ นระดบั ความร/ู้ ความจำ� ความเขา้ ใจ 106 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ ปีท่ี 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
การน�ำไปใช้และการวิเคราะห์ เป็นความสามารถในการสร้างหลักการเกี่ยวกับสถานการณ์ 1.5 ข้ันขยายความรู้ (Expansion Phase/ หรือขอ้ มลู ทกี่ ำ� หนด Elaboration Phase) ครใู ช้คำ� ถามเช่ือมโยงขอ้ ความรตู้ ่าง ๆ 2.5 ดา้ นการสรปุ เปน็ หลกั เกณฑเ์ ฉพาะ (Specifying) ทศี่ กึ ษา โดยคำ� ถามนน้ั อยใู่ นระดบั ความร/ู้ ความจำ� ความเขา้ ใจ หมายถึง การนำ� หลกั การทว่ั ไปทมี่ อี ย่แู ล้วไปสรุปเปน็ หลกั การ การนำ� ไปใชแ้ ละการวิเคราะห์ เพอ่ื เชือ่ มโยงความสมั พันธ์ของ ใหมท่ เี่ ฉพาะเจาะจง และสรปุ ไดว้ า่ หลกั การใหมน่ น้ั เปน็ ขอ้ ควร ข้อความรู้ต่าง ๆ และสื่อสารความรู้ด้วยรูปแบบต่าง ๆ เช่น ปฏบิ ตั หิ รือไมอ่ ย่างไร ผังกราฟิก การเขียน การเล่าเรอ่ื ง เปน็ ตน้ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของ 1.6 ขน้ั ประเมนิ ผล (Evaluation Phase) เปน็ การ ผู้เรียนท่ีแสดงออกทางด้านความรู้ ความเข้าใจ การน�ำไปใช ้ ประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่าผู้เรียนมีความ การวิเคราะห์ โดยวัดได้จากแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการ รู้อะไรบ้างและมากน้อยเพียงไรโดยครูและนักเรียนเป็นผู้ตั้ง เรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ สาระท่ี 3 เรื่อง สารและสมบตั ิของสาร ค�ำถามซึง่ คำ� ถามนั้นอยใู่ นระดบั ความรู้/ความจำ� ความเขา้ ใจ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ ี 6 การนำ� ไปใชแ้ ละการวเิ คราะห์ รว่ มกนั สงั เกตการตอบคำ� ถามใน สมมตฐิ านของการวิจัย การท�ำกิจกรรม รวมทัง้ เปรียบเทียบการทำ� งานกลุ่ม 1. ทกั ษะการคดิ วเิ คราะหข์ องนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปี 1.7 ขั้นน�ำความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ครู ท่ี 6 หลงั เรยี นโดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ ตอนรว่ มกบั เทคนคิ ใช้ค�ำถามในระดับการน�ำไปใช้ เพื่อให้ผู้เรียนได้น�ำความรู้มา การใช้คำ� ถามสูงกว่าเกณฑค์ ะแนนเฉลย่ี ร้อยละ70 อธิบาย ทำ� ความเข้าใจในสถานการณใ์ หม่ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ของนักเรียนชนั้ 2. ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห ์ คอื การขยายความคดิ อยา่ งมี ประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน เหตผุ ลเปน็ การประยกุ ตก์ ระบวนการคดิ วเิ คราะหร์ ายละเอยี ด ตอนร่วมกับเทคนิคการใช้ค�ำถามสูงกว่าเกณฑ์คะแนนเฉล่ีย เฉพาะของข้อมูล พื้นฐานความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาเดิมท่ี ร้อยละ75 สะสมอย ู่ สรา้ งขอ้ มลู ใหมแ่ ละสามารถสรปุ ลกั ษณะเฉพาะของ ขอ้ มลู ได้ ซึ่งแบ่งการคิดวิเคราะหเ์ ปน็ 5 ดา้ น โดยใช้หลกั การ วธิ กี ารวิจัย ของมารซ์ าโน (Marzano, 2001) ทง้ั นว้ี ดั ไดจ้ ากแบบวดั ทกั ษะ การวิจัยในครั้งน้ีมีกลุ่มประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ดังน้ี การคดิ วิเคราะห์ ดงั นี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2.1 ด้านการจับคู่ (Matching) หมายถึง การระบุ 1.1 ประชากร การวิจัยในคร้ังนี้ เป็นนักเรียนช้ัน ความเหมือนและความแตกต่าง ออกเป็นแต่ละส่วนให้เข้าใจ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2558 ของโรงเรยี น ง่ายอยา่ งมีหลักเกณฑ์ ขยายโอกาสในเครือข่ายใต้ร่มเย็น อ�ำเภอเคียนซา จังหวัด 2.2 ด้านการจัดหมวดหมู่ (Classification) หมาย สุราษฎรธ์ านี จำ� นวน 3 โรงเรียน ไดแ้ ก่ โรงเรียนบ้านทับใหม่ ถงึ การประมวลความรู้ เพอ่ื จดั กลมุ่ ทม่ี หี ลกั การและลกั ษณะที่ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 15 และโรงเรียนบ้านหน้าเขาใต้ร่มเย็น คล้ายคลึงเขา้ ใหเ้ ป็นหมวดหมทู่ ่ีมีความหมาย 1.2 กลุ่มตัวอย่าง การวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียน 2.3 ดา้ นการวเิ คราะหข์ อ้ ผดิ พลาด (Error Analysis) ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 หมายถึง การคิดจากมุมมองใดมุมมองหนึ่ง คุณลักษณะหรือ จำ� นวน 35 คน ซงึ่ ไดม้ าโดยการสมุ่ โรงเรยี นดว้ ยวธิ สี มุ่ อยา่ งงา่ ย พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ เชงิ ตรรกะและการประเมนิ ความเปน็ เหตเุ ปน็ (SimpleRandomSampling)แบบจบั ฉลากโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ผลของแนวคิดหรือสงิ่ ตา่ ง ๆ หนว่ ยสมุ่ (Unit Sampling) 2.4 ดา้ นการสรปุ เปน็ หลกั เกณฑท์ วั่ ไป (Generaliz- 2. เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย ing) หมายถงึ การใชเ้ หตผุ ลจากสงิ่ ทเ่ี ฉพาะเจาะจงไปสกู่ ารสรปุ 2.1 แผนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 สิ่งท่ัวไป การใช้เหตุผลจากส่ิงท่ัวไปมาสรุปสิ่งท่ีเฉพาะเจาะจง ขนั้ ตอน ร่วมกับเทคนิคการใชค้ �ำถาม สาระท่ี 3 เรอื่ ง สารและ รวมท้ังการอ้างอิงถึงเพื่อน�ำมาก�ำหนดเป็นหลักการหรือกฎ สมบตั ขิ องสาร กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ของนักเรยี น ซ่ึงสามารถทดสอบในเหตุการณ์ที่เจาะจงหรือแนวคิดหลักได ้ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 จำ� นวน 5 แผน จำ� นวน 10 ชว่ั โมง วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ 107 ปีท่ี 18 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
2.2 แบบวดั ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห ์ ในการวจิ ยั ครง้ั น ้ี ขยายโอกาส เครือขา่ ยใต้รม่ เย็น สังกดั สำ� นักงานเขตพ้นื ท่ีการ ผู้วิจัยใช้แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ สาระที่ 3 ศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ตั้งแต่ปีการศึกษา เรอ่ื ง สารและสมบัตขิ องสาร ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6 เป็นแบบ 2556 – 2557 พบวา่ โรงเรียนขยายโอกาส เครือข่ายใตร้ ่มเย็น ปรนยั 4 ตวั เลอื ก จำ� นวน 20 ขอ้ โดยใชห้ ลกั การของ มารซ์ าโน มผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวทิ ยาศาสตรอ์ ยใู่ นระดบั ตำ่� มตี ำ�่ กวา่ (Marzano, 2001, น. 71-83) ประกอบดว้ ย ดา้ นการจบั คู่ ดา้ น เกณฑท์ กี่ ำ� หนดไว้ ซง่ึ มสี าระมาตรฐานทต่ี อ้ งเรง่ พฒั นา คอื สาระ การจัดหมวดหมู่ ด้านการวิเคราะห์ข้อผดิ พลาด การสรุปเปน็ ท่ี 3 สารและสมบัติของสาร ท้งั น้เี มื่อพิจารณาจากขอ้ มลู สรปุ หลักเกณฑ์ท่วั ไป การสรปุ เปน็ หลักเกณฑ์เฉพาะ ได้ว่าทักษะท่ีควรส่งเสริมให้เกิดกับนักเรียน คือทักษะการคิด 2.3 แบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ วเิ คราะห์ (ดา้ นความรู้ ความเขา้ ใจ การนำ� ไปใช้ การวเิ คราะห)์ สาระท่ี 3 3.1.2 ศกึ ษาแนวทางวธิ กี ารตา่ ง ๆ ในการพฒั นา เรอ่ื ง สารและสมบตั ขิ องสาร ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ในการวจิ ยั ให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์เพ่ือเพ่ิมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ครัง้ น้ผี วู้ จิ ัยใชแ้ บบทดสอบเป็นแบบปรนยั 4 ตัวเลอื ก จ�ำนวน วิทยาศาสตร ์ 20 ขอ้ 3.2 ข้ันการดำ� เนินการ 3. วธิ กี ารด�ำเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 3.2.1 การดำ� เนนิ การทดลองในภาคเรยี นท่ี 2 ปี 3.1 ขั้นเตรยี มการ การศึกษา 2558 ผ้วู จิ ยั ไดอ้ อกแบบการดำ� เนินการดงั แสดงใน 3.1.1 จากการศึกษาการประเมินผลสัมฤทธ์ิ ตารางที่ 1 ทางการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ของโรงเรยี น ตารางท่ี 1 การดำ� เนนิ การตามแผนการจัดการเรยี นรู้ แผนการจดั การ วนั /เดอื น/ปี เร่ือง เวลา (ชั่วโมง) เรียนรู(้ ที่) ทดสอบก่อนเรียนและแบบวัดทักษะ 1 - 2 กุมภาพนั ธ์ 2559 การคิดวเิ คราะห์ สมบตั ิของสาร 2 1 8-9 กมุ ภาพันธ์ 2559 การจำ� แนกสาร 2 2 15-16 กุมภาพนั ธ์ 2559 การแยกสาร 2 3 22-23 กุมภาพนั ธ์ 2559 ประโยชนข์ องสารในชีวิตประจ�ำวนั 2 4 29 กุมภาพันธ์ 2559 - การเปลี่ยนแปลงของสาร ทดสอบหลังเรยี นและแบบวดั ทักษะ 2 1 มนี าคม 2559 การคดิ วิเคราะห์ 1 5 7-8 มีนาคม 2559 - 14 มีนาคม 2559 3.3 ขน้ั การเก็บรวบรวมข้อมูล ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและแบบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยด�ำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล เรื่อง สารและสมบัติของสาร รวบรวมผลคะแนนไว้ ตามข้นั ตอน ดงั นี้ 3.3.4 น�ำคะแนนท่ีได้จากการท�ำแบบทดสอบ 3.3.1 ดำ� เนนิ การสอน โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรู้ วดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น และแบบทดสอบวดั ทกั ษะการคดิ โดยใชว้ ฎั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ ตอน รว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถาม วเิ คราะห์ เรอ่ื ง สารและสมบตั ขิ องสาร มาวเิ คราะหค์ า่ ทางสถติ ิ 3.3.2 เม่ือด�ำเนินการสอนเสร็จส้ิน ท�ำการ ตอ่ ไป ทดสอบหลงั เรียน (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบ 108 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
4. การวเิ คราะหข์ ้อมลู ผลการวจิ ยั และอภปิ รายผลการวิจยั การวิจัยครง้ั นผ้ี ู้วิจัยใช้การวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยด�ำเนินการตาม ลำ� ดบั ขัน้ ตอน ดงั นี้ 1. ผลการวจิ ยั 4.1 นำ� คะแนนทกั ษะการคดิ วเิ คราะห ์ มาหาคา่ เฉลย่ี ผู้วิจัยท�ำการวิเคราะห์ข้อมูลและน�ำเสนอผลการ เลขคณติ ( ) คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) แล้วนำ� มาเทียบกบั วิเคราะห์ข้อมลู ในรปู แบบของตารางประกอบการบรรยาย ซงึ่ เกณฑท์ กี่ ำ� หนด คอื รอ้ ยละ 70 และวเิ คราะหค์ วามแตกตา่ งของ รายละเอยี ดผลการวิเคราะหข์ ้อมลู แบง่ ออกเปน็ 2 ตอนตาม คา่ เฉลย่ี กบั เกณฑท์ กี่ ำ� หนดโดยใช้ t-test one sample group ล�ำดบั ดงั น้ี 4.2 นำ� คะแนนผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบทกั ษะการคิดวิเคราะหข์ อง มาหาค่าเฉล่ยี เลขคณิต ( ) คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD) แล้ว นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โดยใชว้ ัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน น�ำมาเทียบกับเกณฑ์ท่ีก�ำหนด คือร้อยละ 75 และวิเคราะห์ ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถามหลงั เรยี นกบั เกณฑร์ อ้ ยละ 70 ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยกับเกณฑ์ท่ีก�ำหนดโดยใช้ t-test ดงั ตารางท่ี 2 one sample group ตารางที่ 2 คะแนนทักษะคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ันตอนร่วมกับเทคนิค การใชค้ �ำถามหลังเรยี นกับเกณฑร์ ้อยละ 70 โดยใช้ t-test แบบ one sample group ทกั ษะคิดวเิ คราะห์ นจักำ� นเรวียนน คะแนนเต็ม Mean S.D. M%eaonf t 35 87.86 8.33 ดา้ นการจบั คู่ 35 4 3.51 .51 79.29 4.28 ดา้ นการจดั หมวดหมู่ 35 4 3.17 .51 78.57 3.69 ด้านการวเิ คราะหข์ ้อผิดพลาด 35 4 3.14 .56 74.29 .30 ด้านการสรุปเป็นหลักเกณฑ์ทวั่ ไป 35 4 2.97 .45 73.57 .00 ด้านการสรปุ เป็นหลกั เกณฑ์เฉพาะ 35 4 2.94 .42 78.43 3.92 รวม 20 15.69 1.66 ** มีนัยสำ� คัญทางสถติ ิท่ีระดบั .05 จากตารางท่ี 2 พบวา่ ทักษะการคิดวิเคราะหข์ องนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 ทีไ่ ดร้ ับการจัดการเรยี นรโู้ ดยใชว้ ัฏจักรการ เรยี นรู้ 7 ข้ันตอนรว่ มกับเทคนิคการใช้คำ� ถาม หลังเรยี นสูงกว่าเกณฑร์ ้อยละ 70 อยา่ งมนี ยั ส�ำคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 ตอนท่ี 2 ผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ ตอน ร่วมกับเทคนคิ การใชค้ ำ� ถามหลังเรียนกับเกณฑร์ ้อยละ 75 ดังตารางท่ี 3 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ 109 ปีท่ี 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
ตารางที่ 3 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โดยใช้วัฏจักรการ เรียนรู้ 7 ขั้นตอนร่วมกับ เทคนคิ การใชค้ ำ� ถามหลังเรียนกบั เกณฑ์รอ้ ยละ 75 โดยใช้ t-test แบบ one sample group ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น นจักำ� นเรวยี นน คะแนนเตม็ Mean S.D. M%eaonf t 35 86.43 4.82 ด้านความร/ู้ ความจ�ำ 35 4 3.46 .56 82.29 3.41 ด้านความเข้าใจ 35 5 4.11 .63 78.86 1.38 ด้านการนำ� ไปใช้ 35 5 3.94 .54 78.10 0.14 ด้านการวิเคราะห์ 35 6 4.69 .63 80.86 2.88 รวม 20 16.17 2.01 ** มนี ัยส�ำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 จากตารางที่ 3 พบวา่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรยี น แลกเปล่ียนความรู้ ระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ท�ำให้กล้าคิดกล้า ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้วัฏจกั ร แสดงออกและสามารถเรยี งลำ� ดบั ความคดิ อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะ การเรยี นรู้ 7 ขน้ั ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถาม หลงั เรยี นสงู สมและมเี หตผุ ล เกดิ การเชอ่ื มโยงความรอู้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ กว่าเกณฑร์ ้อยละ 75 อยา่ งมีนัยสำ� คญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 รวมท้ังสามารถน�ำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้ 2. อภิปรายผล นอกจากนยี้ งั สง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรกู้ ารทำ� งานรว่ มกบั ผอู้ นื่ สง่ ผล จากการวจิ ัยเรือ่ งผลการใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั ตอน ให้ผู้เรียนรู้จักคุณค่าของตนเองและผู้อื่น จากลักษณะการจัด รว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถาม ทม่ี ตี อ่ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะหแ์ ละ กจิ กรรมทเี่ ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ อยา่ งอสิ ระสง่ ผล ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ของ ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามสามารถในการคดิ วเิ คราะหส์ งู ขนึ้ ซง่ึ สอดคลอ้ ง นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6 ได้ผลการวิจัยดังน้ี กับผลการวิจัยของ อารม์ โพธพิ์ ิพฒั น์ (2550, บทคดั ยอ่ ) ได้ สมมตฐิ านของการวจิ ยั ขอ้ ท่ี 1 ทกั ษะการคดิ วเิ คราะหข์ อง ศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างวทิ ยาศาสตรแ์ ละความสามารถในการคดิ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 หลงั เรยี นโดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นร้ ู วิเคราะห์ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบวัฏจักร 7 ข้ันตอนร่วมกับเทคนิคการใช้ค�ำถามสูงกว่าเกณฑ์คะแนน การเรยี นรู้ 7 ขนั้ พบว่าความสามารถในการคดิ วิเคราะหท์ าง เฉลี่ยร้อยละ 70 อย่างมนี ัยส�ำคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 วิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบ ผลการวิจัยพบว่า นักเรยี นทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรู้โดย วัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ หลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียน ใชว้ ฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ขัน้ ตอนร่วมกบั เทคนิคการใช้ค�ำถาม มี สมมติฐานของการวิจัยข้อท่ี 2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ทกั ษะการคิดวิเคราะห์หลงั เรียนสงู กวา่ เกณฑ์ร้อยละ 70 เป็น ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนโดยใช้วัฏจักร ไปตามสมมติฐานการวิจัย ท้ังน้ีเน่ืองมาจากการจัดการเรียน การเรยี นรู้ 7 ขนั้ ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถามสงู กวา่ เกณฑ์ รู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นตอนร่วมกับเทคนิคการใช้ คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ 75 อยา่ งมีนยั สำ� คญั ทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05 ค�ำถาม เป็นการจัดกจิ กรรมทีส่ ่งเสริมความสามารถในการคดิ ผลการวจิ ยั พบวา่ นกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้ วิเคราะหข์ องผเู้ รยี นโดยให้ผู้เรียนไดฝ้ กึ ทักษะการคดิ วิเคราะห์ วัฏจกั รการเรียนรู้ 7 ข้นั ตอนร่วมกับเทคนคิ การใชค้ �ำถาม มีผล จากสถานการณ์เร่ืองราวตา่ ง ๆ ทกี่ ำ� หนดขึ้นหรอื เกดิ จากการ สัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหลังเรยี นสูงกวา่ เกณฑ์ร้อยละ 75 เปน็ ไป ปฏบิ ตั กิ ารทดลอง ซงึ่ ผเู้ รยี นจะไดว้ เิ คราะหถ์ งึ การจบั คู่ การจดั ตามสมมตฐิ านการวจิ ยั ทง้ั นเ้ี นอื่ งมาจากการจดั การเรยี นรโู้ ดย หมวดหมู่ การวิเคราะห์ข้อผิดพลาด การสรุปเป็นหลักเกณฑ์ ใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นตอนร่วมกับเทคนิคการใช้ค�ำถาม ท่ัวไปและการสรุปเป็นหลักเกณฑ์เฉพาะ ตามทฤษฎีของ ได้ใช้หลักการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีบทบาท มาซาร์โน นักเรียนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและ ส�ำคัญในการเรียนรู้เป็นรูปแบบของกระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้น 110 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ ปีท่ี 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
ใหผ้ เู้ รยี นสามารถใชว้ ธิ กี ารสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ อย่างชัดเจนเพ่ือน�ำเสนอแนวคิดต่อไป นักเรียนได้สร้างองค์ (Inquiry Approach) ซงึ่ ตอ้ งอาศยั ประสบการณก์ ารเรยี นรอู้ ยา่ ง ความรใู้ หม่ ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration phase) เปน็ การนำ� มคี วามหมายดว้ ยตนเอง (สวุ คนธ์ ผา่ นสำ� แดง, 2552, น. 14-15) ความรทู้ ่ีสร้างข้นึ ไปเชื่อมโยงกับความรเู้ ดิม หรือแนวคิดเดมิ ท่ี เปน็ กระบวนการสบื เสาะหาความรทู้ เ่ี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั เปดิ คน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ หรอื นำ� แบบจำ� ลองหรอื ขอ้ สรปุ ทไ่ี ดไ้ ปใชอ้ ธบิ าย โอกาสให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าหาค�ำตอบของปัญหาหรือข้อสงสัย สถานการณห์ รอื เหตกุ ารณอ์ น่ื ๆ ทำ� ใหเ้ กดิ ความรกู้ วา้ งขวาง ขนั้ ด้วยตนเองซ่ึงมีขั้นตอนในการแก้ปัญหาหรือข้อสงสัยอย่าง ประเมินผล (Evaluation phase) เปน็ การประเมินการเรียนร ู้ เป็นระบบ นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ตามทฤษฎีแนวคิด ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ช่วยให้นักเรียนสามารถน�ำความรู้ท่ี คอนตรัคติวิสต์ นักเรียนปฏิบัติด้วยตนเอง มีโอกาสคิดศึกษา ได้มา ประมวลและปรับประยกุ ต์ใชใ้ นเร่ืองอน่ื ๆ ได้ เชอ่ื มโยง ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี การเรียนรู้เป็นการเปล่ียนแปลง กบั ความรเู้ ดมิ และสรา้ งเปน็ องคค์ วามรใู้ หม่ ขนั้ นำ� ความรไู้ ปใช้ พฤติกรรม การพัฒนาความคิดและความสามารถโดยอาศัย (Extention phase) นกั เรยี นนำ� ความรทู้ ไี่ ดไ้ ปปรบั ประยกุ ตใ์ ช้ ความรู้ ประสบการณ์เดิม ซ่ึงเชื่อว่านักเรียนทุกคนมีความรู้ ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อชีวิตประจ�ำวัน สามารถน�ำ ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั บางสงิ่ บางอยา่ งมาแลว้ กอ่ นทคี่ รจู ะจดั การ ความรู้ไปสร้างความรู้ใหม่ และถ่ายโอนการเรียนร้ไู ด้ เรียนการสอนให้เน้นว่า การเรียนรู้เกิดข้ึนด้วยตัวของผู้เรียน นอกจากน้ีผู้วิจัยยังได้น�ำเทคนิคการใช้ค�ำถาม ตามรูป เองและการเรียนรู้เร่ืองใหม่จะมีพ้ืนฐานมาจากการเรียนรู้เดิม แบบของบลมู ซง่ึ ผวู้ จิ ยั เลอื กใช้ 4 ดา้ น ไดแ้ ก ่ ดา้ นความรคู้ วามจำ� การสอนตามแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ขน้ั เปน็ การสอน ด้านความเขา้ ใจ ดา้ นการน�ำไปใช้ ด้านการวิเคราะห์ ไปใช้ใน ทีเ่ น้นการถา่ ยโอนการเรียนรู้ และให้ความส�ำคญั เก่ยี วกบั การ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วงจรการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน ตรวจสอบความรเู้ ดมิ ของเด็ก ซงึ่ เป็นสงิ่ ทีค่ รูละเลยไมไ่ ด้ และ เพอ่ื กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นฝกึ กระบวนการคดิ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง จงึ ทำ� ให้ การตรวจสอบ ความรู้พื้นฐานเดิมของเด็กจะท�ำให้ครูค้นพบ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรมู้ ปี ระสทิ ธภิ าพ ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั งาน ว่านักเรียนต้องเรียนรู้อะไรก่อน ก่อนท่ีจะเรียนรู้ในเน้ือหา วิจัยลัดดาวัลย์ จ่ิมอาษา (2554) ได้ศึกษาผลของทักษะการ บทเรียนนั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมี คดิ วเิ คราะหโ์ ดยใชว้ ฏั จักรการเรียนรู้ 7 ขน้ั สาระที่ 2 หน้าที่ ประสิทธิภาพ ขั้นการเรียนรู้ตามแนวคิดของเอสเซนคราฟ พลเมือง วัฒนธรรม และการด�ำเนินชีวิตในสังคม ส�ำหรับ (Eisenkraft, 2003, น. 56-59 อา้ งถึงใน ประสาท เนอื งเฉลิม, นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 พบว่า ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน 2550, น. 25-27) มีเน้ือหาสาระ ดังนี้ ขั้นตรวจสอบความ ในสาระที่ 2 หน้าทีพ่ ลเมืองวัฒนธรรม และการด�ำเนินชวี ติ ใน รู้เดิม (Elicitation phase) ครูจะต้องท�ำหน้าที่ในการตั้ง สงั คม ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษา 4 โดยใชว้ ัฏจักรการเรยี นร ู้ 7 ขน้ั ค�ำถาม เพ่ือกระตุ้น ใหผ้ ้เู รียนสามารถเชือ่ มโยง การเรียนรู้ไป มจี ำ� นวนนกั เรยี นทผี่ า่ นเกณฑ ์ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 82.35 ซงึ่ สงู กวา่ ยังประสบการณ์วางแผนการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม เกณฑ์ท่ีก�ำหนดไว้คือ ร้อยละ 75 และมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็น สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน ข้ันเร้าความสนใจ รอ้ ยละ 79.85 ในดา้ นทกั ษะการคดิ วเิ คราะหม์ จี ำ� นวนนกั เรยี น (Engagement phase) เป็นการน�ำเข้าสู่เน้ือหาในบทเรียน ทผี่ า่ นเกณฑ์ คดิ เป็นรอ้ ยละ 76.47 ซงึ่ สูงกวา่ เกณฑท์ ี่ก�ำหนด หรือเรอ่ื งท่ี นา่ สนใจ ท�ำให้นกั เรียนเกดิ ความคิดขัดแย้งจากส่งิ ไวค้ ือ ร้อยละ 75 และมคี ะแนนเฉลี่ยคดิ เป็นร้อยละ 75.29 ทนี่ ักเรียนเคยร้มู ากอ่ น ครเู ปน็ ผู้ทีท่ �ำหน้าที่กระตนุ้ ใหน้ ักเรียน ดงั นน้ั การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขน้ั ตอน คดิ โดยเสนอประเดน็ ทส่ี ำ� คญั ขนึ้ มากอ่ น เพอ่ื นำ� ไปสกู่ ารสำ� รวจ ร่วมกับเทคนิคการใช้ค�ำถาม เป็นการสอนที่เน้นการถ่ายโอน ตรวจสอบในข้ันตอนต่อไป ข้ันส�ำรวจค้นหา (Exploration การเรยี นรู้ และใหค้ วามส�ำคญั เกยี่ วกบั การตรวจสอบความรู้ phase) วางแผนก�ำหนดแนวทาง การส�ำรวจตรวจสอบ ต้ัง เดิม แสวงหาความรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซ่ึงเป็น สมมติฐาน กำ� หนดทางเลอื กทเ่ี ปน็ ไปได้ ลงมอื ปฏิบตั ิ เพ่ือเก็บ สิ่งจ�ำเป็นต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งกล่าวได้ว่า นักเรียนช้ัน รวบรวมขอ้ มลู ข้อสนเทศหรอื ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ เพอ่ื ใหไ้ ด้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชว้ ฏั จกั รการ ข้อมลู อยา่ งพอเพยี ง นักเรียนตรวจสอบปญั หาและด�ำเนินการ เรยี นรู้ 7 ขนั้ ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใช้ค�ำถาม พบวา่ นักเรยี น ส�ำรวจตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ข้ันอธิบาย มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัย (Explanation phase) เป็นการวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล สำ� คัญทางสถิติที่ระดบั .05 และนำ� เสนอผลทไี่ ดใ้ นรปู แบบตา่ ง ๆ โดยอา้ งองิ ประจกั ษพ์ ยาน วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 111 ปีท่ี 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
สรุปผลการวจิ ัย 2.1.1 ทางโรงเรียนควรสนับสนุนให้ครูผู้สอน จัดการเรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ันตอนร่วมกับ 1. สรปุ ผลการวจิ ัย จากการวจิ ัยเรอื่ ง ผลการใชว้ ัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน เทคนคิ การใชค้ ำ� ถาม ไปใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน รว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถาม ทม่ี ตี อ่ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะหแ์ ละ วทิ ยาศาสตร ์ เนือ่ งจากเป็นการจัดการเรียนร้ทู ี่เนน้ ผเู้ รียนเป็น ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ของ ส�ำคัญและได้น�ำเทคนิคการใช้ค�ำถามไปร่วมด้วย ซึ่งในแต่ละ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 สรปุ ผลการวิจัยไดด้ ังน้ี ข้ันตอนเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ช่วยให้ผู้สอน 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีได้รับการจัดการ สามารถพฒั นาทักษะการคดิ วเิ คราะหข์ องผูเ้ รียน เรียนรู้โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นตอนร่วมกับเทคนิคการ 2.1.2 ครูผู้สอนควรศึกษาวิธีการจัดการเรยี นรู้ ใช้คำ� ถาม มผี ลการพฒั นาทักษะการคดิ วิเคราะห์ หลงั เรียนสงู โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขน้ั ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถาม กว่าเกณฑ์รอ้ ยละ 70 อยา่ งมีนัยสำ� คัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05 กอ่ นนำ� ไปใชใ้ นกลมุ่ สาระวทิ ยาศาสตรร์ ะดบั ชน้ั อนื่ ๆ และปรบั 2) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ท่ีได้รับการจัดการ ใช้ใด้ทกุ สาระการเรยี นรู้ เรยี นรโู้ ดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใช้ 2.2 ข้อเสนอแนะในการทำ� วจิ ยั ตอ่ ไป คำ� ถาม มผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นหลงั เรยี นสงู กวา่ เกณฑร์ อ้ ยละ 2.2.1 การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นร ู้ 75 อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 7 ขนั้ ตอนรว่ มกบั เทคนิคการใชค้ ำ� ถามของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีท่ี 6 สามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และ 2. ข้อเสนอแนะ จากการศกึ ษาผลการใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ ตอนรว่ ม ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนได้ ท้ังยัง กับเทคนิคการใช้ค�ำถาม ที่มีต่อทักษะการคิดวิเคราะห์และ เป็นการจัดการเรียนรู้ทเ่ี นน้ ผเู้ รยี นเป็นสำ� คญั ดงั นัน้ ควรมีการ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรข์ อง วจิ ัยในเน้ือหาและระดบั ชนั้ อ่ืน ๆ ดว้ ย นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ผวู้ จิ ยั ขอเสนอแนะแนวทางใน 2.2.2 ควรมกี ารศกึ ษาผลการจดั การเรยี นรโู้ ดย การน�ำผลวิจัยไปใช้และเพ่ือศึกษาวจิ ยั ต่อไป รายละเอียดดงั นี้ ใชว้ ฎั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ ตอนรว่ มกบั เทคนคิ การใชค้ ำ� ถามกบั 2.1 ข้อเสนอแนะในการน�ำผลการวิจัยไปใช้จาก ตวั แปรอนื่ ๆ เชน่ ความคดิ สรา้ งสรรคท์ างวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะ ข้อมลู ทคี่ น้ พบจากการวิจยั ผวู้ ิจัยขอเสนอแนะการวจิ ัยดงั นี้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. เกรียงศกั ด์ิ เจริญวงศศ์ ักดิ์. (2553). การคดิ เชงิ วเิ คราะห์ (Analytical Thinking). พิมพ์ครัง้ ท่ี 6. กรุงเทพฯ : ซัคเซสมเี ดยี . กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ. (2552). แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้น พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551. สำ� นักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน. โครงการ PIZA ประเทศไทย สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2556). ผลการประเมนิ PISA 2012 คณิตศาสตร์ การอ่าน และวิทยาศาสตร์ บทสรุป ส�ำหรับผู้บริหาร. สมุทรปราการ : แอดวานซ์ พริ้นด้ิง เซอร์วสิ . ชยั วัฒน์ สุทธิรตั น์. (2553). เทคนิคการใชค้ �ำถาม พฒั นาการคิด. นนทบุรี :สหมิตรพริ้นติ้ง แอนด์พบั ลิสชิง่ . ชูศรี วงศ์รัตนะ. (2553). เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย. พิมพ์ครั้งท่ี 12. กรุงเทพฯ:คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. ประพนั ธ์ศิร ิ สุเสารจั , (2553). การพัฒนาการคิด. พมิ พค์ รงั้ ที่ 4. กรงุ เทพฯ : 9119 เทคนิคพร้ินตง้ิ . 112 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ ปีท่ี 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
ภพ เลาหไพบูลย์. (2537). แนวการสอนวิทยาศาสตร.์ กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพร้าว. สำ� นกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารประถมศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 3.(2557). รายงานประจำ� ป.ี สำ� นกั เขตพนื้ ทก่ี ารประถมศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ าน ี เขต 3 : สรุ าษฎร์ธาน ี ส�ำนกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา (องค์การมหาชน). (2551). ค่มู อื การประเมนิ คุณภาพภายนอกรอบ สาม (2554-2558) ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ฉบับสถานศึกษา พ.ศ. 2554. (พิมพ์ครั้งท่ี 3).กรุงเทพฯ : ส�ำนักงาน รบั รองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศกึ ษา (องคก์ ารมหาชน). สุวคนธ์ ผ่านส�ำแดง. (2552). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) เร่ืองอาหารและสารอาหาร กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4. (วิทยานิพนธ์ กศ.ม. หลักสูตรและการสอน : มหาวิทยาลัย มหาสารคาม.) อาร์ม โพธิ์พัฒน์. (2550). การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางวิทยาศาสตร์ และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเขียนแผนผังมโนมติ. (สารนิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา). กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ.) Bloom. Benjamin S. (1976). Taxonomy of Education Objective Handbook:Cognitive Domain. New York: David McKay Company Inc. Eisenkraft, A. 2003. Expanding the 5E Model A proposed 7E model emphasizes “transfer of learning” and the importance of eliciting prior understanding. Journal of The Science Teacher 70 : 56-59. Kuder, Frederic G. and M.W. Richardson. (1937). The Theory of the Estimation of Test Reliability. Psycho metrika. 2(September 1937), 151-160. Lawson, A. E. (1995). Science Teaching and the Development of Thinking. Belmont : Wadsworth. Marzano Robert J. (2001). Designing A New Taxonomy oF Education Objectives. California : Corwin Press. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ 113 ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2561
302 วารสารการวดั ผลการศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม การเปรยี บเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและเจต คตติ อ่ การเรียนวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ทเ่ี รยี นรแู้ บบวฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขน้ั การเรยี นร้แู บบการใชป้ ัญหาเป็นฐานและการเรยี นรู้แบบปกติ Comparisons of Critical Thinking Ability, Learning Achievement, and Attitudes toward Science Learning of Matthayomsueksa 2 Students Who Learned Using 7-E Learning Cycle, Problem-Based Learning and Traditional Learning Approaches อลศิ รา ศรสี ร้อย1 รงั สรรค์ โฉมยา2 อรญั ซยุ กระเด่ือง3 บทคัดยอ่ วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญในการพัฒนาความสามารถในการคิด การพัฒนาการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการสอนหลายรูปแบบ การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพอื่ เปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียน วิทยาศาสตรข์ องนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 ทีไ่ ด้จากการเรียนรแู้ บบวฏั จักรการเรียนรู้ 7 ข้นั การเรียนรู้แบบ การใช้ปัญหาเป็นฐานและการเรียนรู้แบบปกติ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียน จานวน 105 คน จากห้องเรียน 3 ห้อง ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน แผนจัดการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน และแผน จัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างละ 16 แผน 2) แบบทดสอบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางวิทยาศาสตร์ และ 4) แบบวัดเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ สถิติที่ใช้ใน การวเิ คราะห์ข้อมลู ได้แก่ คา่ เฉลี่ย ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน F-test (One-way MANOVA) ผลการวิจัยพบวา่ 1. ประสิทธิภาพของแผนการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น การเรียนรู้แบบการใช้ปัญหา เป็นฐาน และการเรียนรู้แบบปกติ มีค่าเท่ากับ 89.37 / 80.10, 88.28 /81.90 และ 86.60 / 75.05 ตามลาดบั 2. ประสิทธิผลของแผนการเรยี นรู้แบบวัฎจกั รการเรียนรู้ 7 ขนั้ การเรียนรแู้ บบการใช้ปัญหาเป็น ฐาน และการเรียนร้แู บบปกติ มคี า่ เทา่ กบั 0.6971, 0.7198 และ 0.6130 ตามลาดับ 1 นิสติ ระดบั ปริญญาโท สาขาวชิ าการวิจัยการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 2 อาจารย์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 3 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม
คณปะีทศ่ี กึ2ษ3าฉศบาสับตพริเ์ ศมษหา:วมทิ กยราาลคัยมมหพา.ศส.า2รค56าม0 303 3. นักเรียนท่ีเรียนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน และแบบปกติ มี คะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธิ์ทางวิทยาศาสตร์ ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเจตคติต่อการเรียน หลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี น อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่ีระดบั .05 4. นักเรียนที่เรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน มีผลสัมฤทธ์ิทางวิทยาศาสตร์ และมีความสามารถ ในการคิดอย่างมีวิจารณญาณมากกว่านักเรียนท่ีเรียนแบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ นักเรียนที่เรียนแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณมากกว่านักเรียนที่ เรียนรแู้ บบปกติ อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05 คาสาคัญ : การเรียนรแู้ บบวัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขั้น, การเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน, การคดิ อย่าง มวี ิจารณญาณ, เจตคติตอ่ การเรยี น ABSTRACT Science has an important role in developing thinking ability. Science learning- teaching development to be efficient must rely on various techniques and methods of teaching. This research aimed to compare students’ critical thinking ability, learning achievement, and attitudes toward science learning who learned using 7-E learning cycle, problem-based learning, and traditional learning approaches. The sample consisted of 105 Matthayomsueksa 2 (grade 8) students from 3 classrooms, obtained using the cluster random sampling technique. The instruments used in the research were : 1) plans for organization of 7-E learning cycle, plans for organization of problem-based learning, and plans for organization of traditional learning, 16 plans each ; 2) a critical thinking ability test ; 3) a science achievement test ; and 4) a scale on the attitude toward science learning. The statistics used for analyzing the collected data were percentage, mean, standard deviation, F-test (One-way MANOVA) The results of the research were as follows : 1. The efficiencies of the plans using 7-E learning cycle, problem-based learning and traditional learning approaches were 89.37/80.10, 88.28/81.90 and 86.60/75.05 respectively. 2. The effectiveness indices of the plans using 7-E learning cycle, problem- based learning and traditional learning approaches were 0.6971, 0.7198 and 0.6130 respectively. 3. The students who learned using the 7-E learning cycle, problem-based learning, and traditional learning showed gains in sctenee learning achievement, critical
304 วารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลยั มหาสารคาม thinking ability and attitudes towards science learning from before learning at the .05 level of significance. 4. The students who learned using the problem-based learning approach showed higher science learning achievement and critical thinking ability than the students learned using the traditional learning approach at the .05 level of significance, Also, the students learned using 7-E learning cycle approach indicated more critical thinking ability than the students learned using the traditional learning approach at the .05 level of significance. Keywords : 7-E learning cycle, problem-based learning, critical thinking, attitudes toward learning, บทนา วิทยาศาสตร์มีความสาคัญและจาเป็นที่จะต้องจัดให้มีขึ้นในระบบการศึกษาเพราะเป็นพื้นฐานในการ พฒั นาประชากรใหม้ ีคุณภาพทุกดา้ น จะเห็นวา่ ทุกสว่ นให้ความสาคัญและมุ่งพัฒนาผู้เรียนในทุกด้าน โดยเฉพาะ ด้านสติปัญญาและความคิด ไทยเราให้ความสนใจในการพัฒนาความคิดของผู้เรียนมาโดยตลอด (ลักขณา สริวัฒน์. 2549 : 43) ดังจะเห็นได้จากการจัดทาแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545-2559) ซ่ึงได้กาหนด แนวนโยบายไว้ 11 ประการ นโยบายที่สาคัญก็คือ “พัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้เพ่ือสร้างความรู้ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของคน” (คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2540 : 11) จากรายงานการ ประเมินคุณภาพการศึกษาโดย สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) ทั้งรอบที่1 และรอบท่ี 2 พบว่ามาตรฐานที่ 4 ด้านผู้เรียนท่ีเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ คดิ สงั เคราะห์ มีวิจารณญาณ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดไตร่ตรองและมีวิสัยทัศน์ โรงเรียนส่วนมากใน ระดบั เขตพ้นื ทกี่ ารศึกษาสกลนคร เขต 1 อยู่ในระดบั พอใช้ และจากการศึกษาผลการประเมินคุณภาพโรงเรียน เซนต์โยเซฟ ท่าแร่ ท่ีสงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาสกลนคร เขต 1 พบว่ามาตรฐานท่ี 4 อยู่ในระดับพอใช้ ผูว้ จิ ยั จงึ หาแนวทางในการพฒั นารูปแบบการสอนวิทยาศาสตรท์ ี่เน้นในด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ(Inquiry Method) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเน่ืองกันไปเรื่อยๆ เรียกว่า (Learning Cycle) แรกๆ พัฒนาข้ันตอนเพื่อเป็นแนวทางสาหรับใช้จัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ให้ เหมาะสมย่งิ ขึน้ (นันทิยา บุญเคลือบ. 2540 : 13-14) โดยแบ่งเป็น 5 ข้ัน (รุ่งระวี ศิริบุญนาม. 2551 : 3 ; อ้างอิงมาจาก Bybee. 1989 : 1-2) ได้แก่ การสร้างความสนใจ (Engagement) การสารวจและการค้นหา (Exploration) การอธิบาย (Explanation) การลงข้อสรุป (Elaboration) และการประเมินผล (Evaluation) ในปี ค.ศ 2003 Eisenkraft (รุ่งระวี ศิริบุญนาม. 2551 : 4 ; อ้างอิงมาจาก Eisenkraft. 2003 : 57-59 ) ไดข้ ยายขนั้ ตอนการสอนแบบวัฎจักรการเรยี นรู้จาก 5 ขน้ั เปน็ 7 ข้นั โดยเพ่ิมขึ้นมาอีก 2 ขั้น คือข้ันตรวจสอบ พ้ืนความรู้เดิม (Elicitation) และขั้นการนาความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ความสาคัญของการเพิ่มข้ัน
คณปะีทศี่ กึ2ษ3าฉศบาสบั ตพรเิ์ ศมษหา:วมทิ กยราาลคยั มมหพา.ศส.า2รค56าม0 305 ตรวจสอบพื้นฐานความรู้เดิม เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจ ตื่นเต้นกับการเรียน สามารถสร้างความรู้ อยา่ งมีความหมาย และขน้ั การนาความรไู้ ปใช(้ ประสาท เนืองเฉลิม. 2550 : 25-27) ดังนั้นขั้นตอนการสอน แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นหรือเรียกย่อว่า 7E มีดังน้ี (1) ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation) (2) ข้ัน เร้าความสนใจ (Engagement) (3) ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration) (4) ขั้นอธิบาย (Explanation) (5) ขน้ั ขยายความคิด (Elaboration) (6) ข้ันประเมินผล (Evaluation) (7) ข้ันนาความรู้ไปใช้ (Extension) ซึ่งเป็นกระบวนการสอน 7 ขั้น ท่ีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันไปในลักษณะของวัฏจักรการเรียนรู้ (Cycle) ขั้น การตรวจสอบความรู้เดิมท่ีจะช่วยให้นักเรียนถ่ายโอนความรู้ที่มีอยู่แล้วและช่ วยป้องกันไม่ให้เกิดแนวคิดท่ี ผิดพลาด (รงุ่ ระวี ศิริบญุ นาม. 2551 : 4 ; อ้างอิงมาจาก Eisenkraft. 2003 : 57-59) การเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นรูปแบบการเรียนรู้ท่ีเกิดจากแนวคิดตามทฤษฏีการเรียนรู้ แบบสร้างสรรค์นิยม(Constructivism)โดยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่จากการใช้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจริงในโลกเป็น บริบท(context)ของการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์และคิดแก้ปัญหารวมท้ังได้ความรู้ ตามศาสตร์ ในสาขาวชิ าทตี่ นศกึ ษาไปพร้อมกันการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน จึงเป็นผลมาจากกระบวนการ ทางานที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการแก้ปัญหาเป็นหลักการสอนแบบการใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นเทคนิคการ สอนทีส่ ่งเสริมใหผ้ เู้ รียนไดล้ งมือปฏบิ ัติด้วยตนเองเผชญิ หน้ากับปัญหาด้วยตนเองจะทาให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะใน การคิดหลายรูปแบบ เช่น การคิดวิจารณญาณ คิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ ข้ันตอน การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน(สานักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการการศึกษาและพัฒนาการ เรียนรู้. 2550 : 6-8) ได้แก่ 1) ข้ันกาหนดปัญหา เป็นขั้นที่ผู้จัดสถานการณ์ต่าง ๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด ความสนใจและมองเป็นปัญหา สามารถกาหนดส่ิงท่ีเป็นปัญหาที่อยากรู้อยากเรียนได้และเกิดความสนใจที่จะ ค้นหาคาตอบ 2) ทาความเข้าใจกับปัญหา ผู้เรียนจะต้องทาความเข้าใจปัญหาท่ีต้องการเรียนรู้ซ่ึงผู้เรียน จะต้องสามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับปัญหาได้ 3) ดาเนินการศึกษาค้นคว้า ผู้เรียนกาหนดส่ิงท่ี ต้องการเรียน ดาเนินการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองด้วยวิธีการหลากหลาย 4) สังเคราะห์ความรู้ เป็นข้ันที่ ผู้เรียนนาความรู้ที่ได้ค้นคว้ามาแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน อภิปรายผลและสังเคราะห์ความรู้ท่ีได้มาว่ามีความ เหมาะสมหรือไม่เพียงใด 5) สรุปและประเมินค่าของคาตอบ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มสรุปผลงานของกลุ่มตนเอง และประเมินผลงานว่า ข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยพยายามตรวจสอบแนวคิด ภายในกลุ่มของตนเองอย่างอิสระ ทุกกลุ่มช่วยกันสรุปองค์ความรู้ในภาพรวมของปัญหาอีกคร้ัง 6) นาเสนอ และประเมินผลงาน ผู้เรียนนาข้อมูลที่ได้มาจัดระบบองค์ความรู้และนาเสนอเป็นผลงานในรูปแบบที่ หลากหลาย ผู้เรียนทุกกลุ่มรวมท้งั ผทู้ เ่ี ก่ยี วข้องกบั ปัญหาร่วมกันประเมนิ ผลงาน ความมุ่งหมายของการวจิ ัย 1. เพ่อื พัฒนาแผนการจัดการเรยี นรทู้ ่เี รยี นรูแ้ บบวัฏจกั ร7 ขั้น การเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน และการเรยี นรแู้ บบปกติ เรื่อง แสงและการเกิดภาพ ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์75/75 2. เพ่ือศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักร 7 ข้ัน การ เรียนรแู้ บบการใช้ปญั หาเป็นฐาน และการเรียนรแู้ บบปกติ
306 วารสารการวดั ผลการศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 3. เพ่อื เปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง แสงและการเกิดภาพ ของนักเรียน ระหวา่ งก่อนและหลงั การสอนดว้ ยวธิ ีการเรยี นรู้แบบวัฏจักร 7 ข้ัน การเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน และ การเรยี นร้แู บบปกติ 4. เพอ่ื เปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง แสง และการเกิดภาพ และเจตคติต่อการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ที่เรยี นด้วยการเรียนรู้ แบบวฎั จักรการเรยี นรู้ 7 ขัน้ การเรยี นรแู้ บบการใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน และการเรียนรู้แบบปกติ สมมตุ ิฐานของการวิจยั 1. นกั เรียนทเี่ รียนด้วยวิธีการเรียนรู้แบบวัฏจักร 7 ข้ันกับการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐานและ การจัดการเรียนรูแ้ บบปกติ มีผลการเรียน หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนท่ีเรียนด้วยวิธีการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น วิธีการใช้ปัญหาเป็นฐาน และ วิธีการเรียนรู้แบบปกติ มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องแสงและ การเกดิ ภาพ และเจตคติตอ่ การเรยี นวิทยาศาสตร์แตกตา่ งกัน วิธกี ารวจิ ัย ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ประชากรทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ที่เรียนในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนเอกชนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาสกลนครเขต 1 จานวน 485 คน จาก 10 ห้องเรียน กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ท่าแร่ อาเภอเมือง จังหวดั สกลนคร จานวน 105 คน จาก 3 ห้องเรียน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) แล้วทาการจับสลากห้องเรียนเป็นห้องทดลองที่ 1 ใช้การเรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ห้องทดลองที่ 2 เรยี นแบบการใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน และห้องเรยี นที่เรยี นรู้แบบปกติ เครอื่ งมือที่ใช้ในการวจิ ยั 1. แผนการเรยี นรู้เร่ือง แสงและการเกดิ ภาพ แผนการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน แผนการเรียนรู้ แบบการใชป้ ัญหาเป็นฐาน แผนการเรยี นรูแ้ บบปกติ แบบละ 16 แผน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง แสงและการเกิดภาพ เป็นแบบทดสอบชนิด เลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 30 ขอ้ มีค่าอานาจต้ังแต่ .20 ถงึ .82 และคา่ ความเชือ่ มั่นทงั้ ฉบบั เทา่ กบั .93 3. แบบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นแบบวัดชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ มีค่าความยากตั้งแต่ .43 ถึง .62 มีค่าอานาจจาแนกต้ังแต่ .57 ถึง .86 และค่าความเชื่อม่ัน ทัง้ ฉบับเท่ากบั .77
คณปะีทศี่ ึก2ษ3าฉศบาสับตพริเ์ ศมษหา:วมทิ กยราาลคยั มมหพา.ศส.า2รค56าม0 307 4. แบบวัดเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั จานวน 20 ขอ้ มีค่าอานาจจาแนกต้ังแต่ .30 ถึง .78 และค่าความเช่ือม่ันท้ังฉบับเท่ากับ .91 การดาเนินการทดลอง 1. ทาการทดสอบกอ่ นการทดลองทง้ั สามกล่มุ โดยใชแ้ บบทดสอบแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน แบบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแบบวัดเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระ การเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง แสงและการเกดิ ภาพที่ผู้วิจัยสรา้ งขึ้น 2. ดาเนินการทดลองสอนโดยผู้วิจัยเป็นผู้ดาเนินการเองทั้งสามกลุ่ม โดยใช้เน้ือหาเดียวกัน โดย นกั เรยี นหอ้ งท่ี 1 ใช้วิธกี ารจดั การเรยี นรู้แบบวฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ข้นั กลุม่ ที่ 2 ใช้การจดั การเรยี นรูใ้ ช้ปัญหา เป็นฐาน สว่ นกลุม่ กลุม่ ควบคมุ ใชก้ ารจดั การเรียนรแู้ บบปกติ 3. ทดสอบหลังเรียนทั้งสามกลุ่ม โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบวัดความสามารถ ในการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ และแบบวัดเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง แสงและการเกิดภาพ การวิเคราะห์ข้อมูล การวเิ คราะห์ขอ้ มูลสาหรบั การวจิ ัยครงั้ นี้ มีขัน้ ตอนดังต่อไปนี้ 1. หาค่าสถติ ิพื้นฐาน ได้แก่ คา่ เฉล่ีย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ของคะแนนจากแบบทดสอบ วดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เร่ือง แสงและการเกดิ ภาพ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแบบวดั เจตคตติ อ่ การเรยี นวิทยาศาสตร์ 2. ตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณทางเดียว โดย การหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ทาง การเรยี น เรอ่ื ง แสงและการเกดิ ภาพ และเจตคตติ ่อการเรียนวทิ ยาศาสตร์โดยใชส้ ูตรของเพียร์สัน 3. วิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือตรวจสอบสมมติฐานของการวิจัย ในการเปรียบเทียบความสามารถ ในการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง แสงและการเกิดภาพ และเจตคติต่อการเรียน วิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน และแบบปกติ โดยใชก้ ารวเิ คราะห์ความแปรปรวนพหคุ ณู ทางเดียว (One-way MANOVA) 4. เมือ่ พบความแตกตา่ งของความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เร่ือง แสงและการเกิดภาพ และเจตคตติ ่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ด้วยวิธีการเรียนรู้ 3 วิธี จึงทาการ เปรยี บเทียบวิธีการเรยี นรู้เป็นรายคู่โดยใช้วธิ ีการของ Scheffe, และ Univariate test
308 วารสารการวดั ผลการศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ผลการวิจัย 1. ประสทิ ธิภาพของ แผนการเรียนรทู้ ่เี รียนรู้แบบวฏั จกั ร7 ขั้น แผนการเรยี นรแู้ บบการใช้ปญั หา เป็นฐาน และแผนการเรียนรู้แบบปกติ เรื่อง แสงและการเกิดภาพ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 89.37/80.10, 88.28/81.90 และ 86.60/75.05 ตามลาดบั 2. ดชั นีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน ที่วิเคราะห์จากคะแนน เรยี น ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน มีค่าเท่ากับ 0.6971 ซ่ึงแสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนร้อยละ 69.71 แผนการจัดการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน มีดัชนีประสิทธิผลท่ีวิเคราะห์จากคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน มีค่าเท่ากับ 0.7198 ซ่ึงแสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียน ร้อยละ 71.98 และ แผนการจัดการเรียนร้แู บบปกติ มีดชั นีประสิทธผิ ลที่วิเคราะหจ์ ากคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าเท่ากับ 0.6130 ซึง่ แสดงวา่ นกั เรยี นมคี วามก้าวหนา้ ในการเรียน ร้อยละ 61.30 3. นกั เรยี นที่เรียนรู้แบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ข้ัน การเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน และการ เรียนรแู้ บบปกติ มีผลการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง แสงและการเกิดภาพ หลังเรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียนอย่าง มนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 4. นักเรียนท่ีเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน มีผลสัมฤทธ์ิทางวิทยาศาสตร์ และ มีความสามารถ ในการคิดอย่างมีวิจารณญาณมากกว่านักเรียนท่ีเรียนแบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ นักเรียนท่ีเรียนแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณมากกว่านักเรียนท่ี เรยี นรแู้ บบปกติ อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 อภปิ รายผล จากการวิจยั เร่ืองการเปรียบเทียบความสามารถในการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคตติ ่อการเรยี นวิทยาศาสตร์ เร่อื ง แสงและการเกิดภาพ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ทเ่ี รียนรู้ แบบวฎั จกั รการเรียนรู้ 7 ข้ัน การเรียนรูแ้ บบการใช้ปญั หาเปน็ ฐานและการเรียนรู้แบบปกติ สามารถ อภปิ รายผลไดด้ งั นี้ 1. แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ีเรยี นร้แู บบวัฏจกั ร 7 ขัน้ การเรยี นรแู้ บบการใช้ปัญหาเปน็ ฐาน และ การเรียนรู้แบบปกติ เร่อื ง แสงและการเกิดภาพ ให้มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 75/75 1.1 ประสิทธภิ าพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจกั ร 7 ข้ัน เรอ่ื ง แสงและการเกดิ ภาพ ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 ทีม่ ีประสิทธภิ าพเท่ากับ 89.37/80.10 หมายความว่าค่าเฉล่ียคะแนนจาก การประเมินพฤติกรรมระหว่างเรียน และการทดสอบย่อยหลังเรียนจากการเรียนรู้แบบวัฏจักร 7 ขั้น ระหว่างเรียน 16 แผน 5 หน่วยการเรียนรู้ คิดเป็นร้อยละ 89.37 และคะแนนจากการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียนคิดเป็นร้อยละ 80.10 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนนแสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์75/75ท่ีต้ังไว้ ผลที่พบเช่นน้ีอาจเน่ืองมาจากแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้วิจัย สรา้ งขน้ึ ได้ดาเนินการจัดสร้างอยา่ งเปน็ ระบบมีขั้นตอนและวิธีการท่ีเหมาะสม คือศึกษาหลักสูตร วิเคราะห์ หลักสูตรและเน้ือหา ศึกษาแนวทางการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามผลการเรียนท่ีคาดหวัง ดาเนินการ
คณปะที ศ่ี ึก2ษ3าฉศบาสับตพรเิ์ ศมษหา:วมทิ กยราาลคัยมมหพา.ศส.า2รค56าม0 309 สร้างแผนการจดั การเรียนรู้ตามท่ีได้ศึกษาแล้วนาแผนการจัดการเรียนรู้เสนอคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ และผเู้ ชยี่ วชาญเพื่อพิจารณานามาปรับปรุงก่อนนาไปใช้ ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของเฉลิมพล ตามเมืองปัก (2551 : 104) พบว่าแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงและการเคล่ือนท่ี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพของแผนเท่ากับ 87.10/84.83 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ทตี่ ั้งไว้ 75/75 สอดคลอ้ งกับผลงานวิจัยของ ทิพาพร พลสามารถ (2547 : 85-95) พบว่าแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิชา ว31101 เรื่อง บรรยากาศ ช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 มปี ระสิทธิภาพของแผนเท่ากบั 82.44/81.25 ซ่งึ สงู กว่าเกณฑ์ทตี่ ั้งไว้ 75/75 สอดคล้อง กบั ผลงานวจิ ยั ของเนาวรัตน์ จันทรวิวัฒน์ (2551 : 95) พบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักร การเรียนรู้ 7 ขั้น เรื่อง งานและพลังงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีประสิทธิภาพ ของแผนเท่ากับ 81.16/79.06 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75 และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของรุจาภา ประถมวงษ์ (2551 : 79) พบว่า แผนการจัดการการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน มีประสิทธิภาพของแผนเท่ากับ 85.22/79.33 ซึง่ สงู กว่าเกณฑท์ ีต่ ั้งไว้ 75/75 1.2 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน เร่ือง แสงและการ เกิดภาพของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.28/81.90 หมายความว่าค่าเฉล่ีย คะแนนจากการประเมินพฤติกรรมระหว่างเรียน และการทดสอบย่อยหลังเรียนจากการเรียนรู้แบบการใช้ ปัญหาเป็นฐาน ระหว่างเรียน 16 แผน 5 หน่วยการเรียนรู้ คิดเป็นร้อยละ 88.28 และคะแนนจากการ ทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 81.90 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนนแสดงว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์75/75ท่ีตั้งไว้ เนื่องจากผู้วิจัยได้ดาเนินการ จัดสร้างอย่างเป็นระบบมีข้ันตอนและวิธีการท่ีเหมาะสม คือศึกษาหลักสูตร วิเคราะห์หลักสูตรและเน้ือหา ศึกษาแนวทางการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามผลการเรียนท่ีคาดหวัง ดาเนินการสร้างแผนการจัดการ เรียนร้ตู ามทไ่ี ด้ศกึ ษาแลว้ นาแผนการจดั การเรยี นรู้เสนอคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์และผู้เชี่ยวชาญเพ่ือ พิจารณานามาปรบั ปรุงก่อนนาไปใช้ ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของเฉลิมพล ตามเมืองปัก (2551 : 104) พบว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงและการเคล่ือนที่ ชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีประสิทธิภาพของแผนเท่ากับ 87.83/81.51 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ 75/75 ซึ่ง สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ สายใจ จาปาหวาย (2549 : 107) พบว่าพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ เรื่อง บทประยุกต์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.63/79.44 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ทีต้ังไว้ 75/75 การที่ผลการวิจัยปรากฏเช่นนี้ เนื่องจากการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานประกอบด้วย การกาหนดปัญหา นักเรียนทาความเข้าใจปัญหา ออกแบบและ ดาเนินการค้นคว้าเก่ียวกับปัญหาและนาความรู้ที่ได้จาการศึกษาค้นคว้ามาสังเคราะห์เป็นความรู้ใหม่ มีการ สรุปผลและประเมินค่าของคาตอบ นาเสนอและประเมินผล การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน เป็นการจดั กจิ กรรมท่ีเน้นผเู้ รยี นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เกิดการเรียนรู้จากกลุ่มผู้เรียนขนาดเล็ก ครู เป็นผู้อานวยความสะดวก และให้คาแนะนาใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ ผู้เรียนแก้ปัญหาโดย การแสวงหาข้อมูลใหมๆ่ ดว้ ยตวั เอง (มัณฑนา ธรรมบุศน.์ 2545 11-17)
310 วารสารการวดั ผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น แผนการเรียนรู้ แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน เร่ือง แสงและการเกิดภาพ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 พบว่า ค่าดัชนีประสิทธิผล ของแผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน เรื่อง แสงและการเกิดภาพ มีค่าเท่ากับ 0.6971 ซง่ึ หมายความว่า แผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียน รอ้ ยละ 69.71 ค่าดัชนปี ระสทิ ธิผลของแผนการจัดการเรียนร้แู บบการใช้ปัญหาเป็นฐาน มีค่าเท่ากับ 0.7198 แสดงว่าผู้เรียนมคี วามกา้ วหน้าในการเรียนร้อยละ 71.98 สอดคล้องกับผลงานวิจัยของเฉลิมพล ตามเมืองปัก (2551 : 115-116) พบว่ามีดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขนั้ เทา่ กับ 0.8194 แสดงว่าผูเ้ รียนมคี วามก้าวหนา้ ในการเรียนร้อยละ 81.94 ดัชนีประสิทธิผลของแผนการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐานมีค่าเท่ากับ 0.7940 แสดงว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าในการ เรียน ร้อยละ 79.40 การท่ีผลปรากฏเช่นนี้เน่ืองมาจาก ผู้วิจัยได้จัดรูปแบบการเรียนรู้ที่ใช้วิธีการจัดการ เรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น และการจัดการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน มีข้ันตอนท่ีเน้นให้ นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติและค้นคว้าด้วยตัวเอง สอดคล้องกับผลงานวิจัยของรุจาภา ประถมวงษ์ (2551 : 79) พบว่ามีดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เท่ากับ 0.6361 แสดงวา่ ผู้เรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนร้อยละ 63.61 สอดคล้องกับงานวิจัยของเนาวรัตน์ จันทรวิวัฒน์ (2551 : 88) พบว่า มีดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน เทา่ กบั 0.6298 แสดงวา่ นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนร้อยละ 62.98 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ สายใจ จาปาหวาย (2549 : 97) พบว่ามีดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐาน มีคา่ เทา่ กบั 0.7104 แสดงว่านกั เรียนมคี วามกา้ วหน้าในการเรยี นรอ้ ยละ 71.04 3. นกั เรยี นทีไ่ ด้เรียนร้จู ากการเรียนรู้แบบวัฏจกั ร 7 ข้นั การเรยี นรู้แบบการใชป้ ัญหาเป็นฐาน มีคะแนนเฉล่ียความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติต่อการเรียน วิทยาศาสตร์ เร่ือง แสงและการเกิดภาพ ของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งน้ีอาจเน่ืองมาจากการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น และ แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน ที่ผู้วิจัยได้ใช้กิจกรรมที่เน้นให้นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อค้นหาคาตอบอย่างมี ขัน้ ตอน ตามกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 2 แบบ ทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และค้นหาคาตอบได้ด้วยตัวเองได้ ทดลองและฝึกปฏิบัติทาให้เกิดความสนุกสนาน และนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ จึงส่งผลให้นักเรียนมี ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ รุจาภา ประถมวงษ์ (2551 : 73-74) พบว่า นกั เรยี นท่ีได้รบั การสอนตามรูปแบบวัฎจกั รการเรยี นรู้ 7 ขัน้ มผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับ การสอนตามรูปแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของสายใจ จาปาหวาย (2549 : 98) พบว่านกั เรยี นท่ีได้รบั การสอนโดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่านักเรียนท่ีได้รับ การสอนโดยใช้กิจกรรมตามรูปแบบ สสวท. และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของวีระ เตโช (2549 : 128) พบว่าผลการเรียนด้วยวิธีสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลักมีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณเรื่องสภาพ และปญั หาสิ่งแวดล้อมหลงั การทดลองสงู กวา่ ก่อนการทดลองและมีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
คณปะีทศี่ กึ2ษ3าฉศบาสบั ตพริเ์ ศมษหา:วมทิ กยราาลคยั มมหพา.ศส.า2รค56าม0 311 ที่สอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังการทดลอง สูงกว่าก่อนการทดลอง สอดคล้องกับผลงานวิจัยของอีบราฮิม (Ebrahim. 2004 : 1232-A) พบว่า ผลของการสอนแบบปกติกับ การสอนโดยใชว้ ฏั จักรการเรยี นรู้ (4-E) ท่มี ีตอ่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จานวน 111 คนจาก 4 ห้องเรียน แบ่งกลุ่มทดลอง 56 คน เรียนแบบวัฏจักร 4 ขั้น และกลุ่มควบคุม 55 คนเรียนแบบปกติเป็นเวลา 4 สัปดาห์ การสอนใช้ครูเพศหญิงสอนนักเรียนทั้งสองกลุ่ม การเก็บข้อมูลใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและการเรียนรู้มี คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติทางวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยวิธีการสอน แบบปกติ และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของบิลลิงส์ (Billings. 2002 : 840) พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยวัฏจักรการ เรยี นรูม้ ีความสนใจในเนือ้ หาวชิ าเพ่มิ ขึ้นรอ้ ยละ 56 ข้ึนไป นักเรียนรอ้ ยละ 75 มคี วามสนุกสนานกับการเรียน แบบวัฏจักรการเรียนรู้ ร้อยละ 66 ชอบการเรียนแบบวัฏจักร การเรียนรู้เป็นรูปแบบการสอนที่มี ประสิทธิภาพท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ และทาให้นักเรียนมีความสนใจและ ความพึงพอใจการเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 3.1 นักเรยี นที่เรียนด้วยการเรียนรู้แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น และการเรียนรู้แบบปกติ มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง แสงและการเกิดภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานท่ีต้ังไว้การท่ีผลการวิจัยเป็นเช่นน้ีอาจ เนื่องมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นเป็นรูปแบบหนึ่งที่นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผู้เรียนได้ร่วมกัน ประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง ให้ความสาคัญกับการตรวจสอบความรู้เดิมของเด็กทาให้เด็กเกิดการเรียนรู้ อย่างมีความหมายและไม่เกิดแนวความคิดท่ีผิดพลาด ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ รุ่งระวี ศิริบุญนาม (2551 : 73-77) พบว่านักเรียนท่ีเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน นักเรียนที่เรียนรู้แบบ KWL และ นักเรียนทเี่ รียนรู้แบบปกติ มีความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เร่ือง กรด-เบส และ มีเจตคติต่อการเรียนเคมี แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ เนาวรัตน์ จันทรวิวัฒน์ (2551 : 91) พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนเรียนรู้แบบวัฏจักรการ เรียนรู้ 7 ข้ัน กับการจดั การเรยี นรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ข้ัน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดอย่างมี วจิ ารณญาณแตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับงานวิจัยของพัชรินทร์ เทียบพิมพ์ (2550 : 97-106) พบว่า นักเรียนที่เรียนแบบวัฏจักรการเรียนรู้และแบบ 4 MAT มีทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานหลังเรียนโดยรวม และด้านการพยากรณ์แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนที่เรียนแบบวัฏจักรการเรียนรู้และแบบ 4 MATมีเจตคติเชิงวิทยาศาสตร์หลังเรียนโดยรวมและ ดา้ นการยอมรับข้อจากัดแตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05 3.2 นักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน และการเรียนรู้แบบปกติ มี ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่อื ง แสงและการเกิดภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ซงึ่ เป็นไปตามสมมุติฐานทตี่ ง้ั ไว้การที่ผลการวิจัยเป็นเช่นน้ีอาจ เนื่องมาจากการจัดการเรียนการสอนแบบ
312 วารสารการวัดผลการศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม การใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นรูปแบบท่ีเน้นให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการลงมือทาด้วยตนเอง นักเรียนสามารถสร้าง องคค์ วามรู้ไดด้ ้วยตนเอง และเป็นวิธีท่ีสามารถจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจเรียนเป็นอย่างมาก ซ่ึงสอดคล้อง กับผลงานวจิ ยั ของวีระ เตโช (2549 : 128) พบวา่ นกั เรียนทีเ่ รียนวชิ าประชากรกบั ส่ิงแวดล้อมเร่ืองสภาพ และปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มดว้ ยวิธีสอนแบบใชป้ ญั หาเป็นหลักกับวิธีสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์มีความสามารถ ในการคิดอย่างมีวิจารณญาณแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ.01โดยนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอน แบบใช้ปัญหาเป็นหลักมีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เร่ืองสภาพและปัญหาสิ่งแวดล้อมหลัง การทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนท่ีเรียนด้วยวิธีสอนแบบ ใชก้ ระบวนการกล่มุ สัมพนั ธ์มีความสามารถในการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณเร่อื งสภาพและปัญหาสิ่งแวดล้อมหลัง การทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับงานวิจัยของพัชรินทร์ เทียบพิมพ์ (2550 : 97-106) พบว่า สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ เฉลิมพล ตามเมืองปัก (2551 : 120-121) พบว่า นักเรียนท่ีเรียนโดยการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้นและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบปญั หาเปน็ ฐาน มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนความสามารถในการคิดวิเคราะห์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ต่อ การเรยี นวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง แรงและการเคลอ่ื นทช่ี ั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ไมแ่ ตกต่างกนั (p > .01) ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวจิ ัยไปใช้ 1.1 จากผลการวิจยั พบว่า นกั เรยี นทีเ่ รียนโดยใชก้ ารเรียนรู้แบบวฏั จักรการเรียนรู้ 7 ขนั้ และ การเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และมีเจตคติต่อการเรียน สูงกว่านักเรียนท่ีเรียนแบบปกติ ดังน้ันครูผู้สอนควรนาเอาวิธีการเรียนรู้ใช้การเรียนรู้ แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ันและ การเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียน การสอนใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพมากย่งิ ขึ้น 1.2 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน มีข้อจากัดในเรื่องเวลาในการจัดกิจกรรม ตามข้นั ตอนต่างๆดงั นน้ั ครผู ู้สอนอาจปรับเวลาท่ีใชใ้ นการดาเนนิ กิจกรรมใหเ้ หมาะสม 1.3 ในการทากจิ กรรมกลุ่ม นกั เรียนเกง่ มกั จะเปน็ คนดาเนินการท้งั หมด ครูผสู้ อนควรกระตุน้ ให้นกั เรียนได้เรยี นรูด้ ว้ ยตัวเองจงึ ควรเพิ่มคะแนนความร่วมมือในแตล่ ะกจิ กรรม 1.4 การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ แบบวฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ข้นั และการเรยี นรู้โดยการใช้ปญั หา เป็นฐานในชั่วโมงแรก นักเรียนอาจยังไม่เข้าใจและปฏิบัติไม่ถูก ครูผู้สอนควรช้ีแจงจุดประสงค์ วิธีการดาเนินการ การปฏิบัติตน การช่วยเหลือกัน ตลอดจนเกณฑ์การให้คะแนนเป็นรายคนและกลุ่มให้เข้าใจก่อนดาเนิน กิจกรรม 2. ข้อเสนอแนะสาหรับการวิจยั ครั้งตอ่ ไป 2.1 ควรทาการศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ันและ การเรียนรู้ โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน ท่ีส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
คณปะีทศี่ ึก2ษ3าฉศบาสับตพริเ์ ศมษหา:วมทิ กยราาลคัยมมหพา.ศส.า2รค56าม0 313 และเจตคติต่อการเรียนของนักเรียนในวิชาอ่ืนเช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม หรอื ในระดับชั้นอนื่ ๆ เป็นต้น 2.2 ควรทาการเปรยี บเทียบการจัดกจิ กรรมการเรียนร้แู บบวัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั และการ เรยี นรโู้ ดยการใช้ปญั หาเป็นฐาน กบั กิจกรรมการเรียนรู้รปู แบบอน่ื ๆ เอกสารอา้ งอิง คณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาต.ิ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.การปฏิรูปการเรียนรูผ้ ู้เรียนสาคญั ท่สี ดุ . พิมพค์ ร้ังที่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2540. เฉลมิ พล ตามเมืองปัก. การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ และเจตคตเิ ชิงวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 กลมุ่ สาระวิทยาศาสตร์ เร่ือง แรงและการเคลอื่ นท่ี ระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) กับการจดั กิจกรรมเรียนรแู้ บบปญั หาเป็นฐาน. วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2551. ทิพาพร พลสาสมารถ. การพฒั นาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วชิ า ว 31101 เรื่องบรรยากาศ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2547. เนาวรัตน์ จนั ทรวิวัฒน์. เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ องนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 ระหวา่ ง การจดั การเรยี นรู้แบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ขัน้ กบั การเรียนรู้ 5 ขน้ั . วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2551. ประสาท เนอื งเฉลิม. “การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะ 7 ขั้น,” วารสารวิชาการ. 10(4) : 25-30, 2550. พชั รินทร์ เทียบพิมพ.์ เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นพน้ื ฐาน และเจตคติเชงิ วิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ท่เี รียน แบบวัฏจกั รการเรียนรู้ และแบบ 4 MAT. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2550. มัณฑรา ธรรมบุศย.์ “การพฒั นาคุณภาพการเรยี นร้โู ดยใช้ PBL (Problem-Based-Learning),” วารสารวิชาการ. 5(2) : 11-17 ; กมุ ภาพนั ธ์, 2545. รงุ่ ทพิ ย์ รม่ จาปา. การเปรยี บเทยี บผลการเรียนรแู้ บบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขน้ั และการเรยี นสบื เสาะ แบบ สสวท ทม่ี ีต่อแนวความคิดเลอื กเกีย่ วกบั มโนมตชิ ีววิทยา : การหมนุ เวยี นเลือด และกา๊ ซและการกาจัดของเสยี และทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพนื้ ฐานของ นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2. วิทยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย มหาสารคาม, 2549.
314 วารสารการวดั ผลการศกึ ษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่งุ ระวี ศริ ิบุญนาม. การเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เรอื่ งกรด เบส และเจตคตติ ่อการเรียนเคมขี องนักเรียน ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ท่ีได้รับการเรียนรแู้ บบแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน การเรียนรู้ แบบ KWL และการเรียนร้แู บบปกติ. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2551. รจุ าภา ประถมวงษ.์ การเปรียบเทียบความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เรอื่ งสารในชีวิตประจาวัน ของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่เรียนด้วยการจัด การเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรยี นรู้ 5 ข้ัน (5E) กบั การเรียนรู้แบบวฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ข้ัน (7E). วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2551. ลักขณา สรวิ ัฒน.์ การคิด. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร์, 2549. วรี ะ เตโช. เปรยี บเทียบความสามารถในการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ เร่อื ง สภาพและปญั หา สิ่งแวดล้อมของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยใช้วิธกี ารสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ หลกั กบั วิธีสอนแบบกระบวนการกลมุ่ สัมพันธ์. วิทยานพิ นธ์ กศ.ม. สงขลา : มหาวิทยาลัย ราชภัฏสงขลา, 2549. สายใจ จาปาหวาย. ผลการเรียนดว้ ยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐานและรูปแบบ ของ สสวท. เรอ่ื งบทประยุกต์ท่ีมีต่อผลการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6. วิทยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2549. Billing, R.L. “Assessment of the Learning Cycle and Inquiry-based Learning in High School Physics Education,” Masters Abstracts International. 40(4) : 840 ; August, 2002. Ebrahim, Ail. “The Effects of Traditional Learning and Learning Cycle Inquiry Learning Strategy on Student, s Science Achievement and Attitudes Toward Elementary Science,” Dissertation Abstracts International. 65(4) : 1232-A ; October, 2004.
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ที่ 8 เล่มที่ 15 มกราคม-มถิ นุ ายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University การใช้มาตรประมาณค่า ในการศกึ ษาวจิ ยั ทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ การโรงแรม และการท่องเท่ยี ว The Use of Rating Scale in Quantitative Research on Social Sciences, Humanities, Hotel and Tourism Study ดร.ละเอียด ศิลาน้อย Laiard Silanoi, Ph.D. คณะการทอ่ งเที่ยวและการโรงแรม มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม Faculty of Tourism and Hotel Management, Mahasarakham University E-mail: [email protected] Received : 14 เมษายน 2561 Revised : 24 กนั ยายน 2561 ดร.กนั ฑมิ าลย์ จินดาประเสริฐ Accepted : 2 ตลุ าคม 2561 Kantimarn Chindaprasert, Ph.D. คณะการทอ่ งเท่ียวและการโรงแรม มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม Faculty of Tourism and Hotel Management, Mahasarakham University E-mail: [email protected] บทคัดย่อ การวิจยั เชิงปริมาณ (Quantitative Research) ในทางสงั คมศาสตร์ มนษุ ยศาสตร์ การโรงแรม และการ ท่องเท่ียวนนั้ ในแบบสอบถามมกั จะนิยมใช้มาตรประมาณค่า (Rating Scale) กนั เป็ นจานวนมาก สว่ นใหญ่จะเป็ น มาตรประมาณคา่ 1-5 ของลกิ เคิร์ต (1-5 Likert Scale) และใช้ในลกั ษณะที่เป็ นมาตรประเภทอนั ดบั ท่ี (Ordinal Scale) หรือบางกรณีก็ใช้ในลกั ษณะที่เป็ นมาตรอนั ตรภาค (Interval Scale) แต่ในกรณีที่ใช้เป็ นมาตรประมาณค่าประเภท อนั ดบั ท่ีนนั้ ตวั เลขแสดงลาดบั ท่ีจะมีระยะห่างที่เท่ากนั หรือไม่เท่ากันก็ได้ (หมายถึงลาดบั ที่ 1 ห่างจากลาดบั ท่ี 2 ไม่ เท่ากบั ลาดบั ที่ 2 ห่างจากลาดบั ท่ี 3 ก็ได้ ฯลฯ ) การวิเคราะห์จะใช้สถิติประเภทหน่ึง ท่ีแตกต่างออกไปจากการถือว่า เป็ นมาตรประมาณค่าประเภทอนั ตรภาคซง่ึ ระบวุ ่าตวั เลขแต่ละตวั มีช่วงห่างเท่า ๆ กนั (เช่น 2 คะแนน มีค่ามากกว่า 1 คะแนนอยู่ 1 และ 3 คะแนนมีค่ามากกว่า 2 คะแนนอยู่ 1 อย่างเท่าเทียมกนั ฯลฯ) เรนสิส ลิกเคิร์ต (Rensis Likert) ผ้พู ฒั นามาตรประมาณค่า 5 ลาดบั ระบุว่ามาตรประมาณค่าเป็ นมาตรประเภทอนั ตรภาค แต่ทว่าในทางปฏิบตั ิจะ พบว่ามีการใช้เป็ นมาตรประมาณค่าประเภทอนั ดบั ท่ีอย่บู ้างเพื่อแสดงถึงลาดบั ที่ แต่แล้วเม่ือจะดาเนินการทางสถิติก็ กลบั ดาเนินการคานวณตวั เลขเหล่านนั้ เสมือนหนึ่งเป็ นตวั เลขในมาตรประเภทอนั ตรภาค จึงเท่ากบั สรุปได้ว่ามีการใช้ งานในลกั ษณะท่ีเป็นมาตรประมาณคา่ ประเภทอนั ตรภาคนนั่ เอง นอกจากนีใ้ นการแปลผลค่าคะแนนก็พบว่ามีทงั้ การแบ่งช่วงคะแนนในแต่ละอนั ตรภาคชนั้ ให้เท่ากนั และไม่ เท่ากนั ซึ่งก็สามารถกระทาได้ 2 กรณี ทงั้ นีจ้ ะขึน้ อย่กู บั เร่ืองหรือประเด็นท่ีทาการศึกษาวิจยั รวมทงั้ วตั ถปุ ระสงค์ของ การศกึ ษาวิจยั ในครัง้ นนั้ เป็นสาคญั คาสาคัญ: มาตรประมาณค่า, มาตรประมาณค่า 1-5 ของลิกเคิร์ต, มาตรประมาณค่าประเภทอนั ดบั ท่ี, มาตร ประมาณคา่ ประเภทอนั ตรภาค 112
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ท่ี 8 เล่มท่ี 15 มกราคม-มถิ นุ ายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University Abstract The Rating Scale was frequently used in Social Sciences, Humanities, Hotel and Tourism quantitative research design, especially the 1-5 Likert Scale. And it was used both as the ordinal scale and the interval scale. Rensis Likert who developed 1-5 Likert Scales confirmed that it was Interval rating scales which the distance between each number is assumed equally. However, some used the rating scale as an ordinal scale; but on later computation, it was used as an interval scale, because they could not apply the number of ranks in an ordinal scale as a real number for any mathematic computations. Furthermore, the problems arise again whether they should interpret by dividing each class in an interval scale equally or not. The answer is they were accepted both, equally assumed and equally not assumed, depended on the framework of the objectives and the subject be studied. Key words: Rating Scales, 1-5 Likert Scales, Ordinal Rating Scales, Interval Rating Scales บทนา มาตรประมาณคา่ (Rating Scales) เป็นมาตรที่นิยมใช้ในแบบสอบถาม (Questionnaire) ในการศกึ ษาวิจยั เชิงปริมาณ (Quantitative Research) กนั อยา่ งแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรประมาณคา่ 1-5 ของลกิ เคิร์ต (1-5 Likert Scale) ซึ่งมีการใช้กนั ทงั้ ในทางสงั คมศาสตร์ มนษุ ยศาสตร์ การโรงแรม และการท่องเที่ยว ทงั้ งานวิจยั ใน ประเทศ เชน่ งานวจิ ยั ของนสิ ติ -นกั ศกึ ษาในระดบั ปริญญาโทและปริญญาเอกด้านการทอ่ งเท่ียวและการโรงแรม รวมทงั้ งานวิจยั ในต่างประเทศด้วย เช่น งานวิจยั ด้านโรงแรมของ Rodriguez-Algeciras และ Talon-Ballestero (2017) และ งานวิจยั ด้านการทอ่ งเที่ยวของ Pan, L., Zhang, M., Gursoy, D., & Lu, L. (2017) แต่ปัญหาท่ีปรากฏอย่ตู ลอดมาก็ คือมาตรประมาณคา่ เป็ นมาตรประเภทอนั ดบั ท่ี (Ordinal Rating Scale) หรือควรจะจดั ว่าเป็ นมาตรประเภทอนั ตรภาค (Interval Rating Scale) นกั การศกึ ษาบางทา่ นเห็นว่าควรเป็ นมาตรอนั ตรภาคหรือเป็ นช่วงคะแนนท่ีเรียกว่า Interval Rating Scale (Steven, 1951, 1959, 1960 อ้างใน สชุ ีรา ภทั รายตุ วรรตน์, 2551 : 177) แต่บางท่านก็มีความเห็นว่าเป็ นมาตร ประมาณคา่ ประเภทอนั ดบั ท่ี หรือเรียกว่า Ordinal Rating Scale (Essench, 1972 และ Gardner, 1975. อ้างใน สชุ ีรา ภทั รายตุ วรรตน์, 2551 : 176) สาเหตทุ ่ีเกิดเป็ นปัญหาขนึ ้ ก็เนื่องจากมาตรแตล่ ะประเภทจะใช้สถิติวิเคราะห์ที่แตกต่าง กนั และแม้ว่ามาตรประมาณคา่ ท่ีเรนสสิ ลิกเคิร์ต (Rensis Likert) ได้พฒั นาขนึ ้ 1-5 ระดบั นนั้ (สชุ ีรา ภทั รายตุ วรรตน์, 2551 : 149) จะมีผ้ยู ืนยนั วา่ เป็นมาตรอนั ตรภาคที่มีชว่ งคะแนนเทา่ กนั โดยตลอด (Tuckman, 1972 อ้างใน สชุ ีรา ภทั รา ยตุ วรรตน์, 2551 : 176) แต่ก็มีผ้ทู ่ีคดั ค้านว่ามาตรประมาณค่าเป็ นมาตรอนั ดบั ที่เพราะแสดงอนั ดบั ที่ให้ปรากฏ (Galtung, 1969. อ้างใน สชุ ีรา ภทั รายตุ วรรตน์, 2551 : 177) แตก่ ระนนั้ ในการคานวณทางสถิติก็คานวณเสมือนเป็น มาตรอนั ตรภาคอกี นน่ั เอง (Knapp, 1990 อ้างใน สชุ ีรา ภทั รายตุ วรรตน์ , 2551 : 181) 113
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ที่ 8 เล่มที่ 15 มกราคม-มถิ นุ ายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University เนือ้ หา มาตรประมาณคา่ (Rating Scale) ท่ีใช้นนั้ เป็ นมาตรประเภทอนั ดบั ที่ (Ordinal Scale) หรือจะเป็ นมาตร ประเภทอนั ตรภาค (Interval Scale) นนั้ จะพิจารณาได้ในรายละเอียดดงั นี ้ 1. มาตรประมาณค่าประเภทอันดับท่ี (Ordinal Rating Scale) ตวั อย่างท่ี 1 กรณีท่ีใช้เป็ นมาตรประมาณคา่ ประเภทอนั ดบั ท่ี หรือ Ordinal Rating Scale โดยกาหนด อนั ดบั ท่ีเป็น “ตวั อกั ษร” หรือ “ตวั เลข” ซงึ่ มีคณุ คา่ เทา่ กบั เป็นตวั อกั ษรตวั หนงึ่ สมมติวา่ มีแบบสอบถามชดุ หนึง่ สอบถามความพงึ พอใจของนกั ท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวตลาดนา้ ตล่ิง ชนั ให้นกั ท่องเท่ียวเลือกกรอกความคิดเห็นในช่องท่ีตรงกบั ความคิดเห็นของตน โดยจะใช้มาตรประมาณค่าประเภท อนั ดบั ท่ี (Ordinal Rating Scale) ก ข ค ง จ และกาหนดความหมายไว้ให้ดงั นี ้ “ก” เท่ากบั พอใจมากท่ีสดุ (5) “ข” เทา่ กบั พอใจมาก (4) “ค” เทา่ กบั พอใจปานกลาง (3) “ง” เท่ากบั พอใจน้อย (2) และ “จ” เท่ากบั พอใจน้อยที่สดุ (1) จะเห็นได้ว่าความหมายเหล่านีแ้ บ่งเป็ น 5 อนั ดบั จึงน่าจะเป็ นมาตรประมาณค่าประเภทอนั ดบั ที่ (Ordinal Rating Scale) นน่ั เอง หมายความวา่ อนั ดบั ท่ี ก นนั้ จะมากกวา่ อนั ดบั ท่ี ข และอนั ดบั ท่ี ข จะมากกวา่ อนั ดบั ที่ ค ซงึ่ อนั ดบั ค จะ มากกว่าอนั ดบั ง และอนั ดบั ง มากกวา่ อนั ดบั จ โดยที่การ “มากกวา่ ” เหลา่ นนั้ “มากกว่า” อยา่ ง “เทา่ เทียมกนั ” หรือ “มากกวา่ ” อยา่ ง “แตกตา่ งกนั ” กไ็ ด้ในแตล่ ะช่วง (เน้นท่ีความ “มากกวา่ ” เทา่ นนั้ ) ตารางท่ี 1 การพฒั นาแหลง่ ทอ่ งเที่ยวตลาดนา้ ด้านสนิ ค้าและบริการ ก ข ค ง จ พอใจมาก พอใจมาก พอใจปาน พอใจน้อย พอใจน้อย 1.ความเป็นสนิ ค้าพืน้ เมืองตลง่ิ ชนั 2.ความหลากหลายของสนิ ค้า ท่ีสุด 4 กลาง 2 ท่ีสุด ................................... 5 3 1 .................................... 20. หีบหอ่ มีเอกลกั ษณ์ชมุ ชนตลง่ิ ชนั ดงั นนั้ การกาหนดระดบั ความพงึ พอใจไว้ 5 ระดบั คือ ก ข ค ง จ หรือ 5 4 3 2 1 ท่ีนาเสนอใน ท่ีนี ้ ถือว่าเป็ นมาตรอนั ดบั ที่ (Ordinal Rating Scale) โดยสมบรู ณ์ และเมื่อได้ผลจากแบบสอบถามมาก็จะสามารถ อธิบายได้แบบ Likert items คืออธิบายแตเ่ พียงว่าได้อนั ดบั ก หรือ 5 พอใจมากที่สดุ ที่ข้อใดบ้าง ได้อนั ดบั ข หรือ 4 พอใจมากที่ข้อใดบ้าง ได้อนั ดบั ค หรือ 3 พอใจปานกลางท่ีข้อใดบ้าง ได้อนั ดบั ง หรือ 2 พอใจน้อยที่ข้อใดบ้าง และได้ อันดับ จ หรือ 1 พอใจน้อยทีสุดที่ข้อใดบ้าง และเมื่อนาแบบสอบถามทัง้ ฉบับมาประมวลผลเพ่ือสรุปแบบ Likert Scales หรือ Summative Model ว่าผ้ตู อบแบบสอบถามมีความพึงพอใจรวมในสินค้าและบริการในระดบั ใดก็จะ สามารถดไู ด้ในตารางข้างลา่ งนี ้ 114
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ที่ 8 เล่มท่ี 15 มกราคม-มถิ ุนายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University ตารางท่ี 2 การแปลผล ระดบั ความพงึ พอใจ (อันดับต่าง ๆ ก – จ) ความหมาย ก หรือ 5 รวม 20 ตวั พอใจมากทีส่ ดุ ข หรือ 4 รวม 20 ตวั ค หรือ 3 รวม 20 ตวั พอใจมาก ง หรือ 2 รวม 20 ตวั พอใจปานกลาง จ หรือ 1 รวม 20 ตวั พอใจน้อย พอใจน้อยที่สดุ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ตรงไปตรงมาตามตารางข้างบนนีก้ ็จะไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขนึ ้ เช่น เม่ือ มี ก หรือ 5 รวม 20 ตวั ก็คือพอใจมากที่สดุ หรือ เมื่อมี ข หรือ 4 รวม 20 ตวั ก็คือพอใจมาก ฯลฯ ดงั กลา่ ว แต่ทว่าในกรณีอ่ืน ๆ เช่น กรณีที่ได้ ก หรือ 5 รวม 8 ตวั และได้ ข หรือ 4 รวม 12 ตวั จะแปลผลโดยสรุปวา่ อย่างไรดี หรือ ได้ ก หรือ 5 รวม 3 ตวั และ ได้ ข หรือ 4 รวม 6 ตวั และได้ ค หรือ 3 รวม 11 ตวั จะแปลผลโดยสรุปวา่ อย่างไรดี นบั ว่าเป็ นเรื่องที่ค่อน อย่างย่งุ ยากมาก เพราะตวั เลขทงั้ ห้าตวั (1-5) เป็ นแต่เพียงตวั เลขท่ีบ่งบอกอนั ดบั ที่หรือลาดบั ที่เท่านนั้ (เป็ นเสมือน ตวั อกั ษรตวั หนงึ่ เทา่ นนั้ ไมไ่ ด้มีคณุ คา่ เป็นตวั เลขท่ีแท้ กลา่ วคือ มิได้มีความหมายเป็ น “จานวน” ใด ๆ ทงั้ สิน้ ) เราจงึ ไม่ อาจจะนาเอาตวั เลขเหล่านีม้ าบวก ลบ คณู หาร ได้แต่อย่างใด ซ่งึ ในกรณีท่ีมี 5 บ้าง 4 บ้าง 3 บ้าง 2 บ้าง และ 1 บ้าง คละกนั ไปก็ คงจะบอกได้ตามแตจ่ านวนที่จะปรากฏให้เห็นอย่เู ช่นนนั้ เทา่ นนั้ คือบอกได้เพียงเป็ นฐานนิยม (Mode) ได้ เทา่ นนั้ วา่ มีผ้พู อใจมากที่สดุ หรือ 5 ก่ีคน มีผ้พู อใจมากหรือ 4 กี่คน ฯลฯ (เช่นเดียวกบั ที่บอกได้แตเ่ พียงว่านกั เรียนในห้อง ได้เกรด A หรือเกรด 4 กี่คน ได้เกรด B หรือ เกรด 3 กี่คน ฯลฯ เทา่ นนั้ ) แต่กระนนั้ ก็มีนกั วิจยั บางทา่ นนาเอาตวั เลข 5 4 3 2 1 เหลา่ นีม้ าทาการบวก ลบ คณู หาร กนั ในเชิงคณิตศาสตร์เพ่ือหาค่าเฉล่ียเลขคณิตด้วย ซง่ึ ไม่ถกู ต้องเพราะใน กรณีของตวั เลขอนั ดบั ท่ีนนั้ ไมส่ มควรนามาคานวณในเชิงคณิตศาสตร์แตอ่ ยา่ งใด) 2. มาตรประมาณค่าประเภทอันตรภาค (Interval Rating Scale) ในทางปฏิบตั ิแล้วมกั ใช้มาตรอนั ดบั ที่ 1-5 เหลา่ นีเ้ป็ นมาตรประเภทอนั ตรภาค (Interval Rating Scale) คือเป็ นมาตรท่ีมีช่วงหา่ งแตล่ ะคะแนนเท่ากนั (คือ 2 คะแนนมากกว่า 1 คะแนนเท่ากบั 1 และ 3 คะแนนมากกว่า 2 คะแนนเทา่ กบั 1 และ 4 คะแนนมากกว่า 3 คะแนนเท่ากบั 1 และ 5 คะแนนมากกวา่ 4 คะแนนเท่ากบั 1) และสามารถ นาเอาตวั เลขดงั กลา่ วมาบวก ลบ คณู หาร กนั ได้ ซง่ึ จะถือวา่ นาเอามาตรอนั ดบั ที่ซ่ึงมีช่วงห่างของลาดบั ที่เทา่ ๆ กนั ใน แต่ละช่วงนนั้ มาพิจารณาดจุ เป็ นมาตรอนั ตรภาคท่ีมีช่วงห่างแตล่ ะคะแนนเทา่ กนั ก็ได้นน่ั เอง (Knapp, 1990. อ้างในสชุ ี รา ภทั รายตุ วรรตน์, 2551 : 181) ดงั จะได้แสดงให้เหน็ ดงั นี ้ ตวั อยา่ งที่ 2 กรณีใช้เป็ นมาตรประมาณคา่ ประเภทอนั ตรภาค (Interval Rating Scale) โดยกาหนดค่า เป็นจานวนตวั เลขหรือเป็นคะแนน 115
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ท่ี 8 เล่มท่ี 15 มกราคม-มิถนุ ายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University ตารางท่ี 3 การพฒั นาแหลง่ ทอ่ งเท่ียวตลาดนา้ ด้านสนิ ค้าและบริการ 5 4 32 1 พอใจมาก พอใจมาก พอใจปาน พอใจน้อย พอใจน้อย 1.ความเป็นสนิ ค้าพืน้ เมืองตลิ่งชนั 2.ความหลากหลายของสนิ ค้า ท่ีสุด กลาง ท่ีสุด ................................... .................................... 20. หีบหอ่ มีเอกลกั ษณ์ชมุ ชนตลง่ิ ชนั ในที่นี ้การกาหนดระดบั ความพงึ พอใจไว้ 5 ระดบั คือ 5 4 3 2 1 เช่นนี ้จะถือว่าเป็ นมาตรประเภท อนั ตรภาค หรือ Interval Rating Scales คือถือว่าพอใจมากท่ีสดุ คือ 5 คะแนน พอใจมากคือ 4 คะแนน พอใจปาน กลางคือ 3 คะแนน พอใจน้อยคือ 2 คะแนน และพอใจน้อยท่ีสดุ คือ 1 คะแนน โดยแตล่ ะคะแนนมีชว่ งหา่ งเทา่ ๆ กนั ตารางท่ี 4 การแปลผลคะแนนรวมโดยใช้คะแนนท่ีมากเป็นหลกั ระดบั ความพงึ พอใจ (ช่วงคะแนน 5-1 คะแนน) ความหมาย 5 x 20 ข้อ = 100 คะแนน พอใจมากท่สี ดุ 4 x 20 ข้อ = 80 คะแนน 3 x 20 ข้อ = 60 คะแนน พอใจมาก 2 x 20 ข้อ = 40 คะแนน พอใจปานกลาง 1 x 20 ข้อ = 20 คะแนน พอใจน้อย พอใจน้อยท่ีสดุ ในกรณีท่ีตรงไปตรงมาตามตารางข้างบนนีก้ ็จะไมม่ ีปัญหาใด ๆ เกิดขนึ ้ คือ เม่ือ มี 5 จานวน 20 ตวั ก็คือ 100 คะแนน เท่ากบั พอใจมากที่สดุ หรือ เม่ือมี 4 จานวน 20 ตวั ก็คือ 80 คะแนน ก็คือ พอใจมาก มี 3 จานวน 20 ตวั ก็ คือ 60 คะแนน เท่ากบั พอใจปานกลาง มี 2 จานวน 20 ตวั ก็คือ 40 คะแนนเท่ากบั พอใจน้อย และ มี 1 จานวน 20 ตวั ก็ คือ 20 คะแนน เทา่ กบั พอใจน้อยท่ีสดุ ดงั กลา่ ว แต่อย่างไรก็ตามในกรณีอ่ืน ๆ เช่น กรณีท่ีได้ 5 จานวน 8 ตวั (เท่ากบั 40 คะแนน) และได้ 4 จานวน 12 ตวั (เท่ากับ 48 คะแนน) จะแปลผลโดยสรุปว่าอย่างไร (เพราะรวมทงั้ สิน้ ได้ 88 คะแนน ควรจะแปลหมายความว่า อยา่ งไร) หรือ ได้ 5 จานวน 3 ตวั (รวม 15 คะแนน) และ ได้ 4 จานวน 6 ตวั (รวม 24 คะแนน) และได้ 3 จานวน 11 ตวั (รวม 33 คะแนน) รวมทงั้ สิน้ ได้ 72 คะแนน จะแปลความหมายว่าอย่างไร ฯลฯ ทงั้ นี ้จะสามารถกาหนดการแปลผลไว้ ได้ 2 แบบ ได้แก่ แบบชว่ งคะแนน และแบบคา่ เฉลย่ี ซงึ่ มีรายละเอียด ดงั นี ้ 116
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ท่ี 8 เล่มท่ี 15 มกราคม-มถิ นุ ายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University 1) มาตรประเภทอนั ตรภาค ที่มีการแปลผลเป็น “ชว่ งคะแนน” คือการกาหนด “ช่วงคะแนน” ขนึ ้ และ กาหนดความหมายขนึ ้ ใช้งาน โดยใช้เกณฑ์ “พิสยั หารด้วยจานวนชนั้ ของชว่ งคะแนน” หรือ ซง่ึ จะได้ “ช่วงคะแนน” ท่ี เทา่ ๆ กนั ทกุ ชว่ งคะแนนหรือทกุ ชนั้ ของช่วงคะแนน (โดยจากตวั อยา่ งจะเร่ิมต้นท่ีคะแนนตา่ สดุ คือ 20 และไปจนถงึ คะแนนสงู สดุ คือ 100) ดงั มีรายละเอียดดงั นี ้ เมื่อถือวา่ มาตร 5 4 3 2 1 เป็ นมาตรประเภทอนั ตรภาคหรือมาตรท่ีเป็ นช่วงคะแนน (Interval Scale) และประสงค์จะให้การแปลผลมีช่วงคะแนนเท่า ๆ กนั ทกุ ช่วงก็ต้องจดั ทาเป็ นอนั ตรภาคชนั้ (Class Interval, I) ขนึ ้ มา ก่อน โดยนาพิสยั (Range, R) ของคะแนน มาหารด้วยจานวนชนั้ (Number of Class, K) ท่ีต้องการ ก็จะได้ค่าความ กว้างของอนั ตรภาคชนั้ (The width of each class; Class Interval, I) ของคะแนนในชนั้ ต่าง ๆ ตามที่ต้องการ (นนั่ คือ =I) ทงั้ นีจ้ ะเป็ นลกั ษณะเดียวกนั กบั การแจกแจงความถ่ีแบบเป็ นกลมุ่ (Group Frequency Distribution) ท่ี รศ.ดร.บญุ เรียง ขจรศิลป์ ได้อธิบายไว้ (บญุ เรียง ขจรศิลป์ , 2549 : 12-14) และคสั ซานีก็ได้อธิบายไว้ด้วยในเร่ือง Grouped Data, Classes of Equal Widths นนั่ เอง (Khazanie, R., 1996 : 19 - 22) และยงั เป็ นความประสงค์ของ ผ้วู ิจยั ที่ต้องการกาหนด “จดุ ตดั (Cutting Point)” ท่ีจะแบ่งช่วงของคะแนนออกเป็ นช่วงท่ีเท่ากนั หรือออกเป็ นนา้ หนกั ท่ี “เท่า ๆ กนั ” ด้วย กลา่ วคือ ให้คานวณหาพิสยั (Range, R) ก่อนอนั ได้แก่นาค่าคะแนนสงู สดุ ลบด้วยค่าคะแนนต่าสดุ แล้วกาหนดจานวนชนั้ (Number of Classes, K) ตามต้องการ ซง่ึ หากตดั สินใจกาหนด “จานวนชนั้ ” ที่ต้องการไมไ่ ด้ก็ ให้ใช้สตู รคานวณจานวนชนั้ ก็ได้ (ธรรมศาสตร์, 2558 : บทท่ี 1-10; Khazanie, R., 1996 : 20) ดงั เสนอไว้ท้ายบทความนีแ้ ล้ว จากนนั้ คานวณหาความกว้าง (The Class Width) ของอนั ตรภาคชนั้ (Class Interval, I) ในแตล่ ะชนั้ โดยนาจานวนชนั้ ไปหารพิสยั (หรือ นนั่ เอง) และให้ใช้คะแนนสงู สดุ เป็ นขีดจากดั บน (Upper Limit) ของชนั้ สงู สดุ ของการแจกแจงโดยจะได้ทกุ ๆ ชนั้ มีอนั ตรภาคชนั้ (Class Interval, I) ที่มีความกว้างในชนั้ (The Class Width) เท่า ๆ กนั จากตวั อย่าง คะแนนสงู สดุ คือ 100 และคะแนนต่าสดุ คือ 20 กาหนดให้มี 5 ชนั้ จะได้ความ กว้างของแต่ละชนั้ คือ 16 (มาจาก = 16) นนั่ คือ คะแนนจะมีช่วงกว้างในแต่ละชนั้ เท่ากนั ทกุ ชนั้ คือ 16 คะแนน และรวมทงั้ สิน้ 5 ชนั้ โดยคะแนนต่าสดุ คือ 20 และให้ใช้คะแนนสงู สดุ เป็ นขีดจากดั บน (Upper Limit) ของชนั้ สงู สดุ โดยตรง ดงั ตารางข้างลา่ งนี ้ ตารางท่ี 5 การแปลผลโดยใช้คะแนนรวมที่ให้แตล่ ะชว่ งคะแนนมีความกว้างเทา่ กนั ช่วงคะแนนรวม ความหมาย 84 – 100 พอใจมากท่สี ดุ 68 – 83 52 – 67 พอใจมาก 36 – 51 พอใจปานกลาง 20 – 35 พอใจน้อย พอใจน้อยท่ีสดุ 117
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ที่ 8 เล่มที่ 15 มกราคม-มิถนุ ายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University จากตวั อย่างที่ผ่านมา เมื่อได้คะแนน 5 จานวน 8 ตัว (เท่ากับ 40 คะแนน) และได้ 4 จานวน 12 ตัว (เท่ากับ 48 คะแนน) รวมทัง้ สิน้ ได้ 88 คะแนน ก็จะหมายความว่าพอใจมากที่สุดเพราะอยู่ในช่วง 84-100 หรืออีก ตวั อยา่ งหนง่ึ คือ ได้ 5 จานวน 3 ตวั (รวม 15 คะแนน) และ ได้ 4 จานวน 6 ตวั (รวม 24 คะแนน) และได้ 3 จานวน 11 ตวั (รวม 33 คะแนน) รวมทงั้ สนิ ้ ได้ 72 คะแนน จะพิจารณาได้วา่ พอใจมากเพราะอยใู่ นชว่ ง 68-83 ฯลฯ 2) มาตรประเภทอนั ตรภาค ท่ีมีการแปลผลเป็ น “ค่าเฉล่ีย (มชั ฌิมเลขคณิต, Mean, ̅ )” คือ มีการ กาหนด “ช่วงของค่าเฉลี่ย” ขนึ ้ มา และกาหนดความหมายขนึ ้ ใช้งาน จะมีลกั ษณะดงั นี ้(ขอให้สงั เกตว่าจะไมใ่ ช้คะแนน รวมมากาหนดความหมาย) 2.1) การแปลผล “ช่วงของค่าเฉลี่ย” ที่มีช่วงของค่าเฉล่ียที่เท่ากนั ในทกุ ช่วงหรือทกุ ชนั้ ในอนั ตรภาค ชนั้ จะใช้เกณฑ์ “พิสยั หารด้วยจานวนชนั้ ของช่วงของค่าเฉลี่ย” หรือ ซง่ึ จะได้ “ช่วงของคา่ เฉล่ีย” ท่ีเท่า ๆ กนั ทกุ ช่วง ของค่าเฉล่ียหรือทกุ ชนั้ ของช่วงของค่าเฉลี่ย เป็ นค่าความกว้างของอนั ตรภาคชนั้ (The Class Width ใน Class Interval, I) คือความกว้างในแต่ละชนั้ ซง่ึ เป็ นการแบ่งอนั ตรภาคชนั้ หรือ Class Interval, I ตามวิธีการการแจกแจง ความถี่แบบเป็ นกลมุ่ (Group Frequency Distribution) ที่ รศ.ดร.บญุ เรียง ขจรศิลป์ ได้อธิบายไว้ (บญุ เรียง, 2549 : 12-14) และคสั ซานีได้อธิบายไว้ในเรื่อง Grouped Data, Classes of Equal Widths นนั่ เอง (Khazanie, R., 1996 : 19 - 22) โดยการนาพิสยั หรือ Range ของคะแนน (ซง่ึ ในที่นีใ้ ช้เกณฑ์ 5-4-3-2-1 ทาให้ได้พิสยั คือเกณฑ์สงู สดุ ได้แก่ 5 ลบ ด้วยเกณฑ์ต่าสดุ ได้แก่ 1 หรือ “5 – 1” นนั่ เอง) นามาหารด้วยจานวนชนั้ หรือ Number of Classes, K (ในที่นีก้ าหนดให้ ใช้ 5 ชนั้ เพ่ือให้มีชนั้ ตรงกลางคือ 3 ชนั้ สงู สดุ คือ 5 และชนั้ ต่าสดุ คือ 1 จาก 5-4-3-2-1 ดงั กล่าวมานี)้ แต่ในกรณีท่ี ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใช้จานวนชัน้ สักเท่าใดก็ให้ใช้สูตรคานวณจานวนชัน้ ก็ได้ (ธรรมศาสตร์, 2558 : บทที่ 1-10; และ Khazanie, R., 1996: 20) ดงั เสนอไว้ท้ายบทความนีแ้ ล้ว ดงั นนั้ จะได้ 0.80 (มาจาก = ) นน่ั คือ ช่วงกว้างของ “ค่าเฉล่ีย(มชั ฌิมเลขคณิต, Mean, ̅)” หรือ “ช่วงของค่าเฉลี่ย” ในแตล่ ะชนั้ จะมีความกว้างของชนั้ (Class Width) ในแต่ละอนั ตรภาคชนั้ (Class Interval, I) เทา่ กบั 0.80 เทา่ ๆ กนั รวมทงั้ สนิ ้ 5 ชนั้ (Classes, K) อย่างไรก็ตาม คา่ เฉล่ียท่ีได้จะมาจากค่าเกณฑ์ 5-4-3-2-1 โดย 1 เป็ นเกณฑ์ต่าสดุ และ 5 เป็ นเกณฑ์ สงู สดุ เพื่อให้ครอบคลมุ เกณฑ์ที่กาหนดไว้ได้ครบถ้วนก็อาจจะให้ขีดจากดั ลา่ งของชนั้ แรกเท่ากบั เกณฑ์ที่ต่าสดุ (ในท่ีนี ้ คือ 1) หรือน้อยกว่าเกณฑ์ที่ต่าสดุ สกั เล็กน้อยก็ได้ (ในท่ีนีค้ ืออาจจะน้อยกว่า 1 สกั เล็กน้อยก็ได้) แล้วให้บวกขีดจากดั ล่างของชนั้ แรกด้วยความกว้างของชนั้ คือ 0.80 จะได้เป็ นขีดจากดั ล่างของชนั้ ที่สอง (คือ 1.80) และให้บวกต่อไปด้วย 0.80 จะได้ขีดจากดั ล่างของชนั้ ท่ีสาม (คือ 2.60) และให้บวกต่อไปด้วย 0.80 จะได้ขีดจากดั ลา่ งของชนั้ ที่สี่ (คือ 3.40) และให้บวกต่อไปด้วย 0.80 จะได้ขีดจากัดล่างของชัน้ ท่ีห้า (คือ 4.20) และต่อจากนัน้ ให้ใช้เกณฑ์สูงสุดคือ 5 เป็ น ขีดจากดั บน (Upper Limit) ของชนั้ สงู สดุ โดยตรง ดงั ตารางข้างลา่ งนี ้ 118
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ที่ 8 เล่มท่ี 15 มกราคม-มิถุนายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University ตารางท่ี 6 การแปลผลโดยใช้คา่ เฉลยี่ ( ̅) ของเกณฑ์ 5-4-3-2-1 และให้แตล่ ะช่วงชนั้ มีความกว้างเทา่ กนั การแปลผลตามช่วงของค่าเฉล่ีย ความหมาย ความพงึ พอใจของนักท่องเท่ียว ในการพฒั นาตลาดนา้ ฯ 4.20 – 5.00 พอใจมากทส่ี ดุ 3.40 – 4.19 พอใจมาก 2.60 – 3.39 พอใจปานกลาง 1.80 – 2.59 พอใจน้อย 1.00 – 1.79 พอใจน้อยท่ีสดุ ขอให้สงั เกตวา่ ขนาดของชนั้ หรือ Class size ในท่ีนี ้คือขีดจากดั บนของชนั้ นนั้ ลบด้วยขีดจากดั บน ของชนั้ ที่อย่ลู า่ งกวา่ ชนั้ นนั้ เช่น ขนาดของชนั้ ท่ีสอง (Size of the Second Class) คือ 0.80 ซง่ึ ได้มาจากขีดจากดั บน ของชนั้ ที่สอง “2.59” ลบด้วยขีดจากดั บนของชนั้ แรก “1.79” ก็จะได้แก่ 0.80 เป็ นขนาดของชนั้ ที่สอง(Size of the Second Class) ดงั กลา่ วมาแล้วนน่ั เอง ในการคานวณหาค่าเฉล่ียนนั้ จากตวั อย่างที่ผ่านมา เม่ือได้เกณฑ์ 5 จานวน 8 ตวั (เท่ากบั 40 คะแนน ) และได้ 4 จานวน 12 ตวั (เท่ากบั 48 คะแนน ) รวมทงั้ สิน้ ได้ 88 คะแนนให้หารด้วยจานวนผ้ตู อบ 20 จะได้ ค่าเฉลีย่ 4.4 คะแนน หมายความว่า “พอใจมากที่สดุ ” เพราะอยใู่ นช่วง 4.20 – 5.00 ตรงกนั กบั “พอใจมากที่สดุ ” ใน การคานวณด้วยค่าคะแนนที่ผ่านมา หรือกรณีที่ได้ 5 จานวน 3 ตวั (รวม 15 คะแนน) และ ได้ 4 จานวน 6 ตวั (รวม 24 คะแนน) และได้ 3 จานวน 11 ตวั (รวม 33 คะแนน) รวมทงั้ สิน้ ได้ 72 คะแนน ให้หารด้วยจานวนผ้ตู อบ 20 จะได้ คา่ เฉล่ีย 3.6 จะหมายความวา่ “พอใจมาก” เพราะอย่ใู นช่วง 3.40 – 4.19 ตรงกนั กบั “พอใจมาก” ในการคานวณด้วย คา่ คะแนนที่ผ่านมา ทงั้ นีส้ ามารถเปรียบเทียบการแปลผลของ “ช่วงของคะแนน” (ตงั้ แต่ 20 ถงึ 100 คะแนน, ห่างช่วง ละ 16 คะแนน กรณีใช้คะแนนรวมมาพิจารณา) และการแปลผลของ “ช่วงของคา่ เฉล่ีย” (ตงั้ แต่ 1- 5, ห่างช่วงละ 0.80 กรณีใช้เกณฑ์ 5-4-3-2-1 มาพจิ ารณาโดยตรง ) ได้ดงั นี ้ ตารางท่ี 7 ตารางเปรียบเทียบการแปลผลของ “ชว่ งคะแนน” และ “ชว่ งคา่ เฉล่ีย” ช่วงคะแนนรวม ความหมาย ระดบั / เกณฑ์ ช่วงค่าเฉล่ียของเกณฑ์โดยรวม 84 - 100 พอใจมากที่สดุ 5 4.20 – 5.00 68 – 83 4 3.40 – 4.19 52 – 67 พอใจมาก 3 2.60 – 3.39 36 – 51 พอใจปานกลาง 2 1.80 – 2.59 20 - 35 1 1.00 – 1.79 พอใจน้อย พอใจน้อยที่สดุ 119
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ที่ 8 เล่มท่ี 15 มกราคม-มถิ ุนายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University เปรียบเทียบคะแนนรวมที่ได้ 88 คือพอใจมากที่สดุ ซงึ่ ตรงกบั ค่าเฉลี่ยที่ได้ 4.4 คือพอใจมากท่ีสดุ เชน่ กนั และ เปรียบเทียบคะแนนรวมท่ไี ด้ 72 คือพอใจมาก กต็ รงกบั คา่ เฉล่ยี ที่ได้ 3.6 คือพอใจมาก อีกเชน่ กนั ฯลฯ จะเห็นได้วา่ “ช่วงของคะแนน” และ “ช่วงของคา่ เฉล่ีย” มีความพ้องกนั ในทกุ ๆ ช่วงของความหมาย ซง่ึ ได้มาจากการคานวณตามเกณฑ์ที่ให้ อนั ทาให้ได้ “จดุ ตดั (Cutting Point)” ท่ีช่วงกว้างของแต่ละชนั้ เท่ากนั ขนึ ้ มา ใช้งาน ทงั้ นีผ้ ้วู ิจัยอาจใช้ประโยชน์จากผลการวิจยั เช่นนีไ้ ด้มาก กล่าวคือ ในเม่ือปรากฏว่า “ความพอใจน้อยที่สดุ ” มี ช่วงกว้างมากก็จริงอยู่ (คือสมควรพฒั นาให้ดีขึน้ ) แต่ขณะเดียวกันก็จะได้กาลงั จากการท่ี “ความพอใจมากที่สดุ ” มี ช่วงกว้างมากด้วยเช่นกนั และมีความเสมอภาคกนั ด้วยคือมีช่วงกว้างเท่าเทียมกนั ในทกุ ช่วงตงั้ แตช่ ่วงของ “พอใจน้อย ที่สดุ ” “พอใจน้อย” “ พอใจปานกลาง” “พอใจมาก” และ “พอใจมากที่สดุ ” 2.2) การกาหนดความหมายให้ชว่ ง “คะแนน” แตล่ ะชว่ งไมเ่ ทา่ กนั กระทาได้หลายวธิ ีการ ดงั นี ้ (ก) การกาหนดความหมายให้ช่วง “คะแนน” แตล่ ะช่วงไม่เทา่ กนั (โดยเร่ิมต้นที่คะแนนต่าสดุ คือ 20 และคะแนนสงู สดุ คือ 100) สามารถทาได้ตามที่คสั ซานีได้อธิบายไว้ในเรื่อง Grouped Data, Classes of Unequal Widths ( Khazanie, R., 1996 : 22-23) เนื่องจากจะมีบางช่วงคะแนนมีข้อมลู อดั กนั อยแู่ น่นมากเกินไปและบางช่วง คะแนนก็ไม่มีข้อมลู เลย เป็ นต้น (และอาจเป็ นความประสงค์ของผ้วู ิจยั ท่ีต้องการให้แบ่งช่วงของคะแนนออกเป็ นช่วง หรือนา้ หนกั ที่ “ไมเ่ ทา่ กนั ” ตามความหมายท่ีต้องการจะสอื่ ความไปถงึ ) โดยพจิ ารณา ดงั นี ้ เมื่อถือวา่ มาตร 5 4 3 2 1 เป็ นมาตรอนั ตรภาคหรือช่วงคะแนน (Interval Scale) และ ประสงค์จะให้การแปลผลมีความกว้างของช่วงคะแนน (The Class Width) ท่ีไม่เท่ากนั ในแต่ละช่วงชนั้ ก็สามารถ กระทาได้โดยนาพิสยั (Range) ของคะแนนมาหารด้วยจานวนชนั้ ย่อย (Mini-Class) ก็จะได้ช่วงคะแนนย่อย (Mini- Class Interval) ดงั นี ้ Range/Mini-Class = Mini-Class Interval ของคะแนน ซง่ึ จะได้ = 10 ในท่ีนีจ้ ะได้ชนั้ ย่อยมีทงั้ หมด 8 ชนั้ ย่อย แต่ละชนั้ ย่อยให้มีช่วงกว้างในแต่ละชนั้ ย่อยเท่ากบั 10 คะแนน และจดั อตั ราสว่ นของช่วงคะแนน 8 ชนั้ ย่อย ให้เป็ นสดั สว่ น (Proportion) 1 : 2 : 2 : 2 : 1 ได้โดยบีบช่วงปลาย ขอบทงั้ สองข้างให้แคบกวา่ ชว่ งอนื่ ๆ อนั เป็นการแบง่ ชว่ งคะแนนให้ไม่เทา่ กนั ในแตล่ ะช่วง จะเห็นได้วา่ ช่วงคะแนนช่วงแรก กว้างเท่ากบั 1 ชนั้ ย่อยหรือ 10 คะแนน (คือตงั้ แต่ 20 คะแนน ถงึ 29 คะแนน), และให้ช่วงคะแนนช่วงท่ีสองถดั ไป กว้างเป็ น 2 ชนั้ ย่อยหรือ 20 คะแนน (คือตงั้ แต่ 30 คะแนน ถงึ 49 คะแนน), ให้ชว่ งคะแนนชว่ งท่สี ามถดั ขนึ ้ ไป กว้างเป็ น 2 ชนั้ ยอ่ ยหรือ 20 คะแนน (คือตงั้ แต่ 50 คะแนน ถึง 69 คะแนน), ให้ช่วงคะแนนช่วงท่ีสถี่ ดั ขนึ ้ ไป กว้างเป็ น 2 ชนั้ ยอ่ ยหรือ 20 คะแนน (คือตงั้ แต่ 70 คะแนน ถงึ 89 คะแนน), และให้ช่วง คะแนนช่วงท่ีห้าถดั ขึน้ ไป กว้างเป็ น 1 ชนั้ ย่อยหรือ 10 คะแนน (คือตงั้ แต่ 90 คะแนน ถึง 99 คะแนน ซ่ึงในที่นีใ้ ห้ใช้ คะแนนสงู สดุ เป็นขีดจากดั บน (Upper Limit) ของชนั้ สงู สดุ จงึ ได้ปัดขนึ ้ เป็น 100 คะแนนเตม็ ) ดงั ตารางข้างลา่ งนี ้ ตารางท่ี 8 การแปลผลคะแนนรวมโดยให้แตล่ ะช่วงชนั้ กว้างไมเ่ ทา่ กนั (1:2:2:2:1) ช่วงคะแนนรวม ความหมาย 90 - 100 พอใจมากท่ีสดุ 120
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ที่ 8 เล่มที่ 15 มกราคม-มถิ ุนายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University ช่วงคะแนนรวม ความหมาย 70 – 89 พอใจมาก 50 – 69 พอใจปานกลาง 30 – 49 พอใจน้อย 20 – 29 พอใจน้อยท่ีสดุ (ข) การแปลผลท่ีกาหนดเกณฑ์ “ช่วงคะแนน” ท่ีไม่เท่ากนั ในแต่ละช่วง (เพ่ิมเติม) โดยเร่ิมต้นท่ี คะแนนต่าสุดคือ 0 และคะแนนสูงสุดคือ 60 ดังนี ้ (เป็ นความประสงค์ของผู้วิจัยที่ต้องการให้แบ่งช่วงของคะแนน ออกเป็นชว่ งหรือนา้ หนกั ที่ไมเ่ ทา่ กนั – ตามความหมายที่ผ้วู จิ ยั ต้องการส่ือความไปถงึ ) จากตวั อยา่ ง “แบบประเมนิ และวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเอง” ของกรมสขุ ภาพจิต กระทรวง สาธารณสขุ จะพบวา่ มีการแบง่ ช่วงชนั้ ไมเ่ ทา่ กนั ดงั จะแสดงให้เหน็ ถงึ การแบ่งช่วงคะแนนที่ไมเ่ ท่ากนั ได้ แตท่ ว่ามีความ เหมาะสมแก่กรณี ดงั นี ้(สชุ ีรา ภทั รายตุ วรรตน์, 2551: 339-343) ตวั อยา่ งท่ี 4 แบบประเมินและวเิ คราะห์ความเครียดด้วยตนเอง ในระยะเวลา 2 เดือนที่ผา่ นมานี ้ทา่ นมีอาการ พฤตกิ รรม หรือความรู้สกึ ต่อไปนีม้ ากน้อยเพียงใด , โปรดขีดเครื่องหมายถกู (√) ลงในชอ่ งแสดงระดบั อาการท่ีเกิดขนึ ้ กบั ตวั ทา่ น ตามความเป็นจริงมากที่สดุ ตารางท่ี 9 ระดบั อาการ อาการ พฤตกิ รรม หรือ ความรู้สกึ 0 1 23 1.นอนไมห่ ลบั เพราะคิดมากหรือกงั วลใจ ไม่เคยเลย เป็ นครัง้ คราว เป็ นบ่อย ๆ เป็ นประจา 2.รู้สกึ หงดุ หงิด ราคาญใจ 3.ทาอะไรไมไ่ ด้เลย เพราะประสาทตงึ เครียด 4.มีความวนุ่ วายใจ ....................... 20.ความสขุ ทางเพศลดลง ในการแปลผล: – ให้ถือว่าตวั เลข 0 ถึง 3 เป็ นคา่ คะแนนท่ีมีช่วงหา่ งเทา่ ๆ กนั และนาเอาระดบั อาการท่ีขีดถกู (√) มาบวกรวมกนั ทงั้ หมด (เช่นถ้าได้ 3 ทงั้ 20 ข้อก็ได้เท่ากบั 60 คะแนน, หรือได้ 2 รวม 20 ข้อได้ 40 คะแนน, และได้ 1 รวม 20 ข้อได้ 20 คะแนน, และ ได้ 0 รวม 20 ข้อได้ 0 คะแนน ฯลฯ ) แตอ่ ยา่ งไรก็ตามได้มีการกาหนดช่วงคะแนนท่ีมีช่วงกว้างไว้ไมเ่ ท่ากนั สาหรับการแปลผลคะแนน ที่ได้ และให้ความหมายตามที่ผ้วู ิจัยกาหนดไว้ (จากการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ) และใช้คะแนน สงู สดุ เป็นขีดจากดั บน (Upper Limit) ของชนั้ สงู สดุ ดงั นี ้ 121
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ท่ี 8 เล่มที่ 15 มกราคม-มถิ นุ ายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University ตารางท่ี 10 การแปลผล ระดบั คะแนนรวม ความหมาย 0-5 มีความเครียดระดบั ต่ามาก เฉ่ือยชา 6-17 มีความเครียดในระดบั ปกติ 18-25 มีความเครียดสงู กวา่ ปกติเลก็ น้อย 26-29 มีความเครียดสงู กวา่ ปกตปิ านกลาง 30-60 มีความเครียดสงู กวา่ ปกติมาก ความหมายของระดบั คะแนนคือระดบั คะแนน 30-60 หมายถงึ มีความเครียดอยใู่ นระดบั สงู กว่า ปกติมาก กาลังตกอยู่ในภาวะตึงเครียดหรือกาลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ในชีวิตอย่างรุนแรง ระดับคะแนน 26-29 หมายถึง มีความเครียดสงู กว่าปกติในระดับปานกลาง ขณะนีท้ ่านเริ่มมีความเครียดในระดับค่อนข้างสงู และได้รับ ความเดือดร้ อนเป็ นอย่างมากจากปัญหาทางอารมณ์ที่เกิดจากปัญหาความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ในชีวิต ระดับ คะแนน 18-25 หมายถึง มีความเครียดสูงกว่าปกติเล็กน้อย มีความไม่สายใจอันเกิดจากปัญหาในการดาเนิน ชีวติ ประจาวนั ฯลฯ ในกรณีนีค้ วรผ่อนคลายโดยการดหู นงั ฟังเพลง ระดบั คะแนน 6-17 หมายถงึ มีความเครียดในระดบั ปกติ สามารถจดั การกบั ความเครียดท่ีเกิดขนึ ้ ในชีวิตประจาวนั ได้ ระดบั คะแนน 0-5 หมายถงึ มีความเครียดในระดบั ต่า มาก ซ่ึงในทางทฤษฎีถือว่าไม่มีทางเป็ นไปได้ แต่ที่ได้ผลดงั นีอ้ าจเป็ นเพราะผ้ตู อบไม่ตอบตามข้อเท็จจริง หรือเป็ นคน เฉื่อยชามาก ขอให้สงั เกตว่า ผ้วู ิจยั ทราบถึงนา้ หนกั ของข้อคาถามเป็ นอย่างดี และทราบด้วยว่าต้องแปลผลอย่างไรจึง จะเหมาะสม เม่ือจะปรับค่าคะแนนเป็ น “ค่าเฉลี่ย” ก็ให้นาจานวนข้อคาถามทงั้ หมด (20) มาหารคะแนนท่ีได้ จะได้คา่ เฉลย่ี ดงั นี ้ ตารางท่ี 11 การแปลผลโดยใช้คา่ เฉลย่ี จากคะแนน 0-3 ระดบั คะแนนรวม ความหมาย ระดบั คา่ เฉลี่ย 0-5 มีความเครียดระดบั ต่ามาก เฉื่อยชา 0.00-0.25 6-17 มีความเครียดในระดบั ปกติ 0.30-0.85 18-25 มีความเครียดสงู กวา่ ปกตเิ ลก็ น้อย 0.90-1.25 26-29 มีความเครียดสงู กวา่ ปกตปิ านกลาง 1.30-1.45 30-60 มีความเครียดสงู กวา่ ปกติมาก 1.50-3.00 ดงั นนั้ จากที่กาหนดให้คะแนนความเครียดสงู กวา่ ปกติที่ 60 หรือคา่ เฉล่ีย 3.0 นนั้ แม้ได้คะแนน เพียง 18 (จากคะแนนเตม็ 60 คะแนน) หรือได้คา่ เฉล่ียเพียงเท่ากบั 0.90 จากค่าเฉล่ียสงู สดุ 3.0 ก็ถือว่ามีความเครียด 122
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ท่ี 8 เล่มท่ี 15 มกราคม-มิถุนายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University สงู กว่าปกติเล็กน้อยแล้ว และแม้ได้คะแนนเพียงครึ่งเดียวคือ 30 (จากคะแนนเต็ม 60) หรือค่าเฉลี่ยเทา่ กบั 1.50 (จาก คา่ เฉลยี่ สงู สดุ 3.0) ผ้วู ิจยั กแ็ ปลผลวา่ ผ้ตู อบแบบสอบถามมีความเครียดระดบั สงู กวา่ ปกติมาก ตามท่ีได้กาหนดกรอบไว้ นนั้ ได้แล้ว (ค) หากต้องการแปลผลด้วยช่วงของ “คา่ เฉลี่ย (มชั ฌิมเลขคณิต, Mean, ̅ )” ท่ีไม่เทา่ กนั ก็ อาจจะทาได้ดงั ท่ีคสั ซานีได้อธิบายไว้ในเร่ือง Grouped Data, Classes of Unequal Widths นน่ั เอง (Khazanie, R., 1996 : 22-23) ซงึ่ เป็ นกรณีที่หากแบ่งความกว้างของอนั ตรภาคชนั้ ให้เท่ากนั แล้วในบางอนั ตรภาคชนั้ จะมีข้อมลู จานวนมากอดั รวมกนั อยจู่ นคบั คง่ั มากกว่าอนั ตรภาคชนั้ อ่ืน (ซง่ึ ชนั้ อ่ืน ๆ อาจจะมีข้อมลู น้อยมากหรือไม่มีเลยก็ได้) จึง ต้องทาการแบง่ เป็นอนั ตรภาคชนั้ ท่ีมีความกว้างของแต่ละชนั้ “ไมเ่ ทา่ กนั ” ซงึ่ ในท่ีนีจ้ ะทาการแบ่ง “ไมเ่ ทา่ กนั ” ให้เป็ นไป ตามสดั สว่ น (Proportion) คือ นาพิสยั หรือ Range ของคา่ เฉลี่ยนามาหารด้วยจานวนชนั้ ย่อยหรือ Number of Mini- Classes เสยี ก่อน (ในท่ีนีก้ าหนดเป็ น 8 ชนั้ ยอ่ ยโดยมีคา่ คะแนนระหว่าง 1 - 5) ก็จะได้ค่าความกว้างของอนั ตรภาคชนั้ ยอ่ ย (The Class Widths of Mini-Class) ของคา่ เฉล่ีย (ในแตล่ ะชนั้ ยอ่ ย) ดงั นี ้ = 0.50 นนั่ คือ คะแนนเฉลี่ย (มชั ฌิมเลขคณิต, Mean, ̅) จะมีช่วงกว้างยอ่ ยในแตล่ ะ ชนั้ เท่ากบั 0.50 รวมทงั้ สิน้ 8 ชนั้ ย่อยจากนนั้ ทาการแบ่งช่วงกว้างของแต่ละชนั้ อย่าง “ไม่เท่าเทียมกนั ” ด้วยอตั ราส่วน 1:2:2:2:1 ซงึ่ จะได้เป็น 0.5:1:1:1.5 และใช้คะแนนสงู สดุ เป็นขีดจากดั บน (Upper Limit) ของชนั้ สงู สดุ ดงั นี ้ ตารางท่ี 12 การแปลผล ช่วงคา่ เฉลยี่ ความหมาย 4.50 – 5.00 พอใจมากทส่ี ดุ 3.50 – 4.49 2.50 – 3.49 พอใจมาก 1.50 – 2.49 พอใจปานกลาง 1.00 – 1.49 พอใจน้อย พอใจน้อยท่ีสดุ ทงั้ นีส้ ามารถรวมตารางการแปลผลเพื่อเปรียบเทียบช่วงคะแนน (20 คะแนน ถึง 100 คะแนน) และช่วงของคา่ เฉลยี่ (1- 5) ที่ใช้อตั ราสว่ น 1:2:2:2:1 ด้วยกนั ทงั้ คู่ ได้ดงั นี ้คือ ตารางท่ี 13 รวมตารางการแปลผลเปรียบเทียบ “ชว่ งคะแนน” และ “ชว่ งคา่ เฉลีย่ ” ท่ีไมเ่ ทา่ กนั ทกุ ชว่ ง ช่วงคะแนนรวม ความหมาย ระดบั ช่วงค่าเฉล่ียโดยรวม 90 - 100 พอใจมากท่สี ดุ 5 4.50 – 5.00 70 – 89 4 3.50 – 4.49 50 – 69 พอใจมาก 3 2.50 – 3.49 พอใจปานกลาง 123
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ท่ี 8 เล่มท่ี 15 มกราคม-มิถนุ ายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University ช่วงคะแนนรวม ความหมาย ระดบั ช่วงค่าเฉล่ียโดยรวม 30 – 49 พอใจน้อย 2 1.50 – 2.49 20 – 29 พอใจน้อยท่ีสดุ 1 1.00 – 1.49 จะเหน็ ได้ว่าช่วง “พอใจน้อยที่สดุ ” และ “พอใจมากที่สดุ ” จะแคบมาก (สงั เกตได้วา่ ช่วงค่าเฉลี่ย จะกว้างเป็น 0.5 เทา่ นนั้ ) เสมือนหนงึ่ ต้องการได้ผลลพั ธ์วา่ นกั ทอ่ งเที่ยว “พอใจน้อยที่สดุ ” นนั้ มีไม่มากนกั และต้องการ ได้ผลลพั ธ์ว่านกั ท่องเที่ยว “พอใจมากที่สดุ ” มีไม่มากนกั (และกาหนดให้ “พอใจน้อย” และ “พอใจปานกลาง” และ “พอใจมาก” มีช่วงกว้างช่วงละ 1.0 รวม 3 ช่วงได้ 3.0 ซง่ึ นบั วา่ มากท่ีสดุ เสมือนต้องการให้คาตอบอย่ใู นช่วงนีม้ าก ๆ ) จึงถือว่าไม่ได้ให้โอกาสอย่างเท่าเทียมกันในทกุ ๆ ช่วงของ “ความหมาย” ดงั นนั้ ในการศึกษาความพึงพอใจของ นกั ท่องเที่ยวจงึ นิยมใช้เกณฑ์ เป็ นช่วงกว้างของค่าเฉลย่ี ท่ีเท่ากนั ทกุ ช่วงจึงเหมาะสมท่ีสดุ โดยเฉพาะจะมีโอกาสให้ คา่ เฉลี่ย “ความพอใจน้อยที่สดุ ” ปรากฏให้เห็นด้วยความถ่ีสงู ขนึ ้ อนั จะเป็ นการกระต้นุ ให้เกิดการพฒั นาปรับปรุงขนึ ้ ได้ โดยง่าย และยงั กอ่ ให้เกิดกาลงั ใจเพิม่ ขนึ ้ ด้วยเน่ืองจากโอกาสของ “ความพอใจมากที่สดุ ” ก็มีช่วงกว้างเทา่ ๆ กบั ช่วงอื่น ๆ ด้วยเชน่ กนั (ง) แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีปกติที่ยดึ ถือเอา “ตวั เลข” เป็ นเกณฑ์โดยเฉพาะแล้ว ก็จะต้องปัด เศษ “ขนึ ้ -ลง” ตาม “กฎทางตวั เลข” ท่ีวา่ หากเกินกวา่ 0.5 ให้ปัดเศษขนึ ้ ไปเป็นจานวนเตม็ หรือน้อยกวา่ 0.5 ก็ให้ปัดเศษ ลงทิง้ ไป (เช่น 4.20 นนั้ ใกล้ 4 ก็ควรให้ 4.2 อย่ใู นความหมายของ 4 ไม่ควรให้ 4.2 อย่ใู นความหมายของ 5, สว่ น 4.51 นนั้ ถือวา่ ใกล้ 5 แล้วจงึ ให้อยใู่ นความหมายของ 5 ได้, หรือ 1.70 นนั้ ใกล้ 2 จงึ ไมค่ วรให้ 1.7 อย่ใู นความหมายของ 1 แต่ ควรให้ 1.7 มีความหมายรวมอย่กู บั 2 อีกทงั้ 2.50 นนั้ ก็ใกล้ 2 จึงควรให้มีความหมายของ 2 ไม่ควรให้ 2.5 อย่ใู น ความหมายของ 3 เป็นต้น) ดงั ปรากฏในตารางข้างลา่ งนี ้(บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545: 67) ตารางท่ี 14 ตารางแสดงขอบบน-ลา่ งของคา่ เฉลย่ี และการแปลผล ขอบล่าง ขอบบน แปลผลช่วงค่าเฉล่ีย 4.51 5 4.51-5.00 พอใจมากที่สดุ 3.51 4 4.50 3.51-4.50 พอใจมาก 2.51 3 3.50 2.51-3.50 พอใจปานกลาง 1.51 2 2.50 1.51-2.50 พอใจน้อย 1 1.50 1.00-1.50 พอใจน้อยท่ีสดุ อธิบายอีกอย่างหน่ึงคือ ถ้ามีกรณีม่งุ หมายเป็ นอย่างอ่ืน (เช่น ม่งุ หมายจะให้มี “จานวน” ผ้ทู ่ีมี ความรู้มากที่สดุ จะมีอย่จู านวนน้อยคน และ “จานวน” ผ้ทู ่ีมีความรู้น้อยที่สดุ ก็จะมีอย่จู านวนน้อยคน โดยผ้ทู ่ีมีความรู้ ในระดบั ปาน กลางจะมีอย่เู ป็ นจานวนมาก อนั ใกล้เคียงกบั การแจกแจงปกติ (Normal Distribution) ที่แสดงให้เห็นได้ ด้วยโค้งปกติ (Normal Curve) เป็ นต้น) ผ้วู ิจยั จะสามารถใช้กฎ “การปัดเศษเทศนิยมทางตวั เลข” มากาหนดช่วง 124
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ท่ี 8 เล่มท่ี 15 มกราคม-มิถุนายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University คะแนนหรือช่วงของค่าเฉลี่ยในอนั ตรภาคชนั้ ได้โดยตรงเช่นกนั (อนั ทาให้แต่ละช่วงของอนั ตรภาคชนั้ มีความกว้างไม่ เทา่ กนั ) แต่ในกรณีของ “ความพึงพอใจ” ดงั กลา่ วมาแล้วนีไ้ ม่ควรแปลผลโดยกาหนดให้ความพึงพอใจ น้อยท่ีสดุ มีช่วงอย่แู คบ ๆ เท่านนั้ เพราะจะทาให้โอกาสได้รับคาตอบเป็ นคะแนนพึงพอใจน้อยที่สดุ มีน้อยเกินไป (และ ไม่ควรกาหนดให้ความพงึ พอใจมากที่สดุ มีช่วงเพียงแคบ ๆ เท่านนั้ ด้วยเหตผุ ลทานองเดียวกนั ) เพราะความพึงพอใจ ของมนษุ ย์ไม่จาเป็ นต้องกระจายตวั แบบปกติ เน่ืองจากในบางกิจกรรมอาจพอใจสงู สดุ เหมือน ๆ กนั ทงั้ หมดทกุ คนก็ได้ ดงั เชน่ กรณีสอบถามความพงึ พอใจของนกั ทอ่ งเท่ียวในแหลง่ ทอ่ งเท่ียวยอดนิยม เป็นต้น สรุป ดังนัน้ จึงสามารถสรุปได้ว่าในการใช้มาตรประมาณค่านัน้ จะสามารถใช้ได้ทัง้ การเป็ นมาตรอันดับท่ี (Ordinal Scale) และการเป็นมาตรอนั ตรภาค (Interval Scale) ในกรณีที่ใช้เป็ นมาตรประมาณค่าประเภทมาตรอนั ตรภาค (Interval Scale) : 5 4 3 2 1 ดงั กลา่ ว แล้วผู้ ศกึ ษาวิจยั จะ “แปลผล” โดยการแบ่งช่วงกว้าง (The Class Width) ของค่าเฉลี่ย (มชั ฌิมเลขคณิต, Mean, ̅) ในแต่ละ อนั ตรภาคชนั้ (Class Interval, I) โดยใช้เกณฑ์ หรือ Range/Class ซง่ึ จะได้ความกว้างของอนั ตรภาคชนั้ ท่ีเทา่ กนั ทกุ อนั ตรภาคชนั้ สว่ นในกรณีท่ีต้องการกาหนดให้ช่วงกว้างของคะแนนหรือช่วงกว้างของค่าเฉล่ียไม่เท่ากนั คือเป็ นเป็ น สดั ส่วนกนั หรือเกิดจากการปัดเศษเลขทศนิยม (ปัดขึน้ ถ้าเกิน 0.5 และปัดลงถ้าน้อยกว่า 0.5 เป็ นต้น) ก็จะเป็ น การศกึ ษาเฉพาะกรณี ๆ ไป ซง่ึ ก็สามารถกระทาได้ ทงั้ นีจ้ ะเป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ในครัง้ นนั้ ๆ โดยเฉพาะ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ส่ิงท่ีต้องคานงึ ถงึ ก็คือ ผ้ทู าการศกึ ษาวจิ ยั สมควรใช้ดลุ พินิจให้เหมาะสมในการกาหนดช่วง คะแนนหรือช่วงคา่ เฉลี่ยในแตล่ ะอนั ตรภาคชนั้ โดยจะต้องพิจารณาจากลกั ษณะของข้อมลู และ “เร่ือง (Subject)” หรือ “ประเด็น (Topic)” และวตั ถปุ ระสงค์ท่ีทาการศึกษาเป็ นสาคญั ทงั้ นีเ้ พ่ือให้ผลการวิจยั มีความน่าเช่ือถือและสามารถ นาไปประยกุ ต์ใช้ได้อยา่ งมีประสทิ ธิผลตอ่ ไปในอนาคต ภาคผนวก การกาหนดวา่ อนั ตรภาคชนั้ ควรจะมีกี่ชนั้ นนั้ จะกาหนดหรือตดั สนิ ใจอยา่ งไร 1) ใช้สตู รทางคณิตศาสตร์ ในตวั อยา่ งท่ีผา่ นมาทงั้ หมดกาหนดช่วงคะแนนไว้ 5 ชนั้ (ซงึ่ เมื่อได้จานวนชนั้ ที่ต้องการแล้วก็จะนา จานวนชนั้ (Classes, K) ไปกาหนดช่วงกว้าง (Class Width) ของอนั ตรภาคชนั้ (Class Interval, I) ด้วยเกณฑ์ ตอ่ ไป) ถ้าตดั สนิ ใจไมไ่ ด้วา่ จะใช้กี่ชนั้ ให้ใช้สตู รคานวณจานวนชนั้ ดงั นี ้(มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 2558: บทที่ 1-10) = จานวนชนั้ , = จานวนข้อมลู ในกรณีนีเ้รามีข้อมลู 5 ตวั (คือ 5 4 3 2 1) แทนคา่ 125
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี JMS-UBU ปี ท่ี 8 เล่มที่ 15 มกราคม-มิถุนายน 2562 Journal of Management Science, Ubon Ratchathani University แทนคา่ (5) = .698 ดงั นนั้ นนั่ คือ จะได้จานวนชนั้ 4 ชนั้ คือ 1 - 1.9, 2 - 2.9, 3 - 3.9, และ 4 - 5 (แตใ่ นตวั อยา่ งท่ีผา่ นมานนั้ ผ้วู ิจยั ต้องการ 5 ชนั้ เพราะต้องการให้มีชนั้ ที่ 3 เป็นชนั้ ที่อยตู่ รงจดุ กงึ่ กลางด้วย จงึ ทาเป็น 5 ชนั้ ทงั้ นีก้ ็สามารถกระทาได้ ทงั้ นี ้ สดุ แล้วแตผ่ ้วู ิจยั จะเหน็ วา่ เหมาะสม แตใ่ นกรณีท่ีตดั สนิ ใจไมไ่ ด้ก็จะสามารถใช้สตู รท่ีได้อธิบายมานีช้ ว่ ยตดั สินใจ) 2) ใช้ตารางของคสั ซานี คสั ซานี (Khazanie, R., 1996 : 20) ได้เสนอวา่ อนั ตรภาคชนั้ อาจมีได้ถงึ 6-20 ชนั้ และเสนอให้ใช้ Sturgess’s Rule ซงึ่ มีสตู ร ทาการคานวณ โดยให้ คือจานวนของข้อมลู และ คือจานวนชนั้ และได้ทาตารางสาเร็จรูปไว้ดงั นี.้... จำนวนข้อมูล ( ) 9 17 33 66 133 266 537 1073 จำนวนชน้ั ( ) 4 5 6 7 8 9 10 11 เชน่ ถ้ามีข้อมลู ( ) จานวนไมเ่ กิน 9 ตวั ก็ใช้จานวนชนั้ ( ) ได้ 4 ชนั้ หรือถ้าข้อมลู ( ) มีมากกวา่ 9 ตวั แต่ ไมเ่ กิน 17 ตวั กใ็ ช้จานวนชนั้ ( ) ได้ 5 ชนั้ เป็นต้น บรรณานุกรม ธรรมศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั . (2558). เอกสารประกอบการสอนวชิ า มธ. 151 คณิตศาสตร์ทวั่ ไประดบั มหาวิทยาลยั (ภาคเรียนท่ี 1/2557). ปทมุ ธานี : คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ศนู ย์รังสติ . บญุ ชม ศรีสะอาด. (2545). การวจิ ยั เบือ้ งต้น (พิมพ์ครัง้ ที่ 7). กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาสน์. บญุ เรียง ขจรศิลป์ . (2549). สถิติวจิ ยั (พมิ พ์ครัง้ ที่ 9). นนทบรุ ี : โรงพิมพ์พีเอส. พริน้ ท์. สชุ ีรา ภทั รายตุ วรรตน์. (2551). คมู่ ือการวดั ทางจิตวทิ ยา (พมิ พ์ครัง้ ท่ี 4). กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์เมดิคลั มีเดีย. Khazanie, R. (1996). Statistics in a world of Applications (4th Ed.). New York : HarperCollins College Publishers. Pan, L., Zhang, M., Gursoy, D., & Lu, L. (2017). Development and validation of a destination personality scale for mainland Chinese travelers. Tourism Management, 59, 338-348. Rodriguez-Algeciras, A. & Talon-Ballestero., P. (2017). An empirical analysis of the effectiveness of hotel Revenue Management in five-star hotels in Barcelona, Spain. Journal of Hospitality and tourism Management, 32(2017), 24-34. 126
เฉลยเกมความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมีชวี ติ เกมท่ี 1 จับกลุ่มสัมพนั ธ์ ผู้ผลติ (Producer) ตน้ ไม้ กาฝาก สาหรา่ ยสเี ขียว ไลเคน กล้วยไม้ ต้นฝอยทอง ผู้บริโภคพชื (Herbivore) กวาง กระตา่ ย ควาย มดดา เพล้ีย แมลงปกี แข็ง ผเี สอ้ื ด้วง ผบู้ ริโภคสัตว์ (Carnivore) แมว สิงโต เหยย่ี ว เหบ็ สุนขั ฉลาม เหาฉลาม
ผบู้ รโิ ภคทงั้ สัตว์ทงั้ พืช (Omnivore) หนู นกเอีย้ ง ผ้ยู อ่ ยสลาย (Decomposer) ปลวก
เกมท่ี 2 จบั ค่สู ัมพนั ธ์ ภาวะลา่ เหย่ือ Predation (+ , -) +- แมว หนู สงิ โต กวาง สิงโต กระตา่ ย สิงโต ควาย เหยย่ี ว กระตา่ ย เหยี่ยว หนู เหย่ยี ว แมว เหยย่ี ว นกเอยี้ ง เหย่ียว กวาง ภาวะปรสิต Parasitism (+ . -) +- ต้นฝอยทอง ตน้ ไม้ กาฝาก ต้นไม้ เห็บ แมว เหบ็ ควาย เห็บ สุนัข เหบ็ สงิ โต เห็บ กระตา่ ย ภาวะพง่ึ พา Mutualism (+ , +) ++ สาหรา่ ยสีเขยี ว ไลเคน ดว้ ง มดดา ภาวะอิงอาศยั หรือเกอ้ื กูล Commensalism ++ แมลงปีกแขง็ ปลวก
ภาวะอิงอาศัยหรอื เกอื้ กลู Commensalism ++ เหาฉลาม ฉลาม กลว้ ยไม้ ต้นไม้ สาหรา่ ยสีเขยี ว ตน้ ไม้ นกเอี้ยง ตน้ ไม้ ภาวะไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั Protocooperation ++ ควาย นกเอ้ยี ง มดดา เพล้ีย ผีเส้อื กลว้ ยไม้ ภาวะแก่งแย่งแขง่ ขนั -- สงิ โต สิงโต ตน้ ไม้ ตน้ ไม้
เกมความสมั พันธร์ ะหว่างสิง่ มชี วี ติ อุปกรณ์ ชุดเกมความสมั พันธร์ ะหว่างส่ิงมชี ีวติ ประกอบดว้ ย การ์ดสง่ิ มชี วี ติ จานวน 26 แผน่ (เรียงลาดบั A-Z) คาอธบิ ายและกติกาเกม จานวน 1 แผน่ สรุปความรู้ จานวน 1 แผ่น แผน่ ประเภทของส่งิ มชี ีวติ จานวน 5 แผน่ แผ่นความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมชี วี ิต จานวน 15 แผน่ สิง่ ทต่ี ้องเตรยี ม โทรศัพท์มือถือ พร้อม Download Application HP Reveal พรอ้ มสมคั รและสร้างบัญชีของตนเอง คาชีแ้ จง ชุดเกมความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมชี ีวติ จะประกอบไปดว้ ยการ์ดส่งิ มชี วี ิต 26 ใบ ด้านหลงั การด์ แต่ละใบจะมีคะแนนระบุ การเลน่ เกมจะเลน่ เปน็ รอบ รอบละ 1-2 นาที โดยมีผคู้ วบคุม เกม ทาหนา้ ท่ีจบั เวลาและระบโุ จทย์ใหผ้ ูเ้ ลน่ ผ้พู ิทกั ษ์ ทาหน้าท่ี สอดสอ่ งดูแล ตรวจสอบและบนั ทึก คะแนนให้ผู้เลน่ แตล่ ะกลุ่ม ในแต่ละรอบ ผูเ้ ล่นต้องตอบคาถามจากโจทย์ให้ถูกต้องถึงจะไดค้ ะแนนโดย ดูคะแนนจากด้านหลงั การด์ หากผ้เู ล่นตอบผดิ จะหักคะแนนตามดา้ นหลงั การ์ด เมอื่ เล่นจบเกม ผเู้ ล่น กลมุ่ ใดได้คะแนนสูงสดุ จะเป็นผ้ชู นะ การตรวจคาตอบ ผู้พทิ กั ษ์ จะทาหนา้ ที่เปน็ ผูต้ รวจคาตอบ หรอื อาจให้ผเู้ ลน่ ในแตล่ ะกลมุ่ ตรวจ คาตอบไดเ้ อง แตผ่ ู้พทิ ักษจ์ ะต้องทาหน้าที่สอดส่องดูแล ตรวจสอบและบนั ทึกคะแนน โดยการตรวจ คาตอบ จะตอ้ งใช้โทรศพั ท์มือถือที่ Download Application HP Reveal และสรา้ งบญั ชีแลว้ สแกน QR Code ให้ตรงตามโจทย์ในรอบน้ัน จากนั้นกด Follow Channel และทาการ Scan รปู ภาพ หากถูกต้อง คาตอบที่แสดง จะต้องตรงกับทโ่ี จทย์กาหนด เชน่ ในรอบภาวะอิงอาศัย เมื่อ Scan ภาพคาตอบ จะต้องข้นึ ภาวะอิงอาศยั ถ้าไม่ขนึ้ ภาพ หมายถงึ คาตอบนน้ั ผิด จะต้องโดนลบ คะแนน ข้อสาคัญ เมื่อตรวจคาตอบในรอบนนั้ เสรจ็ จะต้องทาการ Unfollow Channel ทันที
ขนั้ ตอนการเล่นเกม 1. แบ่งกลุ่ม ตงั้ แต่ 2 กล่มุ ขึ้นไป 2. เลือกหวั หน้ากลุ่ม 1 คน รับบทบาทเป็น ผพู้ ิทกั ษ์ จะทาหน้าท่ีไปประจาที่กล่มุ อืน่ ทาการสอดส่อง ดูแล ตรวจสอบและบนั ทึกคะแนน ใหก้ ารแข่งขันดาเนนิ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย 3. ผ้คู วบคมุ เกม ระบโุ จทยใ์ ห้ผเู้ ลน่ พร้อมจบั เวลา รอบละ 1-2 นาที 4. เม่ือจบการแข่งขัน 1 รอบ ผพู้ ทิ กั ษ์ ตรวจสอบ และบันทึกคะแนน 5. ดาเนนิ การเล่นเกมครบรอบใหญ่ จากน้ันรวมคะแนนเพื่อหาผู้ชนะ ** หากหาผู้ชนะไม่ได้ อาจทาการเพ่ิมรอบเลก็ คาอธิบายเพม่ิ เตมิ ผผู้ ลติ เกมท่ี 1 จับกล่มุ สัมพนั ธ์ รอบเลก็ ประกอบดว้ ย ผูบ้ ริโภคพชื เกมท่ี 2 จบั คสู่ ัมพนั ธ์ ผบู้ รโิ ภคสัตว์ รอบใหญ่ หมายถึง ผบู้ ริโภคท้ังสัตว์ท้ังพืช ผ้ยู ่อยสลาย ภาวะไดป้ ระโยชน์ร่วมกัน ภาวะพ่งึ พา ภาวะองิ อาศัย ภาวะปรสติ ภาวะการล่า ภาวะแก่งแยง่ แขง่ ขัน การเล่นเกมรอบเลก็ ครบ 11 รอบ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157