วารสารบณั ฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ 77 ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2557 บรรณานกุ รม กรมวิชาการ. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน. กรงุ เทพฯ: ธารอักษร. กดิ านันท์ มลิทอง. (2548). เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เกศกนก วงษ์นอก. (2554). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การ ดารงชีวิตของพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราช ภฏั มหาสารคาม. จุไรรัตน์ จรรยา. (2555). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย ของ นักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนอุดมวทิ ยา จงั หวัดปทุมธานี. วิทยานพิ นธ์ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลย อลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. ธิติมา อุปศรี. (2553). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยสาร และสมบัติของสาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนบ้านแดงใหญ่ (ราษฎร์คุรุวิทยาคาร). วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิจัยและ ประเมนิ ผลการศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั เลย. เนรมิต สุดชนะ. (2551). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เร่ืองระบบสุริยะ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรม หาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ สกลนคร. พจมาน วงษ์ทองแท้. (2547). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อ วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นเทพวทิ ยา จังหวัด ราชบุรี ท่ีสอนโดยใช้วิธีสอนแบบมีส่วนร่วมกับวิธีสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครราชสีมา. พิกุล ปักษ์สังคะเนย์. (2553). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ชีวิตพืช และสัตว์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2. วทิ ยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย ราชภฏั มหาสารคาม.
78 วารสารบัณฑติ ศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ปที ี่ 8 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2557 มาลัย ดิลกชัย. (2553). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทักษะการอ่านจับ ใจความภาษาอังกฤษ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลย อลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. ละมูล วันทา. (2555). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง อัตราส่วนและรอ้ ยละของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้เกมประกอบการ สอน. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณ ฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. ศยามล ฐิตะยารักษ์. (2554). การพัฒนาชุดส่ือประสม เรื่องคาคล้องจอง สาหนับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อาเภอเมืองปทุมธานี สานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาปทุมธานี เขต 1.วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตร และการสอน มหาวิทยาลัยราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์. ฮัซลินดา อัลมะอาริฟีย์. (2551). ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อ วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบ เส า ะห าค ว า ม รู้ ป ร ะก อ บ ก า รเขี ย น แ ผ น ผั งม โน ม ติ .วิท ย า นิ พ น ธ์ ก ารศึ ก ษ า มหาบัณฑติ สาขาวชิ าวิทยาศาสตรศ์ ึกษา มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์.
Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 กลมุ่ มนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ผลการใชส้ อื่ มัลติมเี ดยี รว่ มกับวิธเี รียนแบบสืบเสาะหาความรู้ทมี่ ผี ลตอ่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น วิชาชีววทิ ยา สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรยี นทวารวดี จงั หวัดนครปฐม* The effects of multimedia by using inquiry process on learning achievement on biology subject for matthayomsuksa 5 students , Tawarawadee school , Nakhonpathom province. กนกรัตน์ วุฒวิ ิชาภรณ์** บทคัดยอ่ 1) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบ เสาะหาความรู้ 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิหลังเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้และวิธีสอนแบบปกติ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย ร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้และวิธีสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนทวารวดี ที่กาลังศึกษาในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2554 จานวน 2 ห้องเรยี น รวม 60 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 2) แผนการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบปกติ 3) สื่อมัลติมีเดีย 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ 5) แบบสอบถาม ความพึงพอใจท่ีมีต่อการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 6) แบบสอบถาม ความพึงพอใจที่มีต่อวิธีสอนแบบปกติ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉล่ีย ( X ) ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) การทดสอบแบบที (T-Test) แบบ Independent และแบบ Dependent ผลการวจิ ัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธ์ิก่อนและหลังเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ แตกต่างกนั อย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05 โดยมีผลสัมฤทธิห์ ลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น 2. ผลสัมฤทธ์ิหลงั เรยี นด้วยสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี รว่ มกับวธิ ีเรยี นแบบสบื เสาะหาความรู้และด้วยวิธีสอน แบบปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยนักเรียนท่ีเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับ วิธเี รยี นแบบสืบเสาะหาความรมู้ ผี ลสมั ฤทธส์ิ งู กวา่ นักเรียนท่เี รยี นดว้ ยวธิ ีสอนแบบปกติ * บทความน้ีเปน็ ส่วนหนึง่ ของการคน้ คว้าอิสระระดบั ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยกี ารศึกษา ภาควิชา เทคโนโลยกี ารศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร เรือ่ งผลการใช้สื่อมลั ติมเี ดยี ร่วมกบั วิธเี รยี นแบบ สืบเสาะหา ความรูท้ ี่มผี ลต่อผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน วชิ าชวี วทิ ยา สาหรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรียนทวารวดี จงั หวดั นครปฐม ** นกั ศกึ ษาหลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาเทคโนโลยกี ารศึกษา ภาควชิ าเทคโนโลยกี ารศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โทรศพั ท์ 089 2143659 e-mail address : [email protected] ที่ปรึกษาการคน้ คว้าอสิ ระหลกั ผศ. ดร. ฐาปนยี ์ ธรรมเมธา 657
กลุ่มมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 3. นกั เรยี นท่ีเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้และนักเรียนที่เรียน ด้วยวธิ สี อนแบบปกตมิ ีความพึงพอใจตอ่ การเรยี นอยู่ในระดบั มาก Abstract The purposes of this research were : 1) to compare learning achievement before and after learning through multimedia by using inquiry process. 2) to compare learning achievement before and after learning through traditional teaching. 3) to compare learning achievement after learning through multimedia by using inquiry process and traditional teaching. 4) to study students’ satisfaction toward the multimedia by using inquiry process and traditional teaching.The sample of this research were 60 students of Tawarawadee School during the first semester ,academic year 2011 which divided into experimental group of 30 students and control group of 30 students. The instruments used for research were : 1) lesson plans by using inquiry process. 2) traditional teaching lesson plans. 3) multimedia. 4) learning achievement tests. 5) the satisfaction questionnaire of learning through multimedia by using inquiry process. 6) the satisfaction questionnair of traditional teaching.The data were statistically analyzed by using percentage (%),arithmetic mean ( x ),standard deviation (S.D.) t-test of independent and dependent.The results of the were as follows : 1. The learning achievement before and after taught multimedia by using inquiry process had a statistically significant different at the level of .05., whereas the learning achievement post test higher than pretest. 2. The learning achievement after taught multimedia by using inquiry process and traditional teaching had a statistically significant different at the level of .05., whereas the learning achievement after taught multimedia by using inquiry process higher than traditional teaching. 3. The students learned toward the multimedia by using inquiry process and traditional teaching had satisfaction at high level. บทนา การจดั หลักสูตรการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอดีตมีข้อจากัด จึงต้องมีการปรับปรุง กระบวนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงเป็นส่ิงที่สาคัญเพ่ือจะทาให้คนไทยเรามีทักษะกระบวนการและเจตคติที่ดี ทางวิทยาศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้มีนโยบายปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้กับ 658
Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 กลมุ่ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ กระบวนการ มีทกั ษะในการค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และการ แก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนทุกข้ันตอน มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือ ปฏิบัตจิ รงิ อย่างหลากหลายและเหมาะสมกับระดบั ชน้ั (ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551:1) ผู้วิจัยได้ ตระหนักถึงความสาคัญของวิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้อง โดยตรงในการวางรากฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียน เพ่ือให้นักเรียนมีความรู้เพียงพอที่จะ นาไปใช้ในชีวิตประจาวัน แต่ในปัจจุบันการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นเร่ืองที่น่าเบ่ือ อาจเป็นเพราะ เน้ือหาทเ่ี ข้าใจยากหรอื เป็นนามธรรมเกินกว่าท่ีนักเรียนจะนาไปประยุกต์ใช้ในการดารงชีวิตได้ ครูจึงต้อง พยายามหาวิธีเปลี่ยนเนื้อหาให้เป็นรูปธรรมที่เข้าใจง่าย ดังนั้นครูจึงต้องสอนให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดทักษะกระบวนการท้ังด้านความคิด การลงมือทาและการ แก้ปัญหา โดยมีครูผู้สอนดูแลอย่างใกล้ชิด (จุฑารัตน์ สุจินพรหม 2546:2) แต่การสอนของครู วิทยาศาสตร์ส่วนมากเป็นแบบบรรยาย นักเรียนจึงไม่ค่อยสนใจ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วทิ ยาศาสตรอ์ ยใู่ นระดบั ตา่ (สิรลิ กั ษณ์ นาควิสทุ ธ์ิ 2548:2) จากการค้นคว้าข้อมูล ทาให้ผู้วิจัยมีแนวคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใ ช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry process) ซ่ึงเป็นกระบวนการที่นักเรียนจะต้องสืบค้นด้วยวิธี ต่าง ๆ จนทาให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและสามารถสร้างองค์ความรู้ได้เอง โดยไม่ได้เกิดจากการบอก เล่าของครู ซึง่ องคค์ วามรู้ท่ีเกิดข้ึนจะเก็บเป็นข้อมูลในสมองไว้ได้อย่างยาวนาน สามารถนามาใช้ได้เมื่อมี การเผชิญกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2550:18) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้จะเป็นผลดีในการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน ซึ่งจาเป็นที่ต้อง ฝึกฝนทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ให้เกิดขึ้นกับทุกคน เพราะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะทาให้เป็น คนช่างสังเกต รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล รู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างมีระบบ และรู้จักค้นคว้าหาความรู้ได้ ด้วยตนเอง ซ่ึงเป็นการส่งเสริมให้เป็นคนคิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเป็น เพื่อการดารงชีวิตในสังคมได้ อย่างมคี ุณค่าและมีความสขุ (ณรงค์ โสภิณ 2547:6) การจัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ช่วยให้เกิด ความคงทนในการเรียนรู้มากขึ้น และยังส่งผลให้นักเรียนมีเจตคติท่ีดีต่อการเรียน (มลิสา สดสุชาติ 2550:6) นอกจากนยี้ ังพบว่าการเรยี นแบบสบื เสาะร่วมกับการใชแ้ ผนผังมโนมตยิ ังช่วยให้นักเรียนสามารถ สรุปความรู้ที่ได้ด้วยตนเอง เข้าใจภาพรวมของเนื้อหาได้ดีข้ึน สามารถเปรียบเทียบและเช่ือมโยง รายละเอียดตา่ ง ๆ ที่ศึกษาใหม้ ีความสัมพันธ์กันได้มากขึ้น ซ่ึงส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วชิ าวิทยาศาสตร์ เรอื่ งชวี ติ พชื เพมิ่ ขึ้นจากเดมิ รอ้ ยละ 75.72 (ใกลร้ ่งุ นคราวนากลุ 2547:85) นอกจากนกี้ ารเรยี นการสอนจะมีประสทิ ธภิ าพไดจ้ าเปน็ ตอ้ งใช้สื่อเพ่ือช่วยส่งความรู้ต่าง ๆ ไป ยังผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น โดยในปัจจุบันพบว่าส่ือมัลติมีเดียมีบทบาทในกระบวนการเรียน การสอนเพิ่มมากขึ้น และยังเป็นปัจจัยสาคัญท่ีช่วยให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ (กิ ดานันท์ มลิทอง 2536:118 และวชิราภรณ์ ผลเรือง 2551:1) ซ่ึงจากการศึกษางานวิจัยพบว่าส่ือ 659
กลุ่มมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 มัลติมีเดียมีการใช้ภาพประกอบท่ีมีสีสัน มีท้ังภาพน่ิง และภาพเคล่ือนไหวที่เหมือนของจริง ทาให้ช่วย เร้าความสนใจของผู้เรียน ผู้เรียนควบคุมการเรียนและทบทวนเน้ือหาได้ด้วยตนเอง และยังส่งผลให้ผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนดีขึ้น (ผจญ รุ่งอรุณเลิศ 2551:89) นอกจากนี้ในปัจจุบันได้มีการ ออกแบบส่ือมัลติมีเดียให้อยู่ในรูปแบบการ์ตูนแอนิเมชันเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ สอดคล้องกับงานวิจัย ของพิศาล วชิราชัย (2549:161) ที่ได้นาภาพแอนิเมชันมาใช้ในการสร้างส่ือท้ังในส่วนนาเข้าสู่บทเรียน เมนู และเน้อื หาทาให้สื่อมีการเคล่ือนไหว ดูเป็นธรรมชาติ และน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา หลังจากทาการ ทดลองกับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยพาณิชยการ ธนบรุ ี พบวา่ วธิ กี ารนาเสนอดังกล่าวทาให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเน้ือหาและมีความพึงพอใจในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของภูตินันท์ กัลป์ยาณรัตน์ (2549:203) ที่ทาการวิจัยเรื่องโภชนาการและระบบ ยอ่ ยอาหาร โดยมกี ารนาเสนอเน้ือหาด้วยการ์ตูนแบบนิทาน มีภาพเคล่ือนไหวประกอบกับเสียงบรรยาย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และยังมีเสียงเพลงบรรเลงเพ่ือสร้างบรรยากาศประกอบการดาเนินเร่ือง เม่ือนาไปใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่าเทคนิคท่ีใช้ส่งผลให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อ บทเรียนในระดบั มาก ( x = 4.36) และยงั ชว่ ยใหผ้ ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นสูงข้นึ ด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวน้ี ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองการ สังเคราะห์ด้วยแสง รายวิชาชีววิทยา กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ ด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบ เสาะหาความรู้ เพอื่ ใช้ในการเรียนการสอนต่อไป วตั ถุประสงค์ของการวิจยั 1. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบ เสาะหาความรู้ 2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิหลังเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหา ความรูแ้ ละวิธีสอนแบบปกติ 3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบ สบื เสาะหาความรู้และวิธสี อนแบบปกติ สมมตฐิ านการวจิ ัย 1. ผลสัมฤทธหิ์ ลงั การเรียนดว้ ยส่อื มัลตมิ เี ดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้สูงกว่าก่อน เรยี น 2. ผลสัมฤทธิ์หลงั เรยี นดว้ ยสอ่ื มลั ติมีเดยี ร่วมกบั วธิ ีเรยี นแบบสืบเสาะหาความรู้สูงกวา่ หลังเรียน ดว้ ยวธิ สี อนแบบปกติ 3. นักเรียนมีความพึงพอใจของต่อการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหา ความร้อู ยใู่ นระดับมาก และมีความพึงพอใจตอ่ วิธสี อนแบบปกตอิ ยู่ในระดบั น้อย 660
Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 กลุม่ มนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ ขอบเขตการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนทวารวดี สังกัดสานักการศึกษาเทศบาลนครนครปฐม ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2554 จานวน 3 ห้อง รวม ท้งั หมด 96 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 จานวน 1 ห้อง รวม 30 คน ได้มาโดยวิธีการจับฉลากห้องเรียนเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยวิธีการสุ่ม แบบแบง่ กลุ่ม (Cluster random sampling) โดยจัดเป็นกลุ่มทดลองเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธี เรียนแบบสบื เสาะหาความรู้ ในขณะท่ีกลุ่มควบคุมคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 จานวน 1 ห้อง รวม 30 คน เรียนดว้ ยวธิ ีสอนแบบปกติ 2. ตวั แปรทศ่ี ึกษา 2.1 ตวั แปรอิสระ (Independent Variables) ได้แก่ วิธีเรียนซึ่งแบ่งเป็นการเรียนด้วยส่ือ มัลตมิ เี ดียร่วมกับวิธเี รียนแบบสืบเสาะหาความรู้ และวิธสี อนแบบปกติ 2.2 ตวั แปรตาม (Dependent Variables) ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 2.2.2 ความพึงพอใจในการเรียน 3. เนื้อหาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัยคอื เนือ้ หาวิชาชวี วิทยา เร่ือง การสงั เคราะห์ด้วยแสง ช้ันมัธยมศึกษา ปที ี่ 5 ตามหลกั สูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนทวารวดี สงั กดั สานกั การศึกษาเทศบาลนครนครปฐม 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการดาเนินการทดลอง จานวน 4 ชั่วโมง/สัปดาห์ รวม 10 ช่ัวโมง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ โดยทดสอบกอ่ นเรยี น 1 ช่ัวโมง จัดการเรยี นรู้ 8 ชว่ั โมง และทดสอบหลังเรียน 1 ชวั่ โมง ในภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2554 เครื่องมอื ที่ใช้ในการวจิ ยั การดาเนนิ การวิจัยมเี คร่อื งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัยประกอบดว้ ย 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เร่ือง การสังเคราะห์ด้วยแสง จานวน 4 แผน แผนละ 2 ช่วั โมง รวม 8 ชั่วโมง 2. แผนการจดั การเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบปกติ เร่อื ง การสังเคราะห์ด้วยแสง จานวน 4 แผน แผนละ 2 ชัว่ โมง รวม 8 ชวั่ โมง 3. สื่อมัลตมิ เี ดีย เรื่อง การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง วิชาชวี วิทยา 4. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ เร่ืองการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 5. แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ เร่ือง การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง 6. แบบสอบถามความพงึ พอใจท่ีมีต่อวิธสี อนแบบปกติ เรือ่ ง การสงั เคราะหด์ ้วยแสง 661
กลมุ่ มนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 วธิ ีดาเนนิ การวิจยั ในการวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ผู้วิจัยใช้แบบแผนการ วิจัยแบบ Randomized control group pretest posttest design โดยมีการทาแบบทดสอบก่อน เรียน จากน้นั ผเู้ รียนเรียนรู้เนอ้ื หา โดยกลุ่มทดลองเรยี นด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้ และกลุ่มควบคุมเรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ และทาการทดสอบหลังเรียน ซ่ึงมีขั้นตอน ดาเนนิ การทดลอง ดังนี้ กลุ่มทดลอง มกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูล ดังน้ี 1. ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าท่ีคอมพิวเตอร์เพื่อประสานงานยืมเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ พกพาพร้อมหฟู ัง จานวน 30 เครื่อง โดยจัดให้ผ้เู รยี น 1 คน ประจาเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ 1 เครือ่ ง 2. ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง การ สงั เคราะห์ดว้ ยแสง จานวน 30 ข้อ ใชเ้ วลาในการทดสอบ 1 ช่วั โมง 3. ดาเนินการสอนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง การ สังเคราะห์ด้วยแสง วิชาชีววิทยา พรอ้ มทงั้ ทาใบงานและทาแบบทดสอบย่อยหลังเรียนเม่ือเรียนจบในแต่ ละแผน รวมระยะเวลา 8 ชว่ั โมง 4. เม่ือเรียนครบทั้ง 4 แผนแล้ว ให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post test) โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง ใช้เวลาในการทดสอบ 1 ช่ัวโมง เพือ่ ดพู ัฒนาการของนักเรียน 5. นกั เรียนทาแบบประเมนิ ความพึงพอใจในการเรยี น กลมุ่ ควบคุม โดยมกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้ 1. ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง การ สงั เคราะห์ดว้ ยแสง ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 จานวน 30 ข้อ ใชเ้ วลาในการทดสอบ 1 ชวั่ โมง 2. ดาเนนิ การสอนดว้ ยวธิ สี อนแบบปกติ เรอ่ื งการสงั เคราะห์ด้วยแสง วิชาชีววิทยา พร้อมทั้ง ทาใบงานและทาแบบทดสอบย่อยหลงั เรยี นเม่อื เรียนจบในแต่ละแผน รวมระยะเวลา 8 ชวั่ โมง 3. เมื่อนักเรียนเรียนครบท้ัง 4 แผนแล้ว ให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง ใช้เวลาในการทดสอบ 1 ช่วั โมง เพ่อื ดูพฒั นาการของนกั เรียน 4. นกั เรียนทาแบบประเมินความพึงพอใจในการเรยี น การวิเคราะห์ขอ้ มลู 1. วิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธี เรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติที (t-test Dependent Sample) 662
Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 กล่มุ มนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ 2. วิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิหลังเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบ สืบเสาะหาความรกู้ บั วิธสี อนแบบปกติ โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติที (t- test Independent Sample) 3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบ สบื เสาะหาความร้แู ละวิธสี อนแบบปกติ โดยใช้คา่ เฉลย่ี และคา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ัย 1. ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ ( x =24.63, S.D.=2.11) สงู กว่ากอ่ นเรยี น ( x =5.90, S.D.=2.43) อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 2. ผลสัมฤทธ์ิหลังเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ ( x =24.63, S.D.=2.11) สูงกว่าหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ ( x =20.87, S.D.=2.54) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 3. นักเรียนที่เรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ และนักเรียนท่ี เรียนดว้ ยวธิ ีสอนแบบปกตมิ ีความพึงพอใจตอ่ การเรยี นอยู่ในระดับมาก อภิปรายผล 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาชีววิทยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ พบว่านักเรียนมีคะแนน เฉล่ยี หลังการเรยี น ( x =24.63, S.D.=2.11) สูงกว่าก่อนเรียน ( x =5.90, S.D.=2.43) อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติทร่ี ะดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานท่ีต้ังไว้ เน่ืองจากก่อนเรียนนักเรียนมีความรู้น้อย แต่เมื่อ ได้เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ ทาให้นักเรียนได้รับความรู้จาก ประสบการณ์ตรง จึงเข้าใจในเน้ือหามากข้ึน ส่งผลให้คะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซ่ึง เม่อื มกี ารนาสื่อมัลติมีเดียมาใช้เป็นส่วนหน่ึงของวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ จึงส่งผลให้นักเรียนมี ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นสงู ขน้ึ กว่าก่อนเรยี น เน่ืองจากนักเรียนได้สารวจและค้นหาความรู้จากการทดลอง และจากส่ือมัลติมีเดียซ่ึงไม่ได้ใช้การบรรยายเหมือนที่ครูสอน แต่เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นนิทานท่ีมีการ โต้ตอบของพ่ีน้องเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ในช่วงเวลาน้ีนักเรียนก็มีโอกาสคิดไปพร้อมกัน เนื่องจาก นักเรียนสามารถหยุดพักการนาเสนอของสื่อได้ จากน้ันก็ชมการนาเสนอของส่ือต่อเพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่ ตนคิดถูกต้องหรือไม่ หลังท่ีได้รับความรู้แล้วนักเรียนได้อภิปรายแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการสังเคราะห์ด้วยแสงจึงช่วยให้นักเรียนเข้าใจในประเด็นดังกล่าวได้มากข้ึน รวมท้ังยังมีการนา ผังมโนทัศน์มาใช้เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชแต่ละกลุ่ม และ เช่อื มโยงความรูท้ ่ีได้ในแต่ละตอนให้เป็นรูปธรรมมากกว่าการเรียนทีละเรื่องแล้วก็ผ่านเลยไป จากเหตุผล ดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นว่าการใช้สื่อมัลติมีเดียร่วมกับการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ ช่วยให้นักเรียนมี ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน สอดคล้องกับงานวิจัยของศิริลักษณ์ อ่างเงิน (2548:53) ที่ว่า 663
กลมุ่ มนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 การเรียนแบบสบื เสาะหาความรู้ทเี่ นน้ วงจรการเรยี นรทู้ าให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ใหม่ มีความเข้าใจ ในเน้อื หาจงึ มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึน้ กว่าก่อนเรียนซ่ึงนักเรียนยังไม่มีความรู้ สอดคล้องกับงานวิจัย ของฮัซลินดา อลั มะอาริฟีย์ (2551:91) ท่ีกลา่ ววา่ การจดั การเรยี นรู้ด้วยวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ทา ใหน้ ักเรยี นได้รับประสบการณต์ รงในขน้ั สารวจและค้นหา สาหรบั ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรุปนกั เรียนจะต้อง อธิบายความรู้ท่ีได้จากการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ และสรุปออกมาเป็นมโนมติหรือหลักการ ซึ่งนักเรียน ต้องเรียนรู้อย่างเข้าใจเสียก่อนจึงจะสามารถอธิบายเป็นข้อสรุปได้ นอกจากน้ีในข้ันขยายความรู้ยังเป็น การจดั กจิ กรรมใหน้ กั เรียนสรา้ งองค์ความรใู้ หม่ โดยการอภปิ รายซักถาม แลกเปล่ียนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน นอกจากนยี้ งั เปน็ การเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นนาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณ์อื่น ๆ ทาให้นักเรียนเพิ่ม ความแม่นยาในการจดจาและเข้าใจเน้ือหาที่เรียนได้ดียิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวคิดของวัชรา เล่าเรียนดี (2549:52) ที่กล่าวว่าการใช้แผนผังมโนทัศน์แสดงถึงการเรียนรู้อย่างมีความหมายที่สามารถเช่ือมโยง สาระความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้ ซึ่งเป็นเทคนิคหน่ึงที่จะช่วยในการเรียนรู้ที่ลึกซ้ึง กว้างขวางมากข้ึน ช่วยในการจา ช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิด สอดคล้องกับฉัฐภิมณฑ์ เพชรศักดิ์วงศ์ (2552:156) ทก่ี ล่าวว่าความคิดรวบยอดทาให้เกิดความเข้าใจในบทเรียนช่วยพัฒนาทักษะการคิด ส่งผล ใหผ้ ลการเรยี นรู้สูงขึน้ และสามารถนามาบูรณาการในทุกรูปแบบและแนวการจัดการเรียนรู้ ใช้ได้กับทุก กล่มุ สาระ สอดคลอ้ งกับชาตรี เกดิ ธรรม (2545:36) ทก่ี ล่าวว่าการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นวิธีสอนที่ฝึกให้นักเรียนค้นคว้าหาความรู้ โดยใช้กระบวนการทางความคิดหาเหตุผล สอดคล้องกับ งานวิจัยของบุญสวน ศรีเชียงสา (2552:59) ท่ีว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ท่ีเน้นการสร้างผังมโนทัศน์ วิชาวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนท่ี ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ตามปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นเพราะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่เน้นการสร้างผังมโนทัศน์เป็นการสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยมุ่งให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้และค้นพบความจริงด้วยตนเอง ด้วยวิธีการที่ หลากหลาย โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการสืบเสาะหาความรู้ รวมทั้งส่ือ ดังกล่าวก็ผ่านการประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญจนมคี วามเหมาะสมกอ่ นนาไปใช้ ประกอบกับการสร้าง บทเรียนผ้วู จิ ยั ได้แบ่งเนือ้ หาเปน็ ตอน ๆ และเรียงลาดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก ซ่ึงช่วยให้นักเรียนเข้าใจได้ ง่ายขึ้น สอดคล้องกับงานวิจัยของณัฏฐิกา หลอดแก้ว (2552:129) ท่ีได้ศึกษาผลการเรียนรู้ด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียแบบร่วมมือที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิ และพฤติกรรมการทางานกลุ่ม พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เนื่องจากส่ือดังกล่าวมีการใช้ภาพกราฟิก การ์ตูน ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดิทัศน์ มาผสมผสานกันทาให้ผู้เรียนจดจาสาระสาคัญและเข้าใจ เนื้อหาของบทเรยี น รวมทง้ั สอื่ ดังกล่าวไดผ้ ่านกระบวนการหาประสิทธิภาพหลายขั้นตอนก่อนการนาไปใช้ จริง 664
Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 กลมุ่ มนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จากผลการวจิ ัยข้างต้นจะเห็นได้ว่า การเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้ สง่ ผลให้นกั เรยี นมีความรคู้ วามเข้าใจในเน้ือหาทเ่ี รยี นจงึ มีผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 2. ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาชีววิทยา ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 หลังเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้และหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉล่ียหลังการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ ( x =24.63, S.D.=2.11) สูงกว่าหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ ( x =20.87, S.D.=2.54) อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานท่ีต้ังไว้ เนื่องจากการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธี เรียนแบบสบื เสาะหาความรูช้ ว่ ยให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง มีการอภิปรายแลกเปลี่ยน ความรู้กับเพื่อนและครู จึงช่วยเพิ่มความเข้าใจได้มากกว่าวิธีสอนแบบปกติ สอดคล้องกับฮัซลินดา อัล มะอาริฟีย์ (2550:97) ท่ีกล่าวว่าการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ เปิดโอกาสให้ นักเรยี นมีประสบการณ์ร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการอภิปราย โต้แย้ง แสดงความคิดเห็น และตรวจสอบการ เรียนรู้หรือทบทวนใหม่ในขั้นประเมินผล นักเรียนได้ร่วมกันสรุปบทเรียนทาให้นักเรียนเข้าใจในเรื่องท่ี เรยี นมากขึ้น สอดคล้องกับสากิยา แก้วนิมิต (2548:บทคัดย่อ) พบว่าผลการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ สุโขทยั ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ท่จี ัดการเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรู้สูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบ บรรยาย อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับงานวิจัยของวิลเล่ียม (William 1981:16505-A , อ้างถึงใน ฉัฐภิมณฑ์ เพชรศักดิ์วงศ์ 2552:159) ท่ีเปรียบเทียบผลการเรียนรู้และ ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ กับการ จัดการเรียนร้แู บบเดิมท่คี รูเป็นศนู ย์กลางวชิ าประวตั ิศาสตร์อเมริกา ผลการวิจัยพบว่า ผลการเรียนรู้ของ กลุ่มท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้สูงกว่ากลุ่มท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเดิม ที่ครู เป็นศูนย์กลาง สอดคล้องกับจุฑารัตน์ ทองเนื้อห้า (2548:บทคัดย่อ) ท่ีพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนท่ีได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ประกอบการเขียนแผนผังมโนมติ สูงกว่านักเรียนที่ ไดร้ ับการสอนตามปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 นอกจากน้ีผู้สอนยังได้นาส่ือมัลติมีเดียมา สอดแทรกในข้ันสารวจและค้นหาในการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีภาพนิ่ง การ์ตูน ข้อความ และเสียง มาช่วยเร้าความสนใจของผู้เรียน และช่วยให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้เองตามต้องการ สอดคล้องกับงานวิจัยของวราภรณ์ นันทิยกุล และคณะ (2550:118) ท่ีกล่าวว่าการสร้างสื่อมัลติมีเดีย ใหม้ ีชีวติ จะช่วยดงึ ดูดความสนใจของผู้เรยี นไดม้ ากขึ้น เช่น การสร้างตัวการ์ตูนรูปคนแล้วขยับปากพูดได้ เพอื่ แทนตวั อาจารยท์ ่ีสอนผ่านส่อื ทาให้นกั ศึกษารสู้ ึกเพลดิ เพลิน ไมร่ สู้ กึ เบื่อ จากผลการวิจัยข้างต้นจะเห็นได้ว่า หลังการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบ เสาะหาความรู้ส่งผลให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียน ได้ปฏิบัติจริง ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพ่ือน และครู ส่งผลให้ผเู้ รียนมีความรู้ความเขา้ ใจในเนอ้ื หาทเ่ี รียน จงึ มีผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนสงู กว่าหลังเรียน ด้วยวิธีสอนแบบปกติ อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดับ .05 665
กล่มุ มนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/3 ท่ีมีต่อการเรียนวิชาชีววิทยาด้วยสื่อ มัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้อยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ทม่ี ตี ่อวธิ ีสอนแบบปกติอยู่ในระดับมาก ซ่ึงไม่เป็นไปตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ทั้งนี้อาจ เน่อื งมาจากนกั เรยี นท่ีเรียนดว้ ยวิธสี อนแบบปกตไิ มไ่ ด้สัมผัสวิธีเรียนทั้ง 2 แบบ จึงยังมีความรู้สึกท่ีดีต่อวิธี สอนแบบปกติ แต่เม่ือเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของทั้ง 2 กลุ่ม พบว่า กลุ่มท่ีเรียนด้วยสื่อ มัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้อยู่ในระดับมาก ( x =4.38, S.D.=0.66) ซึ่งสูงกว่า นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ ( x =3.52, S.D.=0.71) ท้ังน้ีเมื่อพิจารณาประเด็นที่นักเรียนพึง พอใจมากท่สี ดุ 3 ลาดบั แรก พบวา่ นักเรยี นกลุ่มท่เี รียนดว้ ยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้ พึงพอใจที่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นขณะเรียน มีสื่อท่ีแปลกใหม่กระตุ้นความสนใจ อีกท้ังยังมี การประเมนิ ผลเพื่อให้รู้พัฒนาการของตนเอง ขณะท่ีกลุ่มที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติมีความพึงพอใจต่อ 3 ลาดับแรก คือ มีการประเมินผลให้รู้พัฒนาการของตนเอง มีใบกิจกรรมช่วยเสริมความเข้าใจใน เนื้อหา และการนาเสนอเหมาะสมกับเวลา ท้ังน้ีเน่ืองจากกลุ่มท่ีเรียนด้วยวิธีสอนแบบปกตินั้นมี แบบทดสอบเพอื่ ประเมนิ ผลทกุ ตอนทาให้นักเรียนรู้พัฒนาการของตนเอง และสามารถปรับปรุงจุดท่ีด้อย ให้ดีข้ึนได้ อีกท้ังไม่มีส่ือใดที่แปลกใหม่จึงส่งผลให้นักเรียนพอใจในใบกิจกรรมซ่ึงเป็นสื่อหน่ึงท่ีใช้ในการ สอน ซึ่งช่วยให้นักเรียนทราบจุดเด่นจุดด้อยของตนเองได้ทันทีก่อนจะสอบวัดความรู้จริง อีกทั้งครูก็ใช้ เวลาทุกขั้นตอนได้เหมาะสมกับเวลาท่ีมีอยู่ไม่เร็วหรือช้ามากเกินไป นักเรียนจึงยังมีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมาก ขณะที่กลุ่มท่ีเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้นั้น นักเรียนได้ แสดงความคิดเห็นในขณะท่ีเรียนหลายข้ันตอน เริ่มจากเมื่อครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนด้วยการ อภิปรายในประเด็นที่ครูกาหนด นักเรียนจะช่วยกันแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวตาม ประสบการณ์และความรทู้ ่ตี นมีอยู่ ส่งผลให้นักเรียนเกิดความสงสัยในประเด็นดังกล่าวจนทาให้เกิดความ อยากรู้ตามมา ซึ่งเม่ือถึงขึ้นตอนการสารวจและค้นหานักเรียนก็ได้แสดงความสามารถท่ีมีเพื่อหาคาตอบ จากการทดลอง รวมทั้งศึกษาข้อมูลจากสื่อท่ีไม่ได้ใช้การบรรยายเหมือนที่ครูสอนแต่เปลี่ยนรูปแบบมา เปน็ นทิ านท่มี ีการโต้ตอบของพ่นี ้องเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้นักเรียนก็มีโอกาสคิดไปพร้อมกัน เนื่องจากนักเรียนสามารถหยุดพักการนาเสนอของส่ือได้ จากน้ันก็ชมการนาเสนอของส่ือต่อเพื่อ ตรวจสอบว่าส่ิงท่ีตนคิดถูกต้องหรือไม่ หลังท่ีได้รับความรู้แล้วครูก็ดาเนินการในขั้นตอนอธิบายและลง ขอ้ สรปุ ซงึ่ มีการอธบิ ายเพื่อทบทวน รวมท้ังนกั เรียนสามารถนาความรทู้ ี่ได้จากการศึกษาด้วยสื่อมัลติมีเดีย และจากการทดลองด้วยตนเองมาแลกเปล่ียนความรู้กับเพื่อนคนอื่น หรืออภิปรายเพ่ือแสดงความคิดเห็น ในสิ่งท่ีตนรู้ในขณะน้ัน ซ่ึงบางครั้งอาจเข้าใจถูกหรือผิด หากนักเรียนเข้าใจถูกจะเกิดความภาคภูมิใจใน ส่ิงที่ตนแสดงความความคิดเห็นออกมา แต่ถ้านักเรียนยังเข้าใจไม่ถูกต้องก็จะช่วยเปลี่ยนความคิดให้ ถกู ตอ้ งและยงั ไดร้ ับฟังความคิดเหน็ ในมุมท่ีตนเองนึกไม่ถึง โดยการอภิปรายของเพื่อนร่วมช้ัน อีกท้ังยังมี ครูช่วยเสริมส่วนที่นักเรียนยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดให้เข้าใจไปในทางท่ีถูกต้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจมาก ขึ้น อีกทั้งยังมีการนาผังมโนทัศน์เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของการสังเคราะห์ด้วยแสงมาใช้ร่วมใน 666
Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 กลมุ่ มนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ ขั้นตอนน้ีเพ่ือสรุปและเชื่อมโยงความรู้ที่ได้ในแต่ละตอนให้เป็นรูปธรรม มากกว่าการเรียนทีละเร่ืองแล้วก็ ผา่ นเลยไป จากนั้นก็เป็นข้ันขยายความรู้ ซึ่งนักเรียนจะได้แสดงความคิดเห็นว่าจะนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ ในชีวิตประจาวันได้อย่างไร ขั้นตอนน้ีจะช่วยให้นักเรียนผ่อนคลายเพราะสามารถเช่ือมโยงส่ิงท่ีเรียนกับ การดารงชีวิตของพวกเขา ทาให้พวกเขารู้ถึงความสาคัญท่ีต้องเรียนในเร่ืองดังกล่าว ส่งเสริมให้เกิดการ อยากเรียนรู้ในเรื่องอื่น ๆ ตามมา หากไม่มีขั้นตอนนี้ความรู้ของนักเรียนที่มีอยู่จะจบลงแค่ในห้องเรียนไม่ สามารถเช่ือมโยงเพ่ือนาไปใช้ในชีวิตได้ และในขั้นตอนสุดท้ายนักเรียนจะได้ประเมินตนเองว่ามีความรู้ จากเร่ืองท่ีเรียนในระดับใด พึงพอใจต่อผลการเรียนที่ได้หรือไม่ หรือต้องปรับปรุงหรือศึกษาในส่วนใด เพิ่มเติมอีก จากเหตุผลดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นว่า การใช้ส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้ ช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิท่ีสูงข้ึน เมื่อมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีดีมีความภูมิใจและยังเกิด ความพึงพอใจที่ดีในการเรียนแบบดังกล่าว สอดคล้องกับสราวุฒิ บุญยืน (2542:49) ที่ว่าบทบาทของ ครูในการเรยี นการสอนด้วยวัฏจักรการเรียนรู้น้ัน ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติอย่างอิสระ และสรปุ สร้างความรู้ดว้ ยตนเอง และผู้สอนควรมีบุคลิกภาพที่เป็นกันเอง ยอมรับและสนับสนุนความคิด ของนักเรียน ให้โอกาสนักเรียนในการตัดสินใจเกี่ยวกับส่ิงต่าง ๆ รวมถึงมีเจตคติท่ีดีต่อนักเรียน เพื่อ เสริมสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ดี โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น ซ่ึงจะส่งผลให้ นกั เรยี นมเี จตคตทิ ี่ดตี อ่ การเรยี น สอดคล้องกับวชิ าญ เลิศลพ (2543:120) กล่าวว่าในข้ันอธิบายและลง ข้อสรุปทาให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องท่ีเรียนมากข้ึน เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งท่ีนักเรียนได้ศึกษาเอง ทาให้มองเห็นแงม่ มุ ต่าง ๆ รวมท้งั ความคลาดเคลื่อน เกิดความกระจ่างข้ึนและในกรณีที่ผลการศึกษาตรง กับการสรุปของครู ก็จะทาให้นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจในการเรียน ขณะเดียวกันก็ยังมีสื่อแปลกใหม่ ซง่ึ เปน็ รูปแบบทไ่ี มเ่ คยใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนวิชาชีววิทยามาก่อนเป็นส่ิงกระตุ้นจึงช่วยดึงดูดความ สนใจของผู้เรียน การพูดจาตอบโต้กันของพี่น้องทาให้นักเรียนได้รับความรู้โดยไม่เบ่ือ อีกท้ังนักเรียนก็มี ความรู้สึกภูมิใจท่ีไดเ้ รยี นจากส่ือใหม่ที่ครูสร้างเพราะเป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจในการเตรียมตัวสอน ของครู จึงยิง่ ทาใหน้ กั เรียนใสใ่ จในการเรียนมากย่ิง จนเกิดพฤติกรรมเลียนแบบโดยทาหนังสือการ์ตูนข้ึน เองเมอ่ื ครูในวชิ าอืน่ มอบหมายงานให้ สอดคล้องกับของวราภรณ์ นันทิยกุล และคณะ (2550:118) ท่ี กล่าวว่าการเปล่ยี นส่ือใหม้ ชี ีวิตจะชว่ ยดึงดูดให้ผูเ้ รยี นสนใจได้มากขึ้น โดยสามารถใช้สอนแทนอาจารย์ทา ให้นักศึกษารู้สึกเพลิดเพลิน ไม่รู้สึกเบ่ือ สอดคล้องกับจันทนา บุณยาภรณ์ (2539:60) ท่ีกล่าวว่าวิธี สอนทสี่ รา้ งความแปลกใหม่ใหก้ ับผู้เรยี น จะทาให้ผูเ้ รียนมหี น้าตาท่ีสดชน่ื แจ่มใส แสดงความสนใจต่อการ เรียนและไม่รู้สึกเบื่อหน่าย สอดคล้องกับณัฐศักดิ์ ธีระกุล (2533:54) ได้กล่าวว่าส่ือมีอิทธิพลและ สามารถที่จะจงู ใจใหผ้ ้เู รียนสนใจเรียน ทาให้เกิดการเรียนรู้ได้มากขึ้น จาได้นานข้ึน ซึ่งบางคร้ังผู้สอนไม่ สามารถสร้างแรงจูงใจได้ดีเท่ากับส่ือ สังเกตได้จากพฤติกรรมของนักเรียนขณะสารวจและค้นหาจากสื่อ น้ันนักเรียนต้ังใจ มุ่งม่ัน ย้ิมแย้มควบคู่กับการอมย้ิมเป็นระยะ ๆ ซึ่งเม่ือนักเรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อส่ือจึง ส่งผลให้เกิดความพึงพอใจท่ีดีในการเรียน สอดคล้องกับประดิษฐ์ มาลาแสง (2548:46) ที่กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกท่ีดีของบุคคลที่มีต่อองค์ประกอบและสิ่งจูงใจในด้านต่าง ๆ และการ 667
กลมุ่ มนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 ได้รับการตอบสนองความต้องการ ทาให้เกิดความรู้สึกท่ีดีในส่ิงน้ัน ๆ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างความ คาดหวังกับประโยชน์ที่ได้รับ สอดคล้องกับใกล้รุ่ง นคราวนากุล (2547:51) ที่กล่าวว่าความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ในทางบวก ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนร่วมกิจกรรมจนบรรลุ เป้าหมายในการเรียนรู้ ในส่วนของการประเมินผลนั้น เป็นส่วนดีท่ีทาให้นักเรียนทราบพัฒนาการของ ตนเองในทุกตอน จุดใดท่ียงั ไมเ่ ขา้ ใจก็สามารถค้นหาข้อมูลเพ่ิมเติมนอกเวลาได้ทันทีหลังจากที่เรียนจบใน ตอนน้ัน ๆ อีกท้ังนักเรียนมีเวลาเตรียมตัวจึงสามารถปรับปรุงจุดด้อยของตนเอง จนส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ิ หลงั เรยี นสงู ขน้ึ เป็นท่พี อใจของนักเรยี นเอง จากผลการวจิ ยั ข้างต้นจะเห็นได้ว่า เม่ือครูจัดการเรียนการสอนด้วยรูปแบบท่ีแปลกใหม่หรือมี กิจกรรมใดทีต่ รงหรือใกล้เคียงกบั ความต้องการของนกั เรียน หรอื ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหาวิชามาก ขนึ้ ก็จะส่งผลใหน้ ักเรยี นมีเจตคตทิ ี่ดตี อ่ การเรยี นดังกล่าว ประกอบกับนักเรียนไม่ทราบถึงความแตกต่าง กันในการเรยี นของทัง้ 2 กลมุ่ จึงทาใหน้ ักเรียนยังคงพอใจต่อวิธีเรียนในแบบท่ีตนได้สัมผัส แต่นักเรียน ท่ีเรียนด้วยส่ือมัลติมีเดียร่วมกับวิธีเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้นั้น มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( x =4.38, S.D.=0.66) ซึ่งสูงกว่าความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ ( x =3.52, S.D.=0.71) ข้อเสนอแนะ จากการศกึ ษาวจิ ัยครั้งนี้ ผวู้ จิ ยั ได้แบ่งข้อเสนอแนะออกเป็น 2 ด้าน คือ ข้อเสนอแนะทั่วไป และข้อเสนอแนะเพ่อื ทาการวิจยั ครง้ั ต่อไป ดงั นี้ ขอ้ เสนอแนะทว่ั ไป สอ่ื ท่สี ร้างขึน้ ควรเช่อื มตอ่ กบั อินเทอร์เน็ต เพื่อให้สามารถสืบค้นข้อมูลอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้องเพิ่มได้ หรือนักเรียนสามารถไปดซู ้าได้เม่ือต้องการ ขอ้ เสนอแนะเพ่อื ทาการวิจัยคร้งั ต่อไป 1. ควรนาสื่อและรูปแบบการสอนไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนอื่น เพื่อ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 2. ควรมีการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยส่ือรูปแบบอ่ืน ๆ ร่วมกับการ เรยี นแบบสืบเสาะหาความรู้ เพ่ือจะได้มีความหลากหลายและปรับให้เหมาะสมกับธรรมชาติของรายวิชา ตอ่ ไป 3. ควรมีการศึกษาตัวแปรอ่ืน ๆ นอกเหนือจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจใน การเรียน เชน่ การพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ พฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ เปน็ ตน้ 668
Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 กลุ่มมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ.ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย,2551. กิดานนั ท์ มลทิ อง.เทคโนโลยีการศึกษาร่วมสมยั .กรงุ เทพฯ:เอดสิ ันเพรสโพรดักสจ์ ากดั ,2536. ใกล้รุ่ง นคราวนากุล. “การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะร่วมกับการใช้ผังมโนมติ เร่ืองชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน สานกั วิทยบรกิ าร มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม,2547. จันทนา บุณยาภรณ์. “การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริมวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการศึกษา บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร,2549. จฑุ ารัตน์ ทองเน้ือหา้ . “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าฟิสกิ ส์และความสามารถด้านการคิดวิจารณญาณของ นักเรียนที่ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ประกอบการเขียนแผนผังมโนมติ. ” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์,2549. จฑุ ารัตน์ สจุ ินพรหม. “การพฒั นาแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้เร่ือง กระบวนการในการดารงชีวิตของ พชื กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โดยการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือท่ี ประสบความสาเร็จ.” สารนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน บัณฑิต วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,2546. ฉฐั ภมิ ณฑ์ เพชรศักดิ์วงศ์. “การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้เร่ืองหินและแร่ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ท่ีได้รบั การจัดการเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ประกอบการเขียนแผนผังมโนทัศน์และการ จัดการเรียนรู้ตามคู่มือครูของ สสวท.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตร และการนเิ ทศ บัณฑติ วิทยาลัยศิลปากร,2552 ชาตรี เกิดธรรม.เทคนิคการเรยี นทเ่ี น้นผ้เู รียนเป็นสาคญั .กรงุ เทพฯ:ไทยวัฒนาพานิช,2545. ณรงค์ โสภิณ. “ผลการใช้วิธสี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ตามแนววงจรการเรียนรู้ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความคงทนในการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการ สอน บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อดุ รธานี,2547. ณฏั ฐกิ า หลอดแก้ว. “ผลการเรยี นรูด้ ้วยบทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลติมเี ดยี แบบร่วมมือ ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ และพฤติกรรมการทางานกลุ่ม วิชาคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการเบื้องต้นของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบางปลาม้า สูงสุมารผดุงวิทย์.”การค้นคว้าอิสระปริญญา มหาบัณฑติ สาขาเทคโนโลยีการศกึ ษา บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศลิ ปากร,2552. 669
กลุ่มมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 ณัฐศักดิ์ ธีระกุล. “เหตุผลการใช้ส่ือประกอบการเรียนการสอน.”วารสารศึกษาศาสตร์ 14,1(กุมภาพันธ์- พฤษภาคม 2533) : 54-57. นนั ทกา แสนคาภา. “การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ เจตคติตอ่ การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ระหว่างการจัดการเรียนรู้โดย ใช้รูปแบบค่ายเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากธรรมชาติกับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ. ”วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราช ภฏั เลย,2550. บญุ สวน ศรีเชยี งสา. “ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ท่ีเน้นการสร้างผังมโนทัศน์ ท่ี มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานความร้อน ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมญั จาศกึ ษา จังหวดั ขอนแกน่ .” วิทยานพิ นธป์ ริญญามหาบัณฑิต สาขาหลกั สตู รและการสอน บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช,2552. ประดิษฐ์ มาลาแสง. “การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง โรคติดต่อและการป้องกัน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ระหว่างการใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์กับการเรียนเป็นกลุ่มด้วยเทคนิค STAD.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยีการศึกษา บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั มหาสารคาม,2548. ประพันธศ์ ริ ิ สเุ สารจั . สอนอยา่ งไรให้คดิ เป็น. กรงุ เทพฯ:สานกั พมิ พ์ไทยวัฒนาพานชิ จากดั ,2548. ผจญ รุ่งอรุณเลิศ. “ผลการใช้ส่ือมัลติมีเดียที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการจัดทาโครงงาน คอมพิวเตอร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนคงทองวิทยา.” การค้นคว้าอิสระ ปริญญามหาบณั ฑิต สาขาเทคโนโลยีการศึกษา บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร,2551. พิศาล วชริ าชยั . “การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรก์ ารสอนแบบการต์ นู แอนิเมชัน เรื่อง เภสัชกรรมแผน ไทย : ไพล.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ ี,2549. ภูตินนั ท์ กัลยาณรัตน์. “การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์การสอนแบบเล่าเร่ืองด้วยการ์ตูนแอนิเมชัน เร่ือง การโภชนาการและระบบยอ่ ยอาหาร.” วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีสารสนเทศ บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี,2549. มลิสา สดสุชาติ. “การพัฒนาทักษะการอ่านวิเคราะห์วิชาภาษาไทยโดยใช้วิธีสอน 5E ของนักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรยี นกุมภวาปี สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาอุดรธานี เขต 2.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ,2550. วราภรณ์ นนั ทยิ กลุ และคณะ. “การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียในการสอนวิชาฟิสิกส์ 1.” ทุนอุดหนุนการวิจัย สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา มหาวิทยาลัยราชภัฏจนั ทรเกษม,2550. 670
Veridian E-Journal, SU Vol.5 No. 1 January – April 2012 กลุม่ มนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ วชิราภรณ์ ผลเรอื ง. “การศกึ ษาความสมั พันธ์ระหวา่ งการรบั รเู้ กณฑก์ ารประเมินส่ือมัลติมีเดียกับความพึง พอใจกับการผลิตสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา ของศูนย์เทคโนโลยีการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.” การค้นคว้าอิสระปริญญามหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการศึกษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร,2551. วัชรา เล่าเรียนดี.เทคนิคและยุทธวิธีพัฒนาทักษะการคิด การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ. นครปฐม : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร,2549. วิชาญ เลิศลพ. “การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้โดยวิธีการเรียนการสอนตามรูปแบบวัฏจักรการเรียนรู้ แบบ สสวท. และรูปแบบผสมผสานระหว่างวัฏจักรการเรียนรู้กับ สสวท.” วิทยานิพนธ์ ปรญิ ญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ,2543. ศิริลักษณ์ อ่างเงิน. “ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และความสามารถในการตัดสินใจของ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 2 ท่ไี ดร้ ับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ทเ่ี นน้ วงจรการเรียนรู้กับ การสอนตามคู่มือครู.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่,2548. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.เอกสารสาหรับผู้ให้การอบรมวิทยาศาสตร์ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน หลักสูตรท่ี 1.กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ครุ สภาลาดพร้าว,2550. สราวุฒิ บญุ ยืน. “การศกึ ษารปู แบบการสอนวทิ ยาศาสตรด์ ้วยวิธวี งจรการเรยี นรู้ เรื่อง เคร่ืองใช้ไฟฟ้าใน บ้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขา วิทยาศาสตร์ศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ,2542. สากิยา แก้วนิมิต. “การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ เรื่องประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้และการจัดการเรียนรู้แบบ บรรยาย.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการนิเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร,2548. สิริลักษณ์ นาควิสุทธ์ิ. “การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเจตคติเชิง วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ท่ีได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือกับการสอนแบบปกติ.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาหลกั สตู รและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์,2548. ฮัซลนิ ดา อลั มะอารฟิ ีย์. “ได้ศึกษาผลสมั ฤทธิใ์ นการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ประกอบการเขียน แผนผังมโนมติ.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์,2551. 671
วารสารศลิ ปากรศึกษาศาสตรว์ จิ ยั การพฒั นารปู แบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน ปที ี่ 7 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มถิ ุนายน 2558) รุจริ าพร รามศิร-ิ มาเรยี ม นลิ พนั ธุ์ การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวิจยั เป็นฐาน เพอื่ เสรมิ สร้าง ทกั ษะการวจิ ัย ทักษะการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ และจิตวทิ ยาศาสตร์ ของนักเรยี นระดบั มธั ยมศึกษา The Development of Science Instructional Model by Using Research-Based to Enhance Research Skills, Creative Problem-Solving Skills and Scientific Minds of Secondary School Students รจุ ิราพร รามศริ ิ* Rujiraporn Ramsiri มาเรียม นิลพนั ธ*์ุ * Maream Nillapun บทคดั ย่อ การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เปน็ ฐาน เพอ่ื เสรมิ สรา้ งทกั ษะการวจิ ยั ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา มีวัตถุประสงค์ 1) เพอ่ื พัฒนาและหาประสิทธภิ าพของรูปแบบ 2) เพือ่ ประเมนิ ประสทิ ธิผลการใชร้ ูปแบบ กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีใช้ ในการวจิ ยั เปน็ นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5/1 จำ� นวน 34 คน ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2556 โรงเรยี นสาธติ แหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกำ� แพงแสน ศนู ยว์ จิ ยั และพฒั นาการศกึ ษา ไดม้ าโดยการสมุ่ หอ้ งเรยี น ดว้ ยวิธกี ารสุม่ อยา่ งง่าย เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ัยประกอบด้วย รปู แบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใช้ การวจิ ยั เปน็ ฐาน คมู่ อื การใชร้ ปู แบบ หนว่ ยและแผนการจดั การเรยี นรู้ แบบประเมนิ ทกั ษะการวจิ ยั แบบทดสอบ ทกั ษะการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ และแบบวดั จติ วทิ ยาศาสตร์ วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยการหาคา่ เฉลย่ี คา่ เบยี่ งเบน มาตรฐาน ค่าทแี บบไม่อสิ ระ และการวเิ คราะหเ์ นือ้ หา ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) รปู แบบการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เปน็ ฐาน มี 5 องคป์ ระกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการจดั การเรยี นรู้ การวดั และประเมนิ ผล และเงอื่ นไขสำ� คญั ในการ น�ำรูปแบบไปใช้ ประสิทธิภาพของรูปแบบเท่ากับ 81.36/76.86 2) ประสิทธิผลการใช้รูปแบบพบว่า 2.1) หลงั เรยี นนกั เรยี นมที กั ษะการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคส์ งู กวา่ กอ่ นเรยี น 2.2) นกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถ พื้นฐานและแบบการเรียนรู้ต่างกันมีพัฒนาการด้านทักษะการวิจัย และทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ สูงขึน้ 2.3) มคี วามคงทนของทกั ษะการวิจยั เฉพาะนกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถพืน้ ฐานสงู และต�่ำ และนักเรียน ท่ีมีแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือและแบบพึ่งพา และนักเรียนทุกกลุ่มมีความคงทนของทักษะการแก้ปัญหา อยา่ งสรา้ งสรรค์ในระยะตดิ ตามผล และ 2.4) หลงั เรยี นนกั เรยี นทมี่ คี วามสามารถพน้ื ฐาน และแบบการเรยี นรู้ ต่างกัน มจี ิตวทิ ยาศาสตรอ์ ยู่ในระดบั มาก ค�ำส�ำคัญ: รูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์/ การวิจัยเป็นฐาน/ ทักษะการวิจัย/ ทักษะการแก้ปัญหา อยา่ งสรา้ งสรรค์/ จิตวิทยาศาสตร์ * นกั ศกึ ษาปรญิ ญาปรชั ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ** อาจารยท์ ปี่ รกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ภาควชิ าหลกั สตู รและวธิ สี อน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร 110
วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตรว์ จิ ัย การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวิจัยเป็นฐาน ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2558) รุจริ าพร รามศิร-ิ มาเรียม นลิ พันธุ์ Abstract The purposes of this research were to: 1) develop and determine the efficiency of science instructional model by using research-based, 2) evaluate the effectiveness of science instructional model by using research-based. The samples comprised 34 eleventh grade students during the second semester of the academic year 2013 at Kasetsart university laboratory school Kamphaeng Saen Campus Educational Research and Development Center. Research instruments consisted of the science instructional model by using research-based, a handbook for the model, units and lesson plans, research skills assessment forms, creative problem-solving skills tests and scientific minds assessment forms. The data was analyzed by mean, standard deviation, a t-test dependent and content analysis. The results found that: 1) the model called “RPSCSA” was consisted of five elements; These are (1) principles (2) objectiv (3) the learning process (4) the 3-part assessments and (5) the important conditions for using the RPSCSA The RPSCSA model met the efficiency of 81.36/76.86 2) The effectiveness of the RPSCSA model indicated that 2.1) after using the RPSCSA model, the students’ creative problem-solving skills were significantly higher than before the instruction at .05 level, 2.2) the students who had different basic abilities and learning styles had higher development of research skills from a moderate level to a high level, and had higher development of creative problem-solving skills from a low level to a moderate level, 2.3) the retention of research skills were found only in the students that had high basic abilities and low basic abilities, the collaborative learning styles and dependent learning styles, all groups of the students had retention of creative problem-solving skills at the follow-up phase, and 2.4) after using the RPSCSA model, the students who had different basic abilities and learning styles had a high level of scientific minds. Keywords: The science instructional model/ Research-Based/ Research Skills/ Creative Problem Solving Skills/ Scientific Minds 111
วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจยั การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใช้การวจิ ยั เปน็ ฐาน ปที ี่ 7 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2558) รจุ ริ าพร รามศิร-ิ มาเรียม นิลพันธุ์ บทน�ำ โลกในยคุ ศตวรรษท่ี 21 จดั เปน็ ยคุ แหง่ การ และผู้สอนมีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียน เปลย่ี นแปลงทางวทิ ยาการและเทคโนโลย ี ทกี่ า้ วหนา้ การสอนได้เต็มศักยภาพ มีการแก้ปัญหาโดยใช้ อย่างรวดเร็ว การพัฒนาคนให้มีความสามารถอยู่ใน กระบวนการวิจัยในการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้น สังคมอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข จ�ำเป็นต้องได้ ผูเ้ รียนเป็นสำ� คญั ครตู อ้ งมบี ทบาทให้ผเู้ รียนสามารถ รั บ ก า ร พั ฒ น า ทั ก ษ ะ พ้ื น ฐ า น ส� ำ ห รั บ อ น า ค ต แสวงหาความรู้ และพัฒนาความสามารถได้ตาม (Treffinger, 2008: 1) ส�ำนักวิชาการและมาตรฐาน ธรรมชาติ ครูจึงเป็นบุคคลส�ำคัญที่ช่วยพัฒนาทักษะ การศึกษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น ต่างๆ ให้กับผู้เรียนโดยให้นักเรียนไดประยุกต์ใช พนื้ ฐาน (2554: 18-21) ไดก้ ำ� หนดจดุ เนน้ การพฒั นา ความรูในการแกป้ ญั หาทง้ั ในหอ้ งเรยี นและในชวี ติ จรงิ ผเู้ รยี นในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายไวว้ า่ การศกึ ษา (Weir, 1974: 16) การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ระดบั นเ้ี นน้ การเพมิ่ พนู ความรู้ ทกั ษะเฉพาะดา้ น และ เป็นการคิดที่ต้องอาศัยท้ังองค์ประกอบของการ ทกั ษะในการดำ� เนนิ ชวี ติ ผเู้ รยี นสามารถแสวงหาความ แก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ ซ่ึงจัดเป็นความ รู้เพื่อน�ำไปใช้แก้ปัญหา แนวทางหนึ่ง คือการใช้ สามารถทางสติปัญญาท่ีต้องอาศัยการจัดการเรียน กระบวนการวิจัยในการแสวงหาความรู้ และพัฒนา การสอนเพ่ือการพัฒนาผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถของนักเรียนไดต้ ามธรรมชาติ และเตม็ การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์โดย ตามศักยภาพ ซึ่งผู้เรียนท่ีใช้กระบวนการวิจัยในการ การสง่ เสรมิ การคน้ ควา้ หาขอ้ มลู ในการแกป้ ญั หา การ แสวงหาความรู้ จ�ำเป็นต้องมีทักษะการวิจัยเป็น คิดค้นงานประดิษฐ์ใหม่ๆ การท�ำโครงงาน การวิจัย พ้ืนฐานเพื่อการแก้ปัญหาอย่างมีระบบท่ีมี (สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน, 2555: ประสิทธิภาพ สอดคล้องกับอ�ำรุง จันทวาณิช 18-21) ดังน้นั การพัฒนาใหผ้ ู้เรยี นมที กั ษะการวิจัย (2548: 1) ท่ีเสนอแนวคิดว่าการพัฒนาคนไทย จึงเป็นเร่ืองส�ำคัญ เพราะเป็นแนวทางหน่ึงในการ ให้สามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง พฒั นาผเู้ รยี นใหม้ ที กั ษะการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ กระบวนการทสี่ ำ� คญั คอื กระบวนการวจิ ยั และนกั เรยี น ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง เป็นพ้ืนฐานในการเรียนรู้ ที่เรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย ซ่ึงมีบทบาทเป็น ตลอดชีวิต นอกจากนี้ในการพัฒนาผู้เรียนด้าน ผู้วิจัยน้ันจ�ำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องเรียนรู้และเข้าใจ จติ วทิ ยาศาสตร์ พบวา่ การรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (Scientific กระบวนการวจิ ยั และกระบวนการสบื สอบของศาสตร์ Literacy) มีความเกี่ยวขอ้ งกับจิตสำ� นึกของผ้เู รียนที่ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั เรอ่ื งทจ่ี ะทำ� วจิ ยั เพอ่ื นำ� มาใช้ในขนั้ ตอน ก่อให้เกิดลักษณะนิสัย หรือความรู้สึกทางจิตใจต่อ ตา่ งๆ ของการวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม (ทศิ นา แขมมณ,ี การเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา 2548: 15-16) สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ หลกั สตู รโรงเรยี นสาธติ แหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ได้ก�ำหนดมาตรฐานและตัวชี้วัดท่ี วทิ ยาเขตก�ำแพงแสน ศูนยว์ ิจยั และพัฒนาการศกึ ษา กลา่ วถงึ จติ วทิ ยาศาสตรท์ ผี่ เู้ รยี นตอ้ งไดร้ บั การพฒั นา กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (2553: 1) ที่พบว่า ดังน้ันจิตส�ำนึกของผู้เรียนท่ีก่อให้เกิดลักษณะนิสัย เป้าหมายของหลักสูตร ได้ก�ำหนดให้ผู้เรียนเกิด หรือความรู้สึกทางจิตใจต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จึง กระบวนการคิด และมีทักษะกระบวนการทาง มีความส�ำคัญ ซึ่งผลของการพัฒนาจิตวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้และการแก้ปัญหา ของผเู้ รยี นดว้ ยกระบวนการจดั การเรยี นการสอนแบบ 112
วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตรว์ จิ ยั การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ัยเป็นฐาน ปที ่ี 7 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – มถิ ุนายน 2558) รจุ ริ าพร รามศิร-ิ มาเรยี ม นลิ พนั ธ์ุ ต่างๆ ท�ำให้ผู้เรียนมีจิตวิทยาศาสตร์สูงข้ึน (วาชินี จากการศึกษาข้อมูลและข้อค้นพบดังกล่าว บุญญพาพงศ์, 2552; นุชรีย์ แนวเฉลียว, 2552) ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน วิชาฟิสิกส์เป็นศาสตร์ในสาขาหน่ึงของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้าง และมเี ปา้ หมายคอื ผลผลิตท่เี ปน็ ตัวความรทู ี่ถูกตอ้ ง ทักษะการวิจัย ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และกระบวนการที่ไดมาซึ่งความรู ต้องอาศัย และจติ วิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นระดับมธั ยมศึกษา กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Gallagher et al., 1995: 136) จากผลการสังเกตพฤตกิ รรมการจัดการ วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย เรยี นการสอนของครฟู สิ กิ สจ์ ำ� นวน 3 คน ของโรงเรยี น 1. เพอ่ื พฒั นาและหาประสทิ ธภิ าพของรปู แบบ ในเขตอ�ำเภอก�ำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ระหว่าง การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เปน็ ฐาน วันท่ี 27-28 สงิ หาคม 2556 พบวา่ ครฟู ิสกิ ส์ใชว้ ิธี 2. เพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ การสอนแบบบรรยายรว่ มกบั การใชค้ ำ� ถาม และสาธติ ได้แก่ 2.1) เปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาอย่าง การทดลอง ครูเป็นผู้สรุปสาระส�ำคัญทางฟิสิกส์ สรา้ งสรรคข์ องนกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถพน้ื ฐาน และ นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะกระบวนการทั้งจากการฟัง แบบการเรียนรู้ต่างกัน ที่เรียนตามรูปแบบก่อนและ บรรยาย ตอบค�ำถามในชั้นเรียน และปฏิบัติการ หลังเรียน 2.2) ศึกษาพัฒนาการด้านทักษะการวิจัย ทดลอง ครใู หน้ กั เรยี นตอบคำ� ถาม และทำ� โจทยป์ ญั หา และทกั ษะการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคข์ องนกั เรยี น ฟิสิกส์ การเรียนการสอนแต่ละครั้งของครูฟิสิกส์ ท่ีมีความสามารถพนื้ ฐาน และแบบการเรยี นรตู้ ่างกัน ไม่ได้เน้นการพัฒนานักเรียนด้านจิตวิทยาศาสตร์ ทเี่ รยี นตามรปู แบบ 2.3) ศกึ ษาความคงทนดา้ นทกั ษะ แต่อาจมีการกล่าวถึงเร่ืองความซ่ือสัตย์ในการบันทึก การวจิ ยั และทกั ษะการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคข์ อง ผลการทดลองอยู่บ้าง ครูให้นักเรียนเรียนรู้ผลการ นักเรียนทม่ี ีความสามารถพน้ื ฐานและแบบการเรียนรู้ ทดลองจากการบรรยายและสาธิตการทดลอง มีการ ต่างกันท่ีเรียนตามรูปแบบ และ 2.4) ศกึ ษาจติ วทิ ยา ให้นักเรียนฝึกแก้ โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ และท�ำ ศาสตร์ของนักเรียนที่มีความสามารถพ้ืนฐาน และ ใบงานการทดลองตามแบบฟอร์มท่ีครูก�ำหนดให้ แบบการเรยี นรู้ตา่ งกนั หลังเรยี นตามรปู แบบ ในการวดั และประเมนิ ผลครใู ชว้ ธิ กี ารสงั เกต และตรวจ ใบงาน ส�ำหรับสภาพปัญหาและความต้องการในการ วธิ ดี �ำเนินการวจิ ยั จดั การเรยี นการสอนวชิ าฟสิ กิ ส์ พบวา่ นกั เรยี นสว่ นใหญ่ ก า ร พั ฒ น า รู ป แ บ บ ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น อยากเรยี นใหเ้ ขา้ ใจ เน้นใหม้ ีการท�ำงานรว่ มกนั และ วิทยาศาสตร์โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน มีวิธีด�ำเนินการ สามารถนำ� ความรู้ไปใช้ในชวี ติ ประจำ� วนั ได้ และในการ วิจัยในลักษณะของการวิจัยและพัฒนา (Research พฒั นาผู้เรยี นใหม้ ีทักษะการวจิ ยั ทักษะการแกป้ ญั หา and Development: R&D) โดยใช้ระเบียบวิธีการ อยา่ งสรา้ งสรรค์ และจติ วทิ ยาศาสตรน์ นั้ พบวา่ ความ วจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี (Mixed Methods Research) สามารถพืน้ ฐาน และแบบการเรยี นรูข้ องผู้เรียน เป็น ที่มีลักษณะเป็นแบบแผนเชิงผสมผสานแบบรองรับ ปจั จยั สำ� คญั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ความสามารถในการเรยี นรู้ ภายใน (The Embeded Design) มี 4 ขนั้ ตอน คือ ของผเู้ รยี นดว้ ย ดงั ท่ี Skinner (1953: 7) กลา่ ววา่ การศกึ ษา ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล จะดำ� เนนิ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพไม่ได้ ถา้ เราไมส่ ามารถ พื้นฐาน (Analysis : A) เกี่ยวกับสภาพการจัด แยกแยะในเรอื่ งความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของผเู้ รยี นได้ การเรียนการสอนของครูผู้สอน และพฤติกรรม 113
วารสารศลิ ปากรศึกษาศาสตร์วจิ ัย การพัฒนารปู แบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ัยเป็นฐาน ปีท่ี 7 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2558) รุจริ าพร รามศริ -ิ มาเรยี ม นลิ พันธุ์ การเรียนของนักเรียนในรายวิชาฟิสิกส์ ศึกษาสาระ ความจริง ทักษะการค้นพบปัญหา ทักษะการค้นพบ การเรยี นรฟู้ สิ กิ ส์ในประเทศไทยกบั ตา่ งประเทศ ศกึ ษา แนวคิด ทักษะการคน้ พบวธิ ีการแกป้ ญั หา และทกั ษะ ผลการประเมินระดับนานาชาติ จุดเน้นในการพัฒนา การสร้างสรรค์ความรู้ และแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ ผู้เรียน และแนวทางการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนา ประกอบดว้ ย 9 ด้าน ไดแ้ ก่ ความสนใจใฝร่ ู้ ความคดิ ผู้เรียนตามจุดเน้น (ส�ำนักวิชาการและมาตรฐานการ ริเรมิ่ สร้างสรรค์ ความยนิ ดใี นการทำ� งานรว่ มกบั ผู้อนื่ ศกึ ษา, 2554: 18-21) ศึกษาและวิเคราะหแ์ นวคดิ ความมีเหตุผล ความใจกว้าง ความมีระเบียบและ ทฤษฎี และงานวจิ ัยที่เกยี่ วข้องกบั รปู แบบ การสอน รอบคอบ ความรบั ผดิ ชอบ ความมงุ่ ม่ัน อดทน และ โดยเริ่มจากทฤษฎีการสร้างสรรค์ความรู้ ทฤษฎี เพียรพยายาม และความซ่ือสัตย์ พิจารณาความ พัฒนาการทางสติปัญญา และทฤษฎีวัฒนธรรมเชิง สอดคลอ้ งโดยผเู้ ชี่ยวชาญ 5 คน มผี ลการประเมิน สังคม น�ำมาก�ำหนดหลักการและวัตถุประสงค์ของ คุณภาพด้านความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหาของแบบ รูปแบบ แนวคิดการเรียนรู้โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน ประเมินทักษะการวิจัย และแบบทดสอบทักษะการ การเรียนรู้แบบน�ำตนเอง และการร่วมมือกันเรียนรู้ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ในแต่ละประเด็นอยู่ใน นำ� มาใชก้ ำ� หนดแนวทางการจดั การเรยี นการสอน ตาม ระดับมาก และมากที่สุด และมีค่าความเช่ือม่ันเป็น แนวคิดการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent 0.92 และ 0.78 ตามลำ� ดับ แบบทดสอบทกั ษะการ Study: IS) โดยสงั เคราะห์กระบวนการของรปู แบบ แกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ มคี า่ ความยากงา่ ย และคา่ ได้ 6 ขน้ั เพ่อื ใช้ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน อำ� นาจจำ� แนกอยรู่ ะหวา่ ง 0.25-0.62 และ 0.40-0.76 ในรายวชิ าฟสิ กิ ส์ เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการวจิ ยั ทกั ษะการ ตามล�ำดับ ส�ำหรับแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์มีคุณภาพ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ และจติ วิทยาศาสตร์ ด้านความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาในแต่ละประเด็นอยู่ใน ข้ันตอนที่ 2 การพัฒนา (Development: ระดับมาก และมากท่ีสุดโดยมีค่าเฉลี่ย (X) ตั้งแต่ D1) ออกแบบและพัฒนา (Design and 4.60-5.00 มีค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน(S.D.) ตั้งแต่ Development: D&D) มกี ารพฒั นาและตรวจสอบ 0.00-0.89 และมคี า่ ความเช่อื มัน่ เท่ากับ 0.96 และ คุณภาพของรูปแบบ และเคร่ืองมือประกอบการใช้ ผลการประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบ โดยน�ำไป รปู แบบ โดยการตรวจสอบคณุ ภาพดา้ นความเทยี่ งตรง ทดลองใชแ้ บบภาคสนาม (Field Tryout) กบั นกั เรยี น เชงิ เนอ้ื หาของรปู แบบ คมู่ อื การใชร้ ปู แบบ หนว่ ยและ ที่เป็นกลุ่มtryout ซ่ึงมีลักษณะไม่แตกต่างกับกลุ่ม แผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยการจัดสนทนากลุ่ม ตัวอย่าง พบวา่ มีคา่ ประสทิ ธิภาพของรปู แบบ E1/E2 ผู้ทรงคุณวุฒิจ�ำนวน 9 คน และตรวจสอบคุณภาพ เทา่ กับ 80.08/79.58 ของแบบประเมนิ ทกั ษะการวจิ ยั ประกอบดว้ ย 6 ทกั ษะ ข้ันตอนที่ 3 การวิจัย (IR) eกsาeรaทrcดhล:องRใ2ช)้ ไดแ้ ก่ ทกั ษะการกำ� หนดปญั หาวจิ ยั ทกั ษะการกำ� หนด ทดลองใช้ (Implementation: สมมติฐานและออกแบบการวิจัย ทักษะการเก็บ รปู แบบโดยใชแ้ บบแผนการทดลองแบบ The One- รวบรวมขอ้ มลู และวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทกั ษะการสรปุ และ Group Pretest–Posttest Design และวัดซ้�ำเพื่อ อภิปรายผลการวิจัย ทักษะการน�ำเสนอผลการวิจัย ทดสอบความคงทนของทกั ษะการวจิ ยั และทกั ษะการ และทักษะการน�ำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ มีการเก็บรวบรวมข้อมูล แบบทดสอบทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 4 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะก่อนเรียน(สัปดาห์ท่ี 1) ประกอบด้วย 5 ทักษะ ได้แก่ ทักษะการค้นพบ ทดสอบทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 114
วารสารศลิ ปากรศึกษาศาสตร์วจิ ัย การพฒั นารูปแบบการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เป็นฐาน ปีท่ี 7 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มถิ ุนายน 2558) รจุ ริ าพร รามศริ -ิ มาเรยี ม นลิ พนั ธ์ุ 2) ระยะระหว่างเรียน(สัปดาห์ที่ 4) ทดสอบทักษะ ผู้เรียนฝึกปฏิบัติการออกแบบการวิจัย เพื่อใช้เป็น การวิจัย และทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค ์ แนวทางในการแสวงหาค�ำตอบ ข้นั ที่ 4 รวบรวมและ 3) ระยะหลงั เรยี น (สัปดาหท์ ี่ 7) ทดสอบทกั ษะการ วิเคราะห์ข้อมลู (Collecting and Analyzing Data: วิจัย ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และ C) ผสู้ อนฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นรจู้ กั วธิ กี ารแสวงหาแหลง่ ขอ้ มลู จิตวิทยาศาสตร์ 4) ระยะตดิ ตามผล (สัปดาหท์ ่ี 11) แนะน�ำวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิธีการสร้าง ทดสอบทกั ษะการวจิ ัย และทกั ษะการแกป้ ัญหาอยา่ ง เครื่องมอื แนะนำ� วิธีการวเิ คราะห์ข้อมลู การใช้สถิติ สร้างสรรค์ ใช้เวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลท้ังส้ิน ต่างๆ ตลอดจนอ�ำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนได้ฝึก 11 สัปดาห์ ปฏิบัติการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจนบรรลุ ข้ันตอนท่ี 4 การพัฒนา (Development: วัตถุประสงค์ในการวิจัย โดยผู้สอนใช้กระบวนการ D2) ประเมินผล (Evaluation: E) 1) พฒั นาและหา วจิ ยั ในการเรียนการสอน และผูเ้ รยี นใช้กระบวนการ ประสิทธิภาพของรูปแบบกับนักเรียนที่เป็นกลุ่ม วจิ ัยในการเรียนรู้ ขน้ั ที่ 5 สรปุ และน�ำเสนอผลวิจยั ตัวอยา่ งการวิจยั 2) ประเมนิ ประสทิ ธผิ ลของรปู แบบ (Summarizing and Research Finding: S) ผู้สอน ฝึกให้ผู้เรียนสามารถสรุปผลการวิจัย เพ่ือตอบ ผลการวิจยั สมมติฐาน และให้ค�ำแนะน�ำในการเขียนรายงานผล 1. ผลการพฒั นา และหาประสิทธิภาพของ การวิจัยเพื่อการน�ำเสนอ โดยผู้สอนใช้กระบวนการ รปู แบบการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั วจิ ัยในการเรยี นการสอน และผู้เรยี นใช้กระบวนการ เป็นฐาน พบวา่ รูปแบบใช้ชอ่ื ว่า “RPSCSA Model” วจิ ยั ในการเรยี นรู้ และขนั้ ที่ 6 ประเมนิ ผล (Assessing: มี 5 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ 1) หลักการ เน้นที่ผ้เู รยี น A) ผู้เรียนน�ำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์สู่สังคม เป็นผู้สร้างความรู้ข้ึนเองอย่างเป็นระบบโดยอาศัย ซึ่งผลการวิจัยของผู้เรียนจะได้รับการประเมินจาก การแสวงหาความรดู้ ้วยกระบวนการวิจัย และผู้เรียน 3 แหล่ง ได้แก่ ประเมินตนเอง ประเมินโดยเพ่ือน มีบทบาทสำ� คัญในการเรียนรู้ ผ่านกจิ กรรมทีเ่ นน้ การ และประเมนิ โดยครู 4) การวดั และประเมนิ ผล 3 ดา้ น ร่วมมือกันเรียนรู้ ร่วมกับการเรียนรู้แบบน�ำตนเอง คือ ด้านทักษะการวจิ ยั ดา้ นทักษะการแกป้ ญั หาอย่าง 2) วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ พฒั นาทกั ษะการวจิ ยั ทกั ษะการ สรา้ งสรรค์ และดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ และ 5) เงื่อนไข แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์ของ ส�ำคัญในการน�ำรูปแบบไปใช้ให้ประสบผลส�ำเร็จ นักเรียนระดับมัธยมศึกษา 3) กระบวนการจัดการ ประกอบดว้ ย ผเู้ รยี นมพี น้ื ฐานความสามารถในการคดิ เรยี นรู้ ประกอบดว้ ย 6 ขั้นคอื ข้นั ที่ 1 ตระหนักใน เชิงระบบ มีความรับผิดชอบ มุ่งม่ันในการท�ำงาน ปญั หา (Raising Awareness of Problems: R) เป็น ใช้ผลการวิจัยและกระบวนการวิจัยเป็นเคร่ืองมือใน ข้ันที่ผู้สอนสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ การเรยี นรู้ และใชส้ ถานการณป์ ญั หาในชวี ติ ประจำ� วนั มองเห็นคุณค่าของสิ่งท่ีต้องการจะเรียนรู้ และมี และพบว่ารูปแบบท่ีน�ำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่างมี ทิศทางที่จะรับรู้ ข้ันที่ 2 ค้นพบปัญหา (Problem ประสิทธภิ าพ รEะ1/สEิ ท2 เปน็ 81.36/76.86 Finding: P) ผสู้ อนกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นเสนอปญั หา หรอื 2. ป ธิ ผ ล ก า ร ใ ช ้ รู ป แ บ บ พบว่า ตงั้ คำ� ถามเพอ่ื นำ� ไปสกู่ ารสบื คน้ ขอ้ มลู ขน้ั ท่ี 3 คน้ ควา้ 2.1) นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ หาค�ำตอบ (Searching How to Solve Problems: หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ S) ผู้สอนแนะน�ำวิธีการออกแบบการวิจัย และให้ ท่ีระดับ .05 2.2) นักเรียนมีพัฒนาการด้านทักษะ 115
วารสารศลิ ปากรศกึ 2ษ.าศปาสรตะรส์วจิิทยั ธิผลการใชร้ ูปแบบ พบวา่ 2.1ก)ารนพกัฒั เนราียรูปนแมบีบทกกั ารษเระยี กนากรารแสกอนป้ วัญิทยหาศาาอสยตา่ร์โงดสยรใช้า้กงาสรวรจิ รัยเคปห์น็ ฐลานงั ปที ่ี 7 ฉเบรบัียทน่ี 1ส(ูงมกกรวาค่ามก่อ–นมิถเรนุ ียายนนอ2ย5า่5ง8)มีนยั สาํ คญั ทางสถิติที่ระดบั .05 2.2) นกั เรียนมีพรฒั จุ รินาพารกราารมดศิรา้ ิ-นมาทเรียกั มษนะลิ กพานั รธ์ุ กทาัง้ รใวนวพจิภิจยั้ืนายัแพฐแลารลนะวะทแมทลกั กัะษแแษละบกะะบกาจร�ำกาแแรากรแนป้เกกรญัีป้ยตนัญาหมราหู้คอ2ายว.อ3าา่ )ยมงน่าสสงกัราสา้เมรงรีายส้ารนงรถรสมพคีครสืน้์ รวงูฐคาขมา์สนน้ึคูงงขท้ึนนผดทข้ลา้นองักใงจานทิตรใกภัวชษิทา้รพะยปู กราแวาศบรมาบวสิแจต2ยัลรเ.ะฉ4์ใจพน)าํ าภนแะานกั กพเกลรรตุ่มยีวาทนมม่ีมทคีคุกแววกลาาละมมทมุ่สสุมกาามพีดมา้าาฤรรนตถถอกิ ยรรู่ในม และแพบ้ืนบฐกาานรสเรูงยี แนลระู้ ต2่าํ.3แ)ลนะักกเลรุ่มียทน่ีมมีแคี บวาบมกคางรทเรนียขนอรงู้แบบรระ่วดมับมมือากและแบบพ่ึงพา และนักเรียนทุกกลุ่มมี ทกั ษคะกวามรวคจิ งยัทเนฉขพอางะทกกัลษมุ่ ะทกม่ี าคี รวแากมป้ สัญามหารอถยพ่างน้ื สฐรา้านงสงูรรคใ์ นระยะตผิดู้วติจาัยมแผกล้ไกขาแรลใชะร้ปูปรแับบปบรุงร2ูป.4แ)บนบกัใหเร้สียนมบูรณ์ และตทำ�ุ่ก กแลุ่มะมกีพลมุ่ฤตทิกมี่ รแี รบมบดกา้ นารจเิตรยีวิทนยรแู้าศบาบสรตว่ รม์ใมนอืภาแพลระวม แขลน้ึ ะพทบุกวดา่ า้ นมอรี ายยใู่ นละรเะอดยี บั ดมขาอกงรปู แบบการเรยี นการสอน แบบพ่ึงพา แผลวู้ ะิจยนั แักกเไ้รขียแนลทะุกปกรลับุ่มปมรุงีครวูปาแมบคบงทใหน้สขมอบงูรณว์ขทิ้ึนยพาบศวา่าสมตีรา์โยดลยะใเชอก้ ียาดรขวอจิ งยั รเูปแ็นบฐบานกาดรงัเรแียผนนกภาารพ ทักษสะกอนารวแทิ กย้ปาศัญาหสตาอร์ยโด่างยสใชรก้้างาสรวริจรยัคเ์ปใน็นรฐะายนะดตงัิดแตผานมภาพ แผนแภผาพนภราูปพแรบปู บแกบาบรเกราียรนเรกยีารนสกอารนสวอิทนยวาศทิ ายสาตศรา์โสดตยรใ์โชดก้ ยาใรชวก้ ิจายั รเปวจิ็นยั ฐเาปนน็ เฐพาือ่นเสเพริมอื่ สเสรร้ามิงทสรกั า้ษงะทกกั าษระวกิจยาั รวจิ ยั ทกั ษะการแกป้ ทญั กั หษาะอกยา่ารงแสกรป้ า้ ัญงสหรารอคย์ า่แงลสะรจ้าติงสวริทรยคา์ศแาลสะตจิตรข์วิอทงยนาศกั าเสรียตนร์ขรอะดงนับกัมเัธรียนมรศะกึ ดษบั ามธั ยมศึกษา สขวมิจอีรคัยปุงุณรเแกสปปปู ภารลร็นแรุปาะะบวฐ1พสผอิจาบ.ิลท ดภนยักจธ้ิปเแาาปาิภลน.(รร็กนRจะเาาครผพอายฐPยีวกภลาผเSานพผนปิกลCมกลียราก(เSางกRราทารพยAาพPรสี่รยผอSัวฒอพลงตCจิMนตฒกนั่อัยSวาราoกAนรทิแงdาาวยเรลeแิจชานlะลยั)Mศิงาหํะาเไoหพานสปdปาบต้ือeใปรlวรชห)ะร์่โาจ้พาสดะดั สบยิทรกิแูปทใวธาชล่าแิธภรก้ ิบภะรเาารูพปาบมรียพแี นขบกอบเขรทวางกปูธิรอม่ีเรกกี่ีแสยีคงูปี่ยาบอุวณแรวบนeกเบภขชnทับบา้อมงิG่พีพรกีงกคaะัฒกดาวาuบรับา้ารนgนบเมนพราeคีเยขโโัหฒยดวนนึ้ (มาบยนกTมมาานาาrะเยกีรำ�eททสกสาผf่ียัรกมfาลองดiรษนกnตแจำ� gาะรวลเัดรนeงิททะกวเินrคย่ีชเิจา,คการริ�งำศศราอ2เเนราาึกบป0ะตส้ือษค0็หนาตหาล7มข์รขาุม-ขอ้์โผอ2แคน้ัดมล0งลวยตลู ผง0ะใาอพามมชู8้เนนน้ื ี้ร:ขวฐียิจอา1นนัยง) ประสติท้อธงิกภาาพรจเพําเียปง็ นพใอนตก่อากราเสรนริ�ำมไสปรใ้ชาง้จทัดักกษาระเกรียารนวิจัยวิเทคักราษะะหก์สาารรแะแกล้ปะัญมหาตารอฐยา่านงขสอรง้าหงลสักรสรูตคร์ กแาลระศึกษา การสจอิตนวิทมยีาคศวาาสมตเหร์มขอาะงสนมักเรแียลนะรคะรดอับบมคธั ลยุมมคศวึกาษมา ท้ขัง้ัน้ีอพาื้นจฐเนาน่ืองพมุาทจธาศกักรูรปาแชบบ2ท5่ีพ51ฒั นสาาขร้ึนะกมาีกราเรียนรู้ ตอ้ งการจำ� เปน็ ในการเสรมิ สรา้ งทกั ษะการวจิ ยั ทกั ษะ วิทยาศาสตร์ วิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยท่ี การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์ เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ทั้งน้ีอาจเน่ืองมาจาก อันเนื่องมาจากแนวคิด ทฤษฎีท่ีเป็นพ้ืนฐานของการ 116
วารสารศลิ ปากรศึกษาศาสตรว์ ิจยั การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใช้การวจิ ยั เปน็ ฐาน ปที ่ี 7 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2558) รจุ ริ าพร รามศริ -ิ มาเรียม นลิ พันธ์ุ จดั การเรยี นการสอน ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ในการ ประโยชนส์ สู่ งั คมและชมุ ชนทเ่ี กย่ี วขอ้ งไดจ้ รงิ ภายใต้ พัฒนารปู แบบ (Joyce และWeil, 1996: 13; ทิศนา การจดั การเรยี นการสอนทเี่ นน้ กระบวนการใหน้ กั เรยี น แขมมณ,ี 2545: 475) ทสี่ รปุ วา่ รปู แบบการเรยี นการ ค้นพบองค์ความรู้ในเน้ือหาสาระด้านฟิสิกส์ด้วย สอนเป็นแบบแผนการด�ำเนินการสอนที่ได้รับการจัด ตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพัชรา พุ่มชาติ อยา่ งเปน็ ระบบ สมั พนั ธส์ อดคลอ้ งกบั ทฤษฎี โดยรปู แบบ (2552) ท่ีพบว่าเด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจัด การเรยี นการสอนต้องมที ฤษฎีรองรบั นอกจากนย้ี งั มี ประสบการณ์ตามรูปแบบมีความสามารถในการ การศึกษาสภาพการจดั การเรียนการสอนของครู และ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์หลังการจัดประสบการณ์ พฤตกิ รรมการเรยี นของนกั เรยี น การวเิ คราะหผ์ เู้ รยี น สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยส�ำคัญทาง เกย่ี วกบั ความสามารถพนื้ ฐาน แบบการเรยี นรู้ พนื้ ฐาน สถติ ิที่ระดับ .05 สอดคลอ้ งกับมิณฑกาญจน์ บพุ ศริ ิ ของทักษะการวิจัย และทักษะการแก้ปัญหาอย่าง (2552) ท่ีพบว่า นักเรียนมีความสามารถในการ สรา้ งสรรค์ มกี ารวิเคราะห์งาน และภาระงานเพื่อนำ� แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เฉล่ียร้อยละ 82.86 ของ ไปเป็นแนวทางในการออกแบบการจัดการเรียน คะแนนเต็มซึ่งอยู่ในระดับสูงมาก สอดคล้องกับ การสอน อาพันธ์ชนิต เจนจิต (2546) ที่พบว่า นักเรียนท่ีมี 2. จากผลการประเมินประสิทธิผลของ ความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ที่เรียนด้วย รปู แบบการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั กิจกรรมการเรียนการสอนเรขาคณิตโดยการใช้การ เป็นฐาน มีผลการวจิ ยั ดังนี้ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ มีพฤติกรรมการคิด 2.1 โดยภาพรวม พบว่า หลงั เรยี นตาม แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์หลังเรียนอยู่ในระดับมาก รปู แบบการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั ทกุ ดา้ น นอกจากนยี้ งั สอดคลอ้ งกบั Ellison (1995) เป็นฐาน นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาอย่าง ที่พบว่า นักศึกษาที่ได้เรียนรู้การแก้ปัญหาเชิง สรา้ งสรรคส์ งู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ิ สร้างสรรค์ มีความคิดสร้างสรรค์สูงขึ้น โดยมี ท่ีระดับ .05 และพบว่านักเรียนท่ีมีความสามารถ พฒั นาการความคดิ สรา้ งสรรคด์ า้ นการคดิ คลอ่ งแคลว่ พน้ื ฐาน และแบบการเรยี นรตู้ ่างกันทุกกลมุ่ มีทกั ษะ สงู ทส่ี ดุ ทร่ี ะดบั นยั สำ� คญั .05 และสอดคลอ้ งกบั งาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ หลังเรียนสูงกว่าก่อน วจิ ยั ของ Schiever (1986) ท่ีพบว่า ผลการสอนการ เรยี นอย่างมีนยั สำ� คัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 ทงั้ นีอ้ าจ แก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ของ Parnes และยุทธวิธี เนื่องมาจากรูปแบบท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึนเป็นรูปแบบ การสอนการรคู้ ิดของ Hilda Taba แบบสอนทกุ วนั ที่ตอบสนองการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่าง ให้ผลมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมอย่าง สร้างสรรค์ของนักเรียน โดยกระบวนการของจัดการ มีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 จากผลการวิจัยที่ เรียนรทู้ ัง้ 6 ขน้ั ของรปู แบบ มีการใชส้ ถานการณ์ใน สอดคล้องกันดังกล่าว ครูสามารถพัฒนาทักษะการ ชีวิตประจ�ำวันท่ีตอบสนองความต้องการในการเรียน แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ให้กับนักเรียนได้ต้ังแต่ รู้ของนักเรียนอย่างต่อเน่ืองและหลากหลาย ระดับอนุบาล และควรพัฒนาอย่างต่อเน่ืองด้วย มีกิจกรรม และสื่ออุปกรณ์การสอนที่กระตุ้นให้ วธิ กี ารทห่ี ลากหลาย โดยเนน้ กระบวนการทต่ี อบสนอง ผเู้ รยี นไดร้ ว่ มกนั การคดิ แกป้ ญั หา และพจิ ารณาสาเหตุ ความต้องการในการเรยี นรู้ของนักเรยี นเป็นส�ำคัญ ของปัญหาท่ีแท้จริงพร้อมแนวทางการแก้ ไขอย่างมี 2.2 นักเรียนท่ีมีความสามารถพ้ืนฐาน จนิ ตนาการ มีการสร้างสรรคผ์ ลงาน และการน�ำไปใช้ และแบบการเรียนรู้ต่างกันท่ีเรียนตามรูปแบบ 117
วารสารศิลปากรศึกษาศาสตรว์ จิ ยั การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวิจัยเปน็ ฐาน ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2558) รุจริ าพร รามศริ ิ-มาเรยี ม นลิ พันธุ์ มพี ฒั นาการดา้ นทกั ษะการวิจยั สูงข้ึนในระยะระหวา่ ง ชว่ ยเหลือ และช้ีใหเ้ หน็ ถงึ ความสามารถของสมาชิก เรยี นถงึ ระยะหลงั เรยี น จากระดบั ปานกลางเปน็ ระดบั ทกุ คนในกลมุ่ ทำ� ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนเหน็ ความสำ� คญั มาก ทงั้ นอี้ าจเนอื่ งมาจากนกั เรยี นไดร้ บั คำ� แนะนำ� จาก ของตนเอง และเพื่อนๆ ในกลุ่มมากขึ้น จึงพบว่า ครู และเขา้ ใจในกระบวนการวจิ ยั มากขนึ้ ในลกั ษณะท่ี นักเรียนมีพัฒนาการสูงขึ้น และมีความคงทนด้าน มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างค�ำถามการวิจัย ทักษะการวิจัย ส�ำหรับนักเรียนที่มีความสามารถ วตั ถุประสงคก์ ารวิจัย สมมติฐานการวิจัย การก�ำหนด พนื้ ฐานปานกลาง และมแี บบการเรยี นรแู้ บบมสี ว่ นรว่ ม ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม วิธีการ พบวา่ มพี ฒั นาการดา้ นทกั ษะการวจิ ยั สงู ขน้ึ แตย่ งั ไมม่ ี เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การเลอื กเครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการเกบ็ ความคงทนของทักษะการวิจัยในระยะติดตามผลน้ัน รวบรวมขอ้ มลู ตลอดจนการวเิ คราะหข์ ้อมลู และการ อาจเปน็ เพราะนกั เรยี นพอทจ่ี ะเรยี นรแู้ ละปฏบิ ตั ไิ ด้ใน สรุปผลและอภิปรายผลการวิจยั นอกจากนย้ี ังพบวา่ ระหว่างการเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนโดยใช้การ รปู แบบทำ� ใหน้ กั เรยี นมคี วามคงทนของทกั ษะการวจิ ยั วจิ ยั เปน็ ฐาน แตห่ ลงั จากทคี่ รไู ม่ไดก้ ระตนุ้ ใหน้ กั เรยี น เฉพาะนักเรียนท่ีมีความสามารถพ้ืนฐานสูง และต่�ำ ท�ำกิจกรรมในระยะติดตามผลจึงท�ำให้นักเรียนมี และนกั เรยี นทม่ี แี บบการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื และแบบ ทักษะการวิจัยลดลงเล็กน้อย แสดงว่านักเรียนกลุ่ม พ่งึ พา ทงั้ นี้เนอื่ งมาจากนักเรียนทีม่ คี วามสามารถพ้นื ดงั กลา่ ว ตอ้ งการการใชร้ ปู แบบทตี่ อ่ เนอ่ื งอกี ระยะหนง่ึ ฐานสูงมีความพร้อมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และจัด เพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการมากข้ึน ระบบความคิดได้รวดเร็ว รวมท้ังมีพ้ืนฐานความรู้ใน ซงึ่ อาจทำ� ใหน้ กั เรยี นมคี วามคงทนของทกั ษะการวจิ ยั ได ้ ศาสตรท์ เี่ รียนซงึ่ มคี วามจ�ำเปน็ ตอ่ การใชก้ ระบวนการ 2.3 นักเรียนที่มีความสามารถพ้ืนฐาน คดิ ขน้ั สงู และสรปุ ความรจู้ ากการสบื คน้ ขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ ง และแบบการเรียนรู้ต่างกันท่ีเรียนตามรูปแบบ เขา้ ใจ นำ� ไปสู่การอภปิ รายผลการวจิ ัยไดอ้ ยา่ งสมเหตุ การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เปน็ ฐาน สมผล โดยครูมีบทบาทในการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด มีพัฒนาการด้านทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง สอดคลอ้ งกบั คำ� กลา่ วของลดั ดา ในระยะก่อนเรียน ถึงระยะระหว่างเรียนสูงขึ้นจาก ภู่เกียรติ (2552: 142) ที่ว่า กระบวนการเรียน ระดับน้อยเป็นระดับปานกลางทุกกลุ่ม ส่วนในระยะ การสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน ระหวา่ งเรยี น ถงึ ระยะตดิ ตามผลอยู่ในระดบั เดยี วกนั (Research–based Instruction) เปน็ การจดั การเรยี น คือระดับปานกลาง ทั้งนี้อาจเน่ืองมาจากในระยะ การสอนในรายวิชาเป็นหลัก และใช้การวิจัยเป็น กอ่ นเรยี น ถงึ ระยะระหวา่ งเรยี นตามรปู แบบการเรยี น กระบวนการเสริม ซึ่งครูยังคงมีบทบาทในการสอน การสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใช้การวจิ ัยเป็นฐาน ซึ่งเปน็ และการจัดกระบวนการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการ ระยะแรกของการใชร้ ปู แบบ นกั เรยี นสว่ นใหญม่ คี วาม เรยี นรู้ ในขณะทนี่ ักเรียนท่มี ีความสามารถพ้ืนฐานต�่ำ พร้อมในการเรียนรู้ส่ิงใหม่ๆ ประกอบกับครูใช้ มีความต้องการในการเรียนรู้ผ่านทางการร่วมปฏิบัติ เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการจัดการ กิจกรรมต่างๆ ท่ีไม่ใช่การน่ังฟังบรรยายจากครูเพียง เรียนรู้ เพอ่ื เร้าความสนใจ และกระตนุ้ ใหน้ กั เรียนมี อย่างเดียว ที่ส�ำคัญนักเรียนกลุ่มนี้ยังต้องการการ การเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองผ่านกิจกรรมท่ีหลากหลาย ยอมรบั และเป็นสว่ นหนึง่ ของการทำ� งานในกลมุ่ แต่ และยังใช้กระบวนการที่ไม่ซับซ้อนมากนักใน ยังไม่คอ่ ยกล้า เพราะกงั วลวา่ จะไมเ่ ป็นทยี่ อมรบั ของ ระยะแรกของการใช้รูปแบบ แต่ก็พบว่าครูต้องให้ เพ่ือนๆ ในกลุ่ม เม่ือครูได้เข้าไปร่วมให้ค�ำแนะน�ำ ความช่วยเหลือนักเรียนอย่างมากเน่ืองจากเป็น 118
วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตรว์ จิ ัย การพัฒนารูปแบบการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เปน็ ฐาน ปีท่ี 7 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มถิ ุนายน 2558) รจุ ริ าพร รามศริ -ิ มาเรียม นลิ พันธ์ุ ส่ิงใหม่ที่นักเรียนเรียนรู้ นักเรียนต้องมีความมุ่งมั่น พบว่า นักเรียนช่วงชั้นที่ 3 ที่เรียนแบบร่วมมือมี ต้งั ใจ และรบั ผดิ ชอบในการเรียนและการทำ� งานมาก คะแนนจิตวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ครูจึงต้องมีบทบาทในการให้ค�ำแนะน�ำ ช่วยเหลือ อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นอกจากน้ี อย่างใกล้ชิดและต่อเน่ืองเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ให้ รปู แบบการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั นกั เรยี นมกี ารแลกเปลยี่ นความรซู้ ง่ึ กนั และกนั ระหวา่ ง เปน็ ฐาน ยงั พฒั นามาจากแนวคดิ ของการจดั การเรยี น ครูกับนักเรียน และนักเรียนกับนักเรียน นอกจากนี้ รู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ ซ่ึงเป็นกระบวน ยงั พบวา่ นกั เรยี นมคี วามคงทนของทกั ษะการแกป้ ญั หา การที่เน้นและให้ความส�ำคัญของการเข้าถึงความ อย่างสร้างสรรค์ในระยะติดตามผลการใช้รูปแบบ เข้าใจที่มีมาก่อน (ประสบการณ์เดิม) รวมถึงการ อาจเนื่องมาจาก เม่ือนักเรียนได้เรียนรู้โดยการฝึก ถ่ายโยงการเรียนรู้ (Eisenkraft, 2003: 56-59) ปฏิบัติด้วยตนเองอย่างเข้าใจ ซ่ึงในการใช้รูปแบบ ซ่ึงหมายถึงการท่ีนักเรียนสามารถน�ำข้อค้นพบที่ได้ การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เปน็ ฐาน จากการวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชนส์ สู่ งั คมในกระบวนการของ จะเน้นการให้นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้จาก รปู แบบขน้ั ที่ 6 ประเมนิ ผล สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ การ การลงมือปฏิบัติทุกขั้นตอนของกระบวนการจัด ค้นควา้ ดว้ ยตนเอง (Independent Study : IS) ท่ีใช้ การเรียนรู้ของรูปแบบด้วยตนเอง โดยมีครูคอย ในโรงเรยี นมาตรฐานสากล และเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้วิจยั ช่วยเหลือ ให้ค�ำแนะน�ำ และติดตามการท�ำงาน ใช้ในกระบวนการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน อย่างต่อเนื่อง ซ่ึงจะท�ำให้นักเรียนมีความรู้และ คร้ังนี้ จากแนวคิดกล่าวเป็นผลท�ำให้นักเรียนเกิด ความสามารถเพยี งพอทจี่ ะทำ� ใหน้ กั เรยี นมคี วามคงทน กระบวนการเรียนร้อู ยา่ งเขา้ ใจ และน�ำขอ้ ค้นพบจาก ของทกั ษะการแก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ได้ การเรียนรู้ด้วยตนเองไปใช้ มีความภาคภูมิใจในผล 2.4 นักเรียนที่มีความสามารถพ้ืนฐาน งานของตนเองในฐานะเปน็ สว่ นหนง่ึ ของสมาชกิ กลมุ่ และแบบการเรียนรู้ต่างกัน หลังเรียนตามรูปแบบ ทรี่ ว่ มคดิ รว่ มสรา้ ง และรว่ มพฒั นางานวจิ ยั จนประสบ การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เปน็ ฐาน ผลส�ำเร็จ จึงพบว่าหลังการใช้รูปแบบการเรียนการ พบวา่ มจี ติ วทิ ยาศาสตรอ์ ยู่ในระดบั มากทกุ กลมุ่ ทง้ั น้ี สอนวิทยาศาสตร์โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน นักเรียนมี อาจเนื่องมาจากในการเรียนตามรูปแบบการเรียน จิตวิทยาศาสตรอ์ ยู่ในระดับมาก การสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เปน็ ฐาน มกี ารใช้ เทคนิคการร่วมมือกันเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งในการ ขอ้ เสนอแนะ พัฒนารูปแบบ จึงมีกิจกรรมการท�ำงานร่วมกันเป็น ข้อเสนอแนะเพ่อื น�ำผลการวจิ ัยไปใช้ กลุ่มทุกกิจกรรม โดยสมาชิกในกลุ่มมีการคละ 1. จากผลการวิจยั พบว่า นักเรียนทุกกลมุ่ ความรคู้ วามสามารถ และคละแบบการเรยี นรเู้ พยี งพอ ทมี่ คี วามสามารถพน้ื ฐานและแบบการเรยี นรตู้ า่ งกนั ท่ี ที่จะท�ำให้ผู้เรียนได้ใช้ศักยภาพของแต่ละคนคิดและ เรียนตามรูปแบบ มีพัฒนาการด้านทักษะการวิจัยสูง ทำ� งานร่วมกัน ทำ� ใหม้ ีปฏสิ มั พันธก์ ันระหวา่ งนกั เรียน ขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับมาก และพบว่ารูป แต่อาจมีการเปลี่ยนสมาชิกกลุ่มไปบ้างตาม แบบนที้ ำ� ใหน้ กั เรยี นทมี่ คี วามสามารถพน้ื ฐานสงู และ วัตถุประสงค์ในแต่ละกิจกรรม สอดคล้องกับนุชรีย์ ตำ�่ และนักเรยี นท่ีมีแบบการเรียนร้แู บบร่วมมอื และ แนวเฉลียว (2552) ท่ีวจิ ัยเรือ่ งผลของการเรยี นแบบ แบบพงึ่ พามคี วามคงทนของทกั ษะการวิจยั ดังนน้ั ใน รว่ มมอื ทม่ี ตี อ่ จติ วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นชว่ งชน้ั ที่ 3 การเสริมสร้างทักษะการวิจัยของนักเรียน ครูผู้สอน 119
วารสารศิลปากรศกึ ษาศาสตรว์ ิจยั การพัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ัยเปน็ ฐาน ปที ี่ 7 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2558) รจุ ริ าพร รามศริ -ิ มาเรยี ม นลิ พันธุ์ สามารถน�ำรูปแบบที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นนี้ไปใช้ ได้กับ ปฏิบัติงานได้ด้วยตนเองอย่างเข้าใจ และในระยะ นกั เรยี นทกุ กลมุ่ ทม่ี คี วามสามารถพน้ื ฐานและแบบการ ต่อไปครูผู้สอนควรออกแบบการจัดการเรียนรู้โดย เรยี นรตู้ า่ งกนั และควรนำ� ไปใช้โดยเฉพาะกบั นกั เรยี น ไม่ต้องค�ำนึงถึงความสามารถพื้นฐานและแบบการ กลมุ่ ทม่ี คี วามสามารถพนื้ ฐานสงู และตำ่� และนกั เรยี น เรียนรขู้ องนกั เรยี น ทม่ี ีแบบการเรียนรแู้ บบร่วมมอื และแบบพง่ึ พา 3. การน�ำรูปแบบการเรียนการสอน 2. จากผลการวิจัยพบว่า หลังเรียนตาม วิทยาศาสตร์โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน (RPSCSA รูปแบบนักเรียนทุกกลุ่ม และนักเรียนที่มีความ Model) ไปใช้ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ครผู สู้ อนควร สามารถพื้นฐาน และแบบการเรียนรูต้ า่ งกนั มีทักษะ ตอ้ งเตรยี มความพรอ้ มในเรอื่ งการวเิ คราะหค์ วามแตก การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนเรียน ต่างของนักเรียนในด้านความสามารถพ้ืนฐาน และ มีพัฒนาการด้านทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ แบบการเรียนรู้ เพื่อวางแผนการจัดกิจกรรมให้ สงู ขน้ึ จากระดบั นอ้ ยเปน็ ระดับปานกลาง และมคี วาม สอดคล้องกับลักษณะของผู้เรียน รวมทั้งต้องตรวจ คงทนของทกั ษะการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ในระยะ สอบความสามารถในการคิดเชิงระบบ และ ตดิ ตามผลการใชร้ ปู แบบ รวมทงั้ มจี ติ วทิ ยาศาสตรอ์ ยู่ คุณลักษณะด้านความรับผิดชอบ ความมีวินัย และ ในระดับมาก โดยเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ความมุ่งมั่นในการท�ำงานของนักเรียน นอกจากน้ีครู ทุกด้านมจี ติ วิทยาศาสตรอ์ ยู่ในระดบั มาก ยกเว้นดา้ น ควรเตรียมการเร่ือง การใช้สื่อการเรียนการสอนจาก ความสนใจใฝ่รู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับ ผลการวิจัยและกระบวนการวิจัย การเลือกใช้ ปานกลาง และพบวา่ นกั เรยี นมคี า่ เฉลย่ี ของพฤตกิ รรม สถานการณป์ ญั หาในชวี ติ ประจำ� วนั และการจดั สภาพ จิตวิทยาศาสตร์ด้านความใจกว้างมากที่สุด ดังน้ันครู แวดล้อมท่ีเอ้ืออ�ำนวยต่อการแสวงหาความรู้ของ ผู้สอนควรน�ำรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ นกั เรียน โดยใช้การวจิ ยั เปน็ ฐานที่ผ้วู จิ ยั พัฒนาขึ้นนี้ไปใช้ เพือ่ เสริมสร้างและพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่าง ข้อเสนอแนะเพ่อื การวิจัยครงั้ ต่อไป สรา้ งสรรค์ และจติ วิทยาศาสตร์ให้กบั นักเรียนทกุ คน 1. ควรมกี ารวจิ ยั เพอื่ พฒั นารปู แบบการเรยี น โดยไม่ต้องค�ำนึงถึงความสามารถพื้นฐาน และแบบ การสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพ่ือ การเรยี นรขู้ องนกั เรยี น ครคู วรจดั กจิ กรรมใหน้ กั เรยี น เสริมสร้างทักษะการวิจัย ทักษะการแก้ปัญหาอย่าง ทุกคนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ด้วยวิธีการอย่างหลากหลาย สรา้ งสรรค์ และจติ วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นทมี่ คี วาม และควรใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน แตกต่างกันในด้านอื่นๆ ได้แก่ ด้านความสนใจ กระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเร้าความสนใจ และ ด้านความถนัดทางการเรียน และด้านบุคลิกภาพ กระต้นุ ให้นกั เรยี นมีการเรยี นรู้อย่างต่อเน่ือง และครู นกั วทิ ยาศาสตร์ ควรใหค้ ำ� แนะนำ� ชว่ ยเหลอื นกั เรยี นอยา่ งใกลช้ ดิ และ 2. ควรมกี ารวจิ ยั เพอื่ พฒั นารปู แบบการเรยี น ต่อเนื่องในระยะแรกของการใช้รูปแบบการเรียนการ การสอนวิทยาศาสตร์ท่ีเน้นความแตกต่างระหว่าง สอนวิทยาศาสตร์โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน ได้แก่ บคุ คลโดยบรู ณาการแนวคดิ การเรยี นรู้โดยใชก้ ารวจิ ยั ข้นั ที่ 1 ตระหนกั ในปัญหา ข้นั ท่ี 2 ค้นพบปัญหา และ เปน็ ฐาน รว่ มกบั การเรยี นรู้โดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน และ ขน้ั ท่ี 3 คน้ ควา้ หาคำ� ตอบ เพื่อกระต้นุ ใหน้ กั เรียนมี การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ การแลกเปลย่ี นการเรยี นรซู้ งึ่ กนั และกนั และสามารถ 120
วารสารศิลปากรศกึ ษาศาสตร์วิจัย การพฒั นารูปแบบการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ัยเปน็ ฐาน ปที ี่ 7 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มิถุนายน 2558) รจุ ิราพร รามศริ ิ-มาเรียม นิลพันธุ์ 3. ควรมกี ารวจิ ยั เพอื่ พฒั นารปู แบบการเรยี น 5. ควรมีการวิจัยเก่ียวกับการพัฒนา การสอนโดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพ่ีอเสริมสร้างทักษะ หลักสูตรวิทยาศาสตร์ท่ีเน้นการจัดการเรียนการสอน การจัดการความรขู้ องนักเรยี นระดับมัธยมศึกษา โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน เพ่ือส่งเสริมทักษะ 4. ควรมีการวิจัยเก่ียวกับกระบวนทัศน์ใหม่ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะของผู้เรียน ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้การวิจัย ในศตวรรษท่ี 21 เป็นฐาน เพ่ือเสริมสร้างทักษะการวิจัย ทักษะการ แกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ และจติ วิทยาศาสตร์ เอกสารอ้างอิง ทิศนา แขมมณี. (2548). “การจัดการเรียนรู้โดยผู้เรียนใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้: หลักการแนวทาง และวิธีการ”. การเรียนการสอนโดยผู้เรียนใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึง ของกระบวนการเรยี นรู้. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พครุ สุ ภาลาดพรา ว. ทิศนา แขมมณ.ี (2553). ศาสตร์การสอน: องคค์ วามร้เู พ่ือการจัดกระบวนการเรยี นรู้ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ. พมิ พ์คร้งั ที่ 12. กรงุ เทพมหานคร: สำ� นกั พมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . นุชรีย์ แนวเฉลียว. (2552). ผลของการเรียนแบบร่วมมือทมี่ ีตอ่ จิตวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นช่วงชน้ั ที่ 3. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. พัชรา พุ่มชาติ. (2552). การพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ส�ำหรับ เด็กปฐมวัย. วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. มิณฑกาญจน์ บุพศิริ. (2552). ผลกรจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานวิทยาศาสตร์โดยสอดแทรก กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ส�ำหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5. ปริญญานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร. ลัดดา ภู่เกียรติ. (2552). การสอนแบบโครงงาน และการสอนแบบใช้วิจัยเป็นฐาน: งานที่ครูท�ำได้. กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ทั สาฮะแอนดซ์ นั พรนิ้ ติ้ง จ�ำกดั . วาชินี บญุ ญพาพงศ.์ (2552). การศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น เรอ่ื งพืชและสตั ว์ ทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 จากการจัด การเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้. ปริญญานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา หลกั สตู รและการสอน บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครราชสมี า. สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลย.ี (2548). เอกสารประกอบการเผยแพร ขยายผลและ อบรมรปู แบบการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู. กรุงเทพมหานคร. 121
วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตรว์ จิ ัย การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้การวจิ ัยเป็นฐาน ปีที่ 7 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2558) รุจิราพร รามศริ -ิ มาเรียม นลิ พันธ์ุ ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. (2555). ร่างแนวทางการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน มาตรฐานสากล (ฉบับปรับปรุง) ประกอบการประชมุ ช้ีแจงแนวทางการจดั การเรยี นการสอน ในโรงเรียนมาตรฐานสากลระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม-1 มิถุนายน 2555 ณ โรงเรียน ชลราษฎรอำ� รุง จ.ชลบุร.ี ส�ำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา, สำ� นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน. (2554). จากจุดเนน้ การพฒั นาผู้เรียน…สู่ช้ันเรียน การจดั การเรยี นรู้. พิมพค์ รงั้ ที่ 1. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ� กดั . อาพันธ์ชนิต เจนจิต. (2546). กจิ กรรมการเรียนการสอนเรขาคณิตโดยใช้การแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ส�ำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายท่ีมีความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาการศึกษาดษุ ฎีบณั ฑิต สาขาวชิ าคณติ ศาสตร์ บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัย ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. อ�ำรุง จันทวาณิช. (2548). “ปาฐกถาพิเศษ เร่ืองนโยบายส่งเสริมการจัดการเรียนการสอน โดยผู้เรียนใช้ การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้”. การเรียนการสอนโดยผู้เรียนใช้การวิจัยเป็น ส่วนหน่ึงของกระบวนการเรยี นรู.้ กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพครุ สุ ภาลาดพรา ว. Ellison, M.B. (1995). Creative Problem Solving Through Design Education : An Experimental Study. Canada: Mount Saint Vincent University. Gallagher, S.A., Stepien, W.J., Sher, B.T. and Workman, D. (1995). “Implementing Problem Based Learning in Science Classrooms”. School Science and Mathematics 95: 136-146. Joyce, B., Weil, M. and Calhoun, E. (1996). Model of Teaching. 5th ed. London: Ally n and Bacon. Treffinger, D. J. (2007-2008). “A New Renaissance? Preparing Productive Thinkers for Tomorrow’ s World.” Creative Learning Today 15(4): 1 Treffinger D. J. and Isaksen, S. G. (2008). “A New Renaissance? Preparing Productive Thinkers for Tomorrow’s World”. Creative Learning Today 15(4): 1. Schiever, S. W. (1986). The Effect of Two Teaching/Learning Model on the Higher Cognitive Processes of Students in Classes for the Gifted (Parnes CPS, TABA). Dissertation Abstracts International. Available: http://thailis.uni.net.th/dao/detail.nsp. 9/10/02. Skinner, B.F. (1953). Science and Human Behavior. New York: Macmillan. Tinzmann, M. B., Jones, B. F., Fennimore, T. F., Bakker, J., Fine, C. and Pierce, J. (1990). What is the collaborative classroom?. NCREL: Oak Brook. Weir, J.J. (1974). “Problem solving is every body’ problem.” The Science Teacher. 41: 16-18. 122
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบลิ ยูแอล เรื่อง สารในชีวติ ประจาวนั ท่ีมตี ่อผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบ้านนาเจริญ จงั หวดั ชัยภูมิ The Effects of 7E Inquiry Learning Management Together with the KWL Technique in the Topic of Substances in Daily Life on Science Learning Achievement and Basic Science Process Skills of Prathom Suksa VI Students at Ban Najaroen School in Chaiyaphum Province ส่องแสง อาราษฎร์1 สุจินต์ วิศวธีรานนท์2 ดวงเดือน พินสุวรรณ์3 Songsaeng Arras1 Suchin Visavateeranon2 Duongdearn Pinsuwan3 1นกั ศึกษาปริญญามหาบณั ฑิตสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช 2รองศาสตราจารย์ ดร. ประจาสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช 3ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ประจาสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช บทคดั ย่อ การวิจยั ในคร้ังน้ีมีวตั ถุประสงค์เพ่ือ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง สารในชีวิตประจาวนั ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ ระหวา่ งก่อนเรียน และหลงั เรียนดว้ ยการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยูแอล (2) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลงั เรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 (3) เปรียบเทียบทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานของนกั เรียนระหว่างก่อนเรียนและหลงั เรียน และ (4) เปรียบเทียบทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานของนกั เรียนหลงั เรียนกบั เกณฑร์ ้อยละ 70 กลุ่มตวั อยา่ ง คือ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 จานวน 12 คน เครื่องมือท่ีใชป้ ระกอบดว้ ย แผนการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ือง สารในชีวิตประจาวนั แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และแบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐาน สถิติที่ใช้ ไดแ้ ก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการ ทดสอบโดยใช้เครื่องหมาย ผลการวิจยั ปรากฏว่า (1) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง สารใน ชีวิตประจาวนั ของนกั เรียนท่ีเรียนดว้ ยการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 (2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของ นกั เรียนหลงั เรียนสูงกวา่ เกณฑร์ ้อยละ 70 (3) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อน เรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 และ (4) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนหลงั เรียนสูง กวา่ เกณฑร์ ้อยละ 70 คาสาคญั : สืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 208 | ปี ที่ 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ Abstract The purposes of this study were (1) to compare science learning achievements in the topic of Substances in Daily Life of Prathom Suksa VI students at Ban Najaroen School in Chaiyaphum Province before and after learning under the 7E inquiry learning management together with the KWL technique; (2) to compare science learning achievement of the students after learning against the 70 percent criterion; (3) to compare basic science process skills of the students before and after learning; and (4) to compare basic science process skills of the students after learning against the 70 percent criterion. The research sample consisted of 12 Prathom Suksa VI students. The instruments used were learning management plans for the 7E inquiry learning management together with the KWL technique in the topic of Substances in Daily Life, a science learning achievement test, and a basic science process skills test. Statistics employed for data analysis were the percentage, mean, and Sign Test. The research findings showed that (1) the post-learning science learning achievement in the topic of Substances in Daily Life of Prathom Suksa VI students at Ban Najaroen School, Chaiyaphum province, who learned under the 7E inquiry learning management together with the KWL technique was significantly higher than their pre- learning counterpart achievement at the .05 level; (2) the post-learning achievement of students was higher than the 70 percent criterion; (3) the post-learning basic science process skills of the students was significantly higher than their pre-learning counterpart skills at the .05 level; and (4) the post-learning basic science process skills of the students was higher than the 70 percent criterion. Keywords: 7E inquiry learning management, KWL technique, Science process skills ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญอย่างยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและโลกอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์ เก่ียวขอ้ งกบั ทุกคนท้งั ในชีวิตประจาวนั และการงานอาชีพต่างๆ ดงั จะเห็นไดจ้ ากเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใชแ้ ละ ผลผลิตต่างๆ ที่ใชเ้ พ่ืออานวยความสะดวกในชีวิตและการทางาน วิทยาศาสตร์ช่วยพฒั นาวิธีคิด พฒั นาทกั ษะสาคญั ในการคน้ ควา้ หาความรู้ ความสามารถในการแกป้ ัญหาไดอ้ ย่างเป็นระบบ การตดั สินใจโดยใชข้ อ้ มลู ที่หลากหลาย มีหลกั ฐานอา้ งอิงสามารถตรวจสอบได้ ดงั น้นั ทุกคนจึงจาเป็ นตอ้ งไดร้ ับการพฒั นาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพ่ือที่จะมี ความรู้ ความเขา้ ใจในส่ิงต่างๆ ท่ีกาลงั เปล่ียนแปลงไปท้งั ในธรรมชาติและท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน สามารถนาความรู้ไป ใชอ้ ยา่ งมีเหตุผล สร้างสรรคแ์ ละมีคุณธรรมเพ่ือใหอ้ ยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ งมีความสุข ในการจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์ หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ กาหนดใหก้ ลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นสาระการเรียนรู้หน่ึงของหลกั สูตร โดยมุ่งหวงั ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้ วิทยาศาสตร์ท่ีเนน้ การเช่ือมโยงความรู้กบั กระบวนการ มีทกั ษะสาคญั ในการคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้โดยใช้ ปี ที่ 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 209
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เรื่องสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และการแกป้ ัญหาท่ีหลากหลาย ใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกข้นั ตอน มีการทากิจกรรมดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดบั ช้นั (กรมวิชาการ, 2552) ซ่ึงจะเห็น ไดว้ ่า วตั ถุประสงคใ์ นการสอนวิทยาศาสตร์ นอกจากจะกาหนดใหน้ กั เรียนมีความรู้ความเขา้ ใจในเน้ือหาสาระแลว้ นกั เรียนจะตอ้ งมีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สามารถนาความรู้ความเขา้ ใจในวิทยาศาสตร์ไปใชใ้ นการ แกป้ ัญหาตลอดจนมีค่านิยมในการใชว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยอี ยา่ งสร้างสรรคแ์ ละมีจิตวิทยาศาสตร์ แต่อยา่ งไรกต็ ามในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนก็พบว่าปัญหาท่ีทาใหก้ ารเรียนการสอนไม่บรรลุ วตั ถุประสงค์ตามที่หวงั ไว้ โดยเฉพาะการสอนวิทยาศาสตร์ในระดบั ประถมศึกษาที่เป็ นโรงเรียนขนาดเล็ก ซ่ึงมี สาเหตุมาจากหลายประการ พอสรุปไดด้ งั น้ี ดา้ นตวั ครู ครูผูส้ อนจดั การเรียนรู้ไม่สอดคลอ้ งกบั กระบวนการเรียนรู้ของผเู้ รียน ขาดวิธีการสอนท่ี เหมาะสม ส่วนใหญ่สอนโดยม่งุ ถา่ ยทอดความรู้และเน้ือหาเพียงอย่างเดียว ใชว้ ิธีการบรรยายมากกวา่ ท่ีจะใหผ้ เู้ รียน มีส่วนร่วมในกิจกรรม ผเู้ รียนไม่ไดล้ งมือปฏิบตั ิจริง ครูผสู้ อนมีภาระงานมากไม่ไดเ้ ตรียมการสอน และที่สาคญั ครูผสู้ อนสอนไม่ตรงวิชาเอก ดา้ นตวั ผเู้ รียน ผเู้ รียนขาดความสนใจ มีความกระตือรือร้นนอ้ ย มองไม่เห็นความสมั พนั ธ์ของเน้ือหา กบั ชีวิตประจาวนั ขาดทกั ษะการคิด และทกั ษะกระบวนการกลมุ่ ดา้ นหลกั สูตร เน้ือหาสาระของหลกั สูตรบางเน้ือหามีความซับซ้อนยากแก่การเขา้ ใจ รวมถึงสื่อการ เรียนการสอนมีนอ้ ยและไมเ่ ร้าความสนใจของผเู้ รียน ดา้ นงบประมาณ งบประมาณมีน้อยไม่เพียงพอต่อการจดั หาส่ือ วสั ดุและอุปกรณ์การทดลอง ที่ นามาใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ สาหรับการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนของผูว้ ิจยั เองก็พบว่ายงั ไม่บรรลุ วตั ถุประสงคเ์ ท่าท่ีควร ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนอยใู่ นระดบั ไม่น่าพึงพอใจ พิจารณาได้ จากผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ของโรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชัยภูมิ และผลจากการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ (O-NET) ปี การศึกษา 2555, 2556 และ 2557 วิชา วทิ ยาศาสตร์ไดค้ ะแนนเฉล่ียต่ากวา่ ร้อยละ50 คือ มีค่าคะแนนเฉล่ีย 45.50, 38.14 และ 44.43 ตามลาดบั และในสาระ ที่ 3 สารและสมบตั ิของสาร ไดค้ ะแนนเฉล่ียต่าสุดเมื่อเทียบกบั สาระอื่น จากปัญหาท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยเห็นว่าเป็ นปัญหาสาคัญที่ต้องแก้ไขและพัฒนาผูเ้ รียนให้มี องค์ความรู้ ทกั ษะ และคุณลกั ษณะของผเู้ รียนท่ีพึงเกิดข้ึนตามเป้ าหมายของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ซ่ึง การแกไ้ ขปัญหาน้ี ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ หาวิธีสอนและเทคนิคท่ีเหมาะสมมาใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ จากการศึกษา พบวา่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั (7E) จะนาไปสู่การสร้างองคค์ วามรู้ทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ตามทฤษฎีสร้างสรรค์ความรู้ เป็ นกระบวนการที่นักเรียนต้องมีการสืบคน้ สารวจ ตรวจสอบและ คน้ ควา้ ดว้ ยวิธีต่างๆ จนกระทงั่ ไดค้ าตอบหรือความรู้ ซ่ึงจะสามารถสร้างเป็ นองคค์ วามรู้ของนกั เรียนเองได้ โดย Eisenkraft (2003) เป็ นผูใ้ ห้แนวคิดการจดั การเรียนรู้แบบ 7E มีเป้ าหมายเพ่ือกระตุน้ ให้เด็กไดม้ ีความสนใจและ 210 | ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ สนุกกบั การเรียน และยงั สามารถปรับประยกุ ตส์ ่ิงท่ีไดเ้ รียนรู้ไปสู่การสร้างประสบการณ์ของตนเอง จะเนน้ การถา่ ย โอนการเรียนรู้ ซ่ึงเป็ นส่ิงที่ครูละเลยไม่ได้ และการตรวจสอบความรู้พ้ืนฐานเดิมของเด็กจะทาให้ครูคน้ พบว่า ผเู้ รียนมีความรู้อะไรก่อนท่ีจะเรียนรู้ในเน้ือหาบทเรียนน้นั ๆ ซ่ึงจะช่วยใหเ้ ด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และจากการศึกษายงั พบวา่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนิคการเรียนรู้แบบ KWL มีข้นั ตอนท่ีสอดคลอ้ งและ นามาประยกุ ตใ์ ชร้ ่วมกนั กบั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7E ได้ ซ่ึงเทคนิคดงั กล่าวเป็นเทคนิค ท่ีพฒั นาโดย Ogle (1986) เป็ นแบบแผนการเรียนการสอนท่ีประกอบดว้ ย 3 ข้นั ตอน คือ ข้นั K เป็ นข้นั ตรวจสอบ ความรู้ที่นักเรียนมีอยู่แลว้ จากประสบการณ์เดิม ข้นั W เป็ นข้นั แสดงการอยากเรียนรู้อยากศึกษาในเร่ืองท่ีตนเอง สนใจหรืออยากรู้อะไรเพ่ิมเติมในหวั ขอ้ ที่ผสู้ อนกาหนด และข้นั L เป็นข้นั สะทอ้ นส่ิงท่ีผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้จากการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ การให้ผูเ้ รียนไดต้ รวจสอบส่ิงที่ไดเ้ รียนรู้กบั ส่ิงท่ีรู้มาแลว้ และส่ิงที่อยากรู้เพื่อแกไ้ ขในสิ่งท่ีรู้ คลาดเคลื่อนหรือเข้าใจผิด และเรี ยนรู้เพ่ิมเติมในส่ิงท่ียงั ไม่ได้เรียนรู้ จะช่วยให้ผู้เรียนเช่ือมโยงหรือเห็น ความสัมพนั ธ์ของแนวคิดต่างๆ เพ่ือเข้าใจเน้ือหาท่ีเรียนอย่างลึกซ้ึงและมีทักษะในการสืบเสาะหาความรู้ดว้ ย กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ผลการศึกษาวิจยั โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ของ สุกญั ญา นนทมาตย์ (2557, น. 104-107) และ พรพิมล คาแสน (2556, น. 87-91) ที่ไดศ้ ึกษา เรื่อง การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน กบั นักเรียนระดบั ช้ัน ประถมศึกษา พบว่า นกั เรียนที่เรียนโดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั มีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนหลงั เรียนและมีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน และณัฐพล หงส์คง (2556, น. 94-99) ไดศ้ ึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อการเรียน วิทยาศาสตร์ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ที่เรียนดว้ ยการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL และการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั พบวา่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท้งั สองแบบต่างส่งผลใหน้ กั เรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน และทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนสูงข้ึน Ebrahim (2004, อา้ งถึงใน วรรณภา เสรีรักษ์ , 2556, น. 30) ไดท้ าการศึกษาเพ่ือตรวจสอบผลกระทบของวิธีการสอนแบบปกติ และวิธีการสอนแบบสืบเสาะเป็นวฎั จกั ร การเรียนรู้ 7E ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาของนักเรียนประเทศ คเู วต ผลการวิจยั พบวา่ นกั เรียนท่ีเรียนดว้ ยวิธีการสอนแบบสืบเสาะเป็นวฎั จกั รการเรียนรู้ 7E มีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนและเจตคติสูงกว่านกั เรียนท่ีเรียนดว้ ยวิธีปกติอย่างมีนยั สาคญั และ Muzaffar Khan and Muhammad Zafar Iqbal (2011, pp. 169-178) ได้ศึกษาผลการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้กับวิธีการสอนแบบด้ังเดิม (Traditional Lab Method) ในวิชาชีววิทยา ระดบั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 เพ่ือศึกษาผลกระทบของวิธีการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ต่อทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรียน พบว่า ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของ นกั เรียนกลุ่มทดลองมีประสิทธิภาพสูงกว่านกั เรียนกลุ่มควบคุม และยงั พบว่าวิธีสอนการทดลอง (Lab) แบบสืบ เสาะหาความรู้ให้ประสิทธิผลต่อการพฒั นาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาชีววิทยาของนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 มากกวา่ การสอนทดลองแบบด้งั เดิม ปี ที่ 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 211
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ท่ีมตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ จากการศึกษาขอ้ มลู ขา้ งตน้ ทาใหผ้ วู้ จิ ยั สนใจท่ีจะนาการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั การจดั การเรียนรู้ท่ีใชเ้ ทคนิค KWL มาใชส้ อนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ใหน้ กั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนา เจริญ และศึกษาผลของการสอนท่ีมีต่อการพฒั นาเสริมสร้างผเู้ รียนในดา้ นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์และ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือนาผลวิจยั ที่ไดม้ าใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนและนาไปปรับปรุงการ จดั การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ใหม้ ีประสิทธิภาพต่อไป วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง สารในชีวิตประจาวนั ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ ระหวา่ งก่อนเรียนและหลงั เรียนดว้ ยการจดั การเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลงั เรียนดว้ ยการจดั การ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL กบั เกณฑร์ ้อยละ 70 3) เพ่ือเปรียบเทียบทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานของนกั เรียนระหวา่ งก่อน เรียนและหลงั เรียนดว้ ยการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL 4) เพื่อเปรียบเทียบทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานของนกั เรียนหลงั เรียนดว้ ย การจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL กบั เกณฑร์ ้อยละ 70 สมมตฐิ านการวจิ ยั 1) นกั เรียนท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน 2) นกั เรียนท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์หลงั เรียนสูงกวา่ เกณฑร์ ้อยละ 70 3) นักเรียนที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ร่วมกับเทคนิค KWL มีทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน 4) นักเรียนที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ร่วมกับเทคนิค KWL มีทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลงั เรียนสูงกวา่ เกณฑร์ ้อยละ 70 212 | ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เรื่องสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ กรอบแนวคดิ การวจิ ัย ในการวิจยั คร้ังน้ี ศึกษาผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL เร่ือง สารในชีวิตประจาวนั ที่มีต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของ นกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ไดก้ าหนดกรอบแนวคิดการวิจยั ดงั น้ี ตวั แปรอิสระ ตวั แปรตาม 1. การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั 1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์ ร่วมกบั เทคนคิ KWL 2. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พนื้ ฐาน - การสงั เกต ข้นั ที่ 1 ข้นั ตรวจสอบความรู้เดิม(Elicitation Phase) - การวดั ร่วมกบั ข้นั ตอน K ของเทคนิค KWL - การคานวณหรือการใชต้ วั เลข - การจาแนกประเภท ข้นั ที่ 2 ข้นั สร้างความสนใจ(Engagement Phase) - การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสเปสกบั สเปส ร่วมกบั ข้นั ตอน W ของเทคนิค KWL สเปสกบั เวลา ข้นั ท่ี 3 ข้นั สารวจและคน้ หา(Exploration Phase) - การจดั กระทาและสื่อความหมายขอ้ มลู ข้นั ที่ 4 ข้นั อธิบาย(Explanation Phase) - การลงความเห็นจากขอ้ มลู ข้นั ท่ี 5 ข้นั ขยายความรู้(Elaboration Phase) - การพยากรณ์ ข้นั ท่ี 6 ข้นั ประเมนิ ผล(Evaluation Phase) ร่วมกบั ข้นั ตอน L ของเทคนิค KWL ข้นั ท่ี 7 ข้นั นาความรู้ไปใช(้ Extension Phase) วธิ ีดาเนินการวจิ ยั 1. ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง 1.1 ประชากร ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ ตาบลหนองแวง อาเภอหนองบวั แดง จงั หวดั ชยั ภมู ิ 1.2 กล่มุ ตวั อย่าง ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2558 โรงเรียน บา้ นนาเจริญ ตาบลหนองแวง อาเภอหนองบวั แดง จงั หวดั ชยั ภมู ิ จานวน 12 คน ไดจ้ ากการสุ่มแบบกล่มุ 2. รูปแบบการวจิ ยั เป็นการวจิ ยั เชิงทดลอง ประเภทการวจิ ยั ก่อนการทดลอง แบบแผนวดั ก่อนและหลงั การทดลองกลุม่ เดียว(One-Group Pretest-Posttest Design) 3. เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั 3.1 เครื่องมอื ที่ใช้ในการทดลอง เครื่องมือท่ีใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ร่วมกับ เทคนิค KWL จานวน 10 แผน แผนละ 2 ชวั่ โมง ใชเ้ วลารวม 20 ชวั่ โมง ปี ท่ี 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 213
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เรื่องสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ท่ีมตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ 3.2 เครื่องมอื ท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ 1. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ แบบปรนัย 4 ตวั เลือก จานวน 35 ขอ้ มีค่า ความเที่ยง เท่ากบั 0.78 2. แบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบบปรนยั 4 ตวั เลือก จานวน 25 ขอ้ มีค่า ความเที่ยงเท่ากบั 0.85 4. การสร้างและหาคุณภาพของเคร่ืองมอื 4.1 เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการทดลอง เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการทดลอง คือ แผนการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL ซ่ึงผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการสร้างแผนการจดั การเรียนรู้ ดงั น้ี 4.1.1 ผวู้ ิจยั เลือกเน้ือหาบทที่ 4 เรื่อง สารในชีวิตประจาวนั มาใชใ้ นการศึกษามีท้งั หมด 10 แผน จานวน 20 ชวั่ โมง มีรายละเอียด ดงั น้ี แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 เรื่องสถานะของสาร จานวน 2 ชวั่ โมง แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2 เรื่องการเปลี่ยนสถานะของสาร จานวน 2 ชวั่ โมง แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 เร่ืองการละลาย จานวน 2 ชว่ั โมง แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4 เรื่องการเกิดสารใหม่ จานวน 2 ชว่ั โมง แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 5 เรื่องการแยกสารผสม(สารเน้ือเดียว) จานวน 2 ชว่ั โมง แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 6 เร่ืองการแยกสารผสม(สารเน้ือผสม) จานวน 2 ชว่ั โมง แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 7 เร่ืองสมบตั ิความเป็นกรด-เบส ของสาร จานวน 2 ชว่ั โมง แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 8 เรื่องการจาแนกสารท่ีใชใ้ นชีวติ ประจาวนั จานวน 2 ชวั่ โมง แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 9 เรื่องการเลือกใชส้ ารอยา่ งถกู ตอ้ งและปลอดภยั จานวน 2 ชว่ั โมง แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 10 เรื่องผลของการใชส้ ารต่อสิ่งมีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม จานวน 2 ชว่ั โมง 4.1.2 การเขียนแผนการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL เรื่อง สารในชีวติ ประจาวนั ตามกรอบแนวคิด บทบาทของผสู้ อน และพฤติกรรมของผเู้ รียนที่ไดก้ าหนดไว้ 4.1.3 นาแผนการจดั การเรียนรู้เสนอต่ออาจารยท์ ี่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เพื่อพิจารณาและตรวจสอบ แลว้ นาขอ้ เสนอแนะมาปรับปรุงในส่วนที่บกพร่อง 4.1.4 นาแผนการจดั การเรียนรู้ที่แกไ้ ขขอ้ บกพร่องและปรับปรุงตามขอ้ เสนอแนะของอาจารยท์ ่ี ปรึกษาแลว้ ให้ผเู้ ชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน ตรวจพิจารณาความถูกตอ้ งและความสอดคลอ้ งของเน้ือหา จุดประสงค์ การเรียนรู้ กระบวนการจดั การเรียนรู้ ส่ือและแหล่งเรียนรู้ การวดั และประเมินผล โดยใชแ้ บบประเมินความคิดเห็น ตามระดบั คุณภาพ 5 ระดบั ดงั น้ี 5 หมายถึง เหมาะสมมากท่ีสุด 214 | ปี ที่ 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ 4 หมายถึง เหมาะสมมาก 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 2 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย 1 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ยมาก 4.1.5 ปรับปรุงแกไ้ ขแผนการจดั การเรียนรู้ตามขอ้ เสนอแนะของผูเ้ ชี่ยวชาญ และนาผลการ ประเมินแผนการจดั การเรียนรู้ของผเู้ ชี่ยวชาญมาหาค่าเฉล่ียเทียบกบั เกณฑ์ ซ่ึงเป็นคะแนนท่ีคานวณจากแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า 5 อนั ดบั และพิจารณาระดบั คุณภาพของแผนการจดั การเรียนรู้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553) ดงั น้ี ค่าเฉล่ีย 4.51-5.00 หมายถึง มีคุณภาพดีมาก ค่าเฉล่ีย 3.51-4.50 หมายถึง มีคุณภาพดี ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง มีคุณภาพพอใช้ ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง มีคุณภาพค่อนขา้ งต่า ค่าเฉล่ีย 1.00-1.50 หมายถึง มีคุณภาพต่ามากหรือควรปรับปรุง กาหนดคะแนนความคิดเห็นของผเู้ ชี่ยวชาญโดยค่าเฉลี่ยของระดบั คุณภาพที่ยอมรับได้ ตอ้ งมีค่าต้งั แต่ 3.51 ข้ึนไป ซ่ึงผลการประเมินปรากฏว่า แผนการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL มีค่าความเหมาะสมเฉลี่ยเท่ากบั 4.90 หมายถึง มีคุณภาพอยใู่ นระดบั ดีมาก 4.1.6 จดั พิมพแ์ ผนการจดั การเรียนรู้ฉบบั สมบรู ณ์เพ่ือนาไปใชจ้ ริงกบั กลุ่มตวั อยา่ งของการวจิ ยั ท่ี กาหนดไว้ ตวั อย่างแผนการจดั การเรียนรู้ แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 เร่ือง สารในชีวติ ประจาวนั จานวน 20 ชวั่ โมง แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง การเปล่ียนสถานะของสาร จานวน 2 ชวั่ โมง มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลาย การเกิดปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งท่ีเรียนรู้ และนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตวั ชีว้ ดั ว 3.2 ป.6/1 ทดลองและอธิบายสมบตั ิของสารเมื่อสารเกิดการละลายและเปลี่ยนสถานะ 1. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกความหมายของการหลอมเหลว การระเหย การแขง็ ตวั การควบแน่น และการระเหิดได้ (K) 2. อธิบายการเปลี่ยนสถานะและสมบตั ิของสารเม่ือไดร้ ับความร้อนหรือสูญเสียความร้อนได้ (K) ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 215
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ 3. ทดลองเก่ียวกบั การเปลี่ยนสถานะของสารได้ (P) 4. เป็นคนช่างสงั เกต ช่างคิดช่างสงสยั และมีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาความรู้ (A) 2. สาระสาคัญ สารต่างๆ รอบตวั เราจะดารงอยใู่ นสถานะใดสถานะหน่ึง ซ่ึงอาจอยใู่ นสถานะของแขง็ ของเหลว หรือ แกส๊ สารบางชนิดเมื่อทาใหร้ ้อนข้ึนหรือเยน็ ลงจะเปล่ียนจากสถานะหน่ึงไปเป็นอีกสถานะหน่ึงได้ 3. สาระการเรียนรู้ การเปล่ียนสถานะของสาร 4. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทใี่ ช้ 1. ทกั ษะการสงั เกต 2. ทกั ษะการหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสเปสกบั สเปส และสเปสกบั เวลา 3. ทกั ษะการจดั กระทาและสื่อความหมายขอ้ มลู 4. ทกั ษะการลงความเห็นขอ้ มูล 5. ทกั ษะการพยากรณ์ 5. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ข้นั ที่ 1 ข้ันตรวจสอบความรู้เดมิ (Elicitation Phase) ร่วมกบั ข้นั ตอน K ของ เทคนิค KWL 1. ทบทวนความรู้เรื่องสมบัติของสารในสถานะต่างๆ ซ่ึงนักเรียนควรระบุไดว้ ่า สารที่เป็ นของแข็ง ของเหลว และแก๊ส มีมวลและตอ้ งการที่อยู่ ของแขง็ มีรูปร่างและปริมาตรคงท่ีไม่เปล่ียนแปลงตามภาชนะที่บรรจุ ของเหลวมีปริมาตรคงที่แต่รูปร่างเปล่ียนแปลงไปตามภาชนะที่บรรจุ ของเหลวเป็นของไหล ส่วนแกส๊ มีรูปร่างและ ปริมาตรไม่คงท่ีฟ้ งุ กระจายเตม็ ภาชนะที่บรรจุ และเป็นของไหล 2. ครูต้งั คาถามใหน้ กั เรียนช่วยกนั ตอบว่า สารในแต่ละสถานะสามารถเปลี่ยนไปเป็ นอีกสถานะหน่ึงได้ หรือไม่ เพื่อเชื่อมโยงเขา้ สู่ประเดน็ การเปลี่ยนสถานะของสาร 3. ใหน้ กั เรียนเขียนสิ่งท่ีตนเองรู้แลว้ เก่ียวกบั การเปล่ียนสถานะของสารโดยนกั เรียนแต่ละคนบนั ทึกคาตอบ ของตนเองลงในใบสารวจความรู้ของฉัน ในช่องรู้อะไรบ้างเก่ียวกบั การเปลี่ยนสถานะของสาร จากน้ันร่วมกนั อภิปรายและสรุปเป็นความรู้ของกลมุ่ แต่ละกลุ่มเขียนตารางสารวจความรู้ของตวั เองลงในกระดาษปรู๊ฟ แลว้ นาไปติดไวท้ ี่ผนงั หอ้ งเรียน 4. ครูพิจารณาวา่ นกั เรียนรู้อะไรมาบา้ งแลว้ จะเพิ่มเติมส่วนไหนบา้ ง ข้ันที่ 2 ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement Phase) ร่วมกบั ข้นั ตอน W ของ เทคนคิ KWL 1. ครูต้งั บีกเกอร์ท่ีใส่น้าแขง็ บนโต๊ะ แลว้ ถามนกั เรียนวา่ - ถา้ ต้งั น้าแขง็ ทิ้งไวส้ ักครู่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อยา่ งไร - เม่ือนาน้าซ่ึงเป็นของเหลวไปตม้ ต่อไปจะเกิดการเปล่ียนแปลงอยา่ งไร 2. ครูถามคาถามเพ่ือกระตุน้ ความคิดของนกั เรียน ดงั น้ี 216 | ปี ท่ี 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เรื่องสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ - นักเรียนอยากรู้อะไรเพ่ิมเติมเก่ียวกบั เรื่องการเปลี่ยนสถานะของสาร โดยนักเรียนแต่ละคนบนั ทึก คาตอบของตนเองลงในใบสารวจความรู้ของฉนั 3. ให้นักเรียนสรุปรวมกนั ภายในกลุ่ม แลว้ ไปเขียนลงในกระดาษปรู๊ฟท่ีติดไวผ้ นังห้องเรียน ถา้ หากว่า นกั เรียนไม่รู้วา่ ตอ้ งการรู้อะไรอีกบา้ งในเรื่องน้ี ครูอาจจะต้งั คาถามเพ่ือกระตุน้ ความคิดนกั เรียนวา่ - ทาใหน้ ้าแขง็ เปล่ียนเป็นน้าหรือไอน้าไดอ้ ยา่ งไร - เม่ือสารเปลี่ยนสถานะไปแลว้ จะสามารถกลบั มาเป็นสถานะเดิมไดห้ รือไม่ อยา่ งไร 4. ครูพิจารณาเรื่องท่ีนกั เรียนตอ้ งการรู้ หากวา่ มีกลุ่มท่ีอยากรู้เก่ียวกบั การเพิ่มหรือลดอุณหภูมิมีผลต่อการ เปลี่ยนสถานะอยา่ งไร หรือมวลของสารก่อนและหลงั การเปลี่ยนสถานะเปล่ียนแปลงหรือไม่ อยา่ งไรบา้ ง ครูกน็ าขอ้ สงสยั เหล่าน้ีมาใหน้ กั เรียนคาดคะเนคาตอบโดยใชค้ าถาม ดงั น้ี - ถา้ นาน้าแขง็ ใส่แกว้ แลว้ ปิ ดฝาใหแ้ น่นต้งั ไว้ จากน้นั นาไปต้งั ไฟ คิดวา่ มีอะไรเกิดข้ึนบา้ ง - มวลของน้าแขง็ ก่อนเปลี่ยนสถานะกบั มวลของน้าแขง็ หลงั เปลี่ยนเป็นไอน้าจนหมดเป็นอย่างไร - ถา้ ต้งั แกว้ ดงั กลา่ วทิ้งไวใ้ หเ้ ยน็ คิดวา่ จะเกิดอะไรข้ึน - และถา้ นาแกว้ ใบน้ีไปแช่ในช่องแช่แขง็ ของตูเ้ ยน็ คิดวา่ จะมีการเปล่ียนแปลงหรือไม่ อยา่ งไร ถา้ หากไม่มีกลุ่มใดอยากรู้ประเดน็ ดงั กล่าวหลงั จากท่ีพิจารณาเรื่องท่ีนกั เรียนตอ้ งการรู้แลว้ ครูนาอภิปรายว่า ส่ิงท่ีทุกกลุ่มตอ้ งการรู้ลว้ นเป็นสิ่งที่น่าสนใจท้งั สิ้น แต่ในการทาความเขา้ ใจเร่ืองการเปล่ียนสถานะของสารเพื่อตอบ คาถามเรื่องท่ีนกั เรียนสงสยั น้นั ตอ้ งทาความเขา้ ใจก่อนว่าสารเปล่ียนสถานะหน่ึงเป็นอีกสถานะหน่ึงไดอ้ ยา่ งไร แลว้ ใหน้ กั เรียนคาดคะเนคาตอบ แลว้ ถามต่อวา่ ถา้ ตอ้ งการตรวจสอบสิ่งที่คาดคะเนไวถ้ กู ตอ้ งหรือไม่จะทาอยา่ งไร ข้นั ที่ 3 ข้นั สารวจและค้นหา (Exploration Phase) 1. ใหต้ วั แทนกลุ่มออกมารับใบกิจกรรมที่ 1 สารเปลี่ยนสถานะไดอ้ ยา่ งไร นกั เรียนอ่านใบกิจกรรม 2. ครูแนะนาเก่ียวกบั ความปลอดภยั ของการทดลองวา่ ควรใชน้ ้าแขง็ กอ้ นเลก็ เพราะถา้ ใชก้ อ้ นใหญเ่ กินไป เมื่อน้าแขง็ เปลี่ยนสถานะเป็นแก๊สจะมีแรงดนั ของแกส๊ มากเกินไปอาจทาใหข้ วดรูปชมพ่แู ตกและเกิดอนั ตรายได้ 3. นกั เรียนทาการทดลองตามข้นั ตอนในใบกิจกรรม ข้ันท่ี 4 ข้นั อธิบาย (Explanation Phase) 1. ใหต้ วั แทนแต่ละกล่มุ นาเสนอผลการทากิจกรรมหนา้ ช้นั เรียน 2. ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายตามประเดน็ คาถามในใบบนั ทึกกิจกรรม ดงั น้ี - น้าแขง็ มีการเปล่ียนแปลงอยา่ งไรบา้ งเม่ือต้งั ทิ้งไว้ 5 นาที แลว้ นาไปต้งั ไฟ - น้าแขง็ มีการเปล่ียนสถานะอยา่ งไรบา้ ง โดยเขียนอธิบายเป็นแผนภาพ - ถา้ จะทาใหไ้ อน้ากลบั เป็นน้าแขง็ จะทาไดอ้ ยา่ งไร - ปัจจยั ท่ีทาใหน้ ้าแขง็ เกิดการเปลี่ยนแปลงคืออะไร ปี ที่ 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 217
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เรื่องสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ 3. ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายจนไดข้ อ้ สรุปว่า “น้าแข็งสามารถเปลี่ยนสถานะหน่ึงเป็ นอีกสถานะ หน่ึงได้ การเปล่ียนแปลงน้ีเรียกว่า การเปลี่ยนสถานะ และเมื่อสารเปล่ียนสถานะแลว้ สามารถกลบั สู่สถานะเดิมได้ เมื่อมีการเพ่ิมหรือลดอณุ หภมู ิ” ข้ันที่ 5 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration Phase) 1. ครูนาอภิปรายเพิ่มเติม โดยต้งั คาถามวา่ - มวลท่ีชง่ั ไดท้ ้งั 3 คร้ังเท่ากนั หรือไม่ เพราะเหตุใด - ถา้ ไม่ปิ ดปากขวดรูปชมพใู่ หแ้ น่นจะเกิดอะไรข้ึน - สารที่อยใู่ นขวดรูปชมพ่เู ป็นสารชนิดเดิมหรือไม่ เพราะเหตุใด 2. ครูใหค้ วามรู้เพ่ิมเติมกบั นกั เรียนวา่ เม่ือสารเกิดการเปล่ียนสถานะในภาชนะปิ ดมวลของสารก่อนและหลงั เปลี่ยนสถานะมีค่าเท่าเดิม และสารที่เกิดการเปลี่ยนสถานะยงั เป็นสารเดิมเพราะยงั แสดงสมบตั ิเหมือนเดิม ดงั น้นั การ เปล่ียนสถานะของสารจึงเป็ นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ 3. ใหน้ กั เรียนยกตวั อยา่ งการเปล่ียนสถานะของสารท่ีพบในชีวติ ประจาวนั 4. ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายเกี่ยวกบั การเปล่ียนสถานะของสารที่เป็นของแขง็ ของเหลว และแก๊ส ซ่ึง จะมีลกั ษณะแตกต่างกนั จนไดข้ อ้ สรุปดงั น้ี การหลอมเหลว คือ การเปล่ียนสถานะของสารจากของแขง็ ไปเป็นของเหลว การกลายเป็นไอ คือ การเปล่ียนสถานะของสารจากของเหลวไปเป็นแก๊ส การระเหย คือ การเปลี่ยนสถานะของสารจากของเหลวไปเป็นแก๊ส โดยเกิดข้ึนเฉพาะบริเวณ ผวิ หนา้ ของของเหลว การเดือด คือ การเปล่ียนสถานะของสารจากของเหลวไปเป็นแกส๊ โดยเกิดข้ึนพร้อมกนั ทุกส่วน ในของเหลว การระเหิด คือ การเปลี่ยนสถานะของสารจากของแขง็ ไปเป็นแก๊ส การควบแน่น คือ การเปล่ียนสถานะของสารจากแก๊สไปเป็นของเหลว การแขง็ ตวั คือ การเปล่ียนสถานะของสารจากของเหลวไปเป็นของแขง็ ข้ันที่ 6 ข้ันประเมนิ ผล (Evaluation Phase) ร่วมกบั ข้นั ตอน L ของ เทคนิค KWL 1. ใหน้ กั เรียนแต่ละคนเขียนส่ิงที่ตนไดเ้ รียนรู้เกี่ยวกบั เรื่องการเปล่ียนสถานะของสารลงในใบสารวจ ความรู้ของฉนั และสรุปเป็นความรู้ของกลุ่มแลว้ ไปเขียนบนั ทึกส่ิงท่ีเรียนรู้ลงในช่อง “ ฉนั เรียนรู้อะไรบา้ ง เก่ียวกบั การเปลี่ยนสถานะของสาร ” ในกระดาษปรู๊ฟท่ีติดไวท้ ี่ผนงั หอ้ ง 2.ใหน้ กั เรียนสรุปความรู้ดว้ ยตนเองเป็นแผนผงั ความคิดเกี่ยวกบั การเปล่ียนสถานะของสาร จดั ทาเป็นชิ้นงาน 218 | ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ท่ีมตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ ข้ันท่ี 7 ข้ันนาความรู้ไปใช้ (Extension Phase) นกั เรียนสามารถนาความรู้เร่ืองการเปล่ียนสถานะของสารไปประยกุ ตใ์ ชแ้ ละอธิบายปรากฏการณ์ใน ชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เช่น การตากผา้ ผา้ แหง้ เพราะน้าเปลี่ยนสถานะเป็นไอน้า การทาไอศรีม การทา หวานเยน็ การหล่อเทียนพรรษา เป็นตน้ 6. ส่ือและแหล่งเรียนรู้ 1. ใบกิจกรรมและใบบนั ทึกกิจกรรม 2. กระดาษปรู๊ฟและปากกาเคมี 3. วสั ดุอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการทดลอง ไดแ้ ก่ ขวดรูปชมพู่ ถุงพลาสติก ยางรัดของ น้าแขง็ เคร่ืองชง่ั มวล ตะเกียงแอลกอฮอล์ ที่ก้นั ลมพร้อมตะแกรงลวด 7. การวดั และการประเมนิ ผล วธิ ีการวดั เคร่ืองมือวดั เกณฑก์ ารวดั ประเมินผล 1. ตรวจแผนผงั ความคิด แบบประเมนิ ผลงาน 2. สงั เกตพฤติกรรมนกั เรียน แบบสงั เกตพฤติกรรม ผา่ นเกณฑต์ ามระดบั คุณภาพ ระหวา่ งปฏิบตั ิกิจกรรม (4 3 2 1) ในระดบั ดีข้ึนไป 3. ประเมนิ การปฏิบตั ิกิจกรรม แบบประเมนิ การปฏิบตั ิกิจกรรมการ การทดลอง ทดลอง ตวั อย่างการตอบคาถามของนักเรียน ฉนั รู้อะไรบา้ งเก่ียวกบั ฉนั ตอ้ งการรู้อะไรอีกบา้ งเกี่ยวกบั ฉนั เรียนรู้อะไรบา้ งเก่ียวกบั การเปลี่ยนสถานะของสาร (K) การเปล่ียนสถานะของสาร (W) การเปลี่ยนสถานะของสาร (L) 1. รู้วา่ สารมี 3 สถานะคือของแขง็ 1. อยากรู้วา่ สารเปล่ียนสถานะอยา่ งไร 1. รู้วา่ สารสามารถเปลี่ยนสถานะจาก ของเหลว และแก๊ส 2. รู้วา่ น้าแขง็ กลายเป็ นน้าได้ 2. อยากรู้วา่ การเปล่ียนสถานะของสารมี สถานะหน่ึงไปเป็นสถานะหน่ึงและ 3. รู้วา่ เมื่อเอาเกลือหรือน้าตาลใส่ใน น้าแลว้ มนั หายไป กี่แบบ กลบั มาเป็ นสถานะเดิมได้ 4. เวลาตม้ น้าแลว้ มีไอน้าข้ึนมาจาก หมอ้ 3. การเปลี่ยนสถานะของสารคืออะไร 2. ไดร้ ู้วา่ น้าแขง็ เปลี่ยนไปเป็ นน้า 4. อยากรู้วา่ สารอะไรบา้ งท่ีเปลี่ยน เรียกวา่ การหลอมเหลว สถานะได้ 3. รู้วา่ ความร้อนทาใหส้ ารเปลี่ยน 5. อะไรท่ีทาใหส้ ารเปลี่ยนสถานะ สถานะได้ ฯลฯ 4. ไดร้ ู้วา่ การตากผา้ ใหแ้ หง้ เป็ นการ เปลี่ยนสถานะของสาร ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 219
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ 4.2 เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วิทยาศาสตร์และแบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐาน 4.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ มีข้นั ตอนในการสร้างและตรวจสอบ คุณภาพของแบบทดสอบดงั น้ี 1) ศึกษาค้นควา้ เก่ียวกับการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิจากหนังสือ คู่มือวัด ประเมินผลวทิ ยาศาสตร์ ตารา เอกสาร และงานวิจยั ต่างๆ ที่เกี่ยวกบั ลกั ษณะของแบบทดสอบ ความตรงเชิงเน้ือหา ค่าความยากง่าย อานาจจาแนก และค่าความเท่ียงของแบบทดสอบ 2) วิเคราะห์เน้ือหา มาตรฐาน ตัวช้ีวดั และจุดประสงค์การเรียนรู้เพ่ือเป็ นแนวทาง ในการสร้างตารางวเิ คราะหข์ อ้ สอบ 3) สร้างตารางวเิ คราะห์ขอ้ สอบ 4) สร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่องสารในชีวิตประจาวนั จานวน 60 ขอ้ ใหค้ รอบคลมุ เน้ือหาเรื่อง สารในชีวิตประจาวนั ตามตารางวเิ คราะหข์ อ้ สอบ 5) นาแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึนเสนอต่ออาจารยท์ ่ีปรึกษาตรวจสอบความถูกตอ้ งของเน้ือหา และความเหมาะสมกบั ระดบั พฤติกรรมของการออกขอ้ สอบ แลว้ ปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่องตามคาแนะนาและ ขอ้ เสนอแนะ 6) นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ท่ีแกไ้ ขปรับปรุงแลว้ เสนอ ผูเ้ ช่ียวชาญจานวน 5 ท่าน ตรวจสอบเพื่อวิเคราะห์ความตรงเชิงเน้ือหา ความสอดคล้องของข้อคาถามกับ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้หรือค่า IOC สาหรับงานวจิ ยั คร้ังน้ีค่า IOC มีค่าต้งั แต่ 0.60 ถึง 1.00 7) ปรับปรุงแบบทดสอบขอ้ ท่ีมีค่า IOC ต่ากวา่ 0.60 ที่อยใู่ นเกณฑป์ รับปรุง จากน้นั เสนอ อาจารยท์ ี่ปรึกษาอีกคร้ังหน่ึงเพื่อตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความชดั เจนของแบบทดสอบแลว้ นามาปรับปรุงแกไ้ ข ตามคาแนะนาและขอ้ เสนอแนะ 8) นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ที่ปรับปรุงแกไ้ ขแลว้ จานวน 53 ขอ้ ไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนบา้ นหนองปลอ้ ง อาเภอหนองบวั แดง จงั หวดั ชยั ภูมิ จานวน 50 คน 9) ตรวจให้คะแนนและวิเคราะห์คุณภาพขอ้ สอบรายขอ้ โดยหาค่าความยาก (p) และ ค่าอานาจจาแนก (r) เพ่ือคัดเลือกขอ้ สอบให้เหลือจานวน 35 ขอ้ สาหรับนาไปใช้จริง ซ่ึงคัดเลือกขอ้ สอบที่มี ค่าความยาก (p) ต้งั แต่ 0.32 – 0.75 และค่าอานาจจาแนก(r) ต้งั แต่ 0.21- 0.86 10) นาแบบทดสอบจานวน 35 ข้อ ไปทดลองใช้กับนักเรี ยนช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนหนองบวั แดงวิทยา อาเภอหนองบวั แดง จงั หวดั ชยั ภูมิ จานวน 40 คน เพื่อวิเคราะห์หาความเท่ียงของ แบบทดสอบท้งั ฉบบั โดยใชส้ ูตร KR-20 ของ Kuder Richardson ซ่ึงไดเ้ ท่ากบั 0.78 220 | ปี ท่ี 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ 11) จดั พิมพแ์ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์ฉบบั สมบูรณ์ จานวน 35 ขอ้ เพื่อนาไปทดลองจริงกบั กล่มุ ตวั อยา่ งต่อไป 4.2.2 แบบทดสอบวัดทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพน้ื ฐาน มีข้นั ตอนในการสร้างและ ตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบดงั น้ี 1) ศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานจากหนงั สือ ค่มู ือ วดั ประเมินผลวิทยาศาสตร์ ตารา เอกสาร และงานวจิ ยั ต่างๆ 2) วเิ คราะหเ์ น้ือหา มาตรฐาน ตวั ช้ีวดั และจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วิเคราะห์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานที่สอดคลอ้ ง ซ่ึงมี 8 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ ทกั ษะการสงั เกต ทกั ษะการ จาแนก ทกั ษะการคานวณ ทกั ษะการวดั ทกั ษะความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสเปสกบั สเปส สเปสกบั เวลา ทกั ษะการลง ความเห็นขอ้ มูล ทกั ษะการจดั กระทาและสื่อความหมายขอ้ มลู ทกั ษะการพยากรณ์ 3) สร้างตารางวิเคราะหข์ อ้ สอบทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐาน 8 ทกั ษะ 4) สร้างแบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐาน จานวน 50 ขอ้ ใหค้ รอบคลุมทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ตอ้ งการทดสอบตามตารางวเิ คราะห์ขอ้ สอบ 5) นาแบบทดสอบที่สร้างข้ึนเสนอต่ออาจารยท์ ี่ปรึกษาตรวจสอบความถกู ตอ้ งของ แบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ แลว้ ปรับปรุงขอ้ บกพร่องตามคาแนะนาและขอ้ เสนอแนะ 6) นาแบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่แกไ้ ขปรับปรุงแลว้ เสนอ ผเู้ ช่ียวชาญจานวน 5 ท่าน ตรวจสอบเพ่ือวิเคราะห์ความตรงเชิงเน้ือหา ความสอดคลอ้ งของขอ้ คาถามกบั ทกั ษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีตอ้ งการวดั หรือค่า IOC สาหรับงานวิจยั คร้ังน้ีค่า IOC มีค่าต้งั แต่ 0.60 ถึง 1.00 7) ปรับปรุงแบบทดสอบขอ้ ท่ีมีค่า IOC ต่ากวา่ 0.60 ที่อยใู่ นเกณฑป์ รับปรุง จากน้นั เสนอ อาจารยท์ ่ีปรึกษาอีกคร้ังหน่ึงเพ่ือตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความชดั เจนของแบบทดสอบแลว้ นามาปรับปรุงแกไ้ ข ตามคาแนะนาและขอ้ เสนอแนะ 8) นาแบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีปรับปรุงแกไ้ ขแลว้ จานวน 49 ขอ้ ไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนบา้ นหนองปลอ้ ง อาเภอหนองบวั แดง จงั หวดั ชยั ภมู ิ จานวน 50 คน 9) ตรวจใหค้ ะแนนและวิเคราะห์คุณภาพขอ้ สอบรายขอ้ โดยหาค่าความยาก และค่าอานาจ จาแนก เพื่อคดั เลือกขอ้ สอบใหเ้ หลือจานวน 25 ขอ้ สาหรับนาไปใชจ้ ริง ซ่ึงคดั เลือกขอ้ สอบที่มีค่าความยาก ต้งั แต่ 0.43 – 0.79 และค่าอานาจจาแนกต้งั แต่ 0.21-0.86 10) นาแบบทดสอบจานวน 25 ขอ้ ไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนหนองบวั แดงวทิ ยา อาเภอหนองบวั แดง จงั หวดั ชยั ภูมิ จานวน 40 คน เพ่ือหาวิเคราะหห์ าความเท่ียงของ แบบทดสอบท้งั ฉบบั โดยใชส้ ูตร KR-20 ของ Kuder Richardson ซ่ึงไดเ้ ท่ากบั 0.85 ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 221
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ 11) จดั พิมพแ์ บบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ฉบบั สมบูรณ์ จานวน 25 ขอ้ เพื่อนาไปทดลองจริงกบั กลุ่มตวั อยา่ งต่อไป 5. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผวู้ ิจยั ดาเนินการเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยตนเองในภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2558 ดงั น้ี 5.1 ก่อนดาเนินการสอนตามแผนการจดั การเรียนรู้ ผวู้ ิจยั ไดช้ ้ีแจงใหน้ กั เรียนเขา้ ใจเก่ียวกบั ข้นั ตอน วิธีการเรียนการสอนโดยใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL พร้อมท้งั แจง้ วตั ถปุ ระสงคแ์ ละเงื่อนไขในการเรียนใหก้ บั นกั เรียนไดร้ ับทราบ 5.2 ใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนเรียน และทาแบบทดสอบ วดั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานก่อนเรียน 5.3 ดาเนินการสอนตามแผนการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL เรื่อง สารในชีวติ ประจาวนั จานวน 10 แผน เวลา 20 ชว่ั โมง 5.4 หลังจากดาเนินการสอนทุกแผนแลว้ นักเรียนทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วทิ ยาศาสตร์หลงั เรียน และทาแบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานหลงั เรียน 6. การวเิ คราะห์ข้อมูล ผวู้ ิจยั วเิ คราะห์ขอ้ มลู หลงั จากที่เกบ็ รวมรวมขอ้ มลู แลว้ โดยดาเนินการดงั น้ี 6.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนกบั หลงั เรียน โดยใช้การ ทดสอบโดยใชเ้ ครื่องหมาย (Sign Test) 6.2 เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนกบั เกณฑร์ ้อยละ 70 โดยใชค้ ่าเฉลี่ย และร้อยละ 6.3 เปรียบเทียบทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานของนกั เรียนระหวา่ งก่อนเรียนกบั หลงั เรียน โดยใชก้ ารทดสอบโดยใชเ้ ครื่องหมาย (Sign Test) 6.4 เปรียบเทียบทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานของนกั เรียนกบั เกณฑร์ ้อยละ 70 โดย ใชค้ ่าเฉลี่ย และร้อยละ ผลการวจิ ัย จากผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลนักเรียนที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกับ เทคนิค KWL เร่ืองสารในชีวิตประจาวนั ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 พบวา่ 1) นกั เรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์เฉลี่ยหลงั เรียนสูงข้ึนจากก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 และเม่ือเทียบคะแนนเฉล่ียหลงั เรียนกบั เกณฑร์ ้อยละ 70 พบวา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของ นกั เรียนหลงั จากไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่า เกณฑ์ คือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ย 25.83 คิดเป็ นร้อยละ 73.81 เป็ นไปตามสมมติฐาน ท่ีต้งั ไว้ 222 | ปี ท่ี 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ 2) นกั เรียนมีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลงั เรียนสูงข้ึนจากก่อนเรียน อย่างมีนยั สาคญั ทาง สถิติที่ระดับ .05 และเม่ือเทียบคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ของนกั เรียนหลงั จากไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL มี คะแนนเฉล่ียสูงกวา่ เกณฑ์ คือ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีคะแนนเฉล่ีย 17.92 คิดเป็ นร้อยละ 71.67 ซ่ึง เป็นไปตามสมมติฐานที่ต้งั ไว้ อภิปรายผล จากผลการวจิ ยั สามารถอภิปรายผลไดด้ งั น้ี 2.1 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ผลการวิจยั ปรากฏว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL เร่ือง สารในชีวิตประจาวนั สูงข้ึนจากก่อนเรียน และเม่ือเทียบ คะแนนเฉลี่ยหลงั เรียนกบั เกณฑร์ ้อยละ 70 พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์สูงกว่าเกณฑท์ ่ีกาหนดไว้ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐานท่ีต้งั ไว้ ท้งั น้ีเพราะการจดั กิจกรรมแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL เป็นการจดั การเรียนรู้ท่ีเนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั และเนน้ การถ่ายโอนการเรียนรู้ และใหค้ วามสาคญั กบั การตรวจสอบ ความรู้เดิมของนกั เรียน เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนแสดงความคิดอยา่ งอิสระตามความสนใจ แสดงความคิดเห็นร่วมกนั ปรึกษาหารือ มีกระบวนการที่ส่งเสริมให้นักเรียนคน้ หาคาตอบและคน้ พบองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง เป็ นไปตาม แนวคิดของชูแมนท่ีใหค้ วามสาคญั กบั กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ที่มุ่งให้ผเู้ รียนมีโอกาสพฒั นาความคิดของ ตนเองอย่างเป็ นอิสระ แลว้ แสวงหาคาตอบโดยใชร้ ะเบียบวิธีการศึกษาคน้ ควา้ และเก็บรวบรวมขอ้ มูลอย่างเป็ น ข้นั ตอนตามลาดบั และผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนสูงข้ึน เป็นผลจากกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละ ข้นั ตอนของการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL ที่ประกอบดว้ ย ข้นั ตรวจสอบความรู้เดิมร่วมกบั ข้นั ตอน K ครูกระตุน้ ใหน้ กั เรียนแสดงความรู้เดิมออกมาโดยใชก้ าร สนทนาซักถาม ต้งั คาถามให้ตอบและการทาแบบทดสอบย่อยก่อนเรียน จากน้ันให้นักเรียนเขียนสิ่งท่ีรู้แล้ว (K) เพ่ือจะได้รู้ว่านักเรียนมีความรู้มากน้อยเพียงใดต้องเติมเต็มส่วนใดบ้างเพื่อวางแผนการจดั การเรียนรู้ได้ เหมาะสม ข้นั สร้างความสนใจร่วมกบั ข้นั ตอน W เป็นการนาเขา้ สู่เน้ือหาที่จะเรียนโดยใชว้ ิธีการและสื่อต่างๆ ที่ เก่ียวขอ้ งกบั เร่ืองน้นั ๆ เช่น ใชภ้ าพ ของจริง การสาธิตการทดลอง การต้งั คาถามกระตุน้ ใหน้ กั เรียนคิด ยกตวั อย่าง ข่าวที่น่าสนใจใหน้ กั เรียนร่วมกนั ตอบร่วมกนั อภิปราย แลว้ เช่ือมโยงไปสู่เรื่องท่ีจะเรียนใหไ้ ด้ จากน้นั ให้นกั เรียน เขียนส่ิงท่ีอยากรู้(W) เพ่ิมเติม จะช่วยใหค้ รูจดั การเรียนที่ตอบสนองความตอ้ งการความสนใจของผเู้ รียน ข้นั สารวจและคน้ หา นกั เรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิเพื่อเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเพ่ือหาคาตอบโดยทากิจกรรมการ ทดลอง ทาใบงาน สืบคน้ ขอ้ มลู จากใบความรู้ หนงั สือ แหลง่ ความรู้หอ้ งสมุด อินเตอร์เนต็ พร้อมท้งั บนั ทึกผลที่ได้ ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 223
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เรื่องสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ ข้นั อธิบาย นกั เรียนวิเคราะห์ขอ้ มลู ที่ไดแ้ ละออกมานาเสนอ นกั เรียนไดแ้ ลกเปล่ียนเรียนรู้ อภิปรายผล และสรุปผลร่วมกนั ครูอธิบายและใหค้ วามรู้เพื่อให้นกั เรียนเขา้ ใจตรงกนั ในข้นั น้ีนกั เรียนจะไดอ้ งคค์ วามรู้ใหม่ และเกิดการเรียนรู้ ข้นั ขยายความรู้ นกั เรียนไดศ้ ึกษาความรู้เพิ่มเติมที่เกี่ยวขอ้ งกบั เรื่องท่ีเรียนจากใบความรู้ สื่อเอกสาร ต่างๆ และทากิจกรรมทดลองเพิ่มเติม อภิปรายประเด็นท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ความรู้เดิมเพ่ือขยายกรอบแนวคิดใหก้ วา้ งข้ึน และเขียนแผนผงั สรุปเร่ืองที่เรียน ข้ันประเมินผลร่วมกับข้ันตอน L เป็ นการประเมินการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยวิธีการต่างๆ ว่ารู้ อะไรบา้ ง อย่างไรและมากนอ้ ยเพียงใด ให้นกั เรียนไดต้ รวจสอบความรู้ของตนเองและมีโอกาสตรวจสอบซ่ึงกนั และกนั เช่น ให้พูดแสดงลาดบั ข้นั ตอนของการแสวงหาความรู้ในเร่ืองท่ีเรียนในชั่วโมง การให้ทาแบบฝึ กหัด แบบทดสอบ จดั ทาชิ้นงานของตนเอง และการเขียนสิ่งท่ีนักเรียนได้เรียนรู้(L) ของตนเองแล้วสรุปร่วมกัน ครูสามารถตรวจสอบความรู้ของนกั เรียนได้ นกั เรียนสามารถตรวจสอบความรู้ของตนเองได้ ข้นั นาความรู้ไปใช้ ครูผูส้ อนกระตุน้ ให้นักเรียนนาส่ิงท่ีไดเ้ รียนรู้ไปปรับใช้ เช่น การทาโครงงาน การนาความรู้ไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ซ่ึงในแต่ละข้นั ตอนทาใหน้ กั เรียนมีความกระตือรือร้นและสนุกสนานในการ ไดป้ ฏิบตั ิกิจกรรมต่างๆ โดยนักเรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิจริง และไดช้ ่วยเหลือกนั ในการทางานร่วมกนั เป็ นกลุ่ม ได้ ตรวจสอบความรู้ของตนเองและของผอู้ ื่น มีการสรุปความรู้ร่วมกนั เป็นการสร้างองคค์ วามรู้ใหม่ นกั เรียนเกิดการ เรียนรู้ ทาใหม้ ีความเขา้ ใจในเน้ือหา ตลอดจนสามารถนาความรู้ท่ีไดจ้ ากการคน้ พบไปใชเ้ ม่ือเผชิญกบั สถานการณ์ ใหม่ได้ ซ่ึงเป็นกิจกรรมท่ีสอดคลอ้ งกบั แนวคิดการสร้างสรรคค์ วามรู้นิยมหรือคอนสตรักติวิสต์ (Constructivism) ท่ีเนน้ ใหผ้ เู้ รียนสร้างความเขา้ ใจและแกป้ ัญหาไดด้ ว้ ยตนเองโดยอาศยั ประสบการณ์เดิมเชื่อมโยงกบั ประสบการณ์ ใหม่ เพื่อคน้ หาความจริง ความขดั แยง้ ทางความคิดและความอยากรู้อยากเห็น เป็ นกลไกสาคญั ในการกระตุน้ ให้ ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้และผเู้ รียนจะเป็นผสู้ ร้างความรู้ใหม่โดยอาศยั การเชื่อมต่อระหวา่ งการเรียนรู้และประสบการณ์ เดิมกบั การเรียนรู้ใหม่ที่อาศยั การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กบั บุคคลอ่ืน และยงั เนน้ พฒั นาการทางสติปัญญาของ เพียเจต์ นอกจากน้ีการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ดงั กล่าวเนน้ ใหน้ กั เรียนไดใ้ ชก้ ระบวนการกลุ่มในการทางานร่วมมือกนั จนทา ใหง้ านสาเร็จ ไดแ้ ลกเปล่ียนความคิดเห็นระหวา่ งกนั โดยมีครูคอยใหก้ ารสนบั สนุนช่วยเหลือจนในท่ีสุดไดข้ อ้ สรุป ของเน้ือหา ทาให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้อย่างเขา้ ใจไดด้ ีมากข้ึน นอกจากน้ี การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ผ่านโมเดล KWLว่าเป็ นการเตรียมความพร้อมและส่งเสริมผเู้ รียนในเร่ืองการเรียนรู้เป็ นรายบุคคลรวมท้งั ส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดชีวิต ประโยชน์ที่ผูเ้ รียนจะไดร้ ับ เช่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการสร้างกระบวนการสร้างองค์ความรู้ ดว้ ยตนเอง เป็ นการกระตุน้ ความใฝ่ รู้ในสิ่งท่ีผเู้ รียนสนใจจริงๆ กระตุน้ ใหค้ น้ ควา้ หาคาตอบในเรื่องที่ตนเองสนใจ (ทิศนา แขมมณี, 2545) จากเหตุผลตามที่กล่าวขา้ งตน้ จึงส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนเพ่ิมสูงข้ึน จากก่อนเรียนและสูงกวา่ เกณฑท์ ี่กาหนด ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ผลงานวจิ ยั ของ สุกญั ญา นนทมาตย์ (2557, น. 104-107) และ พรพิมล คาแสน (2556, น. 87-91) ที่ไดศ้ ึกษาการพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและทกั ษะกระบวนการทาง 224 | ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เรื่องสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ท่ีมตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ วิทยาศาสตร์ โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั พบว่า นกั เรียนที่เรียนโดยใชก้ ระบวนการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนและสูงกว่าเกณฑ์ อย่างมี นยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ สิทธิพล ใจเยน็ (2550) สุวคนธ์ ผา่ นสาแดง (2552) ณัฐฐ์ธมล สอโส (2553) ในส่วนท่ีมีการนากิจกรรมการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั มาใชใ้ นการจดั การเรียนการ สอนในระดบั ประถมศึกษาแลว้ ปรากฏวา่ ทาใหผ้ ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนเพ่ิมสูงข้ึนจากก่อนเรียน และ สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ รุ่งระวี ศิริบุญนาม (2551) ณัฐพล หงส์คง (2556) และนรินทร์ เคหาบาล (2553) ที่ได้ ศึกษาเปรียบเทียบผลของการสอนโดยใช้ 7E และ การสอนโดยใชเ้ ทคนิค KWL ซ่ึงพบว่าการสอนท้งั สองวิธีทา ใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนเพ่ิมสูงข้ึน การวิจยั คร้ังน้ีไดน้ าการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้แบบ 7 ข้นั กบั การจดั การเรียนรู้ท่ีใช้ เทคนิค KWL มาใชร้ ่วมกนั ซ่ึงเทคนิค KWL น้ีจะช่วยกระตุน้ กระบวนการคิดของนกั เรียนผา่ นการเขียนเปิ ดโอกาส ให้นกั เรียนไดแ้ สดงความคิดในสิ่งที่ตนเองมีความรู้และส่ิงท่ีตอ้ งการรู้เพิ่มเติม และที่สาคญั ในข้นั ตอน L นกั เรียน ไดต้ รวจสอบส่ิงที่ไดเ้ รียนรู้กบั สิ่งท่ีรู้มาแลว้ และส่ิงท่ีอยากจะรู้ เพื่อแกไ้ ขส่ิงที่รู้คลาดเคล่ือนและความเขา้ ใจผิด และเรียนรู้เพ่ิมเติมในสิ่งที่ยงั ไมไ่ ดเ้ รียนรู้ ทาใหน้ กั เรียนมีความรู้ความเขา้ ใจในเน้ือหาชดั เจนและถกู ตอ้ งมากข้ึน ซ่ึง ส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์สูงข้ึน 2.2 ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ผลการวิจยั ปรากฏวา่ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL สูงข้ึนจากก่อนเรียน และเมื่อเทียบคะแนนเฉลี่ยหลงั เรียนกบั เกณฑ์ ร้อยละ 70 พบวา่ คะแนนทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลงั เรียนสูงกว่าเกณฑท์ ่ีกาหนดไว้ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐานที่ต้ังไว้ ท้ังน้ีเป็ นเพราะการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ร่วมกับเทคนิค KWL มี กระบวนการที่ส่งเสริมให้นกั เรียนคิดสืบเสาะหาความรู้ดว้ ยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์คน้ หาคาตอบและสร้าง องคค์ วามรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง นกั เรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิจริง วิธีการและข้นั ตอนที่ใชห้ าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต้งั แต่ข้นั ตรวจสอบความรู้เดิมร่วมกบั ข้นั ตอน K จนกระทงั่ ข้นั นาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั เป็นการกระตุน้ ให้ ผเู้ รียนไดม้ ีส่วนร่วมในการทากิจกรรมอยา่ งทว่ั ถึง ใชค้ าถามใหค้ ิด รู้จกั ต้งั คาถามและเกิดปัญหาที่ทาใหอ้ ยากเรียนรู้ กระตือรือร้นในการทางานโดยใช้กระบวนการกลุ่ม ร่วมกันปรึกษาหารือ อภิปรายและแสดงความคิดเห็น แลกเปล่ียนเรียนรู้ระหวา่ งกนั เพื่อขยายความรู้ของตนให้กวา้ งข้ึน ช่วยกนั ทางาน ไดใ้ ชท้ กั ษะกระบวนการต่างๆใน การคน้ หาความรู้และสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง จากกิจกรรมต่างๆ ที่ผสู้ อนดาเนินการตามแผนการจดั การเรียนรู้ ซ่ึงในแต่ละข้นั ตอนของกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้แบบ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL มีข้นั ตอนดงั น้ี ข้นั ตรวจสอบความรู้เดิมร่วมกบั ข้นั ตอน K เป็นการใชค้ าถามกระตุน้ ใหน้ กั เรียนไดแ้ สดงความรู้เดิมที่ ตนมีอย่อู อกมาโดยใหน้ กั เรียนไดต้ อบคาถามหรือแสดงความคิดเห็น ซ่ึงเป็นสิ่งที่ครูละเลยไม่ไดเ้ พราะครูจะไดร้ ู้ว่า นกั เรียนมีความรู้มากนอ้ ยเพียงใดจะตอ้ งเติมเตม็ ส่วนไหนบา้ งใหก้ บั นกั เรียน ปี ท่ี 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 225
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เร่ืองสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ที่มตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภูมิ ข้นั สร้างความสนใจร่วมกบั ข้นั ตอน W ครูผสู้ อนจะกระตุน้ ใหน้ กั เรียนสนใจมีความกระตือรือร้นท่ีจะ เรียน ไดแ้ สดงความคิด ไดฝ้ ึ กต้งั คาถามที่ไมม่ ีคาตอบท่ีถกู หรือผิดในส่ิงที่ตนสนใจอยากรู้ นกั เรียนไดร้ ่วมกนั ระดม ความคิด ร่วมกนั จดั หมวดหมขู่ องขอ้ มลู ไดใ้ ชท้ กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสงั เกต การพยากรณ์ ใน สิ่งที่ผสู้ อนเตรียมเพ่ือสร้างความสนใจของนกั เรียน ข้นั สารวจและคน้ หา จะไดใ้ ชท้ กั ษะกระบวนทางวิทยาศาสตร์ในการคน้ หาคาตอบจากกิจกรรมต่างๆ ดว้ ยตนเองโดยใชก้ ระบวนการกลุ่ม นกั เรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิจริงจากกิจกรรมและสถานการณ์ท่ีหลากหลาย ท้งั ท่ี เป็ นการปฏิบตั ิกิจกรรมการทดลอง การสืบคน้ ขอ้ มูลจากสื่อและแหล่งเรียนรู้ เช่น ใบกิจกรรม ใบความรู้ หนงั สือ เอกสารต่างๆ ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต หรือส่ือวีดีทศั น์ เป็ นตน้ นกั เรียนไดส้ ังเกต ไดใ้ ชก้ ารคานวณ การวดั การ จาแนก มองเห็นความสัมพนั ธ์ของสเปสกบั เวลา รู้จกั การลงความเห็นขอ้ มูลและบนั ทึกขอ้ มูลเพื่อเตรียมนาเสนอ ขอ้ มูลในรูปแบบต่างๆ รู้จกั การแกป้ ัญหาที่เกิดข้ึนหากแนวทางในการหาคาตอบไม่ถูกตอ้ ง รู้จกั คาดคะเนคาตอบ จากขอ้ มลู ต่างๆ ที่มีอยู่ ข้นั อธิบาย หลงั จากท่ีนกั เรียนไดแ้ สวงหาคาตอบมีขอ้ มูลต่างๆ จากการคน้ พบแลว้ นักเรียนไดม้ ีการ นาเสนอขอ้ มูลดงั กล่าวและมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั ร่วมกนั อภิปราย จนไดข้ อ้ สรุปท่ีถูกตอ้ งตรง ประเดน็ ข้นั ขยายความรู้ ในข้นั ตอนน้ีผสู้ อนอาจจดั กิจกรรมใหน้ กั เรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิเพ่ือเสริมความรู้ในเร่ือง เดียวกนั เป็นการขยายความรู้ในเร่ืองน้นั ๆ หรือศึกษาคน้ ควา้ เพ่ิมเติมจากใบความรู้ หรือผสู้ อนอธิบายเพิ่มเติมหรือต้งั ประเดน็ ปัญหาใหน้ กั เรียนไดอ้ ภิปรายและหาขอ้ สรุปร่วมกนั ข้นั ประเมินผลร่วมกบั ข้นั ตอน L เป็นการประเมินดว้ ยกระบวนการต่างๆ วา่ นกั เรียนไดร้ ับความรู้มาก นอ้ ยเพียงใด อยา่ งไร ซ่ึงประเมินผลโดยใหน้ กั เรียนทาแบบฝึ กหดั แบบทดสอบ ตอบคาถาม สรุปความรู้ในรูปแบบ ผงั ความคิด และประเมินโดยให้นักเรียนเขียนสิ่งที่นักเรียนไดเ้ รียนรู้เพ่ือตรวจสอบการเรียนรู้ของตนเองและ ตรวจสอบการเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั เพื่อแกไ้ ขส่ิงที่รู้คลาดเคล่ือนหรือเขา้ ใจผิด และตรวจสอบส่ิงท่ียงั ไม่ไดเ้ รียนรู้ซ่ึง นาไปสู่การแสวงหาความรู้ดว้ ยกระบวนการต่างๆ เพ่ือใหไ้ ดร้ ับคาตอบในสิ่งที่ตนเองตอ้ งการรู้ ข้นั นาความรู้ไปใช้ เป็นการนาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ใหม่ได้ ซ่ึงครูไดใ้ ชค้ าถามกระตุน้ ให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นเพ่ือนาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวนั นักเรียนไดใ้ ช้ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการเชื่อมโยงเน้ือหาสาระไปสู่การแกป้ ัญหา จากกิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว นักเรียนไดล้ งมือปฏิบัติและฝึ กฝนการคิดอย่างเป็ นระบบโดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทาใหเ้ กิดการพฒั นาทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ได้ (ภพ เลาหไพบูลย,์ 2542, น. 14) สาหรับการวิจยั คร้ังน้ีไดน้ าการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั กบั การจดั การ เรียนรู้ท่ีใชเ้ ทคนิค KWL มาใชร้ ่วมกนั โดยนาข้นั ตอน K ส่ิงท่ีนกั เรียนมีความรู้อย่แู ลว้ มาไวร้ ่วมกบั ข้นั ตรวจสอบ ความรู้เดิม นาข้นั ตอน W ส่ิงที่นักเรียนตอ้ งการรู้ในเรื่องท่ีตนสนใจมาไวร้ ่วมกบั ข้นั สร้างความสนใจ และนา 226 | ปี ที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560
ผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคเคดบั เบิลยแู อล เรื่องสารใน วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. ชีวติ ประจาวนั ท่ีมตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นนาเจริญ จงั หวดั ชยั ภมู ิ ข้นั ตอน L สิ่งที่นกั เรียนไดเ้ รียนรู้มาไวร้ ่วมกบั ข้นั ประเมินผล ซ่ึงคาถามที่ว่ารู้อะไรมาบา้ งแลว้ และอยากรู้อะไร เพิ่มเติม จะช่วยการกระตุน้ ความคิด ความอยากรู้อยากเห็นของนกั เรียนทาใหอ้ ยากเรียนรู้และมีความกระตือรือร้น นาไปสู่การใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแกป้ ัญหาและการแสวงหาความรู้ รวมท้งั ให้ครูได้ ตระหนกั และยอมรับสิ่งท่ีนกั เรียนมีความรู้อยแู่ ลว้ และอยากรู้เพื่อวางแผนในการจดั การเรียนรู้เพ่ือตอบสนองความ ตอ้ งการของนักเรียนโดยเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกข้ันตอนได้ลงมือปฏิบัติจริงในการสารวจ ตรวจสอบเพื่อรวบรวมขอ้ มลู ซ่ึงเป็นการพฒั นานกั เรียนใหม้ ีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพิ่มข้ึน จากเหตุผลดงั กล่าวจึงทาให้นกั เรียนท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL มีผลคะแนนทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพ่ิมสูงข้ึนจากก่อนเรียนและมีคะแนนเฉลี่ยหลงั เรียนสูงกวา่ เกณฑร์ ้อยละ 70 ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ผลงานวจิ ยั ของสุกญั ญา นนทมาตย์ (2557, น. 104-107) และ พรพิมล คาแสน (2556, น. 87-91) ที่ได้ศึกษาเร่ื องการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั พบว่า นกั เรียนท่ีเรียนโดยใชก้ ระบวนการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน มีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 นอกจากน้ี ยงั สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ เรวดี กิตพฒั นาสมบตั ิ (2556, น. 51) ได้ ศึกษาการพฒั นาทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชร้ ูปแบบการเรียนรู้ 7E พบวา่ นกั เรียนท่ีไดร้ ับการสอนดว้ ยรูปแบบการเรียนรู้ 7E มีทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีระดบั นยั สาคญั สถิติท่ีระดบั .01 จะเห็นว่าการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL เป็ นการจดั การ เรียนรู้ท่ีมุ่งส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนไดร้ ู้จกั การแสวงหาและคน้ พบองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง เกิดความกระตือรือร้น อยากรู้ อยากเห็น อยากคน้ ควา้ หาคาตอบ โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และสนุกสนานในการมีส่วนร่วมปฏิบตั ิ กิจกรรมต่างๆ เป็นการฝึ กการใชท้ กั ษะกระบวนการทางสติปัญญาและกระบวนการทางสงั คมจากการทางานกลุ่ม และการปฏิสมั พนั ธ์กบั ผอู้ ื่น รวมถึงสิ่งต่างๆ รอบตวั เม่ือเผชิญกบั สถานการณ์ใหม่สามารถประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ที่ตน คน้ พบแกป้ ัญหาได้ ถือเป็ นสิ่งท่ีจาเป็นต่อการเรียนรู้ของผเู้ รียน ดงั น้นั การจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL จึงเป็นการสอนรูปแบบหน่ึงที่ครูสามารถนาไปใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนได้ ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวจิ ยั ไปใช้ การจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิค KWL เป็ นรูปแบบการสอนใหม่ท่ี ผวู้ ิจยั ไดท้ ดลองใชใ้ นการสอนโดยประยุกต์ข้นั ตอนของเทคนิค KWL ใหส้ อดคลอ้ งกบั ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้นั จากผลการวิจยั ถือว่าน่าสนใจที่สามารถทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนเพิ่มสูงข้ึน เป็ นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนวิชา วิทยาศาสตร์ควรนาไปประยกุ ตใ์ ช้ ผวู้ ิจยั มีขอ้ เสนอแนะดงั น้ี ปี ท่ี 10 ฉบบั ที่ 2 (ก.ค. – ธ.ค.) 2560 | 227
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157