Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา (1)

ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา (1)

Published by pannatorn_nar, 2020-07-14 03:52:51

Description: ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา (1)

Search

Read the Text Version

ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา หลกั ประชาธิปไตยทวั ไปในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาประชาธิปไตยมาตงั แตเ่ ริมแรก ก่อนทพี ระพทุ ธเจา้ จะทรงมอบใหพ้ ระสงฆเ์ ป็นใหญ่ในกิจการทงั ปวงเสียอีกลกั ษณะทีเป็นประชาธิปไตยใน พระพุทธศาสนามตี วั อยา่ งดงั ตอ่ ไปนี 1. พระพทุ ธศาสนามพี ระธรรมวินยั เป็ นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระธรรม คือ คาํ สอนทีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ยั คือ คาํ สงั อนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ิทพี ระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิขึนเมือรวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวนิ ยั ซึงมีความสาํ คญั ขนาดทีพระพทุ ธเจา้ ทรงมอบให้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ก่อนทพี ระองคจ์ ะปรินิพพานเพียง เล็กนอ้ ย 2. มีการกาํ หนดลกั ษณะของศาสนาไวเ้ รียบร้อย ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาคือสายกลาง ไม่ซา้ ยสุด ไมข่ วาสุด ทางสายกลางนีเป็ น ครรลอง อาจปฏิบตั ิคอ่ นขา้ งเคร่งครัดก็ได้ โดยใชส้ ิทธิในการแสวงหาอดิเรกลาภตามทีทรงอนุญาตไว้ ในสมยั ตอ่ มา เรียกแนวกลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาว่า วภิ ชั ชวาที คือศาสนาทกี ล่าวจาํ แนกแจกแจง ตามความเป็นจริงบางอยา่ งกล่าวยนื ยนั โดยส่วนเดียวได้ บางอยา่ งกล่าวจาํ แนกแจกแจงเป็นกรณี ๆ ไป 3. พระพทุ ธศาสนา มีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั บคุ คลทเี ป็นวรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแตเ่ ดิม รวมทงั คนวรรณะตาํ กวา่ นนั เช่นพวกจณั ฑาล พวก ปุกกสุ ะคนเกบ็ ขยะ และพวกทาส เมอื เขา้ มาอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งถกู ตอ้ งแลว้ มคี วามเท่าเทยี มกนั คอื ปฏิบตั ิตามสิกขาบทเทา่ กนั และเคารพกนั ตามลาํ ดบั อาวโุ ส คือผอู้ ุปสมบทภายหลงั เคารพผูอ้ ปุ สมบทก่อน 4. พระภิกษุในพระพุทธศาสนา มสี ิทธิ เสรีภาพภายใตพ้ ระธรรมวินยั เช่นในฐานะภิกษเุ จา้ ถิน จะมสี ิทธิไดร้ บั ของแจกก่อนภิกษุอาคนั ตุกะ ภิกษทุ จี าํ พรรษาอยดู่ ว้ ยกนั มี สิทธิไดร้ ับของแจกตามลาํ ดบั พรรษา มีสิทธิรบั กฐิน และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจวี รตลอด 4 เดือนฤดูหนาวเทา่ เทียมกนั นอกจากนนั ยงั มีเสรีภาพทีจะเดินทาง ไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ าํ พรรษาวดั ใดกไ็ ดเ้ ลือกปฏิบตั ิกรรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงคว์ ตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ งั สิน 5. มีการแบ่งอาํ นาจ พระเถระผใู้ หญท่ าํ หน้าทบี ริหารปกครองหมคู่ ณะ การบญั ญตั ิพระวินยั พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิเอง เช่นมีภกิ ษุผทู้ าํ ผดิ มาสอบสวนแลว้ จึงทรงบญั ญตั ิ พระวินยั ส่วนการตดั สินคดีตามพระวินยั ทรงบญั ญตั ิแลว้ เป็นหนา้ ทีของพระวินยั ธรรมซึงเทา่ กบั ศาล 6. พระพุทธศาสนามหี ลกั เสียงขา้ งมาก คอื ใชเ้ สียงขา้ งมาก เป็นเกณฑต์ ดั สิน เรียกวา่ วธิ ีเยภุยยสิกา การตดั สินโดยใชเ้ สียงขา้ งมาก ฝ่ายใดไดร้ ับเสียงขา้ งมากสนบั สนุน ฝ่ ายนนั เป็ นฝ่ ายชนะคดี

หลกั ประชาธิปไตยในการทีพระพทุ ธเจา้ ทรงมอบความเป็นใหญ่แก่สงฆ์ การมอบความเป็ นใหญ่แก่สงฆม์ ีลกั ษณะตรงกบั หลกั ประชาธิปไตยหลายประการ ส่วนมากเป็นเรืองสงั ฆกรรม คือการประชุมกนั ทาํ กิจสงฆอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนึงใหส้ าํ เร็จ การทาํ สังฆกรรมประกอบดว้ ยส่วนสาํ คญั 5 ประการ ถา้ ทาํ ผดิ พลาดประการใดประการหนึง จะทาํ ใหส้ งั ฆกรรมนนั เสียไป ใช้ไม่ได้ ไม่มผี ล คือเป็นโมฆะ ส่วนสาํ คญั 5 ประการมดี งั นีคอื 1 จาํ นวนสงฆอ์ ยา่ งตาํ ทเี ขา้ ประชุม การกาํ หนดจาํ นวนสงฆผ์ เู้ ขา้ ประชุมอยา่ งตาํ วา่ จะทาํ สงั ฆกรรมอยา่ งใดไดบ้ า้ งมี 5 ประเภท คอื 1.1 ภกิ ษุ 4 รูปเขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆจ์ ตุรวรรค สามารถทาํ สังฆกรรมไดเ้ กือบทุกชนิด เวน้ แต่ การอปุ สมบทหรือการบวชพระ การปวารณาหรือ พธิ ีกรรมในวนั ออก พรรษาทีทรงอนุญาตใหว้ ่ากล่าวตกั เตอื นกนั และกนั และการสวดอพั ภาน หรือการเพิกถอนอาบตั หิ นกั ของภิกษุบางรูป 1.2 ภกิ ษุ 5 รูป เขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆป์ ัญจวรรค สามารถทาํ สงั ฆกรรมทีสงฆจ์ ตรุ วรรค ทาํ ไดท้ งั หมด และยงั เพมิ การปวารณา การอปุ สมบทในชนบทชายแดนไดอ้ กี ดว้ ย 1.3 ภิกษุ 10 รูป เขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆท์ สวรรค สามารถทาํ สังฆกรรมทสี งฆป์ ัญจวรรคทาํ ไดท้ งั หมด และยงั เพมิ การอปุ สมบทในมชั ฌิชนบท คือ ในภาคกลางของ อนิ เดียไดอ้ กี ดว้ ย 1.4 ภกิ ษุ 20 รูปเขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆว์ สี ตวิ รรค สามารถทาํ สังฆกรรมไดท้ กุ ชนิด รวมทงั สวดอพั ภาน เพกิ ถอนอาบตั ิหนกั ดว้ ย 1.5 ภกิ ษุกวา่ 20 รูปเขา้ ประชุม เรียกวา่ อตเิ รกวีสติวรรค สามารถทาํ สงั ฆกรรมไดท้ กุ ชนิด สาํ หรับประเพณีไทย นิยมนิมนตภ์ กิ ษุเขา้ ประชุมให้เกินจาํ นวนอยา่ งตาํ ของการ ทาํ สงั ฆกรรมนนั ๆ เสมอ เพอื ให้ถูกตอ้ งอยา่ งไม่มีโอกาสผิดพลาดในเรืองจาํ นวนสงฆ์ 2 สถานทีประชุมของสงฆเ์ พือทาํ สงั ฆกรรม เรียกวา่ สีมา แปลวา่ เขตแดน สีมา หมายถึงพนื ดิน ไม่ใช่อาคาร อาคารจะสร้างเป็นรูปทรงอยา่ งไรหรือไมม่ ีอาคารเลยกไ็ ด้ สีมามี 2 ประเภทใหญๆ่ คอื พทั ธสีมา สีมาทีผูกแลว้ และอพทั ธสีมา สีมาทีไม่ตอ้ งผกู พทั ธสีมามีหลายชนิด จะกล่าวเฉพาะวสิ ุงคามสีมา แปลวา่ สีมาในหมู่บา้ น ซึงแยก ออกต่างหากจากอาณาเขตของประเทศ การขอวสิ ุงคามสีมาตอ้ งขอจากประมขุ ของรฐั ในประเทศไทยขอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ในประเทศ มาเลเซีย ขอพระราชทานจากพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย ในประเทศสหรฐั อเมริกา ขอจากผวู้ ่าการมลรัฐทีวดั ตงั อยู่ ไม่ใช่ขอจากประธานาธิบดี เพราะเป็นประเทศ สหรฐั อเมริกา เมอื ขอแลว้ ตอ้ งทาํ พิธีถอนสีมาในบริเวณนนั ซึงอาจเคยเป็นวดั ผูกพทั ธสีมามาแลว้ ในสมยั โบราณกไ็ ด้ แลว้ ทาํ พธิ ีผกู พทั ธสีมา สีมาซึงทาํ สงั ฆกรรมผูกแลว้ นีจะคงอยตู่ ลอดไปจนกวา่ โลกนีแตกสลาย กลายเป็นธุลีคอสมิค ยกเวน้ จะทาํ พธิ ีถอนสีมาเสีย อพทั ธสีมามีมากมายหลายชนิดเช่นเดียวกนั จะกล่าวเฉพาะสีมานาํ หรือเรียกว่า อทุ กุกเขปสีมา แปลวา่ สีมาชวั วกั นาํ สาด สีมาชนิดนีไม่ตอ้ งผูกแต่สร้างอาคาร หรืออยใู่ น

เรือแพ ภายในหนองบึง แม่นาํ ทะเล ซึงมนี าํ ขงั ตลอดปี และอยหู่ ่างจากฝังประมาณ 2 ชวั วกั นาํ สาดของบรุ ุษผมู้ ีกาํ ลงั ปานกลาง สีมานาํ นีใชท้ าํ สังฆกรรมไดเ้ หมือน วสิ ุงคามสีมาเช่นกนั ส่วนมากนิยมทาํ กนั ในวดั หรือสาํ นกั สงฆท์ ียงั ไม่ไดข้ อพระราชทานวสิ ุงคามสีมา การกาํ หนดสีมาขึนนี เพือป้ องกนั ไมใ่ หใ้ ครเขา้ มายงุ่ เกียว ทาํ ให้สงั ฆกรรมเสียไป หรือมีเจตนามาทาํ ลายสงฆท์ ราบ ผปู้ ระกาศมรี ูปเดียวหรือ 2 รูป ก็ได้ เรียกวา่ พระคูส่ งั ฆกรรมโดยตรง เพราะภายในสีมานนั สงฆม์ อี าํ นาจสิทธิขาด ใครจะอา้ งเป็ นเจา้ ของไมไ่ ด้ ไม่สาํ คญั นกั มีการประกาศให้ทราบ 1 ครัง และประกาศขอความเห็นชอบอีก 1 ครังเรียกวา่ ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม เช่น การประกาศมอบผา้ กฐินแก่ภกิ ษรุ ูปใดรูปหนึง การ แตง่ ตงั ภิกษุเป็ นเจา้ หนา้ ทีทาํ การสงฆต์ ่างๆ ถา้ เป็นเรืองสาํ คญั มาก มีการประกาศให้ทราบ 1 ครงั และประกาศขอความเห็นอีก 3 ครงั รวมเป็น 4 ครัง เรียกวา่ ญตั ตจิ ตุตถ กรรม เช่นการให้อปุ สมบท การลงโทษภกิ ษผุ ปู้ ระพฤติมชิ อบ 7 อยา่ ง มีตชั ชนียกรรม (การตาํ หนิโทษ) เป็นตน้ การยกโทษเมอื ภิกษุนนั ประพฤติตนดีแลว้ และการแตง่ ตงั ภกิ ษุให้เป็ นผสู้ อนภกิ ษณุ ี เป็ นตน้ 4 สิทธิของภิกษุผเู้ ขา้ ประชุม ภกิ ษผุ เู้ ขา้ ร่วมประชุมทาํ สงั ฆกรรมทกุ รูปมสี ิทธิแสดงความคดิ เห็นทงั ในทางเห็นดว้ ยและในทางคดั คา้ น ตามปกตเิ มือภิกษุผปู้ ระกาศ หรือ พระคู่สวดถามความคดิ เห็นของทีประชุม ถา้ เห็นดว้ ย ใหใ้ ชว้ ธิ ีนิง ถา้ ไม่เห็นดว้ ยใหค้ ดั คา้ นขึน จะตอ้ งมีการทาํ ความเขา้ ใจกนั จนกวา่ จะยอมเห็นดว้ ย ถา้ ภิกษผุ คู้ ดั คา้ น ยงั คงยนื กรานไม่เห็นดว้ ย การทาํ สังฆกรรมนนั ๆ เช่น การอปุ สมบท หรือการมอบผา้ กฐินยอ่ มไม่สมบรู ณ์ จึงเห็นไดว้ า่ มติของทปี ระชุมตอ้ งเป็นเอกฉนั ทค์ อื เห็นพร้อม กนั ทุกรูป 5 มติทีประชุม การทาํ สงั ฆกรรมทงั หมด มติของทีประชุมตอ้ งเป็นเอกฉันท์ คือเป็นทียอมรับของภิกษทุ ุกรูป ทงั นีเพราะในสงั ฆมณฑลนนั ภิกษุทงั หลายตอ้ งอยรู่ ่วมกนั มี ความไวเ้ นือเชือใจกนั กล่าวคอื มศี ีลและมีความเห็นเหมอื น ๆ กนั จึงจะมีความสามคั คี สืบตอ่ พระพทุ ธศาสนาไดอ้ ยา่ งถาวร แตใ่ นบางกรณี เมือภิกษมุ ีความเห็นแตกต่าง กนั เป็ นสองฝ่ ายและมีจาํ นวนมากดว้ ยกนั ตอ้ งหาวิธีระงบั โดยวธิ ีจบั ฉลาก หรือการลงคะแนนเพือดูวา่ ฝ่ ายไหนไดเ้ สียงขา้ งมาก ก็ตดั สินไปตามเสียงขา้ งมากนนั วธิ ีนี เรียกวา่ เยภุยยสิกา การถือเสียงขา้ งมากเป็นประมาณ ตามหลกั ประชาธิปไตยทวั ไป ซึงแสดงว่า มตทิ ปี ระชุมไม่ไดใ้ ชม้ ติเอกฉนั ทเ์ สมอไป ลกั ษณะอืนๆ ทแี สดงถึงความเป็นประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา 1 พระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตให้ภิกษศุ กึ ษาพระพทุ ธศาสนาดว้ ยภาษาใด ๆ กไ็ ด้ คือศึกษาดว้ ยภาษาทตี นเองรู้ดีทีสุด ไม่ให้ผกู ขาดศึกษาดว้ ยภาษาเดียว เหมอื นศาสนา พราหมณท์ ีตอ้ งศึกษาดว้ ยภาษาสันสกฤตเพยี งภาษาเดียว แต่การทคี ณะสงฆไ์ ทยใชภ้ าษาบาลีเป็ นหลกั กเ็ พอื สอบทานความถกู ตอ้ งในกรณีทีมีความสงสยั เท่านนั ส่วนการ เผยแผพ่ ระพุทธศาสนาจะใชภ้ าษาทอ้ งถินใด ๆ ก็ได้ 2 พระพุทธเจา้ ทรงอนุญาตให้พระสงฆป์ ฏิบตั คิ ลอ้ ยตามกฎหมายของประเทศทีตนอาศยั อยู่ การปฏิบตั ิใด ๆ ทีไม่มีหา้ มไวใ้ นศีลของภิกษแุ ต่ผิดกฎหมายของประเทศนนั ๆ ภิกษกุ ก็ ระทาํ ไม่ได้ ขอ้ นีทาํ ให้ภกิ ษุสามารถอยไู่ ดใ้ นทกุ ประเทศโดยไมม่ ีความขดั แยง้ กบั รัฐบาล และประชาชนของประเทศนนั ๆ 3 ก่อนปรินิพพาน พระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตไวว้ า่ ถา้ สงฆป์ รารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กนอ้ ย (คือ เลิกศลี ขอ้ เล็กน้อย) เสียก็ได้ พระสงฆฝ์ ่ ายเถรวาทตกลงกนั ไม่ไดว้ ่า ขอ้ ใดเป็ นสิกขาบทเล็กน้อย จงึ มีมตไิ มใ่ หถ้ อนสิกขาบทใด ๆ ทงั สิน ส่วนพระสงฆฝ์ ่ายมหายานมีมติใหถ้ อนสิกขาบททเี ห็นวา่ เลก็ นอ้ ยได้ เมือกาลเวลาล่วงไปก็ยงิ ถอนมาก ขึนทกุ ที การปฏิบตั ริ ะหวา่ งพระสงฆฝ์ ่ ายเถรวาทกบั ฝ่ายมหายานจึงแตกตา่ งกนั มากยงิ ขึน

ธรรมาธิปไตย หมายถึง การถือธรรมเป็ นใหญ่ คนในสงั คมประชาธิปไตยจะตอ้ งเป็นธรรมาธิปไตย นนั คอื ไม่ตกอยใู่ นอาํ นาจของโลภะ โทสะ โมหะ หรือ ตณั หา มานะ ทิฐิ (พระธรรมปิ ฎก. 2535 : 40) ตณั หา คือ ความอยากไดอ้ ยากเอาสิงต่าง ๆ มาเป็นของตวั เอง ตอ้ งการผลประโยชนแ์ ละสิงบาํ รุงบาํ เรอปรนเปรอตน ไม่ยอมเสียสละเพือใคร (ใฝ่เสพ ใฝ่บริโภค) มานะ คอื ความอยากใหต้ วั เองยงิ ใหญ่ ตอ้ งการอาํ นาจ ความเด่นดงั ความสาํ คญั หรือการครอบงาํ เหนือผูอ้ ืน ไมย่ อมใคร (ใฝ่อาํ นาจ ใฝ่อิทธิพล) ทิฐิ คือ ความยดึ ถือเอาแต่ความเห็นของตวั ตอ้ งการให้เขารบั เอาความเห็นของตน ยึดติดถือรันในความเชือ ลทั ธิ อดุ มการณ์ของตน จนสําคญั เหนือกวา่ ความจริง ไม่ ยอมรับฟังใคร (คลงั ลทั ธินิยม อดุ มการณ์คบั แคบ) การถือธรรมเป็นใหญจ่ ะตอ้ งอาศยั ปัญญาเป็นตวั นาํ เขา้ สู่ธรรม ดงั นนั ธรรมทจี ะตอ้ งถือหรือเคารพยึดเป็นหลกั เป็ น มาตรฐาน แบง่ ไดเ้ ป็ น 2 ระดบั คอื ขนั ตน้ ไดแ้ ก่ หลกั การ กฎเกณฑ์ กติกาตา่ ง ๆ อนั ชอบธรรม ทีไดต้ กลงกนั วางไว้ เช่น รฐั ธรรมนูญ หลกั ศีลธรรม เป็นตน้ ขนั สูง ไดแ้ ก่ ความจริง ความถกู ตอ้ งดีงาม และประโยชน์สุข หลกั สาราณียธรรม หลกั สาราณียธรรมเป็ นหลกั การใหญท่ กี ่อให้เกิดเอกภาพหรือภราดรภาพ หลกั สาราณียธรรม แปลวา่ ธรรมเป็นเครืองระลึกถึงกนั เป็นหลกั การทีจะทาํ ใหเ้ กิดความ ประสานพร้อมเพยี งสามคั คีและผนึกร่วมกนั เป็นเอกภาพ หลกั ธรรมนีมสี าระสาํ คญั ทสี อนวา่ สงั คมประชาธิปไตยจะตอ้ งมเี ครืองผูกพนั คนให้มีความสามคั ครี ่วมมือร่วมใจกนั เพราะการทแี ต่ละคนจะอยไู่ ดด้ ้วยดีและเอาศกั ยภาพ ของตนมาร่วมสร้างสรรคส์ งั คมประชาธิปไตยไดน้ นั คนเหล่านนั จะตอ้ งมคี วามสามคั คีรู้จกั ร่วมมือกนั และอยรู่ ่วมกนั ดว้ ยดี การร่วมมือกนั และอยรู่ ่วมกนั ดว้ ยดีนนั มี ลกั ษณะการแสดงออกตา่ ง ๆ ซึงเน้นความมีเมตตาปรารถนาดีหวงั ประโยชน์สุขตอ่ กนั อนั จะโยงไปหาหลกั การพนื ฐานคอื การทีคนเราจะตอ้ งใชป้ ัญญา คือ จะตอ้ งใช้ ปัญญานนั บนพนื ฐานของเมตตา หมายความว่าใชป้ ัญญาโดยมเี มตตาประกอบ หลกั ของความเป็นเอกภาพทีเรียกวา่ สาราณียธรรม มี 6 ประการคือ 1. เมตตากายกรรม คอื จะทาํ อะไรกท็ าํ ต่อกนั ดว้ ยเมตตา หมายความว่าทาํ ด้วยความรัก ดว้ ยไมตรีด้วยความปรารถนาดีต่อกนั มคี วามช่วยเหลือกนั มกี ารร่วมมอื กนั มี ความพร้อมทจี ะประสานงานกนั 2. เมตตาวจีกรรม คือ จะพูดอะไรกพ็ ดู ดว้ ยเมตตา โดยเจรจากนั ดว้ ยเหตุผล โดยใชป้ ัญญา ไมใ่ ชโ้ ทสะเป็นตวั นาํ ฉะนนั ตอ้ พูดดว้ ยความปรารถนาดีต่อกนั มจี ิตสาํ นึกใน ผลประโยชนส์ ุขร่วมกนั ตอ้ งการสร้างสรรค์ 3. เมตตามโนกรรม คือ จะคดิ อะไรกค็ ิดต่อกนั ดว้ ยเมตตา นนั คอื การมีความหวงั ดีตอ่ กนั ปรารถนาดีต่อกนั โดยการคิดพจิ ารณาวินิจฉยั คิดวางแผนต่าง ๆ โดยมุง่ ทาํ ให้

เกิดประโยชนส์ ุขแกก่ นั สร้างสรรคส์ งั คมและมไี มตรีต่อกนั อยา่ งแทจ้ ริง 4. สาธารณโภคี หมายถึง การมีกินมใี ชร้ ่วมกนั หรือมีการแบ่งปันเอือเฟื อเผือแผต่ อ่ กนั หรือการม่งุ ช่วยเหลือและบาํ เพญ็ ประโยชนต์ ่อสาธารณะโดยการไมเ่ ห็นแก่ตวั เป็ น ตน้ 5. สีลสามญั ญตา หมายถึง มศี ลี เสมอกนั คือมคี วามประพฤติดี รักษาระเบยี บวนิ ยั รกั ษากฎกติกาของสังคม มีความสุจริตกายวาจาทเี สมอกนั ไมเ่ บยี ดเบยี นผูอ้ ืน ไม่ก่อ ความเดือดร้อนแก่สังคม 6. ทฐิ ิสามญั ญตา หมายถึง มที ฐิ ิ มคี วามเห็น มีความเชือมนั ยดึ ถือในหลกั การอุดมการณ์และอดุ มคติร่วมกนั หรือสอดคลอ้ งกนั คนในสงั คมประชาธิปไตยจะตอ้ งมี ความเห็นความเขา้ ใจและความเชือมนั ในหลกั การประชาธิปไตยร่วมกนั เช่น การยอมรับระบอบประชาธิปไตย การเขา้ ใจเรืองสิทธิและหนา้ ที การเขา้ ใจเรืองเสรีภาพ ภราดรภาพหรือเอกภาพ เป็ นตน้ กล่าวโดยสรุป พระพทุ ธเจ้าทรงสอนสําหรับพระสงฆ์ก่อน ว่าพระสงฆ์จะต้องอยู่ด้วยหลัก 6 ประการนี ถ้าอยู่ด้วยหลกั 6 ประการแล้วแต่ละคนทีเป็ นสมาชิกของสังคมก็ จะระลกึ ถงึ กัน มีนําใจประสานกลมกลนื พร้อมทีจะร่วมมอื กัน เพราะตังแต่ทางกายเราก็มีเมตตาต่อกนั ปฏบิ ัติต่อกนั ด้วยเมตตาช่วยเหลอื เอาธุระต่อกัน ทางวาจาเรากพ็ ูด ด้วยนําใจรักกัน ในจติ ใจเรากค็ ิดปรารถนาดตี ่อกนั ในการอยู่ร่วมกนั มีของอะไร หรือได้รับสิงใดมาก็มาแบ่งปันกนั ในการรักษาสถานภาพของสังคมเรากร็ ักษาระเบียบ วนิ ัย มีศีลเสมอกัน ไม่เบยี ดเบยี นก่อความเดือดร้อนแก่กัน และปฏบิ ัตติ ามกฎกตกิ าของส่วนรวม เรากม็ ีความเชือมนั ยดึ ถือและเข้าใจหลกั การสําคญั ของประชาธิปไตย ร่วมกนั ตลอดจนเข้าใจร่วมกนั ในความจริงทีเป็ นธรรมชาติของโลกและชีวติ ทจี ะรองรับความเป็ นมนุษย์ของเราไว้ด้วยกนั เพยี งเท่านกี อ็ ยู่เป็ นสุขและพฒั นาได้ดีแน่ บน ฐานแห่งความสัมพนั ธ์ทีดงี ามมนั คง โดยทีแต่ละคนกม็ คี วามระลกึ ถึงกนั มนี าํ ใจประสานร่วมมือต่อกนั สังคมกย็ ึดเหนียวเกาะกมุ กนั อยู่ให้เกดิ ภาวะทีเรียกว่า เอกภาพ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook