1 การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นและทักษะการคิดวเิ คราะห์ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง พลงั งานไฟฟ้า ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นน้าปลกี ศึกษา โดยใช้รปู แบบการจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (7E) โดย นางสาวภกั ดินันท์ สมรกั ษ์ โรงเรียนน้าปลกี ศกึ ษา ต้าบลนา้ ปลกี อา้ เภอเมือง จงั หวดั อ้านาจเจรญิ ส้านกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 29
2 ใบรับรองรายงานการวิจยั ในชัน้ เรยี น เรือ่ งวจิ ัย : การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นและทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง พลงั งานไฟฟา้ ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นน้าปลีกศกึ ษา โดยใชร้ ูปแบบการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (7E) ชื่อผู้ทา้ วิจัย : นางสาวภกั ดนิ นั ท์ สมรกั ษ์ ( นายเถลิงศักด์ิ เถาวโ์ ท) ผชู้ ว่ ยผอู้ า้ นวยการโรงเรยี นกล่มุ งานบริหารงานวชิ าการ ( นายสุเมธ หน่อแก้ว ) ผอู้ า้ นายการโรงเรียนน้าปลกี ศกึ ษา
3 บันทึกขอ้ ความ ส่วนราชการโรงเรยี นน้าปลกี ศึกษา อา้ เภอเมอื ง จงั หวดั อา้ นาจเจริญ ท่ี ............................................................วนั ท.ี่ ............เดือน............. พ.ศ. 25........ เรื่อง รายงานผลการวจิ ยั เรยี น ผอู้ ้ำนำยกำรโรงเรียนนำ้ ปลกี ศกึ ษำ ด้วยข้าพเจ้านางสาว ภักดินันท์ สมรักษ์ ต้าแหน่ง ครู ปฏิบัติหน้าท่ีสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ พ้ืนฐาน รหัสวิชา ว 23102 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ได้รายงานผลการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนและทักษะการคิดวิเคราะห์ วชิ าวิทยาศาสตร์ เร่ือง พลังงานไฟฟ้า ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนน้าปลีกศึกษา โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) บัดนี้ได้ท้าการ สรปุ ผลและจัดทา้ รปู เลม่ เสร็จเรยี นรอ้ ยแลว้ เพอ่ื เปน็ การเผยแพรผ่ ลงาน และเปน็ กรณีตัวอยา่ งต่อไปน้ี ดังนน้ั ข้าพเจ้าจึงขออนญุ าตเผยแพร่ ผลงานและรายงานผลใหท้ ราบและพจิ ารณาอนุญาต จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดทราบและพิจารณาอนุญาต ลงชอ่ื ..........................................................ครปู ระจ้าวิชา ( นางสาวภกั ดินันท์ สมรกั ษ์ )
4 บทคัดย่อ ชื่อเรอื่ งงานวจิ ยั การพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นและทกั ษะการคิดวิเคราะห์ วชิ าวิทยาศาสตร์ เรอื่ ง พลงั งานไฟฟา้ ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นน้าปลกี ศึกษา โดยใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ผูว้ ิจัย นางสาวภกั ดินันท์ สมรักษ์ ปีการศกึ ษา 2562 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง พลังงาน ไฟฟ้า ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนน้าปลีกศึกษา โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (7E) ด้าเนินการโดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนกลุ่มตัวอย่าง เป็นนกั เรยี นโรงเรยี นน้าปลีกศึกษา อา้ เภอเมือง จังหวดั อา้ นาจเจริญ จา้ นวน 33 คน ท่ไี ด้มาโดยวิธีการสุ่ม แบบเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรยี นรู้ เร่ือง พลังงานไฟฟา้ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น การวิเคราะหข์ ้อมูลใช้ ค่าเฉล่ยี รอ้ ยละ ค่าสถิติ t - test จากผลการวจิ ยั พบว่านักเรยี นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร้อยละ มีจา้ นวนนกั เรยี นผา่ นเกณฑร์ ้อยละ และมผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสา้ คัญทางสถิติที่ระดับ ความส้าคญั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน รูปแบบการจดั การเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ (7E)
5 กติ ติกรรมประกาศ งานวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานไฟฟ้า ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนน้าปลีกศึกษา โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) นี้ ส้าเร็จไดด้ เี น่อื งจากไดร้ ับความสนับสนนุ ความอนเุ คราะห์ และใหค้ า้ แนะน้า ปรึกษาตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ จากท่านผู้อ้านวยการโรงเรียนน้าปลีกศึกษา ท่านสุเมธ หน่อแก้ว ซึ่งเป็นผู้ให้ค้าปรึกษาและตรวจสอบและแก้ไขข้อบกพร่องของงานวิจัยฉบับน้ีจนสมบูรณ์ ผู้วิจัยจึง ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง และขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่มิได้กล่าวนามไว้ ณ ที่น้ี ท่ีกรุณาให้ความ ช่วยเหลอื สนบั สนุนเปน็ อย่างดี ภักดนิ นั ท์ สมรกั ษ์
6 หนา้ สารบญั ก ข เรื่อง ค จ บทคัดย่อ 1 กิตตกิ รรมประกาศ 1 สารบญั 3 สารบญั ตาราง 3 บทท่ี 1 บทน้า 3 3 ความเปน็ มาและความสา้ คญั ของการวิจยั 3 วัตถุประสงค์การวิจยั 3 สมมติฐานการวิจยั 3 ขอบเขตการวจิ ัย 5 6 ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง 6 ตัวแปร 7 ระยะเวลาการวิจยั 8 นิยามศพั ท์ 9 ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะได้รับ 10 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง 13 การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) 14 กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (7E) การคิดวิเคราะห์ 15 ลักษณะการคดิ วเิ คราะห์ 19 องคป์ ระกอบของการคดิ วิเคราะห์ การวดั และประเมินผลการคดิ วิเคราะห์ 23 การสอนเพอ่ื สรา้ งเสริมทักษะการคิด 26 วิเคราะห์ 26 ประโยชนข์ องการคดิ วิเคราะห์ 26 เอกสารท่เี ก่ยี วข้องกบั ผลสมั ฤทธิท์ างการ 26 เรยี น งานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง บทที่ 3 วธิ ีด้าเนนิ การวิจยั กลมุ่ เปา้ หมาย รูปแบบการวิจยั เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการวิจยั
7 หนา้ สารบัญ (ต่อ) 29 30 เรอื่ ง 30 33 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 33 การวิเคราะห์ข้อมลู สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล 33 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 33 สญั ลักษณท์ ่ีใช้ในการนา้ เสนอผลการวเคราะห์ 35 ขอ้ มลู 35 การวิเคราะห์ขอ้ มลู 35 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 35 บทท่ี 5 สรุปผลการวจิ ัย และขอ้ เสนอแนะ 35 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 35 ขอบเขตการวจิ ัย 38 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั 40 สรปุ ผลการศึกษา อภิปรายผลการศึกษา ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ก ภาคผนวก ข
8 หนา้ สารบัญตาราง 28 33 เรอื่ ง 34 ตารางท่ึ 1 โครงสร้างแผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยการเรียนรู้ พลังงานไฟฟ้า ตารางทึ่ 2 ผลการทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น เร่ือง พลงั งานไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ตารางท่ี 3 ผลการทดสอบวัดความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ เร่ือง พลงั งานไฟฟ้า กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์
9 บทท่ี 1 บทน้า 1. ความเปน็ มาและความสา้ คัญของปญั หา เครื่องมือท่ีจะใช้แก้ปัญหา และพัฒนาเยาวชนให้เติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ และเป็นก้าลังใน การพัฒนาชาติ บ้าน เมือง นั้นก็คือ การศึกษา การศึกษานับเป็นรากฐานที่ส้าคัญที่สุดประการหนึ่งในการ สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในสังคม เนื่องจากการศึกษา เป็นกระบวนการ ที่ช่วย ให้คนได้พัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ตลอดจนช่วยวางรากฐานพัฒนาการของชีวิตตั้งแต่แรกเกิดการ พัฒนาศักยภาพ และขีดความสามารถด้านต่าง ๆ ที่ใช้ในการด้ารงชีวิต และประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข รู้เท่าทันการเปล่ียนแปลง รวมเป็นพลังสร้างสรรค์การพัฒนาประเทศชาติอย่างย่ังยืนได้ (ส้านักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ.2539:2) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 กฎหมายฉบับน้ีเป็นกฎหมายปฏิรูปการศึกษาฉบับ แรก มุ่งพฒั นาคนไทยทุกคนให้มีความเปน็ มนุษย์ทสี่ มบรู ณ์ในทุกด้านอยา่ งสมดลุ เปน็ คนดีเปน็ คนเกง่ และมี ความสขุ เพอื่ จะได้เป็นก้าลังในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมการเมือง อันจะน้าไปสู่การพฒั นาประเทศชาติให้ม่ัง คั่งมั่นคงอย่างย่ังยืนต่อไป (กรมวิชาการ, 2551) ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แนวคิดการจัด การศึกษาตามสาระหมวด 4 เรื่องการจัดการศึกษาท่ีส้าคัญท่ีสุดและหลักการท่ีว่าหัวใจของการปฏิรูป การศึกษาคือ การปฏิรูปการเรียนรู้ (ประเวศ วะสี, 2541) จากการศึกษาเก่ียวกับศาสตร์ของการสอน องค์ ความรู้เพ่ือจัดกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ พบว่าปัจจุบันมีหลักการและแนวคิดในการจัดการเรียนการ สอนทีไ่ ด้รบั ความนิยมจะเนน้ ไปทางดา้ นยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนรจู้ งึ เป็นกระบวนการท่นี กั เรยี นจะต้องจัดกระทา้ (acting on) ไมใ่ ชเ่ พยี งรบั เข้ามา (taking in)การเรียนการสอนจ้าเป็นต้องเปล่ียนแนวความคิดจาก ครูด้าเนินการเรียนการสอน(instruction)ไปเป็น นักเรียนสร้างความรู้ (construction) แนวความคิดน้ีก้าลังได้รับความนิยมมาก และหากมีการปฏิบัติกัน อย่างจริงจังและต่อเน่ือง จะเป็นจุดเปล่ียนที่ส้าคัญในประวัติศาสตร์ของการสอนต่อไป (ทิศนา แขมมณี, 2548) แนวทางในการแก้ไขปรับปรุงกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ทเ่ี นน้ นักเรียนเป็นส้าคัญนั้น นกั เรียนจะต้องเกิดความสมดลุ เปน็ องค์ความรู้ กระบวนการจัดการ เรียนรู้ต้องใช้อาศัยให้นักเรียนได้พัฒนาตนเองในด้านความคิด ปฏิบัติ และตัดสินใจด้วยตนเอง จะช่วยให้ พ่ึงตนเองได้ เป็นอิสระแก่ตนเอง นอกจากน้ันแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พุทธศักราช 2555 – 2559 ได้ชี้ให้เห็นถึงความจ้าเป็นในการปรับเปลี่ยนจุดเน้นในการพัฒนาคุณภาพคน ในสังคมไทยให้มีคุณธรรม และมีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อน้าไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างม่ันคง แนว การพัฒนาคนดังกล่าวมุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพ้ืนฐานจิตใจท่ีดีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมท้ังมีสมรรถนะ ทักษะและความรู้พ้ืนฐานที่จา้ เปน็ ในการด้ารงชีวิต อนั จะสง่ ผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน ซงึ่ แนวทาง ดงั กลา่ วสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่งส่งเสริมให้นักเรียนมีคุณธรรม รักความเป็นไทยมีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ มีทักษะด้าน เทคโนโลยี สามารถท้างานร่วมกับผู้อื่น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมโลกได้อย่างสันติ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) จากรายงานการสังเคราะห์ผลการประเมินคุณภาพและมาตรฐานทางการศึกษาระดับการศึกษาข้นั พ้ืนฐานของประเทศในภาพรวม (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2555) พบว่าผลการประเมินคุณภาพภายนอก ส่วนใหญ่ไม่ผ่านมาตรฐานที่ 4 ด้านความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ มีวิจารณญาณ มีความคิด
10 สร้างสรรค์ คิดไตร่ตรอง และมีวิสัยทัศน์ (ส้านักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษา 2556 : 10) ดังน้ันการจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาการคิดจึงเป็นเร่ืองเร่งด่วนส้าหรับประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างย่ิง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เนอ่ื งจากความสามารถใน การคิดท้ังสองประเภทจะช่วยส่งเสริมการคิดในด้านต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นกระบวนการคิดท่ีมีข้ันตอน เช่น กระบวนการคิดแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดเพ่ือตัดสินใจ การคิดสร้างสรรค์ ซึ่งตรงกับค้า กล่าวของ เบเยอร์ (Beyer, 1983:44 อ้างอิงในนิติกร อ่อนโยน 2551:2) ที่กล่าวว่า “การคิดอย่างมีวิจาร ญาณเป็นกระบวนการที่เก่ียวข้องกับการประมวลผลข้อมูลด้วยการใช้การวิเคราะห์และสังเคราะห์” การ พัฒนานักเรียนให้มีการพัฒนาการคิดจึงเป็นเป้าหมายในการจัดการศึกษาของทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยเฉพาะสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) เป็นไป เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาความคิด ในแต่ละขั้นตอนของกิจกรรมเป็นกระบวนการเรยี นรู้ท่ีครูจะต้องส่งเสรมิ ให้ นกั เรยี นรจู้ กั คดิ โดยใหโ้ อกาสนักเรยี นได้ใชค้ วามคิดของตนเองมากทส่ี ุด เป็นรปู แบบของกระบวนการเรียนรู้ ทน่ี ักวทิ ยาศาสตรไ์ ดค้ ิดคน้ ข้ึน เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนสามารถใชว้ ิธกี ารสบื เสาะหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ทต่ี ้องอาศัย ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นพบความรู้หรือประสบการณ์ด้วยตนเอง ซึ่งประกอบด้วย (1)ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) (2) ข้ันเร้าความสนใจ (Engagement Phase) (3) ข้ัน ส้ารวจค้นหา(Exploration Phase) (4) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation Phase) (5) ขั้นขยาย ความรู้(Expansion Phase) (6) ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) และ (7) ขั้นน้าความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ไม่เน้นการสอนแบบบรรยาย หรือบอกเล่า หรือให้ผู้เรียนเป็นผู้รับเนื้อหาวิชาต่าง ๆ จากครู หากแต่ครูจะต้องกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2549: 219-22) ดังน้ันผู้วิจัยจึงมีความสนใจต่อการจัดเรียนการสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) เน่ืองจากเป็นวิธีการท่ีสามารถพัฒนาศักยภาพด้านปัญญา เป็นนักริเร่ิมสร้างสรรค์ และนักจัดระเบียบ เป็นการค้นพบด้วยตนเอง ช่วยให้จดจ้าความรู้ได้นาน และสามารถถ่ายโยงความรู้ได้ เน้นนักเรียนเป็น ศูนย์กลางการเรียนการสอน จะท้าให้บรรยากาศในการเรียนมีชีวิตชีวาช่วยพัฒนามโนทัศน์แก่นักเรียนช่วย ให้นักเรียนเกิดความเช่ือม่ันว่าจะท้าการส่ิงใด ๆ จะส้าเร็จด้วยตนเอง สามารถคิดและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ไม่ย่อทอ้ ต่ออุปสรรค ไดป้ ระสบการณต์ รง ฝึกทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการใช้ความสามารถน้าความรู้ ไปใช้ในชีวิตประจ้าวันได้ เพื่อใช้จัดการเรียนการสอนในหน่วยการเรียนพลังงานไฟฟ้าเน่ืองจากเนือ้ หาสาระ นั้นมคี วามยากต่อการทา้ ความเข้าใจ โดยถ้านกั เรียนมวี ธิ ีการคดิ ที่เป็นระบบและคน้ หาค้าตอบดว้ ยตนเองจะ เป็นการช่วยใหน้ ักเรียนจดจ้าและมคี วามรคู้ วามเข้าใจตอ่ เนื้อหาทเี่ รยี นได้ดยี ิ่งขึ้น จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนด้วย การน้าเอาวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) มาใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ และ ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเคร่ืองมือเพื่อปลูกฝังให้นักเรียนเป็นบุคคลที่คิดเป็น ท้าเป็น แก้ปัญหา ได้ หรือคดิ แบบวิทยาศาสตร์ มที กั ษะการคิดวิเคราะห์ สารมารถจา้ แนกแจกแจงองค์ประกอบ การจดั ล้าดับ ข้อมูลการเปรียบเทียบข้อมูล เน้นให้นักเรียนสร้างองค์ความรโู้ ดยเชื่อมโยงความรู้เดิมให้เกิดองค์ความรใู้ หม่ ซึ่งจะท้าให้นักเรียนสามารถจดจ้าความรู้ได้นาน และสามารถน้าไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างเหมาะสม อีกท้ัง ทักษะการคิดวิเคราะห์ยังเป็นพ้ืนฐานของการคิดอ่ืน ๆ เช่น คิดสังเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิด สรา้ งสรรค์ ตลอดจนรกั การเรียนรู้ตลอดชวี ติ ซึง่ จะสง่ ผลใหผ้ ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นสูงขึน้
11 2. วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย 1) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง พลังงานไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของ นักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) โดยนักเรียนมีคะแนน เฉล่ยี ไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 80 และมีจา้ นวนนกั เรียนทผ่ี า่ นเกณฑร์ ้อยละ 80 ขน้ึ ไป 2) เพือ่ พัฒนาการคิดวเิ คราะห์ของนักเรียนท่ีได้รบั การสอนโดยใชร้ ูปแบบการจดั การเรยี นรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (7E) โดยนักเรียนมีคะแนนการคิดวิเคราะห์เฉล่ียไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และมีจ้านวน นักเรียนทผ่ี า่ นเกณฑ์ร้อยละ 80 ขน้ึ ไป 3. สมมติฐานการวิจยั 1) นักเรยี นที่เรียนโดยใชร้ ูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) มคี ะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเฉล่ยี ไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 80 และมจี ้านวนนักเรียนท่ีผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 80 ขนึ้ ไป 2) นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) มีคะแนนการคิด วิเคราะห์เฉลย่ี ไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 80 และมจี ้านวนนกั เรยี นท่ีผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 80 ข้นึ ไป 4. ขอบเขตของการวจิ ัย 4.1 ประชากรกลุ่มตวั อย่าง 4.1.1 ประชากร ไดแ้ ก่ นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรยี นน้าปลีกศึกษา อ้าเภอเมือง จังหวัดอ้านาจเจรญิ ส้านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 29 4.1.2 กล่มุ ตวั อยา่ ง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/2 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 โรงเรียนน้าปลีกศึกษา อา้ เภอเมอื ง จงั หวัดอ้านาจเจริญ ส้านักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 จ้านวน 33 คน ซ่ึงได้มาโดยการสุม่ แบบเจาะจง (Purposive Sampling) 4.2 ตวั แปรในการวิจัย 4.2.1 ตวั แปรต้น: การจัดการเรยี นรูโ้ ดยใช้รปู แบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) 4.2.2 ตวั แปรตาม: 1) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรียน 2) การคดิ วิเคราะห์ของนกั เรียน 4.3 ระยะเวลาที่ใช้ในการวจิ ัย ระยะเวลาที่ใชใ้ นการศึกษาค้นคว้าในครง้ั น้ี คอื ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 เปน็ เวลา 8 สัปดาห์ สปั ดาหล์ ะ 3 ชวั่ โมง รวม 24 ชว่ั โมง 4.4 เนื้อหาทีใ่ ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ เนือ้ หาทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาการวิจยั ครง้ั น้ี ได้แก่ เน้ือหาทางวทิ ยาศาสตร์ สาระท่ี 5 พลังงาน เรอื่ ง พลงั งานไฟฟา้ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 5. นยิ ามศพั ท์ 5.1. การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) หมายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ข้ันตอน ซงึ่ มีขัน้ ตอนดงั น้ี 5.1.1 ข้ันตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ในขั้นนี้จะเป็นขั้นท่ีครูจะต้ังค้าถามเพื่อ กระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้เดิมออกมา เพ่ือครูจะได้รู้ว่า เด็กแต่ละคนมีพื้นความรู้เดิมเท่าไร จะได้วาง แผนการสอนไดถ้ กู ต้อง และครูได้รู้วา่ นักเรียนควรจะเรียนเน้อื หาใดกอ่ นท่ีจะเรียนในเน้ือหาน้นั ๆ
12 5.1.2 ข้ันเร้าความสนใจ (Engagement Phase) เป็นการน้าเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจจาก ความสงสัย หรืออาจเร่ิมจากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เรื่องที่ น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่ก้าลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือเป็นเร่ืองท่ีเชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เด็ก เพ่ิงเรียนรู้มาแล้ว ครูเป็นคนกระตุ้นให้นักเรียนสร้างค้าถามก้าหนดประเด็นที่ที่จะกระตุ้นโดยการเสนอ ประเด็นข้ึนก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือค้าถามท่ีครูก้าลังสนใจเป็นเรื่องที่จะใช้ ศึกษา 5.1.3 ขั้นส้ารวจและค้นหา (Exploration Phase) ในขั้นนี้จะต่อเนื่องจากขั้นเร้าความสนใจ ซ่ึง เม่ือนักเรียนท้าความเข้าใจในประเด็นหรือค้าถามที่สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็มีการวางแผนก้าหนด แนวทางควรส้ารวจตรวจสอบ ตั้งสมมุติฐาน ก้าหนดทางเลือกท่ีเป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพ่ือเก็บรวบรวม ข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจท้าได้หลายวิธี เช่น ท้าการทดลอง ท้า กิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพ่ือช่วยสร้างสถานการณ์จ้าลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูล จากเอกสารอ้างองิ จากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ เพ่ือให้ได้มาซึ่งขอ้ มูลอย่างเพียงพอท่จี ะใช้ในขัน้ ต่อไป 5.1.4 ข้ันอธิบาย (Explanation Phase) ในข้ันนี้เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลมาอย่างเพียงพอจากการ ส้ารวจตรวจสอบแล้ว จึงน้าข้อมูล ข้อสนเทศท่ีได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และน้าเสนอผลท่ีได้ในรูป ตา่ ง ๆ เชน่ บรรยายสรปุ สรา้ งแบบจา้ ลองทางคณิตศาสตร์ หรอื รูปวาด สรา้ งตารางฯลฯการค้นพบในด้านนี้ อาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมมุติฐานท่ีตั้งไว้ โต้แย้งกับสมมุติฐานท่ีตั้งไว้ หรือไม่เก่ียวข้องกับ ประเดน็ ทีไ่ ดก้ ้าหนดไว้ แตผ้ ลทไ่ี ด้จะอย่ใู นรปู ใดกส็ ามารถสรา้ งความร้แู ละชว่ ยให้เกิดการเรียนรู้ได้ 5.1.5 ข้ันขยายความคิด (Expansion Phase/Elaboration Phase) เป็นการน้าความรู้ที่สร้าง ข้ึนไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคิดท่ีได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือน้าแบบจ้าลองหรือข้อสรุปที่ไปใช้อธิบาย สถานการณ์หรือเหตุการณ์อ่ืน ๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อก้ากัดน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้ เชือ่ มโยงกับเร่ืองราวต่าง ๆ และท้าใหเ้ กิดความรสู้ กึ กวา้ งขวางข้นึ 5.1.6 ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) ในข้ันนี้เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะน้าไปสู่การน้าความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในด้านอ่ืน ๆ 5.1.7 ข้ันน้าความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ในขั้นนี้เป็นท่ีครูจะต้องมีการจัดเตรียมโอกาสให้ นักเรียนได้น้าสิ่งท่ีได้เรียนมาไปประยุกต์ใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ในชีวติ ประจา้ วัน ครูจะเป็นผู้กระตุ้นให้นักเรียน สามารถนา้ ความรูท้ ไี่ ดร้ ับไปสรา้ งเปน็ ความร้ทู ีเ่ รียกว่า “การถ่ายโอนการเรยี นรู้” 5.2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ผลของคะแนนการทดสอบหลังเรียนของนักเรียนท่ีได้จาก การทา้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีผู้วจิ ัยสรา้ งขนึ้ ซ่ึงเป็นข้อสอบแบบเลอื กตอบ ชนิด 4 ตวั เลือก จา้ นวน 30 ขอ้ โดยทดสอบหลงั จากที่นักเรยี นเรียนครบตามหนว่ ยการเรียนรู้พลงั งานไฟฟ้า ท่ีกา้ หนดไว้ 5.3 ทักษะการคิดวิเคราะห์ หมายถึง คะแนนท่ีได้จากการท้าแบบทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เร่ือง พลังงานไฟฟ้า โดยใช้แบบทดสอบวดั ทักษะการคิดวิเคราะหท์ ี่ผวู้ ิจยั สร้างขึ้น ได้แก่ 1) การวิเคราะห์เนื้อหา เป็นความสามารถในการจ้าแนกแยกแยะ หรือการจัดหมวดหมู่ จัด ประเภท จัดล้าดับอย่างมหี ลักเกณฑ์ 2) การวเิ คราะหค์ วามสมั พันธ์ เปน็ ความสามารถ ในการเช่ือมโยงความสมั พนั ธข์ องขอ้ มูลตา่ ง ๆ วา่ สมั พนั ธก์ ันอยา่ งไร 3) วเิ คราะห์หลักการ เปน็ ความสามารถ ในการคดิ วเิ คราะหว์ ัตถุประสงคข์ องผู้เขยี น นา้ ความรหู้ ลักการและทฤษฎีมาใชใ้ นสถานการณ์ต่าง ๆ
13 6. ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รับ 1) เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรโู้ ดยใชร้ ปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (7E) ใน กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 2) เป็นแนวทางในการจดั การเรียนรู้ เพอ่ื พัฒนาความสามารถทกั ษะในด้านการคดิ วเิ คราะห์ ของนักเรียน เพ่ือให้นักเรียนมีสมรรถนะส้าคัญตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 ก้าหนด 3) เป็นแนวทางการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เพอื่ พัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นกล่มุ สาระ การเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ให้มีระดับสงู ข้ึน
14 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้อง การวจิ ัยเรอ่ื ง การพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนและทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ วิชาวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานไฟฟ้า ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนน้าปลีกศึกษา โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ผวู้ จิ ยั ได้ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ท่เี กีย่ วข้อง ตามลา้ ดับดังตอ่ ไปนี้ 1. การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (7E) 1.1 ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) 1.2 กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (7E) 2. การคดิ วเิ คราะห์ 2.1 ความหมายของการคิดวิเคราะห์ 2.2 ลักษณะของการคดิ วิเคราะห์ 2.3 องคป์ ระกอบของการคิดวเิ คราะห์ 2.4 การวัดและประเมนิ การคิดวเิ คราะห์ 2.5 การสอนเพือ่ สรา้ งเสรมิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ 2.6 ประโยชน์ของการคดิ วิเคราะห์ 3. เอกสารทเ่ี ก่ียวข้องกับผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน 3.2 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 3.3 องคป์ ระกอบทม่ี ีอทิ ธพิ ลตอ่ ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น 3.4 การวัดและประเมินผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น 4. งานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง 4.1 งานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วข้องกับการจดั การเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) 4.2 งานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ งกับการคดิ วิเคราะห์ 1. การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) 1.1 ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry based Learning) เป็นวิธีการสอนรูปแบบหน่ึงที่เน้น ผู้เรียนเป็นส้าคัญ ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เม่ือผู้เรียนได้เรียนรู้ ได้รับการ กระตุ้นให้เกิดความต่ืนเต้นท้าทายกับการเผชิญสถานการณ์หรือปัญหาที่มีการร่วมกันคิด ลงมือปฏิบัติจริง ท้าให้สามารถอธิบาย ท้านาย คาดการณ์ส่ิงๆน้ันได้อย่างมีเหตุผล พยายามหาข้อสรุปจนเกิดความคิดรวบ ยอดในเร่ืองท่ีศึกษา มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ครูผู้สอนเป็นผู้สนับสนุน ช้ีแนะช่วยเหลือ ตลอดจน แกป้ ัญหาที่อาจเกดิ ขึน้ ระหว่างการเรียนการสอน การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้น้ัน นักฟิสิกส์ชาวสหรัฐอเมริกา ช่ือ โรเบิร์ต คาร์พลัส (Robert Karplus) เป็นผู้เสนอการจัดการเรียนรู้วิธีนี้ในระดับประถมศึกษา เพ่ือกระตุ้นผู้เรียนให้มีความ สนใจเรียนและช่วยลดความน่าเบ่ือหน่ายของการเรียนในห้องเรียน และในขณะที่ก้าลังพัฒนาหลักสูตร วิทยาศาสตรร์ ะดับประถมศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา (Science Curriculum Improvement Study [SCIS]) ที่University of California, Berkeley จุดเร่ิมต้นของวัฏจักรการเรียนรู้มีพ้ืนฐานมาจากทฤษฎี พฒั นาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) และผลงานของ ออซเู บล (Ausubel) และแนวคิดคอนสตรัค
15 ติวิซึมท่ีเกียวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ ซ่ึงเหมาะสมกับการสอนวิทยาศาสตร์ (Trowbridge และ Bybee 1996, 204; Robertson 1996; Abraham1997, 219 อา้ งถงึ ใน นันทกา คนั ธิยงค์ 2547, 17) ดงั้ เดิมวัฏจักรการเรียนรู้มี 3 ขั้น คอื การสา้ รวจ การประดิษฐ์ และการค้นพบ ภายหลังขัน้ เหลา่ น้เี รียก ช่อื ใหม่เปน็ การส้ารวจ การแนะน้ามโนทัศน์ และการน้ามโนทัศนไ์ ปใช้ ต่อมาได้มีกลมุ่ นกั การศกึ ษา นา้ วิธนี ีม้ าใชอ้ ย่างแพร่หลาย มีการพฒั นาวิธีการและ ขนั้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรูท้ ่แี ตกตา่ งกนั นักการศึกษาของสหรัฐอเมริกาจากกลุ่ม BSCB (Biological Science Curriculum Study) โดยมี Roger Bybee เป็นผู้น้า ได้น้าวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการสืบเสาะหาความรู้มาใช้ในการพัฒนาหลักสูตร วิชาวิทยาศาสตร์ และได้เสนอข้ันตอน ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็น 5 ข้ันตอน คอื การสรา้ ง การมสี ว่ นร่วม การสา้ รวจ การอธิบาย การขยายและสร้างความกระจ่าง และการประเมิน ซ่งึ เรียกชื่อใหม่เป็นวัฏจักรการเรียนรู้ 5E ต่อมามีนักการศึกษาช่ือ Eisenkraft ได้ขยายวัฏจักรการเรียนรู้จาก 5E เป็น 7E (Goldstong et al. 2009) Eisenkraft (2003: 58) ได้เสนอรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้จาก 5 ข้ันตอน (5E) เป็น 7 ข้ันตอน (7E) คือ ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ข้ันเร้าความสนใจ (Engagement Phase) ขั้นส้ารวจค้นหา(Exploration Phase) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation Phase) ข้ันขยาย ความรู้(Expansion Phase) ข้ันประเมินผล (Evaluation Phase) และขั้นน้าความรู้ไปใช้ (Extension Phase) โดยเพม่ิ ขัน้ ตรวจสอบความรเู้ ดิม (Elicitation Phase) เขา้ มา โดยมีเปา้ หมายเพ่ือกระตุ้นใหเ้ ด็กได้มี ความสนใจและ สนุกกับการเรียนและยังสามารถปรับประยกุ ต์ส่ิงท่ีได้เรียนรูไ้ ปสู่การสร้างประสบการณ์ของ ตนเอง และเพิ่มข้ันน้าความรู้ไปใช้ (Extension Phase) เพ่ือให้นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้จากสง่ิ ท่ี ไดเ้ รียนมาใหเ้ กิดประโยชนใ์ น ชวี ติ ประจ้าวนั 1.2 กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (7E) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) เปน็ การสอนท่ีเนน้ การถา่ ยโอนการเรยี นรูแ้ ละ ใหค้ วามส้าคัญ เกี่ยวกับ การตรวจสอบความรู้เดิมของเด็ก ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีครูละเลยไม่ได้และการตรวจสอบความรู้พื้นฐานเดิม ของเดก็ จะท้าให้ครูคน้ พบวา่ นักเรียนต้องเรียนรู้อะไรก่อนก่อนทจี่ ะเรยี นรู้ในเน้ือหาบทเรยี นนน้ั ๆ ซงึ่ จะชว่ ย ให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพข้ันของการเรียนรู้ตามแนวคิดของ Eisenkraft (2003 : 58) มี เน้อื หาสาระ ดังน้ี 1. ข้ันตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ในขั้นนี้จะเป็นขั้นที่ครูจะตัง้ ค้าถามเพ่ือกระตุน้ ให้ ผู้เรียนได้แสดงความรู้เดิมออกมา เพื่อครูจะได้รู้ว่า เด็กแต่ละคนมีพ้ืนความรู้เดิมเท่าไร จะได้วางแผนการ สอนไดถ้ กู ต้อง และครไู ดร้ ูว้ า่ นักเรียนควรจะเรียนเนอื้ หาใดก่อนท่จี ะเรยี นในเน้ือหานัน้ ๆ 2. ขั้นเร้าความสนใจ (Engagement Phase) เป็นการน้าเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องท่ีสนใจจากความ สงสัย หรืออาจเร่ิมจากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เรื่องท่ีน่าสนใจ อาจมาจากเหตกุ ารณท์ ่กี ้าลังเกดิ ขนึ้ อยูใ่ นชว่ งเวลานน้ั หรอื เป็นเร่อื งทเ่ี ช่อื มโยงกับความร้เู ดิมทีเ่ ด็กเพ่ิงเรียนรู้ มาแล้ว ครูเปน็ คนกระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นสร้างคา้ ถามกา้ หนดประเดน็ ที่ทจี่ ะกระตนุ้ โดยการเสนอประเด็นข้ึนก่อน แต่ไมค่ วรบงั คับใหน้ ักเรียนยอมรับประเดน็ หรอื ค้าถามท่ีครกู า้ ลงั สนใจเปน็ เรอ่ื งที่จะใช้ศึกษา 3. ขั้นส้ารวจและค้นหา (Exploration Phase) ในขั้นนี้จะต่อเน่ืองจากขั้นเร้าความสนใจ ซึ่งเมื่อ นักเรียนท้าความเข้าใจในประเด็นหรือค้าถามที่สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็มีการวางแผนก้าหนด แนวทางควรส้ารวจตรวจสอบ ตั้งสมมุติฐาน ก้าหนดทางเลือกท่ีเป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวม ข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจท้าได้หลายวิธี เช่น ท้าการทดลอง ท้า
16 กิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพ่ือช่วยสร้างสถานการณ์จ้าลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูล จากเอกสารอ้างอิงจากแหล่งขอ้ มลู ต่าง ๆ เพอื่ ใหไ้ ด้มาซง่ึ ขอ้ มลู อยา่ งเพียงพอทจ่ี ะใชใ้ นข้นั ต่อไป 4. ข้ันอธิบาย (Explanation Phase) ในข้ันน้ีเม่ือนักเรียนได้ข้อมูลมาอย่างเพียงพอจากการส้ารวจ ตรวจสอบแล้ว จึงน้าข้อมูล ข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และน้าเสนอผลท่ีได้ในรูปต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป สร้างแบบจ้าลองทางคณิตศาสตร์ หรือรูปวาด สร้างตารางฯลฯการค้นพบในด้านน้ีอาจ เปน็ ไปไดห้ ลายทาง เชน่ สนบั สนุนสมมุติฐานท่ีตงั้ ไว้ โตแ้ ยง้ กับสมมุติฐานทต่ี ้ังไว้ หรอื ไมเ่ ก่ียวข้องกับประเด็น ท่ไี ด้กา้ หนดไว้ แต้ผลที่ได้จะอยูใ่ นรูปใดก็สามารถสรา้ งความรแู้ ละชว่ ยใหเ้ กดิ การเรยี นร้ไู ด้ 5. ข้ันขยายความคิด (Expansion Phase/Elaboration Phase) เป็นการน้าความรู้ท่ีสร้างข้ึนไป เช่ือมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือน้าแบบจ้าลองหรือข้อสรุปท่ีไปใช้อธิบาย สถานการณ์หรือเหตุการณ์อ่ืน ๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อก้ากัดน้อย ซ่ึงก็จะช่วยให้ เช่อื มโยงกบั เร่อื งราวต่าง ๆ และทา้ ใหเ้ กิดความรสู้ กึ กวา้ งขวางข้นึ 6. ข้นั ประเมนิ ผล (Evaluation Phase) ในขัน้ นีเ้ ป็นการประเมินการเรียนรดู้ ้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบา้ ง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากข้ันน้ีจะน้าไปสู่การน้าความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในดา้ นอ่นื ๆ 7. ขน้ั นา้ ความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ในขัน้ นเ้ี ปน็ ทค่ี รูจะตอ้ งมกี ารจัดเตรยี มโอกาสให้นักเรียน ได้น้าสิ่งท่ีได้เรียนมาไปประยุกต์ใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ในชีวิตประจ้าวนั ครูจะเป็นผู้กระตุ้นให้นักเรียนสามารถ นา้ ความรทู้ ่ไี ดร้ ับไปสร้างเป็นความรู้ทเ่ี รยี กว่า “การถ่ายโอนการเรยี นรู้” จากข้ันตอนต่าง ๆ ในรูปแบบการสอนโดยวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบการสอน โดยใชว้ ฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ขัน้ จะเน้นการถา่ ยโอนการเรียนรู้และให้ความส้าคญั กับกาตรวจสอบความรู้เดิม ของเด็กซ่ึงเป็นส่ิงท่คี รูไม่ควรละเลย หรอื ละทิ้ง เน่ืองจาก การตรวจสอบพื้นความรู้เดมิ ของเด็กจะท้าให้ครูได้ ค้นพบว่านักเรียนจะต้องเรียนรู้อะไรก่อนท่ีจะเรียนในเนื้อหาน้ัน ๆ นักเรียนจะสร้างความรู้จากพื้นความรู้ เดิมท่ีเด็กมี ท้าให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายและไม่คิดแนวความคิดท่ีผิดพลาด การละเลยหรือ เพิกเฉยในข้ันนี้จะท้าให้ยากแก่การพัฒนาแนวความคิดของเด็กซ่ึงจะไม่เป็นไปตามจุดมุ่งหมายท่ีครูวางไว้ นอกจากน้ยี ังเน้นให้นกั เรยี นสามารถน้าความรู้ทีไ่ ด้รบั ไประยกุ ต์ใช้ให้เกิดประโยชนใ์ นชีวิตประจา้ วันได้ 2. การคดิ วิเคราะห์ 2.1 ความหมายของการคดิ วิเคราะห์ การคดิ วิเคราะห์ มีประโยชนใ์ นการพจิ ารณาเร่อื งราวตา่ ง ๆ ท้าให้บุคคลได้พิจารณาส่งิ ท่ีเกิดข้ึน อย่างครบถ้วนในแงม่ ุมต่าง ๆ ได้มนี ักการศึกษาหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายของการคิดวิเคราะห์ ดังนี้ บลูม (Boom:1996 อ้างถึงใน ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ 2553:68) ให้ความหมายของ การคิดวิเคราะห์ว่า หมายถึงความสามารถในการแยกแยะเพ่ือหาส่วนย่อยของเหตุการณ์ เรื่องราวหรือ เน้ือหาต่าง ๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีความส้าคัญอย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล และท่ีเป็นอย่างนั้น อาศยั หลกั การอะไร กู๊ด (Good,1973 :680 อ้างถึงใน ชยั วฒั น์ สุทธริ ตั น์ 2553:68) ให้ความหมายของ การคิดวเิ คราะหไ์ วว้ ่า หมายถงึ การคิดอย่างรอบคอบ ตามหลักของการประเมิน และมีหลกั ฐานอ้างองิ เพ่ือหาข้อสรุป ที่น่าจะเป็นไปได้ ตลอดจนพิจารณาองค์ประกอบท่ีเกี่ยวข้องทั้งหมด และใช้กระบวนการ ตรรกวิทยาไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง สมเหตสุ มผล
17 เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักด์ิ (2546) ให้ความหมายของการคิดวเิ คราะห์ว่า หมายถึงความสามารถใน การสืบคน้ ข้อเทจ็ จรงิ เพื่อตอบคา้ ถามเก่ียวกบั บางส่ิงบางอยา่ ง โดยการตีความ การจ้าแนกแยกแยะ และการ ทา้ ความเข้าใจกบั องคป์ ระกอบของสิ่งนน้ั และองคป์ ระกอบของสง่ิ อืน่ ๆ ทสี่ ัมพันธ์กนั รวมทง้ั เชื่อมโยงความสัมพนั ธ์เชิงเหตุและผลท่ีไม่ขดั แย้งกนั ส้านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2549) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า หมายถึงการระบุเร่ืองหรอื ปัญหา การจ้าแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูล เพ่ือจัดกลุ่มอย่างเป็นระบบ ระบุ เหตุผลหรือเช่ือมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูล ตรวจสอบข้อมูลและหาข้อมูลเพ่ิมเติม เพ่ือให้เพียงพอในการ ตดั สินใจ/แกป้ ญั หา/คิดสร้างสรรค์ สุวิทย์ มูลค้า (2551) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจ้าแนก แยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งใดส่ิงหน่ึง อาจเป็นวัตถุสิ่งของ เรื่องราว หรือเหตุการณ์ และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริง หรือสงิ่ สา้ คัญของส่งิ ทก่ี ้าหนดให้ ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ (2553) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์หมายถึง ความสามารถในการมองเห็นรายละเอียดและจ้าแนกแยกแยะองค์ประกอบสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ เร่อื งราว เหตุการณ์ ออกเป็นสว่ นยอ่ ย ๆ และจัดเป็นหมวดหมู่ เพื่อค้นหาความจรงิ ความส้าคญั แก่นแท้ องค์ประกอบ หรอื หลกั การของเรอ่ื งนั้น ๆ สามารถอธิบายตีความสิ่งท่เี ห็นที่อาจแฝงซ่อนอยู่ภายใน สิง่ ตา่ ง ๆ หรือปรากฏไดอ้ ย่างชัดเจน รวมทง้ั หาความสมั พันธแ์ ละความเชือ่ มโยงของสิ่งตา่ ง ๆ วา่ เกย่ี วพนั กนั อย่างไร อะไรเปน็ เหตุ สง่ ผลกระทบต่อกันอย่างไร อาศัยหลกั การใด จนไดค้ วามคิดเพื่อน้าไปสกู่ ารสรุป การ ประยุกตใ์ ช้ ท้านายหรือคาดการณ์ สิ่งตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง สุคนธ์ สนิ ธพานนท์ และคณะ (2552) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะหไ์ วว้ า่ การคดิ วเิ คราะห์ เป็นการคิดที่สามารถจา้ แนกแยกแยะขอ้ มูลหรือวตั ถุสง่ิ ของต่าง ๆ หรือเรอื่ งราวเหตกุ ารณ์ ออกเปน็ สว่ นยอ่ ยๆ ตามหลกั การหรอื เกณฑ์ท่ีกา้ หนดเพ่ือค้นหาความจรงิ หรอื ความสา้ คัญท่แี ฝงอยู่ หรือ ปรากฏจนไดค้ วามคิดท่จี ะนา้ ไปส่ขู ้อสรุปและน้าไปประยุกต์ใช้ จากความหมายของการคิดวิเคราะหด์ งั กล่าว สรุปได้วา่ การวเิ คราะห์ หมายถึงความสามารถในการ แยกแยะเพ่ือสืบค้นข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ เรื่องราวหรือเนื้อหาต่าง ๆ โดยการจ้าแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูล จัดกลุ่มอย่างเป็นระบบ ตีความ และท้าความเข้าใจกับองค์ประกอบของส่ิงน้ัน โดยมี หลักฐานอ้างอิงเพ่ือหาข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้และใช้กระบวนการตรรกวิทยาในการสรุปตัดสินใจอย่าง ถูกตอ้ งและสมเหตสุ มผล 2.2 ลกั ษณะของการคิดวิเคราะห์ สุวิทย์ มูลค้า (2547) ไดจ้ ้าแนกลกั ษณะของการคดิ วิเคราะหเ์ ป็น 3 ลกั ษณะ ดังน้ี 1) การคิดวิเคราะห์ส่วนประกอบ เป็นความสามารถในการหาส่วนประกอบท่ีส้าคัญของ สิง่ ของหรือเร่อื งราวต่าง ๆ เชน่ การวเิ คราะหส์ ว่ นประกอบของพืช สัตว์ ขา่ ว ขอ้ ความหรือเหตกุ ารณ์ เช่น (1) สว่ นประกอบของพืชมอี ะไรบา้ ง (2) อะไรเป็นสาเหตสุ า้ คญั ของการระบาดของไขห้ วดั นกในประเทศไทย (3) อะไรเปน็ สาเหตขุ องการปฏิรปู อาชวี ศกึ ษายกพวกตีกนั (4) สาระส้าคัญของการปฏริ ูปการเรยี นรู้ คอื อะไร 2) การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการหาความสัมพันธ์ของ
18 ส่วนส้าคัญต่าง ๆ โดยการระบุความสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผล ความแตกต่าง ระหว่างข้อโต้แยง้ ท่เี กยี่ วขอ้ งและไม่เกี่ยวข้องกัน เช่น (1) การทค่ี รอบครวั มปี ัญหาส่งผลต่อการเรียนรขู้ องผู้เรียนอย่างไร (2) การเกดิ ภยั ธรรมชาติ มีสว่ นสมั พันธก์ บั ระบบนเิ วศอยา่ งไร (3) การพฒั นาประเทศกบั การศึกษา มคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร 3) การวเิ คราะห์หลกั การ เป็นความสามารถในการหาความสัมพันธ์ในส่วนส้าคญั ในเรื่องนั้น ๆ ว่าสัมพันธ์กันอยู่หลักการใด เช่น การให้ผู้เรียนค้นหาหลักการของเร่ือง ประเด็นส้าคัญของเร่ือง เทคนคิ ทีใ่ ช้ในการจูงใจผอู้ า่ น (1) หลกั การสา้ คัญของศาสนาพุทธ ไดแ้ ก่อะไรบ้าง (2) หลักการมสี ่วนร่วม ได้แก่อะไรบา้ ง (3) หลักการทเี่ นน้ การจดั การเรยี นรู้ของผู้เรยี นเป็นส้าคัญ ไดแ้ ก่อะไรบ้าง (4) ความมุง่ หมายในการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2552 ประกอบด้วยอะไรบ้าง เกรยี งศักดิ์ เจริญวงศศ์ ักด์ิ (2546) ได้จ้าแนกลักษณะของการคดิ วเิ คราะห์ตามจุดประสงค์ได้ 3 ลักษณะ คือ (1) เพ่ือแจกแจงให้รู้ว่าส่ิงนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง คือค้นหาว่าสิ่งน้ันท้ามาจากอะไร มี ส่วนประกอบอะไรบ้าง โดยแยกแยะเป็นส่วนย่อย ๆ และแจกแจงรายละเอียดทั้งหมดโดยจัดแยกเป็น หมวดหมู่หรือล้าดับความส้าคัญ เพ่ือให้ทราบโครงสร้างของสิ่งของน้ันประกอบด้วยส่วนย่อยอะไรบ้าง เชน่ ในสมัยก่อนคนคิดว่าน้าเป็นธาตุ จนกระท่ังลาวัวซิเออร์ ท้าการทดลองแยกสารประกอบพบว่าน้าเป็น สารประกอบของกา๊ ซไฮโดรเจน และออกซเิ จน เปน็ ต้น (2) เพอื่ แยกแยะความแตกตา่ งระหว่างส่ิงหนึง่ กับสง่ิ อ่นื ๆ ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ ทดี่ ูคล้ายกัน หรือมีความคลุมเครือดูไม่ออกว่าเป็นอะไร จึงต้องมีการวิเคราะห์จ้าแนกความแตกต่าง เช่น จานใบน้ี แตกต่าง จากจานใบอ่ืน ๆ ในชุดเดียวกันตรงที่มรี อยบนิ่ ตรงขอบด้านหน่ึง หรือชาวประมงสามารถแยกแยะได้วา่ แสง ไฟใดเปน็ แสงไฟจากประภาคาร ท่ามกลางหมอกทหี่ นาทึบในเวลากลางคนื (3) เพ่อื คน้ หาสาเหตุของสิ่งท่เี กดิ ขน้ึ เพราะการคดิ วิเคราะห์ช่วยให้เกดิ การพิจารณาอย่างลึกซึง้ ลงไปรายละเอยี ดปลีกย่อยตา่ ง ๆ อย่างรอบคอบ จากที่นักวิชาการได้อธิบายถึงลักษณะของการคิดวิเคราะห์ สรุปได้ว่า ลักษณะของการคิด วิเคราะห์ เป็นการคิดวิเคราะห์ถึงส่วนประกอบ ความสัมพันธ์ และหลักการโดยการแยกแยะเป็นสว่ นย่อย ๆ และแจกแจงรายละเอียดทงั้ หมด โดยจัดแยกเปน็ หมวดหม่หู รอื ลา้ ดับความส้าคญั เพอื่ ให้ทราบโครงสร้าง ของสิง่ ของนั้น 2.3 องคป์ ระกอบของการคดิ วเิ คราะห์ สุวิทย์ มูลค้า (2547) ได้อธิบายเกี่ยวกับองค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์มีองคป์ ระกอบทส่ี า้ คญั 3 ประการ คือ 1) สงิ่ ทีก่ ้าหนด เปน็ สิง่ ส้าเรจ็ รูปทก่ี า้ หนดใหว้ เิ คราะห์ เช่น วัตถุ สิง่ ของ เรอ่ื งราว เหตุการณห์ รือปรากฏการณต์ ่าง ๆ เป็นตน้ 2) หลักการหรือกฎเกณฑ์ เป็นขอ้ ก้าหนดสา้ หรบั ใชแ้ ยกส่วนประกอบของสง่ิ ของเร่ืองราว เหตกุ ารณ์ หรือปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ เป็นต้น
19 3) การค้นหาความจริงหรือความส้าคัญ เป็นการพิจารณาสว่ นประกอบของสิง่ ที่ก้าหนดให้ ตามหลักการหรือกฎเกณฑ์ แล้วท้าการรวบรวมประเด็นทสี่ ้าคัญเพ่ือหาข้อสรุป โดยท่ัวไปการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 องค์ประกอบ คือ ทักษะในการ จดั ระบบขอ้ มูล ความเช่ือถือได้ของข้อมลู และการใชท้ ักษะเหล่านนั้ อย่างมีปญั ญาเพ่ือชี้น้าพฤติกรรม ดงั นนั้ การคิดวิเคราะหจ์ ึงตรงกนั ข้ามกบั ลกั ษณะต่อไปนี้ Sciven & Paul (2003, อ้างอิงใน เสง่ียม โตรัตน์,2546) 1) การคิดวเิ คราะหจ์ ะไมเ่ ป็นเพยี งการรู้หรอื การจา้ ข้อมลู เพยี งอย่างเดียว เพราะการคิดวเิ คราะห์ จะเป็นการแสวงหาขอ้ มลู และการน้าข้อมลู ไปใช้ 2) การคิดวเิ คราะห์ไมเ่ พียงแต่การมีทักษะเทา่ น้นั แต่การคิดวเิ คราะหจ์ ะต้องเก่ยี วกับ การใช้ทักษะอย่างต่อเน่ือง 3) การคดิ วเิ คราะห์ไม่เพียงแต่การฝกึ ทักษะอย่างเดยี วเท่านั้น แตจ่ ะต้องมที ักษะ และ จะต้องค้านงึ ถงึ ผลทย่ี อมรบั ได้ การจัดกจิ กรรมตา่ ง ๆ ทีป่ ระกอบเปน็ การคิดวิเคราะห์แตกตา่ งไปตามทฤษฎีการเรียนรู้ โดยทั่วไป สามารถแยกแยะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกบั การคิดวิเคราะห์ได้ดงั นี้ 1) การสงั เกต จากการสังเกตข้อมูลมาก ๆ สามารถสร้างเป็นขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ 2) ขอ้ เทจ็ จริง จากการรวบรวมขอ้ เทจ็ จริงมากมายและการเช่อื มโยงข้อเท็จจรงิ บางอย่างที่ ขาดหายไปสามารถท้าใหม้ ีการตีความ 3) การตคี วาม เปน็ การทดสอบความเที่ยงตรงของการอ้างอิง จงึ ใหเ้ กดิ การตงั้ ข้อตกลงเบ้อื งตน้ 4) การตั้งข้อตกลงเบื้องต้น จากข้อตกลงเบ้ืองต้นน้ีท้าใหส้ ามารถมีความคดิ เห็น 5) ความคดิ เหน็ การแสดงความคดิ เหน็ จะต้องมีหลักการและเหตุผลเพอ่ื พฒั นาข้อวิเคราะห์ การวิเคราะห์จะต้องอาศัยองค์ประกอบเบื้องต้นทุกอย่างรวมกัน โดยทั่วไปผู้เรียนจะไม่เห็นความ แตกต่างระหว่างการสังเกต และข้อเท็จจริง หรือการตีความว่าแตกต่างไปจากการแสดงความคิดเห็น หาก ผเู้ รยี นเข้าใจถงึ ความแตกต่างกจ็ ะท้าให้ผูเ้ รยี นเร่ิมพฒั นาทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ได้ การฝึกการคิดวิเคราะห์จะยากกว่าการสอนให้ผู้เรียนจดจ้าข้อเท็จจริง และยากกว่าการวัดผล โดย แบบทดสอบแบบตัวเลือก จุดประสงค์ของรายวิชาจะต้องมุ่งการคิดวิเคราะห์ การเรียบเรียงความคิด การ ตัดสินคุณค่า และการน้าไปใช้ การเรียนรู้จะควบคู่ไปกับการเรียนรู้ท้ังสาระและกระบวนการเรียนรู้ ผู้สอน จะต้องจัดสภาพสิ่งแวดลอ้ มท่ีสรา้ งการคิดวิเคราะห์ Gallagher, 1975; McMillen (1986 อ้างอิงใน เสง่ียม โตรตั น์, 2546) โดยท่ัวไปครูจะต้องมีความเชอ่ื ในส่ิงตอ่ ไปน้ี 1) ครตู อ้ งมีความเช่ือวา่ การคิดวเิ คราะห์สามารถเรยี นรู้ได้จากครู เพอื่ น และแหลง่ เรยี นรู้ต่าง ๆ 2) ครตู ้องมคี วามเชื่อว่าแรงจงู ใจเพือ่ คิดค้นการแก้ปญั หาเป็นจดุ เรม่ิ ต้นที่ดีของการ คิดวิเคราะห์ 3) การสอนในรายวิชาทจ่ี ะสง่ เสริมการคิดวเิ คราะห์ควรสอดคลอ้ งกับความต้องการ ของผูเ้ รยี น 4) การสอนควรเน้นผเู้ รียนเป็นส้าคญั มากกว่าการเน้นเฉพาะเน้อื หาตามบทเรียน 5) ผเู้ รยี นจะตอ้ งฝกึ วธิ ีการตดั สนิ าใจ ทกั ษะการอ่านเขียนเปน็ ทักษะส้าคัญของการคิดวิเคราะห์ 6) ผเู้ รยี นควรเรียนรู้การทา้ งานร่วมกบั ผูอ้ ืน่ 7) การสอนวิธีการแก้ปญั หาทา้ ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามสามารถในด้านอภปิ รชี าญาณท่ชี ่วย คิดวิเคราะหไ์ ดด้ ี และการเรียนการสอนควรคา้ นึงถงึ การบูรณาการความรู้ การคิด วเิ คราะห์และเทคนิคการสอนในชน้ั เรยี น
20 การคิดวิเคราะห์ไม่สามารถสอนโดยการบรรยายด้านเดียว การวิเคราะห์เป็นกระบวนการที่ผู้เรียน จะต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบ การนั่งฟังบรรยายอย่างเดียวไม่ได้ท้าให้ผู้เรียนมีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ ทักษะการ คดิ วิเคราะหจ์ ะตอ้ งมกี ารสะท้อนความคดิ มปี ฏิสมั พันธ์ต่อความคิดท่ไี ดร้ ับ โดยท่ัวไปการคิดวิเคราะห์เปน็ กิจ กกรมที่มีการแสดงออก ดังนน้ั กิจกรรมการเรียนการสอนตา่ ง ๆ ตอ่ ไปน้จี ะชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดการคิดวเิ คราะห์ ได้ 1) การสอนแบบบรรยาย การสร้างความคิดวิเคราะห์จะเกิดขึ้นได้ในการบรรยายท่ีมีการหยุดการ บรรยายเป็นระยะ ๆ และถามค้าถามผู้เรียนให้ค้นหาค้าตอบท่ีต้องใช้ความคิดเก่ียวกับสาระท่ีได้ฟังจากการ บรรยาย และผู้บรรยายจะต้องคอยฟังค้าตอบจากผู้เรียน ผู้บรรยายอย่ารีบตอบค้าถามเสียเอง ให้เวลา ผู้เรียนมีโอกาสคิดก่อนตอบ ผู้บรรยายจะต้องพยายามจ้าช่ือผู้เรียนให้ได้เร็ว และถามค้าถาม โดยการ เรียกชื่อถ้าผู้เรียนตอบไม่ได้พยายามช่วยผู้เรียน โดยการขยายความให้เข้าใจ เช่น การต้ังค้าถามท่ีช่วย น้าไปสู่การคิด เช่น ต้องการข้อมูลส่วนใดเพ่ิมเติมในการตอบข้อค้าถาม ข้อมูลน้ันจะน้ามาช่วยตอบค้าถาม อย่างไรหรือผู้บรรยายอาจจะช่วยค้าถามง่ายๆ ท่ีเก่ียวกับข้อมูลด้านข้อเท็จจริงก่อน เพราะมีผู้เรียนบางคน อาจมีปัญหาเรื่องการจับเท็จเบื้องต้นยังไม่ได้ ไม่ได้ต้ังใจฟังบรรยาย ขาดทักษะการเป็นผู้ฟังที่ดี หรือขาดกล ยุทธ์ในการฟังบรรยาย ไม่สามารถรวบรวมความคิด และจดบันทึกได้ ดังนั้นวิธีการเบ้ืองต้นของการคิด วิเคราะห์ คือ จะต้องรู้วิธีการฟังบรรยายอย่างมีปฏิกิริยาโต้ตอบมากกว่าการฟังเฉยๆ ผู้เรียนหลายคนขาด ทักษะนี้เพราะไม่ได้ฝึก ดังนั้นก่อนที่ผู้เรียนจะตอบค้าถามวิเคราะห์ได้ ผู้เรียนต้องเข้าใจเรื่องท่ีฟัง สามารถ สรุปประเด็นเก่ียวกับเร่ืองท่ีฟังเสียก่อน ในสังคมไทยผู้เรียนส่วนใหญ่จะถูกสอนให้จ้ากฎเกณฑ์ให้เป็นผู้รับ ข้อมลู จากผสู้ อน มากกวา่ การกระตุ้นให้เขาพูดและเช่อื มั่นในส่งิ ทีเ่ ขาพูด ค้าถามทกี่ ระต้นุ ความคดิ และค้นหา ค้าตอบนั้นอาจจะฟังดูก้ากวม สร้างความไม่แน่ใจแก่ผู้ตอบ โดยเฉพาะทางด้านวรรณกรรม ผู้เรียนจะต้อง คิดถึงประเด็นให้ลึกซึ้ง และประเมินข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องประมวลความคิดและประสบการณ์ท่ีเก่ียวกับค้าถาม น้ันผู้สอนจะต้องสอนให้ผู้เรียนให้รู้จักเชื่อมรูปแบบความคิด ถ้าผู้เรียนมีโอกาสในการคิดอย่างลึกซ้ึงและ เช่ือม่ันในค้าตอบของตนเอง จุดน้ีจะเป็นโอกาสที่ส้าคัญท่ีจะส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ข้ึนในตัวผู้เรียนได้ นอกจากนก้ี อ่ นทก่ี ารบรรยายจะสน้ิ สดุ ลงควรให้ผเู้ รียนใช้เวลาเขียน 1-2 นาที เกี่ยวกบั เรื่องท่ีฟัง เช่น (1) การบรรยายวนั น้ีมปี ระเดน็ ใดทสี่ ้าคญั ทีส่ ดุ (2) ระบหุ นง่ึ ประเด็นท่ีผ้เู รียนร้สู กึ สับสน ข้อคา้ ถามนี้เป็นสิง่ ส้าคญั โดยครูจะต้องใหค้ ้าตอบย้อนกลับทันทวี า่ วันนผ้ี เู้ รยี นรอู้ ะไร และประเด็น ใดท่ีผู้เรียนจ้าเป็นจะต้องท้าความเข้าใจ (ในความเป็นจริงแล้วสิ่งน้ีเป็นการวิจัยช้ันเรียนเพื่อค้นหาว่าผู้เรยี น เรียนรู้อะไร และเรียนรู้อย่างไร และเราผู้สอนสอนอย่างไร) การท้าเช่นน้ีนอกจากจะพัฒนาความคิด วเิ คราะห์แล้ว ยงั สามารถพฒั นาทักษะการเขียนของผู้เรียนไดด้ ้วย เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจจะช่วยท้าให้ผู้เรียน กล้าคิด กล้าถาม และกล้าตอบ ครูควรตอบค้าถาม อยา่ งเป็นมติ ร อย่าท้าให้ผู้ถกู ถามรู้สกึ ต่้าต้อยหรือเสยี หน้าพยายามชดเชยคนถาม เชน่ “ค้าถามดมี าก” “ฉนั เชื่อว่าเธอคงมีข้อสงสัยอยากถามอีกมากมาย” พยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าถาม การถามของผู้เรียนแสดง ให้เห็นวา่ ผ้เู รยี นคดิ ขณะท่ฟี ังบรรยาย การคดิ ตามชว่ ยสง่ เสรมิ การคดิ วเิ คราะห์ไดเ้ ปน็ อย่างดี 2) การปฏิบัติในห้องปฏบิ ัติการและการท้าโครงงาน โครงการต่าง ๆ การฝึกในห้องปฏบิ ัติการ เป็น วิธีการท่ีดีมากในการสร้างเสริมการคิดวิเคราะห์ เน่ืองจากการเรียนการสอนแบบโครงงานและการ ปฏิบัติการต้องอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาค้าตอบ ดังนั้นทางท่ีจะช่วยเสริมสร้างการคิด วิเคราะห์ท่ีดีน่าจะเริมโดยการให้ผู้เรียนฝึกทดลองการท้าโครงงานให้มาก เพราะวิธีการสอนแบบโครงงาน เป็นการเรยี นรแู้ บบการแก้ปญั หา จะตอ้ งมีการรวบรวมข้อมลู หลักฐานอย่างรอบคอบก่อนการสรปุ
21 3) การให้การบ้าน มีโอกาสมากมายที่จะเสรมิ สรา้ งการคิดวเิ คราะห์โดยการให้การบ้านผู้เรียน เชน่ การบ้านการอ่าน ครูควรแนะน้าให้ผู้เรียนถามค้าถามท่ัว ๆ ไป ที่เก่ียวกับหัวเรื่องบทอ่านก่อนที่ผู้เรียนอ่าน และให้ผู้เรียนระดมสมองเพื่อเรียบเรียงโน้ตเก่ียวกับค้าถามเหล่านั้น อาจจะให้ผู้เรียนเรียบเรียงภาษาใหม่ (paraphrase) สรปุ ทา้ โครงร่างเรื่อง (outline) ท่มี อบหมายใหอ้ ่าน ครูอาจจะให้คะแนนในการอ่าน โดยการ ถามโดยปากเปล่า ซ่ึงการอธิบายโดยปากเปล่าจะช่วยให้ผู้เรียนเตรียมพร้อมได้ดี เพราะเป็นการแสดงออก โดยตรงตอ่ หนา้ ผู้อ่นื และครคู วรจะเก็บงานท่ีผู้เรยี นพยายามเขยี นมาตรวจดว้ ย การให้ผู้เรียนเขียนเป็นสิ่งท่ีดีเย่ียมและง่ายที่สุดในการเพ่ิมพูนการคิดวิเคราะห์ (การเขียนในที่นี้ ไม่ใชก่ ารลอกงานเขียน) การเขียนจะชว่ ยใหผ้ ้เู รียนพยายามเรียบเรียงความคิด และวิเคราะห์เก่ยี วกับเร่ืองที่ จะเขียน เชน่ ให้ผเู้ รยี นอา่ นกลอนงา่ ยๆ และถามความรู้สกึ เกีย่ วกับกลอน เช่น เรือ่ งเกดิ ขน้ึ ท่ีใด น้าเสยี งของ ภาษาเป็นอย่างไร ท้าไมจึงใช้สัญลักษณ์เช่นนั้น เป็นต้น หรือให้ผู้เรียนอ่านข่าว ให้ผู้เรียนเขียนสมมติฐานท่ี ท้าให้เกิดข่าวน้ัน ฝึกให้ผู้เรียนเขียนเหตุผลท่ีรัดกุมที่จะชักจูงให้คนเชื่อหรือไม่เชื่อจากข่าวท่ีได้อ่านมา เป็น ตน้ 4) การท้ารายงาน การท้างานช่วยเสริมการคิดวิเคราะห์ เพราะผู้เรียนจะต้องค้นหาความรู้ วเิ คราะห์เน้อื หาอย่างมเี หตผุ ล และเสนอข้อมูลในรูปของการสรุปลงในรูปแบบรายงาน ซึ่งการเขียนรายงาน เหล่าน้ีจะเกี่ยวข้องกับการสะกดค้า การใช้ไวยากรณ์ การใช้เคร่ืองหมาย วรรคตอนและโครงสร้าง ช่วงที่ ผู้เรียนค้นหาความรแู้ ละเขยี นรายงาน ผู้เรยี นจะต้องคิดวเิ คราะห์ 5) การสอบ ในการสอบผู้เรียนจะตอ้ งคิดและเขียนไปพร้อมกัน เช่น (1) จงใชโ้ ครงสร้างแผนภูมิเรื่องที่ก้าหนดให้เขียนเรอ่ื งเพ่ือสนองในดา้ นความ มวี ินัยในตนเอง (2) จงเปรยี บเทียบข้อดแี ละข้อเสยี ของการอนุญาตให้ผหู ญงิ แต่งงานแล้วมีสิทธิ์ทีจ่ ะไมใ่ ช้ นามสกลุ สามี (3) จงเขียนสรปุ กฎในการเก็บตวั อย่างการทดลองทางการแพทย์ เพื่อศึกษา จุลชวี ิน นอกจากการเขียนตอบในห้องเรียนแล้ว ครูอาจจะมีคะแนนโบนัสให้ผู้เรียนท้าแบบทดสอบ เลือกตอบเพ่ิมเติม แบบทดสอบปรนัยก็ช่วยเสริมสร้างการคิดวิเคราะห์ได้ ถ้าระดับการถามสามารถถามได้ ถงึ ระดบั วเิ คราะห์ สังเคราะห์ และการวิจารณ์ จากที่นักวิชาการได้อธิบายถึงองค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์โดยสามารถสรุปองค์ประกอบท่ี ส้าคัญของการคิดวิเคราะห์ คือ จะต้องมีสิ่งที่ก้าหนดให้วเิ คราะห์ เช่น วัตถุ ส่ิงของ เร่ืองราว เหตุการณ์หรือ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น โดยมีหลักการหรือกฎเกณฑ์ เป็นข้อก้าหนดส้าหรับใช้แยกส่วนประกอบของ เร่อื งเหล่านั้น เพอื่ ค้นหาความจรงิ พรอ้ มทา้ การรวบรวมประเดน็ ทีส่ ้าคัญเพ่ือหาข้อสรปุ 2.4 การวดั และประเมินการคิดวเิ คราะห์ การวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2539) คือการวัด ความสามารถในการแยกแยะส่วนย่อยของสถานการณ์ หรือเนอื้ หา วา่ ประกอบด้วยอะไร มีจดุ มงุ่ หมายหรือ จุดประสงค์อะไร นอกจากนี้ยังมีส่วนย่อยใดท่ีส้าคัญ ในแต่ละเหตุการณ์ท่ีเกี่ยวพันกันอย่างไร และเก่ียวพัน โดยอาศัยหลักการใด จะเห็นว่าการวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์จะเต็มไปด้วยการหาเหตุผลมา เกี่ยวข้องกันเสมอ การวิเคราะห์จึงต้องอาศัยพฤติกรรมด้านความจ้า ความเข้าใจ และด้านการน้าไปใช้ มา ประกอบการพิจารณาวัดความสามารถในการคิดวเิ คราะห์แบง่ เป็น 3 ประการ
22 1) การวิเคราะห์ความส้าคัญ เป็นการวิเคราะห์ว่า ส่ิงท่ีอยู่น้ันอะไรส้าคัญหรือจ้าเป็นหรือมีบทบาท สา้ คญั ทีส่ ุด ตวั ไหนเป็นผล เหตผุ ลใดถูกตอ้ งและเหมาะสมทสี่ ุด ตัวอย่างค้าถาม เช่น การรบั ประทานอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ การรับประทานอาหารเสริมท่ีจ้าหน่ายตามร้านขายยาท่ัวไป อย่างไหนดีต่อร่างกายมากกว่า กัน 2) วิเคราะหค์ วามสัมพันธ์ เป็นการหาความสัมพนั ธ์ หรอื ความเกย่ี วข้องส่วนย่อยในเหตุการณ์ หรอื เนื้อหา หรือค้นหาว่าแต่ละเหตุการณ์มีความสัมพันธ์อะไรที่ไปเกี่ยวพันกัน ตัวอย่างค้าถาม เช่น ท้าไม กระบองเพชรในทะเลทรายจงึ ไมม่ ใี บ 3) วิเคราะห์หลักการ เป็นความสามารถท่ีเข้าใจว่าเรื่องราวนั้นยึดหลักหรือปรัชญาใด ส่ือสารสัมพันธ์ เพ่อื ให้เกดิ ความเข้าใจ ตัวอยา่ งคา้ ถาม เช่น เหตใุ ดเรอื ท่มี ขี นาดใหญจ่ ึงสามารถลอยน้าได้ Benjamin S. Bloom (1956) กลา่ ววา่ การวัดความสามารถในการคดิ วเิ คราะหน์ ัน้ จะต้องพิจารณา ท้ัง 3 ดา้ น ซ่ึงประกอบดว้ ย 1) การวิเคราะห์ความส้าคัญ เปิดการถามให้ค้นหามูลเหตุ ผลลัพธ์และความส้าคญั ของเรื่องราวน้ัน ๆ โดยใช้ทักษะวิเคราะห์ว่าตอนใดเป็นค้าอนุมานหรือสมมติฐาน วิเคราะห์ว่าตอนใดเป็นค้าสรุปหรือค้า อา้ งอิงสนบั สนนุ วิเคราะห์วา่ ข้อความนนั้ มวี ัตถุประสงค์หรือความม่งุ หมายส้าคญั ใด วเิ คราะหว์ ่าขอ้ สรุปนัน้ มี อะไรสนบั สนนุ วเิ คราะห์หาข้อผดิ พลาด 2) การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ เป็นการถามให้ค้นคว้าว่าความส้าคัญย่อย ๆ ของเร่ืองราวน้ัน เก่ียวพนั อย่างไร พาดพงิ อย่างไร ยึดทฤษฎอี ะไรเป็นหลัก โดยพจิ ารณาว่าอะไรเปน็ สาเหตุของสิ่งน้นั ๆ เรอื่ ง น้ันสิงใดเป็นผลของการกระท้าน้ัน บุคคลหรือบทความน้ันยึดทฤษฎีใด บทความน้ีมีข้ออนุมานใด ค้ากล่าว ขยายสนับสนุนหรือคัดค้านอะไร ข้อสรุปยึดเหตุผลข้อไหน ถ้าเกิดสิ่งน้ันสิ่งใดจะเกิดตามมา ยกเร่ืองราว ข้อเท็จจรงิ มาวิเคราะหว์ า่ สอดคล้องหรอื ขดั แย้งกนั 3) การวเิ คราะหห์ ลักการ เป็นการถามให้คน้ คว้าวา่ เร่ืองนน้ั ๆ อาศัยหลกั การใด มีระเบยี บในการจัดโครงสร้างอยา่ งไร จากท่ีนักวิชาการได้อธิบายถึงการวัดและประเมินการคิดวิเคราะห์ สรุปได้ว่า การวัดและประเมิน การคิดวเิ คราะห์ เพื่อแยะแยะสว่ นย่อยของสถานการณ์ ว่าเนอ้ื หามจี ดุ มงุ่ หมายหรือจุดประสงค์อะไร จงึ ต้อง อาศัยพฤตกิ รรมดา้ นการวเิ คราะหห์ าความส้าคัญ วเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ และวิเคราะหห์ ลกั การ เปน็ ส้าคัญ 2.5 การสอนเพื่อสร้างเสริมทักษะการคดิ วิเคราะห์ เสงี่ยม โตรัตน์ (2546) การจัดการศึกษาทุกระดับมุ่งฝึกให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ รู้จักตัดสินใจ อย่างมีเหตุ มีผล โดยอาศัยหลักฐานท่ีมีความตรงและเช่ือถือได้ การพัฒนาการคิดวิเคราะห์จึงต้องฝึกฝนให้ ผู้เรียนมีทักษะในการอภิปรายโต้แย้ง ฝึกกระบวนการคิด ฝึกการใช้เหตุผลและทบทวนการใช้เหตุผลเพ่ือ ตัดสินใจว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ท้ังน้ีเนื่องจากโลกปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารท้ังส่ือพิมพ์ อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นจ้าเป็นจะต้องให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ กล่าวคือ รู้จักแยกแยะ วิเคราะห์ ประเมิน และสรุปข้อมูลเพ่ือให้สามารถเลือกและใช้ข้อมูลในยุคของข้อมูลข่าวสารที่ฉับไวอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม การคิดวิเคราะห์ยังไม่พบเห็นมากนักในตัวผู้เรียน จากการศึกษาผลการประเมินมาตรฐานสถานศึกษาพบว่า มาตรฐานท่โี รงเรียนสว่ นใหญ่ควรได้รับการปรับปรงุ คือ มาตรฐานทเี่ ก่ียวกับการคิดวิเคราะห์ การมวี ิจารณญาณ การคิดสรา้ งสรรค์ ครจู งึ มีความจ้าเปน็ จะตอ้ งให้ความสนใจในการฝกึ ฝนให้ผูเ้ รียนรูจ้ ักวเิ คราะห์ Munro and Slater (1985) ไดแ้ สดงใหเ้ ห็นถงึ ขน้ั ตอนการเรยี นรู้ ซ่ึงจะท้าใหเ้ กิดข้นั ตอนการคิด วิเคราะห์ ดงั นี้
23 1) กระบวนการตดั สินใจ (Decision Making) เป็นกระบวนการทใี่ ช้ค่านิยม (Values) และ หลกั ฐานทไี่ ดม้ าจากกระบวนการแกป้ ัญหาท่ีปฏิบัตมิ าแล้ว ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการดังตอ่ ไปน้ี (1) ทักษะพ้นื ฐาน (Basic Skill) เป็นประสบการณ์เดิมท่ีใช้ในการจัดการ(Process) ข้อมูล ข่าวสาร (Information) ประกอบดว้ ยทักษะดงั นี้ (1.1) การสังเกต (Observation) ซ่ึงใชส้ า้ นักงานทงั้ หมดท่ีมอี ยแู่ ยกแยะ ขอ้ เทจ็ จริง หรือข้อคิดเห็น (1.2) การเปรยี บเทียบ (Correspondence) คุณสมบัติของส่งิ ทเ่ี หมือนกนั (1.3) การจดั กลมุ่ (Serration) ของข้อมลู ท่มี ีอยู่ (2) ทักษะการบูรณาการ (Integrated Skill) เป็นการจดั การของจิตใจทต่ี อ้ งอาศยั พ้ืนฐาน ต่างๆ มาใชใ้ นขณะเม่ือเกิดเหตุการณจ์ ริง (3) ทักษะพื้นฐานจากโรงเรียน (School Skill) เป็นทักษะทไ่ี ด้รบั การพฒั นาจากโรงเรยี น (4) การแก้ปัญหา (Problem Solving) เป็นกระบวนการทต่ี อบค้าถามหรือปัญหาที่เกิดขึน้ (5) การตัดสนิ ใจ (Decision Making) เปน็ กระบวนการของการใช้คา่ นยิ มและหลักฐานที่ ได้มาจากกระบวนการแก้ปญั หา (6) การวิเคราะห์ (Critical thinking) เปน็ ทักษะท่ีใช้สา้ หรับการพจิ ารณา ท่เี ข้าไปอย่ใู น ทุกขั้นตอนของกระบวนการตัดสนิ ใจ เพ่ือเปน็ ทกั ษะท่ตี ้องการให้เกดิ ความถกู ต้องแม่นย้า ในการตกั สนิ ใจแก้ปญั หา 2) กระบวนการเรยี นรู้ (Knowledge) เปน็ ขอ้ มลู ขา่ วสารที่มีอย่ใู นตวั บุคคลที่เกิดจากประสบการณ์ และกระบวนการท่ีได้มาของข่าวสารข้อมลู เกิดจากขั้นตอน ดังนี้ (1) ข้อมูลและข้อเทจ็ จรงิ ท่ีได้รับ (2) เกดิ มโนทศั น์ (Concept) (3) สรุปย่อ (Summary) เกดิ จากการที่ไดร้ ับข้อมลู และมโนทศั น์ต่าง ๆ เป็นขา่ วสารขอ้ มูล เชงิ ปริมาณ (4) การสรปุ (Conclusion) เป็นขอ้ ความรทู้ ี่ได้รับและเปน็ ค้าตอบสุดทา้ ยของปญั หา (5) การวางหลักฐานหรือกฎเกณฑ์ (Generalization) เป็นการวางกฎทัว่ ไปซ่ึงบคุ คลไดร้ ับ การพัฒนาและประยกุ ตม์ โนทัศนต์ า่ ง ๆ เข้าด้วยกัน 3) กระบวนการเกิดเจตคติ (Effective) เปน็ กระบวนการของความรสู้ ึกของบคุ คลท่ีไดร้ ับการ พัฒนาจากประสบการณ์ เกดิ จากข้ันตอนดังต่อไปนี้ ความรู้สึกชอบ ไมช่ อบ (Like Dislike) ทศั นคติ (Attitude) คา่ นยิ ม Value) จากท่ีนักวิชาการได้อธิบายถึงการสอนเพื่อสร้างเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ สรุปได้ว่า การจัด กิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์มีวิธีการที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับลักษณะเหตุผลและ ปัจจัยตามธรรมชาติของเน้ือหาสาระเหตุการณ์ โดยผู้สอนสามารถเลือกใช้กระบวนการคิดที่ทีความ เหมาะสมในการจัดกจิ กรรมการเรียนรูใ้ นเร่อื งน้นั ๆ 2.6 ประโยชน์ของการคิดวเิ คราะห์ การคิดวิเคราะห์มีประโยชน์อย่างย่ิง บุคคลทั่วไปสามารถน้าไปใช้ในชีวิตเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นใน สังคม ท้าให้บุคคลมีความฉลาด รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง ดังท่ี นกั วิชาการหลายท่านได้เสนอแนวคดิ ในเรอื่ งประโยชน์ของการคิดวเิ คราะห์ไวด้ ังนี้
24 ลักขณา สริวัฒน์ (2549) ได้รวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับประโยชน์ของการคดิ วเิ คราะห์เพ่ิมเติมว่า การ วิเคราะห์ก่อประโยชน์อย่างมาก ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ระดับองค์กร และระดับประเทศ ซ่ึงแทบทุกวิชา จา้ เปน็ ต้องใชก้ ารคิดวิเคราะหเ์ ปน็ เครอ่ื งมือในการศึกษาหาความรูค้ วามเขา้ ใจในเร่ืองนน้ั ๆ ดงั เชน่ 1) ในการวิจัย การวิเคราะห์นับเป็นหัวใจหลักของงานวิจัยเก่ียวข้องกับการหา ความสัมพนั ธ์ การหาเหตุและผลในการอธบิ ายเร่ืองใดเรื่องหน่ึง โดยพยายามน้าเอาความแตกต่างในตัวแปร อสิ ระไปอธบิ ายในตัวแปรตามเพอ่ื พสิ จู นส์ มมติฐานว่าเป็นจริงตามน้ันหรือไม่ 2) การวิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ในแง่มุมต่าง ๆ ช่วยให้เรา เข้าใจสาเหตุท่ีเกิดข้ึน ผลกระทบท่ีตามมา และส่ิงที่เกิดขึ้นในอนาคต อันน้าไปสู่การแก้ไขปัญหา การ เตรยี มการป้องกนั การวางแผนนโยบาย และการวางกลยุทธ์เพอ่ื มีโอกาสทดี่ ีกว่าในอนาคต 3) การวิเคราะห์ข่าว ทา้ ใหเ้ ราทราบเบ้ืองหนา้ เบ้ืองหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึน้ ในแต่ละวัน ไม่เพียงแต่จะรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเท่าน้ัน แต่ยังทราบอีกว่าเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และยังท้าให้ ทราบอีกว่าเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนจะส่งผลกระทบอย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวางกลยุทธ์และป้องกัน อย่างไรตอ่ ไป 4) การวิเคราะห์บุคคลจะช่วยให้เราเข้าใจว่าเหตุใดจึงแสดงออกมาเช่นน้ี อะไรเป็นข้อมูล เหตุจูงใจ ส่ิงท่ีเขาแสดงออกจะส่งผลกระทบต่อเขาหรือผู้อื่นหรือไม่ อย่างไรในอนาคต และถ้าข้อมูลเหตุจูง ใจเปล่ียนพฤตกิ รรมของเขาจะเปล่ยี นแปลงหรือไม่ 5) การวิเคราะห์วัตถุ สสารต่าง ๆ ท้าให้เราทราบว่าสิ่งนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง แต่ละ ส่วนช่วยท้างานประสานเชื่อมโยงกันอย่างไร การรู้โครงสร้างและส่วนประกอบท้าให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถนา้ สารทีส่ กดั ออกมานนั้ ไปใชป้ ระโยชน์ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างอเนกอนนั ต์ 6) การวิเคราะห์ข้อความ มีค้ากล่าวอ้างต่าง ๆ โดยพิจารณาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่างข้ออ้างและข้อสรุป หลักฐานท่ีน้ามากล่าวอ้างอิงวินิจฉัยแรงจูงใจ หรือเหตุผลท่ีน้ามากล่าวอ้างจะ ช่วยให้ค้นพบความถูกต้องหรือผิดพลาดของข้ออ้างน้ัน ในการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ค้าตอบท่ีต้องการมักอาศยั เครื่องมือท่ีเหมาะสมในการวิเคราะห์ เพ่ือให้ได้ค้าตอบที่ถูกต้องและชัดเจน นอกจากจะใช้เคร่ืองมือในการ วเิ คราะหแ์ ลว้ ท่ีสา้ คญั อีกประการหนึ่งก็คือ ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ของผ้ทู ้าการวิเคราะห์ ซง่ึ จะ ชว่ ยให้ผลการวิเคราะห์ทลี่ ึกซ้ึงและแมน่ ยา้ มากข้นึ 7) การวเิ คราะห์ค้นหาธรรมชาติของบางสิ่งบางอย่างดว้ ยค้าถาม เพื่อจ้าแนกองค์ประกอบ ตา่ ง ๆ ของเร่ืองนัน้ ผู้ทต่ี ้องการหาความชัดเจนของแนวคิดท่ีต้องการศึกษาด้วยจ้าแนกให้อยใู่ นลกั ษณะย่อย ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ ในการค้นหาค้าตอบให้แก่แนวคิดใด ๆ จึงจ้าเป็นต้องแยกแยะส่ิงที่เรียกว่า เง่ือนไขที่จา้ เปน็ และเง่อื นไขท่ีพอเพยี ง เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักด์ิ (2546, อ้างอิงใน ศิรินนภา นามมณี (2551) ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของการคิดวเิ คราะหว์ า่ 1) ช่วยส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญา เบิร์ต เจ. สเติร์นเบิร์ก (ม.ป.ป., อ้างอิง ใน ศรินนภา นามมณี (2551) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความเฉลียวฉลาดในการประสบความส้าเร็จ (Successful intelligence) ไว้ว่า คนจะเฉลียวฉลาดได้นั้นต้องประกอบไปด้วยความฉลาด 3 ด้าน ได้แก่ ความฉลาดในการสร้างสรรค์ (Creative intelligence) ความฉลาดในการวิเคราะห์ (Analytical intelligence) และความฉลาดในการปฏบิ ตั ิ (Practical intelligence) โดยในส่วนของความฉลาดใน การวิเคราะห์น้ัน สเติร์นเบิร์ก อธิบายว่าหมายถึง ความสามารถในการวิเคราะห์ และประเมินแนวคิดข้ึน ความสามารถในการคิดน้ามาใช้แก้ปัญหา และความสามารถในการตัดสินใจ โดยธรรมชาติคนเราจะมี
25 จุดอ่อนด้านความสามารถทางการคิดหลายประการ การคิดเชิงวิเคราะห์จะช่วยเสริมจุดอ่อนทางความคิด เหล่านี้ 2) ช่วยให้ค้านึงถึงความสมเหตุสมผลของขนาดกลุ่มตัวอย่าง ในการสรุปเร่ือง ต่างๆ เรามักไม่ได้ค้านึงถึงจ้านวนข้อมูลท่ีสามารถบ่งช้ีความสมเหตุสมผลของเรื่องนั้น แต่มักจะด่วนสรุปส่ิง ต่าง ๆ ไปตามอารมณ์ความรู้สึก หรือเหตุผลท่ีตนมีอยู่ ซึ่งยังไม่เพียงพอจะต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงของส่ิงนั้น เรามักจะเห็นตัวอย่างเพียง 2-3 ตัวอย่าง แล้วรีบด่วนสรุปโดยไม่ค้านึงถึงจ้านวนตัวอย่างว่ามีปริมาณมาก น้อยเพียงพอในการที่จะน้าไปสู่ข้อสรุปได้หรือไม่ ซึ่งท้าให้เกิดการเข้าใจผิดได้ การสรุปเช่นน้ี เรียกว่า การ สรุปแฝงด้วยความมีอคติ ดังน้ันควรสืบค้นตามหลักการ เหตุผล และข้อมูลท่ีเป็นจริงให้ชัดเจนก่อนจงึ มีการ สรปุ 3) ในหลายเรื่องมีจ้านวนของการอ้างประสบการณ์ส่วนตัวเป็นข้อสรุปท่ัวไป การ สรุปเรื่องต่าง ๆ ในหลายเรื่องมีคนจ้านวนไม่น้อยที่ใช้ประสบการณ์ท่ีเกิดขึ้นกับตนเองเพียงคนเดียวมาสรุป เป็นเร่ืองท่ัว ๆ ไป เช่น คนท่ีมีอายุยืนถึงร้อยปี มักเป็นที่ใช้อ้างกับใคร ๆ ว่าถ้ารับประทานอาหารตามแบบ เขาแล้วจะมีอายุยืนเช่นเขา หรือธุรกิจท่ีประสบความส้าเร็จมักอ้างวิธีการท้างานที่ประสบความส้าเร็จของ เขาเหมือนหลักการปฏิบัติทั่วไป การอ้างเช่นนี้ก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ เพราะอาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ได้ กล่าวถึงอันเป็นสาเหตุให้เกิดส่ิงนั้น ดังน้ัน หากขาดปัจจัยเหล่านั้นหลักปฏิบัติเช่นที่เคยได้ผลในเหตุการณ์ ของเขาอาจจะใชไ้ ม่ได้ผลกบั คนอื่น ๆ 4) ชว่ ยขุดค้นสาระของความประทับใจครั้งแรก ถ้าเราสังเกตเก่ียวกับความรู้สึกใน การกระท้าส่ิงใหม่ๆ เป็นครั้งแรก เรามักประทับใจในความรู้สึกนั้นไปตลอดว่า จะต้องเป็นเช่นน้ันเสมอ มี งานวิจัยของ ทเวอร์สกี และคาห์แมน (Tversky and kahneman) ท่ีพบว่า บุคคลส่วนใหญ่จะมีความ ประทับใจคร้ังแรงเม่ือเห็นความสอดคล้องของข้อมูลของตัวอย่างทั้งหมด แม้มีจ้านวนเพียงเล็กน้อยก็ตาม จะเป็นเหตุให้ตคี วามว่าตัวอย่างเชน่ น้ันน่าเช่ือถือมากกวา่ เช่น การให้ความเชอ่ื มั่นในข้อสรุปที่มีผ้เู ชี่ยวชาญ จ้านวนเพียง 3 คนใหก้ ารสนับสนนุ มากกวา่ ข้อสรุปที่มีผู้เชีย่ วชาญจ้านวน 10 คน จากจ้านวนผเู้ ชย่ี วชาญ 12 คน สนับสนุนท้ัง ๆ ที่ในความเป็นจริงตัวเลขหลังน่าเช่ือถือมากกว่าในทางสถิติ ดังน้ันสามารถกล่าวได้ว่า ความประทับใจคร้ังแรกท่ีมีต่อส่ิงใดสิ่งหนึ่งจะท้าให้เรารู้สึกดีในอนาคต ยิ่งถูกกระตุ้นด้วยความประทับใจ ต่อ ๆ มาย่อมท้าให้เรารู้ว่าจะเกิดสิ่งนั้นตลอดไป อันเป็นเหตุให้เกิดความล้าเอียงในการให้เหตุผลกับสิ่งน้ัน ตามกาลเวลาและบรบิ ทที่เปลี่ยนแปลงไป และการวิเคราะห์น้เี องที่ชว่ ยในการพิจารณาสาระส้าคัญอื่น ๆ ที่ ถกู บิดเบอื นไปจากความประทบั ใจในคร้ังแรก ทา้ ใหเ้ รามองอย่างครบถว้ นในแงม่ ุมอนื่ ๆ ท่ีมอี ยู่ 5) ช่วยตรวจสอบการคาดคะเนบนพ้ืนฐานความรู้เดิมในหลายๆเร่ืองที่เราจะสรุป ตามความรู้ความเข้าใจของเราเก่ียวกับการคาดการณ์บนพ้ืนฐานความจริงท่ีรับรู้เกี่ยวกับเร่ืองนั้น ตัวอย่างเช่น เราเคยได้ยินมานานแล้วว่า ภาคอีสานเป็นภาคท่ีมีความแห้งแล้งจนบางแห่งถึงกับกล่าวกันว่า ไม่มีน้าดื่มถึงขนาดต้องต้าน้ากิน ท้าให้การคาดเดาว่าจังหวดั ต่าง ๆ ในภาคอีสานน่าจะมีความแห้งแล้ง ครั้น ต่อมามีข้อมูลท่ีได้มาใหม่คือปัจจุบันน้ีมีค้าว่า อีสานเขียว ย่อมแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของภาค อีสานวา่ เต็มไปดว้ ยผกั สด ผลไม้ หากไม่มีการคดิ วเิ คราะห์แล้วก็คงจะไมเ่ ชอื่ มโยงความรู้ใหม่ ทา้ ใหเ้ กิดความ เข้าใจผิดกับข้อเท็จจริงท่ีได้ การคิดวิเคราะห์จึงช่วยในการประมาณความน่าจะเป็นโดยสามารถใช้ข้อมูล พื้นฐานท่ีเรามีวิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ของสถานการณ์ ณ เวลาน้ันอันจะช่วยให้เราคาดการณ์ความ นา่ จะเป็นได้อยา่ งสมเหตุสมผลมากกวา่ 6) ชว่ ยวนิ ิจฉยั ขอ้ เทจ็ จริงจากประสบการณส์ ว่ นบุคคล ในการวนิ ิจฉัยค้ากลา่ วของ คนนั้นจ้าเป็นต้องตระหนักให้ดีว่า ประสบการณ์ของแต่ละคนมีแนวโน้มท่ีจะมีอคติ เช่น มีบุคคล 2 คน คน หน่ึงเกิดมาในชุมชนแออัด ส่วยอีกคนหนึ่งเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นสิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยความรักความ
26 เอาใจใสจ่ ากพอ่ แม่ พบแต่ความสุขความปรารถนาความต้องการ คนทง้ั 2 คนย่อมมพี ฒั นาการความรู้สึกนึก คิดมีโลกทัศน์ในลักษณะที่แตกต่างกนั และกจ็ ะใช้กรอบท่ีแตกต่างนใ้ี นการมองโลกในการประเมินเรื่องต่าง ๆ จากกรอบโลกทัศน์ เราสรุปจากประสบการณ์ซ้า ๆ กันมีโอกาสที่จะมีอคติได้ง่าย ไม่เพียงแต่ประสบการณ์ ส่วนตัวของเราแต่ละคนเท่าน้ันที่ล้าเอียง แต่ความจ้าของเรามีแนวโน้มที่จะล้าเอียงในการถ่ายทอด ประสบการณ์ เช่น เมื่อเราคิดถึงคนขับรถโดยสารประจ้าทาง เรามักจะคิดว่าเป็นผู้ชายมากกว่าท่ีจะคิดว่า เป็นผูห้ ญงิ ส่ิงนจี้ งึ เป็นปญั หาเมื่อเราประเมินความน่าจะเปน็ โดยเช่ือมโยงกบั ตวั อย่างในความทรงจ้าของเรา ซึ่งในบางครั้งก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของตัวอย่างท่ีเข้าในความคิดความถี่ในเหตุการณ์นั้น ๆ เพราะความถี่ใน เหตุการณ์นั้น ๆ เพราะความถี่น้ีจะเป็นตัวตัดสินส้าคัญในการท้าให้ง่ายต่อการหวนร้าลึกถึง ดังนั้นการคิด วิเคราะห์จะช่วยให้เราหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลกับสิ่งท่ีเกิดข้ึนจริง ณ เวลานั้น โดยไม่มีอคติที่ก่อในความ ทรงจ้าและทา้ ให้เราสามารถประเมนิ สง่ิ ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งสมจรงิ 7) เป็นพื้นฐานการคิดในมิติอื่น ๆ การคิดวิเคราะห์นับว่าเป็นปัจจัยส้าคัญท่ีท้า หน้าที่เป็นปัจจัยหลักส้าหรับการคิดในมิติอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคิดวิพากษ์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ ฯลฯ ซ่ึง การคิดวิเคราะห์จะช่วยเสริมสร้างให้เกิดมุมมองลึก และครบถ้วนในเรื่องนั้น ๆ อันจะน้าไปสู่การตัดสินใน และการแก้ปัญหาได้ เช่น การคิดเชิงวิพากษ์มักจะท้าให้เรามีอาการคิดดูก่อน แล้วจึงเร่ิมต้นคิด เป็นการใช้ กระบวนการคิดวเิ คราะห์น่นั เอง ด้วยการใช้เหตุผลเพอ่ื สบื ค้นความจรงิ 8) ช่วยในการแก้ปัญหาการคิดวิเคราะห์เก่ียวข้องกับการจ้าแนกแยกแยะ องค์ประกอบต่าง ๆ และการท้าความเข้าใจในส่ิงท่ีเกิดข้ึน ดังนั้นจึงช่วยเราในเวลาที่พบปัญหาใด ๆ ให้ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าในปัญหานั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นน้ัน ซ่ึงจะน้าไปสู่การ แก้ปัญหาอย่างตรงประเด็นปัญหา เน่ืองจากการแก้ปัญหาใด ๆ จ้าเป็นต้องมีการคิดวิเคราะห์เสียก่อนว่ามี ปัญหาอะไรบ้าง แยกแยะวา่ มกี ่ีประเภท และแต่ละประเภทมีรายละเอียดอย่างไร เพื่อให้สามารถติดต่อไปได้ วา่ แต่ละประเภทจะปอ้ งกนั และแก้ไขได้อย่างไร 9) ช่วยในการประเมินและตัดสินใจ การวิเคราะห์จะช่วยให้เรารับรู้ข้อเท็จจริง หรือเหตุผลเบ้ืองหลังของส่ิงที่เกิดขึ้น ท้าให้เกิดความเข้าใจ และที่ส้าคัญคือจะช่วยให้เราได้ข้อมูลเป็น ฐานความรู้ในการน้าไปใช้ให้เกิดประโยชน์ การวิเคราะห์ยังช่วยให้เราสามารถประเมินสถานการณ์และ ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้แม่นย้ากว่าการท่ีเรามีเพียงข้อเท็จจริงท่ีไม่ได้ผ่านการคิดวิเคราะห์ และท้าให้ สามารถมองปัญหา เห็นโอกาสของความน่าจะเป็นในอนาคต เช่น การวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งขององค์กร โอกาสและอุปสรรคจะช่วยใหผ้ ู้ประกอบกาธุรกจิ มีข้อมูลพ้นื ฐานทีน่ ้าไปใชใ้ นการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร ตอ่ ไป นอกจากนีก้ ารวิเคราะห์ยงั ชว่ ยให้มองเหน็ โอกาสความเปน็ ไปได้ของสิง่ ทยี่ งั ไมเ่ กิดขน้ึ ชว่ ยใหเ้ กดิ ความ คาดการณใ์ นอนาคต และหากเราลงมอื ปฏิบตั ิตามนัน้ โอกาสแหง่ ความส้าเรจ็ ยอ่ มเป็นไปได้อย่างแน่นอน 10) ช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์สมเหตุสมผล การวิเคราะห์ช่วยให้เกิดการคิด ต่างๆ ของเราอยู่บนพ้ืนฐานของตรรกะน่าจะเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล มีหลักเกณฑ์ ส่งผลให้มีการคิด จนิ ตนาการ หรือสร้างสรรคส์ งิ่ ใหม่ๆ ไดร้ ับการตรวจสอบวา่ ความคิดใหม่นั้นใช้ได้จริงหรือไม่ และถ้าจะใช้ได้ จริงต้องเป็นเหตุใด แล้วมีการเช่ือมโยงสัมพันธ์ระหว่างส่ิงที่จินตนาการน้ามาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งประดิษฐ์มากมายท่ีเราพบเห็นในปัจจุบันล้วนเป็นผลลัพธ์อันเกิดจากการวิเคราะห์ว่าใช้การได้ ก่อนท่ีจะ น้าไปใช้จรงิ 11) ช่วยให้เข้าใจกระจ่าง การคิดวิเคราะห์ช่วยให้เราประเมินและสรุปสิ่งต่าง ๆ บนข้อเท็จจริงท่ีปรากฏ ไม่ใช่สรุปตามความรู้สึก หรือคาดการณ์ว่าจะเป็นเช่นนี้ การวิเคราะห์ท้าให้ได้รับรู้ ข้อมูลท่ีเป็นจริงซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ ที่ส้าคัญคือช่วยให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ ได้อย่าง เขา้ ใจลึกซึ้งมากขน้ึ เพราะการคิดวเิ คราะหท์ ้าใหส้ ิ่งที่คลุมเครือเกดิ ความกระจ่างชัด โดยสามารถแยกแยะสิ่ง
27 ดี - ไม่ดี สิ่งท่ีถูกต้อง – หลอกหลวง โดยการสังเกตความผิดปรกติของเหตุการณ์ พฤติกรรม หากเราคิด ใครค่ รวญเหตุผลและผลของสิ่งนนั้ จนเพียงพอทีจ่ ะสรปุ ได้ว่า เรอื่ งนั้นมีความเป็นมาอย่างไร เท็จจริงอย่างไร อะไรเป็นเหตุเป็นผลกับส่งิ ใด นอกจากน้ีการคิดวิเคราะห์จะช่วยนา้ ไปสู่ความเข้าใจในเร่ืองท่ีมีความซับซ้อน หากมเี คร่อื งมอื ช่วยในการวเิ คราะห์จะทา้ ให้เราค้นพบความจรงิ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ท่ีรวบรวมมาข้างต้น จึงพอสรุปได้ว่า การคิดวิเคราะห์ช่วย ให้ส่งเสริมความสามารถด้านการแกป้ ัญหา การประเมิน การตดั สนิ ใจ และสรปุ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ ทรี่ บั รู้ด้วยความ สมเหตสุ มผล ก่อใหเ้ กิดความฉลาดทางสติปญั ญามากขึน้ โดยการวิจัยในครงั้ น้ีผวู้ จิ ยั ไดใ้ ช้รูปแบบวิธีการคดิ วิเคราะห์ตามแนวคดิ ของบลูม โดยมีวีธี การข้ันตอนดังน้ี 1) วเิ คราะห์ความส้าคัญ หมายถึง การแยกแยะส่ิงทีก่ า้ หนดมาให้วา่ อะไรส้าคัญ หรือจ้าเป็น หรอื มีบทบาทมากที่สุด ตวั ไหนเป็นเหตุ ตวั ไหนเปน็ ผล 2) วธิ วี เิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ หมายถงึ การค้นหาว่าความส้าคญั ย่อย ๆ ของ เร่ืองราวหรอื เหตุการณ์น้ันเก่ียวพันกันอย่างไร สอดคลอ้ งหรอื ขดั แย้งกนั อยา่ งไร 3) วิเคราะห์หลักการ หมายถงึ การค้นหาโครงสรา้ งและระบบของวตั ถุส่ิงของ เรอื่ งราวและการกระท้าต่าง ๆ ว่าสิง่ เหลา่ นัน้ รวมกนั จนด้ารงสภาพเช่นนน้ั อยู่ไดเ้ น่ืองด้วยอะไร 3. เอกสารทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ศุภพงค์ คล้ายคลึง (2548, หน้า 27) ได้กล่าวไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลส้าเร็จท่ีเกิดจากพฤติกรรมการกระท้ากิจกรรมของแต่ละบุคคล ท่ีต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก ท้ัง องค์ประกอบที่เก่ียวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบที่ไม่ใช่สติปัญญา ซ่ึงสามารถสังเกตและวัดได้ด้วย เคร่ืองมอื ทางจติ วทิ ยา หรอื แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านต่าง ๆ ประกิจ รัตนสุวรรณ (2525, หน้า 200) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ และความสามารถของบุคคล ท่ีเกิดจากการเรียนรู้ เป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การ เรียนรจู้ ากการฝึกฝนอบรมหรือการจดั การเรียนรู้ กรมวิชาการ (2545, หน้า 13) ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสา้ เรจ็ หรือความสามารถในการกระท้าใด ๆ ทต่ี อ้ งอาศัยทักษะหรืออาศัยความรอบรใู้ นวิชาหน่ึงวิชาใด โดยเฉพาะ สอดคล้องกับ กนกวรรณ โพธิ์ทอง (2537, หน้า 42) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถงึ ความส้าเร็จและความสามารถของบุคคลที่พัฒนาการดีขึ้นอันเกิดจาก การเรียนการสอนการฝึกอบรม ซึ่ง ประกอบด้วยความสามารถทางสมอง ความรู้ ทกั ษะ ความรู้สกึ ค่านยิ มต่าง ๆ จากท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถทางสมองของ ผู้เรียน ในด้านความรู้ความจ้า ความเข้าใจ ทักษะทางวชิ าการ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ การเรียนรู้ หลังจากการเรียนหรือการฝึกอบรมแล้ว โดยใช้แบบทดสอบทางด้านเนื้อหาวิชาการ ด้านการ ปฏิบัติ ไปวัดผลหลังจากที่สอนจบไปแล้ว เรื่องหนึ่ง บทหน่ึงหรือภาคเรียนหน่ึงๆ เพื่อให้ทราบความรู้ ความสามารถ และทักษะของผู้เรียน หรืออาจเป็นการทดสอบเพ่ือต้องการทราบผลส้าเร็จของเรื่องที่เรียน มาแล้ว
28 3.2 ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2538, หน้า 146) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนไวว้ ่า เป็นแบบทดสอบที่วัดความรู้ของนักเรียนหลังจากที่ได้เรียนไป แล้วซ่ึงมักจะเป็นข้อค้าถามให้นักเรียนตอบด้วยกระดาษและดินสอกับให้นักเรียนปฏิบัติจริง ซึ่งแบ่ง แบบทดสอบประเภทนีเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของข้อค้าถามท่ีครูเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นข้อ ค้าถามที่เกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรียน เป็นการทดสอบว่านักเรียนมีความรู้มากแค่ไหน บกพร่องในส่วนใดจะได้สอนซ่อมเสริม หรือเป็นการวัดเพื่อดูความพร้อมท่จี ะเรียนในเน้ือหาใหม่ ท้ังน้ีข้ึนอยู่ กบั ความต้องการของครู 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ ละสาขาวิชา หรือจากครูที่สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายคร้ัง จนมีคุณภาพดีจึงสร้าง เกณฑป์ กติของแบบทดสอบน้นั สามารถใช้หลักและเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการสอนใน เรื่องใด ๆ ก็ได้ แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือด้าเนินการสอบบอกถงึ วิธีการ และยังมมี าตรฐานในด้านการ แปลคะแนนด้วย ท้ังแบบทดสอบของครูและแบบทดสอบมาตรฐานจะมีวิธีการในการสร้างข้อค้าถามท่ี เหมือนกนั เปน็ คา้ ถามทวี่ ัดเนอื้ หาและพฤตกิ รรมในด้านตา่ ง ๆ ทง้ั 4 ดา้ น ดงั นี้ 2.1 วัดดา้ นการน้าไปใช้ 2.2 วดั ด้านการวเิ คราะห์ 2.3 วดั ดา้ นการสงั เคราะห์ 2.4 วดั ด้านการประเมนิ คา่ สมนึก ภัททิยธนี (2544, หน้า 78-82) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวา่ หมายถึง แบบทดสอบวัดสมรรถภาพทางสมองตา่ ง ๆ ทน่ี ักเรียนไดร้ ับการเรยี นรู้ผา่ นมาแล้ว ซ่ึงแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื แบบทดสอบท่คี รสู รา้ งกบั แบบทดสอบมาตรฐาน แต่เน่อื งจากครูต้องท้าหน้าที่ วดั ผลนักเรียน คอื เขยี นข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทีต่ นได้สอน ซ่งึ เกี่ยวขอ้ งโดยตรงกบั แบบทดสอบท่ีครูสร้างและ มหี ลายแบบแตท่ ่นี ยิ มใชม้ ี 6 แบบ ดังน้ี 1. ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or essay Test) ลักษณะ ท่ัวไปเป็นข้อสอบท่ีมีเฉพาะค้าถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้ และ ข้อคดิ เหน็ แตล่ ะคน 2. ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด (True-false Test) ลักษณะทั่วไปถือได้ว่าข้อสอบแบบ กาถูก-ผิด คือข้อสอบแบบเลือกตอบท่ีมี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงท่ีและมีความหมาย ตรงกันข้ามเชน่ ถูก-ผดิ ใช่-ไม่ใช่ จรงิ -ไม่จริง เหมอื นกนั -ตา่ งกนั เป็นต้น 3. ข้อสอบแบบเติมค้า (Completion Test) ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบท่ี ประกอบด้วยประโยคหรอื ขอ้ ความทีย่ ังไมส่ มบรู ณ์ให้ผู้ตอบเตมิ ค้า หรอื ประโยค หรือข้อความลงในชอ่ งวา่ งที่ เว้นไว้นนั้ เพ่ือให้มใี จความสมบรู ณแ์ ละถกู ต้อง 4. ข้อสอบแบบตอบสัน้ ๆ (Short Answer Test) ลกั ษณะทั่วไปข้อสอบประเภทนี้ คล้ายกับข้อสอบแบบเติมค้า แต่แตกต่างกันท่ีข้อสอบแบบตอบส้ันๆ เขียนเป็นประโยคค้าถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมค้าเป็นประโยคที่ยังไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบ ค้าตอบท่ีต้องการจะส้ันและ กะทัดรดั ได้ใจความสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอตั นยั หรือความเรียง 5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) ลักษณะท่ัวไปเป็นข้อสอบเลือกตอบชนิด หนึ่งโดยมีค้าหรือข้อความแยกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่า แต่ละข้อความในชุดหน่ึง (ตัว
29 ยนื ) จะคู่กับค้า หรือขอ้ ความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอยา่ งหนึง่ ตามที่ผู้ออก ขอ้ สอบกา้ หนดไว้ 6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) ลักษณะท่ัวไปข้อสอบแบบ เลือกตอบน้ีจะประกอบด้วย 2 ตอน ตอนน้าหรือค้าถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกน้ีจะ ประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นค้าตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง ปกติจะมีค้าถามที่ก้าหนดให้นักเรียน พจิ ารณาแล้วหาตวั เลือกท่ถี ูกต้องมากทสี่ ดุ เพียงตวั เลือกเดียวจากตวั เลอื กอน่ื ๆ และคา้ ถามแบบเลือกตอบท่ี ดีนิยมใช้ตัวเลือกท่ีใกล้เคียงกัน ดูเผิน ๆ จะเห็นว่าตัวเลือกถูกหมดแต่ความจรงิ มีน้าหนกั ถูกมากนอ้ ยต่างกนั โดยสรุป ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คือ ชุดค้าถามที่ครูใช้ทดสอบวัดความรู้ตาม จดุ ประสงคห์ รือผลการเรยี นรูท้ ่คี าดหวงั กล่าวโดยสรุป การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือข้อค้าถามที่ครูผู้สอนใช้วัด ความสามารถของผเู้ รยี นในด้านเนอ้ื หา และการปฏบิ ตั ิ ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจ การน้าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่าของผู้เรียน ซึ่งเป็นการวัดพฤติกรรมท่ีมีผลมาจากระบบความคิดของสมอง โดยใชว้ ัดความรู้ตามจุดประสงคห์ รอื ผลการเรียนร้ทู คี่ าดหวังว่าตอ้ งการวดั ในด้านใดของผเู้ รียนเปน็ หลกั การ วัดผลสมั ฤทธส์ิ ามารถวดั ด้วยแบบทดสอบท่ีแตกตา่ งกนั เชน่ แบบอัตนยั หรือความเรยี ง แบบกาถูก-ผดิ แบบ เติมคา้ แบบตอบสนั้ แบบจบั คู่ แบบเลือกตอบ 3.3 องค์ประกอบทมี่ ีอิทธพิ ลตอ่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ปริยทพิ ย์ บุญคง (2546, หนา้ 8) ไดก้ ล่าวถึงตัวแปรที่มอี ทิ ธิพลต่อผลสมั ฤทธ์ทิ างการ เรียนในโรงเรยี นน้นั ประกอบดว้ ย 1. พฤตกิ รรมดา้ นความรู้ ความคิด หมายถึง ความสามารถท้งั หลายของผู้เรียนซึ่ง ประกอบด้วยความถนัด และพื้นฐานเดิมของผเู้ รียน 2. คณุ ลักษณะทางดา้ นจติ วิทยา หมายถึง สภาพการณห์ รือแรงจงู ใจที่จะทา้ ให้ ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ใหม่ ไดแ้ ก่ ความสนใจ เจตคติทมี่ ีต่อเน้ือหาวชิ าเรยี น โรงเรยี นและระบบการเรียน ความคิดเหน็ เก่ยี วกบั ตนเอง ลักษณะคณุ ภาพ 3. คุณภาพการสอน ซง่ึ ไดแ้ ก่ การได้รบั ค้าแนะน้า การมีสว่ นในการเรยี นการสอน การเสรมิ แรงจากครู การแก้ไขขอ้ ผดิ พลาด และรู้ผลวา่ ตนเองกระทา้ ได้ถูกต้องหรือไม่ ปริยทพิ ย์ บญุ คง (2546, หน้า 10) ได้กลา่ วถึงองค์ประกอบท่ีมีอิทธพิ ลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไว้ดงั น้ี 1. ดา้ นคุณลกั ษณะการจัดระบบในโรงเรียน ตัวแปรด้านนี้จะประกอบด้วยขนาด โรงเรียนอัตราส่วนนักเรยี นต่อครู อตั ราส่วนนกั เรยี นต่อห้องเรยี น ซึ่งตวั แปรเหล่านม้ี ีความสมั พันธ์กบั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน 2. ด้านคุณลักษณะของครู ตัวแปทางด้านคุณลักษณะของครูประกอบด้วย ประสบการณ์อายุ วุฒิภาวะของครู การฝึกอบรมของครู จ้านวนวันลาของครู จ้านวนคาบท่ีสอนในหน่ึง สัปดาห์ความเอาใจใส่ในหน้าท่ี ทัศนคติเกี่ยวกับนักเรียน ซ่ึงตัวแปรเหล่าน้ีมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน 3. ด้านคุณลักษณะของนักเรียน ประกอบด้วยตัวแปรเกี่ยวกับตัวนักเรียน เช่น เพศ อายุ สติปญั ญา การเรยี นพิเศษ การได้รับความช่วยเหลือเกี่ยวกับการเรียน สมาชกิ ในครอบครวั ระดับ การศึกษาชองบดิ ามารดา อาชพี ของผู้ปกครอง ความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์การเรยี น ระยะทางไปเรียน การ มอี าหารกลางวนั รบั ประทาน ความเอาใจใส่ต่อการเรียน ทศั นคติต่อการเรียน การสอน ฐานะทางครอบครัว
30 การขาดเรียน การเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดข้ึน ตัวแปรเหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี น 4. ด้านภูมิหลังทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของนักเรียน การศึกษา เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสภาพเศรษฐกิจสังคมกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนส่วนใหญ่เป็นการศึกษาใน ต่างประเทศ ซงึ่ ประกอบดว้ ยตวั แปร เชน่ ขนาดครอบครวั ภาษาที่พูดในบา้ น ถิ่นฐานท่ตี ัง้ ของบา้ น กนกวรรณ โพธทิ์ อง (2537, หนา้ 43) กล่าวว่า องคป์ ระกอบทม่ี อี ิทธิพลต่อผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียนประกอบด้วยคุณลักษณะของนักเรียน คุณภาพการสอนของครู และสภาพแวดล้อม ซ่ึง คุณลักษณะของตัวนักเรียนมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมากท่ีสุด คือ คุณลักษณะของตัวนักเรียน และองค์ประกอบทมี่ ีอทิ ธิพลตอ่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นรองลงมาคือคณุ ภาพการสอนของครู 3.4 การวัดและประเมนิ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในการก้าหนดวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมท่ีพงึ ประสงค์ทีต่ อ้ งการให้เกดิ ข้นึ กบั ผูเ้ รียน ไดม้ ีนักวชิ าการกล่าวไว้ ดังน้ี บลูม (Bloom, 1965, p.201) ไดก้ ลา่ วถึงลา้ ดับข้ันของท่ีใชใ้ นการเขยี นวตั ถปุ ระสงค์ เชงิ พฤติกรรมด้านความรู้ ความคิดไว้ 6 ขนั้ ดังนี้ คอื 1. ความรู้ความจ้า หมายถึง การระลึกหรือท่องจ้าความรูต้ ่าง ๆ ท่ีได้เรียนมาแล้ว โดยตรง ในขน้ั นี้รวมถึง การระลกึ ถึงข้อมูล ขอ้ เท็จจรงิ ต่าง ๆ ไปจนถึงเกณฑ์ ทฤษฎีจากตา้ รา ดงั นนั้ ข้ันตอน ความรูค้ วามจ้าจึงจัดได้วา่ เป็นขั้นต่า้ สดุ 2. ความเขา้ ใจ หมายถงึ ความสามารถที่จะจับใจความสา้ คัญของเนื้อหาที่ได้เรียน หรืออาจแปลความจากตัวเลข การสรุป การย่อความต่าง ๆ การเรียนรู้ในข้ันน้ีถือว่าเป็นข้ันท่ีสูงกว่าการ ทอ่ งจ้าตามปกตอิ ีกข้ันหนึง่ 3. การน้าไปใช้ หมายถงึ ความสามารถท่ีจะน้าความรู้ทีน่ ักเรียนได้เรียนมาแล้วไป ใช้ในสถานการณ์ใหม่ ดังน้ันในข้ันน้ีจึงรวมถึงความสามารถในการเอากฎ มโนทัศน์ หลักส้าคัญ วิธีการ นา้ ไปใช้ การเรยี นรใู้ นข้ันนี้ถือว่า นกั เรียนจะต้องมีความเข้าใจในเน้ือหาเป็นอย่างดีเสยี ก่อน จงึ จะน้าความรู้ ไปใช้ได้ ดังนั้น จงึ จัดอนั ดับใหส้ งู กวา่ ความเขา้ ใจ 4. การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะแยกแยะเนื้อหาวิชา ลงไปเป็น องค์ประกอบย่อย ๆ เหล่านั้น เพ่ือที่จะได้มองเห็นหรือเข้าใจความเก่ียวโยงต่าง ๆ ในขั้นน้ี รวมถึงการ แยกแยะหาส่วนประกอบย่อย ๆ หาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อย ๆ เหล่าน้ัน ตลอดจนหลักส้าคัญต่าง ๆ ที่เข้ามาเก่ียวข้อง การเรยี นร้ใู นข้ันน้ถี อื ว่าสูงกวา่ การน้าเอาไปใช้ และต้องเข้าใจท้ังเนื้อหาและโครงสร้างของ บทเรียน 5. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะน้าเอาส่วนย่อย ๆ มาประกอบกัน เปน็ ส่ิงใหมก่ ารสังเคราะหจ์ งึ เก่ียวกับการวางแผน การออกแบบการทดลอง การตง้ั สมมติฐาน การแก้ปัญหา ที่ยากต่อการเรียนรู้ในระดับนี้ เป็นการเน้นพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ ในอันท่ีจะสร้างแนวคิดหรือแบบแผน ใหม่ๆ ข้ึนมา ดังนนั้ การสังเคราะหเ์ ป็นสิ่งทส่ี งู กวา่ การวิเคราะห์อกี ข้นั หนงึ่ 6. การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับคุณค่าต่าง ๆ ไม่ ว่าจะเป็นค้าพูด นวนิยาย บทกวี หรือรายงานการวิจัย การตัดสินใจดังกล่าว จะต้องวางแผนอยู่บนเกณฑ์ที่ แน่นอน เกณฑ์ดังกล่าวอาจจะเป็นสิ่งท่ีนักเรียนคิดขึ้นมาเอง หรือน้ามาจากท่ีอื่นก็ได้ การเรียนรู้ในขั้นนี้ถือ วา่ เปน็ การเรยี นรขู้ ้นั สงู สดุ ของความรคู้ วามจ้า
31 คลอฟเฟอร์ (Klopfer, 1971 อ้างอิงใน ภพ เลาหไพบูลย์, 2542, หน้า 295-304) ได้ กล่าวถึงการประเมินผลการเรียนด้านสติปัญญา หรือความรู้ความคิดในวิชาวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 4 พฤติกรรม ดงั น้ี 1. ความรคู้ วามจ้า 2. ความเขา้ ใจ 3. กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 4. การน้าความร้แู ละวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้ เพ่ือความสะดวกในการประเมินผล จึงได้ท้าการจ้าแนกพฤติกรรมในการวัดผลวิชา วิทยาศาสตร์ ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ส้าหรับเป็นเกณฑ์วัด ความสามารถด้านต่าง ๆ 4 ดา้ น คือ (ประวติ ร ชูศลิ ป์, 2524, หน้า 25 ) 1. ด้านความรู้ ความจ้า หมายถึง ความสามารถในการระลึกส่งิ ท่ีเคยเรียนมาแลว้ เก่ียวกับข้อเทจ็ จรงิ ขอ้ ตกลง คา้ ศพั ท์ หลกั การและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ 2. ดา้ นความเข้าใจ หมายถงึ ความสามารถในการอธิบายความหมาย ขยายความ และแปลความรโู้ ดยอาศยั ข้อเทจ็ จริง ขอ้ ตกลง คา้ ศัพท์ หลกั การและทฤษฎีทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ด้านการน้าไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการน้าความรู้ วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่แตกต่างกันออกไป หรือสถานการณ์ท่ีคล้ายคลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การน้าไปใช้ในชีวิตประจา้ วนั 4. ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถงึ ความสามารถของบุคคลใน การสืบเสาะหาความรู้ โดยผ่านการปฏบิ ัตแิ ละฝึกฝนความคิดอยา่ งมีระบบ จนเกิดความคล่องแคล่วชา้ นาญ สามารถเลือกใช้กิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมส้าหรับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย ทกั ษะการสังเกต ทักษะการคา้ นวณ ทักษะการจา้ แนกประเภท ทักษะการลงความคิดเหน็ จากข้อมูล ทกั ษะ การจัดกระท้าสื่อความหมายข้อมูล ทักษะการก้าหนดและควบคุมตัวแปร ทักษะการตั้งสมมติฐาน ทักษะ การทดลอง และทักษะการตคี วามหมายข้อมูลและลงขอ้ สรุป กล่าวโดยสรุปได้ว่า ผู้วิจัยได้น้าการจ้าแนกพฤติกรรมในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4 ดา้ น คือ ความร้คู วามจา้ ความเขา้ ใจ การน้าไปใช้ และการวิเคราะห์ ในการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานไฟฟ้าโดยพิจารณาให้ครอบคลุมผลการเรียนรู้และจุดประสงค์ การเรยี นรู้ วชิ าวิทยาศาสตร์ เรอื่ ง พลงั งานไฟฟา้ 4. งานวิจัยที่เก่ยี วข้อง การด้าเนินการวิจยั ในคร้งั นี้ ผู้วิจยั ได้ศกึ ษางานวจิ ัยที่เก่ยี วข้องกบั การจดั การเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหา ความรู้ (7E) และงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้องกับการคดิ วเิ คราะห์ เพ่ือเปน็ แนวทางในการดา้ เนินการวจิ ัย ดังน้ี 4.1 งานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้องกบั การจัดการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (7E) วิไล รัตนพันธ์ (2556) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดเชิง วทิ ยาศาสตร์ ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นสตรีพัทลุง อา้ เภอเมือง จงั หวดั พทั ลุง ภาคเรยี นที่2 ปีการศึกษา2555 จ้านวน 44 คน ที่ได้รับการสอนแบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน โดยเสริม กิจกรรมการแสดงวิทยาศาสตร์ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาเคมี 3 ของนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ท่ไี ด้รับการสอนแบบวฏั จักรการสบื เสาะหาความรู้ 7 ขั้น โดยเสริมกิจกรรมการแสดงทาง วิทยาศาสตร์มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 2) ความสามารถในการคิดเชิง
32 วิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ทไี่ ดร้ ับการสอนแบบวฏั จักรการสบื เสาะหาความรู้ 7 ขัน้ โดย เสริมกจิ กรรมการแสดงทางวิทยาศาสตร์มีความแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ัยสา้ คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .01 จิราภรณ์ คงหนองลาน (2556) ได้ศึกษาผลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้ของการใช้กระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ แบบวงจรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) รายวิชาเคมี เร่ือง สารละลาย ส้าหรับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 23 อ้าเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก สังกัดส้านักงาน บริหารงานการศึกษาพิเศษ จ้านวน 25 คน ที่เรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 ผลการวิจัยพบว่า สามารถสร้างและพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบวงจรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) เร่ือง สารละลาย จ้านวน 5 ชุดกิจกรรม ท่ีมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.44/82.80 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 75 ท่ีก้าหนดไว้ อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน กลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนรู้จากชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้แบบวงจรการเรียนรู้7 ขั้น (7E) เรื่องสารละลาย มีค่าสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส้าคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้ผู้เรียนยังมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ แบบวงจรการเรยี นรู้7 ข้นั (7E) เรื่องสารละลาย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทส่ี ดุ จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) พบว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดพื้นฐาน มีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนท่สี งู ขนึ้ และขณะเดียวกนั นัน้ ผเู้ รียนยังมีเจตคตทิ ดี่ ีต่อวิชาที่เรียน 4.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดวเิ คราะห์ นริศรา จันทนาม (2553) ได้ศึกษาการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เร่ืองสารในชีวิตประจ้าวัน โดยใช้วัฏจักรการสืบ เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) พบวา่ 1) การศึกษาการคดิ วิเคราะห์ ของผู้เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาที่ 1 ท่เี รียน กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรื่อง สารในชีวิตประจ้าวัน โดยใช้วฏั จักรการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) มผี ู้เรียน จ้านวน 27 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 79.41 จากจ้านวนผู้เรยี นทง้ั หมด 34 คน ซ่ึงผ่านเกณฑ์ร้อย ละ 70 ของคะแนนเต็ม 2) การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนท่ีเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เร่ือง สารในชีวิตประจ้าวัน โดยใช้วัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) มีผู้เรียน จ้านวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 85.29 จากจ้านวนผู้เรียนท้ังหมด 34 คน ซึ่งผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของ คะแนนเตม็ ขวัญตา มาพะเนาว์ (2553) ได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถการคิดวิเคราะห์และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์ ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้รูปแบบการสอนตาม แนวคิด 4 MAT พบว่า ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 มีคะแนนผ่าน เกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 79.54 และมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในสาระการเรียนรู้เศรษฐศาสตร์คะแนนผ่าน เกณฑ์คิดเปน็ ร้อยละ 86.36 ของผ้เู รยี นจา้ นวนทงั้ หมด ฉันทยา สัตย์ซื่อ (2552) ได้ศึกษาผลการสอนท่ีเน้นการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ส่ิงแวดล้อม รอบๆ ตัว สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ รูปแบบการสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่ม พบว่า 1) ด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว มีผู้เรียนที่ผ่านเกณฑ์ท่ีก้าหนด คือ ร้อยละ 70 คิดเป็น ร้อยละ 87.50 ของผู้เรียนทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์ที่ก้าหนดไว้ 2) ด้านการคิดวิเคราะห์สาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ส่ิงแวดล้อมรอบ ๆ ตัว มีผู้เรียนท่ีผ่านเกณฑ์ที่ก้าหนด คือ ร้อยละ 70 คดิ เปน็ ร้อยละ 79.17 ของผูเ้ รียนทงั้ หมดท่ีผ่านเกณฑท์ ่กี า้ หนดไว้
33 จุฬาลักษณ์ ภูปัญญา (2550) ได้ศึกษาเรื่องการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนช่วงช้ันที่ 2 (ประถมศึกษาปีที่ 4 ) โดยใช้เทคนิคผังกราฟิกพบว่า 1) การวิจัยในคร้ังนี้ได้พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้เทคนิคกราฟิกเพื่อพัฒนาการคิด วิเคราะห์และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ซ่ึงประกอบด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู 4 ข้ันตอน คือ (1) ข้ันน้า เป็นการเตรียมความพร้อมความรู้พื้นฐานของผู้เรียน โดยใช้ผังกราฟิก (2) ขั้นกิจกรรม เป็น การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมเพื่อพัฒนาการคดิ วเิ คราะห์โดยให้ผู้เรียนสร้างผังกราฟิกด้วยตนเอง (3) ขัน้ สรปุ เปน็ การ น้าความรู้และผังกราฟิกที่ได้มาอภิปรายและสรุปร่วมกัน (4) ขั้นประเมินผล เป็นการประเมินผลการปฏิบตั ิ กิจกรรมและการสร้างผังกราฟิกของผู้เรียน 2) ผู้เรียนจ้านวนร้อยละ 36.11 มีคะแนนด้านการคิดวิเคราะห์ ร้อยละ 75 ข้ึนไป ซ่ึงไม่ผ่านเกณฑ์ท่ีก้าหนดไว้ 3) ผู้เรียนจ้านวนร้อยละ 58.34 มีคะแนนผลสัมฤทธ์ทิ างการ เรยี นวทิ ยาศาสตร์ ร้อยละ 75 ขึน้ ไป ซ่งึ ไมผ่ า่ นเกณฑท์ ่ีก้าหนดไว้ จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ จากการวิจัยข้างต้นท้าให้ทราบถึง การจัดการเรียนรู้ท่ีเป็นไปตามเกณฑ์และไม่เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีผู้วิจัยแต่ละท่านได้ก้าหนด โดยมีบริบทที่ แตกต่างกันไป ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจต่อการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ตามรูปแบบแนวคิดของบลูม เนือ่ งจากมอี งค์ประกอบการคิดวิเคราะห์ท่ีสา้ คัญและสามารถวัดพฤติกรรมของผู้เรยี นต่อการคดิ วิเคราะห์ได้ อย่างชัดเจน โดยมีองค์ประกอบท่ีส้าคัญ คือ การคิดวิเคราะห์ความส้าคัญ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และ การวิเคราะห์หลักการ ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้แยกยะองค์ประกอบได้อย่างเข้าใจ และเช่ือมโยงความรู้ได้อย่างมี ความหมาย
34 บทที่ 3 วิธีการด้าเนินการวจิ ัย การวิจยั ในคร้งั นเ้ี ปน็ การพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นและทักษะการคดิ วิเคราะห์ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง พลังงานไฟฟา้ ของนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนน้าปลีกศึกษา โดยใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (7E) โดยมวี ธิ ีการด้าเนินการวจิ ยั ดงั นี้ 1. กล่มุ เป้าหมาย 2. รปู แบบการวจิ ยั 3. เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย 4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 5. การวิเคราะห์ขอ้ มูล 6. สถิติทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 1. กล่มุ เปา้ หมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งน้ีเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนน้าปลีกศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จ้านวน 33 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2. รปู แบบการวิจัย การวจิ ัยในครั้งน้ี ผู้วิจยั เลอื กวิธกี ารด้าเนินการวิจัยเชิงทดลองแบบ One – Shot Case Study (ศิริ พงษ์ เศาภายน, 2546) มีแบบแผนการวิจัย ดังน้ี XO โดย X คือ การจดั การเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) O คือ การทดสอบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน และการคิดวเิ คราะห์ของนักเรียน 3. เครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวจิ ัยในครัง้ นี้ ประกอบไปดว้ ย 1) แผนการจดั การเรยี นรู้หนว่ ยการเรียนรู้ พลังงานไฟฟ้า กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ จ้านวน 9 แผน โดยผ้วู ิจยั สร้างขึน้ เอง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ พลังงานไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ แบบปรนัยแบบเลอื กตอบ 4 ตัวเลือก จา้ นวน 30 ขอ้ 3) แบบทดสอบการคดิ วิเคราะห์โดยใช้แนวคิดของบลูม ซึง่ ประกอบด้วย 3 ด้าน คอื การคิดวิเคราะห์ความส้าคัญ การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการคิดวิเคราะห์หลักการ เป็นแบบปรนัย เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จา้ นวน 30 ข้อ
35 3.1 การสรา้ งและการหาประสิทธิภาพของเคร่ืองมือวจิ ัย 3.1.1 ข้นั ตอนการสรา้ งแผนการจดั การเรียนรู้ (1) ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนน้าปลีกศึกษา เพื่อออกแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อความสอดคล้องกับ วิสัยทัศน์ หลักการ จุดมุ่งหมาย สมรรถนะส้าคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ตามทโี่ รงเรยี นก้าหนด (2) ศกึ ษามาตรฐานและตวั ชีว้ ัดกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เพื่อออกแบบการจัดการ เรียนรู้ (3) ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้สาระท่ี 5 พลังงาน เร่ือง พลังงานไฟฟ้า ตามหลกั สูตรของสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ไดก้ ้าหนดตวั ชี้วัดที่มีความสอดคล้องกับเนื้อหาแต่ละเน้ือหา (4) ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) เพื่อออกแบบแผนการจัดการ เรียนรู้ให้มีความสอดคล้องกับเนื้อหา สาระการเรียนรู้สาระท่ี 5 พลังงาน เร่ือง พลังงานไฟฟ้า โดยล้าดับ ข้ันตอนกิจกรรมการเรียนรู้ในการออกแบบการเรียนรปู้ ระกอบด้วย 7 ข้ันตอน คือ ขั้นตรวจสอบความรู้เดมิ (Elicitation Phase) ขั้นเร้าความสนใจ (Engagement Phase) ข้ันส้ารวจค้นหา(Exploration Phase) ข้ัน อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation Phase) ข้ันขยายความรู้(Expansion Phase) ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) และ ข้ันน้าความรไู้ ปใช้ (Extension Phase) (5) ออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน และสร้างอุปกรณ์ส่ือการเรียนการสอน เพื่อใช้ ประกอบการเรียนการสอน โดยกิจกรรมการเรียนการสอนออกแบบการเรียนรู้ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน คือ ข้ันตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ข้ันเร้าความสนใจ (Engagement Phase) ขั้นส้ารวจค้นหา (Exploration Phase) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation Phase) ข้ันขยายความรู้(Expansion Phase) ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) และ ขั้นน้าความรู้ไปใช้ (Extension Phase) โดยกิจกรรม การเรยี นรู้ในการพฒั นาผลสัมฤทธ์ิและการคิดวิเคราะหโ์ ดยใชร้ ูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบ 7E ทกุ ขนั้ ตอน ของกิจกรรมการเรียนรู้ได้เน้นใหน้ ักเรยี นได้คิดวิเคราะห์ ส่ืออุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนได้ออกแบบ ให้สอดคลอ้ งในแตล่ ะแผนการจดั การเรยี นรู้ (6) น้าเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย เพ่ือตรวจสอบความถูกต้อง และสอดคล้องกับ รูปแบบการจดั การเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) (7) จัดท้าแผนการจัดการเรียนรู้ โดยด้าเนินการพิมพ์ ตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อส่งให้ ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และความถูกต้อง จากน้ัน ด้าเนินการ ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะตามค้าแนะน้าของผู้เช่ียวชาญเพ่ือจัดพิมพ์แผนการจัดการเรียนรู้เป็นฉบับ สมบูรณโ์ ดยไดแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ จา้ นวน 9 แผน ดังตารางที่ 1
36 ตารางที่ 1 โครงสร้างแผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ พลังงานไฟฟา้ สัปดาห์ที/่ แผนการ มาตรฐาน/ เวลา (ช่ัวโมง) จดั การเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ ตวั ชี้วดั 5.1 (4) 2 1 วงจรไฟฟา้ เบือ้ งต้น 5.1 (2) 2 2 ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ 5.1 (2) 2 3 กระแสไฟฟ้า 5.1 (2) 3 4 ความสมั พันธร์ ะหว่างความตา่ งศักย์ 5.1 (4) 2 กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน 5.1 (4) 2 5 วงจรไฟฟ้าในบา้ น 5.1 (3) 2 6 ประโยชนข์ องฉนวนหมุ้ สายไฟฟ้า 5.1 (3) 3 7 กา้ ลังไฟฟ้า 5.1 (5) 3 8 การค้านวณคา่ ไฟฟ้า 9 วงจรอเิ ลก็ ทรอนิกส์เบื้องตน้ 3.1.2 ข้นั ตอนการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน (1) ศึกษามาตรฐานและตัวช้ีวัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อออกแบบทดสอบ หน่วยการเรยี นรู้ พลังงานไฟฟา้ (2) ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้สาระที่ 5 พลังงาน เร่ือง พลังงานไฟฟ้า ตามหลักสูตรของสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพ่ือความสอดคล้องกับมาตรฐานและตัวช้ีวัด ในการออกแบบทดสอบ (3) วิเคราะห์จุดมุ่งหมาย วิเคราะห์จุดมุ่งหมายของหลักสูตร จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ และพฤติกรรมท่ีต้องการวัด พฤติกรรมท่ีต้องการวัดได้แก่ พฤติกรรมด้านพุทธพิสัย (Cognitive Domain) เช่น ความรู้ ความเข้าใจ การน้าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่าพฤติกรรมด้านจิตพิสัย (Affective Domain) พฤตกิ รรมดา้ นทักษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) (4) วิเคราะห์เน้ือเรื่องและเรยี งล้าดับความสัมพันธ์ของเนื้อหา เพื่อแยกแยะเน้ือหาและจัด รวมเปน็ หน่วยยอ่ ย ๆ ทม่ี ีความสัมพันธ์กนั และมีการจัดเรยี งลา้ ดับเนอ้ื หาตามลา้ ดบั การสอนกอ่ น – หลัง (5) ก้าหนดตารางวิเคราะห์แบบทดสอบ โดยกา้ หนดตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัด ซง่ึ เปน็ ตารางทแี่ สดงความสมั พันธข์ องเนื้อหาและพฤติกรรมที่มุ่งวดั (6) ก้าหนดรูปแบบแบบทดสอบเป็นแบบปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ้านวน แบบทดสอบ 50 ขอ้ เพ่ือนา้ ไปใชจ้ รงิ 30 ข้อ (7) นา้ เสนอตอ่ อาจารยท์ ่ปี รึกษางานวจิ ัย เพ่ือตรวจสอบความถกู ตอ้ ง และภาษาที่ใช้ (8) น้าแบบทดสอบเสนอต่อผู้เช่ียวชาญจ้านวน 3 คน เพ่ือตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา และหาคา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) พบว่าขอ้ สอบมีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.6 – 1 (9) น้าแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try out) ท่โี รงเรยี นนา้ ปลกี ศึกษา แลว้ น้าผลการทดสอบ มาค้านวณหาค่าความยากง่าย (P) อ้านาจจ้าแนก (r) พบว่าแบบทดสอบมีความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.26 – 0.80 และมีอา้ นาจจ้าแนกอยู่ระหวา่ ง 0.27 – 0.72
37 (10) หาความเช่อื ม่ันของแบบทดสอบโดยใชส้ ูตรของคเู ดอร์รชิ าร์ด พบว่า แบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน มคี วามเชอื่ มนั่ เทา่ กบั 0.88 (11) จัดท้าแบบทดสอบเปน็ ฉบบั สมบูรณเ์ พ่ือน้าไปใช้ต่อไป 3.1.3 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบการคิดวิเคราะห์ (1) ศึกษามาตรฐานและตัวช้ีวัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อออกแบบทดสอบ หนว่ ยการเรยี นรพู้ ลงั งานไฟฟ้า (2) ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้สาระที่ 5 พลังงาน เร่ือง พลังงานไฟฟ้า ตามหลักสูตรของสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพ่ือความสอดคล้องกับมาตรฐานและตัวชี้วัด ในการออกแบบทดสอบ (3) วิเคราะห์จุดมุ่งหมาย วิเคราะห์จุดมุ่งหมายของหลักสูตร จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ และพฤติกรรมที่ต้องการวัด พฤติกรรมที่ต้องการวัดได้แก่ พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย พิสัย (Cognitive Domain) เช่น ความรู้ ความเข้าใจ การน้าไปใช้ การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ และการประเมนิ คา่ พฤตกิ รรม ด้านจิตพิสยั (Affective Domain) พฤติกรรมดา้ นทกั ษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) (4) วิเคราะห์เนื้อเรื่องและเรียงล้าดับความสัมพันธ์ของเน้ือหาเพื่อแยกแยะเนื้อหาและจัด รวมเป็นหน่วยยอ่ ยๆ ที่มีความสมั พันธก์ ัน และมกี ารจัดเรียงเนอื้ หาตามลา้ ดับการสอนกอ่ น – หลัง (5) กา้ หนดตารางวิเคราะห์แบบทดสอบ โดยกา้ หนดตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัด ซง่ึ เป็นตารางท่แี สดงความสัมพันธข์ องเนื้อหาและพฤติกรรมท่ีมงุ่ วัด (6) ก้าหนดรูปแบบแบบทดสอบเป็นแบบปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ้านวน แบบทดสอบ 50 ข้อ เพ่ือนา้ ไปใชจ้ ริง 30 ข้อ (7) นา้ เสนอต่ออาจารย์ทปี่ รึกษาวิจัยเพือ่ ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง และภาษาทใ่ี ช้ (8) น้าแบบทดสอบเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจ้านวน 3 คน เพ่ือตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา และหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) พบวา่ ข้อสอบมีค่า IOC เท่ากับ 1 (9) น้าแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try – out) ที่โรงเรียนน้าปลีกศึกษา ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น แล้วน้าผลการทดสอบมาค้านวณหาค่าความยากง่าย (p) อ้านาจจ้าแนก (r) พบว่า แบบทดสอบมคี วามยากง่ายอยู่ระหวา่ ง 0.34 – 0.79 และมีอ้านาจจา้ แนกอยูร่ ะหวา่ ง 0.30 – 0.68 (10) หาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบโดยใช้สูตรของคูเดอร์ริชาร์ดสัน พบว่าแบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น มีความเช่อื ม่ันเท่ากบั 0.80 (11) จดั ทา้ แบบทดสอบเปน็ ฉบับสมบรู ณเ์ พ่ือน้าไปใช้ต่อไป 4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในการวิจัยครัง้ น้ี ผู้วจิ ัยไดด้ ้าเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ดังตอ่ ไปน้ี 4.1 ติดต่ออาจารย์ประจ้าสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เพื่อแจ้งก้าหนดการ และรายละเอยี ดในการเก็บขอ้ มลู และเลือกประชากรในการวิจัยในครั้งนี้ 4.2 ผู้วิจัยปฐมนิเทศนักเรียนเกี่ยวกับขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ (7E) 4.3 ผู้วิจัยด้าเนินการสอนนักเรียนทั้งกลุ่มโดยใช้เวลา 27 ช่ัวโมง จ้านวนแผนการจัดการเรียนรู้ 9 แผน ในระหว่างด้าเนนิ การสอนท้าการเก็บรวบรวมข้อมลู จากการปฏิบตั ิการสอน โดยใช้แบบบันทกึ หลงั การ สอน น้าข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงกิจกรรมการเรียนการสอนในแผนการเรียนรู้ท่ีจะสอนในคร้ังต่อไป ให้มี ประสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ข้ึน
38 4.4 หลังจากที่ด้าเนินการสอนจนครบทุกแผนการเรียนรู้แล้ว ให้นักเรียนท้าแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน จากนั้นน้าคะแนนท่ีได้ไปวิเคราะห์หาค่าเฉลีย่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ เพ่ือพิจารณาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน และให้นักเรียนประเมินการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) 5. การวิเคราะห์ข้อมลู ในการท้าวิจยั ในครั้งนใ้ี ชร้ ปู แบบการวเิ คราะห์ข้อมลู ตามจดุ ประสงค์ดงั นี้ 5.1 ผลสัมฤทธ์ิของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาผลสัมฤทธิ์หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง พลงั งานไฟฟ้า โดยวเิ คราะห์ข้อมลู โดยการหาคา่ คะแนนเฉลยี่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน และค่ารอ้ ยละ 5.2 การคิดวิเคราะห์ของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และค่า ร้อยละ 6. สถิติทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู สถิติท่ีใช้ในการหาประสิทธิภาพของเคร่ืองมือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์หน่วยการเรียนรู้ พลงั งานไฟฟา้ มดี ังนี้ 6.1 การหาความตรงเชงิ เน้ือหา โดยหาค่าดัชนีความสอดคลอ้ งระหว่างแบบทดสอบกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ (สมนกึ ภัททิยธนี, 2544) ∑R IOC = N เมือ่ IOC คือ ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจดุ ประสงค์กับเน้ือหา หรือระหว่างแบบทดสอบ กับจดุ ประสงค์ ∑R คือ ผลรวมคะแนนความเห็นของผูเ้ ชี่ยวชาญทงั้ หมด N คอื จ้านวนผ้เู ช่ียวชาญทัง้ หมด 6.2 การหาค่าความยากง่าย (P) ความยากง่าย คือ สัดส่วนที่แสดงว่าแบบทดสอบมีคนท้าถูกมาก หรือน้อย ถ้ามีคนท้าถูกมากหมายถึงแบบทดสอบข้อน้ันง่าย ส่วนแบบทดสอบท่ีมีคนท้าถูกน้อยหมายถึง แบบทดสอบน้ันยาก ค่าความยากง่ายอยู่ในระหว่าง 0.2 – 0.80 ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนโดยใชส้ ตู ร P = RH + RL nH + nL เมอื่ P คอื ความยากง่ายของแบบทดสอบ RH คอื จ้านวนคนในกลุม่ สงู ท้าถูกในแต่ละข้อ RL คือ จ้านวนคนในกลุ่มตา้่ ท้าถูกในแตล่ ะข้อ nH คือ จ้านวนคนในกลุ่มสงู nL คือ จา้ นวนคนในกล่มุ ต้่า
39 6.3 การหาค่าอา้ นาจจ้าแนก (B – Index) คือ ความสามารถของเครื่องมือในการจ้าแนกของบุคคล ออกเป็นสองกลุ่มที่ต่างกัน คือ กลุ่มเก่ง – กลุ่มอ่อน มีลักษณะเป็นการวิเคราะห์แบบทดสอบรายข้อ ค่า อ้านาจจา้ แนกจะมีคา่ อยรู่ ะหวา่ ง 0.20 – 1.00 (ยุทธพงษ์ กัยวรรณ์, 2543) ������ = RH − RL หรือ r = RH − RL nH nL เม่อื r คือ อา้ นาจจ้าแนกของแบบทดสอบ RH คอื จา้ นวนคนในกลมุ่ สูงทา้ ถูกในแตล่ ะข้อ RL คอื จ้านวนคนในกลมุ่ ตา้่ ท้าถูกในแต่ละขอ้ nH คอื จา้ นวนคนในกลมุ่ สงู nL คอื จา้ นวนคนในกลุม่ ต้่า 6.4 การหาคา่ ความเชื่อม่ัน (Reliability) ของแบบทดสอบ โดยใช้สูตรคเู ตอร์ ริชารด์ สัน (KR – 20) rt= n n 1 1 S2tpq S2t = N X 2 ( X)2 N2 เม่อื rt คือ สัมประสิทธ์ขิ องความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ n คือ จา้ นวนข้อของแบบทดสอบ p คือ สดั สว่ นของผเู้ รยี นท่ีท้าข้อสอบขอ้ นนั้ ถกู กบั ผ้เู รยี นทั้งหมด q คือ สัดสว่ นของผู้เรยี นทีท่ า้ ข้อสอบขอ้ น้นั ผิดกับผู้เรยี นทัง้ หมด S2t คอื ความแปรปรวนของคะแนนสอบท้งั ฉบับ N คอื จา้ นวนผู้เรียน 6.5 สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู เป็นค่ารอ้ ยละ P R P= N เม่อื P คอื ค่าความยากของคา้ ถามแตล่ ะข้อ R คือ จา้ นวนผู้ตอบถูกในแตล่ ะขอ้ R คอื จา้ นวนผเู้ ข้าสอบท้ังหมด 6.6 คา่ เฉลยี่ (Mean) โดยค้านวณจากสูตร (ลว้ น สายยศ; และ องั คณา สายยศ.2538: 73) จากสูตร = เมอื่ คือ คะแนนคา่ เฉล่ยี คือ ผลรวมคะแนนท้ังหมด คอื จ้านวนนักเรียนในกลุ่มตัวอยา่ ง
40 6.7 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของคะแนน ค้านวณจากสูตร (ล้วน สายยศ; และ องั คณา สายยศ. 2538: 79) จากสตู ร S.D. = n X 2 ( X )2 n(n 1) เมือ่ S คือ คะแนนเฉล่ยี ∑ x คอื ผลรวมคะแนนทง้ั หมด ∑x 2 คือ ผลรวมของคะแนนแต่ละตวั ยกกา้ ลงั สอง n คอื จ้านวนนกั เรียนในกลุม่ ตวั อยา่ ง
41 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู การวจิ ยั เพอื่ พัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นและทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง พลังงานไฟฟ้า ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นนา้ ปลกี ศกึ ษา โดยใชร้ ูปแบบ การจดั การเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ผวู้ จิ ัยไดเ้ สนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ตามล้าดบั ดงั นี้ 1. สัญลกั ษณท์ ใ่ี ช้ในการนา้ เสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 2. การวิเคราะห์ข้อมลู 3. ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 1. สัญลักษณท์ ใี่ ชใ้ นการนา้ เสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล ผูว้ จิ ัยก้าหนดความหมายของสัญลกั ษณ์ที่ใช้ในการน้าเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ดังน้ี N แทน จา้ นวนนกั เรยี นกล่มุ ตวั อย่าง แทน คา่ คะแนนเฉล่ีย S.D. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. การวเิ คราะห์ข้อมูล ผ้วู ิจัยไดว้ เิ คราะห์ข้อมูลตามวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ดงั น้ี 1) นกั เรยี นท่ีเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) มคี ะแนนผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียนเฉลีย่ ไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 80 และมจี า้ นวนนักเรียนทผ่ี ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 80 ขึน้ ไป 2) นกั เรยี นท่ีเรียนโดยใชร้ ปู แบบการจดั การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (7E) มคี ะแนน การคิดวิเคราะห์เฉลยี่ ไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 80 และมจี า้ นวนนักเรียนทีผ่ ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 80 ขึน้ ไป 3. ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 1. ผลการพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เรอื่ ง พลงั งานไฟฟ้า กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ไดร้ บั การสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ผวู้ ิจยั ไดด้ ้าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้รูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (7E) ผูว้ ิจยั ได้ใหน้ ักเรยี นทา้ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ผลการทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเรื่องพลังงานไฟฟา้ กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ แสดงดงั ในตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2 ผลการทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ืองพลังงานไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ N คะแนนเต็ม S.D. รอ้ ยละ จ้านวนนกั เรียนท่ีผ่าน รอ้ ยละ 33 30 24.62 3.55 82 29 88
42 จากตารางที่ 2 พบว่านกั เรียนที่เรียนโดยใช้รปู แบบการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) มี ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นเฉลี่ย 24.62 คิดเป็นร้อยละ 82 มีคา่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนเทา่ กับ 3.55 และมีจา้ นวนนกั เรยี นที่ผา่ นเกณฑ์จา้ นวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 88 ซึง่ สูงกว่าเกณฑ์ทกี่ ้าหนดไว้ 2. ผลการพัฒนาการคิดวเิ คราะห์ของนักเรียนท่ีไดร้ ับการจัดการเรยี นรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ผ้วู จิ ยั ได้ดา้ เนินการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้รปู แบบการจัดการเรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ผู้วจิ ัยไดใ้ หน้ ักเรยี นทา้ แบบทดสอบวดั ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ของนกั เรยี น ผลการทดสอบ วดั ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ เรอ่ื งพลังงานไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ แสดงดังในตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3ผลการทดสอบวัดความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ เร่อื งพลงั งานไฟฟ้ากลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ N คะแนนเต็ม S.D. ร้อยละ จา้ นวนนกั เรยี นท่ผี ่าน ร้อยละ 33 30 26.12 2.14 87 27 81 จากตารางที่ 3 พบวา่ นักเรยี นทีเ่ รยี นโดยใช้รูปแบบการจดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (7E) มี คะแนนการคดิ วเิ คราะห์เฉลยี่ 26.12 คดิ เป็นรอ้ ยละ 87 มคี ่าสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของคะแนนเท่ากบั 2.14 และ มจี า้ นวนนกั เรยี นทผ่ี ่านเกณฑ์จ้านวน 27 คน คิดเปน็ ร้อยละ 81 ซง่ึ เป็นไปตามเกณฑ์ที่กา้ หนดไว้
43 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ การวิจยั ในคร้ังนี้ เป็นการวิจยั เพ่ือพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นและทักษะการคิดวิเคราะห์ วชิ าวิทยาศาสตร์ เร่ือง พลังงานไฟฟ้า ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนน้าปลีกศึกษา โดยใช้ รปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) 1. วัตถุประสงคข์ องการวิจยั 1) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง พลังงานไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของ นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) โดยนักเรียนมีคะแนน เฉลยี่ ไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 80 และมจี ้านวนนักเรียนท่ผี ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 ข้นึ ไป 2) เพ่ือพัฒนาการคิดวิเคราะหข์ องนักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (7E) โดยนักเรียนมีคะแนนการคิดวิเคราะห์เฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และมีจ้านวน นักเรียนท่ีผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 80 ขน้ึ ไป 2. ขอบเขตของการวจิ ัย 2.1 ประชากรกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากร ได้แก่ นกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 โรงเรียนนา้ ปลกี ศึกษา อ้าเภอเมอื ง จังหวัดอ้านาจเจรญิ ส้านักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 29 กล่มุ ตัวอยา่ ง ได้แก่ นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 3/2 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 โรงเรียนนา้ ปลีกศึกษา อา้ เภอเมือง จงั หวัดอ้านาจเจริญ สา้ นกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 29 จา้ นวน 33 คน ซงึ่ ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2.2 ตวั แปรในการวิจยั ตวั แปรตน้ : การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้รปู แบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ตวั แปรตาม: 1) ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรยี น 2) การคดิ วเิ คราะหข์ องนกั เรียน 2.3 ระยะเวลาทใ่ี ช้ในการวิจัย ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาค้นคว้าในครั้งนี้ คอื ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 เป็นเวลา 9 สปั ดาห์ สปั ดาห์ละ 3 ช่ัวโมง รวม 24 ชั่วโมง 2.4 เน้อื หาทีใ่ ชใ้ นการศึกษาค้นคว้า เนื้อหาทใ่ี ชใ้ นการศึกษาการวิจัยครง้ั น้ี ไดแ้ ก่ เน้ือหาทางวิทยาศาสตร์ สาระท่ี 5 พลงั งาน เรือ่ ง พลังงานไฟฟา้ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 3. เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ในครง้ั นี้ ประกอบไปด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้หนว่ ยการเรยี นรู้ พลังงานไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ จา้ นวน 9 แผน โดยผ้วู ิจัยสร้างขนึ้ เอง
44 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ พลังงานไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ แบบปรนัยแบบเลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จา้ นวน 30 ข้อ 3) แบบทดสอบการคิดวิเคราะหโ์ ดยใช้แนวคดิ ของบลูม ซง่ึ ประกอบดว้ ย 3 ด้าน คือ การคดิ วเิ คราะห์ความสา้ คัญ ความสัมพันธ์ และหลักการ เป็นแบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จ้านวน 30 ข้อ 4. การวเิ คราะหข์ ้อมูล ในการทา้ วิจัยในคร้ังน้ใี ชร้ ปู แบบการวเิ คราะหข์ อ้ มูลตามจดุ ประสงค์ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาผลสัมฤทธิ์หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง พลงั งานไฟฟา้ โดยวิเคราะหข์ ้อมูลโดยการหาคา่ คะแนนเฉลีย่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ 2. การคิดวิเคราะห์ของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ ค่ารอ้ ยละ 5. สรปุ ผลการศกึ ษา การวิจัยเร่อื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนและทักษะการคดิ วเิ คราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง พลังงานไฟฟา้ ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นนา้ ปลีกศึกษา โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) สามารถสรปุ ผลการวิจยั ไดด้ งั น้ี 1. นกั เรียนที่เรียนโดยใช้รปู แบบการจดั การเรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) มผี ลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี นเฉลีย่ 24.62 คิดเป็นร้อยละ 82 และมจี ้านวนนักเรียนท่ผี า่ นเกณฑ์จา้ นวน 29 คน คิดเปน็ ร้อยละ 88 ซงึ่ สูงกว่าเกณฑ์ท่ีกา้ หนดไว้ 2. นกั เรยี นทเ่ี รยี นโดยใชร้ ปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (7E) มคี ะแนนการ คิดวเิ คราะห์เฉลย่ี 26.12 คดิ เป็นรอ้ ยละ 87 และมีจ้านวนนักเรยี นท่ผี ่านเกณฑจ์ า้ นวน 27 คน คดิ เปน็ รอ้ ย ละ 81 ซึง่ เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีกา้ หนดไว้ 6. อภปิ รายผล จากการวจิ ัยครงั้ น้ี เป็นการวจิ ยั เพื่อพฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นและการคิดวิเคราะห์ ใน เรื่องพลังงานไฟฟ้า กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ ของนักเรยี นทไี่ ดร้ ับการจัดการเรยี นรูโ้ ดยใชร้ ปู แบบ การจดั การเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ซ่งึ อภปิ รายผลได้ดังนี้ 6.1 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ผลการวิจยั พบว่านักเรียนมผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนร้อยละ 88 และมจี ้านวนนกั เรียนผ่าน เกณฑร์ ้อยละ 80 ซ่งึ เป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัยท่ีตั้งไว้ ทง้ั นีเ้ นอื่ งจากนกั เรียนทไ่ี ด้รับการจดั การเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ทม่ี ีบรรยากาศการเรียนการสอนกเ็ ปน็ ปจั จยั สา้ คัญที่เอื้อใหน้ กั เรยี น อยาก สืบเสาะหาความรู้ ครูผู้สอนและนักเรยี นตา่ งมบี ทบาทในการสรา้ งบรรยากาศ ครเู ปน็ ผรู้ ิเริ่มสรา้ ง บรรยากาศ นักเรยี นเปน็ ผตู้ อบสนอง และเพิม่ สีสนั ให้กับบรรยากาศการเรียนการสอนให้เป็นไปในรูปแบบ ตา่ งๆ เม่ือนักเรียนเกดิ ความสงสยั ใครร่ ู้ นา้ ไปสกู่ ารศกึ ษาค้นคว้า หรือส้ารวจตรวจสอบต่อไป จะท้าให้เกดิ กระบวนการสบื เสาะหาความรทู้ ีต่ ่อเน่ืองกนั ไปเร่ือยๆ เรียกวา่ การจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (7E) มขี ้นั ตรวจสอบความรู้เดมิ (Elicitation Phase) ขัน้ เรา้ ความสนใจ (Engagement Phase) ขั้นส้ารวจและ ค้นหา (Exploration Phase) ขั้นอธิบาย (Explanation Phase) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration Phase) ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) และข้ันน้าความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ตามแนวคิดของ Eisenkraft (2003, pp. 57-59) เน้นท่ีการทบทวนความรู้เดิมแล้ว
45 กระตุ้นให้นักเรียนน้ันเกิดความสงสัยหรือปัญหาใหม่ เป็นข้ันตอนที่นักเรียนเชื่อมโยงความรู้เดิมกับ ประสบการณ์ใหม่และนา้ ความรู้ท่ีได้ไปใช้ประโยชน์หรือเช่ือมโยงและ แกป้ ญั หาในสถานการณ์ใหม่ๆและยัง ท้าให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้และลงมือท้ากิจกรรมด้วยตนเอง เกิดแรงเสริมให้ อยากรู้อยากเห็นมากข้ึน และพยายามค้นหาหลักฐานมาสนับสนุนความคิดเห็นของตน ก่อนท่ีจะน้ามา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ้าวัน จึงท้าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นหลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียนและสงู กว่าเกณฑท์ ี่ก้าหนดไว้ สอดคล้องกับผลการวจิ ยั ของ วิไล รัตนพันธ์ (2556) ที่ได้ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ของ นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนสตรพี ัทลงุ อา้ เภอเมือง จงั หวดั พัทลงุ ภาคเรียนที่2 ปกี ารศกึ ษา2555 จ้านวน 44 คน ที่ได้รับการสอนแบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น โดยเสริมกิจกรรมการแสดง วิทยาศาสตร์ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี 3 ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ี ได้รับการสอนแบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน โดยเสริมกิจกรรมการแสดงทางวิทยาศาสตร์มีความ แตกต่างกันอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 2) ความสามารถในการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนแบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน โดยเสริมกิจกรรมการแสดง ทางวิทยาศาสตรม์ ีความแตกต่างกัน อยา่ งมีนัยส้าคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ จิราภรณ์ คงหนองลาน (2556) ท่ศี กึ ษาผลสมั ฤทธ์กิ ารเรยี นรขู้ องการใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ แบบ วงจรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) รายวิชาเคมี เรื่อง สารละลาย ส้าหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 23 อ้าเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก สังกัดส้านักงานบริหารงานการศึกษา พิเศษ จา้ นวน 25 คน ท่เี รียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2556 ผลการวจิ ัยพบวา่ สามารถสรา้ งและพัฒนา ชุดกิจกรรมการเรียนรตู้ าม กระบวนการสบื เสาะหาความรู้แบบวงจรการเรียนรู้ 7 ขนั้ (7E) เรอื่ ง สารละลาย จ้านวน 5 ชดุ กิจกรรม ท่ีมีประสทิ ธภิ าพเท่ากบั 81.44/82.80 ซ่งึ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 ทก่ี า้ หนดไว้ อยา่ ง มนี ัยสา้ คัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ 0.05 ส่งผลใหผ้ ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของผเู้ รียนกลุ่มตวั อย่างที่เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 5 หลังเรียนรู้จากชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบวงจรการ เรียนรู้ 7 ข้ัน (7E) เร่ืองสารละลาย มีค่าสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากน้ี ผู้เรียนยังมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรูแ้ บบวงจรการเรียนรู้ 7 ข้ัน (7E) เร่อื งสารละลาย โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มากทส่ี ดุ 6.2 ผลการพัฒนาการคดิ วเิ คราะห์ ผลการวิจัยพบว่านักเรียน มีคะแนนการคิดวิเคราะห์ร้อยละ 82 มีจ้านวนนักเรียนผ่าน เกณฑ์ร้อยละ 87 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัยที่ตั้งไว้ ท้ังน้ีเน่ืองจากนักเรียนท่ีได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7E) ท่ีนักเรียนได้ฝึกการคิดวิเคราะห์ ตามรูปแบบการคิดวิเคราะห์ของบลูม ประกอบด้วยการ 1) วเิ คราะห์ความสา้ คญั โดยใช้ทกั ษะวิเคราะหว์ ่าข้อความนนั้ มีวัตถุประสงคห์ รือความมุ่ง หมายใด วิเคราะห์ว่าขอ้ สรุปน้ันมีอะไรสนับสนุน 2) การวิเคราะหห์ าความสมั พันธ์ โดยพิจารณาว่าอะไรเป็น สาเหตุของส่ิงน้ันๆ เร่ืองนั้นสิ่งใดเป็นผลของการกระท้า ถ้าเกิดสิ่งน้ันสิ่งใดจะเกิดตามมา น้าเร่ืองราว ข้อเทจ็ จรงิ มาวิเคราะหว์ ่าสอดคล้องหรือขดั แย้งกนั และ 3) การวเิ คราะหห์ ลกั การ เป็นการถามใหค้ น้ คว้าว่า เร่ืองราวน้ันๆ อาศยั หลกั การใด มีระเบียบในการจดั โครงสรา้ งอยา่ งไร โดยทา้ ใหน้ กั เรยี นเกิดการเรยี นรู้อย่าง มคี วามหมาย เน่อื งจากตลอดการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ผู้วจิ ัยได้ใช้ส่ือ และกิจกรรมการเรียนร้ทู ่ีหลากหลาย ประกอบกับมีใบกิจกรรมและใบความรู้ให้นักเรียนได้ศึกษาลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และสมาชิกในกลุ่ม ช่วยกันท้ากิจกรรมร่วมกัน ทั้งน้ีนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์การวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่ก้าหนด อาจเนื่องมาจากนักเรียนมีความรู้พ้ืนฐาน และความสามารถเฉพาะบุคคลในการคิดวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน
46 ซ่ึงผลการวิจัยในครงั้ น้ี สอดคลอ้ งกับผลการวิจัยของ ฉันทยา สตั ยซ์ อื่ (2552) ได้ศึกษาผลการสอนท่เี น้นการ คดิ วิเคราะห์ เรื่อง ส่ิงแวดลอ้ มรอบๆ ตัว สาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของผ้เู รียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้รูปแบบการสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่ม พบว่า 1) ด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เร่ือง ส่ิงแวดล้อมรอบๆตัว มีผู้เรียนที่ผ่านเกณฑ์ท่ี ก้าหนด คือ ร้อยละ 70 คิดเป็นร้อยละ 87.50 ของผู้เรียนทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์ที่ก้าหนดไว้ 2) ด้านการคิด วิเคราะห์สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เร่ือง ส่ิงแวดล้อมรอบๆ ตัว มีผู้เรียนท่ีผ่าน เกณฑ์ที่ก้าหนด คือ ร้อยละ 70 คิดเป็นร้อยละ 79.17 ของผู้เรียนท้ังหมดที่ผ่านเกณฑ์ที่ก้าหนดไว้ และ สอดคลอ้ งกบั นรศิ รา จันทนาม (2553) ไดศ้ กึ ษาการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนกลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 เร่อื งสารในชวี ิตประจ้าวัน โดยใช้วัฏจักรการสืบเสาะหา ความรู้ (Inquiry Cycle) พบว่า 1) การศึกษาการคิดวิเคราะห์ ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาท่ี 1 ท่ีเรียนกลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง สารในชีวิตประจ้าวัน โดยใช้วัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) มผี ู้เรียน จา้ นวน 27 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 79.41 จากจ้านวนผูเ้ รียนท้ังหมด 34 คน ซ่งึ ผา่ นเกณฑ์ร้อย ละ 70 ของคะแนนเต็ม 2) การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เร่ือง สารในชีวิตประจ้าวัน โดยใช้วัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) มีผู้เรียน จ้านวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 85.29 จากจ้านวนผู้เรียนทั้งหมด 34 คน ซึ่งผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของ คะแนนเต็ม 7. ข้อเสนอแนะ 7.1 ข้อเสนอแนะในการนา้ ผลการวจิ ัยไปใช้ 1. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตามกระบวนการสบื เสาะหาความรู้แบบวงจรการเรียนรู้ 7 ข้นั (7E) เปน็ รูปแบบวิธีการเรียนร้อู กี วธิ ีหนง่ึ ทีท่ ้าใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การคดิ วเิ คราะหแ์ ละสง่ ผลใหผ้ ู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของสงู กว่าวธิ ีการเรยี นร้แู บบปกติ แต่ยังมขี ้อจ้ากดั ของข้ันการน้าไปใช้ เช่น การนา้ ไปอธิบายเหตุการณห์ รือแก้ไขปัญหาท่ีพบในชีวิตประจ้าวัน เป็นต้น ซง่ึ เปน็ ขั้นตอนสุดทา้ ย ของการจดั กิจกรรมการเรียนรูแ้ บบวงจร 7 ขน้ั ดังน้นั ครูผู้สอนจึงควรจดั กจิ กรรมการเรียนรหู้ รอื ยกตัวอย่าง ท่เี นน้ ให้ผเู้ รยี นสามารถพบเห็นได้ในชีวติ ประจา้ วนั 2. เพือ่ ให้เกิดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นอย่างมปี ระสิทธิภาพจากการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบ 7E หลังจากแบง่ กลุ่มคละนักเรยี นท่มี ีผลการเรียนทเ่ี กง่ ปานกลาง และออ่ น แล้ว ในช่วงแรกๆ ครผู สู้ อนต้อง ช่วยแนะน้าและคอยดแู ล ตดิ ตามสงั เกตการณป์ ฏิบตั งิ านอย่างใกล้ชดิ เน่ืองจากนักเรยี นอาจจะยงั ไมเ่ ขา้ ใจ บทบาทหนา้ ท่ีของตนเอง ซ่ึงครูต้องคอยหมัน่ สังเกตและใหค้ วามช่วยเหลือแนะนา้ ในการท้างานกลุม่ ของ นกั เรยี น โดยเฉพาะนักเรยี นท่ีมปี ญั หาในการเรยี นรู้ เพื่อให้งานของกลมุ่ ประสบผลสา้ เร็จมากข้ึน 3. ครูผ้สู อนควรเป็นผู้กระตุ้นใหผ้ เู้ รียนชว่ ยกันต้งั คา้ ถามเพ่ือนา้ ไปสู่การหาคาตอบและเรียนรู้ ในส่ิงใหม่ๆ คอยชแ้ี นะแนวทางการเรยี นรู้ของผ้เู รยี น รวมถงึ การสง่ เสริมความคดิ นอกกรอบของผูเ้ รียนที่ สามารถปฏบิ ตั ไิ ด้จรงิ และต้องมีการเตรียมสอ่ื อุปกรณ์ ใบงาน และใบความรู้ ทีม่ ีความหลากหลาย เพื่อให้ ผเู้ รยี นไดใ้ ชค้ ้นคว้าอย่างเพียงพอ 7.2 ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจยั ในครงั้ ต่อไป 1. ควรมีการวิจยั และพัฒนาวธิ ีการเรียนรู้แบบวงจรการเรียนรู้ 7 ขัน้ ที่สอดแทรกหรอื บรู ณา การกับเทคนิคใหม่ ๆ เชน่ School based training หรือ Knowledge Management เป็นต้น ในระหว่าง
47 จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เพ่ือพัฒนาความสามารถในการคิดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น และเจตคตติ ่อการเรียน ของผเู้ รียนให้สูงข้นึ 2. ควรศกึ ษาตัวแปรอน่ื ๆ ทเ่ี กิดจากการจัดกิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบวงจรการเรยี นรู้ 7 ข้ัน และ การเรยี นรูแ้ บบปกติ เชน่ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การแกป้ ญั หาทางวทิ ยาศาสตร์ ความคิด สร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
48 บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2544). คู่มือการจัดการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์. (เอกสาประกอบ) กรงุ เทพฯ: สถาบันสง่ เสรมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2545). หลักสูตรการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: กรมวชิ าการ กระทรวงฯ. กรมวิชาการ. (2542). พระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาตแิ กไข้เพมิ่ เติม (ฉบบั ท2่ี ) กรุงเทพมหานคร รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักไทย พุทธศักราช 2550 กรมวิชาการ. (2543). การเรียนรูเ้ พอื่ พัฒนากระบวนการคิด. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์การศาสนา กรมศาสนา. กรมวชิ าการ. (2544). คมู่ ือการจดั การเรียนการสอน กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร.์ กรุงเทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กรมวชิ าการ. (2551). แนวทางการบรหิ ารจดั การหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: ครุ สุ ภา. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2553) หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 พิมพ์ครงั้ ท่ี 3 กรุงเทพมหานคร โรงพมิ พส์ หกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย เกรียงศักดิ์ เจรญิ วงศศ์ ักด.์ิ (2546). การคิดวิเคราะห.์ พิมพ์ครั้งที่ 3. กรงุ เทพฯ: ซัคซีสมีเดยี . พิชิต ฤทธ์จิ รญู . (2545). หลกั การวัดและประเมินผลการศึกษา. พมิ พ์ครงั้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: เฮา้ ออฟ เคอรม์ ีสท์. วไิ ล รตั นพันธ์ (2556) “ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นและความสามารถในการคิดเชิงวทิ ยาศาสตร์ ของนักเรยี น ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ท่ีได้รบั การสอนแบบวัฏจกั รการสบื เสาะหาความรู้ 7 ขน้ั โดยเสริมกจิ กรรม การแสดงวิทยาศาสตร์” วิทยานิพนธป์ รญิ ญาการศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและ การสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ จริ าภรณ์ คงหนองลาน (2556) “ผลสัมฤทธ์ิการเรียนรขู้ องการใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ แบบ วงจรการเรยี นรู้ 7 ขั้น (7E) รายวิชาเคมี เร่ือง สารละลาย ส้าหรบั นกั เรยี นระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5” วิทยานิพนธป์ รญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตรศ์ ึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั พบิ ลู สงคราม จกั รีวรรณ พฒั นวบิ ลู ย์ (2548) \"การเปรียบเทยี บผลการเรยี นกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้ การเรียนแบบวัฎจกั การเรียนร้ตู ามแนวทฤษฎพี หปุ ัญญากับแบบวฏั จักรการเรียนรู้ที่มีต่อ ความสามารถด้านการคิดวิจารณญาณและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขน้ั พน้ื ฐานของ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2\" วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบณั ฑิต สาขาศกึ ษาศาสตร์มหาวทิ ยาลัย มหาสารคาม ชยั วัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553) เทคนิคการใชค้ ้าถามพัฒนาการคดิ นนทบรุ ี สหมิตรพริ้นติ้งแอนด์พับ ลสิ ซิง ทศิ นา แขมมณี (2540) ทฤษฎีการเรยี นรู้เพอ่ื พฒั นาการคดิ กรงุ เทพฯ สา้ นักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาแหง่ ชาติ สา้ นักนายกรัฐมนตรี ทศิ นา แขมมณี (2544) วิทยาการดา้ นการคิด กรงุ เทพมหานคร เดอะมาสเตอรก์ รุ๊ปแมเนจเม้นท์ ทิศนา แขมมณี (2550) ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพอ่ื การจดั กระบวนการเรียนรู้ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ พมิ พค์ รง้ั ท่ี 5 กรุงเทพมหานคร จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย
49 ทศิ นา แขมมณี (2552) รปู แบบการเรียนการสอน : ทางเลือกทห่ี ลากหลาย พมิ พ์คร้ังที่ 6 กรุงเทพมหานคร แอคทีฟ พร้ินท์ บบุ ผา นาคสมบูรณ์ (2549) \"ผลการเรยี นวิทยาศาสตร์ เร่อื ง สิ่งมชี วี ิตกบั กระบวนการดา้ รงชีวิตโดย ใชว้ ัฎจกั รการเรียนรู้ 5 ขน้ั ตามแนวทฤษฎีพหุปัญญาท่ีมีต่อทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรข์ ัน้ พนื้ ฐานและการคิดเชิงเหตผุ ลของนกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1\" วิทยานิพนธ์ปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย มหาสารคาม มณรี ตั น์ หวนั วเิ ศษ (2548) \"การเปรียบเทียบผลการเรียนวิทยาศาสตรโ์ ดยใชร้ ปู แบบวัฎจักรการเรียนรู้ ตามแนวทฤษฎพี หุปัญญากับรปู แบบวฎั จกั รการเรยี นรทู้ มี่ ีต่อการคิดอย่างมี เหตผุ ลและทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พืน้ ฐานของ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 2\" วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม มนสชิ สทิ ธสิ มบูรณ์ (2550) ระเบียบวิธีการวิจัย พมิ พค์ ร้งั ท่ี 3พษิ ณุโลก คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ล้วน สายยศ (2552) \"ระเบยี บวธิ ีทางสถิตบิ างประการเพ่ือการวิจยั \" ในประมวลสาระชุดวิชาการ วิจัยหลกั สูตรและกระบวนการเรยี นการสอน หน่วยที่ 4 หน้า 301 นนทบุรี บัณฑติ ศึกษา สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546) การจัดสาระการเรยี นรู้กลุม่ วิทยาศาสตร์ หลกั สูตรการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน กรงุ เทพมหานคร โรงพิมพ์ครุ ุสภา ลาดพรา้ ว สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2553) หนงั สอื เรียนรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ 2 กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว สถติ ย์ ศริ ิธรรมจักร (2552) \"ผลของการเรยี นแบบวัฎจกั รการเรียนรู้ 5 ขั้นทใ่ี ช้พหุปัญญาและ การเรยี นตามค่มู ือครทู ่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ความคดิ วจิ ารณญาณและความ ตระหนักต่อการอนุรักษส์ ่งิ แวดลอ้ ม ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 3\" วิทยานิพนธ์ ปรชั ญาดษุ ฎีบัณฑิต สาขาสง่ิ แวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ (2552) พัฒนาทักษะการคิดพิชติ การสอน พมิ พ์ครั้งที่ 4 กรงุ เทพมหานคร โรงพมิ พ์เล่ียงเชยี ง สุวทิ ย์ มูลค้า (2550) กลยทุ ธการสอนคิดสังเคราะห์ พิมพ์ครัง้ ท่ี 4 กรุงเทพมหานคร ภาพพมิ พ์ สวุ ิทย์ มลู คา้ (2551) ครบเคร่ืองเร่ืองการคดิ พมิ พค์ รั้งที่ 9 กรงุ เทพมหานคร ภาพพิมพ์ ส้านกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน (2549) แนวทางการจัดการเรยี นร้เู พื่อพัฒนาทักษะ การคดิ วเิ คราะห์ กรงุ เทพมหานคร กระทรวงศึกษาธิการ ส้านักงานรบั รองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน) (2551) \"รายงานประจา้ ปี 2551 \" ออนไลน์ ค้นในวันที่ 19 ธนั วาคม 2554 http://www.onesqa.or.th/th/download/index Eisenkraft, A. (2003) “Expanding the 5E Model: A Proposed 7E Model Emphasizes Trans of Learning and the Importance of Eliciting Prior Understanding” The Science Teacher 70(6):56- 59 :
50 September f Chicago press. Beyer, B.K. (1983) \"Common Sense about Teaching Skill.\" Educational Leadership. 41 (November) : 44-49. Gardner,Howard (1993) Multiple Intelligences: Theory in Practice. New York : Basic Bosks. Esswein, Jennifer. L. (2010) “ Critical Thinking and Reasoning in Middle School Science Education” Ph.D.from the Ohio State University. Legare, G (2002) “An Investigation of the Effect of Task Design on the Development of Critical Think Skills by Engineering Students.” Dissertation Abstracts International. 65 (June) : 1740-A. Iyer, Nithya. N. (2010) “Instructional Practices of Teachers in Schools that use Multiple Intelligences Theory”ME.D. University of Cincinnati
Search