ขึ้น ๑๕ คาํ่ เดือน ๔ วนั มาฆบชู า
ประวตั วิ นั มาฆบูชา เปนวนั สําคัญของชาวพุทธเถรวาทและวนั หยุดราชการในประเทศ ไทย \"มาฆบูชา\" ยอ มาจาก \"มาฆปูรณมบี ูชา\" หมายถงึ การบชู าใน วันเพ็ญกลางเดอื นมาฆะตามปฏทิ ินอนิ เดยี หรือเดอื น 3 ตามปฏิทิน จันทรคตขิ องไทย (ตกชว งเดือนกุมภาพันธห รือมีนาคม) ถา ปใ ดมีเดือน อธกิ มาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปอ ธิกมาส) ก็เลอื่ นไปทําในวนั เพ็ญเดือน 3 หลงั (วนั เพญ็ เดือน 3) วนั มาฆบชู าไดร บั การยกยองเปน วนั สําคญั ทางศาสนาพุทธ เนือ่ งจาก เหตกุ ารณสาํ คญั ทเ่ี กดิ ขน้ึ เมื่อ 2,500 กวาปก อ น คือ พระโคตมพุทธเจา ทรงแสดงโอวาทปาตโิ มกขทามกลางท่ปี ระชุมมหาสังฆสนั นบิ าตคร้งั ใหญ ในพระพทุ ธศาสนา คมั ภรี ปปญ จสูทนีระบุวาครงั้ น้นั มเี หตกุ ารณเ กดิ ขน้ึ พรอมกนั 4 ประการ คือ พระภกิ ษุ 1,250 รปู ไดมาประชมุ พรอมกนั ยังวดั เวฬวุ นั โดยมไิ ดน ดั หมาย, พระภิกษุทง้ั หมดนนั้ เปน \"เอหภิ กิ ขุอุปสัมปทา\" หรือผไู ดรับการอปุ สมบทจากพระพทุ ธเจาโดยตรง, พระภิกษุท้ังหมดนั้น
เดมิ นน้ั ไมมีพิธมี าฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเดจ็ พระจอม เกลา เจาอยหู ัว (รัชกาลท่ี 4) พระองคไ ดทรงปรารภถงึ เหตกุ ารณครงั้ พุทธกาลในวนั เพญ็ เดอื น 3 ดงั กลาววา เปนวันที่เกดิ เหตุการณสาํ คัญยงิ่ ควรประกอบพธิ ีทางพระพทุ ธศาสนา เพือ่ เปน ที่ ตั้งแหงความศรทั ธาเล่ือมใส จึงมพี ระมหากรุณาธคิ ุณโปรดเกลาฯ ใหจดั การพระราชกุศล มาฆบูชาขนึ้ การประกอบพระราชพธิ ีคงคลา ยกบั วนั วิสาขบชู า คอื มกี ารบาํ เพญ็ พระราชกุศล ตาง ๆ และมีการพระราชทานจุดเทยี นตามประทปี เปนพุทธบชู าในวดั พระศรีรตั นศาสดาราม และพระอารามหลวงตา ง ๆ เปนตน ในชว งแรก พธิ มี าฆบชู าคงเปนการพระราชพธิ ีภายใน ยัง ไมแพรหลายทัว่ ไป ตอมา ความนิยมจัดพิธมี าฆบูชาจงึ ไดข ยายออกไปทั่วราชอาณาจักร ปจ จบุ ัน วันมาฆบชู าไดรบั การประกาศใหเ ปนวนั หยุดราชการในประเทศไทยโดย พุทธศาสนกิ ชนทัง้ พระบรมวงศานุวงศพระสงฆแ ละประชาชนประกอบพิธตี า ง ๆ เชน การ ตกั บาตร การฟง พระธรรมเทศนา การเวยี นเทยี น เปนตน เพื่อบูชาราํ ลกึ ถงึ พระรัตนตรยั และ เหตุการณสําคญั ดังกลา วทถ่ี อื ไดวา เปนวันท่ีพระพทุ ธเจา ประทานโอวาทปาฏิโมกข[7] ซึ่ง กลาวถึงหลักคําสอนอันเปนหัวใจของพระพุทธศาสนา ไดแก การไมท ําความช่วั ทงั้ ปวง การ บําเพญ็ ความดีใหถงึ พรอ ม และการทําจติ ของตนใหผ องใส เพ่อื เปนหลกั ปฏิบัติของ พทุ ธศาสนิกชนทัง้ มวล
เหตุการณส ําคญั ที่ เกดิ ใน
จาตุรงคสันนบิ าต คัมภรี ส มุ ังคลวลิ าสินี อรรถกถามหาปทานสูตร ระบุวาหลงั จากพระพทุ ธเจา เทศนา \"เวทนาปริคคหสตู ร\" (หรอื ทฆี นขสตู ร) ณ ถ้ําสูกรขาตา เขาคิชฌกฎู จบ แลว ทําใหพระสารีบตุ รไดบรรลุอรหัตตผล จากน้นั พระองคไ ดเสด็จทางอากาศไป ปรากฏ ณ วดั เวฬวุ ันมหาวิหาร ใกลก รงุ ราชคฤห แควน มคธ แลวทรงประกาศ โอวาทปาตโิ มกขแกพ ระภกิ ษุจํานวน 1,250 รูป โดยจํานวนนี้เปน บรวิ ารของช ฏิลสามพ่นี อง 1,000 รปู และบรวิ ารของพระอัครสาวก 250 รูป
คมั ภรี ปปญจสูทนระบวุ า การประชมุ สาวกคร้ังนน้ั ประกอบดว ย \"องคป ระกอบอัศจรรย 4 ประการ\" คือ 1. วนั ดังกลาวตรงกบั วันเพญ็ เดือน 3 2. พระภิกษทุ ัง้ 1,250 องคนน้ั ไดมาประชมุ กันโดยมไิ ดน ดั หมาย 3. พระภิกษุเหลา นัน้ เปน พระอรหันตท รงอภิญญา 6 4. พระภิกษเุ หลา นั้นไมไดป ลงผมดว ยมดี โกน เพราะพระพุทธเจาประทาน \"เอหภิ ิกขุอปุ สัมปทา\" ดวยพระองคเ อง ดังนนั้ จึงมคี าํ เรียกวันนอ้ี ีกคาํ หนึ่งวา \"วันจาตุรงคสันนบิ าต\" หรือ วนั ท่ีมีการประชุมพรอ ม ดว ยองค 4 ดังกลา วแลว ดวยเหตุการณประจวบกับ 4 อยาง จึงมีชอ่ื เรยี กอกี ชือ่ หนึ่งวา จาตุรงคสันนิบาต (มาจาก ศพั ทบาลี จาตรุ +องฺค+สนฺนปิ าต แปลวา การประชุมอันประกอบดวยองคป ระกอบทั้งส่ี ประการ) หลงั จากพระพุทธเจาตรัสรูแลว 9 เดอื น (45 ป กอ นพทุ ธศกั ราช) มีผเู ขา ใจผดิ วาเหตสุ ที่พระสาวกท้ัง 1,250 รูป มาประชุมพรอ มกนั โดยมไิ ดนดั หมายนั้น เพราะวันเพ็ญเดอื น 3 ตามคตพิ ราหมณเปนวันพิธีมหาศิวาราตรีเพอื่ บชู าพระศวิ ะ พระสาวก
ประทานโอวาทปาติโมกข พระพุทธเจาเมือ่ ทอดพระเนตรเหน็ มหาสังฆสันนิบาตอันประกอบไปดว ยเหตุอัศจรรยด งั กลา ว จึงทรงเห็นเปนโอกาสอันสมควรทจ่ี ะแสดง \"โอวาทปาติโมกข\" อันเปน หลักคาํ สอนสําคัญที่ เปนหวั ใจของพระพทุ ธศาสนาแกท ป่ี ระชุมพระสงฆเ หลา นัน้ เพ่อื วางจดุ หมาย หลักการ และ วธิ ีการ ในการเขา ถงึ พระพุทธศาสนาแกพ ระอรหันตสาวกและพทุ ธบริษัทท้ังหลาย พระพุทธองคจ ึงทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขเ ปน พระพทุ ธพจน 3 คาถากงึ่ ทามกลางมหา สังฆสนั นบิ าตนน้ั มีใจความดงั นี้ ● พระพุทธพจนค าถาแรกทรงกลา วถึง พระนพิ พาน วาเปน จดุ มุงหมายหรืออดุ มการณอ นั สงู สุดของบรรพชติ และพทุ ธบรษิ ัท อันมลี ักษณะท่แี ตกตา งจากศาสนาอนื่ ดังพระบาลีวา \"นพิ พฺ านํ ปรมํ วทนตฺ ิ พทุ ฺธา\" ● พระพทุ ธพจนค าถาทสี่ องทรงกลา วถงึ \"วธิ กี ารอันเปน หัวใจสาํ คญั เพื่อเขาถึงจุดมุงหมาย ของพระพทุ ธศาสนาแกพ ุทธบรษิ ทั ทั้งปวงโดยยอ \" คอื การไมทําความช่วั ท้งั ปวง การ บาํ เพญ็ แตความดี และการทําจติ ของตนใหผ องใสเปน อสิ ระจากกเิ ลสทงั้ ปวง สวนน้เี อง
สถานทีส่ ําคัญเนือ่ งดว ยวัน มาฆบูชา
วดั เวฬุวนั มหาวหิ าร \"วดั เวฬุวนั มหาวิหาร\" เปน อาราม (วัด) แหง แรกในพระพทุ ธศาสนา ตัง้ อยูใกล เชิงเขาเวภารบรรพต บนรมิ ฝง แมนาํ้ สรสั วดซี ง่ึ มตี โปธาราม (บอ น้ํารอนโบราณ) ค่นั อยรู ะหวางกลาง นอกเขตกําแพงเมอื งเการาชคฤห (อดีตเมอื งหลวงของแควนมคธ) รัฐพิหาร ประเทศอนิ เดียในปจจุบัน (หรอื แควน มคธ ในสมยั พทุ ธกาล)
จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวนั ในปจจบุ ัน ปจจุบันหลังถูกทอดท้งิ เปนเวลากวาพันป และไดร บั การบูรณะโดยกอง โบราณคดอี ินเดยี ในชว งท่ีอินเดียยังเปน อาณานิคมขององั กฤษ วดั เวฬุวัน ยงั คงมี เนนิ ดินโบราณสถานทีย่ ังไมไดขุดคน อีกมาก สถานทีส่ ําคัญ ๆ ทพี่ ทุ ธศาสนิกชนใน ปจจุบันนยิ มไปนมสั การคอื \"พระมูลคนั ธกฎุ ี\" ท่ปี จ จุบนั ยังไมไ ดท ําการขดุ คน เนอ่ื งจากมีกโุ บรข องชาวมสุ ลิมสรา งทับไวขางบนเนนิ ดนิ , \"สระกลนั ทกนวิ าป\" ซงึ่ ปจจบุ นั รัฐบาลอินเดยี ไดทําการบรู ณะใหมอ ยา งสวยงาม, และ \"ลาน จาตรุ งคสนั นิบาต\" อันเปน ลานเลก็ ๆ มซี ุมประดษิ ฐานพระพุทธรูปยนื ปางประทานพร อยกู ลางซุม ลานนี้เปน จุดสาํ คญั ทช่ี าวพทุ ธนิยมมาทาํ การเวียนเทยี นสักการะ (ลานน้ี เปน ลานทีก่ องโบราณคดอี นิ เดยี สนั นษิ ฐานวา พระพทุ ธองคท รงแสดงโอวาทปาฏิโมก ขใ นจุดน้ี)
จุดท่ีเกดิ เหตุการณสําคัญในวันมาฆบชู า (ลาน ถงึ แมว า เหตุการณจาตรุ งคสันนิบาตจะเปนเหตกุ ารณส ําคัญย่ิงที่เกดิ ในบริเวณ จวาดั เตวฬรุ วุ งันมคหสาวนั หิ านร แบิ ตาทวตาไ)มปรากฏรายละเอยี ดในบนั ทกึ ของสมณทตู ชาวจีนและ ในพระไตรปฎกแตอยา งใดวาเหตกุ ารณใ หญนี้เกดิ ขนึ้ ณ จุดใดของวัดเวฬวุ ัน รวม ทัง้ จากการขดุ คน ทางโบราณคดีก็ไมปรากฏหลกั ฐานวามีการทําเคร่ืองหมาย (เสา หิน) หรือสถปู ระบสุ ถานทีป่ ระชุมจาตรุ งคสันนิบาตไวแ ตอ ยางใด (ตามปกติแลว บริเวณท่ีเกิดเหตุการณส ําคญั ทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรอื เสาหนิ พระเจา อโศกมหาราชสรา งหรอื ปกไวเ พื่อเปนเครอ่ื งหมายสาํ คัญสาํ หรับผูแสวงบุญ) ทําใหใ นปจ จบุ นั ไมสามารถทราบโดยแนช ัดวา เหตุการณจาตรุ งคสันนิบาตเกิดข้ึน ในจดุ ใดของวัด ในปจ จบุ นั กองโบราณคดีอนิ เดยี ไดแ ตเ พยี งสนั นษิ ฐานวา \"เหตุการณดังกลาว เกดิ ในบริเวณลานดา นทศิ ตะวนั ตกของสระกลนั ทกนิวาป\" (โดยสนั นษิ ฐานเอาจาก เอกสารหลักฐานวา เหตุการณดงั กลา วมีพระสงฆป ระชุมกนั มากถึงสองพนั กวา รปู และเกิดในชว งทพี่ ระพทุ ธองคพ ง่ึ ไดท รงรบั ถวายอารามแหงน้ี การประชุมครง้ั นั้นคง
แนช ดั วาลานจาตุรงคสนั นบิ าตท่ีแทจริงอยูใ นจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบาง กลมุ สรา งซุมพระพุทธรปู ไวใ นบรเิ วณอ่ืนของวดั โดยเชื่อวาจุดท่ตี นสรา งนนั้ เปน ลาน จาตรุ งคสันนบิ าตทแ่ี ทจรงิ แตพุทธศาสนกิ ชนชาวไทยสว นใหญกเ็ ชื่อตามขอ สันนิษฐานของกองโบราณคดอี นิ เดยี ดงั กลาว โดยนิยมนับถอื กันวา ซุมพระพุทธรปู กลางลานนี้เปนจุดสักการะของชาวไทยผมู าแสวงบญุ จุดสาํ คัญ 1 ใน 2 แหง ของ เมืองราชคฤห (อกี จดุ หน่งึ คือพระมูลคันธกุฎบี นยอดเขาคิชฌกูฏ)
กจิ กรรมที่ พุทธศาสนิกชนพงึ
วันมาฆบูชา พทุ ธศาสนิกชนชาวไทยนิยมทําบญุ ตักบาตรในตอนเชา และตลอด วนั จะมกี ารบาํ เพ็ญบุญกศุ ลความดี อืน่ ๆ เชน ไปวดั รบั ศีล งดเวนการทําบาปทง้ั ปวง ถวายสังฆทาน ใหอ ิสระทาน (ปลอ ย นกปลอ ยปลา) ฟง พระธรรมเทศนา และไปเวยี นเทยี นรอบโบสถในเวลาเย็น[19] โดยกอ นทาํ การเวยี นเทยี นพุทธศาสนิกชนควรรว มกันกลา วคําสวดมนตและคํา บูชาในวนั มาฆบชู า โดยปกติตามวัด ตา ง ๆ จะจัดใหม กี ารทาํ วตั รสวดมนตกอ นทําการเวียนเทยี น ซึ่งสวนใหญนิยมทํา การเวียนเทยี นอยา งเปนทางการ (โดยมีพระภิกษุสงฆนําเวียนเทยี น) ในเวลา ประมาณ 20 นาฬกิ า โดยบทสวดมนตที่พระสงฆน ิยมสวดในวนั มาฆบูชากอนทาํ การ เวยี นเทียนนิยมสวด (ทั้งบาลแี ละคาํ แปล) ตามลําดบั ดงั น้ี
1. บทบชู าพระรัตนตรัย (บทสวดบาลที ีข่ ึน้ ตน ดวย:อรหงั สัมมา ฯลฯ) 2. บทนมสั การนอบนอมบูชาพระพทุ ธเจา (นะโม ฯลฯ ๓ จบ) 3. บทสรรเสริญพระพุทธคุณ (บทสวดบาลที ี่ขึน้ ตนดว ย:อติ ปิ โส ฯลฯ) 4. บทสรรเสรญิ พระพุทธคณุ สวดทาํ นองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะท่ีขนึ้ ตน ดว ย:องคใดพระสมั พทุ ธ ฯลฯ) 5. บทสรรเสริญพระธรรมคณุ (บทสวดบาลที ่ขี ้นึ ตน ดว ย:สวากขาโต ฯลฯ) 6. บทสรรเสรญิ พระธรรมคุณ สวดทํานองสรภัญญะ (บทสวดสรภญั ญะที่ข้นึ ตนดว ย:ธรรมมะคือ คณุ ากร ฯลฯ) 7. บทสรรเสริญพระสงั ฆคุณ (บทสวดบาลีทีข่ นึ้ ตน ดวย:สปุ ฏิปนโน ฯลฯ) 8. บทสรรเสรญิ พระสังฆคณุ สวดทํานองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะทข่ี นึ้ ตน ดว ย:สงฆใ ดสาวกศาสดา ฯลฯ)
จากนั้นจุดธูปเทยี นและถอื ดอกไมเปนเคร่อื งสกั การบูชาในมอื แลวเดนิ เวียน รอบปูชนยี สถาน 3 รอบ โดยขณะท่เี ดินนน้ั พึงตัง้ จติ ใหสงบ พรอมสวดระลึกถึงพระ พุทธคุณ ดวยการสวดบทอิติปโ ส (รอบท่หี น่ึง) ระลกึ ถงึ พระธรรมคุณ ดว ยการสวด สวากขาโต (รอบทีส่ อง) และระลึกถึงพระสังฆคุณ ดว ยการสวดสปุ ะฏิปน โน (รอบท่ี
การกาํ หนดใหวัน มาฆบูชาเปน วันสาํ คัญทาง
การประกอบพธิ ใี นวนั มาฆบูชาไดเรมิ่ มีข้นึ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา เจา อยูหัว เนื่องจากพระองคท รงเล็งเหน็ วาวันนี้เปนวันคลา ยวนั ท่เี กดิ เหตกุ ารณ สาํ คญั ในพระพทุ ธศาสนา คอื เปน วนั ท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข ฯลฯ ควรจะไดม กี ารประกอบพธิ ีบาํ เพ็ญกุศลตาง ๆ เพ่ือถวายเปน พุทธบชู า โดยในคร้งั แรกนนั้ ไดทรงกาํ หนดเปนเพียงการพระราชพธิ ีบาํ เพ็ญกุศลเปน การภายใน แตตอมา ประชาชนกไ็ ดน ิยมนําพธิ ีนไี้ ปปฏบิ ัติสบื ตอ มาจนกลายเปนวนั ประกอบพิธสี าํ คญั ทาง พระพทุ ธศาสนาวันหนง่ึ ไป เนือ่ งจากในประเทศไทย พทุ ธศาสนิกชนไดม กี ารประกอบพิธีในวันมาฆบชู าสบื เน่ืองมาตงั้ แตส มัยรชั กาลท่ี 4 และนบั ถือกันโดยพฤตนิ ยั วาวนั นเ้ี ปนวนั สําคญั วนั หน่งึ ในทางพระพทุ ธศาสนาของประเทศไทยมาตง้ั แตนนั้ [21] โดยเม่อื ถงึ วันนี้ พทุ ธศาสนิกชนจะรวมใจกันประกอบพธิ บี าํ เพ็ญกศุ ลตาง ๆ กันเปนงานใหญ ดงั นนั้ เมอื่ ถงึ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา เจาอยหู ัว พระองคจึงทรงประกาศใหวนั มาฆบชู าเปนวนั หยดุ นกั ขัตฤกษ[1] สําหรบั ชาวไทยจะไดรวมใจกนั บําเพญ็ กศุ ลในวนั มาฆบชู าโดยพรอมเพรียง
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: