Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 2 น้ำ

บทที่ 2 น้ำ

Published by Pattaranun Chuenroung, 2021-09-06 08:27:30

Description: บทที่ 2 น้ำ

Search

Read the Text Version

“นำ้ ”

เนือ้ หา 1. พันธะโคเวเลนต์ (พนั ธะเดยี่ ว,คู่,สาม) 2. สภาพข้ัวของโมเลกุล (พนั ธะไฮโดรเจน) 3. พนั ธะไอออนิก (สตู รเอมพิรคิ ัล) 4. การละละลายนา้ (สารอเิ ล็กโทรไลต์) บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

Q&A บ ท ที่ 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

น้ามีความสาคญั อยา่ งไร ? 5. ใช้เป็นทำงคมนำคม ใช้ในกำรเกษตร 6. นำ้ ให้พลงั งำน อำจจะนำพลงั งำนไปใช้ในโรงงำน 1. มนุษยใ์ ชน้ ำ้ ดื่ม ใชใ้ นบ้ำนเรอื น เช่น ใช้อำบ โดยตรง หรอื นำไปเปลย่ี นเป็นกระแสไฟฟ้ำ ใช้ซักฟอก ใช้ปรงุ อำหำร ชำระลำ้ ง นา้ เป็นสารประกอบที่มี 2. ใช้ในด้ำนอุตสำหกรรม อตุ สำหกรรมใช้น้ำ มากทสี่ ดุ ในโลก! ดงั น้ี - ใชเ้ ปน็ ส่วนประกอบของผลติ ภณั ฑ์ บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n - ใชเ้ ป็นตวั ละลำยวัตถุทใี่ ชใ้ นอตุ สำหกรรม - ใช้เปน็ ตัวทำควำมสะอำดลำ้ งวตั ถุดบิ - ใชก้ ำจัดของเสยี ของโรงงำนอุตสำหกรรม 3. นำ้ เปน็ ท่อี ยู่อำศัยของปลำและสัตว์น้ำ 4. ใชเ้ ป็นท่พี กั ผอ่ น เช่น ทะเล น้ำตก

พ้นื นำ้ 3 สว่ น (71%) เปน็ ไดท้ ง้ั 3 สถำนะ คอื ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส พื้นดิน 1 สว่ น (29%) บ ท ที่ 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

โมเลกุลน้า H Oสตู รเคมี : 2 ZOOM IN ดโู ครงสร้ำง หมำยควำมวำ่ รปู ร่างสามมติ ิ มนั ยดึ เหน่ียวกนั อยู่ 1 โมเลกลุ ของน้ำ เรยี กวำ่ “พนั ธะเคมี” (แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอะตอม ) ประกอบด้วย 2 อะตอมของ ไฮโดรเจน และ 1 อะตอมของ ออกซิเจน บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n Vocab: CHEMICAL BOND = พันธะเคมี

พันธะเคมี (chemical bond) คอื แรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอะตอม เกิดเป็นโมเลกุล แบ่งเป็น พันธะ พันธะ พันธะ โคเวเลนต์ ไอออนกิ โลหะ บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

โมเลกลุ น้ำ เกิดจำกกำรรวมกนั ของธำตุ : อโลหะ + อโลหะ นำ้ = สำรประกอบโคเวเลนต์ พันธะโคเวเลนต์ อะตอม O (ออกซเิ จน) Covalent bond ใชอ้ เิ ลก็ ตรอนร่วมกนั กับ อะตอม H (ไฮโดรเจน) SHARED ELECTRON บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ตัวอยำ่ งสำรโคเวเลนซ์ทพ่ี บในธรรมชำติ สำร สตู รโคเวเลนต์ 1. สูตรโมเลกลุ O2 แก๊สออกซเิ จน* N2 คือ แสดงจานวนและธาตทุ ่ี แก๊สไนโตรเจน* NH3 เป็นองค์ประกอบภายใน CO2 โมเลกลุ ของสารประกอบ แอมโมเนยี CO คำรบ์ อนไดออกไซด์ นกั เรียนต้องแยกจานวน คำรบ์ อนมอนอกไซด์ C2 H2 อะตอมของธาตอุ งคป์ ระกอบ CH4 N2O อะเซทลิ ีน ในโมเลกลุ ให้ได้! ยเู รีย บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n กรดแอซีติกหรือกรดน้ำสม้ C2 H4O2 กลูโคส C6H12O6 C6H8O6 วติ ำมนิ ซหี รอื กรด แอสคอรบ์ ิก *O2 และ N2 จะเรียกว่ำแก๊สออกซิเจน และแกส๊ ไนโตรเจน เพอื่ ไมใ่ ห้เกิดควำมสับสนกบั กำร เรยี กชือ่ ธำตุหรอื อะตอมออกซเิ จน (O) และไนโตรเจน (N)

สู ต ร โ ค ร ง ส ร้ ำ ง 1. สตู รแบบจดุ = 1 electron จำนวนจดุ = หมู่ หรอื สตู รลวิ อสิ (electron-dot structure) H2O บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

เกดิ กำรใช้ e- ร่วมกนั 2. สตู รแบบเสน้ = พนั ธะโคเวเลนต์ (graphic structure) ❑ ใชเ้ สน้ ตรง 1 เส้น ( — ) แทนอิเลก็ ตรอนทใ่ี ชร้ ว่ มกัน 1 คู่ ❑ ใช้เส้นตรง 2 เสน้ ( = ) แทนอิเล็กตรอนท่ีใช้รว่ มกัน 2 คู่ ❑ ใชเ้ สน้ ตรง 3 เส้น (  ) แทนอเิ ล็กตรอนทใี่ ช้รว่ มกนั 3 คู่ ❑ ให้เขียนไว้ในระหวำ่ งสญั ลักษณข์ องธำตคุ รู่ ว่ มพันธะ ❑ อเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี วทเี่ หลอื อำจเขยี นโดยใชจ้ ดุ แทน บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ประเภทพันธะโค เวเลนต์  Single bond เกดิ จำกอะตอมใช้เวเลนต์ (พันธะเดี่ยว) อิเล็กตรอนรว่ มกนั 1 คู่ เช่น ใช้สญั ลกั ษณเ์ ปน็ Share electron พนั ธะเดยี่ ว บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ประเภทพันธะโค เวเลนต์ ใชส้ ญั ลกั ษณเ์ ปน็  Double bond เกิดจำกอะตอมใช้เวเลนต์ (พนั ธะค)ู่ อิเลก็ ตรอนร่วมกัน 2 คู่ เช่น พันธะคู่ บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ประเภทพันธะโค เวเลนต์  Triple bond เกิดจำกอะตอมใชเ้ วเลนต์ (พนั ธะสำม) อเิ ล็กตรอนรว่ มกนั 3 คู่ ใชส้ ญั ลกั ษณเ์ ปน็ เช่น พนั ธะสำม บ ท ที่ 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

กำรเปล่ียนสถำนะของน้ำและควำมมีขั้ว บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

การเปลย่ี นสถานะของน้า • ที่อุณหภูมหิ ้องและ ควำมดัน 1 บรรยำกำศ น้ำ = ของเหลว • มีจดุ เยอื กแขง็ /จุด หลอมเหลว 0 ℃ • จุดเดอื ดท่ี 100 ℃ บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ทาไมน้าแขง็ จึงลอยน้าได้ ? ผลกึ นำ้ แขง็ ยังทำใหโ้ มเลกุลของน้ำจัดเรยี งตวั กันอยำ่ งเปน็ ระเบยี บ มีช่องว่ำงระหวำ่ งโมเลกุล มำกกว่ำโมเลกลุ ของน้ำทอี่ ย่ใู นสถำนะของแข็ง ทำใหน้ ้ำแข็งมีควำมหนำแน่นน้อยกวำ่ น้ำ น้ำแขง็ จงึ ลอยนำ้ บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

การทาใหข้ องเหลวไปกลายเป็นแก๊ส ต้องให้ควำมรอ้ น มำกพอท่ีจะทำลำย แรงยดึ เหนย่ี วระหวำ่ งโมเลกลุ ได้ บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ตำรำงแสดงจุดเดือด จดุ หลอมเหลวของสำรโคเวเลนต์ สำร มวลโมเลกุล สภำพขว้ั ของโมเลกลุ จุดหลอมเหลว (0C) จดุ เดอื ด (0C) He 4 ไมม่ ขี ้วั -272 -269 Ne 20 ไมม่ ขี ว้ั -249 -246 Ar 40 ไม่มีขัว้ -189 -186 CH4 16 ไม่มีข้วั -182 -161 NH3 17 ไม่มขี ว้ั -78 -33 H2O 18 มขี ว้ั 0 100 HF 20 มขี ว้ั -83 19 SiH4 32 ไม่มขี ว้ั -185 -111.8 PH3 34 มขี ว้ั -133 -87.7 H2S 34 มขี วั้ -85.5 -60.7 HCl 36 มีขว้ั -114 -85 บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

สภาพขวั้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ โมเลกลุ ที่มีเพยี ง 2 อะตอม 1. สำรไมม่ ีขั้ว = ประกอบไปดว้ ยอะตอมชนิดเดยี วกนั เช่น H2, O2, N2 2. สำรมีขั้ว = ประกอบไปด้วยอะตอมตำ่ งชนดิ กัน เชน่ HCl, ClF, HF, HI F− C+l F − +H บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

สภาพข้วั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ โมเลกลุ ท่ีมีมากกวา่ 2 อะตอม มขี วั้ /ไม่มีขัว้ กไ็ ด้ ขึ้นกบั รปู ร่างของโมเลกุล 1. โมเลกลุ มขี วั้ มีรปู ร่ำงของโมเลกุลไม่สมมำตร โมเลกุลนนั้ จะเป็นโมเลกลุ มีขวั้ เพรำะมีผลรวมของ ทิศทำงของแรงดงึ ดดู อเิ ลก็ ตรอนทงั้ หมดในโมเลกุลไม่เทำ่ กับศนู ยห์ รือมีแรงลัพธเ์ กิดขึ้น H2O O O H H เขียนทิศทางของแรงและแรงลพั ธเ์ ป็ นดงั น้ี 2ขอ. งโทมิศBเทeลCำกงl2ขุลอมงแขี รว้ั งดึงC−NแดHlลูด3ะอมิเลรี ก็Hูป+ตรBรำ่ eองขน+Nอทงงั้โHหมมเCลดHlกใ−ุลนสเโขมมียนมเทลำิศกเตทขลุ ราียงเนขปโอท็นมงแิศศเรลทงนู แกาลยงลุ ะข์นแอรเัน้ งชงลจ่นแพั ะรธเเ์งปปเ็ นปน็ ด็ นโงั มนด้ี เงั ลนก้ี ลุ ไมม่Oีขว้ั เพรำะมีผลรวม Be CO2 −COH3Cl +C+Cl O−เขียนทิศเทขาียงขนอทงแิศรทงแาลงะขแรองงลแพั ธรเ์งป็เนปด็ นงั นด้ี งั น้ี C C O บ ท ที่ 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ท่อี ุณหภมู หิ ้อง เปน็ ผลมำจำก H2S “พนั ธะไฮโดรเจน” แก๊ส H2O ของเหลว (H-bond) คอื แรงดึงดดู ระหวำ่ งโมเลกุล ทีเ่ กิดจำกไฮโดรเจนอะตอม สรำ้ งพันธะโควำเลนต์ มกั เกิดกับอะตอม F, O และ N บ ท ที่ 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

พนั ธะไฮโดรเจน ตวั อยำ่ งอ่ืน ๆ กำรเกดิ พนั ธะไฮโดรเจน (พนั ธะโคเวเลนต์) H-F, H-O และ H-N พันธะ ไฮโดรเจน บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

แหลง่ น้าธรรมชาติ บ ท ที่ 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

แหล่งน้ำธรรมชำติ = สำรไม่บริสทุ ธ์ิ มีสำรอื่นเจือปนอยู่ แก๊ส O2 ,แกส๊ Co2, ไอออนต่ำงๆ บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

• ธำตุ → โลหะหนัก Cd, Pb, Zn, Hg, Ni / แกส๊ O2 ,H2 • สำรโคเวเลนต์ → แกส๊ เช่น CO2 , HCN , NH3 / สำรเคมกี ำจัดศัตรูพืชและสตั ว์ เช่น ดีดที ี (DDT), อลั ดริน(aldrin), ดลี ดริน (dieldrin), และ คลอแดน (chlordan), / สำรกลมุ่ phenol • สำรไอออนิก → CaCO3 , Na2SO4 , MgO , CaCl2 บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

Na+ ระเหย Cl- NaCl โซเดียมคลอไรด์ “สำรประกอบไอออนกิ ” บ ท ที่ 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

พันธะไอออนิก ผู้ให้ ผู้รับ “สำรประกอบ ไอออนิก” บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

“พันธะ ไอออนิก” ประจตุ ำ่ งกัน จะดึงดดู กนั ดว้ ยแรงทางไฟฟา้ (electrostatic force) หรือ อะตอมทีม่ ีค่ำ EN น้อยจะให้ อเิ ลก็ ตรอนแกอ่ ะตอมท่ีมีคำ่ EN มำกทำใหอ้ ิเล็กตรอนท่อี ยู่รอบๆ อะตอมครบ 8 (octet rule) บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

พันธะไอออนิก คือ ? e– อโลหะ เกดิ จำกกำรรวมกนั ของธำตุ : โลหะ โลหะ + อโลหะ หน้ำที่ 1. โลหะ สญู เสยี e- จะกลำยเปน็ ไอออนบวก (Cation) 2. อโลหะ ทีร่ บั e- จะกลำยเปน็ ไอออนลบ (Anion) ตัวอย่ำง NaCl : Na เปน็ โลหะ จะเสียอเิ ลก็ ตรอน ใหก้ ับ Cl ทีเ่ ปน็ อโลหะ บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ตวั อยำ่ ง 1 : กำรเขยี น กำรเกดิ สำรประกอบ NaCl เลขอะตอม = 11 เลขอะตอม = 17 บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ตวั อยำ่ ง 2 : กำรเขยี น กำรเกิดสำรประกอบ LiF เลขอะตอม = 3 เลขอะตอม = 17 บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

The First Three Periods (and Drawing Bohr Models) บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

หลกั การเรยี กช่อื สารประกอบไอออนิก

Transition metals = กรุ๊ปหลำยใจ ระบเุ ลขออกซเิ ดชนั ของ 1=I 5=V Ex. CuSO4 ไอออนนั้น เป็นเลขโรมนั ไว้ 2 = II 6 = VI อำ่ นวำ่ คอปเปอร(์ II)ซลั เฟต 3 = III 7 = VII ในวงเลบ็ หลงั ชื่อธำตุ 4 = IV 8 = VIII

ตัวอย่ำงช่อื สำรประกอบไอออนิก 1.NaF อำ่ นว่ำ โซเดียมฟลอู อไรด์ อำ่ นวำ่ โพแทสเซยี มคลอไรด์ 2.KCl อำ่ นว่ำ แบเรียมฟลอู อไรด์ อำ่ นวำ่ แคลเซียมคลอไรด์ 3.BaF2 อ่ำนวำ่ โซเดียมคำรบ์ อเนต 4.CaCl2 อำ่ นว่ำ แมกนเี ซียมฟอสเฟต 5.Na2CO3 อ่ำนว่ำ คอปเปอร์(II)ไนเตรท 6.Mg3(PO4)2 อำ่ นวำ่ ไอออน(III)คลอไรด์ 7.Cu(NO3)2 อ่ำนว่ำ โพแทสเซยี มคลอเรต 8.FeCl3 อำ่ นวำ่ ซลิ เวอร์(I)ไนเตรท 9.KClO3 อำ่ นวำ่ โพแทสเซียมเปอร์แมงกำเนต 10.AgNO3 อ่ำนว่ำ โพแทสเซียมไดโครเมต 11.KMnO4 อ่ำนว่ำ คอปเปอร์(II)ซัลเฟต 12.K2Cr2O7 13.CuSO4

สมบตั ทิ ว่ั ไปของสารประกอบไอออนิก • จดุ เดือดจดุ หลอมเหลวสูง เนื่องจำกโครงสร้ำงของสำรประกอบ ไอออนิกมี • ของแข็งไม่นำไฟฟำ้ แตน่ ำไฟฟ้ำเมื่อเปน็ ไอออนบวกและไอออนลบอยตู่ ่อเนือ่ งกนั ไปท้งั สำมมิติ ของเหลวหรือสำรละลำย ไม่สำมำรถแยกออกเป็นโมเลกุลได้ จึงถือว่ำ • สำรประกอบไอออนิกสว่ นมำกละลำยนำ้ ไดด้ ี สำรประกอบไอออนิกเป็นสำรประกอบที่ไมม่ ีสูตรโมเลกลุ • สถำนะของแข็ง แตเ่ ปรำะและแตกหกั งำ่ ย บ ท ที่ 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n สตู รอยำ่ งง่ำย หรือ สตู รเอมพริ คิ ลั (empirical formula)

สตู รอยำ่ งง่ำย หรอื สูตรเอมพริ คิ ลั หลกั การเขียนสูตรสารประกอบไอออนิก 1 เขียนสูตรของ ไอออนบวก แล้วตำมด้วย ไอออนลบ 2 นำประจบุ วกและประจลุ บมำคณู ไขว้เพ่ือหำอัตรำส่วนอย่ำงต่ำ 3 กรณีทจี่ ำนวนไอออนเป็น 1 ไมต่ ้องเขยี น น Na+ Cl- = NaCl Ca2+ Br- = CaBr2 Fe3+ O2- = Fe2O3 11 12 23 บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

หมู่ 1 หมู่ 2 หมู่ 3 หมู่ 5 หมู่ 6 หมู่ 7 +1 +2 +3 -3 -2 -1 เอำหมู่ ลบออก ดว้ ย 8 บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ส ม บั ติ ข อ ง ส ำ ร ป ร ะ ก อ บ ไ อ อ อ นิ ก m.p. + –b.p. จดุ เดอื ดและจุดหลอมเหลวสูง ยึดเหนย่ี วด้วยแรงดงึ ดดู ทำงไฟฟ้ำ  l เปรำะ แตกงำ่ ย H2O H2O นำไฟฟำ้ ในสถำนะของเหลว บ ท ท่ี 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n บำงชนดิ ละลำยในนำ้ ได้ บำงชนิดไม่ละลำยในนำ้

สำรประกอบ ไอออนิกมีจุดเดือดและ จุดหลอมเหลวสงู มำก เพรำะ ? ควำมร้อนในกำรทำลำยแรงดึงดูด โครงสร้ำงกำรจดั เรียงโมเลกลุ เปน็ แบบ 3 มติ ิ ระหว่ำงไอออนใหก้ ลำยเปน็ มนั แขง็ แรงมำก ของเหลวตอ้ งใชพ้ ลังงำนสงู ! บ ท ที่ 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

ตารางแสดงจุดหลอมเหลว และจดุ เดือดของสารประกอบไอออนิกบางชนิด สมบตั ขิ องสำร สำร ตัวอยำ่ ง ลักษณะที่ กำรนำไฟฟำ้ จุด จดุ เดอื ด ปรำกฏ หลอมเหลว โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ของแขง็ ไมน่ ำ 801 1465 สขี ำว สำรประกอบ แคลเซยี มฟลอู อไรด์ (CaF2) ของแขง็ ไม่นำ 1418 2533 ไอออนกิ สีขำว โพแทสเซยี ม ไอโอไดด์ (KI) ของแขง็ ไมน่ ำ 681 1330 สขี ำว บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

การเปลย่ี นสถานะของสารประกอบไอออนกิ สำรประกอบไอออนิกส่วนใหญ่อยูใ่ นสถำนะของแข็ง โดยไอออนยดึ เหนยี่ วกนั ด้วยแรงทำงไฟฟ้ำท่แี ข็งแรง มำกกวำ่ แรงยึดเหนีย่ วในโมเลกลุ โคเวเลนต์ ดงั นั้นกำรท่จี ะทำใหไ้ อออนในสำรประกอบไอออนิก เคล่อื นที่ออกจำกกันต้ อ ง ใ ช้ อุ ณ ห ภู มิ ท่ี ม ำ ก กวำ่ กำรทำใหโ้ มเลกลุ ของสำรโคเวเลนตเ์ คล่ือนทอี่ อกจำกกัน บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

เ ม่ื อ นำ ส ำ ร ป ร ะ ก อ บ ? ไอออนิก ไปละลำยนำ้ บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n molecule H2O

เ มื่ อ นำ ส ำ ร ป ร ะ ก อ บ ถำ้ แรงดงึ ดดู ระหว่ำงโมเลกลุ ของนำ้ กับไอออน ทผี่ วิ ผลกึ ไ อ อ อ นิ ก ไ ป ล ะ ล ำ ย นำ้ ไอออนกิ มำกกวำ่ แรงยึดเหน่ยี วระหว่ำงไอออนบวก และไอออนลบภำยในผลึกไอออนิก ผลกึ ไอออนิกน้นั เมื่อละลำยน้ำ ไอออนบวก และไอออนลบ ก็จะละลำยนำ้ ได้ จะแยกออกจำกกนั บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n น้ำ (มขี ว้ั ) หันดำ้ นขัว้ บวก (H) ไปจับไอออนลบ และหันด้ำนข้ัวลบ (O) จับกบั ไอออนบวก ท่อี ยบู่ รเิ วณผิวของผลึกไอออนิก เกดิ แรงดงึ ดดู ระหว่ำงโมเลกลุ ของน้ำกบั ไอออนของผลกึ ไอออนกิ ข้นึ

การละลายนา้ มี 2 ลักษณะ นำไฟฟำ้ ได้ 1 สำรอเิ ลก็ โทรไลต์ (Electrolyte) หมำยถึง สำรท่ีเมอ่ื ละลำยนำ้ แลว้ สำมำรถแตกตวั เปน็ ไอออนได้ Ex. สำรละลำยอเิ ลก็ โทรไลตน์ อี้ ำจเป็น สำรละลำยกรด เบส หรอื เกลือ 2 สำรนอนอิเลก็ โทรไลต์ (Non-electrolyte) หมำยถึง NaCl →H2O Na+ + Cl- สำรท่ีเมื่อละลำยน้ำแลว้ ไม่สำมำรถแตกตวั เป็นไอออนไดจ้ ะอยูก่ นั เปน็ โมเลกลุ Ex. น้ำตำล (C6H12O6) แอลกอฮอล์ (C2H5OH) ไม่นำไฟฟำ้ บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

สารอิเล็กโทรไลต์ VS สารนอนอเิ ล็กโทรไลต์ (Electrolyte) (Non electrolyte) สำรละลำยกรด สว่ นใหญ่เป็นสำรประกอบ เบส โคเวเลนต์ หรอื เกลอื น้ำบริสุทธ์ิ , แอลกอฮอล์ เช่น C6H12O6 , C2H5OH , NH2CONH2 , CH3COOCH3 บ ท ที่ 2 : น้ำ : K r u ’ P a t t a r a n u n

อิเลก็ โทรไลตใ์ นร่างกาย ? อิเลก็ โทรไลต์เปน็ แร่ธำตุ ท่ีมปี ระจุไฟฟำ้ พบในเลอื ด ปัสสำวะ และเหงื่อ มีควำมสำคญั ต่อกระบวนกำรเฉพำะ ทีช่ ่วยใหร้ ำ่ งกำยทำงำนได้ บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n

อิเล็กโทรไลต์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท Acids - Bases 1. อเิ ลก็ โทรไลตแ์ ก่ สำรที่ละลำยนำ้ แลว้ แตกตัวเป็นไอออนได้มำก อำจจะแตกตัวได้ 100% (Strong electrolyte) และนำไฟฟำ้ ไดด้ มี ำก Ex. กรดแก่ และเบสแก่ และเกลอื สว่ นใหญ่ 2. อิเล็กโทรไลตอ์ อ่ น สำรทล่ี ะลำยน้ำแลว้ แตกตัวได้บำงส่วน นำไฟฟำ้ ไดน้ อ้ ย (Weak electrolyte) Ex. กรดออ่ น และเบสออ่ น และเกลอื ทล่ี ะลำยนำ้ ไดไ้ มด่ ี การตรวจสอบวา่ สารละลายของเราเปน็ กำรทดสอบกำรนำไฟฟ้ำ สารละลายอเิ ลก็ โทร ไลตห์ รอื เปลา่ ? * ของสำรละลำย สำรละลำยจะนำไฟฟำ้ ได้ดหี รอื ไม่ดี ข้ึนกับจำนวนของ Non-electrolyte Strong electrolyte Weak electrolyte ไอออนในสำรละลำยนั้น ถำ้ ไอออนมำกจะนำไฟฟำ้ ไดด้ ี บ ท ท่ี 2 : นำ้ : K r u ’ P a t t a r a n u n


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook