Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักเรียนถูกกระทำในสถานศึกษา

นักเรียนถูกกระทำในสถานศึกษา

Description: นักเรียนถูกกระทำในสถานศึกษา

Search

Read the Text Version

นกั เรียนถูกกระทำในสถำนศกึ ษำ ควำมรุนแรงโรงเรยี น ปญั หา ปจั จบุ ันเกิดเหตกุ ารณก์ ารใชค้ วามรนุ แรงข้ึนระหวา่ งนกั เรยี นกับ นกั เรยี น และระหวา่ งครูกับนักเรยี น ทงั้ ทเ่ี กิดขน้ึ ในโรงเรียนและนอกโรงเรยี น แต่สง่ิ ที่นา่ เปน็ ห่วงคือความรุนแรงที่เกิดในโรงเรยี น ระหว่างครแู ละนกั เรยี น ระหวา่ ง นกั เรียนกบั นกั เรียน เพราะสงิ่ เหล่าน้ี อาจหลอ่ หลอมใหน้ ักเรียนมีพฤติกรรมความ รนุ แรง และออกไปกอ่ ความรุนแรงนอกสถานศกึ ษาได้ สำเหตุ มีดว้ ยกนั 2 สำเหตุ ดงั นี้ 1 สำเหตทุ ่ีเดก็ กอ่ ควำมรุนแรงและผิด ครอบครัว เกม ส่อื มวลชน กรณที ีค่ รอบครวั เลี้ยงดูแบบลงโทษและแบบเผด็จการ หรอื สมั พันธภาพในครอบครัวไมด่ ี เดก็ จะมองโลกแง่รา้ ย สขุ ภาพจติ เสื่อม และ กา้ วร้าว ฯลฯ นอกจากนี้ เกมและส่อื ก็เป็นปัจจัยสาคญั ขอ้ มูลโครงการ ChildWATCHhttp://cdncache-a.akamaihd.net/items/it/img/arrow- 10x10.png สถาบนั รามจติ ติ พบวา่ เด็กรอ้ ยละ 10 หรอื ประมาณ 7 แสนคน ก่อ ความรนุ แรง สาเหตุมาจากเกม ละคร ภาพยนตท์ รี่ นุ แรง 2 สำเหตุท่ีครูใช้ควำมรนุ แรง ปัญหาอารมณ์จิตใจ ขาดทกั ษะการ แก้ปญั หา อานาจนยิ มศนู ย์พิทักษ์สิทธเิ ดก็ วเิ คราะห์สาเหตุทค่ี รทู าโทษดว้ ยความ รนุ แรง มี 2 สาเหตุ สาเหตแุ รกครูผดิ ปกติดา้ นจิตใจและอารมณเ์ มือ่ เกิด ความเครยี ดอาจระบายอารมณก์ ับเด็กดว้ ยการตี หรอื ต่อวา่ สาเหตุท่ีสองครูขาด ทกั ษะการจัดการปญั หาเดก็ ครจู านวนมากยังเชอ่ื ว่าการลงโทษด้วยการตีเปน็ วธิ ีท่ี ได้ผล นอกจากน้ี มีความคิดเหน็ จากผูท้ ที่ างานดา้ นเดก็ มองว่า โรงเรียนสว่ นใหญม่ ี โครงสร้างแบบอานาจนิยม ส่งผลให้ครูจานวนมากมพี ฤติกรรมใช้อานาจกับเด็ก ประกอบกับการเรียนการสอนเปน็ การสือ่ สารทางเดยี ว จึงเป็นสาเหตหุ น่ึงท่ีครูขาด ทกั ษะการฟัง ซ่ึงเป็นปัจจยั สาคัญในการเขา้ ใจผเู้ รยี น

ผลกระทบ ทาให้เกดิ การทารา้ ยรา่ งกายกัน จนทาใหต้ นเองหรือผอู้ ื่นได้รบั บาดเจบ็ พิการ ทุพพลภาพ หรืออาจเสียชวี ิต เกดิ ความไมส่ งบสุขในสังคม สง่ ผลกระทบตอ่ ผู้อืน่ อาจทาใหผ้ ู้ทไ่ี ม่มสี ว่ นเก่ยี วข้องไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น บาดเจบ็ เสยี ชวี ติ และ ทรัพยส์ ินเสียหาย ทาใหค้ รอบครวั ไม่มีความสขุ ผปู้ กครองเดือดรอ้ น มีความทุกขใ์ จ โรงเรยี นตอ้ งเชญิ ผู้ปกครองไปพบ หรอื ถา้ ฝา่ ยเสยี หายแจ้งความตอ้ งไปดาเนินเรื่อง ตอ่ ทาให้เสียเวลาในการเรยี นด้วย ความขัดแยง้ ท่ีเกดิ ขนึ้ ระหว่างคนสองคนหรือคนกลุม่ เลก็ อาจทาใหเ้ กดิ การ ชกั ชวนคนอืน่ ๆ มารว่ มทะเลาะวิวาท ทาใหเ้ หตุการณข์ ยายวงกว้างข้ึน สภาพจติ ใจ ถูกทารา้ ยและบอบชา้ มาก เกิดความคับแคน้ ใจ อาจถกู ดาเนนิ คดีเพราะทาผิด กฎหมาย เช่น การทารา้ ยรา่ งกายผอู้ ่ืน เสียการเรียน เสยี เวลา และอาจเสียอนาคต เช่น เกดิ การหวาดกลัวฝ่ายตรงข้าม ทาให้ไมก่ ลา้ มาโรงเรยี น ตอ้ งคอยหลบเลย่ี ง และอาจทิง้ การเรยี นกลางคนั เกดิ ปญั หาอ่ืนๆ ตามมาภายหลงั เชน่ ถ้าเกดิ ความ พิการ ต้องเป็นภาระเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการดูแลในระยะยาว เป็นต้น

แนวทำงในกำรแกไ้ ข แนวทางในการปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาความขัดแยง้ ต้องมาจากสว่ นสาคัญ 2 สว่ น คือ ส่วนทีม่ าจากตวั ของวยั รนุ่ เอง และ ส่วนทีม่ าจากองค์ประกอบของปัจจัย ตา่ งๆ 1. กำรป้องกันและแก้ไขปญั หำควำมขดั แย้งดว้ ยตัวของวัยร่นุ เอง 1. วัยรุ่นต้องรู้จักนาแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาขอ้ ขดั แยง้ และวิธกี าร สอ่ื สารอยา่ งสร้างสรรค์มาใช้ ดว้ ยการฝึกวเิ คราะหใ์ หม้ องเหน็ ถึงลักษณะความรุนแรง พฤติกรรมความรนุ แรง ผลกระทบทีเ่ กดิ ข้นึ ต่อผู้ถูกกระทาและผู้กระทา ดงั ตัวอยา่ ง ตารางความเชื่อมโยงของลกั ษณะพฤติกรรมความรนุ แรง เมือ่ วิเคราะหแ์ ละมองเห็น ถึงสิง่ ท่ีจะขึน้ แลว้ ต้องพยายามปรับพนื้ ฐานทางด้านทัศนคตขิ องตนเองใหเ้ กดิ คณุ ลักษณะที่ดีในตนเอง ไดแ้ ก่ คุณลกั ษณะทไ่ี ม่นยิ มการใช้ความรุนแรง มเี มตตา กรณุ า มคี วามเป็นธรรม รู้จกั นับถือตนเองและผอู้ ืน่ ฝึกการนาทกั ษะการสื่อสารอยา่ ง สร้างสรรคม์ าใชเ้ พ่ือแกไ้ ขปญั หาเมอ่ื เกิดขอ้ ขัดแย้ง เช่น การรจู้ ักพูดจาให้เหมาะสม กับสถานการณ์ การรู้จกั ปฏเิ สธเมอ่ื ถูกชกั ชวนให้ทาในสง่ิ ที่ไมถ่ ูกต้อง 2. ต้องรจู้ กั ป้องกันความรนุ แรงทีเ่ กิดจากอทิ ธพิ ลความเช่ือหรอื ค่านิยม บางอย่าง เช่น ค่านิยมในวธิ กี ารแสดงความรักต่อสถาบนั หรอื เพอ่ื นรว่ มสถาบันทีผ่ ดิ วิธี หรอื คา่ นิยมในการฟุ้งเฟ้อตามกระแสนิยมของสังคม ในขณะท่สี ภาพความพร้อม ทางดส้ นเศรษฐกิจของตนเองยงั ไม่เออ้ื อานวยโดยใชว้ ิธกี ารปรับเปลี่ยนวิธคี ิด ไดแ้ ก่ ความรกั เพอื่ นไมใ่ ชก่ ารยอมทาตามใจเพือ่ นทุกอย่าง ศกั ดศ์ิ รขี องลูกผู้ชายไมใ่ ช่อยู่ท่ี วิธีการใช้ความรนุ แรง ความผดิ หวงั เปน็ เรอ่ื งธรรมดาของชวี ติ หรอื การถอยคนละกา้ ว ดกี วา่ การเดินหน้าชนกัน

2. กำรปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หำควำมขดั แย้งท่ีปจั จยั สนับสนนุ สภาพพืน้ ฐานของครอบครวั สภาพแวดล้อมในสถานศกึ ษา ส่ือ สารมวรชนแหนงต่างๆตลอดจนสภาพทางเศรษฐกจิ ถอื ว่าเปน็ ปัจจยั สนบั ทม่ี สี ว่ นให้ วยั รนุ่ เกดิ ความขัดแย้งขน้ึ ในจิตใจ ดงั นน้ั การแกไ้ ขปัญหา ซงึ่ มแี นวทางปฏิบตั ทิ ่ีเปน็ ปจั จัยตา่ ง ๆ ในภาพรวม ดงั นี้ 1.) ปัจจัยที่เกย่ี วข้องกับครอบครวั แนวทางปฏิบัตทิ ่สี าคญั ได้แกก่ าร สร้างสมั พันธภาพทดี่ ีให้เกดิ แกส่ มาชกิ ในครอบครวั พอ่ แมห่ รือผปู้ กครองตอ้ งหมน่ั พูดคยุ รับฟงั ปัญหา ใหค้ าปรึกษาที่ดแี กส่ มาชิกทุกคนในครอบครวั และในกรณที ี่ สมาชกิ อยู่ในระหว่างการศึกษาต้องใหค้ วามสาคญั ในการสอื่ สารระหว่างสถานท่ี ศึกษากบั บา้ น เพอ่ื รบั ทราบขอ้ มลู ท่ีเก่ยี วข้องกับสมาชกิ และปญั หาต่าง 2.) ปจั จยั ทเี่ กย่ี วข้องกบั สถานศกึ ษา แนวทางปฏบิ ัตทิ ี่สาคญั ได้แก่ คณะครทู ุกคนตอ้ งคอยดูแลให้คาแนะนานักเรียนในกรณที ี่พบว่ามพี ฤตกิ รรมเสย่ี ง ตอ่ การใช้ความรุนแรงทงั้ ในฐานะทีเ่ ปน็ ผกู้ ระทาหรอื ถกู กระทา ควรสอดแทรก ความรู้ในเรื่องโทษของการใช้วิธกี ารรนุ แรงหรือแสดงพฤติกรรมการใช้ความ รุนแรง เพ่อื ใหน้ ักเรยี นได้ตระหนกั ถงึ ผลเสยี ดงั กลา่ ว หรือควรให้ความรู้เกยี่ วกับ ทกั ษะชีวิต (life skills) ทจ่ี าเป็นแก่นกั เรียน การสรา้ งความเขม้ แขง็ ระหวา่ งบา้ น ชุมชน และโรงเรียนให้เกดิ ข้นึ ท่มี า...https://sites.google.com/site/violenceinsociety2233/khwam-runraeng-ni-rongreiyn

ควำมรนุ แรงในโรงเรยี นต่อเดก็ ผลกระทบของความรุนแรงในโรงเรียนต่อเด็ก และแนวทางสาหรับโรงเรียนทเ่ี ป็นมติ ร กับเดก็ ในชว่ งเดอื นท่ีผ่านมา หลายทา่ นอาจไดย้ นิ ไดเ้ หน็ ข่าวเกี่ยวกับความรนุ แรงในโรงเรียน บ่อยคร้ัง ทงั้ ๆ ทโี่ รงเรียนควรจะเป็นสถานทีท่ เ่ี ด็กไดร้ ับความรแู้ ละพัฒนาตนเอง แตท่ าไมเรา ถึงยังได้ยนิ ขา่ วทานองน้ีบอ่ ยนัก? แลว้ ผลกระทบของความรนุ แรงเหลา่ น้ี ส่งผลอย่างไรกับตวั เด็กบา้ ง และเราจะมแี นวทางอย่างไรในการใหค้ วามคุ้มครองแกพ่ วกเขา เพอ่ื ใหโ้ รงเรียน ได้ เป็นสถานที่ทพี่ วกเขาเรียนรู้อย่างสรา้ งสรรค์และปลอดภัย รปู แบบของควำมรุนแรงในโรงเรียน ความรุนแรงท่ีเกดิ ขนึ้ ในโรงเรียน จัดได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1. การกลน่ั แกล้งรงั แกของนักเรยี น (Bullying) 2. การลงโทษด้วยความรนุ แรง (Corporal punishment) 3. การล่วงละเมิดทางเพศ (Sexual abuse) 1. กำรกลั่นแกล้งรังแกของนักเรยี น อาจเปน็ สิง่ ที่บางคนมองว่าเปน็ ธรรมชาติของเด็ก เมอื่ มาอยู่รวมกนั ทาใหม้ องข้ามวา่ เป็นความรุนแรงรปู แบบหน่ึง รวมถึงตัวเดก็ ทีเ่ ป็นผ้รู งั แก ทีม่ องวา่ การใชอ้ านาจทตี่ นมีอยู่ ไมว่ า่ จะมาจากการมพี วกมาก การเป็นท่ีรกั ของครู การมี สถานะทางเศรษฐกิจท่ีดี หรอื แหล่งอานาจอ่นื ๆ ในการรังแกผู้ทดี อ้ ยกว่าตนนนั้ เป็นเรอื่ งธรรมดา แตส่ าหรบั เด็กท่ีโดนกล่นั แกลง้ รงั แกโดยเพือ่ นนักเรยี น อาจสง่ ผลร้ายแรงตอ่ จติ ใจ สุขภาพ และ การเรียนของเด็ก นอกจากนัน้ ในปจั จบุ ัน การกลน่ั แกล้งบางส่วนทากนั จนเปน็ ประเพณี เช่น การรบั นอ้ ง และการกลน่ั แกลง้ ไม่เพยี งแต่เกิดขึ้นภายในร้วั โรงเรยี น แต่ยังตอ่ เน่ืองไปอยู่บนโลก ออนไลนด์ ว้ ย

2. กำรลงโทษด้วยควำมรนุ แรง อยู่คู่กบั ครอบครวั ไทยและโรงเรยี นไทยมาช้านาน จาก การสารวจโดยองคก์ ารยูนิเซฟ เรื่อง ความรู้ ทศั นคติ และการปฏิบัตขิ องครู ในเรอ่ื งการลงโทษ ดว้ ยความรนุ แรงและการใชว้ นิ ัยเชิงบวก ในปี 2556 โดยสอบถามจากครูในโรงเรียนรฐั 480 คน ครสู ่วนใหญ่เหน็ วา่ การลงโทษด้วยความรุนแรงมีข้อเสยี แต่ยังมีครูร้อยละ 42 เห็นว่าการ ลงโทษที่ไมร่ ุนแรงเกนิ ไป จะไมส่ ่งผลต่อทางกายและทางจิตใจของเด็กในระยะยาว และครูรอ้ ย ละ 62 บอกว่าการลงโทษดว้ ยความรนุ แรงไม่ใชก่ ารละเมดิ สิทธเิ ด็ก ถงึ แม้วา่ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร จะได้ออกกฎกระทรวง \"หกั ไมเ้ รยี ว\" ในปี 2548 เพอ่ื หา้ มการ ลงโทษด้วยความรนุ แรง เช่นการตี แตห่ ลายโรงเรียนก็ยังมกี ารใช้วิธนี ้ีอยู่ ครรู อ้ ยละ 95 บอก วา่ ตนทราบถงึ กฎกระทรวงปี 2548 แตม่ เี พยี งร้อยละ 50 คิดว่ากฎกระทรวงมปี ระสทิ ธิภาพใน การเปลย่ี นแปลงการปฏิบัตขิ องครู จากการสารวจ ครจู านวนมากยอมรบั วา่ ไม่รู้วิธีอื่นทจ่ี ะใชใ้ นการดแู ลพฤตกิ รรมนักเรียน ได้ และมองวา่ การลงโทษทม่ี าจากความหวงั ดี เปน็ สิ่งท่ียอมรบั ได้ และเปน็ สง่ิ จาเป็นตอ่ การ ควบคมุ เดก็ ในช้นั เรยี น เพราะถือเป็นวิธีการจัดการชัน้ เรียนท่ีไดผ้ ลทันที มากกวา่ เปน็ การ ลงโทษ แต่การกระทาทีด่ ูเหมอื นไม่ใช่เร่ืองใหญน่ ัน้ อาจกอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบต่อนกั เรียนท้งั ทาง ร่างกายและจิตใจ (เชน่ กรณที ่ีครูพละโยนแก้วเซรามิกถกู ใบหน้านกั เรียน ม.5 จนเส้นประสาท เสียหาย) 3. กำรลว่ งละเมิดทำงเพศ เป็นสิ่งทีท่ กุ คนในสังคมเหน็ ว่าเปน็ ความผิดอย่างรา้ ยแรง และจะตอ้ งมีการลงโทษตามกฏหมายแก่ผู้กระทา แต่เมอ่ื ปรากฏเปน็ ข่าว เรามกั จะพบว่า ผกู้ ระทาน้ันได้ลว่ งละเมิดเดก็ มาแล้วหลายครั้ง หรือหลายคน โดยการใชอ้ านาจทต่ี นมีเหนือ เดก็ ทาใหเ้ ดก็ หวาดกลวั ทจี่ ะขอความช่วยเหลือ ส่งผลใหไ้ ม่มีการจดั การตอ่ ผูก้ ระทาอย่าง เด็ดขาด จงึ เป็นที่นา่ เสยี ใจที่ระบบของโรงเรียนยงั ไม่สามารถปกปอ้ งและช่วยเหลือ นกั เรยี นไดด้ ีพอ

บทบำทของครูและโรงเรยี นในกำรปกปอ้ งคุ้มครองเด็ก อนสุ ัญญาวา่ ด้วยสิทธิเดก็ ระบุวา่ เดก็ ทกุ คนตอ้ งมสี ิทธิในการไดร้ บั การศึกษา ซง่ึ ครูทกุ คนมีสว่ นสาคญั ทีจ่ ะชว่ ยใหเ้ ดก็ ได้เรยี นรู้ ไดพ้ ัฒนาตัวเองอย่างสมวัย และเติบโตเต็มศกั ยภาพ แต่หนา้ ที่ของโรงเรียนไมไ่ ดจ้ ากัดอยทู่ ่สี ิทธดิ ้านการศึกษาเพียงดา้ นเดยี ว มาตรา 19 ของ อนสุ ญั ญาวา่ ด้วยสทิ ธเิ ดก็ ยงั บอกวา่ เด็กทุกคนต้องได้รับการปกป้องค้มุ ครองจากความรนุ แรง การถกู ลว่ งละเมดิ การทอดทิง้ และแสวงประโยชน์ ซงึ่ การคมุ้ ครองนี้ จะต้องเกดิ ขึ้นท้งั ทบ่ี ้าน ทโี่ รงเรียน และในชมุ ชนที่เด็กอยอู่ าศัย ครูจงึ มหี น้าที่สาคัญในการทาให้โรงเรียนเปน็ สถานที่ ทปี่ ลอดภยั และเหมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตและการเรยี นรู้ของเด็ก และมหี นา้ ท่รี ับผดิ ชอบ ต่อการปกป้องค้มุ ครองนกั เรียนของโรงเรียนดว้ ย ดังน้ัน เมื่อนักเรยี นมีปญั หาตา่ งๆ รวมถงึ ปัญหาทีเ่ กดิ จากการกระทารุนแรง การท่ี สถานศึกษามีชอ่ งทางทช่ี ดั เจนในการรบั แจง้ เหตุ มมี าตรการรองรบั ท่เี หมาะสม ซึ่งรวมถึง บทบาทของครแู ละบุคลากรในการรับฟงั โดยไม่ตัดสนิ การพทิ ักษ์สิทธ์ิให้กับเดก็ การจัดบริการ หรือสง่ ตอ่ ไปรบั บรกิ ารทเ่ี หมาะสม เพอื่ นาไปสูก่ ารชว่ ยเหลือและแกป้ ญั หาใหเ้ ดก็ อยา่ งทนั ทว่ งที นี่ตา่ งหากที่เปน็ รากฐานสาคญั ของความเคารพท่ีนกั เรียนจะมตี อ่ ครูอย่างแทจ้ ริง ไมใ่ ช่การใช้ อานาจและความรนุ แรงทที่ าให้เกดิ ความหวาดกลัว ในช่วงทีผ่ า่ นมา มีหลายขา่ วที่แสดงให้เห็นวา่ ครูหรอื โรงเรียนอาจไม่ได้ใหค้ วามสาคญั กบั การฟงั เสียงของเดก็ มากพอ ไมว่ า่ จะเปน็ กรณีท่เี ดก็ กลน่ั แกลง้ กันเองจนเกิดการบาดเจ็บ (เด็ก แกลง้ เพื่อนให้น่งั ทับดินสอ การรบั น้องทม่ี กี ิจกรรมรนุ แรง) หรอื การกระทาโดยครู (การให้เดก็ นักเรียนกนิ เต้าหไู้ ข่เพ่ือทดสอบอาการแพ้) ท้งั นี้ความปลอดภยั ของเดก็ เปน็ สง่ิ ทต่ี ้องไมถ่ ูกมอง วา่ เป็นเรื่องเลก็ น้อย เพราะอาจเปน็ อันตรายถึงชวี ติ ได้ ทีส่ าคญั โรงเรียนควรถอื วา่ การปกปอ้ ง ค้มุ ครองเด็กเป็นส่ิงที่สาคัญมากกว่าการปกปอ้ งชือ่ เสียงของสถาบัน จากการสารวจของยนู ิเซฟ ในปี 2556 มคี รูเพียงร้อยละ 49 คิดว่าจะรายงานต่อผอู้ านวยการโรงเรียนหากเห็นว่ามีการใช้ กาลงั ในการลงโทษอยา่ งเกนิ ควร

ผลกระทบควำมรุนแรงที่มตี อ่ เด็ก เราเหน็ ในข่าวว่า ผลกระทบทางกายจากการใช้ความรุนแรง หรอื การกระทาทไี่ ม่ ปลอดภยั ต่อเด็ก สามารถทาให้เกดิ การบาดเจ็บรนุ แรงแก่เดก็ ซง่ึ อาจสง่ ผลรนุ แรงถึงขน้ั พิการ หรือเสยี ชีวติ ได้ แต่ความรนุ แรงทางจติ ใจ เช่น การดดุ า่ เปรยี บเทียบ ประชดประชัน การ ลอ้ เลยี น ฯลฯ ก็ส่งผลต่อเด็กอย่างรา้ ยแรงด้วยเช่นกัน โดยเดก็ ทเ่ี ป็นเหยอ่ื ของความรุนแรงอาจ มีภาวะไมม่ ่นั คงทางจติ ใจ รู้สึกไมป่ ลอดภยั นาไปสู่ปญั หาสุขภาพจติ มีภาวะทางอารมณ์ หดหู่ ส้ินหวัง วติ กกังวล แยกตัวออกจากสังคม มีความผดิ ปกติในการนอนและการรบั ประทาน อาหาร ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลตอ่ พฒั นาการทางกายต่อไปไดด้ ้วย โดยในตา่ งประเทศมีตวั อยา่ ง ของเด็กหลายรายทปี่ ระสบกับการถูกกล่นั แกลง้ ล้อเลยี นจากเพื่อนทโี่ รงเรยี น โดยไม่รจู้ ะแกไ้ ข อย่างไร และตดั สินใจฆ่าตวั ตายได้ การศึกษาวิจยั เกีย่ วกบั ผลกระทบของความรนุ แรงตอ่ เดก็ ชใ้ี หเ้ ห็นวา่ เมอ่ื เดก็ ประสบ เหตกุ ารณ์ทีท่ าให้เกิดความเครียดรุนแรง (Toxic stress) เช่น เมื่อเผชญิ กบั ความรนุ แรง การ ถูกละเมิด การถกู ละเลย หรือต้องเผชญิ ความหิวโหย ร่างกายจะหลงั่ ฮอร์โมนคอร์ตซิ อล (Cortisol) ซง่ึ เป็นฮอรโ์ มนความเครียด ออกมาในระดบั สูง ซึ่งฮอรโ์ มนนี้จะขัดขวาง กระบวนการพฒั นาการทางสมอง โดยจากัดการขยายตวั หรือการแตกแขนงของเซลล์ตา่ ง ๆ ในสมอง อกี ทั้งส่งผลรา้ ยต่อสุขภาพ การเรยี นรู้ และพฤตกิ รรมของเดก็

ซา้ ย: สมองปกติ ขวา: สมองท่ถี ูกกระทารุนแรง, ลว่ งละเมิด หลายคนอาจจะมองว่า ความรุนแรงนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่น่าจะมีผลร้ายแรงมาก แค่ครตู ี เจบ็ แปบ๊ เดยี วกห็ ายแลว้ หรอื การถูกเพอื่ นกล่นั แกล้งหรือล้อเลียน ก็เปน็ ส่ิงปกติของเด็ก แต่ เมือ่ เวลาผา่ นไป ผู้กระทาอาจพบวา่ เม่ือใช้ความรุนแรงเล็กนอ้ ยแล้วไมไ่ ดผ้ ล กม็ กั เพ่ิมระดบั ความรนุ แรงมากขน้ึ ๆ จนเป็นอันตรายตอ่ เด็กได้ นอกจากนี้ การใชค้ วามรุนแรง ไมว่ ่าจะนอ้ ย หรือมาก จะสะทอ้ นให้เด็กเขา้ ใจผิดวา่ การใชค้ วามรุนแรงเปน็ สิ่งทย่ี อมรบั ได้ นอกจากนี้ ความรนุ แรงในโรงเรียนยงั ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเรยี น ทาใหน้ ักเรียน ไมอ่ ยากมาโรงเรียน การรวบรวมผลการวจิ ยั ในประเทศต่างๆ ช้ีใหเ้ หน็ วา่ เดก็ ทเี่ รยี นใน สภาพแวดลอ้ มทม่ี ีความรุนแรง จะมผี ลการเรยี นทแ่ี ยก่ ว่าเด็กท่ีเรียนในสภาพแวดล้อมท่ี ปลอดภยั เพราะมีการหยดุ เรียนมากกวา่ และมีสขุ ภาพจิตทแี่ ย่กว่า

นโยบำยกำรคุ้มครองเดก็ ในโรงเรียน ในปัจจบุ นั กระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดเ้ ล็งเห็นว่าควรมกี ารคุ้มครองเด็กในโรงเรียนทีเ่ ข้มแขง็ ขึ้น โดยไดร้ ว่ มกบั องคก์ ารยนู ิเซฟ ในการจัดทานโยบายการคุ้มครองเด็กในโรงเรยี น ซงึ่ จะเปน็ แนวทางใหโ้ รงเรยี นและสถานศกึ ษาทกุ แหง่ ภายใต้สังกดั กระทรวงศึกษาธิการดาเนินการเพ่อื สง่ เสรมิ การปกป้องดูแลความปลอดภยั ของเดก็ ทกุ คน ทั้งน้นี โยบายการคมุ้ ครองเด็กในโรงเรียนยังอยูร่ ะหวา่ งการจดั ทาร่างเพื่อพิจารณา โดย หากจะมุง่ ส่กู ารค้มุ ครองเดก็ จะต้องมีความชัดเจนในการกาหนดกรอบนยิ ามของความรนุ แรง ตอ่ เดก็ (ตามอนุสญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ด็ก) และการทางานทีม่ ่งุ เน้นการกาจัดความรุนแรงจากผมู้ ี อานาจเหนอื กวา่ การกลน่ั แกล้งรังแกของนกั เรียน การลงโทษด้วยความรนุ แรง การล่วงละเมิด ทางเพศ และการแสวงประโยชน์ อยา่ งชดั เจน โดยในรายละเอียดอาจมกี ารกาหนดแนวทาง ตั้งแตก่ ารคัดเลอื กบคุ ลากรของโรงเรยี น การจดั อบรมอยา่ งตอ่ เนือ่ ง เพื่อให้ความรูส้ าหรบั ครู และบคุ ลการท้งั หมดเกีย่ วกบั การคมุ้ ครองเด็ก ซง่ึ รวมถึงทางเลอื กในการสร้างวนิ ัยให้กับเด็ก “จดั การพฤตกิ รรมของนกั เรียน” การใหค้ วามรแู้ กเ่ ดก็ ให้เขา้ ถึงระบบบรกิ าร รวมถงึ การดูแล ปกปอ้ งตนเอง การกาหนดโครงสร้างระบบการคุม้ ครองเดก็ ในโรงเรยี น ทีร่ ะบุถงึ ผู้รับผิดชอบ หลักทเ่ี ชื่อมโยงกับการบริหารงานภายในโรงเรียน การมีแนวปฏิบตั ติ ่อเดก็ ที่ชัดเจน (รวมถึง บทลงโทษทีเ่ หมาะสมหากฝา่ ฝนื แนวปฏบิ ัติ) การมรี ะบบรองรับการรายงานแจง้ เหตุและกลไก การชว่ ยเหลือนกั เรียนทป่ี ระสบปัญหา และมกี ารส่งตอ่ กรณีทรี่ ุนแรงไปยังหน่วยงานคมุ้ ครอง เดก็ เพ่ือใหเ้ ด็กได้รับความชว่ ยเหลอื อย่างเหมาะสม และอาจรวมถงึ แนวปฏิบตั ิในการเสนอ ข้อมลู เดก็ แก่สือ่ และบคุ คลภายนอกดว้ ย

อยา่ งไรกด็ ี การมีการกาหนดนโยบายคุ้มครองเดก็ ในโรงเรียนน้ัน ยังไมเ่ พียง พอทีจ่ ะทาใหโ้ รงเรียนปราศจากความรุนแรง แต่ตอ้ งมแี นวทางชดั เจนทจี่ ะนานโยบาย ไปสกู่ ารปฏบิ ัตขิ องสถานศึกษา รวมถงึ ตอ้ งมรี ะบบการตดิ ตามและประเมินผลการ นาไปใช้ด้วย เพอื่ ให้เกิดความม่ันใจว่า ได้มีการนานโยบายคมุ้ ครองเดก็ ในโรงเรยี นมาใช้ อย่างจริงจัง ส่งิ ทีจ่ ะช่วยกระตุ้นให้กระบวนการเหลา่ นเ้ี กดิ ข้ึนได้ อาจเร่มิ จากการทาความ เขา้ ใจวา่ การปกป้องคุ้มครองเด็กจากความรุนแรง ไม่เพียงแตจ่ ะเปน็ ประโยชนก์ ับนักเรยี น อยา่ งเดยี ว แตค่ รเู องกจ็ ะได้ประโยชน์ด้วย เพราะจะเป็นการช่วยสรา้ งความเขา้ อกเขา้ ใจ การพูดคยุ ระหวา่ งครูและนกั เรยี น การปฏิบัตติ ่อกันอย่างเคารพสทิ ธซิ งึ่ กันและกนั และ บรรยากาศทเ่ี ออ้ื ต่อการเรยี นรู้ ถึงเวลำแล้วทท่ี กุ โรงเรยี นจะต้องมีนโยบำยคมุ้ ครองเดก็ ทจี่ ะช่วยใหล้ กู หลำน ของเรำไดไ้ ปโรงเรียนอยำ่ งปลอดภยั และมคี วำมสขุ ท่ีมา..https://thailandunicef.blogspot.com/2016/09/violence-against-children-at-school.html