คมู่ ือครู Teacher Script วิทยำศำสตร์ ป.4 ชั้นประถมศกึ ษาปท ่ี 4 เลม่ 1 ตามมาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละตัวช้ีวัด กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร ์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ผเู้ รยี บเรยี งหนงั สอื เรียน ผ้ตู รวจหนังสอื เรียน บรรณาธกิ ารหนังสือเรยี น ดร. เพญ็ พักตร ์ ภู่ศิลป ดร. รกั ซอ้ น รตั น์วจิ ติ ต์เวช นายฐาปกรณ ์ คา� หอมกลุ ดร. พลอยทราย โอฮาม่า นางศรนิ ภัสร์ เพ็งมีศร ี นายวนั เฉลิม กล่ินศรีสขุ นางวชริ าภรณ์ ปัถว ี ผูเ้ รียบเรยี งคมู่ ือคร ู บรรณาธกิ ารคู่มอื ครู นางสาวสุวภิ า วงษแ์ สง นายวันเฉลมิ กลิ่นศรีสขุ นางสาวอภิญญา อนิ ไรข่ ิง นางสาวอัญชลี คา� เหลอื ง พมิ พค รง้ั ที่ 1 สงวนลิขสทิ ธ์ติ ามพระราชบัญญตั ิ รหสั สินคา 1448046
ค�ำแนะน�ำกำรใช้ ค่มู ือครู รายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร ์ ป.4 จดั ท�าขึ้นสา� หรับให้ ครผู สู้ อนใชเ้ ปน็ แนวทางวางแผนการจดั การเรยี นการสอน เพอ่ื พฒั นา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการประกันคุณภาพผู้เรียนตามนโยบาย ของสา� นกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (สพฐ.) เพิม่ คาํ แนะนําการใช้ ช่วยสร้างความเข้าใจ เพื่อใช้คู่มือครูได้ อย่างถกู ต้องและเกดิ ประสทิ ธภิ าพสูงสุด นาํ นาํ สอน โซน 1สรปุ ประเมนิ เพิ่ม คําอธิบายรายวชิ า แสดงขอบขา่ ยเนื้อหาสาระของรายวชิ า ขนั้ นาํ 1หน่วยการเรียนรู้ท่ี ขคอวงาสมง่ิ หมลชี าวี กติ หลาย ซงึ่ ครอบคลมุ มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชว้ี ดั ตามทหี่ ลกั สตู ร สง่ิ มชี วี ติ รอบตวั เรามหี ลายชนดิ และแตล่ ะชนดิ จะ กระตนุ ความสนใจ มลี กั ษณะสำ� คญั บำงอยำ่ งเหมอื นกนั หรือแตกตำ่ งกนั ก�าหนด 1. ครทู กั ทายกบั นกั เรยี น แลว แจง ผลการเรยี นรทู ่ี ซงึ่ เรำสำมำรถใชเ้ ปน็ เกณฑ ์ ในกำรจดั กลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ เปน็ กลมุ่ พชื กลมุ่ สตั ว ์ และกลมุ่ ท ่ีไม ่ใชพ่ ชื และสตั ว ์ได้ เพม่ิ Pedagogy ช่วยสร้างความเข้าใจในกระบวนการออกแบบ จะเรียนในวันนใี้ หน ักเรียนทราบ พชื ดอกมีโครงสรำ้ งภำยนอกทส่ี ำ� คญั หลำยสว่ น การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ได้อย่างมี 2. ใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพื่อวัด ซึ่งโครงสรำ้ งแตล่ ะสว่ นของพชื ดอกทำ� หนำ้ ทต่ี ำ่ งกนั ประสิทธิภาพ เพื่อให้พืชสำมำรถด�ำรงชีวิตและขยำยพันธุ์ต่อได้ ความรูเดมิ ของนักเรียนกอ นเขาสกู จิ กรรม เพิ่ม Teacher Guide Overview ช่วยใหเ้ หน็ ภาพรวมของการ 3. ครูกระตุนความสนใจโดยนําลูกอมท่ีมีสีตางๆ ตัวชีว้ ัด จัดการเรียนการสอนท้ังหมดของรายวิชาก่อนท่ีจะลงมือ 1. บรรยายหน้าทข่ี องราก ลา� ต้น ใบ และดอก ของพชื ดอกโดยใชข้ อ้ มูลทีร่ วบรวมได้ (มฐ. ว 1.2 ป.4/1) สอนจริง คละกนั มาแจกนกั เรยี นคนละ 1 เมด็ 2. จา� แนกสงิ่ มชี วี ติ โดยใชค้ วามเหมอื นและความแตกตา่ งของลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ ออกเปน็ กล่มุ พืช กลุ่มสัตว์ และกลุม่ ทไี่ มใ่ ชพ่ ชื 4. ครูสุมเลือกสีของลูกอมโดยใหนักเรียนยกมือ เพิ่ม Chapter Overview ชว่ ยสรา้ งความเขา้ ใจและเหน็ ภาพรวม และสัตว์ (มฐ. ว 1.3 ป.4/1) ในการออกแบบแผนการจดั การเรียนรแู้ ต่ละหนว่ ย ชลู ูกอมที่ตนเองไดร ับ จากน้นั ครูเลอื กสลี กู อม 3. จ�าแนกพชื ออกเปน็ พชื ดอกและพชื ไมม่ ีดอก โดยใช้การมีดอกเปน็ เกณฑ์ โดยใช้ข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ (มฐ. ว 1.3 ป.4/2) ทม่ี จี าํ นวนนกั เรยี นอยใู นสนี น้ั นอ ยทส่ี ดุ ออกมา 4. จา� แนกสัตว์ออกเปน็ สัตวม์ กี ระดูกสันหลังและสตั วไ์ มม่ ีกระดกู สนั หลัง โดยใชก้ ารมกี ระดกู สันหลังเป็นเกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ เพม่ิ Chapter Concept Overview ช่วยให้เห็นภาพรวม หนาชน้ั เรียน Concept และเนื้อหาส�าคัญของหน่วยการเรยี นรู้ 5. ครูต้ังคําถามวา หากตองการจัดกลุมหรือ (มฐ. ว 1.3 ป.4/3) จําแนกเพ่ือนที่อยูหนาช้ันเรียนออกเปนกลุม 5. บรรยายลกั ษณะเฉพาะทีส่ งั เกตไดข้ องสัตวม์ ีกระดูกสันหลังในกลมุ่ ปลา กลุ่มสัตว์สะเทินนา้� สะเทินบก กลมุ่ สัตวเ์ ลอื้ ยคลาน กลุ่มนก นักเรียนจะใชเกณฑใดบาง แลวใหนักเรียน ชวยกันระดมความคิดในการตอบคาํ ถาม และกลมุ่ สตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนา�้ นม และยกตวั อยา่ งสง่ิ มชี วี ติ ในแตล่ ะกลมุ่ (มฐ. ว 1.3 ป.4/4) 6. ครขู ออาสาสมคั รนกั เรยี น 2 คน กาํ หนดเกณฑ ที่ใชสําหรับจัดกลุมเพ่ือนหนาช้ันเรียนคนละ 1 เกณฑ แลว เพอ่ื นในหอ งชว ยกนั ตรวจสอบวา สามารถจัดกลุมเพ่อื นตามเกณฑน ้นั ไดห รอื ไม (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ขนั้ สอน สาํ รวจคน หา 1. ครใู หน กั เรยี นอา นสาระสาํ คญั และดภู าพหนว ย การเรยี นรูที่ 1 ความหลากหลายของส่ิงมชี ีวติ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา นี้ จากนนั้ ถามนกั เรยี นวา ภาพนม้ี สี ง่ิ มชี วี ติ อะไรบาง นักเรียนรูจักหรอื ไม แลวใหนกั เรียน ชว ยกนั ตอบคาํ ถามอยา งอสิ ระ (แนวตอบ ผเี สื้อ กบั ดอกไม) เพม่ิ ข้อสอบเน้นการคิด/ข้อสอบแนว O-NET เพื่อเตรียม เกร็ดแนะครู ความพร้อมของผู้เรยี นส่กู ารสอนในระดับต่าง ๆ ในการเรียนหนวยการเรียนรูท่ี 1 นี้ ครูควรจัดกระบวนการเรียนรูโดยให เพ่มิ กจิ กรรม 21st Century Skills กจิ กรรมทีจ่ ะช่วยพฒั นาผู้ นักเรยี นปฏิบัติกิจกรรมรว มกนั ดังน้ี โซน 3 เรียนให้มีทักษะที่จ�าเปนส�าหรับการเรียนรู้และการด�ารงชีวิตใน • จาํ แนกกลุม สิง่ มีชีวติ โลกแหง่ ศตวรรษที่ 21 • จาํ แนกพืชออกเปน พืชดอก พืชไมมีดอก • จาํ แนกพืชดอกออกเปนพืชใบเลีย้ งเด่ยี ว และพืชใบเล้ยี งคู เพิม่ STEM Project แนวทางการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิด • สังเกต อธิบาย และจําแนกสัตวโดยใชการมีกระดกู สนั หลงั เปน เกณฑ การเรียนรู้และสามารถบูราการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ • อธิบายหนาทข่ี องสวนตางๆ ของพชื โดยครคู วรใหน กั เรยี นไดล งมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมดว ยตนเอง จนเกดิ เปน ความรู ความเขาใจท่ีถูกตอง รวมท้ังสามารถนําวิธีการทางวิทยาศาสตรและทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรมาใชคนหาคาํ ตอบเก่ียวกบั ประเด็นทีส่ งสยั ได โซน 2 T8 เทคโนโลย ี กระบวนการทางวศิ วกรรม และคณติ ศาสตร์ไปใช้ เช่ือมโยงและแก้ปญ หาในชีวติ จรงิ โซน 1 ช่วยครูจัด โซน 2 ชว่ ยครูเตรียมสอน กำรเรยี นกำรสอน โดยประกอบด้วยองค์ประกอบส�าคัญต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ครูผู้สอน สา� หรับครู เพอ่ื น�าไปประยกุ ต์ใชจ้ ดั กิจกรรมการเรียนรู้ในช้ันเรียน โดยแนะน�าขัน้ ตอนการสอน และการจัดกจิ กรรมอยา่ งละเอยี ด เพ่อื ให้นักเรยี นบรรลผุ ลสมั ฤทธิต์ ามตัวชี้วัด เกร็ดแนะครู น�ำ สอน สรปุ ประเมนิ ความรู้เสริมส�าหรับครู ข้อเสนอแนะ ข้อสังเกต แนวทางการจัด กจิ กรรมและอนื่ ๆ เพอื่ ประโยชน์ในการจดั การเรียนการสอน นกั เรยี นควรรู้ ความรู้เพิ่มเติมจากเน้ือหา ส�าหรับอธิบายเสริมเพิ่มเติมให้ กบั นักเรยี น
โดยใช ้ หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.4 และแบบฝก หดั รายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร ป.4 ของบรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น ์ อจท. จา� กดั เปน็ สอ่ื หลัก (Core Materials) ประกอบการสอนและการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เพื่อใหส้ อดคลอ้ ง กบั มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชวี้ ดั ของกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร ์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลาง การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ซงึ่ ค่มู ือครเู ลม่ นมี้ อี งค์ประกอบทง่ี ่ายต่อการใชง้ าน ดงั น้ี โซน 1 นาํ สอน สรปุ ประเมนิ โซน 3 ช่วยครูเตรยี มนักเรยี น 1บทที ่ กลØม่ สิง่ มชี ีวติ Key words ขน้ั สอน ประกอบด้วยแนวทางการส�าหรับจัดกิจกรรมและ เสนอแนะแนวขอ้ สอบ เพอ่ื อา� นวยความสะดวกใหแ้ กค่ รผู สู้ อน ส่ิงมีชวี ติ • organism สาํ รวจคน หา • plant 2. ใหน กั เรยี นดูภาพในหนาบทท่ี 1 กลุมส่งิ มชี ีวติ กิจกรรม 21st Century Skills (organism) • animal • fungus จากหนงั สอื เรยี น หนา 3 แลว ถามคาํ ถามสาํ คญั กิจกรรมท่ีให้นักเรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้ท่ีเรียนรู้มาสร้าง พชื ประจําบท จากนั้นใหนักเรียนชวยกันอธิบาย ชิ้นงาน หรือท�ากิจกรรมรวบยอดเพื่อให้เกิดทักษะที่จ�าเป็น ¹Ñ¡àÃÕ¹ คําตอบ โดยครูช้ีแจงเพ่ิมเติมวา ใหนักเรียน ในศตวรรษท ี่ 21 (plant) ÊÒÁÒö㪌ࡳ±ã´ นกึ ถงึ กจิ กรรมทม่ี กี ารจดั กลมุ เพอื่ นหนา ชน้ั เรยี น ที่ผานมา ข้อสอบเนน้ การคิด ?㹡ÒèíÒṡ (แนวตอบ ลกั ษณะของส่ิงมีชวี ติ การกนิ อาหาร การสรางอาหาร การยอยสลายส่ิงมีชีวิตอื่น ตัวอย่างข้อสอบท่ีมุ่งเน้นการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อม ¡ÅØ‹ÁÊèÔ§ÁÕªÕÇÔµ เปน อาหาร เปนตน ) เฉลยอย่างละเอยี ด ä´ŒºŒÒ§ 3. นักเรียนเรียนรูคําศัพทท่ีเก่ียวของกับการเรียน ในบทที่ 1 โดยครูเปน ผอู านนาํ และใหน กั เรียน ขอ้ สอบเนน้ การคิดแนว O-NET อา นตาม 4. นักเรียนวาดภาพหรือติดภาพส่ิงมีชีวิตตางๆ ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิดวิเคราะห์ และสอดคล้องกับ ทนี่ กั เรยี นรจู กั 5-10 ภาพ ลงในสมดุ แลว จดั กลมุ แนวข้อสอบ O-NET มีท้ังปรนัย-อัตนัย พร้อมเฉลยอย่าง ส่ิงมีชีวิตเหลานั้น โดยใชเกณฑที่กําหนดเอง ละเอยี ด หรือทํากิจกรรมนําสูการเรียนในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา 2 กิจกรรมทา้ ทาย (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบคุ คล) เสนอแนะแนวทางการจดั กจิ กรรม เพอื่ ตอ่ ยอดสา� หรบั นกั เรยี น ทเี่ รยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และตอ้ งการทา้ ทายความสามารถใน เห็ดรา สตั ว์ ระดบั ทสี่ ูงข้นึ (fungus) (animal) กิจกรรมสรา้ งเสริม กจิ กรรม นา� ส¡‹ู ารเรีÂน เสนอแนะแนวทางการจดั กจิ กรรมซอ่ มเสรมิ สา� หรบั นกั เรยี นที่ ควรไดร้ ับการพัฒนาการเรียนรู้ 3 นักเรียนควรรู ครฝู ก ใหน ักเรยี นเรยี นรูและอา นคาํ ศัพทว ิทยาศาสตร ดงั น้ี โซน 3 Organism (‘ออกะนิซึม) สิ่งมชี วี ติ Plant (พลานท) พชื Animal (‘แอ็นนมิ ลั ) สตั ว Fungus (‘ฟงกสั ) เหด็ รา โซน 2 T9 บรู ณาการอาเซยี น ส่อื Digital ความรู้เสริมหรือการเช่ือมโยงในเรื่องที่เก่ียวข้องกับประชาคม การแนะนา� แหลง่ เรยี นรแู้ ละแหลง่ คน้ ควา้ จากสอ่ื Digital ตา่ ง ๆ อาเซียน ห้องปฏิบัตกิ าร (วิทยาศาสตร) แนวทางการวดั และประเมินผล การอธบิ ายหรือข้อเสนอแนะส่งิ ทีค่ วรระมัดระวงั หรือขอ้ ควรปฏิบตั ิ ตามเนอื้ หาในบทเรียน เสนอแนะแนวทางการบรรลุผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ นกั เรยี นตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชวี้ ดั ทห่ี ลกั สตู รกา� หนด
ค�ำอธิบายรายวิชา กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เวลาเรียน 80 ชั่วโมง / ปี วทิ ยาศาสตร ์ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดกลุ่มสิ่งมีชีวิต การจ�ำแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพืชไม่มีดอก การจ�ำแนกสัตว์ มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ลักษณะเฉพาะท่ีสังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง หน้าท่ีของส่วนต่าง ๆ ของพืชดอกผลของแรงโน้มถ่วงของโลก การใช้เครื่องช่ังสปริงวัดน้�ำหนักของวัตถุ มวลของวัตถุที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลง การเคล่ือนท่ีของวัตถุ การจ�ำแนกวัตถุเป็นตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง สมบัติทางกายภาพด้าน ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การน�ำความร้อน และการน�ำไฟฟ้าของวัสดุ การน�ำสมบัติทางกายภาพของวัสดุไปใช้ใน ชวี ติ ประจำ� วนั สมบตั ขิ องสสารทงั้ 3 สถานะ จากขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการสงั เกตมวล การตอ้ งการทอ่ี ยู่ รปู รา่ ง และปรมิ าตรของสสาร รวมทง้ั การใชเ้ ครือ่ งมอื เพอื่ วดั มวลและปรมิ าตรของสสารท้งั 3 สถานะ สรา้ งแบบจำ� ลองแสดงองคป์ ระกอบของระบบสุริยะ และคาบการโคจรของดาวเคราะห์ต่าง ๆ จากแบบจ�ำลอง แบบรูปเส้นทางการข้ึนและตกของดวงจันทร์ สร้างแบบจ�ำลองท่ี อธิบายแบบรูปการเปลี่ยนแปลงรปู ร่างปรากฏของดวงจันทร์และพยากรณ์รปู ร่างปรากฏของดวงจันทร์ โดยมุ่งหวังใหผ้ ู้เรยี นได้เรียนร้วู ิทยาศาสตร์ท่สี ามารถนำ� ไปใชอ้ ธบิ าย แกไ้ ขปญั หา หรอื สรา้ งสรรคพ์ ัฒนางานในชีวิต จรงิ ได้ ซ่ึงเนน้ การเชือ่ มโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และเทคโนโลยี กบั กระบวนการทางวศิ วกรรมศาสตร์ และ ใหม้ ที กั ษะสำ� คญั ในการค้นควา้ และสร้างองคค์ วามรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาทห่ี ลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะการคิด และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน รวมทั้งส่งเสริมให ้ ผู้เรยี นเกิดจติ วิทยาศาสตรแ์ ละมเี จตคตทิ ่ดี ีตอ่ การเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ตวั ชว้ี ดั ว 1.2 ป.4/1 บรรยายหนา้ ท่ีของราก ลำ� ตน้ ใบ และดอกของพชื ดอกโดยใชข้ อ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ ว 1.3 ป.4/1 จ�ำแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิตออกเป็นกลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ และกลุ่มที่ไม่ใช่พืช และสัตว์ ว 1.3 ป.4/2 จำ� แนกพชื ออกเปน็ พชื ดอกและพืชไมม่ ดี อกโดยใชก้ ารมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ ว 1.3 ป.4/3 จ�ำแนกสัตว์ออกเปน็ สตั ว์มีกระดกู สนั หลังและสตั ว์ไมม่ กี ระดูกสนั หลงั โดยใชก้ ารมีกระดูกสนั หลงั เป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ ว 1.3 ป.4/4 บ รรยายลกั ษณะเฉพาะทส่ี งั เกตไดข้ องสตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั ในกลมุ่ ปลา กลมุ่ สตั วส์ ะเทนิ นำ้� สะเทนิ บก กลมุ่ สตั วเ์ ลอ้ื ยคลาน กลมุ่ นก และ กลุม่ สัตวเ์ ลยี้ งลูกดว้ ยนำ้� นม และยกตวั อย่างสงิ่ มีชีวติ ในแตล่ ะกล่มุ ว 2.1 ป.4/1 เปรียบเทยี บสมบัติทางกายภาพดา้ นความแขง็ สภาพยืดหยุน่ การนำ� ความรอ้ น และการนำ� ไฟฟา้ ของวัสดุโดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์ จากการทดลองและระบุการน�ำสมบัตเิ ร่อื งความแขง็ สภาพยืดหย่นุ การนำ� ความรอ้ น และการน�ำไฟฟา้ ของวสั ดุไปใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วัน ผา่ นกระบวนการออกแบบชนิ้ งาน ว 2.1 ป.4/2 แ ลกเปลย่ี นความคิดกบั ผอู้ ืน่ โดยการอภปิ รายเกย่ี วกบั สมบัตทิ างกายภาพของวัสดุอยา่ งมเี หตุผลจากการทดลอง ว 2.1 ป.4/3 เปรยี บเทียบสมบัตขิ องสสารทง้ั 3 สถานะ จากขอ้ มลู ท่ไี ด้จากการสงั เกตมวล การตอ้ งการที่อยู่ รูปรา่ งและปริมาตรของสสาร ว 2.1 ป.4/4 ใชเ้ คร่ืองมอื เพือ่ วดั มวล และปรมิ าตรของสสารท้งั 3 สถานะ ว 2.2 ป.4/1 ระบุผลของแรงโนม้ ถ่วงที่มตี ่อวัตถุจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ ว 2.2 ป.4/2 ใช้เครอื่ งชัง่ สปรงิ ในการวัดน้ำ� หนักของวตั ถุ ว 2.2 ป.4/3 บรรยายมวลของวัตถทุ ่มี ีผลตอ่ การเปลีย่ นแปลงการเคลอ่ื นท่ีของวัตถุจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ว 2.3 ป.4/1 จำ� แนกวัตถเุ ป็นตัวกลางโปร่งใส ตวั กลางโปร่งแสง และวตั ถุทบึ แสง โดยใช้ลกั ษณะการมองเห็นสงิ่ ตา่ ง ๆ ผา่ นวตั ถุนั้นเป็นเกณฑจ์ าก หลักฐานเชิงประจักษ์ ว 3.1 ป.4/1 อธบิ ายแบบรูปเสน้ ทางการข้นึ และตกของดวงจนั ทร์ โดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์ ว 3.1 ป.4/2 สร้างแบบจ�ำลองท่ีอธบิ ายแบบรปู การเปล่ียนแปลงรปู ร่างปรากฏของดวงจันทร์ และพยากรณ์รูปร่างปรากฏของดวงจนั ทร ์ ว 3.1 ป.4/3 สร้างแบบจำ� ลองแสดงองคป์ ระกอบของระบบสรุ ิยะ และอธบิ ายเปรยี บเทียบคาบการโคจรของดาวเคราะห์ตา่ ง ๆ จากแบบจ�ำลอง รวม 16 ตัวชว้ี ัด
Pedagogy คมู่ อื ครู รายวชิ าพน้ื ฐาน ว ทิ ย ำศำสตร์ ป.4 เล่ม 1 รวมถึงสอื่ การเรยี นรรู้ ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร ์ ชนั้ ป.4 ผ้จู ดั ทา� ไดอ้ อกแบบ การสอน (Instructional Design) อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และเทคนิคการสอนท่ีเปยมด้วยประสิทธิภาพและมี ความหลากหลายใหก้ บั ผเู้ รยี น เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นสามารถบรรลผุ ลสมั ฤทธต์ิ ามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชวี้ ดั รวมถงึ สมรรถนะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�าหนดไว้ โดยครูสามารถน�าไปใช้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชาน้ีผู้จัดท�าได้น�ารูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) มาใช้ใน การออกแบบการสอน ดงั น้ี รปู แบบกำรสอนแบบสบื เสำะหำควำมรู้ (5Es Instructional Model) ด้วยจุดประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วย กรEะeตnnggุ้นaคg1วeาmมeสnนt ใจ ให้ผู้เรียนได้พัฒนาวิธีคิด ท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ สาํ รวeExจpแlลorะaคt้นioหnา คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะส�าคัญในการค้นคว้าหาความรู้ และมี Elaขยาย ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ผู้จดั ท�าจึงได้เลือกใช้ ตeEvรaวluจaสtiอoบnผล รปู แบบการสอนแบบสบื เสาะหาความร ู้ (5Es Instructional Model) าม ้รูtion ซึ่งเป็นข้ันตอนการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้างองค์ 5 5Es 2 ความรู้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการคิดและการลงมือท�า โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือส�าคัญเพื่อการพัฒนา ควาbมoเrขa4้าtioใจn Exอ3pธlaิบnาaยคว ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการเรียนรู้แห่ง ศตวรรษท่ ี 21 วิธีสอน (Teaching Method) ผจู้ ดั ทา� เลอื กใชว้ ธิ สี อนทห่ี ลากหลาย เชน่ การทดลอง การสาธติ การอภปิ รายกลมุ่ ยอ่ ย เปน็ ตน้ เพอ่ื สง่ เสรมิ การเรยี นรู้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเน้นใช้วิธีสอน โดยใช้การทดลองมากเป็นพิเศษ เน่ืองจากเป็นวิธีสอนที่มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้จากประสบการณ์ตรงโดย การคดิ และการลงมอื ท�าด้วยตนเอง อันจะชว่ ยให้ผู้เรียนมคี วามรู้และเกิดทกั ษะทางกระบวนการวิทยาศาสตรท์ คี่ งทน เทคนคิ กำรสอน (Teaching Technique) ผจู้ ดั ทา� เลอื กใชเ้ ทคนคิ การสอนทหี่ ลากหลายและเหมาะสมกบั เรอ่ื งทเ่ี รยี น เพอื่ สง่ เสรมิ วธิ สี อนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากขน้ึ เชน่ การใชค้ �าถาม การเล่นเกม การยกตัวอยา่ ง เป็นต้น ซึ่งเทคนคิ การสอนตา่ ง ๆ จะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นรู้อย่างมี ความสุขในขณะทีเ่ รียนและสามารถปฏบิ ตั กิ ิจกรรมได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ รวมท้งั ไดพ้ ัฒนาทักษะในศตวรรษท่ ี 21 อกี ด้วย
Teacher Guide Overview วิทยาศาสตร์ ป.4 เล่ม1 หนว่ ย ตัวชว้ี ัด ทักษะท่ีได้ เวลาที่ใช้ การประเมนิ สอ่ื ท่ีใช้ การเรียนรู้ 1. บ รรยายหน้าที่ของราก ล�ำต้น ใบ และ - ทักษะการส�ำรวจค้นหา - ต รวจแบบทดสอบ - ห นังสือเรยี น 1 ดอกของพืชดอกโดยใช้ข้อมูลที่รวบรวม - ทกั ษะการจำ� แนกประเภท กอ่ นเรยี น วทิ ยาศาสตร์ ป. 4 ได้ (มฐ.ว 1.2 ป.4/1) - ทกั ษะการรวบรวมข้อมูล - ต รวจการทำ�กิจกรรม เลม่ 1 ความ 2. จ�ำแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ความเหมือนและ - ทกั ษะการใหเ้ หตุผล ในสมุดหรอื ในแบบ - แบบฝกึ หัด หลากหลาย ความแตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิต - ทักษะการสังเกต ฝึกหัดวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ป.4 ของสง่ิ มชี ีวติ ออกเป็นกลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ และกลุ่มที่ - ทกั ษะการสรุปอ้างองิ - การนำ�เสนอผลการ เล่ม 1 ไม่ใช่พืชและสตั ว์ (มฐ.ว 1.3 ป.4/1) - ทักษะการเชอ่ื มโยง ทำ�กิจกรรม - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 3. จ�ำแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพืชไม่มี - ทกั ษะการวเิ คราะห์ - ตรวจใบงาน - แบบทดสอบหลงั เรยี น ดอกโดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ - ทักษะการระบุ - ตรวจชน้ิ งาน/ผลงาน - บัตรภาพ ขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ (มฐ.ว 1.3 ป.4/2) - ทักษะการต้งั สมมตฐิ าน - ก ารนำ�เสนอช้ินงาน/ - ใบงานท่ี 1.1-1.9 4. จำ� แนกสตั วอ์ อกเปน็ สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั - ทกั ษะการทดสอบ 27 ผลงาน - ใบความรทู้ ี่ 1.1 และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยใช้การ สมมติฐาน - สังเกตพฤตกิ รรม - PowerPoint ชวั่ โมง มีกระดกู สันหลงั เปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ ้อมลู - ทักษะการต้งั ค�ำถาม การทำ�งานรายบคุ คล - QR Code ทร่ี วบรวมได้ (มฐ.ว 1.3 ป.4/3) - ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์ - สังเกตพฤตกิ รรม - ตวั อย่างต้นพชื 5. บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของ - ทกั ษะการท�ำงานกลมุ่ การทำ�งานกลมุ่ - ตัวอยา่ งดอกไม้ สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั ในกลมุ่ ปลา กลมุ่ สตั ว์ - สงั เกตคุณลกั ษณะ - กระดาษแข็งแผ่นใหญ่ สะเทนิ นำ้� สะเทนิ บก กลมุ่ สตั ว์ เลอ้ื ยคลาน อันพึงประสงค์ - วัสดุ-อปุ กรณ์การ กลมุ่ นก และกลุ่มสัตว์เลยี้ งลูกดว้ ยนำ้� นม - ตรวจแบบทดสอบ ทดลอง และยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในแต่ละกลุ่ม หลงั เรียน (มฐ.ว 1.3 ป.4/4) 2 1. ระบุผลของแรงโน้มถ่วงท่ีมีต่อวัตถุจาก - ทกั ษะการสงั เกต - ตรวจแบบทดสอบ - หนังสือเรียน หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ (มฐ.ว 2.2 ป.4/1) - ทักษะการระบุ ก่อนเรียน วิทยาศาสตร์ ป. 4 แรงโน้มถว่ ง 2. ใช้เคร่ืองช่ังสปริงในการวัดน�้ำหนักของ - ทักษะการสรุปอ้างองิ - ต รวจการทำ� กิจกรรม เล่ม 1 ของโลก วตั ถุ (มฐ.ว 2.2 ป.4/2) - ทักษะการให้เหตผุ ล ในสมุดหรือในแบบ - แบบฝกึ หดั 3. บรรยายมวลของวัตถุที่มีผลต่อการ - ทกั ษะการต้งั สมมตฐิ าน ฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ป.4 และตัวกลาง เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุจาก - ทักษะการทดสอบ - ก ารน�ำเสนอผล เล่ม 1 ของแสง หลกั ฐานเชิงประจักษ์ (มฐ.ว 2.2 ป.4/3) สมมตฐิ าน การท�ำกิจกรรม - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 4. จำ� แนกวตั ถเุ ปน็ ตวั กลางโปรง่ ใส ตวั กลาง - ทกั ษะการเปรยี บเทยี บ - ตรวจใบงาน - แบบทดสอบหลังเรยี น โปรง่ แสงและวัตถทุ ึบแสง โดยใชล้ กั ษณะ - ทักษะการเชือ่ มโยง - ตรวจชิน้ งาน/ผลงาน - บัตรภาพ การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่านวัตถุน้ันเป็น - ทกั ษะการส�ำรวจค้นหา 13 - การน�ำเสนอชน้ิ งาน/ - ใบงานที่ 2.1 เกณฑ์จากหลักฐานเชิงประจักษ์ - ท กั ษะการจำ� แนกประเภท ผลงาน - PowerPoint (มฐ.ว 2.3 ป.4/1) - ทักษะการรวบรวมข้อมูล ชวั่ โมง - สงั เกตพฤตกิ รรม - QR Code - ทักษะการท�ำงานกลุ่ม การท�ำงานรายบุคคล - วสั ดุ-อุปกรณ์การ - ทักษะการคิดวเิ คราะห์ - สังเกตพฤตกิ รรม ทดลอง - ทกั ษะการคดิ สร้างสรรค์ การท�ำงานกลมุ่ - หนงั สือจุดประกาย - สังเกตคุณลักษณะ ความคิด อนั พึงประสงค์ - เครื่องช่ังสปริง - ต รวจแบบทดสอบ แบบแขวน หลงั เรยี น - เครอื่ งช่ังสปรงิ แบบตั้ง
สำรบัญ Chapter Title Chapter Chapter Teacher Overview Concept Script Overview หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 ควำมหลำกหลำยของสิง่ มีชีวิต T2 T8 T6 T9 - T39 บทที่ 1 กลมุ่ ส่ิงมชี ีวติ T40 - T57 บทท ่ี 2 หนา้ ทขี่ องส่วนตา่ ง ๆ ของพืช T59 T60 หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 แรงโนม้ ถ่วงของโลกและ T58 ตัวกลำงของแสง T61 - T75 T76 - T83 บทที่ 1 แรงโน้มถว่ งของโลก บทท่ ี 2 ตวั กลางของแสง STEM Project T84 - T85 ภำคผนวก (เรียนรูว้ ิทยำศำสตร์) T86 - T89 บรรณำนุกรม T90
Chapter Overview แผนการจัด ส่อื ที่ใช้ จดุ ประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะท่ีได้ คุณลักษณะ การเรยี นรู้ อนั พึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 - แบบทดสอบกอ่ นเรียน 1. สังเกตและบรรยาย แบบสืบเสาะ - ต รวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการสังเกต - มวี นิ ัย การจดั กลุ่ม - หนงั สอื เรียน ลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ หาความรู้ ก่อนเรียน - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝเ่ รยี นรู้ ส่ิงมีชวี ติ วิทยาศาสตร์ ป.4 แตล่ ะกลมุ่ ได้ (K) (5Es - ตรวจใบงานท่ี 1.1 ค้นหา - มุ่งมัน่ ใน เล่ม 1 2. เปรียบเทยี บความเหมอื น Instructional จำ� แนกสิง่ มชี ีวิต - ท กั ษะการรวบรวม การท�ำงาน 2 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ และความแตกตา่ งของ Model) - ตรวจการท�ำกิจกรรม ข้อมลู ป.4 เล่ม 1 ลักษณะตา่ ง ๆ ของ ในสมดุ หรอื แบบฝึกหดั - ท ักษะการจ�ำแนก ชวั่ โมง - ใบงานท่ี 1.1 ส่งิ มชี วี ิตแต่ละกลุม่ ได้ (P) วทิ ยาศาสตร์ ประเภท - PowerPoint 3. จ�ำแนกสง่ิ มีชีวติ ออกเปน็ - การน�ำเสนอผล - ลูกอมสตี า่ ง ๆ กลมุ่ โดยใช้ความเหมือน การท�ำกิจกรรม - สมุดประจำ� ตัวนักเรียน และความแตกต่างของ - สงั เกตพฤตกิ รรม ลักษณะส่งิ มชี วี ติ เป็น การท�ำงานกลุม่ เกณฑไ์ ด้ (P) - สงั เกตพฤติกรรม 4. ม คี วามสนใจใฝเ่ รียนรูแ้ ละ การท�ำงานรายบุคคล มุ่งม่นั ในการทำ� งาน (A) - ส ังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 2 - หนังสอื เรียน 1. สงั เกตและอธบิ ายลักษณะ แบบสืบเสาะ - ต รวจการท�ำกิจกรรม - ทักษะการสังเกต - มีวินัย ความหลากหลาย วทิ ยาศาสตร์ ป.4 ภายนอกของพืช หาความรู้ ในสมดุ หรอื แบบฝึกหดั - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรยี นรู้ ของพืช เลม่ 1 ชนิดตา่ ง ๆ ได้ (K) (5Es วิทยาศาสตร์ ค้นหา - มงุ่ มั่นใน 3 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ 2. จ�ำแนกพชื ออกเป็น Instructional - ต รวจใบงานที่ 1.2 - ท ักษะการรวบรวม การท�ำงาน ป.4 เล่ม 1 พ ชื ดอกและพชื ไม่มดี อก Model) จ�ำแนกพชื ดอกและ ข้อมูล ชว่ั โมง - ใบงานที่ 1.2 โดยใชก้ ารมดี อก พืชไม่มีดอก - ทกั ษะการจ�ำแนก - PowerPoint เปน็ เกณฑไ์ ด้ (P) - ก ารนำ� เสนอผล ประเภท - บัตรภาพ 3. ป ฏบิ ัตกิ จิ กรรมเพอ่ื การท�ำกิจกรรม - ทกั ษะการสงั เกต - มีวินัย - กระดาษแขง็ จ�ำแนกพชื ชนิดตา่ ง ๆ - ส ังเกตพฤติกรรม - ท กั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้ - สมุดประจำ� ตวั นกั เรยี น ออกเปน็ กล่มุ ได้ครบถว้ น การท�ำงานรายบุคคล ทกุ ขัน้ ตอน (P) - สังเกตพฤตกิ รรม คน้ หา - ม่งุ ม่ันใน 4. ม คี วามสนใจและ การท�ำงานกลุ่ม - ท ักษะการรวบรวม การทำ� งาน กระตือรือร้นใน - สงั เกตคุณลักษณะ ขอ้ มลู การเรยี นรู้ (A) อนั พงึ ประสงค์ - ท กั ษะการจ�ำแนก ประเภท แผนฯ ท่ี 3 - หนงั สือเรียน 1. สังเกตและอธบิ ายลักษณะ แบบสืบเสาะ - ตรวจการท�ำกจิ กรรม ศึกษากล่มุ วทิ ยาศาสตร์ ป.4 ภายนอกของพืชดอกได้ หาความรู้ ในสมดุ หรอื แบบฝึกหดั พชื ดอก เล่ม 1 (K) (5Es วทิ ยาศาสตร์ - แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ 2. จ�ำแนกพชื ดอกเปน็ พืช Instructional - ตรวจใบงานที่ 1.3 4 ป.4 เล่ม 1 ใบเลีย้ งเดยี่ วและพืช Model) พืชใบเล้ยี งเด่ยี วและ - ใบงานที่ 1.3 ใบเลีย้ งคู่ โดยใชล้ ักษณะ พืชใบเลย้ี งคทู่ ่ชี อบ ช่วั โมง - PowerPoint ภายนอกของพชื - สงั เกตพฤติกรรม - ตวั อยา่ งใบพชื เปน็ เกณฑ์ได้ (P) การท�ำงานรายบุคคล - แผนภาพ 3. ป ฏิบัตกิ ิจกรรมเพ่อื - ส ังเกตพฤติกรรม - สมดุ ประจำ� ตวั นักเรยี น เปรยี บเทยี บลักษณะ การท�ำงานกลมุ่ ภายนอกของพืชดอก - สงั เกตคุณลักษณะ แต่ละชนิดได้ครบทุก อันพงึ ประสงค์ ขัน้ ตอน (P) 4. มีความสนใจในการเรยี นรู้ และมีความรบั ผิดชอบตอ่ งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย (A) T2
แผนการจดั สอ่ื ท่ีใช้ จดุ ประสงค์ วิธสี อน ประเมิน ทักษะท่ีได้ คณุ ลกั ษณะ การเรยี นรู้ อันพึงประสงค์ แผนฯ ท่ี 4 - ห นงั สอื เรยี น 1. สังเกตและบรรยาย แบบสบื เสาะ - ตรวจการท�ำกจิ กรรม - ทักษะการสงั เกต - มีวินยั ความหลากหลาย วิทยาศาสตร์ ป.4 ลักษณะเฉพาะทีส่ ังเกตได้ หาความรู้ ในสมดุ หรือแบบฝกึ หัด - ท กั ษะการส�ำรวจ - ใฝเ่ รยี นรู้ ของสัตว์ เล่ม 1 ของสตั วม์ กี ระดูกสนั หลัง (5Es วทิ ยาศาสตร์ ค้นหา - มุ่งมนั่ ใน 6 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ได้ (K) Instructional - ต รวจใบงานที่ 1.4 - ท กั ษะการรวบรวม การท�ำงาน ป.4 เล่ม 1 2. จ�ำแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์ Model) จ�ำแนกสัตวม์ กี ระดูก ขอ้ มลู ชัว่ โมง - ใบงานที่ 1.4-1.6 ม กี ระดูกสันหลงั และสัตว์ สนั หลงั - ท ักษะการจ�ำแนก - วดี ิทศั นส์ ารคดเี กยี่ วกบั ไมม่ กี ระดูกสนั หลงั โดย - ต รวจใบงานที่ 1.5 สัตวม์ ีกระดกู สนั หลังและ ใช้การมีกระดกู สันหลัง วเิ คราะห์ลักษณะของ ประเภท สัตวไ์ มม่ ีกระดูกสันหลัง เป็นเกณฑไ์ ด้ (P) สัตวม์ กี ระดกู สนั หลงั - ทักษะการสรปุ - PowerPoint 3. ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมเพอ่ื - ตรวจใบงานท่ี 1.6 อ้างอิง - บตั รภาพ จำ� แนกสัตวอ์ อกเป็นกลุ่ม จ�ำแนกสตั วม์ ีกระดกู - ท ักษะการให้ - กระดาษแขง็ แผน่ ใหญ่ ไดถ้ ูกตอ้ งตามขัน้ ตอน สนั หลังและสัตว์ไมม่ ี เหตุผล - วัสด-ุ อุปกรณ์กิจกรรม (P) กระดกู สนั หลัง - ทักษะการคิด สรา้ งสรรคผ์ ลงาน 4. ม คี วามสนใจและ - ก ารน�ำเสนอผล วเิ คราะห์ - สมุดประจำ� ตวั นกั เรยี น กระตือรือรน้ ใน การท�ำกิจกรรม การเรียนรู้ (A) - ต รวจชน้ิ งาน/ผลงาน (โมบายการจ�ำแนก กล่มุ พืช) - ก ารน�ำเสนอชิน้ งาน/ ผลงาน - สงั เกตพฤตกิ รรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤตกิ รรม การท�ำงานกลุ่ม - สงั เกตคุณลกั ษณะ อนั พึงประสงค์ แผนฯ ที่ 5 - หนงั สอื เรยี น 1. สังเกตและบรรยายหน้าท่ี แบบสืบเสาะ - ตรวจการท�ำกจิ กรรม - ท กั ษะการสังเกต - มวี นิ ัย หนา้ ท่ขี อง วิทยาศาสตร์ ป.4 ของสว่ นตา่ ง ๆ ของ หาความรู้ ในสมดุ หรอื แบบฝึกหดั - ท กั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้ สว่ นต่าง ๆ เลม่ 1 พชื ดอกได้ (K) (5Es วทิ ยาศาสตร์ คน้ หา - มงุ่ มนั่ ใน ของพืชดอก - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ 2. เปรยี บเทยี บพืชดอกทมี่ ี Instructional - ตรวจใบงานท่ี 1.7 - ทักษะการระบุ การทำ� งาน ป.4 เล่ม 1 ลักษณะโครงสรา้ งเหมือน Model) คำ� ศัพท์โครงสร้างสว่ น - ท ักษะการสรปุ 2 - ใบงานที่ 1.7 กนั และแตกต่างกนั ได้ (P) ต่าง ๆ ของพชื ดอก อา้ งองิ - PowerPoint 3. มีความสนใจและ - ก ารน�ำเสนอผล ชวั่ โมง - ภาพโครงสรา้ งภายนอก กระตือรอื ร้นใน การท�ำกจิ กรรม ของพชื การเรยี นรู้ (A) - สงั เกตพฤตกิ รรม - กระดาษแข็งแผน่ ใหญ่ การท�ำงานรายบุคคล - สมดุ ประจำ� ตัวนกั เรียน - ส ังเกตพฤติกรรม การท�ำงานกลุ่ม - ส ังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ T3
แผนการจดั สอ่ื ที่ใช้ จดุ ประสงค์ วิธสี อน ประเมนิ ทกั ษะท่ีได้ คณุ ลกั ษณะ การเรยี นรู้ อนั พงึ ประสงค์ แผนฯ ท่ี 6 - ห นงั สอื เรยี น 1. สงั เกตและบรรยายหน้าที่ แบบสบื เสาะ - ตรวจการท�ำกิจกรรม - ทักษะการสังเกต - มวี ินัย ศึกษาท่อลำ� เลยี ง วทิ ยาศาสตร์ ป.4 รากและลำ� ต้นของ หาความรู้ ในสมดุ หรือแบบฝึกหดั - ทักษะการตั้ง - ใฝเ่ รียนรู้ ของพืช เล่ม 1 พชื ดอกได้ (K) (5Es วิทยาศาสตร์ สมมติฐาน - ม่งุ ม่ันใน - ทกั ษะการทดสอบ การท�ำงาน 3 - แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ 2. สังเกตและอธิบายเก่ียวกับ Instructional - การนำ� เสนอผล สมมตฐิ าน ป.4 เลม่ 1 โครงสรา้ งของทอ่ ล�ำเลียง Model) การท�ำกจิ กรรม - ทักษะการให้ ช่ัวโมง - PowerPoint ภายในต้นพืชได้ (K) - สงั เกตพฤติกรรม เหตุผล - บตั รภาพ 3. ปฏบิ ัติกจิ กรรมการ การท�ำงานรายบุคคล - ทกั ษะการรวบรวม - สมุดประจำ� ตวั นกั เรียน ทดลองเพอ่ื อธิบายหนา้ ที่ - สงั เกตพฤตกิ รรม ขอ้ มูล ท่อลำ� เลยี งของพืชไดค้ รบ การท�ำงานกลุ่ม - ทักษะการสรปุ ทุกขน้ั ตอน (P) - สงั เกตคณุ ลักษณะ อา้ งอิง 4. รับผิดชอบต่อหน้าท่ี อันพงึ ประสงค์ ทไี่ ดร้ ับมอบหมาย (A) แผนฯ ที่ 7 - ห นังสือเรียน 1. สงั เกตและบรรยายหน้าท่ี แบบสืบเสาะ - ตรวจการทำ� กจิ กรรม - ทักษะการสงั เกต - มีวินัย การคายน�ำ้ วทิ ยาศาสตร์ ป.4 ใบของพืชดอกได้ (K) หาความรู้ ในสมุดหรอื แบบฝึกหัด - ทกั ษะการตั้ง - ใฝ่เรยี นรู้ ของพชื เลม่ 1 2. ป ฏบิ ัติกิจกรรมเพอื่ (5Es วทิ ยาศาสตร์ - แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ อธบิ ายการคายน�ำ้ ของ Instructional - ตรวจใบงานท่ี 1.8 สมมติฐาน - มุ่งมั่นใน 2 ป.4 เล่ม 1 พืชได้ครบถว้ นตาม Model) ใบของพชื - ทักษะการทดสอบ การท�ำงาน - ใบงานที่ 1.8 ขั้นตอน (P) - การน�ำเสนอผล สมมติฐาน ชว่ั โมง - PowerPoint 3. ให้ความรว่ มมอื ในการทำ� การท�ำกจิ กรรม - ทักษะการสรุป อ้างองิ - Q R Code การคายน�ำ้ กจิ กรรมและรับผิดชอบ - สงั เกตพฤติกรรม - ทกั ษะการให้ ของพชื ต่องานทีไ่ ด้รับมอบหมาย การท�ำงาน เหตผุ ล - ต้นพืชขนาดไมใ่ หญ่ (A) รายบคุ คล - ภาพรูปร่างลักษณะของ - ส ังเกตพฤติกรรม ใบ การท�ำงานกลมุ่ - สมดุ ประจำ� ตวั นกั เรียน - สังเกตคุณลกั ษณะ อันพงึ ประสงค์ แผนฯ ที่ 8 - หนังสอื เรยี น 1. สงั เกตและอธิบายเก่ยี วกับ แบบสบื เสาะ - ตรวจการทำ� กจิ กรรม - ทักษะการสงั เกต - มวี นิ ยั การสรา้ งอาหาร วิทยาศาสตร์ ป.4 กระบวนการสรา้ งอาหาร หาความรู้ ในสมดุ หรอื แบบฝกึ หดั - ทกั ษะการตงั้ - ใฝเ่ รียนรู้ ของพืช เลม่ 1 ของพืชได้ (K) (5Es วิทยาศาสตร์ สมมตฐิ าน - ม่งุ มัน่ ใน 2 - แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ 2. ป ฏิบตั ิกรรมการทดลอง Instructional - ต รวจรายงาน เร่อื ง - ท ักษะการทดสอบ การท�ำงาน ป.4 เล่ม 1 เพอื่ ตรวจสอบวา่ พืชสะสม Model) ปจั จัยทีม่ ผี ลตอ่ สมมตฐิ าน ช่ัวโมง - ใบงานที่ 1.3 อาหารประเภทแป้งได้ การเจริญเติบโตและ - ทกั ษะการสรปุ - PowerPoint (P) การสงั เคราะหด์ ้วยแสง อ้างอิง - ตวั อย่างใบพชื 3. ใหค้ วามรว่ มมอื ในการท�ำ ของพืช - ทกั ษะการเชอ่ื มโยง - แผนภูมิ กจิ กรรมตลอดเวลา (A) - ก ารน�ำเสนอผล - แผนภาพ การท�ำกจิ กรรม - สมุดประจำ� ตัวนักเรียน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบคุ คล - สงั เกตพฤตกิ รรม การท�ำงานกลมุ่ - สงั เกตคุณลกั ษณะ อันพึงประสงค์ T4
แผนการจัด สอื่ ท่ีใช้ จดุ ประสงค์ วิธสี อน ประเมนิ ทกั ษะท่ีได้ คุณลักษณะ การเรยี นรู้ อนั พงึ ประสงค์ แผนฯ ที่ 9 ส่วนประกอบ - ห นังสอื เรยี น 1. สงั เกต ระบุ และบรรยาย แบบสบื เสาะ - ต รวจแบบทดสอบ - ทักษะการสงั เกต - มวี นิ ัย ของดอก วทิ ยาศาสตร์ ป. 4 สว่ นประกอบและหนา้ ที่ หาความรู้ หลงั เรียน - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝเ่ รียนรู้ เลม่ 1 ของสว่ นประกอบของดอก (5Es - ต รวจการท�ำกจิ กรรม 3 - แบบฝึกหัด ได้ (K) Instructional ในสมดุ หรือแบบฝกึ หดั ค้นหา - มุง่ มน่ั ใน วทิ ยาศาสตร์ ป.4 2. ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมเพอื่ สังเกต Model) วิทยาศาสตร์ - ทักษะการระบุ การท�ำงาน ชัว่ โมง เล่ม 1 ส่วนประกอบของดอก - ตรวจใบงานท่ี 1.9 - ทักษะการใหเ้ หตผุ ล - ใบงานท่ี 1.9 ตามขนั้ ตอนได้ (P) ความแตกตา่ งของส่วน - ทักษะการคิด - PowerPoint 3. มคี วามสนใจ ประกอบของดอกไม้ วเิ คราะห์ - บัตรภาพ - ตัวอยา่ งดอกไม้ และกระตอื รอื ร้นใน - ต รวจชนิ้ งาน/ผลงาน - ใบความรทู้ ่ี 1.1 การเรียนรู้ (A) (สมดุ ภาพดอกของพชื - กระดาษแขง็ และส่วนประกอบของ - วัสดุ-อุปกรณก์ จิ กรรม ดอก) สรา้ งสรรค์ผลงาน - ก ารน�ำเสนอชิน้ งาน/ - สมุดประจำ� ตัวนกั เรยี น ผลงาน - แบบทดสอบหลงั เรยี น - สังเกตพฤตกิ รรม การท�ำงานรายบคุ คล - สงั เกตพฤตกิ รรม การท�ำงานกลุม่ - สังเกตคุณลักษณะ อันพงึ ประสงค์ T5
Chapter Concept Overview 1. กลุมสง่ิ มชี ีวิต เมอื่ ใชล้ กั ษณะความเหมอื นกนั หรอื ความแตกตา่ งกนั ของสง่ิ มชี วี ติ เปน็ เกณฑใ์ นการจดั กลมุ่ สงิ่ มชี วี ติ สามารถจดั กลมุ่ สงิ่ มชี วี ติ ได ้ 3 กลมุ่ ดงั นี้ กลุ่มส่ิงมชี ีวติ กลุ่มพชื กลุ่มสัตว์ กลุ่มท่ีไม่ใช่พืชและสตั ว์ พชื ไมม่ ดี อก 2. ความหลากหลายของพืช • ไมม่ ดี อกตลอดการดา� รงชีวติ เมื่อใชเ้ กณฑก์ ารมดี อก สามารถจดั กลมุ่ พืชได ้ 2 กลมุ่ ใหญ ่ ดงั น้ี ถึงแม้มกี ารเจรญิ เตบิ โตเต็มที่ แลว้ ก็ตาม กล่มุ พืช • สว่ นใหญส่ บื พันธ์ุด้วยสปอร์ พชื ดอก • ม สี ่วนประกอบ คือ ราก ลา� ตน้ • เ มื่อเจริญเตบิ โตเตม็ ท่ีแลว้ และใบ แตไ่ มม่ ีดอก จะสรา้ งดอกขน้ึ เพอ่ื ใช้ใน การสืบพันธุ์ • ม สี ่วนประกอบ คือ ราก ล�าต้น ใบ และดอก เมอื่ ใชล้ ักษณะของราก ล�าตน้ และใบของพืช มาเปน็ เกณฑร์ ว่ มกันสามารถจัดกลมุ่ พชื ดอกได้ 2 ประเภท ดงั น้ี พืชดอก พืชใบเลยี้ งเดี่ยว พชื ใบเลยี้ งคู่ • กลบี ดอกมจี �านวน 3 หรอื • ก ลบี ดอกมจี า� นวน 4-5 หรอื ทวคี ณู ของ 3 ทวคี ณู ของ 4-5 • ใบเรยี วแคบ เสน้ ใบขนาน • ใบกวา้ ง เสน้ ใบเป็นร่างแห • ล�าต้นเป็นขอ้ ปลอ้ งชัดเจน • ล�าต้นเปน็ ข้อปลอ้ งไมช่ ัดเจน • มใี บเลย้ี ง 1 ใบ ในระยะที่งอกออก • ม ีใบเล้ยี ง 2 ใบ ในระยะท่ีงอก จากเมล็ด ออกจากเมล็ด • มีระบบรากฝอย • มรี ะบบรากแก้ว T6
3. ความหลากหลายของสัตว์ หน่วยกำรเรยี นร้ทู ่ี 1 นกั วิทยาศาสตรไ์ ด้จัดกล่มุ สตั ว ์ โดยใช้ลกั ษณะการมกี ระดกู สนั หลังของสัตว์เปน็ เกณฑ์ ดงั นี้ สตั ว์มกี ระดกู กลมุ่ สตั ว์ สตั วไ์ มม่ ี สนั หลงั กระดกู สันหลงั กล่มุ ปลา ฟองน�้า กล่มุ สัตวส์ ะเทนิ น�า้ สะเทินบก สัตวท์ ม่ี ลี า� ตัวกลวงหรือลา� ตวั มโี พรง กลุม่ สัตว์เล้อื ยคลาน หนอนตัวแบน กลุ่มนก หนอนตัวกลม กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�า้ นม สตั วท์ ี่มลี �าตัวเปน็ ปล้อง สัตวท์ ะเลผวิ ขรขุ ระ หอยและหมกึ ทะเล สตั ว์ท่ีมขี าเป็นขอ้ 4. หน้าทีข่ องสว นตาง ๆ ของพืช ดอกมหี น้าทใ่ี นการสบื พันธุ ์ ส่วนประกอบของดอก มีดังนี้ - เกสรเพศเมยี ทา� หนา้ ทสี่ ร้างเซลลส์ บื พนั ธุเ์ พศเมยี - เกสรเพศผู้ ท�าหน้าทสี่ ร้างเซลลส์ บื พนั ธ์เุ พศผู้ - กลีบดอก ทา� หน้าทหี่ ่อห้มุ เกสรขณะท่ีเกสรยังอ่อนอยู่ และ ช่วยล่อแมลงให้มาผสมเกสร - กลีบเลยี้ ง ท�าหนา้ ท่หี ่อหมุ้ สว่ นของดอกในขณะทย่ี งั ตมู อยู่ ใบมีหน้าทห่ี ลกั คือ สร้างอาหาร หายใจ และคายน้�า ลาํ ต้นเปน็ ทางล�าเลียงน�้าและแร่ธาตุขน้ึ ไปสูส่ ่วนตา่ ง ๆ ของพืช และล�าเลียงอาหารทส่ี รา้ งจากใบไปสสู่ ว่ นตา่ ง ๆ ของล�าตน้ รากมีหน้าทีด่ ดู น�า้ และแรธ่ าตทุ อี่ ยใู่ นดินขน้ึ ไปเลย้ี ง ส่วนต่าง ๆ ของพชื T7
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ นาํ 1 ความหลากหลายหน่วยการเรียนรู้ท่ี ของสงิ่ มชี วี ติ กระตนุ ความสนใจ สง่ิ มชี วี ติ รอบตวั เรามหี ลายชนดิ และแตล่ ะชนดิ จะ 1. ครทู กั ทายกบั นกั เรยี น แลว แจง ผลการเรยี นรทู ี่ มลี กั ษณะสำ� คญั บำงอยำ่ งเหมอื นกนั หรือแตกตำ่ งกนั จะเรยี นในวันน้ใี หน ักเรยี นทราบ ซงึ่ เรำสำมำรถใชเ้ ปน็ เกณฑ ์ ในกำรจดั กลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ เปน็ กลมุ่ พชื กลมุ่ สตั ว ์ และกลมุ่ ท ่ีไม ่ใชพ่ ชื และสตั ว ์ได้ 2. ใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน เพ่ือวัด พชื ดอกมีโครงสรำ้ งภำยนอกทสี่ ำ� คญั หลำยสว่ น ความรเู ดมิ ของนักเรยี นกอ นเขาสูกิจกรรม ซึ่งโครงสรำ้ งแตล่ ะสว่ นของพชื ดอกทำ� หนำ้ ทตี่ ำ่ งกนั เพ่ือให้พืชสำมำรถด�ำรงชีวิตและขยำยพันธุ์ต่อได้ 3. ครูกระตุนความสนใจโดยนําลูกอมที่มีสีตางๆ คละกันมาแจกนกั เรยี นคนละ 1 เมด็ ตวั ชว้ี ดั 1. บรรยายหนา้ ที่ของราก ล�าตน้ ใบ และดอก ของพืชดอกโดยใช้ขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้ (มฐ. ว 1.2 ป.4/1) 4. ครูสุมเลือกสีของลูกอมโดยใหนักเรียนยกมือ 2. จ�าแนกส่งิ มีชีวิตโดยใชค้ วามเหมือนและความแตกตา่ งของลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ติ ออกเปน็ กล่มุ พชื กล่มุ สตั ว์ และกล่มุ ท่ไี มใ่ ช่พชื ชูลูกอมที่ตนเองไดร บั จากนัน้ ครเู ลอื กสลี กู อม ทม่ี จี าํ นวนนกั เรยี นอยใู นสนี น้ั นอ ยทส่ี ดุ ออกมา และสตั ว์ (มฐ. ว 1.3 ป.4/1) หนาชนั้ เรียน 3. จ�าแนกพชื ออกเปน็ พชื ดอกและพชื ไมม่ ีดอก โดยใชก้ ารมดี อกเปน็ เกณฑ์ โดยใช้ข้อมูลท่ีรวบรวมได้ (มฐ. ว 1.3 ป.4/2) 4. จ�าแนกสตั ว์ออกเปน็ สัตวม์ กี ระดกู สนั หลังและสตั ว์ไม่มีกระดูกสันหลงั โดยใช้การมีกระดกู สันหลงั เป็นเกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มูลทร่ี วบรวมได้ 5. ครูตั้งคําถามวา หากตองการจัดกลุมหรือ จําแนกเพื่อนที่อยูหนาช้ันเรียนออกเปนกลุม (มฐ. ว 1.3 ป.4/3) นักเรียนจะใชเกณฑใดบาง แลวใหนักเรียน 5. บรรยายลักษณะเฉพาะทสี่ งั เกตไดข้ องสัตว์มกี ระดกู สนั หลังในกลุ่มปลา กลุ่มสตั ว์สะเทนิ น้า� สะเทนิ บก กลมุ่ สัตวเ์ ลอื้ ยคลาน กล่มุ นก ชวยกนั ระดมความคดิ ในการตอบคาํ ถาม และกลมุ่ สตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนา้� นม และยกตวั อยา่ งสง่ิ มชี วี ติ ในแตล่ ะกลมุ่ (มฐ. ว 1.3 ป.4/4) 6. ครขู ออาสาสมคั รนกั เรยี น 2 คน กาํ หนดเกณฑ ท่ีใชสําหรับจัดกลุมเพื่อนหนาชั้นเรียนคนละ 1 เกณฑ แลว เพอื่ นในหอ งชว ยกนั ตรวจสอบวา สามารถจดั กลุมเพอื่ นตามเกณฑน น้ั ไดห รือไม (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานรายบุคคล) ขน้ั สอน สาํ รวจคน หา 1. ครใู หน กั เรยี นอา นสาระสาํ คญั และดภู าพหนว ย การเรียนรูที่ 1 ความหลากหลายของส่ิงมีชวี ิต จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา น้ี จากนนั้ ถามนกั เรยี นวา ภาพนมี้ สี งิ่ มชี วี ติ อะไรบา ง นกั เรยี นรจู ักหรอื ไม แลว ใหน กั เรยี น ชวยกันตอบคําถามอยางอิสระ (แนวตอบ ผเี สอื้ กับดอกไม) เกร็ดแนะครู ในการเรียนหนวยการเรียนรูท่ี 1 น้ี ครูควรจัดกระบวนการเรียนรูโดยให นกั เรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมรวมกัน ดังนี้ • จาํ แนกกลมุ ส่ิงมชี ีวิต • จําแนกพืชออกเปนพชื ดอก พชื ไมมดี อก • จาํ แนกพืชดอกออกเปน พชื ใบเล้ยี งเดย่ี ว และพืชใบเลีย้ งคู • สงั เกต อธิบาย และจาํ แนกสตั วโดยใชการมกี ระดกู สันหลังเปน เกณฑ • อธิบายหนา ทีข่ องสว นตางๆ ของพืช โดยครคู วรใหน กั เรยี นไดล งมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมดว ยตนเอง จนเกดิ เปน ความรู ความเขาใจที่ถูกตอง รวมทั้งสามารถนําวิธีการทางวิทยาศาสตรและทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตรม าใชค นหาคาํ ตอบเก่ียวกับประเด็นทส่ี งสัยได T8
1บทท ่ี กลØม่ สง่ิ มชี วี ิต นาํ สอน สรปุ ประเมนิ สง่ิ มชี วี ติ Key words ขน้ั สอน (organism) • organism สาํ รวจคน หา • plant พชื • animal 2. ใหน ักเรยี นดภู าพในหนาบทที่ 1 กลมุ สง่ิ มชี วี ติ • fungus จากหนงั สอื เรยี น หนา 3 แลว ถามคาํ ถามสาํ คญั (plant) ประจําบท จากน้ันใหนักเรียนชวยกันอธิบาย ¹Ñ¡àÃÕ¹ คําตอบ โดยครูชี้แจงเพิ่มเติมวา ใหนักเรียน นกึ ถงึ กจิ กรรมทม่ี กี ารจดั กลมุ เพอ่ื นหนา ชนั้ เรยี น ?ÊÒÁÒö㪌ࡳ±ã´ ที่ผา นมา 㹡ÒèíÒṡ (แนวตอบ ลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวติ การกนิ อาหาร ¡ÅØ‹ÁÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ การสรางอาหาร การยอยสลายสิ่งมีชีวิตอ่ืน ä´ŒºŒÒ§ เปนอาหาร เปน ตน ) 3. นักเรียนเรียนรูคําศัพทที่เก่ียวของกับการเรียน ในบทที่ 1 โดยครูเปนผอู านนําและใหน ักเรียน อา นตาม 4. นักเรียนวาดภาพหรือติดภาพสิ่งมีชีวิตตางๆ ทน่ี กั เรยี นรจู กั 5-10 ภาพ ลงในสมดุ แลว จดั กลมุ ส่ิงมีชีวิตเหลานั้น โดยใชเกณฑที่กําหนดเอง หรือทํากิจกรรมนําสูการเรียนในแบบฝกหัด วทิ ยาศาสตร ป.4 เลม 1 หนา 2 (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบุคคล) เหด็ รา สัตว์ (fungus) (animal) กิจกรรม นา� ส¡‹ู ารเรีÂน 3 นักเรียนควรรู ครูฝกใหน กั เรยี นเรยี นรแู ละอานคําศพั ทวทิ ยาศาสตร ดงั นี้ Organism (‘ออกะนิซมึ ) สงิ่ มชี วี ติ Plant (พลานท) พชื Animal (‘แอ็นนมิ ลั ) สตั ว Fungus (‘ฟง กสั ) เหด็ รา T9
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน 1. การจัดกลØม่ สงิ่ มีชวี ติ สาํ รวจคน หา สิ่งมีชีวิตท่ีอยู่รอบ ๆ ตัวเรามีมากมาย นักวิทยาศาสตร์ได้ส�ารวจและเก็บ รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเพ่ือน�ามาศึกษาและจ�าแนกประเภทโดย 5. ครใู หน ักเรยี นเลน เกมผงึ้ สรา งรัง เพื่อแบง กลุม ใช้ความเหมอื นและความแตกต่างจากลกั ษณะต่าง ๆ ของส่งิ มีชวี ิต เชน่ ลกั ษณะ นักเรยี นออกเปนกลมุ กลมุ ละ 4-5 คน โดยครู ภายนอก การเคลื่อนที่ หรือการกินอาหาร เป็นเกณฑ์ในการจัดกลุ่มสิ่งมีชีวิต อธิบายวิธีการเลนใหนักเรียนฟง จากนั้นให เปน็ กลุม่ พืช กลุม่ สตั ว์ และกลุม่ ที่ไมใ่ ช่พืชและสัตว์ นกั เรยี นเลน เกม 2-3 ครงั้ จนไดก ลมุ ครบทกุ คน ภาพที่ 1.1 ส่ิงมีชีวติ ชนดิ ตา่ ง ๆ 6. แตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลและรูปภาพใน หวั ขอ ที่ 1 การจดั กลมุ สงิ่ มชี วี ติ จากหนงั สอื เรยี น หนา น้ี 7. ครเู ปด PPT เรื่อง กลุมสิง่ มีชีวติ ใหนักเรยี นดู จากน้ันถามคําถามกระตุนความคิดโดยให นักเรียนแตละกลุมอภิปรายและหาคําตอบ รวมกันวา สิ่งมีชีวิตแตละกลุมน้ันมีลักษณะ เหมือนกันหรอื แตกตางกนั อยา งไร (แนวตอบ มลี กั ษณะแตกตางกนั เชน บางชนดิ สรางอาหารได บางชนิดสรางอาหารไมได บางชนิดกินส่ิงมีชีวิตอื่นเปนอาหาร บางชนิด ยอ ยสลายส่ิงมชี วี ติ อนื่ ได เปน ตน) ÊèÔ§ÁÕªÕÇԵᵋÅÐ¡ÅØ‹Á¹éѹÁÕÅѡɳРàËÁÍ× ¹¡¹Ñ ËÃÍ× áµ¡µÒ‹ §¡¹Ñ ÍÂÒ‹ §äà 4 เกร็ดแนะครู กอนการทํากิจกรรมที่ 1 เร่ือง การจัดกลุมสิ่งมีชีวิต ครูอาจเตรียมภาพ สงิ่ มีชวี ติ ชนิดตา งๆ มาใชในการทาํ กิจกรรมเพ่อื ใหนกั เรยี นเขา ใจไดดีย่งิ ขึ้น สื่อ Digital ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับกลุมสิ่งมีชีวิตเพิ่มเติมจากสื่อ PowerPoint เรอื่ ง กลมุ สงิ่ มีชีวิต ดังภาพตัวอยา ง T10
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ กจิ กรรมท่ี 1 1หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ขน้ั สอน การจดั กลุมส่ิงมีชีวติ ความหลากหลายของสงิ่ มชี ีวิต สาํ รวจคน หา ทกั ษะกระบวนการ จุดประสงค ทางวิทยาศาสตร์ท่ีใช้ 8. ครูแจงวาจะใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรม 1. การสังเกต การสํารวจและจัดกลุมส่ิงมีชีวิตในกิจกรรมท่ี 2. การจา� แนกประเภท 1 เร่ือง การจดั กลมุ ส่ิงมีชีวิต ตอนท่ี 1-2 จาก 3. การลงความเห็นจากขอ้ มลู หนังสือเรียน หนาน้ี โดยครูแจงจุดประสงค 4. การตคี วามหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรุป ของการทํากจิ กรรมใหน ักเรียนทราบกอ น 1. สา� รวจและสบื คน้ ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะส�าคญั ของสิ่งมชี วี ติ ตา่ ง ๆ 9. แตละกลุม รว มกนั ทํากจิ กรรมท่ี 1 ตอนที่ 1-2 2. จ�าแนกส่ิงมีชวี ติ โดยใชล้ ักษณะความเหมือนและความแตกตา่ งของสง่ิ มชี วี ิตเปน็ เกณฑ์ โดยปฏิบตั ิกจิ กรรม ดังน้ี 1) ศกึ ษาขนั้ ตอนการทาํ กจิ กรรมอยา งละเอยี ด ตองเตรียมตองใช หากมีขอ สงสัยใหสอบถามครู 2) ชวยกันกําหนดปญหาและตั้งสมมติฐานใน 1. แผนภาพกลุ่มพชื กลมุ่ สัตว์ และกลุ่มทไี่ ม่ใช่พืชและสตั ว์ (ครูเตรยี มให)้ การทาํ กิจกรรม 2. แหลง่ ข้อมูล เช่น หนังสือ อินเทอรเ์ น็ต เป็นตน้ 3) รว มกนั ทาํ กจิ กรรมตามขน้ั ตอนใหค รบถว น และถกู ตอ งทกุ ขน้ั ตอน แลว บนั ทกึ ผลลงใน ลองทําดู ตอนท ่ี 1 สมดุ หรอื ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 4 (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช 1. แบง่ กลุ่ม แล้วร่วมกนั ศกึ ษาแผนภาพลกั ษณะส�าคญั ของกลมุ่ สง่ิ มีชีวิตท่ีครูเตรยี มไว้ แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ) 2. ช่วยกนั สืบคน้ ข้อมลู เพมิ่ เติมเกย่ี วกบั ลักษณะสา� คัญของกลมุ่ สิ่งมีชวี ติ กลมุ่ ต่าง ๆ 3. นา� ขอ้ มลู จากการศกึ ษาแผนภาพและการสบื คน้ ขอ้ มลู มาอภปิ รายและลงความเหน็ รว่ มกนั อธบิ ายความรู แลว้ บนั ทึกผลลงในสมุด 1. นกั เรยี นแตล ะกลมุ รว มกนั อภปิ รายและสรปุ ผล จากการทํากจิ กรรมภายในกลมุ ตอนที่ 2 2. แตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอผลงาน 1. ส�ารวจสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในบริเวณบ้าน โรงเรียน หรือชุมชน แล้วบันทึกผลโดยวาดภาพ หนา ชนั้ เรยี น โดยครสู มุ จบั สลากเลอื กทลี ะกลมุ ส่งิ มีชวี ติ และอธิบายลกั ษณะส�าคัญท่ีสังเกตได้ 3. นกั เรยี นแตล ะกลมุ นาํ เสนอผลงานหนา ชนั้ เรยี น 2. ช่วยกันจัดกลุ่มสิ่งมีชีวิตท่ีส�ารวจพบ โดยใช้ลักษณะความเหมือนและความแตกต่างของ จากน้ันรวมกันอภิปรายและสรุปผลเก่ียวกับ กลุ่มสง่ิ มีชีวติ เป็นเกณฑ์ การจัดกลุมส่ิงมีชีวิต โดยใชลักษณะของ สิง่ มีชวี ติ ท่สี ังเกตไดเ ปน เกณฑ 3. นา� เสนอผลการจดั กล่มุ ส่ิงมชี ีวติ หน้าชั้นเรียน เพ่ือเปรียบเทียบผลกบั กลุม่ อืน่ ๆ (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม) หนูตอบได 1. เราสามารถจัดกลมุ่ สง่ิ มชี ีวติ ไดก้ ี่กลุม่ อะไรบ้าง 2. กลมุ่ ส่งิ มชี ีวติ แต่ละกลมุ่ มีลกั ษณะเหมอื นกันหรอื แตกต่างกัน อยา่ งไรไร 3. หากต้องการจัดกลุ่มส่ิงมีชีวิตกลุ่มสัตว์และกลุ่มท่ีไม่ใช่พืชและสัตว์ออกจากกัน เราควรใช้ เกณฑ์ใดจึงเหมาะสมที่สุด ระหว่างการย่อยสลายสิ่งมีชีวิตอ่ืนหรือลักษณะการกินอาหาร เพราะอะไร 5 (หมายเหตุ : คาํ ถามขอสุดทายของหนูตอบได เปน คาํ ถามท่อี อกแบบใหผูเรียนฝกใชท กั ษะการคิดขัน้ สงู คอื การคิดแบบใหเ หตผุ ล และการคดิ แบบโตแยง ซง่ึ ผูเรียนอาจเลือกตอบอยา งใดอยางหน่งึ กไ็ ด ใหค รู พจิ ารณาจากเหตผุ ลสนบั สนุน) กิจกรรม 21st Centurey Skills แนวตอบ หนตู อบได 1. ใหน กั เรยี นแบง กลุมตามความสมัครใจ กลมุ ละ 3-4 คน ขอ 3. 2. ใหชวยกันออกแบบจําลองกลุมพืช กลุมสัตว และกลุมที่ไมใช • การยอยสลายส่ิงมีชีวิตอ่ืน เพราะกลุมที่ไมใชพืชและสัตว สวนใหญเปน พืชและสัตว โดยใชวัสดอุ ปุ กรณทมี่ ีในทองถ่ิน ส่ิงมีชีวิตท่ียอยสลายซากส่ิงมีชีวิตอ่ืนๆ เพ่ือเปนอาหาร สวนกลุมสัตวเปนกลุม 3. สรางแบบจําลองโดยแบงหนาท่ีความรับผิดชอบของสมาชิก ท่ีไมสามารถยอยสลายซากส่ิงมีชีวิตอ่ืนได สิ่งมีชีวิตทั้ง 2 กลุม จึงมีลักษณะ แตกตางกนั แตล ะคนใหช ดั เจน 4. นาํ เสนอแบบจาํ ลองหนา ชนั้ เรยี นดว ยวธิ กี ารสอ่ื สารทห่ี ลากหลาย • ลักษณะการกินอาหาร เพราะกลุมที่ไมใชพืชและสัตว สวนใหญเปน สงิ่ มชี วี ติ ทย่ี อ ยสลายซากของสง่ิ มชี วี ติ อนื่ เปน อาหาร สว นกลมุ สตั ว เปน กลมุ ทกี่ นิ เพอ่ื ใหผอู น่ื เขา ใจผลงานไดด ขี ้ึน สิ่งมีชีวิตอ่ืนเปนอาหาร ส่ิงมีชีวิตทั้ง 2 กลุม จึงมีลักษณะการกินอาหารท่ี แตกตา งกนั T11
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สรปุ ส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะโครงสร้างและการด�ารงชีวิตแตกต่างกันไป สงิ่ มชี วี ติ ทจี่ ดั อยใู่ นกลมุ่ เดยี วกนั จะมลี กั ษณะบางประการทเ่ี หมอื นกนั จงึ สามารถ ขยายความเขา ใจ ใชล้ กั ษณะความเหมอื นหรอื ความแตกตา่ งของสง่ิ มชี วี ติ เปน็ เกณฑใ์ นการจดั กลมุ่ สง่ิ มีชีวิตเป็น 3 กลมุ่ ใหญ่ ดังน้ี 1. นักเรียนแตละกลุมชวยกันศึกษาลักษณะ ของสิ่งมีชีวิตกลุมตางๆ จากหนังสือเรียน กล่มุ พชื หนา 6-7 แลว ครสู มุ เลอื กตวั แทนของแตล ะกลมุ ใหส รุปเน้อื หาท่ีศกึ ษาใหเพือ่ นในหองฟง ด้วยแสพงชื โเดปยน็ ใกชล้รมุ่งสคง่ิวมตั ชีถวีสุ ติ ีเขทยีสี่ วาทมาีพ่ รืชถสสรร้าา้ งงขอ้ึนาหาเรรยีไดกเ้ วอา่งจคากลกอรโะรบฟวลนลก1์ าพรืชสงสั เาคมราาระหถ์ เคล่ือนไหวไดแ้ ตเ่ คล่อื นทีด่ ้วยตนเองไม่ได้ สง่ิ มชี ีวิตท่ีจัดอย่ใู นกลุ่มพืช เชน่ พริก 2. ครขู ออาสามาสมคั รนกั เรยี น 3 คน ใหย กตวั อยา ง ดาวเรือง กหุ ลาบ มะนาว มะมว่ ง มอสส์ ผักแว่น ผักกดู เป็นต้น สิง่ มีชีวิตทีอ่ ยใู นแตละกลุม ดงั นี้ • คนท่ี 1 ใหยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตกลุมพืช ภาพท่ี 1.2 มะนาว ภาพท่ี 1.3 พริก ภาพท่ี 1.4 ผกั แว่น 3 ตัวอยา ง • คนท่ี 2 ใหยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตกลุมสัตว กลมุ่ สัตว์ 3 ตัวอยาง • คนท่ี 3 ใหย กตวั อยางส่ิงมีชีวิตกลุมทีไ่ มใช สัตว์ เปน็ กล่มุ สงิ่ มชี ีวิตทไ่ี ม่สามารถสรา้ งอาหารได้เองจงึ ตอ้ งกนิ สิ่งมีชวี ติ พืชและสตั ว 3 ตัวอยา ง อื่นเป็นอาหารเพ่ือให้ได้พลังงานในการด�ารงชีวิต แต่สัตว์ชนิดต่าง ๆ สามารถ เคล่อื นไหวร่างกายและเคลอื่ นทีไ่ ด้ สิง่ มีชีวิตทจี่ ัดอยูใ่ นกลุ่มสตั ว์ เชน่ สุนขั แมว 3. ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจเพิ่มเติมเก่ียวกับ ลิง ไก่ ปลา งู กบ ไฮดรา ดาวทะเล กิ้งกือ แมลงต่าง ๆ เปน็ ต้น จุลินทรียจากเกร็ดวิทยนารู ในหนังสือเรียน หนา 7 4. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก หนังสือเรียน หนา 5 ลงในสมุดหรือทําใน แบบฝกหัดวทิ ยาศาสตร หนา 5 5. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมพัฒนาการ เรียนรทู ี่ 1 จากหนงั สอื เรียน หนา 7 ไปทาํ เปน การบา น โดยใหท าํ ลงในสมดุ หรอื ทาํ ในใบงาน ท่ี 1.1 เรื่อง จาํ แนกสิ่งมีชีวติ ท่คี รแู จกให แลว นาํ มาสง ในช่ัวโมงถัดไป (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบคุ คล) ภาพท่ี 1.5 ไฮดรา ภาพที่ 1.6 กงิ้ กอื ภาพท่ี 1.7 เต่าทอง 6 เกร็ดแนะครู ใบงานท่ี 1.1 เรอ่ื ง จาํ แนกสง่ิ มชี วี ติ ครสู ามารถหยบิ ใชไ ดจ ากแผนการจดั การ เรยี นรทู ่ี 1 เรอื่ ง การจดั กลมุ สงิ่ มชี วี ติ ของหนว ยการเรยี นรทู ่ี 1 ความหลากหลาย ของสง่ิ มชี ีวิต นักเรียนควรรู 1 คลอโรฟลล (chlorophyll) เปน สารสเี ขยี วทพ่ี บมากในใบพชื ซง่ึ ทาํ หนา ท่ี ดดู กลนื พลังงานแสงจากดวงอาทิตยเขามาใชเปนแหลงพลังงานในการเปล่ียน น้าํ และแกส คารบ อนไดออกไซดใ หเ ปนนํ้าตาล และแกสออกซเิ จน T12
นาํ สอน สรปุ ประเมิน 1หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ขนั้ ประเมนิ ความหลากหลายของส่งิ มชี วี ิต ตรวจสอบผล กลมุ่ ที่ไม่ใชพ่ ชื และสตั ว์ 1. ครูใหนักเรียนสรุปความรูจากการเรียนจนได ขอสรุปรวมกันวา ส่ิงมีชีวิตตางๆ บนโลกมี สิ่งมีชีวิตที่ไมใ่ ชพ่ ืชและสตั ว์ เปน็ กลมุ่ ของสงิ่ มชี ีวิตนอกเหนอื จากกลมุ่ พืช หลายชนิด ซึ่งสิ่งมีชีวิตแตละชนิดมีลักษณะ และกลุ่มสัตว์ ซึ่งส่ิงมีชีวิตบางชนิดสร้างอาหารได้ บางชนิดสร้างอาหารไม่ได้ ตางๆ ท่ีแตกตางกันไป นักวิทยาศาสตรจึง บางชนิดช่วยย่อยสลายส่ิงมีชีวิตชนิดอ่ืน บางชนิดสามารถเคล่ือนไหวร่างกาย ใชลักษณะความเหมือนและความแตกตาง และเคล่อื นทีไ่ ด้ แต่บางชนิดไม่สามารถเคลอ่ื นที่ได้ ของสิ่งมีชีวิตตางๆ มาจัดกลุมส่ิงมีชีวิตได เปน 3 กลมุ ใหญ คือ กลมุ พชื กลมุ สัตว และ นอกจากน้ี สง่ิ มชี วี ติ บางชนิดในกล่มุ นอี้ าจก่อใหเ้ กิดโรคกบั คน สตั ว์ หรอื กลมุ ทไี่ มใ ชพืชและสตั ว พชื ได้ สิง่ มชี วี ิตทจ่ี ัดอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น แบคทีเรีย เหด็ รา ไวรัส เปน็ ตน้ 2. ครตู รวจสอบผลการทําแบบทดสอบกอ นเรยี น ภาพท่ี 1.8 เหด็ ภาพที่ 1.9 ราขนมปงั ภาพท่ี 1.10 แบคทีเรยี 3. ครูตรวจการวาดภาพหรือติดภาพส่ิงมีชีวิต เกรด็ วทิ ยน์ า่ รู้ ตางๆ ท่ีนักเรียนรูจักในสมุดหรือตรวจผล การทํากิจกรรมนําสูการเรียนในแบบฝกหัด จลุ ินทรีย์ (Microorganism) เชน่ รา แบคทเี รยี ยสี ต์ เปน ตน้ เปน สง่ิ มชี วี ติ ขนาดเลก็ ท่ี วทิ ยาศาสตร หนา 2 4. ครูตรวจสอบผลการทาํ กิจกรรมที่ 1 เรือ่ ง การ มองไมเ่ หน็ ดว้ ยตาเปลา่ ตอ้ งใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ นการสอ่ งดู จลุ นิ ทรยี บ์ างชนดิ มปี ระโยชน์ จัดกลุมสิ่งมีชีวิต ในสมุดหรือในแบบฝกหัด สามารถนา� ไปใชผ้ ลติ ยารกั ษาโรค หรอื ใชห้ มกั อาหารตา่ ง ๆ ได้ และจลุ นิ ทรยี บ์ างชนดิ อาจ วทิ ยาศาสตร หนา 4 กอ่ ใหเ้ กิดโรคต่าง ๆ กบั คน สัตว์ และพืชได้ 5. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบได ในสมุดหรือในแบบฝก หดั วิทยาศาสตร หนา 5 1กจิ กรรม พฒั นาการเรยี นรทู้ ่ี 6. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมพัฒนาการ เรยี นรูท ี่ 1 ในสมดุ หรอื ในใบงานที่ 1.1 เรอ่ื ง จําแนกส่งิ มชี วี ติ ให้นกั เรียนแบ่งกลมุ่ แล้วร่วมกนั ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ดงั นี้ 1) พจิ ารณาลกั ษณะของสง่ิ มชี วี ติ โดยใชค้ วามเหมอื นและความแตกตา่ งเปน็ เกณฑ์ 2) จ�าแนกสงิ่ มชี วี ติ เป็นกลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ และกลมุ่ ท่ีไมใ่ ชพ่ ืชและสัตว์ 3) น�าเสนอหนา้ ชนั้ เรียนเพ่ืออภิปรายรว่ มกัน ชมพู่ ราดา� แบคทีเรยี เสือ หญา้ หอยทาก มอสส์ ววั เหด็ ฟาง หนนู า พรกิ มะลิ ไส้เดอื นดิน มด ยสี ต์ 7 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน รายบุคคล การทํางานกลมุ และการนําเสนอผลการทาํ กจิ กรรมหนาชน้ั เรยี นได โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลที่แนบทายแผนการจัดการเรียนรู ของหนว ยการเรียนรทู ี่ 1 ความหลากหลายของสิ่งมชี ีวติ ดังภาพตวั อยาง T13
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ 2. ความหลากหลายของพ×ช กระตนุ ความสนใจ พืชรอบตวั เรามมี ากมายหลายชนดิ พชื บางชนิดมลี �าต้นใหญ่ พชื บางชนิด มีลา� ต้นขนาดเล็ก พืชบางชนดิ มดี อก พชื บางชนดิ ไมม่ ีดอก ซ่ึงเราจะเหน็ ได้ว่า 1. ครูเตรียมตัวอยางตนพืชมาอยางนอ ย 2 ชนิด พชื แต่ละชนิดมีลกั ษณะบางอย่างต่างกัน และอาจมีลกั ษณะบางอยา่ งเหมอื นกัน (เชน มอสส มะเขอื เทศ) มาใหน ักเรียนสงั เกต ดงั นนั้ เพอื่ ใหง้ า่ ยตอ่ การศกึ ษาเกยี่ วกบั ชวี ติ ของพชื นกั วทิ ยาศาสตรจ์ งึ จดั กลมุ่ พชื แลวใหรวมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับ ออกเป็น 2 กลมุ่ ใหญ่ ได้แก่ พืชดอก และพืชไมม่ ดี อก นอกจากน้ี หากจัดกลุ่ม ลักษณะภายนอกของพืชทส่ี งั เกตได พชื ดอกโดยใชล้ กั ษณะภายนอกของพชื เปน็ เกณฑ์ เราสามารถแบง่ พชื ดอกไดเ้ ปน็ พืชใบเล้ียงเด่ียว และพชื ใบเลย้ี งคู่ 2. ครูถามคําถามนักเรียนเพื่อกระตุนความคิด โดยใหน กั เรยี นตอบคาํ ถามไดอ ยางอสิ ระ ดงั น้ี กุหลาบ บวั • พืชท้ัง 2 ชนดิ มีลกั ษณะภายนอกแตกตา ง กนั หรอื ไม อยา งไร มะระ เฟร์นขา้ หลวง (แนวตอบ แตกตางกัน เชน ตนหน่ึงมีดอก อีกตน หนึ่งไมม ดี อก เปน ตน) มอสส์ ภาพท่ี 1.11 ตัวอยา่ งพชื ชนิดต่าง ๆ (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบุคคล) ¾ª× ´Í¡áÅоª× äÁÁ‹ ´Õ Í¡ ÁÕÅ¡Ñ É³Ðᵡµ‹Ò§¡Ñ¹Í‹ҧäà 3. ครูแจงช่ือเรื่องท่ีจะเรียนรูในวันน้ีและผลการ 8 เรียนรใู หนกั เรยี นทราบ ขนั้ สอน สาํ รวจคน หา 1. นกั เรยี นอา นขอ มลู และดภู าพจากหนงั สอื เรยี น หนานี้ ในหวั ขอที่ 2 ความหลากหลายของพืช จากนนั้ ครสู มุ นกั เรยี นตามลาํ ดบั เลขท่ี 2-3 คน ใหตอบคําถาม ดังนี้ • นักเรยี นรจู กั พชื ท่ีอยใู นรูปภาพหรอื ไม (แนวตอบ ข้ึนอยูกับคําตอบของนักเรียน ใหอยูกับดุลยพินิจของครผู สู อน) • นกั เรยี นคดิ วา พชื ในภาพใดเปน พชื ดอก และ พืชในภาพใดเปน พืชไมมดี อก (แนวตอบ กหุ ลาบ บวั และมะระ เปน พชื ดอก เฟร นขา หลวง และมอสส เปน พชื ไมม ีดอก) (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบุคคล) ขอสอบเนน การคดิ ตารางการสํารวจอวยั วะภายนอกของพชื 4 ชนิด ชนิดของพืช ราก อวัยวะภายนอกของพืช ผล จากขอ มูลในตารางพืชชนดิ ใด ลําตน ใบ ดอก เปนพืชมีดอก ชนิดท่ี 1 ✓ ✓ ✓ ก. ชนิดที่ 2 เทาน้นั ข. ชนดิ ที่ 2 และ 3 ชนิดท่ี 2 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ค. ชนิดที่ 1 และ 4 ชนดิ ที่ 3 ✓ ✓ ✓ ✓ ง. ชนิดท่ี 2 และ 4 ชนดิ ท่ี 4 ✓ ✓ ✓ (วิเคราะหคําตอบ พืชมีดอก คือ พืชท่ีเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แลวจะมีดอกเพื่อใชในการสืบพันธุ ดงั น้นั ขอ ข. จึงเปนคําตอบทถ่ี กู ตอง) T14
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ¡¨Ô ¡ÃÃÁ·èÕ 2 1หนว ยการเรยี นรทู ่ี ขน้ั สอน การจัดกลมุ พชื ¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ¢ͧÊÔ§è ÁÕªÕÇÔµ สาํ รวจคน หา ทักษะกระบวนการ 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุมตามความสมัครใจ ทางวทิ ยาศาสตรท ใ่ี ช กลุม ละ 4 คน แลวใหต ง้ั ช่ือกลุม เปนชอื่ ตนพชื 1. การสังเกต ท่แี ตล ะกลมุ ชอบหรือสนใจ 2. การจําแนกประเภท 3. การลงความเห็นจากขอ มูล 3. แตละกลุมชวยกันเขียนช่ือพืชมีดอกและ จดุ ประสงค 4. การจดั กระทําและส่ือความหมายขอ มูล พืชไมมีดอกลงในกระดาษของกลุมใหไดมาก 5. การตีความหมายขอมูลและการลงขอสรุป ท่สี ดุ โดยใหครูจับเวลา 5 นาที หากหมดเวลา 1. สังเกตและอธิบายลกั ษณะภายนอกของพืชชนดิ ตา ง ๆ ใหครูสงสัญญาณเพื่อใหทุกกลุมหยุดเขียน 2. อธิบายการจัดกลุม พชื โดยใชล กั ษณะภายนอกของพืชเปน เกณฑ จากน้ันใหแตละกลุมชวยกันตรวจสอบวา กลุมใดเขียนไดถ ูกตอ งมากที่สุดจะเปน ผชู นะ ตองเตรียมตองใช (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) 1. กระดาษแข็งแผน ใหญ 1 แผน 2. แหลงขอ มูล เชน หนงั สอื อนิ เทอรเน็ต เปน ตน 4. ครมู อบรางวลั หรอื ของขวญั แกก ลมุ ทช่ี นะ เพอื่ 3. ตน พชื 2 ชนดิ ไดแ ก พรกิ และเฟรน (ครูเตรยี มให) เปน การเสริมแรงในการทาํ กจิ กรรม 4. บตั รภาพตนพชื ตาง ๆ เชน ขา วโพด มอสส ใบบัวบก เปนตน (ครูเตรียมให) 5. ครูต้ังคําถาม แลวใหนักเรียนชวยกันตอบได ลองทําดู µÍ¹·Õè 1 อยา งอิสระ ดังน้ี • พชื ดอก และพชื ไมม ดี อก มลี กั ษณะแตกตา ง 1. ใหแบงกลุม กลมุ ละ 3 - 4 คน แลว รบั บัตรภาพตนพืชชนดิ ตา ง ๆ จากครกู ลมุ ละ 1 ชดุ กนั อยางไร (ชดุ ละ 8 - 10 ใบ) (แนวตอบ พืชมีดอกจะประกอบดวย ราก ลําตน ใบ และดอก สวนพืชไมมีดอกนั้น 2. ชวยกันสงั เกตลกั ษณะภายนอกของตน พชื ในบัตรภาพ และบนั ทกึ ผลลงในสมุด ประกอบดวย ราก ลําตน และใบ แตจะไมมี 3. รวมกนั แสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับผลการสังเกต จากนัน้ ชวยกนั จัดกลมุ พืชโดยใชล กั ษณะ ดอกตลอดชวี ิต) • พืชมดี อกจะเรม่ิ มีดอกเมื่อใด ภายนอกของพืชเปนเกณฑ (แนวตอบ เม่อื พืชดอกเจรญิ เติบโตเตม็ ท่ีแลว 4. จดั ทาํ แผนผัง แผนภาพ หรือตารางการจัดกลุมพชื ลงในกระดาษแขง็ เพือ่ นําเสนอขอมูล จะออกดอกเพอ่ื ใชใ นการสบื พนั ธ)ุ หนา ช้นั เรียน และรวมกนั อภิปรายผลการจัดกลมุ พชื 6. นักเรียนแตละกลุมรวมกันทํากิจกรรมท่ี 2 เรอื่ ง การจดั กลมุ พชื ตอนที่ 1 จากหนงั สอื เรยี น การจัดก ุลมพืช หนา น้ี ใหค รบทกุ ขอ แลว บนั ทึกผลลงในสมุด ืพช ีมดอก พืชไมมีดอก หรอื ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 8 จากนน้ั รวมกนั อภปิ รายและสรุปผลการทํากิจกรรม ภาพที่ 1.12 9 (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม) เกร็ดแนะครู ครใู หค วามรกู บั นกั เรยี นเพม่ิ เตมิ วา พชื ดอก (angiosperm) จดั เปน พชื ชน้ั สงู ทม่ี สี ว นประกอบตางๆ ครบสมบูรณ คือ ราก ลาํ ตน ใบ และดอก พชื ดอกอาศยั ดอกในการสืบพันธุ โดยดอกเปนท่ีเกิดการปฏิสนธิระหวางไขกับเกสรเพศผู แลวเกิดเปนตัวออนข้ึนภายในเมล็ด พืชดอกสวนใหญเปนพืชท่ีพบไดท่ัวไป เชน กุหลาบ มะลิ ขา ว มะมว ง มงั คุด เปน ตน แตม พี ืชดอกบางชนิดที่เราอาจจะ ไมเคยเห็นดอกเลย เน่ืองจากมีดอกขนาดเล็กมาก หรือใชเวลาหลายปกวาจะ ออกดอก เชน ตะไคร โกสน เปน ตน T15
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน ตอนที ่ 2 สาํ รวจคน หา 1. สงั เกตลกั ษณะภายนอกของตน้ พริกและเฟร์น วาดภาพและบันทกึ ผล 2. สบื คน้ เพ่ิมเติมจากแหล่งขอ้ มลู ต่าง ๆ เก่ยี วกบั ลักษณะภายนอกของพืชท้งั 2 ชนดิ น้ี 7. ครูขออาสาสมคั รนกั เรียน 2 คน โดยคนหนึง่ ใหยกตวั อยางพืชดอก 3 ชนิด และอีก 1 คน แลว้ บนั ทึกผล ใหย กตัวอยางพชื ไมม ดี อก 3 ชนดิ จากนนั้ ให 3. เปรยี บเทยี บลักษณะท่เี หมอื นกนั และลกั ษณะท่ีแตกต่างกันของพชื ทงั้ 2 ชนิด นักเรียนท้ังหองชวยกันตรวจสอบวาถูกตอง 4. อภปิ รายผลการสังเกต และสรุปผลการทา� กจิ กรรมรว่ มกันภายในชั้นเรยี น หรอื ไม แลวครใู หค าํ ชมเชยเพอื่ เปน กาํ ลงั ใจ พรกิ เฟร น 8. นักเรียนจับกลุมเดิมจากตอนที่ 1 จากน้ัน ชว ยกนั ทํากิจกรรมท่ี 2 เร่ือง การจัดกลุมพืช ตอนที่ 2 จากหนังสือเรียนหนานี้ แลว บันทึกผลลงในสมุดหรือทําลงในแบบฝกหัด วทิ ยาศาสตร หนา 9 จากนั้นรว มกันอภปิ ราย และสรปุ ผลการทํากจิ กรรม (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ) 9. นกั เรียนดู PPT เรือ่ ง ความหลากหลายของพชื และศึกษาขอมูลเก่ียวกับพืชดอกและพืชไมมี ดอกเพม่ิ เตมิ จากหนงั สอื เรยี น หนา 11-12 เพอ่ื ใชเปนขอมูลในการนํามาสรุปรวมกับผลการ ทํากิจกรรม ตอนที่ 1-2 โดยครูคอยอธิบาย และตอบคําถามใหกับนกั เรยี นทมี่ ขี อ สงสยั (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ) แนวตอบ หนูตอบได หนตู อบได ภาพท่ี 1.13 ขอ 4. 1. ยกตัวอย่างพชื ดอกกบั พชื ไมม่ ดี อกท่พี บในทอ้ งถิ่นมา 2 ชนิด • ทานตะวัน เพราะเปนพืชดอก สามารถ 2. พชื ดอกกบั พชื ไมม่ ีดอกมีลกั ษณะภายนอกแตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร 3. หากนักเรียนต้องการขยายพันธุ์พืชเพ่ือจ�าหน่าย นักเรียนจะเลือกขยายพันธุ์ทานตะวัน ขยายพันธุโดยใชเมล็ด ทําใหเรามองเห็นเมล็ดได ดว ยตาเปลา และสามารถหยิบจับไดง าย และวสั ดุ หรอื เฟร น์ เพราะอะไร อปุ กรณที่ใชในการขยายพนั ธุหาไดง าย 10 ค(หอื มกายารเหคตดิ ุแ: คบาํบถใหามเหขตอุผสลดุ ทแาลยะขกอางรหคนดิ ตูแอบบบไโดตแ เปยงน คซํางึ่ ถผาูเรมยี ทนี่อออากจแเลบือบกใหตผอบูเรอียยนา ฝงกใดใชอทยกัางษหะนกึง่ากรค็ไดดิ ขใหน้ั คสรูงู • เฟรน เพราะเปนพชื ไมม ดี อก สามารถขยาย- พันธุโดยใชสปอร ซ่ึงสปอรของเฟรนมีจํานวนมาก พจิ ารณาจากเหตุผลสนบั สนนุ ) เม่ือนําไปเพาะในดินหรือวัสดุปลูกจะทําใหได ตน กลา จํานวนมาก เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET ครูอาจสุมเรียกนักเรียนทีละคนใหยกตัวอยางพืชที่รูจัก และใหบอกวา พชื ในขอ ใด เปนพชื ไมม ดี อกท้ังหมด เปนพืชดอกหรือพืชไมมีดอก พรอมกับอธิบายเหตุผลประกอบ เพื่อเปนการ ก. ชมพู เฟรน ตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน และใหเกิดการแลกเปล่ียนความคิดเห็นกัน ข. มะละกอ ขนุน ภายในชนั้ เรยี น ค. มะนาว ฟก ทอง ง. เฟรน ชายผาสีดา ส่ือ Digital (วิเคราะหคําตอบ เฟรนและชายผาสีดา จัดเปนพืชไมมีดอก ครูใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับความหลากหลายของพืชเพิ่มเติมจากส่ือ เน่ืองจากเม่ือเจริญเติบโตเต็มท่ีแลวพืชทั้ง 2 ชนิด จะไมมีดอก PowerPoint เร่ือง ความหลากหลายของพชื ดังภาพตัวอยา ง ดังนั้น ขอ ง. จงึ เปน คําตอบท่ีถกู ตอง) T16
นาํ สอน สรุป ประเมนิ 1หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ขนั้ สอน ความหลากหลายของส่งิ มชี วี ิต อธบิ ายความรู 2.1 พชื ดอก และพชื ไมม่ ดี อก 1. ครูใชวิธีการสุมวันเกิดของนักเรียน เพื่อเลือก ตวั แทนกลมุ นกั เรยี นใหอ อกมานาํ เสนอผลงาน พชื เปน็ สง่ิ มชี วี ติ ทส่ี รา้ งอาหารเองได้ แตเ่ คลอ่ื นทเี่ องไมไ่ ด้ พชื ตา่ ง ๆ รอบตวั หนา ช้นั เรียน ดงั นี้ มหี ลายชนดิ พชื แตล่ ะชนิดมีโครงสรา้ งและสว่ นต่าง ๆ แตกตา่ งกัน เมื่อใช้เกณฑ์ 1) นาํ เสนอแผนผงั แผนภาพ หรอื ตาราง ทไ่ี ด การมีดอก สามารถจดั กลมุ่ พชื ได้ 2 กลมุ่ ใหญ่ ไดแ้ ก่ พืชดอก และพืชไมม่ ดี อก จากการทาํ กิจกรรมท่ี 2 ตอนท่ี 1 จากน้นั รว มกันอภิปรายผลการจัดกลุม พืช พชื ดอก พืชไมม่ ีดอก 2) นําเสนอผลการทํากิจกรรมท่ี 2 ตอนที่ 2 จากนั้นใหรวมกันอภิปรายผลการสังเกต พืชดอกทุกชนิดเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว เปน็ พชื ทไี่ มม่ ดี อกตลอดการดา� รงชวี ติ ถงึ แม้ ความแตกตา งของลกั ษณะภายนอกของพชื จะสรา้ งดอกขนึ้ เพอ่ื ใชใ้ นการสบื พนั ธ์ุ ทา� ให้ มีการเจรญิ เตบิ โตเต็มทแี่ ล้วกต็ าม (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียนโดยใช เกดิ เป็นพชื ตน้ ใหมไ่ ด้ พืชไม่มีดอกส่วนใหญ่ จะสืบพันธุ์โดยการ แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ) พชื ดอกจะมสี ว่ นประกอบ ไดแ้ ก่ ราก ลา� ตน้ สร้างสปอร์ ซึ่งจะงอกเป็นพืชต้นใหม่ได้ ใบ และดอก เช่น เฟร์น มอสส์ ปรง หางสิงห์ ผกั กดู 2. นักเรียนรวมกันอภิปรายผลการทํากิจกรรม พืชบางชนิดมีดอกมองเห็นได้ชัดเจน เช่น ผักแว่น กระแตไตไ่ ม้ ชายผา้ สีดา เป็นต้น จนไดขอสรุปวา พืชบางชนิดมีโครงสรางสวน กุหลาบ กลว้ ยไม้ มะลิ ทานตะวัน เป็นต้น พืชไมม่ ดี อกจะมีสว่ นประกอบ ไดแ้ ก่ ราก ตางๆ ภายนอกท่ีสําคัญ ไดแก ราก ลําตน พืชบางชนิดมดี อกขนาดเลก็ เชน่ พลูด่าง ลา� ตน้ และใบ แตจ่ ะไมม่ ดี อก ผล และเมลด็ ใบ และดอก เหมือนกัน จึงจัดเปนกลุมพืช จอก แหน สาหร่ายหางกระรอก เปน็ ตน้ ดอก สว นพืชบางชนิดทมี่ โี ครงสรางสวนตา งๆ ภายนอกท่สี าํ คัญ ไดแ ก ราก ลําตน และใบ เม่ือใช้ลักษณะของราก ล�าต้น และใบ แตไมมีดอกตลอดการดํารงชีวิตเหมือนกัน ของพืชเป็นเกณฑ์ สามารถจัดกลุ่มพืชได้ จดั เปน กลุม พชื ไมม ีดอก เปน็ พชื ใบเลย้ี งเดย่ี ว และพชื ใบเล้ยี งคู่ ขนั้ สรปุ ขยายความเขา ใจ 1. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก หนังสือเรียน หนา 10 ลงในสมุดหรือทําใน แบบฝก หดั วิทยาศาสตร หนา 10 ภาพที่ 1.14 ตัวอย่างพืชดอก 1 ภาพที่ 1.15 ตวั อยา่ งพชื ไมม่ ีดอก 11 ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET ขอใดเปนพืชดอกท้งั หมด ก. หวายทะนอย มะมวง ข. ดาวเรอื ง มะละกอ ค. เฟร น ชองนางคล่ี ง. เฟอ งฟา ผักกดู (วิเคราะหคําตอบ พืชดอก คือ พืชท่ีเจริญเติบโตเต็มท่ีแลว มีดอก เชน กหุ ลาบ มะมว ง ดาวเรอื ง ชมพู มะละกอ มะลิ เปนตน ดังน้นั ขอ ข. จึงเปนคําตอบท่ถี กู ตอง) T17
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สรปุ พืชดอก และพืชไม่มีดอก จะมีโครงสร้างภายนอกแตกต่างกัน พืชดอก มีโครงสรา้ งภายนอกทีส่ า� คญั ได้แก่ ราก ลา� ตน้ ใบ และดอก ส่วนพชื ไม่มดี อก ขยายความเขา ใจ เป็นพชื ทีม่ ีโครงสร้างภายนอก ไดแ้ ก่ ราก ล�าต้น และใบ แต่จะไม่มีดอก ผล และ เมล็ด ดงั นี้ 2. ครถู ามคาํ ถามทา ทายการคดิ ขน้ั สงู จากหนงั สอื เรยี น หนา 12 แลว ใหน กั เรยี นชว ยกนั นาํ ความรู โครงสร้างภายนอกของพชื ดอก โครงสร้างภายนอกของพืชไม่มดี อก ท่ีไดจากทํากิจกรรมมาตอบคําถามวาพืชดอก เปนพืชที่มีดอกสําหรับใชในการสืบพันธุ ดอก ใบ นักเรียนคิดวา พืชดอกสามารถสืบพันธุหรือ ใบ ขยายพนั ธดุ วยวธิ กี ารอ่ืนไดห รอื ไม อยา งไร ผลและเมลด็ (แนวตอบ ข้ึนอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน ยกตัวอยางเชน พืชดอกสามารถขยายพันธุ ลา� ตน้ ดว ยวิธอี น่ื ได เชน การตอนกงิ่ การเสยี บยอด การปก ชาํ การติดตา การทาบกงิ่ เปน ตน) ล�าต้น (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช ราก ราก แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล) ภาพที่ 1.16 ภาพท่ี 1.17 3. แตละคนทํากิจกรรมพัฒนาการเรียนรูท่ี 2 จากหนังสือเรยี น หนา 12 ไปทําเปน การบาน ¤Ó¶ÒÁ·ÒŒ ·Ò¡Òä´Ô ¢é¹Ñ ʧ٠โดยทําลงในสมุด หรือทําในใบงานท่ี 1.2 เรื่อง จําแนกพืชดอกและพืชไมมีดอก ที่ครู พชื ดอกเปน็ พืชทมี่ ีดอกส�าหรับใช้ในการสบื พนั ธ์ุ นักเรยี นคดิ วา่ พชื ดอกสามารถสบื พนั ธ์ุหรอื แจกให แลว นาํ มาสง ในชัว่ โมงถดั ไป ขยายพันธุ์ด้วยวิธอี นื่ ได้อีกหรือไม่ อยา่ งไร ขน้ั ประเมนิ 2กิจกรรม พฒั นาการเรยี นรูท้ ่ี ตรวจสอบผล ดภู าพ แลว้ บอกชอื่ พชื จากนนั้ จา� แนกวา่ พชื ใดเปน็ พชื ดอก และพชื ใดเปน็ พชื ไมม่ ดี อก 123 4 1. ครูสุมนักเรียนตามเลขที่ 4-5 คน จากน้ัน ใหนักเรียนแตละคนอธิบายความรูเกี่ยวกับ 12 ภาพที่ 1.18 ภาพที่ 1.19 ภาพท่ี 1.20 ภาพที่ 1.21 ความหลากหลายของพืชการจัดกลุมพืชดอก จากน้ันใหน กั เรียนทัง้ หองสรุปความรูรว มกัน 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 2 เร่ือง การจดั กลมุ สง่ิ มชี วี ติ ในสมดุ หรอื ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 8-9 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน สมดุ หรือในแบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 10 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมพัฒนาการ เรยี นรทู ่ี 2 ในสมดุ หรอื ในใบงานท่ี 1.2 เรือ่ ง จําแนกพชื ดอกและพืชไมมดี อก เกร็ดแนะครู ใบงานที่ 1.2 เรอื่ ง จําแนกพชื ดอกและพืชไมมดี อก ครูสามารถหยบิ ใชได จากแผนการจดั การเรยี นรทู ี่ 2 เรอ่ื ง ความหลากหลายของพชื หนว ยการเรยี นรทู ่ี 1 ความหลากหลายของสง่ิ มชี ีวิต แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน รายบุคคล การทํางานกลุม และการนาํ เสนอผลการทํากิจกรรมหนา ชน้ั เรยี นได โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลท่ีแนบทายแผนการจัดการเรียนรู ของหนวยการเรยี นรทู ี่ 1 ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ติ T18
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ กิจกรรมที่ 3 1หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ขน้ั นาํ การจดั กลมุ พชื ดอก ความหลากหลายของสิง่ มีชีวิต กระตนุ ความสนใจ ทกั ษะกระบวนการ 1. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรูเดิม ทางวทิ ยาศาสตรท์ ่ใี ช้ เกีย่ วกับพืชดอกและพืชไมมดี อก 1. การสงั เกต 2. การจา� แนกประเภท 2. ครูติดบัตรภาพตนขาวโพดและตนทานตะวัน 3. การลงความเห็นจากข้อมูล ไวท่ีกระดาน จากน้ันต้ังประเด็นคําถามถาม จดุ ประสงค 4. การจัดกระทา� และสอ่ื ความหมายขอ้ มูล นักเรียนวา นักเรียนคิดวาพืช 2 ชนิดนี้ มี ลักษณะภายนอกเหมือนกันหรือแตกตางกัน 1. สา� รวจ สังเกต และอธบิ ายลกั ษณะภายนอกของพืชดอก 5. การตีความหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรปุ หรอื ไม อยา งไร โดยครใู หน กั เรยี นตอบคาํ ถาม 2. จดั กล่มุ พืชดอก โดยใชล้ กั ษณะของราก ลา� ตน้ และใบ เป็นเกณฑร์ ว่ มกนั อยา งอสิ ระ และครยู งั ไมเ ฉลยคําตอบ (แนวตอบ ขน้ึ อยูก ับคาํ ตอบของนักเรยี น ใหอ ยู ตอ งเตรียมตองใช ในดุลยพนิ ิจของครูผสู อน) 1. แว่นขยาย 1 อนั ขน้ั สอน 2. แผนภาพลกั ษณะภายนอกของต้นขา้ วโพด (ครเู ตรียมให)้ 3. แผนภาพลักษณะภายนอกของตน้ ทานตะวัน (ครูเตรยี มให้) สาํ รวจคน หา 4. แหลง่ ขอ้ มูล เช่น หนงั สอื อินเทอรเ์ นต็ เป็นต้น 1. ครูใชเทคนิคคูคิดสี่สหายในการจัดกิจกรรม ลองทาํ ดู ตอนท ่ี 1 การเรียนรู โดยแบงนักเรียนออกเปนกลุม กลมุ ละ 4 คน ใหมคี วามสามารถคละกนั 1. ศกึ ษาแผนภาพลกั ษณะภายนอกของต้นขา้ วโพด และตน้ ทานตะวนั 2. สงั เกตราก ลา� ต้น และใบ ของตน้ ขา้ วโพดและตน้ ทานตะวันว่า มลี ักษณะเหมอื นกนั หรือ 2. สมาชิกแตละกลุมรวมกันกําหนดปญหาและ ตง้ั สมมตฐิ านเกย่ี วกบั การทาํ กจิ กรรมท่ี 3 เรอื่ ง แตกตา่ งกัน อยา่ งไร จากนนั้ วาดภาพและบันทกึ ผลลงในสมุด การจดั กลมุ พชื ดอก ตอนท่ี 1 จากหนงั สอื เรยี น หนา 13-14 จากน้ันสมาชิกแตละคนของ ภาพที่ 1.22 13 กลุมไปทํากิจกรรม แลวบันทึกลงในสมุดหรือ ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 13 3. เม่ือแตละคนทํากิจกรรมเสร็จแลว ใหจับคู กบั เพอื่ นทอี่ ยใู นกลมุ เดยี วกนั แลว นาํ คาํ ตอบที่ ไดมาผลัดกันอธบิ ายคาํ ตอบ 4. นักเรยี นทั้ง 2 คู กลับมารวมกลุมเหมอื นเดมิ แลวรวมกันอธิบายคําตอบของตนเองใหเพื่อน ในกลุมฟง และสรุปผลรว มกัน 5. นักเรียนดู PPT เรื่อง พชื ใบเลีย้ งเดยี่ วและพชื ใบเลยี้ งคู แลว นกั เรยี นแตล ะกลมุ รว มกนั ศกึ ษา และปฏิบัติกิจกรรมท่ี 3 เรื่อง การจัดกลุม พชื ดอก ตอนที่ 2 จากหนงั สือเรียนหนาน้ี เกร็ดแนะครู ครูอาจยกตัวอยางพืชใบเลี้ยงเด่ียวชนิดอ่ืนเพ่ิมเติม เชน มะพราว เปนพืช ใบเลย้ี งเดย่ี ว ในเมลด็ มใี บเลยี้ งขนาดเลก็ เพยี งใบเดยี วทไ่ี มม คี วามสาํ คญั เพราะ อาหารสําหรับการเจริญเติบโตของตนออนในพืชใบเล้ียงเด่ียวไมไดสะสมใน ใบเลยี้ ง แตส ะสมอยูในเน้ือเยื่อเอนโดสเปรม คือ เนือ้ และน้าํ ในลูกมะพรา ว ส่ือ Digital ครูใหนักเรียนเรียนรูเก่ียวกับพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเล้ียงคูเพ่ิมเติม จากสอื่ PowerPoint เรื่อง พชื ใบเลี้ยงเดีย่ วและพชื ใบเลยี้ งคู ดังภาพตัวอยาง T19
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน 3. สบื คน้ ขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั ลกั ษณะของ ภาพที่ 1.23 ราก ลา� ตน้ และใบ ของพืชทัง้ 2 ชนิด สาํ รวจคน หา แล้วบันทึกผล 6. แตละกลุมกําหนดปญหาและต้ังสมมติฐาน 4. ร่วมกันเปรียบเทียบความแตกต่างของ แลว ทํากิจกรรมตามขน้ั ตอน และบันทึกผลใน ราก ลา� ต้น และใบ ของพืชทั้ง 2 ชนดิ สมดุ หรอื ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 14 แลว้ สรปุ ผลวา่ เปน็ พืชดอกประเภทใด 7. แตละกลุมนําขอมูลที่รวบรวมไดมาอภิปราย ตอนที ่ 2 และสรุปรวมกัน แลวชวยกันกําหนดเกณฑ ท่ีใชในการจําแนกชนิดพืชวา เปนพืชดอก 1. แบง่ กล่มุ กลุ่มละ 3 - 4 คน ให้แต่ละกลมุ่ ประเภทพืชใบเลีย้ งเดย่ี ว หรือพชื ใบเลย้ี งคู ส�ารวจพืชดอกภายในบริเวณบ้านและ (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช โรงเรยี นมา 8 - 10 ชนิด แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ) 2. สงั เกตลกั ษณะของราก ลา� ตน้ และเสน้ ใบ อธบิ ายความรู ของพืชแตล่ ะชนดิ แล้วบนั ทึกผล 1. แตล ะกลมุ สง ตวั แทนออกมานาํ เสนอผลการทาํ 3. พจัดืชกใบลเุ่มลพี้ยืงช1เทด่ีพ่ียวบวห่าเรปือ็นพพืชืใชบดเอลกี้ยปงครู่ะเแภลทะ กิจกรรมท่ี 3 ตอนที่ 1 แลวรวมกันอภิปราย บอกลักษณะทใี่ ช้ในการจา� แนก จนไดข อ สรปุ วา ตน ขา วโพดและตน ทานตะวนั เปนพืชดอกท่ีโครงสรางสวนตางๆ ภายนอก หนตู อบได ภาพที่ 1.24 มีลักษณะแตกตางกัน สังเกตไดจากลักษณะ ของราก ลําตน และใบ ดังนั้น โครงสราง 1. ยกตวั อย่างพชื ใบเล้ยี งเด่ียวและพืชใบเลยี้ งคทู่ ่ีรูจ้ กั มาอยา่ งละ 1 ชนิด วาดภาพประกอบ สวนตางๆ ภายนอกของพืชดอกแตละชนิด และอธิบายลักษณะพอสงั เขป มลี กั ษณะแตกตา งกัน 2. หากต้องการทราบว่า พืชที่ปลูกภายในบริเวณบ้านเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวหรือพืชใบเลี้ยงคู่ แนวตอบ หนตู อบได นกั เรียนจะเลอื กสงั เกตสว่ นประกอบใดของพืช ระหวา่ งใบกับล�าตน้ เพราะอะไร ขอ 4. 14 (หมายเหตุ : คาํ ถามขอ สุดทายของหนตู อบได เปน คําถามท่อี อกแบบใหผ เู รียนฝก ใชท ักษะการคิดขน้ั สูง • ใบ เพราะพชื สวนใหญเ มอื่ เจรญิ เตบิ โต จะมี คอื การคิดแบบใหเหตผุ ล และการคดิ แบบโตแยง ซง่ึ ผเู รยี นอาจเลือกตอบอยา งใดอยางหนึง่ กไ็ ด ใหครู พิจารณาจากเหตผุ ลสนับสนนุ ) ใบหลายใบ ซง่ึ สามารถสงั เกตเสน ใบของพชื ไดอ ยา ง ชัดเจน จึงทําใหจําแนกไดวาพืชชนิดใดเปนพืช ใบเล้ยี งเดยี่ วหรือพืชใบเลีย้ งคูไดง าย • ลําตน เพราะลําตนของพืชใบเล้ียงเด่ียวกับ พืชใบเลีย้ งคูมคี วามแตกตา งกนั คือ ลาํ ตนของพชื ใบเลี้ยงเดี่ยวมีขอปลองมองเห็นไดชัดเจน สวน ลาํ ตน ของพชื ใบเลย้ี งคมู ขี อ ปลอ งมองเหน็ ไมช ดั เจน จงึ ทาํ ใหจ าํ แนกไดว า พชื ชนดิ ใดเปน พชื ใบเลยี้ งเดย่ี ว หรือพชื ใบเล้ยี งคไู ดงา ย นักเรียนควรรู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET 1 ใบเลี้ยง (cotyledon) เปน ใบของตน พืชท่ยี ังอยใู นระยะตน ออน ทําหนาท่ี ขอใดเปนลักษณะสาํ คญั ของพืชใบเลีย้ งเด่ยี ว สะสมอาหารไวเล้ยี งตน ออ น แลวจะงอกออกจากเมลด็ และเจริญขน้ึ กลายเปน ก. มีรากแกว ใบไมท่ีสมบูรณ แตใบเล้ียงนี้จะไมทําการสังเคราะหดวยแสง เน่ืองจากมันจะ ข. มเี สนใบขนาน หลุดรวงไปหลังจากท่ีตนพืชมีใบแทเกิดข้ึนมา ใบเล้ียงของพืชที่ทําหนาท่ีสะสม ค. ลาํ ตน เปน ขอ ปลองไมช ัดเจน อาหาร เชน ถั่วชนดิ ตา งๆ มะขาม บวั เปน ตน ง. มีใบเล้ยี งงอกออกจากเมลด็ 2 ใบ (วิเคราะหคําตอบ พชื ใบเลี้ยงเดี่ยวมใี บเลย้ี ง 1 ใบ มเี สน ใบขนาน ลาํ ตนเปน ขอปลองชดั เจน มีรากฝอย ไมมรี ากแกว ดงั น้ัน ขอ ข. จงึ เปนคาํ ตอบท่ถี กู ตอง) T20
นาํ สอน สรุป ประเมนิ 1หน่วยการเรียนรู้ท่ี ขนั้ สอน ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวติ อธบิ ายความรู 2.2 พชื ใบเลี้ยงเดยี่ ว และพชื ใบเลย้ี งคู่ 2. ใหนักเรียนจับคูกับเพ่ือนที่อยูในกลุมเดียวกัน จากน้ันนําคําตอบที่ไดจากการทํากิจกรรม นกั เรยี นทราบแล้วว่า พืชแบ่งออกเปน็ พชื ดอกและพืชไมม่ ีดอก ถ้าสา� รวจ ท่ี 3 ตอนท่ี 2 แลว ผลดั กันอธิบายคําตอบ พืชในท้องถิ่นของเราจะพบว่า พืชส่วนใหญ่เป็นพืชดอก เน่ืองจากพืชดอกเป็น กล่มุ พืชทมี่ ีจ�านวนมากทส่ี ุด 3. ใหนักเรียนทั้ง 2 คู กลับมารวมกลุม 4 คน เหมือนเดมิ จากนั้นอธบิ ายคําตอบของตนเอง ดังนัน้ เพอื่ ใหก้ ารศกึ ษาพชื ดอกท�าได้งา่ ยขน้ึ จงึ ใชล้ กั ษณะของราก ล�าตน้ ใหเ พือ่ นในกลมุ ฟง แลวสรุปคําตอบรวมกัน และใบของพชื มาเปน็ เกณฑร์ ว่ มกนั ในการจดั กลุ่มพชื ดอกได้ 2 ประเภท ได้แก่ พชื ใบเลย้ี งเด่ียว และพืชใบเลยี้ งคู่ 4. ครูสุมเลือกตัวแทนนักเรียนแตละกลุมใหออก มานําเสนอผลการทํากิจกรรม โดยวิธีการจับ 1. พืชใบเล้ียงเดี่ยว เป็น ภาพท่ี 1.25 ขา้ ว เปน็ พชื ใบเล้ยี งเด่ยี ว สลากหมายเลข จากนน้ั ตวั แทนของแตล ะกลมุ พืชที่เมื่อเมล็ดเริ่มงอก จะมีใบเลี้ยง ภาพที่ 1.26 พรกิ เปน็ พืชใบเลยี้ งคู่ ออกมานําเสนอผลการทํากิจกรรมจนครบทุก ใบเดียวงอกออกมาเป็นใบแรกของพืช กลมุ แลว ทกุ กลมุ รว มกนั อภปิ รายจนไดข อ สรปุ ลักษณะใบของพืชใบเล้ียงเดี่ยวมักเป็น วา เราสามารถใชลกั ษณะของราก ลําตน และ ใบแคบและตงั้ ตรง เสน้ ใบจะเรยี งตวั กนั ใบของพืชดอกชนิดตางๆ เปนเกณฑรวมกัน แบบขนาน เชน่ หญา้ ขา้ ว ข้าวโพด เพื่อใชในการจัดกลุมพืชดอก ซ่ึงแบงพืชดอก มะพรา้ ว ขิง ข่า ตะไคร้ เปน็ ตน้ ไดเปน 2 กลุม คอื กลุมพชื ใบเลยี้ งเดี่ยว และ กลุมพชื ใบเลย้ี งคู 2. พืชใบเล้ียงคู่1 เป็นพืช (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ท่ีเมื่อเมลด็ เร่ิมงอก จะมใี บเล้ียง 2 ใบ แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุม ) งอกออกมาเป็นใบคู่แรก ลักษณะใบ ของพืชใบเลี้ยงคู่ มีใบกว้างและอยู่ใน ขน้ั สรปุ แนวนอน เส้นใบเรียงตัวเป็นร่างแห เชน่ มะเขอื มะเขอื เทศ มะมว่ ง กหุ ลาบ ขยายความเขา ใจ มะนาว ถ่วั พริก เปน็ ตน้ 1. นักเรียนแตละคนศึกษาขอมูลเก่ียวกับพืช 15 ใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคูเพ่ิมเติมจาก หนงั สอื เรยี น หนา 15-16 2. ครสู มุ เลือกนกั เรียน 4-5 คน จากลาํ ดบั เลขที่ จากนั้นใหนักเรียนแตละคนบอกช่ือพืชคนละ 1 ชนิด และอธิบายวาเปนพืชใบเล้ียงเดี่ยว หรือพชื ใบเล้ียงคู เพราะเหตุใด (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคาํ ตอบของนกั เรียน ใหอ ยู ในดลุ ยพนิ ิจของครูผสู อน) 3. ครูชูบัตรภาพพืชดอกทีละใบ แลวใหนักเรียน ผลัดกันตอบวา เปนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวหรือ พชื ใบเล้ยี งคู นักเรียนควรรู 1 พืชใบเลี้ยงคู (dicotyledon) ในเมล็ดมใี บเลย้ี งขนาดใหญ 2 ใบประกบกัน เต็มเน้ือที่สว นใหญข องเมลด็ ใบเลี้ยงคูท ่มี ขี นาดใหญและหนาน้ี ทาํ หนาทีส่ ะสม อาหารสําหรับการเจริญเติบโตของตนออน ขณะเมล็ดงอกจะมองเห็นใบเลี้ยง 2 ใบ โผลพ น ดินและคอยๆ เหยี่ วไปเม่ือตน ออนเจริญเตบิ โตข้นึ จนสรา งอาหาร ไดเ อง T21
นาํ สอน สรุป ประเมิน ขนั้ สรปุ พืชใบเลี้ยงเด่ียวและพืชใบเลี้ยงคู่ เป็นพืชดอกที่มีลักษณะของส่วนต่าง ๆ แตกต่างกัน เช่น ราก ล�าต้น ใบ จึงท�าให้สามารถจ�าแนกพืช 2 ประเภทนี้ ขยายความเขา ใจ ออกจากกันได้ และเพ่อื ให้เขา้ ใจรายละเอยี ดของส่วนต่าง ๆ ของพืชใบเลีย้ งเดีย่ ว และพืชใบเลย้ี งคไู่ ด้งา่ ยขึ้น นักเรียนสามารถศกึ ษาไดจ้ ากแผนภาพตอ่ ไปน้ี 4. นักเรียนวาดภาพและระบายสีตัวอยางพืช 1 ชนิด ทช่ี อบหรอื สนใจลงในสมุด พรอ มบอกวา พืชใบเลยéี งเดี่ยว พืชใบเลéียงค่Ù พืชชนิดน้ันช่ืออะไร และจดั เปน พืชประเภทใด (พืชใบเล้ียงเดี่ยวหรือพืชใบเล้ียงคู) หรือให กหลีบรือดทอวกีคมณู จี า�ขนอวงน33 กหลีบรอืดทอวกคี มณู จี �าขนอวงน44--55 ทําใบงานท่ี 1.3 เร่ือง พืชใบเลี้ยงเด่ียวและ พชื ใบเลี้ยงคูท่ชี อบ ล�าต้นเชปดั น็ เจขน้อปล้อง ลา� ตน้ไมเปช่ น็ ดั ขเจอ้ นปลอ้ ง 5. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก เใสบ้นเรใยีบวขแนคาบน เส้นใบใบเปกว็น้ารงา่ งแห หนังสือเรียน หนา 14 ลงในสมุดหรือทําใน ใบเลยี้ ง แบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 15 มีใทบี่งเอลกย้ี องอ1กจใบากใเนมรละด็ ยะ มีใทบงี่ เอลกย้ี องอ2กจใบากใเนมรละ็ดยะ ขน้ั ประเมนิ ตรวจสอบผล 1. ครูใหนักเรียนชวยกันสรุปเกี่ยวกับการจัดกลุม พืชดอก (พืชใบเล้ียงเดี่ยวและพืชใบเล้ียงคู) จากนั้นใหครูอธิบายเสริมเพิ่มเติมในสวนที่ บกพรอ ง 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมที่ 3 เร่ือง การจดั กลมุ พืชดอก ในสมดุ หรือในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร หนา 13-14 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน สมดุ หรือในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 15 4. ครูตรวจสอบผลการยกตัวอยางพืชดอกที่ นักเรียนชอบในสมุดหรือในใบงานที่ 1.3 เรือ่ ง พืชใบเลี้ยงเดย่ี วและพชื ใบเลี้ยงคูท่ชี อบ มรี ะบบรากฝอย มรี ะบบรากแกว้ ภาพที่ 1.27 แผนภาพแสดงการจา� แนกประเภทของพชื ดอก 16 เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET ใบงานท่ี 1.3 เรอื่ ง พชื ใบเลี้ยงเดย่ี วและพชื ใบเลย้ี งคูท ่ชี อบ ครูสามารถหยบิ รากฝอย พบในพืชชนิดใด ใชไ ดจ ากแผนการจดั การเรยี นรทู ่ี 3 เรอ่ื ง ศกึ ษากลมุ พชื ดอก หนว ยการเรยี นรทู ่ี 1 ก. ตะไคร มะลิ ลาํ ไย ความหลากหลายของสงิ่ มีชวี ิต ข. หญา ออ ย ขาวโพด ค. ขาว มะพรา ว มะเขอื แนวทางการวัดและประเมินผล ง. วา นหางจระเข มะขาม ขนนุ (วิเคราะหคําตอบ พืชที่มีระบบรากเปนรากฝอย จะพบได ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการตอบคําถาม การทํางาน รายบุคคล การทาํ งานกลมุ และการนาํ เสนอผลการทาํ กจิ กรรมหนา ช้นั เรยี นได ในพืชใบเลี้ยงเดีย่ ว เชน ขาว มะพรา ว หญา ออย ขาวโพด ไผ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลท่ีแนบทายแผนการจัดการเรียนรูของ ตะไคร เปน ตน ดงั นนั้ ขอ ข. จึงเปน คาํ ตอบท่ถี ูกตอ ง) หนว ยการเรียนรทู ี่ 1 ความหลากหลายของสิง่ มีชวี ิต T22
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ 1หน่วยการเรียนรู้ท่ี ขนั้ นาํ ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ติ กระตนุ ความสนใจ 3. ความหลากหลายของสัตว์ นักเรียนแตละคนดูภาพสัตว 5 ชนิด จาก หนงั สอื เรียนหนา น้ี แลวใหร ว มกนั อภปิ ราย ดงั น้ี หากนกั เรยี นส�ารวจบรเิ วณรอบบ้าน โรงเรียน หรอื ชมุ ชน เราจะพบสัตว์ ต่าง ๆ มากมาย เชน่ สตั วท์ ่มี ขี นาดเล็กและขนาดใหญ่ สัตว์ทอ่ี าศยั อยบู่ นบกและ • จากภาพ นักเรียนรูจักสัตวทั้ง 5 ชนิดนี้ อาศยั อย่ใู นนา�้ สัตวท์ ่ีมีขาและไมม่ ีขา เป็นต้น หรอื ไม (แนวตอบ ข้ึนอยูกับคําตอบของนักเรียน ดงั น้นั เพอื่ ใหส้ ามารถศึกษาลักษณะของสัตวไ์ ดอ้ ย่างเป็นระบบมากยิ่งขน้ึ ใหอยูกบั ดุลยพนิ จิ ของครูผสู อน) นกั วิทยาศาสตร์ไดจ้ ดั กลมุ่ สัตว์ออกเปน็ กลุ่ม โดยใช้ลักษณะการมกี ระดูกสนั หลงั เป็นเกณฑ์ จงึ สามารถแบ่งสัตว์ออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ สตั ว์มีกระดูกสันหลงั • นักเรียนคิดวา สัตวทง้ั 5 ชนดิ น้ี มลี ักษณะ และสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั เหมือนกนั หรอื แตกตา งกนั อยางไร (แนวตอบ ขึ้นอยูกับคําตอบของนักเรียน ชา้ ง ปู ใหอยูก ับดลุ ยพินิจของครูผสู อน) นก ตก๊ั แตน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล) วัว ภาพที่ 1.28 ตัวอย่างสตั วช์ นดิ ต่าง ๆ ขนั้ สอน ÊѵÇᵋÅЪ¹Ô´ÁÕâ¤Ã§ÊÌҧËҧ¡Ò àËÁ×͹¡Ñ¹ËÃÍ× áµ¡µ‹Ò§¡¹Ñ Í‹ҧäà สาํ รวจคน หา 17 1. นักเรยี นอานขอมลู จากหนังสอื เรยี นหนานี้ 2. ครูถามนักเรียนเพ่ือกระตุนความคิดวา สัตว แตละชนิดมีโครงสรางรางกายเหมือนกันหรือ แตกตางกัน อยางไร โดยใหนักเรียนชวยกัน แสดงความคดิ เห็นไดอยา งอสิ ระ 3. ครูสนทนากับนักเรียนวา นักเรียนเคยสังเกต หรอื ไมวา บริเวณบา น โรงเรยี น หรือชมุ ชนท่ี นักเรียนอาศัยอยูนั้นมีสัตวอะไรบาง แลวให นกั เรยี นชว ยกันยกตวั อยา ง 4. ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา จากการสังเกตบริเวณ บาน โรงเรียน หรือในชุมชน เราจะพบสัตว ตางๆ มากมายทั้งท่ีมีขนาดเล็กและขนาด ใหญ ทั้งท่ีอาศัยอยูบนบกและอาศัยอยูในนํ้า ท้ังท่ีมีขาและไมมีขา ดังน้ัน เพื่อใหสามารถ ศึกษาเก่ียวกับสัตวตางๆ ไดสะดวกยิ่งขึ้น นักวิทยาศาสตรจึงจําแนกสัตวออกเปนกลุม โดยใชการมีกระดกู สนั หลังเปนเกณฑ เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพ่ิมเติมใหนักเรียนเขาใจวา สัตวตางๆ มีประโยชนตอคนเรา การนําสัตวมาทําการทดลองควรทําดวยความเมตตา ไมแกลงหรือทําอันตราย สัตวเ พราะความสนุกสนาน เพราะไมวาจะเปนสตั วชนิดใดกต็ ามก็เปนสิง่ มชี วี ิต เชน เดยี วกับคนเรา ดงั น้ัน เราจึงตองรจู ักคุณคาของสิง่ มีชีวิต T23
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขนั้ สอน กจิ กรรมที่ 4 ทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่ใช้ สาํ รวจคน หา การจดั กลมุ สตั ว 1. การสงั เกต 2. การจ�าแนกประเภท 5. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับลักษณะของ 3. การลงความเห็นจากขอ้ มูล สัตวท่ีมีกระดูกสันหลัง โดยใหนักเรียนจับคู จุดประสงค 4. การตคี วามหมายขอ้ มูลและการลงข้อสรุป กบั เพอ่ื น (เพศเดยี วกนั ) แลว ใหน กั เรยี น 1 คน 5. การจัดกระทา� และสื่อความหมายขอ้ มูล ช้ีกระดูกสันหลังของเพ่ือนวาอยูบริเวณใด 1. สงั เกต สบื ค้น และอธิบายลกั ษณะภายนอกและลกั ษณะ ของรา งกาย จากนน้ั ใหน กั เรยี นลองใชม อื คลาํ ภายในของสัตวช์ นดิ ต่าง ๆ แนวกระดูกสนั หลังของตนเอง 2. สืบค้นและจัดกลมุ่ สตั ว์โดยใชเ้ กณฑก์ ารมีกระดกู สันหลงั และเกณฑท์ ีก่ า� หนดเอง 6. นักเรียนทุกคนชวยกันอธิบายลักษณะของ ตองเตรยี มตองใช กระดูกสนั หลงั จากนน้ั ครูอธบิ ายเพ่มิ เติมให นกั เรยี นเขา ใจวา กระดูกสนั หลัง เปน กระดกู 1. ถาด 1 ใบ 2. มดี หรอื กรรไกร 1 เล่ม ที่มีลักษณะตอกันเปนขอๆ และทําหนาที่ 3. สไี ม้ 1 กลอ่ ง 4. กระดาษแขง็ แผน่ ใหญ่ 1 แผน่ เปน แกนกลางของรางกาย 5. ถงุ มือยาง 1 คู่ 6. สัตว์ทน่ี งึ่ สกุ แลว้ ไดแ้ ก่ ปลาทู กงุ้ และหอย 7. บัตรภาพสัตวต์ ่าง ๆ (ครเู ตรยี มให้) 8. แหลง่ ข้อมลู เชน่ หนังสือ อนิ เทอรเ์ นต็ เป็นต้น 7. นักเรียนแบงกลุมกลุมละ 4 คน จากนั้น แตล ะกลมุ ชว ยกนั ศกึ ษาวธิ กี ารทาํ กจิ กรรมที่ 4 ลองทาํ ดู ตอนที่ 1 การจดั กลมุ สตั ว ตอนท่ี 1-2 จากหนงั สอื เรยี น หนา 18-19 พรอมกับเตรียมวัสดุอุปกรณ 1. แบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 3 - 4 คน แลว้ ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ เตรยี มสตั วท์ นี่ ง่ึ สกุ แลว้ ใชท้ า� กจิ กรรมอยา่ งละ สําหรับการทํากิจกรรมในช่ัวโมงถัดไปให 1 ตวั ได้แก่ ปลาทู กุ้ง และหอย ครบถว น 2. วางสตั วล์ งในถาด จากนน้ั สงั เกตลกั ษณะภายนอกของสตั ว์ วาดภาพและบนั ทกึ ผลลงในสมดุ 8. นักเรียนทุกคนศึกษาความรูจาก PPT เรื่อง 3. ผ่าสัตว์แต่ละตัวตามยาว จากน้ันสังเกต ความหลากหลายของสัตว แลว ใหแตละกลมุ ทํากิจกรรมท่ี 4 เรื่อง การจัดกลุมสัตว ลกั ษณะภายใน วาดภาพและบันทึกผล ตอนที่ 1 โดยรวมกันกําหนดปญหาและ 4. นา� ขอ้ มลู จากการสงั เกตลกั ษณะภายนอก ต้ังสมมติฐาน แลวปฏิบัติกิจกรรมตาม ขั้นตอนใหครบถวน แลวบันทึกลงในสมุด และลักษณะภายในของสัตว์ท้ัง 3 ชนิด หรือในแบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 18 มาเปรยี บเทียบกันและบนั ทกึ ผล 5. อภิปรายผลการท�ากิจกรรมและร่วมกัน 9. นักเรียนแตละกลุมรวบรวมขอมูล จากน้ัน สรปุ ผลภายในชน้ั เรียน อภิปรายผลการทํากิจกรรมและสรุปผล รวมกันภายในกลุม ภาพท่ี 1.29 18 10. ครูสุมเรียกนักเรียน 2-3 กลุม ใหออกมา นําเสนอผลการทํากิจกรรมหนาช้ันเรียน แลวรวมกันอภิปรายและสรุปผลการทํา กจิ กรรมในชน้ั เรยี น (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม) สื่อ Digital ครูใหนักเรียนเรียนรูเก่ียวกับความหลากหลายของสัตวเพ่ิมเติมจากสื่อ PowerPoint เรอื่ ง ความหลากหลายของสตั ว หองปฏิบัติการ à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ ครูควรเนนยํ้าเรื่องการใชมีดหรือกรรไกรอยางระมัดระวัง และตองไมเลน Tกันขณะทาํ กิจกรรม เพราะอาจเกดิ อันตรายได 24
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ขน้ั สอน ความหลากหลายของสงิ่ มชี วี ิต สาํ รวจคน หา ตอนที ่ 2 ภาพที่ 1.30 11. ครูสนทนกับนักเรียนเกี่ยวกับผลการทํา กิจกรรมท่ี 4 ตอนที่ 1 จากน้ันขออาสาสมัคร 1. ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั สบื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั นกั เรยี น 1-2 ใหส รปุ อกี ครงั้ เพอ่ื ทบทวนรว มกนั สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั และสตั วไ์ มม่ กี ระดกู วา ปลามีกระดูกเปนขอๆ อยูภายในลําตัว สันหลัง แล้วน�าข้อมูลที่ได้มาอภิปราย จึงจัดเปนสัตวมีกระดูกสันหลัง สวนกุงและ ร่วมกัน หอยเมื่อผาดูแลวไมพบกระดูกภายในลําตัว จึงจัดเปน สตั วไ มม ีกระดกู สันหลงั 2. แตล่ ะกลมุ่ รบั บตั รภาพสตั วจ์ ากครกู ลมุ่ ละ 1 ชดุ (ชดุ ละ 6-8 ใบ) แลว้ ชว่ ยกนั สงั เกต 12. ครูต้ังคําถามกระตุนความคิด โดยให ลกั ษณะโครงสรา้ งของสตั วใ์ นภาพ นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา สัตวมี กระดูกสันหลังกับสัตวไมมีกระดูกสันหลัง 3. จดั กลมุ่ สตั วใ์ นบตั รภาพโดยใชเ้ กณฑก์ าร มลี ักษณะแตกตางกันอยางไรบา ง มกี ระดกู สนั หลงั และเกณฑท์ กี่ า� หนดเอง (แนวตอบ สัตวมีกระดูกสันหลังมีกระดูก แลว้ บนั ทกึ ผล แข็งเปนแกนกลางของลําตัว สวนสัตวไมมี กระดกู สนั หลงั เปน สตั วท ไ่ี มม กี ระดกู แขง็ เปน 4. จัดท�าแผนผังหรือแผนภาพการจัดกลุ่ม แกนกลางของลําตวั ) สัตว์ลงในกระดาษแข็ง แล้วตกแต่งให้ สวยงาม 13. ครูใหน กั เรียนจบั กลมุ เดมิ แลวใหท าํ กจิ กรรม ท่ี 4 ตอนที่ 2 โดยใหศึกษาข้ันตอนการ 5. ส่งตัวแทนน�าเสนอผลการจัดกลุ่มสัตว์ ทํากิจกรรม จากหนังสือเรียนหนานี้ อยาง และร่วมกนั อภิปรายผลภายในชนั้ เรียน ละเอียด หากมีขอ สงสัยใหสอบถามครู (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช หนตู อบได ภาพที่ 1.31 แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ) 1. ยกตัวอย่างสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังท่ีพบในท้องถิ่นของนักเรียน แนวตอบ หนตู อบได มาอย่างละ 3 ชนดิ ขอ 3. 2. ลกั ษณะสา� คญั ของสัตว์มกี ระดกู สันหลงั และสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลังคอื อะไร • แหลง ทอ่ี ยอู าศยั เพราะสตั วช นดิ ตา งๆ มแี หลง 3. การจดั กลมุ่ สตั ว์ นอกจากการใชก้ ระดกู สนั หลงั เปน็ เกณฑแ์ ลว้ นกั เรยี นคดิ วา่ สามารถเลอื ก ทอ่ี ยูอ าศัยแตกตางกัน เชน สัตวบ างชนิดอาศัยอยู ใชเ้ กณฑใ์ ดในการจดั กลมุ่ สตั วไ์ ดอ้ กี ระหวา่ งเกณฑแ์ หลง่ ทอี่ ยอู่ าศยั กบั เกณฑก์ ารกนิ อาหาร ในน้าํ สตั วบ างชนดิ อาศัยอยบู นบก เพราะอะไร • การกินอาหาร เพราะสัตวชนิดตางๆ กิน ค(หอื มกายารเหคตดิ ุแ: คบําบถใหามเ หขตอุผสลุดทแาลยะขกอางรหคนดิ ูตแอบบบไโดตแ เปยงนคซาํงึ่ ถผาเู รมียทน่อี ออากจแเลบอืบกใหตผอบเู รอยี ยนา ฝงกใดใชอทยักางษหะนกง่ึากรคไ็ ดดิ ขให้ันคสรงู ู 19 อาหารแตกตางกัน เชน บางชนิดกนิ พืช บางชนิด กินสตั ว บางชนดิ กินทัง้ พชื และสตั ว เราจงึ สามารถ พิจารณาจากเหตุผลสนบั สนุน) ใชเ ปน เกณฑในการจําแนกสัตวได ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู สัตวมกี ระดูกสันหลงั ในขอ ใด จดั อยูในประเภทปลาทงั้ หมด ในการทํากิจกรรมที่ 4 เรือ่ ง การจัดกลุมสตั ว ถาหากไมส ะดวกใหนกั เรียน ก. ปลาทู มา น้าํ ปลาฉลาม ทําทุกกลุม ใหครูทําเปนกิจกรรมสาธิต จากน้ันใหนักเรียนแตละกลุมสังเกต ข. ปลากะพง วาฬ ปลาไหล และบันทกึ ผล ค. ปลาการตูน โลมา ปลาผเี สื้อ ง. ปลากระเบน พะยูน ปลาแรด (วิเคราะหค าํ ตอบ วาฬ โลมา พะยนู เปนสัตวเลี้ยงลกู ดวยน้ํานม ดังน้ัน ขอ ก. จึงเปน คาํ ตอบทถ่ี ูกตอง) T25
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน 3.1 สัตว์มกี ระดูกสันหลัง และสตั ว์ไมม่ ีกระดูกสันหลัง อธบิ ายความรู สตั ว์ เป็นสงิ่ มชี ีวิตทสี่ ามารถเคล่ือนท่ีเองได้ แตส่ ร้างอาหารเองไม่ได้ สัตว์ บนโลกมีอยู่หลายชนิด ซงึ่ สัตว์แต่ละชนิดมโี ครงสรา้ งและสว่ นต่างๆ แตกต่างกนั ครสู มุ เรยี กนกั เรยี น 2-3 กลมุ ใหอ อกมานาํ เสนอ นักวิทยาศาสตร์จึงจัดกลุ่มสัตว์ โดยใช้ลักษณะการมีกระดูกสันหลังของสัตว์ ผลการทํากิจกรรมหนาช้ันเรียน จากน้ันรวมกัน เป็นเกณฑ์ ดงั นี้ อภิปรายและสรุปผลการทํากิจกรรมภายใน ชน้ั เรียน สัตวม์ กี ระดกู สนั หลงั สัตว์ไม่มกี ระดกู สันหลงั (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช จ�าแนกออกเปน็ 5 ประเภท จ�าแนกออกเปน็ 8 ประเภท แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุม ) 1. กลมุ่ ปลา 1. ฟองนา�้ ขนั้ สรปุ 2. กลมุ่ สตั ว์ 2. สัตว์ทีม่ ลี �าตัวกลวง ขยายความเขา ใจ สะเทนิ น้า� สะเทินบก หรอื ลา� ตัวมโี พรง 1. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมหนูตอบไดจาก 3. กลมุ่ สัตว์เลอื้ ยคลาน 3. หนอนตัวแบน หนังสือเรียน หนา 19 ลงในสมุดหรือทําใน แบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 19 4. กลมุ่ นก 4. หนอนตัวกลม 2. นักเรียนรวมกันอภิปรายวา นอกจากการใช 5. กลุ่มสตั ว์ 5. สัตว์ทม่ี ลี า� ตัวเปน็ ปล้อง เกณฑการมีกระดูกสันหลังแลว นักเรียน เลยี้ งลูกดว้ ยน�า้ นม 6. สตั ว์ทะเลผิวขรขุ ระ สามารถจัดกลุมสัตวโดยใชเกณฑอ่ืนอีกได หรือไม อยางไร จากน้ันครูใหน ักเรยี นรว มกัน 7. หอยและหมกึ ทะเล แสดงความคิดเหน็ อยา งอิสระ (แนวตอบ ขน้ึ อยูกบั ดุลยพนิ ิจของครผู ูสอน) 3กจิ กรรม พัฒนาการเรยี นรู้ท่ี 8. สตั วท์ ม่ี ขี าเป็นขอ้ 3. นักเรียนทุกคนศกึ ษาขอมลู ในหัวขอ 3.1 สตั ว ดูภาพ แล้วบอกชื่อสัตว์ จากนั้นจ�าแนกว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังประเภทใด มีกระดูกสันหลังและสัตวไมมีกระดูกสันหลัง พรอ้ มใหเ้ หตุผลประกอบ จากหนังสือเรียนหนา นี้ 123 4 4. แตล ะคนทาํ กจิ กรรมพฒั นาการเรยี นรทู ี่ 3 จาก หนังสือเรียนหนานี้ โดยทําลงในสมุดหรือใน ใบงานท่ี 1.4 เรอื่ ง จาํ แนกสตั วม กี ระดกู สนั หลงั ทค่ี รูแจกให (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล) 20 ภาพที่ 1.32 ภาพที่ 1.33 ภาพที่ 1.34 ภาพท่ี 1.35 เกร็ดแนะครู ใบงานท่ี 1.4 เรือ่ ง จําแนกสตั วม ีกระดกู สนั หลัง ครูสามารถหยิบใชไ ดจ าก แผนการจดั การเรียนรทู ่ี 4 เรอ่ื ง ความหลากหลายของสตั ว หนวยการเรียนรทู ี่ 1 ความหลากหลายของสิ่งมชี ีวิต ความรูบูรณาการอาเซียน แบงกลุม แลวใหแตละกลุมสืบคนขอมูลสัตวประจําชาติของประเทศ สมาชิกอาเซียนแตละประเทศ จากน้ันนําขอมูลสัตวประจําชาติมาจัดกลุมสัตว โดยใชความรูท่ีไดจากกิจกรรมที่ 4 และนําเสนอผลงานหนาช้ันเรียน จากน้ัน นกั เรยี นทุกกลมุ รว มกันสรุปความรูที่ถกู ตอง T26
นาํ สอน สรุป ประเมนิ 1หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ขน้ั สรปุ ความหลากหลายของส่ิงมชี ีวติ ขยายความเขา ใจ 1. สตั วม์ กี ระดูกสนั หลัง 5. ครูใหนักเรียนดูวีดิทัศนสารคดีเก่ียวกับสัตว สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั คอื สตั วท์ ม่ี กี ระดกู เรยี งตอ่ กนั เปน็ ขอ้ ๆ ทา� หนา้ ทเ่ี ปน็ มีกระดกู สันหลงั จากนนั้ ครูนาํ บัตรภาพ ปลา แกนกลางอยู่ภายในร่างกาย ทา� ใหร้ ่างกายคงรูปอยไู่ ด้ และชว่ ยหุม้ เส้นประสาท กบ จระเข นก และสนุ ขั มาใหน ักเรยี นดู และ ทีอ่ ยบู่ รเิ วณ1ส)นั กหลลมุ่ ังปแลบา1่งเไปดน็ ้ 5สตั ปวรน์ ะา้� เชภนทดิ ดหงันนงึ่ ้ี มที งั้ ทอี่ าศยั อยใู่ นนา้� จดื และนา�้ เคม็ รวมกันอภิปรายวา เราควรแบงสัตวมีกระดูก ปลาหายใจดว้ ยเหงอื ก ภายในชอ่ งทอ้ งมถี งุ ลมชว่ ยในการพยงุ ตวั สว่ นมากออกลกู สันหลังเปนกี่ประเภท โดยสังเกตไดจากอะไร เป็นไข่ มีบางชนดิ ออกลูกเป็นตวั เช่น ปลาฉลาม ปลาหางนกยูง เปน็ ตน้ แลวใหนักเรียนชวยกันคิดและอธิบายคําตอบ รว มกนั ลักษณะส�าคญั มรี ปู รา่ งเรยี วยาว ลา� ตวั คอ่ นขา้ งแบน เพอื่ ใหม้ ลี กั ษณะทเี่ หมาะสม (แนวตอบ ขึน้ อยูก บั ดลุ ยพนิ จิ ของครผู สู อน เชน กับการเคล่ือนท่ีในน�้า อุณหภูมิภายในร่างกายของปลาสามารถ เราจดั ประเภทของสตั วม กี ระดกู สนั หลงั โดยดู การเคลอื่ นที่ ปรับเปล่ียนไปตามอุณหภูมิของน้�าที่อาศัยอยู่ได้ ปลาจึงจัดเป็น จากลกั ษณะสาํ คญั ในการเคลอื่ นที่ การหายใจ การหายใจ สัตวเ์ ลือดเยน็ และการสืบพันธ)ุ ปลาใช้ครบี ในการว่ายนา�้ และทรงตัว ครีบของปลามี 5 ชนิด ไดแ้ ก่ ครีบอก ครบี ทอ้ ง ครีบหลัง ครีบก้น และครบี หาง 6. นักเรียนแบงกลุมออกเปน 5 กลุม จากนั้น ปลาหายใจโดยใชเ้ หงอื ก ซง่ึ ทา� หนา้ ท่ใี นการแลกเปลย่ี นแกส สมาชิกกลุมชวยกันศึกษาขอมูลเพิ่มเติม เก่ียวกับประเภทของสัตวมีกระดูกสันหลัง ภาพที่ 1.36 ปลาตะเพียนหางแดง ครีบหลงั จากหนังสือเรียน หนา 21-26 หรือแหลง การเรียนรูอ่ืนๆ เชน หองสมุด อินเทอรเน็ต ครีบอก เปนตน ตามหวั ขอ ดังนี้ • กลมุ ที่ 1 ศึกษากลมุ ปลา • กลุม ที่ 2 ศกึ ษากลมุ สตั วส ะเทนิ นา้ํ สะเทนิ บก • กลุมที่ 3 ศึกษากลมุ สัตวเลอื้ ยคลาน • กลมุ ท่ี 4 ศกึ ษากลมุ นก • กลมุ ที่ 5 ศกึ ษากลมุ สตั วเล้ียงลกู ดวยน้ํานม ครีบหาง ครบี กน ครบี ทอ ง เหงอื กของปลาทา� หนา้ ทค่ี ลา้ ยกบั ถงุ ลม ในปอดของคนเรา 21 ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู ครบี ของปลาเปรียบไดกบั อวัยวะใดของคน 1 กลุมปลา โดยท่ัวไปมีเหงือกเปนอวัยวะที่ใชในการหายใจ แตมีปลาชนิด ก. หู หน่ึงช่ือ ปลาปอด (lung fififish) ซ่ึงเปนปลาน้ําจืดที่มีมาตั้งแตสมัยดึกดําบรรพ ข. มือ มีปอดเหมอื นสัตวบ ก มันสามารถอยใู นสภาพแหงแลงท่ไี มมีนํา้ ไดนานถึง 4 ป ค. ลําตัว ง. ขาและเทา มาน้ํา จัดเปนสัตวกลุมปลา อาศัยอยูในทะเล ถึงแมจะมีรูปรางลักษณะ (วเิ คราะหค าํ ตอบ ปลาใชค รบี ในการวา ยนาํ้ และการทรงตวั เพอื่ ให ไมเหมอื นปลาทั่วไป แตม ีลักษณะอ่นื ๆ เชน เดยี วกบั ปลา คือ เปนสัตวเ ลือดเย็น มกี ระดกู สนั หลัง และหายใจทางเหงือก เคล่ือนทไี่ ปได ซง่ึ ทําหนา ท่คี ลา ยกับขาและเทา ของคนท่ีใชสําหรบั การเดิน ดังน้ัน ขอ ง. จึงเปน คาํ ตอบทถ่ี ูกตอง) T27
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สรปุ 2) กลุ่มสัตว์สะเทินน้�าสะเทินบก1 มีหลายชนิด เช่น อึ่งอ่าง ปาด จงโคร่ง เขยี ด ซาลามานเดอร์ กบ เปน็ ตน้ สัตวก์ ลมุ่ นีอ้ อกไข่ในนา้� เม่ือตวั อ่อน ขยายความเขา ใจ ฟกั ออกจากไขแ่ ลว้ จะอาศยั อยใู่ นนา้� ชว่ั ระยะเวลาหนงึ่ เมอื่ เจรญิ เตบิ โตเปน็ ตวั โต เต็มวยั จะขน้ึ มาอาศยั อยู่บนบก และมกั อาศัยอยู่บริเวณทช่ี น้ื แฉะใกล้แหล่งนา�้ 7. ตัวแทนของกลุมที่ 1 ออกมานําเสนอขอมูล สัตวมีกระดูกสันหลังกลุมปลาจากการท่ีไดไป ลักษณะสา� คญั เปน็ สัตวเ์ ลือดเย็น มขี า 2 คู่ ไมม่ ีขน ไมม่ คี อ ผวิ หนงั บางและไมม่ ี ศึกษาขอ มลู มาแลว จากน้นั ใหเ พือ่ นกลุมอืน่ ๆ เกลด็ ตาโปนและกลม มีหูแต่ไมม่ ีรูหู มีรจู มูกอย่ดู ้านบนของปาก ซกั ถามขอ สงสยั การเคลอื่ นที่ มีฟันซ่ีเล็ก ๆ ปากกว้าง มีล้ิน 2 แฉก และมียางเหนียวเพื่อใช้ การหายใจ จับแมลง 8. ครสู อบถามนกั เรยี นทกุ คนเพอ่ื กระตนุ ความคดิ สัตว์บางชนิดขณะเป็นตัวอ่อนเรียกว่า ลูกออด จะอาศัยอยู่ในน้�า วา หากปลาขน้ึ จากนา้ํ เปน เวลานานๆ ปลาจะ เคลอ่ื นทโี่ ดยใชห้ างโบกไปมา เมอ่ื ตวั โตเตม็ วยั จะเคลอ่ื นทโี่ ดยใชข้ า ตายเพราะอะไร ตวั อ่อนหายใจโดยใชเ้ หงอื ก ตัวเตม็ วยั หายใจดว้ ยปอดและผวิ หนัง (แนวตอบ เพราะปลาใชเ หงอื กในการหายใจ เมอ่ื จบั ปลามาอยบู นบก เหงอื กของปลาไมส ามารถ แลกเปลยี่ นแกส ได ปลาจงึ หายใจไมไ ด จงึ สง ผล ทําใหป ลาตาย) 9. ตัวแทนของกลุมที่ 2 ออกมานําเสนอขอมูล สัตวมีกระดูกสันหลังกลุมสัตวสะเทินน้ํา สะเทินบกจากการท่ีไดไปศึกษาขอมูลมาแลว จากนนั้ ใหเ พอ่ื นกลุมอืน่ ๆ ซักถามขอสงสัย จงิ้ จกนา้� (นวิ ต)์ บางชนดิ อาศยั อยู่ในนา้� ซาลามานเดอร์ เป็นสัตว์สะเทินน้�า- เขยี ด มขี าหลงั ยาวกวา่ ขาหนา้ เพอ่ื ใช้ บางชนิดอยู่ไดท้ ัง้ ในน�า้ และบนบก สะเทนิ บกชนดิ หนง่ึ ซงึ่ เมอ่ื เจรญิ เปน็ ในการกระโดด ตวั เตม็ วยั ยงั คงมหี างยาว กลมุ่ สตั วส์ ะเทนิ นา้� สะเทนิ บก สว่ นใหญ่ มีขาหลังยาวกว่าขาหน้า เพื่อใช้ใน การกระโดด 22 ภาพที่ 1.37 ตัวอยา่ งสตั ว์สะเทนิ นา�้ สะเทนิ บก นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เพราะเหตใุ ด สตั วส ะเทนิ นา้ํ สะเทนิ บกจงึ มกั อาศยั อยใู นบรเิ วณ 1 กลุมสัตวสะเทินน้ําสะเทินบก (amphibian) หรือ สัตวครึ่งน้ําคร่ึงบก ท่ีชนื้ แฉะ บางชนิด เมื่อถึงฤดูแลงจะขุดรูเพ่ือจําศีล (ในชวงระหวางฤดูหนาวถึงฤดูรอน) เพื่อหนีความแหงแลงไมใหผิวหนังแหง ถาผิวหนังแหงสัตวสะเทินนํ้าสะเทินบก (แนวตอบ เพราะสัตวสะเทินนํ้าสะเทินบก เชน กบ คางคก จะตาย เพราะหายใจไมได เน่ืองจากแกสออกซิเจนจากอากาศตองละลายไป อ่ึงอาง หายใจดวยปอดและผิวหนัง ถาผิวหนังแหง จะมีผลตอ กับนา้ํ เมือกที่ผวิ หนัง แลวจงึ แพรเขา สกู ระแสเลอื ด การหายใจ ดังน้ัน สัตวประเภทนี้จึงตองอาศัยอยูในบริเวณที่ ช้นื แฉะ) T28
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ขนั้ สรปุ ความหลากหลายของส่ิงมีชวี ติ ขยายความเขา ใจ 3) กล่มุ สัตว์เลื้อยคลาน มหี ลายชนิด สว่ นใหญอ่ าศัยอยู่บนบก เชน่ 10. ตัวแทนกลุมท่ี 3 ออกมานําเสนอขอมูล จง้ิ จก ตุกแก กง้ิ ก่า จระเข้ ตะกวด เต่าบก งู เป็นต้น แต่มีบางชนิดอาศยั อยใู่ นน�า้ สัตวมีกระดูกสันหลังกลุมสัตวเลื้อยคลาน เชน่ เตา่ ทะเล งูทะเล เปน็ ตน้ จากการที่ไดไปศึกษาขอมูลมาแลว จากนั้น ใหเ พื่อนกลุม อน่ื ๆ ซักถามขอสงสยั ลกั ษณะส�าคัญ เปน็ สตั วเ์ ลอื ดเยน็ ผวิ หนงั หนา มเี กลด็ แขง็ แหง้ ปกคลมุ ลา� ตวั หรอื การเคล่อื นท่ี มีกระดองแข็งหุ้มลา� ตวั 11. ครูอธิบายความรูเสริมเพิ่มเติมใหนักเรียน การหายใจ ขนึ้ อยกู่ ับลักษณะของสัตว์ เชน่ งไู มม่ ีขาจึงเคล่อื นทโ่ี ดยการเล้ือย เขา ใจวา ก้งิ กาสว นใหญอาศัยอยบู นบก แตม ี เต่า กิ้งก่า จระเข้ จิง้ จก มี 4 ขา จงึ เคล่อื นทโ่ี ดยใช้ขา เป็นตน้ สัตวจําพวกก้ิงกาที่สามารถดําลงไปในทะเล หายใจโดยใชป้ อด เพ่อื หาอาหารได นั่นคือ อกิ วั นาทะเล โดยมี แหลงท่ีอยูในหมูเกาะกาลาปากอส ซึ่งต้ังอยู ในมหาสมุทรแปซฟิ ก หมูเกาะกาลาปากอสนี้ เปน สว นหนงึ่ ของประเทศเอกวาดอร งู เปน็ สัตว์ท่ีไมม่ ีขา งบู างชนดิ มพี ษิ ก้ิงก่า เปน็ สตั วเ์ ลือดเย็น จึงตอ้ ง งูบางชนดิ ไมม่ พี ษิ อาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์ ชว่ ยปรบั อุณหภมู ภิ ายในร่างกาย เต่าทะเล อาศัยอยู่ในทะเล และจะข้นึ มาวางไขบ่ นหาดทราย จระเข้ เป็นสัตวท์ อี่ าศัยอยู่บริเวณปา รมิ นา�้ หรอื พน้ื ทชี่ มุ่ นา้� จระเขบ้ างชนดิ อาศยั อยู่ในแหล่งนา�้ น่งิ หรือบึง ภาพท่ี 1.38 ตวั อย่างสัตว์เล้ือยคลาน 23 ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET สัตวชนิดใดเปนสัตวเลือดเย็น ผิวหนังหนา มีเกล็ดแข็งแหง ปกคลมุ ลําตัว และหายใจโดยใชปอด ก. จิ้งเหลน ข. ปลา ค. กบ ง. นก (วเิ คราะหค าํ ตอบ จากคาํ ถามกลา วถงึ ลกั ษณะของสตั วเ ลอ้ื ยคลาน ซึ่งในทนี่ ้ี คือ จงิ้ เหลน ดังนนั้ ขอ ก. จงึ เปน คําตอบที่ถูกตอ ง) T29
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สรปุ 4) กลมุ่ นก เปน็ สตั วท์ เี่ ปลย่ี นขาคหู่ นา้ เปน็ ปกี มอี ยหู่ ลายชนดิ ทงั้ ชนดิ ที่ บนิ ไดแ้ ละทบ่ี นิ ไมไ่ ด้ สว่ นใหญอ่ าศยั อยบู่ นบก เชน่ นก เปด็ ไก่ หา่ น หงส์ เปน็ ตน้ ขยายความเขา ใจ ลกั ษณะสา� คญั เปน็ สัตว์เลือดอุน่ มขี า 2 ขา มีเกล็ดทข่ี าและน้ิวเทา้ และมีปีก 1 คู่ 12. ตัวแทนกลุมท่ี 4 ออกมานําเสนอขอมูล รปู รา่ งเพรยี ว รา่ งกายปกคลมุ ดว้ ยขนเปน็ แผงและเปน็ ปยุ ปากเปน็ สัตวมีกระดูกสันหลังกลุมนกจากการท่ีได การเคล่ือนท่ี จะงอยแหลม ไมม่ ฟี ัน กระดูกทวั่ ร่างกายเปน็ โพรง กลวง และเบา ไปศึกษาขอมูลมาแลว จากนั้นใหเพ่ือนกลุม การหายใจ มีถุงลมตดิ กบั ปอดเพ่ือช่วยใหต้ วั เบาขณะกา� ลังบนิ อนื่ ๆ ซกั ถามขอ สงสยั เคลอื่ นทโ่ี ดยการเดิน กระโดด ว่งิ หรอื บิน และบางชนิดสามารถ วา่ ยน้�าได้ เช่น เปด็ ห่าน หงส์ นกเปด็ น�า้ นกเพนกวนิ เปน็ ต้น 13. ครูตั้งคําถามเพ่ือกระตุนความคิดนักเรียน หายใจโดยใชป้ อด1 ดงั น้ี • นกชนดิ ใดมีขนาดใหญท ่สี ุดในโลก นกฮัมมิงเบิร์ด เป็นนกท่ีมี นกกระจอกเทศ เปน็ นกชนดิ (แนวตอบ นกกระจอกเทศ) ขนาดเลก็ ที่สุดในโลก หนง่ึ ทบ่ี นิ ไมไ่ ด้ และมขี นาด • นกชนิดใดทบ่ี นิ ไมไ ด ใหญ่ทสี่ ุดในโลก (แนวตอบ นกกระจอกเทศ นกกวี ี) • นกแตละชนิดมีลักษณะปากแตกตางกัน เปน เพราะเหตใุ ด (แนวตอบ เพราะลกั ษณะอาหารและการกนิ อาหารของนกแตล ะชนดิ แตกตางกัน) นกกระทุง มีปากใหญ่ไว้ นกฮูก เป็นสัตว์ปีกที่ออก ช้อนปลาไดจ้ �านวนมาก หากินในเวลากลางคนื นกเพนกวิน เป็นนกที่บินไม่ได้ ปกี ของมนั ใชป้ ระโยชน์ในการว่ายน้า� 24 ภาพที่ 1.39 ตวั อยา่ งสัตวก์ ลุ่มนก เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET เมอื่ อณุ หภมู ขิ องสงิ่ แวดลอ มภายนอกสงู ขน้ึ อณุ หภมู ใิ นรา งกาย ครูยกตัวอยา งการปรบั ตวั ของสัตวเลือดอุนใหนักเรยี นฟง เชน ของนกจะเปน อยา งไร • เมื่ออากาศรอน รางกายของสัตวเลือดอุนจะลดการเผาผลาญอาหาร (เมแทบอลิซึม) ทําใหมีความรอนเกิดข้ึนในรางกายนอยลงและมีการหล่ังเหง่ือ (แนวตอบ นกเปนสัตวเลือดอุน เม่ืออุณหภูมิของสิ่งแวดลอม เพ่อื ใหก ารระเหยของเหงอื่ นาํ ความรอ นออกจากผิวหนัง ภายนอกสูงข้ึน นกก็จะมีกลไกท่ีรักษาอุณหภูมิรางกายใหอยูใน •ºª เม่ืออากาศเย็น รางกายของสัตวเลือดอุนจะเพ่ิมการเผาผลาญอาหาร ระดับคงที่ได โดยลดการเผาผลาญอาหาร เพื่อใหเกิดความรอน ทําใหร างกายมีความรอนเพม่ิ ข้นึ สวนสัตวเ ลือดเย็นไมม กี ลไกเพิม่ อัตราการเผา ในรางกายลดลง ซ่ึงเปนการปรับตัวรูปแบบหนึ่งเพื่อใหสามารถ ผลาญอาหาร เพอ่ื เพม่ิ อุณหภูมใิ นรา งกายไดเอง จึงตองปรบั ตวั โดยการผึ่งแดด อยูรอดได) ใหอุณหภมู ิสูงขึ้น นักเรียนควรรู 1 ปอด (lung) นกตอ งใชพ ลงั งานในการบนิ มาก ปอดของนกจงึ มถี งุ ลมพเิ ศษ ยน่ื ออกมาเปน คๆู หลายคู ทาํ หนา ทก่ี กั เกบ็ แกส ออกซเิ จนไวห ายใจในขณะทน่ี กบนิ T30
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ขนั้ สรปุ ความหลากหลายของสงิ่ มชี ีวติ ขยายความเขา ใจ 5) กลมุ่ สัตวเ์ ลี้ยงลูกดว้ ยน�า้ นม มววัหี ลคาวยาชยนดิลงิ สคตั า้วง์จค�าาพววกตน่นุ ้สี ป่วานกใเหปญ็ด1่ 14. ตัวแทนของกลุมท่ี 5 ออกมานําเสนอขอมูล อาศัยอยู่บนบก เชน่ สุนัข แมว ช้าง มา้ เก่ียวกับสัตวมีกระดูกสันหลังกลุมสัตว เปน็ ตน้ บางชนดิ มรี ปู รา่ งคลา้ ยปลาอาศยั อยใู่ นนา�้ เชน่ วาฬ พะยนู โลมา เปน็ ตน้ เล้ียงลูกดวยนํ้านม จากการท่ีไดไปศึกษา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านมส่วนใหญ่ออกลูกเป็นตัว ยกเว้นตัวกินมดหนามและ ขอมูลมาแลว จากนั้นใหเพ่ือนกลุมอ่ืนๆ ตุ่นปากเป็ดทอ่ี อกลกู เปน็ ไข่ ซกั ถามขอสงสัย ลักษณะส�าคญั เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีลักษณะพิเศษ คือ ตัวเมียจะมีต่อมน้�านมไว้ 15. ครูต้ังคําถามเพ่ือกระตุนความคิดนักเรียน ส�าหรับเลี้ยงลูกอ่อน มีขนเป็นเส้นปกคลุมตามร่างกาย มีรูหูและ ดังนี้ การเคลอ่ื นที่ ใบหู บางชนดิ มขี า บางชนิดไมม่ ีขา • เพราะเหตใุ ด นักวทิ ยาศาสตรจ ึงไมจัดให การหายใจ เคลอื่ นทโ่ี ดยการเดนิ วงิ่ กระโดด บางชนดิ วา่ ยนา้� ได้ บางชนดิ บนิ ได้ วาฬและโลมา เปนสัตวก ลุมปลา หายใจโดยใชป้ อด (แนวตอบ เพราะถึงแมวาวาฬและโลมา มีรูปรางลักษณะคลายปลา แตไมใชปลา เนื่องจากวาฬและโลมา หายใจดวยปอด และมีตอ มน้ํานมสําหรบั เล้ยี งลูก สว นปลา หายใจดวยเหงือกและไมม ตี อ มน้าํ นม) จิงโจ้ เป็นสัตว์ประจ�าเฉพาะ ถ่ินของออสเตรเลีย เป็นสัตว์ ท่ีมีขาคู่หลังขนาดใหญ่และ แขง็ แรง ใชใ้ นการกระโดดและ มหี างชว่ ยในการรกั ษาสมดลุ ลงิ เปน็ สตั วท์ มี่ รี ปู รา่ งคลา้ ย หมีโคอาลา2 ไม่ใช่สัตว์ใน คนและเคลอื่ นไหวไดว้ อ่ งไว ตระกูลหมีแต่จัดอยู่ในกลุ่ม สตั ว์จ�าพวกจิงโจ้ โลมา มรี ปู รา่ งคลา้ ยปลาแต่ ค้างคาว เป็นสัตวเ์ ลี้ยงลกู - ไม่ใชป่ ลา ดว้ ยน้า� นมที่บนิ ได้ ภาพท่ี 1.40 ตวั อย่างสตั ว์เลย้ี งลกู ดว้ ยน้�านม 25 ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู สัตวเลือดอุน เมื่ออยูกลางหิมะ เลือดจะมีอุณหภูมิเทากับ 1 ตุนปากเปด (platypus) เปนสัตวประจําถิ่นของประเทศออสเตรเลีย เมอื่ อยูก ลางทะเลทรายหรอื ไม เพราะเหตใุ ด โดยเปนสัตวเลี้ยงลูกดวยนํ้านมที่ออกลูกเปนไข ตุนปากเปดมีลําตัวแบน หวั ทา ยเรยี ว มปี ากแหลมคลา ยเปด มขี าสน้ั เทา คหู นา เปนพังผืดตดิ กนั ทุกนว้ิ (แนวตอบ มอี ุณหภูมเิ ทา กนั เพราะอุณหภมู ิภายในรา งกายของ 2 หมโี คอาลา (koala) เปน สตั วท พ่ี บในประเทศออสเตรเลยี ตวั เมยี มกี ระเปา สตั วเ ลอื ดอนุ จะคงที่ ไมเ ปลยี่ นแปลงตามสภาพแวดลอ มภายนอก) หนา ทอ งสําหรบั ใหล ูกออ นอาศยั อยู T31
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สรปุ เกรด็ วทิ ยน์ า่ รู้ ขยายความเขา ใจ สตั วเ์ ลอื ดเยน็ คอื สตั วท์ ม่ี อี ณุ หภมู ใิ นรา่ งกายเปลย่ี นไปตามอณุ หภมู ขิ องสงิ่ แวดลอ้ ม ที่อาศยั ไดแ้ ก่ กลุ่มปลา กลมุ่ สตั วส์ ะเทนิ นา้� สะเทนิ บก และกลมุ่ สตั ว์เลอื้ ยคลาน 16. นักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรมพัฒนาการ เรียนรูท่ี 4 จากหนังสือเรียนหนาน้ี โดยทํา สัตว์เลือดอุ่น คือ สัตว์ที่มีอุณหภูมิในร่างกายคงท่ี ไม่เปลี่ยนไปตามอุณหภูมิของ ลงในสมุดหรือทําในใบงานที่ 1.5 เร่ือง ส่ิงแวดลอ้ มท่ีอาศยั ไดแ้ ก่ กล่มุ นก และกลมุ่ สตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนา�้ นม วเิ คราะหล กั ษณะของสตั วม กี ระดกู สนั หลงั ท่ี ครูแจกให โดยรวมกันวิเคราะหลักษณะของ 4กิจกรรม พัฒนาการเรยี นรทู้ ี่ สัตวและจําแนกวาเปนสัตวมีกระดูกสันหลัง ประเภทใด และยกตวั อยา งชอื่ สัตวป ระเภทนี้ แบง่ กลมุ่ จากน้ันให้แตล่ ะกลมุ่ ร่วมกันวเิ คราะห์ลักษณะของสตั ว์ แลว้ จ�าแนกวา่ (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช เปน็ สตั ว์มกี ระดูกสนั หลงั ประเภทใด และยกตวั อยา่ งชอ่ื สตั วป์ ระเภทนี้ แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ) ตารางท่ี 1.1 ลกั ษณะของสัตว์มีกระดูกสนั หลัง 17. ครสู ุมเรยี กตวั แทนนกั เรยี น 5 คน จากกลมุ ลา� ดบั ลกั ษณะส�าคัญ การหายใจ การสบื พันธ์ุ ตางๆ ออกมานําเสนอผลการทํากิจกรรม หนา ชน้ั เรยี นคนละ 1 ขอ โดยครเู ฉลยคาํ ตอบ 1. • เปน็ สตั วเ์ ลอื ดเยน็ ไมม่ ขี า ไมม่ ขี น ใชป้ อด • ออกลูกเปน็ ไขท่ ี่มีเปลือกแข็งหมุ้ ท่ีถูกตอง พรอมอธิบายเพ่ือใหนักเรียนเกิด มเี กลด็ แข็งและแหง้ ความเขาใจ 2. • เเปป็็นนเสมัตือวกเ์ ลลอืนื่ 1ดๆเย็น มคี รีบผวิ หนงั ใช้เหงือก • มกี ารปฏิสนธภิ ายนอก • สว่ นใหญอ่ อกลูกเป็นไข่ 3. • เป็นสัตวเ์ ลอื ดอนุ่ ใชป้ อด • มีการปฏิสนธิภายใน • มตี ่อมนา้� นม ผิวหนงั มีขนปกคลุม • ออกลกู เปน็ ตัว ตามร่างกาย 4. • เป็นสตั วเ์ ลือดเย็น มีผวิ หนงั ใชป้ อดและ • มกี ารปฏิสนธิภายนอก เปียกชนื้ ตลอดเวลา มีขา 2 คู่ ผวิ หนงั • ออกลกู เปน็ ไขท่ ม่ี ีว้นุ หมุ้ 5. • เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีขนเป็นแผง ใชป้ อด • มกี ารปฏสิ นธิภายใน ปกคลมุ ลา� ตัว • ออกลกู เป็นไขท่ ่ีมีเปลอื กแข็งหุม้ • ขาคู่หน้าพฒั นาไปเป็นปีก มขี า 2 ขา จากการท�ากิจกรรม ท�าให้นักเรียนสามารถใช้ข้อมูลลักษณะภายในและ ลักษณะภายนอกของสัตว์เป็นเกณฑ์ในการจ�าแนกประเภทของสัตว์มีกระดูก สันหลังชนิดตา่ ง ๆ ได้ 26 เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทา ทาย ใบงานท่ี 1.5 เรือ่ ง วิเคราะหลักษณะของสัตวม กี ระดูกสนั หลัง ครสู ามารถ ใหนักเรียนจัดทําสมุดภาพสัตวมีกระดูกสันหลัง โดยรวบรวม หยิบใชไดจากแผนการจัดการเรียนรูท่ี 4 เรื่อง ความหลากหลายของสัตว ภาพสัตวตางๆ โดยเฉพาะสัตวแปลกๆ ที่ไมมีหรือพบเห็นไดยาก หนวยการเรยี นรูที่ 1 ความหลากหลายของส่งิ มีชวี ติ ในประเทศไทย เชน ตุนปากเปด นกกีวี มังกรโคโมโด บีเวอร สกังก พอสซัม สล็อต ลีเมอร เตากาลาปากอส อิกัวนาทะเล นักเรียนควรรู เปนตน แลวนํามาติดลงในสมุดภาพ โดยจําแนกประเภทตาม ทีเ่ รยี นมา แลวนาํ มาแลกเปล่ยี นกันดกู บั เพ่อื นในช้นั เรียน 1 เมอื กลนื่ สตั วบ างชนดิ จะขบั ของเหลวใสเปน เมอื กออกมาหลอ เลยี้ งผวิ หนงั ทําใหเปยกชื้นอยูเสมอ เพื่อใชในการแลกเปลี่ยนแกสสําหรับการหายใจ เชน กบ คางคก เขยี ด อง่ึ อา ง เปน ตน และสตั วบ างชนดิ สรา งเมอื กขน้ึ เพอ่ื ใหเ คลอ่ื นท่ี ไดส ะดวกย่งิ ข้นึ เชน ปลาชอ น ปลาดกุ ปลาหมอ ปลาไหล เปน ตน T32
นาํ สอน สรุป ประเมนิ 1หน่วยการเรียนรู้ท่ี ขน้ั สรปุ ความหลากหลายของสิ่งมชี ีวิต ขยายความเขา ใจ 2. สัตว์ไม่มีกระดกู สันหลงั 18. ครูใหนักเรียนดูวีดิทัศนสารคดีเกี่ยวกับสัตว สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั คอื สตั วท์ ไ่ี มม่ กี ระดกู แขง็ เปน็ โครงสรา้ งของรา่ งกาย ไมมีกระดูกสันหลัง จากนั้นครูนําบัตรภาพ ล�าตัวมีลักษณะอ่อนน่ิม ซ่ึงสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในโลกน้ีมีจ�านวนมากกว่า ฟองน้ํา แมงกะพรุน พยาธิใบไม ไสเดือน สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง นักวิทยาศาสตร์จึงจัดกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังตาม ดาวทะเล หอยแครง ผีเส้ือ มาใหน กั เรียนดู ลักษณะย่อยได้ 8 ประเภท ดังน้ี และรวมกนั อภิปรายวา เราสามารถแบง สัตว ไมมีกระดูกสันหลังไดเปนกี่ประเภท โดย ตารางท่ี 1.2 ลกั ษณะของสตั ว์ไม่มีกระดูกสนั หลงั สงั เกตไดจ ากอะไร สตั วจ์ า� พวก ตัวอยา่ งสตั ว์ ลักษณะส�าคญั (แนวตอบ ข้ึนอยกู บั ดุลยพินิจของครผู ูส อน) 1. ฟองน้า� เชน่ ฟองน้า� แกว้ ฟองนา�้ หินปูน • มลี กั ษณะคล้ายพืช เกาะตดิ อย่กู ับท่ี 19. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละเทาๆ กัน 2. สตั ว์ทม่ี ลี �าตัว • ลา� ตัวเปน็ โพรง มีชอ่ งเปดด้านบน มรี ูพรุน จากน้ันใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษา ใหน้ า้� ออก มหี นามเปน็ โครงสรา้ งคา้� จนุ รา่ งกาย ความรูเพ่ิมเติมเก่ียวกับประเภทของสัตว กลวง หรือ • สบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ และแบบไมอ่ าศยั เพศ ไมมีกระดูกสันหลัง จากหนังสือเรียน หนา ล�าตัวมีโพรง (แตกหน่อ) 27-29 3. หนอนตวั แบน ภาพท่ี 1.41 ฟองน�า้ • ไมม่ รี ะบบประสาท สว่ นใหญอ่ าศยั อยใู่ นนา�้ เคม็ เช่น แมงกะพรุน ปะการงั 1ไฮดรา • ลา� ตวั ใสคล้ายวนุ้ มีรปู ร่างคลา้ ยทรงกระบอก • ตรงกลางล�าตัวเป็นโพรง มีช่องเปดออกจาก ล�าตัวเพียงช่องเดียว เป็นทางน�าอาหารเข้า และกา� จัดเศษอาหารออกจากล�าตัว • มเี ขม็ พษิ ไว้ปอ งกันตัวและใช้จบั เหยือ่ • สบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ และแบบไมอ่ าศยั เพศ ภาพท่ี 1.42 แมงกะพรนุ (แตกหนอ่ ) • สว่ นใหญ่อาศัยอย่ใู นน�า้ เค็ม ยกเวน้ ไฮดรา และแมงกะพรุนน้�าจดื ที่อาศัยอยใู่ นนา้� จืด เช่น พยาธิใบไม้ พยาธิตัวตืด2 • มลี า� ตวั นม่ิ แบนยาว ไมม่ ขี า • มีปาก แต่ไมม่ ีทวารหนกั • ไมม่ ีระบบหมุนเวยี นเลอื ด • ส่วนใหญ่ด�ารงชีวิตเป็นปรสิต โดยดูดเลือด จากร่างกายของคนและสัตว์ • สบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ และแบบไมอ่ าศยั เพศ ภาพท่ี 1.43 พยาธิใบไม้ • มี 2 เพศในตวั เดียวกัน • อาศัยอย่ทู ้งั ในนา�้ เคม็ และนา�้ จืด 27 ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET นักเรียนควรรู ขอใดคือลักษณะของแมงกะพรุน 1 ปะการัง (coral) แตละตัวมีรูปรางเปนทรงกระบอก รางกายมีปากอยู ก. ลาํ ตัวใสคลายวุน ตรงกลางดานบนและมีหนวดจํานวนมากเรียงรายรอบปาก มีสารจําพวก ข. มรี ูพรุนรอบลาํ ตัว หินปนู เปน โครงคํา้ จุน ค. ลําตัวนิม่ แบนยาว ง. ลาํ ตัวกลมยาว มีขอปลอง ปะการังอาศัยอยูร วมกันเปน กลุมใหญ และมีเน้ือเยอ่ื ติดตอ ถึงกนั ปะการัง (วิเคราะหคําตอบ แมงกะพรุน เปนสัตวไมมีกระดูกสันหลัง ท่ีตายลงจะเหลือโครงเปน ชองๆ ทีเ่ คยมตี วั อาศยั อยู 2 พยาธิตัวตืด (tape worm) สามารถสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศได โดย ลักษณะลําตัวใสคลายวุน จึงถูกเรียกวา jellyfifish ลําตัวมีโพรง แตละปลองของพยาธิตัวตืดสามารถหลุดและเจริญเติบโตเปนพยาธิตัวตืด ทําหนาท่ีเปนทางเดินอาหาร และมีเข็มพิษที่บริเวณหนวดอยู ตัวใหมได ดา นลา ง ใชส ําหรับปองกันตวั และจบั เหยือ่ ดังนนั้ ขอ ก. จงึ เปน คาํ ตอบที่ถูกตอง) การกนิ อาหารท่ปี ระกอบจากเนือ้ ววั ควาย หรือเน้ือหมดู ิบ หรอื ดิบๆ สุกๆ อาจทาํ ใหเ ปน โรคพยาธติ วั ตดื ได เพราะไขพ ยาธจิ ะไปเจรญิ อยตู ามอวยั วะตา งๆ เชน สมอง ตา หัวใจ ทําใหเ กิดอาการรุนแรงอาจถงึ เสยี ชวี ติ ได ดังนัน้ จึงตอ ง กินอาหารที่ปรงุ สกุ ถา เปนผกั สดตองลา งใหส ะอาดกอนนํามากิน T33
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สรปุ สัตว์จา� พวก ตวั อยา่ งสตั ว์ ลักษณะส�าคัญ ขยายความเขา ใจ 4. หนอนตัวกลม เช่น พยาธติ ัวจี๊ด พยาธไิ สเ้ ดือน • ลา� ตวั น่มิ กลมยาว ไม่มีขา • ผิวเรยี บ ไม่เปน็ ปลอ้ ง 20. แตละกลุมไปสํารวจรอบบริเวณโรงเรียนเพื่อ 5. สัตวท์ ่ีมลี า� ตัว • มีปากและทวารหนกั คนหาสัตวไมมีกระดูกสันหลัง แลวบันทึก เปน็ ปลอ้ ง • ไดมา� ม่รงรี ชะีวบิตบเหปม็นุนปเรวสยี ิตน1ใลนือรดา่ งกายคนและสัตว์ ลงในสมุด ภาพท่ี 1.44 พยาธิไส้เดือน • สืบพนั ธ์ุแบบอาศยั เพศ• 6. สัตวท์ ะเลผวิ 21. นักเรียนแตละกลุมบอกผลของการสํารวจ ขรุขระ • เพศผ้แู ละเพศเมียแยกคนละตัว สัตวไมมีกระดูกสันหลังในบริเวณโรงเรียน โดยครูจดไวบนกระดาน 7. หอยและ เทชา่นกดไดูสเ้เลดอือื ดน2ดนิ ปลิงน้า� จืด • ลา� ตวั กลมยาว เปน็ ปลอ้ งคลา้ ยวงแหวนตอ่ กนั หมกึ ทะเล • ผวิ หนงั เปียกชน้ื 22. นักเรียนนําขอมูลท่ีครูจดไวบนกระดานมา • มีระบบประสาทและระบบทางเดนิ อาหาร จําแนกประเภทตามขอมูลในหนังสือเรียน 28 • มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบปด หนา 27-29 จากนน้ั ใหน กั เรยี นรว มกนั บอกวา • สบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ และแบบไมอ่ าศยั เพศ จากการสํารวจบริเวณโรงเรียนพบสัตว • มี 2 เพศในตวั เดียวกัน ไมม ีกระดกู สันหลังประเภทใดมากทีส่ ดุ ภาพที่ 1.45 ไส้เดอื นดิน เชน่ ดาวทะเล ปลงิ ทะเล • ตามผวิ ของล�าตัวหยาบ ขรุขระ และแข็ง เมน่ ทะเล เพราะมสี ารพวกหนิ ปูนเป็นองคป์ ระกอบ ภาพท่ี 1.46 ดาวทะเล • ไมม่ สี ่วนหัว บางชนดิ ลา� ตวั แยกเปน็ แฉก เช่น ดาวทะเล • ใต้ล�าตัวมีเท้าเปน็ หลอดเล็ก ๆ จา� นวนมาก (เท้าทอ่ ) ใช้สา� หรบั การเคล่ือนที่ • สบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ และแบบไมอ่ าศยั เพศ • สว่ นใหญ่เพศผแู้ ละเพศเมียแยกคนละตัว หอย เชน่ หอยแครง หอยทาก • มลี �าตัวน่มิ หอยแมลงภู่ หอยโขง่ หอยขม • ส่วนใหญ่มีเปลือกแขง็ ซึ่งเป็นสารจา� พวก หอยสงั ข์ หนิ ปูนหมุ้ ภายนอก • มรี ะบบหมนุ เวยี นเลอื ด โดยมหี วั ใจสบู ฉดี เลอื ด • เคลอื่ นทโ่ี ดยใชก้ ลา้ มเนอ้ื ทย่ี น่ื ออกจากเปลอื ก • อาศยั อยู่ทั้งบนบก ในนา�้ จืด และน้�าเค็ม • สืบพนั ธ์ุแบบอาศยั เพศ บางชนิดอาศัยบนบก ภาพที่ 1.47 หอยทาก และวางไขบ่ นบก เช่น หอยทาก นักเรียนควรรู ขอสอบเนน การคิดแนว O-NET สัตวชนิดใดที่มีผิวตามลําตัวหยาบ ขรุขระ มีสารพวกหินปูน 1 ปรสิต (parasite) หมายถึง ส่ิงมีชีวิตที่อาศัยในสวนใดสวนหน่ึงของสัตว เปนองคป ระกอบ หรอื พชื และดดู กนิ เนอ้ื เยอ่ื หรอื อาหารทย่ี อ ยแลว ของผถู กู อาศยั ทาํ ใหผ ถู กู อาศยั เปนโรคหรือมีอาการผิดปกติ ตัวอยางปรสิต เชน พยาธิ กาฝาก แบคทีเรีย ก. หนอนตัวกลม บางชนิด เปนตน ข. ทากดูดเลือด 2 ทากดดู เลอื ด เปน สตั วท ม่ี ลี กั ษณะคลา ยปลงิ ลาํ ตวั เปน ปลอ งมเี มอื กเหนยี ว ค. ดาวทะเล หมุ ไวไ มใ หต วั แหง รปู รา งเรยี วยาว ลาํ ตวั ดา นลา งจะโคง นนู เลก็ นอ ย สว นทอ งจะ ง. หอยโขง เรียบอาศัยอยูตามพื้นที่ชนื้ แฉะ สามารถพบไดทั่วไปตามปาดบิ ช้นื (วิเคราะหค ําตอบ ดาวทะเล เปน สตั วทะเลทีไ่ มมีกระดูดสันหลัง มีลําตัวแยกเปนหาแฉกคลายรูปดาว แตละแฉกเรียกวา แขน ทากดดู เลือด มีสัมผัสทไ่ี วตอกลน่ิ และอณุ หภูมิ เมื่อเหยือ่ เขา ใกล มนั จะใช มีหนามแหลมปกคลุมลําตัว ทําใหมีผิวหยาบ ขรุขระ และแข็ง อวัยวะทเี่ รยี กวา แวน ดูด (sucker) ในการเกาะติดกบั ตวั เหยือ่ ซึ่งอวัยวะนี้มีท้ัง เพราะมีหินปูนเปนองคประกอบ ดังน้ัน ขอ ค. จึงเปนคําตอบ ดา นหนา และดานทา ย โดยแวน ดา นหนาใชใ นการดูดเลอื ด และแวนดานทา ยใช ที่ถกู ตอง) ในการยดึ เกาะ T34
นาํ สอน สรุป ประเมนิ 1หน่วยการเรียนรู้ที่ ขนั้ สรปุ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ขยายความเขา ใจ สตั วจ์ า� พวก ตัวอย่างสัตว์ ลักษณะส�าคญั 23. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมพัฒนาการ เรียนรทู ่ี 5 จากหนังสอื เรียน หนา 30 โดยทาํ 7. หอยและ หมึกทะเล เช่น หมึกกระดอง • มลี �าตัวน่ิม แต่มีโครงแข็งอย่ภู ายในล�าตัว ลงในสมุดหรือทําลงในใบงานท่ี 1.6 เรื่อง หมึกทะเล (ตอ่ ) หมึกกล้วย หมึกยักษ์ • มีระบบหมุนเวียนเลอื ด จําแนกสัตวมีกระดูกสันหลังและสัตวไมมี • เคลอ่ื นทโี่ ดยใชห้ นวด และการพน่ นา�้ ออกจาก กระดูกสนั หลัง ทคี่ รูแจกให โดยใหแ ตล ะคน ล�าตวั ดูภาพและจําแนกวา สัตวชนิดใดเปนสัตวมี • หายใจด้วยปอดและผวิ หนัง กระดูกสันหลังหรือสัตวไมมีกระดูกสันหลัง • สบื พันธแ์ุ บบอาศัยเพศ ออกลกู เป็นไข่ พรอ มกบั บอกเหตผุ ลประกอบ ภาพท่ี 1.48 หมกึ กระดอง • ส่วนใหญ่อาศยั อยู่ในน�า้ เค็ม เชน่ หมึกกล้วย (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบคุ คล) 8. สตั วท์ มี่ ีขา มมดี 62ผขีเสา้อื ไดแแ้ มกล่ งแวมนั ลง1เชน่ ยงุ • มีขาเปน็ ขอ้ ๆ ตอ่ กนั เปน็ ขอ้ • สตั ว์จ�าพวกแมลงมลี �าตวั แบ่งเป็น 3 ส่วน 24. ครสู มุ เรยี กตวั แทนนกั เรียนประมาณ 5-6 คน ภาพท่ี 1.49 มด ออกมานาํ เสนอผลการทาํ กจิ กรรมพฒั นาการ มี 8 ขา ไดแ้ ก่ แมง เชน่ ได้แก่ ส่วนหัว สว่ นอก และสว่ นทอ้ ง เรยี นรทู ่ี 5 ท่หี นา ช้นั เรียน โดยใหค รูอธิบาย แมงมุม แมงปอง เห็บ เสรมิ เพม่ิ เตมิ เพอ่ื ใหน กั เรยี นเกดิ ความเขา ใจ • สตั ว์บางชนิดมีลา� ตวั แบง่ เปน็ 2 ส่วน ได้แก่ มากย่ิงขนึ้ สว่ นหัวรวมกับส่วนอก และสว่ นทอ้ ง • มีเปลือกแข็งหมุ้ ลา� ตัว • มรี ะบบหมนุ เวียนเลือด ระบบประสาท และระบบทางเดนิ อาหารทส่ี มบูรณ์ • ในการเจรญิ เตบิ โต สว่ นใหญ่มีการลอกคราบ • สืบพันธุ์แบบอาศยั เพศ ออกลูกเปน็ ไข่ ภาพท่ี 1.50 แมงปอง • มี 10 ขา เชน่ ปู กงุ้ • มขี าจา� นวนมาก เช่น กง้ิ กอื ตะขาบ ภาพท่ี 1.51 กิง้ กอื 29 ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู ลกั ษณะที่เห็นไดช ดั เจนของกิง้ กือคอื ขอใด ใบงานท่ี 1.6 เรอื่ ง จาํ แนกสตั วม กี ระดกู สนั หลงั และสตั วไ มม กี ระดกู สนั หลงั ก. ลาํ ตวั แบนยาว ครูสามารถหยิบใชไดจากแผนการจัดการเรียนรูที่ 4 เร่ือง ความหลากหลาย ข. ลําตัวเปน โพรง ของสัตว หนวยการเรียนรูท่ี 1 ความหลากหลายของสิง่ มชี ีวิต ค. มีขาจํานวนมาก ง. มีเขม็ พิษอยทู ข่ี า นักเรียนควรรู (วเิ คราะหคําตอบ กงิ้ กอื เปน สตั วไ มม กี ระดูกสันหลัง แตม เี ปลอื ก 1 แมลง (insect) เปนกลุมสัตวท่ีมีชนิดและจํานวนมากที่สุดในโลก (75% ตวั แขง็ ลาํ ตวั ยาวแขง็ เปน ปลอ ง และทเ่ี หน็ ไดช ดั เจนทสี่ ดุ คอื กง้ิ กอื ของสัตวในโลก) มีขา 3 คู หรือ 6 ขา มีปก 1-2 คู หรือบางชนิดไมมีปก เปนสัตวทมี่ ขี าจํานวนมาก จนไดช่ือวา เปนสัตวท ม่ี ขี ามากที่สุดใน มตี ารวมขนาดใหญ 2 ตา มีอวัยวะหายใจ คือ ทอ ลม บรรดาสัตวบก ดงั นั้น ขอ ค. จึงเปนคาํ ตอบท่ถี ูกตอ ง) 2 มด (ant) เปน แมลงสงั คมทม่ี อี ยรู วมกนั เปน กลมุ มลี กั ษณะแตกตา งกนั เชน - มดราชนิ ี เปน มดเพศเมยี ทาํ หนา ทสี่ บื พนั ธุ มปี ก มลี าํ ตวั และสว นทอ งใหญ - มดเพศผู มลี ําตัวคอนขางเลก็ มปี ก - มดงาน เปน มดเพศเมียทเ่ี ปน หมนั มีลําตวั ขนาดเลก็ และไมม ปี ก T- มดทหาร เปนมดเพศเมียทีเ่ ปน หมนั แตต ัวมขี นาดใหญก วา มดงาน 35
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ขน้ั สรปุ 5กิจกรรม พฒั นาการเรยี นรู้ท่ี ขยายความเขา ใจ ดูภาพ แล้วจ�าแนกว่า สัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง และสัตว์ชนิดใด เปน็ สัตว์ไมม่ ีกระดกู สนั หลงั พร้อมให้เหตุผลประกอบ 25. ครูถามคําถามทาทายการคิดข้ันสูง จาก 123 หนังสือเรียนหนาน้ี แลวใหนักเรียนชวยกัน นําความรูท่ีไดจากการศึกษาและทํากิจกรรม ภาพที่ 1.52 ภาพท่ี 1.53 ภาพที่ 1.54 มาตอบคาํ ถาม ดงั นี้ •ºª ถานําสุนัขและเตาไปอยูดวยกันในบริเวณ 4 5 6 ที่มีอุณหภูมิต่ํา นักเรียนคิดวา อุณหภูมิ ภายในรางกายของสัตวทั้ง 2 ชนิดน้ี จะ ภาพที่ 1.55 ภาพที่ 1.56 ภาพท่ี 1.57 แตกตา งกันหรอื ไม เพราะอะไร (แนวตอบ แตกตา งกัน เพราะสนุ ัขเปน สตั ว ¤Ó¶ÒÁ·ŒÒ·Ò¡ÒäԴ¢¹éÑ ÊÙ§ เล้ียงลูกดวยนํ้านม จัดเปนสัตวเลือดอุน มีอุณหภูมิรางกายคงท่ี ไมเปล่ียนแปลง ถา้ นา� สนุ ขั และเตา่ ไปอยดู่ ว้ ยกนั ในบรเิ วณทม่ี อี ณุ หภมู ติ า่� นกั เรยี นคดิ วา่ อณุ หภมู ภิ ายในรา่ งกาย ไปตามสภาพแวดลอม สวนเตาเปนสัตว ของสตั ว์ท้ัง 2 ชนดิ นี้ จะแตกต่างกันหรือไม่ เพราะอะไร เลอื้ ยคลานจดั เปน สตั วเ ลอื ดเยน็ มอี ณุ หภมู ิ รางกายเปล่ียนไปตามสภาพแวดลอมที่ ตรวจสอบตนเอง กจิ กรรม สรปุ ความรปู้ ระจา� บทที่ 1 อาศยั อยู ดงั นนั้ เมอื่ นาํ เตา ไปอยใู นบรเิ วณ ทมี่ อี ณุ หภมู ติ า่ํ อณุ หภมู ภิ ายในรา งกายของ หลงั เรียนจบหนว่ ยนแ้ี ล้ว ใหน้ กั เรยี นบอกสญั ลกั ษณ์ที่ตรงกบั ระดับความสามารถของตนเอง เตา จะตํ่าลงไปดว ย) (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช รายการ เกณฑ์ แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบุคคล) ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 26. ครใู หน กั เรยี นชว ยกนั พดู สรปุ เกยี่ วกบั ลกั ษณะ สําคัญของสัตวมีกระดูกสันหลังและสัตวไมมี 1. เขา้ ใจเนอื้ หาเกี่ยวกับเรื่องกล่มุ ส่งิ มชี ีวิต กระดกู สนั หลงั จากนนั้ ครอู ธบิ ายเสรมิ เพมิ่ เตมิ ในสวนที่บกพรอ ง 2. สามารถทา� กิจกรรมและอธบิ ายผลการทา� กิจกรรมได้ 27. ครูสนทนากับนักเรียนเพ่ือทบทวนความรู 3. สามารถตอบคา� ถามจากกิจกรรมหนูตอบไดไ้ ด้ ความเขาใจเก่ียวกับเน้ือหาท่ีไดเรียนผานมา จากหนวยการเรียนรูที่ 1 บทที่ 1 โดยสุม 4. ท�างานกลมุ่ ร่วมกับเพือ่ นไดด้ ี เรียกชอื่ นักเรยี นใหอ อกมาเลาวา ตนเองไดรับ ความรอู ะไรบาง 5. นา� ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจา� วนั ได้ 30 28. นักเรียนเขียนสรุปความรูเกี่ยวกับเร่ืองที่ได เรียนมาจากบทท่ี 1 ในรูปแบบตางๆ เชน แผนภาพ แผนผังความคิด เปนตน ลงใน สมดุ หรอื ทาํ กจิ กรรมสรปุ ความรปู ระจาํ บทที่ 1 ในแบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 20 เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET ครูใหความรูเพ่ิมเติมกับนักเรียนเก่ียวกับสัตวไมมีกระดูกสันหลังบางชนิด สตั วใ นขอ ใดจดั เปน สัตวไมมีกระดกู สันหลัง ดังนี้ ก. เปด งู กบ ข. ชาง กงุ ทะเล ปะการัง กลั ปง หา (sea fan) เปน สตั วท ะเลชนดิ หนงึ่ ทไี่ มม กี ระดกู สนั หลงั บางชนดิ มี ค. หอย ปูทะเล ดาวทะเล รปู รา งแผแ บนคลา ยพดั เรยี กวา พดั ทะเล (sea fan) บางชนดิ มลี กั ษณะเปน เสน เดยี่ ว ง. ไสเดอื นดนิ นก พยาธใิ บไม คลา ยแส เรยี กวา แสท ะเล (sea whip) ถา มองเผนิ ๆ แลว กลั ปง หาจะดเู หมอื นตน ไม (วิเคราะหคําตอบ กุงทะเล ปะการัง หอย ปูทะเล ดาวทะเล กัลปงหาพบมากในบริเวณท่ีมีกระแสนํ้าไหล เนื่องจากกระแสน้ําจะชวย ไสเดือนดิน พยาธิใบไม เปนสัตวไมมีกระดูกสันหลัง สวน เปด พัดพาอาหารมาให และชวยพัดพาสิ่งขับถายหรือของเสียท่ีถูกปลดปลอยจาก งู กบ ชา ง นก เปน สัตวมกี ระดกู สนั หลงั ดงั น้นั ขอ ค. จึงเปน ตวั กัลปงหาออกไป กลั ปงหาเปนแหลงอาศัยของสตั วทะเลขนาดเลก็ หลายชนิด คาํ ตอบทถ่ี ูกตอ ง) โดยสตั วเ หลา น้ีจะเกาะตามก่งิ กา น นอกจากน้ี กัลปงหายงั เปน ที่นิยมในการนํา มาประดับตูปลาและนํามาใชเปนเคร่ืองประดับตกแตงบาน เน่ืองจากมีรูปราง และสสี นั สวยงาม และทส่ี าํ คญั สามารถใชเ ปน สมนุ ไพรตามความเชอ่ื ของชาวจนี โบราณดวย T36
นาํ สอน สรุป ประเมนิ ½¡Ôจƒ¡¡ทรร¡Ñ มÉะ ºทท่ี 1 ขน้ั สรปุ 1. ดูภาพส่ิงมีชีวิตแลว้ จ�าแนกว่าอย่ใู นกล่มุ พืช กลมุ่ สตั ว์ หรอื กลมุ่ ทไ่ี มใ่ ช่พชื และสตั ว์ ขยายความเขา ใจ พรอ้ มให้เหตุผลประกอบ 29. นักเรียนทํากิจกรรมฝกทักษะบทท่ี 1 จาก ภาพที่ 1.58 เหด็ ภาพที่ 1.59 ราขนมปงั ภาพที่ 1.60 ไก่ หนังสือเรียน หนา 31-33 ขอ 1-8 ลงในสมดุ หรอื ทาํ ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 21-24 ภาพท่ี 1.61 ดาวเรือง ภาพที่ 1.62 เตา่ ภาพที่ 1.63 มอสส์ 30. นักเรียนแตละคนทํากิจกรรมทาทายการคิด 2. สา� รวจพืชรอบบริเวณโรงเรียน แลว้ บนั ทึกผลในตาราง จากนน้ั จดั กลมุ่ พชื โดยใช้ ข้นั สงู ในแบบฝก หัดวทิ ยาศาสตร หนา 25 เกณฑม์ ดี อก (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล) อวยั วะภายนอกของพืช ประเภทของพชื 31. นักเรียนแบงกลุม จากนั้นศึกษากิจกรรม สรา งสรรคผลงาน จากหนังสอื เรยี น หนา 33 แลว ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมโดยมขี ั้นตอน ดงั นี้ 1) ใหรวบรวมภาพพืชจากหนงั สือตา งๆ หรอื นิตยสารตา งๆ ท่ไี มใ ชแลว 2) นําภาพพืชที่รวบรวมไดมาจัดทําเปน โมบายแขวนหนา ตาง เพอื่ จาํ แนกพชื 3) ตกแตงใหสวยงาม แลวออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมอธิบายเกณฑท่ีใชใน การจดั กลมุ พชื (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ ) ชนิดของพืช ราก ลา� ตน้ ใบ ดอก มีดอก ไม่มดี อก .......................... .......................... .......................... .......................... .......................... .......................... .......................... .......บ...นั....ท....กึ ...ผ...ล.. ลง..ใ..น....ส...ม...ดุ....ป...ร...ะ..จา� .ต....วั ..................... .......................... .......................... .......................... .......................... .......................... .......................... .......................... .......................... 3. เขียนแผนผังความคิดแสดงลักษณะส�าคัญของพืชใบเล้ียงเด่ียว และพืชใบเลี้ยงคู่ พรอ้ มยกตวั อยา่ งชื่อพชื มาประกอบประเภทละ 5 ชนิด 31 ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET แนวตอบ กิจกรรมฝก ทกั ษะ ขอ ใดเปน ลกั ษณะทเี่ หมอื นกนั ของพชื ใบเลยี้ งเดย่ี วกบั พชื ใบเลยี้ งคู ขอ 1. ก. มรี ากแกว ชว ยดูดนาํ้ ดางเรอื ง และมอส จดั อยใู นกลมุ พชื เพราะเปน สงิ่ มชี วี ติ ทส่ี ามารถสรา งอาหาร ข. เหน็ ขอปลองชดั เจน ไดเ อง แตไ มสามารถเคลื่อนทไี่ ดเอง ค. เสน ใบขนานกนั ไก และเตา บก จดั อยใู นกลมุ สตั ว เพราะเปน สง่ิ มชี วี ติ ทกี่ นิ พชื หรอื สตั วช นดิ อน่ื ง. เปน พืชมดี อก เปนอาหาร สามารถเคลื่อนไหวและเคลื่อนที่ไดเอง แตไมสามารถสรางอาหาร (วิเคราะหคําตอบ เมื่อนําเมล็ดมาปลูก พืชจะงอกสวนที่เปนใบ ไดเ อง เห็ด และราขนมปง จัดอยูในกลุมที่ไมใชพืชและสัตว เพราะเปนสิ่งมีชีวิต เลีย้ งออกมาจากเมล็ด ซงึ่ เมลด็ สรา งมาจากการผสมเกสรของพชื ท่ียอยสลายส่ิงมีชีวิตอ่ืน ไมสามารถสรางอาหารไดเอง บางชนิดเคลื่อนที่ได มีดอก ดังนั้น ขอ ง. จงึ เปนคาํ ตอบท่ถี ูกตอ ง) บางชนดิ เคลอื่ นทไ่ี มได ขอ 2. เชน ผักแวน หางสิงห มีราก ลําตน ใบ แตไมมีดอก จึงจัดอยูในกลุมพืช ไมมดี อก สวนเขม็ มะมว ง มะยม ราชพฤกษ มรี าก ลาํ ตน ใบ และดอก จงึ จดั อยใู น กลุมพืชมีดอก T37
นาํ สอน สรปุ ประเมิน ขน้ั ประเมนิ 4. จัดท�าบตั รภาพพืชคนละ 1 ใบ โดยวาดภาพหรือติดภาพพืชที่สนใจมากทส่ี ุด ลงใน กระดาษวาดภาพหรอื กระดาษแข็ง และบันทึกข้อมลู ตรวจสอบผล พชื ชนดิ นี้ คือ .................................................................................... 1. ใหนักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเอง จาก ลลกัักษษณณะะขขอองงใลบ�าตน้..................บ........นั ......ท........ึก......ผ......ล......ล......ง......ใ....น......ส........ม......ุด......ป........ร......ะ....จ......�า......ต......วั................ หนังสือเรียน หนา 30 แลวครูถามนักเรียน (วาดภาพหรอื ติดภาพ) ลกั ษณะของราก ............................................................................. เปนรายบุคคลตามรายการขอ 1-5 จากตาราง เพื่อเปนการตรวจสอบความรูความเขาใจ เปน็ พชื ประเภท........................ ........................................... ของนักเรียนหลังจากการเรียน หากนักเรียน คนใดตรวจสอบตนเองโดยใหอยูในเกณฑที่ 5. สืบค้นข้อมูลเกีย่ วกับสตั ว์ต่าง ๆ แล้วจัดกลุ่มสัตวโ์ ดยใชก้ ระดกู สันหลังเปน็ เกณฑ์ ควรปรับปรุง ใหครูทบทวนบทเรียนหรือหา กิจกรรมอนื่ ซอ มเสริม ปลาฉลาม ปูเสฉวน ฟองนา�้ แก้ว ตะพาบ เม่น เม่นทะเล พะยนู อึง่ อ่าง จงิ โจ้ โลมา ต๊กั แตน จงโครง่ 2. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมท่ี 4 เรื่อง มา้ น�้า ก้ิงกอื ทาก กัลปงั หา ปลิงทะเล ดาวทะเล การจัดกลุมสัตว ในสมุดหรือในแบบฝกหัด จงิ้ เหลน ค้างคาว หอยแครง ตะกวด ปะการงั งูอนาคอนดา วิทยาศาสตร หนา 18 นกเพนกวิน พยาธิตวั ตืด หมึก ไฮดรา แมงดาทะเล ซาลามานเดอร์ 3. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมหนูตอบไดใน 6. เขยี นชื่อสตั วม์ ีกระดกู สันหลงั ลงในสมุด ใหต้ รงกบั ลกั ษณะท่กี �าหนดข้อละ 3 ชนิด สมุดหรอื ในแบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 19 1) สัตว์เลอื ดเย็น 2) สตั ว์ทมี่ กี ระดกู เบาและกลวง มขี นเป็นแผง 4. ครูตรวจสอบผลการทํากิจกรรมพัฒนาการ 3) สตั วท์ ม่ี ีการปฏสิ นธิภายในรา่ งกาย และออกลกู เป็นไข่ เรียนรูท ่ี 3 4 และ 5 ในสมดุ หรือตรวจใบงาน 4) สัตว์ที่มีการปฏสิ นธภิ ายนอกรา่ งกาย และออกลกู เป็นไข่ ที่ 1.4, 1.5 และ 1.6 5) สตั วท์ ี่มี 4 ขา ผิวหนงั แห้ง และมเี กลด็ แข็งปกคลมุ ล�าตัว 5. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมสรุปความรูประจํา บทท่ี 1 ในสมดุ หรอื ในแบบฝก หดั วทิ ยาศาสตร หนา 20 6. ครตู รวจผลการทาํ กจิ กรรมฝก ฝนทกั ษะบทท่ี 1 ในสมุดหรือในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร หนา 21-24 32 แนวตอบ กจิ กรรมฝก ทักษะ ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET ขอ 5. มานํา้ จดั เปน สัตวป ระเภทใด ปลาฉลาม ตะพาบ เมน พะยูน อึ่งอาง จิงโจ โลมา จงโครง มานํา้ คา งคาว ก. กลุมปลา ข. กลุมสตั วเล้ือยคลาน ตะกวด งอู นาคอนดา จงิ้ เหลน นกเพนกวนิ และซาลามานเดอร จัดอยูในกลุม ค. กลุม สตั วเลี้ยงลกู ดว ยนา้ํ นม สัตวที่มีกระดูกสันหลัง สวนปูเสฉวน กิ้งกือ ฟองน้ําแกว เมนทะเล ตั๊กแตน ง. กลมุ สัตวสะเทินนํ้าสะเทินบก กลั ปง หา ปลิงทะเล ทาก ดาวทะเล หอยแครง ปะการงั พายาธติ ัวตืด หมึก (วเิ คราะหคาํ ตอบ มานํา้ จดั เปน สัตวก ลมุ ปลา หายใจทางเหงือก ไฮดรา และแมงดาทะเล จดั อยใู นกลมุ สตั วท ่ีไมมกี ระดูกสนั หลงั ขอ 6. มีกระดูกหรือกางมาหอหุมเปนเกราะอยูภายนอกตัวแทนเกล็ด มีหางยาวเหมือนสัตวเลื้อยคลานแตมวนงอ เพ่ือใชยืดตัวเองกับ 1) เชน เตา กบ ปลานลิ ปลาชอ น คางคก กง้ิ กอื พืชน้ํา ดงั นัน้ ขอ ก. จงึ เปนคําตอบทถ่ี กู ตอ ง) 2) เชน เปด ไก หา น นก หงส 3) เชน ไก เปด ตนุ ปากเปด จระเข งู เตา นก 4) เชน ปลากดั กบ คางคก องึ่ อา ง 5) เชน จระเข เตา ตะกวด จ้ิงเหลน T38
นาํ สอน สรปุ ประเมิน 7. ดูภาพ แล้วบอกชอ่ื สัตว์และลกั ษณะส�าคัญของสัตว์ไมม่ กี ระดกู สันหลัง ขนั้ ประเมนิ ภาพที่ 1.64 ภาพที่ 1.65 ภาพท่ี 1.66 ตรวจสอบผล 8. ตอบคา� ถามต่อไปนี้ 7. ครูตรวจผลการทํากิจกรรมทาทายการคิด ขนั้ สูงในแบบฝกหัดวทิ ยาศาสตร หนา 25 1) ลกั ษณะสา� คญั ของสง่ิ มชี วี ติ ในกลุม่ พชื กลุ่มสัตว์ และกลมุ่ ที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ เป็นอย่างไร จงอธิบายพอสังเขป 8. ครูตรวจชิ้นงานโมบายแขวนจําแนกกลุมพืช 2) พืชดอกและพชื ไม่มีดอกมลี กั ษณะแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร และการนําเสนอช้นิ งาน/ผลงาน หนาชัน้ เรียน 3) พชื ใบเล้ยี งเดย่ี วและพชื ใบเล้ียงคมู่ ลี กั ษณะสา� คัญอยา่ งไร 4) สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั และสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั มลี กั ษณะแตกตา่ งกนั อยา่ งไร แนวตอบ กจิ กรรมฝก ทักษะ 5) นักเรียนคดิ วา่ การจดั กลมุ่ สัตว์เป็นประเภทต่าง ๆ มปี ระโยชน์อยา่ งไรบา้ ง ขอ 7. กิจกรรม ทา้ ทา¡ารค´Ô ¢นÑé สงู 1) ชือ่ ดาวทะเล อยใู นสตั วท ะเลผิวขรุขระ 2) ชอื่ หอยทาก อยใู นจาํ พวกหอยและหมกึ ทะเล ส¡Ôจร¡้ำรงรสมรรค¼์ ลงำน 3) ชอ่ื มดแดง อยใู นจําพวกสัตวทมี่ ีขาเปนขอ ẋ§¡ÅØ‹Á ¨Ò¡¹Ñé¹ãˌᵋÅÐ¡ÅØ‹ÁÃǺÃÇÁÀÒ¾¾×ª¨Ò¡Ë¹Ñ§Ê×Í ขอ 8. µÒ‹ § æ ËÃ×͹µÔ ÂÊÒ÷ÕèäÁ‹ãªáŒ ÅÇŒ â´Â¹Òí ÁҨѴ·Òí ໹š âÁºÒÂá¢Ç¹ 1) กลมุ พชื สามารถสรา งอาหารไดเ อง เคลอื่ นไหว ˹ŒÒµ‹Ò§à¾è×ͨíÒṡ¡ÅØ‹Á¾×ª ¾ÃŒÍÁµ¡áµ‹§ãËŒÊǧÒÁ ¨Ò¡¹éѹ ¹Òí àʹÍ˹Ҍ ª¹éÑ àÃÕ¹ ¾ÃÍŒ Á͸ºÔ ÒÂࡳ±· Õè㪌 㹡ÒèѴ¡ÅÁ‹Ø ได แตไ มส ามารถเคลื่อนทไี่ ด กลุม สัตว ไมสามารถ สรางอาหารไดเอง เคล่ือนไหวและเคลื่อนท่ีไดเอง 33 สว นกลมุ ทไ่ี มใ ชพ ชื และสตั ว บางชนดิ สรา งอาหารได บางชนดิ สรา งอาหารไมไ ด บางชนดิ เคลอื่ นไหวและ เคลื่อนที่ได บางชนิดเคลื่อนที่ไมได และบางชนิด ยอยสลายสิ่งมชี ีวิตชนิดอน่ื 2) แตกตางกนั คอื พชื ดอกเม่ือเจรญิ เตบิ โตเต็ม ทแ่ี ลว จะสรา งดอกขนึ้ เพอ่ื ใชใ นการสบื พนั ธุ สว นพชื ไมม ีดอกจะไมมีดอกเลยตลอดการดาํ รงชีวิต 3) พชื ใบเลย้ี งเดยี่ วมรี ะบบรากฝอย ใบเรยี วแคบ เสนใบขนาน ลําตนเปนขอปลองชัดเจน สวนพืช ใบเลยี้ งคมู รี ะบบรากแกว ใบกวา ง เสน ใบเปน รา งแห ลําตน เปน ขอ ปลอ งไมช ัดเจน 4) สัตวมีกระดูกสันหลังจะมีกระดูกที่ตอกัน เปนขอๆ เปนแกนของรางกาย สวนสัตวไมมี กระดกู สนั หลังจะไมม กี ระดูกเปนแกนกลางอยภู าย ในรางกาย จงึ มลี ําตวั ออ นน่มิ 5) ทําใหสามารถศึกษาสัตวแตละประเภทได สะดวกและนาํ ขอ มูลมาศกึ ษาคนควาไดงา ย ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET แนวทางการวัดและประเมินผล สัตวในขอ ใดตางจากขอ อ่ืน ครสู ามารถจดั และประเมนิ ผลชน้ิ งาน/โมบายแขวนจาํ แนกพชื ทน่ี กั เรยี นสรา ง ก. จิง้ จก ข้ึน โดยศกึ ษาเกณฑป ระเมนิ ผลงานจากแบบประเมินผลงาน/ช้นิ งานทแี่ นบทาย ข. คางคก แผนการจดั การเรยี นรขู องหนว ยการเรยี นรูท่ี 1 ความหลากหลายของส่งิ มีชวี ติ ค. ไสเดอื น ดงั ภาพตัวอยาง ง. นกพิราบ (วิเคราะหคําตอบ จิ้งจก คางคก และนกพิราบ จัดเปนสัตว มีกระดูกสันหลัง สวนไสเดือนจัดเปนสัตวไมมีกระดูกสันหลัง ดังน้ัน ขอ ค. จงึ เปนคําตอบทีถ่ กู ตอ ง) T39
นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั นาํ 2บทท่ ี หสว่นนา้ ทตา่่ีของæง ของพช× Key words กระตนุ ความสนใจ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง • photosynthesis • stoma • guard cell 1. ครทู กั ทายกบั นกั เรยี น แลว แจง ผลการเรยี นรทู ่ี (photosynthesis) • xylem • phloem จะเรยี นในวนั นใี้ หน กั เรยี นทราบ 34 ?¢Íʧ¾‹Ç¹×ªÁµÕˋҧ¹æŒÒ·Õè 2. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาภาพและคาํ ศพั ทท เ่ี กยี่ วขอ ง กับการเรียนในบทที่ 2 จากหนงั สือเรยี นหนาน้ี àËáÁµÍ×͡¹µ‹Ò¡‹Ò§Ñ¹§äáËѹÃ×Í โดยครเู ปนผูอานนาํ และใหน ักเรียนอา นตาม เซลล์คมุ 3. ครูแจกใบงานที่ 1.7 เรอื่ ง คาํ ศพั ทโครงสราง สว นตางๆ ของพืชดอก ใหนักเรียนนํากลับไป (guard cell) ทําเปนการบาน โดยใหวาดภาพหรือติดภาพ ของคําศัพทท่ีกําหนดให จากนั้นหาขอมูล ปากใบ เพมิ่ เติม แลวนาํ มาสงในชัว่ โมงถดั ไป (stoma) 4. นักเรียนแตละคนวาดภาพตนพืชดอก พรอม ระบโุ ครงสรา งตา งๆ และหนา ทข่ี องสว นตา งๆ ทอ่ ล�าเลยี งอาหาร ของพืชดอกลงในสมุด หรือใหทํากิจกรรม นําสูการเรียนในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร (phloem) หนา 27 (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช ทอ่ ล�าเลยี งน้�า แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบุคคล) (xylem) ขนั้ สอน กจิ กรรม นา� ส¡‹ู ารเรีÂน สาํ รวจคน หา 1. ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษาขอมูลและภาพ พืชในหัวขอ หนาท่ีของสวนตางๆ ของพืช ในหนังสือเรียนหนา 35 แลวถามคําถามเพ่ือ ทบทวนความรูเดิมวา สวนตางๆ ของพืชทํา หนา ทอ่ี ะไรบา ง 2. นักเรียนรวมกันอภิปรายเพ่ือใหไดขอสรุปวา ราก ลําตน ใบ ดอก ผล และเมล็ด มหี นา ที่ อะไรบาง เกร็ดแนะครู ใบงานท่ี 1.7 เรอ่ื ง คาํ ศพั ทโครงสรางสว นตา งๆ ของพชื ดอก ครูสามารถ หยบิ ใช ไดจ ากแผนการจดั การเรยี นรทู ี่ 5 เรอื่ ง หนา ทข่ี องสว นตา งๆ ของพชื ดอก หนว ยการเรียนรูท่ี 1 ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต นักเรียนควรรู ครูฝกใหน กั เรียนเรียนรแู ละอานคําศพั ทวทิ ยาศาสตร ดงั น้ี Photosynthesis (โฟโท’ซินธิซิส) การสงั เคราะหดวยแสง Guard cell (กาด เซ็ล) เซลลค ุม stoma (สโตมา) ปากใบ phloem (โฟลเอ็ม) ทอ ลําเลียงอาหาร xylem (ไซเล็ม) ทอ ลาํ เลียงนํ้า T40
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ขนั้ สอน ความหลากหลายของสิง่ มชี ีวติ สาํ รวจคน หา 1 หน้าที่ของส่วนต่างæ ของพช× 3. ครูนําภาพโครงสรางภายนอกของพืชมาติด บนกระดาน แลว ใหน กั เรยี นรว มกนั สงั เกตและ พืชเป็นส่ิงมชี ีวติ ทแ่ี ตกต่างจากสิง่ มีชีวิตชนดิ อน่ื ๆ เพราะพืชสามารถสรา้ ง แสดงความคิดเห็นจากภาพวา แตละสวน อาหารเองได้ แตเ่ คลือ่ นทเี่ องไม่ได้ ของพชื เปนโครงสรางสวนใด พืชดอกโดยท่วั ไปมีโครงสรา้ งภายนอกทีส่ า� คัญ ไดแ้ ก่ ราก ลา� ตน้ ใบ ดอก 4. ครูสุมเลอื กนักเรยี น 5-6 คน ใหออกมาแสดง และผล ซง่ึ สว่ นตา่ ง ๆ เหลา่ นที้ า� หนา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั และทกุ สว่ นมกี ารทา� งานรว่ มกนั ความคิดเห็นหนา ชนั้ เรยี น จากน้ันใหนักเรียน อยา่ งเปน็ ระบบ จงึ ทา� ใหพ้ ชื สามารถดา� รงชวี ติ อยไู่ ด้ นกั เรยี นรหู้ รอื ไมว่ า่ สว่ นตา่ ง ๆ แตละคนในหองยกตัวอยางตนพืชดอกท่ี ของพชื ท�าหนา้ ทอ่ี ะไร และพชื สร้างอาหารไดอ้ ย่างไร นักเรียนรูจ ักมาคนละ 1 ชนดิ ใบ 5. ครูแบงนักเรียนเปนกลุม กลุมละ 4 คน ให แตล ะกลมุ รว มกนั ศกึ ษาความรเู รอื่ ง โครงสรา ง ผลและเมลด็ สวนตางๆ ภายนอกของพืช จาก PPT เรอ่ื ง หนาที่ของสวนตางๆ ของพืชดอก จากน้ัน ดอก ใหแตละกลุมนําขอมูลมาอภิปรายและสรุป ลา� ต้น รวมกันภายในกลุม แลวจัดทําเปนแผนผัง แผนภาพ ตาราง หรอื อน่ื ๆ ลงในกระดาษแข็ง ราก เพ่ือสรุปความรูเก่ียวกับโครงสรางภายนอก สวนตางๆ ของพืชและหนาท่ีของสวนตางๆ เหลานั้น 6. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนนําเสนอผลงาน หนา ช้ันเรียน (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ) ภาพที่ 1.67 โครงสรา้ งส่วนต่าง ๆ ของต้นมะเขอื เทศ ÊÇ‹ ¹µ‹Ò§ æ ¢Í§¾×ª·íÒ˹ŒÒ·èÕ ÍÐäúҌ § 35 เกร็ดแนะครู ครูใหความรูกับนักเรียนเพ่ิมเติมวา พืชบางชนิดมีลําตนอยูในดินและ ทาํ หนาท่เี ก็บสะสมอาหาร เชน เผือก มนั ฝรัง่ ขงิ ขา เปนตน ทําใหมีลักษณะ คลายกบั รากที่ทาํ หนาที่สะสมอาหาร ซง่ึ มีขอสังเกตวาลาํ ตนและรากมลี กั ษณะ ตางกัน คือ ลําตน มขี อ ปลอ ง และตา สวนรากจะไมม ีขอ ปลอ ง และตา สื่อ Digital ครใู หน กั เรยี นเรยี นรเู กย่ี วกบั โครงสรา งสว นตา งๆ ภายนอกของพชื เพมิ่ เตมิ จากส่ือ PowerPoint เรอื่ ง หนาทขี่ องสวนตางๆ ของพชื ดอก ดังภาพตวั อยาง T41
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ ขน้ั สอน กิจกรรมท่ี 1 ทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตรท์ ี่ใช้ สาํ รวจคน หา หนา ท่ีของสวนตา ง ๆ ของพืช 1. การสงั เกต 2. การทดลอง 7. ครนู าํ บตั รภาพรากและลาํ ตน ของพชื ลกั ษณะ จุดประสงค 3. การลงความเหน็ จากข้อมูล ตางๆ มาใหนักเรียนดู แลวอธิบายเพ่ิมเติม 4. การพยากรณ์หรือการคาดคะเน เกย่ี วกบั หนา ทขี่ องรากและลาํ ตน เพอ่ื เชอ่ื มโยง 1. สืบคน้ ข้อมูลและอธิบายหน้าทีข่ องสว่ นต่าง ๆ ของพืช 5. การตีความหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรุป เขา สกู ารทาํ กจิ กรรมวา รากเปน โครงสรา งของ 2. สงั เกตและอธบิ ายการล�าเลียงน้�าและแร่ธาตุของพชื พืชที่เจริญเติบโตลงดินและแผขยายออกไป ซง่ึ มลี กั ษณะแตกตา งกนั ออกไปตามชนดิ ของ ตองเตรียมตองใช พืช สว นภายในลาํ ตนมีทอ ลาํ เลียง ทําหนาที่ ลําเลียงนํ้าและแรธาตุจากดิน และลําเลียง 1. ตน้ เทยี น หรอื ต้นกระสงั 1 ต้น 2. น�า้ เปล่า 100 มิลลลิ ติ ร อาหารที่สรางข้ึนจากใบ ไปเลี้ยงสวนตางๆ 3. กระดาษแข็ง 1 แผน่ 4. มีดหรือคตั เตอร์ 1 เล่ม ของพืช ลําตนของพืชแตละชนิดมีลักษณะ 5. น้า� หมึกสแี ดง 1 ขวด 6. แวน่ ขยาย 1 อัน หรือกลอ้ งจลุ ทรรศน์ 1 ตัว แตกตางกันออกไป 7. บกี เกอรข์ นาด 250 มิลลลิ ติ ร 1 ใบ 8. แหลง่ ขอ้ มลู เชน่ หนงั สอื อนิ เทอรเ์ นต็ เปน็ ตน้ 9. แผนภาพส่วนต่าง ๆ ของพชื (ครเู ตรียมให)้ 8. ครใู หน กั เรยี นเลน เกมหอยแบง ฝาเพอื่ ตอ งการ แบงกลมุ นกั เรียนออกเปนกลุม กลมุ ละ 4 คน ลองทาํ ดู ตอนที่ 1 โดยครูอธิบายวิธีการเลนใหนักเรียนฟง จากนั้นใหนักเรียนเลนเกม 2-3 ครั้ง จนได 1. ศึกษาส่วนต่าง ๆ ของพชื จากแผนภาพทีค่ รเู ตรียมไว้ให้ กลมุ ครบทกุ คน 2. ชว่ ยกนั สบื คน้ ขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั หนา้ ทขี่ องสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ 3. น�าข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นมาร่วมกันอภิปรายและสรุปเก่ียวกับหน้าท่ีของส่วนต่าง ๆ 9. แตละกลุมศึกษาขั้นตอนการทํากิจกรรมท่ี 1 เรอ่ื ง หนา ทข่ี องสว นตา งๆ ของพชื ตอนที่ 1-2 ของพืชภายในช้ันเรียน จากหนงั สือเรยี น หนา 36-37 จากนนั้ ปฏบิ ัติ กจิ กรรมตามขน้ั ตอน และบนั ทกึ ผลลงในสมดุ หรือในแบบฝกหดั วิทยาศาสตร หนา 30 10. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายและสรุป ผลการทาํ กจิ กรรม ภาพที่ 1.68 36 เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทา ทาย ครูอธิบายเพมิ่ เติมใหนกั เรียนเขาใจวา การลําเลยี งนาํ้ ในทอ ลําเลยี งภายใน ใหนักเรียนสืบคนขอมูลเพ่ิมเติมวา มีรากและลําตนของพืช ลําตนเกดิ ขึน้ จากแรงดงึ ในทอ ลาํ เลยี งนํ้าจากสวนลางข้ึนสูส วนบน และแรงดงึ นี้ ชนิดใดบางที่ทําหนาท่ีเก็บสะสมอาหาร แลววาดภาพหรือติดภาพ สามารถดงึ น้าํ ในทอลาํ เลียงน้ําขนึ้ มาทดแทนนํ้าท่พี ืชคายออกไป ทําใหพ ืชไดร บั ประกอบ จากนั้นเขยี นบอกวาเปน รากหรอื ลําตน พชื ชนิดใด นํา้ และแรธ าตุอยตู ลอดเวลา T42
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ 1หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ขน้ั สอน ความหลากหลายของสิง่ มีชวี ติ สาํ รวจคน หา ตอนท ี่ 2 11. ครูตั้งคําถามหลังการทํากิจกรรม เพื่อให นกั เรยี นแตล ะกลมุ รว มกนั แสดงความคดิ เหน็ 1. แบง่ กลุม่ กลุ่มละ 3 - 4 คน แล้วรว่ มกันตง้ั สมมตฐิ านเก่ียวกบั หนา้ ท่ีของรากและล�าตน้ พืช ดังน้ี 2. ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ นา� ตน้ เทยี นมาลา้ งรากใหส้ ะอาด แลว้ สงั เกตลกั ษณะของรากและลา� ตน้ จากนนั้ • กอนและหลังนําลําตนของตนเทียนไป คาดคะเนว่า เม่ือน�ารากและล�าต้นของ แชในนํ้าหมึกสีแดง ลําตนของตนเทียนมี ต้นเทียนไปแช่ในน�้าหมึกสีแดงท้ิงไว้ ลกั ษณะอยา งไร 30 นาที จะเกิดผลอยา่ งไร (แนวตอบ กอนแชนํ้าหมึกสีแดง ลําตนมี 3. ท�ากิจกรรมเพ่ือตรวจสอบสมมติฐาน ลักษณะสีเขียวใส หลังแชนํ้าหมึกสีแดง โดยเทนา้� หมกึ สแี ดง 10 มลิ ลลิ ติ ร ลงใน ลาํ ตน มีลกั ษณะสแี ดงใส) บีกเกอร์ที่มีน้�าเปล่าอยู่ 100 มิลลิลิตร • เมื่อนําลําตนของตนเทียนมาตัดตามขวาง จากน้ันน�าต้นเทียนแช่ลงในบีกเกอร์ และตามยาว นักเรียนสังเกตเห็นลักษณะ แล้วนา� ไปรับแสงประมาณ 30 นาที ภายในลาํ ตน ของตน เทยี นเปน อยา งไร และ 4. เมื่อแช่ครบ 30 นาที ให้น�าล�าต้นของ ภาพที่ 1.69 มสี ว นประกอบอะไรบา ง (แนวตอบ ภายในลําตนของตนเทียนมี ต้นเทียนมาตัดตามขวางและตามยาว โครงสรา งทเ่ี รยี กวา ทอ ลาํ เลยี ง ซง่ึ ประกอบ แล้วใช้แว่นขยายหรือกล้องจุลทรรศน์ ดว ยทอลาํ เลยี งน้าํ และทอลาํ เลยี งอาหาร) ส่องดูลักษณะภายในล�าต้นของต้นเทียน (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุม) และบนั ทึกผลลงในสมดุ 5. รว่ มกนั อภปิ รายผลเกยี่ วกบั หนา้ ทข่ี องราก และลา� ตน้ ของพชื หนตู อบได ภาพท่ี 1.70 แนวตอบ หนูตอบได 1. สว่ นต่าง ๆ แตล่ ะส่วนของพืช ท�าหน้าท่เี หมือนกันหรอื แตกต่างกนั อย่างไร ขอ 3. 2. ส่วนประกอบท่สี �าคญั ภายในลา� ตน้ ของพชื คืออะไร และมคี วามสา� คัญอย่างไร • เหน็ ดว ย เพราะกงิ่ ของตน โกสนมที อ ลาํ เลยี งนาํ้ 3. “หากตัดก่ิงต้นโกสนมาแช่ทิ้งไว้ในขวดที่บรรจุน้�าเปล่า ก่ิงโกสนน้ีจะสามารถด�ารงชีวิตอยู่ และทอลําเลียงอาหารอยูภายในลําตน เมื่อนําไป ได้ตามปกต”ิ นักเรยี นเหน็ ดว้ ยหรอื ไม่ เพราะอะไร แชใ นนํ้า ทอลําเลียงน้าํ ยงั คงสามารถดูดนํ้าไปเลย้ี ง สวนตางๆ ของพืชไดต ามปกติ ค(หอื มกายารเหคตดิ ุแ: คบําบถใหามเ หขตอผุสลุดทแาลยะขกอางรหคนดิ ูตแอบบบไโดตแเปยงน คซาํึ่งถผาเู รมียทน่ีอออากจแเลบือบกใหตผอบเู รอียยนา ฝงกใดใชอทยกัางษหะนก่งึากรคไ็ ดิด ขให้นั คสรูงู 37 • ไมเห็นดวย เพราะในนํ้าไมมีแรธาตุท่ีจําเปน พจิ ารณาจากเหตผุ ลสนับสนุน) สําหรับพืชอยูเลย ถึงแมกิ่งโกสนจะไดรับนํ้าแตจะ ขาดแรธ าตุสาํ คญั ในการดํารงชวี ติ ซ่ึงอาจสง ผลให กง่ิ โกสนไมเจริญเตบิ โต ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET เกร็ดแนะครู การลําเลยี งน้ําในตน พชื เปนไปในลักษณะใด ครูใหค วามรูก ับนกั เรยี นเพมิ่ เติมวา ภายในลาํ ตน พืชมีทอ เล็กๆ อยูเรียกวา ก. จากรากไปสใู บ ทอลําเลียง โดยเปนกลุมเซลลท่ีเรียงตอกันยาวตั้งแตรากไปถึงลําตน ก่ิง และ ข. จากลําตนไปสรู าก ใบของพชื ทอลาํ เลียงประกอบดว ย 2 สว น คอื ทอ ลําเลียงนา้ํ (Xylem) และ ค. จากใบไปสูราก ทอลําเลียงอาหาร (Phloem) ง. จากใบไปสลู ําตน (วิเคราะหคําตอบ พืชดูดนํ้าและธาตุอาหารในดินโดยใชราก หองปฏิบัติการ และลําเลยี งนํา้ ไปตามทอ ลาํ เลยี งนํา้ ไปสลู ําตน ก่งิ กาน และใบ à·¤¹Ô¤ ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ ดงั นนั้ ขอ ก. จึงเปนคําตอบทถี่ ูกตอ ง) ครคู วรเนน ยา้ํ กบั นกั เรยี นวา การทาํ กจิ กรรมทต่ี อ งใชม ดี หรอื คตั เตอรต อ งใช อยางระมัดระวัง เนื่องจากมีดหรือคัตเตอรเปนอุปกรณท่ีมีความคม อาจทําให เกดิ อนั ตรายได T43
Search