บันทึกขอ้ ความ ส่วนราชการ ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน ที่ ศธ ๐๒๑๐.๕๔๐๓/ วันท่ี สิงหาคม ๒๕๖๕ เรือ่ ง รายงานผลการดำเนนิ งานโครงการพัฒนาห้องสมดุ ประชาชนใหเ้ ป็นศูนยเ์ รยี นรตู้ ลอดชวี ติ Co-Learning Space กิจกรรมส่งเสริมการอา่ นและการเรยี นรู้ การใช้สารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชนฯ เรียน ผูอ้ ำนวยการศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน ตามท่ี ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดนได้จัดทำจัดทำโครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้ เป็นศูนย์เรียนรู้ตลอดชวี ิต Co-Learning Space โครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เปน็ ศูนย์เรยี นรู้ตลอด ชีวิต Co-Learning Space กิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ การใช้สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เพื่อสร้างนิสัยรักการอ่าน พัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ พัฒนาปรับปรุงห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้ บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง และเกิดนิสัยรักการอ่านมากขึ้น บดั น้ีโครงการดังกลา่ วไดด้ ำเนนิ การเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จึงขอรายงานผลการดำเนินงานโครงการดังกล่าว รายละเอยี ดตามเอกสารทแี่ นบมาพร้อมน้ี จงึ เรียนมาเพ่อื โปรดทราบ (นางวารี ชูบวั ) บรรณารกั ษ์ชำนาญการ
คำนำ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุด ประชาชนอำเภอชนแดน ดำเนินการจดั ทำโครงการพัฒนาหอ้ งสมุดประชาชนให้เปน็ ศนู ยเ์ รยี นรูต้ ลอดชีวิต Co- Learning Space โครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์เรียนรู้ตลอดชีวิต Co-Learning Space กิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ การใช้สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เพื่อสร้างนิสัยรักการ อ่าน พัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนาปรับปรุง ห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการ อ่านมากข้ึน นน้ั ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานผลการดำเนินงานโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เล่มนี้คงเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นคู่มือในการ ดำเนินงานต่อไป หากมีข้อเสนอแนะประการใดโปรดแจ้งคณะผู้จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงใน ครงั้ ต่อไป ผ้จู ดั ทำ สงิ หาคม 2565
สารบัญ หนา้ 1-9 บทที่ 1 บทนำ 10 - 32 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง 33 - 38 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนินการตามโครงการ 39 - 43 บทที่ 4 ผลการดำเนนิ การตามโครงการ 44 – 46 บทท่ี 5 สรุปผลการดำเนนิ งานตามโครงการ บรรณานุกรม ภาคผนวก รปู ภาพ รายช่อื ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม แบบประเมนิ ความพึงพอใจ คำสง่ั โครงการ คณะผู้จดั ทำ
1 บทท่ี 1 บทนำ 1.ชอื่ โครงการ โครงการจัดการศกึ ษาตามอัธยาศยั กจิ กรรมท่ี 1 โครงการพัฒนาหอ้ งสมดุ ประชาชนให้เปน็ ศูนยเ์ รียนรู้ตลอดชีวติ Co-Learning Space 2. สอดคลอ้ งกับยุทธศาสตรช์ าติ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนาและเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพทรพั ยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญเพื่อ พัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่งและมีคุณภาพ โดยคนไทยมีความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา มี พัฒนาการที่ดีรอบด้านและมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อสังคมและผู้อื่น มัธยัสถ์อดออม โอบออ้ มอารี มีวนิ ยั รักษาศลี ธรรม และเป็นพลเมอื งดขี องชาติ มหี ลักคดิ ทถี่ ูกต้อง มีทกั ษะที่จ่าเป็นในศตวรรษที่ 21 มี ทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่ 3และอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่น มีนิสัยรักการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่าง ตอ่ เนอ่ื งตลอดชวี ติ สกู่ ารเปน็ คนไทยท่ีมีทักษะสูง เป็นนวัตกร นักคิด ผู้ประกอบการ เกษตรกรยุคใหมแ่ ละอ่ืน ๆ โดยมี สมั มาชพี ตามความถนัดของตนเอง ประเด็นที่ 2 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต มุ่งเน้นการพัฒนาคนเชิงคุณภาพในทุกช่วงวัย ประกอบดว้ ย (1) ชว่ งการต้งั ครรภ์/ปฐมวัย เน้นการเตรียมความพร้อมให้แก่พ่อแม่ก่อนการตั้งครรภ์ (2) ช่วงวัยเรียน/ วัยรุ่น ปลูกฝังความเป็นคนดี มีวินัยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่สอดรับกับศตวรรษที่ 21 (3) ช่วงวัยแรงงาน ยกระดับ ศักยภาพ ทักษะและสมรรถนะแรงงานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ (4) ช่วงวัยผู้สูงอายุ ส่งเสริมให้ ผู้สูงอายเุ ปน็ พลังในการขบั เคลอื่ นประเทศ ประเด็นที่ 6 การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดย (1) การสร้างความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวไทย (2) การส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (3) การปลูกฝังและพัฒนาทักษะนอก ห้องเรียน และ (4) การพัฒนาระบบฐานข้อมลู เพ่ือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สอดคล้องกบั แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 ยทุ ธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทนุ มนุษย์ 3.1 ปรับเปลย่ี นค่านยิ มคนไทยให้มีคณุ ธรรม จริยธรรม มวี ินยั จติ สาธารณะ และพฤติกรรม ทพ่ี ึงประสงค์ 3.1.2 ส่งเสริมให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียนที่สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ความมีวินัย จิตสาธารณะ รวมทั้งเร่งสร้างสภาพแวดล้อมภายในและโดยรอบสถานศึกษาให้ปลอด จากอบายมุขอย่าง จรงิ จัง 3.2 พัฒนาศักยภาพคนให้มที กั ษะความรู้และความสามารถในการดำรงชวี ติ อย่างมคี ุณค่า 3.2.2 พัฒนาเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นใหม้ ีทักษะการคิดวิเคราะหอ์ ย่างเป็นระบบ มีความคิด สร้างสรรค์ มี ทักษะการทำงานและการใช้ชีวิตที่พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน
2 3.3 ยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษาและการเรยี นรู้ตลอดชีวิต 3.3.6 จัดทำส่ือการเรยี นรู้ท่เี ปน็ ส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์และสามารถใชง้ านผา่ นระบบอปุ กรณส์ อ่ื สารเคลื่อนท่ี ให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ทั่วถึง ไม่จากัดเวลาและสถานที่ และใช้มาตรการทางภาษีจูงใจให้ ภาคเอกชนผลิตหนังสอื สอื่ การอา่ นและการเรยี นร้ทู ่ีมคี ุณภาพและราคาถูก 3.3.7 ปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และมีชีวิต อาทิพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด โบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ โรงเรียนผูส้ ูงอายุ รวมทั้งส่งเสริมให้มีระบบการจดั การความรู้ที่เป็นภมู ิ ปัญญาทอ้ งถิน่ สอดคล้องกับนโยบาลของรัฐบาล (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร) 1. การพัฒนาและเสรมิ สรา้ งศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 1.1 การจัดการศึกษาเพ่ือคณุ วฒุ ิ พฒั นาผ้เู รยี นให้มคี วามรอบรูแ้ ละทักษะชีวติ เพื่อเป็นเคร่ืองมือในการ ดำรงชีวติ และสรา้ งอาชีพ อาทิ การใช้เทคโนโลยีดจิ ทิ ัล สุขภาวะและทัศนคติที่ดตี ่อการดูแลสุขภาพ 1.2 การเรียนรตู้ ลอดชีวิต - จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ (English for All) สอดคล้องกบั นโยบายและจุดเน้นการดำเนนิ งาน กศน. จดุ เนน้ การดาํ เนนิ งานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2. ด้านการสร้างสมรรถนะและทกั ษะคุณภาพ 2.1 สง่ เสรมิ การจดั การศึกษาตลอดชีวติ ที่เนน้ การพฒั นาทกั ษะที่จาํ เปน็ สำหรับแต่ละช่วงวัย และ การจัดการศึกษาและการเรยี นรู้ทีเ่ หมาะสมกบั แตล่ ะกลุม่ เปา้ หมายและบริบทพ้นื ท่ี 2.4 ส่งเสริมการจัดการศึกษาของผู้สูงอายุเพื่อให้เป็น Active Ageing Workforce และมี Life Skill ในการดํารงชีวิตทเ่ี หมาะกบั ช่วงวัย 3. ด้านองค์กร สถานศึกษา และแหลง่ เรียนรูค้ ุณภาพ 3.3 ปรับรูปแบบกจิ กรรมในหอ้ งสมดุ ประชาชน ทเ่ี น้น Library Delivery เพื่อเพิม่ อัตราการอ่าน และการรู้หนงั สือของประชาชน 3.5 สง่ เสริมและสนับสนนุ การสร้างพ้นื ท่ีการเรียนรู้ ในรปู แบบ Public Learning Space/ Co- Learning Space เพอื่ การสร้างนเิ วศการเรียนรู้ใหเ้ กิดข้นึ สังคม
3 สอดคลอ้ งกบั ตัวชวี้ ัดการประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษา มาตรฐานการศึกษาตามอัธยาศยั มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพของผู้รบั บริการการศึกษาตามอัธยาศยั ตวั บง่ ชี้ท่ี 1.1 ผู้รบั บรกิ ารมคี วามรู้ หรือทักษะ หรือประสบการณ์ สอดคล้องกับ วตั ถุประสงค์ของโครงการ หรอื กิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศัย มาตรฐานที่ 2 คุณภาพการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบง่ ชท้ี ่ี 2.1 การกำหนดโครงการหรือกิจกรรมการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ตัวบ่งช้ที ่ี 2.2 ผู้จัดกิจกรรมมคี วามรู้ ความสามารถในการจดั การศึกษาตามอธั ยาศัย ตวั บ่งชท้ี ่ี 2.3 สือ่ หรอื นวัตกรรม และสภาพแวดล้อมทเี่ อ้ือตอ่ การจัดการศึกษาตาม อธั ยาศยั ตวั บ่งชท้ี ่ี 2.4 ผรู้ ับบรกิ ารมคี วามพงึ พอใจต่อการจัดการศึกษาตามอธั ยาศยั มาตรฐานที่ 3 คณุ ภาพการบริหารจัดการของสถานศกึ ษา ตัวบ่งชี้ท่ี 3.1 การบรหิ ารจัดการของสถานศกึ ษาที่เน้นการมีส่วนรว่ ม ตวั บ่งชี้ที่ 3.2 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษา ตวั บ่งชท้ี ่ี 3.5 การกำกับ นเิ ทศ ติดตาม ประเมนิ ผลการดำเนนิ งานของสถานศึกษา ตัวบง่ ชีท้ ่ี 3.7 การสง่ เสรมิ สนบั สนุนภาคีเครือขา่ ยให้มสี ว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษา ตวั บง่ ชีท้ ่ี 3.8 การสง่ เสริม สนบั สนุนการสรา้ งสงั คมแหง่ การเรียนรู้ ข้อเสนอแนะ ของ สมศ. ข้อที่ 1 ในการดำเนินแผนงาน/โครงการ สถานศึกษาควรมีการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานทุก ระยะ ขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อประเมินผลและนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นระบบครบ วงจร PDCA และในการประเมินความพึงพอใจ ควรเพิ่มข้อเหตุผล ข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะวา่ เพราะเหตุใดขอ้ นน้ั จงึ ใหค้ ะแนนมากหรือนอ้ ย ข้อที่ 13 ในการบริหารจัดการการดำเนินโครงการ กิจกรรมต่างๆ สถานศึกษาควรดำเนินการให้ ครบถ้วนเป็นระบบครบวงจร PDCA และในโครงการกิจกรรมควรกำหนดวัตถุประสงค์เป็นรูปธรรม มีการออกแบบ ประเมินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ มีการดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลอย่าง ต่อเนอื่ งและนำผลการประเมินทไ่ี ด้ไปวเิ คราะห์ถึงอุปสรรค และนำไปวางแผน ปรับปรงุ พัฒนาในปตี อ่ ไป
4 3. หลักการและเหตุผล วิถีชีวิต การเรียนรู้ การทํางานของคนในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไป รูปแบบการทํางาน มักจะไปนั่งทํางาน อ่าน หนังสือ ประชุม หรือทํางานกลุ่มตามสถานที่สาธารณะ มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ห้องสมุด หรือตาม Co - working Space ต่าง ๆ ด้วยเหตุผลหลากหลายไม่ว่าจะเป็นต้องการพื้นที่ในการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่เอื้อต่อ การเกิดแนวคิดใหม่ ๆ ในการทํางาน หรือบางครั้งจะรู้สึกว่ามีสมาธิมากกว่าที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทํางาน แต่พื้นที่ ลักษณะเช่นน้ีท่ีมีใหบ้ รกิ ารอยู่ในปัจจุบนั ยังเปน็ ข้อจํากัดในการเข้าถึงของหลาย ๆ คน ไม่วา่ จะเป็นเรื่องของระยะเวลา การเปิด – ปิดบริการ ค่าใช้จ่าย หรือถ้าเปิดให้ใช้บริการฟรีสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ หรือบรรยากาศ อาจยังไม่ ตอบโจทย์สําหรับการทํางาน หรือการอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ รวมไปถึงความปลอดภัยต่าง ๆ ในการเดินทางไปใช้ บริการตามสถานทีเ่ หล่านั้น ประกอบกบั สภาพสงั คมท่ีเปลย่ี นแปลงไปทาํ ให้รูปแบบการเรยี นรู้ของผู้รบั บริการห้องสมุด เปลี่ยนไปด้วยคนในปัจจุบันเปลี่ยนไปมีการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการค้นคว้าหาความรู้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ห้องสมุด ประชาชนจึงจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ การเรียนรู้ต้องพัฒนาให้มีรูปแบบที่หลากหลายเป็นไปตาม ความต้องการของผู้รับบริการทุกช่วงวัยยิ่งขึ้น จากแนวคิดดังกล่าวสู่การพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์การ เรียนรู้ Co - Learning Space ซึ่งสํานักงาน กศน. เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งมีภารกิจหลักในการจัดการศึกษาตาม อัธยาศัยให้กับประชาชนทุกช่วงวัย และมีแหล่งเรียนรู้ให้บริการหลากหลายรูปแบบ ห้องสมุดประชาชนก็เป็นหนึ่งใน แหล่งเรียนรู้ที่ให้บริการประชาชนควบคู่กับภารกิจอื่น ๆ ของ กศน. จึงถึงเวลาแล้วที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สําหรับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ได้มีโอกาสเข้าถึงได้ง่ายสามารถตอบทุกโจทย์ปัญหาความต้องการของประชาชน อย่างแท้จริง ศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) หรือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน จึงเกิดขึ้นภายใต้ แนวคิดทว่ี ่า การใหท้ ่มี ากกว่าแค่เพียง “พืน้ ท”ี่ แตย่ งั เป็นสถานทใ่ี นการสร้างแรงบันดาลใจ และแสดงถึงการแบ่งปัน ที่ ไม่เพียงแค่แบง่ ปันพื้นที่สําหรับทุกคน ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันแต่ทุกคนที่มายังได้ความรู้และแรงบันดาลใจดี ๆ กลับไป ด้วยเสมอ การนําแนวคิดในการปรับเปลี่ยนการให้บริการห้องสมุดประชาชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ในลักษณะศูนย์ การ เรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) ภายใต้นโยบายในการขับเคลื่อน กศน. สู่ กศน.WOW ของรัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงศึกษาธกิ าร (นางกนกวรรณ วลิ าวลั ย์) ในการพั ฒ นา กศน. ตําบล ใหม้ ีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ เอื้อต่อการเรียนรู้ : Good Place – Best Check in ข้อหน่ึงโดยการจัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ กศน. ใน 5 ภมู ิภาค เป็น ศูนย์การเรยี นรตู้ ้นแบบ (Co - Learning Space) และกําหนดให้ศูนยก์ ารเรียนรูต้ ้นแบบ (Co - Learning Space) มีพื้นที่บริการการเรียนรู้ร่วมกันตามความสนใจและความต้องการของผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศั ยทุก ช่วงวัย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุดประชาชน อำเภอชนแดนดำเนินการพฒั นาห้องสมุดประชาชนให้เปน็ ศนู ย์การเรียนรู้ Co - Learning Space เพื่อสร้างนิสัยรัก การอ่าน เพ่ือเป็นการพัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอ้ือต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการอ่านมาก ข้ึน
5 4. วัตถุประสงค์ 1. เพ่อื สง่ เสรมิ ให้หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดนเปน็ แหล่งเรยี นรู้ตน้ แบบ Co – Learning Space 2. เพื่อส่งเสริมนิสยั รักการอ่าน ผ่านกิจกรรมอย่างเปน็ รูปธรรม 3. เพื่อปรับปรุงบรรยากาศและภูมิทัศน์ทั้งภายในและภายนอกห้องสมุดให้น่าใช้บริการ เอื้อต่อการอ่านและ การเรยี นรู้ 5. เป้าหมาย เชงิ ปรมิ าณ ๑. หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดน จำนวน 1 แห่ง ๒. นกั เรยี น นกั ศึกษา และประชาชนทั่วไป จำนวน 247 คน เชงิ คุณภาพ ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน เป็นแหล่งเรียนรู้ในชุมชน ที่มีระบบการให้บริการและสภาพแวดล้อมที่มี ชีวิตและมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ในห้องสมุด โดยให้บริการการศึกษาค้นแก่นกั ศึกษาการศึกษานอกโรงเรยี นและ ผู้รบั บริการหอ้ งสมุด ทำให้เกดิ สงั คมแห่งการเรียนรู้ และนกั ศึกษา กศน. ผ้รู บั บริการหอ้ งสมุด สามารถนำความรู้ท่ี ไดไ้ ปใช้ในการดำเนินชวี ิตไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ
6. วธิ ีดำเนินการ กิจกรรมหลกั วัตถปุ ระสงค์ กลุ่มเป้าหมาย ก 1. ขั้นเตรียมการ ช เพื่อจัดประชุมครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบุคลากร ว 2. ประชุมกรรมการ ดำเนนิ งาน ศึกษา กศน. อำเภอชนแดน ช 3. จัดเตรยี มเอกสาร ข วัสดุ อุปกรณใ์ นการ - ชแี้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอยี ด จำนวน 21 คน จ ดำเนินโครงการ โครงการ - ช้ีแจงแนวทางในการดำเนนิ โครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนนิ การ เพ่อื อนมุ ัติ - แตง่ ตั้งกรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครูและบุคลากร ดำเนินงานทกุ ฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพ่ือดำเนินการจดั ทำ จดั ซ้อื วัสดุอุปกรณ์ กรรมการฝ่ายที่ได้รบั ทใ่ี ช้ในการดำเนนิ การ มอบหมาย
6 กลุ่มเป้าหมาย พน้ื ทีด่ ำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชงิ คณุ ภาพ) กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ช้แี จงทำความเข้าใจ รายละเอียดและ ชนแดน วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดโครงการ ชแี้ จงวตั ถุประสงค์ บทบาทหน้าที่ กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ของกรรมการดำเนินงานโครงการ ชนแดน เม.ย.65 - จดั ซื้อวสั ดุอปุ กรณใ์ นการจัดโครงการ กศน. อำเภอ ชนแดน
กจิ กรรมหลกั วตั ถปุ ระสงค์ ก กลุ่มเปา้ หมาย ๔. ดำเนินการจัด กจิ กรรม เพ่ือดำเนินการปรบั ปรุงภมู ิทัศนห์ อ้ งสมุด ให้ 1.หอ้ งสมุดประชาชน ห 5. สรปุ /ประเมินผล เป็นCo-Learning Space แหลง่ เรียนรขู้ อง อำเภอชนแดน ได และรายงานผล โครงการ คนในชุมชน จำนวน 1 แห่ง เป ๑. กิจกรรมรกั การอ่านผา่ นสื่อออนไลน์ 2. นักเรียน นกั ศกึ ษา ข ๒. กจิ กรรมวันรักการอ่าน และประชาชนทั่วไป ช ๓. กิจกรรมวนั สำคญั ตา่ งๆ จำนวน 247 คน ต ๔. กิจกรรมส่งเสริมการอา่ นและการเรยี นรู้ สำหรับนกั ศกึ ษา กศน. เพื่อให้กรรมการฝา่ ยประเมนิ ผลเกบ็ ตามกระบวนการ ส รวบรวมขอ้ มลู และดำเนินการประเมินผล ประเมนิ โครงการ ต การจัดกิจกรรม 5 บท จำนวน 3 เล่ม
7 กล่มุ เปา้ หมาย พนื้ ที่ดำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชงิ คณุ ภาพ) หอ้ งสมุดประชาชน เม.ย. ถึง - ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน อำเภอชนแดน ก.ย.65 ดร้ ับการปรับปรุงภูมทิ ศั นห์ ้องสมุด ให้ ป็นCo-Learning Space แหล่งเรียนรู้ ของคนในชมุ ชน เป็นแหลง่ เรียนรตู้ ลอด ชีวิต พร้อมใหบ้ ริการแก่กลุม่ เปา้ หมาย ต่างๆ สรุปรายงานผลการดำเนินงาน กศน. อำเภอ ก.ย.65 - ตามระบบ PDCA ชนแดน
8 7. วงเงนิ งบประมาณ ไมใ่ ช้ 8. แผนการใช้จ่ายงบประมาณ แผนการใช้จา่ ยรายไตรมาส ไตรมาสท่ี 1 ไตรมาสท่ี 2 ไตรมาสท่ี 3 ไตรมาสท่ี 4 - - - - 9. ผ้รู บั ผดิ ชอบโครงการ ตำแหน่ง : บรรณารักษ์ชำนาญการ ชอื่ - สกุล : นางวารี ชบู วั เบอร์โทรศัพทม์ ือถือ : 056 – 761667 เบอรโ์ ทรศัพทท์ ่ีทำงาน : 056 – 761667 อีเมลล์ : [email protected] ผู้ร่วมดำเนินการ นางสมบตั ิ มาเนตร์ ตำแหน่ง ครอู าสาสมัครฯ นางสาวลาวัณย์ สทิ ธกิ รววยแกว้ ตำแหน่ง ครอู าสาสมคั รฯ นางลาวิน สีเหลือง ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวมจุ ลินท์ ภูยาธร ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพันธ์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางผกาพรรณ มะหิทธิ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสรุ ัตน์ จนั ทะไพร ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นายเกรียงไกร ใหมเ่ ทวินทร์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวอุษา ย่ิงสกุ ตำแหน่ง ครูประจำศูนยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวกญั ญาณัฐ จนั ปัญญา ตำแหน่ง ครูประจำศูนย์การเรียนชุมชน นายปณั ณวัฒน์ สขุ มา ตำแหน่ง ครปู ระจำศูนย์การเรียนชมุ ชน นางสาววรางคณา น้อยจันทร์ ตำแหน่ง ครูประจำศนู ย์การเรยี นชุมชน นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธิ์ ตำแหนง่ ครปู ระจำศนู ยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวเยาวดี โสดา ตำแหน่ง นักจดั การงานทว่ั ไป
9 10. เครอื ข่าย 10.1 นักศึกษา กศน.อำเภอชนแดน 10.2 บ้านหนังสือชมุ ชน 11.โครงการท่เี ก่ยี วข้อง 11.1 โครงการจดั การศกึ ษาตามอธั ยาศัย 11.2 โครงการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี น 11.3 โครงการประชาสมั พนั ธง์ าน กศน. 11.4 โครงการส่งเสรมิ และพฒั นาประสทิ ธิภาพการทำงานรว่ มกบั เครอื ข่าย 11.5 โครงการประกันคุณภาพสถานศึกษา 12. ผลลัพธ์ 12.1 เปน็ แหลง่ เรยี นรู้ตน้ แบบ Co – Learning Space 12.2 หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดน สง่ เสริมการจดั กระบวนการเรยี นรู้ภายในห้องสมดุ 12.3 หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดน เปน็ แหลง่ เรยี นร้ทู ่ีสำคญั ของชุมชน ปรับปรุงบรรยากาศภูมิทัศน์ทั้ง ภายในและภายนอกห้องสมุดใหน้ ่าใชบ้ รกิ าร เอือ้ ตอ่ การอ่านและการเรยี นรู้ 13. ดัชนีวดั ผลสำเร็จของโครงการ 13.1 ตวั ช้วี ัดผลผลิต (output) หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จำนวน 1 แห่ง เป็นแหล่งเรียนรใู้ นชุมชน ที่มีระบบการให้บริการและสภาพแวดล้อมที่มีชีวิตและมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ในห้องสมุด โดยให้บริการ การศึกษาค้นแก่นักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนและประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ และนักศึกษา กศน. รวมท้ังประชาชนทว่ั ไป สามารถนำความรทู้ ี่ไดไ้ ปใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ิตได้อย่างมีความสขุ 13.2 ตัวชี้วัดผลลัพธ์ (outcome) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กจิ กรรม 14. การตดิ ตามผลและประเมนิ ผลโครงการ 14.1 แบบประเมินความพึงพอใจผ้เู ขา้ ร่วมกิจกรรม / โครงการ 14.2 สรุป/รายงานผลการจดั กจิ กรรม
10 บทที่ 2 เอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ ง พระราชดำริ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั ทรงพระราชปรารภวา่ การเรยี นรูใ้ นเรื่องราวและวชิ าการสาขาต่างๆ โดยกวา้ งขวาง เปน็ เหตุใหเ้ กิดความรู้ ความคิด และความฉลาด ซ่งึ เปน็ ปจั จยั สำคญั ท่สี ดุ สำหรับชีวิต ชว่ ยใหบ้ คุ คล สามารถสร้างประโยชนส์ ุข สร้างความเจรญิ มน่ั คงใหแ้ ก่ตนเอง ท้ังแกส่ งั คม และบ้านเมือง อันเปน็ ทพ่ี ่ึงอาศยั ได้ ทกุ คนจงึ ควรมโี อกาสทจ่ี ะศกึ ษาหาความรไู้ ด้ ตามความประสงค์ และกำลงั ความสามารถ โดยทวั่ กัน ทรงพระราชดำรวิ ่า หนงั สือประเภทสารานกุ รมน้ัน บรรจสุ รรพวชิ าการอนั เปน็ สาระไว้ครบทุกแขนง เมื่อมีความต้องการ หรือพอใจจะเรยี นรเู้ รอื่ งใด ก็สามารถคน้ หา อา่ นทราบโดยสะดวก นับว่า เป็นหนงั สอื ทีม่ ี ประโยชน์ เกือ้ กลู การศกึ ษา เพิม่ พูนปญั ญาด้วยตนเองของประชาชนอย่างสำคัญ โดยเฉพาะในยามท่ีมีปัญหาการ ขาดแคลนครู และทีเ่ ลา่ เรียนเช่นขณะน้ี หนงั สอื สารานุกรมจะช่วย คล่คี ลายให้บรรเทาเบาบางลงได้เปน็ อย่างดี จึง มพี ระราชดำรัสใหต้ ั้ง โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เพ่ือดำเนนิ การสรา้ งหนังสือสารานกุ รมฉบับใหม่ อกี ชุดหนง่ึ มีความม่งุ หมายท่ีจะนำวชิ าการแขนงต่างๆ ที่ควรศึกษา ออกเผยแพรแ่ กเ่ ยาวชน ให้แพรห่ ลายทัว่ ถงึ เพื่อเยาวชนจกั ไดห้ าความรู้ ช่วยตัวเองได้ จากการอ่านหนงั สอื และเพ่อื ให้ได้ประโยชนอ์ นั กวา้ งขวางยิง่ ขึ้น ทรง กำหนดหลักการทำคำอธิบายเร่อื งต่างๆ แต่ละเร่ือง เป็นสามตอน หรือสามระดับ สำหรบั ใหเ้ ดก็ ร่นุ เลก็ อา่ นเข้าใจ ระดับหนงึ่ สำหรบั เด็กรุ่นกลางอ่านเขา้ ใจไดร้ ะดบั หนึ่ง และสำหรับเดก็ รนุ่ ใหญ่ รวมถงึ ผ้ใู หญ่ผ้สู นใจอ่านได้อีก ระดับหนึง่ เพ่อื อำนวยโอกาสใหบ้ ดิ ามารดา สามารถใชห้ นังสอื นน้ั เป็นเครื่องมือแนะนำวิชาแกบ่ ุตรธดิ า และให้พี่ แนะนำวิชาแก่น้องเป็นลำดับกันลงไป นอกจากนนั้ เมือ่ เรื่องหนงึ่ เร่ืองใดมีความเกี่ยวพันตอ่ เนื่องถึงเร่ืองอนื่ ๆ ก็ให้ อ้างองิ ถงึ เรื่องนน้ั ๆ ดว้ ยทุกเรื่องไป ดว้ ยประสงคจ์ ะให้ผู้ศึกษาทราบตระหนักวา่ วชิ าการแต่ละสาขา มี ความสมั พนั ธ์เกี่ยวเน่อื งถึงกัน พงึ จะศึกษาใหค้ รบถว้ นทั่วถึง พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๒
11 หนังสือ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีพระราชประสงค์ให้ทุกคนได้อ่าน เน่ืองจากเป็นสารานุกรมแบบไทยที่คนไทยทำ โดยทรงกำหนดหลักการของการบรรจุสรรพวิชาและเน้ือหา เพ่ือ ตอบสนองความสามารถในการอ่านของเยาวชนในแต่ละระดับด้วยพระองค์เอง ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้ ความคิด ความฉลาด และความดี ซ่ึงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต อันจะช่วยบุคคลสามารถให้ประโยชน์แก่ส่วนรวม และสามารถพึง่ พาส่วนรวมได้ในอนาคต โดยพระราชประสงค์น้ีหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ จึงมีการออกแบบในแต่ละเล่มให้มีสาระ ความรู้ที่หลากหลายอยา่ งน้อย ๙ เรอ่ื งสำคัญ เป็นการสนองความต้องการของเยาวชนที่จะ ค้นคว้าสาระวชิ าตา่ ง ๆ ได้ด้วยตนเองอย่างหลากหลายในแต่ละเล่ม และนำไปอ้างอิงได้ พระมหากรุณาธิคุณนี้จะปกแผ่ พสกนิกรไป ชว่ั นริ นั ดร์ ความสำคญั ของการอ่าน การอ่านเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างหนึ่งของมนุษย์ ท่ีใช้สายตาและสมองรับรู้ความหมาย รวมทั้ง ความเข้าใจจากสิ่งที่อ่าน หากมนุษย์ไม่มีการจดบันทึกเร่ืองราวความเป็นมาของตนเอง อีกท้ังมนุษย์ไม่รู้จัก ความหมายของภาษาที่กลุ่มชนนั้น ๆ ใช้บันทึกโดยเฉพาะไม่รู้จักการอ่าน ย่อมทำให้มนุษย์ขาดการเรียนรู้ และ ความเข้าใจซ่ึงกนั และกนั ปัจจุบันมีส่ือมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เข้ามาแย่งเวลาของเราไป แต่การอ่านก็ยังถือว่า เป็นส่ิงที่ดี ไม่อาจนำเอาส่ิงใดมาทดแทนได้ หนังสือจะเป็นกญุ แจไขความรู้และความล้ีลับต่าง ๆ ในโลกให้แก่เรา ตามต้องการ และจากการอ่านเราจะไดค้ วามรู้สึกละเอียดอ่อน ความซาบซ้ึงไปกับความไพเราะและรสของภาษา เกดิ ภาพพจนไ์ ดเ้ ปน็ อย่างดี ซึ่งสื่ออยา่ งอืน่ จะไม่มสี ิ่งเหลา่ น้ี การอ่าน เป็นส่ิงจำเป็นต่อชีวิต ต่อความเจริญด้านต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนังสือนอกจากจะ ทำให้ผู้อา่ นเป็นผ้หู ูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคล่ือนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็น เครอื่ งกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวจิ ารณญาณและประสบการณ์ให้เพ่ิมพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคล เป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลที่มีประสิทธิภาพในการอ่าน อยู่มาก สังคมน้ันย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทำให้ความรู้ตา่ ง ๆ ล้าสมัยเร็วขน้ึ หนังสอื เทา่ น้นั ทสี่ ามารถทันความก้าวหนา้ เหลา่ นี้ การอา่ น เป็นสง่ิ จำเป็นตอ่ ชีวิต ต่อความเจริญในด้านตา่ ง ๆ ของมนุษยม์ าก การอ่านหนังสือนอกจากจะ ทำให้ผู้อา่ นเป็นผ้หู ูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคล่ือนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็น เครอื่ งกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวจิ ารณญาณและประสบการณ์ให้เพ่ิมพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคล เป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพในการอ่าน อยู่มาก สังคมนัน้ ย่อมจะเจรญิ พัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีทำให้ความรู้ตา่ ง ๆ ล้าสมยั เร็วขึ้น หนงั สือเทา่ น้ันที่สามารถทนั ความก้าวหนา้ เหล่าน้ี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เม่ือครั้งเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิด การประชุใหญ่สามัญประจำปี 2530 ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ได้ทรงบรรยายพิเศษในหัวข้อ เรื่อง
12 “การสรา้ งสงั คมการอ่านและการใชส้ ารนิเทศ” ณ โรงแรมบางกอกพาเลส เมื่อ วนั ที่ 21 ธนั วาคม 2530 ทรง กล่าวถึง เหตุท่ีพระองค์โปรดการอ่านหนังสือ และความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ 8 ประการ คือ (อ้างถึงใน อัมพร ทองใบ, 2540 : 9) 1. การอ่านหนงั สอื ทำใหไ้ ดเ้ น้ือหาสาระความรู้ มากกว่าการศกึ ษาหาความรู้ด้วยวิธอี น่ื ๆ 2. ผู้อ่านสามารถอา่ นหนังสอื ไดโ้ ดยไม่จำกดั เวลาและสถานที่ สามารถนำติดตวั ไปได้ 3. หนงั สือเกบ็ ไวไ้ ด้นานกว่าสื่ออยา่ งอ่ืน 4. ผอู้ า่ นสามารถฝึกการคิดและสร้างจนิ ตนาการได้เองขณะท่ีอา่ น 5. การอา่ นส่งเสริมให้มีสมองดี มสี มาธินานกวา่ และมากกว่าส่ืออย่างอนื่ เพราะขณะอา่ นจติ ใจต้องมุ่งมั่น อยู่กับขอ้ ความ พินจิ พิเคราะห์ขอ้ ความ 6. ผูอ้ า่ นเป็นผู้กำหนดการอา่ นได้ด้วยตนเอง จะอ่านคร่าว ๆ หรืออา่ นอย่างละเอยี ด อ่านข้ามหรือ อา่ นทกุ ตัวอักษรก็ได้ จะเลือกอ่านเล่มไหกไ็ ด้ 7. หนงั สอื มหี ลายรปู แบบ และราคาถกู กว่าส่อื อยา่ งอน่ื 8. ผู้อ่านเกิดความคิดเห็นได้ด้วยตนเองในขณะที่อ่าน สามารถวินิจฉัยเนื้อหาสาระได้ หนังสือบางเล่ม สามารถนำไปปฏิบตั ิไดด้ ว้ ย และเม่ือปฏิบัติแลว้ กเ็ กิดผลดี ส. ศิวรักษ์ (2512 : นำเรื่อง) ได้แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือ เป็นกิจที่จำเป็นสำหรับทุก ๆ คน ที่อ่านออกเสียงได้ ยิ่งได้อ่านหนังสืออียิ่งมีค่ามาก สมดังคำของ ฟรานซิล เบคอน ทวี่ า่ “การอา่ นชว่ ยใหค้ นเป็นคนเต็มที”่ นายตำรา ณ เมืองใต้ (2515 : 298-299) กล่าวถงึ ความสำคญั ของตัวหนังสอื และหนงั สอื ว่า “...บางทกี ารท่ีเราได้อา่ นหนังสือกนั อยู่ทุกเม่ือเช่ือวัน จะทำให้เราลืมนกึ ถึงความสำคัญของตัวอักษร อัน ปรากฏอยู่ข้างหน้าเราเสียกไ็ ด้ ตัวอักษรน้ีเป็นส่ิงจารึกและรักษาความคิดเห็นอันล้ำค่าของปราชญ์และกวีไวใ้ ห้เรา ...การที่เราจะหาประโยชน์ในการอ่านให้ได้เตม็ ที่ ก็ควรระลึกได้ หรือแลเห็นความสำคัญของตัวหนังสือ ซ่ึงเราได้ พบอยทู่ ุกวนั จนกลายเป็นสิง่ ธรรมดาน้ันเสียกอ่ น” รัญจวน อินทรกำแหง และคณะ (2523 : 27-28) กล่าวถึง ความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือความจำเป็นต่อชีวิตของคนในยุคปัจจุบันยิ่งกว่ายุคท่ีผ่านมา เพราะโลกปัจจุบันเป็นโลกที่หมุน เร็ว ท้ังในด้านวัตถุ วิทยาการ และแปรเปลยี่ นเร็ว ฉะนนั้ จงึ จำเป็นอยา่ งยิ่งท่ีจะต้องอ่านหนังสือ เพือ่ ให้สามารถ ตดิ ตามความเคลื่อนไหว ความกา้ วหนา้ และความเปล่ยี นแปรทงั้ หลายได้ทนั กาล” สมถวลิ วิเศษสมบัติ (2528 : 73) ได้กล่าวถึงทักษะการอ่านไว้ สรุปได้ว่า การอ่านเป็นทักษะท่ีสำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน ผู้ท่ีมีนิสัยรักการอ่านและมีทักษะในการอ่านมีอัตราเร็วในการอ่านสูง ย่อมแสวงหา ความรแู้ ละการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ในการพูดและการ เขยี นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ยุพร แสงทักษิณ (2531 : 1) กล่าวว่า “การอ่านหนังสือ เป็นเร่ืองจำเป็นสำหรับมนุษย์ การอ่านทำ ให้เราสามารถก้าวตามโลกได้ทัน เพราะโลกปัจจุบันน้ีไม่ได้หยุดนิ่ง มีความก้าวหน้าเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทัง้ ในด้านวัตถุ วิทยาการ ความคิด ฯลฯ ด้วยเหตุที่เราตอ้ งมีความสัมพนั ธ์กับสงั คมและสิ่งแวดล้อม เราจึงควรต้อง
13 ปรับตัวเราให้สอดคล้องไปด้วย มิฉะนั้นเราจะกลายเป็นคนโง่ ล้าหลัง อาจประพฤติปฏิบัติผิด ๆ พลาด ๆ ก็ได้ ด้วยความรเู้ ท่าไมถ่ งึ การณ์” สุจรติ เพยี รชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2538 : 136) กล่าวถงึ ทักษะการอ่านไวว้ ่า “ทกั ษะการ อ่านเป็นทักษะท่ีสำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นทักษะที่นักเรียนใช้แสวงหาสรรวิทยาการต่าง ๆ เพ่ือความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและ มีทักษะในการอ่าน มีอัตราเร็วในการ อา่ นสูง ย่อมแสวงหาความรู้ และศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ ในการพดู และการเขยี นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี” ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของ จนิ ตนา ใบกาซูยี (2534 : 57) ท่ีกล่าวถงึ ความสำคัญของ การอ่าน มี ใจความโดยสรปุ ว่า การอ่านเป็นสิ่งจำเป็นสำหับชีวิตปจั จุบนั ทั้งในด้านการดำเนนิ ชีวิตประจำวนั ดา้ นการศึกษา หาความรู้เพื่อประกอบอาชีพในอนาคต เป็นการพัฒนาความเจริญงอกงามทางสมองและปัญญา รวมท้ังเป็นการ พักผ่อนหยอ่ นใจจากชีวิตประจำวัน อัมพร สุขเกษม (2542 : 1) ได้กล่าวถึง การอ่านหนังสือว่า มีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต มนุษย์ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศด้วย เพราะการอ่านหนังสือช่วยให้ผู้อ่านรู้จักวิธีบำรุงรักษา สุขภาพของตน รู้จักวิธีการใหม่ ๆ สำหรับใช้พัฒนาอาชีพ ช่วยผ่อนคลายความเครียด มีความเพลิดเพลิน เกิด ความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจความเคลื่อนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สามารถรับรู้และปรับตัวให้เข้ากับ ความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งล้วนแตเ่ ปน็ ประโยชน์ท้ังสน้ิ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ (2546 : 55-56) กล่าวถงึ ความสำคัญของการอา่ นสรุปได้ ดงั นี้ 1. การอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน จำเป็นต้องอ่าน หนงั สือเพอื่ การศกึ ษาหาความรู้ต่าง ๆ 2. การอ่านเป็นเครื่องมือช่วยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ที่ได้ จากการอา่ นไปพฒั นางานของตนได้ 3. การอ่านเป็นเคร่ืองมือสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของคนรนุ่ หนึ่ง ไปสคู่ นรนุ่ ตอ่ ๆ ไป 4. การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ ท่ีได้จาก การอ่าน เม่ือเกบ็ สะสมเพิ่มพนู นานวันเขา้ กจ็ ะทำใหเ้ กิดความคิด เกิดสติปญั ญา เป็นคนฉลาดรอบรไู้ ด้ 5. การอ่านเป็นกิจกรรมท่ีก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นวิธีหนึ่งในการแสวงหาความสขุ ให้กับ ตนเองทง่ี า่ ยท่สี ุดและได้ประโยชน์ค้มุ ค่าท่สี ุด 6. การอ่านเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนท่ีสมบูรณ์ท้ังด้านจิตใจและบุคลิกภาพ เพราะเม่ือ อา่ นยอ่ มรู้มาก สามารถนำความรไู้ ปใชใ้ นการดำรงชีวิตได้อยา่ งมคี วามสุข 7. การอา่ นเป็นเครื่องมือในการพฒั นาระบบการเมือง การปกครอง ศาสนา ประวตั ิศาสตร์ และสังคม 8. การอา่ นเปน็ วธิ ีการหนง่ึ ในการพัฒนาระบบการสอ่ื สารและการใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ กล่าวโดยสรุป การอ่านมีความสำคัญและจำเป็นอย่างย่ิงในสังคมปัจจุบัน เพราะเราต้องแสวงหาความรู้ ข้อมูลข่าวสาร การเคล่ือนไหวทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การอ่านส่งเสริมให้ผู้อ่านมีพัฒนาการใน
14 ความรู้และความคิด มองโลกที่กว้างไกล เข้าใจปัญหาท่ีเกิดขึ้นในสังคมผ่านสื่อการสอน ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีจะช่วยให้ สามารถตัดสินใจได้อยา่ งถูกต้อง มคี วามเฉลยี วฉลาด สามารถประกอบอาชพี และเป็นพลเมอื งทด่ี ขี องประเทศชาติ ได้ ความหมายของการอ่าน มีผู้ให้คำจำกัดความ ใหน้ ิยาม หรอื ใหค้ วามหมายของการอ่านไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 1405) ให้คำจำกัดความว่า “อ่าน ก. ว่า ตามตัวหนังสือ ; ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ ; สังเกต หรือพิจารณาดูเพ่ือใหเ้ ข้าใจ” เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านในใจ ; ตีความ เช่น อา่ นรหัส อา่ นลายแทง ; คิด, นบั (ไทยเดิม) ประทีป วาทกิ ทินกร และ สมพันธุ์ เลขะพันธ์ุ (2534 : 2) ให้ความหมายไว้วา่ “การอ่าน คอื การรับรู้ ข้อความในข้อเขียนของตนเอง หรือของผู้อ่ืน รวมท้ังการรับรู้เครื่องหมายส่ือสารต่าง ๆ” เช่น เครื่องหมายจราจร และเครื่องหมายทแี่ สดงในแผนภูมิ เปน็ ตน้ กุสุมา รักษมณี และ คณะ (2536 : 77) นิยามความหมายของการอ่านว่า “การอ่านเป็นพฤติกรรม การสนทนาโต้ตอบระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน โดยการสื่อสารผ่านสาร หรือข้อเขียนท่ีเรียบเรียงเป็นข้อความภาษา ซ่งึ มรี ปู แบบและวตั ถปุ ระสงคแ์ ตกตา่ งกนั ไป แทนการพดู คยุ กันโดยตรง” เปล้ือง ณ นคร (2538 : 14) การอ่าน (หนังสือ) คือ กระบวนการที่จะเข้าใจความหมาย ท่ีติดอยู่ กับตวั อกั ษรหรือตวั หนงั สือ พันธ์ุทิพา หลาบเลิศบุญ และ คณะ (2539 : 45) กล่าวว่า การอ่าน คือ การแปลความหมายของ ตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนำความคิดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังน้ันหัวใจของการอ่านอยู่ที่การเข้าใจ ความหมายของคำ ศรีสุดา จริยากุล (2545 : 5) ให้ความหมายของการอ่านไว้ใน “ความเข้าใจท่ัวไปเกี่ยวกับการอ่าน” ว่า “การอ่าน คือ การรับรู้ความหมายของสารจากลายลักษณ์อักษร ซึ่งอาจจะเป็น การอ่านในลักษณะการ อา่ นออกเสยี ง หรือการอ่านในใจกไ็ ด”้ ทพิ ยส์ ุเนตร อนัมบุตร (2551 : 5) ให้คำจำกัดความว่า การอ่าน คือ การรับสารในการใช้ภาษาไมว่ ่าจะ เปน็ ภาษาใด ย่อมประกอบดว้ ย 2 ฝ่าย คือ ฝา่ ยส่ง > สาร > ฝา่ ยรบั ฝ่ายส่งสารยอ่ มส่งโดยการพูดหรือการเขยี น ฝ่ายรับสารจงึ รบั ไดโ้ ดยการฟังหรือการอา่ น นอกจากความหมายของการอ่านท่ีได้กล่าวมาน้ีแล้ว ยังมีนักการศึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนอ่านและ ด้านการอา่ นชาวตา่ งประเทศ ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่านไว้ ดังต่อไปน้ี อัลเฟรด สเตปเฟอรุด (Alfred Stefferud, 1953 : 84) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า เป็นการ กระทำทางจติ ใจ ท่ผี ูอ้ า่ นยอมรับความหมายจากความคดิ เหน็ ของบุคคลอ่ืน
15 จอร์จ ดี. สปาช และ พอล ซี. เบิร์ก (George D. Spache and Paul C. Berg, 1955 : 3-4) กล่าวว่า การอ่าน เป็นการผสมผสานระหว่างทักษะหลายชนิด เพ่ือสร้างความเข้าใจ โดยเป็นไปตามจุดประสงค์ตาม ต้องการ และวิธีการของผู้อา่ น พอล ดี. ลิดดี (Paul D. Leedy, 1965 : 3) ให้นิยามการอ่านไว้ว่า คือ การรวบรวมความคิดและ ตคี วามหมาย ตลอดจนประเมินคา่ ความคิดเหล่านั้นทป่ี รากฏอยตู่ ามสิ่งพิมพแ์ ตล่ ะหน้า เอดการ์ เดล (Edgar Dale, 1956 : 89) ให้ความหมายไว้ว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการค้นหา ความหมายจากส่ิงพิมพ์ เป็นการเพ่ิมพูนประสบการณ์ของผู้อ่าน การอ่านไม่ได้หมายความเฉพาะการมองผ่านา แต่ละประโยค หรอื แตล่ ะย่อหนา้ เทา่ น้ัน แต่ผอู้ ่านต้องเข้าใจความคิดนั้น ๆ ดว้ ย มอร์ติเมอร์ เจ. แอดเลอร์ (Mortimer J. Adler, 1959 : 27) กล่าวว่า การอ่าน ห มายถึง กระบวนการตีความหมาย หรือสร้างความเข้าใจจากตัวอักษร หรือสัญลักษณ์อ่ืน ๆ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น กระบวนการต่าง ๆ ท่กี อ่ ใหเ้ กดิ ความเข้าใจนี้ เรียกวา่ ศิลปะในการอา่ น กูดแมน (Goodman, 1970 : 5-11) ได้ให้คำจำกัดความของการอ่านว่า “การอ่านเป็นกระบวนการท่ี สลับซบั ซ้อนเก่ียวกับการแสดงปฏิกิริยาร่วมกัน ระหว่างความคดิ และภาษา เนื่องจากผู้อ่านจะต้องพยายามสร้าง ความหมายข้ึนจากตัวอักษร การอ่านจึงเปน็ กระบวนการท่ตี ้องใชค้ วามคดิ อยู่ตลอดเวลา ผูอ้ ่านจะต้องอาศัยการ พินิจพิจารณาส่ิงที่ปรากฏอยู่ในข้อความท่ีอ่าน เพื่อใช้เป็นเครือ่ งช่วยในการเลือกความหมายท่ีเหมาะสมท่ีสุดจาก เนอื้ ความทอี่ า่ น จากคำจำกัดความนิยามดังกล่าวมาแล้ว อาจสรุปและเพิ่มเติมความหมายของการอ่านได้ว่า การอ่าน เป็นพฤตกิ รรมการสนทนาโต้ตอบระหว่างผูอ้ ่านกบั ผู้เขียน เป็นกระบวนการของการรับรแู้ ละเข้าใจสาระทเ่ี ขียนข้ึน เป็นการรวบรวมความคิด ตีความ ทำความเข้าใจในส่ิงที่อ่าน เพื่อพัฒนาตนเองท้ังในด้านสติปัญญา อารมณ์ และ สังคม ประโยชนข์ องการอา่ น หนังสือท่ีดี ย่อมใหค้ ุณค่าแก่ผู้อ่านเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนงั สือทางวิชาการ หรือเรื่องอ่านเล่น ทันทีท่ีหยิบ หนังสือขนึ้ มาอ่าน แม้จะเพียง 2-3 นาที ผู้อ่านกจ็ ะ “ได้” ประโยชนไ์ มด่ ้านก็ด้านหน่งึ เชน่ ประโยคทไ่ี พเราะ ประทับใจ มีข้อคิดซึ่งอาจแก้ปัญหาท่ีคิดไม่ตกอยู่นาแล้ว ประโยชน์ของ การอ่านมีหลายประการ ดังท่ี เทือก กสุ มุ า ณ อยุธยา (2511 : 47) กลา่ วว่า การอ่านหนงั สือมีประโยชน์ ดังน้ี 1. ประโยชน์ในฐานท่ีเป็นวรรณคดี คือ ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์สะเทือน ใจ และความนึกฝนั ไปตามทอ้ งเรื่อง 2. ประโยชน์อันเกิดแก่ผู้เขียนเอง ได้แก่ การระบายอารมณ์ การแสดงความคิด การให้ทัศนะ หลกั เกณฑ์ชีวิตแก่ผอู้ า่ น 3. ประโยชน์ในฐานที่เป็นเคร่ืองบันเทิง ทั้งยังมีการประยุกต์เป็นละครวิทยุ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นต้น
16 4. ประโยชน์ในด้านความรู้ เช่น สภาพความเปน็ อยู่ ภูมิฐานสง่าของบ้านเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ หรือ เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตในเร่ืองท่ีแต่งก็ได้ เช่น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ จะทำให้ผู้อ่านทราบรายล เอยี ดของชีวติ ได้ดกี ว่าหนงั สือประวัตศิ าสตร์ 5. ประโยชน์ในด้านภาษา ผูอ้ า่ นจะไดร้ ับรสไพเราะทางภาษา ทรี่ ้อยกรองไวอ้ ยา่ งประณตี บรรจงแล้ว 6. ประโยชน์ทางด้านคติธรรม เป็นเคร่ืองชำระจิตใจผู้อ่าน ยกระดับจิตใจให้สูงขนึ้ ถ้าเป็นวรรณคดีท่ี ดี 7. ประโยชน์ทางการเมือง อาจทำให้การเมืองผันแปรได้ โดยผู้แต่งใช้นวนิยายเป็นสื่อคัดค้านความอ ยุตธิ รรม และทำใหผ้ ู้อ่านเหน็ ด้วยได้ ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และ คณะ (2546 : 56-57) กลา่ วถงึ ประโยชน์ของการอา่ น สรุปได้ดังน้ี 1. ทำให้มคี วามรใู้ นวิชาการด้านตา่ ง ๆ อาจเป็นความรู้ท่ัวไป หรือความรเู้ ฉพาะด้านกไ็ ด้ 2. ทำให้รอบรู้ทันโลก ทันเหตกุ ารณ์ ซง่ึ นอกจากจะทำให้ร้ทู ันข่าวสารบ้านเมืองและสภาพการณ์ตา่ ง ๆ ในสมัยสังคมท้ังภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังจะได้ทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความวิจารณ์ ตลอดจนการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการปรับความเป็นอยู่ให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพสังคมของตนในขณะน้นั 3. ทำให้ค้นหาคำตอบที่ต้องการได้ การอ่านหนังสือจะช่วยตอบคำถามที่เราข้องใจ สงสัยต้องการรู้ได้ เชน่ อา่ นพจนานกุ รม เพือ่ หาความหมายของคำ อ่านหนงั สอื กฎหมาย เพื่อตอ้ งการรขู้ อ้ ปฏบิ ัติ เป็นต้น 4. ทำให้เราเกิดความเพลิดเพลิน การอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาดี น่าอ่าน น่าสนใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านมี ความสุขความเพลิดเพลนิ เกิดอารมณ์คลอ้ งตามอารมณ์ของเรื่องนั้น ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียด ได้ข้อคิด และ ยงั เป็นการยกระดับจิตใจผ้อู ่านให้สูงขน้ึ ไดอ้ ีกด้วย 5. ทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในการอ่าน ผู้ที่อ่านหนังสือสม่ำเสมอ ย่อมเกิดความชำนาญในการ อ่าน สามารถอ่านได้เร็ว เข้าใจเรื่องราวท่ีอ่านได้ง่าย จังใจความได้ถูกต้อง เข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่อง และ สามารถประเมินคณุ ค่าเรอื่ งทีอ่ า่ นได้อย่างสมเหตุสมผล 6. ทำให้ชีวิตมีพัฒนาการเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ผู้ท่ีอ่านมากย่อมรู้เร่ืองราวต่าง ๆ มาก เกิดความรู้ ความคิดท่ีหลากหลายกว้างไกล สามารถนำมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ชีวิต มีคุณค่าและมี ระเบยี บแบบแผนทด่ี ีย่งิ ข้นึ 7. ทำให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเสริมสร้างบุคลิกภาพ ผู้อ่านมากย่อมรอบรู้มาก มีข้อมูลต่าง ๆ สั่งสมไว้มาก เมื่อสนทนากับผู้อื่นย่อมมีความมั่นใจไม่ขัดเขิน เพราะมีภูมิรู้ สามารถถ่ายทอดความรู้ ให้คำแนะนำ แกผ่ ู้อื่นในทางทก่ี อ่ ให้เกดิ ประโยชน์ได้ ผ้รู อบรูจ้ ึงมกั ได้รบั การยอมรับ และเป็นที่เช่ือถอื จากผู้อ่ืน การอ่านหนังสือจะให้ประโยชน์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการ “อ่านเป็น” ซ่ึงจะต้องฝึก การอ่าน อย่างสม่ำเสมอจนเกิดความเข้าใจ ความซาบซ้ึง รู้จักวิเคราะห์ และเกิดความคิดจากการอ่านหนังสือ ซ่ึงถือว่า สำคัญมาก ดังที่ รัญจวน อินทรกำแหง (2518 : 36-37) กล่าวไว้ในวรรณกรรมวิจารณ์ ตอที่ 2 ว่า “...การ อ่านหนังสือที่จะได้รับ “ค่า” ของหนังสือจริง ๆ น้ัน ต้องอ่านให้ได้ “ความคิด” ท่ีแฝงอยู่เบื้องหลังตัวหนังสือ
17 นนั้ มิฉะน้นั แล้ว การอา่ นน้ันก็หาความหมายอันใดไม่ และกเ็ ป็นที่น่าเสียดายเวลาอันมีค่าท่ีจะเสียไปในการอ่าน นน้ั ...” การอ่านที่จะให้ผู้เรียนเกิด “ความคิด” จากหนังสือท่ีอ่านก็โดยการท่ีครูหรือผู้ปกครองช่วยชี้แนะ หรือ ช่วยเลือกหนังสืออ่านให้เหมาะสมกับวัย เช่น เนื้อเร่ืองเป็นเรื่องราวที่อยู่ในความสนใจของเด็กตาวัยของเขา สำนวนภาษาท่ีเด็กในวยั น้ัน ๆ จะเข้าใจได้ ตวั ละครเป็นบุคคลท่ีอยู่ในวัยเดยี วกนั หรอื ใกล้เคียงกัน ถ้าเปน็ เช่นน้ัน เด็กจะเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ย่ิงอ่าน ยิ่งสนุก เปลื้อง ณ นคร (2538 : 16) ได้ยกคำของ จางจื้อ นกั ปราชญ์โบราณผู้มีชื่อเสียงของจีน มากล่าวไว้ใน “ศิลปะแห่งการอา่ น” ว่า “ถ้าในโลกน้ไี ม่มหี นังสือก็แล้วไป เถดิ แต่เมื่อหนงั สอื มอี ยู่ในโลก เรากค็ วรจะอ่าน” จดุ มงุ่ หมายในการอ่าน การอ่าน มีจุดประสงค์ท่ีกำหนดขึ้นตามความต้องการของผู้อ่าน ซึ่งอาจต้องการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพ่ือ ประโยชน์เชิงวิชาการ หรืออ่านเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การอ่านของแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป อาจจำแนกไดก้ วา้ ง ๆ ดังน้ี 1. อ่านเพื่อหาความรู้หรอื เพิ่มพูนความรู้ เปน็ ความรู้จากหนงั สือประเภทตำราทางวชิ าการ สารคดีทาง วชิ าการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ การอ่านจากหนังสือที่มีสาระเดียวกัน ควร อ่านจากผู้เขียนหลาย ๆ คน เพ่ือเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง แม่นยำของเน้ือหา ผู้อ่านจะมีความรอบรู้ ได้ แนวคิดทหี่ ลากหลาย การอา่ นเพ่อื ศกึ ษาหาความรูน้ ้ี เป็นการอา่ นเพ่ือสั่งสมความรู้และประสบการของผอู้ า่ น 2. อ่านเพ่ือให้ทราบข่าวสาร ความคิด เป็นการอ่านเพื่อให้ทราบข่าวสารความคิด เข้าใจแนวคิด ซ่ึง ได้แก่ การอ่านหนังสือประเภทบทวิจารณ์ข่าว รายงานการประชุม ผู้อ่านไม่เคยเลือกอ่านหนังสือที่สอดคล้องกับ ความคิดและความชอบของตน ควรเลอื กอา่ นอย่างหลากหลาย จะทำให้มีมมุ มอทีก่ ว้างข้ึน จะช่วยให้เรามเี หตผุ ล อืน่ ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ ได้ล่มุ ลึกมากขนึ้ 3. อ่านเพื่อความเพลิดเพลนิ หรอื เพื่อความบันเทิง ความชนื่ ชม การอ่านเป็นอาหารใจ ให้เกดิ ความ บันเทิงใจ อ่านแล้วเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ที่ได้จากการอ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดี เช่น นวนิยาย เร่ืองส้ัน เร่ืองแปล การ์ตูน หรืออ่านบทละคร อ่านบทกวีนิพนธ์ บทเพลง บทขำขัน เป็นต้น นอกจากจะ เพลดิ เพลนิ ไปกบั ภาษาและเรือ่ งราวท่สี นุกสนานแลว้ ยงั ได้ความรู้ และคตขิ อ้ คดิ ควบคไู่ ปด้วย 4. อา่ นเพ่ือพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม การอ่านเพอ่ื พัฒนาวิจารณญาณและคา่ นยิ ม จะเกี่ยวขอ้ ง กับการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนในระดับที่สูงข้ึน และมีการเพ่ิมพูนมวลประสบการณ์ทางโลกและชีวิตท่ี เจนจัดมากขึ้น นักเรียนจึงจะเข้าใจคติธรรมท่ีแทรกอยู่ในวรรณกรรมท่ีอ่าน ด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่าง สมเหตุสมผล สามารถเลือกและประยุกต์สิ่งที่มีคุณค่ามาพัฒนาตนเองให้เป็นทรัพยากรบุคคลท่ีมีคุณภาพ และ ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า สามารถ รับใช้สังคมประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ตามกำลังสติปัญญาท่ี เพม่ิ พนู ขึ้น อันสืบเน่ืองมาจากนักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ สภาพแวดล้อมของชีวิตในดา้ นท่ีเป็นสัจธรรมความ จริงสมบูรณข์ น้ึ (กสุ มุ า รักษมณี และคณะ, 2536 : 79)
18 5. การอ่านเพื่อกิจธุระหรือประโยชน์อื่น ๆ การอ่านเพ่ือกิจธุระอ่ืน ๆ นอกเหนือจากจุดมุ่งหมายท่ี กล่าวมาแล้ว เป็นการอ่านเพื่อประโยชน์เฉพาะกิจ เช่น อ่านแบบฟอร์มชนิดต่าง ๆ อ่านหนังสือสัญญาเงินกู้ จำนอง และซื้อขาย อ่านใบสมัครและระเบียบการ อ่านคำส่งั และสญั ญาณบ่งบอกที่มีความหมายต่าง ๆ เป็นต้น เราถือว่าสารเหล่าน้ีจะมีแบบแผนและรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะองค์การ หรือเฉพาะสังคม ซ่ึงการ ติดต่อส่ือสารในโลกปัจจุบัน เราไม่อาจหลีกเล่ียงการอ่านส่ิงเหล่านี้ได้เลย หากอ่านผิดพลาดหรือไม่เข้าใจ วัตถปุ ระสงค์ท่ีแท้จริง อาจก่อใหเ้ กิดความเสยี หาย หรือเสียผลประโยชน์ของเราได้ นอกจากนี้ ยังมีผู้อ่านหลายท่านท่ีนิยมอ่านหนังสือเพ่ือเสริมโลกทรรศน์ของตนเอง ให้ทันสมัยรู้ทัน เหตุการณ์ความเคล่ือนไหวในสังคม เช่น นักธุรกิจ จำเป็นต้องอ่านบทความหรือข่าวเศรษฐกิจจากหนังสือพิมพ์ วารสาร แ ละนติ ยสาร ท่ีเก่ียวข้องกบั งานของตนอยู่ตลอดเวลา เพ่ือเพม่ิ พูนประสทิ ธิภาพในการทำงาน และการ ตัดสินใจท่ีสอดคล้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ บางท่านสนใจอ่านติดตามข่าวสารการเมอื ง การปกครอง หรือประวัติ บุคคล และบทบาทของเขาท่ีกำลังดำเนินอยใู่ นสงคม เช่น ผู้นำประเทศ ผู้นำความคิดทางสังคม เพ่ือประโยชน์ ในการสมาคมกับผู้อื่น จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของเขาให้น่านิยมศรัทธามากย่ิงข้ึน เพราะเป็นผู้ท่ีมีโลกทรรศน์ ดีกวา่ ผทู้ ีไ่ ม่สนใจอา่ น หรือติดตามเหตุการณเ์ หลา่ นี้เลย กล่าวโดยสรุป จุดประสงค์ของการอ่านแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามความต้องการ ผู้อ่านจะกำหนด จุดประสงค์ของการอ่าน เพื่อตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะของตนเอง การอ่าน แต่ละครั้งย่อม กอ่ ให้เกดิ ประโยชน์แกผ่ ู้อ่านท้งั สิ้น ข้อควรคำนึงสำหรับผู้ที่อยู่ในวยั เรียน คอื ควรใชว้ ิจารณญาณในการเลือกเรื่อง ท่ีจะอ่าน และรู้จักแยกแยะ นำส่ิงที่เปน็ ประโยชนจ์ ากการอา่ นไปใช้ในการประอบกจิ กรมท่ีเกยี่ วขอ้ งกับการดำเนิน ชีวิตในแต่ละด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจัดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเสริมสร้างผลสัมฤทธ์ิของการอ่านให้บรรลุ จดุ มุ่งหมายแต่ละขอ้ ตามท่ีกล่าวมา ประเภทของการอา่ น การอ่านสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ท้งั น้ีขนึ้ อยู่กับว่า จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้า หากพจิ ารณาการอ่านโดยดจู ากจดุ มุ่งหมายของผู้อ่านเป็นหลัก เราอาจจะแบง่ ได้ ดงั นี้ (อัมพร ทองใบ, 2540 : 18-19) 1. อ่านผ่าน ๆ หรืออ่านเอาเร่ือง ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้อ่าน เช่น การพลิกตำราบางเล่ม เพ่ือดูว่าเนื้อหาครอบคลุมเรื่องท่ีจะค้นคว้าหรือไม่ อาจจะอ่านเพียงหัวเร่ืองหรืออ่านหน้าสารบัญ หรืออ่านหน้า ผนวกท้ายเลม่ เป็นต้น 2. การอ่านในใจ เป็นการอา่ นเพ่ือเก็บใจความและเพื่อทำความเขา้ ใจ เป็นการอา่ นเพ่ือแสวงหาความรู้ ความบันเทิงให้แก่ตนเอง ผู้อ่านจะต้องมีความรู้เก่ียวกับคำศัพท์ และสามารถเข้าใจเรื่องราวท่ีได้อ่านโดยตลอด การอ่านหนังสือเมื่ออ่านไปโดยตลอดก็พอจะเกบ็ ใจความได้ว่า เร่ืองท่ีอ่านมีเน้ือหาเร่ืองราวว่าอย่างไร หากมีบาง ตอนท่อี าจจะไม่เข้าใจ เพราะเร่อื งท่ีอา่ นนัน้ ยากเกินความร้ขู องผู้อ่านทีจ่ ะทำความเขา้ ใจได้ ผู้อ่านควรจะพยายาม เอาชนะดว้ ยการอ่านอยา่ งมสี มาธิ และรบั ร้คู วามหมายทุกถอ้ ยคำจนเกดิ ความเข้าใจเนือ้ เร่ืองไดต้ ลอด
19 สอางค์ ดำเนินสวัสด์ิ และคณะ (2546 : 88) แบ่งลักษณะการอา่ นเป็น 5 ชนิด คอื 1. การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นการอ่านเพ่ือสำรวจว่า ควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างละเอียดต่อไป หรือไม่ โดยอา่ นเพยี งชอื่ เรอื่ ง หัวขอ้ เร่ือง ช่อื ผู้แต่ง คำนำ หรือการอ่านเน้ือหาบางตอนโดยรวดเร็ว 2. การอ่านเพ่ือจับใจความสำคัญ เป็นการอ่านเพ่ือเก็บแนวคิดท่ีต้องการ และอ่านข้ามตอนที่ไม่ ตอ้ งการ 3. การอ่านเพื่อสำรวจเนื้อหา เป็นการอ่านเพ่ือทำเป็นบันทึกย่อ หรือทบทวนเพ่ือสรุปสาระสำคัญของ เรื่องทั้งหมด 4. การอา่ นเพอ่ื ศึกษาอยา่ งลกึ ซึง้ เปน็ การอา่ นละเอียด เพ่อื ให้เขา้ ใจเรอื่ งท่อี ่านอยา่ งชัดเจน 5. การอ่านเพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ เปน็ การอ่านละเอียด เพื่อวิเคราะห์เน้ือหาว่ามคี วามหมายและมี ความสำคญั อย่างไร รวมท้งั แสดงความคิดเหน็ อยา่ งมีเหตุผลเกี่ยวกบั เร่อื งที่อ่าน การอ่านแต่ละชนิดมีจุดประสงค์ต่างกัน และใช้เน้ือหาต่างกัน ผู้อ่านควรพิจารณาว่า ใช้การอ่านใน ลักษณะใดบ้างในชวี ิตประจำวัน และพิจารณาว่าตนมปี ระสทิ ธภิ าพในการอา่ นหรือไมโ่ ดยใช้เกณฑ์ข้นั ต้น ดังนี้ 1. เข้าใจรายละเอยี ดของเนอื้ เรอ่ื ง 2. จับใจความสำคญั ของเรอ่ื งได้ 3. สรุปความคดิ หลกั ของเรอื่ งได้ 4. ลำดบั ความคิดในเร่อื งได้ 5. คาดคะเนเหตกุ ารณ์ที่ไม่ปรากฏในเร่ือง หรือเหตุการณท์ จ่ี ะเกดิ ขน้ึ ต่อไปได้ นอกจากการเบ่งประเภทของการอ่าน ตามเกณฑ์ท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน ยังมีการแบ่งประเภทท่ีแตกต่างกัน ไปอีก ดงั เชน่ สุนนั ทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2551 : 17 : 20) ไดแ้ บง่ ประเภทของการอา่ นไว้ 4 ประเภท แต่ละประเภทมี จุดมุ่งหมายของการใชท้ ี่แตกต่างกัน ดังนี้ 1. การอ่านเคร่า ๆ จุดประสงค์ของการอ่านประเภทน้ี เพื่อค้นหาเอกสารอ้างอิงสำหรับใช้ในการ คน้ คว้า หรือการหาส่อใหม่ ๆ ในห้องสมุด นอกจากน้ันยังเป็นการค้นหาคำสำคัญทีเ่ กี่ยวข้องกับเรอื่ งใหม่ ๆ เพ่ือ รวบรวมความคิดของผู้เขียน อีกท้ังยังใช้เพ่ือการอ่านสันทนาการ ได้แก่ การอ่านวารสารบันเทิง การอ่าน เรอื่ งราวต่าง ๆ ทใี่ ห้ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะใช้การเคลื่อนสายตาอย่างรวดเร็ว จากบรรทัดบนสุดสู่บรรทัดล่าง โดยข้ามคำ กลุ่มคำ และประโยคทีไ่ ม่สำคัญ เพอ่ื ตรวจดูเฉพาะหวั ข้อหรอื คำสำคัญ หรือคำตอบตามท่ีตอ้ งการ โดยสังเกตคำ ทข่ี ีดเสน้ ใต้ หรอื คำทเ่ี ป็นตัวหนา 2. การอ่านเร็ว จุดประสงค์ของการอ่านเร็ว เพื่อเป็นการทบทวนสารท่ีอ่าน อีกท้ังยังใช้เพื่อการค้นหา แนวคิดหลักและแนวคิดย่อย เป็นการนำข้อมูลจากสารท่ีอ่านไปใช้ประโยชน์ การอ่านวิธีนี้ยังใช้เพื่ออ่านสารที่ทำ ให้เกดิ ความเพลิดเพลนิ เชน่ การอ่านนิทาน นยิ าย นวนิยาย และส่ือการอ่านอนื่ ๆ ทช่ี ่วยให้ผู้อ่านไดร้ บั การผอ่ น คลายทางจิตใจ
20 วิธีการอ่าน ผู้อา่ นจะเคล่ือนสายตาอย่างรวดเร็ว จากซ้ายไปขวา โดยไม่เคล่ือนใบหน้าเปน็ การอ่านที่ใช้ การเคล่ือนตาอย่างรวดเร็ว โดยการรับรู้เป็นคำ เป็นกลุ่มคำ หรือประโยคเป็นการอ่านที่เร่งรีบ เพื่อความเข้าใจ เร่อื งราวโดยใช้เวลาท่ีจำกดั 3. การอ่านปกติ จุดประสงค์ของการอ่านปกติ เพ่ือค้นหาข้อมูลและตอบคำถามอาจใช้ในการทำ แบบฝึกหัด หรือการทำรายงาน อ่านแล้วจดบันทึกเพื่อสรุปเนื้อเร่ืองแต่ละตอน เป็นการอ่านเพ่ือนำข้อมูลมาไข ปริศนา อ่านเพื่อคำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหลักกับแนวคิดย่อย การอ่านปกติมักจะใช้กับการ อ่านสารท่ีมีความยากง่ายอยู่ในระดับปานกลาง ซ่ึงหมายความว่า ผู้อ่านรู้จักคำท่ีอยู่ในสารมากกว่าร้อยละ 70 และอา่ นได้ 250 คำ/นาที ตอบคำถามไดถ้ กู ต้องร้อยละ 60 ขึ้นไป วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมิได้เร่งรีบ เพื่อรับรู้คำกลุ่มคำ ประโยค และ เรื่องทั้งหมด การอ่านปกติเป็นการอ่านโดยมิได้เร่งรัด แต่ต้องการความเข้าใจในเร่ืองราวโดยมิได้พลาดประเด็น สำคัญ และตอ้ งการใหบ้ รรลผุ ลตามจุดประสงค์มากกว่าทีจ่ ะเนน้ ในเรอ่ื งของเวลา 4. การอ่านละเอียด จุดประสงค์ของการอ่านาเพ่ือตรวจรายละเอียดของเร่ืองในทุกประเด็น โดยไม่ พลาดความหมายของคำ กลุ่มคำ และประโยค นอกจากนน้ั ยังเปน็ การประเมนิ ค่าเรื่องที่อ่านเรียงลำดับเหตุการณ์ แ ละติดตามทิศทางของเร่ือง เพื่อมิให้พลาดประเด็นสำคัญ สรุปเร่ืองด้วยภาษาของตนเอง รวมทั้งวิเคราะห์การ นำเสนอผลงานของผู้เขียนได้อย่างถูกต้อง การอ่านวิธีน้ียังใช้ประโยชน์ในการอ่านสารประเภทวรรณกรรมและ วรรณคดีอย่างละเอียด เพ่ือให้เกิดความเข้าใจและเกิดความซาบซ้ึงในการใช้ภาษา การวิเคราะห์รูปแบบ ตลอดจนลกั ษณะของการใชภ้ าษา คณุ คา่ ท่ไี ด้รับทางภาษาจำเปน็ ตอ้ งใช้การอา่ นอยา่ งละเอียดเช่นกัน วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตา ผ่านทุกตัวอักษรของคำ กลุ่มคำ และประโยคทำความเข้าใจ ความหมายทั้งทางตรงและทางนัย เพ่ือให้ได้ข้อมูลตรงตามจุดประสงค์ท่ีต้องการ สารที่ใช้วิธีอ่านประเภทนี้ มักจะเป็นสารวิชาการ ใช้ภาษาท่ียากและมีเร่ืองราวซับซ้อน ซ่ึงต้องใช้เวลาในการอ่านมากกว่าการอ่านประเภท อื่น ๆ เพราะตอ้ งการความละเอยี ดรอบคอบ กล่าวโดยสรุป การอ่านเป็นการรับรู้ความหมายของสาร การอ่านมีความสำคัญเพราะเป็นเครื่องมือ แสวงหาความรู้และความบันเทิง ผู้อ่านแต่ละคนจะมีจุดมุ่งหมายในการอ่านไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านเพื่อ แสวงหาความรู้ บางคนชอบอ่านเพ่ือแสวงหาความบันเทิง และบางคนอ่านเพื่อนำความรู้จากการอ่านไปใช้เพ่ือ ประโยชน์อ่ืน ๆ การแบ่งประเภทของการอ่าน สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับวา่ จะใช้อะไร เปน็ เกณฑ์ในการพิจารณา อาจแบ่งโดยพิจารณาจุดมงุ่ หมายเป็นหลัก หรอื อาจแบ่งโดยพจิ ารณาจากลักษณะการ อ่านเป็นหลกั คือ การอ่านในใจ แลการอ่านออกเสียง โดยจะมีวธิ ีการอ่านแตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ตามการ อ่านจะบรรลุจุดประสงค์ได้ ผู้อ่านควรมีจุดหมายในการอ่าน และเข้าวิธีท่ีจะอ่าน เพื่อให้ได้ประโยชน์สมตาม ความมงุ่ หมาย
21 กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่าน กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน หมายถึง การกระทำต่าง ๆ เพ่ือให้เด็กเกิดความสนใจท่ีจะอ่าน เห็น ความสำคัญของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลินที่จะอ่าน เกิดความมุ่งมั่นท่ีจะอ่าน และอ่านจนเป็นนิสัย ทั้งนี้ การ อ่านหนังสือเป็นทักษะสำคัญทักษะหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพราะการอ่านหนังสือจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเรา ได้เป็นอย่างดียิ่ง เม่ือคนเราอ่านหนังสือจะเกิดความสามารถสร้างความรู้ อารมณ์ จินตนาการ และ ความ เพลิดเพลนิ การที่เด็กจะเกิดทักษะการอ่านหนังสือได้นั้นจำเป็นจะตอ้ งอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่าย ทั้ง ครอบครัว โรงเรียนและชมุ ชน ในการจัดกจิ กรรมสง่ เสริมการอา่ นใหแ้ ก่เดก็ กิจกรรมสง่ เสริมการอา่ นคอื การกระตนุ้ ดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ เพื่อให้ผู้อ่านสนใจการอ่านจนกระทั่งมนี ิสยั รัก การอ่าน และได้พฒั นาการอ่านจนกระทั่งมีความสามารถในการอ่าน นำประโยชนจ์ าการอ่านไปใช้ไดต้ รงตาม วตั ถุประสงค์ของการอา่ นทุกประเภท (ฉวีวรรณ คหู าภินันทน์, 2542 : 93) กรมวิชาการ (อ้างถงึ ใน ฉววี รรณ คูหาภินันทน์, 2542 : 93) ให้ความหมายว่า กิจกรรมสง่ เสรมิ การอ่าน คือ การกระทำเพื่อ
22 1. เร้าใจบคุ คลหรอื บุคคลท่ีเป็นเปา้ หมายให้เกิดความอยากรู้ อยากอา่ นหนงั สอื โดยเฉพาะหนงั สอื ท่ีมี คณุ ภาพ 2. เพ่ือแนะนำชกั ชวนให้เกิดความพยายามที่จะอ่านใหแ้ ตกฉาน สามารถนำความรู้จากหนงั สอื ไปใช้ ประโยชน์ เกิดความเข้าใจในเร่ืองต่างๆ ดีขึน้ 3. เพื่อกระต้นุ แนะนำให้อยากรู้ อยากอา่ นหนงั สือหลายอยา่ ง เปดิ ความคิดให้กวา้ ง ให้มกี ารอ่านตอ่ เนื่อง จนเป็นนิสยั พฒั นาการอา่ นจนถงึ ขัน้ ที่สามารถวิเคราะหเ์ รื่องท่ีอา่ นได้ 4. เพื่อสรา้ งบรรยากาศที่จูงใจใหอ้ ่าน ดังนัน้ สามารถกล่าวได้ว่า กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่าน หมายถงึ กิจกรรมต่างๆทหี่ ้องสมุดจดั ขน้ึ เพื่อส่งเสริมให้ เกดิ การอา่ นอย่างต่อเนอ่ื งจนกระท่ังเป็นนสิ ยั รักการอ่าน เช่น การเลา่ นิทาน การเชิดหนุ่ การแสดงละคร การ แนะนำหนงั สือท่นี า่ สนใจ เปน็ ต้น ลกั ษณะของกิจกรรมส่งเสริมการอ่านทด่ี ี 1. เร้าความสนใจ เช่น การจัดนิทรรศการที่ดึงดคู วามสนใจ การตอบปัญหา มรี างวลั ต่างๆ การใช้สอ่ื เทคโนโลยีใหมๆ่ เขา้ มาช่วย 2. จงู ใจให้อยากอา่ นและกระตนุ้ ใหอ้ ยากอ่าน เชน่ ขา่ วท่ีกำลังเปน็ ท่ีสนใจ หรอื หวั ข้อเร่ืองท่ีเปน็ ที่สนใจ เช่น การวิจยั การเตรยี มตัวสอบ การสมัครงาน เปน็ ต้น 3. ไม่ใชเ้ วลานาน ความยากง่ายของกิจกรรมเหมาะสมกับเพศ ระดับอายุ การศึกษา 4. เป็นกิจกรรมท่ีมงุ่ ไปสู่หนังสือ วสั ดกุ ารอ่าน โดยการนำหนังสอื หรือวสั ดกุ ารอ่านมาแสดงทกุ ครั้ง 5. ให้ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ แฝงการเรียนรู้ตามอัธยาศัยจากการร่วมกิจกรรมด้วย ความหมายและความสำคัญของหอ้ งสมุด ห้องสมุดประชาชน หมายถึง ห้องสมุดทต่ี ง้ั ขึน้ เพือ่ ใหบ้ ริการแก่ประชาชน โดยไมจ่ ำกัด เพศ วยั เชอ้ื ชาติ ศาสนา และพ้นื ความรู้ ใหบ้ รกิ ารสารสนเทศครบทุกหมวดวชิ า และอาจมีการบรกิ ารบางเรื่องเปน็ พิเศษ ตามความต้องการของท้องถนิ่ และจะจดั ให้บริการแก่ประชาชนโดยไมค่ ิดมูลค่า บทบาทหนา้ ทขี่ องห้องสมุดประชาชน มี 3 ประเภท คือ 1. หนา้ ที่ทางการศกึ ษา หอ้ งสมดุ ประชาชนเป็นแหลง่ ให้การศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น มีหนา้ ทใี่ ห้ การศึกษาแกป่ ระชาชนทั่วไป ทุกระดับการศึกษา 2. หน้าที่ทางวัฒนธรรม หอ้ งสมุดปะชาชนเป็นแหล่งสะสมมรดกทางปัญญาของมนษุ ย์ ที่ถา่ ยทอดเปน็ วัฒนธรรมท้องถิ่น ทห่ี ้องสมดุ ตั้งอยู่ 3. หนา้ ท่ที างสังคม ห้องสมดุ ประชาชนเปน็ สถาบนั ทางสังคมได้รับเงนิ อดุ หนุนจากรฐั บาลและท้องถิ่นมา ดำเนินกจิ การ จึงมหี นา้ ที่ แสวงหาขา่ วสารขอ้ มูลท่มี ีประโยชน์มาบรกิ ารประชาชน
23 ห้องสมุดประชาชนในประเทศไทยมหี นว่ ยงานต่างๆรับผิดชอบ ดงั น้ี 1. หอ้ งสมุดประชาชนสงั กัดกระทรวงศึกษาธิการ สงั กัดกรมการศึกษานอกโรงเรยี น ไดแ้ ก่ ห้องสมดุ ประชาชนระดับจังหวัด และระดับอำเภอ นอกจากนี้กรมการศึกษานอกโรงเรียนยังได้จดั ทีอ่ ่านหนงั สือประจำ หมูบ่ ้าน ท่อี ่านหนังสอื ในวดั และหอ้ งสมุดเคลือ่ นท่ี 2. หอ้ งสมุดประชาชน สังกดั กรงุ เทพมหานคร มที ัง้ หมด 12 แหง่ ได้แก่ หอ้ งสมุดประชาชนสวนลุมพินี หอ้ งสมดุ ประชาชนซอยพระนาง หอ้ งสมดุ ประชาชนปทมุ วัน ห้องสมดุ ประชาชนอนงคาราม หอ้ งสมดุ ประชาชนวดั สงั ข์กระจาย ห้องสมุดประชาชนบางเขน หอ้ งสมุดประชาชนบางขุนเทยี น ห้องสมุดประชาชนวดั รชั ฎาธษิ ฐาน วรวิหารตลิ่งชัน ห้องสมุดประชาชนประเวช ห้องสมุดประชาชนวัดลาดปลาเค้า หอ้ งสมดุ ประชาชนภาษเี จริญ หอ้ งสมุดประชาชนวัดราชโอรส 3. ห้องสมดุ ประชาชนของธนาคารพาณิชย์ เปน็ ห้องสมุดท่ีธนาคารพาณชิ ย์เปดิ ขึ้นเพื่อบริการสงั คม และ เพื่อประชาสัมพันธ์กิจการของธนาคารให้เปน็ ท่ีรจู้ ักแพรห่ ลาย เช่น ห้องสมดุ ประชาชนของธนาคารกรงุ เทพจำกดั 4. ห้องสมดุ ประชาชนของรฐั บาลต่างประเทศ โดยได้รับการสนบั สนุนจากรฐั บาลตา่ งประเทศ เช่น หอ้ งสมดุ บรติ ชิ เคาน์ซลิ ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ที่ตัง้ อยู่บรเิ วณสยามสแควร์ กรุงเทพมหานคร 5. ห้องสมดุ ประชาชนเสียคา่ บำรุง ห้องสมุดประชาชนประเภทนใี้ ห้บริการเฉพาะสมาชกิ เทา่ นั้น โดยผู้ท่ี เปน็ สมาชิกจะต้องเสียคา่ บำรุงตามระเบียบของหอ้ งสมุด ไดแ้ ก่ ห้องสมุดนลี สันเฮย์ ตง้ั อยูท่ ี่ถนนสุริวงศ์ กรุงเทพมหานคร บทบาทและความสำคัญของห้องสมสุดต่อสังคมในดา้ นต่าง ๆ 1. เปน็ สถานท่ีเพ่ือสงวนรักษาและถา่ ยทอดวฒั นธรรม ห้องสมุดเป็นแหลง่ สะสมวิวฒั นาการของมนุษย์ ตั้งแตอ่ ดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าไม่มีแหลง่ ค้นคว้าประเภทห้องสมุดเปน็ ศูนย์กลางแลว้ ความรู้ต่างๆ อาจสูญหายหรือ กระจัดกระจายไปตามทีต่ ่างๆ ยากแก่คนรุ่นหลังจะติดตาม 2. เป็นสถานท่เี พ่ือการศกึ ษา ค้นคว้าวจิ ยั ห้องสมุดทำหน้าที่ใหก้ ารศึกษาแก่ประชาชนทุกรูปแบบ ทงั้ ใน และนอกระบบการศึกษา เร่ิมจากการศึกษาขั้นพน้ื ฐานถงึ ระดบั สงู 3. เป็นสถานที่สรา้ งเสรมิ ความคิดสร้างสรรคแ์ ละความจรรโลงใจ หอ้ งสมดุ มหี นา้ ท่รี วบรวมและเลือกสรร ทรพั ยากร สารสนเทศ เพ่ือบริการแกผ่ ู้ใช้ ซ่งึ เป็นส่งิ ทมี่ ีคุณค่าผู้ใชไ้ ดค้ วามคิดสร้างสรรค์ ความจรรโลงใจ นานาประการ เกดิ ประโยชน์แกต่ นเองและสังคมต่อไป 4. เป็นสถานที่ปลูกฝังนิสยั รกั การอ่านและการเรยี นรูต้ ลอดชีวิต ห้องสมดุ จะช่วยใหบ้ คุ คลสนใจในการอา่ น และรกั การอ่านจนเปน็ นิสยั 5. เปน็ สถานที่ส่งเสริมการาใชเ้ วลาวา่ งในเปน็ ประโยชน์ ห้องสมดุ เป็นสถานทรี่ วบรวมสารสนเทศทกุ ประเภท เพื่อบริการแกผ่ ใู้ ชต้ ามความสนใจและอ่านเพื่อฆ่าเวลา อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน หรอื อา่ นเพือ่ สาระบนั เทิงได้ท้งั สนิ้ นับว่าเป็นการพักผอ่ นอยา่ งมีความหมายและใหป้ ระโยชน์
24 6. เปน็ สถานทส่ี ่งเสรมิ ความเปน็ ประชาธปิ ไตย ห้องสมุดเป็นสาธารณะสมบตั ิ มสี ่วนสง่ เสรมิ ให้บคุ คลรู้จกั สทิ ธแิ ละหนา้ ทข่ี องพลเมือง กล่าวคอื เมื่อมสี ิทธิในการใช้กย็ ่อมมีสิทธิในการบำรุงรักษารว่ มกนั และใหค้ วามร่วมมอื กบั ห้องสมุดด้วยการปฏิบตั ิตามระเบยี บ แบบแผนของห้องสมดุ ความหมายของส่ือสิ่งพิมพ์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานไดใ้ ห้ความหมายคาทเ่ี กี่ยวกบั “ส่อื สง่ิ พมิ พ”์ ไว้วา่ “ส่งิ พิมพ์ หมายถึง สมดุ แผ่นกระดาษ หรอื วัตถุใด ๆ ทีพ่ มิ พข์ น้ึ รวมตลอดทัง้ บทเพลง แผนที่ แผนผงั แผนภาพ ภาพวาด ภาพระบาย สี ใบประกาศ แผน่ เสียง หรอื สงิ่ อ่ืนใดอันมลี กั ษณะเช่นเดียวกัน” “สื่อ หมายถึง ก. ทาการติดต่อให้ถึงกนั ชักนาให้ รู้จักกัน น. ผู้หรอื ส่งิ ทท่ี าการตดิ ต่อให้ถึงกัน หรือชกั นาใหร้ ู้จักกัน” “พิมพ์ หมายถึง ก. ถ่ายแบบ, ใช้เครอื่ งจักรกด ตวั หนงั สือหรือภาพ เปน็ ต้นให้ติดบนวัตถุ เช่น แผน่ กระดาษ ผา้ ทาให้เปน็ ตัวหนังสือหรือรูปรอยอย่างใด ๆ โดย การกดหรือการใช้พิมพห์ ิน เคร่ืองกล วิธเี คมี หรือวธิ ีอืน่ ใด อนั อาจให้เกิดเป็นสง่ิ พมิ พ์ขึ้นหลายสาเนา น. รูป , รูปร่าง, ร่างกาย, แบบ” ดงั น้ัน “ส่ือสง่ิ พมิ พ์” จงึ มคี วามหมายวา่ “สิง่ ท่พี ิมพ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกระดาษหรอื วตั ถุ ใด ๆ ดว้ ยวธิ กี ารต่าง ๆ อันเกิดเปน็ ชน้ิ งานทม่ี ลี ักษณะเหมือน ตน้ ฉบับขน้ึ หลายสาเนาในปรมิ าณมากเพื่อเป็นสง่ิ ที่ ทาการตดิ ต่อ หรือชักนาให้บคุ คลอืน่ ได้เห็นหรือทราบ ข้อความตา่ ง ๆ” ส่งิ พมิ พเ์ พ่ือการศึกษา หมายถึง สง่ิ ท่ีพมิ พข์ ึ้นในรูปแบบต่างๆ ทั้งหนังสือ ตารา เอกสาร วารสารตา่ งๆ ที่ ให้ความรู้ เนื้อหาสาระท่มี ีประโยชน์ เช่น หนังสือเรียนภาษาไทย ป. 6 หรอื อาจเป็นชุดภาพประกอบการศึกษา เชน่ ภาพประกอบการศกึ ษาชุดอาหารไทย เป็นต้น และสามารถนามาใช้ในการศกึ ษาได้ ความเปน็ มา ส่ิงพิมพ์ถือได้ว่าเป็นสิ่งท่ีความสำคัญยิ่งควบคู่มากับการพัฒนาการของมนุษยชาติ และจัดเป็นส่ือมวลชน ประเภทหน่ึงที่มีความสำคัญมาตลอดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการถ่ายทอดความรู้วิชาการ และเพ่ือการติดต่อ สื่อสารสาหรับมนุษยชาติ ดังคำจำกัดความของพจนี พลสิทธ์ิ (2536 : 3) สรุปความเป็นมาและความสาคัญของ สิ่งพิมพ์ ว่า “ส่ิงพิมพ์” นับเป็นวัสดุที่แสดงถึงพัฒนา การความเจริญก้าวหน้าทางด้านสติปัญญา ของมนุษย์
25 ความคิด จินตนาการ เจตคติ ความฝัน ชีวิต วัฒนธรรม สังคม เหตุการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ ของมนุษย์แต่ลายคุ สมัย สามารถเก็บรักษาสืบทอดจาดชนรุ่นหน่ึงไปสู่ชนรุ่นหลัง ความคิดในเรื่องการพิมพ์นี้นอกเหนือจาก เพื่อเป็น เครื่องมือในการบันทึกความคิด จินตนาการ ความรู้ และเหตกุ ารณ์ต่างๆ แล้วยังเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าชนชาติ ต่าง ๆ ในโลกนีล้ ้วนมคี วามพยายามทจ่ี ะพัฒนาความคดิ ของตนให้เจริญกา้ วหน้าทนั สมยั อย่างตอ่ เนื่อง ความคิดใน เรอื่ งการพิมพ์ที่มีจดุ ประสงค์เริ่มแรกก็คงเพ่ือให้มีการแพร่หลายเรื่องความคิด ความรู้ ไปสู่ชนรนุ่ หลัง และเพ่ือให้มี หลาย ๆ สาเนาจะได้เก็บรักษาให้คงอยู่ได้นานปีน้ัน ในยุคปัจจุบันชนรุ่นหลังได้สานต่อความคิดเรื่องการพิมพ์ จนกระทั่งกลายเป็นเทคโนโลยีท่ีทันสมัย และซับซ้อน สามารถผลิตสิ่งพิมพ์ได้หลากหลายชนิดตอบสนอง วัตถุประสงคข์ องมนุษยชาตไิ ดก้ ว้างขวางนอกเหนือจากส่อื ส่ิงพิมพ์จะเปน็ ส่ือมวลชนท่มี คี วามเกีย่ วกันกับมนุษยชาติ มานานนับพัน ๆ ปี และมีความเกา่ แกก่ ว่าส่ือมวลชนประเภทอ่นื ไมว่ ่าจะเปน็ วิทยุกระจายเสยี ง วิทยโุ ทรทัศน์ หรือ อนิ เตอร์เน็ต ซ่งึ เป็นส่ือประเภทหน่ึงท่ีมีการใช้แพร่หลายไปทั่วโลกเช่นในปัจจุบันก็ตาม แต่สื่อส่ิงพิมพก์ ็ยงั เป็นสื่อท่ี มีการใช้อย่างแพร่หลายเป็นที่นิยมของทุกชนชาติมิได้ย่ิงหย่อนไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นส่ือส่ิงพิมพ์ประเภทใดก็ตาม เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร วารสาร หรือสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ สาเหตุสาคัญที่ทาให้ส่ือส่ิงพิมพ์ยังเป็นท่ี นิยมแพรห่ ลายมาโดยตลอด ก็เพราะบุคคลสามารถเลือกอา่ นไดต้ ามความเหมาะสม อีกท้ังยังใช้เป็นเอกสารอ้างอิง ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรงุ ศรีอยุธยา ได้เริ่มแต่งและพิมพ์หนังสือคำสอนทางศาสนา คริสต์ ข้ึน และหลังจากน้ันหมอบรัดเลย์เข้ามาเมืองไทย และได้เร่ิมด้านงานพิมพ์จนสนใจเป็นธุรกิจด้านการพิมพ์ ใน เมืองไทย พ.ศ.2382 ไดพ้ ิมพ์เอกสารทางราชการเปน็ ชิ้นแรก คือ หมายประกาศห้ามสูบฝ่นิ ซึง่ พระบาทสมเดจ็ พระ นั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้จ้างพิมพ์จานวน 9,000 ฉบับ ต่อมาเม่ือวันที่ 4 ก.ค.2387 ได้ออกหนังสือฉบับแรก ข้ึน คือ บางกอกรีคอร์ดเดอร์ (Bangkok Recorder) เป็นจดหมายเหตุอย่างสั้น ออกเดือนละ 2 ฉบับ และใน 15 ม.ิ ย. พ.ศ.2404 ไดพ้ ิมพ์หนังสือเล่มออกจำหน่ายโดยซือ้ ลิขสิทธจิ์ าก หนังสือนริ าศลอนดอนของหม่อมราโชทัยและ ไดเ้ รม่ิ ต้นการซื้อขาย ลิขสทิ ธิหน่ายในเมอื งไทย หมอบรัดเลย์ได้ถึงแกก่ รรมในเมืองไทยกิจการ การพิมพ์ของไทยจึง เร่ิมต้นเป็นของไทย หลังจากนั้นใน พ.ศ.2500 ประเทศไทยจึงนา เคร่ืองพิมพ์แบบโรตารี ออฟเซท (Rotary off Set) มาใช้เป็นครั้งแรก โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชนาเคร่ืองหล่อเรียงพิมพ์ Monotype มาใช้กับตัวพิมพ์ภาษาไทย ธนาคาร แห่งประเทศไทยไดจ้ ัดโรงพิมพ์ธนบัตรในเมืองไทยข้ึนใชเ้ อง ประเภทของสื่อสิ่งพิมพเ์ พ่ือการศึกษา ส่อื สงิ่ พมิ พป์ ระเภทหนงั สือ 1. หนังสือตำรา เป็นส่ือท่ีพิมพ์เป็นเล่ม ประกอบด้วยเน้ือหาการเรียนการสอนโดยอธิบายเน้ือหาวิชาอย่างละเอียดชัดเจน อาจมีภาพถ่ายหรือภาพเขียนประกอบเพื่อเพิ่มความสนใจของผู้เรียน หนังสือตารานี้อาจใช้เป็นสอ่ื การเรียนในวิชา นัน้ โดยตรงนอกเหนือจากการบรรยายในช้ันเรียน หรืออาจใช้เป็นหนงั สอื อา่ นประกอบหรอื หนังสืออา่ นเพ่ิมเตมิ ก็ได้
26 การใช้หนังสือในการเรียนการสอนนับว่ามีประโยชน์แก่ผู้เรยี นทั้งในด้านการศึกษารายบุคคลเพื่อใหผ้ ู้เรียนสามารถ ใชอ้ ่านในเวลาทตี่ ้องการ และในด้านเศรษฐกจิ เน่อื งจากสามารถใชอ้ ่านได้หลายคนและเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน 2. แบบฝึกปฏิบัติ เป็นสมุดหรือหนังสือที่พิมพ์ขึ้นโดยมีเน้ือหาเป็นแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกปฏิบัติเพื่อเป็นการเพ่ิมทักษะหรือ ทดสอบผูเ้ รียน อาจมเี น้ือหาในรปู แบบคาถามให้เลือกคาตอบ หรือเป็นต้นแบบเพื่อให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติตามโดยอาจ มรี ปู ประกอบเพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจได้งา่ ยย่ิงขึ้น เช่น แบบคัดตวั อกั ษร ก ไก่ เปน็ ตน้ 3. พจนานุกรม เป็นหนังสือท่ีมีเนื้อหาเปน็ คาศัพท์และคาอธิบายความหมายของคาศัพท์ แตล่ ะคานั้น โดยการเรียงตามลา ดับจากอักษรตัวแจกถึงตัวสุดท้ายของภาษาท่ีต้องการจะอธิบาย คาศัพท์และคาอธิบายจะเป็นภาษาเดียวกันหรือ ต่างภาษาก็ได้ เช่น คาศัพท์ภาษาอังกฤษและมีคาอธิบายเป็นภาษาไทย หรือท้ังคาศัพท์และคาอธิบายต่างก็เป็น ภาษาองั กฤษ เป็นตน้ 4. สารานุกรม เปน็ หนงั สือที่พมิ พ์ขึน้ เพ่ืออธบิ ายหวั ข้อหรือข้อความต่างๆ ตามลาดับของตวั อักษร เพือ่ ให้ผูอ้ ่านสามารถ คน้ คว้าเพื่อความรู้และการอ้างอิง โดยมรี ูปภาพ แผนภมู ิ ฯลฯ ประกอบคาอธิบายใหช้ ดั เจนยง่ิ ขึน้ 5. หนงั สอื ภาพและภาพชดุ ตา่ งๆ เปน็ หนงั สือทป่ี ระกอบดว้ ยภาพตา่ งๆ ท่เี ป็นเร่ืองเดยี วกันตลอดทั้งเล่ม สว่ นใหญ่จะเปน็ หนังสือภาพที่พมิ พ์ สอดสสี วยงาม เหมาะแก่การเกบ็ ไว้ศึกษาหรือเปน็ ท่รี ะลกึ เชน่ หนังสอื ภาพชดุ พระทน่ี ัง่ วิมานเมฆ หรือหนังสอื ภาพ ชดุ ทัศนยี ภาพของประเทศตา่ งๆ เปน็ ต้น 6. วิทยานิพนธแ์ ละรายงานการวิจัย เป็นสิง่ พมิ พท์ ี่พิมพอ์ อกมาจานวนไมม่ ากนักเพ่อื เผยแพรไ่ ปยังห้องสมุด สถาบนั การศึกษาตา่ งๆ หรือ หนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวข้องกบั งานวิจยั น้ัน เพ่ือใหผ้ ู้สนใจใชเ้ ป็นเอกสารคน้ คว้าข้อมูลหรือใชใ้ นการอา้ งอิง 7. สิ่งพิมพย์ อ่ สว่ น (Microforms) หนังสือทเี่ ก่าหรอื ชารดุ หรอื หนงั สือพิมพ์ท่ีมอี ยู่เปน็ จานวนมากย่อมไมเ่ ป็นที่สะดวกในการเก็บรักษาไว้ จึง จำเป็นต้องหาวิธีเก็บสงิ่ พิมพเ์ หล่านี้ไว้โดยอาศยั ลกั ษณะการยอ่ สว่ นลงใหเ้ หลอื เล็กทส่ี ดุ เท่าท่ีจะทาได้ เพ่ือประหยัด เน้อื ท่ีในการเกบ็ รักษาและสามารถทจี่ ะนำมาใชไ้ ดส้ ะดวก จงึ มวี ธิ กี ารตา่ งๆ โดยอาศัยเนื้อทใี่ นการเก็บรักษาและ สามารถท่จี ะนามาใช้ได้สะดวก จึงมวี ิธีการต่างๆ โดยอาศัยเทคโนโลยใี นการทาสิ่งพิมพ์ยอ่ สว่ น ไดแ้ ก่ ก. ไมโครฟิล์ม (Microfilm) เป็นการถ่ายหนงั สือแต่ละหน้าลงบนม้วนฟิลม์ ท่ีมีความกว้างขนาด 16 หรอื 35 มิลลิเมตร โดยฟิล์ม 1 เฟรมจะ บรรจุหน้าหนงั สือได้ 1-2 หน้าเรียงตดิ ตอ่ กันไป หนังสือเล่มหนึง่ จะสามารถบนั ทึกลงบนไมโครฟลิ ์มโดยใช้ความยาว
27 ของฟิลม์ เพยี ง 2-3 ฟุต ตามปกติจะใช้ฟิล์ม 1 ม้วนตอ่ หนังสอื 1 เลม่ และบรรจุม้วนฟลิ ม์ ลงในกลอ่ งเล็กๆ กล่องละ ม้วนเม่อื จะใชอ้ ่านกใ็ ส่ฟิล์มเข้าในเคร่ืองอา่ นที่มีจอภาพหรอื จะอดั สาเนาหน้าใดก็ได้เชน่ กัน ข. ไมโครฟิช (Microfiche) เปน็ แผ่นฟิล์มแข็งขนาด 4 x 6 นวิ้ สามารถบันทึกข้อความจากหนงั สอื โดยย่อเปน็ กรอบเลก็ ๆ หลายๆ กรอบ แผ่นฟลิ ์มนจ้ี ะมเี นือ้ ทมี่ ากพอที่จะบรรจหุ น้าหนงั สอื ทยี่ ่อขนาดแลว้ ไดห้ ลายร้อยหนา้ ตวั อักษรทย่ี ่อจะมีสขี าวบนพื้น หน้าหนังสือสีดา สามารถอ่านได้โดยวางแผ่นฟลิ ์มลงบนเครื่องฉายที่ขยายภาพใหไ้ ปปรากฏบนจอภาพสาหรบั อ่าน และจะอา่ นหนา้ ใดก็ไดเ้ ลอื่ นภาพไปมา และยงั สามารถนาไปพิมพ์บนกระดาษและอดั สาเนาได้ดว้ ย สอ่ื สิ่งพมิ พเ์ พื่อเผยแพร่ข่าวสาร – หนงั สือพมิ พ์ (Newspapers) เป็นส่ือส่ิงพมิ พท์ ่ีผลิตขึ้นโดยนาเสนอเร่อื งราว ข่าวสารภาพและความ คดิ เหน็ ในลกั ษณะของแผ่นพิมพ์ แผ่นใหญ่ ท่ีใช้วธิ ีการพบั รวมกนั ซ่ึงส่อื สิ่งพิมพ์ชนิดนี้ ได้พิมพ์ออกเผยแพร่ทั้ง ลักษณะ หนงั สือพมิ พร์ ายวนั , รายสัปดาห์ และรายเดือน – วารสาร, นติ ยสาร เปน็ ส่ือสงิ่ พิมพ์ที่ผลติ ขน้ึ โดยนาเสนอสาระ ขา่ ว ความบนั เทงิ ท่ีมีรปู แบบการนาเสนอ ทโี่ ดดเดน่ สะดุดตา และสรา้ งความสนใจใหก้ บั ผู้อ่าน ท้งั น้ีการผลิตนนั้ มกี าร กาหนดระยะเวลาการออกเผยแพร่ท่ี แนน่ อน ทง้ั ลักษณะวารสาร, นิตยสารรายปกั ษ์ (15 วัน) และ รายเดือน – จุลสาร เปน็ ส่ือสิ่งพมิ พ์ท่ีผลติ ขน้ึ แบบไม่มงุ่ หวังผลกาไร เป็นแบบใหเ้ ปล่าโดยใหผ้ อู้ า่ นไดศ้ ึกษาหาความรู้ มกี าหนดการออกเผยแพร่เป็นครัง้ ๆ หรือลาดับตา่ ง ๆ ในวาระพเิ ศษ แสดงเนื้อหาเป็นข้อความทีผ่ ู้อ่าน อ่านแล้ว เขา้ ใจง่าย สง่ิ พมิ พ์อเิ ล็กทรอนิกส์ เป็นสื่อสิง่ พิมพท์ ผี่ ลติ ข้ึนเพ่ือใชง้ านในคอมพิวเตอร์ หรอื ระบบเครอื ขา่ ยอินเตอร์เนต็ ไดแ้ ก่ Document Formats, E-book for Palm/PDA เปน็ ต้น บทบาทของสอ่ื สงิ่ พิมพเ์ พ่ือการศึกษา บทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์ในสถานศึกษา สื่อส่งิ พิมพ์ถูกนาไปใชใ้ นสถานศกึ ษาโดยท่วั ไป ซึ่งทาให้ผ้เู รยี น ผู้สอนเข้าใจในเนื้อหามากข้นึ เช่น หนังสอื ตารา แบบเรยี น แบบฝึกหดั สามารถพัฒนาไดเ้ ป็นเนื้อหาในระบบ เครอื ข่ายอนิ เตอร์เนต็ ได้ แนวทางการประยุกต์ใช้สือ่ สิ่งพมิ พ์เพ่ือการเรยี นการสอน หรอื การศึกษา การใชส้ ิง่ พิมพเ์ พือ่ การศึกษาในการเรยี น การสอนนน้ั จำแนกได้เปน็ 3 วิธี คือ 1. ใช้เปน็ แหล่งข้อมลู เกีย่ วกับวชิ าทเ่ี รียน 2. ใชเ้ ป็นวสั ดกุ ารเรียนร่วมกบั สื่ออื่นๆ
28 3. ใชเ้ ป็นสื่อเสรมิ ในการเรียนรูแ้ ละเพ่มิ พนู ประสบการณ์ .จากวธิ ีการใช้ส่ิงพมิ พท์ ัง้ 3 วิธีนัน้ ผสู้ อนสามารถนาสิง่ พิมพท์ ้งั ที่เป็นส่ิงพิมพ์ทวั่ ไป หรือสิง่ พิมพเ์ พื่อการศกึ ษา โดยเฉพาะมาใช้ในการเรียนการสอนก็ได้ ท้ังนโี้ ดยพิจารณาตามลกั ษณะของส่งิ พมิ พ์และลกั ษณะของการใช้ ดงั นี้ 1. ส่ิงพมิ พท์ เี่ ขียนขึน้ ในลกั ษณะของหนังสือตารา ใช้เพอื่ การศึกษาในระบบโรงเรยี นตามหลักสตู ร 2. สง่ิ พมิ พท์ ่เี ขยี นข้นึ ในลกั ษณะบทเรยี นสาเร็จรูปเพื่อง่ายต่อการศกึ ษาด้วยตนเอง เหมาะสาหรับใชใ้ น การศกึ ษาทางไกลรว่ มกับสอ่ื อ่ืนๆ เช่น โทรทัศน์ เทปเสยี งสรปุ บทเรียน และการสอนเสริม เป็นต้น 3. ส่ิงพมิ พ์เสรมิ การเรยี นการสอน เช่น แบบฝึกปฏิบัติ คู่มือเรียน ฯลฯ อาจใช้รว่ มกับสอ่ื บุคคลหรือ สอ่ื มวลชนประเภทอืน่ ๆ ได้ 4. สิ่งพมิ พ์ทว่ั ๆ ไป เช่น นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ทม่ี ีคอลัมน์หรอื บทความทใี่ ห้ประโยชน์ ผู้สอนอาจแนะ นาให้ผู้เรียนอา่ นเพ่ือเพิม่ พูนความรู้หรอื เพ่ือนามาใช้อ้างองิ ประกอบการคน้ ควา้ • ส่ิงพมิ พ์ประเภทภาพชุด เป็นการให้ความรู้ทางรปู ธรรมเพ่ือใชใ้ นการเสริมสร้างประสบการณ์ ทาให้ผเู้ รียน เขา้ ใจเหตุการณเ์ ร่ืองราวหรอื สงิ่ ทเ่ี ป็นนามธรรมไดช้ ัดเจนข้ึน เช่น ภาพชดุ ชีวติ สัตว์ หรือภาพชุดพระราช พิธจี รดพระนังคลั แรกนาขวัญ เปน็ ต้น (สานักการศกึ ษา กรุงเทพมหานคร, 9 กันยายน 2553) ประโยชนแ์ ละคุณค่าของสื่อสิ่งพมิ พ์เพือ่ การศกึ ษา 1. สื่อส่งิ พิมพส์ ามารถเกบ็ ไว้ไดน้ าน สามารถนามาอา่ นซ้าแลว้ ซ้าอกี ได้ 2. สอ่ื ส่ิงพิมพเ์ ป็นส่อื ทีม่ ีราคาถูกเมื่อเทยี บกับสอื่ อ่นื ๆ 3. สื่อสิ่งพมิ พเ์ ป็นสือ่ ท่ใี ชง้ า่ ย ไม่ยุ่งยาก 4. สื่อส่ิงพมิ พเ์ ปน็ ส่อื ท่จี ัดทาไดง้ ่าย โดยครูผู้สอนสามารถทาได้เองได้ มวี ธิ ที าท่ไี มย่ ุง่ ยากซับซอ้ น เช่น ใบ งาน ใบความรู้ เปน็ ต้น ขอ้ ดีและข้อจากัดของส่ือส่ิงพมิ พเ์ พื่อการศกึ ษา ขอ้ ดี 1. สามารถอา่ นซ้า ทบทวน หรอื อ้างอิงได้ 2. เป็นการเรยี นรู้ทีด่ สี าหรับผู้ท่สี นใจ
29 3. เปน็ การกระตุ้นใหค้ นไทยรักการอ่าน ข้อจำกดั 1. ผู้มปี ญั หาทางสายตา หรอื ผู้สูงอายุอา่ นไม่สะดวกในการใช้ 2. ข้อมูลไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ทันทว่ งทไี ด้ 3. ผู้ไมร่ หู้ นังสอื ไมส่ ามารถเข้าถึงได้ ความหมายของส่ือออนไลน์ ความหมายของสื่อสังคมออนไลน์ สือ่ สงั คมออนไลน์ หมายถึง สื่อดจิ ิทัลทีเ่ ป็นเครื่องมอื ในการปฏิบัตกิ ารทางสังคม(Social Tool) เพื่อใช้ สอ่ื สารระหวา่ งกันในเครือข่ายทางสังคม (Social Network) ผา่ นทางเว็บไซตแ์ ละโปรแกรมประยุกต์บนสื่อใดๆ ที่มี การเชอื่ มต่อกับอนิ เทอรเ์ น็ต โดยเนน้ ใหผ้ ใู้ ชท้ ้ังทเี่ ปน็ ผสู้ ง่ สารและผ้รู ับสารมสี ว่ นร่วม (Collaborative) อย่าง สรา้ งสรรค์ ในการผลติ เนอ้ื หาขนึ้ เอง (User-GenerateContent:UGC) ในรูปของข้อมลู ภาพและเสียง สำหรับในยคุ นี้ เราคงจะหลกี เลยี่ งหรอื หนีคำว่า Social Media ไปไมไ่ ด้ เพราะไมว่ ่าจะไปทไ่ี หน กจ็ ะพบ เห็นมันอย่ตู ลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะยงั สงสยั วา่ “Social Media” มันคอื อะไรกันแน่ วันน้ีเราจะมารู้จัก ความหมายของมนั กันครับ คำวา่ “Social” หมายถึง สงั คม ซง่ึ ในท่นี ้จี ะหมายถึงสังคมออนไลน์ ซึง่ มขี นาดใหม่มากในปัจจุบัน คำวา่ “Media” หมายถึง สอ่ื ซ่งึ ก็คือ เนื้อหา เร่ืองราว บทความ วดี ีโอ เพลง รูปภาพ เป็นตน้ ดังนั้นคำวา่ Social Media จงึ หมายถึง ส่ือสังคมออนไลน์ทีม่ ีการตอบสนองทางสงั คมได้หลายทิศทาง โดยผา่ นเครอื ข่ายอนิ เตอร์เนต็ พูดง่ายๆ ก็คอื เวบ็ ไซต์ท่ีบุคคลบนโลกนี้สามารถมปี ฏิสัมพนั ธ์โต้ ้ตอบกันได้นัน่ เอง พน้ื ฐานการเกดิ Social Media ก็มาจากความตอ้ งการของมนษุ ย์หรือคนเราทตี่ ้องการติดตอ่ สื่อสารหรือมี ปฏสิ ัมพนั ธก์ นั จากเดิมเรามเี ว็บในยุค 1.0 ซง่ึ กค็ ือเว็บท่ีแสดงเนอ้ื หาอย่างเดยี ว บุคคลแตล่ ะคนไมส่ ามารถตดิ ต่อ หรอื โต้ตอบกันได้ แต่เมอ่ื เทคโนโลยเี วบ็ พัฒนาเขา้ สู่ยคุ 2.0 ก็มกี ารพัฒนาเวบ็ ไซตท์ เ่ี รยี กว่า web application ซง่ึ ก็คอื เว็บไซต์มีแอพลเิ คชนั หรือโปรแกรมตา่ งๆ ท่ีมาและความสำคัญ ส่ือสงั คมออนไลนก์ ลบั สง่ อิทธิพลลบต่อชวี ิตประจำวนั และความสมั พันธข์ องคนในสังคมอยา่ งชดั เจนมาก ยิ่งขนึ้ จนกลายเป็นประเด็นทางสงั คม ทที่ ้ังส่อื บทกฎหมาย และประชาชนเองจะต้องให้ความสำคัญในการปอ้ งกัน และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ สอ่ื สังคมออนไลน์ใชส้ อ่ื สารระหว่างกันในเครือข่ายทางสังคม ผา่ นทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์บน สอื่ ใดๆ ทม่ี ีการเช่อื มตอ่ กบั อินเทอรเ์ น็ต โดยเน้นให้ผใู้ ช้ทัง้ ทีเ่ ป็นผู้ส่งสารและผรู้ บั สารมสี ว่ นรว่ ม อย่างสรา้ งสรรค์ ในการผลติ เนือ้ หาขนึ้ ในรปู ของข้อมูล ภาพ และเสียง ทัง้ นี้การใช้ส่ือออนไลน์ต่างๆ กต็ ้องอยู่ในขอบเขตในความพอประมาณ เลน่ ในประมาณทพ่ี อเหมาะเพ่ือ เป็นผลดตี อ่ สายตาและรา่ งกาย
30 ประเภทสอ่ื สังคมออนไลน์ ประเภทของสือ่ สังคมออนไลน์ มดี ว้ ยกนั หลายชนดิ ขึน้ อยู่กับลักษณะของการนำมาใช้โดยสามารถแบ่งเปน็ กลมุ่ หลักดังนี้ 1. Weblogs หรือเรียกสั้นๆ วา่ Blogs คอื ส่ือส่วนบคุ คลบนอนิ เทอร์เนต็ ที่ใชเ้ ผยแพร่ขอ้ มลู ข่าวสาร ความรู้ ข้อคิดเห็น บนั ทกึ สว่ นตัว โดยสามารถแบง่ ปันให้บุคคลอนื่ ๆ โดยผ้รู บั สารสามารถเข้าไปอ่าน หรอื แสดงความ คิดเห็นเพ่ิมเตมิ ได้ ซึง่ การแสดงเนื้อหาของบล็อกนนั้ จะเรยี งลำดบั จากเน้อื หาใหม่ไปสเู่ นอ้ื หาเก่า ผู้เขยี นและผู้อา่ น สามารถค้นหาเนื้อหาย้อนหลังเพ่ืออา่ นและแก้ไขเพ่ิมเติมได้ตลอดเวลา เช่น Exteen,Bloggang,Wordpress,Blogger,Okanation 2. Social Networking หรอื เครือขา่ ยทางสังคมในอินเทอร์เนต็ ซงึ่ เป็นเครือขา่ ยทางสังคมที่ใช้สำหรับเชอ่ื มต่อ ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล เพ่ือใหเ้ กดิ เป็นกลุ่มสังคม(Social Community) เพอื่ ร่วมกันแลกเปลีย่ นและแบง่ ปัน ข้อมลู ระหวา่ งกันท้ังดา้ นธุรกิจ การเมือง การศึกษา เช่น Facebook, Hi5, Ning,Linkedin,MySpace,Youmeo,Friendste 3. Micro Blogging และ Micro Sharing หรอื ที่เรยี กกันวา่ “บล็อกจ๋ิว” ซ่งึ เปน็ เวบ็ เซอร์วิสหรอื เว็บไซต์ที่ ใหบ้ รกิ ารแก่บุคคลทวั่ ไปสำหรบั ให้ผ้ใู ชบ้ รกิ ารเขยี นข้อความส้ันๆ ประมาณ 140 ตวั อักษรที่ เรียกวา่ “Status” หรือ “Notice” เพอ่ื แสดงสถานะของตัวเองว่ากำลงั ทำอะไรอยูห่ รือแจ้งข่าวสารต่างๆแก่กลมุ่ เพอื่ นในสงั คมออนไลน์ (OnlineSocialNetwork) (Wikipedia,2010) ท้ังน้ีการกำหนดใหใ้ ชข้ อ้ มลู ในรูปข้อความ สนั้ ๆ ก็เพ่ือให้ผ้ใู ชท้ ่ีเป็นท้ังผ้เู ขียนและผูอ้ ่านเข้าใจง่าย ท่ีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ Twitter 4. Online Video เปน็ เวบ็ ไซตท์ ่ีใหบ้ รกิ ารวิดีโอออนไลน์โดยไม่เสียคา่ ใชจ้ ่าย ซึ่งปัจจบุ นั ได้รบั ความนิยมอยา่ ง แพรห่ ลายและขยายตวั อยา่ งรวดเร็วเน่ืองจากเนื้อหาท่นี ำเสนอในวดิ ีโอออนไลน์ไม่ถกู จำกัดโดยผังรายการท่ี แน่นอนและตายตัวทำให้ผู้ใช้บริการสามารถติดตามชมไดอ้ ย่างตอ่ เน่ืองเพราะไม่มโี ฆษณาค่นั รวมทง้ั ผใู้ ชส้ ามารถ เลอื กชมเนื้อหาได้ตามความต้องการและยังสามารถเชื่อมโยงไปยังเวบ็ วิดโี ออน่ื ๆ ทเ่ี กีย่ วข้องได้จำนวนมากอีกดว้ ย เช่น Youtube, MSN, Yahoo 5. Poto Sharing เป็นเว็บไซต์ทเี่ น้นใหบ้ ริการฝากรปู ภาพโดยผใู้ ชบ้ รกิ ารสามารถอัพโหลดและดาวนโ์ หลด รปู ภาพเพ่ือนำมาใช้งานได้ ที่สำคัญนอกเหนือจากผู้ใชบ้ ริการจะมโี อกาสแบง่ ปนั รูปภาพแล้ว ยงั สามารถใช้เป็น พ้ืนทีเ่ พอื่ เสนอขายภาพท่ีตนเองนำเข้าไปฝากได้อีกด้วย เช่น Flickr, Photobucket, Photoshop,Express, Zooom 6. Wikis เปน็ เวบ็ ไซต์ทมี่ ีลกั ษณะเป็นแหล่งข้อมูลหรือความรู้ (Data/Knowledge)ซง่ึ ผเู้ ขยี นส่วนใหญ่อาจจะ เป็นนกั วชิ าการ นักวิชาชพี หรือผู้เชยี่ วชาญเฉพาะทางด้านต่างๆ ท้ังการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ซ่งึ ผู้ใช้ สามารถเขยี นหรือแก้ไขขอ้ มลู ไดอ้ ย่างอสิ ระ เช่น Wikipedia, Google Earth,diggZy Favorites Online 7. Virtual Worlds คือการสร้างโลกจินตนาการโดยจำลองส่วนหนง่ึ ของชีวติ ลงไป จัดเปน็ สื่อสงั คมออนไลน์ที่ บรรดาผู้ท่องโลกไซเบอรใ์ ชเ้ พ่ือสอื่ สารระหวา่ งกนั บนอนิ เทอรเ์ น็ตในลักษณะโลกเสมอื นจรงิ (Virtual Reality) ซ่งึ ผู้
31 ทีจ่ ะเข้าไปใชบ้ ริการอาจจะบริษัทหรอื องค์การด้านธรุ กิจ ดา้ นการศกึ ษา รวมถงึ องค์การด้านส่ือ เชน่ สำนกั ข่าว รอยเตอร์ สำนกั ขา่ วซีเอ็นเอ็น ต้องเสยี คา่ ใช้จ่ายในการซื้อพนื้ ทเี่ พือ่ ให้บุคคลในบริษัทหรือองค์กรไดม้ ีชอ่ งทางใน การนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ไปยงั กลุ่มเครือขา่ ยผู้ใชส้ ื่อออนไลน์ ซง่ึ อาจจะเปน็ กล่มุ ลกู ค้าท้งั หลกั และรองหรอื ผูท้ ี่ เกีย่ วขอ้ งกับธรุ กิจ ของบริษัท หรอื องค์การก็ได้ ปจั จบุ นั เวบ็ ไซต์ทใี่ ชห้ ลัก Virtual Worlds ทปี่ ระสบผลสำเร็จและ มชี ื่อเสยี ง คอื Second life 8. Crowd Sourcing มาจากการรวมของคำสองคำคือ Crowd และ Outsourcing เป็นหลักการขอความ ร่วมมอื จากบุคคลในเครือข่ายสงั คมออนไลน์ โดยสามารถจัดทำในรปู ของเว็บไซตท์ ีม่ ีวตั ถุประสงคห์ ลักเพ่อื คน้ หา คำตอบและวิธกี ารแก้ปัญหาต่างๆทง้ั ทางธรุ กิจ การศกึ ษา รวมทงั้ การสอื่ สาร โดยอาจจะเป็นการดึงความรว่ มมือ จากเครือขา่ ยทางสังคมมาช่วยตรวจสอบขอ้ มูลเสนอความคิดเหน็ หรอื ให้ขอ้ เสนอแนะ กลุ่มคนทเี่ ขา้ มาใหข้ ้อมลู อาจจะเปน็ ประชาชนท่วั ไปหรือผู้มีความเชยี่ วชาญเฉพาะด้านทอี่ ยูใ่ นภาคธุรกิจหรือแม้แต่ในสังคมนักขา่ ว ข้อดขี อง การใชห้ ลัก Crowd souring คือ ทำให้เกิดความหลากหลายทางความคดิ เพ่ือนำ ไปสู่การแก้ปัญหาทีม่ ี ประสทิ ธภิ าพ ตลอดจนช่วยตรวจสอบหรอื คดั กรองข้อมูลซ่งึ เปน็ ปญั หาสาธารณะร่วมกันได้ เช่น Idea storm, Mystarbucks Idea 9. Podcasting หรอื Podcast มาจากการรวมตวั ของสองคำ คือ “Pod” กับ “Broadcasting” ซ่ึง “POD” หรอื PersonalOn - Demand คือ อุปสงค์หรือความต้องการสว่ นบคุ คล ส่วน “Broadcasting” เป็นการนำส่ือตา่ งๆ มารวมกนั ในรูปของภาพและเสยี ง หรืออาจกลา่ วงา่ ยๆ Podcast คอื การ บันทกึ ภาพและเสียงแล้วนำมาไว้ในเวบ็ เพจ (Web Page) เพ่อื เผยแพรใ่ หบ้ ุคคลภายนอก (The public in general) ที่สนใจดาวน์โหลดเพอื่ นำไปใชง้ าน เช่น Dual Geek Podcast, Wiggly Podcast 10. Discuss / Review/ Opinion เป็นเว็บบอรด์ ทผ่ี ูใ้ ช้อนิ เทอร์เน็ตสามารถแสดงความคิดเห็น โดยอาจจะ เก่ียวกบั สนิ ค้าหรือบริการ ประเดน็ สาธารณะทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เชน่ Epinions, Moutshut, Yahoo!Answer, Pantip,Yelp ประโยชนข์ อง Social networks เครอื ขา่ ยสังคมออนไลน์ 1. สามารถแลกเปลยี่ นข้อมลู ความรู้ในส่งิ ทสี่ นใจร่วมกนั ได้ 2. เปน็ คลงั ขอ้ มลู ความรขู้ นาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลยี่ นความรู้ หรอื ต้ัง คาถามในเรอื่ งต่างๆ เพือ่ ให้บุคคลอ่ืนทส่ี นใจหรือมีคาตอบได้ชว่ ยกนั ตอบ 3. ประหยดั คา่ ใช้จ่ายในการติดต่อส่ือสารกับคนอืน่ สะดวกและรวดเร็ว 4. เป็นสือ่ ในการนำเสนอผลงานของตวั เอง เชน่ งานเขียน รูปภาพ วดี โิ อต่างๆ เพ่ือให้ผ้อู นื่ ได้เข้ามารับชมและ แสดงความคดิ เห็น 5. ใชเ้ ป็นสือ่ ในการโฆษณา ประชาสัมพนั ธ์ หรอื บรกิ ารลูกค้าสาหรบั บริษัทและองคก์ รต่างๆ ช่วยสรา้ งความ เช่ือมั่นให้ลกู ค้า 6. ชว่ ยสรา้ งผลงานและรายไดใ้ หแ้ ก่ผู้ใช้งาน เกิดการจา้ งงานแบบใหม่ๆ ข้นึ
32 7. คลายเครียดได้สำหรบั ผู้ใชท้ ่ีต้องการหาเพื่อนคุยเลน่ สนุกๆ 8. สรา้ งความสัมพันธ์ท่ีดจี ากเพื่อนสู่เพ่ือนได้
33 บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนนิ งานตามโครงการ 1. วิธีการดำเนนิ งาน ขั้นเตรียมการ เพื่อจัดประชมุ ครูและบุคลากรทางการศึกษา - ชีแ้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอียดโครงการ - ชี้แจงแนวทางในการดำเนินโครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนินการเพอ่ื อนุมตั ิ - แตง่ ต้งั กรรมการดำเนนิ งานตามโครงการ 1. คณะกรรมการอำนวยการ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานฝ่าย ต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรยี บร้อย ประกอบด้วย 1.1 นายสมประสงค์ นอ้ ยจนั ทร์ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอชนแดน ประธานกรรมการ 1.2 นายเกรียงฤทธิ์ เดตะอุด ครู กรรมการ 1.3 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.4 นางสาวลาวณั ย์ สทิ ธกิ รวยแกว้ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.5 นางวารี ชบู ัว บรรณารักษ์ชำนาญการ กรรมการและเลขานุการ 2. ฝา่ ยติดต่อประสานงาน มีหนา้ ที่ ตดิ ต่อประสานงานสถานท่ีจัดการจัดกิจกรรม ประกอบดว้ ย 2.1 นางวารี ชบู วั บรรณารักษ์ชำนาญการ 2.2 นางสาวมุจลนิ ท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 2.3 นางลาวิน สเี หลือง ครู กศน. ตำบล 2.4 นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ครู กศน. ตำบล 2.5 นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพนั ธ์ ครู กศน. ตำบล 2.6 นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ครู กศน. ตำบล 2.7 นางสาวพัชราภรณ์ นรศิ ชาติ ครู กศน. ตำบล 2.8 นางสุรตั น์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 2.9 นายเกรียงไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 2.10 นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ครู กศน. ตำบล 2.11 นางสาวอษุ า ย่ิงสกุ ครู ศรช.
34 3. ฝ่ายการเงินและพัสดุ มีหน้าที่ จัดซื้อพัสดุและยืมเงินสำรองจ่ายตามโครงการ และจัดทำเอกสาร เบิกจา่ ยพสั ดุ และการเงินตามโครงการใหถ้ กู ตอ้ งเรยี บร้อยและทันต่อเวลาประกอบดว้ ย 3.1 นางวารี ชบู วั บรรณารกั ษ์ชำนาญการ 3.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ 3.3 นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธ์ิ ครู ศรช. 4. ฝ่ายประชาสัมพนั ธ์ มหี นา้ ที่ ส่งข่าวประชาสัมพนั ธ์ ทางออนไลน์ Facebook Line ประกอบด้วย 4.1 นางวารี ชบู ัว บรรณารกั ษ์ชำนาญการ 4.2 นางสาวมจุ ลนิ ท์ ภยู าธร ครู กศน. ตำบล 4.3 นางลาวนิ สีเหลือง ครู กศน. ตำบล 4.4 นางสาวนภารัตน์ สสี ะอาด ครู กศน. ตำบล 4.5 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธิพนั ธ์ ครู กศน. ตำบล 4.6 นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ครู กศน. ตำบล 4.7 นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล 4.8 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 4.9 นายเกรียงไกร ใหม่เทวินทร์ ครู กศน. ตำบล 4.10 นางสาวณัฐชา ทาแน่น ครู กศน. ตำบล 4.11 นางสาวอษุ า ยิ่งสุก ครู ศรช. 4.12 นางสาวเยาวดี โสดา นกั จดั การงานท่ัวไป 5. ฝา่ ยจดั กจิ กรรม มหี นา้ ที่จดั กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่านและการเรียนรู้ วทิ ยากรการจดั กระบวนการเรียนรู้ จัดเตรียมใบความรู้ ใบงาน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ส่งเสริมการอ่านจากหนังสือ และสื่อออนไลน์ สื่อการ เรียนการสอน เกม และกจิ กรรมนนั ทนาการ ดังน้ี 5.1 นางวารี ชูบัว บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 5.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครูอาสาสมัครฯ 5.3 นางสาวลาวณั ย์ สิทธกิ รวยแกว้ ครอู าสาสมัครฯ 5.4 นางสาวมจุ ลินท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 5.5 นางลาวนิ สีเหลอื ง ครู กศน. ตำบล 5.6 นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ครู กศน. ตำบล 5.7 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธพิ ันธ์ ครู กศน. ตำบล 5.8 นางผกาพรรณ มะหิทธิ ครู กศน. ตำบล 5.9 นางสาวพัชราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล
35 5.10 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 5.11 นายเกรียงไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 5.12 นางสาวณฐั ชา ทาแน่น ครู กศน. ตำบล 5.13 นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธ์ิ ครู ศรช. 5.14 นางสาวกญั ญาณัฐ จนั ปญั ญา ครู ศรช. 5.15 นายปัณณวัฒน์ สุขมา ครู ศรช. 5.16 นางสาวอุษา ย่ิงสุก ครู ศรช. 5.17 นางสาววรางคณา นอ้ ยจันทร์ ครู ศรช. 5.18 นางสาวเยาวดี โสดา นักจัดการงานทว่ั ไป 6. ฝ่ายรบั ลงลงทะเบยี น ใหก้ รรมการมหี นา้ ทจี่ ัดเตรยี มเอกสารสำหรบั การลงทะเบยี น และรบั ลงทะเบยี น ผ้เู ข้ารว่ มโครงการ ดังนี้ 6.1 นางสาวอษุ า ยิ่งสุก ครู ศรช. 6.2 นางสาวกัญญาณัฐ จนั ปญั ญา ครู ศรช. 7. ฝ่ายวัดผลและประเมินผลโครงการ มีหน้าที่แจกแบบสอบถามความพึงพอใจและเก็บรวบรวม แบบสอบถามความพงึ พอใจ ประเมนิ ผลการดำเนินงาน ประเมินความพึงพอใจ ปญั หา อุปสรรค และขอ้ เสนอแนะ และจดั ทำรายงานผลการดำเนินงานหลังเสรจ็ สิน้ โครงการ ดังน้ี 7.1 นางวารี ชูบัว บรรณารักษ์ชำนาญการ 7.2 นางสาวอุษา ยง่ิ สุก ครู ศรช. 7.3 นางสาวกัญญาณัฐ จนั ปัญญา ครู ศรช.
2. ข้ันดำเนนิ การ กจิ กรรมหลกั วตั ถปุ ระสงค์ ก 1. ข้ันเตรียมการ กลมุ่ เปา้ หมาย 2. ประชมุ กรรมการ เพอื่ จัดประชมุ ครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบคุ ลากร ช ดำเนินงาน 3. จัดเตรียมเอกสาร ศึกษา กศน. อำเภอชนแดน ว วัสดุ อปุ กรณ์ในการ ดำเนนิ โครงการ - ชแ้ี จงทำความเข้าใจรายละเอียด จำนวน 21 คน โครงการ - ชแี้ จงแนวทางในการดำเนินโครงการ - จดั ทำโครงการและแผนการดำเนินการ เพ่ืออนมุ ัติ - แต่งตัง้ กรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครแู ละบคุ ลากร ช ดำเนนิ งานทุกฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพือ่ ดำเนนิ การจัดทำ จดั ซอื้ วัสดอุ ปุ กรณ์ กรรมการฝ่ายท่ีได้รบั ทใ่ี ช้ในการดำเนินการ มอบหมาย
36 กลุ่มเป้าหมาย พืน้ ทดี่ ำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เป้าหมาย (เชงิ คณุ ภาพ) กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ชแี้ จงทำความเข้าใจ รายละเอียดและ ชนแดน วัตถปุ ระสงค์ของการจัดโครงการ ชแ้ี จงวตั ถปุ ระสงค์ บทบาทหนา้ ท่ี กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ของกรรมการดำเนนิ งานโครงการ ชนแดน เม.ย.65 - จดั ซ้ือวัสดอุ ปุ กรณ์ในการจดั โครงการ กศน. อำเภอ ชนแดน
กิจกรรมหลัก วัตถุประสงค์ ก ๔. ดำเนินการจัด กลมุ่ เป้าหมาย กจิ กรรม เพอื่ ดำเนนิ การปรบั ปรงุ ภูมิทัศนห์ อ้ งสมุด ให้ 1.หอ้ งสมุดประชาชน ห 5. สรปุ /ประเมนิ ผล และรายงานผล เป็นCo-Learning Space แหล่งเรยี นร้ขู อง อำเภอชนแดน ไ โครงการ คนในชุมชน จำนวน 1 แห่ง เ ๑. กจิ กรรมรักการอ่านผ่านสื่อออนไลน์ 2. นักเรียน นกั ศกึ ษา ข ๒. กจิ กรรมวนั รักการอ่าน และประชาชนทว่ั ไป ช ๓. กจิ กรรมวันสำคัญตา่ งๆ จำนวน 247 คน ต ๔. กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านและการเรยี นรู้ สำหรบั นักศกึ ษา กศน. เพอ่ื ให้กรรมการฝ่ายประเมินผลเก็บ ตามกระบวนการ ส รวบรวมขอ้ มูลและดำเนนิ การประเมินผล ประเมินโครงการ การจัดกิจกรรม 5 บท จำนวน 3 เลม่
37 กลุ่มเปา้ หมาย พืน้ ทด่ี ำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชิงคณุ ภาพ) ห้องสมุดประชาชน เม.ย. ถงึ - ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน อำเภอชนแดน ก.ย.65 ได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ห้องสมุด ให้ เป็นCo-Learning Space แหล่งเรียนรู้ ของคนในชมุ ชน เปน็ แหลง่ เรยี นร้ตู ลอด ชีวิต พร้อมให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมาย ตา่ งๆ สรุปรายงานผลการดำเนนิ งาน กศน. อำเภอ ก.ย.65 - ตามระบบ PDCA ชนแดน
38 3. ข้ันสรปุ การจัดกจิ กรรม 1. ดัชนีวัดผลสำเร็จของโครงการ 1.1 ตัวชี้วัดผลผลิต (output) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กจิ กรรม 1.2 ตัวชี้วัดผลลัพธ์ ( outcome ) นักเรียน มีนิสัยรักการอ่านนำไปสู่การเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ดขี น้ึ 2. การติดตามผลประเมนิ ผลโครงการ 2.1 แบบประเมนิ ความพึงพอใจผ้เู ข้ารว่ มกิจกรรม / โครงการ 2.2 สรปุ /รายงานผลการจัดกิจกรรม
39 บทที่ 4 ผลการดำเนินงานตามโครงการ ผลการดำเนินงานตามโครงการ การศกึ ษาความพึงพอใจของกลมุ่ เป้าหมายทีร่ ว่ มโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศยั โครงการพฒั นาห้องสมุด ประชาชนให้เปน็ ศนู ยเ์ รียนรตู้ ลอดชีวติ Co-Learning Space กิจกรรมส่งเสรมิ การอา่ นและการเรียนรู้ การใช้ สารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชนฯ แบ่งออกเป็น 3 สว่ น ดังน้ี สว่ นที่ 1 ข้อมูลทัว่ ไป เพศ เพศ จำนวน รอ้ ยละ ชาย 2 18.18 หญงิ 9 81.82 รวม 11 100 จากตาราง สรุปไดว้ า่ ผูต้ อบแบบสอบถาม ในคร้ังน้ี เป็นเพศหญิง มากทีส่ ดุ จำนวน 9 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 81.82 อายุ ช่วงอายุ จำนวน รอ้ ยละ ตำ่ กวา่ 15 ปี - - 15 - 29 ปี 11 100 30 – 39 ปี - - 40 - 49 ปี - - 50 - 59 ปี - - 60 ปขี น้ึ ไป - - 11 100 รวม จากตาราง สรุปไดว้ า่ ผ้ตู อบแบบสอบถาม ในครงั้ น้ี เปน็ ช่วงอายุ 15 - 29 ปี มากทีส่ ุด จำนวน 11 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 100
40 การศึกษา ระดับการศึกษา จำนวน ร้อยละ ประถมศึกษา - - 11 100 ม.ตน้ - - ม.ปลาย - - ปวช./ปวส. - - ปรญิ ญาตรี - - สงู กว่าปรญิ ญาตรี 11 100 รวม จากตาราง สรุปได้วา่ ผตู้ อบแบบสอบถาม ในครัง้ นี้ การศึกษาระดับ ม.ตน้ มากท่สี ุด จำนวน 11 คน คดิ เปน็ ร้อย ละ 100 อาชีพ อาชพี จำนวน ร้อยละ รับจ้าง - - เกษตรกรรม - - ผู้นำชุมชน - - คา้ ขาย - - รับราชการ - - นกั เรียน/นักศึกษา 11 100 อ่นื ๆ ระบุ - - รวม 11 100 จากตาราง สรปุ ได้วา่ ผตู้ อบแบบสอบถาม ในครง้ั น้ี เป็นอาชีพนกั เรยี น/นักศึกษา มากทีส่ ดุ จำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 100
41 ส่วนที่ 2 ข้อมูลความคิดเหน็ และความพึงพอใจต่อการจัดโครงการ/กจิ กรรม 2.1 เกณฑ์การพจิ ารณาระดับความพึงพอใจ 0.00 – 1.49 อยใู่ นระดบั นอ้ ยทีส่ ุด 1.50 – 2.49 อยู่ในระดับ นอ้ ย 2.50 – 3.49 อยใู่ นระดับ ปานกลาง 3.50 – 4.49 อยใู่ นระดบั มาก 4.50 - 5 อยใู่ นระดับ มากทส่ี ดุ 2.2 เกณฑ์การใหค้ ะแนน มากท่สี ดุ 5 อยู่ในระดับ มาก 4 อยใู่ นระดับ ปานกลาง 3 อยู่ในระดับ นอ้ ย 2 อยู่ในระดบั นอ้ ยท่สี ดุ 1 อยู่ในระดบั
ตอนที่ 2 ความคดิ เหน็ ต่อโครงการ จำนวน ผู้ ข้อ รายการ ประเมนิ (คน) มากทสี่ ุด 1 กจิ กรรมทีจ่ ดั สอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ 11 5 2 เนอื้ หาของสอ่ื การเรยี นรตู้ รงกับความต้องการของผ้รู บั บริการ 11 9 3 การจดั กจิ กรรมมีส่อื การเรียนรูท้ ีห่ ลากหลาย 11 8 4 กิจกรรมสง่ เสริมการมีมนุษย์สัมพันธอ์ นั ดีต่อกนั 11 10 5 สถานท่ีจดั กจิ กรรมเหมาะสมท่เี อ้ือต่อการเรยี นรู้ 11 8 6 ระยะเวลาการจดั กิจกรรมมคี วามเหมาะสม 11 7 7 ทา่ นมคี วามประทับใจในการเข้ารว่ มกจิ กรรมคร้ังนี้ 11 7 8 การประชาสัมพันธ์และชวนเชญิ 11 8 9 ความเหมาะสมวสั ด/ุ อปุ กรณใ์ นการจดั กจิ กรรม 11 9 10 การนำประโยชนไ์ ปใช้ในการเขา้ ร่วมกจิ กรรมในครง้ั นี้ 11 9 11 ทา่ นคดิ วา่ ควรมีการจัดกจิ กรรมในลักษณะนต้ี ่อเน่ือง 11 9 12 หากมีโอกาสในปีต่อไปท่านยินดีเขา้ รว่ มโครงการน้ีอีก 11 10 10 รวมทั้งหมด 132 104 ร้อยละ 100 78.79
Search