Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา

Published by waryu06, 2022-08-05 06:34:12

Description: วันวิสาขบูชา

Search

Read the Text Version

บนั ทึกขอ้ ความ สว่ นราชการ ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน ท่ี ศธ ๐๒๑๐.๕๔๐๓/ วนั ที่ สงิ หาคม ๒๕๖๕ เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานโครงการพฒั นาห้องสมดุ ประชาชนให้เปน็ ศูนยเ์ รยี นร้ตู ลอดชีวิต Co-Learning Space กจิ กรรมวันวสิ าขบูชา เรียน ผ้อู ำนวยการศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอำเภอชนแดน ตามที่ ห้องสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดนได้จดั ทำจัดทำโครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เปน็ ศนู ยเ์ รียนรู้ ตลอดชวี ติ Co-Learning Space กจิ กรรมวนั วิสาขบูชา ประจำเดือน พฤษภาคม ๒๕๖๕ เพ่ือสร้างนิสัยรักการ อ่าน พัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ท่ีเอ้ือต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนาปรับปรุงห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีอำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชน ทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการอ่านมากข้ึน บัดน้ีโครงการดงั กล่าว ได้ดำเนนิ การเสร็จสิ้นเรยี บรอ้ ยแล้ว ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จึงขอรายงานผลการดำเนินงานโครงการดังกล่าว รายละเอียดตามเอกสารทแี่ นบมาพร้อมนี้ จงึ เรียนมาเพือ่ โปรดทราบ (นางวารี ชบู วั ) บรรณารกั ษช์ ำนาญการ

คำนำ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุด ประชาชนอำเภอชนแดน ดำเนินการจัดทำโครงการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์เรียนรู้ตลอดชีวิต Co-Learning Space กิจกรรมวันวิสาขบูชา ประจำเดือน พฤษภาคม 2565 เพื่อสร้างนิสัยรักการ อ่าน พัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนาปรับปรุง ห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการ อ่านมากข้ึน นั้น ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานผลการดำเนินงานโครงการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เล่มนี้คงเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นคู่มือในการ ดำเนินงานต่อไป หากมีข้อเสนอแนะประการใดโปรดแจ้งคณะผู้จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงใน ครัง้ ต่อไป ผ้จู ัดทำ สิงหาคม 2565

สารบัญ หนา้ 1-9 บทที่ 1 บทนำ 10 - 37 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง 38 - 43 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนินการตามโครงการ 44 - 48 บทที่ 4 ผลการดำเนนิ การตามโครงการ 49 – 51 บทท่ี 5 สรุปผลการดำเนนิ งานตามโครงการ บรรณานุกรม ภาคผนวก รปู ภาพ รายช่อื ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม แบบประเมนิ ความพึงพอใจ คำสง่ั โครงการ คณะผู้จดั ทำ

1 บทท่ี 1 บทนำ 1.ชอื่ โครงการ โครงการจัดการศกึ ษาตามอัธยาศยั กจิ กรรมท่ี 1 โครงการพัฒนาหอ้ งสมดุ ประชาชนให้เปน็ ศูนยเ์ รียนรู้ตลอดชีวติ Co-Learning Space 2.  สอดคลอ้ งกับยุทธศาสตรช์ าติ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนาและเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพทรพั ยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญเพื่อ พัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่งและมีคุณภาพ โดยคนไทยมีความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา มี พัฒนาการที่ดีรอบด้านและมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อสังคมและผู้อื่น มัธยัสถ์อดออม โอบออ้ มอารี มีวนิ ยั รักษาศลี ธรรม และเป็นพลเมอื งดขี องชาติ มหี ลักคดิ ทถี่ ูกต้อง มีทกั ษะที่จ่าเป็นในศตวรรษที่ 21 มี ทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่ 3และอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่น มีนิสัยรักการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่าง ตอ่ เนอ่ื งตลอดชวี ติ สกู่ ารเปน็ คนไทยท่ีมีทักษะสูง เป็นนวัตกร นักคิด ผู้ประกอบการ เกษตรกรยุคใหมแ่ ละอ่ืน ๆ โดยมี สมั มาชพี ตามความถนัดของตนเอง ประเด็นที่ 2 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต มุ่งเน้นการพัฒนาคนเชิงคุณภาพในทุกช่วงวัย ประกอบดว้ ย (1) ชว่ งการต้งั ครรภ์/ปฐมวัย เน้นการเตรียมความพร้อมให้แก่พ่อแม่ก่อนการตั้งครรภ์ (2) ช่วงวัยเรียน/ วัยรุ่น ปลูกฝังความเป็นคนดี มีวินัยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่สอดรับกับศตวรรษที่ 21 (3) ช่วงวัยแรงงาน ยกระดับ ศักยภาพ ทักษะและสมรรถนะแรงงานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ (4) ช่วงวัยผู้สูงอายุ ส่งเสริมให้ ผู้สูงอายเุ ปน็ พลังในการขบั เคลอื่ นประเทศ ประเด็นที่ 6 การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดย (1) การสร้างความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวไทย (2) การส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบครัวและชุมชนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (3) การปลูกฝังและพัฒนาทักษะนอก ห้องเรียน และ (4) การพัฒนาระบบฐานข้อมลู เพ่ือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  สอดคล้องกบั แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 ยทุ ธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทนุ มนุษย์ 3.1 ปรับเปลย่ี นค่านยิ มคนไทยให้มีคณุ ธรรม จริยธรรม มวี ินยั จติ สาธารณะ และพฤติกรรม ทพ่ี ึงประสงค์ 3.1.2 ส่งเสริมให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียนที่สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ความมีวินัย จิตสาธารณะ รวมทั้งเร่งสร้างสภาพแวดล้อมภายในและโดยรอบสถานศึกษาให้ปลอด จากอบายมุขอย่าง จรงิ จัง 3.2 พัฒนาศักยภาพคนให้มที กั ษะความรู้และความสามารถในการดำรงชวี ติ อย่างมคี ุณค่า 3.2.2 พัฒนาเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นใหม้ ีทักษะการคิดวิเคราะหอ์ ย่างเป็นระบบ มีความคิด สร้างสรรค์ มี ทักษะการทำงานและการใช้ชีวิตที่พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน

2 3.3 ยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษาและการเรยี นรู้ตลอดชีวิต 3.3.6 จัดทำส่ือการเรยี นรู้ท่เี ปน็ ส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์และสามารถใชง้ านผา่ นระบบอปุ กรณส์ อ่ื สารเคลื่อนท่ี ให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ทั่วถึง ไม่จากัดเวลาและสถานที่ และใช้มาตรการทางภาษีจูงใจให้ ภาคเอกชนผลิตหนังสอื สอื่ การอา่ นและการเรยี นร้ทู ่ีมคี ุณภาพและราคาถูก 3.3.7 ปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และมีชีวิต อาทิพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด โบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ โรงเรียนผูส้ ูงอายุ รวมทั้งส่งเสริมให้มีระบบการจดั การความรู้ที่เป็นภมู ิ ปัญญาทอ้ งถิน่  สอดคล้องกับนโยบาลของรัฐบาล (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร) 1. การพัฒนาและเสรมิ สรา้ งศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 1.1 การจัดการศึกษาเพ่ือคณุ วฒุ ิ พฒั นาผ้เู รยี นให้มคี วามรอบรูแ้ ละทักษะชีวติ เพื่อเป็นเคร่ืองมือในการ ดำรงชีวติ และสรา้ งอาชีพ อาทิ การใช้เทคโนโลยีดจิ ทิ ัล สุขภาวะและทัศนคติที่ดตี ่อการดูแลสุขภาพ 1.2 การเรียนรตู้ ลอดชีวิต - จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ (English for All)  สอดคล้องกบั นโยบายและจุดเน้นการดำเนนิ งาน กศน. จดุ เนน้ การดาํ เนนิ งานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2. ด้านการสร้างสมรรถนะและทกั ษะคุณภาพ 2.1 สง่ เสรมิ การจดั การศึกษาตลอดชีวติ ที่เนน้ การพฒั นาทกั ษะที่จาํ เปน็ สำหรับแต่ละช่วงวัย และ การจัดการศึกษาและการเรยี นรู้ทีเ่ หมาะสมกบั แตล่ ะกลุม่ เปา้ หมายและบริบทพ้นื ท่ี 2.4 ส่งเสริมการจัดการศึกษาของผู้สูงอายุเพื่อให้เป็น Active Ageing Workforce และมี Life Skill ในการดํารงชีวิตทเ่ี หมาะกบั ช่วงวัย 3. ด้านองค์กร สถานศึกษา และแหลง่ เรียนรูค้ ุณภาพ 3.3 ปรับรูปแบบกจิ กรรมในหอ้ งสมดุ ประชาชน ทเ่ี น้น Library Delivery เพื่อเพิม่ อัตราการอ่าน และการรู้หนงั สือของประชาชน 3.5 สง่ เสริมและสนับสนนุ การสร้างพ้นื ท่ีการเรียนรู้ ในรปู แบบ Public Learning Space/ Co- Learning Space เพอื่ การสร้างนเิ วศการเรียนรู้ใหเ้ กิดข้นึ สังคม

3  สอดคลอ้ งกบั ตัวชวี้ ัดการประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษา มาตรฐานการศึกษาตามอัธยาศยั มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพของผู้รบั บริการการศึกษาตามอัธยาศยั ตวั บง่ ชี้ท่ี 1.1 ผู้รบั บรกิ ารมคี วามรู้ หรือทักษะ หรือประสบการณ์ สอดคล้องกับ วตั ถุประสงค์ของโครงการ หรอื กิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศัย มาตรฐานที่ 2 คุณภาพการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบง่ ชท้ี ่ี 2.1 การกำหนดโครงการหรือกิจกรรมการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ตัวบ่งช้ที ่ี 2.2 ผู้จัดกิจกรรมมคี วามรู้ ความสามารถในการจดั การศึกษาตามอธั ยาศัย ตวั บ่งชท้ี ่ี 2.3 สือ่ หรอื นวัตกรรม และสภาพแวดล้อมทเี่ อ้ือตอ่ การจัดการศึกษาตาม อธั ยาศยั ตวั บ่งชท้ี ่ี 2.4 ผรู้ ับบรกิ ารมคี วามพงึ พอใจต่อการจัดการศึกษาตามอธั ยาศยั มาตรฐานที่ 3 คณุ ภาพการบริหารจัดการของสถานศกึ ษา ตัวบ่งชี้ท่ี 3.1 การบรหิ ารจัดการของสถานศกึ ษาที่เน้นการมีส่วนรว่ ม ตวั บ่งชี้ที่ 3.2 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษา ตวั บ่งชท้ี ่ี 3.5 การกำกับ นเิ ทศ ติดตาม ประเมนิ ผลการดำเนนิ งานของสถานศึกษา ตัวบง่ ชีท้ ่ี 3.7 การสง่ เสรมิ สนบั สนุนภาคีเครือขา่ ยให้มสี ว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษา ตวั บง่ ชีท้ ่ี 3.8 การสง่ เสริม สนบั สนุนการสรา้ งสงั คมแหง่ การเรียนรู้ ข้อเสนอแนะ ของ สมศ. ข้อที่ 1 ในการดำเนินแผนงาน/โครงการ สถานศึกษาควรมีการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานทุก ระยะ ขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อประเมินผลและนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นระบบครบ วงจร PDCA และในการประเมินความพึงพอใจ ควรเพิ่มข้อเหตุผล ข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะวา่ เพราะเหตุใดขอ้ นน้ั จงึ ใหค้ ะแนนมากหรือนอ้ ย ข้อที่ 13 ในการบริหารจัดการการดำเนินโครงการ กิจกรรมต่างๆ สถานศึกษาควรดำเนินการให้ ครบถ้วนเป็นระบบครบวงจร PDCA และในโครงการกิจกรรมควรกำหนดวัตถุประสงค์เป็นรูปธรรม มีการออกแบบ ประเมินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ มีการดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลอย่าง ต่อเนอื่ งและนำผลการประเมินทไ่ี ด้ไปวเิ คราะห์ถึงอุปสรรค และนำไปวางแผน ปรับปรงุ พัฒนาในปตี อ่ ไป

4 3. หลักการและเหตุผล วิถีชีวิต การเรียนรู้ การทํางานของคนในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไป รูปแบบการทํางาน มักจะไปนั่งทํางาน อ่าน หนังสือ ประชุม หรือทํางานกลุ่มตามสถานที่สาธารณะ มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ห้องสมุด หรือตาม Co - working Space ต่าง ๆ ด้วยเหตุผลหลากหลายไม่ว่าจะเป็นต้องการพื้นที่ในการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่เอื้อต่อ การเกิดแนวคิดใหม่ ๆ ในการทํางาน หรือบางครั้งจะรู้สึกว่ามีสมาธิมากกว่าที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทํางาน แต่พื้นที่ ลักษณะเช่นน้ีท่ีมีใหบ้ รกิ ารอยู่ในปัจจุบนั ยังเปน็ ข้อจํากัดในการเข้าถึงของหลาย ๆ คน ไม่วา่ จะเป็นเรื่องของระยะเวลา การเปิด – ปิดบริการ ค่าใช้จ่าย หรือถ้าเปิดให้ใช้บริการฟรีสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ หรือบรรยากาศ อาจยังไม่ ตอบโจทย์สําหรับการทํางาน หรือการอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ รวมไปถึงความปลอดภัยต่าง ๆ ในการเดินทางไปใช้ บริการตามสถานทีเ่ หล่านั้น ประกอบกบั สภาพสงั คมท่ีเปลย่ี นแปลงไปทาํ ให้รูปแบบการเรยี นรู้ของผู้รบั บริการห้องสมุด เปลี่ยนไปด้วยคนในปัจจุบันเปลี่ยนไปมีการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการค้นคว้าหาความรู้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ห้องสมุด ประชาชนจึงจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ การเรียนรู้ต้องพัฒนาให้มีรูปแบบที่หลากหลายเป็นไปตาม ความต้องการของผู้รับบริการทุกช่วงวัยยิ่งขึ้น จากแนวคิดดังกล่าวสู่การพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์การ เรียนรู้ Co - Learning Space ซึ่งสํานักงาน กศน. เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งมีภารกิจหลักในการจัดการศึกษาตาม อัธยาศัยให้กับประชาชนทุกช่วงวัย และมีแหล่งเรียนรู้ให้บริการหลากหลายรูปแบบ ห้องสมุดประชาชนก็เป็นหนึ่งใน แหล่งเรียนรู้ที่ให้บริการประชาชนควบคู่กับภารกิจอื่น ๆ ของ กศน. จึงถึงเวลาแล้วที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สําหรับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ได้มีโอกาสเข้าถึงได้ง่ายสามารถตอบทุกโจทย์ปัญหาความต้องการของประชาชน อย่างแท้จริง ศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) หรือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน จึงเกิดขึ้นภายใต้ แนวคิดทว่ี ่า การใหท้ ่มี ากกว่าแค่เพียง “พืน้ ท”ี่ แตย่ งั เป็นสถานทใ่ี นการสร้างแรงบันดาลใจ และแสดงถึงการแบ่งปัน ที่ ไม่เพียงแค่แบง่ ปันพื้นที่สําหรับทุกคน ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันแต่ทุกคนที่มายังได้ความรู้และแรงบันดาลใจดี ๆ กลับไป ด้วยเสมอ การนําแนวคิดในการปรับเปลี่ยนการให้บริการห้องสมุดประชาชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ในลักษณะศูนย์ การ เรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) ภายใต้นโยบายในการขับเคลื่อน กศน. สู่ กศน.WOW ของรัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงศึกษาธกิ าร (นางกนกวรรณ วลิ าวลั ย์) ในการพั ฒ นา กศน. ตําบล ใหม้ ีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ เอื้อต่อการเรียนรู้ : Good Place – Best Check in ข้อหน่ึงโดยการจัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ กศน. ใน 5 ภมู ิภาค เป็น ศูนย์การเรยี นรตู้ ้นแบบ (Co - Learning Space) และกําหนดให้ศูนยก์ ารเรียนรูต้ ้นแบบ (Co - Learning Space) มีพื้นที่บริการการเรียนรู้ร่วมกันตามความสนใจและความต้องการของผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศั ยทุก ช่วงวัย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอชนแดน มอบหมายให้ห้องสมุดประชาชน อำเภอชนแดนดำเนินการพฒั นาห้องสมุดประชาชนให้เปน็ ศนู ย์การเรียนรู้ Co - Learning Space เพื่อสร้างนิสัยรัก การอ่าน เพ่ือเป็นการพัฒนา ปรับปรุงให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เอ้ือต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงห้องสมุด จัดบรรยากาศและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป มีแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเกิดนิสัยรักการอ่านมาก ข้ึน

5 4. วัตถุประสงค์ 1. เพ่อื สง่ เสรมิ ให้หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดนเปน็ แหล่งเรยี นรู้ตน้ แบบ Co – Learning Space 2. เพื่อส่งเสริมนิสยั รักการอ่าน ผ่านกิจกรรมอย่างเปน็ รูปธรรม 3. เพื่อปรับปรุงบรรยากาศและภูมิทัศน์ทั้งภายในและภายนอกห้องสมุดให้น่าใช้บริการ เอื้อต่อการอ่านและ การเรยี นรู้ 5. เป้าหมาย เชงิ ปรมิ าณ ๑. หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดน จำนวน 1 แห่ง ๒. นกั เรยี น นกั ศึกษา และประชาชนทั่วไป จำนวน 247 คน เชงิ คุณภาพ ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน เป็นแหล่งเรียนรู้ในชุมชน ที่มีระบบการให้บริการและสภาพแวดล้อมที่มี ชีวิตและมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ในห้องสมุด โดยให้บริการการศึกษาค้นแก่นกั ศึกษาการศึกษานอกโรงเรยี นและ ผู้รบั บริการหอ้ งสมุด ทำให้เกดิ สงั คมแห่งการเรียนรู้ และนกั ศึกษา กศน. ผ้รู บั บริการหอ้ งสมุด สามารถนำความรู้ท่ี ไดไ้ ปใช้ในการดำเนินชวี ิตไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ

6. วธิ ีดำเนินการ กิจกรรมหลกั วัตถปุ ระสงค์ กลุ่มเป้าหมาย ก 1. ขัน้ เตรียมการ ช เพื่อจัดประชุมครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบุคลากร ว 2. ประชุมกรรมการ ดำเนนิ งาน ศึกษา กศน. อำเภอชนแดน ช 3. จดั เตรยี มเอกสาร ข วัสดุ อุปกรณใ์ นการ - ชแี้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอยี ด จำนวน 21 คน จ ดำเนินโครงการ โครงการ - ช้ีแจงแนวทางในการดำเนนิ โครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนนิ การ เพ่อื อนมุ ัติ - แตง่ ตั้งกรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครูและบุคลากร ดำเนินงานทกุ ฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพ่ือดำเนินการจดั ทำ จดั ซ้อื วัสดุอุปกรณ์ กรรมการฝ่ายที่ได้รบั ทใ่ี ช้ในการดำเนนิ การ มอบหมาย

6 กลุ่มเป้าหมาย พน้ื ทีด่ ำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชงิ คณุ ภาพ) กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ช้แี จงทำความเข้าใจ รายละเอียดและ ชนแดน วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดโครงการ ชแี้ จงวตั ถุประสงค์ บทบาทหน้าที่ กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ของกรรมการดำเนินงานโครงการ ชนแดน เม.ย.65 - จดั ซื้อวสั ดุอปุ กรณใ์ นการจัดโครงการ กศน. อำเภอ ชนแดน

กจิ กรรมหลกั วัตถุประสงค์ ก กลุ่มเปา้ หมาย ๔. ดำเนินการจัด กจิ กรรม เพอื่ ดำเนินการปรับปรุงภมู ิทัศนห์ อ้ งสมุด ให้ 1.หอ้ งสมุดประชาชน ห 5. สรปุ /ประเมินผล เป็นCo-Learning Space แหลง่ เรียนรขู้ อง อำเภอชนแดน ได และรายงานผล โครงการ คนในชมุ ชน จำนวน 1 แห่ง เป ๑. กิจกรรมรกั การอ่านผา่ นสื่อออนไลน์ 2. นักเรียน นกั ศกึ ษา ข ๒. กจิ กรรมวนั รักการอ่าน และประชาชนทั่วไป ช ๓. กจิ กรรมวันสำคัญตา่ งๆ จำนวน 247 คน ต ๔. กิจกรรมส่งเสริมการอา่ นและการเรยี นรู้ สำหรบั นักศึกษา กศน. เพ่อื ใหก้ รรมการฝา่ ยประเมนิ ผลเกบ็ ตามกระบวนการ ส รวบรวมขอ้ มลู และดำเนินการประเมินผล ประเมนิ โครงการ ต การจัดกิจกรรม 5 บท จำนวน 3 เล่ม

7 กล่มุ เปา้ หมาย พนื้ ที่ดำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชงิ คณุ ภาพ) หอ้ งสมุดประชาชน เม.ย. ถึง - ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน อำเภอชนแดน ก.ย.65 ดร้ ับการปรับปรุงภูมทิ ศั นห์ ้องสมุด ให้ ป็นCo-Learning Space แหล่งเรียนรู้ ของคนในชมุ ชน เป็นแหลง่ เรียนรตู้ ลอด ชีวิต พร้อมใหบ้ ริการแก่กลุม่ เปา้ หมาย ต่างๆ สรุปรายงานผลการดำเนินงาน กศน. อำเภอ ก.ย.65 - ตามระบบ PDCA ชนแดน

8 7. วงเงนิ งบประมาณ ไมใ่ ช้ 8. แผนการใช้จ่ายงบประมาณ แผนการใช้จา่ ยรายไตรมาส ไตรมาสท่ี 1 ไตรมาสท่ี 2 ไตรมาสท่ี 3 ไตรมาสท่ี 4 - - - - 9. ผ้รู บั ผดิ ชอบโครงการ ตำแหน่ง : บรรณารักษ์ชำนาญการ ชอื่ - สกุล : นางวารี ชบู วั เบอร์โทรศัพทม์ ือถือ : 056 – 761667 เบอรโ์ ทรศัพทท์ ่ีทำงาน : 056 – 761667 อีเมลล์ : [email protected] ผู้ร่วมดำเนินการ นางสมบตั ิ มาเนตร์ ตำแหน่ง ครอู าสาสมัครฯ นางสาวลาวัณย์ สทิ ธกิ รววยแกว้ ตำแหน่ง ครอู าสาสมคั รฯ นางลาวิน สีเหลือง ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวมจุ ลินท์ ภูยาธร ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพันธ์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางผกาพรรณ มะหิทธิ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสรุ ัตน์ จนั ทะไพร ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นายเกรียงไกร ใหมเ่ ทวินทร์ ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ตำแหนง่ ครู กศน.ตำบล นางสาวอุษา ย่ิงสกุ ตำแหน่ง ครูประจำศูนยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวกญั ญาณัฐ จนั ปัญญา ตำแหน่ง ครูประจำศูนย์การเรียนชุมชน นายปณั ณวัฒน์ สขุ มา ตำแหน่ง ครปู ระจำศูนย์การเรียนชมุ ชน นางสาววรางคณา น้อยจันทร์ ตำแหน่ง ครูประจำศนู ย์การเรยี นชุมชน นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธิ์ ตำแหนง่ ครปู ระจำศนู ยก์ ารเรียนชมุ ชน นางสาวเยาวดี โสดา ตำแหน่ง นักจดั การงานทว่ั ไป

9 10. เครอื ข่าย 10.1 นักศึกษา กศน.อำเภอชนแดน 10.2 บ้านหนังสือชมุ ชน 11.โครงการท่เี ก่ยี วข้อง 11.1 โครงการจดั การศกึ ษาตามอธั ยาศัย 11.2 โครงการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี น 11.3 โครงการประชาสมั พนั ธง์ าน กศน. 11.4 โครงการส่งเสรมิ และพฒั นาประสทิ ธิภาพการทำงานรว่ มกบั เครอื ข่าย 11.5 โครงการประกันคุณภาพสถานศึกษา 12. ผลลัพธ์ 12.1 เปน็ แหลง่ เรยี นรู้ตน้ แบบ Co – Learning Space 12.2 หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดน สง่ เสริมการจดั กระบวนการเรยี นรู้ภายในห้องสมดุ 12.3 หอ้ งสมดุ ประชาชนอำเภอชนแดน เปน็ แหลง่ เรยี นร้ทู ่ีสำคญั ของชุมชน ปรับปรุงบรรยากาศภูมิทัศน์ทั้ง ภายในและภายนอกห้องสมุดใหน้ ่าใชบ้ รกิ าร เอือ้ ตอ่ การอ่านและการเรยี นรู้ 13. ดัชนีวดั ผลสำเร็จของโครงการ 13.1 ตวั ช้วี ัดผลผลิต (output) หอ้ งสมุดประชาชนอำเภอชนแดน จำนวน 1 แห่ง เป็นแหล่งเรียนรใู้ นชุมชน ที่มีระบบการให้บริการและสภาพแวดล้อมที่มีชีวิตและมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ในห้องสมุด โดยให้บริการ การศึกษาค้นแก่นักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนและประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ และนักศึกษา กศน. รวมท้ังประชาชนทว่ั ไป สามารถนำความรทู้ ี่ไดไ้ ปใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ิตได้อย่างมีความสขุ 13.2 ตัวชี้วัดผลลัพธ์ (outcome) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ 80 % มีความพึงพอใจในการเข้าร่วม กจิ กรรม 14. การตดิ ตามผลและประเมนิ ผลโครงการ 14.1 แบบประเมินความพึงพอใจผ้เู ขา้ ร่วมกิจกรรม / โครงการ 14.2 สรุป/รายงานผลการจดั กจิ กรรม

10 บทท่ี 2 เอกสารที่เก่ียวขอ้ ง วนั วสิ าขบูชา 15 พฤษภาคม 2565 ประวัตวิ ันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ความหมายของวันวิสาขบูชา คำว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า \"วิสาขปุรณมีบูชา\" แปลว่า \"การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ\" ดังน้ัน วิ สาขบชู า จงึ หมายถึง การบชู าในวันเพญ็ เดือน 6 การกำหนดวันวิสาขบชู า วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขน้ึ 15 ค่ำ เดอื น 6 ตามปฏิทินจนั ทรคตขิ องไทย ซ่ึงมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แตถ่ ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดอื น 8 สองหน ก็เล่ือนไปเป็นวนั ขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือน มิถุนายน อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกำหนด วันวิสาขบูชา ไม่ตรงกับของไทย เน่ืองด้วยประเทศ เหลา่ นนั้ อยใู่ นตำแหน่งทต่ี ่างไปจากประเทศไทย ทำใหว้ ัน-เวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนน้ั ๆ ประวตั วิ นั วสิ าขบูชาและความสำคัญของ วนั วสิ าขบูชา วันวิสาขบูชา ถอื เป็นวันสำคญั ยง่ิ ทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันท่ีเกิด 3 เหตุการณ์สำคัญท่เี ก่ยี วกับวิถี ชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญ เดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเป็นเวลา หลายสบิ ปี ซ่ึงเหตกุ ารณอ์ ศั จรรย์ 3 ประการ ได้แก่

11 1. วนั วสิ าขบูชา เปน็ วนั ที่พระพุทธเจ้าประสตู ิ เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสด์ุ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะ ประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพ่ือประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยม ในสมัยน้ัน ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวาย พระนามว่า \"สทิ ธัตถะ\" แปลวา่ \"สมปรารถนา\" เม่ือข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระ เจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า และเม่ือเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า \"พระราชกุมารน้ีจักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอัน บริสุทธ์ิอย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารน้ีจัก แพร่หลาย\" แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึก อัศจรรย์และเปย่ี มลน้ ด้วยปตี ิ ถงึ กับทรดุ พระองคล์ งอภวิ าทพระราชกุมารตามอย่างดาบส 2. วันวิสาขบชู า เป็นวนั ทพ่ี ระพุทธเจ้าตรสั รู้อนตุ ตรสมั มาสัมโพธิญาณ หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรมี หาโพธ์ิ ฝ่ังแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามดื ของวันพุธ ขึน้ 15 ค่ำ เดือน 6 ปี ระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งน้ีเรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหน่ึงของเมืองคยา แห่งรัฐ พหิ ารของอินเดีย

12 สิ่งท่ีตรัสรู้ คอื อรยิ สจั 4 เป็นความจริงอนั ประเสริฐ 4 ประการของพระพทุ ธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปท่ี ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานท่ี 4 แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ - ยามต้น : ทรงบรรลุ \"ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ\" คือ ทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อ่ืนได้ - ยามสอง : ทรงบรรลุ \"จุตปู ปาตญาณ\" คอื การรู้แจ้งการเกิดและดบั ของสรรพสัตวท์ ้ังหลาย ดว้ ยการมีตา ทิพย์สามารถเห็นการจุตแิ ละอุบตั ิของวญิ ญาณท้ังหลาย - ยามสาม หรือยามสดุ ท้าย : ทรงบรรลุ \"อาสวกั ขยญาณ\" คือ รูว้ ิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ 4 (ทกุ ข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญ เดือน 6 ซ่ึงขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา 3. วันวิสาขบูชา เป็นวันท่ีพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีก ตอ่ ไป) เม่ือพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ ประทบั จำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกลเ้ มืองเวสาลี แคว้นวชั ชี ในระหวา่ งนั้นทรงพระประชวรอย่างหนัก คร้ันเม่ือถึงวัน เพ็ญ เดือน 6 พระพุทธองคก์ บั พระภิกษุสงฆ์ทงั้ หลายก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตท่ีบ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูล นิมนต์ พระองคเ์ สวยสูกรมัททวะทนี่ ายจุนทะต้ังใจทำถวายกเ็ กิดอาพาธ แต่ทรงอดกล้ันมุง่ เสดจ็ ไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพอ่ื เสด็จดับขนั ธ์ปรินพิ พาน เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนน้ัน พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า \"ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย อันว่า สังขารท้ังหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและ ประโยชน์ของผู้อ่ืนให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด\" หลังจากน้ันก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพานในราตรีเพ็ญ เดอื น 6 น้ัน

13 ประวัติความเป็นมาของวันวสิ าขบูชาในประเทศไทย ปรากฏหลักฐานว่า วันวิสาขบูชา เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยต้ังแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สนั นิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจากลังกา น่ันคอื เม่ือประมาณ พ.ศ. 420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพธิ วี ิสาขบูชาขนึ้ เพ่ือถวายเป็นพทุ ธบชู า จากน้ันกษตั ริยล์ ังกาพระองคอ์ ื่น ๆ กป็ ฏิบตั ิประเพณีวิสาขบชู า น้ีสืบทอดตอ่ กนั มา ส่วนการเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยมีความสัมพันธ์ ด้านพระพุทธศาสนากับประเทศลังกาอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากมีพระสงฆ์จากลังกาหลายรูปเดินทางเข้ามาเผยแพร่ พระพทุ ธศาสนา และนำการประกอบพิธวี ิสาขบชู าเข้ามาปฏบิ ัตใิ นประเทศไทยด้วย สำหรับการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาในสมัยสุโขทัยนั้น ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศ สรุปได้ว่า เมื่อ ถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหนา้ และฝ่ายใน ตลอดท้ังประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกัน ประดับตกแต่งพระนครด้วยดอกไม้ พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดูสว่างไสวไปท่ัวพระนคร เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เพ่ือเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะท่ีพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีลและทรงบำเพ็ญพระราช กุศลต่าง ๆ ครั้นตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ ตลอดจนข้าราชการท้ังฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ไปยังพระอารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน ส่วนชาว สโุ ขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม ถวายสลากภตั ตาหาร สงั ฆทาน อาหารบิณฑบาตแด่พระภกิ ษุสามเณร บริจาคทานแก่ คนยากจน ทำบญุ ไถช่ ีวติ สัตว์ ฯลฯ หลังจากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากขึ้น ทำให้ในช่วงสมัยกรุงศรี อยุธยา ธนบรุ ี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามกี ารประกอบพิธีวิสาขบชู า จนกระท่ังมาถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลท่ี 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360) มีพระราชดำริที่จะให้ ฟื้นฟูพิธีวิสาขบูชาข้ึนมาใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้นเป็นครั้ง แรก ในวันข้ึน 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุก ประการ เพื่อให้ประชาชนได้ทำบุญ ทำกุศล โดยทั่วหน้ากัน การร้ือฟ้ืนพิธีวิสาขบูชาข้ึนมาในครานี้ จึงถือเป็น แบบอยา่ งถอื ปฏิบัตใิ นการประกอบพิธี วันวสิ าขบชู า ตอ่ เนอ่ื งมาจวบจนกระทั่งปจั จุบนั วันวสิ าขบชู าเป็นวนั สำคญั สากลของสหประชาชาติ วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญที่สุดทางพระพุทธศาสนา เน่ืองจากล้วนมีเหตุการณ์ที่เก่ียวข้องกับการถือ กำเนิดของพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่พระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดังนัน้ พุทธศาสนกิ ชนทว่ั โลกจึงให้ความสำคัญกับวันวสิ าขบูชานี้ และในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติท่ีประชุม กำหนดให้วันวิ สาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก โดยเรียกว่า Vesak Day ตามคำเรยี กของชาวศรีลงั กา ผู้ท่ีย่ืนเร่ืองให้สหประชาชาติ พิจารณา และได้กำหนดให้วันวิสาขบูชานี้ถือเป็นวันหยุดวันหน่ึงของสหประชาชาติอีกด้วย ท้ังน้ี เพื่อให้ชาวพุทธ ทว่ั โลกไดม้ โี อกาสบำเพ็ญบุญเนือ่ งในวันประสูติ ตรสั รู้ และปรนิ ิพพานของพระบรมศาสดา

14 โดยการที่สหประชาชาติได้กำหนดให้วนั วิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลกน้ัน ได้ใหเ้ หตุผลไว้ว่า องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามา ศกึ ษาพุทธศาสนา เพื่อพสิ ูจน์หาข้อเท็จจริงไดโ้ ดยไมจ่ ำเปน็ ต้องเปล่ียนมานบั ถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคน โดยใชป้ ญั ญาธิคณุ โดยไมค่ ิดค่าตอบแทน การประกอบพธิ ใี นวันวสิ าขบูชา การประกอบพธิ ใี นวนั วสิ าขบชู า จะแบง่ ออกเป็น 3 พธิ ี ไดแ้ ก่ 1. พิธีหลวง คือ พระราชพิธีสำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ประกอบในวันวิ สาขบูชา 2. พธิ ีราษฎร์ คือ พธิ ีของประชาชนทั่วไป 3. พิธีของพระสงฆ์ คอื พิธีท่ีพระสงฆ์ประกอบศาสนกจิ กิจกรรมในวันวิสาขบูชา กิจกรรมทพ่ี ทุ ธศาสนิกชนพงึ ปฏบิ ตั ใิ นวันวิสาขบูชา ได้แก่ 1. ทำบญุ ใสบ่ าตร กรวดนำ้ อุทศิ ส่วนกุศลให้ญาติท่ลี ว่ งลับ และเจ้ากรรมนายเวร 2. จัดสำรบั คาว-หวานไปทำบญุ ถวายภตั ตาหารทว่ี ัด และปฏิบตั ิธรรม ฟังพระธรรมเทศนา 3. ปล่อยนก ปลอ่ ยปลา เพือ่ สร้างบุญสร้างกุศล 4. ร่วมเวียนเทียนรอบอุโบสถท่ีวัดในตอนค่ำ เพ่ื อรำลึกถึงพระพุ ทธ พระธรรม พ ระสงฆ์ 5. ร่วมกิจกรรมเกยี่ วกบั วนั สำคญั ทางพุทธศาสนา 6. จดั แสดงนิทรรศการ ประวัติ หรอื เรอ่ื งราวความเปน็ มาเก่ียวกบั วนั วสิ าขบชู า ตามโรงเรียน หรอื สถานที่ ร า ช ก า ร ต่ า ง ๆ เพ่ื อ ให้ ค ว า ม รู้ แ ล ะ เป็ น ก า ร ร่ ว ม ร ำ ลึ ก ถึ ง ค ว า ม ส ำ คั ญ ข อ ง วั น วิ ส า ข บู ช า 7. ประดับธงชาตติ ามอาคารบา้ นเรอื น วัดและสถานทรี่ าชการ 8. บำเพ็ญสาธารณประโยชน์

15 หลกั ธรรมที่สำคญั ในวนั วสิ าขบูชา ท่ีควรนำมาปฏบิ ัติ ในวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนท้ังหลายควรยึดม่ันในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติในวันวิ สาขบูชา ได้แก่ 1. ความกตญั ญู คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซ่ึงหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญู และความกตเวทีน้ีเป็นเคร่ืองหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซ่ึงความกตัญญูกตเวทีนั้น สามารถเกดิ ขึ้นไดก้ ับทง้ั บดิ ามารดาและลกู ครูอาจารยก์ ับศิษย์ นายจา้ งกบั ลกู จา้ ง ฯลฯ ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังน้ัน พุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนา ให้อยู่สบื ไป 2. อรยิ สจั 4 คือ ค วาม จริงอัน ป ระเส ริฐ 4 ป ระการ ที่ พ ระพุ ท ธเจ้าท รงต รัสรู้ใน วัน วิส าขบู ช า ได้ แก่ - ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซ่ึงทุกข์ขั้นพ้ืนฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วน เป็นสิ่งที่มนษุ ย์ทุกคนต้องเผชญิ ส่วนทุกขจ์ ร คือ ทกุ ข์ทเี่ กดิ ข้ึนในการดำเนินชวี ติ ประจำวัน เช่น การพลดั พรากจาก สิ่งที่เป็นทร่ี ัก หรือความยากจน เปน็ ต้น - สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก \"ตณั หา\" อันไดแ้ ก่ ความอยากไดต้ ่าง ๆ อยา่ งไม่มที ่ีส้ินสดุ - นิโรธ คือ ความดับทกุ ข์ เปน็ สภาพท่คี วามทกุ ข์หมดไป เพราะสามารถดบั กิเลส ตัณหา อปุ าทาน ออกไป ได้ - มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความ เห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ต้ังจิตมั่นชอบ 3. ความไมป่ ระมาท คือ การมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติคือการระลึกได้ การ ระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ซึ่งความประมาทนั้นจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้น ในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพ ากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพอ่ื เปน็ การน้อมรำลึกถงึ พระวิสุทธคิ ุณ พระปญั ญาธคิ ุณ และพระมหากรุณาธคิ ุณ ของพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าท่มี ีต่อ มวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกท้ังเพ่ือเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง 3 ประการ ที่มาบังเกิดในวัน เดียวกัน และนำหลกั ธรรมคำสัง่ สอนของพระพทุ ธองค์มาเปน็ แนวทางในการประพฤติปฏบิ ตั ใิ นการดำรงชวี ิตค่ะ

16 ความสำคญั ของการอ่าน การอ่านเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างหน่ึงของมนุษย์ ท่ีใช้สายตาและสมองรับรู้ความหมาย รวมทั้ง ความเข้าใจจากสิ่งที่อ่าน หากมนุษย์ไม่มีการจดบันทึกเร่ืองราวความเป็นมาของตนเอง อีกท้ังมนุษย์ไม่รู้จัก ความหมายของภาษาที่กลุ่มชนน้ัน ๆ ใช้บันทึกโดยเฉพาะไม่รู้จักการอ่าน ย่อมทำให้มนุษย์ขาดการเรียนรู้ และ ความเขา้ ใจซ่ึงกันและกนั ปัจจุบันมีส่ือมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เข้ามาแย่งเวลาของเราไป แต่การอ่านก็ยังถือว่า เปน็ ส่ิงท่ีดี ไม่อาจนำเอาสิ่งใดมาทดแทนได้ หนังสือจะเป็นกญุ แจไขความรู้และความลี้ลับต่าง ๆ ในโลกให้แก่เรา ตามตอ้ งการ และจากการอ่านเราจะได้ความรู้สึกละเอียดอ่อน ความซาบซึ้งไปกับความไพเราะและรสของภาษา เกดิ ภาพพจน์ไดเ้ ป็นอย่างดี ซ่ึงสือ่ อย่างอื่นจะไมม่ สี ่ิงเหล่าน้ี การอ่าน เป็นส่ิงจำเป็นต่อชีวิต ต่อความเจริญด้านต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนังสือนอกจากจะ ทำให้ผู้อา่ นเป็นผหู้ ูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคล่ือนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็น เครอ่ื งกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวิจารณญาณและประสบการณ์ให้เพ่ิมพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคล เป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพในการอ่าน อยู่มาก สังคมน้ันย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยที ำให้ความร้ตู ่าง ๆ ล้าสมัยเร็วขึ้น หนังสือเทา่ นั้นทส่ี ามารถทนั ความก้าวหน้าเหล่านี้ การอ่าน เปน็ สิ่งจำเป็นต่อชีวิต ตอ่ ความเจริญในดา้ นต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนงั สอื นอกจากจะ ทำให้ผู้อ่านเป็นผูห้ ูตากว้างแลว้ คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็น เครื่องกระตุ้นให้เกดิ ความสงบในใจ ส่งเสริมวจิ ารณญาณและประสบการณ์ให้เพิ่มพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคล เป็นผู้มีคุณค่าในสังคม มีประสบการณ์ชีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมีบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพในการอ่าน อยู่มาก สังคมน้นั ย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบนั ความก้าวหน้าอย่างรวดเรว็ ทางวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยที ำให้ความรตู้ า่ ง ๆ ล้าสมัยเร็วขน้ึ หนงั สือเท่านั้นท่ีสามารถทันความก้าวหนา้ เหลา่ น้ี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิด การประชุใหญ่สามัญประจำปี 2530 ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ได้ทรงบรรยายพิเศษในหัวข้อ เร่ือง “การสร้างสงั คมการอ่านและการใช้สารนิเทศ” ณ โรงแรมบางกอกพาเลส เม่ือ วันที่ 21 ธนั วาคม 2530 ทรง กล่าวถึง เหตุท่ีพระองค์โปรดการอ่านหนังสือ และความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ 8 ประการ คือ (อ้างถึงใน อมั พร ทองใบ, 2540 : 9) 1. การอา่ นหนังสือทำใหไ้ ดเ้ นื้อหาสาระความรู้ มากกวา่ การศึกษาหาความรดู้ ้วยวิธีอ่นื ๆ 2. ผู้อ่านสามารถอา่ นหนังสอื ได้โดยไมจ่ ำกัดเวลาและสถานท่ี สามารถนำตดิ ตัวไปได้ 3. หนังสอื เก็บไวไ้ ด้นานกวา่ ส่อื อย่างอื่น 4. ผอู้ า่ นสามารถฝึกการคดิ และสรา้ งจินตนาการได้เองขณะทอ่ี ่าน 5. การอา่ นส่งเสริมให้มีสมองดี มีสมาธนิ านกวา่ และมากกว่าสื่ออยา่ งอน่ื เพราะขณะอา่ นจติ ใจต้องมุ่งม่ัน อยู่กับข้อความ พนิ ิจพเิ คราะห์ข้อความ

17 6. ผู้อ่านเป็นผ้กู ำหนดการอา่ นได้ด้วยตนเอง จะอา่ นคร่าว ๆ หรืออา่ นอย่างละเอยี ด อ่านข้ามหรือ อ่านทกุ ตัวอกั ษรก็ได้ จะเลอื กอ่านเล่มไหกไ็ ด้ 7. หนงั สือมีหลายรปู แบบ และราคาถกู กว่าสือ่ อยา่ งอน่ื 8. ผู้อ่านเกิดความคิดเห็นได้ด้วยตนเองในขณะที่อ่าน สามารถวินิจฉัยเนื้อหาสาระได้ หนังสือบางเล่ม สามารถนำไปปฏิบตั ไิ ดด้ ว้ ย และเมอ่ื ปฏิบตั แิ ลว้ กเ็ กิดผลดี ส. ศิวรักษ์ (2512 : นำเรื่อง) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือ เป็นกิจท่ีจำเป็นสำหรับทุก ๆ คน ที่อ่านออกเสียงได้ ยิ่งได้อ่านหนังสืออีย่ิงมีค่ามาก สมดังคำของ ฟรานซิล เบคอน ทว่ี ่า “การอ่านชว่ ยใหค้ นเปน็ คนเตม็ ที”่ นายตำรา ณ เมืองใต้ (2515 : 298-299) กล่าวถงึ ความสำคญั ของตัวหนังสือและหนังสือว่า “...บางทีการท่ีเราได้อา่ นหนังสือกันอย่ทู ุกเม่ือเชื่อวัน จะทำให้เราลืมนกึ ถึงความสำคัญของตัวอักษร อัน ปรากฏอยูข่ ้างหน้าเราเสียกไ็ ด้ ตัวอักษรน้ีเป็นสิ่งจารึกและรกั ษาความคิดเห็นอันล้ำค่าของปราชญ์และกวีไวใ้ ห้เรา ...การที่เราจะหาประโยชน์ในการอ่านให้ได้เต็มที่ ก็ควรระลึกได้ หรอื แลเห็นความสำคัญของตัวหนังสือ ซึ่งเราได้ พบอยู่ทกุ วนั จนกลายเป็นส่ิงธรรมดานัน้ เสยี กอ่ น” รัญจวน อินทรกำแหง และคณะ (2523 : 27-28) กล่าวถึง ความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือความจำเป็นต่อชีวิตของคนในยุคปัจจุบันย่ิงกว่ายุคท่ีผ่านมา เพราะโลกปัจจุบันเป็นโลกที่หมุน เรว็ ท้ังในด้านวัตถุ วิทยาการ และแปรเปลีย่ นเรว็ ฉะนนั้ จึงจำเป็นอยา่ งยิ่งท่ีจะต้องอ่านหนังสือ เพื่อให้สามารถ ตดิ ตามความเคล่อื นไหว ความก้าวหน้า และความเปลี่ยนแปรทั้งหลายไดท้ นั กาล” สมถวลิ วิเศษสมบัติ (2528 : 73) ได้กล่าวถึงทักษะการอ่านไว้ สรุปได้ว่า การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน ผู้ท่ีมีนิสัยรักการอ่านและมีทักษะในการอ่านมีอัตราเร็วในการอ่านสูง ย่อมแสวงหา ความรแู้ ละการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ท่ีได้จากการอ่านไปใช้ในการพูดและการ เขียนได้เปน็ อยา่ งดี ยุพร แสงทักษิณ (2531 : 1) กล่าวว่า “การอ่านหนังสือ เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ การอ่านทำ ให้เราสามารถก้าวตามโลกได้ทัน เพราะโลกปัจจุบันนี้ไม่ได้หยุดน่ิง มีความก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทง้ั ในด้านวัตถุ วิทยาการ ความคิด ฯลฯ ดว้ ยเหตุทเ่ี ราตอ้ งมคี วามสัมพันธก์ ับสงั คมและสง่ิ แวดล้อม เราจึงควรต้อง ปรับตัวเราให้สอดคล้องไปด้วย มิฉะน้ันเราจะกลายเป็นคนโง่ ล้าหลัง อาจประพฤติปฏิบัติผิด ๆ พลาด ๆ ก็ได้ ด้วยความรเู้ ท่าไม่ถงึ การณ์” สุจรติ เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2538 : 136) กลา่ วถงึ ทกั ษะการอ่านไว้วา่ “ทักษะการ อ่านเป็นทักษะที่สำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นทักษะท่ีนักเรียนใช้แสวงหาสรรวิทยาการต่าง ๆ เพ่ือความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและ มีทักษะในการอ่าน มีอัตราเร็วในการ อา่ นสูง ยอ่ มแสวงหาความรู้ และศกึ ษาเล่าเรยี นได้อย่างมีประสิทธภิ าพ สามารถนำความรู้ท่ีได้จากการอ่านไปใช้ ในการพูดและการเขียนไดเ้ ปน็ อย่างดี” ซึง่ สอดคล้องกับแนวคิดของ จินตนา ใบกาซูยี (2534 : 57) ทกี่ ล่าวถงึ ความสำคัญของ การอ่าน มี ใจความโดยสรุปว่า การอ่านเป็นสงิ่ จำเป็นสำหับชีวิตปจั จุบนั ทงั้ ในดา้ นการดำเนนิ ชวี ิตประจำวนั ด้านการศกึ ษา

18 หาความรู้เพื่อประกอบอาชีพในอนาคต เป็นการพัฒนาความเจริญงอกงามทางสมองและปัญญา รวมท้ังเป็นการ พักผ่อนหยอ่ นใจจากชีวิตประจำวัน อัมพร สุขเกษม (2542 : 1) ได้กล่าวถึง การอ่านหนังสือว่า มีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต มนุษย์ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศด้วย เพราะการอ่านหนังสือช่วยให้ผู้อ่านรู้จักวิธีบำรุงรักษา สุขภาพของตน รู้จักวิธีการใหม่ ๆ สำหรับใช้พัฒนาอาชีพ ช่วยผ่อนคลายความเครียด มีความเพลิดเพลิน เกิด ความคิดสรา้ งสรรค์ เข้าใจความเคล่ือนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สามารถรับรู้และปรับตัวให้เข้ากับ ความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ซ่งึ ลว้ นแตเ่ ปน็ ประโยชน์ท้ังสิ้น ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และคณะ (2546 : 55-56) กลา่ วถึง ความสำคัญของการอา่ นสรปุ ได้ ดงั น้ี 1. การอ่านเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน จำเป็นต้องอ่าน หนงั สอื เพอื่ การศกึ ษาหาความรู้ต่าง ๆ 2. การอ่านเป็นเคร่ืองมือช่วยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ที่ได้ จากการอา่ นไปพฒั นางานของตนได้ 3. การอ่านเป็นเครือ่ งมอื สืบทอดมรดกทางวฒั นธรรมของคนรนุ่ หนึ่ง ไปสคู่ นรุ่นตอ่ ๆ ไป 4. การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ ที่ได้จาก การอา่ น เม่ือเกบ็ สะสมเพมิ่ พนู นานวนั เข้า ก็จะทำให้เกิดความคดิ เกิดสติปัญญา เป็นคนฉลาดรอบรู้ได้ 5. การอ่านเป็นกิจกรรมที่กอ่ ให้เกิดความเพลิดเพลินบนั เทิงใจ เป็นวิธหี นึ่งในการแสวงหาความสขุ ให้กับ ตนเองทง่ี า่ ยท่ีสุดและไดป้ ระโยชน์คุม้ ค่าท่สี ุด 6. การอ่านเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนท่ีสมบูรณ์ท้ังด้านจิตใจและบุคลิกภาพ เพราะเม่ือ อา่ นย่อมรู้มาก สามารถนำความรูไ้ ปใชใ้ นการดำรงชวี ิตได้อยา่ งมคี วามสุข 7. การอ่านเป็นเครือ่ งมอื ในการพฒั นาระบบการเมือง การปกครอง ศาสนา ประวตั ศิ าสตร์ และสังคม 8. การอา่ นเปน็ วิธีการหน่งึ ในการพฒั นาระบบการสอื่ สารและการใชเ้ ครื่องมือทางอเิ ล็กทรอนิกสต์ ่าง ๆ กล่าวโดยสรุป การอ่านมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน เพราะเราต้องแสวงหาความรู้ ข้อมูลข่าวสาร การเคลื่อนไหวทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การอ่านส่งเสริมให้ผู้อ่านมีพัฒนาการใน ความรู้และความคิด มองโลกท่ีกว้างไกล เข้าใจปัญหาท่ีเกิดข้ึนในสังคมผ่านส่ือการสอน ซ่ึงส่ิงเหล่านี้จะช่วยให้ สามารถตดั สินใจได้อย่างถูกตอ้ ง มีความเฉลียวฉลาด สามารถประกอบอาชพี และเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ได้ ความหมายของการอา่ น มีผใู้ ห้คำจำกัดความ ให้นยิ าม หรอื ให้ความหมายของการอา่ นไว้ต่าง ๆ กัน ดงั นี้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 1405) ให้คำจำกัดความว่า “อ่าน ก. ว่า ตามตัวหนังสือ ; ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ ; สังเกต

19 หรือพิจารณาดูเพ่ือให้เข้าใจ” เช่น อ่านสีหนา้ อ่านรมิ ฝีปาก อ่านในใจ ; ตีความ เช่น อา่ นรหสั อา่ นลายแทง ; คดิ , นบั (ไทยเดิม) ประทปี วาทกิ ทนิ กร และ สมพนั ธ์ุ เลขะพันธุ์ (2534 : 2) ใหค้ วามหมายไว้วา่ “การอ่าน คอื การรับรู้ ข้อความในข้อเขียนของตนเอง หรือของผู้อืน่ รวมทั้งการรับรู้เคร่ืองหมายสอื่ สารต่าง ๆ” เช่น เครื่องหมายจราจร และเครอื่ งหมายท่ีแสดงในแผนภูมิ เป็นต้น กุสุมา รักษมณี และ คณะ (2536 : 77) นิยามความหมายของการอ่านว่า “การอ่านเป็นพฤติกรรม การสนทนาโต้ตอบระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน โดยการสื่อสารผ่านสาร หรือข้อเขียนที่เรียบเรียงเป็นข้อความภาษา ซง่ึ มีรูปแบบและวตั ถปุ ระสงคแ์ ตกต่างกันไป แทนการพดู คยุ กนั โดยตรง” เปล้ือง ณ นคร (2538 : 14) การอ่าน (หนังสือ) คือ กระบวนการท่ีจะเข้าใจความหมาย ที่ติดอยู่ กับตวั อักษรหรือตวั หนังสือ พันธุ์ทิพา หลาบเลิศบุญ และ คณะ (2539 : 45) กล่าวว่า การอ่าน คือ การแปลความหมายของ ตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนำความคิดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังน้ันหัวใจของการอ่านอยู่ที่การเข้าใจ ความหมายของคำ ศรีสุดา จริยากุล (2545 : 5) ให้ความหมายของการอ่านไว้ใน “ความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับการอ่าน” ว่า “การอ่าน คือ การรับรู้ความหมายของสารจากลายลักษณ์อักษร ซ่ึงอาจจะเป็น การอ่านในลักษณะการ อ่านออกเสียง หรอื การอา่ นในใจก็ได”้ ทิพย์สุเนตร อนัมบุตร (2551 : 5) ใหค้ ำจำกัดความวา่ การอ่าน คือ การรับสารในการใช้ภาษาไมว่ ่าจะ เป็นภาษาใด ย่อมประกอบดว้ ย 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสง่ > สาร > ฝา่ ยรับ ฝ่ายส่งสารย่อมส่งโดยการพูดหรือการเขยี น ฝ่ายรบั สารจงึ รับไดโ้ ดยการฟังหรือการอา่ น นอกจากความหมายของการอ่านที่ได้กล่าวมาน้ีแล้ว ยังมีนักการศึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนอ่านและ ด้านการอ่านชาวตา่ งประเทศ ได้ให้ความหมายของการอา่ นไว้ ดังตอ่ ไปนี้ อัลเฟรด สเตปเฟอรุด (Alfred Stefferud, 1953 : 84) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า เป็นการ กระทำทางจติ ใจ ที่ผู้อา่ นยอมรับความหมายจากความคิดเหน็ ของบคุ คลอื่น จอร์จ ดี. สปาช และ พอล ซี. เบิร์ก (George D. Spache and Paul C. Berg, 1955 : 3-4) กล่าวว่า การอ่าน เป็นการผสมผสานระหว่างทักษะหลายชนิด เพื่อสร้างความเข้าใจ โดยเป็นไปตามจุดประสงค์ตาม ต้องการ และวธิ กี ารของผอู้ ่าน พอล ดี. ลิดดี (Paul D. Leedy, 1965 : 3) ให้นิยามการอ่านไว้ว่า คือ การรวบรวมความคิดและ ตคี วามหมาย ตลอดจนประเมินคา่ ความคิดเหลา่ นัน้ ท่ีปรากฏอยู่ตามสิ่งพิมพ์แตล่ ะหนา้ เอดการ์ เดล (Edgar Dale, 1956 : 89) ให้ความหมายไว้ว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการคน้ หา ความหมายจากส่ิงพิมพ์ เป็นการเพ่ิมพูนประสบการณ์ของผู้อ่าน การอ่านไม่ได้หมายความเฉพาะการมองผ่านา แต่ละประโยค หรอื แต่ละย่อหนา้ เท่าน้นั แต่ผูอ้ า่ นตอ้ งเข้าใจความคิดนั้น ๆ ด้วย

20 มอร์ติเมอร์ เจ. แอดเลอร์ (Mortimer J. Adler, 1959 : 27) กล่าวว่า การอ่าน ห มายถึง กระบวนการตีความหมาย หรือสร้างความเข้าใจจากตัวอักษร หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจมากข้ึน กระบวนการต่าง ๆ ท่ีก่อใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจน้ี เรียกวา่ ศิลปะในการอ่าน กูดแมน (Goodman, 1970 : 5-11) ได้ให้คำจำกัดความของการอ่านว่า “การอ่านเป็นกระบวนการท่ี สลับซับซ้อนเก่ียวกบั การแสดงปฏิกิริยาร่วมกัน ระหว่างความคิดและภาษา เน่ืองจากผู้อา่ นจะตอ้ งพยายามสร้าง ความหมายขึ้นจากตัวอักษร การอ่านจึงเปน็ กระบวนการทตี่ ้องใช้ความคดิ อยู่ตลอดเวลา ผู้อ่านจะตอ้ งอาศยั การ พินิจพิจารณาสิ่งท่ีปรากฏอยู่ในข้อความท่ีอ่าน เพื่อใช้เป็นเคร่อื งช่วยในการเลือกความหมายท่ีเหมาะสมที่สุดจาก เนือ้ ความที่อา่ น จากคำจำกัดความนิยามดังกล่าวมาแล้ว อาจสรุปและเพิ่มเติมความหมายของการอ่านได้ว่า การอ่าน เป็นพฤติกรรมการสนทนาโต้ตอบระหวา่ งผูอ้ ่านกบั ผเู้ ขียน เป็นกระบวนการของการรับรู้และเข้าใจสาระทเ่ี ขยี นขึ้น เป็นการรวบรวมความคิด ตีความ ทำความเข้าใจในสิ่งท่ีอ่าน เพ่ือพัฒนาตนเองทั้งในด้านสติปัญญา อารมณ์ และ สังคม ประโยชนข์ องการอ่าน หนังสือที่ดี ย่อมใหค้ ุณค่าแก่ผู้อา่ นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนงั สือทางวิชาการ หรือเรื่องอ่านเล่น ทันทีที่หยิบ หนังสือข้นึ มาอ่าน แม้จะเพียง 2-3 นาที ผู้อ่านกจ็ ะ “ได้” ประโยชนไ์ ม่ด้านกด็ ้านหน่งึ เชน่ ประโยคท่ไี พเราะ ประทับใจ มีข้อคิดซึ่งอาจแก้ปัญหาที่คิดไม่ตกอยู่นาแล้ว ประโยชน์ของ การอ่านมีหลายประการ ดังที่ เทือก กุสุมา ณ อยธุ ยา (2511 : 47) กลา่ วว่า การอา่ นหนงั สือมปี ระโยชน์ ดงั นี้ 1. ประโยชน์ในฐานท่ีเป็นวรรณคดี คือ ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลนิ เกิดอารมณ์สะเทือน ใจ และความนึกฝันไปตามท้องเรอื่ ง 2. ประโยชน์อันเกิดแก่ผู้เขียนเอง ได้แก่ การระบายอารมณ์ การแสดงความคิด การให้ทัศนะ หลักเกณฑช์ วี ิตแก่ผอู้ า่ น 3. ประโยชน์ในฐานที่เป็นเคร่ืองบันเทิง ทั้งยังมีการประยุกต์เป็นละครวิทยุ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เปน็ ต้น 4. ประโยชน์ในดา้ นความรู้ เช่น สภาพความเปน็ อยู่ ภูมฐิ านสง่าของบ้านเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ หรือ เป็นส่ิงสะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตในเรื่องที่แต่งก็ได้ เช่น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ จะทำให้ผู้อ่านทราบรายล เอียดของชวี ิตไดด้ กี ว่าหนงั สือประวตั ศิ าสตร์ 5. ประโยชน์ในดา้ นภาษา ผอู้ า่ นจะไดร้ บั รสไพเราะทางภาษา ทีร่ อ้ ยกรองไว้อย่างประณตี บรรจงแลว้ 6. ประโยชน์ทางด้านคติธรรม เป็นเครอื่ งชำระจติ ใจผู้อ่าน ยกระดับจิตใจให้สูงขนึ้ ถ้าเป็นวรรณคดีท่ี ดี 7. ประโยชน์ทางการเมือง อาจทำให้การเมืองผันแปรได้ โดยผู้แต่งใช้นวนิยายเป็นส่ือคัดค้านความอ ยตุ ธิ รรม และทำให้ผู้อ่านเหน็ ด้วยได้ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และ คณะ (2546 : 56-57) กล่าวถงึ ประโยชนข์ องการอา่ น สรปุ ไดด้ ังน้ี

21 1. ทำให้มคี วามรูใ้ นวิชาการดา้ นตา่ ง ๆ อาจเปน็ ความรูท้ ัว่ ไป หรือความรเู้ ฉพาะดา้ นก็ได้ 2. ทำให้รอบรู้ทันโลก ทันเหตกุ ารณ์ ซง่ึ นอกจากจะทำให้รู้ทันข่าวสารบ้านเมืองและสภาพการณ์ตา่ ง ๆ ในสมัยสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังจะได้ทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความวิจารณ์ ตลอดจนการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิง ในการปรับความเป็นอยู่ให้เหมาะสม สอดคลอ้ งกับสภาพสังคมของตนในขณะนนั้ 3. ทำให้ค้นหาคำตอบท่ีต้องการได้ การอ่านหนังสือจะช่วยตอบคำถามท่ีเราข้องใจ สงสัยต้องการรู้ได้ เช่น อา่ นพจนานุกรม เพื่อหาความหมายของคำ อ่านหนังสอื กฎหมาย เพือ่ ตอ้ งการรขู้ ้อปฏิบัติ เป็นต้น 4. ทำให้เราเกิดความเพลิดเพลิน การอ่านหนังสือที่มีเน้ือหาดี น่าอ่าน น่าสนใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านมี ความสุขความเพลิดเพลนิ เกิดอารมณ์คลอ้ งตามอารมณ์ของเร่ืองนั้น ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียด ได้ข้อคิด และ ยังเปน็ การยกระดบั จติ ใจผูอ้ า่ นใหส้ ูงขน้ึ ไดอ้ ีกด้วย 5. ทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในการอ่าน ผู้ที่อ่านหนังสือสม่ำเสมอ ย่อมเกิดความชำนาญในการ อ่าน สามารถอ่านได้เร็ว เข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้ง่าย จังใจความได้ถูกต้อง เข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่อง และ สามารถประเมินคณุ คา่ เรือ่ งท่ีอ่านได้อย่างสมเหตุสมผล 6. ทำให้ชีวิตมีพัฒนาการเป็นชีวิตท่ีสมบูรณ์ ผู้ท่ีอ่านมากย่อมรู้เรื่องราวต่าง ๆ มาก เกิดความรู้ ความคิดท่ีหลากหลายกว้างไกล สามารถนำมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ชีวิต มีคุณค่าและมี ระเบียบแบบแผนทีด่ ียิ่งขน้ึ 7. ทำให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเสริมสร้างบุคลิกภาพ ผู้อ่านมากย่อมรอบรู้มาก มีข้อมูลต่าง ๆ ส่ังสมไว้มาก เม่ือสนทนากับผู้อ่ืนย่อมมีความมั่นใจไม่ขัดเขิน เพราะมีภูมิรู้ สามารถถ่ายทอดความรู้ ให้คำแนะนำ แก่ผอู้ ่นื ในทางท่กี อ่ ให้เกิดประโยชนไ์ ด้ ผ้รู อบรู้จงึ มกั ได้รับการยอมรบั และเปน็ ที่เชื่อถือจากผู้อนื่ การอ่านหนังสือจะให้ประโยชน์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการ “อ่านเป็น” ซึ่งจะต้องฝึก การอ่าน อย่างสม่ำเสมอจนเกิดความเข้าใจ ความซาบซึ้ง รู้จักวิเคราะห์ และเกิดความคิดจากการอ่านหนังสือ ซ่ึงถือว่า สำคัญมาก ดังที่ รัญจวน อินทรกำแหง (2518 : 36-37) กล่าวไว้ในวรรณกรรมวิจารณ์ ตอที่ 2 ว่า “...การ อ่านหนังสือท่ีจะได้รับ “ค่า” ของหนังสือจริง ๆ น้ัน ต้องอ่านให้ได้ “ความคิด” ท่ีแฝงอยู่เบ้ืองหลังตัวหนังสือ นั้น มฉิ ะนัน้ แล้ว การอา่ นน้นั ก็หาความหมายอันใดไม่ และกเ็ ป็นท่ีน่าเสียดายเวลาอันมีค่าที่จะเสียไปในการอ่าน นนั้ ...” การอ่านท่ีจะให้ผู้เรียนเกิด “ความคิด” จากหนังสือที่อ่านก็โดยการที่ครูหรือผู้ปกครองช่วยชี้แนะ หรือ ช่วยเลือกหนังสืออ่านให้เหมาะสมกับวัย เช่น เนื้อเร่ืองเป็นเรื่องราวท่ีอยู่ในความสนใจของเด็กตาวัยของเขา สำนวนภาษาท่ีเด็กในวัยน้ัน ๆ จะเข้าใจได้ ตวั ละครเป็นบุคคลท่ีอยู่ในวัยเดยี วกันหรอื ใกล้เคียงกัน ถ้าเปน็ เช่นนั้น เด็กจะเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ยิ่งอ่าน ยิ่งสนุก เปลื้อง ณ นคร (2538 : 16) ได้ยกคำของ จางจ้ือ นกั ปราชญ์โบราณผู้มีช่ือเสียงของจีน มากล่าวไว้ใน “ศิลปะแห่งการอ่าน” ว่า “ถ้าในโลกนไ้ี ม่มีหนังสอื ก็แล้วไป เถดิ แต่เมื่อหนังสือมอี ยูใ่ นโลก เราก็ควรจะอ่าน” จดุ มุ่งหมายในการอ่าน

22 การอ่าน มีจุดประสงค์ท่ีกำหนดขึ้นตามความต้องการของผู้อ่าน ซึ่งอาจต้องการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพ่ือ ประโยชน์เชิงวิชาการ หรืออ่านเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การอ่านของแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป อาจจำแนกได้กวา้ ง ๆ ดังนี้ 1. อา่ นเพือ่ หาความรู้หรอื เพม่ิ พูนความรู้ เปน็ ความรู้จากหนังสือประเภทตำราทางวิชาการ สารคดีทาง วิชาการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ การอ่านจากหนังสือท่ีมีสาระเดียวกัน ควร อ่านจากผู้เขียนหลาย ๆ คน เพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง แม่นยำของเน้ือหา ผู้อ่านจะมีความรอบรู้ ได้ แนวคิดที่หลากหลาย การอา่ นเพ่ือศึกษาหาความรู้นี้ เป็นการอา่ นเพอ่ื สงั่ สมความรู้และประสบการของผอู้ า่ น 2. อ่านเพื่อให้ทราบข่าวสาร ความคิด เป็นการอ่านเพ่ือให้ทราบข่าวสารความคิด เข้าใจแนวคิด ซึ่ง ได้แก่ การอ่านหนังสือประเภทบทวิจารณ์ข่าว รายงานการประชุม ผู้อ่านไม่เคยเลือกอ่านหนังสือท่ีสอดคล้องกับ ความคดิ และความชอบของตน ควรเลือกอ่านอย่างหลากหลาย จะทำให้มมี ุมมอทกี่ ว้างขึ้น จะช่วยให้เรามเี หตผุ ล อ่นื ๆ มาประกอบการวจิ ารณ์ วิเคราะห์ ไดล้ ุ่มลึกมากข้ึน 3. อ่านเพ่ือความเพลิดเพลิน หรอื เพื่อความบันเทิง ความช่นื ชม การอา่ นเป็นอาหารใจ ใหเ้ กดิ ความ บันเทิงใจ อ่านแล้วเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ท่ีได้จากการอ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดี เช่น นวนิยาย เร่ืองส้ัน เร่ืองแปล การ์ตูน หรืออ่านบทละคร อ่านบทกวีนิพนธ์ บทเพลง บทขำขัน เป็นต้น นอกจากจะ เพลดิ เพลินไปกบั ภาษาและเร่ืองราวท่ีสนกุ สนานแลว้ ยังไดค้ วามรู้ และคตขิ อ้ คิดควบคู่ไปด้วย 4. อ่านเพ่ือพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม การอ่านเพ่ือพัฒนาวิจารณญาณและคา่ นิยม จะเกี่ยวขอ้ ง กับการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนในระดับท่ีสูงขึ้น และมีการเพ่ิมพูนมวลประสบการณ์ทางโลกและชีวิตท่ี เจนจัดมากข้ึน นักเรียนจึงจะเข้าใจคติธรรมที่แทรกอยู่ในวรรณกรรมท่ีอ่าน ด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่าง สมเหตุสมผล สามารถเลือกและประยุกต์สิ่งที่มีคุณค่ามาพัฒนาตนเองให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ และ ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า สามารถ รับใช้สังคมประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ตามกำลังสติปัญญาที่ เพิ่มพูนข้ึน อนั สบื เนื่องมาจากนักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ สภาพแวดล้อมของชีวิตในดา้ นท่ีเป็นสัจธรรมความ จริงสมบูรณข์ ึ้น (กุสมุ า รกั ษมณี และคณะ, 2536 : 79) 5. การอ่านเพื่อกิจธุระหรือประโยชน์อ่ืน ๆ การอ่านเพ่ือกิจธุระอื่น ๆ นอกเหนือจากจุดมุ่งหมายท่ี กล่าวมาแล้ว เป็นการอ่านเพื่อประโยชน์เฉพาะกิจ เช่น อ่านแบบฟอร์มชนิดต่าง ๆ อ่านหนังสือสัญญาเงินกู้ จำนอง และซ้ือขาย อ่านใบสมัครและระเบียบการ อ่านคำส่งั และสัญญาณบง่ บอกท่ีมีความหมายต่าง ๆ เป็นต้น เราถือว่าสารเหล่านี้จะมีแบบแผนและรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะองค์การ หรือเฉพาะสังคม ซึ่งการ ติดต่อสื่อสารในโลกปัจจุบัน เราไม่อาจหลีกเล่ียงการอ่านสิ่งเหล่าน้ีได้เลย หากอ่านผิดพลาดหรือไม่เข้าใจ วัตถุประสงคท์ แ่ี ทจ้ รงิ อาจก่อให้เกิดความเสียหาย หรอื เสยี ผลประโยชน์ของเราได้ นอกจากน้ี ยังมีผู้อ่านหลายท่านที่นิยมอ่านหนังสือเพื่อเสริมโลกทรรศน์ของตนเอง ให้ทันสมัยรู้ทัน เหตุการณ์ความเคล่ือนไหวในสังคม เช่น นักธุรกิจ จำเป็นต้องอ่านบทความหรือข่าวเศรษฐกิจจากหนังสือพิมพ์ วารสาร แ ละนติ ยสาร ที่เก่ียวข้องกบั งานของตนอยู่ตลอดเวลา เพอ่ื เพิม่ พูนประสิทธภิ าพในการทำงาน และการ ตดั สินใจที่สอดคลอ้ งกับสถานการณ์ต่าง ๆ บางท่านสนใจอ่านติดตามข่าวสารการเมอื ง การปกครอง หรือประวัติ บุคคล และบทบาทของเขาท่ีกำลังดำเนินอยูใ่ นสงคม เชน่ ผู้นำประเทศ ผู้นำความคิดทางสังคม เพื่อประโยชน์

23 ในการสมาคมกับผู้อ่ืน จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของเขาให้น่านิยมศรัทธามากยิ่งข้ึน เพราะเป็นผู้ท่ีมีโลกทรรศน์ ดีกว่าผทู้ ไี่ ม่สนใจอา่ น หรอื ติดตามเหตกุ ารณเ์ หลา่ นเ้ี ลย กล่าวโดยสรุป จุดประสงค์ของการอ่านแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามความต้องการ ผู้อ่านจะกำหนด จุดประสงค์ของการอ่าน เพื่อตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะของตนเอง การอ่าน แต่ละครั้งย่อม ก่อให้เกิดประโยชน์แกผ่ ู้อ่านท้งั ส้ิน ข้อควรคำนงึ สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยเรียน คือ ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกเร่ือง ทจี่ ะอ่าน และรู้จักแยกแยะ นำสิ่งทเี่ ป็นประโยชนจ์ ากการอา่ นไปใช้ในการประอบกจิ กรมที่เกีย่ วขอ้ งกับการดำเนิน ชีวิตในแต่ละด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจัดเป็นปัจจัยสำคัญท่ีจะเสริมสร้างผลสัมฤทธ์ิของการอ่านให้บรรลุ จุดมุ่งหมายแตล่ ะขอ้ ตามทีก่ ลา่ วมา ประเภทของการอา่ น การอ่านสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ทง้ั น้ีขน้ึ อยู่กับว่า จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้า หากพิจารณาการอ่านโดยดูจากจุดม่งุ หมายของผอู้ ่านเป็นหลัก เราอาจจะแบ่งได้ ดงั น้ี (อัมพร ทองใบ, 2540 : 18-19) 1. อ่านผ่าน ๆ หรืออ่านเอาเร่ือง ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้อ่าน เช่น การพลิกตำราบางเล่ม เพ่ือดูว่าเน้ือหาครอบคลุมเรื่องท่ีจะค้นคว้าหรือไม่ อาจจะอ่านเพียงหัวเรื่องหรืออ่านหน้าสารบัญ หรืออ่านหน้า ผนวกท้ายเล่ม เปน็ ต้น 2. การอ่านในใจ เป็นการอ่านเพื่อเก็บใจความและเพ่ือทำความเขา้ ใจ เป็นการอา่ นเพื่อแสวงหาความรู้ ความบันเทิงให้แก่ตนเอง ผู้อ่านจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ และสามารถเข้าใจเร่ืองราวท่ีได้อ่านโดยตลอด การอ่านหนังสอื เมื่ออ่านไปโดยตลอดก็พอจะเก็บใจความได้ว่า เร่ืองที่อ่านมีเนื้อหาเรื่องราวว่าอย่างไร หากมีบาง ตอนทอี่ าจจะไม่เข้าใจ เพราะเร่ืองที่อา่ นนั้นยากเกินความรู้ของผู้อ่านที่จะทำความเขา้ ใจได้ ผอู้ ่านควรจะพยายาม เอาชนะดว้ ยการอา่ นอยา่ งมีสมาธิ และรับรคู้ วามหมายทกุ ถอ้ ยคำจนเกดิ ความเขา้ ใจเน้ือเร่ืองได้ตลอด สอางค์ ดำเนินสวัสด์ิ และคณะ (2546 : 88) แบ่งลกั ษณะการอ่านเปน็ 5 ชนดิ คอื 1. การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นการอ่านเพื่อสำรวจว่า ควรจะอ่านหนังสือเล่มน้ีอย่างละเอียดต่อไป หรือไม่ โดยอา่ นเพียงชอ่ื เร่อื ง หวั ข้อเรือ่ ง ชื่อผูแ้ ต่ง คำนำ หรือการอ่านเน้ือหาบางตอนโดยรวดเรว็ 2. การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ เป็นการอ่านเพ่ือเก็บแนวคิดที่ต้องการ และอ่านข้ามตอนที่ไม่ ตอ้ งการ 3. การอ่านเพ่ือสำรวจเนื้อหา เป็นการอ่านเพ่ือทำเป็นบันทึกย่อ หรือทบทวนเพื่อสรุปสาระสำคัญของ เรอ่ื งท้ังหมด 4. การอ่านเพื่อศึกษาอยา่ งลกึ ซึ้ง เปน็ การอา่ นละเอียด เพ่อื ให้เข้าใจเรือ่ งทอ่ี ่านอย่างชัดเจน 5. การอ่านเพ่ือวิเคราะห์และวิจารณ์ เปน็ การอ่านละเอียด เพ่ือวิเคราะห์เนื้อหาว่ามีความหมายและมี ความสำคัญอยา่ งไร รวมทั้งแสดงความคิดเหน็ อยา่ งมีเหตุผลเกี่ยวกบั เร่อื งท่ีอ่าน การอ่านแต่ละชนิดมีจุดประสงค์ต่างกัน และใช้เนื้อหาต่างกัน ผู้อ่านควรพิจารณาว่า ใช้การอ่านใน ลักษณะใดบ้างในชีวิตประจำวนั และพิจารณาว่าตนมปี ระสิทธิภาพในการอ่านหรือไม่โดยใชเ้ กณฑข์ นั้ ต้น ดังนี้

24 1. เข้าใจรายละเอยี ดของเนื้อเรื่อง 2. จบั ใจความสำคัญของเรอ่ื งได้ 3. สรปุ ความคิดหลกั ของเรื่องได้ 4. ลำดบั ความคิดในเร่อื งได้ 5. คาดคะเนเหตกุ ารณ์ที่ไมป่ รากฏในเรื่อง หรอื เหตุการณ์ท่ีจะเกดิ ข้ึนตอ่ ไปได้ นอกจากการเบ่งประเภทของการอ่าน ตามเกณฑ์ท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน ยังมีการแบ่งประเภทที่แตกต่างกัน ไปอีก ดังเช่น สนุ นั ทา ม่ันเศรษฐวิทย์ (2551 : 17 : 20) ได้แบง่ ประเภทของการอา่ นไว้ 4 ประเภท แต่ละประเภทมี จดุ มุง่ หมายของการใช้ท่แี ตกต่างกัน ดังน้ี 1. การอ่านเคร่า ๆ จุดประสงค์ของการอ่านประเภทนี้ เพื่อค้นหาเอกสารอ้างอิงสำหรับใช้ในการ คน้ คว้า หรือการหาส่อใหม่ ๆ ในห้องสมุด นอกจากนั้นยังเปน็ การค้นหาคำสำคัญทเี่ ก่ียวข้องกับเรอ่ื งใหม่ ๆ เพ่ือ รวบรวมความคิดของผู้เขียน อีกทั้งยังใช้เพ่ือการอ่านสันทนาการ ได้แก่ การอ่านวารสารบันเทิง การอ่าน เร่ืองราวต่าง ๆ ท่ใี หค้ วามสนกุ สนานเพลิดเพลิน วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะใช้การเคลื่อนสายตาอย่างรวดเร็ว จากบรรทัดบนสุดสู่บรรทัดล่าง โดยข้ามคำ กลุ่มคำ และประโยคทไี่ ม่สำคัญ เพอ่ื ตรวจดูเฉพาะหัวขอ้ หรือคำสำคัญ หรือคำตอบตามทตี่ ้องการ โดยสงั เกตคำ ทข่ี ดี เส้นใต้ หรอื คำทเ่ี ปน็ ตัวหนา 2. การอ่านเร็ว จุดประสงค์ของการอ่านเร็ว เพื่อเป็นการทบทวนสารท่ีอ่าน อีกท้ังยังใช้เพ่ือการค้นหา แนวคิดหลักและแนวคิดย่อย เป็นการนำข้อมูลจากสารท่ีอ่านไปใช้ประโยชน์ การอ่านวิธีน้ียังใช้เพ่ืออ่านสารท่ีทำ ให้เกดิ ความเพลิดเพลนิ เชน่ การอ่านนิทาน นยิ าย นวนิยาย และสื่อการอ่านอืน่ ๆ ที่ช่วยใหผ้ ู้อ่านได้รับการผ่อน คลายทางจิตใจ วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาอย่างรวดเร็ว จากซ้ายไปขวา โดยไมเ่ คล่ือนใบหน้าเป็นการอ่านที่ใช้ การเคลื่อนตาอย่างรวดเร็ว โดยการรับรู้เป็นคำ เป็นกลุ่มคำ หรือประโยคเป็นการอ่านท่ีเร่งรีบ เพ่ือความเข้าใจ เรื่องราวโดยใช้เวลาท่ีจำกดั 3. การอ่านปกติ จุดประสงค์ของการอ่านปกติ เพื่อค้นหาข้อมูลและตอบคำถามอาจใช้ในการทำ แบบฝึกหัด หรือการทำรายงาน อ่านแล้วจดบันทึกเพ่ือสรุปเนื้อเร่ืองแต่ละตอน เป็นการอ่านเพ่ือนำข้อมูลมาไข ปริศนา อ่านเพ่ือคำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหลักกับแนวคิดย่อย การอ่านปกติมักจะใช้กับการ อ่านสารท่ีมีความยากง่ายอยู่ในระดับปานกลาง ซ่ึงหมายความว่า ผู้อ่านรู้จักคำที่อยู่ในสารมากกว่าร้อยละ 70 และอ่านได้ 250 คำ/นาที ตอบคำถามไดถ้ ูกต้องร้อยละ 60 ข้ึนไป

25 วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคลื่อนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมิได้เร่งรีบ เพื่อรับรู้คำกลุ่มคำ ประโยค และ เรื่องทั้งหมด การอ่านปกติเป็นการอ่านโดยมิได้เร่งรัด แต่ต้องการความเข้าใจในเร่ืองราวโดยมิได้พลาดประเด็น สำคัญ และต้องการใหบ้ รรลผุ ลตามจดุ ประสงคม์ ากกวา่ ที่จะเน้นในเรอื่ งของเวลา 4. การอ่านละเอียด จุดประสงค์ของการอ่านาเพ่ือตรวจรายละเอียดของเร่ืองในทุกประเด็น โดยไม่ พลาดความหมายของคำ กลุ่มคำ และประโยค นอกจากน้ันยังเปน็ การประเมนิ ค่าเร่ืองทอี่ ่านเรียงลำดับเหตกุ ารณ์ แ ละติดตามทิศทางของเร่ือง เพื่อมิให้พลาดประเด็นสำคัญ สรุปเร่ืองด้วยภาษาของตนเอง รวมทั้งวิเคราะห์การ นำเสนอผลงานของผู้เขียนได้อย่างถูกต้อง การอ่านวิธีนี้ยังใช้ประโยชน์ในการอ่านสารประเภทวรรณกรรมและ วรรณคดีอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเกิดความซาบซึ้งในการใช้ภาษา การวิเคราะห์รูปแบบ ตลอดจนลักษณะของการใชภ้ าษา คุณคา่ ท่ไี ดร้ บั ทางภาษาจำเป็นต้องใชก้ ารอ่านอย่างละเอยี ดเชน่ กัน วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคลื่อนสายตา ผ่านทุกตัวอักษรของคำ กลุ่มคำ และประโยคทำความเข้าใจ ความหมายท้ังทางตรงและทางนัย เพ่ือให้ได้ข้อมูลตรงตามจุดประสงค์ท่ีต้องการ สารที่ใช้วิธีอ่านประเภทนี้ มักจะเป็นสารวิชาการ ใช้ภาษาท่ียากและมีเรื่องราวซับซ้อน ซึ่งต้องใช้เวลาในการอ่านมากกว่าการอ่านประเภท อน่ื ๆ เพราะต้องการความละเอียดรอบคอบ กล่าวโดยสรุป การอ่านเป็นการรับรู้ความหมายของสาร การอ่านมีความสำคัญเพราะเป็นเครื่องมือ แสวงหาความรู้และความบันเทิง ผู้อ่านแต่ละคนจะมีจุดมุ่งหมายในการอ่านไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านเพื่อ แสวงหาความรู้ บางคนชอบอ่านเพื่อแสวงหาความบันเทิง และบางคนอ่านเพ่ือนำความรู้จากการอ่านไปใช้เพื่อ ประโยชน์อ่ืน ๆ การแบ่งประเภทของการอ่าน สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวา่ จะใช้อะไร เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา อาจแบ่งโดยพิจารณาจดุ มุ่งหมายเป็นหลัก หรอื อาจแบง่ โดยพิจารณาจากลักษณะการ อ่านเป็นหลกั คือ การอ่านในใจ แลการอ่านออกเสียง โดยจะมีวิธีการอ่านแตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ตามการ อ่านจะบรรลุจุดประสงค์ได้ ผู้อ่านควรมีจุดหมายในการอ่าน และเข้าวิธีที่จะอ่าน เพ่ือให้ได้ประโยชน์สมตาม ความม่งุ หมาย

26 กจิ กรรมส่งเสริมการอา่ น กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน หมายถึง การกระทำต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเกิดความสนใจที่จะอ่าน เห็น ความสำคัญของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลินท่ีจะอ่าน เกิดความมุ่งม่ันที่จะอ่าน และอ่านจนเป็นนิสัย ท้ังนี้ การ อ่านหนังสือเป็นทักษะสำคัญทักษะหน่ึงในชีวิตประจำวัน เพราะการอ่านหนังสือจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเรา ได้เป็นอย่างดีย่ิง เม่ือคนเราอ่านหนังสือจะเกิดความสามารถสร้างความรู้ อารมณ์ จินตนาการ และ ความ เพลิดเพลิน การท่ีเด็กจะเกิดทักษะการอ่านหนังสือได้น้ันจำเป็นจะตอ้ งอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่าย ท้ัง ครอบครวั โรงเรียนและชุมชน ในการจดั กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่านใหแ้ กเ่ ด็ก กจิ กรรมสง่ เสรมิ การอา่ นคอื การกระตนุ้ ด้วยวิธีการตา่ งๆ เพอ่ื ใหผ้ ู้อ่านสนใจการอา่ นจนกระท่ังมนี สิ ยั รกั การอา่ น และได้พัฒนาการอา่ นจนกระท่ังมีความสามารถในการอ่าน นำประโยชนจ์ าการอา่ นไปใช้ได้ตรงตาม วัตถปุ ระสงค์ของการอ่านทุกประเภท (ฉววี รรณ คูหาภนิ ันทน์, 2542 : 93)

27 กรมวชิ าการ (อ้างถึงใน ฉววี รรณ คหู าภินันทน์, 2542 : 93) ใหค้ วามหมายวา่ กิจกรรมสง่ เสรมิ การอ่าน คอื การกระทำเพื่อ 1. เร้าใจบุคคลหรอื บุคคลท่ีเป็นเป้าหมายใหเ้ กิดความอยากรู้ อยากอา่ นหนังสือ โดยเฉพาะหนงั สอื ท่ีมี คณุ ภาพ 2. เพื่อแนะนำชกั ชวนให้เกิดความพยายามทจ่ี ะอ่านให้แตกฉาน สามารถนำความรจู้ ากหนงั สือไปใช้ ประโยชน์ เกดิ ความเข้าใจในเร่ืองต่างๆ ดีข้ึน 3. เพอ่ื กระตุ้น แนะนำให้อยากรู้ อยากอา่ นหนังสือหลายอย่าง เปิดความคิดใหก้ วา้ ง ให้มกี ารอ่านต่อเนื่อง จนเปน็ นสิ ัย พฒั นาการอ่านจนถงึ ขน้ั ท่ีสามารถวเิ คราะห์เร่ืองท่ีอ่านได้ 4. เพื่อสรา้ งบรรยากาศทจี่ ูงใจให้อ่าน ดงั นน้ั สามารถกล่าวได้ว่า กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่าน หมายถึงกิจกรรมต่างๆทหี่ ้องสมุดจดั ข้นึ เพ่ือส่งเสริมให้ เกดิ การอ่านอย่างต่อเนื่องจนกระท่ังเปน็ นสิ ัยรักการอ่าน เช่น การเล่านิทาน การเชดิ หุ่น การแสดงละคร การ แนะนำหนงั สือท่นี า่ สนใจ เป็นต้น ลักษณะของกจิ กรรมสง่ เสริมการอา่ นที่ดี 1. เร้าความสนใจ เชน่ การจัดนทิ รรศการที่ดึงดูความสนใจ การตอบปัญหา มรี างวลั ต่างๆ การใช้สื่อ เทคโนโลยีใหมๆ่ เขา้ มาช่วย 2. จูงใจให้อยากอา่ นและกระตนุ้ ให้อยากอา่ น เช่น ข่าวที่กำลังเป็นที่สนใจ หรอื หวั ข้อเร่ืองท่ีเปน็ ท่ีสนใจ เช่น การวิจยั การเตรยี มตัวสอบ การสมัครงาน เปน็ ตน้ 3. ไม่ใช้เวลานาน ความยากง่ายของกิจกรรมเหมาะสมกบั เพศ ระดับอายุ การศึกษา 4. เป็นกิจกรรมท่ีมงุ่ ไปสู่หนงั สือ วสั ดุการอา่ น โดยการนำหนงั สือหรือวัสดกุ ารอา่ นมาแสดงทุกครง้ั 5. ให้ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ แฝงการเรียนรู้ตามอัธยาศัยจากการรว่ มกจิ กรรมด้วย ความหมายและความสำคัญของห้องสมดุ ห้องสมุดประชาชน หมายถงึ ห้องสมดุ ทต่ี ั้งข้นึ เพอ่ื ให้บริการแกป่ ระชาชน โดยไมจ่ ำกัด เพศ วยั เชอ้ื ชาติ ศาสนา และพื้นความรู้ ใหบ้ ริการสารสนเทศครบทุกหมวดวชิ า และอาจมกี ารบริการบางเร่อื งเปน็ พิเศษ ตามความต้องการของท้องถ่นิ และจะจดั ให้บริการแก่ประชาชนโดยไมค่ ิดมลู คา่ บทบาทหน้าทขี่ องห้องสมุดประชาชน มี 3 ประเภท คอื 1. หนา้ ท่ีทางการศึกษา ห้องสมุดประชาชนเปน็ แหล่งให้การศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น มีหนา้ ทใี่ ห้ การศึกษาแก่ประชาชนท่ัวไป ทุกระดับการศึกษา 2. หน้าทีท่ างวัฒนธรรม หอ้ งสมุดปะชาชนเปน็ แหล่งสะสมมรดกทางปญั ญาของมนุษย์ ที่ถ่ายทอดเปน็ วัฒนธรรมท้องถิ่น ท่ีห้องสมุดต้ังอยู่

28 3. หนา้ ทท่ี างสงั คม ห้องสมดุ ประชาชนเปน็ สถาบันทางสังคมได้รับเงนิ อดุ หนุนจากรัฐบาลและทอ้ งถิ่นมา ดำเนินกิจการ จงึ มหี น้าท่ี แสวงหาข่าวสารข้อมลู ทีม่ ีประโยชน์มาบริการประชาชน ห้องสมุดประชาชนในประเทศไทยมหี น่วยงานต่างๆรับผิดชอบ ดังนี้ 1. หอ้ งสมดุ ประชาชนสังกัดกระทรวงศึกษาธกิ าร สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน ได้แก่ หอ้ งสมุด ประชาชนระดบั จงั หวดั และระดบั อำเภอ นอกจากน้ีกรมการศกึ ษานอกโรงเรียนยังได้จดั ทอี่ า่ นหนังสือประจำ หมบู่ ้าน ท่ีอ่านหนังสือในวัด และหอ้ งสมดุ เคลอ่ื นที่ 2. หอ้ งสมุดประชาชน สงั กัดกรงุ เทพมหานคร มที ัง้ หมด 12 แหง่ ไดแ้ ก่ หอ้ งสมุดประชาชนสวนลุมพินี ห้องสมดุ ประชาชนซอยพระนาง หอ้ งสมดุ ประชาชนปทุมวัน ห้องสมุดประชาชนอนงคาราม ห้องสมดุ ประชาชนวดั สังขก์ ระจาย ห้องสมดุ ประชาชนบางเขน หอ้ งสมุดประชาชนบางขุนเทยี น ห้องสมดุ ประชาชนวัดรัชฎาธิษฐาน วรวิหารตลิ่งชัน ห้องสมดุ ประชาชนประเวช ห้องสมดุ ประชาชนวดั ลาดปลาเค้า ห้องสมุดประชาชนภาษีเจรญิ ห้องสมุดประชาชนวดั ราชโอรส 3. ห้องสมดุ ประชาชนของธนาคารพาณิชย์ เปน็ หอ้ งสมุดท่ีธนาคารพาณชิ ย์เปิดขน้ึ เพื่อบริการสังคม และ เพอื่ ประชาสัมพันธ์กิจการของธนาคารให้เป็นท่ีร้จู ักแพร่หลาย เช่น หอ้ งสมุดประชาชนของธนาคารกรงุ เทพจำกัด 4. หอ้ งสมดุ ประชาชนของรฐั บาลตา่ งประเทศ โดยไดร้ ับการสนบั สนนุ จากรัฐบาลต่างประเทศ เชน่ หอ้ งสมุดบรติ ชิ เคาน์ซิล ของรัฐบาลสหราชอาณาจกั ร ทตี่ ั้งอยบู่ ริเวณสยามสแควร์ กรุงเทพมหานคร 5. หอ้ งสมุดประชาชนเสยี ค่าบำรุง หอ้ งสมดุ ประชาชนประเภทน้ใี ห้บริการเฉพาะสมาชิกเทา่ นัน้ โดยผ้ทู ่ี เปน็ สมาชกิ จะต้องเสียคา่ บำรุงตามระเบยี บของหอ้ งสมดุ ได้แก่ ห้องสมุดนีลสันเฮย์ ตั้งอยทู่ ่ีถนนสรุ ิวงศ์ กรุงเทพมหานคร บทบาทและความสำคญั ของห้องสมสดุ ต่อสังคมในด้านตา่ ง ๆ 1. เปน็ สถานที่เพ่ือสงวนรกั ษาและถา่ ยทอดวฒั นธรรม ห้องสมดุ เป็นแหล่งสะสมววิ ัฒนาการของมนษุ ย์ ตง้ั แตอ่ ดีตจนถึงปจั จบุ นั ถ้าไม่มแี หลง่ คน้ คว้าประเภทหอ้ งสมดุ เปน็ ศูนยก์ ลางแล้ว ความรู้ต่างๆ อาจสูญหายหรือ กระจดั กระจายไปตามทตี่ า่ งๆ ยากแก่คนรุ่นหลงั จะตดิ ตาม 2. เป็นสถานที่เพ่ือการศกึ ษา ค้นคว้าวจิ ัย หอ้ งสมุดทำหน้าที่ใหก้ ารศึกษาแก่ประชาชนทุกรูปแบบ ท้ังใน และนอกระบบการศึกษา เร่ิมจากการศึกษาข้นั พื้นฐานถึงระดบั สูง 3. เป็นสถานที่สร้างเสรมิ ความคิดสร้างสรรคแ์ ละความจรรโลงใจ หอ้ งสมุดมีหน้าทรี่ วบรวมและเลือกสรร ทรัพยากร สารสนเทศ เพ่ือบริการแก่ผู้ใช้ ซง่ึ เปน็ สิ่งที่มคี ุณค่าผู้ใช้ไดค้ วามคิดสร้างสรรค์ ความจรรโลงใจ นานาประการ เกดิ ประโยชน์แกต่ นเองและสงั คมต่อไป 4. เป็นสถานทีป่ ลูกฝงั นสิ ัยรกั การอ่านและการเรียนรูต้ ลอดชวี ติ ห้องสมุดจะช่วยใหบ้ คุ คลสนใจในการอา่ น และรกั การอา่ นจนเปน็ นิสยั

29 5. เป็นสถานท่สี ่งเสรมิ การาใช้เวลาว่างในเปน็ ประโยชน์ ห้องสมดุ เปน็ สถานทร่ี วบรวมสารสนเทศทกุ ประเภท เพื่อบรกิ ารแก่ผูใ้ ช้ตามความสนใจและอ่านเพื่อฆา่ เวลา อา่ นเพือ่ ความเพลิดเพลิน หรืออ่านเพื่อ สาระบนั เทิงได้ทงั้ ส้ิน นับว่าเป็นการพักผ่อนอยา่ งมีความหมายและให้ประโยชน์ 6. เปน็ สถานที่ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ห้องสมุดเป็นสาธารณะสมบัติ มสี ่วนสง่ เสรมิ ใหบ้ ุคคลรจู้ กั สทิ ธิและหนา้ ท่ขี องพลเมือง กลา่ วคอื เมอ่ื มสี ิทธใิ นการใช้ก็ย่อมมีสิทธใิ นการบำรุงรักษาร่วมกันและใหค้ วามร่วมมอื กบั ห้องสมุดด้วยการปฏบิ ตั ติ ามระเบียบ แบบแผนของห้องสมดุ ความหมายของสื่อส่ิงพิมพ์ พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถานไดใ้ ห้ความหมายคาทเ่ี กี่ยวกบั “สือ่ สิ่งพมิ พ”์ ไวว้ ่า “ส่ิงพิมพ์ หมายถงึ สมดุ แผน่ กระดาษ หรือวตั ถุใด ๆ ที่พิมพข์ นึ้ รวมตลอดท้ังบทเพลง แผนที่ แผนผงั แผนภาพ ภาพวาด ภาพระบาย สี ใบประกาศ แผ่นเสียง หรือส่ิงอื่นใดอันมลี ักษณะเชน่ เดียวกนั ” “สื่อ หมายถึง ก. ทาการตดิ ต่อให้ถึงกนั ชกั นาให้ รูจ้ กั กนั น. ผู้หรือสิง่ ท่ที าการตดิ ต่อให้ถึงกัน หรือชกั นาใหร้ ู้จกั กัน” “พิมพ์ หมายถงึ ก. ถ่ายแบบ, ใช้เครอ่ื งจักรกด ตัวหนังสือหรอื ภาพ เปน็ ต้นให้ติดบนวตั ถุ เชน่ แผน่ กระดาษ ผา้ ทาใหเ้ ปน็ ตัวหนงั สือหรือรปู รอยอยา่ งใด ๆ โดย การกดหรือการใช้พมิ พ์หนิ เคร่ืองกล วิธเี คมี หรอื วธิ ีอน่ื ใด อันอาจให้เกดิ เป็นสงิ่ พิมพ์ข้ึนหลายสาเนา น. รูป , รปู ร่าง, ร่างกาย, แบบ” ดังน้ัน “สอื่ สิ่งพมิ พ”์ จึงมคี วามหมายวา่ “สงิ่ ทีพ่ ิมพ์ขน้ึ ไม่ว่าจะเป็นแผน่ กระดาษหรอื วัตถุ ใด ๆ ดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ อนั เกิดเปน็ ชิ้นงานท่มี ลี กั ษณะเหมือน ต้นฉบับขนึ้ หลายสาเนาในปรมิ าณมากเพ่ือเป็นสิง่ ที่ ทาการติดต่อ หรือชักนาให้บคุ คลอืน่ ได้เห็นหรือทราบ ขอ้ ความต่าง ๆ” สิ่งพิมพ์เพื่อการศกึ ษา หมายถึง สิง่ ที่พมิ พข์ ้นึ ในรูปแบบต่างๆ ทั้งหนังสือ ตารา เอกสาร วารสารตา่ งๆ ที่ ใหค้ วามรู้ เน้อื หาสาระทมี่ ีประโยชน์ เช่น หนังสือเรียนภาษาไทย ป. 6 หรอื อาจเป็นชดุ ภาพประกอบการศึกษา เชน่ ภาพประกอบการศกึ ษาชดุ อาหารไทย เป็นต้น และสามารถนามาใช้ในการศึกษาได้

30 ความเปน็ มา สิ่งพิมพ์ถือได้ว่าเป็นส่ิงท่ีความสำคัญย่ิงควบคู่มากับการพัฒนาการของมนุษยชาติ และจัดเป็นสื่อมวลชน ประเภทหนึ่งท่ีมีความสำคัญมาตลอดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการถ่ายทอดความรู้วิชาการ และเพื่อการติดต่อ ส่ือสารสาหรับมนุษยชาติ ดังคำจำกัดความของพจนี พลสิทธ์ิ (2536 : 3) สรุปความเป็นมาและความสาคัญของ สิ่งพิมพ์ ว่า “ส่ิงพิมพ์” นับเป็นวัสดุที่แสดงถึงพัฒนา การความเจริญก้าวหน้าทางด้านสติปัญญา ของมนุษย์ ความคิด จินตนาการ เจตคติ ความฝัน ชวี ิต วัฒนธรรม สังคม เหตุการณ์ เร่ืองราวต่าง ๆ ของมนุษย์แต่ลายุคสมัย สามารถเก็บรักษาสืบทอดจาดชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนรุ่นหลัง ความคิดในเร่ืองการพิมพ์น้ีนอกเหนือจาก เพื่อเป็น เคร่ืองมือในการบันทึกความคิด จินตนาการ ความรู้ และเหตุการณ์ต่างๆ แล้วยังเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าชนชาติ ตา่ ง ๆ ในโลกน้ลี ้วนมคี วามพยายามที่จะพัฒนาความคดิ ของตนให้เจริญก้าวหน้าทันสมยั อย่างต่อเน่ือง ความคิดใน เรือ่ งการพิมพ์ที่มีจุดประสงค์เริ่มแรกก็คงเพื่อให้มีการแพร่หลายเรือ่ งความคิด ความรู้ ไปสู่ชนร่นุ หลัง และเพ่ือให้มี หลาย ๆ สาเนาจะได้เก็บรักษาให้คงอยู่ได้นานปีน้ัน ในยุคปัจจุบันชนรุ่นหลังได้สานต่อความคิดเรื่องการพิมพ์ จนกระทั่งกลายเป็นเทคโนโลยีท่ีทันสมัย และซับซ้อน สามารถผลิตสิ่งพิมพ์ได้หลากหลายชนิดตอบสนอง วตั ถปุ ระสงคข์ องมนษุ ยชาตไิ ด้กว้างขวางนอกเหนือจากสื่อสิง่ พมิ พ์จะเป็นส่ือมวลชนที่มีความเก่ยี วกันกบั มนุษยชาติ มานานนับพนั ๆ ปี และมคี วามเกา่ แกก่ ว่าสอ่ื มวลชนประเภทอืน่ ไมว่ า่ จะเป็น วิทยุกระจายเสียง วิทยโุ ทรทัศน์ หรือ อินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นสือ่ ประเภทหน่ึงท่ีมีการใช้แพร่หลายไปทั่วโลกเช่นในปจั จุบนั ก็ตาม แต่สื่อสิ่งพิมพก์ ็ยังเป็นส่อื ท่ี มีการใช้อย่างแพร่หลายเป็นที่นิยมของทุกชนชาติมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นส่ือส่ิงพิมพ์ประเภทใดก็ตาม เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร วารสาร หรือส่ิงพิมพ์ประเภทต่าง ๆ สาเหตุสาคัญท่ีทาให้สื่อส่ิงพิมพ์ยังเป็นที่ นิยมแพรห่ ลายมาโดยตลอด ก็เพราะบุคคลสามารถเลอื กอ่านไดต้ ามความเหมาะสม อีกทั้งยังใช้เป็นเอกสารอ้างอิง ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ประวตั กิ ารพิมพใ์ นประเทศไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยา ได้เริ่มแต่งและพิมพ์หนังสือคำสอนทางศาสนา คริสต์ ขึ้น และหลังจากนั้นหมอบรัดเลย์เข้ามาเมืองไทย และได้เร่ิมด้านงานพิมพ์จนสนใจเป็นธุรกิจด้านการพิมพ์ ใน เมอื งไทย พ.ศ.2382 ไดพ้ มิ พเ์ อกสารทางราชการเป็นช้ินแรก คือ หมายประกาศห้ามสูบฝนิ่ ซง่ึ พระบาทสมเด็จพระ น่ังเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้จ้างพิมพ์จานวน 9,000 ฉบับ ต่อมาเมื่อวันท่ี 4 ก.ค.2387 ได้ออกหนังสือฉบับแรก ขึ้น คือ บางกอกรีคอร์ดเดอร์ (Bangkok Recorder) เป็นจดหมายเหตุอย่างส้ัน ออกเดือนละ 2 ฉบับ และใน 15 มิ.ย. พ.ศ.2404 ได้พิมพ์หนังสือเล่มออกจำหน่ายโดยซ้อื ลิขสิทธ์ิจาก หนังสือนิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัยและ ไดเ้ ริม่ ตน้ การซ้ือขาย ลิขสทิ ธิหน่ายในเมอื งไทย หมอบรัดเลย์ไดถ้ ึงแก่กรรมในเมืองไทยกิจการ การพิมพข์ องไทยจึง เร่ิมต้นเป็นของไทย หลังจากนั้นใน พ.ศ.2500 ประเทศไทยจึงนา เคร่ืองพิมพ์แบบโรตารี ออฟเซท (Rotary off Set) มาใช้เป็นคร้ังแรก โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชนาเคร่ืองหล่อเรียงพิมพ์ Monotype มาใช้กับตัวพิมพ์ภาษาไทย ธนาคาร แหง่ ประเทศไทยได้จัดโรงพมิ พธ์ นบัตรในเมืองไทยข้ึนใช้เอง

31 ประเภทของส่ือสงิ่ พิมพ์เพื่อการศึกษา สอ่ื สิ่งพมิ พ์ประเภทหนังสือ 1. หนงั สอื ตำรา เป็นสื่อท่ีพิมพ์เป็นเล่ม ประกอบด้วยเน้ือหาการเรียนการสอนโดยอธิบายเนื้อหาวิชาอย่างละเอียดชัดเจน อาจมีภาพถ่ายหรอื ภาพเขียนประกอบเพื่อเพม่ิ ความสนใจของผู้เรียน หนังสือตารานี้อาจใช้เป็นส่ือการเรียนในวิชา นน้ั โดยตรงนอกเหนือจากการบรรยายในชน้ั เรยี น หรอื อาจใชเ้ ป็นหนงั สืออา่ นประกอบหรือหนงั สืออ่านเพิ่มเตมิ ก็ได้ การใชห้ นังสือในการเรียนการสอนนับวา่ มีประโยชน์แก่ผเู้ รียนท้ังในด้านการศึกษารายบุคคลเพื่อใหผ้ ู้เรียนสามารถ ใช้อ่านในเวลาท่ตี ้องการ และในดา้ นเศรษฐกิจเนอ่ื งจากสามารถใช้อ่านไดห้ ลายคนและเก็บไวไ้ ดเ้ ป็นเวลานาน 2. แบบฝึกปฏบิ ตั ิ เป็นสมุดหรือหนังสือท่ีพิมพ์ขึ้นโดยมีเนื้อหาเป็นแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกปฏิบัติเพ่ือเป็นการเพ่ิมทักษะหรือ ทดสอบผู้เรียน อาจมีเนื้อหาในรูปแบบคาถามให้เลอื กคาตอบ หรือเป็นต้นแบบเพื่อใหผ้ ู้เรียนฝึกปฏิบัติตามโดยอาจ มีรปู ประกอบเพอื่ ให้เขา้ ใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น แบบคัดตวั อกั ษร ก ไก่ เปน็ ต้น 3. พจนานุกรม เป็นหนังสือที่มีเนอ้ื หาเปน็ คาศพั ท์และคาอธิบายความหมายของคาศัพท์ แตล่ ะคาน้ัน โดยการเรียงตามลา ดับจากอักษรตัวแจกถึงตัวสุดท้ายของภาษาที่ต้องการจะอธิบาย คาศัพท์และคาอธิบายจะเป็นภาษาเดียวกันหรือ ต่างภาษาก็ได้ เช่น คาศัพท์ภาษาอังกฤษและมีคาอธิบายเป็นภาษาไทย หรือทั้งคาศัพท์และคาอธิบายต่างก็เป็น ภาษาอังกฤษ เปน็ ต้น 4. สารานกุ รม เป็นหนงั สือท่ีพมิ พ์ข้นึ เพอื่ อธบิ ายหัวขอ้ หรือข้อความตา่ งๆ ตามลาดับของตัวอักษร เพื่อให้ผู้อ่านสามารถ คน้ ควา้ เพ่ือความรู้และการอ้างองิ โดยมีรูปภาพ แผนภมู ิ ฯลฯ ประกอบคาอธบิ ายให้ชดั เจนยิ่งขึ้น 5. หนังสอื ภาพและภาพชุดต่างๆ เปน็ หนงั สอื ทปี่ ระกอบดว้ ยภาพต่างๆ ท่ีเป็นเรื่องเดยี วกันตลอดทั้งเล่ม สว่ นใหญจ่ ะเปน็ หนังสอื ภาพท่ีพมิ พ์ สอดสีสวยงาม เหมาะแก่การเก็บไว้ศึกษาหรือเปน็ ทร่ี ะลกึ เช่น หนงั สือภาพชุดพระทน่ี ่งั วิมานเมฆ หรือหนังสือภาพ ชดุ ทัศนยี ภาพของประเทศต่างๆ เปน็ ตน้ 6. วทิ ยานิพนธ์และรายงานการวิจัย เปน็ สงิ่ พมิ พท์ ี่พิมพ์ออกมาจานวนไมม่ ากนักเพื่อเผยแพรไ่ ปยงั ห้องสมดุ สถาบนั การศึกษาตา่ งๆ หรอื หน่วยงานทเ่ี ก่ยี วข้องกับงานวิจยั นน้ั เพอื่ ให้ผู้สนใจใช้เป็นเอกสารคน้ คว้าข้อมลู หรือใช้ในการอ้างองิ 7. ส่ิงพมิ พ์ย่อส่วน (Microforms) หนงั สือทเ่ี ก่าหรอื ชารุดหรือหนังสือพิมพ์ที่มอี ยู่เปน็ จานวนมากย่อมไม่เปน็ ทีส่ ะดวกในการเกบ็ รกั ษาไว้ จงึ จำเปน็ ตอ้ งหาวิธีเก็บส่งิ พิมพเ์ หล่านไ้ี วโ้ ดยอาศัยลกั ษณะการย่อส่วนลงใหเ้ หลือเล็กทส่ี ดุ เท่าท่ีจะทาได้ เพ่ือประหยัด เน้อื ท่ีในการเกบ็ รักษาและสามารถทจ่ี ะนำมาใช้ไดส้ ะดวก จงึ มวี ิธกี ารต่างๆ โดยอาศยั เน้ือท่ีในการเก็บรักษาและ สามารถทจ่ี ะนามาใช้ได้สะดวก จงึ มีวิธีการตา่ งๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีในการทาส่งิ พิมพ์ย่อสว่ น ได้แก่ ก. ไมโครฟลิ ์ม (Microfilm)

32 เป็นการถ่ายหนังสือแต่ละหน้าลงบนม้วนฟิลม์ ท่ีมคี วามกว้างขนาด 16 หรือ 35 มลิ ลิเมตร โดยฟิล์ม 1 เฟรมจะ บรรจุหนา้ หนังสือได้ 1-2 หน้าเรียงติดต่อกันไป หนังสือเลม่ หนึง่ จะสามารถบนั ทึกลงบนไมโครฟิล์มโดยใชค้ วามยาว ของฟลิ ม์ เพยี ง 2-3 ฟุต ตามปกตจิ ะใช้ฟลิ ม์ 1 ม้วนตอ่ หนังสอื 1 เล่ม และบรรจุม้วนฟลิ ์มลงในกลอ่ งเล็กๆ กล่องละ มว้ นเมอ่ื จะใช้อา่ นก็ใสฟ่ ลิ ์มเข้าในเครื่องอ่านที่มจี อภาพหรือจะอัดสาเนาหน้าใดก็ไดเ้ ชน่ กัน ข. ไมโครฟิช (Microfiche) เปน็ แผน่ ฟิล์มแข็งขนาด 4 x 6 นว้ิ สามารถบันทกึ ข้อความจากหนงั สือโดยย่อเปน็ กรอบเล็กๆ หลายๆ กรอบ แผ่นฟลิ ์มนีจ้ ะมเี นอ้ื ทีม่ ากพอทจ่ี ะบรรจหุ นา้ หนงั สือทีย่ อ่ ขนาดแล้วไดห้ ลายรอ้ ยหน้า ตัวอักษรทยี่ ่อจะมีสขี าวบนพนื้ หน้าหนงั สือสดี า สามารถอ่านได้โดยวางแผน่ ฟิล์มลงบนเครื่องฉายทีข่ ยายภาพให้ไปปรากฏบนจอภาพสาหรับอา่ น และจะอา่ นหน้าใดก็ไดเ้ ลอื่ นภาพไปมา และยังสามารถนาไปพมิ พ์บนกระดาษและอัดสาเนาได้ดว้ ย ส่ือส่งิ พิมพ์เพ่ือเผยแพร่ขา่ วสาร – หนงั สอื พิมพ์ (Newspapers) เป็นส่อื สง่ิ พมิ พ์ทีผ่ ลิตขึ้นโดยนาเสนอเรอื่ งราว ข่าวสารภาพและความ คิดเหน็ ในลกั ษณะของแผน่ พิมพ์ แผน่ ใหญ่ ท่ีใชว้ ธิ ีการพับรวมกัน ซึ่งสือ่ ส่ิงพิมพ์ชนดิ นี้ ได้พมิ พอ์ อกเผยแพร่ทั้ง ลกั ษณะ หนังสือพิมพ์รายวัน, รายสัปดาห์ และรายเดือน – วารสาร, นติ ยสาร เป็นสื่อสง่ิ พมิ พท์ ผี่ ลติ ขึ้นโดยนาเสนอสาระ ขา่ ว ความบนั เทงิ ทีม่ รี ปู แบบการนาเสนอ ทโี่ ดดเดน่ สะดดุ ตา และสร้างความสนใจให้กับผู้อ่าน ทงั้ น้ีการผลิตนัน้ มีการ กาหนดระยะเวลาการออกเผยแพร่ท่ี แน่นอน ท้งั ลักษณะวารสาร, นิตยสารรายปักษ์ (15 วนั ) และ รายเดือน – จลุ สาร เป็นสื่อสง่ิ พิมพ์ทผ่ี ลติ ขึ้นแบบไมม่ ุ่งหวังผลกาไร เปน็ แบบให้เปล่าโดยให้ผูอ้ ่านไดศ้ ึกษาหาความรู้ มีกาหนดการออกเผยแพรเ่ ป็นคร้งั ๆ หรอื ลาดับต่าง ๆ ในวาระพเิ ศษ แสดงเนื้อหาเป็นข้อความท่ีผู้อา่ น อ่านแล้ว เขา้ ใจง่าย สง่ิ พมิ พ์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ เปน็ สอ่ื สิ่งพิมพ์ท่ผี ลิตข้ึนเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ หรอื ระบบเครือข่ายอนิ เตอรเ์ นต็ ได้แก่ Document Formats, E-book for Palm/PDA เป็นตน้ บทบาทของสอื่ สิ่งพิมพเ์ พื่อการศกึ ษา บทบาทของส่ือสิง่ พิมพ์ในสถานศกึ ษา ส่ือสง่ิ พิมพ์ถกู นาไปใชใ้ นสถานศึกษาโดยท่ัวไป ซงึ่ ทาให้ผู้เรยี น ผ้สู อนเขา้ ใจในเน้ือหามากขึ้น เช่น หนงั สอื ตารา แบบเรยี น แบบฝึกหัดสามารถพฒั นาไดเ้ ปน็ เน้ือหาในระบบ เครอื ข่ายอนิ เตอรเ์ น็ตได้ แนวทางการประยุกต์ใชส้ อ่ื ส่ิงพมิ พ์เพ่ือการเรียนการสอน หรอื การศึกษา การใช้ส่ิงพิมพเ์ พอื่ การศึกษาในการเรยี น การสอนนัน้ จำแนกได้เป็น 3 วธิ ี คือ

33 1. ใชเ้ ป็นแหล่งขอ้ มูลเกี่ยวกบั วิชาท่ีเรียน 2. ใช้เป็นวัสดุการเรียนร่วมกับส่ืออนื่ ๆ 3. ใช้เปน็ สื่อเสริมในการเรียนร้แู ละเพม่ิ พนู ประสบการณ์ .จากวธิ กี ารใชส้ ่ิงพิมพท์ ้งั 3 วิธีนนั้ ผูส้ อนสามารถนาสิง่ พิมพ์ท้ังที่เปน็ สิ่งพิมพ์ทัว่ ไป หรือส่ิงพมิ พเ์ พื่อการศกึ ษา โดยเฉพาะมาใชใ้ นการเรียนการสอนก็ได้ ทง้ั น้ีโดยพิจารณาตามลักษณะของสงิ่ พิมพ์และลักษณะของการใช้ ดังน้ี 1. ส่ิงพมิ พท์ เี่ ขียนขน้ึ ในลักษณะของหนงั สือตารา ใช้เพือ่ การศึกษาในระบบโรงเรียนตามหลักสตู ร 2. สิ่งพิมพ์ที่เขยี นขนึ้ ในลักษณะบทเรยี นสาเร็จรูปเพื่อง่ายต่อการศกึ ษาด้วยตนเอง เหมาะสาหรับใช้ใน การศกึ ษาทางไกลร่วมกบั ส่อื อื่นๆ เช่น โทรทศั น์ เทปเสยี งสรปุ บทเรยี น และการสอนเสริม เปน็ ต้น 3. ส่ิงพิมพเ์ สรมิ การเรยี นการสอน เชน่ แบบฝึกปฏิบัติ คู่มือเรียน ฯลฯ อาจใช้ร่วมกบั ส่ือบุคคลหรอื สื่อมวลชนประเภทอน่ื ๆ ได้ 4. สิ่งพมิ พ์ทว่ั ๆ ไป เช่น นติ ยสาร หนงั สอื พมิ พ์ ฯลฯ ทีม่ ีคอลัมนห์ รอื บทความทีใ่ หป้ ระโยชน์ ผู้สอนอาจแนะ นาให้ผเู้ รยี นอา่ นเพือ่ เพม่ิ พนู ความรู้หรอื เพ่ือนามาใช้อ้างองิ ประกอบการค้นควา้ • ส่ิงพมิ พ์ประเภทภาพชดุ เป็นการให้ความรู้ทางรปู ธรรมเพื่อใช้ในการเสรมิ สร้างประสบการณ์ ทาให้ผู้เรียน เขา้ ใจเหตุการณ์เรื่องราวหรอื สิ่งท่เี ป็นนามธรรมไดช้ ัดเจนขึ้น เชน่ ภาพชุดชีวิตสัตว์ หรอื ภาพชดุ พระราช พธิ จี รดพระนังคลั แรกนาขวญั เปน็ ตน้ (สานักการศกึ ษา กรุงเทพมหานคร, 9 กนั ยายน 2553) ประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ของส่ือสิง่ พิมพ์เพ่อื การศกึ ษา 1. ส่ือสงิ่ พมิ พ์สามารถเก็บไว้ไดน้ าน สามารถนามาอา่ นซ้าแล้วซ้าอกี ได้ 2. สื่อสง่ิ พิมพ์เป็นส่อื ท่มี รี าคาถูกเม่ือเทียบกบั สื่ออื่นๆ 3. ส่อื ส่ิงพมิ พ์เป็นสือ่ ทใ่ี ช้ง่าย ไม่ยงุ่ ยาก 4. สื่อสง่ิ พมิ พ์เปน็ สอ่ื ทีจ่ ัดทาไดง้ า่ ย โดยครูผู้สอนสามารถทาไดเ้ องได้ มวี ิธีทาทีไ่ มย่ ุ่งยากซับซอ้ น เชน่ ใบ งาน ใบความรู้ เปน็ ตน้

34 ข้อดีและข้อจากัดของสื่อส่ิงพมิ พ์เพื่อการศกึ ษา ข้อดี 1. สามารถอา่ นซ้า ทบทวน หรืออ้างอิงได้ 2. เป็นการเรยี นรทู้ ด่ี ีสาหรับผู้ทีส่ นใจ 3. เป็นการกระตุ้นให้คนไทยรักการอ่าน ข้อจำกดั 1. ผูม้ ีปญั หาทางสายตา หรอื ผู้สงู อายอุ ่านไมส่ ะดวกในการใช้ 2. ขอ้ มลู ไม่สามารถปรับปรงุ แกไ้ ขไดท้ นั ทว่ งทไี ด้ 3. ผู้ไมร่ หู้ นังสอื ไมส่ ามารถเข้าถงึ ได้ ความหมายของสื่อออนไลน์ ความหมายของสื่อสงั คมออนไลน์ สื่อสงั คมออนไลน์ หมายถงึ ส่ือดิจิทลั ทเี่ ปน็ เคร่ืองมอื ในการปฏิบัตกิ ารทางสงั คม(Social Tool) เพ่ือใช้ ส่ือสารระหวา่ งกันในเครือขา่ ยทางสงั คม (Social Network) ผา่ นทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์บนสือ่ ใดๆ ที่มี การเชอื่ มต่อกับอินเทอร์เนต็ โดยเน้นให้ผูใ้ ช้ท้ังทเ่ี ปน็ ผูส้ ่งสารและผูร้ บั สารมีสว่ นรว่ ม (Collaborative) อยา่ ง สร้างสรรค์ ในการผลติ เนอ้ื หาข้นึ เอง (User-GenerateContent:UGC) ในรปู ของข้อมลู ภาพและเสียง สำหรบั ในยคุ น้ี เราคงจะหลกี เลีย่ งหรอื หนีคำวา่ Social Media ไปไมไ่ ด้ เพราะไมว่ ่าจะไปทไ่ี หน ก็จะพบ เห็นมันอยตู่ ลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนกอ็ าจจะยังสงสยั วา่ “Social Media” มนั คืออะไรกันแน่ วันนเ้ี ราจะมาร้จู ัก ความหมายของมันกันครบั คำว่า “Social” หมายถึง สงั คม ซงึ่ ในที่นจ้ี ะหมายถึงสังคมออนไลน์ ซงึ่ มีขนาดใหม่มากในปัจจุบัน คำว่า “Media” หมายถงึ สือ่ ซ่งึ ก็คือ เน้ือหา เรือ่ งราว บทความ วดี ีโอ เพลง รปู ภาพ เป็นตน้ ดังนน้ั คำว่า Social Media จงึ หมายถงึ ส่ือสงั คมออนไลน์ทม่ี ีการตอบสนองทางสงั คมไดห้ ลายทิศทาง โดยผา่ นเครอื ข่ายอนิ เตอร์เน็ต พูดง่ายๆ ก็คือเว็บไซตท์ บี่ ุคคลบนโลกน้ีสามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ ้ตอบกนั ได้นัน่ เอง พ้ืนฐานการเกิด Social Media กม็ าจากความต้องการของมนษุ ยห์ รือคนเราทตี่ ้องการติดตอ่ สื่อสารหรอื มี ปฏสิ ัมพนั ธก์ ัน จากเดิมเรามเี วบ็ ในยคุ 1.0 ซ่ึงกค็ ือเวบ็ ที่แสดงเน้ือหาอย่างเดยี ว บุคคลแต่ละคนไม่สามารถติดต่อ หรือโต้ตอบกนั ได้ แต่เมื่อเทคโนโลยเี วบ็ พัฒนาเข้าสู่ยุค 2.0 ก็มีการพัฒนาเว็บไซตท์ ่ีเรยี กว่า web application ซง่ึ ก็คอื เวบ็ ไซตม์ ีแอพลิเคชนั หรอื โปรแกรมต่างๆ ทมี่ าและความสำคัญ ส่อื สังคมออนไลนก์ ลับส่งอิทธพิ ลลบต่อชวี ิตประจำวันและความสมั พันธ์ของคนในสังคมอย่างชดั เจนมาก ยง่ิ ข้ึนจนกลายเป็นประเด็นทางสังคม ที่ทั้งสือ่ บทกฎหมาย และประชาชนเองจะต้องให้ความสำคญั ในการปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาเหลา่ นี้

35 สอื่ สังคมออนไลน์ใชส้ ือ่ สารระหว่างกนั ในเครอื ข่ายทางสังคม ผา่ นทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์บน สอ่ื ใดๆ ที่มีการเช่อื มต่อกบั อินเทอร์เนต็ โดยเนน้ ใหผ้ ู้ใช้ทั้งท่ีเป็นผ้สู ง่ สารและผู้รบั สารมีสว่ นรว่ ม อยา่ งสรา้ งสรรค์ ในการผลิตเนื้อหาข้นึ ในรูปของข้อมลู ภาพ และเสยี ง ทัง้ นี้การใช้สื่อออนไลนต์ ่างๆ กต็ ้องอยู่ในขอบเขตในความพอประมาณ เล่นในประมาณที่พอเหมาะเพื่อ เป็นผลดีต่อสายตาและรา่ งกาย ประเภทสื่อสังคมออนไลน์ ประเภทของสอ่ื สังคมออนไลน์ มดี ว้ ยกนั หลายชนิด ขน้ึ อยู่กับลักษณะของการนำมาใช้โดยสามารถแบง่ เปน็ กลมุ่ หลกั ดังนี้ 1. Weblogs หรือเรียกส้ันๆ ว่า Blogs คอื ส่อื สว่ นบคุ คลบนอนิ เทอร์เนต็ ที่ใช้เผยแพร่ขอ้ มูล ข่าวสาร ความรู้ ขอ้ คิดเหน็ บนั ทึกสว่ นตวั โดยสามารถแบ่งปันใหบ้ ุคคลอืน่ ๆ โดยผ้รู บั สารสามารถเขา้ ไปอ่าน หรือแสดงความ คดิ เห็นเพ่ิมเตมิ ได้ ซึง่ การแสดงเนือ้ หาของบล็อกนน้ั จะเรียงลำดับจากเน้ือหาใหม่ไปส่เู นอื้ หาเก่า ผเู้ ขียนและผูอ้ า่ น สามารถคน้ หาเนื้อหาย้อนหลังเพื่ออ่านและแกไ้ ขเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา เชน่ Exteen,Bloggang,Wordpress,Blogger,Okanation 2. Social Networking หรือเครอื ข่ายทางสงั คมในอนิ เทอรเ์ น็ต ซง่ึ เปน็ เครือขา่ ยทางสงั คมท่ีใชส้ ำหรับเช่ือมต่อ ระหวา่ งบคุ คล กลุ่มบุคคล เพื่อให้เกดิ เปน็ กลุ่มสังคม(Social Community) เพื่อรว่ มกันแลกเปลย่ี นและแบง่ ปนั ข้อมลู ระหว่างกนั ท้ังดา้ นธรุ กิจ การเมอื ง การศึกษา เชน่ Facebook, Hi5, Ning,Linkedin,MySpace,Youmeo,Friendste 3. Micro Blogging และ Micro Sharing หรอื ท่ีเรียกกันวา่ “บลอ็ กจ๋วิ ” ซง่ึ เป็นเว็บเซอรว์ ิสหรือเว็บไซต์ท่ี ให้บรกิ ารแก่บคุ คลทวั่ ไปสำหรบั ให้ผ้ใู ช้บรกิ ารเขยี นข้อความสั้นๆ ประมาณ 140 ตวั อักษรที่ เรียกว่า “Status” หรอื “Notice” เพือ่ แสดงสถานะของตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยูห่ รือแจง้ ขา่ วสารตา่ งๆแก่กลุ่ม เพอ่ื นในสงั คมออนไลน์ (OnlineSocialNetwork) (Wikipedia,2010) ทั้งน้กี ารกำหนดให้ใชข้ อ้ มูลในรูปข้อความ สน้ั ๆ กเ็ พ่ือให้ผู้ใชท้ ่ีเป็นท้ังผ้เู ขียนและผู้อ่านเขา้ ใจงา่ ย ทนี่ ิยมใช้กนั อย่างแพร่หลายคือ Twitter 4. Online Video เปน็ เวบ็ ไซต์ท่ีใหบ้ รกิ ารวดิ โี อออนไลนโ์ ดยไม่เสียค่าใชจ้ ่าย ซงึ่ ปจั จบุ ันได้รับความนยิ มอยา่ ง แพรห่ ลายและขยายตัวอย่างรวดเรว็ เนื่องจากเน้ือหาที่นำเสนอในวิดโี อออนไลน์ไม่ถกู จำกัดโดยผงั รายการที่ แนน่ อนและตายตัวทำใหผ้ ู้ใช้บริการสามารถติดตามชมได้อยา่ งต่อเนื่องเพราะไม่มโี ฆษณาคัน่ รวมทง้ั ผใู้ ชส้ ามารถ เลือกชมเนื้อหาได้ตามความต้องการและยงั สามารถเชอ่ื มโยงไปยงั เวบ็ วดิ ีโออืน่ ๆ ท่ีเก่ยี วข้องไดจ้ ำนวนมากอีกด้วย เชน่ Youtube, MSN, Yahoo 5. Poto Sharing เป็นเวบ็ ไซตท์ ี่เน้นใหบ้ ริการฝากรูปภาพโดยผใู้ ช้บรกิ ารสามารถอัพโหลดและดาวนโ์ หลด รปู ภาพเพ่ือนำมาใช้งานได้ ท่ีสำคญั นอกเหนือจากผ้ใู ช้บรกิ ารจะมโี อกาสแบง่ ปันรูปภาพแลว้ ยงั สามารถใชเ้ ป็น พ้ืนท่ีเพอื่ เสนอขายภาพทต่ี นเองนำเข้าไปฝากได้อีกด้วย เช่น Flickr, Photobucket, Photoshop,Express, Zooom

36 6. Wikis เปน็ เวบ็ ไซต์ทมี่ ีลกั ษณะเป็นแหลง่ ข้อมูลหรือความรู้ (Data/Knowledge)ซงึ่ ผ้เู ขยี นสว่ นใหญอ่ าจจะ เปน็ นกั วิชาการ นกั วชิ าชพี หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านต่างๆ ทัง้ การเมือง เศรษฐกจิ สังคม วฒั นธรรม ซงึ่ ผู้ใช้ สามารถเขยี นหรือแก้ไขขอ้ มูลไดอ้ ย่างอสิ ระ เช่น Wikipedia, Google Earth,diggZy Favorites Online 7. Virtual Worlds คือการสร้างโลกจนิ ตนาการโดยจำลองสว่ นหน่ึงของชวี ิตลงไป จัดเป็นส่ือสังคมออนไลนท์ ี่ บรรดาผทู้ ่องโลกไซเบอร์ใช้เพ่ือสื่อสารระหว่างกันบนอนิ เทอร์เนต็ ในลกั ษณะโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) ซ่งึ ผู้ ท่ีจะเขา้ ไปใชบ้ ริการอาจจะบริษทั หรือองค์การดา้ นธุรกจิ ดา้ นการศึกษา รวมถึงองคก์ ารด้านสื่อ เช่น สำนักขา่ ว รอยเตอร์ สำนักขา่ วซเี อน็ เอ็น ตอ้ งเสียค่าใช้จา่ ยในการซ้ือพ้นื ที่เพ่อื ให้บุคคลในบริษัทหรือองค์กรได้มีช่องทางใน การนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ไปยงั กลมุ่ เครือข่ายผ้ใู ช้สื่อออนไลน์ ซ่งึ อาจจะเป็นกลมุ่ ลกู ค้าท้ังหลัก และรองหรอื ผ้ทู ่ี เก่ียวขอ้ งกับธุรกิจ ของบรษิ ัท หรอื องค์การก็ได้ ปัจจุบนั เว็บไซต์ทใ่ี ช้หลกั Virtual Worlds ท่ปี ระสบผลสำเร็จและ มชี ่ือเสียง คอื Second life 8. Crowd Sourcing มาจากการรวมของคำสองคำคือ Crowd และ Outsourcing เป็นหลกั การขอความ ร่วมมอื จากบุคคลในเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยสามารถจัดทำในรปู ของเว็บไซตท์ ี่มีวตั ถุประสงคห์ ลกั เพ่ือค้นหา คำตอบและวิธีการแกป้ ัญหาต่างๆทั้งทางธรุ กจิ การศึกษา รวมทง้ั การสื่อสาร โดยอาจจะเป็นการดึงความรว่ มมือ จากเครือขา่ ยทางสังคมมาช่วยตรวจสอบขอ้ มลู เสนอความคิดเหน็ หรอื ให้ขอ้ เสนอแนะ กลมุ่ คนทีเ่ ข้ามาใหข้ ้อมลู อาจจะเปน็ ประชาชนทั่วไปหรือผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะดา้ นทอี่ ยู่ในภาคธรุ กิจหรือแม้แต่ในสังคมนักข่าว ข้อดขี อง การใชห้ ลัก Crowd souring คอื ทำให้เกิดความหลากหลายทางความคิดเพ่ือนำ ไปสู่การแกป้ ัญหาทมี่ ี ประสทิ ธภิ าพ ตลอดจนช่วยตรวจสอบหรือคัดกรองข้อมูลซง่ึ เป็นปัญหาสาธารณะร่วมกันได้ เชน่ Idea storm, Mystarbucks Idea 9. Podcasting หรอื Podcast มาจากการรวมตัวของสองคำ คือ “Pod” กับ “Broadcasting” ซ่ึง “POD” หรอื PersonalOn - Demand คือ อปุ สงค์หรือความต้องการส่วนบคุ คล สว่ น “Broadcasting” เปน็ การนำสอ่ื ต่างๆ มารวมกนั ในรูปของภาพและเสียง หรืออาจกล่าวงา่ ยๆ Podcast คือ การ บันทกึ ภาพและเสียงแล้วนำมาไวใ้ นเว็บเพจ (Web Page) เพ่ือเผยแพรใ่ ห้บุคคลภายนอก (The public in general) ทสี่ นใจดาวนโ์ หลดเพอ่ื นำไปใชง้ าน เชน่ Dual Geek Podcast, Wiggly Podcast 10. Discuss / Review/ Opinion เปน็ เว็บบอร์ดที่ผใู้ ชอ้ ินเทอรเ์ นต็ สามารถแสดงความคิดเห็น โดยอาจจะ เกี่ยวกับ สนิ คา้ หรือบริการ ประเด็นสาธารณะทางการเมือง เศรษฐกจิ สังคม เชน่ Epinions, Moutshut, Yahoo!Answer, Pantip,Yelp ประโยชน์ของ Social networks เครือข่ายสังคมออนไลน์ 1. สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความร้ใู นสง่ิ ทส่ี นใจร่วมกนั ได้ 2. เปน็ คลังข้อมูลความร้ขู นาดยอ่ มเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปล่ียนความรู้ หรือตั้ง คาถามในเรือ่ งตา่ งๆ เพอ่ื ใหบ้ ุคคลอ่ืนทีส่ นใจหรอื มีคาตอบได้ชว่ ยกนั ตอบ 3. ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยในการติดตอ่ สอื่ สารกับคนอ่ืน สะดวกและรวดเรว็

37 4. เป็นสือ่ ในการนำเสนอผลงานของตวั เอง เช่น งานเขยี น รปู ภาพ วีดโิ อต่างๆ เพื่อให้ผอู้ นื่ ได้เข้ามารบั ชมและ แสดงความคดิ เห็น 5. ใชเ้ ปน็ ส่อื ในการโฆษณา ประชาสมั พันธ์ หรอื บรกิ ารลกู ค้าสาหรับบริษัทและองค์กรตา่ งๆ ช่วยสรา้ งความ เช่อื มั่นให้ลูกค้า 6. ชว่ ยสรา้ งผลงานและรายได้ให้แกผ่ ใู้ ชง้ าน เกิดการจ้างงานแบบใหมๆ่ ขนึ้ 7. คลายเครยี ดไดส้ ำหรบั ผูใ้ ชท้ ีต่ ้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนกุ ๆ 8. สรา้ งความสมั พนั ธท์ ี่ดจี ากเพื่อนสู่เพ่ือนได้

38 บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนนิ งานตามโครงการ 1. วิธีการดำเนนิ งาน ขั้นเตรียมการ เพื่อจัดประชมุ ครูและบุคลากรทางการศึกษา - ชีแ้ จงทำความเขา้ ใจรายละเอียดโครงการ - ชี้แจงแนวทางในการดำเนินโครงการ - จัดทำโครงการและแผนการดำเนินการเพอ่ื อนุมตั ิ - แตง่ ต้งั กรรมการดำเนนิ งานตามโครงการ 1. คณะกรรมการอำนวยการ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานฝ่าย ต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรยี บร้อย ประกอบด้วย 1.1 นายสมประสงค์ นอ้ ยจนั ทร์ ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอชนแดน ประธานกรรมการ 1.2 นายเกรียงฤทธิ์ เดตะอุด ครู กรรมการ 1.3 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.4 นางสาวลาวณั ย์ สทิ ธกิ รวยแกว้ ครอู าสาสมัครฯ กรรมการ 1.5 นางวารี ชบู ัว บรรณารักษ์ชำนาญการ กรรมการและเลขานุการ 2. ฝา่ ยติดต่อประสานงาน มีหนา้ ที่ ตดิ ต่อประสานงานสถานท่ีจัดการจัดกิจกรรม ประกอบดว้ ย 2.1 นางวารี ชบู วั บรรณารักษ์ชำนาญการ 2.2 นางสาวมุจลนิ ท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 2.3 นางลาวิน สเี หลือง ครู กศน. ตำบล 2.4 นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ครู กศน. ตำบล 2.5 นางสาวลดาวรรณ์ สุทธิพนั ธ์ ครู กศน. ตำบล 2.6 นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ครู กศน. ตำบล 2.7 นางสาวพัชราภรณ์ นรศิ ชาติ ครู กศน. ตำบล 2.8 นางสุรตั น์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 2.9 นายเกรียงไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 2.10 นางสาวณฐั ชา ทาแนน่ ครู กศน. ตำบล 2.11 นางสาวอษุ า ย่ิงสกุ ครู ศรช.

39 3. ฝ่ายการเงินและพัสดุ มีหน้าที่ จัดซื้อพัสดุและยืมเงินสำรองจ่ายตามโครงการ และจัดทำเอกสาร เบิกจา่ ยพสั ดุ และการเงินตามโครงการใหถ้ กู ตอ้ งเรยี บร้อยและทันต่อเวลาประกอบดว้ ย 3.1 นางวารี ชบู วั บรรณารกั ษ์ชำนาญการ 3.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครอู าสาสมัครฯ 3.3 นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธ์ิ ครู ศรช. 4. ฝ่ายประชาสัมพนั ธ์ มหี นา้ ที่ ส่งข่าวประชาสัมพนั ธ์ ทางออนไลน์ Facebook Line ประกอบด้วย 4.1 นางวารี ชบู ัว บรรณารกั ษ์ชำนาญการ 4.2 นางสาวมจุ ลนิ ท์ ภยู าธร ครู กศน. ตำบล 4.3 นางลาวนิ สีเหลือง ครู กศน. ตำบล 4.4 นางสาวนภารัตน์ สสี ะอาด ครู กศน. ตำบล 4.5 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธิพนั ธ์ ครู กศน. ตำบล 4.6 นางผกาพรรณ มะหทิ ธิ ครู กศน. ตำบล 4.7 นางสาวพชั ราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล 4.8 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 4.9 นายเกรียงไกร ใหม่เทวินทร์ ครู กศน. ตำบล 4.10 นางสาวณัฐชา ทาแน่น ครู กศน. ตำบล 4.11 นางสาวอษุ า ยิ่งสุก ครู ศรช. 4.12 นางสาวเยาวดี โสดา นกั จดั การงานท่ัวไป 5. ฝา่ ยจดั กจิ กรรม มหี นา้ ที่จดั กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่านและการเรียนรู้ วทิ ยากรการจดั กระบวนการเรียนรู้ จัดเตรียมใบความรู้ ใบงาน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ส่งเสริมการอ่านจากหนังสือ และสื่อออนไลน์ สื่อการ เรียนการสอน เกม และกจิ กรรมนนั ทนาการ ดังน้ี 5.1 นางวารี ชูบัว บรรณารกั ษช์ ำนาญการ 5.2 นางสมบัติ มาเนตร์ ครูอาสาสมัครฯ 5.3 นางสาวลาวณั ย์ สิทธกิ รวยแกว้ ครอู าสาสมัครฯ 5.4 นางสาวมจุ ลินท์ ภูยาธร ครู กศน. ตำบล 5.5 นางลาวนิ สีเหลอื ง ครู กศน. ตำบล 5.6 นางสาวนภารตั น์ สีสะอาด ครู กศน. ตำบล 5.7 นางสาวลดาวรรณ์ สทุ ธพิ ันธ์ ครู กศน. ตำบล 5.8 นางผกาพรรณ มะหิทธิ ครู กศน. ตำบล 5.9 นางสาวพัชราภรณ์ นริศชาติ ครู กศน. ตำบล

40 5.10 นางสุรัตน์ จนั ทะไพร ครู กศน. ตำบล 5.11 นายเกรียงไกร ใหม่เทวนิ ทร์ ครู กศน. ตำบล 5.12 นางสาวณฐั ชา ทาแน่น ครู กศน. ตำบล 5.13 นายศวิ ณัชญ์ อัศวสัมฤทธ์ิ ครู ศรช. 5.14 นางสาวกญั ญาณัฐ จนั ปญั ญา ครู ศรช. 5.15 นายปัณณวัฒน์ สุขมา ครู ศรช. 5.16 นางสาวอุษา ย่ิงสุก ครู ศรช. 5.17 นางสาววรางคณา นอ้ ยจันทร์ ครู ศรช. 5.18 นางสาวเยาวดี โสดา นักจัดการงานทว่ั ไป 6. ฝ่ายรบั ลงลงทะเบยี น ใหก้ รรมการมหี นา้ ทจี่ ัดเตรยี มเอกสารสำหรบั การลงทะเบยี น และรบั ลงทะเบยี น ผ้เู ข้ารว่ มโครงการ ดังนี้ 6.1 นางสาวอษุ า ยิ่งสุก ครู ศรช. 6.2 นางสาวกัญญาณัฐ จนั ปญั ญา ครู ศรช. 7. ฝ่ายวัดผลและประเมินผลโครงการ มีหน้าที่แจกแบบสอบถามความพึงพอใจและเก็บรวบรวม แบบสอบถามความพงึ พอใจ ประเมนิ ผลการดำเนินงาน ประเมินความพึงพอใจ ปญั หา อุปสรรค และขอ้ เสนอแนะ และจดั ทำรายงานผลการดำเนินงานหลังเสรจ็ สิน้ โครงการ ดังน้ี 7.1 นางวารี ชูบัว บรรณารักษ์ชำนาญการ 7.2 นางสาวอุษา ยง่ิ สุก ครู ศรช. 7.3 นางสาวกัญญาณัฐ จนั ปัญญา ครู ศรช.

2. ข้ันดำเนนิ การ กจิ กรรมหลกั วตั ถปุ ระสงค์ ก 1. ข้ันเตรียมการ กลมุ่ เปา้ หมาย 2. ประชมุ กรรมการ เพอื่ จัดประชมุ ครูและบคุ ลากรทางการ ครูและบคุ ลากร ช ดำเนินงาน 3. จัดเตรียมเอกสาร ศึกษา กศน. อำเภอชนแดน ว วัสดุ อปุ กรณ์ในการ ดำเนนิ โครงการ - ชแ้ี จงทำความเข้าใจรายละเอียด จำนวน 21 คน โครงการ - ชแี้ จงแนวทางในการดำเนินโครงการ - จดั ทำโครงการและแผนการดำเนินการ เพ่ืออนมุ ัติ - แต่งตัง้ กรรมการดำเนินงานตาม โครงการ เพื่อประชมุ ทำความเข้าใจกบั กรรมการ ครแู ละบคุ ลากร ช ดำเนนิ งานทุกฝ่ายในการจดั กิจกรรม กศน. อำเภอชนแดน โครงการและการดำเนนิ งาน จำนวน 21 คน เพือ่ ดำเนนิ การจัดทำ จดั ซอื้ วัสดอุ ปุ กรณ์ กรรมการฝ่ายท่ีได้รบั ทใ่ี ช้ในการดำเนินการ มอบหมาย

41 กลุ่มเป้าหมาย พืน้ ทดี่ ำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ เป้าหมาย (เชงิ คณุ ภาพ) กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ชแี้ จงทำความเข้าใจ รายละเอียดและ ชนแดน วัตถปุ ระสงค์ของการจัดโครงการ ชแ้ี จงวตั ถปุ ระสงค์ บทบาทหนา้ ท่ี กศน. อำเภอ เม.ย.65 - ของกรรมการดำเนนิ งานโครงการ ชนแดน เม.ย.65 - จดั ซ้ือวัสดอุ ปุ กรณ์ในการจดั โครงการ กศน. อำเภอ ชนแดน

กิจกรรมหลัก วัตถุประสงค์ ก ๔. ดำเนินการจัด กลมุ่ เป้าหมาย กจิ กรรม เพอื่ ดำเนนิ การปรบั ปรงุ ภูมิทัศนห์ อ้ งสมุด ให้ 1.หอ้ งสมุดประชาชน ห 5. สรปุ /ประเมนิ ผล และรายงานผล เป็นCo-Learning Space แหล่งเรยี นร้ขู อง อำเภอชนแดน ไ โครงการ คนในชุมชน จำนวน 1 แห่ง เ ๑. กจิ กรรมรักการอ่านผ่านสื่อออนไลน์ 2. นักเรียน นกั ศกึ ษา ข ๒. กจิ กรรมวนั รักการอ่าน และประชาชนทว่ั ไป ช ๓. กจิ กรรมวันสำคัญตา่ งๆ จำนวน 247 คน ต ๔. กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านและการเรยี นรู้ สำหรบั นักศกึ ษา กศน. เพอ่ื ให้กรรมการฝ่ายประเมินผลเก็บ ตามกระบวนการ ส รวบรวมขอ้ มูลและดำเนนิ การประเมินผล ประเมินโครงการ การจัดกิจกรรม 5 บท จำนวน 3 เลม่

42 กลุ่มเปา้ หมาย พืน้ ทด่ี ำเนนิ การ ระยะเวลา งบประมาณ เปา้ หมาย (เชิงคณุ ภาพ) ห้องสมุดประชาชน เม.ย. ถงึ - ห้องสมุดประชาชนอำเภอชนแดน อำเภอชนแดน ก.ย.65 ได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ห้องสมุด ให้ เป็นCo-Learning Space แหล่งเรียนรู้ ของคนในชมุ ชน เปน็ แหลง่ เรยี นร้ตู ลอด ชีวิต พร้อมให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมาย ตา่ งๆ สรุปรายงานผลการดำเนนิ งาน กศน. อำเภอ ก.ย.65 - ตามระบบ PDCA ชนแดน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook