คูมือครรู ายวชิ าพื้นฐาน ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ี่ ๒ วเลทิม ย๑าศาสตร ตามมาตรฐานการเรียนรูและตวั ชว้ี ดั กลุม สาระการเรียนรูว ิทยาศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
คมู่ อื ครู รายวิชาพน้ื ฐาน วิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๒ เลม่ ๑ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชว้ี ัด กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ จัดทาโดย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร
คาช้แี จง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดทาตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเน้นเพ่ือต้องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เช่ือมโยงความรูก้ ับกระบวนการ ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย มีการทากิจกรรมด้วยการ ลงมือปฏบิ ตั เิ พอื่ ให้ผู้เรยี นไดใ้ ช้ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ ซ่ึงในปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไปนี้ โรงเรียนจะต้องใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. จึงได้จัดทา คมู่ ือครปู ระกอบหนังสือเรียนทเ่ี ป็นไปตามมาตรฐานหลกั สูตรเพ่ือให้โรงเรียนได้ใช้สาหรบั จัดการเรยี นการสอนในชนั้ เรียน ค่มู ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ เล่ม ๑ นี้ สสวท. ได้พัฒนาข้ึนเพื่อนาไปใช้เป็นคู่มือครู คู่กับหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ เล่ม ๑ ตามตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ภายในคมู่ ือครูประกอบดว้ ยโครงสรา้ งหลกั สูตร แนวความคดิ ตอ่ เน่ือง แนวทางการจัดกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่สี อดคล้อง กบั เน้อื หาในหนังสือเรียน ซง่ึ เป็นตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทหี่ ลากหลายโดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้และ เช่ือมโยงกับชีวิตจริง ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง รวมท้ังส่งเสริมและพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการนาไปใช้ ในการจัดทาคู่มอื ครูรายวิชา พน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์เล่มนี้ ได้รบั ความร่วมมืออย่างดีย่งิ จากคณาจารย์ ผูท้ รงคณุ วฒุ ิ นักวชิ าการ ครผู สู้ อนจากสถาบนั ต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จึงขอขอบคุณไว้ ณ ทีน่ ้ี สสวท. หวงั เปน็ อย่างยิ่งวา่ ค่มู อื ครูรายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตรเ์ ล่มนจี้ ะเปน็ ประโยชนแ์ กค่ รแู ละผเู้ ก่ยี วขอ้ งทกุ ฝา่ ย ที่จะช่วยให้การจัดการศึกษาวิทยาศาสตรม์ ีประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล หากมีข้อเสนอแนะใดที่จะทาให้คู่มือครสู มบูรณ์ ย่ิงขน้ึ โปรดแจง้ สสวท. ทราบดว้ ย จักขอบคณุ ยง่ิ (ศาสตราจารย์ชูกจิ ลิมปจิ านงค)์ ผู้อานวยการสถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร
สารบัญ ส่วนหนา้ เป้าหมายของการจัดการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ ก สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ค หน่วยการเรยี นรู้ ป ความสอดคล้องของบทเรยี น กจิ กรรมและตัวช้ีวัด ฝ รายการวัสดุอุปกรณ์ ร แนะนาการใชค้ ่มู ือครู ษ หนว่ ยที่ 1 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตร์ 1 หนว่ ยที่ 2 สารละลาย 21 22 บทท่ี 1 องค์ประกอบของสารละลายและปัจจัยท่ีมผี ลตอ่ สภาพละลายได้ 66 บทที่ 2 ความเข้มข้นของสารละลาย 95 หน่วยที่ 3 รา่ งกายมนุษย์ 96 บทท่ี 1 ระบบอวัยวะในร่างกายของเรา 199 หนว่ ยที่ 4 การเคลื่อนทีแ่ ละแรง 200 บทที่ 1 การเคล่ือนที่ 255 บทท่ี 2 แรงในชีวติ ประจาวัน 390 ภาคผนวก บรรณานกุ รม 394 คณะผู้จดั ทา
คมู่ อื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ก เป้าหมายของการจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพื่อให้ได้กระบวนการและ ความร้จู ากการสงั เกต การสารวจตรวจสอบ การทดลอง แลว้ นาผลทีไ่ ดม้ าจัดระบบเป็นหลกั การ แนวคดิ และองคค์ วามรู้ การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตรม์ ีเป้าหมายที่สาคัญดงั น้ี 1. เพอื่ ให้เขา้ ใจหลกั การ ทฤษฎี และกฎทีเ่ ปน็ พ้นื ฐานในวิชาวิทยาศาสตร์ 2. เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวชิ าวทิ ยาศาสตร์และข้อจากดั ในการศึกษาวชิ าวิทยาศาสตร์ 3. เพื่อให้มีทกั ษะทส่ี าคัญในการศกึ ษาคน้ คว้าและคิดคน้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. เพ่ือให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และสภาพแวดล้อมในเชิงท่ี มี อิทธิพลและผลกระทบซง่ึ กันและกัน 5. เพอ่ื นาความรู้ ความเขา้ ใจในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ สงั คมและการดารงชีวิต 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ ทักษะในการส่ือสาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจ 7. เพื่อให้เป็นผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่าง สร้างสรรค์ ฉบบั ปรับปรงุ เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ข คู่มือครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ เปา้ หมายของการจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ทั้งด้านความรู้ในเน้ือหาและกระบวนการใน การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการต่าง ๆ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและ สร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทุกขนั้ ตอน มกี ารลงมือปฏิบัตอิ ย่างหลากหลาย เหมาะสมกับวยั และระดบั ชน้ั ของผู้เรยี น โดยกาหนดสาระสาคัญดังนี้ ▪ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biological Science) เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การดารงชีวิตของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ การดารงชวี ิตของพชื พนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ฒั นาการของส่ิงมีชวี ิต ▪ วิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Science) เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปล่ียนแปลงของสาร การเคลอ่ื นที่ พลังงาน และคลน่ื ▪ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ (Earth and Space Science) เรียนรู้เกี่ยวกับโลกและกระบวนการเปล่ียนแปลง ทางธรณีวิทยา ข้อมูลทางธรณีวิทยา และการนาไปใช้ประโยชน์ การถ่ายโอนพลังงานความร้อนของโลก การเปลี่ยนแปลง ลกั ษณะลมฟ้าอากาศ และการดารงชวี ติ ของมนุษย์โลกในเอกภพ และดาราศาสตรก์ ับมนุษย์ ▪ เทคโนโลยี (Technology) • การออกแบบและเทคโนโลยี (Designing and Technology) เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพ่ือดารงชีวิตใน สังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบต่อชวี ติ สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม • วทิ ยาการคานวณ (Computing Science) เรียนรเู้ กีย่ วกบั การคดิ เชงิ คานวณ การคดิ วเิ คราะห์ แก้ปญั หาเป็น ข้ันตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการ แก้ปญั หาท่พี บในชวี ิตจรงิ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
คูม่ อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ค สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ ไม่มีชวี ติ กับส่ิงมชี วี ติ และความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ใน ระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมท้ังนา ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนา ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชวี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ ส่ิงมีชีวติ รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัตขิ องสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบตั ิของสสารกับโครงสรา้ งและ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะการเคลื่อนที่ แบบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทง้ั นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ฉบับปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562 สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ง คู่มือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และ ระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อ สง่ิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดล้อม สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา งานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคานงึ ถึงผลกระทบต่อชวี ติ สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นข้ันตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบบั ปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
คูม่ อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ จ คุณภาพผเู้ รยี นเม่อื จบช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 • เขา้ ใจลักษณะและองค์ประกอบทสี่ าคญั ของเซลลส์ ิง่ มีชีวติ ความสมั พนั ธ์ของการทางานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนษุ ย์ การดารงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคท่ีเกิด จากการเปลย่ี นแปลงทางพนั ธกุ รรม ประโยชน์และผลกระทบของส่ิงมชี วี ติ ดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชวี ภาพ ปฏิสัมพันธข์ ององค์ประกอบของระบบนเิ วศ และการถ่ายทอดพลังงานในสิง่ มีชีวิต • เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธ์ิ สารผสม หลักการแยกสาร การเปล่ียนแปลงของสาร ในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี และสมบัติทางกายภาพ และการใช้ ประโยชนข์ องวสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวัสดผุ สม • เข้าใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์ท่ีกระทาต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงที่ปรากฏในชีวิตประจาวัน สนาม ของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วง กฎการอนุรักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุล ความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า หลักการต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน พลังงานไฟฟ้า และหลักการเบ้ืองต้นของ วงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ • เขา้ ใจสมบัติของคล่นื และลักษณะของคลนื่ แบบต่าง ๆ แสง การสะท้อน การหักเหของแสงและทศั นอุปกรณ์ • เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคล่ือนท่ีปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การขน้ึ และตกของดวงจันทร์ การเกิดน้าข้นึ นา้ ลง ประโยชนข์ องเทคโนโลยีอวกาศ และความก้าวหนา้ ของโครงการสารวจ อวกาศ • เข้าใจลักษณะของช้ันบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิดและผลกระทบของพายุฟ้า คะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิง ซากดึกดาบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ ลักษณะและโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหน้าตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่งน้าผิวดิน แหล่งน้า ใต้ดิน กระบวนการเกิดและผลกระทบของภัยธรรมชาติ และธรณีพบิ ัติภัย • เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ ระหว่าง เทคโนโลยกี ับศาสตร์อ่นื โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรอื คณติ ศาสตร์ วเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ และตัดสนิ ใจเพอ่ื เลือกใชเ้ ทคโนโลยี โดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้าง ผลงานสาหรับการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมท้ัง เลอื กใช้วัสดุ อปุ กรณ์ และเครอื่ งมือไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง เหมาะสม ปลอดภัย รวมทงั้ คานึงถงึ ทรัพยส์ ินทางปญั ญา ฉบับปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562 สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ฉ คู่มอื ครรู ายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ • นาข้อมูลปฐมภูมิเข้าสรู่ ะบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นาเสนอข้อมูลและสารสนเทศไดต้ ามวตั ถุประสงค์ ใช้ทักษะ การคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพ่ือช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสอ่ื สารอยา่ งรู้เทา่ ทันและรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม • ต้ังคาถามหรือกาหนดปัญหาท่ีเช่ือมโยงกับพยานหลักฐานหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่มีการกาหนดและควบคุม ตัวแปร คิดคาดคะแนคาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สามารถนาไปสู่การสารวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมือ สารวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือท่ีเหมาะสม เลือกใช้เคร่ืองมือและเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีเหมาะสมในการเก็บ รวบรวมข้อมูลทงั้ ในเชงิ ปริมาณและคณุ ภาพที่ได้ผลเท่ยี งตรงและปลอดภัย • วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลท่ีได้จากการสารวจตรวจสอบจากพยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และ หลักการทางวิทยาศาสตรใ์ นการแปลความหมายและลงข้อสรปุ และส่ือสารความคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบ หลากหลายรปู แบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ ให้ผู้อื่นเขา้ ใจไดอ้ ย่างเหมาะสม • แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในสิ่งท่ีจะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องท่ีจะ ศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่ง ความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเอง รับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืน และยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู้ท่ีค้นพบเมื่อมี ข้อมูลและประจกั ษพ์ ยานใหมเ่ พมิ่ ขน้ึ หรอื โตแ้ ย้งจากเดิม • ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจาวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวติ และการประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงาน ของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบท้ังด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ต่อส่ิงแวดล้อมและต่อบริบทอ่ืน ๆ และศึกษาหาความร้เู พิม่ เตมิ ทาโครงงานหรือสรา้ งช้นิ งานตามความสนใจ • แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และความหลากหลายทาง ชีวภาพ สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
ค่มู ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ช ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 1. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของ • ระบบหายใจมีอวัยวะต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ จมูก ท่อลม ปอด กะบงั ลม และกระดูกซี่โครง อวัยวะท่เี กยี่ วขอ้ งในระบบหายใจ 2. อธิบายกลไกการหายใจเข้าและ • มนุษย์หายใจเข้า เพื่อนาแก๊สออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพ่ือ นาไปใช้ในเซลล์ และหายใจออกเพ่ือกาจัดแก๊ ส ออก โดยใช้แบบจาลอง รวมทั้ง คารบ์ อนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย อธิบายกระบวนการแลกเปล่ียน แก๊ส • อากาศเคลื่อนที่เข้าและออกจากปอดได้ เนื่องจากการ 3. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบ เปล่ียนแปลงปริมาตรและความดันของอากาศภายใน หายใจโดยการบอกแนวทางในการ ช่องอกซ่ึงเก่ียวกับการทางานของกะบังลม และกระดูก ดแู ลรักษาอวัยวะในระบบหายใจให้ ซ่ีโครง ทางานเป็นปกติ • การแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 4. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ของ ในร่างกาย เกิดขึ้นบริเวณถุงลมในปอดกับหลอดเลือดฝอย อวยั วะในระบบขับถา่ ยในการกาจัด ทถี่ งุ ลม และระหวา่ งหลอดเลอื ดฝอยกบั เน้ือเย่อื ของเสยี ทางไต • การสูบบุหร่ี การสูดอากาศที่มีสารปนเป้ือน และการเป็น 5. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบ โรคเก่ียวกับระบบหายใจบางโรค อาจทาให้เกิดโรคถุงลม ขับถ่ายในการกาจัดของเสียทางไต โป่งพอง ซึ่งมีผลให้ความจุอากาศของปอดลดลง ดังนั้นจึง โดยการบอกแนวทางในการปฏิบัติ ควรดูแลรักษาระบบหายใจ ใหท้ าหนา้ ทป่ี กติ ตนที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทาหน้าท่ี ไดอ้ ย่างปกติ • ระบบอวัยวะขับถ่ายมีอวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ โดยมีไตทาหน้าทกี่ าจดั ของเสีย เช่น ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริก รวมท้ังสารที่ ร่างกายไม่ต้องการออกจากเลือด และควบคุมสารท่ีมีมาก หรอื นอ้ ยเกนิ ไป เช่น นา้ โดยขบั ออกมาในรปู ของปัสสาวะ • การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เช่น รับประทาน อาหารท่ีไม่มีรสเค็มจัด การด่ืมน้าสะอาดให้เพียงพอ เป็น แนวทางหนงึ่ ท่ีช่วยให้ระบบขับถ่ายทาหนา้ ทไี่ ด้อยา่ งปกติ ฉบับปรบั ปรุง เดือนกรกฎาคม 2562 สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ซ คู่มือครรู ายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้ 6. บรรยายโครงสร้างและหน้าท่ีของ • ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วยหัวใจ หลอดเลือด และ หัวใจ หลอดเลือด และเลือด เลือด 7. อธิ บายการท างานของระบ บ • หัวใจของมนุษย์แบ่งเป็น 4 ห้อง ได้แก่ หัวใจห้องบน 2 ห้อง หมนุ เวียนเลือดโดยใช้แบบจาลอง และห้องล่าง 2 ห้อง ระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจ หอ้ งลา่ งมีลิ้นหวั ใจกน้ั 8. ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการเปรียบเทียบอัตราการเต้น • หลอดเลือด แบ่งเป็น หลอดเลือดอาร์เตอรี หลอดเลือดเวน ของหัวใจ ขณะปกติและหลังทา หลอดเลือดฝอย ซึ่งมโี ครงสร้างตา่ งกนั กิจกรรม • เลือด ประกอบด้วย เซลลเ์ ม็ดเลือด เพลตเลต และพลาสมา 9. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบ • การบีบและคลายตัวของหัวใจทาให้เลือดหมุนเวียนและ หมุนเวียนเลือด โดยการบอก แนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะใน ลาเลียงสารอาหาร แก๊ส ของเสีย และสารอื่น ๆ ไปยัง ระบบหมุนเวยี นเลอื ดใหท้ างานเปน็ อวยั วะและเซลลต์ ่าง ๆ ท่ัวรา่ งกาย ปกติ • เลือดทมี่ ีปริมาณแกส๊ ออกซิเจนสูงจะออกจากหัวใจไปยังเซลล์ ตา่ ง ๆ ทัว่ รา่ งกาย ขณะเดยี วกัน แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์จาก เซลล์จะแพร่เข้าสู่เลือดและลาเลียงกลับเข้าสู่หัวใจและถูก สง่ ไปแลกเปล่ียนแก๊สท่ีปอด • ชีพจรบอกถึงจังหวะการเต้นหัวใจ ซ่ึงอัตราการเต้นของ หัวใจในขณะปกติและหลังจากทากิจกรรมต่าง ๆ จะ แตกต่างกัน ส่วนความดันเลือด ระบบหมุนเวียนเลือดเกิด จากการทางานของหัวใจและหลอดเลอื ด • อัตราการเต้นของหัวใจมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล คนท่ีเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดจะส่งผลทาให้หัวใจสูบ ฉดี เลือดไมเ่ ป็นปกติ • การออกกาลงั กาย การเลอื กรับประทานอาหาร การพกั ผ่อน และการรักษาภาวะอารมณ์ให้เป็นปกติ จึงเป็นทางเลือก หนงึ่ ในการดแู ลรกั ษาระบบหมุนเวียนเลือดให้เป็นปกติ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบบั ปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ฌ ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้ 10.ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของ • ระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง อวัยวะในระบบประสาทส่วนกลาง จะทาหน้าท่ีร่วมกับเส้นประสาท ซ่ึงเป็นระบบประสาทรอบ ในการควบคุมการทางานต่าง ๆ นอกในการควบคุมการทางานอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงการแสดง ของรา่ งกาย พฤติกรรม เพ่ือการตอบสนองต่อสิ่งเร้า 11.ตระหนักถึงความสาคัญของระบบ ประสาทโดยการบอกแนวทางใน • เมื่อมีส่ิงเร้ามากระตุ้นหน่วยรับความรู้สึก จะเกิดกระแส การดูแลรักษา รวมถึงการป้องกัน ประสาทส่งไปตามเซลล์ประสาทรับความรู้สึกไปยังระบบ การกระทบกระเทือนและอันตราย ประสาทส่วนกลาง แล้วส่งกระแสประสาทมาตามเซลล์ ตอ่ สมองและไขสนั หลงั ประสาทสง่ั การ ไปยงั หน่วยปฏบิ ัติการ เช่น กลา้ มเนือ้ 12.ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของ • ระบบประสาทเป็นระบบทีม่ ีความซับซ้อนและมีความสัมพันธ์ อวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย กับทุกระบบในร่างกาย ดังนั้นจึงควรป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และเพศหญงิ โดยใชแ้ บบจาลอง ที่กระทบกระเทือนต่อสมอง หลีกเล่ียงการใช้สารเสพติด หลีกเล่ียงภาวะเครียด และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 13.อธบิ ายผลของฮอร์โมนเพศชายและ เพ่อื ดแู ลรักษาระบบประสาทใหท้ างานเปน็ ปกติ เพศหญิงท่ีควบคุมการเปลี่ยนแปลง ของรา่ งกาย เมอื่ เขา้ สูว่ ัยหนุ่มสาว • มนุษย์มีระบบสืบพันธุ์ที่ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ท่ีทา หน้าที่เฉพาะ โดยรังไข่ในเพศหญิงจะทาหน้าท่ีผลิตเซลล์ไข่ 14.ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของ ส่วนอัณฑะในเพศชายจะทาหน้าที่สร้างเซลลอ์ สจุ ิ ร่างกายเม่ือเข้าสู่วัยหนุ่มสาว โดย การดูแลรักษาร่างกายและจิตใจของ • ฮอร์โมนเพศทาหน้าที่ควบคุมการแสดงออกของลักษณะ ตนเองในช่วงที่มกี ารเปล่ยี นแปลง ทางเพศท่ีแตกต่างกัน เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว จะมีการสร้าง เซลล์ไข่และเซลล์อสุจิ การตกไข่ การมีรอบเดือน และถ้ามี การปฏิสนธิของเซลล์ไข่ และเซลล์อสุจิจะทาให้เกิดการ ตั้งครรภ์ ฉบับปรับปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ญ คมู่ ือครูรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้ 15.อธบิ ายการตกไข่ การมปี ระจาเดอื น • การมีประจาเดือน มีความสัมพันธ์กับการตกไข่โดยเป็นผล การปฏิสนธิ และการพัฒนาของ จากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง ไซโกต จนคลอดเปน็ ทารก • เมื่อเพศหญิงมีการตกไข่และเซลล์ไข่ได้รับการปฏิสนธิกับ 16.เลือกวิธีการคุมกาเนิดที่เหมาะสม กบั สถานการณ์ที่กาหนด เซลล์อสุจิจะทาให้ได้ไซโกต ไซโกตจะเจริญเป็นเอ็มบริโอ 17.ตระหนักถึงผลกระทบของการ และฟีตัส จนกระท่ังคลอดเป็นทารก แต่ถ้าไม่มีการปฏิสนธิ ต้ังครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยการ เซลล์ไข่จะสลายตัว ผนังด้านในมดลูกรวมท้ังหลอดเลือดจะ ประพฤตติ นให้เหมาะสม สลายตวั และหลดุ ลอกออก เรียกว่า ประจาเดอื น • การคุมกาเนิดเป็นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ โดย มาตรฐาน ว 2.1 ป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิหรือไม่ให้มีการฝังตัวของ 1. อธิบายการแยกสารผสมโดยการ เอ็มบริโอ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การใช้ถุงยางอนามัย การกินยา คุมกาเนดิ ระเหยแห้ง การตกผลึก การกล่ัน อย่างง่าย โครมาโทกราฟีแบบ • การแยกสารผสมให้เป็นสารบริสุทธิ์ทาได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับ กระดาษ การสกัดด้วยตัวทาละลาย สมบัติของสารนั้น ๆ การระเหยแห้งใช้แยกสารละลายซึ่ง โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ประกอบด้วยตัวละลายที่เป็นของแข็งในตัวทาละลายท่ีเป็น 2. แยกสารโ ดยการระเหยแ ห้ ง ของเหลว โดยใช้ความร้อนระเหยตัวทาละลายออกไปจนหมด การตกผลึก การกล่ันอย่างง่าย เหลือแต่ตัวละลาย การตกผลึกใช้แยกสารละลายท่ี โครมาโทกราฟี แบบกระดาษ ประกอบด้วยตัวละลายที่เป็นของแข็งในตัวทาละลายที่เป็น การสกัดด้วยตัวทาละลาย ของเหลว โดยทาให้สารละลายอิ่มตัว แล้วปล่อยให้ตัวทา ละลายระเหยออกไปบางสว่ น ตัวละลายจะตกผลึกแยกออกมา สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี การกลั่นอย่างง่ายใช้แยกสารละลายท่ีประกอบด้วยตัวละลาย และตัวทาละลายที่เป็นของเหลวที่มีจุดเดือดต่างกันมาก วิธีน้ี จะแยกของเหลวบริสุทธ์ิออกจากสารละลายโดยให้ความร้อน กับสารละลาย ของเหลวจะเดือดและกลายเป็นไอแยกจาก สารละลาย แล้วควบแน่นกลับเป็นของเหลวอีกคร้ัง ขณะที่ ของเหลวเดือด อุณหภมู ิของไอจะคงที่ ฉบบั ปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
คมู่ ือครูรายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ฎ ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรู้ 3. นาวิธีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหา โครมาโทกราฟีแบบกระดาษเป็นวิธีการแยกสารผสมท่ีมี ในชีวิตประจาวัน โดยบูรณาการ ปริมาณน้อยโดยใช้แยกสารท่ีมีสมบัติการละลายในตัวทา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ละลายและการถูกดูดซับด้วยตัวดูดซับแตกต่างกัน ทาให้สาร และวศิ วกรรมศาสตร์ แต่ละชนิดเคลื่อนท่ีไปบนตัวดูดซับได้ต่างกัน สารจึงแยกออก จากกันได้ อัตราส่วนระหว่างระยะทางที่สารองค์ประกอบ แต่ละชนิดเคล่ือนท่ีได้บนตัวดูดซับกับระยะทางที่ตัวทา ละลายเคลื่อนที่ได้ เป็นค่าเฉพาะตัวของสารแต่ละชนิดในตัว ทาละลายและตวั ดูดซับหน่ึง ๆ การสกัดดว้ ยตวั ทาละลายเป็น วิธีการแยกสารผสมท่ีมีสมบัติการละลายในตัวทาละลายที่ ต่างกัน โดยชนิดของตัวทาละลายมีผลต่อชนิดและปริมาณ ของสารท่ีสกัดได้ การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้า ใช้แยกสาร ที่ระเหยง่าย ไม่ละลายน้า และไม่ทาปฏิกิริยากับน้าออกจาก สารทรี่ ะเหยยาก โดยใชไ้ อนา้ เป็นตัวพา • ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เก่ียวกับการแยกสาร บูรณาการกับ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี โดยใช้กระบวนการทางวิศวกรรม สามารถนาไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจาวันหรือปัญหาท่ีพบ ในชมุ ชนหรอื สรา้ งนวตั กรรม โดยมีขน้ั ตอน ดงั น้ี - ระบุปัญหาในชีวิตประจาวันท่ีเกี่ยวกับการแยกสารโดยใช้ สมบัติทางกายภาพ หรือนวัตกรรมท่ีต้องการพัฒนา โดย ใช้หลกั การดงั กล่าว - รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเก่ียวกับการแยกสารโดยใช้ สมบัติทางกายภาพที่สอดคล้องกับปัญหาที่ระบุ หรือ นาไปสกู่ ารพัฒนานวตั กรรมน้นั - ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา หรอื พฒั นานวตั กรรมทเี่ ก่ยี วกับ การแยกสารในสารผสม โดยใช้สมบัติทางกายภาพ โดย เชอ่ื มโยงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ฉบับปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฏ คู่มอื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้ 4. ออกแบบการทดลองและทดลองใน และกระบวนการทางวิศวกรรม รวมท้ังกาหนดและควบคุม การอธิบายผลของชนิดตัวละลาย ตวั แปรอยา่ งเหมาะสม ครอบคลุม ชนิดตัวทาละลาย อุณหภูมิท่ีมีต่อ - วางแผนและดาเนินการแก้ปัญหา หรือพัฒนานวัตกรรม สภาพละลายได้ของสาร รวมทั้ง รวบรวมข้อมูล จัดกระทาข้อมูลและเลือกวิธีการส่ือ อ ธิ บ า ย ผ ล ข อ ง ค ว า ม ดั น ที่ มี ต่ อ ความหมายท่ีเหมาะสมในการนาเสนอผล สภาพละลายได้ของสาร โดยใช้ - ทดลอง ประเมินผล ปรับปรุงวิธีการแก้ปัญหาหรือ สารสนเทศ นวัตกรรมท่ีพัฒนาขึ้น โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ รวบรวมได้ - นาเสนอวิธีการแก้ปัญหา หรือผลของนวัตกรรมท่ี พัฒนาขึ้น และผลที่ได้ โดยใช้วิธีการสื่อสารท่ีเหมาะสม และน่าสนใจ • สารละลายอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊ส สารละลายประกอบด้วยตัวทาละลายและตัวละลาย กรณี สารละลายเกิดจากสารที่มีสถานะเดียวกัน สารท่ีมีปริมาณ มากที่สดุ จัดเป็นตวั ทาละลาย กรณีสารละลายเกิดจากสารท่ีมี สถานะต่างกัน สารที่มีสถานะเดียวกันกับสารละลายจัดเป็น ตวั ทาละลาย • สารละลายที่ตัวละลายไมส่ ามารถละลายในตัวทาละลายได้อีก ทอี่ ุณหภมู ิหนึ่ง ๆ เรียกว่า สารละลายอ่ิมตัว • สภาพละลายได้ของสารในตัวทาละลาย เป็นค่าท่ีบอกปริมาณ ของสารทล่ี ะลายได้ในตัวทาละลาย 100 กรมั จนไดส้ ารละลาย อ่ิมตัว ณ อุณหภูมิและความดันหนึ่ง ๆ สภาพละลายได้ของ สารบ่งบอกความสามารถในการละลายได้ของตัวละลายใน ตัวทาละลาย ซ่ึงความสามารถในการละลายของสารขึ้นอยู่กบั ชนิดตวั ละลายและตวั ละลาย อุณหภมู ิ และความดนั สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบบั ปรับปรงุ เดอื นกรกฎาคม 2562
ค่มู อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ฐ ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้ 5. ระบุปริมาณตัวละลายในสารละลาย • สารชนิดหน่ึง ๆ มีสภาพละลายได้แตกต่างกันในตัวทาละลาย ในหน่วยความเข้มข้นเป็นร้อยละ ที่แตกต่างกัน และสารต่างชนิดกันมีสภาพละลายได้ในตัวทา ปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อมวล ละลายหน่งึ ๆ ไม่เท่ากัน และมวลต่อปรมิ าตร • เมื่ออุณหภูมิสูงข้ึน สารส่วนมาก สภาพละลายได้ของสารจะ 6. ตระหนักถึงความสาคัญของการนา เพ่ิมขึ้น ยกเว้นแก๊สเม่ืออุณหภูมิสูงขึ้น สภาพละลายได้จะ ความรู้เรื่อง ความเข้มข้นของสารไป ลดลง ส่วนความดันมีผลต่อแก๊ส โดยเมื่อความดันเพ่ิมขึ้น ใช้ โดยยกตัวอย่างการใช้สารละลาย สภาพละลายได้จะสงู ข้ึน ในชีวิตประจาวันอย่างถูกต้องและ ปลอดภัย • ความร้เู กี่ยวกับสภาพละลายได้ของสาร เมื่อเปล่ียนแปลงชนิด ตัวละลาย ตัวทาละลาย และอุณหภูมิ สามารถนาไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจาวันเช่น การทาน้าเช่ือมเข้มข้น การ สกัดสารออกจากสมุนไพรให้ได้ปริมาณมากทีส่ ุด • ความเขม้ ข้นของสารละลาย เป็นการระบปุ รมิ าณตวั ละลาย ในสารละลาย หน่วยความเข้มข้นมีหลายหน่วย ท่ีนิยมระบุ เป็นหน่วยเป็นร้อยละปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อมวล และมวลต่อปริมาตร • ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร เป็นการระบุปริมาตรตัว ละลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตรเดียวกัน นิยมใช้ กับสารละลายที่เป็นของเหลวหรือแกส๊ • ร้อยละโดยมวลต่อมวล เป็นการระบุมวลตัวละลายใน สารละลาย 100 หน่วยมวลเดียวกัน นิยมใช้กับสารละลาย ทม่ี สี ถานะเป็นของแขง็ • ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร เป็นการระบุมวลตัวละลายใน สารละลาย 100 หน่วยปริมาตร นิยมใช้กับสารละลายที่มี ตัวละลายเปน็ ของแขง็ ในตัวทาละลายที่เปน็ ของเหลว ฉบับปรบั ปรงุ เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ฑ ค่มู อื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้ • การใช้สารละลายในชวี ิตประจาวนั ควรพิจารณาจากความ มาตรฐาน ว 2.2 1. พยากรณ์การเคล่ือนท่ีของวัตถุที่เป็น เข้มข้นของสารละลาย ขึ้นอยกู่ ับจุดประสงค์ของการใช้งาน และผลกระทบต่อส่งิ มชี ีวิตและสิง่ แวดล้อม ผลของแรงลัพธ์ท่ีเกิดจากแรงหลาย แรงที่กระทาต่อวัตถุในแนวเดียวกัน • แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เมื่อมีแรงหลาย ๆ แรงกระทาต่อ จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ วัตถุ แล้วแรงลัพธ์ท่ีกระทาต่อวัตถุมีค่าเป็นศูนย์ วัตถุจะไม่ 2. เขยี นแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ เปลี่ยนแปลงการเคลอื่ นท่ี แต่ถ้าแรงลัพธ์ท่ีกระทาต่อวัตถุมี ท่ีเกิดจากแรงหลายแรงท่ีกระทาต่อ ค่าไมเ่ ป็นศูนย์ วัตถจุ ะเปลีย่ นแปลงการเคลื่อนที่ วัตถุในแนวเดียวกัน 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย • เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลวจะมีแรงท่ีของเหลวกระทาต่อวัตถุ วิธีท่ีเหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่ ในทุกทิศทาง โดยแรงที่ของเหลวกระทาต้ังฉากกับผิววัตถุ มีผลต่อความดันของของเหลว ตอ่ หนึ่งหน่วยพน้ื ท่ี เรียกว่า ความดนั ของของเหลว 4. วิเคราะห์แรงพยุงและการจมการลอย • ความดันของของเหลวมีความสัมพันธ์กับความลึกจาก ของวัตถุในของเหลวจากหลักฐานเชิง ระดับผวิ หน้าของของเหลว โดยบริเวณท่ีลึกลงไปจากระดับ ประจักษ์ ผิวหน้าของของเหลวมากขึ้น ความดันของของเหลวจะ เพ่ิมขึ้น เน่ืองจากของเหลวที่อยู่ลึกกว่า จะมีน้าหนักของ 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาต่อ ของเหลวดา้ นบนกระทามากกว่า วัตถุในของเหลว • เม่ือวัตถุอยู่ในของเหลว จะมีแรงพยุงเนื่องจากของเหลว กระทาต่อวัตถุ โดยมีทิศขึ้นในแนวด่ิง การจมหรือการลอย ของวตั ถุขน้ึ กับน้าหนกั ของวตั ถแุ ละแรงพยงุ ถา้ น้าหนักของ วัตถุและแรงพยุงของของเหลวมีค่าเท่ากัน วัตถุจะลอยน่ิง อยู่ในของเหลว แต่ถา้ นา้ หนักของวัตถุมีค่ามากกว่าแรงพยุง ของของเหลว วัตถจุ ะจม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฉบับปรบั ปรงุ เดอื นกรกฎาคม 2562
คูม่ ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ฒ ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้ 6. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและ • แรงเสียดทานเป็นแรงท่ีเกิดข้ึนระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ แรงเสียดทานจลน์จากหลักฐาน เพื่อต้านการเคล่ือนท่ีของวัตถุน้ัน โดยถ้าออกแรงกระทาต่อ เชิงประจกั ษ์ วัตถุท่ีอยู่น่ิงบนพื้นผิวให้เคล่ือนที่ แรงเสียดทานก็จะต้าน การเคล่ือนที่ของวัตถุ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในขณะท่ีวัตถุยัง 7. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย ไม่เคล่ือนที่เรียก แรงเสียดทานสถิต แต่ถ้าวัตถุกาลังเคล่ือนที่ วิธีที่เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยท่ี แรงเสียดทานก็จะทาให้วัตถุน้ันเคล่ือนท่ีช้าลงหรือหยุดนิ่ง มีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน เรียก แรงเสยี ดทานจลน์ • ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุขึ้นกับ 8. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทาน ลักษณะผิวสัมผัสและขนาดของแรงปฏิกิริยาต้ังฉากระหว่าง และแรงอนื่ ๆ ที่กระทาตอ่ วตั ถุ ผวิ สัมผัส • กิจกรรมในชีวิตประจาวันบางกิจกรรมต้องการแรงเสียดทาน 9. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ เช่น การเปิดฝาเกลียวขวดน้า การใช้แผ่นกันล่ืนในห้องน้า เร่ืองแรงเสียดทานโดยวิเคราะห์ บางกิจกรรมไม่ต้องการแรงเสียดทาน เช่น การลากวัตถุบน สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะ พน้ื การใชน้ า้ มนั หล่อล่ืนในเคร่ืองยนต์ วิธีการลดหรือเพิ่มแรงเสียดทานที่ • ความรู้เรื่องแรงเสียดทานสามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน เป็นประโยชน์ต่อการทากิจกรรมใน ชีวติ ประจาวันได้ ชวี ติ ประจาวนั • เมื่อมีแรงท่ีกระทาต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศูนย์กลางมวลของวัตถุ 10.ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย จะเกิดโมเมนต์ของแรง ทาใหว้ ัตถหุ มนุ รอบศูนย์กลางมวลของ วิธีท่ีเหมาะสมในการอธิบายโมเมนต์ วัตถนุ ัน้ ของแรง เมื่อวัตถุอยู่ในสภาพสมดุล ต่อการหมุน และคานวณโดยใช้ • โมเมนต์ของแรงเป็นผลคูณของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุกับ สมการ M = Fl ระยะทางจากจุดหมุนไปต้ังฉากกับแนวแรง เมื่อผลรวมของ โมเมนต์ของแรงมีค่าเป็นศูนย์ วัตถุจะอยู่ในสภาพสมดุลต่อ ฉบับปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562 การหมุน โดยโมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกาจะมีขนาด เท่ากบั โมเมนตข์ องแรงในทิศตามเขม็ นาฬิกา สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ณ คู่มือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้ • ของเล่นหลายชนิดประกอบด้วยอุปกรณ์หลายส่วนท่ีใช้ 11.เปรยี บเทยี บแหล่งของสนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถ่วง หลกั การโมเมนต์ของแรง ความรู้เรื่องโมเมนต์ของแรงสามารถ และทิศทางของแรงที่กระทาต่อวัตถุ นาไปใชอ้ อกแบบและประดิษฐ์ของเลน่ ได้ ที่ อ ยู่ ใ น แ ต่ ล ะ ส น า ม จ า ก ข้ อ มู ล ที่ • วัตถุที่มีมวลจะมีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ แรงโน้มถ่วงท่ี รวบรวมได้ กระทาต่อวัตถุท่ีอยู่ในสนามโน้มถ่วงจะมีทิศพุ่งเข้าหาวัตถุที่ เป็นแหล่งของสนามโน้มถ่วง 12.เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก • วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าจะมีสนามไฟฟ้าอยู่โดยรอบ แรงไฟฟ้าที่ แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระทา กระทาต่อวัตถุท่ีมีประจุจะมีทิศพุ่งเข้าหาหรือออกจากวัตถุท่ี ต่อวตั ถุ มีประจุท่ีเป็นแหล่งของสนามไฟฟ้า • วัตถุทีเ่ ปน็ แมเ่ หล็กจะมสี นามแม่เหลก็ อยโู่ ดยรอบ แรงแม่เหลก็ 13.วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขนาด ที่กระทาต่อขั้วแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งเข้าหาหรือออกจาก ข้ัวแม่เหล็กทเี่ ป็นแหล่งของสนามแมเ่ หล็ก ของแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และ • ขนาดของแรงโน้มถ่วง แรงไฟฟ้า และแรงแม่เหล็กท่ีกระทา ต่อวัตถุท่ีอยู่ในสนามนั้น ๆ จะมีค่าลดลง เม่ือวัตถุอยู่ห่างจาก แรงโน้มถ่วงที่กระทาต่อวัตถุที่อยู่ใน แหล่งของสนามนั้น ๆ มากขนึ้ สนามนั้น ๆ กับระยะห่างจากแหล่ง • การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นการเปลี่ยนตาแหน่งของวัตถุเทียบ กับตาแหน่งอ้างอิง โดยมีปริมาณท่ีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ ของสนามถึ งวั ตถุ จากข้ อมู ลท่ี ซึ่งมีทั้งปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ เช่น ระยะทาง อัตราเร็ว การกระจัด ความเร็ว ปริมาณสเกลาร์เป็นปริมาณที่ รวบรวมได้ มขี นาด เช่น ระยะทาง อตั ราเร็ว ปริมาณเวกเตอรเ์ ป็นปริมาณ ที่มที ง้ั ขนาดและทิศทาง เชน่ การกระจัด ความเร็ว 14.อธิบายและคานวณอัตราเร็วและ ความเร็วของการเคล่ือนท่ีของวัตถุ โดยใชส้ มการ v = s และ v⃑ = s⃑ t t จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ 15.เขียนแผนภาพแสดงการกระจัดและ ความเรว็ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบบั ปรบั ปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562
คู่มอื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ด ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้ • เขียนแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอร์ได้ด้วยลูกศร โดย มาตรฐาน ว 2.3 ความยาวของลูกศรแสดงขนาดและหัวลูกศรแสดงทิศทางของ 1. วิเคราะห์สถานการณ์และคานวณ เวกเตอรน์ ้นั • ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยระยะทางเป็นความยาวของ เกี่ยวกับงานและกาลังท่ีเกิดจาก เส้นทางท่เี คล่ือนที่ได้ • การกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจัดมีทิศชี้จาก แรงท่กี ระทาต่อวตั ถุ โดยใช้สมการ ตาแหน่งเริ่มต้นไปยังตาแหน่งสุดท้าย และมีขนาดเท่ากับ ระยะท่สี ั้นท่ีสุดระหว่างสองตาแหน่งน้ัน W = Fs และ P= W • อัตราเร็วเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยอัตราเร็วเป็นอัตราส่วนของ t ระยะทางต่อเวลา จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ • ความเร็วปริมาณเวกเตอร์มีทิศเดียวกับทิศของการกระจัด โดยความเรว็ เป็นอัตราสว่ นของการกระจดั ต่อเวลา 2. วิเคราะห์หลั กการทางานของ • เม่ือออกแรงกระทาต่อวตั ถุ แลว้ ทาให้วตั ถเุ คล่ือนที่ โดยแรง เครื่องกลอย่างง่าย จากข้อมูลที่ อยู่ในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่จะเกิดงาน งานจะมีค่ามาก หรอื น้อยขึ้นกับขนาดของแรงและระยะทางในแนวเดียวกับ รวบรวมได้ แรง • งานท่ีทาในหน่ึงหน่วยเวลาเรียกว่า กาลัง หลักการของงาน นาไปอธิบายการทางานของเคร่ืองกลอย่างง่าย ได้แก่ คาน พ้ืนเอียง รอกเดี่ยว ล่ิม สกรู ล้อและเพลา ซ่ึงนาไปใช้ ประโยชน์ด้านตา่ ง ๆ ในชวี ิตประจาวนั 3. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ ของเครื่องกลอย่างง่าย โดยบอก ประโยชน์และการประยุกต์ใช้ใน ชวี ติ ประจาวัน ฉบับปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562 สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ต ค่มู ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้ 4. ออกแบบและทดลองด้วยวิธีที่ • พลงั งานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุเคล่ือนที่ พลงั งานจลน์จะมี เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยท่ีมี ค่ามากหรือน้อยข้ึนกับมวลและอัตราเร็ว ส่วนพลังงาน ผลต่อพลังงานจลน์ และพลังงาน ศักย์โน้มถ่วงเก่ียวข้องกับตาแหน่งของวัตถุ จะมีค่ามากหรือ ศกั ย์โน้มถว่ ง น้อยขึ้นกับมวลและตาแหน่งของวัตถุ เมื่อวัตถุอยู่ในสนาม โน้มถ่วง วัตถุจะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วง พลังงานจลน์และ 5. แปลความหมายข้อมูลและอธิบาย พลังงานศักย์โน้มถว่ งเป็นพลังงานกล การเปล่ียนพลังงานระหว่างพลังงาน ศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ของ • ผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์เป็น วัตถุโดยพลังงานกลของวัตถุมีค่า พลังงานกล พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ของวัตถุ คงตวั จากข้อมูลที่รวบรวมได้ หนึ่ง ๆ สามารถเปลี่ยนกลับไปมาได้ โดยผลรวมของพลังงาน ศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์มีค่าคงตัว น่ันคือพลังงานกล 6. วิเคราะห์สถานการณ์และอธิบาย ของวตั ถมุ คี ่าคงตวั การเปลี่ยนและการถ่ายโอนพลังงาน โดยใช้กฎการอนรุ ักษ์พลังงาน • พลังงานรวมของระบบมีค่าคงตัวซ่ึงอาจเปลี่ยนจากพลังงาน หน่ึงเป็นอีกพลังงานหนึ่ง เช่น พลังงานกลเปล่ียนเป็น พลังงานไฟฟ้า พลังงานจลน์เปล่ียนเป็นพลังงานความร้อน พลังงานเสียง พลังงานแสง เนื่องมาจากแรงเสียดทาน พลังงานเคมีในอาหารเปล่ียนเปน็ พลังงานที่ไปใช้ในการทางาน ของส่ิงมีชีวติ • นอกจากน้ีพลังงานยังสามารถถ่ายโอนไปยังอีกระบบหนึ่งหรือ ได้รับพลังงานจากระบบอ่ืนได้ เช่น การถ่ายโอนความร้อน ระหว่างสสาร การถ่ายโอนพลังงานของการส่ันขอ ง แหล่งกาเนิดเสียงไปยังผู้ฟัง ท้ังการเปล่ียนพลังงานและการ ถา่ ยโอนพลังงาน พลงั งานรวมทั้งหมดมีค่าเท่าเดิมตามกฎการ อนุรกั ษ์พลังงาน สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฉบบั ปรบั ปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ถ ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 3.2 1. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบัติ • เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ เกิดจากการเปล่ียนแปลงสภาพของ และการใช้ประโยชน์ รวมทั้งอธิบาย ซากสิ่งมีชีวิตในอดีต โดยกระบวนการทางเคมีและธรณีวิทยา ผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิงซาก เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ ไดแ้ ก่ ถ่านหิน หินนา้ มนั ปโิ ตรเลียม ดกึ ดาบรรพ์ จากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ ซ่ึงเกิดจากวัตถุต้นกาเนิด และสภาพแวดล้อมการเกิดที่ แตกต่างกัน ทาให้ได้ชนิดของเชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ท่ีมี 2. แสดงความตระหนักถึงผลจากการ ลักษณะ สมบัติ และการนาไปใช้ประโยชน์แตกต่างกัน ใช้เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ โดย สาหรับปิโตรเลียม จะต้องมีการผ่านการกล่ันลาดับส่วนก่อน นาเสนอแนวทางการใช้เช้ือเพลิง การใชง้ าน เพ่อื ให้ไดผ้ ลิตภณั ฑ์ท่ีเหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ ซากดกึ ดาบรรพ์ เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป เน่ืองจากต้องใช้เวลานานหลายล้านปี จึงจะเกดิ ขน้ึ ใหม่ 3. เปรียบเทียบข้อดีและข้อจากัดของ พลังงานทดแทนแต่ละประเภทจาก • การเผาไหม้เชอื้ เพลิงซากดกึ ดาบรรพใ์ นกจิ กรรมต่าง ๆ ของ การรวบรวมข้อมูลและนาเสนอ มนุษย์จะทาให้เกิดมลพิษทางอากาศ ซ่ึงส่งผลกระทบต่อ แนวทางการใช้พลังงานทดแทนที่ สิง่ มชี วี ติ และสิง่ แวดล้อม นอกจากนี้แก๊สบางชนิดที่เกดิ จาก เหมาะสมในท้องถน่ิ ก า ร เ ผ า ไ ห ม้ เ ชื้ อ เ พ ลิ ง ซ า ก ดึ ก ด า บ ร ร พ์ เ ช่ น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์ ยังเป็น ฉบับปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562 แก๊สเรือนกระจก ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศของโลกรุนแรงขึ้น ดังนั้นจึงควรใช้เชื้อเพลิงซาก ดึกดาบรรพ์ โดยคานึงถึงผลท่ีเกิดข้ึนต่อส่ิงมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม เช่น เลือกใช้พลังงานทดแทน หรือเลือกใช้ เทคโนโลยีทล่ี ดการใชเ้ ชอ้ื เพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ • เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์เป็นแหล่งพลังงานท่ีสาคัญใน กจิ กรรมต่าง ๆ ของมนษุ ย์ เน่ืองจากเช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ มีปริมาณจากัดและมักเพ่ิมมลภาวะในบรรยากาศมากข้ึน จึง มีการใช้พลังงานทดแทนมากข้ึน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลงั งานน้า พลงั งานชีวมวล พลงั งานคล่ืน สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ท คู่มือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้ 4. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายโครงสร้าง พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งพลังงาน ภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมี ทดแทนแตล่ ะชนิดจะมขี ้อดีและข้อจากัดที่แตกต่างกนั จากขอ้ มลู ท่รี วบรวมได้ • โครงสร้างภายในโลกแบ่งออกเป็นช้ันตามองค์ประกอบทาง 5. อธิบายกระบวนการผุพังอยู่กับท่ี เคมี ได้แก่ เปลือกโลก ซ่ึงอยู่นอกสุด ประกอบด้ว ย การกร่อนและการสะสมตัวของ สารประกอบซิลิกอนและอะลูมิเนียมเป็นหลัก เนื้อโลกคือ ตะกอนจากแบบจาลอง รวมทั้ง ส่วนท่ีอยู่ใต้เปลือกโลกลงไปจนถึงแก่นโลก มีองค์ประกอบ ยกตัวอย่างผลของกระบวนการ หลักเป็นสารประกอบของซิลิกอน แมกนีเซียมและเหล็ก ดั ง ก ล่ า ว ท่ี ท า ใ ห้ ผิ ว โ ล ก เ กิ ด ก า ร และแก่นโลกคือส่วนท่ีอยู่ใจกลางของโลก มีองค์ประกอบ เปล่ยี นแปลง หลักเป็นเหลก็ และนกิ เกลิ ซ่งึ แตล่ ะช้ันมีลักษณะแตกตา่ งกัน • การผุพังอยู่กับท่ี การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอน เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวทิ ยา ท่ีทาใหผ้ ิวโลก เกิดการเปล่ียนแปลงเป็นภมู ิลักษณ์แบบต่าง ๆ โดยมีปัจจัย สาคญั คอื นา้ ลม ธารน้าแขง็ แรงโนม้ ถว่ งของโลก สง่ิ มชี วี ติ สภาพอากาศ และปฏิกิรยิ าเคมี • การผุพงั อยูก่ ับที่ คือ การทห่ี ินผพุ ังทาลายลงด้วยกระบวนการ ต่าง ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศกับน้าฝน และรวมทั้งการกระทา ของต้นไม้กับแบคทีเรีย ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ซ่ึง มีการเพ่มิ และลดอุณหภูมิสลบั กนั เป็นต้น • การกร่อน คือ กระบวนการหน่ึงหรือหลายกระบวนการท่ี ทาให้สารเปลือกโลกหลุดไป ละลายไป หรือกร่อนไปโดยมี ตัวนาพาธรรมชาติคือ ลม นา้ และธารนา้ แขง็ ร่วมกับปัจจยั อื่น ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศ สารละลาย การครูดถู การนาพา ทั้งนี้ไม่รวมถึงการพังทลายเป็นกลุ่มก้อน เช่น แผ่นดินถล่ม ภูเขาไฟระเบดิ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับปรับปรุง เดือนกรกฎาคม 2562
ค่มู ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ธ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้ • การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของวัตถุจากการ 6. อธิบายลักษณะของช้ันหน้าตัดดิน และกระบวนการเกิดดิน จากแบบ นาพาของน้า ลม หรอื ธารน้าแข็ง จาลอง รวมทั้งระบุปัจจัยที่ทาให้ดิน • ดินเกิดจากหินท่ีผุพังตามธรรมชาติผสมคลุกเคล้ากับ มลี ักษณะและสมบัติแตกต่างกนั อินทรียวัตถุที่ได้จากการเน่าเปื่อยของซากพืชซากสัตว์ 7. ตรวจวัดสมบัติบางประการของดิน ทับถมเป็นช้ัน ๆ บนผิวโลก ชั้นดินแบ่งออกเป็นหลายชั้น โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและ ขนานหรือเกือบขนานไปกับผิวหน้าดิน แต่ละช้ันมีลักษณะ นาเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ แตกตา่ งกนั เนื่องจากสมบตั ทิ างกายภาพ เคมี ชีวภาพ และ ดนิ จากข้อมูลสมบัติของดิน ลักษณะอื่น ๆ เช่น สี โครงสร้าง เน้ือดิน การยึดตัว ความ เป็นกรด-เบส สามารถสังเกตได้จากการสารวจภาคสนาม 8. อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิด การเรียกช่ือช้ันดินหลักจะใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ แหล่งน้าผิวดิน และแหล่งน้าใต้ดิน ได้แก่ O, A, E, B, C, R จากแบบจาลอง • ช้ันหน้าตัดดิน เป็นช้ันดินท่ีมีลักษณะปรากฏให้เห็น เรียงลาดบั เป็นช้นั จากช้ันบนสุดถึงช้ันล่างสดุ ฉบับปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562 • ปจั จยั ทีท่ าใหด้ ินแตล่ ะท้องถ่ินมีลกั ษณะและสมบัติแตกต่าง กัน ได้แก่ วัตถุต้นกาเนิดดิน ภูมิอากาศ ส่ิงมีชีวิตในดิน สภาพภมู ปิ ระเทศ และระยะเวลาในการเกิดดนิ • สมบตั ิบางประการของดนิ เชน่ เนอ้ื ดนิ ความชืน้ ดิน คา่ ความ เป็นกรด-เบส ธาตุอาหารในดิน สามารถนาไปใช้ในการ ตัดสินใจถึงแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยอาจนาไปใช้ ประโยชน์ทางการเกษตร เช่น ดินจืด ดินเปร้ียว ดินเค็ม และ ดินดาน อาจเกิดจากสภาพดินตามธรรมชาติ หรือการใช้ ประโยชน์จะต้องปรับปรุงให้มีสภาพเหมาะสม เพื่อนาไปใช้ ประโยชน์ • แหล่งน้าผิวดินเกิดจากน้าฝนท่ีตกลงบนพื้นโลกไหลจาก ท่ีสูงลงสู่ที่ต่าด้วยแรงโน้มถ่วง การไหลของน้าทาให้พ้ืนโลก เกดิ การกัดเซาะเป็นรอ่ งน้า เช่น ลาธาร คลอง และแม่นา้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
น คู่มือครรู ายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้ 9. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการใช้นา้ ซึ่งร่องน้าจะมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน ข้ึนอยู่กับปริมาณ และนาเสนอแนวทางการใช้น้า น้าฝน ระยะเวลาในการกัดเซาะ ชนดิ ดนิ และหิน และลักษณะ อยา่ งยั่งยนื ในทอ้ งถน่ิ ของตนเอง ภูมิประเทศ เช่น ความลาดชัน ความสูงต่าของพ้ืนที่ เมื่อน้า ไหลไปยังบริเวณท่ีเป็นแอ่งจะเกิดการสะสมตัวเป็นแหล่ง เช่น บึง ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร • แหล่งน้าใต้ดินเกิดจากการซึมของน้าผิวดินลงไปสะสมตัวใต้ พื้นโลก ซ่ึงแบ่งเป็นน้าในดินและน้าบาดาล น้าในดินเป็นน้าท่ี อยู่ร่วมกับอากาศตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ส่วนน้าบาดาล เปน็ นา้ ที่ไหลซึมลึกลงไปและถูกกักเก็บไว้ในชั้นหินหรือชั้นดิน จนอิม่ ตัวไปด้วยน้า • แหล่งน้าผิวดินและแหล่งน้าใต้ดินถูกนามาใช้ในกิจกรรม ต่าง ๆ ของมนุษย์ ส่งผลต่อการจัดการใช้ประโยชน์น้าและ คุณภาพของแหล่งน้า เนื่องจากการเพ่ิมขึ้นของจานวน ประชากร การใช้ประโยชน์พ้ืนท่ีในด้านต่าง ๆ เช่น ภาค เกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และการเปล่ียนแปลง ภูมอิ ากาศ ทาให้เกิดการเปล่ยี นแปลงปรมิ าณน้าฝนในพื้นที่ ลุ่มน้าและแหล่งน้าผิวดินไม่เพียงพอสาหรับกิจกรรมของ มนษุ ย์ นา้ จากแหล่งนา้ ใตด้ ินจึงถูกนามาใชม้ ากข้นึ สง่ ผลให้ ปริมาณน้าใต้ดินลดลงมาก จึงต้องมีการจัดการการใช้น้า อย่างเหมาะสมและยั่งยืน ซึ่งอาจทาได้โดยการจัดหา แหล่งน้าเพ่ือให้มีแหล่งน้าเพียงพอสาหรับการดารงชีวิต การจัดสรรและการใช้น้าอย่างมีประสิทธิภาพ การอนุรักษ์ และฟ้นื ฟแู หลง่ นา้ การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาคณุ ภาพนา้ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับปรบั ปรุง เดือนกรกฎาคม 2562
คมู่ อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ บ ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้ 10. สร้ างแบบจ าลองท่ีอธิ บายกระบวน • น้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ แผ่นดินทรุด การเกิดและผลกระทบของนา้ ท่วม การ มีกระบวนการเกิดและผลกระทบท่ีแตกต่างกัน ซ่ึงอาจสร้าง กัดเซาะชายฝ่ัง ดินถล่ม หลุมยุบ ความเสยี หายร้ายแรงแกช่ วี ิต และทรัพย์สิน แผ่นดินทรดุ • น้าท่วม เกิดจากพื้นที่หน่ึงได้รับปริมาณน้าเกินกว่าท่ีจะ กักเก็บได้ ทาให้แผ่นดินจมอยู่ใต้น้า โดยข้ึนอยู่กับปริมาณน้า และสภาพทางธรณวี ทิ ยาของพื้นที่ • การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงของชายฝ่ัง ทะเลที่เกิดข้ึนตลอดเวลาจากการกัดเซาะของคลื่นหรือลม ท าให้ ตะก อ น จ า ก ท่ี ห นึ่ ง ไ ปต ก ทั บ ถ มใ น อี กบริ เว ณ ห น่ึ ง แนวของชายฝ่ังเดิมจึงเปล่ียนแปลงไป บริเวณท่ีมีตะกอน เคลื่อนเข้ามาน้อยกว่าปริมาณที่ตะกอนเคลื่อนออกไปถือว่า เป็นบรเิ วณทมี่ กี ารกัดเซาะชายฝ่ัง • ดินถล่ม เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดินหรือหินจานวนมากลง ตามลาดเขา เน่ืองจากแรงโน้มถ่วงของโลกเป็นหลัก ซ่ึงเกิด จากปัจจยั สาคญั ไดแ้ ก่ ความลาดชันของพืน้ ท่ี สภาพธรณวี ิทยา ปริมาณนา้ ฝน พืชปกคลมุ ดนิ และการใช้ประโยชนพ์ ื้นท่ี • หลุมยุบ คือ แอ่งหรือหลุมบนแผ่นดินขนาดต่าง ๆ ท่ีอาจเกิด จากการถล่มของโพรงถ้าหินปูน เกลือหินใต้ดิน หรือเกิดจาก นา้ พดั พาตะกอนลงไปในโพรงถา้ หรือธารนา้ ใตด้ ิน • แผ่นดินทรุดเกิดจากการยุบตัวของช้ันดิน หรือหินร่วน เม่ือ มวลของแข็งหรือของเหลวปริมาณมากท่ีรองรับอยู่ใต้ชั้นดิน บริเวณนั้นถูกเคล่ือนย้ายออกไปโดยธรรมชาติหรือโดยการ กระทาของมนุษย์ ฉบับปรับปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ป เวลา 60 ชว่ั โมง เวลา (ชั่วโมง) คมู่ ือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ 3 หน่วยการเรียนรู้ 14 รายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1 21 หนว่ ยการเรียนรู้ หน่วยที่ 1 ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตรแ์ ละจติ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ จิตวทิ ยาศาสตร์ หน่วยที่ 2 สารละลาย บทที่ 1 องค์ประกอบของสารละลายและปัจจัยทม่ี ีผลต่อสภาพละลายได้ เรื่องท่ี 1 องค์ประกอบของสารละลาย เรื่องท่ี 2 สภาพละลายไดแ้ ละปัจจยั ท่ีมผี ลตอ่ สภาพละลายได้ กิจกรรมท้ายบท การใช้ตัวทาละลายอย่างถูกต้องและปลอดภัยทาได้ อย่างไร บทที่ 2 ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย เร่ืองที่ 1 ความเข้มขน้ ของสารละลายในหนว่ ยร้อยละ กิจกรรมท้ายบท นาสารละลายท่มี ีความเขม้ ขน้ ตา่ ง ๆ มาใชป้ ระโยชน์ได้ อยา่ งไร หนว่ ยท่ี 3 รา่ งกายมนษุ ย์ บทที่ 1 ระบบอวยั วะในร่างกายของเรา เรอ่ื งท่ี 1 ระบบหมนุ เวยี นเลือด เรื่องท่ี 2 ระบบหายใจ เรอ่ื งที่ 3 ระบบขับถ่าย เรื่องท่ี 4 ระบบประสาท เรื่องที่ 5 ระบบสืบพันธุ์ กิจกรรมท้ายบท ระบบอวยั วะของร่างกายมนษุ ย์ทางานได้อย่างไร สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฉบบั ปรบั ปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562
คู่มอื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ผ หนว่ ยการเรียนรู้ เวลา 60 ชัว่ โมง เวลา (ชั่วโมง) รายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 เล่ม 1 หนว่ ยการเรยี นรู้ 22 หน่วยที่ 4 การเคลอื่ นท่ีและแรง บทท่ี 1 การเคล่ือนท่ี เรื่องท่ี 1 ตาแหน่ง ระยะทางและการกระจดั เรื่องที่ 2 อตั ราเรว็ และความเร็ว กจิ กรรมท้ายบท เดินทางมาโรงเรียนได้เรว็ หรือชา้ บทท่ี 2 แรงในชวี ิตประจาวัน เรอ่ื งที่ 1 แรงลพั ธ์ เรอ่ื งที่ 2 แรงเสยี ดทาน เรื่องท่ี 3 แรงและความดนั ของของเหลว เรื่องที่ 4 แรงพยงุ ของของเหลว เรอื่ งที่ 5 โมเมนตข์ องแรง เรอ่ื งที่ 6 แรงและสนามของแรง กิจกรรมทา้ ยบท สรา้ งรถไฟ Maglev ไดอ้ ยา่ งไร ฉบบั ปรับปรุง เดือนกรกฎาคม 2562 สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฝ คูม่ อื ครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ความสอดคลอ้ งของบทเรียน กิจกรรมการเรยี นรู้ และตวั ชีว้ ัด ในหนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 เลม่ 1 หน่วยการเรยี นรู้/บทเรยี น กิจกรรม ตวั ช้วี ดั มาตรฐาน ว 2.1 • ระบุองค์ประกอบของสารละลายได้วา่ สารใดเป็นตวั ละลายหรอื ตวั ทาละลาย หน่วยท่ี 2 สารละลาย กิจกรรมที่ 2.1 ระบุตวั ละลาย • อธิบายผลของชนดิ ตวั ละลาย ชนดิ ตัวทา บทท่ี 1 องค์ประกอบของสารละลาย และตวั ทาละลายได้อย่างไร ละลาย อุณหภูมิ และความดันท่ีมตี ่อ สภาพละลายได้ของสาร และปจั จยั ทม่ี ผี ลต่อสภาพละลายได้ กิจกรรมที่ 2.2 สารละลายอม่ิ ตวั คืออะไร กิจกรรมท่ี 2.3 ชนดิ ของตวั ละลายและตวั ทาละลายมีผลต่อ สภาพละลายได้ของสารอย่างไร กจิ กรรมท่ี 2.4 อุณหภมู ิมผี ลตอ่ สภาพละลายได้ของสารอย่างไร กจิ กรรมท้ายบท การใช้ตัวทาละลายอยา่ งถูกต้อง และปลอดภัยทาได้อยา่ งไร หน่วยที่ 2 สารละลาย กิจกรรม 2.5 ระบุความเข้มข้น • ระบปุ ริมาณตัวละลายในสารละลายใน บทที่ 2 ความเขม้ ข้นของสารละลาย ของสารละลายในหน่วยร้อยละ หน่วยความเขม้ ข้นเปน็ รอ้ ยละ ปรมิ าตร ไดอ้ ย่างไร ตอ่ ปริมาตร มวลตอ่ มวล และมวลต่อ ปรมิ าตร กจิ กรรมท้ายบท นาสารละลายที่ มีความเข้มขน้ ต่าง ๆ มาใช้ • ตระหนักถึงความสาคัญของการนา ประโยชน์ได้อยา่ งไร ความรู้เร่ืองความเข้มข้นของสารไปใช้ โดยยกตวั อย่างการใช้สารละลายใน ชีวิตประจาวนั ทอ่ี ย่างถูกต้องและ ปลอดภัย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฉบบั ปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
ค่มู อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ พ ความสอดคล้องของบทเรยี น กจิ กรรมการเรยี นรู้ และตวั ช้วี ดั ในหนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เลม่ 1 หน่วยการเรยี นรู/้ บทเรียน กจิ กรรม ตัวช้ีวดั มาตรฐาน ว 1.2 หน่วยที่ 3 รา่ งกายมนษุ ย์ กิจกรรมที่ 3.1 เซลล์เม็ดเลือดมี • บรรยายโครงสร้างและหนา้ ท่ีของหวั ใจ บทที่ 1 ระบบอวัยวะในร่างกาย ลักษณะอย่างไร หลอดเลอื ด และเลอื ด ของเรา กิจกรรม 3.2 หวั ใจทางาน • อธบิ ายการทางานของระบบหมนุ เวยี น อย่างไร เลือด โดยใชแ้ บบจาลอง กิจกรรม 3.3 กจิ กรรมใดมผี ลตอ่ • ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการ อัตราการเต้นของหัวใจมากกวา่ เปรยี บเทียบอัตราการเตน้ ของหัวใจขณะ กนั พักและหลงั ทากิจกรรม • ตระหนกั ถึงความสาคัญของระบบ หมนุ เวียนเลอื ด โดยการบอกแนวทางใน การดแู ลรักษาอวยั วะในระบบหมนุ เวยี น เลือดใหท้ างานเป็นปกติ • ระบอุ วยั วะและบรรยายหนา้ ที่ของ อวัยวะทเี่ กี่ยวข้องในระบบหายใจ กิจกรรม 3.4 การหายใจเขา้ และ • อธบิ ายกลไกการหายใจเข้าและออก หายใจออกเกิดขึน้ ได้อยา่ งไร โดยใช้แบบจาลอง รวมท้งั อธิบาย กระบวนการแลกเปล่ียนแกส๊ กจิ กรรม 3.5 ปอดจอุ ากาศได้ • ตระหนักถึงความสาคญั ของระบบหายใจ เทา่ ใด โดยการบอกแนวทางและปฏบิ ตั ิตนใน กิจกรรม 3.6 ทาอย่างไรเพ่ือให้ การดูแลรกั ษาอวยั วะในระบบหายใจให้ ระบบหายใจทางานอย่างเป็น ทางานเปน็ ปกติ ปกติ ฉบับปรับปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟ คู่มือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ความสอดคลอ้ งของบทเรยี น กจิ กรรมการเรยี นรู้ และตวั ชี้วดั ในหนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 เลม่ 1 หนว่ ยการเรยี นร้/ู บทเรียน กิจกรรม ตัวชี้วดั • ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ทีข่ อง หน่วยท่ี 3 รา่ งกายมนุษย์ กจิ กรรม 3.7 ดแู ลรักษาไต บทท่ี 1 ระบบอวัยวะในร่างกาย อย่างไร อวยั วะในระบบขับถ่ายในการกาจัดของ ของเรา เสีย กิจกรรมเสริม เราจาไดม้ ากแค่ • ตระหนกั ถึงความสาคัญของระบบ ไหน ขบั ถ่าย โดยการบอกแนวทางและปฏิบัติ กิจกรรม 3.8 ร่างกายจะมี ตนในการดูแลรักษาอวยั วะในระบบ ปฏิกิริยาอย่างไรเม่ือถูกเคาะ ขบั ถา่ ยให้ทางานเป็นปกติ บริเวณหวั เขา่ • ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ทีข่ อง กิจกรรม 3.9 นักเรียนตอบสนอง อวยั วะในระบบประสาทสว่ นกลาง ใน ไดด้ ีแค่ไหน การควบคุมการทางานต่าง ๆ ของ รา่ งกาย และการแสดงพฤติกรรม กจิ กรรม 3.10 การเปลย่ี นแปลง ของรา่ งกายเม่ือเขา้ สวู่ ัยหนมุ่ สาว • ตระหนกั ถึงความสาคัญของระบบ เป็นอย่างไร ประสาท โดยการบอกแนวทางและ ปฏิบัติตนในการดแู ลรักษาอวัยวะใน ระบบประสาทใหท้ างานเป็นปกติ • ระบุอวัยวะและบรรยายหนา้ ท่ีของ อวัยวะในระบบสบื พนั ธข์ุ องเพศชายและ เพศหญิง โดยใชแ้ บบจาลอง • อธบิ ายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศ หญงิ ทค่ี วบคุมการเปลยี่ นแปลงของ รา่ งกายเม่ือเข้าสูว่ ยั หนมุ่ สาว สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับปรบั ปรงุ เดอื นกรกฎาคม 2562
คมู่ ือครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ภ ความสอดคล้องของบทเรยี น กจิ กรรมการเรยี นรู้ และตวั ชวี้ ดั ในหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 เลม่ 1 หนว่ ยการเรยี นร/ู้ บทเรยี น กจิ กรรม ตวั ชี้วัด • อธบิ ายการตกไข่ การมีประจาเดอื น หน่วยท่ี 3 รา่ งกายมนุษย์ การปฏสิ นธิ และการพฒั นาของไซโกต บทที่ 1 ระบบอวัยวะในร่างกาย จนคลอดเป็นทารก • เลอื กวธิ ีการคุมกาเนิดท่ีเหมาะสมกบั ของเรา สถานการณ์ที่กาหนด • ตระหนักถึงผลกระทบของการต้ังครรภ์ กิจกรรม 3.11 เลือกวธิ กี าร กอ่ นวัยอนั ควร โดยการประพฤติตนให้ เหมาะสม คมุ กาเนิดอยา่ งไรให้เหมาะสม • อธิบายวิธกี ารบอกตาแหนง่ ของวัตถุ กจิ กรรม 3.12 การต้ังครรภ์ก่อน • บอกความหมายและความแตกตา่ งของ วัยอนั ควรส่งผลกระทบอย่างไร ระยะทางและการกระจัด บ้าง • หาระยะทางและการกระจดั • บอกความหมายของปริมาณเวกเตอร์ กิจกรรมท้ายบท ระบบร่างกาย และปริมาณสเกลาร์ มนุษยก์ ับสถานีอวกาศเหมือน • บอกความหมายและความแตกตา่ งของ หรอื ตา่ งกันอย่างไร อตั ราเรว็ และความเรว็ • คานวณอตั ราเรว็ และความเร็ว มาตรฐาน ว 2.2 หนว่ ยที่ 4 การเคล่ือนทแ่ี ละแรง กจิ กรรมท่ี 4.1 ระบตุ าแหน่ง บทที่ 1 การเคล่อื นท่ี ของวตั ถุในหอ้ งเรยี นได้อย่างไร กิจกรรมที่ 4.2 ระยะทางและ ระยะหา่ งระหว่างสองตาแหน่ง แตกต่างกันอย่างไร กจิ กรรมที่ 4.3 อัตราเร็วและ ความเร็วแตกต่างกันอย่างไร กจิ กรรมท้ายบท เดนิ ทางมา โรงเรยี นได้เร็วหรือช้า ฉบับปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562 สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ม คู่มือครูรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ความสอดคล้องของบทเรยี น กจิ กรรมการเรยี นรู้ และตัวชีว้ ดั ในหนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 เลม่ 1 หน่วยการเรยี นร/ู้ บทเรียน กจิ กรรม ตัวช้วี ัด กิจกรรมท่ี 4.4 การรวบรวมใน • เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลพั ธ์ท่ี หนว่ ยท่ี 4 การเคลือ่ นที่และแรง ระนาบเดยี วกนั ทาได้อยา่ งไร บทท่ี 2 แรงในชวี ิตประจาวนั เกดิ จากแรงหลายแรงที่กระทาตอ่ วตั ถุใน กิจกรรมที่ 4.5 แรงเสยี ดทาน ระนาบเดียวกนั เมือ่ วัตถุไม่เคลื่อนท่ีและวตั ถุ • พยากรณ์การเคลือ่ นท่ีของวตั ถทุ ีเ่ ป็นผล เคล่ือนทีแ่ ตกต่างกนั อย่างไร ของแรงลพั ธ์ทเี่ กดิ จากแรงหลายแรงที่ กจิ กรรมท่ี 4.6 ปจั จยั ใดบา้ งที่มี กระทาตอ่ วัตถุในระนาบเดียวกันจาก ผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ • อธิบายแรงเสยี ดทานสถิตและแรงเสยี ด ทานจลน์จากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ • ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวิธี ท่ีเหมาะสมในการอธิบายปัจจัยทมี่ ผี ลตอ่ ขนาดของแรงเสียดทาน • เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียดทานที่ กระทาตอ่ วัตถเุ มื่อวัตถหุ ยุดน่ิงและ เคล่อื นท่ีดว้ ยความเรว็ คงตวั • ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องความรเู้ ร่อื ง แรงเสยี ดทานโดยวิเคราะห์สถานการณ์ ปญั หาและเสนอแนะวิธีการลดหรือเพ่ิม แรงเสยี ดทานที่เป็นประโยชนต์ ่อการทา กจิ กรรมในชวี ิตประจาวัน สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฉบบั ปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
คู่มือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ ย ความสอดคล้องของบทเรียน กิจกรรมการเรยี นรู้ และตวั ชวี้ ดั ในหนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 เลม่ 1 หนว่ ยการเรยี นร/ู้ บทเรียน กิจกรรม ตวั ชีว้ ัด หน่วยท่ี 4 การเคลื่อนทแ่ี ละแรง กิจกรรมท่ี 4.7 • เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ บทที่ 2 แรงในชวี ิตประจาวนั นา้ มีแรงกระทาต่อวัตถุหรือไม่ อย่างไร ในของเหลว กจิ กรรมท่ี 4.8 • ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธี ปัจจัยใดบ้างที่มผี ลต่อความดันของ ที่เหมาะสมในการอธบิ ายปัจจัยทมี่ ีผลต่อ ของเหลว ความดันของของเหลว กจิ กรรมท่ี 4.9 • วิเคราะห์ปจั จัยทม่ี ผี ลต่อแรงพยงุ ของ แรงพยุงของของเหลวเป็นอยา่ งไร ของเหลวและการจม การลอยของวตั ถุ กิจกรรมท่ี 4.10 ในของเหลวจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ปจั จัยใดบ้างทมี่ ผี ลต่อขนาดของ แรงพยุงของของเหลว กิจกรรมที่ 4.11 • ออกแบบการทดลอง และทดลองด้วยวธิ ี โมเมนตข์ องแรงคอื อะไร ทเี่ หมาะสมในการอธิบายโมเมนต์ของ กจิ กรรมที่ 4.12 แรง เมือ่ วตั ถุอยู่ในสภาพสมดุลต่อการ ทาอยา่ งไรให้ไมเ้ มตรอย่นู ิ่งในแนว หมนุ และคานวณโดยใชส้ มการ M = Fl ระดับ กิจกรรมที่ 4.13 • เปรียบเทยี บแหลง่ ของสนามแมเ่ หลก็ สนามแม่เหลก็ เป็นอยา่ งไร สนามไฟฟา้ และสนามโนม้ ถว่ ง และ ทิศทางของแรงท่ีกระทาต่อวตั ถุที่อยู่ใน แต่ละสนามจากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ กจิ กรรมท่ี 4.14 ขนาดของ • เขยี นแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก แรง แมเ่ หล็กข้ึนอยกู่ บั อะไร ไฟฟ้า และแรงโน้มถว่ งท่ีกระทาต่อวตั ถุ กจิ กรรมท้ายบท สร้างรถไฟ Maglev ได้อย่างไร ฉบบั ปรบั ปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ร คมู่ ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ตารางรายการวสั ดอุ ุปกรณ์ประกอบหนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 เลม่ 1 ท่ี รายการ ปริมาณ/กลมุ่ หนว่ ยที่ 1 1 กล่อง 1 ชุด 1. กล่องปริศนา 2. เครอ่ื งมอื ทชี่ ่วยในการสังเกต เชน่ ไมบ้ รรทัด เคร่ืองชัง่ ดินสอ ฯลฯ 6.5 g 42 g หนว่ ยท่ี 2 7g 6g 1. โซเดยี มไฮโดรเจนคาร์บอเนต 10 cm3 2. ดเี กลือ 30 cm3 3. พิมเสน 730 cm3 4. จนุ สี 2 ใบ 5. เอทานอล 3 ใบ 6. เอทานอลผสมสี 1 ใบ 7. น้ากลน่ั 1 ใบ 8. บกี เกอรข์ นาด 250 cm3 4 หลอด 9. บีกเกอรข์ นาด 50 cm3 1 อัน 10. กระบอกตวงขนาด 25 cm3 2 อนั 11. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 4 อัน 12. หลอดทดลองขนาดใหญ่ 2 อัน 13. ช้อนตกั สารเบอร์หนึ่ง 1 อัน 14. ชอ้ นตกั สารเบอร์สอง 1 ชดุ 15. แทง่ แก้วคน 1 ชดุ 16. หลอดหยด 2–3 เคร่ือง/หอ้ ง 17. เทอรม์ อมเิ ตอร์ 18. ขาต้ังพร้อมที่จับ 19. ชดุ ตะเกียงแอลกอฮอล์ 20. เคร่อื งชั่ง สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฉบับปรับปรุง เดือนกรกฎาคม 2562
คู่มือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ล ตารางรายการวสั ดอุ ุปกรณ์ประกอบหนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 เลม่ 1 ท่ี รายการ ปรมิ าณ/กลมุ่ หน่วยท่ี 3 1L 1 แผน่ 1. น้าสี 1 อนั 2. สไลด์ถาวรเลือดของมนษุ ย์ 1 กล้อง 3. แบบจาลองการทางานของปอด 2 อนั 4. กล้องจุลทรรศน์ใชแ้ สง 1 ชุด 5. ทอ่ ปั๊มน้า 2 ใบ 6. ชุดอปุ กรณว์ ดั ความจอุ ากาศของปอด 2 ใบ 7. ภาชนะใสน่ า้ สี เชน่ ขวดนา้ 5 L 1 อัน 8. บกี เกอร์ ขนาด 2,000 cm3 1 อัน 9. นาฬิกาจบั เวลา 1 เหรียญ 10. ค้อนยางขนาดเลก็ 1 มว้ น 11. เหรียญบาท 1 เลม่ 12. เทปใส 2 แผน่ 13. กรรไกร 3 แท่ง 14. กระดาษปรู๊ฟ 10 แผน่ 15. ปากกาเคมี คละสี 16. กระดาษแข็ง ขนาด 9 x 9 cm ฉบับปรบั ปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ว คมู่ ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ตารางรายการวัสดอุ ุปกรณ์ประกอบหนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 เล่ม 1 ท่ี รายการ ปริมาณ/กลมุ่ หน่วยที่ 4 3 ถงุ ขึน้ อยกู่ ับขนาดของภาชนะ 1. เกลือแกง มวล 1 kg 2. ของเหลวชนิดตา่ ง ๆ เชน่ น้า น้าสี น้าเชอื่ ม นา้ เกลือ น้ามันพชื 3 ถงุ 3. ถงุ ทราย มวล 500 g 1 ขวด 4. ผงเหลก็ 2 เสน้ 5. แมเ่ หลก็ 1 แท่ง 6. แท่งเหลก็ 1 แทง่ 7. แทง่ แมเ่ หล็ก (magnetic bar) 1 แผน่ 8. แผน่ ไม้ 1 ม้วน 9. เชือก 1 ม้วน 10. เชอื กเสน้ เล็ก 2 ใบ 11. ถุงพลาสติก 1 แผน่ 12. กระดาษทราย 2 แผ่น 13. แผน่ โฟม 1 แผน่ 14. แผน่ กระดาษลูกฟกู 2 แผ่น 15. แผ่นพลาสติกลูกฟูก 1 แผ่น 16. แผน่ พลาสตกิ ใส 1 ใบ 17. ภาชนะใส่นา้ 1 ใบ 18. ภาชนะใสน่ า้ กน้ ลึก 1 ใบ 19. ภาชนะรองรับนา้ ขนาดละ 1 ขวด 20. ขวดน้าพลาสติกขนาดตา่ ง ๆ 1 ลูก 21. ลูกแกว้ 1 อัน 22. จุกยางท่ีเสียบหลอดแกว้ นาแกส๊ 1 ใบ 23. ลกู โป่ง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบบั ปรบั ปรุง เดือนกรกฎาคม 2562
คมู่ อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ศ ตารางรายการวัสดอุ ปุ กรณ์ประกอบหนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เลม่ 1 ท่ี รายการ ปรมิ าณ/กลมุ่ หน่วยท่ี 4 2 ก้อน 1 เครอ่ื ง 24. ดินน้ามัน 1 เรอื น 25. เครือ่ งช่งั สปรงิ 5 อัน 26. นาฬิกาจบั เวลา 1 อัน 27. เขม็ ทิศ 1 อนั 28. ไมเ้ มตร 1 อัน 29. ไมบ้ รรทัด 1 โปรแกรม 30. ไมบ้ รรทดั วดั มุม 1 วง 31. โปรแกรมแสดงแผนท่ี เช่น Google map 1 อัน 32. วงแหวนขนาดเลก็ 2 แผ่น 33. เทปใส 1 แผน่ 34. กระดาษกราฟ 3 อนั 35. กระดาษ A4 1 เลม่ 36. เข็มหมดุ 1 ผืน 37. กรรไกร 38. ผา้ ขาวบาง ฉบับปรบั ปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ษ คูม่ ือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ แนะนาการใชค้ มู่ ือครู ช่อื หนว่ ยและจุดมงุ่ หมายของหน่วยการเรยี นรู้ ช่ือบทเรียนและสาระสาคัญ แสดงสาระสาคัญที่ องค์ประกอบของหน่วย ซึ่งจัดเป็นบทเรียน เรื่องของ นกั เรยี นจะไดเ้ รียนรูใ้ นบทเรียน บทเรียนนั้น และกิจกรรมทา้ ยบท รวมทั้งแสดงเวลาท่ใี ช้ จุดประสงค์ของบทเรียน แสดงเป้าหมายหรือส่ิงท่ี นกั เรียนจะทาได้เม่ือเรยี นจบบทเรยี น ภาพรวมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แสดงความ ทักษะท่ีนักเรียนควรจะได้รับหรือฝึกปฏิบัติ เม่ือ สอดคล้องของจุดประสงคข์ องบทเรยี น แนวความคดิ เรียนจบในแต่ละเร่ือง ตอ่ เนื่อง และรายการประเมิน ฉบับปรบั ปรุง เดือนกรกฎาคม 2562 สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ส การนาเข้าสู่หน่วยการเรียนรู้ แสดงแนวทางการจัด ชอื่ เรอ่ื งและแนวการจัดการเรียนรขู้ องเรื่อง การเรียนการสอนเมอื่ เรม่ิ ต้นบทเรียน ภาพนาเรื่องพร้อมคาอธิบายภาพ เพ่ือสร้างความสนใจ ภาพนาบทพร้อมคาอธิบายภาพ เพื่อสร้างความสนใจ ในการเรียนในหน่วยน้ี ในการเรียนในบทน้ี ทบทวนความรู้ก่อนเรียน เพื่อทบทวนความรู้ ข้ันพื้นฐานของนักเรียน ที่ควรจะมีเพ่ือเตรียมพร้อม ในการเรียนเรื่องน้ี รู้อะไรบ้างก่อนเรียน เพ่ือตรวจสอบความรู้เดิมของ สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นักเรียน เก่ียวกับเรื่องที่กาลังจะเรียน โดยนักเรียน ไม่จาเป็นต้องตอบถูกต้องครบถ้วน ซ่ึงครูสามารถ นาไปวางแผนในการจัดการเรียนการสอน ในเร่ือง น้ัน ๆ ได้ ฉบับปรับปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562
ห คมู่ อื ครูรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เฉลยคาถามระหว่างเรียนแสดงแนวคาตอบของ คาถาม ข้อสรุปท่ีนักเรียนควรได้ เมอ่ื อภปิ ราย และสรปุ ส่ิงที่ ไดเ้ รียนรู้หลงั ข้อความ เพือ่ ให้ไดข้ อ้ สรุป กิจกรรมการเรียนรู้ของเร่ือง แสดงแนวการจัดการ เรียนรู้ ก่อน ระหวา่ ง และหลงั ทากิจกรรม แนวคิดคลาดเคลื่อน แสดงแนวคิดคลาดเคล่ือนและ กิจกรรมเสริม ตัวอย่างผลการทากิจกรรม และ แนวคดิ ทถ่ี กู ตอ้ งในเรือ่ งน้นั ๆ ตัวอย่างองค์ความรู้หรือทักษะท่ีนักเรียนควรได้รับ จากการทากจิ กรรมเสริม สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบบั ปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
คมู่ อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ฬ สรุปกิจกรรมการเรยี นรู้ของเรื่อง ความรู้เพ่ิมเติมสาหรับครูท่ีเก่ียวข้องกับเนื้อหาในเรื่อง โดยแสดง แต่นอกเหนือผลการเรียนรู้ซึ่งไม่ควรนาไปใช้ในการ • จดุ ประสงค์ วดั ผลประเมินผลนักเรียน • เวลาที่ใชใ้ นการทากจิ กรรม • รายการวสั ดแุ ละอปุ กรณ์ เฉลยแบบฝึกหัดท้ายหน่วยพร้อมแสดงระดับความยาก • การเตรยี มตัวล่วงหนา้ สาหรับครู (**) และง่าย (*) ของแบบฝึกหัด โดยแบบฝึกหัดท้าย • ข้อควรระวังในการทากจิ กรรม หน่วยสอดคล้องกับแบบทดสอบระดับชาติ (O-NET) • ข้อเสนอแนะนาในการทากจิ กรรม และนานาชาติ (PISA) • สื่อการเรยี นรู้และแหลง่ เรียนรู้ • ตัวอย่างผลการทากจิ กรรม • เฉลยคาถามท้ายกจิ กรรม เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท พร้อมแสดงระดับความยาก สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (**) และง่าย (*) ของแบบฝกึ หดั ฉบับปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
1 หน่วยท่ี 1 | ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ คูม่ อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ 1หน่วยท่ี หน่วยการเรียนรู้น้ีมีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนเรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติ ของวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ เพ่ือตระหนักถึงลักษณะสาคัญของ วิทยาศาสตร์และลักษณะนิสัยของบุคคลท่ีเกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิดทาง วิทยาศาสตร์ องคป์ ระกอบของหน่วย ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เวลาท่ีใช้ 2 ชั่วโมง จติ วิทยาศาสตร์ เวลาทใ่ี ช้ 1 ช่ัวโมง รวมเวลาทใ่ี ช้ 3 ช่วั โมง สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับปรับปรุง เดือนกรกฎาคม 2562
หน่วยท่ี 1 | ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ 2 คู่มือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ สาระสาคญั วิทยาศาสตร์มีลักษณะเฉพาะตัวท่ีแตกต่างจากศาสตร์แขนงอื่น ๆ โดยธรรมชาติของวิทยาศาสตร์จะให้ความสาคัญกับ การมองโลกในมมุ มองแบบวิทยาศาสตร์ทีว่ ่า เราสามารถทาความเข้าใจปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ไดโ้ ดยอาศยั กระบวนการหาหลกั ฐาน ลงความคิดเห็น ผสมผสานกับความคิดสรา้ งสรรค์และจินตนาการ ในการสร้างแนวคิดและคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ท่ีมีความ น่าเช่ือถือ อย่างไรก็ตามองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีความคงทนก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อมีหลักฐานเพิ่มเติมที่มีความ น่าเช่ือถอื มากกว่า วิทยาศาสตรจ์ งึ เป็นวถิ ที างแห่งการเรียนรู้สง่ิ รอบตัวอยา่ งที่ไม่มีที่สนิ้ สดุ ของมนุษย์และไม่ใช่แนวคิดจากความ เชื่อฟังท่ีสืบต่อกันมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถให้คาตอบที่สมบูรณ์หรือตอบคาถามทุกคาถามได้ (AAAS, 1990; 1993; Lederman, 1992; McComas & Olson, 1998; NGSS, 2013) การสบื เสาะหาความรูท้ างวิทยาศาสตรเ์ ป็นส่วนสาคญั อกี สว่ นหนงึ่ ของธรรมชาติวิทยาศาสตร์ เปน็ กระบวนการทมี่ นษุ ย์ ใช้แสวงหาคาตอบ สร้างแนวคิดและคาบรรยายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เรียกว่า ทฤษฎี (theory) และอธิบาย ความสัมพันธห์ รือรูปแบบของสิ่งต่าง ๆ ในปรากฏการณ์ ท่ีเรียกว่า กฎ (law) เพ่ือใช้อธิบายหรือทานายการเกิดปรากฏการณใ์ น ธรรมชาติ เป็นกระบวนการที่มีระบบแต่ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว มักเริ่มต้นจากคาถาม มีการเก็บข้อมูลหลักฐานด้วยวธิ ีการต่าง ๆ วิเคราะหข์ อ้ มูลและสรา้ งคาอธิบายจากหลักฐานทไี่ ด้ จากนน้ั เชื่อมโยงคาอธิบายทีค่ น้ พบกบั ผ้อู ื่นและสื่อสารอยา่ งมีเหตุผล แมว้ า่ วิทยาศาสตร์จะมลี กั ษณะเฉพาะตัว แต่กถ็ อื วา่ เป็นกิจการทางสมั คมของมนุษยชาติทท่ี กุ คนสามารถทาได้ และมสี ว่ นร่วมได้ท้งั ใน ระดับบุคคล สังคม และองค์กร ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีการจัดระบบและแตกแขนงเป็นสาขาที่หลากหลาย โดยองค์กรต่าง ๆ และมีหลกั จริยธรรมในการดาเนินการรว่ มกัน (AAAS, 1990; 1993; NGSS, 2013) ลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิดทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า จิตวิทยาศาสตร์ ซึ่งแสดงออกได้หลาย แนวทาง เชน่ วเิ คราะหแ์ ละใหเ้ หตุผลแตล่ ะข้อมลู กอ่ นการประเมินและตดั สินใจ ไมแ่ สดงความคิดเห็นต่อสถานการณต์ า่ ง ๆ ก่อน ลงมอื ทาหรือไดข้ ้อมูลเพยี งพอ สบื เสาะและใช้หลกั ฐานสนบั สนุนคาอธิบายทางวทิ ยาศาสตร์ รายงานหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษอ์ ย่าง ครบถ้วน ไม่แอบอ้างผลงานผู้อื่น ยอมรับความเห็นหรือแนวคิดที่มีประจักษ์พยานและเหตุผล แม้ว่าความเห็นหรือแนวคิด ดงั กล่าวจะแตกต่างจากตนเอง รวมทง้ั เห็นคณุ คา่ ความสาคัญ และความสนใจต่อวิทยาศาสตร์ จดุ ประสงคข์ องหนว่ ย เม่ือเรียนจบบทนแ้ี ลว้ นกั เรียนจะสามารถทาสิง่ ต่อไปนี้ได้ 1. ยกตัวอยา่ งและอธิบายธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ 2. ยกตวั อยา่ งและอธิบายจิตวทิ ยาศาสตร์ ฉบบั ปรบั ปรุง เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
3 หน่วยที่ 1 | ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ คมู่ อื ครูรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ ภาพรวมการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ จุดประสงค์ แนวความคิดตอ่ เน่อื ง กิจกรรม รายการประเมิน การเรียนร้ขู องบทเรยี น 1. ยกตวั อย่างและอธบิ าย 1. วทิ ยาศาสตร์มีลักษณะเฉพาะตวั ท่ี กจิ กรรม 1.1 1. ยกตวั อยา่ ง ธรรมชาติของ ธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์ แตกต่างจากศาสตร์ความรู้แขนง ความรทู้ าง วทิ ยาศาสตร์ อ่นื ๆ ซึ่งเรยี กวา่ ธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์ 2. อธิบายธรรมชาติ ของวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พฒั นาได้อย่างไร 2. ในการมองปรากฏการณ์ตา่ งๆใน กจิ กรรม 1.2 ธรรมชาติแบบวทิ ยาศาสตร์น้ันมี วตั ถุอะไรอยู่ใน ลกั ษณะแตกต่างจากศาสตร์อ่ืน ๆ กล่อง เช่น ในมุมมองแบบวทิ ยาศาสตร์ มองว่า สง่ิ ตา่ ง ๆ สามารถทาความ เขา้ ใจได้โดยอาศัยหลักฐาน สนับสนุน การแปลผล และสรปุ เปน็ องค์ความรูด้ ว้ ยสติปัญญาของ มนุษย์ แนวคดิ ทางวทิ ยาศาสตร์ เปลี่ยนแปลงได้ เมื่อมหี ลักฐาน เพิ่มเติมทีเ่ ชื่อถอื ไดแ้ ละนามาสร้าง คาอธิบายใหม่ 3. การสืบเสาะหาความรทู้ าง วิทยาศาสตร์กม็ ลี ักษณะเฉพาะ เช่นกัน โดยเป็นการรวบรวมข้อมูล หลักฐานเพ่ือนามาสร้างคาอธบิ าย หรือตอบคาถามในส่ิงที่สงสัย โดยใช้ กระบวนการหรือวธิ ีการต่าง ๆ ทเี่ ป็น ระบบ แต่ไม่ตายตัว สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบบั ปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
หน่วยที่ 1 | ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ 4 คู่มอื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์ แนวความคดิ ต่อเนอื่ ง กจิ กรรม รายการประเมิน การเรียนร้ขู องบทเรียน 3. วิทยาศาสตร์เปน็ กิจกรรมของ 1. นักเรียนสามารถ 2. ยกตวั อยา่ งและอธิบาย มนุษยชาติ มีหลายมติ ิทง้ั ในระดบั ยกตวั อย่างและ จติ วิทยาศาสตร์ บุคคล สังคม หรือองค์กร แตก อธบิ าย แขนงเป็นสาขาตา่ ง ๆ แต่หลักการ จิตวิทยาศาสตร์ หรอื คาอธบิ ายทางวทิ ยาศาสตร์ไม่ มีขอบเขตแบ่งแยก 1. ลกั ษณะนิสยั ของบุคคลท่ีเก่ียวข้อง กับความรสู้ ึกนึกคิดทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า จิตวิทยาศาสตร์ 2. จติ วิทยาศาสตร์มกี ารนกึ คิดและ แสดงออกไดห้ ลายแนวทาง เช่น การวเิ คราะห์และให้เหตุผลแตล่ ะ ข้อมูลกอ่ นการประเมนิ และ ตดั สินใจ การไม่แสดงความคิดเหน็ ตอ่ สถานการณต์ ่าง ๆ ก่อนลงมือ ทาหรือได้ข้อมูลเพียงพอ 3. จติ วทิ ยาศาสตร์ยังรวมท้งั การเหน็ คณุ คา่ ความสาคญั ความชอบ ความสนใจต่อวิทยาศาสตร์ ฉบบั ปรับปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562 สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
5 หน่วยท่ี 1 | ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ คู่มือครรู ายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ทคี่ วรจะได้จากบทเรียน ทกั ษะ เรียนรวู้ ิทยาศาสตรอ์ ยา่ งไร ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ • การสังเกต • การวดั การจาแนกประเภท • การหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสเปซกบั สเปซ • และสเปซกบั เวลา การใช้จานวน การจัดกระทาและสือ่ ความหมายข้อมลู การลงความเหน็ จากข้อมลู การพยากรณ์ การตงั้ สมมตฐิ าน การกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบตั ิการ การกาหนดและควบคุมตวั แปร การทดลอง การตีความหมายข้อมูลและลงขอ้ สรปุ การสรา้ งแบบจาลอง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ด้านการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแก้ปัญหา ดา้ นการสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทนั ส่อื ด้านความรว่ มมือ การทางานเปน็ ทมี และภาวะผู้นา ด้านการสรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม ดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ และการสื่อสาร ดา้ นการทางาน การเรียนรู้ และการพ่ึงตนเอง สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
หน่วยท่ี 1 | ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ 6 คมู่ ือครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ การนาเข้าสหู่ นว่ ยการเรยี นรู้ ครดู าเนินการดงั นี้ 1. กระตุ้นความสนใจของนักเรียน เพื่อนาเข้าสู่ ความรู้เพม่ิ เติมสาหรับครู หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง ธรรมชาติของ วทิ ยาศาสตร์ โดยตัง้ คาถามสร้างความสนใจว่า ภาพนาหน่วย คือ ข้อมูลบางส่วนของ การพัฒนาองค์ความรู้ นักเรียนคิดว่าวิทยาศาสตร์แตกต่างจากศาสตร์ เก่ียวกับอะตอม ซึ่งมีแนวคิดเพ่ิมเติมนอกเหนือจากที่ปรากฏใน อืน่ ๆ อยา่ งไร หนังสือเรียนแทรกเป็นระยะ การค้นพบและต่อยอดองค์ความรู้ ของนักคิดนักวิทยาศาสตร์พัฒนามาเป็นความรู้เกี่ยวกับ 2. ทบทวนความรู้พ้ืนฐานของนักเรียนเก่ียวกับ โครงสร้างอะตอมในปจั จุบัน โครงสร้างอะตอมและวิทยาศาสตร์ โดยอาจตั้ง คาถามดังน้ี • วิทยาศาสตร์คืออะไร (วิทยาศาสตร์เป็น ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติซ่ึงสามารถอธิบาย ได้ดว้ ยหลักฐานและความเป็นเหตเุ ป็นผลทาง วิทยาศาสตร์ โดยวิทยาศาสตร์มิใช่ความรู้ เกี่ยวกับความจริงของธรรมชาติเพียงอย่าง เดียวแต่ยังครอบคลุมไปถึงกระบวนการ เรยี นรแู้ ละทาความเข้าใจความรู้น้ันอย่างเป็น ระบบและเป็นเหตุเปน็ ผล) • ความรู้เก่ียวกับอะตอมที่เรียนรู้ในชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นอย่างไร (อะตอมเป็น หน่วยย่อยของสสาร โดยโครงสร้างอะตอม ประกอบด้วย นิวเคลียสซ่ึงมีโปรตอน นิวตรอนอยู่เป็นศูนย์กลาง และมีอิเล็กตรอน โคจรโดยรอบ) 3. นาเข้าสู่กิจกรรมที่ 1.1 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พัฒนาได้อย่างไร โดยใช้คาถามว่า การพัฒนาองค์ความรู้ดังกล่าว เป็นตัวอย่างหนึ่งของการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงมีลักษณะสำคัญเฉพาะตัว องค์ความรู้ทาง วทิ ยาศาสตรพ์ ฒั นาไดอ้ ย่างไร และมีลกั ษณะสาคญั เฉพาะตวั อย่างไร ฉบับปรับปรงุ เดอื นกรกฎาคม 2562 สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
7 หน่วยท่ี 1 | ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ คมู่ อื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ ก4จิ .กรเรือ่มงทที่ 1ี่ 1.1 ควอางมคร์ปู้ทราะงกวอิทบยขาอศงาสสาตรรลพ์ ะัฒลานยาไดอ้ ย่างไร แนวการจัดการเรยี นรู้ ครดู าเนนิ การดงั นี้ ก่อนการทากจิ กรรม (10 นาที) 1. ให้นักเรยี นอ่านชื่อกิจกรรม จดุ ประสงค์ และวธิ ดี าเนินกิจกรรม และตรวจสอบความเข้าใจการอา่ นโดยใชค้ าถามดังต่อไปนี้ • กิจกรรมนี้เกีย่ วกบั เรื่องอะไร (การพัฒนาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์) • กจิ กรรมนีม้ จี ุดประสงค์อย่างไร (อา่ น วเิ คราะห์ และสรุปแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาตวิ ิทยาศาสตร์) • วิธีดาเนินกิจกรรมมีข้ันตอนโดยสรุปอย่างไร (อ่านบทความการพัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอะตอมและการ วิจยั ทางโบราณคดีหญงิ สาวโบราณปลายยุคประวัติศาสตร์ จากนัน้ เขยี นแผนผงั เช่ือมโยงหลักฐานและข้อสรุปที่ค้นพบ) • นกั เรยี นต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (ขอ้ มลู เก่ียวกับการพัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอะตอมและ การวิจัยทางโบราณคดหี ญิงสาวโบราณปลายยุคประวัติศาสตร์) ระหวา่ งการทากจิ กรรม (25 นาท)ี 2. ให้นักเรยี นแต่ละกล่มุ เร่ิมทากจิ กรรม ครสู งั เกตการทางานของนกั เรยี น และใหค้ าแนะนาเมอ่ื นักเรียนมคี าถาม 3. เน้นให้นักเรียนวเิ คราะหห์ าหลกั ฐานและขอ้ สรปุ จากบทความ หลงั การทากิจกรรม (15 นาที) 4. ให้นักเรียนนาเสนอผลการทากิจกรรม ตอบคาถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผลของกิจกรรมโดยใช้คาถามท้าย กิจกรรมเป็นแนวทาง เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า การสรุปองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยข้อมูล หลักฐานที่ได้จากการศึกษาอย่างเป็นระบบ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีหลักฐานท่ีน่าเชื่อถือมา สนับสนุนแนวคิดใหม่ และเมื่อมีหลักฐานใหม่เพ่ิมขึ้นจะทาให้ความรู้เพิ่มพูนชัดเจนข้ึน การสร้างองค์ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ประกอบด้วย การต้ังคาถาม การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างคาอธิบายเช่ือมโยงจากข้อมูล และแนวคดิ ทางวทิ ยาศาสตร์เพื่อตอบคาถาม และการสือ่ สารหรอื เผยแพร่องคค์ วามรู้นนั้ 5. ให้นักเรียนอ่านเน้ือหาในหนังสือเรียนเก่ียวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ จากน้ันตอบคาถามระหว่างเรียน และร่วมกัน อภิปรายเก่ียวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า วิทยาศาสตร์มีลักษณะเฉพาะตัวท่ีแตกต่างจากศาสตร์ ความรู้แขนงอ่ืน ๆ ซ่ึงเรียกว่า ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ การมองปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในมุมมองแบบวิทยาศาสตร์มี ลักษณะเฉพาะตัว เช่น วิทยาศาสตร์มองว่า สิ่งต่าง ๆ สามารถทาความเข้าใจได้โดยอาศัยหลักฐานสนับสนุน การแปลผล และสรุปเป็นองค์ความรู้ดว้ ยสติปัญญาของมนุษย์ แนวคดิ ทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ เมอ่ื มหี ลักฐานเพิ่มเติมท่เี ชื่อถือ ได้และนามาสร้างคาอธิบายใหม่ การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็มีลักษณะเฉพาะเช่นกัน โดยเป็นการรวบรวม ข้อมูลหลักฐานเพ่ือนามาสร้างคาอธิบาย หรือตอบคาถามในสิ่งที่สงสัย โดยใช้กระบวนการหรือวิธีการต่าง ๆ ที่เป็นระบบ แต่มีลาดับข้ันตอนที่ไม่ตายตัว วิทยาศาสตร์เป็นกิจการทางสัมคมที่ซับซ้อนของมนุษยชาติ มีหลายมิติท้ังในระดับ บุคคล สังคม หรือองค์กร แตกแขนงเป็นสาขาต่าง ๆ แต่หลักการหรือคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์มีความเป็นสากล เช่น สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับปรบั ปรงุ เดือนกรกฎาคม 2562
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124