Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงาน ศาสนาพุทธ

รายงาน ศาสนาพุทธ

Published by Yaowalak, 2022-01-15 01:05:54

Description: รายงาน ศาสนาพุทธ

Search

Read the Text Version

ศาสนาพทุ ธ จดั ทาโดย นายสุวฒั น์ เผา่ พนั ธุ์ 6116209002103 6116209002105 นางสาวรวินนั ท์ พ่มุ สวุ รรณ 6116209002139 6116209002145 นางสาวเยาวลักษณ์ วิสาละ นายกณวรรธ ทองสงา่ กลมุ่ เรียน สฏ 2105.161 รัฐประศาสนศาสตร์ รายงานน้เี ปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวชิ า (BPA0410) จรยิ ธรรมสาหรบั นกั บริหาร ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สุราษฎรธ์ านี

ก คานา รายงานฉบับน้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวิชา (BPA0410) จริยธรรมสาหรับนักบริหาร โดยมีจุดประสงค์ เพื่อศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่อง ศาสนาพุทธ ซ่ึงรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ จริยธรรม หลักปฏิบัติ มุมมอง ความสาคญั ของศาสนาพทุ ธ คณะผู้จัดทาได้เลือกหัวข้อนี้ในการทารายงาน เนื่องมาจากเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ และคณะผู้จัดทา จะต้องขอขอบคุณ อาจารย์อยับ ซาดัดคาน ผู้ให้ความรู้ แนวทางในการศึกษา และขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือ คณะผจู้ ดั ทาหวงั ว่ารายงานฉบบั นี้จะใหค้ วามรแู้ ละเปน็ ประโยชน์แกผ่ ู้อ่านทกุ ๆท่าน คณะผจู้ ดั ทา

ข สารบัญ เรือ่ ง หนา้ คานา............................................................................................................................................................. ก สารบัญ ..................................................................................................................... ....................................ข สารบญั ภาพ...................................................................................................................................................ค พระพทุ ธศาสนา............................................................................................................................................ 1 องคป์ ระกอบ.....................................................................................………………………………………….............5 -ศาสดา...............……………………………………………………………………………………………………………….5 -หลักคาสอนของพระพทุ ธศาสนา………………………………………………………………………………………..11 -นักบวช…………………………………………………………………………………………………………………………… 17 -พทุ ธศาสนิกชน…………………………………………………………………………………………………………………24 -ศาสนสถาน…………………………………………………………………………………………………………………….. 25 -พธิ ีกรรม…..…………………………………………………………………………………………………………………….. 42 สญั ลักษณ์………………………..............................………………………………………………………………………………… 63 ความเชอ่ื …………………………..............................…………………………………………………………………………………65 หลกั ความประพฤต.ิ ...................................................................................................................................... 68 บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………………………………...74

ค สารบญั ภาพ ภาพที่ หนา้ ภาพท่ี 1.1 ภาพจติ รกรรมฝาผนงั เลา่ เรอ่ื งพทุ ธประวตั ิตอนพระพทุ ธเจ้าแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท ของวัดราช สิทธารามเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร…………………………………………………………………………………….1 ภาพท่ี 1.2 ภาพศาสดา....................................................………………………………………………........................5 ภาพที่ 1.3 ภาพจิตรกรรมฝาผนงั พระพุทธประวตั ิ ภายในอุโบสถ วดั หมอนไม้……………………………………….10 ภาพที่ 1.4 ภาพภิกษุ.....................………………………………………………………………………………………..............18 ภาพท่ี 1.5 ภาพสามเณร......……………………………………………………………………………………………………………20 ภาพท่ี 1.6 ภาพภกิ ษุณ.ี .................………………………………………………………………………………………..............21 ภาพท่ี 1.7 ภาพพุทธศาสนกิ ชน....……………………………………………………………………………………………………24 ภาพที่ 1.8 ภาพวัด..................……………………………………………………………………………………….....................25 ภาพที่ 1.9 ภาพวหิ าร…………….....……………………………………………………………………………………………………28 ภาพท่ี 1.10 ภาพเจดยี ์......................……………………………………………………………………………………..............30 ภาพท่ี 1.11 ภาพพิธกี รรมวันมาฆบูชา.……………………………………………………………………………………………..42 ภาพท่ี 1.12 ภาพพธิ ีกรรมวนั วสิ าขบชู า..…………………………………………………………………………………………..44 ภาพที่ 1.13 ภาพพิธกี รรมวนั อัฏฐมีบูชา..……………………………………………………………………………………….. 51 ภาพที่ 1.14 ภาพพิธกี รรมวันอาสาฬหบชู า………………………………………………………………………………………..52 ภาพที่ 1.15 ภาพพิธีกรรมวนั ธรรมสวนหรือวันพระ.…………………………………………………………………………..55 ภาพท่ี 1.16 ภาพพิธกี รรมวนั เข้าพรรษา.…………………………………………………………………………………………..61 ภาพท่ี 1.17 ภาพธรรมจกั ร................……………………………………………………………………………………………….63 ภาพที่ 1.18 ภาพการตกั บาตร...................................................................................................................... 70 ภาพที่ 1.19 ภาพการน่งั สมาธิ.......................................................................................................................72

1 พระพุทธศาสนา ภาพจิตรกรรมฝาผนงั เลา่ เรือ่ งพุทธประวตั ิตอนพระพทุ ธเจา้ แสดงธรรมโปรดพทุ ธบรษิ ัท ของวดั ราชสิทธาราม เขตบางกอกใหญ่ กรงุ เทพมหานคร ความหมายของพระพทุ ธศาสนา “พระพุทธศาสนา” คือ คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าคร้ังพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธศาสนายังไม่ถือกาเนิดข้ึน จนอีกสองเดือนต่อมาเม่ือทรงแสดงพระธรรมเทศนาคร้ังแรก (ธัมมจัก กัปปวัตตนสูตร) จึงทาให้เกิดพระพุทธศาสนาข้ึน และมีผู้ฟัง หรือสาวก (“สาวก” แปลว่าผู้ฟัง ผู้ฟังคาสั่งสอน ศษิ ย์ คาค่กู บั “สาวกิ า” คอื ผูฟ้ ังหรือศษิ ยฝ์ ุายหญงิ ) กบั หมูช่ นทน่ี ับถือพระพทุ ธศาสนา เรียกอีกช่ือหนึ่งว่าพุทธ บริษัท มี ๔ ชนิด คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งเม่ือได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็นาไปปฏิบัติตาม ต่อมาเม่ือมีผู้ฟัง และผู้ปฏิบัติตามคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจานวนมาก ก็มีการจัดต้ังเป็นชุมชน เป็น สถาบัน เปน็ องค์กร เพื่อรับผิดชอบดูแลการเรียนและการปฏิบัติ ตลอดจนมี ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนสถาน และกจิ การตา่ ง ๆ ความหมายของพระพุทธศาสนาจึงขยายกวา้ งออกไปครอบคลุมสิง่ ต่างๆ เหลา่ นี้ด้วย ความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนา หรือ ศาสนาพทุ ธ เป็นศาสนาทีม่ พี ระพุทธเจ้าเป็นศาสดา มีพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ ชอบด้วยพระองค์เอง และตรัสสอนไว้เป็นหลักคาสอนสาคัญ มีพระสงฆ์ (ภิกษุ ภิกษุณี) สาวกผู้ตัดสินใจออก บวชเพ่ือศึกษาปฏิบัติตนตามคาส่ังสอนธรรม-วินัย ของพระบรมศาสดา เพื่อบรรลุสู่จุดหมายคือพระนิพพาน และสร้างสังฆะ เป็นชุมชนเพ่ือสืบทอดคาสอนของพระบรมศาสดา รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย นอกจากนี้ใน พระพทุ ธศาสนา ยงั ประกอบคาสอนสาหรับการดารงชีวิตที่ดีงาม สาหรับผู้ท่ียังไม่ออกบวช (คฤหัสถ์ - อุบาสก และอุบาสิกา) ซ่ึงหากรวมประเภทบุคคลท่ีนับถือและศึกษาปฏิบัติตนตามคาส่ังสอนของพระบรมศาสดา แล้ว จะจาแนกได้เป็น ๔ ประเภท คือ ภิกษุ ภกิ ษุณี อบุ าสก อุบาสกิ า หรือท่เี รยี กวา่ พุทธบรษิ ัท

2 ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง และเช่ื อใน ศักยภาพของมนุษย์ ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจ ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ ด้วยความเพียรของตน กลา่ วคือ ศาสนาพุทธ สอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเอง ด้วยผลแห่งการกระทาของตน ตาม กฎแห่งกรรม มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจากพระเป็นเจ้าและสิ่งศักด์ิสิทธ์ินอกกาย คือ ให้พึ่งตนเอง เพ่ือพาตัวเองออกจาก กอง ทุกข์ มีจุดมุ่งหมายคือการสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ท้ังปวงในโลกด้วยวิธีการสร้าง ปัญญา ใน การอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริง วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนาคือการหลุดพ้นจากความ ทุกข์ทั้งปวงและวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกดิ เชน่ เดียวกับท่ีพระศาสดาทรงหลุดพ้นได้ด้วยกาลังสติปัญญาและ ความเพยี รของพระองคเ์ อง ในฐานะที่พระองคก์ ็ทรงเป็นมนษุ ย์ มิใช่เทพเจา้ หรือทูตของพระเจ้าองค์ใด ปัจจุบันศาสนาพุทธได้เผยแผ่ไปท่ัวโลก โดยมีจานวนผู้นับถือส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย ทั้งในเอเชีย กลาง เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันศาสนาพุทธ ได้มีผู้นับถือกระจายไปทั่วโลก ประมาณ ๗๐๐ ลา้ นคนด้วยมีผู้นบั ถอื ในหลายประเทศ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาสากล ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย คมั ภีร์ทางพระพุทธศาสนาระบุว่า เม่ือราวพุทธศตวรรษที่ ๓ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕ หลังจากสังคายนา พระธรรมวินัยครัง้ ท่ี ๓ พระเจา้ อโศกมหาราชได้ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่าง ๆ รวม ๙ สายดว้ ยกัน ในส่วนของประเทศไทยเช่ือกนั ว่ามีคณะของสมณทูตซึ่งมพี ระโสณเถระ และพระอุตตรเถระเป็น หัวหน้าคณะเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกและอาจมีคณะสมณทูตชุดอื่น ๆ เข้ามาเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในกาลต่อ ๆ มา ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีทั้งที่เป็นโบราณสถาน และโบราณวัตถุว่า พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแผ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ต้ังแต่ราวพุทธศตวรรษท่ี ๘ – ๙ และประดิษฐานอย่าง ม่ันคงเม่ือราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ ท้ังฝาุ ยเถรวาทและฝุายมหายาน ซ่ึงดินแดนสุวรรณภูมิ เช่ือกันว่าคือดินแดน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริเวณประเทศไทยและประเทศพม่าในปัจจุบัน จึงทาให้คนไทย โดยเฉพาะ พระมหากษัตริย์ไทยยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เร่ืองคนไทยกับพุทธศาสนาและ พุทธศาสนาในประเทศไทยน้ัน ได้ความตามตานานพระพุทธเจดีย์ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดารงรา ชานุภาพว่า คนไทยได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อนที่จะอพยพ มาต้ังประเทศไทยในปัจจุบันน้ีแล้ว ซ่ึงเรื่องน้ี พระศรีวิสุทธโิ มลี ปัจจุบันพระพรหมคุณาภรณ์ ได้สรุปไว้ในคาบรรยาย เร่ือง พุทธศาสนากับการศึกษาในอดีต ว่าก่อนที่ชนชาติไทยจะได้ต้ังอาณาจักร เป็นประเทศไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ซึ่งถือว่าเริ่มแต่การตั้งอาณาจักร สุโขทัยน้ัน ชนชาติไทยในภูมิภาคสุวรรณภูมิ คลุมไปถึงรัฐไทยต่าง ๆ ในดินแดนตั้งแต่ทางตอนใต้ของประเทศ จนี นัน้ ได้รับนับถือพระพุทธศาสนามาแลว้ ท้งั สองนิกาย คือ ยุคแรก ได้รับนับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน ผ่านทางประเทศจีน สมัยพระเจ้าม่ิงตี่ ในตอนต้น พทุ ธศตวรรษที่ ๗ รัชสมยั ของขนุ หลวงเม้า แห่งอาณาจกั รอ้ายลาว

3 ยุคที่สอง แยกออกเป็น ๒ ระยะ คอื ระยะแรก สมัยอาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรือง ราวพุทธศักราช ๑๓๐๐ กษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย ผู้นับ ถอื พระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน มเี มอื งหลวงอยทู่ เี่ กาะสมุ าตรา ไดแ้ ผ่อานาจเข้ามาถึงแหลมมลายู ได้ดินแดน ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลงไปไว้ครอบครองพระพุทธศาสนานิกายมหายานจึงแผ่เข้ามาในภาคใต้ ของ ประเทศไทย ระยะท่ี ๒ ในสมัยลพบุรี เมื่อขอมเรืองอานาจแผ่อาณาเขตเข้ามาครอบครองประเทศไทย ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางท้ังหมด ในราวพุทธศักราช ๑๕๕๐พระพุทธศาสนาแบบมหายาน ซึ่งขอม รับมาจากอาณาจักรศรีวิชัยเช่นกัน แต่ว่าเจือด้วยศาสนาพราหมณ์ จึงแผ่เข้ามาในดินแดนแถบนี้พร้อมด้วย ภาษาสันสกฤต แต่ว่าดินแดนท่ีขอมแผ่อาณาเขตเข้ามานั้น เดิมทีประชาชนพลเมืองก็ได้รับนับถือ พระพุทธศาสนา แบบหินยานอยู่แล้ว แต่สมัยที่พระโสณะ และพระอุตตระ ศาสนทูตสายที่ ๒ ใน ๙ สาย ของ พระเจ้าอโศกมหาราชนาเข้ามาสดู่ ินแดนสุวรรณภูมิ ในสมยั ทราวดี ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๓ ยคุ ทส่ี าม สมยั พระเจา้ อนุรุทธมหาราช หรอื อโนรธามังช่อ กษัตริย์พม่าแห่งอาณาจักรพุกามแผ่อานาจ เข้ามาในอาณาเขตลานนาและล้านช้าง ราวพุทธศักราช ๑๖๐๐ พระพุทธศาสนานิกายหินยานแบบพุกาม จึง ไดแ้ ผ่เข้ามาในดินแดนแถบน้ี พระพุทธศาสนาในประเทศไทย เริ่มนับถอื แบบหนิ ยานลัทธลิ งั กาวงศ์อยา่ งจริงจงั ในรัชสมัย ของพ่อขุน รามคาแหงมหาราช เม่ือพุทธศักราช ๑,๘๒๐ เป็นต้นมา กล่าวคือเมื่อพ่อขุนได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรง สดับกิตติศพั ท์ พระสงฆท์ ไ่ี ปศกึ ษาท่ีประเทศลังกา กลับมาสั่งสอนอยู่ท่ีเมืองนครศรีธรรมราช มีความรอบรู้พระ ธรรมวินยั และมีวัตรปฏิบตั ินา่ เล่อื มใส จงึ ได้อาราธนาจากเมอื งนครศรีธรรมราช ขึ้นมาตั้งสานัก และเผยแพร่คา สอน ณ กรุงสุโขทัย เรียกช่ือ ตามแหล่งที่มาว่า ลังกาวงศ์ พระสงฆ์ในลัทธิลังกาวงศ์ ที่พ่อขุน รามคาแหง มหาราชอาราธนาจากเมืองนครศรีธรรมราชมาต้ังสานักในกรุงสุโขทัยนี้พ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงเล่ือมใส ศรัทธาอย่างแรงกล้ามากและโดยท่ีพระสงฆ์คณะน้ี ชอบความวิเวกจึงโปรดให้อยู่ ณ วัดอรัญญิก นอกเมือง และพระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ไปนมสั การทา่ นเปน็ ประจาทุกวันกลางเดือนและส้นิ เดอื น สรปุ พุทธศาสนากบั คนไทย โดยเฉพาะชนเผา่ ไทยในสวุ รรณภูมิหรือในสยามประเทศ ปรากฏว่าคนไทย นับถอื พระพุทธศาสนามาทั้ง ๒ นกิ าย คอื ทั้งมหายาน และหินยาน ก่อนสมัยสุโขทัยดูจะนับถือปะปนกัน ทั้ง ๒ นิกาย แถมมีศาสนาพราหมณ์เข้ามาระคนด้วย ที่เป็นดังน้ี เพราะชนชาติไทยได้ร่วมสังคม กับชนชาติขอม ซ่ึง เป็นใหญ่อยู่ในภูมิภาคนี้มาก่อน และแม้สมัยไทยสถาปนาราชอาณาจักรไทยเอกราชขึ้น ณ กรุงสุโขทัยแล้วก็ ตาม

4 ยุคตน้ ๆ ของสมัยน้ันก็ยังมีการนับถือพุทธปะปนกันอยู่ ๒ นิกายเช่นกัน ท้ังนี้รวมทั้งอาณาจักรลานนา ไทย ซ่ึงเป็นอาณาจักรอิสระของไทยตอนเหนืออาณาจักรหน่ึงซึ่งเกิดขึ้นในยุคเดียวกับอาณาจักรสุโขทัย และ เป็น พนั ธมิตรสนทิ สนมกบั อาณาจกั รสุโขทยั ก็มีลักษณะเชน่ น้ัน พระพุทธศาสนาฝุายเถรวาทเป็นศาสนาหลักของชาวทวารวดีพบหลักฐานด้านศิลปกรรมส่วนใหญ่ สร้างขึ้นเน่อื งในพระพุทธศาสนาฝุายเถรวาท ได้แก่ประติมากรรมรูปเคารพและจารึกคาถา “เย ธมฺมา” ภาษา บาลี เป็นภาษาในการเขียนคัมภีร์ทางพระพทุ ธศาสนาฝาุ ยเถรวาททั้งท่แี ต่งข้นึ ในอินเดยี ใต้และลังกา อนึ่งในการเขยี นคัมภีร์ทางพระพทุ ธศาสนาฝุายมหายานและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ใช้ภาษาสันสกฤต อาจกล่าวได้ว่าในดินแดนประเทศไทยนับตั้งแต่ศตวรรษท่ี ๑๑ เป็นต้นมาพระพุทธศาสนาทั้งเถรวาท และมหายานเจริญรุ่งเรืองสืบเน่ืองมาตามลาดับ โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเถรวาทได้ประดิษฐานอย่างม่ันคง เปน็ ศาสนาหลกั ของบ้านเมืองเนอื่ งมาในสมยั สุโขทัย พระสงฆ์ฝุายเถรวาทในสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นแบ่งออกเป็นฝุาย คามวาสี คือพระที่อยู่ในเมืองหรือใกล้เคียงและฝุายอรัญวาสีหรือพระปุา นอกจากน้ียังมีพระสงฆ์ฝุายเถรวาท รามญั นิกาย ซึง่ เปน็ พระมอญ และพระสงฆ์ฝาุ ยมหายานทง้ั จนี นกิ ายและอนัมนิกายด้วย ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑) ทรงต้ังคณะ ธรรมยตุ ิกนิกายขน้ึ คณะสงฆ์ทีม่ ีอยู่เดิม เรียกวา่ ฝาุ ยมหานิกาย พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าของชาวไทยทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะในเวลาเดียวกันทรงเป็น อัคร ศาสนูปถัมภกศาสนาต่าง ๆ ในพระราชอาณาเขตให้เจริญวัฒนาเป็นศูนย์รวมใจและเป็นที่พึ่ง ของอาณา ประชาราษฎร์ทกุ ยุคทุกสมัยตราบปจั จุบัน ในประเทศไทยมีองคก์ ารทางพระพุทธศาสนาท่ีกรมการศาสนาให้การสนบั สนุน ดงั นี้ ๑. องคก์ ารพุทธศาสนิกสัมพนั ธแ์ หง่ โลก (พ.ส.ล.) ๒. พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ๓. ยุวพทุ ธิกสมาคมแหง่ ประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถัมภ์ ๔. สภายุวพทุ ธิกสมาคมแห่งชาติ ๕. เปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ ๖. มลู นิธภิ มู พิ โลภกิ ขุ ๗. องคก์ รเครือข่ายภาคราชการและภาคประชาสงั คม ๘๔ องคก์ ร

5 องค์ประกอบของศาสนาพุทธ ศาสดา ศาสดาของศาสนาพุทธ คือ พระโคตมพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติในดินแดน ชมพทู วปี ตรงกับวันข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ๘๐ ปีก่อนพุทธศักราช ณ สวนลุมพินีวัน เจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็นพระ ราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา ทรงดารงตาแหน่งรัชทายาท ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ กรุงกบลิ พัสดแุ์ หง่ แควน้ สักกะ และเมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธราแห่งเมือง เทวทหะ ตอ่ มาเม่อื พระชนมายุ ๒๙ พรรษา มพี ระโอรส ๑ พระองค์พระนามวา่ ราหลุ ในปีเดยี วกัน พระองคท์ อดพระเนตรเทวทูตท้ังสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ จึงทรงตัดสิน พระทยั ออกผนวชเป็นสมณะ เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นจากทุกข์ คือ ความแก่ เจ็บ และตาย ในปีเดียวกันนั้น ณ ริมฝัง่ แมน่ า้ อโนมานที และหลงั จากออกผนวชมา ๖ พรรษา ทรงประกาศการค้นพบว่าการหลุดพ้นจากทุกข์ ทาได้ดว้ ยการฝึกจิตด้วยการเจรญิ สติ ประกอบดว้ ยศลี สมาธิ และปัญญา จนสามารถรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง ว่า เป็นทุกข์เพราะสรรพสิง่ ไมส่ มบูรณ์ ไม่แน่นอน และบังคับให้เป็นด่ังใจไม่ได้ จนไม่เห็นส่ิงใดควรยึดมั่นถือม่ัน หลุดพ้นจากกิเลสท้ังปวง จวบจนได้ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ การตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ขณะมี พระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม จากน้ันพระองค์ได้ออกประกาศส่ิงที่ พระองค์ตรัสรูต้ ลอดพระชนม์ชพี เป็นเวลากว่า ๔๕ พรรษา ทาใหศ้ าสนาพุทธดารงมั่นคงในฐานะศาสนาอันดับ หนึง่ อยู่ในชมพูทวีปตอนเหนือ จวบจนพระองค์ได้เสด็จปรินิพพาน เม่ือพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ณ สาลวโน ทยาน (ในวันขน้ึ ๑๕ ค่าเดือน ๖) พุทธประวตั ิ ประสตู ิ พระพุทธเจ้า พระนามเดิมว่า “ สิทธัตถะ “ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริ มหามายา แหง่ กรุงกบิลพสั ด์ุ แควน้ สกั กะ พระองค์ทรงถือกาเนิดในศากยวงค์ สกุลโคตมะ พระองค์ประสูติ ใน วนั ศกุ ร์ ขึ้น ๑๕ คา่ เดอื น ๖ ( เดือนวิสาขะ ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งต้ังอยู่ระหว่าง

6 กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ (ปัจจุบันคือตาบลรุมมินเด ประเทศเนปาล) การขนานพระนามและทรงเจรญิ พระชนม์ พระราชกุมารได้รับการทานายจากอสิตฤาษีหรือกาฬเทวิลดาบส มหาฤาษีผู้บาเพ็ญฌานอยู่ในปุาหิม พานต์ซ่ึงเป็นที่ทรงเคารพนับถือของพระเจ้าสุทโธทนะว่า “ พระราชกุมารน้ีเป็นอัจฉริยมนุษย์ มีลักษณะมหา บุรุษครบถ้วน บุคคลที่มีลักษณะดังน้ี จักต้องเสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิตแล้วตรัสรู้เป็นพระ อรหันตสัมมาสมั พุทธเจ้าผไู้ ม่มีกิเลสในโลกเปน็ แน่ ” หลงั จากประสตู ิได้ ๕ วัน พระเจา้ สทุ โธทนะโปรดให้ประชมุ พระประยูรญาติ และเชิญพราหมณ์ ผู้เรียนจบ ไตรเพท จานวน ๑๐๘ คน เพ่อื มาทานายพระลักษณะของพระราชกุมาร พระประยูรญาตไิ ดพ้ ร้อมใจกันถวายพระนามวา่ “สทิ ธตั ถะ” มคี วามหมายว่า “ ผ้มู คี วามสาเร็จสมประสงค์ ทุกส่ิงทุกอย่างที่ตนตั้งใจจะทา” ส่วนพราหมณ์เหล่านั้นคัดเลือกกันเองเฉพาะผู้ที่ทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่า พราหมณ์ทั้งหมดได้ ๘ คน เพื่อทานายพระราชกุมาร พราหมณ์ ๗ คนแรก ต่างก็ทานายไว้ ๒ ประการ คือ “ ถา้ พระราชกมุ ารเสดจ็ อยคู่ รองเรือนก็จกั เป็นพระเจ้าจักรพรรดผิ ู้ทรงธรรม หรือถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก” ส่วนโกณฑัญญะพราหมณ์ ผู้มีอายุน้อยกว่าทุกคน ได้ ทานายเพียงอย่างเดียวว่า“ พระราชกุมารจักเสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิต แล้วตรัสรู้เป็นพระ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก” เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็เสด็จ สวรรคต ( การเสดจ็ สวรรคตดงั กลา่ วเป็นประเพณขี องผู้ที่เปน็ พระมารดาของพระพุทธเจ้า ) พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้ถวายอภิบาล เลี้ยงดู เมือ่ พระสิทธัตถะทรงพระเจริญมพี ระชนมายุได้ ๘ พรรษา ได้ทรงศึกษาในสานักอาจารย์วิศวามิตร ซ่ึงมี เกียรตคิ ณุ แพร่ขจรไปไกลไปยงั แคว้นต่างๆ เพราะเปิดสอนศิลปวิทยาถึง ๑๘ สาขา เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษา ศิลปวทิ ยาเหลา่ น้ไี ด้อยา่ งวอ่ งไว และเช่ียวชาญจนหมดความสามารถของพระอาจารย์ อภิเษกสมรส ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์ม่ันคงที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาสเป็นพระจัก พรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสาราญ แวดล้อมด้วยความบันเทิงนานาประการแก่พระราช โอรสเพ่อื ผูกพระทัยให้ม่นั คงในทางโลก เมือ่ เจ้าชายสิทธตั ถะเจริญพระชนมไ์ ด้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมี พระราชดาริว่าพระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรส จึงโปรดให้สร้างปราสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น ๓ หลัง สาหรับใหพ้ ระราชโอรสไดป้ ระทับอย่างเกษมสาราญตามฤดกู าลท้งั ๓ คอื ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว แล้วต้ัง ชื่อปราสาทนั้นว่า รมยปราสาท สุรมยปราสาท และสุภปราสาทตามลาดับ และทรงสู่ขอพระนางพิมพาหรือ ยโสธรา พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะและพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงค์ ให้ อภิเษกด้วย เจ้าชายสิทธัตถะได้เสวยสุขสมบัติ จนพระชนมายุมายุได้ ๒๙ พรรษา พระนางพิมพายโสรธาจึง

7 ประสูติพระโอรส พระองค์มีพระราชหฤทัยสิเนหาในพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง เม่ือพระองค์ทรงทราบถึงการ ประสูติของพระโอรสพระองค์ตรัสว่า “ ราหุล ชาโต, พันธน ชาต , บ่วงเกิดแล้ว , เครื่องจองจาเกิดแล้ว ” ออกบรรพชา เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นผู้มีพระบารมีอันบริบูรณ์ ถึงแม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยสุขสมบัติ มหาศาลก็มิได้พอพระทัยในชีวิตคฤหัสถ์ พระองค์ยังทรงมีพระทัยฝักใฝุใคร่ครวญถึงสัจธรรมท่ีจะเป็นเครื่องนา ทางซง่ึ ความพน้ ทุกขอ์ ยเู่ สมอ พระองค์ไดเ้ คยสดจ็ ประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง ๔ คือคนแก่ คน เจ็บ คนตาย และบรรพชติ พระองคจ์ งึ สงั เวชพระทยั ในชวี ติ และพอพระทัยในเพศบรรพิต มีพระทัยแน่วแน่ที่จ ทรงออกผนวช เพ่ือแสวงหาโมกขธรรมอันเป็นทางดับทุกข์ถาวรพ้นจากวัฏสงสารไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิด อีก พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกทรงผนวช โดยพระองค์ทรงม้ากัณฐกะ พร้อมด้วยนายฉันนะ มุ่งสู่ แมน่ า้ อโนมานที แคว้นมัลละ รวมระยะทาง ๓๐ โยชน์ (ประมาณ ๔๘๐ กิโลเมตร ) เสด็จข้ามฝั่งแม่น้าอโนมา นทีแล้วทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต และทรงมอบหมายให้นายฉันนะนาเครื่องอาภรณ์และม้ากัณฐกะกลับ นครกบลิ พัสดเุ์ ขา้ ศกึ ษาในสานกั ดาบส ภายหลังท่ีทรงผนวชแล้ว พระองค์ได้ประทับอยู่ ณ อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละเป็นเวลา ๗ วัน จากนนั้ จึงเสด็จไปยงั กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จมาเฝูาพระองค์ ณ เง้ือมเขาปัณฑวะ ได้ ทรงเหน็ พระจริยาวตั รอนั งดงามของพระองค์ก็ทรงเล่ือมใส และทรงทราบว่าพระสมณสิทธัตถะทรงเห็นโทษใน กาม เห็นทางออกบวชว่าเป็นทางอันเกษม จะจาริกไปเพื่อบาเพ็ญเพียร และทรงยินดีในการบาเพ็ญเพียรน้ัน พระเจ้าพิมพิสารได้ตรัสว่า “ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน และเมื่อได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอได้โปรด เสดจ็ มายังแคว้นของกระหมอ่ มฉนั เปน็ แห่งแรก ”ซงึ่ พระองค์ก็ทรงถวายปฏญิ ญาแด่พระเจา้ พิมพสิ าร การแสวงหาธรรมระยะแรกหลังจากทรงผนวชแล้ว สมณสิทธัตถะได้ทรงศึกษาในสานักอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ณ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระองค์ได้ทรงประพฤติพรหมจรรย์ใน สานักของอาฬารดาบส กาลามโคตร ทรงได้สมาบัติคือ ทุติยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วญิ ญานญั จายตนฌาน และอากิญจัญญายตนฌาน ส่วนการประพฤติพรหมจรรย์ในสานักอุทกดาบส รามบุตร น้ันทรงได้สมาบตั ิ ๘ คอื เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สาหรับฌานที่ ๑ คือปฐมฌานน้ัน พระองค์ทรงได้ขณะ กาลงั ประทบั ขัดสมาธเิ จรญิ อานาปานสติกมั มฏั ฐานอยูใ่ ตต้ น้ หว้า เน่อื งในพระราชพธิ วี ปั ปมงคล ( แรกนาขวัญ ) เมอ่ื ครัง้ ทรงพระเยาว์ เมื่อสาเร็จการศึกษาจากทั้งสองสานักนี้แล้วพระองค์ทรงทราบว่ามิใช่หนทางพ้นจากทุกข์ บรรลุพระ โพธิญาณ ตามที่ทรงมุ่งหวัง พระองค์จึงทรงลาอาจารย์ทั้งสอง เสด็จไปใกล้บริเวณแม่น้าเนรัญชรา ที่ตาบลอุรุ เวลาเสนานิคม กรงุ ราชคฤห์ แควน้ มคธ

8 บาเพญ็ ทกุ รกิรยิ า “ ทุกร ” หมายถึง สิ่งท่ีทาได้ยาก “ ทุกรกิริยา” หมายถึงการกระทากิจท่ีทาได้ยาก ได้แก่การบาเพ็ญ เพยี รเพอ่ื บรรลธุ รรมวิเศษ” เมื่อพระองค์ทรงหันมาศึกษาค้นคว้าด้วยพระปัญญาอันย่ิงด้วยพระองค์เองแทนการศึกษาเล่าเรียนใน สานักอาจารย์ ณ ทิวเขาดงคสิริ ใกล้ลุ่มแม่น้าเนรัญชราน้ัน พระองค์ได้ทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา คือการบาเพ็ญ อย่างยิ่งยวดในลักษณะต่างๆเช่น การอดพระกระยาหาร การทรมานพระวรกายโดยการกลั้นพระอัสสาสะ พระ ปสั สาสะ ( ลมหายใจ ) การกดพระทนต์ การกดพระตาลุ ( เพดาน) ด้วยพระชิวหา (ล้ิน) เป็นต้น พระมหาบุรุษ ได้ทรงทรงบาเพญ็ ทุกรกริ ยิ าเป็นเวลาถึง ๖ ปี ก็ยังมิได้ค้นพบสัจธรรมอันเป็นทางหลุดพ้นจากทุกข์ พระองค์จึง ทรงเลกิ การบาเพ็ญทกุ รกริ ิยา แล้วกลบั มาเสวยพระกระยาหารเพ่ือบารงุ พระวรกายให้แข็งแรง ในการคิดค้นวิธี ใหม่ ในขณะท่ีพระมหาบุรุษทรงบาเพ็ญทุกรกิริยานั้น ได้มีปัญจวัคคีย์ คือ พราหมณ์ท้ัง ๕ คน ได้แก่ โกณ ฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เป็นผู้คอยปฏิบัติรับใช้ ด้วยหวังว่าพระมหาบุรุษตรัสรู้แล้วพวก ตนจะได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดความรู้บ้าง และเม่ือพระมหาบุรุษเลิกล้มการบาเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจัคคีย์ก็ได้ ชวนกันละท้ิงพระองค์ไปอยู่ ณ ปุาอิสิปตนมฤคทายวัน นครพาราณสี เป็นผลให้พระองค์ได้ประทับอยู่ตาม ลาพังในที่อันสงบเงียบ ปราศจากส่ิงรบกวนท้ังปวง พระองค์ได้ทรงตั้งพระสติดาเนินทางสายกลาง คือการ ปฏิบัติในความพอเหมาะพอควร นั่นเอง ตรสั รู้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เวลารุ่งอรุณ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ( เดือนวิสาขะ) ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี นางสุชาดาได้นาข้าวมธุปายาสเพื่อไปบวงสรวงเทวดา คร้ันเห็นพระมหาบุรุษประทับที่โคนต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร)ด้วยอาการอันสงบ นางคิดว่าเป็นเทวดา จึงถวายข้าวมธุปายาส แล้วพระองค์เสด็จไปสู่ท่าสุปดิษฐ์ริม ฝั่งแม่น้าเนรญั ชรา ทรงวางถาดทองคาบรรจุขา้ วมธปุ ายาสแลว้ ลงสรงสนานชาระล้างพระวรกาย แล้วทรงผ้ากา สาวพัสตร์อันเป็นธงชัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ หลังจากเสวยแล้วพระองค์ทรงจับถาด ทองคาข้ึนมาอธิษฐานว่า “ ถ้าเราจักสามารถตรัสรู้ได้ในวันน้ี ก็ขอให้ถาดทองคาใบน้ีจงลอยทวนกระแสน้าไป แต่ถ้ามิได้เป็นดังนั้นก็ขอให้ถาดทองคาใบน้ีจงลอยไปตามกระแสน้าเถิด ” แล้วทรงปล่อยถาดทองคาลงไปใน แม่น้า ถาดทองคาลอยตัดกระแสน้าไปจนถึงกลางแม่น้าเนรัญชราแล้วลอยทวนกระแสน้าขึ้นไปไกลถึง ๘๐ ศอก จงึ จมลงตรงท่ีกระแสนา้ วน ในเวลาเยน็ พระองค์เสดจ็ กลบั มายังต้นโพธิ์ที่ประทับ คนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะ ได้ถวายหญ้าปูลาดท่ีประทับ ณ ใต้ต้นโพธ์ิ พระองค์ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และทรงต้ังจิต อธิษฐานวา่ “ แมเ้ ลือดในกายของเราจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม ถ้ายังไม่บรรลุธรรมวิเศษ แล้ว จะไม่ยอมหยุดความเพียรเป็นอันขาด ” เมื่อทรงตั้งจิตอธิษฐานเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงสารวมจิตให้ สงบแน่วแน่ มีพระสติต้ังม่ัน มีพระวรกายอันสงบ มีพระหทัยแน่วแน่เป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากกิเลส

9 ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อนโยน เหมาะแก่การงาน ต้ังมั่นไม่หวั่นไหว ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อปุพเพนิวา สานุสสติญาณ ( ญาณเป็นเหตุระลึกถึงขันธ์ที่อาศัยในชาติปางก่อนได้ )ในปฐมยามแห่งราตรี ต่อจากน้ันทรง น้อมพระทัยไปเพื่อจูตุปาตญาณ ( ญาณกาหนดรู้การตาย การเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ) ในมัชฌิมยามแห่งราตรี ต่อจากน้ันทรงนอ้ มพระทยั ไปเพือ่ อาสวกั ขยญาณ ( ญาณหยั่งร้ใู นธรรมเป็นทส่ี ิน้ ไปแหง่ อาสวกิเลสท้ังหลาย) คือ ทรงรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ น้ีทุกขสมุทัย น้ีทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา น้ีอาสวะ นี้อาสว สมุทัย นี้อาสวนิโรธ น้ีอาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อทรงรู้เห็นอย่างนี้ จิตของพระองค์ก็ทรงหลุดพ้นจากกาม สวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เม่ือจิตหลุดพ้นแล้วพระองค์ก็ทรงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ทรงรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว อยู่ จบพรหมจรรย์แลว้ ทากจิ ทคี่ วรทาเสรจ็ แลว้ ไม่มกี จิ อ่นื เพือ่ ความเป็นอย่างน้ีอีกต่อไป นั่นคือพระองค์ทรงบรรลุ วิชชาท่ี ๓ คือ อาสวักขยญาณ ในปัจฉิมยาม แห่งราตรีนั้นเอง ซึ่งก็คือการตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจา้ จากการทพี่ ระองคท์ รงบาเพ็ญพระบารมมี าอยา่ งยง่ิ ยวด พระองค์ทรงตรัสรู้ในวันเพ็ญ เดอื น ๖ ปรี ะกา ขณะพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา นับแต่วันท่ีสด็จออกผนวชจนถึงวันตรัสรู้ธรรม รวมเป็นเวลา ๖ ปี พระธรรมอันประเสรฐิ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รูน้ ้ัน คอื อริยสจั ๔ ( ทุกข์ สมทุ ัย นโิ รธ มรรค ) ประกาศพระศาสนาคร้งั แรก เม่ือพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทรงเสวยวิมุติสุข ณ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธ์ิเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ ทรง ราพงึ วา่ ธรรมะทีพ่ ระองค์ตรัสรเู้ ปน็ การยากสาหรับคนทัว่ ไป จงึ ทรงน้อมพระทัยไปในทางท่ีจะไม่ประกาศธรรม พระสหัมบดีพรหมทราบวาระจิตของพระองค์จงึ อาราธนาให้โปรดมนษุ ย์ โดยเปรียบเทียบมนุษย์เหมือนดอกบัว ๔ เหลา่ และในโลกน้ียังมีเหลา่ สัตวผ์ ูม้ ธี ลุ ีในดวงตาเบาบาง สัตว์เหลา่ น้ันจะเสอื่ มเพราะไม่ได้ฟังธรรม เหล่าสัตว์ ผู้ท่ีสามารถรู้ท่ัวถึงธรรมได้ ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าจึงทรงน้อมพระทัยไปในการแสดงธรรม แล้วเสด็จไปโปรด ปัญจวัคคีย์ ณ ปุาอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงแสดงปฐมเทศนา ในวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๘ ( เดือนอาสาฬหะ) เรียกว่า ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ในขณะท่ีทรงแสดงธรรม ท่านปัญญาโกณฑัณญะได้ธรรมจักษุ คือบรรลุพระ โสดาบัน ได้ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกการบวชคร้ังน้ีว่า ” “เอหภิ ิกขุอปุ สัมปทา”พระอญั ญาโกณฑัญญะจงึ เปน็ พระภิกษรุ ปู แรกในพระพทุ ธศาสนา ทรงปรนิ ิพาน พระพุทธเจ้าทรงบาเพ็ญพุทธกิจอยู่จนพระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระองค์เสด็จจาพรรษาสุดท้ายณ เมืองเวสาลี ในวาระน้ันพระพุทธองค์ทรงพระชราภาพมากแล้วท้ังยังประชวรหนักด้วย พระองค์ได้ทรงพระ ดาเนินจากเวสาลีสู่เมืองกุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองน้ัน พระพุทธองค์ได้หันกลับไป ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีซึ่งเคยเป็นท่ีประทับ นับเป็นการทอดทัศนาเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเสด็จ ต่อไปยังเมืองปาวา เสวยพระกระยาหารเป็นคร้ังสุดท้ายท่ีบ้านนายจุนทะ บุตรนายช่างทอง พระพุทธองค์ทรง พระประชวรหนักอย่างยิง่ ทรงขม่ อาพาธประคองพระองค์เสด็จถึงสาลวโนทยาน (ปุาสาละ)ของเจ้ามัลละเมือง

10 กุสินารา กอ่ นเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานพระองคไ์ ด้อุปสมบทแกพ่ ระสุภัททะปริพาชก นับเป็นสาวกองค์สุดท้ายที่ พระพุทธองคท์ รงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆท์ ั้งที่เป็นพระอรหันตแ์ ละปถุ ชุ น พระราชา ชาวเมืองกุสนิ ารา และจากแคว้นต่างๆรวมทั้งเทวดาทั่วหมื่นโลกธาตุ พระพุทธองค์ได้มีพระ ดารสั ครั้งสาคญั วา่ “ โย โว อานนท ธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถา ” อันแปลว่า “ ดกู ่อนอานนท์ ธรรมและวินยั อนั ท่ีเราแสดงแลว้ บัญญตั แิ ลว้ แก่เธอท้ังหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของ เธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ” และพระพุทธองค์ได้แสดงปัจฉิมโอวาทแก่พระภิกษุสงฆ์ว่า “ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย น้ีเป็นวาจาคร้ังสุดท้าย ท่ีเราจะกล่าวแก่ท่านท้ังหลาย สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความสิ้นไปและเส่ือม ไปเปน็ ธรรมดา ท่านทง้ั หลายจงทาความรอดพน้ ให้บรบิ รู ณ์ถงึ ที่สดุ ด้วยความไม่ประมาทเถิด ” แมเ้ วลาล่วงมาถึงศตวรรษที่ ๒๕ แล้ว นับต้ังแต่พระองค์ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ เสด็จดับขันธปรินิพพานที่นอกเมืองกุสินาราในประเทสอินเดีย แต่คาส่ังสอนอันประเสริฐของพระองค์หาได้ ล่วงลับไปด้วยไม่ คาสั่งสอนเหล่านั้นยังคงอยู่ เป็นเครื่องนาบุคคลให้ข้ามพ้นจากความมีชีวิต ข้ึนไปสู่ซ่ึงคุณค่า ย่งิ กวา่ ชีวิตคอื การพน้ จากวฏั สงสารนั่นเอง หลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว สาวกของพระองค์ทั้งท่ีเป็นพระอรหันต์และมิใช่ พระอรหันต์ได้ช่วยบาเพ็ญกรณียกิจเผยแผ่พระพุทธวัจนะอันประเสริฐไปท่ัวประเทศอินเดีย และขยายออกไป ทั่วโลก เป็นที่ยอมรับว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเป็นจริง มีเหตุผลเช่ือถือได้และ เป็นศาสนาแห่ง สันตภิ าพและเสรีภาพอยา่ งแท้จริง สรุปพุทธกจิ ในรอบวนั ของพระพุทธองค์ ๑. ปุพพณเห ปณิ ฑปาตญจ ตอนเชา้ เสด็จออกบิณฑบาตเพื่อโปรดเวไนยสตั ว์ ๒. สายณเห ธมมเทสน ตอนเยน็ ทรงแสดงธรรมโปรดมหาชนทม่ี าเขา้ เฝาู ๓. ปโทเส ภิกขโุ อวาท ตอนหวั คา่ ประทานโอวาทแก่ภกิ ษุท้งั เก่าและใหม่ ๔. อฑฒรตเต เทวปญหาน ตอนเท่ียงคืนทรงวิสัชชนาปัญหาใหแ้ กเ่ ทวดาชั้นต่างๆ ๕. ปจจสเสว คเต กาเล ภพพาภพเพ วิโลกน ตอนใกลร้ งุ่ ตรวจดสู ัตว์โลกทสี่ ามารถและไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แล้วเสด็จไปโปรดถงึ ที่ แม้วา่ หนทางจะลาบากเพยี งใดกต็ าม ภาพจิตรกรรมฝาผนงั พระพทุ ธประวตั ิ ภายในอโุ บสถ วัดหมอนไม้

11 หลกั ธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา ศาสนาทุกศาสนามีหลักธรรมคาสอนเป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจของศาสนิกชน โดยทุก ศาสนามี เปาู หมายเดียวกันคือ “มุ่งให้ทุกคนมีธรรมะ มีคุณธรรม และสอนให้คนเป็นคนดี” ดังน้ัน ศาสนาแต่ละศาสนา จึงมีหลกั ธรรมคาสอนของตนเอง เป็นแนวทางในการประพฤติปฏบิ ัติ ศาสนาพุทธมีหลักธรรมคาสอนที่พุทธศาสนิกชนยึดถือ และใช้เป็นแนวทางในการดาเนินชีวิต หลาย ประการ ไดแ้ ก่ อริยสัจ ๔ ทศิ ๖ ธรรมคณุ ๖ สัปปุรสิ ธรรม ๗ อิทธิบาท ๔ อบายมขุ ๖ เปน็ ต้น อรยิ สัจ ๔ คือ ความจริงสดุ ยอดซง่ึ พระพุทธเจา้ ไดท้ รงตรัสรู้และ ได้ แสดงต่อจาก โอวาทปาติโมกข์ ความจริงสุด ยอดอันประเสรฐิ มี ๔ ประการ ได้แก่ ๑.ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ทาให้เกิดปัญหาแก่ การดาเนินชีวิต แบ่งเป็น ๒ ประเภท ใหญ่ ๆ คือ สภาวทุกข์ หมายถงึ ทกุ ข์ประจา ที่เป็นไปตามธรรมชาติคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ปกิณณกทุกข์ หมายถึง ทุกข์จร ที่อาจเกิดขนึ้ เพราะเหตตุ า่ ง ๆ เช่น ความเศร้าโศก น้อยใจ ตรอมใจ เจ็บปุวยไม่สบายกาย การประสพกับ ส่ิงท่ี ไม่รัก การพลัดพรากจากส่งิ ทรี่ กั และความไมส่ มปรารถนา ๒.สมุทัย สาเหตทุ ่ีทาให้เกิดความทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ตณั หา (ความอยาก) มี ๓ ลกั ษณะ คือ (๑) กามตณั หา คือ ความอยากได้ อยากมี อยากเปน็ ในส่ิงทไ่ี ม่เคยได้ ไมเ่ คยมี และ ไม่เคยเป็น (๒) ภวตัณหา หมายถึง ความอยากให้คงอยู่ เช่น เกียรติยศ ช่ือเสียง อานาจ คาสรรเสริญ อยากให้สิ่งเหล่านั้น ดารงอยู่กบั ตนเองตลอดไป (๓) วิภวตัณหา หมายถึง ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เช่น ความไม่พอใจในสถานะ ท่ีตนมีอยู่ เป็นอยู่ใน ปัจจบุ นั ๓.นิโรธ คือความดับทุกข์คือ การละตัณหา 3 ประการดังกล่าว เม่ือละต้นเหตุของทุกข์ เสียได้ ความทุกข์ย่อม ไม่มี ๔. มรรค หมายถงึ วธิ ีดับทุกข์ เป็นแนวทางปฏบิ ตั เิ พือ่ ท่ีจะละตัณหาซง่ึ เป็นตน้ เหตขุ องทุกข์ มี ๘ ประการดังน้ี มรรค ๘ (แนวทางดับทุกข์ มี ๘ ประการดงั นี)้ (๑) สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) ได้แก่ การมคี วามเหน็ ทีถ่ ูกต้อง เชน่ ยอมรบั เรอ่ื งบาป บุญ กรรมดี กรรมชั่ว ชาติ น้ีและชาติหน้า ในระดบั ทล่ี ะเอยี ดอ่อนขึ้นไปอีกคือ ความเข้าใจในอริยสจั ๔

12 (๒) สมั มาสังกัปปะ (ความดาริชอบ) ได้แก่ การคดิ เพอื่ ท่ีจะใหจ้ ติ ใจของตนเองเป็นอิสระคือ คิดปลีกตัวออกจาก กาม ไม่ตกเป็นทาศของรูป รส กล่ิน เสียง สัมผัส จนเกินไป ไม่คิดพยาบาท และ ประการสุดท้ายคือ ไม่คิด เบยี ดเบียนผ้อู ืน่ (๓) สัมมาวาจา (วาจาชอบ) การเว้นจากวจีทุจริต ๔ คือ เว้นจากการพูดเท็จ (มุสาวาจา) เว้นจากการพูด ส่อเสียด (ปีสุณาวาจา) เว้นจากการพูดคาหยาบ (ผรุสวาจา) เว้นจากการพูด เพ้อเจ้อ ไร้สาระ (สัมผัปปลาป วาจา) (๔) สัมมากัมมันตะ (การกระทาชอบ) ได้แก่ การงดเว้นจากกายทุจริต คือ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และไม่ ประพฤติ ผดิ ในกาม (๕) สมั มาอาชวี ะ (การเลย้ี งชีวติ ชอบ) ได้แก่ การประกอบอาชีพที่ไม่ผิดศีลธรรมและ ไม่ เบียดเบียน ผู้อ่ืน รวม ความไปถงึ การไมอ่ ย่เู ฉย ๆ โดยไร้ประโยชน์ ต้องเป็นผูท้ ที่ างานประกอบอาชีพ (๖) สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) ได้แก่ การเพียรระวังไม่ให้ความช่ัวเกิดขึ้น หรือเพียร ขจัดความช่ัวที่ได้ เกิดขึ้นแล้ว เพียรสร้างความดีให้เกิดข้ึน และเพียรรักษาความดีท่ีมีอยู่แล้วให้คงอยู่ ตลอดไป (๗) สมั มาสติ (ความระลกึ ชอบ) คือ การกาหนดร้พู ฤตกิ รรมของจิต ระลึกได้ตลอดเวลาว่า ตนเองกาลังคิดอะไร ทาอะไร ไมเ่ ปน็ คนใจลอย ไมป่ ระสาท มคี วามรอบคอบ (๘) สัมมาสมาธิ (ความต้ังใจชอบ) ได้แก่ การต้ังจิตให้มั่นคง สามารถควบคุมอารมณ์ได้ จนกระท่ังสามารถ บังคบั จติ ใจ ใหห้ ยุดน่งิ อยกู่ บั อารมณอ์ ันเดียว ทิศ ๖ ทศิ ๖ หรอื การปฏบิ ัตชิ อบระหวา่ งบุคคลผู้มีอุปการะคณุ ต่อกัน ๖ พวก คอื ๑.ปุรัตถมิ ทสิ หมายถึง ทิศเบ้ืองหน้า คือ บิดามารดา ปุูย่า ตายาย และผู้มีอุปการะอื่นๆท่ีเล้ียงดูเรามาในเบื้อง หนา้ ๒.ทกั ขิณทสิ หมายถึง ทศิ เบ้อื งขวา คือ ครูบาอาจารยท์ ่พี ร่าสอนวชิ าในเบอื้ งขวา ๓.ปัจฉิมทิส หมายถึง ทิศเบื้องหลัง คือ บุตร ผู้เป็นทาญาติ ภรรยา และสามี ผู้เป็นคู่ชีวิต ที่คอยให้กาลังใจใน เบอื้ งขวา ๔.อุตตรทิส หมายถึง ทิศเบ้ืองซ้าย คือ มิตรสหายที่คอยช่วยเหลือคร้ันเมื่อตกทุกข์ได้ยากในเบื้องซ้าย ๕.อปุ รมิ ทิส หมายถงึ ทศิ เบ้ือล่าง คอื บริวารหรอื ผรู้ บั ใช้ท่คี อยปรนนบิ ัติในเบือ้ งล่าง ๖.เหฏฐมิ ทิส หมายถึง ทศิ เบื้องบน คอื สามเณร ภิกษุ ภกิ ษุณผี มู้ ีศลี อันสูงกวา่ ทคี่ อยพร่าสอนธรรมในเบ้อื งบน

13 สปั ปรุ ิสธรรม ๗ สัปปุริสธรรม ๗ คือ หลักธรรมของคนดีหรือหลักธรรมของสัตตบุรุษ ๗ ประการ ได้แก่ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จัก ตน รู้จกั ประมาณ ร้จู กั กาล รูจ้ กั ปฏิบัติ และรูจ้ ักบคุ คล ๑. รู้จักเหตุหรือธมั มัญญุตา หมายถึง ความเปน็ ผู้ร้จู กั เหตุ รู้จกั วิเคราะหห์ าสาเหตุ ของสงิ่ ต่าง ๆ ๒. รู้จกั ผลหรอื อัตถญั ญตุ า หมายถงึ ความเป็นผรู้ ูจ้ ักผลท่ีจะเกดิ ข้ึนจากการกระทา ๓. ร้จู ักตนหรืออตั ตญั ญุตา หมายถึง ความเปน็ ผู้รจู้ ักตน ทัง้ ในดา้ นความรู้ คณุ ธรรม และความ สามารถ ๔. ร้จู กั ประมาณหรือมัตตัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักประมาณ รู้จักหลักของความ พอดี การดาเนินชีวิต พอเหมาะพอควร ๕. รู้จักกาลเวลาหรือกาลัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา รู้จักเวลาไหนควรทา อะไร แล้วปฏิบัติให้ เหมาะสม กบั เวลาน้นั ๆ ๖. รู้จักปฏิบัติหรือปริสัญญตา หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติ การปรับตน และแก้ไขตน ให้เหมาะสมกับ สภาพของ กลุม่ และชุมชน ๗. รู้จักบุคคลหรือบุคคลัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับบุคคล ซ่ึงมีความแตกต่าง กนั การที่ บุคคลใดนาเอาหลักสัปปุริสธรรม ๗ มาใช้ในการดาเนินชวี ติ จะชว่ ยให้ ชวี ติ พบกับความสุข ในชีวิตได้ อิทธิบาท ๔ อทิ ธบิ าท ๔ คอื หลกั ธรรมท่ีนาไปสู่ความสาเรจ็ แห่งกจิ การ มี ๔ ประการคือ ฉนั ทะ วิริยะ จติ ตะ วมิ งั สา ๑. ฉนั ทะ คอื ความพอใจ ใฝุรัก ใฝุหาความรู้ และใฝุสร้างสรรค์ ๒. วิรยิ ะ คอื ความเพียรพยายาม มีความอดทนไมท่ อ้ ถอย ๓. จิตตะ คือ ความเอาใจใสแ่ ละต้ังใจแน่วแน่ในการทางาน ๔. วมิ ังสา คอื ความหมน่ั ใช้ปญั ญาและสติในการตรวจตราและคิดไตร่ตรอง กุศลกรรมบท ๑๐ กุศลกรรมบท ๑๐ เป็นหนทางแห่งการทาความดีงาม ทางแห่งกุศลซึ่งเป็นหนทางนาไปสู่ความสุข ความเจริญ แบ่งออกเป็น ๓ ทางคือ กายกรรม๓ วจกี รรม๔ และมโนกรรม๓ ๑.กายกรรม๓ หมายถงึ ความประพฤตดิ ที ี่แสดงออกทางกาย ๓ ประการ ไดแ้ ก่

14 (๑) เว้นจากการฆ่าสัตว์ คือ การละเว้นจากการฆ่าสตั ว์ การเบยี ดเบียนกัน เป็นผูม้ เี มตตา กรณุ า (๒) เว้นจากการลักทรัพย์ คือ ละเว้นจากการลักขโมย เคารพในสิทธิของผู้อ่ืน ไม่หยิบฉวย เอาของคนอื่นมา เป็นของตน (๓) เวน้ จากการประพฤติผดิ ในกาม คือ การไม่ล่วงละเมดิ สามหี รอื ภรรยาผู้อื่น ไม่ล่วง ละเมิด ประเวณีทางเพศ ๒.วจีกรรม๓ หมายถงึ การเปน็ ผมู้ คี วามประพฤตดิ ซี ง่ึ แสดงออกทางวาจา ๔ ประการ ไดแ้ ก่ (๑) เว้นจากการพดู เทจ็ คอื พูดแต่ความจรงิ ไม่พูดโกหก หลอกลวง (๒) เว้นจากการพูดส่อเสียด คือ พูดแต่ในส่ิงที่ทาให้เกิดความสามัคคี กลมเกลียว ไม่พูดจา ในสิ่งท่ีก่อให้เกิด ความ แตกแยก แตกร้าว (๓) เว้นจากการพูดคาหยาบ คือ พูดแต่คาสุภาพ อ่อนหวาน อ่อนโยน กับบุคคลอื่นทั้ง ต่อหน้า และลับหลัง (๔) เว้นจากการพดู เพ้อเจ้อ คือพูดแต่ความจริง มีเหตุมีผลเน้นเน้ือหาสาระที่เป็น ประโยชน์ พูดแต่ส่ิงที่จาเป็น และพดู ถูกกาลเทศะ ๓.มโนกรรม ๓ หมายถงึ ความประพฤติท่เี กดิ ขนึ้ ในใจ ๓ ประการ ได้แก่ (๑) ไมอ่ ยากได้ของของเขา คือ ไม่คดิ จะโลภอยากไดข้ องผอู้ ื่นมาเป็นของตน (๒) ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อน่ื คอื มีจิตใจดี มีความปรารถนาดี อยากให้ผูอ้ ื่นมคี วามสขุ ความเจรญิ (๓) มีความเห็นที่ถูกต้อง คือ มีความเชื่อในเร่ืองการทาความดีได้ดี ทาชั่วได้ช่ัว และมี ความ เชื่อว่า ความ พยายามเปน็ หนทางแห่งความสาเร็จ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ อกศุ ลกรรมบถ ถือเป็ นวถิ ีการปฏิบตั หิ รือการกระทาในทางอนั ไมด่ ีงาม ไมถ่ กู ต้องตามหลกั ศีลธรรมหรือตามคนั รองคลอง ธรรม ทั้งทางกาย วา และใจ อันนาไปสู่ความเสื่อม และความทุกข์ แก่ตน และแก่ผู้อื่น ประกอบด้วย ๑๐ ประการ คอื ๑. ปาณาตบิ าต (การฆ่าสัตวต์ ดั ชีวติ ) ๒. อทินนาทาน (การลกั ทรพั ย์) ๓. กาเมสุมิจฉาจาร (การประพฤตผิ ดิ ทางกาม) ๔. มสุ าวาท (การพดู ปด) ๕. ปิสุณวาจา (การพดู ส่อเสยี ด)

15 ๖. ผรุสวาจา (การพูดคาหยาบ) ๗. สมั ผปั ปลาปะ (การพดู เพ้อเจอ้ ) ๘. อภิชฌา (ความโลภ) ๙. พยาบาท (ความพยาบาท) ๑๐. มิจฉาทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผิด) สงั คหวัตถุ ๔ สังคหวัตถุ ๔ เป็นหลักธรรมคาสอนทางพุทธศาสนาทีเ่ ป็นวธิ ปี ฏบิ ตั เิ พอื่ ยึดเหน่ียวจิตใจคนอ่ืนท่ียัง ไม่เคยรักใคร่ นับถือ ให้เกิดความรัก ความนับถือ สังคหวัตถุเป็นหลักธรรมท่ีช่วยผูกไมตรีซึ่งกันและกันให้ แน่นแฟูนย่ิงขึ้น ประกอบด้วย ทาน ปยิ วาจา อตั ถจริยา สมานัตตตา ๑. ทาน คือ การให้ปันส่ิงของของตนให้แก่ผู้อ่ืนด้วยความเต็มใจ เพ่ือให้ประโยชน์แก่ผู้รับ การให้เป็นการยึด เหนย่ี วน้าใจกนั อยา่ งดยี ่งิ เปน็ การสงเคราะห์สมานนา้ ใจกัน ผูกมิตรไมตรีกนั ใหย้ ่ังยืน ๒. ปิยวาจา คือ การเจรจาด้วยถ้อยคาไพเราะอ่อนหวาน พูดชวนให้คนอ่ืนเกิดความรักและ นับถือ คาพูดท่ีดี นั้นย่อมผูกใจคน ให้แน่นแฟูนตลอดไป หรือแสดงความเห็นอกเห็นใจ ให้กาลังใจ รู้จักพูดให้เกิด ความเข้าใจดี สมานสามคั คี ยอ่ มทาให้เกดิ ไมตรี ทาให้ รักใคร่นบั ถอื และชว่ ยเหลือ เกอ้ื กลู กนั ๓. อัตถจริยา คือ การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน คือช่วยเหลือด้วยแรงกายและ ขวนขวาย ช่วยเหลือ กิจการต่าง ๆ ให้ลุล่วงไป เป็นคนไม่ดูดาย ช่วยให้เกิดสติสานึกในความผิดชอบช่ัวดี หรือช่วย แนะนาให้เกิด ความรู้ ความสามารถในการ ประกอบอาชีพ ๔. สมานัตตา คือ การวางตนเป็นปกติเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ถือตัวการวางตนให้ เหมาะสม กับฐานะของตน ตามสภาพ ได้แก่ เป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อย หรือผู้เสมอกัน เอาใจใส่ปฏิบัติตามฐานะ ผู้น้อย คารวะนอบน้อมยาเกรง ผู้ใหญ่ อบายมขุ ๖ คาวา่ อบายมุข คอื หนทางแห่งความเสือ่ ม หรือหนทางแหง่ ความหายนะ ความฉบิ หาย มี ๖ อย่าง ไดแ้ ก่ ๑. การเปน็ นกั เลงผู้ใหญ่ หมายถึง การเป็นคนมีจิตใจใฝุในเรื่องเพศ เป็นคนเจ้าชู้ ทาให้เสีย ทรัพย์สิน เงินทอง สูญเสยี เวลาและเสยี สุขภาพ

16 ๒. การเป็นนักเลงสุรา หมายถึง ผู้ที่ดื่มสุราจนติดเป็นนิสัย การดื่มสุรานอกจากจะทาให้เสียเงิน ทองแล้ว ยัง เสยี สขุ ภาพ และบั่นทอนสติปญั ญาอกี ด้วย ๓. การเป็นนักเลงการพนัน หมายถึง ผู้ท่ีชอบเล่นการพนันทุกชนิด การเล่นการพนันทาให้ เสียทรัพย์สิน เสีย สุขภาพ การพนนั ไมเ่ คยทาให้ใครร่ารวย ม่งั มเี งนิ ทองได้เลย ๔. การคบคนชว่ั เป็นมิตร หมายถงึ การคบคนไมด่ หี รอื คนชั่ว คนชั่วมกั ชักชวนให้ทาในส่ิงท่ีไม่ ถูกต้อง และอาจ นาความเดือดร้อนมาส่ตู นเองและครอบครัว ๕. การเที่ยวดูการละเล่น หมายถึง ผู้ที่ชอบเที่ยวการละเล่นกลางคืน ทาให้เสียทรัพย์และ อาจทาให้เกิดการ ทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว ๖. เกียจครา้ นทาการงาน หมายถงึ ผูไ้ มช่ อบทางาน ขเ้ี กยี จ ไมข่ ยนั ขนั แขง็ เบญจศลี เบญจธรรม เบญจศีลเบญจธรรม คือ หลักธรรมทีค่ วรปฏิบตั ิควบคู่กนั มุง่ ใหบ้ คุ คลทาความดี ละเวน้ ความช่วั เบญจศีล (สงิ่ ทค่ี วรละเวน้ ) เบญจธรรม (ส่งิ ท่ีควรปฏบิ ัติ) ๑.เว้นจากการฆา่ สัตว์ ๑.มคี วามเมตตากรุณา ๒.เว้นจากการลักทรัพย์ ๒.ประกอบอาชพี สุจรติ ๓.เว้นจากการประพฤติผดิ ในกาม ๓.มคี วามสารวจในกาม ๔.เวน้ จากการพูดเท็จ ๔.พดู ความจริง ไมพ่ ดู โกหก ๕.เว้นจากการเสพของมนึ เมา ๕.มีสติสมั ปชญั ญะ โลกบาลธรรมหรอื ธรรมคุ้มครองโลก โลกบาลหรือธรรมคุ้มครองโลก เป็นหลักธรรมที่ช่วยให้มนุษย์ทุกคนในโลก อยู่กันอย่างมี ความสุข มีน้าใจ เอ้อื เฟ้ือ มคี ณุ ธรรมและทาแต่สง่ิ ทเ่ี ป็นประโยชน์ ประกอบดว้ ยหลักธรรม ๒ ประการ ได้แก่ หิริโอตตปั ปะ ๑. หิริ คอื ความละอายในลักษณะ ๓ ประการ แล้วไม่ทาความชั่ว (บาป) คอื (๑) ละอายแกใ่ จ หรอื ความรสู้ ึกทเ่ี กิดข้นึ ในใจตนเองแลว้ ไม่ทาความชว่ั (๒) ละอายผูอ้ น่ื หรือสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ แล้วไม่ทาความช่ัว (๓) ละอายตอ่ ความชวั่ ทต่ี นจะทาน้นั แล้วไมท่ าความชวั่ ๒. โอตตปั ปะ คือ ความเกรงกลัว หมายถึง

17 (๑) เกรงกลวั ตนเอง ตเิ ตยี นตนเองได้ (๒) เกรงกลัวผู้อน่ื แล้วไม่กล้าทาความช่ัว (๓) เกรงกลัวต่อผลของความชว่ั ที่ทาจะเกิดขน้ึ แก่ตน (๔) เกรงกลัวต่ออาญาของแผ่นดินแล้วไม่กลา้ ทาความชั่ว กตัญญูกตเวที เป็นเครอ่ื งหมายของคนดี คาว่า “กตัญญู” แปลว่า “การรู้คุณคน” ส่วนคาว่า “กตเวที” แปลว่า การตอบแทนผู้มีบุญคุณ กับเรา ดังน้ัน คาว่า กตัญญกู ตเวที จึงหมายถึง “การรคู้ ุณคนและตอบแทนผู้มีบุญคุณกับเรา”บุคคลผู้มีอุปการะคุณแก่คนเรา นนั้ มมี ากมาย แบ่งกวา้ ง ๆ ได้ ๕ กลุม่ ประกอบด้วย ๑. ทางสกลุ ได้แก่ บิดา มารดา ปูุ ย่า ตา ยาย ลงุ ปูา นา้ อา เปน็ ต้น ๒. ทางการศึกษา ได้แก่ ครบู าอาจารย์ หรอื บุคคลทีอ่ บรมสั่งสอนเรา ๓. ทางการปกครอง ไดแ้ ก่ พระมหา กษัตริยแ์ ละเช้ือพระวงศ์ทุกพระองค์ ๔. ทางศาสนา ได้แก่ องค์พระศาสดาของทุกศาสนา ๕. ทางอื่น ได้แก่ ผมู้ อี ุปการะคณุ ทางอ้อม เช่น เพ่อื นฝงู เพอ่ื นบา้ น เจา้ หนา้ ที่บา้ นเมืองที่ ปฏิบตั ิหน้าทีด่ ้ว ความซือ่ สตั ย์ สุจรติ เป็นต้น “ธรรมะ ๔ ประการนัน้ ก็มสี จั จะ - ความจริงใจ มีทมะ - การบังคับตัวเอง ขันติ - ความ อดกลั้น อดทน จาคะ - บริจาคสง่ิ ทีไ่ ม่ควรมีอยู่ในตน ก็เรียกว่า มีฆราวาสธรรมที่สมบูรณ์ จะเป็น เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ ดี คนหนุ่ม คนสาว คนแก่ คนเฒ่าก็ดี เป็นฆราวาสก็ดี เป็นพระเจ้า พระสงฆ์ก็ดี ล้วนแต่อาศัยธรรมะทั้ง ๔ อย่างนี้เป็นเครื่องกาจัดซึ่งส่ิงไม่พึงปรารถนา แล้วมาทาให้เกิดสิ่งท่ี พึงปรารถนาข้ึนมาอย่างครบถ้วน ก็ เป็นอันว่าจะได้รับสิ่งที่ดีท่ีสุดเพิ่มขึ้น ๆ จน จะถึงส่ิงท่ีดีท่ีสุด ท่ีสูง สุด ท่ีมนุษย์เราควรจะได้รับ” พทุ ธทาสภกิ ขุ นกั บวช นักบวช คือผู้เข้าสู่ธรรมวินัย ปฏิบัติตามหลักพรหมจรรย์คือศีล สมาธิ ปัญญา เพ่ืออบรมขัดเกลาชีวิต ม่งุ ตรงต่อนิพพาน เรยี กภกิ ษุบ้าง สมณะบา้ ง ทาหนา้ ที่อบรมตนและช่วยเหลอื สงั คม

18 ศาสนาพทุ ธ เรียกนกั บวชวา่  ภิกษุ  สามเณร หรอื เณร คอื เยาวชนท่บี วชในศาสนา  ภกิ ษุณี หรอื แมช่ ี ภกิ ษุ ภิกษุ หรือ พระภิกษุ เป็นคาใช้เรียก \"นักบวชชาย\" ในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ คู่กับ ภกิ ษุณี (นักบวชหญงิ ) คาวา่ ภกิ ษุ เป็นศพั ท์เฉพาะในพระพุทธศาสนา เปน็ ศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชชายใน พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่สาธารณะทั่วไปสาหรับทุกศาสนา มีความหมายว่า ผู้ขอ (ขออาหาร เป็นต้น) และสามารถแปลวา่ ผูเ้ ห็นภัยในวฏั ฏสงสาร ในประเทศไทยและประเทศลาว มีคาเรียกภิกษุเถรวาทว่า \"พระ\" แปลว่าผู้ประเสริฐ เป็นคาที่เรียกกัน มาแต่โบราณเพอ่ื เป็นการยกย่องนกั บวชในพระพทุ ธศาสนา การบวชเป็นภิกษุเถรวาท ประเภทของการบวชเป็นภกิ ษุ ๑.เอหภิ กิ ขอุ ปุ สัมปทา เป็นช่ือเรียกวิธีอุปสมบทเป็นภิกษุในสมัยพุทธกาลยุคต้นๆ โดยพระพุทธเจ้าประทานให้ด้วยพระองค์เอง ด้วยการตรัสว่า \"เอหิภิกขุ....\" ซึ่งแปลว่า \"จงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติ พรหมจรรย์เพอื่ ทาท่ีดที ่สี ุดแหง่ ทกุ ขโ์ ดยชอบเถดิ \" ตรัสเท่าน้ี ก็เป็นภิกษุแล้ว เพราะคาตรัสข้ึนต้นว่า เอหิ ภิกขุ จึงเรียกการอุปสมบทแบบน้ี วา่ เอหิภิกขอุ ปุ สัมปทา เรียกผู้ไดร้ ับการอปุ สมบทวา่ เอหิภกิ ขุ

19 การอุปสมบทแบบนี้ทรงประทานแก่พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นท่านแรก จึงถือว่าท่านเป็นปฐมสาวกหรือ เป็นปฐมภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา ต่อมาเมื่อมีผู้มาขอบวชมากข้ึนได้ทรงเลิกวิธีอุปสมบทแบบนี้ ทรงเปล่ียนเป็น วิธีติสรณคมนปู สมั ปทา และเปน็ วธิ ีญตั ติจตตุ ถกรรมวาจาซงึ่ ใชม้ าจนถงึ ปจั จุบัน ๒.ติสรณคมนูปสัมปทา การอุปสมบทด้วยการเข้าถึงไตรสรณะ หมายถึงการบวชเป็นภิกษุโดยการรับไตรสรณคมน์ หมายถึง การอุปสมบทเป็นภิกษุแบบหน่ึงในพระพุทธศาสนา กล่าวคือในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประทาน อุปสมบทเองท่ีเรียกว่าเอหิภิกขุอุปสัมปทา ต่อมาทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชกุลบุตรให้เป็นภิกษุได้โดยวิธีให้ กุลบุตรนั้นรับไตรสรณคมน์เท่าน้ัน ซ่ึงการบวชแบบนี้สาเร็จได้โดยบุคคล คือพระสาวกรูปใดรูปหนึ่งก็สามารถ บวชกุลบุตรได้ ต่อมาภายหลังทรงอนุญาตวิธีการอุปสมบทโดยสงฆ์คือให้ทาเป็นสังฆกรรมท่ีเรียกว่าแบบญัตติ จตุตถกรรมวาจา จึงเลิกวิธีบวชพระแบบ ติสรณคมนูปสัมปทา แต่ทรงอนุญาตให้ใช้วิธีน้ีบวชสามเณร ซึ่งถือ ปฏิบตั ิกันมาตราบเทา่ ทุกวันนี้ ๓.ญัตติจตตุ ถกรรมวาจา เป็นสังฆกรรม ๑ ใน ๔ อย่างของภกิ ษสุ งฆ์ท่ีทาร่วมกัน จัดเป็นสังฆกรรมที่มีน้าหนักมาที่สุด หนักแน่น ทสี่ ดุ ใชท้ ากรรมทส่ี าคัญมาก เช่น การให้อุปสมบท การใหป้ รวิ าส ให้อพั ภาน การสวดสมนุภาสน์ เปน็ ตน้ วธิ ีการ คอื จะมกี ารสวดญตั ตขิ ้นึ กอ่ น ๑ ครั้ง และ สวดอนุสาวนา ๓ คร้ัง เม่ือรวมกันจึงเรียกว่า ญัตติ จตตุ ถกรรม แปลว่า กรรมมญี ัตติเป็นท่ี ๔ หมายความวา่ กจิ กรรมของสงฆท์ ที่ าร่วมกนั โดยต้องทาการสวดญัตติ ข้ึนกอ่ น แลว้ ตามดว้ ยอนุสาวนาอกี ๓ ครง้ั ส่วนสาเหตุท่ีเรียกว่า ญัตติจตุตถกรรม (กรรมมีญัตติเป็นท่ี ๔) ไม่เรียกว่า ญัตตฺยาทิกรรม (กรรมมี ญตั ตเิ ป็นเบื้องต้น) เป็นต้น มีเพราะตรสั เปน็ โวหารแบบปฏิโลม (นับย้อนศร) เหมือนคาว่า ผสฺสปญฺจม (ธรรมมี ผัสสะเป็นที่ ๕) ในคัมภีรฝ์ าุ ยอภธิ รรมนน่ั เอง การบวชเปน็ ภิกษเุ ถรวาทในประเทศไทย ผ้ทู จี่ ะเป็นภกิ ษุไดจ้ ะต้องมคี ุณสมบัติและผ่านการพิธีอุปสมบทโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัยก่อน เช่น ต้องมีอายุ ๒๐ ปี (เพราะตามธรรมเนียมสมัยนั้นถือว่าอายุ ๗-๑๙ ปีจัดเป็นวัยผู้น้อย) และต้องมีส่วนสูง ๑๕๐ ซม. ขน้ึ ไป ไม่มโี รคร้ายแรง ตอ้ งมีอปุ ชั ฌาย์รบั รอง ตอ้ งทาพธิ ใี นอโุ บสถ ศลี ๒๒๗ การเป็นพระภิกษุน้ันจะต้องถือศีลท้ังหมด ๒๒๗ ข้อซ่ึงเป็นข้อห้ามของพระภิกษุสงฆ์เถรวาทตามพระ วินยั บญั ญัติ จัดอยใู่ นสว่ นอาทพิ รหมจาริยกาสิกขา ศีล ๒๒๗ จัดเป็นสิกขาบทในพระปาฏิโมกข์ ที่พระพุทธเจ้า

20 ทรงวางข้อกาหนดไม่พึงละเมิดไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของคณะสงฆ์ และเพ่ือเป็นข้อปฏิบัติพ้ืนฐาน อันเอ้ือเฟ้ือต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของพระภิกษุสงฆ์ หากมีพระภิกษุล่วงละเมิดซึ่งเรียกว่า อาบัติ จะต้อง ได้รบั โทษตามสถานหนกั -เบา ถ้ามีโทษหนักก็ใหป้ าราชิกหรือขาดจากความเปน็ พระสงฆ์ หรือโทษเบาก็ให้แก้ได้ โดยกล่าวแสดงความผดิ ของตนกบั พระภิกษุรูปอน่ื เพ่อื เป็นการแสดงถงึ ความสานึกผิดและเพื่อจะต้ังใจประพฤติ ตนใหม่ หรอื ท่ีเรยี กวา่ การแสดงอาบตั ิ, ปลงอาบัติ สามเณร สามเณร และ สามเณรี แปลว่า เหล่ากอของสมณะ, หน่อเนื้อของสมณะ หมายถึงนักบวชชายใน พระพุทธศาสนาที่มีอายุน้อย ยังมิได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ถ้าเป็นนักบวชหญิงอายุน้อย เรยี กวา่ สามเณรี คาว่า สามเณร สามเณรี เป็นศัพท์เฉพาะในพระพุทธศาสนา เป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชใน พระพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะ ไมส่ าธารณะทั่วไป ผู้ท่ีจะบวชเป็นสามเณร สามเณรีได้นั้นทางพระวินัยกาหนดอายุอย่างต่าไว้ประมาณ 7 ขวบซ่ึงพอ ช่วยเหลือตัวเองได้ พระวินัยระบุว่าพอจะไล่กาไล่ไก่ได้ ส่วนสูงไม่มีกาหนดไว้ ผู้มีอายุไม่เกิน 20 ปีจะบวชเป็น สามเณรตลอดไป ไม่บวชเป็นภกิ ษกุ ไ็ ด้ ศีลของสามเณร พระผู้มีพระภาคจึงทรงบญั ญัตสิ กิ ขาบท ๑๐ ของสามเณรคือ ๑. เวน้ จากฆา่ สตั ว์ ๒. เว้นจากลกั ทรพั ย์ ๓. เวน้ จากประพฤตลิ ่วงพรหมจรรย์ ๔. เว้นจากพูดเท็จ ๕. เว้นจากดืม่ สุราเมรัย ๖. เว้นจากบรโิ ภคอาหารในเวลาวกิ าล(เทย่ี งไปแลว้ ) ๗. เว้นจากฟูอนราขับรอ้ งประโคมและการดูมหรสพ

21 ๘. เว้นจากทดั ทรงตกแต่งประดับประดารา่ งกายดว้ ยดอกไมข้ อง เครือ่ งทา เครื่องยอ้ มผัดผิว ๙. เว้นจากท่ีน้ังท่ีนอนอันสูงใหญ่ (คือเว้นจากน้ังนอนเหนือเตียงต่ังมีเท้าสูงเกินประมาณและท่ีน่ังท่ีนอน อนั ใหญม่ ภี ายในใสน่ ่นุ และสาลี) ๑๐.เวน้ จาการรบั เงนิ ทอง การให้สามเณรสกึ สามเณรของพระอปุ นนทะ ศากยบุตร ประทุษร้าย (ข่มขืน) นางภิกษุณี ภิกษุท้ังหลายติเตียน พระผู้มี พระภาคเจา้ จึงทรงอนุญาตให้นาสนะ(ไลส่ กึ ) สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ คอื ๑. ฆ่าสตั ว์ ๒. ลักทรพั ย์ ๓. เสพเมถนุ ๔. พดู ปด ๕. ดืม่ สรุ าเมรัย ๖. ตเิ ตยี น พระพทุ ธ ๗. ตเิ ตียน พระธรรม ๘. ติเตียน พระสงฆ์ ๙. มคี วามเห็นผดิ ๑๐.ประทษุ รา้ ย (ขม่ ขนื ) นางภิกษุณี ภกิ ษณุ ี ภกิ ษุณี เป็นคาใช้เรียกนกั พรตหญิงในศาสนาพุทธ คู่กับภิกษุท่ีหมายถึงนักพรตชายในพระพุทธศาสนา คาว่า ภิกษุณี เป็นศัพท์ท่ีมีเฉพาะในพระพุทธศาสนา โดยเป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชหญิงใน พระพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะ ไมใ่ ชเ้ รยี กนกั บวชในศาสนาอืน่ ภกิ ษณุ ี หรือ ภกิ ษุณีสงฆ์ จดั ต้งั ขน้ึ โดยพระบรมพุทธานุญาต ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือพระ นางมหาปชาบดโี คตมเี ถรี โดยวธิ รี บั คุรธุ รรม ๘ ประการ ในคัมภีร์เถรวาทระบุว่าต่อมาในภายหลังพระพุทธเจ้า

22 ได้ทรงอนุญาตวิธีการอุปสมบทภิกษุณีให้มีรายละเอียดเพ่ิมมากขึ้น จนศีลของพระภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ โดยพระภิกษุณมี ศี ีล ๓๑๑ ขอ้ ในขณะท่พี ระภกิ ษมุ ศี ลี เพียง ๒๒๗ ข้อเท่านนั้ เน่อื งจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมี ศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเขา้ มาเป็นนักบวชมากอ่ น และการตัง้ ภกิ ษุณีสงฆค์ วบคกู่ บั ภกิ ษุสงฆ์อาจเกิดข้อครหา ทจ่ี ะเปน็ อันตรายรา้ ยแรงตอ่ การประพฤติพรหมจรรย์และพระพุทธศาสนาได้ หากได้บุคคลที่ไม่มีความมั่นคงใน พระพุทธศาสนาเข้ามาเปน็ นกั บวช จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ปรากฏว่ามีการตั้งวงศ์ภิกษุณีเถรวาทขึ้นในประเทศไทย อย่างไรก็ ตามในประเทศพุทธเถรวาทท่ีเคยมี๒ หรือไม่เคยมีวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ในปัจจุบัน๓ ต่างก็นับถือกันโดยพฤตินัยว่า การท่ีอุบาสิกาที่มีศรัทธาโกนศีรษะนุ่งขาวห่มขาว ถือปฏิบัติศีล ๘ (อุโบสถศีล) ซึ่งเรียกโดยท่ัวไปว่า แม่ชี เป็น การผ่อนผันผู้หญิงที่ศรัทธาจะออกบวชเป็นภิกษุณีเถรวาท แต่ไม่สามารถอุปสมบทเป็นภิกษุณีเถรวาทได้โดย ส่วนใหญ่แมช่ เี หลา่ นีจ้ ะอยู่ในสานกั วัดซง่ึ แยกเป็นเอกเทศจากกุฎสิ งฆ์ ภกิ ษุณีสายเถรวาทซึ่งสบื วงศ์มาแต่สมัยพุทธกาลด้วยการบวชถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท ท่ีต้อง บวชในสงฆ์สองฝุายคือทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ ได้ขาดสูญวงศ์ (ไม่มีผู้สืบต่อ) มานานแล้ว คงเหลือแต่ ภิกษุณีฝุายมหายาน (อาจริยวาท) ท่ียังสืบทอดการบวชภิกษุณีแบบมหายาน (บวชในสงฆ์ฝุายเดียว) มาจน ปัจจบุ ัน ซ่งึ จะพบได้ในประเทศจีน, เกาหลีใต,้ ญ่ีปุน และศรลี ังกา1 ปัจจุบันมีการพยายามร้ือฟื้นการบวชภิกษุณีในฝุายเถรวาท โดยทาการบวชมาจากภิกษุณีมหายาน และกล่าวว่าภิกษุณีฝุายมหายานนั้น สืบวงศ์ภิกษุณีสงฆ์มาแต่ฝุายเถรวาทเช่นกัน แต่มีผู้ต้ังข้อสังเกตว่าฝุาย มหายานมีการบวชภิกษุณีสืบวงศ์มาโดยมิได้กระทาถูกตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีศีลท่ีแตกต่างกันอย่าง มากด้วย ทาให้มีการไม่ยอมรับภิกษุณี (เถรวาท) ใหม่ ท่ีบวชมาแต่มหายานว่า มิได้เป็นภิกษุณีที่ถูกต้องตาม พระวนิ ยั ปฎิ กเถรวาท และมกี ารยกประเดน็ น้ขี นึ้ เปน็ ข้ออา้ งวา่ พระพทุ ธศาสนาจากัดสิทธิสตรีด้วย ซึ่งเป็นความ เข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะพระพุทธเจ้าได้อนุญาตให้มีภิกษุณีที่นับเป็นการเปิดโอกาสให้มีนักบวชหญิงเป็น ศาสนาแรกในโลก เพยี งแตก่ ารสบื ทอดวงศ์ภกิ ษณุ ีไดส้ ูญไปนานแล้ว จงึ ทาใหใ้ นปจั จบุ ันไมส่ ามารถบวชสตรีเป็น ภกิ ษุณตี ามพระวินัยเถรวาทได้ ประวตั กิ ารเกดิ ภกิ ษณุ ีสงฆ์ แต่เดิมพระโคตมพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มีภิกษุณีได้ เนื่องจากเห็นว่าจะทาให้อายุของ พระพทุ ธศาสนาไม่ยง่ั ยนื ต่อมาพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ผู้เป็นพระน้านางและพระมาตุจฉา หรือพระมารดาเลี้ยงของเจ้าชาย สทิ ธัตถะ ทา่ นได้มศี รัทธาอยากออกบวชจึงทูลอ้อนวอนขอบวชต่อพระพุทธเจ้าถึงสามครั้งสามครา แต่ก็ไม่เป็น

23 ผล จนกระทั่งพระอานนท์ได้ทูลขอให้ พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาต โดยมีเง่ือนไขว่า พระนางปชาบดีโคตมี จะต้องรับเอาครุธรรมแปดประการ (แปลวา่ ขอ้ ปฏบิ ัติทห่ี นกั และทาได้ยาก) ไปปฏบิ ัติ ดังนั้นภิกษุณีท่ีทรงอุปสมบทให้องค์แรกได้แก่ พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ซ่ึงบวชเป็นภิกษุณีรูปแรก ด้วยการรบั ครธุ รรมแปดประการ (ท่านเปน็ รปู เดยี วที่บวชด้วยวิธีเช่นนี้) ต่อมาพระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักเกณฑ์ในการรับผู้ประสงค์จะบวชเป็นภิกษุณี และวางวินัยของ ภิกษุณีไว้มากมาย เพ่ือกล่ันกรองผู้ที่ประสงค์จะบวชและมีศรัทธาจริงๆ เช่น ภิกษุณี เม่ือบวชแล้วต้องถือศีล ถงึ ๓๑๑ ข้อ มากกว่าพระภิกษุ ซึ่งถือศีลเพียง ๒๗๗ ข้อ (วินัยของภิกษุณีที่มีมากกว่าพระภิกษุ เพราะผู้หญิงมี ขอ้ ปลีกยอ่ ยในการดารงชีวติ มากกว่าผชู้ าย เชน่ ต้องมีผ้ารัดถัน (ผ้ารดั อก) ซง่ึ ผชู้ ายไมจ่ าเป็นตอ้ งมี เปน็ ตน้ ) การบวชเปน็ ภกิ ษณุ ฝี าุ ยเถรวาท ๑.การบวชเป็นสกิ ขมานา ก่อนท่ีผู้หญิงจะบวชเป็นภิกษุณีได้น้ัน ต้องบวชเป็น \"สิกขมานา\" เสียก่อน สิกขมานาเป็นสามเณรีท่ี ตอ้ งถอื ศีล ๖ ข้ออย่างเคร่งครัดเป็นเวลา ๒ ปี หากศลี ขาดแม้แตข่ ้อเดยี วจะตอ้ งเร่มิ นับเวลาใหม่ การบวชเปน็ สกิ ขมานา จะบวชได้ต้องอายุครบ ๑๘ ปี เพราะว่าคนที่จะบวชเป็นภิกษุณีได้น้ันต้องอายุ ครบ ๒๐ แตส่ าหรับหญิงที่แตง่ งานแล้ว พระพุทธองค์อนุญาตให้บวชเป็นสิกขมานาได้ต้ังแต่อายุ ๑๒ เพราะว่า คนที่แต่งงานจะได้เรียนรู้ความยากลาบากของชีวิต รู้จักสุข ทุกข์ เมื่อรู้จักทุกข์ก็จะรู้จักสมุทัย นิโรธ มรรค ได้ จนนาไปสู่การบรรลุในทส่ี ุด การบวชเปน็ ภิกษณุ ี เม่อื ผู้ทีป่ ระสงค์จะบวชเป็นภกิ ษณุ ี ไดเ้ ป็นสิกขมานา ถือศีล ๖ ข้อครบ ๒ ปีแล้ว แล้วจึงมีสิทธ์ิที่จะเข้า พิธีอุปสมบท โดยต้องอุปสมบทในฝุายของ ภิกษุณีสงฆ์ ก่อน แล้วไปเข้าพิธีอุปสมบทในฝุาย ภิกษุสงฆ์ อีกครั้ง หน่ึงจงึ จะเป็นภิกษณุ ีไดโ้ ดยสมบรู ณ์ (บวชในสงฆส์ องฝาุ ย) การสญู วงศข์ องภกิ ษณุ ฝี าุ ยเถรวาท กอ่ นทภี่ กิ ษณุ สี งฆ์จะหมดไปจากประเทศอินเดียน้ัน พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตออกไป ๙ สาย ๑ ในน้ันคือ พระมหินทรเถระ ผู้เป็นพระราชโอรสของพระองค์เอง ในสายพระมหินทรเถระน้ีไปศรี ลงั กา การเผยแพรศ่ าสนาพุทธประสบความสาเรจ็ อยา่ งดยี งิ่ พระนางอนุลา น้องสะใภ้ของกษัตริย์ศรีลังกา ทรง อยากผนวช จึงนิมนต์ พระนางสังฆมิตตาเถรี พระธิดาของพระเจ้าอโศก มาเป็นปวัตตินีให้ (\"ปวัตตินี\" คือพระ อปุ ชั ฌาย์ท่เี ป็นผู้หญงิ )

24 จากประเทศศรีลังกา ภิกษุณีสงฆ์ได้ไปสืบสายไว้ในจีน ไต้หวัน และอ่ืน ๆ อีกมาก จนกระทั่งพุทธ ศาสนาที่อนิ เดยี และศรีลังกาเสื่อมลงลงไปในชว่ งหลัง ทาให้ภิกษณุ ีฝาุ ยเถรวาทซึ่งมีศีลและข้อปฏิบัติที่ยุ่งยากไม่ สามารถรกั ษาวงศ์ของภกิ ษณุ ีเถรวาทไวไ้ ด้ จึงทาให้ไม่มผี ู้สบื ทอดการบวชเปน็ ภกิ ษุณสี ายเถรวาทในปจั จบุ นั การพยายามรื้อฟื้นภกิ ษณุ สี ายเถรวาทในปัจจุบัน ในปัจจุบัน มีความเช่ือว่ายังมีภิกษุณีสายเถรวาทเหลืออยู่ และอ้างหลักฐานยืนยันว่าภิกษุณีทางสาย มหายาน วัชรยานน้ันสืบสายไปจากภิกษุณีสายเถรวาท โดยถือกันว่าหากภิกษุณีสายเถรวาทสืบสายไปเป็น มหายานได้ (ภิกษณุ ีจากลังกาไปบวชให้คนจีน) ภกิ ษณุ ีมหายานก็สืบสายมาเป็นเถรวาทได้เชน่ กัน ในกรณนี ้เี คยมปี ระเด็นถกเถียงอย่ชู ว่ งหนงึ่ วา่ ปจั จบุ นั นสี้ ามารถบวชภิกษณุ ีไดห้ รือไม่ มีข้อสรุปจากทาง พระสงฆฝ์ ุายเถรวาทวา่ พระพุทธองคท์ รงอนุญาตให้มีการบวชเป็นภิกษุณีได้ก็ต่อเม่ือบวชต่อสงฆ์ท้ัง ๒ ฝุาย คือ ต้องบวชท้ังฝุายพระภิกษุสงฆ์ และฝุายภิกษุณีสงฆ์เป็นการลงญัตติจตุตถกรรมวาจาท้ังสองฝุาย จึงจะสามารถ เป็นภิกษุณีได้ ดังนั้นในเมื่อภิกษุณีสงฆ์เถรวาทได้เสื่อมส้ินลงไม่มีผู้สืบต่อ จึงทาให้ในปัจจุบันไม่สามารถทาการ บวชผู้หญิงเป็นภิกษุณีฝุายเถรวาทได้ การท่ีมีข้ออ้างว่าสายมหายานสืบสายวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ไปก็ไม่สามารถอ้าง ได้ เพราะการสืบสายทางมหายานมีข้อวินัยและการทาสังฆกรรมบวชภิกษุณีที่ไม่ถูกต้องกับพระไตรปิฎกฝุาย เถรวาท ปัจจุบันศรีลังกาพยายามฟ้ืนฟูภิกษุณีสงฆ์ จนมีหลายร้อยรูป ท่ีเมืองไทยเองก็มีคนบวชเป็นภิกษุณี หลายรปู แลว้ เชน่ กัน แต่คณะสงฆไ์ ทยไมย่ อมรับเปน็ ภกิ ษุณีสงฆเ์ พราะสาเหตดุ ังกล่าวมาแลว้ ข้างตน้ พทุ ธศาสนิกชน พทุ ธศาสนกิ ชน คือ คนที่นบั ถอื ศาสนาพทุ ธ เรียกอกี อยา่ งว่า พทุ ธมามกะ ซ่ึงหมายถงึ ผู้ประกาศตนว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดาของตน พทุ ธศาสนิกชน หมายถึง คนที่ยินดีทจี่ ะปฏบิ ัตติ ามหลกั คาสอนของพระพุทธศาสนา เต็มใจท่ีจะปฏิบัติ ตามหลักธรรมคือ เว้นจากการทาความชวั่ ทาแต่ความดี และทาจิตใจให้หมดจดจากกิเลส ด้วยการบาเพ็ญบุญ

25 ในพระพทุ ธศาสนา เช่น ให้ทาน รกั ษาศลี และเจรญิ ภาวนาเพ่ือขดั เกลา อบรม บม่ เพาะกาย วาจา ใจให้งดงาม เรยี บรอ้ ย ให้สงบนิ่ง และใหพ้ ้นจากความเศร้าหมองต่างๆ พุทธศาสนิกชน ทพ่ี งึ ประสงคค์ อื ผู้ปฏบิ ัติตนให้เป็นผู้รู้ ผู้ฉลาด ตน่ื ตัวอยเู่ สมอ ไม่งมงาย ไม่ประมาทมัว เมา ไม่หลงไปตามกระแสกิเลส ศาสนสถาน พุทธศาสนสถาน แปลโดยตรงได้ความว่า สถานท่ี หรือส่ิงก่อสร้าง ซ่ึงสร้างข้ึนเพื่อใช้ในกิจการ หรือ เก่ียวข้องกับ พระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ สานกั สงฆ์ วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร เจดีย์ และสถูป เป็นต้น เป็นสถานที่ ซ่ึงใช้ประกอบพิธีทางศาสนา เป็นที่พานักของพระภิกษุ เและเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ซ่ึง พทุ ธศาสนิกชนนิยมไปกราบไหวบ้ ูชา และร่วมกิจกรรมตา่ งๆ วัด วัด, อาวาส หรือ อาราม คือคาเรยี กศาสนสถานของศาสนาพุทธในประเทศไทย กัมพูชา และลาว เป็น ท่ีอยู่ของภิกษุ และประกอบศาสนกิจของพุทธศาสนิกชน ภายในวัดมีวิหาร อุโบสถ ศาลาการ เปรยี ญ กฎุ ิ เมรุ ซงึ่ ใช้สาหรบั ประกอบศาสนพธิ ีต่าง ๆ เช่น การเวยี นเทยี น การสวดมนต์ การทาสมาธิ วัดโดยส่วนใหญ่นิยมแบ่งเขตภายในวัดออกเป็นสองส่วนคือ พุทธาวาส และสังฆาวาส โดยส่วน พทุ ธาวาสจะเป็นที่ต้ังของสถูปเจดีย์ อุโบสถ สถานที่ประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา และส่วนสังฆาวาส จะเปน็ ส่วนกุฎสิ งฆ์สาหรบั ภิกษุสามเณรจาพรรษา และในปจั จบุ นั แทบทุกวัดจะเพมิ่ ส่วนฌาปนสถานเข้าไปด้วย เพือ่ ประโยชนใ์ นด้านการประกอบพิธีทางศาสนาของชุมชน เช่น การฌาปนกิจศพ โดยในอดีตส่วนน้ีจะเป็นปุา ช้า ซึ่งอยู่ติดหรือใกล้วัด ตามธรรมเนียมของแต่ละท้องถ่ิน ซ่ึงส่วนใหญ่กลุ่มฌาปนสถานในวัดพุทธศาสนาใน ประเทศไทยจะตั้งอย่บู นพ้ืนท่ี ๆ เป็นปาุ ชา้ เดิม ประเภทของวัด ตามมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ จาแนกวดั เปน็ ๒ อย่าง คอื

26 ๑. สานกั สงฆ์ คือ วัดที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศตั้งวัด รวมถึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้สร้างข้ึน แต่ยัง ไม่ได้รบั พระราชทานวิสงุ คามสีมา จงึ ใชเ้ ป็นทอี่ ยพู่ ระสงฆ์ได้ แตใ่ นทางพระวินัยยังไม่สามารถสังฆกรรมได้ ๒. วดั ท่ไี ดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสีมา เปน็ วดั ทีเ่ ลื่อนฐานะจากสานักสงฆ์ โดยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา แลว้ พร้อมใช้ทาสงั ฆกรรมตามพระวนิ ยั ได้ทุกประการ วัดท่ไี ด้รบั พระราชทานวิสุงคามสีมา แบ่งออกเป็น พระ อารามหลวงและวัดราษฎร์ (๑.) วัดราษฎร์ คือวัดทไี่ ด้รับพระราชทานที่วสิ ุงคามสีมา แต่มไิ ดเ้ ขา้ บญั ชีเปน็ พระอารามหลวง (๒.) พระอารามหลวง หรือ วัดหลวง คือวดั ท่ีพระเจ้าแผ่นดนิ ทรงสรา้ ง หรอื ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เขา้ จานวนในบัญชเี ป็นพระอารามหลวง พระอารามหลวงมี ๓ ชั้น ได้แก่ ๑. ชั้นเอก มี ๓ ชนดิ ได้แก่ ราชวรมหาวหิ าร ราชวรวิหาร และวรมหาวิหาร ๒. ช้ันโท มี ๔ ชนดิ ไดแ้ ก่ ราชวรมหาวหิ าร ราชวรวหิ าร วรมหาวหิ าร และวรวิหาร ๓. ชัน้ ตรี มี ๓ ชนิด ไดแ้ ก่ ราชวรวิหาร วรวิหาร และสามัญ (ไม่มีสร้อยต่อทา้ ย) องคป์ ระกอบของวัด รูปแบบและองค์ประกอบศิลปกรรมของวัดในแต่ละยุคและท้องถิ่นมีความแตกต่างกันไปบ้าง เช่น อทิ ธิพลทางศลิ ปะ คตินิยม วสั ดุทอ้ งถิ่น แต่ทว่ั ไปจะประกอบด้วย ๓ ส่วน คอื ๑.เขตพุทธาวาส คือ ขอบเขตที่กาหนดไว้สาหรับให้พระสงฆ์ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ประกอบด้วย เจดีย์ หรือสถูป มณฑป อุโบสถ วิหาร หอระฆัง ศาลา เป็นต้น บริเวณล้อมรอบพระวิหารและพระอุโบสถมักมีพ้ืนท่ี กวา้ งสาหรบั ใชใ้ นกจิ พธิ ีตา่ ง ๆ เช่น การแหป่ ระทักษณิ เป็นต้น โดยทว่ั ไปพระวหิ ารและพระอุโบสถส่วนมากมัก มีรูปทรงเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเสมอ มีคาอธิบายว่ามีความเก่ียวข้องกับ พุทธ ประวัติ ตอนที่พระพทุ ธเจ้าทรงตรสั รู้ โดยพระองค์ทรงประทบั หนั พระพกั ตร์ไปทางทิศตะวันออก สอดคล้องกับ พระพุทธรปู ประธานในพระวหิ ารหรือพระอุโบสถทม่ี ักเป็นปางมารวชิ ยั ในตอนผจญมารก่อนท่ีพระองค์จะตรัสรู้ ลกั ษณะการวางผงั อโุ บสถและวิหารนเี้ หมอื นกันท้งั ภาคพนื้ ทวปี ของภูมภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ๒.เขตสังฆาวาส คือ พื้นท่ีซ่ึงกาหนดให้เป็นท่ีพักอาศัยและกระทากิจวัตรของพระสงฆ์ที่ไม่ข้องกับพิธีการทาง ศาสนาโดยตรง เช่น กุฏิ หอฉัน วจั จกุฎี ศาลาการเปรยี ญ หอไตร ศาลาท่าน้า เปน็ ต้น ๓.เขตธรณีสงฆ์ คือ เขตที่ดินของวัดนอกเหนือจากเขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาส เป็นพื้นที่วัดที่ใช้ประโยชน์ ในลกั ษณะต่าง ๆ เช่น เมรุ สสุ าน โรงเรยี น

27 สาเหตกุ ารสร้างและปฏสิ ังขรณ์ วัดเริ่มมีคร้ังแรกในประเทศอินเดีย เพ่ือเป็นที่ประดิษฐานสถูปเจดีย์และเป็นท่ีพักพระสงฆ์ วัดเวฬุวัน ถือเป็นพระอารามหรือวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ปัจจุบันอยู่ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย จากน้ันอุบาสก อุบาสิกาอ่ืน ๆ ในท่ีต่าง ๆ ได้สร้างวัดถวาย เช่น พระเชตะวันมหาวิหาร ของอนาถปิณฑิก เศรษฐีบุพพาราม ของนางวิสาขา อมั พปาลีวัน ของนางอมั พปาลี ในเมืองสาวัตถี วัดโฆสิตตาราม ของพระเจ้าอุเทน เมืองโกสัมภี เปน็ ต้น สาหรับการสร้างวัดในประเทศไทยมีมาต้ังแต่สมัยศิลปะทวาราวดี ในพุทธศวรรษท่ี ๑๒–๑๖ บ้าง สันนษิ ฐานวา่ วดั เขาทาเทียม จังหวัดสพุ รรณบรุ ี เปน็ วดั แหง่ แรกของประเทศไทย ในประเทศกัมพูชา พบหลักฐานการสร้างพระวิหารในพุทธศาสนานิกายเถรวาทตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ ในรัชสมัยของพระเจ้าสรินทรวรมัน หลักฐานจากศิลาจารึก k.๗๕๔ ได้กล่าวถึงพระราชบัญชาของพระ เจ้าสรินทรวรมันท่ที รงส่ังใหส้ รา้ งพระวหิ ารและพระพทุ ธรปู สาหรับเคารพบูชาในปี พ.ศ. ๑๘๕๑ วัดในระยะแรกมีจุดประสงค์ ๒ อย่าง คือ เพื่อเป็นท่ีบรรจุพระบรมธาตุ เรียกว่า วัดพุทธเจดีย์ อีก ประการหนึ่งคือ สร้างเพื่อเป็น วัดอนุสาวรีย์ ได้แก่สถูปเพื่อบรรจุอัฐิธาตุบุคคลสาคัญทางพุทธศาสนา ต่อมา วัตถุประสงค์การสร้างเร่ิมขยายออกไป แต่มีสาเหตุสาคัญ คือ ความเช่ือในเรื่องกรรม ไตรภูมิ และยุคพระศรี อริยเมตไตรยตามคาสอนในคัมภรี ศ์ าสนา กลา่ วคือ การทาบุญทไ่ี ดผ้ ลบญุ มากท่สี ดุ คอื การสรา้ งวดั ปัจจัยการสร้างวัดและบูรณะปฏิสังขรณ์อื่น ๆ ได้แก่ สร้างเพื่อแสดงความรุ่งเรืองของอาณาจักร เพ่ือ เปน็ อนุสรณ์สงคราม เพื่อสะดวกในการทาบุญ เพ่ือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน เพ่ือใช้เป็นสถานศึกษา สร้าง เพ่ือความศรัทธาในภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง หรืออาจเป็นค่านิยม อย่าง ความนิยมสร้างวัดประจารัชกาล วัดประจา ตระกูล สร้างเป็นอนุสรณ์และอทุ ศิ สว่ นกศุ ล เป็นตน้ วัดประจาพระราชวงั ในประเทศไทย วดั พระศรสี รรเพชญ์ (วัดประจาพระราชวังโบราณ อยุธยา) จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วดั ประจาพระบรมมหาราชวัง) กรงุ เทพมหานคร เดก็ วัด เด็กวัด เป็นเด็กชายในประเทศไทยซ่ึงอาศัยอยู่ในวัดและคอยรับใช้พระภิกษุ โดยเด็กวัดจะคอยถือ บาตรของพระภิกษุในช่วงการบิณฑบาตยามเช้า หลังจากน้ัน เด็กวัดจะมีหน้าที่จัดเตรียมอาหารของพระภิกษุ ก่อนท่ีจะรับประทานอาหารทเ่ี หลือจากพระฉันเสร็จ (\"ข้าวก้นบาตร\") เด็กวัดเป็นผถู้ อื ศลี ๑๐ ประการ เด็กชาย บางคนถกู สง่ มาเปน็ เด็กวัดเพือ่ ประกอบความดี บา้ งก็ถูกส่งมาเพราะมที ่ีพักและอาหารโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เด็ก

28 วัดบางคนถูกพระเก็บมาเล้ียงเน่ืองจากไร้พ่อแม่ขาดมิตร ในขณะที่บางส่วนถูกส่งมาเพื่อศึกษาธรรม เด็กวัด บางส่วนบวชเป็นภิกษุ และบ้างก็อาจถือว่าเด็กวัดเป็นข้ันตอนอย่างเป็นทางการสาหรับการบวชเป็น สามเณร ข้นึ อยู่กับอายุและประเพณีในท้องถนิ่ วิหาร วิหารตามความหมายในทางพุทธศาสนา หมายถึง ท่ีพักอาศัยในปุา กระท่อม ท่ีอยู่อาศัย ท่ีพัก กุฏิ (สาหรบั พระภิกษ)ุ สถานที่ประชุมของภิกษุ ตึกใหญส่ าหรับภิกษุทั้งหลายอยอู่ าศยั วหิ าร และวัด เป็นต้น คาว่า วิหาร แต่เดิมใช้ในความหมายว่า วัด เช่นเดียวกับคาว่า อาราม อาวาส เช่น เวฬุวัน วิหาร เช ตวนั มหาวหิ าร คาว่า \"วิหาร\" ยังกาหนดใช้เป็นคาลงท้ายสร้อยนามพระอารามหลวงต่างๆ เพื่อแสดงให้รู้ว่าวัดท่ีมี สร้อยนามอย่างนเ้ี ปน็ พระอารามหลวงสาคญั จากหนังสือ ไตรภูมิโลกวินิจฉัยกถา ระบุเน้ือความในพุทธประวัติ ตอนท่ีพญานาคเข้าปรกกันพายุฝน ให้พุทธองค์ จากหนังสือที่ยกมาน้ีอธิบายอย่างชัดเจนว่านาคน้ันแปลงปรกเป็นอาคาร โดยมีการ \"ผกพังพาน เปน็ เพดานบงั ปดิ เบอ้ื งบน\" จึงอาจสนั นิษฐานวา่ วิหารคอื คอื นาคท่ีแปลงมาเปน็ อาคาร ทม่ี าของวิหาร วิหารแห่งแรก ได้ปรากฏในพุทธประวัติ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงกล่าวอนุญาต เสนาสนะ คือ ท่ีนอน ท่ี พานกั ๕ ชนดิ หนงึ่ ในน้นั ไดแ้ ก่ วิหาร ซงึ่ หมายถึงกุฏมิ หี ลงั คา มชี ายคา สองข้าง เป็นลักษณะของส่ิงปลูกสร้าง เพ่ือเป็นท่ีสาหรับพระภิกษุสงฆ์เป็นท่ีเร้น เพื่อความ สาราญ เพื่อบาเพ็ญสมถวิปัสนา ยังประโยชน์แก่พระ ศาสนา ประเภทของวหิ าร วิหารมีหลายแบบ เช่น ๑.วิหารคด คือวิหารท่ีมีลักษณะคดอยู่ตรงมุมกาแพงแก้วของอุโบสถ อาจมีหลังเดียวก็ได้ โดยมากจะมี ๔ มุม และประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ภายใน

29 ๒.วิหารทิศ คอื วิหารที่สรา้ งออกทงั้ ๔ ดา้ นของพระสถปู เจดีย์ อาจอยตู่ รงมมุ หรอื ด้านข้าง ๓.วิหารยอด คือวิหารที่มียอดเปน็ รูปทรงตา่ งๆ เช่นวหิ ารยอดเจดยี ์ อาจอยตู่ รงมมุ หรือดา้ นขา้ ง ๔.วหิ ารหลวง คือวหิ ารท่ดี า้ นทา้ ยเชือ่ มต่อกบั พระสถูปเจดียห์ รอื พระปรางค์ อุโบสถ อโุ บสถ ถอื เป็นอาคารที่สาคญั ภายในวัดเนอ่ื งจากเปน็ สถานทท่ี ี่พระภิกษสุ งฆใ์ ช้ทา สังฆกรรมซึ่งแต่เดิม ในการทาสงั ฆกรรมของ พระภกิ ษุสงฆ์จะ ใช้เพียงพ้ืนท่ีโล่ง ๆ ที่กาหนดขอบเขตพ้ืนท่ีสังฆกรรมโดยการกาหนด ตาแหน่ง“สีมา” เท่านั้น แต่ในปัจจุบันจากการมีผู้บวชมากข้ึน อีกทั้งภายใน พระอุโบสถมักประดิษฐานพระ ประธานท่เี ป็นพระพุทธรูปองค์สาคัญ ๆ ทาให้มีผู้มาสักการบูชาและร่วมทาบุญเป็นจานวนมาก พระอุโบสถจึง ถูกสรา้ ง ข้นึ เปน็ อาคารถาวรและมกั มี การประดับตกแตง่ อยา่ งสวยงาม คาวา่ อโุ บสถ มาจากรากศัพทว์ า่ อปุ + วส + อถ ปัจจัย โดยมีการแปลงรปู ตามภาษาบาลดี งั ตอ่ ไปนี้ “อุโบสถ” บาลีเป็น “อุโปสถ” อ่านว่า อุ-โป-สะ-ถะ รากศัพท์มาจาก อุป- อุปสรรค (เข้าไป, ใกล้, มั่น) + วสฺ ธาตุ (อย)ู่ + -อถ ปจั จยั , แปลง อะ ที่ (อุ)-ป กบั ว-(สฺ) เปน็ โอ (อปุ + วสฺ > อุโปส)ฺ : อุป + วสฺ = อปุ วสฺ > อุโปสฺ + อถ = อุโปสถ (ปุงลิงค)์ (อุโปสโถ) แปลตามศพั ท์วา่ “ธรรมเป็นที่เข้าจา”, “กาล เปน็ ท่ีเขา้ จา” (คอื เขา้ ไปอยโู่ ดยการถอื ศลี หรอื อดอาหาร) “กาลเป็นที่เข้าถึงการอดอาหารหรือเข้าถึงศีลเป็นต้น แล้วอยู่” และยงั มอี ีกมหี ลายความหมาย คอื หมายถงึ -สถานท่ที พี่ ระสงฆป์ ระชุมทาสังฆกรรมตามพระวินยั เรยี กตามคาวัดว่า อุโบสถาคาร บ้าง อุโบสถัคคะ บ้าง แต่ เรยี กโดยทว่ั ไปวา่ โบสถ์ -การเข้าจา คือการรักษาศีล ๘ ของอุบาสก อุบาสิกา ในวันข้ึนและแรม ๘ ค่า ๑๕ ค่า เรียกว่า รักษา อุโบสถ และรักษาอโุ บสถศีล -วันพระหรือวันฟังธรรมของคฤหัสถ์ วันข้ึนและแรม ๘ ค่า ๑๕ ค่า ซ่ึงเป็นวันท่ีคฤหัสถ์รักษาอุโบสถกัน เรียกว่า วันอุโบสถ -วันทพ่ี ระสงคล์ งฟงั พระปาติโมกข์ทกุ กึ่งเดือน เรยี กว่าวันอโุ บสถ -การสวดพระปาติโมกขท์ กุ กึง่ เดือนหรือทุกวันอุโบสถของพระสงฆ์ เรียกว่า การทาอโุ บสถ

30 -โบสถ์ เป็นคาเรียกสถานที่สาหรับพระสงฆ์ใช้ประชุมกันทาสังฆกรรมตามพระวินัย เช่นสวดพระปาติโมกข์ ให้ อุปสมบท มสี มี าเป็นเคร่ืองบอกเขต คาว่า โบสถ์ เปน็ คาทใี่ ชเ้ ฉพาะในพระพุทธศาสนา -โบสถ์ เรียกเต็มคาว่า อุโบสถ หรือ โรงอุโบสถ ถ้าเป็นของพระอารามหลวงเรียกว่า พระอุโบสถ บางถิ่น เรยี กว่า สมี า หรอื สิม -โบสถ์ เป็นสถานท่ีศักด์ิสิทธิ์ เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า เป็นเขตแดนท่ีพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้แก่ สงฆ์เปน็ พเิ ศษ เรียกว่า วิสุงคามสีมา กอ่ นท่ีจะมาเปน็ โบสถท์ ่ีถูกตอ้ งตามพระวนิ ัยจะต้องมีสงั ฆกรรมทีเ่ รยี กว่า ผูกสมี า หรอื ผูกพัทธสมี ากอ่ น เจดีย์ เจดยี ์ หรือ สถปู เป็นสิ่งก่อสร้างในพทุ ธศาสนา พบได้ท่วั ไปในอนุทวปี อนิ เดยี และเอเชยี เจดยี ์ หมายถึงสิง่ กอ่ สรา้ งหรือส่ิงของที่สรา้ งขึน้ เพอื่ เปน็ ท่รี ะลึกถึงและเคารพบูชา สถปู หมายถงึ สิ่งกอ่ สร้างเหนือหลุมฝังศพ หรือสร้างข้ึนเพ่ือบรรจุอัฐิธาตุของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อให้ ลกู หลานและผเู้ คารพนบั ถือไดส้ ักการบูชา ถือกันว่ามีบุคคลที่ควรบรรจุอัฐิธาตุไว้ในสถูปเพ่ือเป็นท่ีสักการะของ มหาชนอยู่เพียง ๔ พวก เรียกว่า ถูปารหบุคคล ได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต สาวก และพระเจา้ จักรพรรด์ิ สาหรับประเทศไทย คาว่า สถูป และ เจดีย์ เรามักรวมเรียกว่า “สถูปเจดีย์” หรือ “เจดีย์” มี ความหมายเฉพาะ ถึงส่ิงก่อสร้างในพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิ หรือเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป หรือ เพอื่ เปน็ ทีร่ ะลกึ ทัง้ นอ้ี าจเป็นเพราะในสมัยหลังลงมาคงมีการสร้างสถานท่ีเพ่อื บรรจอุ ฐั ิธาตุ และเพื่อเคารพบูชา ระลึกถงึ พรอ้ มกนั ไปด้วย

31 ความหมายของเจดีย์ ตาราในพระพุทธศาสนากาหนดวา่ พระเจดยี ์ หรือ เจดีย์ มี ๔ ประเภท ๑. ธาตเุ จดีย์ ส่งิ ก่อสรา้ งบรรจพุ ระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า พระมหากษตั รยิ พ์ ระปรนิ พิ พาน ๒. บริโภคเจดีย์ สังเวชนียสถานอันเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน ของ พระพุทธเจา้ ๓. ธรรมเจดีย์ คาถาทแ่ี สดงพระอรยิ สัจ หรอื คมั ภีร์ในพระพทุ ธศาสนา เช่น พระไตรปิฎก ๔. อุเทสิกะเจดีย์ ของท่ีสร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศแด่พระพุทธเจ้า ไม่กาหนดว่าจะต้องทาเป็นอย่างไร เช่น สร้างบลั ลงั ก์ใหห้ มายแทนพระพทุ ธองค์ การที่เจดีย์มีความหมายครอบคลุมอย่างกว้างขวางดังที่กล่าวข้างต้น จึงพ้องกับความหมายของคา ว่า สถูป ทบ่ี ่งบอกถงึ ส่ิงกอ่ สร้างเหนอื หลุมฝังศพ หรอื สรา้ งเพอื่ บรรจุอฐั ิธาตุ ด้วยเหตนุ ี้ สถูปจึงใชแ้ ทนเจดีย์เป็น เช่นนใ้ี นประเทศอนิ เดยี สมยั โบราณมาแล้ว ในสมัยสุโขทัย คาว่าสถูปและเจดีย์ใช้ควบคู่กัน ดังปรากฏในจารึกบางหลัก เช่น พระยามหาธรรม ราชา ก่อ พระธาตุ หรือกล่าวถึง พระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งล้วนมีความหมายเดียวกับเจดีย์ แม้ในปัจจุบัน นกั วิชาการก็ยงั เรียกพระสถูปเจดยี ์เปน็ คาคู่ พระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐฯ เขียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๒๒๓ กล่าวถึงสมัยต้นกรุงศรีอยุธยาใน รัชกาล๑ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา พระศรีรัตนมหาธาตุ ซ่ึงย่อมหมายถึงพระเจดีย์ทรงปรางค์ องค์ท่ีเป็น ประธานของวดั มหาธาตุ ซ่งึ ปจั จุบนั ยอดทลายลงแลว้ ทางภาคเหนือ มีเอกสารเขียนข้ึนในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ได้ใช้คาว่า พระธาตุทรงปราสาท และมีการใช้คา ว่า พระธาตุ เช่น พระธาตดุ อยสุเทพ พระธาตุลาปางหลวง พระธาตุหริภญุ ชยั ทางภาคอีสาน มคี าว่า พระธาตุ เชน่ พระธาตุพนม พระธาตเุ ชงิ ชมุ พระธาตุศรีสองรกั ษ์ ทางภาคใต้ มคี าเรยี กวา่ พระบรมธาตุ เชน่ พระบรมธาตไุ ชยา พระบรมธาตนุ ครศรธี รรมราช ส่วนคาว่า กู่ ก็หมายถึงสถูป หรือ เจดีย์ด้วยเช่นกัน มีท่ีใช้ทางภาคเหนือ เช่น กู่เจ้านายวัดสวนดอก ทาง ภาคอีสานก็มี เช่น ปราสาทปรางค์กู่ ปรางค์กู่ กู่พระสันตรัตน์ กู่กาสิงห์ ยังมีท่ีใช้ในประเทศพม่า ซึ่งหมายถึง เจดีย์แบบหนงึ่ ด้วย การสร้างเจดีย์นอกจากจะมีความหมายดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีประเพณีบรรจุส่ิงของมีค่า รวมท้ังพระ พมิ พจ์ านวนมาก ไวใ้ นกรขุ ององค์เจดีย์ ซึ่งมนี ัยว่าเปน็ การสืบทอดพระศาสนา

32 ตาแหนง่ เจดีย์ ๑.เจดยี ์ประธาน เจดีย์ที่สร้างเป็นหลักของวัด มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเจดีย์องค์อื่นภายในวัด และสร้างอยู่ใน ตาแหน่งท่เี ดน่ สมเป็นประธานแก่เจดยี ์อ่ืน ด้วยเหตนุ ีเ้ องทาให้เรียกว่า เจดีย์ประธาน ไม่ได้หมายถึงรูปแบบของ เจดยี ์ ดงั ตัวอย่าง เจดีย์ทรงปรางค์ หรือ พระปรางค์ เป็นเจดีย์ประธานของวัดพระราม วัดไชยวัฒนาราม หรือ วัดพุทไธสวรรย์ เจดียท์ รงระฆัง ๓ องค์ เป็นเจดยี ป์ ระธานของวัดพระศรีสรรเพชญ์ เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็น เจดยี ์ประธานของวัดมหาธาตุ เจดียท์ รงปราสาทยอด เปน็ เจดีย์ประธานของวดั ปาุ สกั จังหวดั เชยี งราย เปน็ ตน้ ๒.เจดีย์ประจามุม เจดีย์ประจาทศิ ระบุตาแหนง่ ของเจดีย์วา่ อยปู่ ระจามุมท้งั ส่ี หรือประจากลางด้านท้ังสีข่ องเจดยี ์ประธาน ช่ือเรียกระบุตาแหน่งที่ตั้งดังกล่าว ไม่ได้หมายถึงรูปแบบของเจดีย์ คาว่าเจดีย์ประจาทิศยังมีอีกช่ือ เรียกวา่ เจดีย์ประจาด้าน (หากเจดียป์ ระธานน้ันเป็นทรงส่ีเหลี่ยม) ทั้งเจดีย์ประจาด้านและเจดีย์ประจามุม ยัง มที ีเ่ รยี กรวมวา่ เจดยี ์บรวิ าร อีกดว้ ย ๓.เจดยี ร์ าย เจดยี ์ราย คือ เจดยี ์ท่มี ีขนาดเลก็ สร้างเรียงรายรอบๆบริเวณเจดีย์ประธาน โดยอยู่ถัดออกมาจากเจดีย์ ประธาน เจดีย์ประจามุม และเจดีย์ประจาทิศ คาว่า เจดีย์ราย เป็นศัพท์เรียกระบุตาแหน่ง ไม่ได้หมายถึง รูปแบบ รูปแบบหรือทรงตา่ ง ๆ ของเจดยี ์ ๑.เจดยี ท์ รงปราสาท ปราสาท หมายถึง รูปแบบของเรือนท่มี หี ลายชั้นซ้อนกัน (ช้ันซ้อน) หรือ ท่ีมีหลังคาลาดหลายช้ันซ้อน ลดหล่นั กัน (หลังคาซ้อน) ตอนกลางของเจดียท์ รงปราสาทอาจมหี รือไมม่ หี ้องคหู าก็ได้ เรยี กส่วนนี้ว่า เรือนธาตุ เป็นส่วนสาคัญท่ี ไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ท่ี คูหา หรือ ซุ้มจระนา ท่ีผนัง เรือนธาตุมักมีทรงสี่เหล่ียมตั้งอยู่เหนือฐานเรือน ธาตุเป็นช้นั ซอ้ น หากชัน้ ซอ้ นนน้ั เปน็ หลังคาลาด ก็ต่อยอดเปน็ กรวยและมีกมีทรงระฆังเป็นส่วนประกอบสาคัญ แม้ว่าปราสาทมีแต่เรือนชั้นโดยไม่จาเป็นต้องมียอดแหลม แต่การทาหลังคาซ้อนและต่อยอดแหลม ก็เป็น ปราสาทแบบหนงึ่ ด้วย เรียกว่า กฎุ าคาร หรอื เรือนยอด

33 ๒.เจดยี ท์ รงปราสาทแบบหริภุญชยั ชอื่ เรยี กทร่ี ู้จักกันดีคือ เจดีย์กกู่ ดุ หรอื เจดยี ก์ กู่ ุฎ อยู่ในวัดจามเทวี หรือ วัดกู่กุด จังหวัดลาพูน ท่ีเรียก กู่กุด เพราะมีส่วนยอดหลุดหรือหัก มีลักษณะแปลกแตกต่างไปจากเจดีย์ทรงปราสาทในศิลปะล้านนาและ ศลิ ปะขอม คือ นับจากสว่ นฐานทรงส่เี หลีย่ มมาเป็นเรอื นธาตุทรงสเ่ี หล่ียมเชน่ กนั ตง้ั ซ้อนกนั ลดขนาดเป็นลาดับ ขึ้นไป ๕ ขั้น แต่ละชั้นมีเจดีย์ประดับทิศทั้งสี่ และด้านท้ังส่ีของแต่ละช้ัน มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในซุ้ม จระนา และยอดแหลมท่ีหักหายคงเปน็ กรวยเหล่ียม เจดีย์ทรงปราสาทแบบหริภุญชัยอีกแบบหน่ึง มีทรงแปดเหลี่ยม จึงนิยมเรียกตามทรงว่า เจดีย์แปด เหลี่ยม เป็นเจดีย์ขนาดเล็ก อยู่ในวัดจามเทวี จังหวัดลาพูน ด้านทั้งแปดของเรือนธาตุเจดีย์องค์นี้ ประดิษฐาน พระพทุ ธรูปยนื ไว้ในซมุ้ จระนา เหนือเรือนธาตุเป็นหลังคาซ้อนช้ันลดหลั่นขึ้นรับทรงระฆัง เหนือขึ้นไปเป็นยอด ซึง่ หักหายแล้ว เจดีย์ลักษณะนี้ได้พบแพร่หลายทางภาคกลางด้วย เช่น วัดพระแก้ว จังหวัดชัยนาท วัดพระรูป จงั หวัดสุพรรณบุรี และสบื เนื่องมาจนถึงตอนต้นของกรงุ ศรอี ยธุ ยา ๓.เจดยี ท์ รงปราสาทยอดแบบล้านนา เจดีย์ทรงปราสาทยอดแบบล้านนา แบ่งออกได้หลายรูปแบบ ท้ังท่ีมียอดเดียวและห้ายอด จึงอาจ เรียกวา่ เจดียห์ า้ ยอด หรือ ปราสาทห้ายอด เจดยี แ์ บบนีล้ ว้ นเป็นเรือนยอดหรือกุฎาคาร เรียกรวมว่า เจดีย์ทรง ปราสาทยอด เช่น เจดีย์วดั ปาุ สกั อาเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เจดีย์ทรงมณฑป หรือ กู่ทรงมณฑป ในวัด มหาโพธษราม ศิลปะลา้ นนา ก็จดั เป็นเจดยี ์ทรงปราสาทยอดดว้ ยเชน่ กัน ๔.เจดยี ท์ รงปราสาทแบบสโุ ขทัย เจดยี ท์ รงปราสาทแบบสุโขทัย มลี ักษณบางประการคล้ายกับพระปรางค์ของกรุงศรีอยุธยา เพราะต่างได้รับแรง บันดาลใจมาจากปราสาทขอม แต่ลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นทาให้เจดีย์ทรงปราสาทแบบสุโขทัยมีระเบียบที่ ต่างไปจากเจดยี ท์ รงปรางค์ของอยธุ ยา ดว้ ยเหตุนจ้ี ึงไมน่ ่าเรียกเจดีย์ทรงปราสาทแบบสุโขทัยว่าเป็นพระปรางค์ เพราะจะเกิดการสบั สนกบั เจดยี ์ทรงปรางคใ์ นศิลปะอยุธยา ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ยอดส่วนบนของเจดีย์แบบสุโขทัยซ้อนกันน้อยช้ันกว่าเจดีย์แบบอยุธยา อกี ทัง้ ยังไมป่ รากฏการสรา้ งเจดยี ท์ รงนแ้ี บบขนาดใหญ่ หรือเป็นองค์ประธานของวัดเหมือนในอยุธยา นอกจาก ท่ี วัดศรีสวาย ซึ่งยังมีปัญหาในการกาหนดอายุ การสร้าง และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในคราวบูรณะ ซ่ึงเชื่อ กนั วา่ มีไมน่ อ้ ยกว่า ๒-๓ คร้ัง ในสมัยสโุ ขทยั เอง เจดีย์ทรงปราสาทแบบอื่นท่ีสร้างในศิลปะสุโขทัย ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเจดีย์ทรงปราสาทยอด แบบล้านนาโดยตรง หรือจากศิลปะพุกามก็มีอยู่ด้วย เจดีย์เหล่านี้ไม่มีชื่อเรียกเพื่อระบุลักษณะให้แตกต่างจาก

34 เจดีย์ปราสาทยอดแบบลา้ นนา คงเพราะลักษณะโดยส่วนรวมยงั สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ รปู แบบจากแหล่งบันดาลใจท่ี ค่อนข้างชดั เจน ตัวอยา่ งเจดยี แ์ บบนีม้ ีอยู่หลายองค์ เช่น วัดเจดียเ์ จ็ดแถว ศรีสัชนาลัย ๕.เจดยี ท์ รงปรางค์ เจดยี ท์ ่ีมที รงคล้ายดอกข้าวโพด ประกอบด้วยส่วนฐานรองรับส่วนกลางคือเรือนธาตุ และส่วนบนเป็น ช้ันซ้อนลดหลั่นกันข้ึนไปดังกล่าวนี้ คลี่คลายมาจากรูปแบบของปราสาทขอม แต่เจดีย์ทรงปรางค์โปร่งเพรียว กว่าปราสาทแบบขอม นิยมเรียกเจดีย์ทรงปรางค์อย่างสั้นๆว่า พระปรางค์ ท้ังยังใช้เรียกต้นแบบคือปราสาท ขอมด้วย การที่นยิ มเรียกเจดีย์ทรงปรางค์อย่างส้ันๆว่า พระปรางค์ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าพระปรางค์ไม่ใช่ เจดีย์ ซ้าเรียกปราสาทแบบขอมว่าปรางค์เข้าด้วย ทาให้ชวนสับสนย่ิงข้ึน คาว่าปราสาทใช้เฉพาะศาสนสถาน ศิลปะขอม เช่น ปราสาทบายน ในประเทศกัมพูชา ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา แต่ปราสาทสาม ยอดที่ลพบุรี กลับนิยมเรียกว่า พระปรางค์สามยอด ท้ังที่เป็นรูปแบบปราสาทขอม นับว่าเรียกตามปากท่ี คุ้นเคยกัน ปรางค์กับปราสาทในวัฒนธรรมขอมโบราณไม่ใช่ส่ิงก่อสร้างท่ีมีแบบเดียวกัน เพราะข้อความในจารึก ทาข้ึนใน พ.ศ. ๑๖๖๔ กล่าวถึงการคุมศาสนสถานด้วยผ้าเพื่อประกอบพิธีอุทิศถวายว่า \"...คลุมพระปราสาท ปรางค์ และพระถนน...\" ขอมอีกหลักหน่ึงทาข้ึนใน พ.ศ. ๑๖๘๒ กล่าวถึงการประดิษฐานรูปศังกรนารายณ์ไว้ ในพระปรางค์ หากนึกภาพปราสาท พระปรางค์ และพระถนนให้เกี่ยวเนื่องกัน จะได้ว่าปราสาทคือส่วนที่มี ยอดชั้น ปรางค์คือส่วนท่ีต่อเน่ืองมามีหลังคาคลุม ประดิษฐานรูปเคารพ ต่อมาจึงเป็นทางเดินหรือถนน หาก เป็นดงั กลา่ ว ก็อาจเทียบกบั ปราสาทขอมบางองค์ได้ เชน่ ปราสาทพนมรงุ้ จงั หวดั บรุ ีรมั ย์ ข้อสันนิษฐานของสมเด็จฯ เจ้าฟูากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ว่า ปรางค์ อาจจะมาจากคาว่า ชาลา ก็น่าจะเป็นชาลาที่มีหลังคาคลุมเพื่อประดิษฐานรูปเคารพ และยังทรงสันนิษฐานต่อไปว่า ปรางค์กับ ปราสาท \"เป็นของติดต่อปะปนกันอยู่ เลยทาให้เข้าใจกันผิดๆ คาว่า ปรางค์ แม้บัดน้ีก็ยังเข้าใจเป็นสองอย่าง ว่าทอ่ี ยกู่ ็ได้ วา่ ยอดรูปดอกข้าวโพดก็ได.้ ..\" ชาวเขมรก็เรียกปรางค์กับปราสาทปะปนกันด้วย แต่โดยท่ัวไปมักใช้ คาว่าปราสาท ชาวตะวันตกทเี่ ชยี่ วชาญดา้ นศิลปะขอม ใช้คาว่าปราสาทกับศิลปะขอม และแยกใช้คาว่าปรางค์ กบั ศิลปะไทย เกี่ยวกับปรางคแ์ ละปราสาทจากข้อสันนิษฐานข้างต้นยังเป็นความคลุมเครือ สมเด็จฯ เจ้าฟูากรมพระ ยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเรียกปราสาทแบบขอมท่ีวัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย ไว้อย่างน้อยครั้งหน่ึง ว่า ปราสาทหนิ วัดพระพายหลวง เพ่ือทรงเน้นเนื้อความเก่ียวกับอานาจของขอมก่อนสถานากรุงสุโขทัย แต่มัก ทรงใชค้ าว่าปรางค์เรยี กทง้ั ปรางคแ์ บบไทย

35 สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงทีลายพระหัตถถ์ วายสมเด็จฯ เจ้าฟูากรมกรมพระยานริศรา นุวัดตวิ งศ์ ความตอนหนึง่ วา่ \"ของโบราณทางพทุ ธศาสนาซ่งึ สรา้ งไวท้ างเมืองเหนือ หม่อมฉันสังเกตอย่าง ๑ ว่า ถ้าสร้างในสมัยเม่ือขอมยังเป็นใหญ่ สร้างตามลัทธิมหายาน ยกตัวอย่างดังพระศรีรัตนมหาธาตุท่ีเมืองเชลียงก็ เปน็ ปรางค์อย่างเดียวกับพระมหาธาตุเมืองลพพบุรี วัดพระพายหลวงท่ีเมืองสุโขทัยก็เป็นปรางค์สามยอดแบบ เดยี วกบั ปรางค์สามยอดทเี่ มืองลพบุร\"ี สาหรับปรางค์วดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ เชลยี ง และปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ลพบุรีน้ัน มี รูปแบบเปน็ อยา่ งปรางค์ไทยแลว้ สว่ นปรางค์ทว่ี ัดพระพายหลวง สโุ ขทัย มีที่เรียกว่าปราสาทดังกล่าวมาข้างต้น เพราะมรี ปู แบบเป็นปราสาทแบบขอมในศิลปะลพบุรีเช่นกัน แต่เรียกตามความเคยชินว่าปรางค์สามยอดดังได้ กล่าวมาแล้วเชน่ กัน สมเด็จฯ เจ้าฟูากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีความเห็นมาก่อนแล้วว่าปรางค์เป็นปราสาท เหมือนกัน แต่คาว่า ปรางค์แบบไทย น้ันบ่งถึงรูปแบบที่มีอยู่ในศิลปะไทย ปราสาทแบบขอม เม่ือจะเรียกว่า ปรางค์ก็ควรเรียกให้เต็มเช่นกันว่า ปรางค์แบบขอม หากจะเรียกปรางค์แบบไทยว่า ปรางค์ และปรางค์แบบ ขอมว่า ปราสาท ก็ไม่ผิด แต่คาว่าปราสาทที่ชาวเขมรปัจจุบันหรือนักวิชาการตะวันตกเรียกกันนั้น มักไม่นิยม ใชเ้ รียกกนั ในหม่นู กั วชิ าการไทย คงเพราะคาว่าปราสาทที่ไทยเราใช้กัน หมายถึงท่ีประทับของพระมหากษัตริย์ เช่น พระที่น่ังสรรเพชญ์ปราสาทของกรุงศรีอยุธยา พระที่น่ังจักรีมหาปราสาท พระท่ีน่ังดุสิตมหาปราสาทของ กรุงเทพมหานคร ซงึ่ ต่างจากปราสาทที่เปน็ ศาสนสถาน ในศลิ ปะไทยยังมีส่ิงก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบของปรางค์ คือ ปรางค์ยอดกลีบมะเฟือง เช่นที่เป็น เจดยี ์รายในวดั พระศรีรัตนมหาธาตุ ลพบุรี ปรางค์ยอดกลีบมะเฟือง หรือ \"ปรางค์อย่างท่ีทายอดเป็นเฟือง...ได้ คิดเม่ือได้เห็นเหมือนกันว่าเป็นอะไร ก็ตกลงในใจว่าเป็นหลังคาลูกฟูกโดยต้ังใจจะทาเป็นเรือนชั้นเดียวยอด แหลมนั่นเอง จะว่าเป็นแบบไทยก็ควรเพราะในเมืองเขมรไม่เห็นมีเลย\" คาวา่ ปรางค์ ประกอบเปน็ ช่ือ พทุ ธปรางค์ปราสาท ในวดั พระศรรี ัตนศาสดาราม เรม่ิ สร้างและต้ังชื่อใน สมัย๔ เพื่อประดิษฐานพระแก้วมรกต ครั้นรัชกาลท่ี ๖ เปล่ียนมาเรียก ปราสาทพระเทพบิดร เพราะเป็นท่ี ประดิษฐานพระบรมรูปของอดีตพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ยอดของปราสาทองค์น้ีเป็นทรงปรางค์ หมายความวา่ ท่เี รียกพุทธปรางคป์ ราสาทเรยี กตามรปู แบบของยอด สว่ นท่ีเรียกว่า ปราสาทพระเทพบิดร เรียก เพราะเป็นท่ีซึง่ ประดษิ ฐานพระบรมรูป ๖.เจดยี ท์ รงระฆัง เจดีย์ท่ีมี องค์ระฆัง เป็นลักษณะเด่น โดยมีแท่นฐานรองรับอยู่ส่วนล่าง เหนือองค์ระฆังเป็นส่วนยอด มี บลั ลงั ก์ รปู สี่เหล่ยี มตอ่ ข้ึนไปเป็นทรงกรวยเปน็ ปลอ้ งไฉน และปลี

36 คาว่า ทรงระฆัง มีท่ีเรียกว่า ทรงลอม หรือ ทรงลอมฟาง เรียกว่า รูปบาตร ก็มี แต่ไม่เป็นท่ีคุ้นเคยกัน เหมือนทรงระฆงั เพราะรปู คลค่ี ลา้ ยมาใกลก้ บั ระฆงั คาขยายดงั กลา่ วลว้ นบง่ บอกถึงลกั ษณะสาคญั ของเจดยี ์ ท่ีมาของคาแสดงลักษณะของเจดีย์ดังกล่าว มี ต้นเค้าคือพูนดินเหนือหลุมฝังศพ พัฒนามาโดยก่อให้ถาวร เช่น พระมหาสถูปสาญจี ประเทศอินเดีย คร้ัน พระพุทธศาสนาแพร่หลายออกมา รูปแบบของเจดีย์นั้นก็ติดมาเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศท่ีรับนับถือ พระพทุ ธศาสนาด้วย เจดีย์ทรงระฆังมีคาแทนโดยใช้ เจดีย์ทรงลังกา หรือ เจดีย์แบบลังกา เพราะมีทรงระฆังที่ เด่นชดั เหมอื นกนั และสอดคลอ้ งกับทีท่ ราบกันว่าพระพุทธศาสนาในประเทศไทย นับต้ังแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้น มาว่าแพร่หลายมาจากลังกา แต่หากเรียกเจดีย์ทรงระฆังก็จะไม่เป็นการเจาะจงว่าเก่ียวข้องกับอิทธิพลศิลปะ จากลังกา เพราะมตี วั อยา่ งอยู่มากมายทแ่ี สดงให้เห็นว่า เจดีย์ทรงระฆังแบบสุโขทัย ล้านนา และกรุงศรีอยุธยา เป็นรูปแบบของท้องถ่ิน โดยมีส่วนเก่ียวข้องกับอิทธิพลศิลปะจากแหล่งอื่น นอกเหนือจากศิลปะลังกา เช่น ศิลปะพกุ าม เจดีย์ทรงระฆังที่มีช้างล้อมท่ีฐาน เช่น เจดีย์ช้างล้อม วัดช้างล้อม เมืองศรีสัชนาลัย ซ่ึงเชื่อกันว่าเป็น อิทธิพลศิลปะท่ีแพร่หลายมาจากศิลปะลังกา ก็ไม่นิยมเรียกกันว่าเจดีย์แบบลังการ หรือ เจดีย์ทรงลังกา แต่ กลับเรยี กเจดียช์ ้างลอ้ ม ตามลักษณะเด่นชดั ทม่ี ีช้างลอ้ มทฐ่ี าน เจดีย์ทรงระฆังท่ีทากลีบเล็กๆเป็นแนวตั้งไว้โดยรอบองค์ระฆังก็มี ท่ีเรียกว่า ยอดเจดีย์ทรงกลีบมะเฟือง ส่วน เจดียท์ รงระฆังท่เี ป็นเจดีย์สเี่ หล่ยี มย่อมุม ยกมุม หรอื เพิม่ มมุ กต็ าม นิยมเรียกรวมๆว่า เจดยี ์ย่อมมุ ๗.เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ช่ือของเจดีย์ทรงน้ีเรียกกันหลายอย่าง ท่ีเรียกตามลักษณะของยอดโดยตรงซ่ึงคล้ายกับดอกบัวตูม ดัง บางองคท์ ากลบี บัวประดบั ทรงดอกบวั ตูมน้ีด้วย รูปทรงของเจดียเ์ พระยอดสอบข้ึนจากส่วนล่าง เรื่อยข้ึนไปตาม จงั หวะของชดุ ฐานทีซ่ ้อนลดหลัน่ กันเพื่อรบั เรือนธาตุทรงแทง่ และยอดทรงดอกบัวตูม รูปแบบของเจดีย์เกิดข้ึนในสมัยศิลปะสุโขทัย นิยมสร้างกันเพียงในช่วงเวลาสมัยศิลปะสุโขทัยเท่าน้ัน ความท่ีเจดีย์แห่งน้ีมีลักษณะเฉพาะของศิลปะสุโขทัย ไม่เหมือนเจดีย์แห่งอ่ืนใด และได้รับความนิยมในช่วงที่ กรุงสุโขทัยเป็นศูนย์กลางแห่งอานาจ ทาให้คิดว่าเป็นเพราะลักษณะเฉพาะที่เด่นชัดของเจดีย์ เป็นสัญลักษณ์ ของแคว้นสุโขทัย เป็นเหตุให้ไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไปภายหลังท่ีสุโขทัยหมดอานาจและถูกรวมไว้ภายใต้ อาณาจกั รกรุงศรอี ยุธยา ซงึ่ อาจนบั เปน็ เหตผุ ลทางการเมอื งอยา่ งหน่งึ ก็เป็นได้ ลักษณะเฉพาะของเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เกิดจากการที่นาเอาองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมชนิด ต่างๆ มาปรับปรงุ เข้าด้วยกันใหเ้ ป็นเจดยี ท์ รงใหม่ ส่วนล่างประกอบดว้ ยฐาน ๒ ชนดิ คอื ฐานเขียงซ้อนลดหลั่น เป็นชุด สอบข้ึนรับฐานบัวลูกแก้วอกไก่ซึ่งปรับทรงให้สูงขึ้น ต่อจากนั้นไปเป็นส่วนกลางหรือเรือนธาตุ

37 ประกอบด้วยฐานทาซ้อน ๒ ฐาน โดยปรับปรุงลักษณะมาจากปราสาทขอมมาก่อน แต่บีบทรงให้ยืดเพรียว มี การประดับกลีบขนุนตามุมด้านบนของเรือนธาตุตามแบบแผนของทรงปราสาทขอมอีกด้วย ส่วนยอดซ่ึงเป็น ทรงดอกบัวตูมอาจคลี่คลายมาจากทรงระฆัง โดยบีบส่วนล่างของทรงระฆังให้สอบเพื่อตั้งบนเรือนธาตุ ทรง ดอกบัวตูมต่อยอดแหลมเรียวให้เป็นรูปกรวย ส่วนล่างของกรวยควั่นเป็นปล้อง ต่อข้ึนไปคือกรวยเรียบอีกอัน เปน็ ส่วนยอดสุดของเจดีย์ เทียบไดก้ ับส่วนยอดของเจดีย์ทรงระฆงั คือ ปล้องไฉน และ ปลี ๘.เจดยี ท์ รงเคร่ือง เจดียท์ รงเครื่อง คือ เจดีย์ทรงระฆังกลม หรือ ทรงระฆังเหล่ียมย่อมุมก็ตาม ที่มีลักษณะเฉพาะท่ีเจดีย์ ย่อมุมแบบอื่นไม่มี รวมทั้งการตกแต่งด้วยลายปูนปั้นไว้ตามองค์ประกอบต่างๆ คงเกิดข้ึนในราวปลายพุทธ ศตวรรษที่ ๒๒ มีการประดับลวดลายปูนป้ันที่ฐานซึ่งเป็นชุดฐานสิงห์มี บัวกลุ่ม รองรับองค์ระฆัง ตัวองค์ระฆัง เองก็มักมีลวดลายประดับอยู่ด้วย เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์ไม่มีลักษณะพิเศษแต่อย่างใด ต่อขึ้นไปคือ บัวกลุ่ม เถา และปลี ลักษณะดังกล่าวบ่งถึงความแตกต่างจากเจดีย์ทรงระฆังกลม และเจดีย์ทรงระฆังเหลี่ยมย่อมุม โดยทั่วไป ท่ีไม่มีบวั กลุ่มรับองค์ระฆงั และไมม่ ีบัวกล่มุ เถาแทนปลอ้ งไฉน เจดีย์ทรงเครื่องยังมักมีลวดลายประดัยท่ีเรียกว่า บัวคอเสื้อ ประดับอยู่ท่ีส่วนบนขององค์ระฆัง การ ประดับเช่นนี้ อาจเร่ิมมีช่วงปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ โดยประดับที่ส่วนบนขององค์ระฆังรูปกลีบมะเฟือง สืบ ตอ่ มามีการสร้างในสมัยกรงุ ศรีอยุธยาตอนปลาย โดยตอ่ เนอ่ื งมาในสมยั รัตนโกสินทรด์ ้วย ๘.เจดีย์ย่อมมุ เจดยี ์ทรงระฆังส่ีเหลย่ี มย่อมุม การท่ีเรียกเจดีย์ย่อมุม แสดงถึงลักษณะสาคัญท่ีแตกต่างเจดีย์ทรงระฆัง กลม จานวนมมุ ที่ยอ่ ก็มักระบุอยู่ด้วย เชน้ เจดยี ์ย่อมุมไม้สิบสอง เจดียย์ อ่ มุมไม้ยี่สิบ ชื่อเรียก เจดีย์ย่อมุม ซึ่งสะท้อนลักษณะที่เปล่ียนไปของทรงระฆัง จากกลมก็กลายมาเป็นเหล่ียม ยัง ท้ังขนาดขององค์ระฆังเหล่ียมก็เล็กลง ทาให้ได้รูปทรงเจดีย์ท่ีโปร่งเพรียวย่ิงกว่า การที่คาว่าเจดีย์ย่อมุม มีคา วา่ ไม้ ต่อทา้ ยอยู่ดว้ ย เกดิ จากการทย่ี ืมคาของงานไมม้ าใช้ แต่เจดีย์ลว้ นเป็งงานก่อ จงึ ทาให้เข้าใจกันสับสน สม เด็จฯ เจ้าฟูากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงใช้คาที่เป็นงานช่างไม้แทนงานก่อ เช่น ทรงใช้คาว่า ฟัน เป็น กริยาของงานกอ่ ดังตัวอย่างที่ทรงกล่าวถึง งานก่ออิฐของพระปรางค์ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เชลียง ตรงส่วน ของบวั เชงิ และบวั รัดเกล้า ซ่ึงทรงเรียกว่า บัวต้นเสา และบัวปลายเสาว่า \"...ปลายเสานั้นเหนได้ว่าที่ฟันหลาย ช้ันเพราะเปนของใหญ่...\" หรือแม้ภาพปราสาทหรือเรือนแก้วที่ครงคัดลอกมาจากงานจิตรกรรมที่ผนังคูหา ปรางคว์ ดั มหาธาตุ จังหวัดราชบุรี พระองคก์ ท็ รงใช้คาวา่ ฟันไม้ ดงั น้ี \"...ซุ้มเรือนแกว้ ...ได้ขีนเส้นฟันไม้ทรงนอก มาดูน่แี ลว้ ...\"

38 เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองระยะแรกยังมีมุมขนาดใหญ่ นิยมในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาท ทอง ต่อมาเม่ือนานเข้าจึงคลี่คลายจนมุมมีขนาดเล็กลง และทาจานวนมุมเพิ่มขึ้นเป็น ไม้สิบหก ไม้ย่ีสิบ อาจ มาถึง ไม่สามสิบหก เจดีย์บางองค์ก่อมีการประดับประดา เรียกว่า เจดีย์ทรงเคร่ือง และยังมีชื่อเรียก เปรียบเทียบเจดียท์ รงนี้ท่เี พรยี วชะลดู ว่า ทรงจอมแห คาอธิบาย ย่อมุม โดยพิจารณาแผนผังของเจดีย์ คือการแตกมุมใหญ่แต่ละมุมให้เป็นมุมย่อยๆ มุมท่ี แตกออกน้ีมีขนาดเท่ากัน เช่น หากแตกมุมย่อยเป็นจานวนสามมุม รวมมุมใหญ่สี่มุม แตกเป็นมุมย่อยทั้งหมด สิบสองมุม มีขนาดของมุมเท่าๆกัน เรียกว่า เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง เป็นตัน แต่คาว่า ย่อมุม นั้นความจริงเป็น การ ยกมุม ดังลายพระหัตถ์ของสมเด็จฯ เจ้าฟูากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า \"ไม้สิบสอง ซ่ึงเราเรียกกันว่า บากเปน็ ไม้สบิ สองนน้ั เข้าใจผิด ท่ีจรงิ เดมิ ไม่ใชบ่ ากเป็นเสาสิบสองต้น...ธรรมดาเรือนจะต้องเป็นส่ีเหลี่ยมทั้งน้ัน ...เม่ือยกมุขออกมาส่ีด้สน ก็เป็นเสาเพ่ิมข้ึนอีกแปดต้น รวมท้ังเสาเรือนเดิมสี่ เป็นสิบสองต้น...\" อย่างไรก็ดีที่ บางครงั้ พระองค์กลับทรงใช้คาว่า ย่อมุม แทน ยกมุม ด้วยคงมีพระประสงค์จะอนุโลมตารมปากช่างที่เรียกกัน มาจนติดปากแล้ว แผนผังยกมุมหรือเพ่ิมมุม เกิดจากเจดีย์ที่มีเรือนธาตุเป็นห้องสี่เหล่ียม โดยเพ่ิมพ้ืนที่ท่ีย่าน กลางของด้านทั้งสี่ ทาให้เกิดเป็นมุมเพิ่มข้ึนเป็นมุมขนาดเล็กขนาบมุมเดิมซึ่งเป็นมุมประธาน มุมขนาดเล็กที่ ขนาบข้างมุมประธานมีจานวนข้างละเท่าๆกัน และมีระเบียบชัดเจนแน่นอน คือ ต้องเป็นกลุ่มมุมที่มีจานวนคี่ ซ่ึงต่างขากแผนผังท่ีเรียกว่า ย่อมุม ท่ีอาจมีกลุ่มมุมเป็นจานวนคี่หรือคู่ก็ได้ และมุมทุกมุมน้ันมีขนาดเท่ากัน แผนผังรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัสยกมุมเดิมเป็นแบบแผยตายตัวสาหรับปราสาทแบบขอม สืบต่อมาเป็นกฎเกณฑ์ สาหรบั แผนผังของปรางคท์ ี่สรา้ งขึ้นในระยะแรกของกรุงศรอี ยธุ ยา รวมทั้งเจดีย์องค์อื่นๆในพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ เช่น เจดีย์ศรีสรุ ิโยทยั องค์ประกอบของเจดยี ์ ๑.เจดยี ท์ รงโอควา่ เจดีย์ทรงโอคว่า หรือเจดีย์แบบสาญจี เป็นเจดีย์รูปแบบแรก ๆ ของพุทธศาสนา มีองค์ประกอบพ้ืนฐาน ครบถว้ น คือ ๑. ฐาน (บางแห่งอาจไม่ม)ี เพ่อื ยกระดับว่า เจดยี น์ ีส้ งู ศกั ด์กิ วา่ หลมุ ศพธรรมดา ๒. เรือนธาตุ บางแหง่ ทึบตัน บางแหง่ กลวงเพือ่ ประดิษฐานพระพุทธรปู รปู เคารพ หรอื บรรจสุ ิง่ ของ ๓. บลั ลังก์ แสดงถงึ วรรณะกษัตรยิ ์ (พระพทุ ธเจ้าเกดิ ในวรรณะกษัตรยิ ์) ๔. ฉัตร (บางแหง่ อาจไมม่ ี) เปน็ เครอ่ื งประดบั บารมี

39 ๒.เจดยี ท์ รงลงั กาแบบสโุ ขทัย เมื่อพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ได้เข้ามาประดิษฐานในกรุงสุโขทัย จึงได้มีการสร้าง เจดีย์ตามวัฒนธรรมพระพุทธศาสนา แต่ได้มีการประดับตกแต่ง ตามแบบของสุโขทัย โดยยังมีองค์ประกอบ สาคญั ครบถ้วน และมอี งคป์ ระกอบอนื่ ๆ เพม่ิ เข้ามา ๑. ฐานเขียง ฐานชนั้ ล่างสดุ ยกพ้ืนเจดียใ์ ห้สูงกว่าพืน้ ดนิ ๒. ฐานปทั ม์ หรือฐานบวั (ปทุม) แสดงถึงดอกบวั ที่รองรบั พระพทุ ธเจ้าในทุกอิริยาบถของพระพุทธองค์ ๓. บัวถลา เป็นลกั ษณะที่รบั มาจากลังกาแต่เอาชั้นบัวหงายออก ๔. บวั ปากระฆงั เป็นฐานบัวชั้นบน ๕. องค์ระฆัง หรือ เรือนธาตุ บรรจุพระพทุ ธรูป หรอื พระบรมสารรี กิ ธาตุ หรือพระบรมอัฐิ และพระอฐั ิ ๖. บัลลังก์ คงความหมายเดิม ๗. ก้านฉัตร เปน็ กา้ นของฉัตร (ตามความหมายเดิม) ๘. บวั ฝาละมี บวั คว่าด้านบน กางก้ันฉัตรให้เรือนธาตุ ๙. ปลอ้ งไฉน เปรยี บเสมอื นตวั ฉัตร (ตามความหมายเดิม) ๑๐.ปลยี อด ชขี้ ึน้ ฟูา เส้นทางสู่พระนิพพาน ๑๑.หยาดนา้ คา้ ง หมายถงึ รตั นะ ๓.เจดยี ท์ รงลงั กาแบบอยุธยา ในสมัยอยุธยา พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น เจดีย์เองก็มีการพัฒนาการข้ึน และมี องค์ประกอบอื่น ๆ เพิ่มเข้ามา รวมถึงเปล่ียนแปลงองค์ประกอบบางอย่างให้เข้ากับวัฒนธรรม โดยรวมมี ความหมายเดมิ ๑. ฐานเขียง ฐานช้นั ล่างสดุ ยกพื้นเจดยี ใ์ ห้สงู กว่าพน้ื ดนิ ๒. ฐานปัทม์ หรอื ฐานบวั (ปทุม) แสดงถึงดอกบวั ทีร่ องรบั พระพุทธเจ้าในทกุ อิรยิ าบถของพระพุทธองค์ ๓. บวั ถลา เป็นลักษณะทร่ี ับมาจากลังกาแต่เอาชั้นบวั หงายออก ๔. บวั ปากระฆัง เป็นฐานบวั ช้นั บน ๕. องคร์ ะฆัง หรอื เรือนธาตุ บรรจุพระพทุ ธรปู หรือพระบรมสารีรกิ ธาตุ หรอื พระบรมอฐั ิ และพระอัฐิ ๖. บัลลังก์ คงความหมายเดิม ๗. ก้านฉตั ร เปน็ กา้ นของฉัตร (ตามความหมายเดมิ ) ๘. บัวฝาละมี บวั ควา่ ดา้ นบน กางกน้ั ฉัตรใหเ้ รือนธาตุ ๙. ปลอ้ งไฉน เปรยี บเสมอื นตัวฉัตร (ตามความหมายเดิม) ๑๐.ปลียอด ชีข้ ึน้ ฟูา เส้นทางสู่พระนิพพาน

40 ๑๑.หยาดน้าค้าง หมายถึงรัตนะ เจดยี ์สาคญั ในประเทศไทย ๑.จอมเจดยี ์ ในสมัยท่ีสยามกาลังเปลี่ยนแปลงประเทศเพ่ือจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นอารยะในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ทรงเปล่ียนแปลง ปฏิรูปหรือปฏิวัติระเบียบแบบแผนทาง ประเพณตี ่าง ๆ ที่สืบทอดมายาวนานไปในรูปร่างและทิศทางใหม่ท่ีสอดคล้องกับอุดมคติใหม่จากโลกตะวันตก การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ดังกล่าวน้ีได้ส่งผลกระทบไปยังองค์ประกอบทุกส่วนในสั งคมสยามไม่ว่าจะเป็น ทางด้านการเมืองการปกครอง วัฒนธรรมและการดารงชีวิต รวมถึงงานสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะวัดเบญจม บพิตรได้รับการอธิบายแต่เพียงว่าได้มีการผสมผสานวัสดุและเทคนิคบางอย่างจากตะวันตกเข้ามาเป็น สว่ นประกอบเช่น มกี ารใชห้ ินออ่ นจากอิตาลีมาเป็นวัสดบุ ุผิวนอกอาคารหรอื การเขียนสีบนกระจกหน้าต่างพระ อุโบสถ อันส่งผลทาให้การรับรู้คล้ายกับบานกระจกสีของโบสถ์แบบฝร่ัง แต่สิ่งที่แผงอยู่ในพระอุโบสถวัด เบญจมบพติ รยังแสดงถึงความเชอ่ื ค่านยิ ม และอุดมคติของสงั คม ณ ช่วงเวลาน้นั ไว้ดว้ ย การเปล่ียนแปลงทางความคิดในลักษณะน้ียังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนจากภาพจิตรกรรมที่ถูกเขียน ขึ้นภายใต้แบบแผนอยา่ งใหม่ภายในพระอุโบสถวดั เบญจมบพติ ร ถอื เป็นภาพสะท้อนอุดมคติเรื่องพ้ืนท่ีและเขต แดนสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงคือภาพเขียนภายในช่องคูหาผนังท้ัง ๘ เป็นภาพเขียนที่เกิดจากความคิดของ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ถือว่าเป็นชนช้ันนาและความคิดก้าวหน้าสมัยแรกใน ยุคสมยั น้ัน สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงเป็นผู้บัญญัติคาว่า จอมเจดีย์ ขึ้นมา โดย ตรัสแก่สมเด็จพระวันรัต (กิตตโสภโณเถระ) เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๕ ว่า \"การที่ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งพระบวรพุทธศาสนา ทาให้มีพุทธสถานกระจายอยู่ทั่วประเทศ มีอายุ และแบบศิลปกรรมแตกต่างกันตามคตินิยมและยุคสมัย ในบรรดาปูชนียสถานนับร้อยนับพันมีเพียง ๘ แห่ง เทา่ น้นั ที่ควรคา่ แกก่ ารยกยอ่ งใหเ้ ป็น จอมเจดีย์ แหง่ สยาม\" จอมเจดีย์ ท่ีสาคัญของสยามทั้งหมด ๘ องค์ โดยกาหนดให้เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ โดยว่าจ้างให้ กรมศิลปากรออกแบบและเขียน แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ภาพสถูปเจดีย์ทั้ง ๘ องค์ ท่ีกาหนดให้เขียนขึ้นมี ดังน้ี ๑. พระธาตหุ ริภญุ ชัย จงั หวดั ลาพูน ๒. พระศรรี ตั นมหาธาตเุ ชลยี ง ๓. พระมหาธาตุศรสี ัชนาลยั

41 ๔. พระธาตุพนม จงั หวดั นครพนม ๕. พระศรรี ตั นมหาธาตุละโว้ ๖. พระเจดยี ช์ ยั มงคล จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ๗. พระปฐมเจดีย์ จังหวดั นครปฐม ๘. พระบรมธาตุนครศรธี รรมราช สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ มิได้ทรงมีอรรถาธิบายถึงเหตุผลแห่งการนาคาว่า จอม มาใช้ หากแต่เราทราบกันดีวา่ เปน็ พระนามของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลท่ี ๔ พระราชบิดาของ พระองค์ ราวกับว่าสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ได้คัดเลือกปูชนียสถานท่ีทรงคิดว่าสาคัญท่ีสุดของ ไทย แล้วเฉลมิ นามว่า จอมเจดยี ์ เพือ่ ถวายเป็นพระเกียรติแดพ่ ระบรมราชชนก เกณฑก์ ารคดั เลอื กจอมเจดียม์ ีเงือ่ นไขใดบ้าง สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงฯ ได้ทรงอธิบายถึงความสาคัญ ของจอมเจดยี แ์ ตล่ ะองค์ ประกอบเหตผุ ลไวโ้ ดยย่อดงั นี้ ๑. พระธาตหุ ริภญุ ชยั ลาพนู เหตุเพราะเป็นเจดยี ท์ ่สี ร้างกอ่ นองค์อ่ืนในแคว้นลา้ นนาไทย ๒. พระศรีรตั นมหาธาตุเชลียง เหตุเพราะเปน็ เจดยี อ์ งค์แรกในการสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั ๓. พระเจดีย์ช้างล้อม ศรีสัชนาลัย เหตุเพราะเป็นเจดีย์ท่ีพ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงสร้างเฉลิมพระ เกยี รติ ๔. พระธาตุพนม เหตเุ พราะเปน็ เจดยี ท์ ส่ี รา้ งก่อนองค์อ่นื ในภาคอีสาน ๕. พระศรรี ัตนมหาธาตุละโว้ เหตเุ พราะเป็นสถปู องค์แรกในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาฝุายมหายาน ในสยามประเทศ ๖. พระเจดีย์ชัยมงคล พระนครศรีอยุธยา เหตุเพราะเป็นเจดีย์ที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสร้าง เฉลิมพระเกียรติเมอ่ื คร้งั ทรงกระทายุทธหตั ถีมชี ัยเหนือพระมหาอปุ ราชแหง่ กรุงหงสาวดี ๗. พระปฐมเจดยี ์ เหตุเพราะสร้างเมอ่ื แรกพระพุทธศาสนาเข้ามาประดิษฐานในสยามประเทศ ๘. พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เหตุเพราะเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อพุทธศาสนาลังกาวงศ์สถาปนาใน สยามประเทศ ภาพเขียนสถูปเจดีย์ท้ัง ๘ เป็นหลักฐานท่ีสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงคติความเชื่อ คือ การ เปล่ยี นแปลงลกั ษณะของจิตรกรรมจากท่ีเคยเขียนภาพในลักษณะเป็นอุดมคติที่ไม่มีอยู่จริง กลายมาเป็นเขียน ภาพของเหตุการณ์ สถานท่ีที่มีอยู่จริง มีสัดส่วนที่เหมือนจริง และการใช้สี รูปภาพสถูปเจดีย์ท้ังหมดน้ันต่าง ล้วนเปน็ สถปู เจดียท์ ่ีมีอยูจ่ รงิ ในพืน้ ที่ตามเมืองต่าง ๆ มิใช่สถูปเจดีย์ในอุดมคติหรือความเช่ือในตานานอีกต่อไป เช่นท่ีมักเขียนตามฝาผนังพระอุโบสถท่ัวไปในอดีต เช่น กรุงลงกา ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ พระเจดีย์จุฬา มณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพก็คงทรงมีแนวคิดและความเช่ือ

42 ดงั กลา่ วอย่างเต็มทเ่ี ช่นกนั จงึ มพี ระราชประสงคท์ ีจ่ ะใหเ้ ขียนภาพสถปู เจดียท์ มี่ ีอยู่จริงในประเทศสยามมากกว่า ทจี่ ะเป็นรูปสถปู เจดียท์ สี่ าคัญเพยี งในจนิ ตนาการแบบอดตี อีกท้ังความเปลี่ยนแปลงในคติการครองพ้ืนที่ คือเมื่อเป็นเจ้าของสถานที่สาคัญในเมืองต่าง ๆ ก็หมายถึง การเป็นเจ้าของเมืองน้ันด้วย เจดีย์ท่ีถูกวาดข้ึนยังถือว่าเป็นจอมเจดีย์ที่สาคัญในประเทศสยาม ซ่ึงประเด็นนี้ เกี่ยวข้องกับมุมความคิดในเร่ืองพ้ืนที่ถือครองและขอบเขตพระราชอาณาจักรตามอุดมคติแบบใหม่ท่ียึด ขอบเขตดนิ แดนตามทีเ่ ปน็ จริง มิใช่ขอบเขตที่พระมหากษัตริย์มีอานาจเพียงแต่ในนาม ภาพเขียนสถูปเจดีย์ทั้ง ๘ เป็นภาพสะท้อนการถือครองพ้ืนที่ในอุดมคติใหม่ของสยามท่ีแสดงขอบเขตของอาณาจักอย่างชัดจริง ภาพ สถูปเจดีย์ทั้งหมดจึงเป็นการแสดงอุดมคติเรื่องพื้นท่ีและอาณาเขตที่เป็นจริงตามความคิดแบบตะวันตก เป็น การสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงพระราชอานาจและพระราชอาณาเขตของประเทศสยาม โดยใช้สัญลักษณ์สถาปัตยกรรม ทางศาสนาท่ีสาคัญของท้องถ่ินนั้นๆ เป็นตัวชี้ ถึงแม้ว่าจะมิได้เป็นตัวการกาหนดช้ีชัดลงไปในรายละเอียดท่ี ถูกตอ้ งแบบแผนที่ก็ตาม พธิ กี รรม พธิ กี รรมวันมาฆบูชา ความเป็นมา วันมาฆบูชา ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๓) เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สาคัญทาง พระพทุ ธศาสนา ในวนั น้ันนอกจากเปน็ วันเพ็ญเดือนมาฆะแล้ว ยังเป็นวันท่ีพระสงฆ์จานวน ๑,๒๕๐ รูป มาเข้า เฝูาพระพุทธเจ้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายพระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุ คือ ได้รับการอุปสมบทจาก พระพุทธเจา้ และลว้ นเป็นพระอรหันต์ผู้เปน็ อภญิ ญา ๖ การประจวบกันของเหตุการณ์ทั้ง ๔ ประการน้ี เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมซ่ึงประกอบด้วยองค์ ๔ ในโอกาสพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ เหตกุ ารณน์ ้เี กิดขนึ้ ขณะท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวันกรุงราชคฤห์ ก่อนเข้าพรรษาที่ ๒ (หลังจาก ตรสั รู้ ๙ เดือน)

43 ในประเทศไทย พิธีบูชาเน่ืองในวันมาฆบูชาเริ่มมีเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงปรารภถึงความสาคัญของวันมาฆบูชาว่า มี เหตุการณ์สาคัญ ๔ ประการ ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต เกิดข้ึนในวันเดียวกันสมควรที่พุทธศาสนิกชนจะได้ ทาการบูชาเพื่อระลึกถึงความสาคัญของวันดังกล่าวและพระคุณของพระพุทธเจ้า พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัด พธิ บี ชู า เนอ่ื งในวนั มาฆบูชาขึ้นในพระราชวัง โดยโปรดใหม้ ีการประกอบพระราชกุศลในเวลาเช้าด้วยการนิมนต์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และฉันภัตตาหารในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในเวลาค่า พระองค์จะ เสด็จออกฟังพระสงฆ์ทาวัตรเย็นสวดโอวาทปาติโมกข์ แล้วทรงจุดเทียนเรียงตามรอบพระอุโบสถ จานวน ๑,๒๕๐ เล่ม พระภิกษุเทศนาโอวาทปาติโมกข์ พระสงฆ์ จานวน ๓๐ รปู สวดมนตร์ ับเทศนา เปน็ เสร็จพธิ ี ในรชั สมยั ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอม-เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ ทรงนาพิธีบูชาเน่ืองในวันมาฆบูชาไปประกอบในสถานท่ีอื่น ๆ นอกพระบรมมหาราชวังในคราวเสด็จประพาส ตน้ เชน่ บางปะอิน พระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง เป็นต้น ประชาชนได้นาเอาวิธี บชู าเนื่องในวนั มาฆบูชาไปปฏบิ ัติกนั อย่างกวา้ งขวางและสืบมาจนถึงปจั จุบนั นี้ ปัจจุบันรฐั บาลไดใ้ ห้ความสาคัญตอ่ วันมาฆบชู า โดยกาหนดให้เป็นวันหยดุ ราชการ ๑ วัน แนวทางท่พี งึ ปฏิบตั ิ วันมาฆบชู า ถือเป็นวันสาคัญย่ิงวันหน่ึง ในพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธพึงปฏิบัติเช่นเดียวกับวันสาคัญ ทางพระพุทธศาสนาวันอื่น ๆ และควรปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ เป็นกรณีพิเศษพุทธศาสนิกชนผู้มุ่งท่ีจะพัฒนา ตนเองตามหลกั ธรรมแหง่ วันมาฆบชู า พงึ ปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมอืน่ ที่นาสุขมาให้อกี ดังน้ี การปฏบิ ตั ิพธิ กี รรมสาหรบั พทุ ธศาสนิกชน การให้ทาน ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรในช่วงเช้าหรือเพล บริจาคทรัพย์ช่วยเหลือเก้ือกูลผู้ ยากไร้และบาเพ็ญสาธารณประโยชน์ รักษาศีล สารวมระวังกายและวาจาด้วยการรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมท้ังบาเพ็ญเบญจธรรม สนบั สนุน เจริญภาวนา บาเพ็ญภาวนาด้วยการไหว้พระสวดมนต์และปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนาตามแนวสติปัฏ ฐาน เวียนเทียน การเวียนเทียนเป็นการบูชาพระรัตนตรัยด้วยอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา ในการนี้ควรแต่ง กายให้สภุ าพเพ่อื เป็นการบชู าพระรัตนตรัย

44 พธิ ีกรรมวนั วสิ าขบูชา วิสาขบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ คือ วันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๖ ในปีปรกติ(ประมาณ เดือนพฤษภาคม) หรือวันขึ้น ๑๕ คา่ เดือน ๗ ในปที ม่ี อี ธิกมาศ (เดือน ๘ มี ๒ เดือน) ซึ่งถือกันว่า เป็นการบูชา พิเศษ เพราะเป็นวันสาคัญในพระพุทธศาสนา ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้และเสด็จดับขันธปรินิพพานแห่งพระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ความสาคญั วันวิสาขบูชา ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพานแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่ง เหตุการณ์สาคญั น่าอศั จรรย์ท้ัง ๓ ประการ ไดเ้ วยี นมาบรรจบในวนั เดยี วกนั คือ วนั วิสาขบชู า ดงั น้ี ๑. วนั ประสตู ิ พระพุทธเจ้าทรงเปน็ กษตั ริยโ์ ดยพระชาตแิ ละโดยพระวงศเ์ ป็นโคตมวงศ์โดยชาติภูมิเป็นชาวศักยะ ประสูติก่อน พุทธศักราช ๘๐ ปี ในมัธยมประเทศ เป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ เจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ (ปัจจุบันอยู่ในเมืองลุ มมินเด ประเทศเนปาล) และพระนางศริ มิ หามายาทรงมีพระนามว่า “เจ้าชายสิทธัตถะ” ในวันประสูตินั้น ตาม พทุ ธประวัติกล่าวไว้ว่า พระนางศิริมหามายาทรงพระครรภ์บริบูรณ์แล้ว ทรงประสงค์จะเสด็จไปเมืองเทวทหะ นครอันเป็นชาตภิ มู แิ ห่งพระองค์ เมอ่ื ทรงได้รับอนุญาตจากพระเจ้าสุทโธทนะแล้ว คร้ันรุ่งเช้าในวันวิสาขบูรณมี ดิถีเพ็ญเดือน ๖ พระนางศิริมหามายาเสด็จออกจากพระนครไปถึงปุาไม้รัง มีช่ือว่าลุมพินีวัน อยู่ระหว่างพระ นครท้งั สองแต่ใกล้เมืองเทวทหะนครพระนางจึงโปรดให้เสด็จชม คร้ันเสด็จไปถึงใต้ต้นสาลพฤกษ์(ไม้รัง) ก็ทรง ประชวรพระครรภ์ ประสตู พิ ระมหาบุรุษจากพระครรภ์ ณ สถานที่นั้น ๒. วนั ตรสั รู้ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงได้รบั การทานบุ ารุงอบรมมาเป็นอันดีตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เมื่อทรงพระเจริญวัย ได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา (พิมพา) กาลต่อมาได้ทรงมีพระโอรส พระนามว่า “ราหุล” ด้วยพระ บารมที ่ีทรงบาเพญ็ มาแลว้ ในอดตี กาล และด้วยพระปัญญาอันเต็มบริบูรณ์ด้วยโยนิโสมนสิการ ทาให้ทรงมีพระ อัธยาศัยเบ่ือหน่ายในความเป็นอยู่อันเพลิดเพลินด้วยกามคุณ เกิดแล้วก็แก่ ก็เจ็บ และตายไป โดยไม่เกิด

45 ประโยชนอ์ ันใด เมือ่ ทรงพิจารณาอยา่ งรอบคอบถงึ ความเป็นอยูข่ องชีวติ กท็ รงยง่ิ เบื่อหน่ายในโลกวิสัย และทรง มพี ระกรณุ าอันย่ิงใหญ่แก่มหาชน ทรงดารจิ ะหาประโยชน์เพ่ือให้มหาชนพ้นทุกข์และปฏิบัติคุณงามความดีโดย ถูกต้อง ดังนั้น ทรงเห็นว่าการออกบวชเป็นวิถีทางในการท่ีจะทาประโยชน์ได้อย่างยิ่ง จึงทาให้ทรงตัดสิน พระทัยเสด็จออกทรงผนวช ถือเพศเปน็ นกั บวชและทรงศึกษาวิธกี ารจากพราหมณ์คณาจารย์ เจ้าลัทธิต่าง ๆใน สมัยนัน้ เมอ่ื ทรงศกึ ษาจนสาเรจ็ ในลัทธิตา่ ง ๆ เหล่าน้ัน แล้วเห็นว่าไม่ใช่ทางในการทาให้ตรัสรู้ธรรมพิเศษได้ ก็ ทรงลาพราหมณ์คณาจารย์เหล่าน้ัน เพื่อไปแสวงหาวิธีการและแก้ไขทดลองโดยลาพังพระองค์เอง จนได้รับ ความพอพระทัยว่า ได้ตรัสรู้แล้ว ในวันวิสาขบูรณมีดิถีเพ็ญเดือน ๖ ณ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ใกล้ฝั่งแม่น้าเนรัญ ชรา ตาบลอุรเุ วลาเสนานิคม แควน้ มคธ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี (ปัจจุบันอยู่ในเขตเมืองพุทธคยา แคว้นพิหาร ประเทศอินเดยี ) ๓. วันเสดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พาน ครั้นได้ตรัสรู้แล้ว ทรงบาเพ็ญพุทธกิจโปรดบรรพชิต คือ ปัญจวัคคีย์ ๕ รูป มีพระโกณฑัญญะเป็น หวั หนา้ และทรงส่งไปเผยแผ่พระศาสนาในนคิ มชนบทราชธานีตา่ ง ๆ จนพระศาสนาเจริญแพร่หลาย พร้อมทั้ง ทรงแสดงธรรม บัญญัติวินัย เพื่อผลอันไพบูลย์มั่นคงแก่พระศาสนาและความพ้นทุกข์ของมหาชน เม่ือ พระชนมายุได้๘๐ พรรษา ณ สวนปุารัง ฟากแม่น้าหิรัญญวดี อันเป็นที่แวะพักของมัลละกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสิ นารา พระองค์ทรงประทับบรรทมบนเตียงในระหว่างไม้รังทั้งคู่ หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ บรรทมโดยเบื้อง ขวาเปน็ อนุฏฐานไสยาสน์ และทรงโปรดประทานพระโอวาทเปน็ ปัจฉิมโอวาท“ภิกษทุ ้งั หลาย บัดน้ีเราเตือนเธอ ท้ังหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมส้ินไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด” ต่อจากน้ันทรงเข้าปฐมฌานไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ เรียกว่า อนุโลม แล้วย้อนกลับลงมาตามลาดับจนถึงปฐมฌาน เรียกว่า ปฏิโลม แล้วย้อนข้ึนไปอีกโดยลาดับ ๆ จนถึงจตุตถฌาน และเสดจ็ ดบั ขันธปรนิ ิพพาน ในวันวสิ าขบูรณมีดิถีเพ็ญเดือน ๖ ณ ใต้ต้นสาละ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ เมื่อ พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา กอ่ นพุทธศักราช ๑ ปี (ปัจจุบันอยู่เขตเมืองกุสินคระ แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศ อนิ เดีย) ประวตั คิ วามเปน็ มาของวนั วิสาขบชู าในประเทศไทย วันวิสาขบูชา ปรากฏหลักฐานว่า มีมาตั้งแต่คร้ังกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่าคงได้ แบบอยา่ งมาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๔๒๐ พระเจ้าภาติกราชกษัตริย์แห่งกรุงลังกาได้ประกอบ พธิ ีวิสาขบูชาอยา่ งมโหฬาร เพ่ือถวายเป็นพทุ ธบูชาและกษตั ริยแ์ หง่ กรงุ ลังกาในรัชกาลต่อ ๆ มาก็ทรงเจริญรอย ตาม แมป้ ัจจุบนั กย็ ังถือปฏบิ ตั อิ ยู่

46 สมัยกรุงสุโขทัย ประเทศไทยกับประเทศลังกามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากในด้านพระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆ์ชาวลังกาได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยและเช่ือว่าได้นาการประกอบ พิธวี สิ าขบูชามาปฏิบตั ิในประเทศไทยดว้ ย ในหนังสอื พระราชพิธีสบิ สองเดือน ซ่งึ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ มี ความตอนหนึ่งว่า “...ก็การท่ีถือว่าพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์วิสาขะเป็นนักขัตฤกษ์ ที่ควรประกอบการบูชาใน พระรัตนตรัย ซึ่งถือกันอยู่ในเมืองท่ีนับถือพระพุทธศาสนามาแต่โบราณนั้น จะให้ได้ความชัดว่า ตั้งแต่ พระพุทธศาสนาได้มาประดิษฐานในแผน่ ดินสยามแล้ว คนทั้งปวงได้ทาการบูชานั้นมาแต่เดิมหรือไม่ได้ทาก็ไม่มี ปรากฏชัดในที่แห่งใด จนถึงกรุงสุโขทัย จึงได้ความตามหนังสือที่นางนพมาศแต่งนั้นว่า คร้ันถึงวันวิสาขบูชา สมเดจ็ พระเจ้าแผ่นดิน และราชบรริ ักษฝ์ ุายหน้าฝุายใน ทั้งอาณาประชาราษฎรท์ วั่ ทกุ นคิ มคามชนบท ก็ประดับ พระนครและพระราชวัง ข้างหน้าข้างในจวนตาแหน่งท้าวพระยา พระหลวงเศรษฐี ชีพราหมณ์ บ้านเรือน โรง ร้าน พ่วงแพ ชนประชา ชายหญิง ล้วนแต่แขวนโคมประทีปชวาลาสว่างไสวห้อยย้อยพวงบุปผชาติ ประพรม เคร่ืองสุคนธรส อุทิศบูชาพระรัตนตรัย สิ้นสามทิวาราตรี มหาชนชวนกันรักษา พระอุโบสถศีล สดับฟังพระ สัทธรรมเทศนาบูชาธรรม บ้างก็ถวายสลากภัตตาหารสังฆทาน ข้าวบิณฑ์ บ้างก็ยกข้ึนซึ่งธงผ้าบูชาพระสถูป เจดีย์ บ้างก็บริจาคทรัพย์จาแนกแจกทานแก่ยาจกทลิทก คนกาพร้าอนาถาชราพิการ บ้างก็ซื้อไถ่ชีวิตสัตว์ จตุบททวิบาทชาติมัจฉต่าง ๆ ปลดปล่อยให้ความสุขสบาย อันว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน และราชกูล ก็ทรงศีล บาเพ็ญการพระราชกุศลต่าง ๆ ในวันวิสาขบูชา พุทธศาสนา เวลาตะวันฉายแสงก็เสด็จพระราชดาเนินพร้อม ด้วยราชสุริยวงศ์และนางใน ออกวัดหน้าพระธาตุราชอารามหลวงวันหนึ่งออกวัดราษฏร์บุรณพระวิหารหลวง วันหนึ่ง ออกวัดโลกสุทธราชาวาสวันหน่ึง ต่างนมัสการพระรัตนัตตยาธิคุณ โปรยปรายผกาเกสรสุคนธรส สักการบชู า ถวายประทปี ธูปเทียน เวยี นแว่นรอบรตั นบลั ลังก์ ประโคมดรุ ิยางคดนตรี ดดี สตี เี ปาุ สมโภชพระชิน ศรี พระชินราช พระโลกนาถ พระอัฏฐารส โดยมีกมลโสมนสั ศรัทธาทุกตัวคน” แล้วมีคาสรรเสริญว่า “อันพระ นครสโุ ขทยั ราชธานี ถงึ วนั วสิ าขนกั ขัตฤกษ์ครั้งใด ก็สว่างไปด้วย แสงประทีปเทียนดอกไม้เพลิง แลสล้างสลอน ด้วยธงชาย ธงประตาก ไสวไปด้วยพู่พวงดอกไม้ กรองร้อยห้อยแขวน หอมตลบไปด้วยกลิ่นสุคนธรสรวยรื่น เสนาะสาเนยี งพิณพาทย์ฆ้องกลอง ท้ังทิวาราตรี มหาชนชาย หญิงพากันกระทากองการกุศล เสมือนจะเผยซ่ึง ทวารพิมานฟูาทกุ ช่อช้ัน” กลา่ วไว้เป็นการสนกุ สนานย่ิงใหญ่ เหมือนอย่างในหนังสือโบราณก่อน ๆ ขึ้นไป ท่ีได้ กล่าวถงึ วนั วสิ าขบชู า ดงั นี้…” ในสมัยกรุงศรอี ยุธยา ตลอดถึงสมัยกรงุ ธนบุรีและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลท่ี ๑ ไม่ปรากฏว่าได้ มกี ารประกอบพิธวี ิสาขบชู า เพราะสถานการณ์บ้านเมืองไมเ่ ออื้ อานวยให้ประกอบเป็นพระราชพิธี คงมีแต่พิธีที่ พระสงฆ์และประชาชนจัดขึ้นตามวัดวาอารามเท่าน้ัน ถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงปรากฏหลักฐาน ในพระราชพงศาวดารว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หล้านภาลัยได้ตรัสถามพระเถรานุเถระเก่ียวกับการบาเพ็ญกุศลในทางพระพุทธศาสนาเป็นพิเศษ พระสงฆ์ได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook