Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตำราพระธาตุ ฉบับ อรรถาธิบายโดยพิสดาร

ตำราพระธาตุ ฉบับ อรรถาธิบายโดยพิสดาร

Published by nopparat.tot, 2021-11-05 08:07:47

Description: ตำราพระธาตุ ฉบับ อรรถาธิบายโดยพิสดาร
ข้อมูลบรรณานุกรม
ธนวัฒน์ ทรงศิริ.
ตำราพระธาตุ ฉบับ อรรถาธิบายโดยพิสดาร.
-- กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ดิจิตอล เดอะ วัน พริ้นท์ติ้ง, 2564.
112 หน้า.
1. พระธาตุ. I. ชื่อเรื่อง.
294.3121
ISBN 978-616-586-780-1

Search

Read the Text Version

๔๖ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร พระธำตุพระกงั ขำเรวตั ตะ กลม งอกตะปมุ่ ตะป่ัมดังภูเขำ สเี ขยี วดังลกู ปัด สปี ีกแมลงทบั สลี กู จันทรอ์ ่อน ภำพอำ้ งอิงสณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพียงแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนน้ั มิใช่ข้อสรุป

ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๔๗ พระธำตพุ ระโมฬยิ ะวำทะ ฟองมัน (เครื่องหมำย เรมิ่ ต้นในประโยคต่ำง ๆ) สเี มฆหมอก สดี ำเทำ ภำพอำ้ งอิงสณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเทำ่ นน้ั มิใช่ข้อสรปุ

๔๘ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร พระธำตุพระอตุ ระ เมล็ดแตงโม สแี ดงดังเปลือกกรู (ยังไม่ทรำบแน่ชัด) สีดงั ผลหวำ้ ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศึกษำเทำ่ น้ัน มใิ ชข่ ้อสรปุ

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๔๙ พระธำตุพระคริ มิ ำนันทะ ดอกพิกุล สีเหลืองแกด่ ังขมิ้น สีดอกกำระเกด ภำพอ้ำงอิงสณั ฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนน้ั มิใช่ขอ้ สรปุ

๕๐ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร พระธำตุพระสปำกะ ผลมะม่วง สีแดง สเี หลือง สขี ำว ภำพอำ้ งอิงสัณฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำน้นั มิใช่ขอ้ สรปุ

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๕๑ พระธำตุพระวมิ ะละ กลมยำว มีรูทะลุตลอดหัวท้ำย สเี ขยี ว สขี ำว ภำพอ้ำงอิงสัณฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำน้ัน มใิ ช่ขอ้ สรปุ

๕๒ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร พระธำตุพระเวณหุ ำสะ ตำออ้ ย แดงดงั สฝี ำง สีมะเดอื สกุ ภำพอ้ำงอิงสณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนนั้ มใิ ช่ข้อสรปุ

ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๕๓ พระธำตุพระอคุ คำเรวะ สดี ังเมล็ดในทับทิมสุก ผลกระจบั ภำพอำ้ งองิ สณั ฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศกึ ษำเทำ่ นั้น มิใชข่ ้อสรปุ

๕๔ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระธำตุพระอบุ ลวรรณำเถรี กระดกู สันหลังงู สีเหลอื งดงั เกสรบัว ภำพอ้ำงองิ สณั ฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศึกษำเทำ่ น้นั มิใช่ขอ้ สรปุ

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร ๕๕ พระธำตพุ ระโลหะนำมะ สีเขยี ว สเี หลือง สีแดง สฟี ำ้ ผลฝ้ำย สที บั ทิม สีดอกล่นั ทม สีปูนแดง ภำพอำ้ งอิงสณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำนั้น มใิ ชข่ ้อสรปุ

๕๖ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร พระธำตพุ ระคันธะทำยี วงพระจันทร์ข้ำงแรม ภำพอ้ำงอิงสณั ฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำนน้ั มใิ ชข่ ้อสรุป

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร ๕๗ พระธำตพุ ระโคธกิ ะ ลูกข่ำง พระธำตพุ ระปิณฑะปำตยิ ะ กลบี กนก ภำพอำ้ งองิ สัณฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนนั้ มิใชข่ อ้ สรปุ

๕๘ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร พระธำตพุ ระกมุ ำรกัสปะ คอนนกเขำ พระธำตุพระภทั ธคู ตำรำดง้ั เดมิ เขียนเปน็ ตวั อุ ภำพอำ้ งองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำนนั้ มิใช่ข้อสรปุ

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๕๙ พระธำตุพระโคทะทตั ตะ ผลมะระขน้ี ก พระธำตุพระอนำคำรกัสสปะ หอยสงั ข์ ภำพอำ้ งอิงสัณฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเทำ่ น้นั มิใช่ข้อสรุป

๖๐ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร พระธำตพุ ระควมั ปติ ใบบัวออ่ น พระธำตพุ ระมำลียะเทวะ น้ำเต้ำที่ใชท้ ำ ขนั ครอบ ภำพอำ้ งองิ สณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพียงแนวทำงในกำรศกึ ษำเทำ่ น้ัน มิใชข่ อ้ สรุป

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร ๖๑ พระธำตพุ ระกิมลิ ะ กลองบัณเฑำะว์ พระธำตพุ ระวังคสิ ะ เมลด็ นอ้ ยหน่ำตดั ภำพอ้ำงอิงสัณฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนัน้ มิใช่ข้อสรุป

๖๒ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระธำตุพระโชติยะเถระ ผลลกู จนั ทร์ พระธำตุพระเวยยำกปั ปะ ทองนง่ั เบ้ำ ภำพอำ้ งองิ สณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำน้นั มใิ ช่ขอ้ สรุป

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร ๖๓ พระธำตพุ ระกุณฑะละตสิ สะ จำวเมล็ดลกู จนั ทร์ พระธำตุพระพักกุละ ดอกมะลิตูม ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศึกษำเทำ่ นัน้ มใิ ช่ขอ้ สรุป

๖๔ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร พระอรหันตธำตุ ยคุ ปจั จบุ นั ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค กลา่ วว่า “ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยน้ี มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ใน ธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ท่ี ๒ ที่ ๓ หรือท่ี ๔ (พระอริยบุคคล) ลัทธิ อ่ืน ๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ท่ัวถึง ก็ภิกษุเหล่าน้ีพึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่าง จากพระอรหนั ต์ทงั้ หลาย ฯ” ในเมื่อพระธรรมวินัยยังคงอยู่ในปัจจุบัน พระอรหันต์ย่อมมีอยู่ใน ปัจจุบัน เม่ือพระอรหันต์ยังมีพระธาตุก็ย่อมมีไปด้วยอย่างแน่นอน ปัจจุบันมี พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคาสอนของพระพุทธเจ้า เม่ือท่านละสังขาร อฐั ิและองั คารของท่านได้แปรสภาพเป็นพระธาตุอยหู่ ลายรูป มีทั้งที่แปรสภาพ โดยสมบูรณ์และที่เราสามารถเห็นลักษณะการแปรสภาพ เช่น เม็ดพระธาตุ กาลังผุดขึ้นมาจากกระดูกและในบางครั้งยังพบว่า ส่วนต่าง ๆ ที่ออกมาจาก ร่างกาย เช่น เกศา (ผม) โลมา (ขน) นขา (เล็บ) ทันตา (ฟัน) ตะโจ (หนัง) โลหิต (เลือด) เป็นต้น สามารถแปรสภาพเป็นพระธาตุได้ต้ังแต่ท่านเหล่านั้น ยังมีชีวิตอยู่ และในบางรูปยังพบพระธาตุท่ีแปรสภาพจากชานหมากซึ่งเข้าใจ ว่าแปรสภาพจากน้าลาย การแปรสภาพของพระอรหันตธาตุยุคปัจจุบัน ที่เกิดขึ้น เป็นเคร่ืองยืนยันอย่างชัดเจนของการมีอยู่ของพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากกระดูกหรือส่วนของร่างกาย แบบปกติ พระอรหันตธาตุในยุคปัจจุบันที่ได้พบเห็นมีลักษณะแตกต่างกัน ออกไปมีท้ังท่ีคล้ายพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ มีลักษณะเป็นผลึก เป็นเม็ดกลมบ้างกม็ ี จงึ ได้ทาการแบง่ กลุ่มพระอรหันตธาตใุ นยุคปจั จุบัน โดยใช้ เกณฑ์ลักษณะของพระธาตุที่เกิดขึ้นพอจะแบ่งได้ตามแผนผัง ทั้งนี้พระธาตุท่ี พบในพระสงฆ์หน่ึงรปู อาจมีได้หลากหลายแบบต่างกันออกไป หรือบางรูปพบ เพยี งลักษณะเดยี วกม็ ี ทั้งน้ีการแบง่ ตามเท่าทผ่ี ู้เขียนเคยพบเห็นอาจมีส่ิงท่ีนอก เหนือกวา่ นีข้ อใหใ้ ชเ้ ปน็ เพียงแนวทางเบ้อื งตน้ เท่านัน้

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๖๕

๖๖ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร สมเดจ็ พระวันรตั (ทับ พุทฺธสริ ิ ) อฐั แิ ละพระธำตลุ กั ษณะแบบพระอรหนั ตธำตยุ ุคพุทธกำล ปฐมเจำ้ อำวำส วดั โสมนัสรำชวรวิหำร กรงุ เทพฯ พระพุทธวิริยำกร (จนั ทร์ จนฺทกนโฺ ต) อฐั แิ ละพระธำตลุ กั ษณะแบบพระอรหันตธำตุยคุ พทุ ธกำล วัดโสมนสั รำชวรวิหำร กรงุ เทพฯ (อดตี เจำ้ อำวำสรปู ท่ี ๔ ) สมเด็จพระพุทธปำพจนบดี อัฐแิ ละพระธำตลุ ักษณะแบบกลมทบึ (ทองเจอื จินฺตำกโร) วัดรำชบพธิ สถติ มหำสมี ำรำมฯ กรุงเทพฯ (อดีตเจำ้ อำวำสรูปท่ี ๕ )

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๖๗ พระครพู ทุ ธสรำจำรย์ พระธำตุลักษณะแบบพระอรหันตธำตุยุคพุทธกำล (หลวงปู่เภำ พุทธฺ สโร) วดั ถำ้ ตะโก จ.ลพบุรี พระสพุ รหมยำนเถร อัฐิทม่ี เี ม็ดพระธำตุผุดขนึ้ มำจำกอัฐิ ลกั ษณะเม็ดกลมทึบ (ครูบำพรหมำ พฺรหฺมจกโฺ ก) วัดพระพทุ ธบำทตำกผำ้ จ. ลำพูน พระครูจติ ตวโิ สธนำจำรย์ พระธำตลุ ักษณะกลมโปรง่ แสง กลมทบึ และแบบกรวดหลำยรูปทรง (หลวงปู่หนู สจุ ติ ฺโต) วดั ดอยแม่ป๋งั จ.เชียงใหม่

๖๘ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) พระธำตุแปรสภำพจำกเสน้ เกศำ วัดปำกนำ้ ภำษเี จริญ กรงุ เทพฯ มีลักษณะกำหนดสณั ฐำนมไิ ดโ้ ปร่งแสง พระศำสนำนุรักษ์ พระธำตพุ บในอังคำร (ทรงเกยี รติ ปุณฑฺ ริโก) มีลกั ษณะกลมทึบและโปรง่ แสง วดั ปำกนำ้ ภำษเี จริญ กรุงเทพฯ คุณยำยแม่ชรี มั ภำ โพธิ์คำฉำย พระธำตพุ บอย่ใู นโพรงของอัฐแิ ละพระธำตุทพ่ี บในอังคำร วัดปำกนำ้ ภำษีเจรญิ กรุงเทพฯ มีลกั ษณะกรวดมน กลมโปรง่ แสงและทึบแสง

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๖๙ พระรำชพรหมยำน (วีระ ถำวโร) พระธำตทุ ่ีเสด็จมำหน้ำโลกแกว้ ในงำนทำบุญศตมวำร หลวงพอ่ ฤๅษีลิงดำ (อ่ำนรำยละเอียดหนำ้ ท่ี ๘๖ ) วัดจันทำรำม (ทำ่ ซงุ ) จ. อุทัยธำนี พระธำตทุ แ่ี ปรสภำพจำกชำนหมำก พระธำตเุ สดจ็ มำในผอบทใ่ี ส่เส้นเกศำ (อำ่ นรำยละเอียดหน้ำที่ ๘๙ ) พระธำตทุ แ่ี ปรสภำพจำกชำนหมำก มีผ้ใู หข้ ้อสันนษิ ฐำนเกย่ี วกบั ลักษณะของพระธำตุชำนหมำกทพี่ บไว้ว่ำ ๑. พระธำตุสที ับทิม นำ่ จะแปรจำกชำนหมำก ๒. พระธำตุสีเขยี ว นำ่ จะแปรจำกใบพลู ๓. พระธำตุกลมใส น่ำจะแปรจำกน้ำลำย พระธำตุลกั ษณะกลมโปร่งแสง ผดุ ออกมำจำกพระหำงหมำก

๗๐ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร พระครูสุคนั ธศีล อฐั ิและพระธำตุที่แปรสภำพโดยสมบูรณ์ (หลวงปูค่ ำแสน อนิ ฺทจกฺโก) วดั สวนดอก จ.เชยี งใหม่ พระครูปิยรัตนำภรณ์ อฐั ิกำลังแปรสภำพ ลักษณะคลำ้ ยผลึกหินออ่ น (หลวงพ่อบุญรตั น์ กนฺตจำโร) วัดโขงขำว จ. เชียงใหม่ คณุ ยำยแม่ชีประทุม โชติอนนั ต์ พระธำตพุ บในเกศำ สำนกั ส่งเสริมปฏบิ ตั ธิ รรมแม่ชปี ระทมุ จ. นครรำชสีมำ

ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๗๑ สมเด็จพระมหำมุนีวงศ์ (สนั่น จนฺทปชโฺ ชโต) วดั นรนำถสนุ ทริกำรำม กรุงเทพฯ พระธำตุทผี่ ดุ จำกฟัน ลกั ษณะพระธำตมุ ีทง้ั กลมทบึ แสง กลมโปรง่ แสง พระธำตมุ ลี กั ษณะต่ำง ๆ ท่ีแปรสภำพจำกผงองั คำรและอฐั ิ

๗๒ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระครอู นิ ทวฒุ กิ ร (หลวงปตู่ ่วน อินทฺ ปฺฺโญ) วดั กลว้ ย จ. พระนครศรอี ยุธยำ พระธำตพุ บในผงองั คำร มีลกั ษณะกลมเปน็ ปรมิ ณฑล โปรง่ แสง มีสตี ำ่ ง ๆ แยกได้ถึง ๖ สี ลักษณะพระอรหนั ตธำตยุ คุ พทุ ธกำล ลักษณะกำรเกิดพระธำตเุ คลือบผิวอฐั ิ อัฐยิ ุบตวั แล้วเกดิ เป็นพระธำตุ อำจเป็นท้ังช้ินหรอื งอกเปน็ เมด็ หลดุ ออกมำ ลกั ษณะกำรงอกเปน็ พระธำตจุ ำกอฐั ิ

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๗๓ หลวงพ่อยดิ จนฺทสวุ ณโฺ ณ อฐั ทิ ีก่ ำลังแปรสภำพลักษณะแบบผลกึ หินออ่ น วดั หนองจอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระสมุห์เจือ ปยิ สีโล พระธำตแุ ปรสภำพจำกผงอังคำร วัดกลำงบำงแกว้ จ.นครปฐม มีลักษณะกลมทึบและโปร่งแสง ลกั ษณะแบบผลึกหนิ พระครสู ุมังคลำจำรย์ พระธำตุท่ีเกิดขึน้ ทันทหี ลงั กำรเผำลกั ษณะกลมทบึ แสง (หลวงป่ยู วง สุภทฺโท) วัดหน้ำตำ่ งใน จ. พระนครศรอี ยุธยำ

๗๔ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระครูวิมลญำณวจิ ติ ร พระธำตุพบในผงอังคำร มีทั้งลกั ษณะกลมโปร่งแสง (หลวงปบู่ ญุ ชนิ วโส) ลกั ษณะกลมทบึ แสง ลักษณะกำหนดมิไดโ้ ปร่งแสง วัดปำ่ ศรีสวำ่ ง จ.สกลนคร พระครวู ิบูลธรรมภำณ พระธำตแุ ปรสภำพจำกอัฐแิ ละผงอังคำร (หลวงป่โู ชติ อำภคฺโค) มีลักษณะกลมเป็นปรมิ ณฑล โปร่งแสง วดั ภเู ขำแก้ว จ.อุบลรำชธำนี หลวงปู่ทอง อนตุ ฺตโร พระธำตุพบในผงอังคำร พระธำตุกำลงั ผดุ จำกอัฐิ วัดรำษฎร์บรู ณะ กรุงเทพฯ มลี ักษณะกลมทบึ แสง

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร ๗๕ ลกั ษณะพระอรหันตธำตยุ ุคพทุ ธกำล หลวงพ่อสำรวย ธมมฺ ปำโล มลี ักษณะกำรแปรสภำพหลำยลักษณะ วัดไทรงำมฯ จ.สพุ รรณบุรี พระธำตุลักษณะกลมเปน็ ปรมิ ณฑลทบึ แสง ลกั ษณะกรวดมน ลักษณะกำรแปรสภำพแบบยบุ ตวั ของอฐั ิ หลวงพ่อนิล ฐำนทตฺโต ลกั ษณะแบบผลกึ หนิ อ่อนยกชิ้น วดั ไทรงำมฯ จ.สุพรรณบุรี อัฐธิ ำตุทม่ี ีบำงสวนเรม่ิ แปรสภำพ

๗๖ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร พระธำตทุ เ่ี กดิ จำกฆรำวำสผปู้ ฏิบัตธิ รรม

ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๗๗ พระธำตคุ ุณแม่ละเอยี ด รัตนวิชัย (อ่ำนรำยละเอียดหนำ้ ท่ี ๙๒ )

๗๘ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ปกิณกะควำมรู้เรอื่ งพระธำตุ

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๗๙ วสิ ชั นำธรรม เรือ่ ง “พระธำต”ุ โดย พระรำชสงั วรญำณ (หลวงพอ่ พุธ ฐำนโิ ย) ถำม : ทาไมพระพทุ ธเจา้ พระอรหันต์ เม่ือนิพพานไปแล้ว กระดูกจึงกลายเป็น พระธาตุ หลวงพ่อ : หลักของการปฏิบตั ิธรรม เพอื่ ทาสติให้เป็นมหาสติ ซึ่งเรียกว่ามหา สติปัฏฐาน ๔ พระพุทธองคท์ รงสอนให้กาหนดพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม การพิจารณากายก็คือ การเจริญกายคตาสติ กาหนดเพ่งดู ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนอ้ื เอ็น กระดูก ฯลฯ ในขณะทีเ่ พง่ ลงไปนนั้ เมื่อจติ สงบลงไปแลว้ เราจะ มองเห็นสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายมีลักษณะใสเหมือนแก้ว มองไปท่ีผม ผมกเ็ ปน็ แก้ว มองไปที่ขน ขนก็เป็นแก้ว ทีนใ้ี นเม่ือจิตมาท่องเท่ียวอยู่ในกาย นักปฏิบัติ ท่านเอากายเป็นเครื่องอยู่ของจิต เป็นฐานท่ีตั้งของสติให้เป็นมหาสติ ย่ิงจิต มีความละเอียดข้ึนเท่าไร ความสว่างไสวปรากฏขึ้นในกายอย่างน่าอัศจรรย์ มองไปที่ไหน ๆ ก็เป็นแก้วไปหมด ทีน้ีถ้าหาก ท่านผู้นั้นมีจิตบริสุทธิ์สะอาด บรรลุพระอรหันต์เม่ือไร ในเมื่อท่านนิพพานไปแล้ว ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทา่ นกก็ ลายเปน็ พระธาตุ ไปหมด พระธาตุบางท่านก็ใส ของบางท่านก็ไม่ใส อันนั้นเป็นเรื่องความสว่าง ไสวของจิตของแต่ละท่าน ตัวอย่างท่ีเปรียบเทียบก็คือว่า เช่นอย่างหมอเรียน วิชาไสยศาสตร์ เขามีมนต์ต่อกระดูก เช่นอย่างกระดูกหักน้ี เขาท่องแต่เพียง คาถาอาคมแล้วก็เป่าลงไปเท่านั้น สามารถต่อกระดูกได้ พวกไสยศาสตร์นี้เขา ไม่ได้อาศัยสมาธิอย่างละเอียดเหมือนการปฏิบัติสมถวิปัสสนา เพยี งแค่น้อมใจ เช่ือคาถาอาคมท่ีเขาเรียนมาเท่านั้น แล้วในเม่ือเขาเป่าลงไปนั้น ก็สามารถทา ให้กระดูกตอ่ เขา้ กันได้ ถำม : พระธาตุทม่ี ีอยใู่ นปัจจบุ ันนี้ จะทราบได้อยา่ งไรว่า เป็นพระธาตุจริงหรอื พระธาตปุ ลอม หลวงพ่อ : เร่ืองนี้ถา้ หากเราสงสัย เราไม่สามารถจะทราบว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นของปลอม เราไปเทียบกับพระพุทธรูปท่ีเราหล่อขึ้น เราสมมติว่าน่ี เป็นพระพุทธรปู นเ่ี ป็นองคแ์ ทนของสมเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เรากราบไหว้

๘๐ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร บูชาก็เป็นบุญ พระธาตุน้ีท่ีมีลักษณะเป็นพระธาตุ ถ้าเราไม่แน่ใจว่าเป็นพระ ธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ หรอื ไม่ แต่เราสมมุติเอาเปน็ พระธาตุของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราสกั การบูชาก็เป็นบุญเป็นกุศล จะจริง หรอื ไมจ่ ริงไม่สาคญั สาคัญอยู่ทีจ่ ติ ของเรานี้วา่ เชื่อในพระพทุ ธเจา้ จริงหรอื ไม่ ถำม : อฐั ิของพระท่มี รณภาพแล้ว กลายเป็นพระธาตุขึน้ มาน้ัน เพราะเหตุใด หลวงพ่อ : อัฐิของพระท่ีมรณภาพแล้ว กลายเป็นพระธาตุข้ึนมาน้ัน จะต้อง เป็นอัฐิของพระอริยบุคคล ต้ังแต่ข้ันพระโสดาบันข้ึนไป ทีน้ีมีปัญหาว่า ทาไม กระดูกคนท่ีตายไปแล้ว แม้จะเก็บไว้สักพันปี หมื่นปี ก็ยังเป็นกระดูกอยู่อย่าง เดิม ไมแ่ ปรสภาพเป็นอย่างอ่ืน นอกจากจะผุพังไปเป็นดิน เป็นหญ้า ไปเท่านน้ั แต่กระดูกของพระอริยบุคคลน้ี ทาไมกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้ อันน้ีเป็น ปัญหาท่ีน่าสงสัย ถ้าหากเราจะไปนึกถึงหลักการปฏิบัติ เกี่ยวกับเรื่องมหาสติ ปัฏฐาน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เฉพาะกายานุปัสสนาสติปัฏฐานน้ี เราต้ัง กายของเราเป็นฐาน ที่ต้ังของสติ เป็นฐานท่ีรู้ของจิต เพอื่ เป็นการฝึกฝนอบรม สติให้มปี ระสิทธิภาพขึ้น จนกลายเปน็ มหาสติ ทนี โี้ ดยทางปฏบิ ตั แิ ลว้ พระผู้ทีป่ ฏิบัตทิ ่านเพง่ อาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เน้ือ เอ็น กระดูก เป็นตน้ เป็นเคร่ืองรู้ของจติ เปน็ เครือ่ งระลึกของสติ ในเม่ือกายคือ อาการ ๓๒ ถูกเพ่งบอ่ ยเข้า จิตเกิดมีสมาธิ แล้วยอ่ มเกิดนิมิตให้ เห็นในกายทั่วไป ส่วนมากสิ่งท่ีปรากฏให้รู้เห็นอยู่นานที่สุดก็คือกระดูก มีโครงกระดูก เป็นต้น ในบางคร้ัง ในเม่ือจิตวิ่งเข้ามาดูกายแล้วก็มาสงบสว่าง ในกาย จิตจะมองทะลุกายออกมามีลักษณะ ดูเหมือนคล้าย ๆ กับแก้วโปร่ง มีความใสเหมอื นกับแก้วโปรง่ เพราะฉะน้ัน กระดูกของพระอริยบุคคล ถูกจิตที่บริสุทธิ์สะอาดเพ่ง เป็นวิหารธรรมอยู่บ่อย ๆ ด้วยอิทธิพลของจติ นน้ั จะสามารถทาให้กระดูกของ ทา่ น เม่อื ทา่ นมรณภาพไปแลว้ กลายเปน็ พระธาตุ ขึ้นมาได้

ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร ๘๑ สาหรับทฤษฎีในทางอน่ื นัน้ ไม่สามารถทจ่ี ะนามาประกอบกบั ปัญหานี้ ได้ แต่ถ้าจะพิจารณาตามประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้ว รู้สึกว่าจิตเม่ือเพ่งดู โครงกระดูก จะรูส้ ึกว่าโครงกระดูกนั้นมีความใสเหมือนแก้ว เพราะในขณะน้ัน จิต สงบ สว่าง แล้ว เกิดนิมิตข้ึนมาพอมองเห็นได้ ข้อเปรียบเทียบก็คือว่า ขณะท่ีว่าพระอริยบุคคล ท่ีท่านเพ่งดูอาการ ๓๒ คือ ร่างกายของท่านจนจิต เกดิ เปน็ สมาธิ รจู้ รงิ เหน็ จรงิ ภายในกาย แล้วมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างมีความใส สะอาด สว่าง ไสว ไปหมด ภายในกาย เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว กระดูกก็ กลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้ อันน้ีก็ยังเป็นสิ่งท่ีไม่น่าสงสัยเท่าไรนัก แต่สาหรับ นักเรียนมนต์ไสยศาสตร์เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงแต่คาถาอาคมแล้วไปเสก นา้ มันไปทาแลว้ กเ็ ป่าในขณะท่คี นขาหกั แขนหกั ก็ยงั มปี ระสิทธิภาพพอที่จะต่อ กันได้ เพราะด้วยอานาจแห่งพลังมนตแ์ ละพลงั จติ ฉะนน้ั จติ ของท่านผู้บาเพ็ญสมาธิภาวนาน้ี ไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่าจะมี ประสทิ ธภิ าพ ซึง่ สามารถทาใหก้ ระดูกกลายเปน็ พระธาตุ ข้ึนมาได้ จำกฐำนโิ ยธรรม หลวงพ่อทูล ขิปปญั โญเคยเทศนไ์ ว้เมอื่ เข้ำพรรษำ ๒๕๔๙ เก่ียวกบั เรื่องพระธำตุ ซึง่ สำมำรถคลำยขอ้ สงสัยเหล่ำนีไ้ ด้ดี หลวงพ่อทูลเน้นย้าว่า ทุกคนที่กระดูกกลายเป็นพระธาตุน้ัน เป็นพระอรหันต์แน่นอน แต่ไม่ใช่ทันทีท่ีเผาเสร็จ แล้วกระดูกจะกลายเป็น พระธาตุ มนั ขนึ้ อยู่กับเงอ่ื นไขหลายอยา่ ง เช่นเวลา แม้กระดกู จากองค์เดยี วกัน แตอ่ ยูท่ ีห่ น่งึ กลบั ไม่เปน็ พระธาตุ แตถ่ า้ อยู่ ในความครอบครองอันเหมาะสม กจ็ ะเป็นพระธาตุให้เหน็ ในท่ีสดุ

๘๒ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร อำนำจของจติ ที่บริสุทธ์ิ พระธรรมวิสทุ ธมิ งคล (หลวงตำมหำบวั ญำณสมฺปนฺโน) เทศนอ์ บรมฆรำวำส ณ วัดป่ำบ้ำนตำด เมอื่ วนั ที่ ๓๐ ตุลำคม พทุ ธศักรำช ๒๕๓๕ จิตท่ีบริสุทธ์ิครองขันธ์อยูน่ ี้มันจะฟอกกันอยูต่ ลอดเวลา ฟอกโดยหลัก ธรรมชาตนิ ะ คือจติ ที่บริสุทธ์ินีม่ ันจะฟอกขันธ์โดยหลักธรรมชาติ ธรรมดานี่มัน กฟ็ อกอยู่ในตัว แต่ถ้ายิ่งเข้าสมาธิภาวนาด้วยแล้วนั่นยิ่งเป็นการฟอกในตัวเลย นะ ฟอกโดยตรง เช่นเข้าสมาธิภาวนาส่งจิตเข้ามาน่ีจิตจะเข้าอยู่ข้างในนี้แล้ว มันจะซักฟอกโดยหลักธรรมชาตินะ ไม่ได้เหมือนเราซักผ้าละน่ะ พูดอย่างนนั้ ก็ พอเข้าใจละสิเร่ืองของจิตเร่ืองของวัตถุมันต่างกัน อยู่ธรรมดานี้จิตบริสุทธ์ิก็ ซักฟอกออกกระจายออกหมด เพราะฉะน้ันเวลาท่านล่วงไปแล้วอัฐิท่านจึง กลายเป็นพระธาตุ กลายเป็นพระธาตุคือธาตุท่ีบริสุทธิ์ ของส่วนหยาบน่ีออก จากใจที่บริสุทธิ์นี่ ซักฟอกกระจายออกหมด นี่ก็ ๓๘ ปีมันก็ควร นี่ก็เป็นแล้ว เม่อื วานนเ้ี ขามาบอกวา่ เปน็ แล้ว เป็นได้ปีกวา่ นิดหน่อยนะ ก็เปน็ ธรรมดา อย่างหลวงปู่พรหมท่ีเราเคยพูดกาชับพวกลูกศิษย์ที่ไปเผาศพด้วย บอกว่าให้พยายามเอาอัฐิของท่านอาจารย์องค์น้ีให้ได้นะ อัฐิของท่านอาจารย์ องค์น้ีจะกลายเป็นพระธาตุแน่นอนเราบอก น่ีก็ปีกว่าเป็น เป็นเรียบร้อยแล้ว ทา่ นอาจารยพ์ รหม อย่างท่านสงิ หท์ องน้ีปกี วา่ กเ็ ป็น อย่างน้ันละอานาจของจิตท่ีบริสุทธิ์ ถ้าความบริสุทธิ์อย่างแบบขิปปา ภิญญา คือร้อู ย่างรวดเรว็ นก้ี ็ไม่แน่นะว่าจะเป็นพระธาตุได้ง่ายดาย เพราะรไู้ ด้ เร็วแล้วก็ตายเร็ว จิตนี้ไม่ครองขันธ์อยู่นานก็ยังไม่ได้ฟอกเต็มที่ น้ีอาจจะช้า ขิปปาภิญญาคือรู้เร็วแล้วก็ตายเร็วไม่ได้ครองขันธ์นาน มีหลายประเภท ประเภทหนึ่งจิตตั้งแต่ขั้นสมาธิไป สงบไปเร่ือย ๆ ต้ังแต่ขั้นสมาธิก็มีไปเร่ือย ๆ อยา่ งน้นั นะจนกระท่งั ถงึ ข้ันปัญญาข้นั วมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ คอ่ ยไปอย่างเช่ืองช้าอย่าง น้นี ะ พอถึงจดุ แล้วไม่นานตายนี้ก็เป็นไดเ้ รว็ เหมอื นกนั เพราะฟอกไปโดยลาดับ แล้วน่ี ฟอกเป็นเวลาชา้ นานกว่าจะถงึ จุดสุดทา้ ยคอื ความหลดุ พน้

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๘๓ อันน้ีหากว่าท่านจะนิพพานเสียในเวลาไม่นาน อันนี้ก็มีทางที่จะ กลายเปน็ พระธาตุได้เร็ว เพราะมันฟอกไปต้ังแต่นี้ ไปด้วยความเชื่องช้าใช่ไหม ล่ะ มันฟอกไปในตัว อย่างรวดเร็วนีไ้ ม่ได้ฟอก มันมีหลายข้ัน ขั้นสาคัญก็คือว่า จิตบริสุทธิ์แล้วครองขนั ธอ์ ย่นู าน ท่ีสาคญั มากอยู่ตรงน้นั นะ คือการครองขันธ์น้ี ไม่จาเป็นจะต้องเข้าภาวนา จิตที่บริสุทธิ์ย่อมเป็นธรรมชาติท่ีจะกระจายออกสู่ กระแสของร่างกายส่วนต่าง ๆ น้ีไปหมดตลอดเวลา ถึงจะเบาก็ฟอกอยู่ในน้ัน ครั้นเวลาท่านเข้าภาวนาปั๊บ นน่ั เป็นเวลาแล้วนะนน่ั นะ่ พอเข้าภาวนานจ้ี ิตเข้า อยขู่ า้ งในหมดแล้ว น้ันเหมือนวา่ ฟอกในตัวเลย ฟอกเปน็ หลักธรรมชาติแล้วที่น่ี ฟอกจริงๆ นะนัน่ มันตา่ งกันหลายขั้นหลายตอน หนกั เบาต่างกันอย่างนั้น… ทำไมพระธำตจุ งึ มมี ำก พระพุทธประสงค์ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน องค์สมเด็จพระบรม ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระพุทธประสงค์ให้พระพุทธสรีระของพระองค์ แตกกระจายไปจานวนมาก ปรากฏความในคมั ภีร์ปฐมสมันตาปาสาทิกาวา่ “โย จ ปูเชยฺย สมฺพุทฺธ ติฏฺฐนฺต โลกนายก ธาตุง สาสปมตฺตมฺปิ นิพฺพุตสฺสาปิ ปูชเย ฯ สเม จิตฺตปฺปสาทมฺหิ สม ปุญฺญ มหคฺคต ตสฺมา ถูปํ กรติ วฺ าน ปเู ชหิ ชินธาตโุ ย ฯ” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจายว่า “เราอยู่ได้ ไม่นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในที่ทั้งปวงก่อน เพราะฉะน้ัน เมื่อเราแม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุแม้ขนาดเท่า เมล็ดพันธุ์ผักกาดทาเจดีย์ในท่ีอยู่ของตน ๆ ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์เป็นท่ีไปใน เบือ้ งหนา้ ” พระพุทธประสงค์ดังกล่าวน้ี เพื่อให้ศาสนาของพระองค์แพร่หลายไป และผทู้ ่เี กิดมาภายหลงั ไมท่ ันเห็นพระองคเ์ ม่อื ยังทรงพระชนมอ์ ยู่ จักไดก้ ระทา การสักการบูชาเพื่อเป็นกุศลแก่ตน ด้วยเหตุน้ี จึงทาให้พระบรมสารีริกธาตุ มีจานวนมากมาย และแพร่หลายไปยังดินแดนต่าง ๆ นับแต่หลัง พทุ ธปรินพิ พานเปน็ ต้นมา

๘๔ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระธำตุจำกเขำสำมร้อยยอด จากคาบอกเล่าของพระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ (หลวงปู่ครูบาชัยวงศา พฒั นา) วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลาพูน กล่าวถึงพระธาตุจากเขาสามร้อยยอดไว้ ดังน้ี เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 500 ปี พระสงฆ์ท้ังหลายที่มาไม่ทัน พระพุทธเจา้ แต่ยังทันพระศาสนา ในสมัยน้ันยังมีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรม ยึดถือ พระธรรมอันเคร่งครัดอยู่เป็นจานวนมาก พระสงฆ์เหล่านั้นต่างแยกย้ายออก หาทส่ี งบวเิ วกปฏบิ ตั ธิ รรม เขาสามร้อยยอด เป็นท่ีสนุกสาหรับการปฏิบัติธรรมเพราะเป็น ป่าหิมพานต์ชั้นหนงึ่ ผู้ท่ีมาพักอาศัยส่วนใหญ่เป็นพระอภิญญาเพราะท่านต้อง เข้ามาบณิ ฑบาตข้าวในเมอื ง เพยี งครูเ่ ดยี วกก็ ลับไป สถานที่ท่านอยไู่ ม่มีคนเห็น เพราะอยู่ในป่าลึก พระสงฆ์เหล่านีม้ ีความขยันหมั่นเพียรปฏิบัติธรรมเคร่งครัด พร ะ ส ง ฆ์ ทั้ ง หม ด ต่ า ง ปฏิ บัติ ธ ร ร ม จ น บร ร ลุ อ รหัต ตผ ล นิพพา นใน ถ้าเขาสามร้อยยอดนั้น การมาปฏิบัติธรรมในที่น้ีเป็นการหนีภัยอันตรายคือ อันตรายจากการที่มีคนมาหาไม่หยุดหย่อนไม่อาจจะปฏิบัติธรรมได้ ดังเช่น พระสงฆ์ในปัจจบุ ันน้ีไม่หว่ งการตัดกเิ ลส ห่วงแตโ่ ชคลาภ สงั ขารของพระอรหนั ต์ทีน่ พิ พานในถ้ามีเป็นจานวนมาก ต่อมาช้านาน กลายเป็นก้อนหินมีเทวดารักษา ก้อนหินน้ันมีลวดลายต่างๆ กัน พระอรหันต์ ท่มี ีอานภุ าพมากหินพระธาตกุ ม็ ีลวดลายสวยงาม พระอรหันต์ทีมีอานุภาพน้อย หนิ กไ็ ม่มีลาย พระอรหันต์แต่ละองค์จะมีฤทธิ์ไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้ามีฤทธ์ิ แบบหนึ่ง พระอานนท์มีฤทธ์ิอย่างหน่ึง พระกัสสปะมีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระสารีบุตรมีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์อีกอย่างหนึ่ง บารมี ท่ีสร้างมาเป็นอารมณ์อย่างใดอย่างหน่ึง อารมณ์เกิดเป็นนิมิตเป็นกรรมฐาน กองใดกองหน่ึง พิจารณากรรมฐานนน้ั ใหถ้ ึงอรหัตตผล ตวั อยา่ งเช่น ใช้กสิณไฟ กสิณน้า กสิณลม เอาส่ิงนั้นมาเป็นนิมิตเป็นรูปพระ พิจารณาให้กว้างและลึก ทาจนแก่กล้าขึ้น เรียนมาก รู้มากข้ึน เป็นพระอรหันต์ที่โปรดสัตว์ได้มาก พระธาตกุ ็มลี กั ษณะสวยงามมลี วดลายมาก “จากหนงั สอื ธรรมปกิณกะ เลม่ ๑ หลวงปคู่ รบู าชยั วงศาพฒั นา”

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๘๕ ประสบกำรณ์ปำฏิหำริยพ์ ระธำตุ

๘๖ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร เหตกุ ำรณท์ ที่ ำให้ข้ำพเจ้ำเกดิ ศรทั ธำในพระธำตุ เหตุการณ์ท่ีทาให้ข้าพเจ้าเกิดศรัทธาและตัดสินใจตั้งชมรมรักษ์ พระบรมธาตุแห่งประเทศไทย เกิดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม 2536 พี่บุญธรรม นิมะอุษา (พ่ีแขก) ได้ชวนข้าพเจ้าไปกราบสรีระสังขาร พระเดชพระคุณ พระราชพรหมยาน (หลวงพอ่ ฤๅษีลิงดา) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ซ่ึงในขณะน้ันได้ ศึกษาหาความรู้เก่ยี วกับเรือ่ งพระบรมสารรี ิกธาตุ พระอรหัตธาตุ ได้ระยะหน่ึง ยงั มคี วามสงสยั เกีย่ วกบั พระธาตเุ สดจ็ หรอื เพม่ิ จานวนขนึ้ จากทีบ่ ชู า การไปวัดท่าซุงคร้ังน้ี ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตท่ีได้ไปวัดท่าซุง เป็นครั้งแรกที่ได้กราบหลวงพ่อ และเป็นครั้งแรกที่ได้ประสบกับเหตุการณ์ ที่เรียกว่า “พระธาตุเสด็จ” เหตุการณ์ท้ังหมดเกิดข้ึนในช่วงเย็นบนมหาวิหาร แกว้ 100 เมตร ที่ต้ังสรรี ะสังขารหลวงพ่อ เปน็ เหตุการณ์ที่ผมจาได้เป็นอย่าง ดีจนถึงทุกวันนี้ ในขณะที่กราบสรีระสังขารหลวงพ่อซ่ึงประดิษฐานอยู่ใน โลงแก้วประดับมุก มองเห็นชัดเจนว่าเหมือนท่านหลับอยู่ กราบครั้งที่ 1 กราบคร้ังที่ 2 กราบครั้งท่ี 3 ปรากฏพระธาตุที่มีลักษณะใสดุจเพชร ข้ึนมา ตรงหน้าแบบที่ทาให้เกิดความรู้สึกอัศจรรย์ ขนลุกและดีใจเป็นอย่างมาก ได้บอกกับคณะที่ไปด้วยกันว่าพระธาตุเสด็จ ในวันนั้นคนไปกราบนับพัน นับหมื่นคน ถ้ามีพระธาตุอยู่ตรงน้ันก่อนคงมีคนพูดถึงกันแล้ว แต่ส่ิงที่ปรากฏ ตรงหน้าเป็นส่ิงที่ทาให้หมดสงสัยและศรัทธาในศาสนามากขึ้นจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งจะกล่าวได้ว่าเหตุการณ์คร้งั น้ีเป็นแรงศรัทธาท่ีทาให้เกิดชมรมรกั ษ์พระบรม ธาตแุ หง่ ประเทศไทย ปรำโมทย์ ประสพสุขโชคมณี ประธานชมรมรกั ษพ์ ระบรมธาตุแห่งประเทศไทย

ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๘๗ ณ ถำ้ แหง่ หนึง่ ในจงั หวดั กำญจนบรุ ี “พระธาตุเสด็จ” เช่ือว่าทุก ๆ ท่านที่มี พระธาตุอยู่ในครอบครอง ลึก ๆ ในใจทุกท่านย่อมปรารถนาได้พบเห็นกับตาตนเอง สักครั้งในชีวิต เร่ืองราวต่อไปน้ีจะเรียกว่า พระธาตุเสด็จได้หรือไม่ มาช่วยกันพิจารณา พรอ้ ม ๆ กัน ประมาณปี พ.ศ. 2551 ได้มีโอกาสไปอัญเชิญพระธาตุ ณ ถา้ แห่งหนงึ่ ในจงั หวดั กาญจนบรุ ี เส้นทางท่จี ะเข้าค่อนข้างลาบาก ต้องจอด รถไว้ท่ีหมู่บ้านกะเหร่ียง และเดินเท้าประมาณ 3-4 กิโลเมตร เพื่อไปถึง จุดหมาย ลักษณะของถ้า ด้านหน้าเป็นเพิงไม้เก่า ๆ สังเกตเห็นมีจีวรเก่า ตากอยู่น่าจะเป็นท่ีพักสงฆ์ แต่ไม่มีพระจาวัดอยู่เลย มองจากปากถ้าเข้าไป ภายในมืดมองไม่เห็นก้นถ้าเลย ลองเดินเข้าไปสารวจ มีหินงอกหินย้อย สวยงาม ขณะที่เดินสารวจนั้น ข้าพเจ้าเฝ้าสังเกต และค้นหาจุดท่ีคาดว่าจะมี พระธาตุอยู่ แต่ไม่พบพระธาตุเลย มีแต่หินปูน ข้ีค้างคาว งูกาบหมากหางนิล อยู่ตามหลืบถ้า สารวจอยู่ 2-3 รอบ คาดว่าไม่น่าจะพบ จึงเดินออก เพ่ือไป สารวจถ้าอ่ืนต่อไป ขณะที่เดินออกมายังปากถ้าน้ัน ข้าพเจ้าได้ยินเหมือนเสียง ของตกอย่ดู า้ นหน้า จึงมองตามหาตน้ เสียงท่ีเกิดขึ้น สายตากไ็ ปพบกับพระธาตุ พระสีวลี ขนาดประมาณผลลูกยอกลิ้งตกลงมาห่างจากข้าพเจ้าประมาณ 6-7 เมตร ณ จุดนั้น ทาให้ข้าพเจ้าหยุดเดินและเริ่มสังเกตว่าพระธาตุตกมาจาก บริเวณไหน จากท่ีสังเกตด้านผนังถ้า สูงประมาณ 2-3 เมตร มีตะพักคล้าย เป็นหิ้งจึงปีนขึ้นไปสารวจ การปีนข้ึนไปค่อนข้างลาบาก เม่ือไปถึงจุดท่ีคาดว่า พระธาตุน่าจะตกมาจากบริเวณนี้ได้พบกับพระธาตุสีวลีประดิษฐานอยู่เป็น รอ้ ย ๆ องค์ ส่ิงท่ีข้าพเจ้าแปลกใจ คือ พระธาตุ ตกลงมาได้อย่างไร หากตกมา ตามธรรมชาติ บริเวณพื้นถ้ากค็ วรจะมีพระธาตุสีวลีตกอยู่บ้าง แต่เท่าที่พบเห็น แค่องค์เดียวที่ตกลงมาให้ข้าพเจ้าเห็น เหมือนเจตนาจงใจให้ข้าพเจ้าได้เห็น เพ่ือบอกจุดให้รู้ว่าด้านบนมีพระธาตุอยู่ นับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งท่ีอยู่ใน ความทรงจาของข้าพเจ้า กฤษณะ ไตรลกั ษณ์ ประธานชมรมวัชรธาตุ

๘๘ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร “พระธำตเุ สดจ็ ” เพอ่ื ฟืน้ ฟพู ระพุทธศำสนำในมองโกลเลยี เรื่อง พระบรมธาตุเสด็จเพื่อเป็นกาลังใจการฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาใน ประเทศมองโกลเลีย เกิดข้ึนจาก ลามะชื่อภูริบัด ท่านได้รับหน้าท่ีฟ้ืนฟู พระพุทธศาสนาในประเทศมองโกลเลียท่านและภรรยาจึงได้มาอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุที่ชมรมรักษ์พระบรมธาตุแห่งประเทศไทย ซ่ึงเป็นงานที่ ยิ่งใหญ่และต้องพบกับอุปสรรคต่าง ๆ ท่านลามะภูริบัดและคนในครอบครัว ถอื ศลี แปดเป็นพทุ ธศาสนกิ ชนทเ่ี ครง่ ครดั ในพระธรรมคาสอน ทางชมรมรักษ์พระบรมธาตุฯ ได้จัดพระบรมธาตุและพระอรหันต์ จานวนมากมอบใหก้ ับประเทศมองโกลเลีย ภรรยาของลามะภูริบัดจึงยกมือข้ึน สาธุพอแบมือออกมาพระบรมธาตุ ๑ พระองค์เสด็จมาในฝ่ามือของภรรยา ลามะ เธอก็มองข้ึนบนเพดานว่าอะไรหล่นลงมา พอพวกเราพิจารณาแล้ว จึงบอกเธอวา่ “พระบรมธาตุเสดจ็ ” เธอจงึ เกิดปิตมิ าก การเสด็จของพระบรมธาตุในครั้งน้ีเพื่อเป็นกาลังใจให้ท่านลามะ ภรู บิ ัดมพี ลัง มีกาลงั ใจในการฟื้นฟูและสบื ทอดพระพทุ ธศาสนาตอ่ ไป มณยี ำ ณ อบุ ล รองประธานชมรมรักษพ์ ระบรมธาตุแหง่ ประเทศไทย “พระธำตเุ สดจ็ ” เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ในวันคล้ายวันเกิดของข้าพเจ้า คุณมณียา ณ อุบล ได้มอบผอบบรรจุพระธาตุทรงใบเสมา ในผอบบรรจุพระบรม สารีริกธาตุและพระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า ซ่ึงในตอนท่ีได้มาพระบรม สารีริกธาตุมีปริมาณ 1 ใน 4 ส่วนของผอบและพระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า เท่าเม็ดสาคู ขา้ พเจ้าไดส้ วดมนตท์ าสมาธิเป็นประจาตามแบบท่ีพุทธศาสนิกชน พงึ ทา จนในเดอื นเมษายน 2564 ข้าพเจา้ ได้ทาความสะอาดหิ้งพระจึงได้เห็น ว่าในผอบพระบรมสารีริกธาตุได้เสด็จเพิ่มขึ้นอีกกลายเป็น ๓ ใน 4 ส่วน พระธาตพุ ระปัจเจกพทุ ธเจ้าก็โตข้ึนทาเปน็ ที่มหัศจรรย์ ศุภวรรณ สุวิเศษศกั ด์ิ

ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๘๙ กำลงั ใจจำกหลวงพอ่ ก่อนอื่นต้องย้อนไปท่ีนิยามของพระธาตุที่จะกล่าวในที่น้ีก่อน ว่าหมายถึง วัตถุชนิดหนึ่งที่แปรสภาพจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของ พระอรหันต์ มีสีหรอื รปู ร่างแตกต่างจากสภาพเดิมที่เคยเปน็ อยูใ่ นร่างกาย เช่น มลี ักษณะเป็นเมด็ เลก็ ๆ มีความมนั วาว เป็นต้น แน่นอนว่านิยามของคาว่า “พระธาตุ” ไม่ได้จากัดเฉพาะกระดูก เท่าน้ัน แต่หมายรวมถึงส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายของพระอรหันต์ เช่น ผม ขน เล็บ ฟนั หนงั หรือแม้กระทั้งปัสสาวะ อุจจาระและนา้ ลาย ส่วนในลักษณะ ของการแปรสภาพของพระธาตุจากลักษณะดั้งเดิม (เช่น ข้ีเถ้า กระดูก ผม) ไปเป็นพระธาตุ ก็จะมีลักษณะการแปรและเวลาที่แตกต่างกันออกไป ตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะเวลาการทรงขันธ์หลังบรรลุธรรม (ครูบาอาจารย์ ทา่ นวา่ เป็นช่วงซกั ฟอกธาตุขนั ธ์) ตัวผูบ้ ูชา เป็นตน้ ส่วนของพระธาตุชานหมาก พอจะอนุโลมได้ว่าน่าจะเกิดจากน้าลาย แปรสภาพเปน็ พระธาตุ (แตเ่ ปน็ เพยี งข้อสนั นิษฐานของตัวผูเ้ ขยี นเทา่ นนั้ อาจมี เหตุผลอ่ืนเชน่ การอธิษฐานกเ็ ป็นได้) กล่างถึงตรงนี้ขอวนเข้าถึงกรณีการแปรสภาพของพระธาตุชานหมาก จากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน พระธาตุชานหมากที่ได้รับประสบการณ์ตรง คือ พระธาตุชานหมากของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดา) เป็นท่ีทราบในกลุ่มผู้ศรัทธาในหลวงพ่อว่า หลวงพ่อท่าน ใหเ้ อาชานหมากของท่านมาตาผสมหมากและปัน้ เป็นลูก ๆ ก่อนเสกเปน็ ชาตรี ให้บูชากนั และรู้จักกันในนาม “ชานหมากชาตรี” เหตุการณ์มีอยวู่ ่า เมื่อ ๑๐ ปกี ่อน มีผู้นาชานหมากชาตรีของหลวงพอ่ ฤๅษีลิงดาลูกน้ีมามอบให้กับพิพิธภัณฑ์พระบรมสารีริกธาตุชมรมวัชรธาตุ เพ่ือรกั ษาไว้ในพิพธิ ภัณฑ์ผู้เขียนเองกบั พ่เี ธียรไท รักคง ก็มีความสงสัยจากการ มองผ่านลักษณะภายนอกท่ีกลมเหมือนปั้นมา แอบคิดกันว่าจะใช่ของท่าน หรือไม่ แต่ก็ไม่ไดต้ ดิ ขัดส่งิ ใดก็เก็บไว้ในพิพิธภณั ฑ์

๙๐ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ภายหลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ ทางพิพิธภัณฑ์ขณะนั้นกาลัง ถ่ายรูปพระธาตุจะทาหนังสือกัน เลยขนพระธาตุอัฐิธาตุครูบาอาจารย์ลงมา เตรียมถ่ายรูป วันแรกผู้เขียนกับคุณเธียรไทก็ยังเอาชานหมากก่อนนี้มาดูกัน ด้วยความสงสัย พูดคุยกันว่าไม่น่าจะใช่ของหลวงพ่อ พ่ีเธียรถึงข้ันว่าถ้าเป็น ชานหมากหลวงพ่อจริงก็ให้มีพระธาตุเสด็จสิ วันน้ันถ่ายรูปกันยังไม่ครบเย็น ก่อนเลยยังไม่ได้เก็บพระธาตุเข้าท่ีแต่อย่างใด พอเช้ามาก็มาเตรียมถ่ายรูป กันต่อ แต่ส่ิงที่เหลือเช่ือก็เกิดขึ้นเมื่อเปิดผอบชานหมากนี้ กลับพบพระธาตุ สแี ดง ๆ คลา้ ยทับทมิ เมด็ เลก็ ๆ อยู่ 3 องค์ นบั เปน็ การยนื ยันและทาให้ผู้เขียน กับคุณเธียรไท เลิกเถียงกันว่าใช่ ไม่ใช่และก็ทาการขอขมา ก่อนที่จะถ่ายรูป พระธาตุต่อและคุยเรื่องนี้กันทั้งวัน แต่เหตุการณ์ยังไม่จบแค่น้ัน วันนั้นก็ยัง ถ่ายภาพไม่เสร็จเลยยังไม่ได้เก็บพระธาตุเช่นเคย พอตอนเช้าผู้เขียนที่ยังติดใจ อยู่ ลงมาจากห้องนอนก็มานั่งส่องดูพระธาตุชานหมากเพราะยังต่ืนเต้นไม่หาย แต่เมื่อส่องดูกับตื่นเต้นย่ิงกว่าเม่ือพระธาตุจากเดิมมี 3 องค์ กลับกลายเป็น 7 องค์ คราวนี้ผู้เขียนเองยอมศิโรราบไม่เถียงอีกต่อไป เกี่ยวกับชานหมาก ก้อนนี้ และเรื่องการเกิดข้ึนของพระธาตุชานหมาก ตลอด ๑๐ ปีท่ีผ่านมา ในผอบนี้มีพระธาตุชานหมากเสด็จมาเพิ่มบ้างแต่ก็ไม่ได้นับไว้ว่ามาเพิ่ม ตอนไหน เท่าไหร่บ้าง แต่ก็ตอบว่าน้อยคร้ัง เหมือนกับว่าการเสด็จมาทุกครั้ง มีเหตุมีปัจจัย (เช่น มายืนยันให้แน่ใจ หรือเป็นกาลังใจ เป็นต้น) และส่ิงที่ เกดิ ข้ึนเม่ือ ๓ ปีก่อน คือ ทางพิพิธภัณฑ์ได้ไปจัดนิทรรศการขนาดย่อม ในงาน ท่องเท่ียวไทย ที่จัดขึ้นท่ีสวนลุมพินี ผู้เขียนเองเป็นคนจัดพระธาตุท่ีจะนาไป แสดง และไม่พลาดที่จะนาพระธาตุชานหมากไปแสดงด้วย ขณะเปิดดู ผู้เขียน สังเกตเห็นว่าองค์พระธาตุมีขนาดท่ีใหญ่ขึ้น จึงเรียกคุณเธียรไทมาดูด้วยกันก็ ยืนยันว่าใหญ่ข้ึนจริง ๆ แต่ผู้เขียนเองก็ยังไม่ม่ันใจ คิดว่าคงจะคิดไปเองก็ได้ ก็เลยเฉย ๆ ไม่อะไรมากประจวบกับตอนน้ันใกล้เที่ยงคืนด้วย เลยไม่ได้สนใจ อะไรตอ่ (เพราะงว่ งมาก)

ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๙๑ หลังจากอัญเชิญมาแสดงช่ัวคราวท่ีสวนลุมพินี ผู้เขียนก็แทบไม่ได้ไป ช่วยช่วงวันธรรมดาเลยเพราะมีงานท่ีมหาวิทยาลัยเลิกงานก็ค่าแทบทุกวัน เลยยังไม่มีโอกาสชมใกล้ ๆ พอวันเสาร์ (20 ม.ค. 61) มีโอกาสได้เข้ามาช่วย ซึ่งคนเยอะมาก แต่พอเย็น ๆ คนน้อยลงมีโอกาสปลีกตัวมาเลยขอมาส่องดู พระธาตุชานหมากอีกคร้ัง ดูแล้วก็พิจารณา เห็นว่าองค์ท่านใหญ่ข้ึนจริง ๆ ด้วยสันดานแก้ยากเลยขอส่องดูตามซอกของชานหมาก ว่ามีพระธาตุ มาเพ่ิมไหม คิดเล่น ๆ ว่าเผื่อมี แต่สิ่งท่ีไม่คาดคิดก็เกิดข้ึนเม่ือพลิกดู พบว่า มีพระธาตุผุดออกมาจากเน้อื หมาก แลว้ ยังติดอยู่กนั เนอื้ หมากด้วยนบั ไดว้ ่าเปน็ เร่ืองอัศจรรย์ใจมาก ไม่พอแค่นน้ั ด้วยความสงสัยเอาไฟสีขาวส่องดูยังพบอีกว่า แผ่นเปลือกชานหมาก มองปกติมีลักษณะทางกายภาพเหมือนเดิมแต่พอส่อง ไฟจึงรู้ว่าแปรสภาพแล้วกลายเป็นสีออกแดง ๆ แสงทะลุได้ การเสด็จคร้ังน้ี นับเป็นกาลังใจให้กบั พวกเราทไี่ ดไ้ ปจดั งานมามกี าลงั ใจที่จะทางานต่อไปยิ่งขึ้น จะเหน็ ได้ว่า การเสด็จมาของพระธาตุมกั มีเหตปุ ัจจัยในการเสด็จ และ ไม่ได้มาเยอะดุจห่าฝน 10 ปี อาจจะเสด็จมาเพียงประมาณ 10 องค์ เท่าน้ัน จากประสบการณ์ตรง ดังน้ัน ผู้ที่ได้รบั แจกพระธาตุชานหมากควรจะพจิ ารณา ดี ๆ ให้ถ่ีถ้วน ท้ังท่ีมาท่ีไป เพราะมีวัสดุท่ีคล้ายพระธาตุชานหมาก น้ันคือ พลอยสีแดง ซ่ึงคล้ายมากและยังหาวิธีที่แยกให้ชัดเจนไม่ได้ (แต่มีข้อ สันนิษฐานซ่ึงยังไม่ม่ันใจขอปิดเป็นความลับไว้ก่อน) ท่ีผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่าน นาไปเปน็ ข้อมลู เผอ่ื วา่ จะช่วยในการพจิ ารณาในสว่ นใดสว่ นหนงึ่ บา้ งเท่าน้นั ท้ายท่ีสุดผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะปรามาส ลบหลู่ใครใด ๆ ท้ังสิ้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนกราบขออภัยแก่ความไม่รู้ของผู้เขียนไว้ ณ ที่น้ี หวังวา่ บทความนีจ้ ะมีประโยชน์ตอ่ ท่านผู้อ่านทกุ ท่าน ธนวฒั น์ ทรงศริ ิ

๙๒ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร เขียนเรื่องของแมล่ ะเอยี ด รตั นวชิ ัย “ผู้หญงิ ธรรมดำ แต่จิตใจไมธ่ รรมดำ” หากนับเวลาตั้งแต่แม่จากไป (๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒) ถึงวันนี้ แม้ท่านจะจากไปนานสักเพียงใด คุณธรรม คาสอน ยังทาให้ระลึกนึกถึงอยู่ ไมเ่ วน้ วัน แมเ่ ป็นผู้ทรหดอดทน ทาไร่ ทานา รับจ้างสารพัด เพอื่ ให้ได้เงินมาส่ง ลูกเรียนสูง ๆ แม้จะเหน่ือยสักเพียงใดก็ไม่เคยย่อท้อคิดเพียงว่า เราจบแค่ เพียงช้ัน ป.๔ อยากให้ลูกเรียนสูง ๆ มีงานทาดี ๆ ไม่ต้องมาลาบากแบบนี้ แม้งานจะหนักและเหน่ือยเพียงใด ความหวังท่ีต้ังไว้คือเม่ือลูกเรียนจบ “จะหยุดพัก เหน่ือยแล้ว พอแล้ว” คาพูดนี้สะเทือนใจอย่างมากและแม่ก็ ส่งเสียลูกท้ังสองเรียนจนจบปริญญา หากลองพิจารณาถึงคาท่ีแม่พูดว่า “จะหยดุ พัก เหนือ่ ยแล้ว พอแล้ว” เม่ือลูกเรียนจบกพ็ บกับเหตุการณ์ท่ีแม่ต้อง ล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต พูดไม่ได้ ชว่ ยเหลอื ตัวเองไม่ไดเ้ ป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่นานถึง ๘ เดือน หรือนี่ คือการหยดุ พักของแม่ที่ได้พูดไว้จริง ๆ ซึ่งลูกเองก็ไม่อยากให้แม่ต้องมาหยุดพกั แบบน้ีเลย เม่ือพิจารณาถึงความหมายที่สองคาว่า “หยุดพัก เหน่ือยแล้ว พอแล้ว” ตลอดระยะเวลา ๘ เดือนเศษ ท่ีแม่ปว่ ย พูดไม่ได้ กินไม่ได้ เดินไม่ได้ ทุกส่วนของร่างกายเสมือนหุ่น มีเพียงแววตาที่ใช้ขยับสื่อสารได้บ้าง หากยอ้ นกลบั ไปสมยั ทยี่ ังมแี ข็งแรงอยู่ แมเ่ ป็นคนที่เคารพศรัทธาในบารมีธรรม ของหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นอย่างมาก เคยไปร่วมงานบุญท่ีวัดท่าซุง ต้ังแต่สมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ก็หลายครั้ง อ่านหนังสือธรรมะและฟังเทศน์ของ หลวงพ่อจนได้ซึมซับธรรมะนามาเป็นหลกั ใจในการใช้ชวี ติ อยู่เนืองนติ ย์ ตลอดระยะเวลาท่ีแม่ป่วย แม่ได้พิจารณาความทุกข์ในร่างกาย เห็นความไม่เท่ียงของร่างกาย ครั้งหน่ึงผู้เขียนได้อ่านหนังสือธรรมะของ หลวงพอ่ วัดทา่ ซุงให้แม่ฟัง หลวงพอ่ ท่านสอนในเร่อื งการพิจารณาความทุกข์ใน ร่างกายและการตดั ขนั ธ์ ๕ ผูเ้ ขยี นได้ถามแมว่ ่าถ้าตายแล้วจะไปไหน ด้วยเหตุที่ แม่พูดไม่ได้ แม่กส็ ื่อสารด้วยการแหงนหน้าและกรอกตาข้ึนมองท้องฟ้าซึ่งเป็น การบอกว่า แมย่ งั คงระลกึ ถึงกศุ ลกรรมและกอปรด้วยสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ดี

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๙๓ กระทั่งเวลา ๑๖.๕๙ นาที เมื่อวันท่ี ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ แม่กไ็ ด้จากไปอย่างสงบดว้ ยภาวะติดเชอ้ื ในกระแสเลือด ทาให้ระลึกได้ถึงคาว่า “จะหยุดพักเหน่ือยแล้ว พอแล้ว” แม่อาจจะไม่ได้หมายถึงการพักผ่อนหรือ หยุดทางานต่าง ๆ เพียงเดียว แต่อาจจะหมายถึงการหยุดวัฏสงสารอันเป็น กองทุกขท์ ้งั ปวงน้ี เหตุการณ์วันท่ีแม่เสียชีวิต ขณะท่ีแม่อยู่ในห้องไอซียู ผู้เขียนได้เปิด เทศน์หลวงพ่อวัดท่าซุงให้ฟังอยู่ตลอดและได้กระซิบข้างหูแม่ว่า “ให้ขอพร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ได้โปรดสงเคราะห์นาจติ ใจให้ใสสว่างและได้ โปรดแสดงประจักษ์พยานอย่างใดอย่างหนึ่งไว้เป็นอนุสรณ์แก่ลูก ๆ ไว้เป็น เครอ่ื งระลึกนกึ ถึง” ซง่ึ เมอื่ ฌาปนกจิ ศพแลว้ ในกองเถ้าอังคารก็ปรากฏเป็นวัตถุ ธาตุนี้ขึ้นมาให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตา ซ่ึงผู้เขียนเองไม่ได้คิดที่จะเป็นการ โอ้อวดหรอื โชวค์ ณุ วิเศษใด ๆ ของแม่ตนเอง เพยี งเพือ่ เปน็ การเตอื นจิตเตือนใจ ให้เร่งปฏิบัติภาวนาเพราะย่อมรู้ดีว่าผู้ปฏิบัติน้ันย่อมรู้เห็นได้ด้วยตนเอง และ ผู้เขียนเองไดย้ ้อนระลกึ ถงึ คาสอนของหลวงป่ดู ูลย์ อตุโล ได้กล่าวเป็นอมตวาจา ไวว้ ่า “กระดูกมนุษย์นั้นเป็นได้ทุกอย่าง ไปอัศจรรย์ทาไม เป็นอะไร ๆ ได้ทั้งน้ัน อย่าไปยึดม่ัน เป็นของภายนอก ส่ิงที่ควรยึด คือ พระรัตนตรัย อย่าทงิ้ พระรัตนตรยั ” นพรัตน์ รัตนวชิ ยั

๙๔ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร พระธำตเุ สดจ็ ครงั้ แรกในชีวติ “พระบรมสารรีริกธาตุ เป็นของมงคลสูงสุด สามารถเสด็จไปมาได้ วันดีคนื ดกี ม็ ีแสงสว่าง” เรอื่ งราวเหลา่ น้ขี ้าพเจา้ ไดย้ ินมาต้ังแต่เด็ก เพราะโชคดี ท่ีเกิดในครอบครัวท่ีมีความเคารพในพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าได้ซึมซับ ส่ิงเหล่าน้ีเข้ามาในชีวิตโดยตลอด เม่ือข้าพเจ้าอายุ ๑๒ ปี ข้าพเจ้าอยากได้ พระบรมสารีรกิ ธาตุมาบูชาเป็นของของตน แตก่ ไ็ ม่รจู้ ะหามาบูชาได้จากที่ไหน ได้แต่อธิษฐานขออยู่หน้าพระ จนถึงวันท่ีคุณป้าของข้าพเจ้า ยา้ ยที่ทางานจาก อาเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีกลับมายังกรุงเทพฯ วันน้ันครอบครัวได้ไปช่วย ป้าขนของกลับ ระหว่างจัดของข้าพเจ้าก็พบกับผอบไม้จันทน์ ๑ ผอบ ก็แอบ คิดในใจว่าคงจะเป็นพระธาตเุ ป็นแน่ จึงสอบถามคณุ ป้าเพอื่ ความแน่ใจ ท่านจึง ได้เล่าให้ฟังว่า ภายในผอบน้ีมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ โดยได้รับมาจาก พระท่านหนง่ึ ในจงั หวดั ชลบรุ ี แต่เดิมมีพระบรมสารรี ิกธาตุ อยู่ ๕ องค์ แต่ด้วย ความไม่ได้สนใจป้าได้มาก็นาไปวางไว้บนหลังตู้เย็น ผ่านไปประมาณ ๓ เดือน ไดฝ้ นั ว่ามีเทวดาทรี่ กั ษาองค์พระธาตุมาบอกว่า จะอัญเชิญพระบรมสารรี ิกธาตุ ไปไว้ที่พระบรมธาตุนครศรีธรรมราชแล้วนะ เม่ือตื่นได้ไปเปิดดูผอบน้ัน พระธาตุเหลืออยู่ ๒ องค์ หลังจากฟังเร่ืองราวด้วยความเป็นเด็กก็ยิ่งดีใจว่า พระธาตุน้ีต้องใชข่ องจริงเป็นแน่ ถึงขัน้ มีเทวดามาอญั เชิญขนาดน้ี จึงได้ขอจาก ป้าและความเมตตาทา่ นจึงไดม้ อบพระบรมสารรี กิ ธาตพุ ร้อมผอบให้กับข้าพเจา้ ท้ังหมด ข้าพเจ้าดีใจมากรีบเปิดผอบดูเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ๒ องค์ ดังที่ คุณป้าได้เล่า เมื่อกลับถึงบ้านจึงได้ทาการสักการะบูชาอย่างใหญ่เท่าที่เด็กคน หน่ึงจะทาได้และจึงได้เปิดดูอีกพบว่ามีพระธาตุเพิ่มมาอีก ๓ องค์ รวมเป็น ๕ องค์ ทาให้ขา้ พเจา้ ดีใจเป็นอยา่ งมาก จากเหตุการณ์นี้ทาให้ข้าพเจ้าศรัทธาในพระธาตุและเช่ือมั่นใน คุณพระรัตนตรัยมาโดยตลอดและยังจะเช่ือม่ันตลอดไปตราบที่ข้าพเจ้ายังมี ลมหายใจ เธยี รไท รกั คง

ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร ๙๕ เดินตำมคนไมผ่ ิดแน่ เร่ืองราวต่อไปนี้เกิดข้ึน เมื่อ 10 ปีก่อน ผมได้รู้จักพระมหาเถระรูป หนงึ่ ที่มีศลี าจารวตั รเป็นทีน่ า่ เลอ่ื มใส เป็นพระผ้เู ฒ่าผูใ้ จดี แม้นจะอายุมากแต่ก็ ยังเมตตาลูกศษิ ย์โดยไม่เคยเก่ียง ด้วยความศรัทธา ผมจงึ ได้กราบขอเส้นเกศา กลับมาบูชาทบ่ี า้ น หลวงพ่อก็เมตตามอบให้โดยห่อใส่กระดาษปฏทิ นิ ไว้ เม่อื ผม ได้รับมา ผมดีใจมากเก็บใส่โหล วางไว้บูชาบนตู้พระเรื่อยมา เวลาผ่านไป ประมาณ ๒ เดือน จาได้ว่าวันนั้นเปน็ วันพระใหญ่และอยู่ในช่วงถือศีลกนิ เจกัน ผมกลบั ได้ยนิ เสยี งประหลาดในหขู องผมว่า “เปดิ ดูสิ” ตอนแรกกไ็ ม่ได้คิดอะไร แต่เสียงนี้ก็ยังวนให้ได้ยินเสมอถึง ๓ คร้ัง ครั้งสุดท้ายเสียงบอกว่า “เปิดดูสิ ข้างในมีพระธาตุ” ผมก็คิดในใจกลับไปว่า จะมีได้อย่างไง ก็ข้างในมีแต่ผม เสยี งนน้ั กย็ งั คงก้องอยู่ในหตู ลอดท้ังวนั จนช่วงบา่ ยจึงยอมเปิดออกดู ก็เขี่ย ๆ ดู พบว่ามีเม็ดคล้ายกรวดทรายใส อย่เู ม็ดหนึ่ง ก็เร่มิ ชักจะสงสัยว่าคืออะไร จะใช่ พระธาตุหรอื ไม่ มคี วามเปน็ ไปไดไ้ หมที่จะเป็นกรวดทรายจริง ๆ คดิ ในใจสักพัก จึงเริ่มท่ีจะพิสูจน์โดยการพูดว่า ถ้าเป็นพระธาตุจริงต้องมาแบบเม็ดกลม ๆ ใส ๆ ซิ มาเป็นทรายแบบน้ีจะม่ันใจได้อย่างไง พลันปดิ โหลน้ันเกบ็ เข้าท่ีและก็ ตดิ ตามแมไ่ ปสวดมนต์ที่ศาลเจา้ ตอ่ กลบั มาถงึ ก็เป็นเวลาค่า หลงั ทาธุระสว่ นตัว เสร็จ ก็ไปเอาโหลลงมาใชท้ ่คี ีบคอ่ ย ๆ เข่ียเส้นเกศาดู สายตากพ็ ลันไปสะดุดกับ บางอย่างแวบเข้าใส่ดวงตา จึงเอาแว่นส่องพระไปขยายดู พบว่า เป็นเม็ด กลมใส ตามที่พูดถ้าไว้ตอนบ่ายทุกประการ แต่ด้วยนิสัยท่ีชอบการพิสูจน์คราว นี้พดู ใหม่วา่ อยากไดแ้ บบสีชมพูบา้ ง ลองหาดูก็พบเป็นเมด็ กลมสีชมพูดังทีพ่ ูดไว้ หลกั จากนนั้ ก็พบพระธาตอุ ีกหลากลักษณะในเกศาของหลวงพ่อ ท่ีแปลกตาสุด เห็นจะเปน็ พระธาตทุ ่แี ปรสภาพจากเกศาและยงั มีเกศาติดอย่ยู าวทะลอุ อกมา ประสบการณคร้ังนี้ทาให้ผม เกิดความเช่ือม่ันในพระธาตุเคารพและ ศรทั ธาในพระรัตนตรยั มากยง่ิ ขึน้ และตอกยา้ ว่าผมเดนิ ตามไมผ่ ิดคนแน่ เกตุ ศรสี ุธรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook