Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 41321พา1-4

41321พา1-4

Published by มณฑา ถิระวุฒิ, 2022-08-01 06:17:45

Description: 41321พา1-4

Search

Read the Text Version

มสธ หน่วยที่4 สัญญาซ้ือขาย 2 รองศาสตราจารย์วิกรณ์ รักษ์ปวงชน มมมสสสธธธ มมสสธธ มมมสสสธธธช่ือ วุฒิ รองศาสตราจารย์วกิ รณ์ รกั ษป์ วงชน ต�ำแหน่ง น.บ., น.ม. มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ มสธ รองศาสตราจารยป์ ระจ�ำสาขาวชิ านติ ศิ าสตร์ หน่วยที่ปรับปรุง มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช หนว่ ยที่ 4

4-2 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซอื้ ขาย เชา่ ทรพั ย์ เชา่ ซ้ือ มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วย ชุดวิชา กฎหมายพาณิชย์ 1: ซ้อื ขาย เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ มสธ มสธหน่วยที่ 4 สัญญาซอ้ื ขาย 2 ตอนท่ี 4.1 หน้าที่ สิทธิ และความรบั ผิดของผู้ขาย 4.2 หนา้ ที่ และสิทธิของผูซ้ อ้ื มสธแนวคิด 1. ผขู้ ายจำ� ตอ้ งสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทซ่ี อ้ื ขายใหแ้ กผ่ ซู้ อ้ื โดยใหท้ รพั ยส์ นิ นนั้ ไปอยใู่ นเงอื้ มมอื ของผซู้ อ้ื การส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือล�้ำจ�ำนวนน้ันเป็นความผิดของผู้ขาย ผู้ซ้ือจึงอาจปัดเสียได้ หรือรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วน แล้วแต่กรณี ผู้ขายมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินท่ีขายกรณี มสธ มสธสญั ญาไม่มีกำ� หนดใหใ้ ช้ราคา และกรณีผู้ซือ้ ลม้ ละลายหรอื ทำ� ใหห้ ลกั ทรพั ยล์ ดลง นอกจากน้ี ผู้ขายยังต้องรับผิดเพื่อความช�ำรุดบกพร่องและเพื่อการรอนสิทธิด้วย เว้นแต่จะต้องด้วย บทยกเว้นความรับผิดตามกฎหมาย หรือคูก่ รณีมขี อ้ สญั ญาวา่ จะไม่ตอ้ งรับผิด 2. ผซู้ อื้ มหี นา้ ทร่ี บั มอบทรพั ยส์ นิ ทตี่ นไดร้ บั ซอ้ื และใชร้ าคาตามขอ้ สญั ญาซอ้ื ขาย รวมทง้ั มหี นา้ ทอี่ อก ค่าขนส่งทรัพย์สินซึ่งได้ซ้ือขายกันไปยังท่ีมีแห่งอ่ืนนอกจากสถานที่อันพึงช�ำระหนี้ด้วย นอกจากนี้ ผซู้ อื้ ยงั มสี ทิ ธยิ ดึ หนว่ งราคาทยี่ งั ไมไ่ ดช้ ำ� ระไวท้ งั้ หมดหรอื แตบ่ างสว่ น หรอื ในกรณี มสธทผ่ี ซู้ อื้ ถกู ผรู้ บั จำ� นองทรพั ยส์ นิ ทข่ี ายนนั้ ขวู่ า่ จะฟอ้ งเปน็ คดขี นึ้ หรอื มเี หตอุ นั ควรเชอ่ื วา่ จะถกู ขู่ เชน่ นน้ั เว้นแตผ่ ู้ขายจะหาประกันทส่ี มควรให้ได้ วัตถุประสงค์ เมือ่ ศึกษาหน่วยที่ 4 จบแลว้ นกั ศึกษาสามารถ มสธ มสธ1. อธบิ ายและวินจิ ฉัยปญั หาเกย่ี วกับหนา้ ท่ี สทิ ธิ และความรับผิดของผู้ขายได้ 2. อธิบายและวินจิ ฉัยปัญหาเกยี่ วกบั หน้าที่ และสทิ ธิของผ้ซู ือ้ ได้ กิจกรรมระหว่างเรียน 1. ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหนว่ ยท่ี 4 2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 4.1-4.2 มสธ3. ปฏิบัตกิ ิจกรรมในเอกสารการสอน

สญั ญาซือ้ ขาย 2 4-34. ฟังรายการวทิ ยุกระจายเสยี ง/ซีดเี สียง (ถา้ ม)ี มสธ5. ชมรายการวทิ ยโุ ทรทัศน์/ดวี ดี ี (ถ้ามี) 6. เขา้ รบั การสอนเสริม (ถ้าม)ี 7. ทำ� แบบประเมนิ ผลตนเองหลังเรียนหนว่ ยท่ี 4 มสธ มสธส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝึกปฏิบัติ 3. รายการสอนทางวทิ ยุกระจายเสียง/ซดี ีเสียง (ถา้ มี) 4. รายการสอนทางวทิ ยโุ ทรทัศน/์ ดีวดี ี (ถา้ ม)ี 5. การสอนเสรมิ (ถ้ามี) มสธการประเมินผล 1. ประเมินผลจากแบบประเมนิ ผลตนเองกอ่ นเรียนและหลังเรยี น 2. ประเมนิ ผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรอ่ื ง มสธ มสธ3. ประเมินผลจากการสอบไลป่ ระจำ� ภาคการศกึ ษา เม่ืออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน มสธ มมสสธธ มสธหน่วยที่4ในแบบฝึกปฏิบัติแล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป

4-4 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซ้ือขาย เชา่ ทรัพย์ เชา่ ซ้อื มสธตอนที่ 4.1 หน้าท่ี สิทธิ และความรับผิดของผู้ขาย โปรดอา่ นหวั เรื่อง แนวคดิ และวตั ถปุ ระสงค์ของตอนที่ 4.1 แลว้ จงึ ศึกษารายละเอยี ดตอ่ ไป มสธ มสธหัวเร่ือง 4.1.1 หน้าที่ในการสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ของผ้ขู าย 4.1.2 สทิ ธยิ ดึ หน่วงของผขู้ าย 4.1.3 ความรับผดิ ของผู้ขาย มสธแนวคิด 1. ผู้ขายมีหน้าที่ในการส่งมอบทรัพย์สินท่ีขายให้แก่ผู้ซ้ือโดยส่งมอบให้ทรัพย์สินน้ันอยู่ใน เงอื้ มมอื ของผซู้ อื้ หากการสง่ มอบซง่ึ อยหู่ า่ งโดยระยะทาง การสง่ มอบยอ่ มสำ� เรจ็ เมอื่ ได้ สง่ มอบทรพั ยส์ นิ นนั้ ใหแ้ กผ่ ขู้ นสง่ การสง่ มอบขาดตกบกพรอ่ งหรอื ลำ้� จำ� นวน เปน็ ความ รับผิดของผู้ขาย ผู้ซ้ือจึงอาจปัดเสียและใช้ราคาตามส่วนแล้วแต่กรณี ความรับผิดเพ่ือ มสธ มสธการทที่ รพั ยข์ าดตกบกพรอ่ งหรอื ลำ้� จำ� นวน มใิ หฟ้ อ้ งรอ้ งคดเี มอ่ื พน้ กำ� หนดปหี นง่ึ นบั แต่ เวลาสง่ มอบ 2. ในสญั ญาไมม่ กี ำ� หนดเงอ่ื นเวลาใหใ้ ชร้ าคา ผขู้ ายชอบทจี่ ะยดึ หนว่ งทรพั ยส์ นิ ทข่ี ายไวไ้ ด้ จนกว่าจะใช้ราคา แม้ในสัญญาจะมีก�ำหนดเวลาให้ใช้ราคา หากผู้ซ้ือล้มละลายก่อน ส่งมอบทรัพย์สิน ผู้ซื้อเป็นคนล้มละลายแล้วในเวลาซื้อขายโดยผู้ขายไม่รู้ หรือผู้ซื้อ กระท�ำให้หลักทรัพย์ท่ีให้ไว้ เพื่อประกันการใช้เงินน้ันเสื่อมเสียหรือลดลง ผู้ขายก็ชอบ มสธที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินที่ขายไวไ้ ด้ เว้นแต่ผ้ซู ้ือจะหาประกันทส่ี มควรให้ได้ 3. ทรัพย์สินท่ีขายน้ันช�ำรุดบกพร่อง อันเป็นเหตุให้เส่ือมราคา เสื่อมความเหมาะสมแก่ ประโยชน์อนั มงุ่ จะใช้เป็นปกติ หรอื ประโยชน์ที่มงุ่ โดยสญั ญา ผขู้ ายต้องรับผิด เวน้ แต่ ผู้ซื้อรู้อยู่แล้ว แต่ในเวลาซ้ือขาย หรือควรจะรู้ก่อนนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะ พงึ คาดหมายไดแ้ ตว่ ญิ ญชู น หรอื ความชำ� รดุ บกพรอ่ งนนั้ เปน็ อนั เหน็ ประจกั ษแ์ ลว้ ในเวลา มสธ มสธสง่ มอบและผซู้ อ้ื รบั เอาทรพั ยน์ นั้ ไวโ้ ดยมไิ ดอ้ ดิ เออ้ื น หรอื ทรพั ยส์ นิ นน้ั ไดข้ ายทอดตลาด นอกจากน้ีผู้ขายยังต้องรับผิดเพ่ือการรอนสิทธิ เว้นแต่เป็นกรณีผู้ซ้ือรู้อยู่แล้วในเวลา ซื้อขาย กรณีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในบังคับแห่ง ภาระจ�ำยอมโดยกฎหมาย และกรณี เป็นความผิดของผู้ซื้อในคดี ท้ังนี้ คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิด มสธเพอ่ื ความช�ำรดุ บกพรอ่ ง หรือเพอ่ื การรอนสทิ ธกิ ็ได้

สัญญาซือ้ ขาย 2 4-5 มสธวัตถุประสงค์ เม่ือศกึ ษาตอนท่ี 4.1 จบแลว้ นักศกึ ษาสามารถ 1. อธบิ ายและวนิ จิ ฉยั ปัญหาเกย่ี วกับหนา้ ทใ่ี นการส่งมอบทรัพย์สินของผขู้ ายได้ 2. อธิบายและวินิจฉัยปญั หาเกย่ี วกบั สทิ ธิยึดหนว่ งของผขู้ ายได้ มมมสสสธธธ มมมสสสธธธ มมมสสสธธธ3. อธิบายและวินจิ ฉยั ปญั หาเก่ียวกับความรับผิดของผ้ขู ายได้

4-6 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซื้อขาย เช่าทรพั ย์ เช่าซอ้ื มสธเรื่องที่ 4.1.1 หน้าท่ีในการส่งมอบทรัพย์สินของผู้ขาย มสธ มสธดังกล่าวมาแล้วว่า สัญญาซื้อขายทรัพย์สินน้ัน หากเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือ สงั หารมิ ทรพั ยช์ นดิ พเิ ศษ ไดแ้ ก่ เรอื ทมี่ รี ะวางตง้ั แตห่ า้ ตนั ขน้ึ ไป แพ และสตั วพ์ าหนะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหน่ึง กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซ้ือขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อเม่ือได้มีการจดทะเบียน หากเป็น สงั หารมิ ทรพั ยท์ วั่ ไป กรรมสทิ ธใ์ิ นทรพั ยส์ นิ ยอ่ มโอนไปยงั ผซู้ อ้ื ขณะเมอ่ื ไดท้ ำ� สญั ญาซอ้ื ขายกนั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 458 เวน้ แต่สญั ญาซอ้ื ขายมีเงือ่ นไขหรอื เงือ่ นเวลา กรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ยงั ไม่โอนไปจนกวา่ จะได้ เปน็ ไปตามเงือ่ นไขหรือถึงกำ� หนดเงอ่ื นเวลาน้นั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 459 และการซือ้ ขายทรัพย์ซึ่งมิได้ ก�ำหนดลงไว้แน่นอน กรรมสิทธ์ิยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้บ่งตัวทรัพย์สินน้ันออกเป็นแน่นอนแล้ว ตาม มสธป.พ.พ. มาตรา 460 วรรคหนึ่ง หรือการซื้อขายทรัพย์สินเฉพาะส่งิ กรรมสทิ ธย์ิ ังไม่โอนไปจนกวา่ จะทำ� ให้ รู้ก�ำหนดราคาทรัพย์สินน้ันแน่นอนแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 460 วรรคสอง แต่การโอนกรรมสิทธ์ิใน ทรพั ยส์ นิ ดงั กลา่ วเปน็ คนละเรอ่ื งกบั การสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทซ่ี อื้ ขาย เพราะการสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทซ่ี อ้ื ขายเปน็ เรอ่ื งของการชำ� ระหน้ี ซงึ่ อาจจะเกดิ ขน้ึ ในขณะเดยี วกนั กบั การโอนกรรมสทิ ธิ์ เกดิ ขน้ึ กอ่ นหรอื หลงั การโอน มสธ มสธกรรมสิทธกิ์ ไ็ ด้ ตามแตข่ ้อตกลงของคกู่ รณี การส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายเป็นการช�ำระหน้ี ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ขายตามสัญญาต่างตอบแทน มิใช่เป็นแบบแห่งนิติกรรม ซ่ึงหากมิได้ท�ำให้ถูกต้องตามแบบท่ีกฎหมายก�ำหนดไว้ จะตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 152 ในเร่ืองนี้ผู้แต่งต�ำราบางท่านโดยเฉพาะผู้ท่ีศึกษากฎหมายจากต่างประเทศและ ค�ำอธิบายรุ่นเก่าๆ เห็นว่าการส่งมอบเป็นแบบอย่างหนึ่ง ซ่ึงเคราะห์ดูหลักเกณฑ์ตามกฎหมายไทยแล้ว ยอ่ มไม่เป็นการถูกต้อง แบบแหง่ นิติกรรมคืออะไรบ้างได้ศกึ ษากนั มาแล้ว คดิ ดูงา่ ยๆ ถา้ หากไปถอื วา่ การ มสธส่งมอบเปน็ แบบแลว้ ผลกค็ ือว่า ถ้าไมส่ ง่ มอบก็ถือว่าไมเ่ ปน็ การท�ำตามแบบแหง่ นติ กิ รรม ยอ่ มเปน็ โมฆะ ซึ่งในเร่ืองซื้อขายหาเป็นดังน้ันไม่ เม่ือฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงไม่ส่งมอบ ก็ย่อมฟ้องบังคับให้ส่งมอบอันเป็น การบงั คับให้ชำ� ระหนต้ี ามสญั ญา1 เรอื่ งหนา้ ทใ่ี นการสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ของผขู้ ายนี้ จะไดจ้ ำ� แนกอธบิ ายออกเปน็ 5 หวั ขอ้ คอื (1) การ กำ� หนดหนา้ ทใี่ นการสง่ มอบ (2) หลกั ในการสง่ มอบ (3) การสง่ มอบซงึ่ อยหู่ างโดยระยะทาง (4) การสง่ มอบ มสธ มสธขาดตกบกพรอ่ ง หรอื ล้ำ� จำ� นวน และ (5) อายุความฟ้องรอ้ งบังคบั คดี มสธ1 ประพนธ์ ศาตมาน และไพจติ ร ปญุ ญพนั ธ.์ุ คำ� อธบิ ายประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ลกั ษณะซอ้ื ขาย. พมิ พค์ รง้ั ที่ 7 กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พ์นติ ิบรรณาการ. 2525. หนา้ 117-118.

สัญญาซื้อขาย 2 4-7 1. การก�ำหนดหน้าที่ในการส่งมอบ มสธตาม ป.พ.พ. มาตรา 461 ก�ำหนดหน้าทใ่ี นการสง่ มอบทรพั ยส์ ินไว้ ดงั นี้ มาตรา 461 “ผู้ขายจ�ำต้องส่งมอบทรัพย์สินซ่ึงขายน้ันให้แก่ผู้ซ้ือ” ตามบทบัญญัติดังกล่าว ก�ำหนดหน้าที่ของผู้ขายจะต้องส่งมอบทรัพย์สินท่ีขายนั้นให้แก่ผู้ซ้ือ เป็นการตอบแทนผซู้ อ้ื ที่ใชร้ าคาทรัพยส์ ินน้ัน ตามสัญญาซ้ือขายอนั เป็นสัญญาต่างตอบแทนนั่นเอง มสธ มสธหน้าท่ีในการส่งมอบทรัพย์สินของผู้ขายดังกล่าว ผู้ขายต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ตรงตาม วัตถปุ ระสงค์ท่ีแทจ้ รงิ แหง่ มลู หน้ี หรือตรงตามขอ้ ตกลงในสัญญาซอื้ ขาย อุทาหรณ์ (1) สญั ญาซอ้ื ขายรถยนต์ หนา้ ทขี่ องผขู้ ายนอกจากตอ้ งสง่ มอบรถยนตแ์ ลว้ ยงั มหี นา้ ทต่ี อ้ งดำ� เนนิ การใหผ้ ซู้ อื้ ไดจ้ ดทะเบยี นและเสยี ภาษรี ถยนต์ เพอื่ ใชป้ ระโยชนต์ ามความประสงคท์ แี่ ทจ้ รงิ แหง่ มลู หนดี้ ว้ ย ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 802/2546 รถยนต์เป็นยานพาหนะท่ีมีกฎหมายควบคมุ การนำ� ไปใช้ตอ้ ง มสธจดทะเบียนรถยนต์และเสยี ภาษรี ถยนตใ์ หถ้ กู ตอ้ งกอ่ น ตาม พ.ร.บ. รถยนตฯ์ มาตรา 6 ดงั นน้ั นอกจาก ผขู้ ายจะมหี นา้ ทส่ี ง่ มอบรถยนตต์ ามสญั ญาซอ้ื ขายแลว้ ยงั มหี นา้ ทตี่ อ้ งดำ� เนนิ การใหผ้ ซู้ อื้ ไดจ้ ดทะเบยี นและ เสยี ภาษรี ถยนตเ์ พอื่ ใชป้ ระโยชนต์ ามความประสงคอ์ นั แทจ้ รงิ ของมลู หน้ี จำ� เลยที่ 2 ในฐานะผขู้ ายมหี นา้ ท่ี ต้องส่งมอบเอกสารชุดจดทะเบียนให้แก่จ�ำเลยท่ี 1 และจ�ำเลยท่ี 1 ในฐานะผู้ขายรถยนต์พิพาทมีหน้าท่ี สง่ มอบเอกสารดงั กล่าวให้แกโ่ จทกผ์ ูซ้ ือ้ มสธ มสธ(2) การสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทข่ี าย จะถอื เอาวนั ทผ่ี ขู้ ายสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทไี่ มอ่ าจใชง้ านไดต้ ามสญั ญา ซ้ือขาย เป็นการส่งมอบตามก�ำหนดเวลาแลว้ ไมไ่ ด้ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1548/2529 ตามสญั ญาซ้อื ขาย โจทก์จะต้องสง่ มอบเครือ่ งสูบนํา้ ให้จ�ำเลย ภายในวันท่ี 3 กุมภาพันธ์ 2521 ปรากฏว่าเคร่ืองสูบนํ้าใช้งานไม่ได้จนโจทก์ต้องขอรับคืนไปแก้ไขและ ส่งกลบั มาให้จ�ำเลยเมอ่ื วันท่ี 16 ตลุ าคม 2522 ต้องถือว่าโจทก์เพงิ่ สง่ มอบในวันดังกลา่ ว ความล่าช้าเกิด ขนึ้ เพราะสินค้าของโจทกบ์ กพรอ่ งใช้งานไมไ่ ด้ โจทก์จึงตอ้ งรบั ผดิ ในความล่าชา้ นั้น จะถอื ว่าโจทกส์ ง่ มอบ มสธตามกำ� หนดไมไ่ ด้ เพราะการสง่ มอบกค็ อื การชำ� ระหนตี้ ามสญั ญาซอ้ื ขายนนั่ เอง ตอ้ งถอื วนั ทโ่ี จทกส์ ง่ เครอื่ ง สูบนํ้าที่อยู่ในสภาพใช้งานได้ แม้สัญญาซ้อขายจะไม่ได้ระบุว่าการส่งมอบจะต้องท�ำอย่างไรจึงจะถือว่า สมบรู ณ์ แตก่ ารตีความว่าโจทกม์ สี ิทธสิ ่งเคร่อื งสูบนา้ํ ท่ใี ชง้ านไมไ่ ด้น้ันยอ่ มไมเ่ ป็นไปตามความประสงคใ์ น ทางสจุ รติ แตจ่ ำ� เลยมสี ว่ นทำ� ใหก้ ารสง่ มอบลา่ ชา้ เพราะโจทกส์ ง่ เครอ่ื งสบู นา้ํ ใหต้ งั้ แตเ่ ดอื นกมุ ภาพนั ธ์ 2521 จ�ำเลยเพ่ิงจะตรวจสอบเมือ่ เดอื นสงิ หาคม 2521 จึงทราบวา่ เคร่อื งสูบนํ้าขาดอุปกรณแ์ ละต่อมาจงึ ทราบวา่ มสธ มสธใช้งานไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจ�ำเลยเสียหายอะไรเป็นพิเศษจากการส่งมอบล่าช้า จึงสมควรลดค่าปรับลง จากท่ศี าลชน้ั ต้นกำ� หนดไว้อกี ซงึ่ ศาลมีอ�ำนาจลดได้เองตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 (3) ผซู้ อื้ ทำ� สญั ญาจะซอ้ื จะขายหอ้ งชดุ โดยตกลงกบั ผซู้ อ้ื ประสงคจ์ ะซอ้ื หอ้ งชดุ ไวป้ ระกอบกจิ การ ค้าขายยา ผู้ขายจึงจดทะเบียนข้อบังคับวัตถุประสงค์ของการใช้ห้องชุดน้ันเพื่อการอยู่อาศัยและขายยา โดยก�ำหนดวัตถุประสงค์การประกอบธุรกิจการค้าให้แตกต่างกัน เพ่ือมิให้เกิดการแก่งแย่งแข่งขันกันเอง ผู้ซื้อจะอ้างว่าการส่งมอบห้องชุดท่ีมีข้อบังคับให้ประกอบธุรกิจเฉพาะการขายยา เป็นการจ�ำกัดสิทธิของ มสธผู้ซือ้ หาไดไ้ ม่

4-8 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซ้อื ขาย เช่าทรพั ย์ เช่าซือ้ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 10711/2546 ในการทำ� สญั ญาจะซอ้ื จะขายหอ้ งชดุ พพิ าท โจทกไ์ ดแ้ จง้ ดว้ ย มสธวาจาให้จ�ำเลยทราบว่า โจทก์ประสงค์จะซื้อห้องชุดพิพาทไว้ประกอบกิจการค้าขายยา จ�ำเลยจึงได้ จดทะเบยี นนติ บิ คุ คลอาคารชดุ โดยมขี อ้ บงั คบั กำ� หนดใหใ้ ชห้ อ้ งชดุ พพิ าทเพอื่ อยอู่ าศยั และขายยา ประกอบ กบั สญั ญาจะซอื้ จะขายหอ้ งชดุ พพิ าทไมไ่ ดร้ ะบไุ วโ้ ดยชดั แจง้ วา่ นอกจากผซู้ อื้ จะใชเ้ ปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั แลว้ ผซู้ อ้ื สามารถประกอบกิจการค้าชนดิ ใดๆ กไ็ ด้ตามใจสมัคร ดงั นั้น การที่จำ� เลยจะโอนกรรมสทิ ธหิ์ อ้ งชุดพิพาท มสธ มสธแกโ่ จทกโ์ ดยมผี ลทำ� ใหโ้ จทกต์ อ้ งอยภู่ ายใตข้ อ้ บงั คบั นติ บิ คุ คลอาคารชดุ ใชห้ อ้ งชดุ พพิ าทเปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั และ ขายยาเทา่ นน้ั จงึ ไมอ่ าจถอื ไดว้ า่ จำ� เลยผดิ สญั ญา เพราะในการทเ่ี จา้ ของอาคารชดุ จดั ทำ� ขอ้ บงั คบั นติ บิ คุ คล อาคารชดุ เพอื่ จดทะเบยี นกอ่ ตงั้ นติ บิ คุ คลอาคารชดุ ตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั นิ นั้ กไ็ มม่ บี ทกฎหมายบญั ญตั วิ า่ จะตอ้ งไดร้ ับความยินยอมจากผู้จองหรอื ผู้ทำ� สญั ญาจะซ้ือหอ้ งชุดดว้ ย (4) ผู้ซ้ือตกลงท�ำสัญญาซ้ือขายที่ดินจากผู้ขายจ�ำนวนเนื้อที่แน่นอนคือ 100 ตารางวา โดยให้ ผซู้ อ้ื เขา้ ถอื กรรมสทิ ธร์ิ วม ตอ่ มาเมอื่ มกี ารขอแบง่ แยกทด่ี นิ ปรากฏวา่ ทดี่ นิ แปลงนน้ั เนอื้ ทข่ี าดไป 30 ตารางวา มสธผขู้ ายจะขอสง่ มอบลดลงตามสว่ นไมไ่ ด้ เพราะตามสญั ญาซอื้ ขายกำ� หนดเนอ้ื ทแ่ี นน่ อนมใิ ชก่ ำ� หนดตามสว่ น ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3952/2546 โจทก์และจ�ำเลยท�ำสัญญาตกลงซื้อขายที่ดินโดยให้โจทก์ เขา้ ถอื กรรมสทิ ธร์ิ วมเปน็ จำ� นวนเนอื้ ทแ่ี นน่ อนคอื 100 ตารางวา เมอ่ื โจทกแ์ ละจำ� เลยขอรงั วดั แบง่ กรรมสทิ ธ์ิ โดยแยกทด่ี นิ สว่ นของตนเองออกมา ปรากฏวา่ ทด่ี นิ พพิ าททง้ั แปลงขาดหายไป 30 ตารางวา จำ� เลยจะเอา เนอื้ ทที่ อ่ี า้ งวา่ ขาดหายไปมาหกั จากเนอ้ื ทด่ี นิ พพิ าททง้ั แปลงแลว้ แบง่ แยกทดี่ นิ ใหโ้ จทกต์ ามสว่ นในโฉนดหา มสธ มสธได้ไม่ โจทก์จึงมกี รรมสิทธร์ิ วมในทดี่ ินพิพาทจ�ำนวน 100 ตารางวา ตามที่ซอื้ ขายจรงิ 2. หลักในการส่งมอบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 362 กำ� หนดหลักในการส่งมอบไว้ ดงั น้ี มาตรา 462 “การส่งมอบนั้นจะท�ำอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้สุดแต่ว่าเป็นผลให้ทรัพย์สินนั้นไปอยู่ ในเงื้อมมือของผู้ซ้ือ” มสธตามบทบญั ญัตดิ ังกลา่ ว ผ้ขู ายมีหนา้ ทสี่ ง่ มอบทรพั ย์สินที่ขายนนั้ ให้อยู่ในเงอื้ มมอื ของผูซ้ ื้อ คำ� วา่ “เงื้อมมือ” มิได้หมายความว่าต้องน�ำทรัพย์สินท่ีขายน้ันใส่เข้าไปในอุ้งมือของผู้ซ้ือ แต่มีความหมายว่า กระทำ� การใดๆ ใหม้ ผี ลใหท้ รพั ยส์ นิ อยใู่ นความครอบครองหรอื ดแู ลหรอื สทิ ธสิ ทิ ธจิ ำ� หนา่ ยจา่ ยโอนของผซู้ อ้ื (at the disposal of the buyer)2 มสธ มสธการสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทขี่ ายใหแ้ กผ่ ซู้ อ้ื ตาม ป.พ.พ. มาตรา 461 และมาตรา 462 ดงั กลา่ ว เปน็ การ โอนไปซงึ่ การครอบครอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1378 นนั่ เอง และบทบญั ญตั ิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1379 และมาตรา 1380 กน็ ำ� มาใชบ้ ังคับกบั การโอนทรัพยส์ นิ ท่ีขายไดเ้ ช่นเดยี วกนั มสธ2 เรอื่ งเดียวกนั . หน้า 118-119.

สัญญาซ้ือขาย 2 4-9 ตัวอย่าง 1 มสธก. ยมื ชดุ สทู ของ ข. ใส่ไปงานเลีย้ ง ยงั ไมไ่ ด้สง่ มอบคืน แตเ่ ห็นว่าชุดสูทนนั้ สวมใสแ่ ลว้ ดดู มี ากจงึ ขอซอื้ ข. ตกลงขายให้ เชน่ นี้ การโอนการครอบครองจะทำ� เพยี งแสดงเจตนาได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1379 ก. ไม่จำ� ตอ้ งเอาชุดสูทน้นั คืนมากอ่ นแลว้ ท�ำการสง่ มอบใหมอ่ ีกแตอ่ ย่างใด ตัวอย่าง 2 มสธ มสธก. ตกลงขายรถยนต์ให้ ข. แล้ว แต่ขอยืมรถยนต์นัน้ ใชต้ อ่ ไปอกี 1 เดือน ในช่วงทหี่ าซอื้ รถยนต์ ใหม่ เชน่ น้ี การโอนการครอบครองรถยนตน์ นั้ ยอ่ มเปน็ ผลแลว้ เพยี งแต่ ก. ผขู้ าย แสดงเจตนาวา่ จะยดึ ถอื รถยนต์น้ันแทน ข. ผู้ซือ้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1380 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินท่ีขายให้อยู่ในเงื้อมมือของผู้ซื้อดังกล่าว มิใช่ เพียงแต่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิให้แก่ผู้ซ้ือเท่านั้น แต่ต้องมีการส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่ขาย ใหแ้ ก่ผู้ซือ้ โดยปราศจากการรบกวนขดั สิทธหิ รอื มกี ารแย่งการครอบครองอย่กู ่อนการสง่ มอบนั้น มสธอุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2516 หน้าที่ของจ�ำเลยผู้ขายท่ีดินและห้องแถว นอกจากจะต้องจด ทะเบยี นเพอื่ ใหก้ ารซอื้ ขายสมบรู ณ์ มผี ลใหก้ รรมสทิ ธใิ์ นทรพั ยส์ นิ โอนไปยงั โจทกผ์ ซู้ อ้ื แลว้ จำ� เลยยงั มหี นา้ ที่ ตอ้ งสง่ มอบทรพั ยน์ น้ั แกโ่ จทก์ โดยกระทำ� อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดอนั จะเปน็ ผลใหท้ รพั ยน์ น้ั ไปอยใู่ นเงอื้ มมอื ของ โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 461 และ 462 อกี ดว้ ย หาใชเ่ พียงแตจ่ ดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธใิ์ ห้แล้วก็ถือวา่ มสธ มสธผู้รับโอนได้เข้าครอบครองทรัพย์สินทีเดียวโดยไม่ต้องมีการส่งมอบกันอีกไม่ เมื่อมีการรบกวนขัดสิทธิ ปรากฏขนึ้ กอ่ นทจ่ี ะมกี ารโอนตอ่ กนั กย็ อ่ มเปน็ หนา้ ทขี่ องจำ� เลยผขู้ ายจะตอ้ งขจดั เหตนุ นั้ ใหห้ มดไปเสยี กอ่ น จะบังคับให้โจทก์รับโอนไปทั้งๆ ท่ีการรบกวนขัดสิทธิดังกล่าวยังมีอยู่ไม่ได้ แม้จ�ำเลยจะยอมจดทะเบียน โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยท์ ี่ซื้อขายกนั ให้แก่โจทก์ แตเ่ ม่อื จ�ำเลยปฏิเสธหน้าทีใ่ นการสง่ มอบทรพั ยน์ น้ั โจทก์ ย่อมมีสิทธิท่จี ะยงั ไมย่ อมรบั โอนได้ และถอื ว่าจำ� เลยเปน็ ฝ่ายผดิ สัญญา มสธ3. การส่งมอบซ่ึงอยู่ห่างโดยระยะทาง การสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทข่ี ายซงึ่ อยหู่ า่ งโดยระยะทาง มบี ญั ญัตไิ ว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 463 ดังน้ี มาตรา 463 “ถ้าในสัญญาก�ำหนดว่าให้ส่งทรัพย์สินซ่ึงขายนั้นจากที่แห่งหน่ึงไปถึงอีกแห่งหนึ่ง ไซร้ ท่านว่าการส่งมอบย่อมส�ำเร็จเมื่อได้ส่งมอบทรัพย์สินน้ันให้แก่ผู้ขนส่ง” มสธ มสธตามบทบัญญัติดังกล่าว หากในสัญญาซื้อขายมีข้อตกลงให้ส่งทรัพย์สินที่ขายนั้นจากท่ีแห่งหน่ึง ไปถึงอีกแห่งหนึ่ง หรืออยู่ห่างโดยระยะทางนั้น การส่งมอบย่อมส�ำเร็จเม่ือได้ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ ผู้ขนสง่ ค�ำว่า “ผ้ขู นส่ง” ยอ่ มหมายถงึ บคุ คลผรู้ บั ขนสง่ ของ เพอ่ื บำ� เหนจ็ เป็นทางคา้ ปกติของตน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 608 มิใช่เป็นบุคคลทั่วไปท่ีรับจ้างขนของอันเป็นจ้างท�ำของ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 มสธซึง่ จะถอื ว่าการสง่ มอบยงั ไมส่ ำ� เร็จเม่ือได้ส่งมอบทรพั ย์สนิ น้นั แก่ผรู้ ับจา้ งขนของที่มิใชผ่ ูข้ นส่งดังกล่าว

4-10 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซ้อื ขาย เช่าทรัพย์ เช่าซอื้ อุทาหรณ์ มสธค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2492 ท�ำสัญญาซือ้ ขา้ วสารกัน 230 กระสอบท่จี ังหวัดเพชรบุรี ตกลง ใหส้ ง่ ทางรถไฟไปใหผ้ ซู้ อ้ื ทจ่ี งั หวดั ชมุ พร ผขู้ ายไดส้ ง่ ขา้ วสารไปใหผ้ ซู้ อ้ื 1 ตู้ 115 กระสอบ ตอ่ มาทางรถไฟ ช�ำรุด ผู้ซ้ือตกลงให้ผู้ขายส่งข้าวท่ียังเหลืออยู่ทางเรือ ผู้ขายได้จัดการจ้างเรือบรรทุกส่งไปให้ผู้ซื้อแล้ว ปรากฏว่าข้าวสารส่งไปไม่ถึงมือผู้ซ้ือ ดังน้ี ผู้ขายคงมีหน้าท่ีต้องรับผิดต่อผู้ซื้อตามเดิม เพราะผู้รับจ้าง มสธ มสธบรรทุกนั้น มใิ ชผ่ ขู้ นส่งตามความหมายใน ป.พ.พ. มาตรา 463 ประกอบมาตรา 608 หากมีข้อก�ำหนดในสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 463 ดังกล่าว การส่งมอบย่อมส�ำเร็จเม่ือผู้ขาย ได้ส่งมอบทรัพยส์ นิ นนั้ ให้แก่ผ้ขู นส่ง ตัวอย่าง ก. อยู่ทกี่ รุงเทพมหานคร ตกลงซ้อื ตไู้ ม้สกั จาก ข. ซง่ึ อยู่ท่ีจงั หวดั แพร่ โดยก�ำหนดให้ ข. สง่ ต้ไู ม้ สักนั้นจากแพร่ไปยังกรุงเทพมหานคร เช่นน้ีการส่งมอบย่อมส�ำเร็จ เม่ือ ข. ได้ส่งมอบตู้ไม้สักน้ันให้แก่ มสธบรษิ ทั ขนสง่ ที่จงั หวัดแพรเ่ รียบร้อยแล้ว อย่างไรกด็ ี บทบญั ญตั ติ าม ป.พ.พ. มาตรา 463 ดงั กล่าว มใิ ชบ่ ทบญั ญตั ิอนั เกยี่ วกับความสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งคู่สัญญาอาจตกลงกันเป็นอย่างอ่ืนได้ แต่หากเป็นกรณีไม่มี ข้อตกลงกัน ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติท่ัวไปในเร่ืองการช�ำระหน้ี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 324 กล่าวคือ เม่ือมิได้มีเจตนาแสดงไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะช�ำระหนี้กัน ณ สถานที่ใด หากเป็นการส่งมอบทรัพย์ มสธ มสธเฉพาะสง่ิ ตอ้ งสง่ มอบกัน ณ สถานที่ซงึ่ ทรัพย์นนั้ ได้อยู่ในเวลาเม่ือกอ่ ให้เกดิ หน้ีนั้น สว่ นการช�ำระหน้โี ดย ประการอ่ืน ตอ้ งช�ำระ ณ สถานทอ่ี ันเป็นภูมลิ �ำเนาของเจ้าหนี้ ซงึ่ กค็ ือภมู ลิ ำ� เนาของผูซ้ อ้ื นนั่ เอง อนึ่ง การส่งมอบทรัพย์สินบางประเภท ไม่จ�ำต้องส่งมอบตัวทรัพย์สินท่ีขาย เพียงแต่สลักหลัง ตราสารนน้ั ให้แกผ่ ู้ซอื้ ก็เป็นการเพยี งพอแล้ว เชน่ สลกั หลักใบตราส่ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 614 สลักหลัง ใบรบั ของคลงั สินคา้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 776 เป็นต้น3 ข้อสังเกต มสธการส่งมอบทรัพย์สินซ่ึงขายจากท่ีแห่งหนึ่งไปถึงอีกแห่งหน่ึงดังกล่าว กฎหมายก�ำหนดว่า การส่งมอบย่อมส�ำเร็จเมื่อได้ส่งมอบทรัพย์น้ันให้แก่ผู้ขนส่งเท่ากับหน้าที่ของผู้ขายสิ้นสุดลง ฉะนั้น กรณี ภยั พบิ ตั เิ กดิ ขน้ึ ในระหวา่ งการขนสง่ หากมใิ ชเ่ กดิ จากความผดิ ของผขู้ ายแลว้ ผขู้ ายยอ่ มพน้ จากความรบั ผดิ และหากเปน็ เหตสุ ดุ วสิ ยั ผขู้ นสง่ ยอ่ มหลดุ พน้ จากความรบั ผดิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 616 เชน่ นี้ ความเสยี หาย อนั เกิดจากภยั พิบัติดงั กล่าว ยอ่ มตกเปน็ พับแกผ่ ซู้ ื้อ มสธ มสธ4. การส่งมอบขาดตกบกพร่อง หรือล�้ำจ�ำนวน ในเรอื่ งการสง่ มอบขาดตกบกพรอ่ งหรอื ลำ�้ จำ� นวนนี้ จะไดจ้ ำ� แนกอธบิ ายเปน็ 2 หวั ขอ้ คอื (1) การ ส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือล้�ำจ�ำนวนกรณีสังหาริมทรัพย์ และ (2) การส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือล้�ำ จ�ำนวนกรณอี สังหารมิ ทรัพย์ มสธ3 เรอ่ื งเดยี วกัน. หน้า 120.

สัญญาซือ้ ขาย 2 4-11 4.1 การสง่ มอบขาดตกบกพรอ่ งหรอื ลำ้� จำ� นวนกรณสี งั หารมิ ทรพั ย์ มบี ญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา มสธ465 ดังนี้ มาตรา 465 “ในการซ้ือขายสังหาริมทรัพย์น้ัน (1) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซ้ือจะปัดเสียไม่ รับเอาเลยก็ได้ แต่ถ้าผู้ซ้ือรับเอาทรัพย์สินน้ันไว้ ผู้ซ้ือก็ต้องใช้ราคาตามส่วน มสธ มสธ(2) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินมากกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะรับเอา ทรัพย์สนิ น้ันไวแ้ ตเ่ พยี งตามสญั ญาและนอกกว่านน้ั ปดั เสยี ก็ได้ หรอื จะปัดเสยี ท้งั หมดไมร่ บั เอาไวเ้ ลยกไ็ ด้ ถ้าผู้ซ้ือรับเอาทรัพย์สินอันเขาส่งมอบเช่นนั้นไว้ท้ังหมด ผู้ซ้ือก็ต้องใช้ราคาตามส่วน (3) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นอัน มิได้รวมอยู่ในข้อสัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซ้ือจะรับเอาทรัพย์สินไว้แต่ตามสัญญา และนอกกว่านั้นปัดเสียก็ได้ หรือจะปัดเสียทั้งหมดก็ได้” มสธตามบทบญั ญัติดงั กลา่ ว อาจจ�ำแนกไดเ้ ป็น 3 กรณี ดังนี้ 4.1.1 กรณีผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยกว่าที่มอบในสัญญา ผู้ซ้ือมีสิทธิเลือกอย่างหน่ึง อยา่ งใดใน 2 ประการ คอื (1) ปดั ไมร่ ับเอาเลย หรือ (2) รับเอาทรัพยส์ นิ นัน้ ไวแ้ ละใชร้ าคาตามส่วน มสธ มสธตัวอย่าง ก. ตกลงซอ้ื ขา้ วหอมมะลจิ าก ข. ถงุ ละ 500 บาท จำ� นวน 100 ถงุ คดิ เปน็ เงนิ 50,000 บาท แต่ ข. สง่ มอบมาเพยี ง 80 ถงุ เช่นน้ี ก. บอกปัดไมร่ ับเอาไว้เลย หรอื จะรับเอาขา้ วหอมมะลิ 80 ถงุ น้ันไว้ และใชร้ าคาตามสว่ น คอื 40,000 บาท ก็ได้ 4.1.2 กรณผี ขู้ ายสง่ มอบทรพั ยส์ นิ มากกวา่ ทไ่ี ดส้ ญั ญาไว้ ผซู้ อ้ื มสี ทิ ธเิ ลอื กอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใด ใน 3 ประการ คอื มสธ(1) ปดั เสียทง้ั หมดไมร่ ับเอาไวเ้ ลย (2) รบั ไวแ้ ต่เพียงตามสญั ญา นอกกว่าน้ันปัดเสยี หรือ (3) รับเอาทรัพยส์ นิ นั้นไวท้ งั้ หมด และใช้ราคาตามสว่ น ตัวอย่าง ก. ตกลงซ้อื ข้าวหอมมะลิจาก ข. ถงุ ละ 500 บาท จ�ำนวน 100 ถุง แต่ ข. สง่ มอบมา มสธ มสธถึง 120 ถุง เช่นน้ี ก. จะบอกปัดเสียท้ังหมดไม่รับเอาไว้เลย หรือจะรับไว้แต่เพียงตามสัญญา 100 ถุง ท่ีเกนิ มา 20 ถงุ ปัดเสียได้หรือจะรบั เอาไว้ท้ังหมด และใชร้ าคาตามส่วน คอื 60,000 บาทก็ได้ 4.1.3 กรณีผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามท่ีได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นอันมิได้ รวมอยู่ในขอ้ สัญญา ผซู้ ้ือมสี ทิ ธเิ ลอื กอย่างหน่งึ อยา่ งใดใน 2 ประการ คือ (1) รับเอาทรัพย์สินไว้แตต่ ามสญั ญา นอกกวา่ นน้ั ปดั เสยี หรอื มสธ(2) ปัดเสยี ทง้ั หมด

4-12 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซอ้ื ขาย เช่าทรพั ย์ เชา่ ซื้อ ตัวอย่าง มสธก. ตกลงซื้อข้าวหอมมะลจิ าก ข. ถงุ ละ 500 บาท จ�ำนวน 100 ถงุ แต่ ข. สง่ มอบ ขา้ วหอมมะลมิ า 100 ถงุ ตามสัญญา และไดส้ ่งมอบขา้ วหอมพเิ ศษรวมมาด้วยอกี 20 ถุง เช่นนี้ ก. จะรบั ขา้ วหอมมะลจิ �ำนวน 100 ถงุ ตามสัญญา ส่วนขา้ วหอมมะลพิ เิ ศษท่ีระคนมา 20 ถงุ นั้น จะปัดเสยี หรือจะ ปดั เสียทัง้ หมดก็ได้ มสธ มสธข้อสังเกต 1) กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 465(3) ที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาระคนกับ ทรัพย์สินอยา่ งอนื่ กฎหมายมไิ ด้ใหส้ ทิ ธิผ้ซู อื้ รับไว้ทั้งหมด เพราะทรัพย์สนิ อยา่ งอ่ืนท่รี ะคนมายังไมร่ รู้ าคา ที่แน่นอน จะต้องตกลงกันเสียก่อน มิฉะน้ันอาจเกิดปัญหาข้อยุ่งยากในภายหลัง กฎหมายจึงไม่ให้สิทธิ ผู้ซอื้ รับไว้ทง้ั หมดดงั กลา่ ว 2) การส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือล้�ำจ�ำนวน กรณีสังหาริมทรัพย์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา มสธ465 ดังกลา่ ว รวมสงั หาริมทรพั ยท์ กุ ชนดิ ทัง้ สงั หาริมทรัพย์ธรรมดาและสงั หารมิ ทรพั ยช์ นดิ พิเศษ ก็อยู่ใน บังคับของบทบัญญตั ดิ ังกลา่ วท้งั สิ้น มปี ญั หาวา่ หากคสู่ ญั ญาตกลงกนั วา่ หากผขู้ ายสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ขาดบกพรอ่ งหรอื ลำ�้ จำ� นวน ไปเป็นจ�ำนวนเท่าใดให้คิดราคาตามส่วน ข้อตกลงดังกล่าวจะใช้บังคับได้หรือไม่ ผู้เขียนมีความเห็นว่า บทบญั ญตั ติ าม ป.พ.พ. มาตรา 465 ดังกล่าว มใิ ชบ่ ทบัญญตั เิ กย่ี วด้วยความสงบเรยี บร้อยหรอื ศลี ธรรม มสธ มสธอนั ดขี องประชาชน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 คกู่ รณจี งึ ตกลงกนั เปน็ การแตกตา่ งกบั บทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 151 อยา่ งไรกต็ าม แมม้ ขี อ้ ตกลงดงั กลา่ วกม็ ไิ ดห้ มายความวา่ ผขู้ ายจะสง่ มอบเทา่ ใด กไ็ ดต้ ามใจชอบ ตอ้ งตคี วามสญั ญาใหเ้ ปน็ ไปตามความประสงคข์ องคสู่ ญั ญาในทางสจุ รติ ดว้ ย เมอ่ื ขาดหรอื ลำ�้ จำ� นวนถงึ ขนาดซง่ึ หากผซู้ อ้ื ไดท้ ราบกอ่ นแลว้ คงจะมเิ ขา้ ทำ� สญั ญานนั้ ผซู้ อื้ มสี ทิ ธขิ อเลกิ สญั ญาได้4 แมว้ า่ ป.พ.พ. มาตรา 365 จะมไิ ดม้ บี ทบญั ญัตเิ ช่นว่าน้นั ซึง่ มีบทบญั ญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง ก็ตาม ก็ถอื ว่าผ้ขู ายใชส้ ทิ ธิโดยไม่สจุ ริต ขดั ต่อหลกั การใช้สทิ ธิโดยสุจรติ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 มสธ4.2 การส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือล้�ำจ�ำนวน กรณีอสังหาริมทรัพย์ มีบัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 466 ดงั นี้ มาตรา 466 “ในการซอ้ื ขายอสงั หารมิ ทรพั ยน์ นั้ หากวา่ ไดร้ ะบจุ ำ� นวนเนอื้ ทท่ี ง้ั หมดไว้ และ ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยหรือมากไปกว่าท่ีได้สัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะปัดเสีย หรือจะรับเอาไว้และ ใช้ราคาตามส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก มสธ มสธอน่ึง ถ้าขาดตกบกพร่องหรือล้�ำจ�ำนวนไม่เกินกว่าร้อยละห้าแห่งเน้ือที่ทั้งหมดอันได้ระบุ ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจ�ำต้องรับเอาและใช้ราคาตามส่วนแต่ว่าผู้ซ้ืออาจจะเลิกสัญญาเสียได้ในเม่ือขาด ตกบกพร่องหรือล�้ำจ�ำนวนถึงขนาดซึ่งหากผู้ซ้ือได้ทราบก่อนแล้วคงจะมิได้เข้าท�ำสัญญานั้น” มสธ4 เทยี บค�ำพพิ ากษาศาลฎีกา 975/2543

สัญญาซื้อขาย 2 4-13 บทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว ใชค้ ำ� วา่ ในการซอ้ื ขายอสงั หารมิ ทรพั ยน์ นั้ หากวา่ ได้ “ระบจุ ำ� นวนเนอ้ื ที่ มสธทงั้ หมดไว้ นนั่ แสดงวา่ จะตอ้ งเปน็ อสงั หารมิ ทรพั ยท์ ร่ี ะบจุ ำ� นวนเนอื้ ทไ่ี ด้ อสงั หารมิ ทรพั ยท์ ไ่ี มอ่ าจระบจุ ำ� นวน เน้อื ทไ่ี ด้ย่อมไมอ่ ย่ใู นบงั คบั ของ ป.พ.พ. มาตรา 466 นี้ เชน่ ก. ซื้อต้นมะขามหวาน 100 ต้น ของ ข. โดย เจตนาซ้ืออย่างอสังหาริมทรัพย์ และซื้อเฉพาะต้นมะขามหวานมิได้ซ้ือที่ดิน แต่จะจดทะเบียนสิทธิเหนือ พนื้ ดนิ ในทด่ี ินของ ข. ดงั กล่าว ดังนี้ ตน้ มะขามหวานแม้จะเป็นอสงั หารมิ ทรัพย์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 139 มสธ มสธแตเ่ ป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่อาจระบจุ ำ� นวนเนื้อทีไ่ ด้ จงึ ไมอ่ ย่ใู นบงั คบั ของ ป.พ.พ. มาตรา 466 ดังกล่าว อย่างไรกด็ ี อสังหาริมทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 ดังกล่าว ไมจ่ �ำกัดวา่ จะตอ้ งเป็นทีด่ นิ เทา่ นนั้ อสงั หารมิ ทรพั ยอ์ ยา่ งอนื่ ทอี่ าจระบจุ ำ� นวนเนอ้ื ทไ่ี ด้ ยอ่ มอยใู่ นบงั คบั ของบทบญั ญตั นิ ้ี เชน่ หอ้ งชดุ 5 โรงเรอื น อาคารหรอื สงิ่ ปลูกสร้างอย่างอื่น เปน็ ต้น การสง่ มอบอสงั หารมิ ทรพั ยข์ าดตกบกพรอ่ งหรอื ลำ้� จำ� นวน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 ดงั กลา่ ว อาจจ�ำแนกได้เป็น 3 กรณี ดังต่อไปน้ี (1) การส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้�ำจ�ำนวน มสธไมเ่ กนิ รอ้ ยละ 5 (2) การสง่ มอบอสงั หาริมทรัพย์ขาดตกบกพรอ่ งหรือลำ�้ จำ� นวนไม่เกินกว่ารอ้ ยละ 5 และ (3) การส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้�ำจ�ำนวนถึงขนาดซ่ึงหากผู้ซื้อได้ทราบอยู่ก่อนแล้ว คงจะมเิ ขา้ สญั ญานน้ั 4.2.1 การส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล�ำ้ จำ� นวนไม่เกินกว่ารอ้ ยละ 5 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคสอง ตอนแรก ผซู้ ้อื จะตอ้ งรับไวแ้ ละใช้ราคาตามสว่ น มสธ มสธตวั อยา่ง ก. ตกลงทำ� สญั ญาจะซอื้ จะขายทดี่ นิ แปลงหนง่ึ จาก ข. จำ� นวนเนอื้ ที่ 100 ตารางวา ราคาตาราง วาละ 5,000 บาท ปรากฏวา่ เมือ่ รงั วดั ทด่ี ินเพอื่ ส่งมอบ ทดี่ นิ นั้นมีเนือ้ ที่ 105 ตารางวา เชน่ น้ี ก. ตอ้ งรบั ไว้และใชร้ าคาตามส่วน เพราะล้ำ� จำ� นวนไมเ่ กินกวา่ รอ้ ยละ 5 อยา่ งไรกต็ าม มคี ำ� พพิ ากษาศาลคำ� พพิ ากษาศาลฎกี ากาวนิ จิ ฉยั วา่ ผขู้ ายหอ้ งชดุ ไมต่ อ้ งลด ราคาลงตามสว่ น แม้พื้นท่ขี องหอ้ งชุดที่สง่ มอบจะน้อยกว่าที่ระบุไวใ้ นสญั ญา ดงั น้ี มสธค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5845/2545 ตารางราคาท่ีตัวแทนของจ�ำเลยน�ำออกเผยแพร่ในชั้น โฆษณาจำ� หนา่ ยหอ้ งชดุ คดิ ราคาหอ้ งชดุ ในอตั ราหนง่ึ แตต่ ามสญั ญาจะซอื้ จะขายอาคารชดุ มขี อ้ ความระบวุ า่ “ขอ้ ความในเอกสารหรอื คำ� โฆษณาอนื่ ใดทมี่ มี ากอ่ นการทำ� สญั ญานย้ี อ่ มไมผ่ กู พนั ผจู้ ะขาย คสู่ ญั ญาทงั้ สอง ฝ่ายตกลงให้ยึดถือข้อความและเอกสารตามสัญญาน้ีเป็นข้อปฏิบัติต่อกันทุกประการ” แสดงให้เห็นว่า คู่สัญญามีเจตนาจะซื้อจะขายกันตามแบบแปลนเอกสารแนบท้ายสัญญาเป็นส�ำคัญ ดังน้ัน หากจ�ำเลย มสธ มสธก่อสร้างห้องชุดมีลักษณะและขนาดกว้างยาวเท่ากับที่ระบุไว้ในแบบแปลนท้ายสัญญาแล้วจะถือว่าจ�ำเลย ไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญาไมไ่ ด้ แมพ้ น้ื ทขี่ องหอ้ งชดุ จะมากกวา่ หรอื นอ้ ยกวา่ ตามทรี่ ะบไุ วใ้ นสญั ญา โจทกห์ รอื จ�ำเลยกไ็ ม่มีสทิ ธิคิดเงนิ เพ่ิมขน้ึ หรือลดลง มสธ5 ค�ำพิพากษาศาลฎกี า 975/2543, 225/2545

4-14 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซอ้ื ขาย เชา่ ทรัพย์ เช่าซือ้ คดีดงั กลา่ ว ตามสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชดุ มขี ้อความระบุวา่ “ข้อความในเอกสารหรือ มสธค�ำโฆษณาอ่ืนใดที่มีมาก่อนการท�ำสัญญาน้ีย่อมไม่ผูกพันผู้จะขาย คู่สัญญาท้ังสองฝ่ายตกลงให้ยึดถือ ข้อความและเอกสารตามสัญญาน้ีเป็นข้อปฏิบัติทุกประการ” ผู้เขียนเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวขัดต่อ บทบัญญัติว่าด้วยการขายตามค�ำพรรณนา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 503 วรรคสอง “ในการขายตาม ค�ำพรรณนา ผู้ขายจ�ำต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ตรงตามค�ำพรรณนา” ซง่ึ ผ้เู ขียนเห็นว่าบทบญั ญัติดังกลา่ ว มสธ มสธเปน็ มาตรการสำ� คญั ในการคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภค ไมใ่ หผ้ ปู้ ระกอบการโฆษณาเกนิ จรงิ หรอื โฆษณาดว้ ยขอ้ ความ อนั เปน็ เทจ็ ฉ้อฉล หรือหลอกลวงผูบ้ ริโภค จึงเป็นบทกฎหมายเก่ียวดว้ ยความสงบเรียบรอ้ ยและศลี ธรรม อันดีของประชาชน คู่กรณตี กลงยกเว้นมไิ ด้ คดนี ี้ผูป้ ระกอบการคำ� นวณพนื้ ที่โดยไม่หกั ส่วนทีเ่ ป็นเสาและ ผนังบางส่วนออกไป ซ่ึงขัดต่อแนวทางปฏิบัติของกรมท่ีดิน แม้แนวปฏิบัติดังกล่าวจะออกมาในภายหลัง แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าวิธีการค�ำนวณของผู้ประกอบการเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค กรมที่ดินจึงออกแนว ปฏิบัติห้ามการค�ำนวณเช่นน้ัน โดยความเคารพต่อค�ำพิพากษาศาลฎีกา ตามเหตุผลดังกล่าว ผู้เขียน มสธจงึ เหน็ วา่ ผขู้ ายตอ้ งลดราคาลงตามส่วน ตามอตั ราราคาต่อตารางเมตรที่ได้โฆษณาไว้ 4.2.2 การส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล�้ำจ�ำนวนเกินกว่าร้อยละ 5 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคแรก ผู้ซือ้ มสี ทิ ธเิ ลอื กอยา่ งหนึ่งอยา่ งใดใน 2 ประการ คอื (1) ปดั เสีย หรือ (2) รับเอาไวแ้ ละใช้ราคาตามสว่ น มสธ มสธอุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 12696/2558 โจทกแ์ ละจำ� เลยทง้ั สองตกลงซอ้ื ขายทดี่ นิ กนั โดย ระบเุ น้อื ท่ีทัง้ หมดไว้ 12 ไร่ 1 งาน 30 ตารางวา ตามส�ำเนาโฉนดท่ีดินซงึ่ ถือเปน็ สว่ นหนงึ่ ของสญั ญา แต่ ทด่ี นิ มีเนอ้ื ทจ่ี ริงเพียง 10 ไร่ 80.7 ตารางวา เปน็ กรณีทจ่ี �ำเลยทั้งสามผูข้ ายส่งมอบท่ดี นิ น้อยไปกว่าทีร่ ะบุ ในสญั ญาซ่ึงไม่เกนิ กว่ารอ้ ยละ 5 แห่งเน้อื ทที่ งั้ หมดอนั ไดร้ ะบุไว้ โจทกจ์ ะบอกปดั เสียหรอื จะรับเอาไวแ้ ละ ใช้ราคาตามส่วนกไ็ ดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 466 เม่ือโจทกเ์ ลอื กรับทีด่ นิ ไว้ จำ� เลยทั้งสามจึงต้องคืนเงินค่าที่ มสธดินส่วนท่ีรับไว้เกินให้แก่โจทก์โดยคิดเฉลี่ยจากเนื้อที่ที่ดินที่ซ้ือขายกัน ซ่ึงตกตารางวาละ 75,000 บาท เน้ือที่ดนิ ขาดไป 2 ไร่ 49.3 ตารางวา เท่ากับ 849.3 ตารางวา คิดเป็นเงนิ 63,697,500 บาท ซึ่งโจทก์ ทวงถามใหจ้ �ำเลยทัง้ สามช�ำระแลว้ แตจ่ ำ� เลยทงั้ สามเพกิ เฉย จงึ ตอ้ งรับผิดต่อโจทกพ์ ร้อมดว้ ยดอกเบีย้ ข้อสังเกต (1) ซื้อที่ดินก�ำหนดจ�ำนวนเน้ือท่ีแน่นอนโดยคิดราคาเหมา มิใช่ซ้ือเหมาจ�ำนวน มสธ มสธเนอ้ื ทีด่ ิน เม่อื สง่ มอบทด่ี ินมเี นอื้ ที่จรงิ ขาดเกนิ กว่าร้อยละ 5 ผ้ซู อื้ มสี ทิ ธบิ อกปัดและเลกิ สญั ญาได้ อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10698/2546 สญั ญาจะซอ้ื จะขายทด่ี นิ พพิ าทระบวุ า่ “ผจู้ ะขาย ตกลงขายและผู้จะซื้อตกลงซ้ือท่ีดินในราคาเหมาทั้งส้ิน 1,900,000 บาท...” ย่อมแปลเจตนาของคู่สัญญา ไดว้ า่ เปน็ การตกลงจะซอื้ จะขายทดี่ นิ จำ� นวนเนอื้ ทที่ แ่ี นน่ อนตามทร่ี ะบไุ วใ้ นหนงั สอื รบั รองการทำ� ประโยชน์ ในราคาเหมาจำ� นวนเนอ้ื ทค่ี ือ 1 ไร่ 40 ตารางวา โดยคดิ ราคาเหมารวม 1,900,000 บาท ไม่ไดค้ ดิ ราคา มสธต่อตารางวา กรณจี งึ ไม่ใช่การซอื้ ขายทดี่ นิ โดยมีเจตนาซือ้ ขายกันทงั้ แปลงโดยไม่ค�ำนึงถงึ จำ� นวนทดี่ นิ และ

สัญญาซอ้ื ขาย 2 4-15 คิดราคาเหมา เมื่อการรังวัดท่ีดินปรากฏว่าท่ีดินจ�ำนวนขาดไป 68 ตารางวา คิดเป็นอัตราส่วนท่ีขาดไป มสธประมาณร้อยละ 15.35 ของจ�ำนวนที่ดินตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายท่ีดิน กรณีจึงต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคหน่งึ ท่โี จทกผ์ ซู้ อ้ื จะปัดเสยี ได้ เมอ่ื โจทก์ไดใ้ ช้สทิ ธบิ อกปัดไมซ่ อื้ และเลกิ สญั ญาซื้อขาย แกจ่ �ำเลย จำ� เลยจงึ ตอ้ งคนื เงนิ มดั จ�ำและเงินคา่ ท่ดี ินท่โี จทกช์ �ำระให้คืนแกโ่ จทก์พรอ้ มดอกเบ้ยี (2) การซือ้ ทด่ี ินระบจุ ำ� นวนเนือ้ ทแี่ นน่ อน คิดราคาตอ่ ไรแ่ ตร่ ะบเุ ป็นราคารวมทั้งหมด มสธ มสธไว้ มใิ ช่คดิ ราคาเหมา เมอ่ื ผู้ขายส่งมอบที่ดนิ ขาดไปเกนิ กวา่ ร้อยละ 5 แต่ผซู้ ื้อรบั เอาไว้ ผขู้ ายตอ้ งลดราคา ลงตามสว่ น อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6883/2539 สญั ญาจะซอ้ื จะขายทดี่ นิ และสญั ญาซอื้ ขายทดี่ นิ ได้ ระบไุ วว้ ่า โจทก์ซอ้ื ทด่ี นิ มี น.ส.3 จากจำ� เลยทงั้ สอง เนอื้ ท่ี 14 ไร่ จำ� เลยจงึ มหี นา้ ทต่ี อ้ งสง่ มอบทด่ี นิ ใหโ้ จทก์ จำ� นวน 14 ไรต่ ามสัญญา ในสัญญาจะซื้อจะขายระบุว่าราคาไร่ละ 300,000 บาท แม้ในสัญญาซ้ือขาย มสธไม่ได้ระบุราคาไร่ละ แต่จะระบุราคารวมเป็นเงิน 4,200,000 บาท ก็ไม่เป็นการซ้ือขายเหมาท้ังแปลง ส่วนที่ดินท่ีจ�ำเลยส่งมอบแก่โจทก์จะมีจ�ำนวนเนื้อท่ีมากหรือน้อยไปกว่าสัญญาเท่าใด และผู้ซื้อผู้ขายจะมี สิทธิและหน้าท่ีอย่างไร คู่กรณีไม่ต้องก�ำหนดเป็นเง่ือนไขไว้ในสัญญา และไม่ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่บริการ งานท่ีดินทราบในเวลาจดทะเบียนโอน เพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งตามมาตรา 466 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เม่ือเนื้อท่ีดินตาม น.ส. 3 ก. ท่ีจ�ำเลยส่งมอบแก่โจทก์ มีเน้ือท่ี มสธ มสธ9 ไร่ 3 งาน 91 ตารางวา น้อยไปกว่าทีโ่ จทก์ตกลงซื้อตามสญั ญา 4 ไร่ 9 ตารางวา คดีของโจทกจ์ ึงตอ้ ง บงั คบั ตามบทบญั ญตั มิ าตราดงั กลา่ ว จำ� เลยตอ้ งคนื เงนิ คา่ ทด่ี นิ จำ� นวน 4 ไร่ 9 ตารางวา เปน็ เงนิ 1,206,750 บาท แกโ่ จทก์ (3) แม้สัญญาจะซ้ือจะขายก�ำหนดเนื้อที่โดยประมาณไว้ เม่ือรังวัดแล้วเน้ือท่ีดินขาด ไปเกนิ กวา่ รอ้ ยละ 5 ผซู้ อื้ กม็ สี ทิ ธบิ อกปดั หรอื รบั เอาไวแ้ ละใชร้ าคาตามสว่ นได้ แตจ่ ะบงั คบั ใหผ้ ขู้ ายสง่ มอบ ให้ครบถว้ นไม่ได้ มสธอุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3995/2533 โจทก์จ�ำเลยตกลงซื้อที่ดินกัน โดยก�ำหนดเนื้อท่ี โดยประมาณ เพราะจะตอ้ งมกี ารรงั วดั ออกโฉนดกนั ตามสญั ญาอกี ครงั้ จงึ จะไดเ้ นอื้ ทดี่ นิ ทแี่ นน่ อน เมอื่ รงั วดั แลว้ ไดเ้ นอ้ื ทข่ี าดไปจากทป่ี ระมาณไว้ โจทกผ์ จู้ ะซอ้ื จะรบั เอาหรอื ปดั เสยี กไ็ ดเ้ มอ่ื โจทกเ์ ลอื กจะรบั เอาไว้ และ ใชร้ าคาตามสว่ น แมค้ �ำขอท้ายฟอ้ งของโจทก์ขอศาลบงั คบั ใหจ้ �ำเลยแบ่งแยกทด่ี นิ ให้ไดเ้ นื้อท่ี 156 ตาราง มสธ มสธวา และไปด�ำเนินการออกโฉนดใหม่ให้ได้เนื้อท่ี 156 ตารางวา แต่เมื่อสัญญาจะซ้ือจะขายตามฟ้องเพียง ประมาณเนอื้ ทไ่ี วเ้ ทา่ นนั้ ศาลมอี ำ� นาจพพิ ากษาใหโ้ จทกไ์ ดร้ บั โอนกรรมสทิ ธท์ิ ดี่ นิ เนอื้ ท่ี 127 ตารางวา ตาม จำ� นวนซึ่งรังวัดสอบเขตได้ (4) แม้ตามสัญญาจะซ้ือจะขายได้ระบุเนื้อท่ีแน่นอนตามโฉนดที่ดิน แต่มีบันทึก เพมิ่ เตมิ ในหมายเหตวุ า่ ใหค้ ดิ ราคาตามเนอื้ ทดี่ นิ ทรี่ งั วดั ใหม่ เปน็ การแสดงเจตนาวา่ ซอื้ ขายกนั ตามจำ� นวน มสธเน้ือทด่ี ินจรงิ เม่ือรังวัดแล้วเน้ือท่ีดนิ ขาดไปเกนิ กวา่ รอ้ ยละ 5 ผซู้ อื้ ก็ไม่อาจใชส้ ิทธิเลกิ สญั ญาได้

4-16 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซ้อื ขาย เชา่ ทรัพย์ เชา่ ซ้อื อุทาหรณ์ มสธค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4390/2547 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 สัญญาซ้ือขาย อสงั หารมิ ทรพั ยโ์ ดยระบจุ ำ� นวนเนอื้ ทไ่ี วห้ ากผขู้ ายสง่ มอบทรพั ยส์ นิ นอ้ ยกวา่ หรอื มากกวา่ เกนิ รอ้ ยละหา้ ของ จ�ำนวนเนอื้ ทที่ ีร่ ะบไุ วใ้ นสัญญาซ้อื ขาย ผซู้ อ้ื มีสิทธบิ อกเลิกสัญญาซือ้ ขายหรอื รบั เอาไวโ้ ดยช�ำระราคาตาม สว่ นกไ็ ด้ เมอ่ื สญั ญาจะซอื้ จะขายทด่ี นิ พพิ าท แมต้ อนแรกจะระบเุ นอื้ ทด่ี นิ ทจ่ี ะซอ้ื จะขายกนั มเี นอ้ื ทแี่ นน่ อน มสธ มสธแต่ได้มีการบันทึกเพ่ิมเติมในหมายเหตุว่า ผู้จะขายจะต้องท�ำการรังวัดสอบเขตใหม่ ได้เน้ือท่ีจริงเท่าใด ให้คิดกนั ตามเน้ือท่ที ร่ี งั วัดไดใ้ หม่ ถา้ ไดเ้ น้ือท่ีมากหรอื น้อยกว่าในโฉนดท่คี ิดในราคาไรล่ ะ 350,000 บาท ซงึ่ เปน็ การจะซอ้ื จะขายทด่ี นิ คดิ ตามราคาเนอ้ื ทท่ี ร่ี งั วดั ไดจ้ รงิ มใิ ชก่ ารจะซอื้ จะขายทดี่ นิ ทร่ี ะบจุ ำ� นวนเนอื้ ทด่ี นิ ไวต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 466 แมร้ งั วดั ทดี่ นิ พพิ าทแลว้ จะมเี นอ้ื ทน่ี อ้ ยกวา่ เกนิ รอ้ ยละหา้ ของเนอื้ ทด่ี นิ ในโฉนด ก็ไม่อาจใช้สิทธิเลิกสัญญาตามมาตราดังกล่าวได้ อีกทั้งไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาให้สิทธิผู้จะซ้ือที่จะบอกเลิก สญั ญาในกรณรี งั วดั ทดี่ นิ แลว้ ไดเ้ นอ้ื ทนี่ อ้ ยกวา่ เนอื้ ทโี่ ฉนดมาก โจทกจ์ งึ บอกเลกิ สญั ญาจะซอื้ จะขายในกรณนี ้ี มสธไมไ่ ด้ (5) กรณผี ขู้ ายสง่ มอบอสังหาริมทรัพย์นอ้ ยกวา่ ตามสญั ญา ผูซ้ ือ้ มสี ิทธิจะปัดเสยี หรอื รับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ดังกล่าวมาแล้ว แต่หากผู้ซื้อเลือกท่ีจะรับไว้และยินยอมช�ำระราคาเต็ม ตามเดิม โดยแปลงหน้ีใหม่จากหนี้ค่าซ้ือขายเป็นหนี้กู้ยืม จึงเป็นหนี้ท่ีสมบูรณ์ เพราะผู้ซื้อสละประโยชน์ ตามบทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมายเสียเอง มสธ มสธอุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 524/2552 หนังสอื สัญญาซ้อื ขายท่ดี ินหรอื วางมัดจ�ำท่ีจ�ำเลยท่ี 3 ทำ� กบั โจทกร์ ะบเุ นอื้ ทดี่ นิ ทซ่ี อื้ ขายจำ� นวน 29 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา ในราคาไรล่ ะ 1,500,000 บาท รวม เป็นเงิน 44,662,500 บาท แต่ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิท่ีดินแปลงดังกล่าวได้ออกเป็นโฉนดที่ดิน แลว้ แตเ่ น้ือทด่ี ินตามโฉนดที่ดนิ มเี พียง 25 ไร่ 85 ตารางวา ซึ่งนอ้ ยกวา่ จำ� นวนเน้อื ทด่ี นิ ทต่ี กลงซอื้ ขายกนั ถึง 4 ไร่ 2 งาน 25 ตารางวา เกินกว่ารอ้ ยละ 5 แหง่ เน้ือที่ดินทง้ั หมดอันระบุไวใ้ นสัญญา กรณีเช่นนี้ตาม มสธป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคหน่ึง บัญญัติไว้ว่า “ในการซ้ือขายอสังหาริมทรัพย์น้ัน หากว่าได้ระบุจ�ำนวน เนอื้ ทที่ งั้ หมดไว้ และผขู้ ายสง่ มอบทรพั ยส์ นิ นอ้ ยหรอื มากไปกวา่ ทไ่ี ดส้ ญั ญาไซร้ ทา่ นวา่ ผซู้ อื้ จะปดั เสยี หรอื จะรบั เอาไว้และใชร้ าคาตามส่วนก็ได้ตามแต่จะเลอื ก” ดังนั้น จ�ำเลยท่ี 3 ซึง่ เปน็ ผู้ซอ้ื ชอบที่จะปดั เสยี ก็ได้ หรือจะรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ แต่จ�ำเลยท่ี 3 กลับยอมละเสียซ่ึงประโยชน์แห่งบทบัญญัติของ กฎหมายดังกล่าวและยินยอมช�ำระราคาเต็มตามจ�ำนวนท่ีตกลงกันไว้แต่เดิม โดยช�ำระเงินให้แก่โจทก์ไป มสธ มสธบางส่วน ส่วนที่เหลือจ�ำเลยท่ี 3 ได้ท�ำบันทึกการช�ำระหน้ีว่าจ�ำเลยที่ 3 ตกลงกู้เงินจากโจทก์จ�ำนวน 6,861,453 บาท ตรงตามจ�ำนวนค่าที่ดินท่ียังขาดอยู่อันเป็นการแปลงหน้ีใหม่จากหนี้ค่าซื้อขายท่ีดินเป็น หนีก้ ู้ยืม และจ�ำเลยท่ี 3 ตกลงผ่อนชำ� ระหนด้ี ังกล่าวให้แกโ่ จทก์รวม 3 งวด พรอ้ มดอกเบยี้ โดยมอบเชค็ พพิ าทให้แก่โจทกล์ ่วงหนา้ ดงั นัน้ เมื่อมูลหนีต้ ามเช็คเป็นมลู หน้กี ูย้ มื ท่มี าจากการแปลงหน้ีใหม่ของหน้ีซื้อ ขายทด่ี นิ ทจ่ี ำ� เลยที่ 3 ตกลงจะชำ� ระใหแ้ กโ่ จทก์ จงึ เปน็ หนท้ี สี่ มบรู ณ์ โจทกย์ อ่ มเปน็ ผทู้ รงเชค็ พพิ าททง้ั สาม มสธฉบบั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย

สญั ญาซอื้ ขาย 2 4-17 (6) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคสอง มิใช่บทบัญญัติอันเก่ียวด้วยความสงบ มสธเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 คู่กรณีจึงตกลงยกเว้นให้ผิดแผก แตกตา่ งตาม ป.พ.พ. มาตรา 151 ได้ อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 7701/2546 ขณะที่โจทก์จะซ้ือท่ีดินแปลงพิพาทยังมิได้มีการ มสธ มสธแบง่ แยกโฉนดทดี่ นิ ทจี่ ะขายออกจากโฉนดทด่ี นิ แปลงใหญท่ น่ี ำ� มาจดั สรร ฉะนน้ั เมอ่ื การระบจุ ำ� นวนพน้ื ทท่ี ่ี จะซ้ือไวใ้ นสญั ญาว่ามีจ�ำนวนเนอื้ ท่ี 74 ตารางวา จึงเปน็ เพยี งแต่โจทกแ์ ละจ�ำเลยที่ 1 คาดหรอื ประมาณไว้ เทา่ นนั้ ในขอ้ นที้ ง้ั โจทกแ์ ละจำ� เลยท่ี 1 ตา่ งรแู้ ละเขา้ ใจเปน็ อยา่ งดวี า่ จะตอ้ งมกี ารรงั วดั อกี ครง้ั หนง่ึ กอ่ นทจ่ี ะ มีการโอนกรรมสิทธ์ิกัน จึงได้ท�ำสัญญาตกลงกันไว้ว่าหากมีการรังวัดภายหลังพบว่าท่ีดินที่จะซื้อจะขาย มจี ำ� นวนเนื้อทเ่ี พิ่มขนึ้ หรอื ลดลงทั้งสองฝา่ ยจะชำ� ระเงนิ ชดเชยกนั กรณเี ชน่ นต้ี อ้ งถือว่าโจทก์กับจ�ำเลยที่ 1 มเี จตนาทจี่ ะซอื้ ทดี่ นิ และสง่ิ ปลกู สรา้ งแปลงทร่ี ะบไุ วใ้ นสญั ญา โดยมไิ ดถ้ อื เปน็ สาระสำ� คญั วา่ ทดี่ นิ ทจี่ ะซอื้ จะ มสธขายจะตอ้ งมเี นอ้ื ทเี่ พยี ง 74 ตารางวา เทา่ นน้ั จะมเี พม่ิ ขนึ้ หรอื ลดลงกไ็ ด้ หากเนอ้ื ทเี่ พมิ่ หรอื ลดลงกใ็ หเ้ พม่ิ หรือลดราคาลง ข้อสัญญาดังกลา่ วจงึ ใช้บงั คับได้ โจทก์และจ�ำเลยที่ 1 ตกลงกันเป็นแน่นอนว่าการเพ่ิมขึ้นหรือลดลงท่ียกเว้นไม่ให้น�ำ ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคสอง มาใช้บังคับ เมือ่ บทมาตราน้ีมใิ ช่กฎหมายอนั เก่ยี วดว้ ยความสงบเรียบร้อย หรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน คกู่ รณยี อ่ มสามารถตกลงยกเวน้ ใหผ้ ดิ แผกแตกตา่ งได้ แมข้ อ้ ตกลงจะระบุ มสธ มสธเพยี งวา่ หากมเี นอื้ ทเ่ี พมิ่ ขนึ้ หรอื ลดลงโดยมไิ ดร้ ะบวุ า่ มเี นอ้ื ทเี่ พม่ิ ขนึ้ เกนิ กวา่ รอ้ ยละหา้ โจทกก์ ต็ กลงซอ้ื ดว้ ย นัน้ กรณีกต็ ้องถือว่าโจทกต์ กลงจะซอื้ ท่ีดินเนือ้ ทท่ี ่ีเพิ่มข้นึ เกนิ กว่ารอ้ ยละห้า เพราะถ้าจะถอื วา่ โจทกจ์ ะซอื้ ทด่ี นิ เนอื้ ทท่ี เี่ พม่ิ ขนึ้ เพยี งไมเ่ กนิ รอ้ ยละหา้ ดงั ทโ่ี จทกอ์ า้ งแลว้ ทงั้ โจทกแ์ ละจำ� เลยท่ี 1 กห็ าจำ� ตอ้ งมีข้อตกลง ยกเวน้ ขา้ งตน้ โจทกแ์ ละจำ� เลยที่ 1 จงึ ตอ้ งผกู พนั ตามสญั ญาทตี่ กลงกนั ไว้ ฉะนน้ั โจทกจ์ งึ ไมม่ สี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญาจะซื้อจะขายทีด่ ินพรอ้ มส่งิ ปลกู สร้างและเรียกเงนิ ทีช่ ำ� ระไปแลว้ คนื จากจ�ำเลยท่ี 1 4.2.3 การส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้�ำจ�ำนวนถึงขนาดซึ่งหากผู้ซื้อ มสธได้ทราบอยูก่ อ่ นแล้วคงจะมเิ ขา้ ท�ำสญั ญานั้น ผซู้ ้อื อาจเลิกสญั ญาเสยี ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรค สองตอนทา้ ย ซ่ึงอาจมไี ดใ้ น 2 กรณี ดังตอ่ ไปน้ี (1) กรณกี ารสง่ มอบอสงั หารมิ ทรพั ยข์ าดตกบกพรอ่ งหรอื ลำ�้ จำ� นวนไมเ่ กนิ กวา่ รอ้ ยละ 5 ซึ่งหากผู้ซื้อได้ทราบอยู่ก่อนแล้วคงจะมิเข้าท�ำสัญญาน้ัน (หากขาดตกบกพร่องหรือล้�ำจ�ำนวนเกินกว่า ร้อยละ 5 ผู้ซอื้ มีสิทธปิ ดั เสยี ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคหน่งึ อยแู่ ล้ว มสธ มสธตัวอย่าง ก. ตกลงท�ำสัญญาจะซื้อจะขายท่ีดินแปลงหน่ึงจาก ข. จ�ำนวนเนื้อท่ี 100 ตารางวา ราคาตารางวาละ 5,000 บาท โดย ก. ออกแบบกอ่ สร้างอาคารทจ่ี อดรถและการเว้นพื้นทไ่ี ว้ตามกฎหมาย ในเนือ้ ท่ี 100 ตารางวาพอดี ปรากฏวา่ เมอื่ รังวัดทดี่ ินเพื่อสง่ มอบ ท่ดี นิ นัน้ มีเนื้อที่ 95 ตารางวา ขาดไปไม่ เกนิ รอ้ ยละ 5 แตห่ าก ก. ผซู้ อ้ื ทราบอยกู่ อ่ นแลว้ คงจะมเิ ขา้ ทำ� สญั ญานนั้ เพราะตอ้ งออกแบบกอ่ สรา้ งอาคาร มสธใหม่ เช่นนี้ ก. มสี ิทธบิ อกเลกิ สัญญาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคสอง ตอนทา้ ย

4-18 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซอื้ ขาย เช่าทรพั ย์ เชา่ ซอ้ื (2) กรณมี ขี อ้ ตกลงวา่ หากสง่ มอบอสงั หารมิ ทรพั ยข์ าดตกบกพรอ่ งหรอื ลำ้� จำ� นวนเกนิ มสธกว่าร้อยละ 5 ใหผ้ ู้ซือ้ รับเอาไวแ้ ละใช้ราคาตามส่วน ข้อตกลงเชน่ นใี้ ช้บังคบั ได้ เพราะตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคหน่ึง มิใช่บทบญั ญัติเกี่ยวดว้ ยความสงบเรยี บรอ้ ยหรือศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 แต่อยา่ งใด จงึ ตกลงแตกตา่ งเปน็ อยา่ งอ่นื ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 151 อย่างไรก็ตาม แมม้ ขี ้อ ตกลงเช่นว่าน้ันก็มิได้หมายความว่า ผู้ขายจะส่งมอบเท่าใดก็ได้ตามใจชอบ หากแต่ต้องค�ำนึงถึง มสธ มสธความประสงค์ของค่สู ัญญาในทางสุจริต และพเิ คราะหถ์ ึงปกติประเพณีประกอบด้วย ซงึ่ หากผูซ้ ือ้ ไดท้ ราบ อยกู่ อ่ นแลว้ คงจะมเิ ขา้ ทำ� สญั ญานน้ั ผซู้ อื้ อาจเลกิ สญั ญาเสยี ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคสอง ตอนทา้ ย อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2543 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 วรรคสอง มใิ ชก่ ฎหมายอนั เกย่ี วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน คกู่ รณจี งึ อาจกำ� หนด ไว้ในสญั ญาเป็นการแตกต่างกับบทบัญญัตินไ้ี ด้ มสธโจทก์และจ�ำเลยได้ท�ำสัญญาซื้อขายอาคารชุดที่พักอาศัยในราคา 2,865,000 บาท สญั ญาดงั กลา่ ว ไดก้ ำ� หนดไวว้ า่ “หอ้ งชดุ ผซู้ อ้ื จะมพี น้ื ทปี่ ระมาณ 94.5 ตารางเมตร ทง้ั นโ้ี ดยขนึ้ อยกู่ บั การ ปรับขนาดพื้นที่ตามการก่อสร้างที่เป็นจริงและการจดทะเบียนที่ส�ำนักงานท่ีดิน ถ้าพื้นท่ีจริงของห้องชุด ผู้ซื้อมีมากกว่าหรือน้อยกว่าที่ระบุข้างต้นคู่สัญญายังคงต้องผูกพันตนตามสัญญานี้ แต่ถ้าแตกต่างต้ังแต่ รอ้ ยละหา้ (5%) หรอื มากกวา่ นนั้ ราคาทต่ี อ้ งชำ� ระตามสญั ญานจ้ี ะตอ้ งปรบั เพมิ่ หรอื ลดลงตามสว่ นโดยการ มสธ มสธปรบั ราคาจะกระท�ำในการช�ำระเงนิ งวดสดุ ท้ายของราคา” แมข้ ้อสัญญาดงั กลา่ วไม่ขัดต่อกฎหมาย และใช้ บงั คบั ไดต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 151 แตศ่ าลกต็ อ้ งตคี วามสญั ญาใหเ้ ปน็ ไปตามความ ประสงค์ของคู่สัญญาในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณี กล่าวคือ เจตนาของคู่สัญญาท่ีกระท�ำ โดยสจุ รติ ซงึ่ พเิ คราะหถ์ งึ ปกตปิ ระเพณปี ระกอบแลว้ คงมไิ ดห้ มายความถงึ ขนาดทว่ี า่ ไมว่ า่ เนอ้ื ทข่ี องอาคาร ชุดจะแตกต่างมากกว่าร้อยละห้าสักเพียงใดก็ตาม โจทก์ก็ต้องรับโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารชุดโดยไม่อาจ ปฏเิ สธได้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ อาคารชดุ พพิ าทมเี นอ้ื ทลี่ ำ้� จำ� นวนถงึ 29.98 ตารางเมตร คดิ เปน็ รอ้ ยละ 31.7 มสธซงึ่ โจทกจ์ ะตอ้ งชำ� ระเงนิ เพมิ่ อกี ประมาณ 900,000 บาท รวมทง้ั จำ� เลยไดบ้ งั คบั ใหโ้ จทกร์ บั มอบซอกมมุ หอ้ ง ทต่ี ดิ กนั ซง่ึ มเี นอื้ ทอ่ี กี 30 ตารางเมตร โดยมฝี ากน้ั หอ้ ง ระหวา่ งเนอื้ ท่ี 95.5 ตารางเมตรกบั 30 ตารางเมตร เปน็ ฝากน้ั ซง่ึ เปน็ คานรบั นาํ้ หนกั ของตวั อาคาร โดยจำ� เลยไดท้ ำ� ชอ่ งใหเ้ ขา้ ไปไดท้ างดา้ นหลงั เพยี งเลก็ นอ้ ย เท่าน้ัน ส่วนที่ล�้ำจ�ำนวนเป็นส่วนของเน้ือท่ีซอกมุมห้องท่ีติดกัน ซึ่งหากพิจารณาถึงความประสงค์ในทาง สุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีแล้ว ก็หาควรบังคับให้โจทก์ต้องจ่ายเงินเพ่ิมเป็นจ�ำนวนมากเพื่อรับ มสธ มสธเอาเนอื้ ท่ีล�้ำจำ� นวนทไ่ี รป้ ระโยชนด์ งั กลา่ วนั้นไม่ เพราะหากโจทก์ได้ทราบกอ่ นแลว้ คงจะมไิ ด้เข้าท�ำสัญญา นัน้ อย่างแน่นอน อีกประการหน่งึ เมือ่ ค�ำนงึ ถงึ มาตรา 11 ด้วยแลว้ ในกรณเี ชน่ วา่ น้ี เม่อื สญั ญามขี ้อสงสัย วา่ โจทกต์ อ้ งผกู พนั ตามสญั ญาดงั กลา่ วนห้ี รอื ไมศ่ าลยอ่ มตอ้ งตคี วามใหเ้ ปน็ คณุ แกโ่ จทกผ์ ตู้ อ้ งเสยี ในมลู หนี้ โจทกจ์ งึ มสี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญานไ้ี ดใ้ นเมอื่ ลำ้� จำ� นวนถงึ ขนาด ซงึ่ หากโจทกไ์ ดท้ ราบกอ่ นแลว้ คงมไิ ดท้ ำ� สญั ญา น้ันตามมาตรา 466 วรรคสอง อันเป็นผลให้คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 391 แห่งประมวล กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ จำ� เลยจงึ ตอ้ งคนื เงินทีร่ บั ไวจ้ ากโจทก์ทั้งหมด พรอ้ มดอกเบี้ยอตั รารอ้ ยละ 7.5 มสธต่อปี นบั แตว่ ันทจี่ �ำเลยได้รบั ไว้

สัญญาซ้อื ขาย 2 4-19 นอกจากนี้ ข้อตกลงยกเว้น ป.พ.พ. มาตรา 366 แม้ส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือ มสธล้�ำจ�ำนวนเงินกว่าร้อยละ 5 ผู้ซื้อก็ต้องรับเอา รวมทั้งมีข้อตกลงในสัญญาส�ำเร็จรูปไม่ให้คิดราคาเพ่ิมข้ึน หรือลดลงตามส่วนด้วย ข้อสัญญาดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นข้อสัญญาท่ีไม่เป็นธรรม จึงไม่มีผลใช้ บังคบั ตาม พ.ร.บ. ว่าดว้ ยขอ้ สญั ญาทไ่ี ม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15357/2558 โจทกก์ ำ� หนดในสญั ญาเชา่ ซอื้ ขอ้ 1 วรรคทา้ ย ให้ มสธ มสธใช้เน้ือท่ีห้องชุดตามสัญญาเช่าซื้อ โดยไม่ให้คิดราคาเพิ่มหรือลดตามเนื้อท่ีในหนังสือกรรมสิทธ์ิห้องชุดท่ี ออกในภายหลงั เปน็ การยกเว้น ป.พ.พ. มาตรา 466 ซ่ึงเปน็ บทบัญญัติเก่ียวกบั การส่งมอบทรัพยส์ นิ ใน การซ้ือขายซ่ึงน�ำมาใช้บังคับกับการเช่าซ้ือ โจทก์ส่งมอบห้องชุดเนื้อที่ขาดตกบกพร่องจากสัญญาเช่าซื้อ 6.51 ตารางเมตร คิดเปน็ ร้อยละ 9.1 ของเนอื้ ที่ท้งั หมด แตโ่ จทก์ก็ยงั คงให้จำ� เลยรับเอาห้องชุดไวโ้ ดยไม่ อาจใชร้ าคาตามสว่ นได้ ทง้ั ทคี่ วามแตกตา่ งของเนอื้ ทห่ี อ้ งชดุ มาจากการคำ� นวณของโจทกเ์ อง จำ� เลยจะตอ้ ง รบั ภาระชำ� ระราคาเกนิ กวา่ เนอ้ื ทหี่ อ้ งชดุ ถงึ 162,000 บาท จงึ เปน็ ขอ้ ตกลงทนี่ อกจากจะไมเ่ ปน็ ไปตามมาตรา มสธ466 แล้ว ยังเป็นข้อตกลงในสัญญาส�ำเร็จรูปท่ีโจทก์ซึ่งมีอ�ำนาจต่อรองมากกว่าเป็นผู้ก�ำหนดให้จ�ำเลยรับ ภาระเกินกว่าท่ีวิญญูชนพึงคาดหมายได้ตามปกติ อีกท้ังโจทก์เป็นฝ่ายบกพร่องในการค�ำนวณเนื้อที่ห้อง ชุดและสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้อยู่ก่อนแล้วถือได้ว่าข้อตกลงเช่นนี้ท�ำให้โจทก์ได้เปรียบจ�ำเลยคู่สัญญา อกี ฝ่ายเกินสมควร จึงเป็นขอ้ สญั ญาทไ่ี ม่เป็นธรรมและไม่มผี ลใชบ้ ังคับ ตาม พ.ร.บ. วา่ ด้วยขอ้ สญั ญาทไี่ ม่ เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 ขอ้ สญั ญาตามสญั ญาเชา่ ซอ้ื ขอ้ 1 วรรคทา้ ย จึงไมอ่ าจใชบ้ งั คบั ได้ มสธ มสธ5. อายุความฟ้องร้องบังคับคดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 กำ� หนดอายคุ วามฟ้องร้องคดีไว้ ดังน้ี มาตรา 467 “ในข้อรับผิดเพ่ือการท่ีทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้�ำจ�ำนวนน้ัน ท่านห้ามมิให้ฟ้อง คดีเมื่อพ้นก�ำหนดปีหน่ึงนับแต่เวลาส่งมอบ” ตามบทบัญญัติดังกลา่ ว อายคุ วามฟอ้ งรอ้ งบงั คบั คดีในขอ้ รบั ผิดเพือ่ การทท่ี รัพย์ขาดตกบกพร่อง มสธหรอื ลำ�้ จำ� นวน เปน็ กรณที ผี่ ซู้ อ้ื ฟอ้ งผขู้ ายทส่ี ง่ มอบทรพั ยส์ นิ ขาดตกบกพรอ่ งหรอื ลำ้� จำ� นวน หรอื ผซู้ อื้ บอกปดั ไม่รับทรัพย์สินท่ีส่งมอบน้ัน ต้องฟ้องร้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาส่งมอบ มิใช่นับแต่รู้ ฉะนั้น หากผู้ซ้ือ เพิ่งจะทราบเมื่อผู้ขายสง่ มอบทรพั ย์สนิ ที่ซ้ือขายมาเปน็ เวลาเกิน 1 ปีแลว้ กเ็ ปน็ อันขาดอายคุ วาม อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 698/2536 โจทก์ท้ังสองกับจ�ำเลยไปท�ำหนังสือขายที่ดินต่อพนักงาน มสธ มสธเจา้ หน้าท่ีจดทะเบยี นสิทธแิ ละนิตกิ รรม ณ ทีว่ ่าการอำ� เภอ ในวนั ที่ 18 เมษายน 2529 จึงตอ้ งฟงั ว่าโจทก์ ทง้ั สองไดร้ บั มอบทด่ี ินจากการซือ้ ขายท่ชี อบด้วยกฎหมายแลว้ ตั้งแตว่ ันดงั กลา่ ว เม่ือโจทก์ท่ี 1 มไิ ดน้ ำ� สืบ ข้อเท็จจริงว่ามีสัญญาการส่งมอบท่ีดินซ้ือขายเป็นอย่างอ่ืน ท่ีโจทก์ที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 เพ่ิงทราบถึง ความบกพร่องขาดจ�ำนวนของเน้ือที่ดินในวันที่ 9 มีนาคม 2530 อันเป็นวันท่ีเจ้าหน้าที่ท่ีดินได้แจ้งผล แห่งการรังวัดที่ดินให้โจทก์ที่ 1 ทราบ ถือเป็นปริยายว่า โจทก์ที่ 1 เพ่ิงได้รับส่งมอบที่ดินในวันดังกล่าว มสธจึงไม่มีน้ําหนักให้รับฟัง เม่ือข้อเท็จจริงในคดีน้ีฟังได้ว่าจ�ำเลยได้ส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองในวันท่ี

4-20 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซื้อขาย เชา่ ทรพั ย์ เช่าซื้อ 18 เมษายน 2529 แต่โจทกท์ ่ี 1 น�ำคดมี าฟ้องเมือ่ วันท่ี 15 มถิ ุนายน 2530 เกนิ กำ� หนดเวลาปหี น่ึงแล้ว มสธฟ้องของโจทกท์ ่ี 1 ขาดอายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 ข้อสังเกต (1) ผู้ซ้อื ฟ้องเรยี กเงินท่ีชำ� ระราคาเกินไปจากผ้ขู าย มใิ ช่อายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 แต่ เป็นเรือ่ งลาภมิควรได้ ห้ามฟอ้ งคดเี มื่อพน้ กำ� หนด 1 ปนี บั แตร่ หู้ รอื เมอ่ื พน้ 10 ปี นบั แต่เวลาที่สิทธนิ ้ันได้ มสธ มสธมีขึน้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 466/2492 โจทก์ผู้ซ้ือฟ้องเรียกร้องเงินที่ช�ำระเกินไปให้แก่จ�ำเลยผู้ขาย เปน็ การฟอ้ งเรยี กคนื ฐานลาภมคิ วรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 จะนำ� อายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 มาใช้บงั คับไมไ่ ด้ (2) ผขู้ ายฟอ้ งเรยี กทรพั ยส์ นิ ทส่ี ง่ มอบเกนิ ไปคนื จากผซู้ อ้ื มใิ ชอ่ ายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 มสธแต่เปน็ เรอื่ งราวลาภมิควรได้ ห้ามฟ้องคดีเม่ือพ้นกำ� หนด 1 ปี นบั แต่รู้ หรือเมอ่ื พน้ 10 ปี นบั แต่เวลาท่ี สิทธนิ น้ั ไดม้ ขี น้ึ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2278/2516 โจทกแ์ บง่ ขายทด่ี นิ ในโฉนดของโจทกใ์ หจ้ ำ� เลยเนอ้ื ท่ี 6 ไร่ หรอื เป็นจ�ำนวน 2,400 สว่ นใน 15,868 ส่วน โดยใหจ้ �ำเลยเขา้ ชอ่ื ถือกรรมสิทธ์ิร่วมในโฉนด ตอ่ มามีการรังวดั มสธ มสธแบง่ แยกโฉนดออกเปน็ สว่ นของจำ� เลย ปรากฏวา่ จำ� นวนเนอ้ื ทดี่ นิ ตามโฉนดทอี่ อกใหแ้ กจ่ ำ� เลย 6 ไร่ 1 งาน 22 ตารางวา เกินกว่าท่ีตกลงซ้ือขายเดิม โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินส่วนท่ีเกินคืนจากจ�ำเลยได้ กรณี เช่นน้หี าใช่การฟอ้ งใหร้ บั ผิดในการส่งมอบทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรอื ล�ำ้ จำ� นวน ซงึ่ มีอายคุ วาม 1 ปี ตาม มาตรา 467 ไม่ (3) ผู้ซื้อฟ้องให้ผู้ขายชำ� ระเบ้ียปรับตามสัญญา กรณีผู้ขายส่งมอบล่าช้าและส่งมอบไม่ตรงกับที่ ตกลงตามสญั ญาซ้อื ขาย มิใชอ่ ายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 มสธอุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3891/2535 โจทกฟ์ อ้ งขอให้บังคับจ�ำเลยชำ� ระเบี้ยปรับตามสัญญาในกรณี ท่ีจำ� เลยผดิ สัญญาสง่ มอบสิง่ ของใหแ้ กโ่ จทก์ล่าชา้ และสง่ มอบสงิ่ ของบางสว่ นไมต่ รงตามท่ีตกลงซ้อื ขายกัน อันเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายท่ีตกลงกันไว้ล่วงหน้าในสัญญาเป็นเบ้ียปรับซ่ึงมีอายุความสิบปี ไม่ใช่ เปน็ การฟอ้ งเพอื่ ใหร้ บั ผดิ ในการสง่ มอบทรพั ยข์ าดตกลงบกพรอ่ งหรอื ลำ�้ จำ� นวนตามสญั ญาซอ้ื ขายซงึ่ มอี ายุ มสธ มสธ มสธความหน่งึ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 467

สัญญาซ้ือขาย 2 4-21 มสธกิจกรรม 4.1.1 ก. ทำ� หนงั สอื สญั ญาจะซอื้ จะขายทด่ี นิ น.ส.3 แปลงหนงึ่ เนอ้ื ที่ 10 ไร่ จาก ข. ราคาไรล่ ะ 100,000 บาท โดยมีข้อสัญญาระบุว่าหากท่ีดินขาดหรือล้�ำจ�ำนวนเท่าใดให้ใช้ราคาตามส่วน เม่ือรังวัดสอบเขตแล้ว ปรากฏวา่ ทดี่ นิ แปลงนนั้ มีเนอ้ื ทีถ่ ึง 20 ไร่ ก. จงึ ขอเลกิ สัญญาเน่ืองจากทีด่ นิ มเี นือ้ ท่มี ากเกนิ ความจ�ำเป็น และไมม่ คี วามสามารถทจ่ี ะผอ่ นสง่ ธนาคารได้ เชน่ นใ้ี หท้ า่ นวนิ จิ ฉยั วา่ ก. จะขอเลกิ สญั ญาไดห้ รอื ไม่ เพราะ มสธ มสธเหตใุด แนวตอบกิจกรรม 4.1.1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 “ในการซอื้ ขายอสงั หารมิ ทรพั ยน์ น้ั หากวา่ ไดร้ ะบจุ ำ� นวนเนอื้ ทท่ี ง้ั หมดไว้ และผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยหรือมากไปกว่าที่ได้สัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซ้ือจะปัดเสีย หรือจะรับเอาไว้ และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก มสธอนึ่ง ถ้าขาดตกบกพร่องหรือล�้ำจ�ำนวนไม่เกินกว่าร้อยละห้าแห่งเนื้อที่ทั้งหมดอันได้ระบุไว้น้ัน ไซร้ ท่านว่าผู้ซ้ือจ�ำต้องรับเอาและใช้ราคาตามส่วนแต่ว่าผู้ซ้ืออาจจะเลิกสัญญาเสียได้ในเมื่อขาดตก บกพร่องหรือล�้ำจ�ำนวนถึงขนาดซ่ึงหากผู้ซื้อได้ทราบก่อนแล้วคงจะมิได้เข้าท�ำสัญญานั้น” ตามปญั หา ก. ท�ำหนงั สือสญั ญาจะซือ้ จะขายทดี่ ิน น.ส.3 แปลงหน่งึ เน้ือท่ี 10 ไร่ จาก ข. ราคา มสธ มสธไรล่ ะ 100,000 บาท โดยมขี อ้ สญั ญาระบวุ า่ หากทด่ี นิ ขาดหรอื ลำ�้ จำ� นวนเทา่ ใดใหใ้ ชร้ าคาตามสว่ น แสดงวา่ คู่สัญญาตกลงยกเว้น ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคหน่งึ ดงั กล่าว ซง่ึ มไิ ด้เปน็ บทกฎหมายว่าด้วยความสงบ เรยี บร้อยหรอื ศีลธรรมอนั ดีของประชาชน จงึ ตกลงยกเวน้ ได้ ขอ้ ตกลงดังกลา่ วไมต่ กเปน็ โมฆะแตอ่ ยา่ งใด แต่เมื่อรังวัดสอบเขตแล้วปรากฏว่าที่ดินแปลงนั้นมีเน้ือที่ถึง 20 ไร่ ก. จึงขอเลิกสัญญาเนื่องจากท่ีดินมี เนอื้ ทเ่ี กนิ ความจำ� เปน็ และไมม่ คี วามสามารถทจ่ี ะผอ่ นสง่ ธนาคารได้ จงึ เหน็ ไดว้ า่ เปน็ การสง่ มอบลำ้� จำ� นวน ถึงขนาด ซึ่งหาก ก. ได้ทราบก่อนแล้วคงจะมิได้เข้าท�ำสัญญาน้ัน ก. จึงมีสิทธิเลิกสัญญาเสียได้ ตาม มสธป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคสอง ตอนทา้ ย มสธ มสธ มสธฉะนั้น ก. จะขอเลิกสญั ญาได้ตามเหตุผลดังกล่าว

4-22 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซอ้ื ขาย เชา่ ทรพั ย์ เช่าซื้อ มสธเรื่องที่ 4.1.2 สิทธิยึดหน่วงของผู้ขาย มสธ มสธในเร่ืองสิทธิยดึ หน่วงน้ี จะได้จ�ำแนกอธบิ ายออกเปน็ 3 หวั ขอ้ คือ (1) สิทธิยึดหนว่ งกรณสี ญั ญา ไมม่ ีก�ำหนดเงอื่ นเวลา (2) สทิ ธยิ ึดหนว่ งกรณผี ้ซู อื้ ลม้ ละลาย หรือท�ำใหห้ ลกั ทรัพย์ลดลง และ (3) ผลของ การยดึ หนว่ งทรพั ยส์ ินท่ขี าย 1. สิทธิยึดหน่วงกรณีสัญญาไม่มีก�ำหนดเงื่อนเวลา ในเร่ืองสิทธิยึดหน่วงกรณีสัญญาไม่มีก�ำหนดเง่ือนเวลาให้ใช้ราคานี้ มีบัญญัติไว้ตาม ป.พ.พ. มสธมาตรา 468 ดงั น้ี มาตรา 468 “ถา้ ในสญั ญาไมม่ กี ำ� หนดเงอ่ื นเวลาใหใ้ ชร้ าคาไซร้ ผขู้ ายชอบทจ่ี ะยดึ หนว่ งทรพั ยส์ นิ ท่ีขายไว้ได้จนกว่าจะใช้ราคา” ตามบทบัญญัติดังกล่าว ค�ำว่า “เง่ือนเวลา” หมายถึง เงื่อนเวลาสิ้นสุดเท่าน้ันซ่ึงเป็นเงื่อนเวลา ในการช�ำระราคา ดังกล่าวมาแล้วว่าสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 369 มสธ มสธกลา่ วคอื คสู่ ญั ญาฝา่ ยหนง่ึ ไมย่ อมชำ� ระหนจ้ี นกวา่ อกี ฝา่ ยหนง่ึ จะชำ� ระหนใี้ นทำ� นอง “ยน่ื หมยู นื่ แมว” นน่ั เอง ฉะนั้น หากสัญญาซื้อขายนั้นไม่มีก�ำหนดเงื่อนเวลา เม่ือผู้ซื้อไม่ช�ำระราคา ผู้ขายก็ชอบที่จะยึดหน่วง ทรพั ยส์ นิ ทขี่ ายจนกวา่ ผซู้ อ้ื จะไดช้ ำ� ระราคา แตห่ ากสญั ญาซอื้ ขายมกี ำ� หนดเวลา ผขู้ ายกห็ ามสี ทิ ธยิ ดึ หนว่ ง ทรัพย์สินทขี่ ายไม่ ตัวอย่าง ก. ตกลงขายนาฬิกาเรอื นหน่ึงให้ ข. ในวนั ท่ี 1 มนี าคม กำ� หนดช�ำระราคาในวันท่ี 31 มนี าคม มสธปีเดียวกัน เช่นน้ีเป็นสัญญาซื้อขายท่ีมีก�ำหนดเงื่อนเวลาในการช�ำระราคา ก. หามีสิทธิยึดหน่วงนาฬิกา ท่ีขายไม่ แต่หากไมม่ กี ำ� หนดเงอ่ื นเวลาดังกลา่ ว ก. ก็ชอบที่จะยึดหนว่ งราคาไวไ้ ดจ้ นกวา่ ข. จะใชร้ าคา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 468 ดงั กลา่ ว เปน็ สิทธยิ ึดหนว่ งทรัพยส์ ินทีข่ ายกรณไี มม่ กี ำ� หนดเง่ือนเวลา ไม่เกี่ยวกับกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินที่ขายจะโอนไปแล้วหรือไม่ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายอาจโอนไปยัง ผซู้ อื้ ตัง้ แตข่ ณะเมอ่ื ไดท้ ำ� สญั ญาซอื้ ขายกัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 458 หรือเปน็ สญั ญาซอ้ื ขายทีม่ เี งื่อนไข มสธ มสธหรือเง่อื นเวลาในการโอนกรรมสิทธ์ิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 459 กไ็ ด้ เพราะหลักการโอนกรรมสิทธิก์ ับการ ส่งมอบทรัพย์สินในทางหน้ี เป็นคนละเรื่องกัน ฉะน้ัน ไม่ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายจะโอนไปยัง ผู้ซ้ือแล้วหรือไม่ หากเป็นสัญญาซ้ือขายที่ไม่มีเงื่อนเวลาให้ใช้ราคา ผู้ขายก็ชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินที่ ขายไวไ้ ดจ้ นกว่าจะใชร้ าคา ตัวอย่าง ก. ตกลงขายแหวนเพชรวงหนึ่งให้แก่ ข. กรรมสิทธใิ์ นแหวนวงน้ันย่อมโอนไปยัง ข. ต้งั แต่ขณะ มสธเม่ือได้ท�ำสัญญาซื้อขายกัน หากสัญญาซื้อขายไม่มีก�ำหนดเงื่อนเวลาให้ใช้ราคา ก. ก็ชอบท่ีจะยึดหน่วง

สัญญาซอ้ื ขาย 2 4-23 แหวนนน้ั ไวไ้ ดจ้ นกวา่ ข. จะใชร้ าคาหรอื หาก ก. ตกลงขายแหวนนน้ั ใหแ้ ก่ ข. โดยมเี งอื่ นเวลาใหก้ รรมสทิ ธ์ิ มสธในแหวนน้ันโอนไปยัง ข. เม่ือถึงวันส้ินปี หากสัญญาซื้อขายไม่มีเงื่อนเวลาให้ใช้ราคา ก. ก็ชอบที่จะยึด หน่วงแหวนนนั้ ไว้ไดจ้ นกว่า ข. จะใช้ราคาเช่นเดียวกนั อยา่ งไรกต็ าม หากผู้ขายไดส้ ่งมอบทรพั ย์สินทข่ี ายใหแ้ ก่ผซู้ ้อื ไปแล้ว ผ้ขู ายจะไปยึดคืนมาเพอื่ ยึด หนว่ งไมไ่ ด้ มสธ มสธนอกจากนี้ สทิ ธยิ ดึ หนว่ งตาม ป.พ.พ. มาตรา 468 ดงั กลา่ ว ตอ้ งเปน็ เรอ่ื งจะใหผ้ ซู้ อื้ ใชร้ าคาเทา่ นน้ั ไมใ่ ชเ่ พ่อื การอย่างอื่น เช่น เพอ่ื เก็บรกั ษาทรพั ย์ เป็นตน้ 6 การระงับส้ินไปซง่ึ สทิ ธยิ ึดหน่วง อาจมีไดด้ ว้ ยเหตุ ดังตอ่ ไปน้ี 1) เมอื่ ผขู้ ายไดส้ ง่ มอบทรพั ยส์ นิ ใหแ้ กผ่ ซู้ อ้ื แลว้ ทรพั ยส์ นิ ใดทไ่ี ดส้ ง่ มอบแกผ่ ซู้ อ้ื แลว้ สทิ ธยิ ดึ หนว่ ง ยอ่ มระงบั สนิ้ ไป หากผขู้ ายสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทขี่ ายแตเ่ พยี งบางสว่ น ทรพั ยส์ นิ สว่ นทย่ี งั ไมไ่ ดส้ ง่ มอบกย็ งั คง มีสทิ ธิยดึ หน่วงอยู่ หากส่งมอบทรพั ย์สนิ ทีข่ ายไปทัง้ สิน้ แล้ว สทิ ธยิ ึดหน่วงย่อมระงับไปโดยส้ินเชงิ มสธอุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2475 สญั ญาซอ้ื ขายของเชอื่ เมอื่ ผขู้ ายมองทรพั ยส์ นิ ทซ่ี อื้ ขายใหผ้ ซู้ อื้ แลว้ แมจ้ ะยงั ไมไ่ ดช้ �ำระราคาก็ไม่มีสิทธยิ ดึ หนว่ งทรัพย์ไว้ได้ ผขู้ ายได้รับของกลับมาอยูใ่ นครอบครองโดย มเี งื่อนไข ไม่ถือว่าผขู้ ายยงั ครอบครองทรัพยท์ ีข่ าย คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 7705/2544 จำ� เลยนำ� รถยนตท์ ซ่ี อื้ ขายคนื มาจากโจทกซ์ งึ่ เปน็ ผซู้ อ้ื เพอื่ ตรวจ มสธ มสธเช็คสภาพตามเวลาและระยะทาง แต่ไม่ส่งมอบคืนให้โจทก์ หนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จ�ำเลยเกี่ยวด้วย รถยนต์ซึ่งครองอันจะก่อสิทธิแก่จ�ำเลยท่ีจะยึดหน่วงรถยนต์ไว้ ต้องเป็นหนี้ท่ีเกิดจากการตรวจเช็คสภาพ รถยนตท์ โ่ี จทกต์ อ้ งรบั ผดิ ตอ่ จำ� เลยเทา่ นนั้ หนเี้ งนิ ดาวนส์ ว่ นทเี่ หลอื ของโจทกท์ ตี่ อ้ งชำ� ระแกจ่ ำ� เลย มใิ ชห่ น้ี ท่จี ะกอ่ ให้จ�ำเลยมสี ทิ ธยิ ึดหน่วงรถยนตไ์ ด้ 2) เมื่อผู้ซ้ือได้ช�ำระราคาครบถ้วนแล้ว ผู้ขายก็ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ขายเป็นไปตามหลักแห่ง สญั ญาต่างตอบแทน สทิ ธิยดึ หน่วงระงบั สิ้นไป มสธ2. สิทธิยึดหน่วงกรณีผู้ซ้ือล้มละลายหรือท�ำให้หลักทรัพย์ลดลง ในเรอื่ งสทิ ธยิ ดึ หนว่ งกรณผี ซู้ อื้ ลม้ ละลายหรอื ทำ� ใหห้ ลกั ทรพั ยล์ ดลง มบี ญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 469 ดงั น้ี มาตรา 469 “ถ้าผู้ซื้อล้มละลายก่อนส่งมอบทรัพย์สินก็ดี หรือผู้ซ้ือเป็นคนล้มละลายแล้วในเวลา มสธ มสธซื้อขายโดยผู้ขายไม่รู้ก็ดี หรือผู้ซื้อกระท�ำให้หลักทรัพย์ท่ีให้ไว้เพื่อประกันการใช้เงินนั้นเสื่อมเสียหรือลด น้อยลงก็ดี ถึงแม้ในสัญญาจะมีก�ำหนดเง่ือนเวลาให้ใช้ราคา ผู้ขายก็ชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินซึ่งขาย ไว้ได้ เว้นแต่ผู้ซ้ือจะหาประกันท่ีสมควรให้ได้” ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว แมใ้ นสญั ญาซอ้ื ขายจะมกี ำ� หนดเงอื่ นเวลาใหใ้ ชร้ าคา ผขู้ ายกช็ อบทจ่ี ะยดึ หนว่ ง ทรพั ยส์ นิ ทีข่ ายได้ เปน็ หลักท�ำนองเดียวกนั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193 ซึง่ ห้ามลกู หนถี้ ือเอาประโยชนแ์ ห่ง มสธ6 ไพจิตร ปุญญพันธุ์. หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ขายและหน้าที่ของผู้ซ้ือ. ใน เอกสารการสอนชุดวิชากฎหมาย พาณิชย์ 1, เล่ม 1, หนว่ ยที่ 3. นนทบุรี: สาขาวชิ านิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. 2547. หน้า 74.

4-24 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซ้ือขาย เช่าทรัพย์ เช่าซ้ือ เงอื่ นเวลา กรณผี ขู้ ายชอบทจี่ ะยดึ หนว่ งทรพั ยส์ นิ ทขี่ ายไวไ้ ด้ แมใ้ นสญั ญาจะมกี ำ� หนดเงอ่ื นเวลาใหใ้ ชร้ าคา มสธตามมาตรา 469 ดงั กล่าว มดี งั ต่อไปนี้ 1) ผซู้ อื้ ลม้ ละลายกอ่ นสง่ มอบทรพั ยส์ นิ คำ� วา่ “ลม้ ละลาย” หมายความวา่ เปน็ ผทู้ มี่ หี นส้ี นิ ลน้ พน้ ตวั ซ่งึ ถูกศาลส่ังให้เปน็ บุคคลล้มละลายหรอื ถูกพิทักษท์ รพั ย์เดด็ ขาดแล้วนน่ั เอง 2) ผู้ซ้ือเป็นคนล้มละลายแล้วในเวลาซื้อขายโดยผู้ขายไม่รู้ กรณีนี้ในเวลาซ้ือขายผู้ขายต้องไม่รู้ มสธ มสธวา่ ผซู้ อื้ เปน็ บคุ คลลม้ ละลายอยแู่ ลว้ หากผซู้ อ้ื รอู้ ยแู่ ลว้ ในเวลาซอ้ื ขายวา่ ผซู้ อื้ เปน็ คนลม้ ละลาย เทา่ กบั ยอมรบั สภาพของผู้ซื้อ ซ่ึงเมื่อผู้ซื้อล้มละลายแล้วอ�ำนาจจัดการทรัพย์สินท้ังปวงย่อมตกแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ ทรัพย์ ตาม พ.ร.บ. ลม้ ละลาย พ.ศ. 2483 ฉะนนั้ กรณนี ผ้ี ขู้ ายตอ้ งไม่รูว้ ่าผซู้ ื้อเปน็ คนล้มละลายอยู่แล้ว ในเวลาซอื้ ขาย ผขู้ ายจงึ จะมสี ทิ ธิยึดหน่วงทรัพยส์ ินที่ขายได้ 3) ผู้ซ้ือกระท�ำให้หลักทรัพย์ท่ีให้ไว้เพื่อประกันการใช้เงินน้ันเสื่อมเสียหรือลดน้อยลง หมายถึง กรณีท่ีผู้ซื้อให้หลักทรัพย์ไว้เพ่ือประกันการใช้ราคา อาจเป็นการน�ำทรัพย์สินมาจ�ำนองหรือจ�ำน�ำไว้เป็น มสธประกัน แล้วผู้ซ้ือได้ท�ำให้ทรัพย์สินที่ประกันน้ันเส่ือมเสียหรือลดน้อยลง ซึ่งอาจเป็นการกระท�ำโดยจงใจ หรอื ประมาทเลินเลอ่ กไ็ ด7้ ตัวอย่าง ก. ทำ� หนงั สือสญั ญาซอื้ สนิ ค้าจาก ข. ในราคา 10,000 บาท เม่อื วนั ที่ 1 กุมภาพนั ธ์ เพ่อื นำ� ไป ขายตอ่ โดยก�ำหนดช�ำระราคาท้ังส้ินในวันท่ี 1 ธันวาคม ปีเดยี วกัน ก. ได้จำ� นองโกดงั สนิ คา้ ไวป้ ระกนั การ มสธ มสธช�ำระหน้ี แต่ ข. ยังไม่ทันได้ส่งมอบสินค้า คนงานของ ก. ประมาทเลินเล่อท�ำให้เกิดเพลิงไหม้โรงงาน ดงั กลา่ วเสียหายทั้งหมด เช่นน้ี ข. ชอบทจี่ ะยดึ หน่วงสนิ ค้าน้นั ไว้ได้ อย่างไรก็ดี ป.พ.พ. มาตรา 469 ดังกลา่ ว กำ� หนดบทยกเวน้ ไว้ “เวน้ แตผ่ ้ซู อื้ จะหาประกันตามที่ สมควรให้ได้” ซง่ึ อาจเปน็ การประกันด้วยบคุ คลหรือทรัพยก์ ไ็ ด้ แต่ตอ้ งเป็นประกันทีส่ มควร ตามตัวอย่าง ข้างต้น ก. อาจจะนำ� บ้านซึง่ มีราคาไมน่ ้อยกวา่ มลู หน้ีมาจำ� นองค้�ำประกันแทนโรงงาน เช่นน้ี ข. ยอ่ มไม่มี สิทธทิ ่ียดึ หน่วงสินคา้ ไว้ เพราะตอ้ งด้วยบทยกเว้นดงั กลา่ ว มสธ3. ผลของการยึดหน่วงทรัพย์สินที่ขาย ในเรอ่ื งของการยดึ หน่วงทรัพย์สนิ ที่ขายน้ี มบี ญั ญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 470 ดงั นี้ มาตรา 470 “ถ้าผู้ซ้ือผิดนัด ผู้ขายซ่ึงได้ยึดหน่วงทรัพย์สินไว้ตามมาตราทั้งหลายที่กล่าวมา อาจ จะใช้ทางแก้ต่อไปนี้แทนทางแก้สามัญในการไม่ช�ำระหน้ีได้ คือมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้ซื้อให้ใช้ราคา มสธ มสธกับทั้งค่าจับจ่ายเก่ียวกับการภายในเวลาอันควรซึ่งต้องก�ำหนดลงไว้ในค�ำบอกกล่าวนั้นด้วย” ถ้าผ้ซู ้อื ละเลยเสียไม่ทำ� ตามคำ� บอกกล่าว ผูข้ ายอาจนำ� ทรพั ย์สนิ นน้ั ออกขายทอดตลาดได้ ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว หากผซู้ อื้ ผดิ นดั ไมใ่ ชร้ าคา ผขู้ ายซง่ึ ไดย้ ดึ หนว่ งทรพั ยส์ นิ ทข่ี ายไวด้ งั กลา่ ว มาแล้ว อาจใชท้ างแก้ตอ่ ไปน้ี แทนทางแกส้ ามัญในการไมช่ �ำระหน้ี (คอื การฟ้องรอ้ งบงั คบั ช�ำระหน้ี) 1) มีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้ซ้ือให้ใช้ราคากับทั้งค่าจับจ่ายเกี่ยวกับการภายในเวลาอันสมควร ซึ่งตอ้ งกำ� หนดลงไว้ในค�ำบอกกลา่ วน้ันด้วย ท่เี รียกว่า “คา่ จบั จ่ายเกยี่ วการ” น้ัน (Incidental Charge) มสธ7 ประพนธ์ ศาตะมาน และไพจิตร ปญุ ญพนั ธ.ุ์ เรือ่ งเดียวกนั . หน้า 138.

สญั ญาซือ้ ขาย 2 4-25 หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่เสียไปในการรักษาทรัพย์สินท่ียึดหน่วงไว8้ เช่น ยึดหน่วงทรัพย์สินท่ีขายซึ่งเป็นโค มสธ50 ตวั ตอ้ งเสยี ค่าอาหาร คา่ จ้างคนงานในการดูแล เปน็ ตน้ 2) ถ้าผู้ซื้อละเลยไม่ท�ำตามค�ำบอกกล่าว ผู้ขายอาจน�ำทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 470 วรรคสอง ซ่ึงกฎหมายใหส้ ิทธิผขู้ ายเลอื กท่จี ะนำ� ทรัพยส์ นิ นนั้ ออกขายทอดตลาดหรอื ไม่กไ็ ด้ หากเลือกที่จะน�ำออกขายทอดตลาดก็ตอ้ งดำ� เนนิ การตาม ป.พ.พ. มาตรา 471 ดงั นี้ มสธ มสธมาตรา 471 “เม่ือขายทอดตลาดได้เงินเป็นจ�ำนวนสุทธิเท่าใด ให้ผู้ขายหักเอาจ�ำนวนท่ีค้างช�ำระ แก่ตนเพื่อราคาและค่าจับจ่ายเก่ียวการนั้นไว้ ถ้าและยังมีเงินเหลือ ก็ให้ส่งมอบแก่ผู้ซื้อโดยพลัน” ตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อผู้ขายเลือกท่ีจะน�ำทรัพย์สินท่ีขายออกขายทอดตลาด เม่ือขายทอด ตลาดแลว้ ไดเ้ งินสทุ ธิเท่าใด ตอ้ งด�ำเนินการ ดังนี้ (1) ใหผ้ ขู้ ายหกั เอาจำ� นวนทค่ี า้ งชำ� ระแกต่ นเพอื่ การใชร้ าคา และคา่ ใชจ้ า่ ยเกยี่ วกบั การดแู ล รักษาทรัพยส์ ินนนั้ มสธ(2) ถ้าและยังมีเงินเหลือ ต้องสง่ มอบใหแ้ ก่ผู้ซ้ือโดยพลนั กิจกรรม 4.1.2 ผขู้ ายชอบทจี่ ะยดึ หนว่ งทรพั ยส์ นิ ทขี่ ายไวไ้ ด้ แมใ้ นสญั ญาจะมกี ำ� หนดเงอ่ื นเวลาใหใ้ ชร้ าคา ในกรณี มสธ มสธใดบา้ง แนวตอบกิจกรรม 4.1.2 ผขู้ ายชอบทจ่ี ะยดึ หนว่ งทรพั ยส์ นิ ทขี่ ายไวไ้ ด้ แมใ้ นสญั ญาจะมกี ำ� หนดเงอ่ื นเวลาใหใ้ ชร้ าคา ในกรณี ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ผซู้ อื้ ลม้ ละลายกอ่ นสง่ มอบทรพั ยส์ นิ คำ� วา่ “ลม้ ละลาย” หมายความวา่ เปน็ ผทู้ มี่ หี นส้ี นิ ลน้ พน้ ตวั มสธซึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลลม้ ละลายหรอื ถูกพิทักษ์ทรัพย์เดด็ ขาดแลว้ นน่ั เอง 2) ผู้ซื้อเป็นคนล้มละลายแล้วในเวลาซ้ือขายโดยผู้ขายไม่รู้ กรณีน้ีในเวลาซื้อขายผู้ขายต้องไม่รู้ วา่ ผซู้ อื้ เปน็ บคุ คลลม้ ละลายอยแู่ ลว้ หากผซู้ อ้ื รอู้ ยแู่ ลว้ ในเวลาซอื้ ขายวา่ ผซู้ อื้ เปน็ คนลม้ ละลาย เทา่ กบั ยอมรบั สภาพของผู้ซ้ือ ซ่ึงเม่ือผู้ซื้อล้มละลายแล้วอ�ำนาจจัดการทรัพย์สินท้ังปวงย่อมตกแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ ทรัพย์ ตาม พ.ร.บ. ลม้ ละลาย พ.ศ. 2483 ฉะน้นั กรณีนผ้ี ู้ขายต้องไมร่ ู้วา่ ผู้ซอ้ื เป็นคนลม้ ละลายอยู่แล้วใน มสธ มสธเวลาซือ้ ขาย ผ้ขู ายจงึ จะมีสทิ ธิยึดหนว่ งทรัพยส์ ินที่ขายได้ 3) ผู้ซ้ือกระท�ำให้หลักทรัพย์ท่ีให้ไว้เพ่ือประกันการใช้เงินน้ันเสื่อมเสียหรือลดน้อยลง หมายถึง กรณีท่ีผู้ซ้ือให้หลักทรัพย์ไว้เพ่ือประกันการใช้ราคา อาจเป็นการน�ำทรัพย์สินมาจ�ำนองหรือจ�ำน�ำไว้เป็น ประกัน แล้วผู้ซื้อได้ท�ำให้ทรัพย์สินท่ีประกันน้ันเส่ือมเสียหรือลดน้อยลง ซ่ึงอาจเป็นการกระท�ำโดยจงใจ หรอื ประมาทเลินเล่อกไ็ ด้ มสธ8 เรื่องเดียวกัน. หนา้ 142.

4-26 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซือ้ ขาย เชา่ ทรัพย์ เชา่ ซอื้ มสธเรื่องที่ 4.1.3 ความรับผิดของผู้ชาย มสธ มสธในเร่อื งความรบั ผิดของผขู้ ายน้ี จะได้จ�ำแนกอธบิ ายออกเปน็ 3 หวั ขอ้ คือ (1) ความรบั ผิดเพื่อ ความช�ำรุดบกพร่อง (2) ความรับผิดในการรอนสิทธิ และ (3) ขอ้ สัญญาวา่ จะไม่ตอ้ งรับผิด 1. ความรับผิดเพื่อความช�ำรุดบกพร่อง ในเรื่องความรับผิดเพ่ือความช�ำรุดบกพร่องน้ี จะได้จ�ำแนกอธิบายออกเป็น 3 หัวข้อ คือ (1) หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อความช�ำรุดบกพร่อง (2) ข้อยกเว้นความรับผิดเพื่อความช�ำรุดบกพร่อง มสธและ (3) อายคุ วามฟ้องร้องบงั คับคดี 1.1 หลักเกณฑ์ความรับผิดเพ่ือความช�ำรุดบกพร่อง ความรบั ผดิ เพอ่ื ความชำ� รดุ บกพรอ่ ง มบี ทบญั ญตั กิ ำ� หนดหลกั เกณฑไ์ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 472 ดงั นี้ มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายน้ันช�ำรุดบกพร่องอย่างหน่ึงอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อม ราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ท่ีมุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี มสธ มสธท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด ความท่ีกล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความช�ำรุดบกพร่องมีอยู่” ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว อาจจำ� แนกหลกั เกณฑค์ วามรบั ผดิ เพอื่ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งได้ 3 ประการ คอื (1) ทรพั ยส์ นิ ทขี่ ายมคี วามชำ� รดุ บกพรอ่ ง (2) เปน็ เหตใุ หเ้ สอ่ื มราคา เสอื่ มความเหมาะสมแกป่ ระโยชน์ อันมงุ่ จะใชเ้ ป็นปกติ หรือประโยชน์ที่มงุ่ หมายโดยสญั ญา และ (3) ผขู้ ายต้องรับผิด 1.1.1 ทรพั ย์สนิ ทขี่ ายมีความช�ำรดุ บกพร่อง ซงึ่ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งดงั กลา่ วตอ้ งมลี กั ษณะ มสธดงั ต่อไป 1) เปน็ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งทม่ี อี ยกู่ อ่ นแลว้ หรอื มอี ยใู่ นขณะทำ� สญั ญาซอ้ื ขายหรอื ใน เวลาสง่ มอบทรัพยส์ นิ ท่ีขาย ซ่ึงจะตอ้ งมใิ ช่ความชำ� รดุ บกพร่องท่เี กิดขน้ึ ภายหลังจากการใช้งานตามปกติ อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2514 ความช�ำรุดบกพร่องในทรัพย์สินซึ่งขาย อันผู้ขาย มสธ มสธจะตอ้ งรบั ผิดตอ่ ผซู้ ือ้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 นน้ั จะต้องเปน็ ความช�ำรดุ บกพรอ่ งที่มีอยูก่ อ่ นแล้ว หรอื มีอยู่ในขณะท�ำสัญญาซอื้ ขาย หรอื ในเวลาสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทข่ี าย สว่ นความชำ� รดุ บกพรอ่ งทมี่ ขี นึ้ ภายหลงั ผขู้ ายหาตอ้ งรบั ผดิ ไม่ เครื่องปรบั อากาศท่โี จทกต์ ิดตง้ั ที่ภัตตาคารของจ�ำเลยให้ความเย็นเรยี บรอ้ ยดนี ับแต่ เวลาติดตั้งตลอดมาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน แสดงให้เห็นว่าเคร่ืองปรับอากาศดังกล่าวมิได้มีความช�ำรุด บกพรอ่ งอยกู่ อ่ น หรอื ในขณะทำ� สญั ญาซอื้ ขาย หรอื ในเวลาสง่ มอบเลย ฉะนนั้ ทเ่ี ครอ่ื งปรบั อากาศใหค้ วาม เยน็ ไมพ่ อในเวลาตอ่ มา จงึ เปน็ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งทม่ี ขี น้ึ ภายหลงั จากทจี่ ำ� เลยไดร้ บั มอบและใชป้ ระโยชน์ มสธมาไมน่ ้อยกว่า 3-4 เดือน โจทก์หาต้องรับผิดในความชำ� รดุ บกพรอ่ งนไี้ ม่

สญั ญาซ้ือขาย 2 4-27 ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2545 ความชำ� รดุ บกพรอ่ งของทรพั ยส์ นิ ทขี่ ายอนั ผขู้ ายจะ มสธตอ้ งรับผิดตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 472 น้นั จะตอ้ งเปน็ ความช�ำรดุ บกพรอ่ งที่มอี ยู่ กอ่ นแลว้ หรอื มอี ยใู่ นขณะทำ� สญั ญาซอื้ ขายหรอื ในเวลาสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทขี่ าย สว่ นความชำ� รดุ บกพรอ่ งท่ี มีข้ึนภายหลังผู้ขายหาต้องรับผิดไม่ ปรากฏว่าก่อนที่จ�ำเลยรับมอบเครื่องผลิตไอศกรีมพิพาทจากโจทก์ จ�ำเลยไดต้ รวจสอบการทำ� งานของเคร่อื งแล้ว ซึ่งสามารถใชก้ ารได้ดี แสดงว่าเคร่ืองผลติ ไอศกรีมดงั กล่าว มสธ มสธมไิ ดม้ คี วามชำ� รดุ บกพรอ่ งอยกู่ อ่ นหรอื ในขณะทำ� สญั ญาซอื้ ขายหรอื ในเวลาสง่ มอบ ดงั นน้ั การทเ่ี ครอื่ งผลติ ไอศกรีมพิพาทเกิดช�ำรุดบกพร่องหลังจากใช้งานไปได้เกือบ 1 ปี จึงเป็นความช�ำรุดบกพร่องที่มีขึ้นภาย หลงั อนั เกดิ จากการใชง้ าน โจทกห์ าตอ้ งรบั ผดิ ในความชำ� รดุ บกพรอ่ งนไ้ี ม่ จำ� เลยจงึ ไมม่ สี ทิ ธยิ ดึ หนว่ งราคา ท่ียังไม่ได้ช�ำระตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 488 2) เป็นความช�ำรุดบกพร่องของตัวทรัพย์สินนั้น มิใช่เร่ืองการช�ำระหน้ีไม่ต้องตาม ความประสงค์แห่งมูลหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 215 รวมท้ังมิใช่กรณีการส่งมอบทรัพย์สินท่ีขายขาดตก มสธบกพรอ่ งหรอื ล�้ำจำ� นวน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 365 และมาตรา 366 ดงั กล่าวมาแล้ว อุทาหรณ์ คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 9653/2539 จำ� เลยตกลงซอ้ื กระดาษจากโจทกท์ ม่ี นี า้ํ หนกั แผน่ ละ 270 แกรม แตโ่ จทกส์ ่งให้แก่จำ� เลยมนี า้ํ หนักแผน่ ละ 250 แกรม ผิดจากชนดิ ทีต่ กลงกัน ถือได้วา่ ไม่ชำ� ระ หนี้ตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหน้ี ไม่ใช่เร่ืองเกิดความช�ำรุดบกพร่องในทรัพย์สินท่ีขายเพราะ มสธ มสธการช�ำระหน้ีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 ต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยการ ไม่ชำ� ระหนโี้ ดยทัว่ ไป 3) เป็นความช�ำรุดบกพร่องที่ผู้ขายจะรู้อยู่แล้ว หรือไม่รู้ว่าความช�ำรุดบกพร่องน้ันมี อยู่หรือไม่ หรือผู้ขายจะคาดหมายได้หรือไม่ก็ไม่ส�ำคัญ เพียงแต่ผู้ซื้อต้องไม่รู้ หากผู้ซื้อรู้อยู่แล้วจะเป็น ขอ้ ยกเว้นความรับผิด ซ่ึงจะไดก้ ล่าวต่อไป อุทาหรณ์ มสธค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3496/2538 บตั รรบั ประกันในการซื้อขายรถมีข้อยกเวน้ ความ รับผิดในความเสียหายซ่ึงเกิดจากอุบัติเหตุเมื่อสาเหตุไฟลุกไหม้เกิดจากความช�ำรุดบกพร่องของระบบไฟ เปน็ เหตใุ หเ้ ครอื่ งยนตข์ องรถยนตค์ นั พพิ าทไดร้ บั ความเสยี หายมไิ ดเ้ กดิ จากการขบั รถโดยประมาทเลนิ เลอ่ ชนกับรถคันอ่ืนหรือวัตถุสิ่งของอื่นในถนน แม้เป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมายของโจทก์และจ�ำเลย แตม่ ใิ ช่เกิดจากอุบตั เิ หตุจำ� เลยจงึ ต้องรับผดิ มสธ มสธแม้ในบัตรรับประกันจะระบุว่าโจทก์จะต้องน�ำรถมาซ่อมท่ีห้างจ�ำเลยเท่านั้นแต่เมื่อ โจทก์น�ำรถยนต์คันพิพาทไปจอดไว้ท่ีห้างจ�ำเลยเพ่ือซ่อมจ�ำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับผิดอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ โจทกจ์ ึงตอ้ งน�ำรถยนตค์ นั พิพาทไปจา้ งบรษิ ทั อน่ื ซ่อม ดังน้ี จำ� เลยตอ้ งรบั ผิดใช้ค่าซ่อมแก่โจทก์ คา่ ยกเครอ่ื ง ค่าเปลี่ยนฝากระโปรงหนา้ คา่ เคาะพ่นสี คา่ ยกรถและช้ินส่วนอปุ กรณ์ที่ มกี ารซอ่ มและเปลย่ี นใหมเ่ ปน็ ชน้ิ สว่ นอปุ กรณท์ จ่ี ำ� เปน็ ในการตดิ ตง้ั เครอื่ งยนตแ์ ละเปน็ สว่ นประกอบเพอ่ื ให้ รถอยใู่ นสภาพทเี่ หมาะสมแกป่ ระโยชนอ์ นั มงุ่ จะใชเ้ ปน็ ปกตชิ นิ้ สว่ นอปุ กรณต์ า่ งๆ ดงั กลา่ ว ไมถ่ อื วา่ อยนู่ อก มสธเหนือเงือ่ นไขของการรับประกัน

4-28 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซ้ือขาย เช่าทรพั ย์ เช่าซ้ือ 1.1.2 เป็นเหตุให้เสื่อมราคา เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ หรือ มสธประโยชน์ท่ีมุ่งหมายโดยสัญญา 1) เปน็ เหตใุ หเ้ สอื่ มราคา หมายถงึ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งนนั้ เปน็ เหตใุ หท้ รพั ยส์ นิ ทขี่ าย ราคาตกลง หรือไม่อาจนำ� ไปขายตอ่ ได้ในราคาตามปกติ อุทาหรณ์ มสธ มสธค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 903/2519 โจทกซ์ อ้ื สนิ คา้ ประเภทของใชจ้ ากจำ� เลย โดยรคู้ วาม มงุ่ หมายของกนั และกนั อยแู่ ลว้ วา่ ซอ้ื ไปเพอื่ จำ� หนา่ ยในสหรฐั อเมรกิ า สนิ คา้ เหลา่ นนั้ ชำ� รดุ บกพรอ่ งเนอ่ื งจาก จำ� เลยใชก้ าวทไี่ มม่ คี ณุ ภาพดมี าผลติ เปน็ เหตใุ หเ้ สอื่ มราคาหรอื ขายไมไ่ ด้ ดงั นนั้ จำ� เลยตอ้ งรบั ผดิ ในความ ชำ� รดุ บกพร่องตามมาตรา 472 ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3086/2540 ขณะทโ่ี จทกต์ กลงขายสนิ คา้ ใหจ้ ำ� เลย โจทกท์ ราบ ถงึ ความประสงคข์ องจำ� เลยอยแู่ ลว้ วา่ จำ� เลยซอ้ื สนิ คา้ จากโจทกเ์ พอื่ นำ� ไปตดั เยบ็ เปน็ เสอื้ ผา้ สำ� เรจ็ รปู สง่ ไป มสธจำ� หนา่ ยในตา่ งประเทศ เมอ่ื ทรพั ยส์ นิ ซงึ่ ขายนนั้ ชำ� รดุ บกพรอ่ งเพราะสขี องผา้ ตกซงึ่ เปน็ ผลอนั เนอ่ื งมาจาก การนำ� สที ไี่ มม่ คี ณุ ภาพมาใชใ้ นการผลติ ทำ� ใหส้ นิ คา้ นน้ั เสอ่ื มราคา ผซู้ อื้ ในตา่ งประเทศปฏเิ สธไมย่ อมรบั ซอ้ื สนิ คา้ นน้ั จนจำ� เลยจำ� ตอ้ งลดราคาให้ ผซู้ อื้ จงึ ยอมรบั ซอ้ื โจทกซ์ งึ่ เปน็ ผขู้ ายตอ้ งรบั ผดิ ในความชำ� รดุ บกพรอ่ ง ของสนิ ค้าน้นั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 472 วรรคแรก 2) เปน็ เหตใุ หเ้ สอื่ มความเหมาะสมแกป่ ระโยชนอ์ นั มงุ่ จะใชเ้ ปน็ ปกติ หมายถงึ ความ มสธ มสธช�ำรดุ บกพรอ่ งน้นั เป็นเหตุให้ทรพั ยส์ นิ ทีข่ ายใช้ประโยชน์ไมไ่ ด้ตามปกติของทรัพยส์ ินนนั้ ๆ นัน่ เอง อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6144/2538 โจทก์ท�ำสัญญาจ้างจ�ำเลยต่อเรือตรวจการและรับ เรือแล้ว แต่เรือช�ำรุดเสียหาย โจทก์ได้ว่าจ้างบุคคลภายนอกซ่อมแซมเป็นเงิน 1,159,330 บาท และเรือ พิพาทช�ำรุดเสียหายใช้การไม่ได้จนถึงวันซ่อมเสร็จประมาณ 4 ปี เสียหายเป็นเงิน 300,000 บาท ดังนั้น เม่ือเรือพิพาทช�ำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ท่ีโจทก์มุ่งท่ีจะใช้ตามปกติ มสธจ�ำเลยจึงต้องงรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 595 ประกอบมาตรา 472 หมายเหตุ กรณีน้ีเป็นเร่ืองจ้างท�ำของ แต่ความรับผิดในความช�ำรุดบกพร่องนั้น กฎหมายใหใ้ ชบ้ งั คบั ตามลกั ษณะซอื้ ขาย ฉะนน้ั หากขอ้ เทจ็ จรงิ เปน็ เรอ่ื งของสญั ญาซอื้ ขายกม็ ลี กั ษณะเชน่ เดยี วกัน อุทาหรณ์ มสธ มสธค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6976/2542 โจทก์ฟ้องเรียกให้จ�ำเลยช�ำระราคาค่าปลาป่นท่ี จำ� เลยคา้ งชำ� ระแกโ่ จทก์ จำ� เลยใหก้ ารตอ่ สวู้ า่ ปลาปน่ ทโี่ จทกส์ ง่ มอบใหแ้ กจ่ ำ� เลยมสี ง่ิ อนื่ เจอื ปน ทำ� ใหจ้ ำ� เลย ไดร้ บั ความเสยี หายมากกวา่ จำ� นวนทโ่ี จทกเ์ รยี กรอ้ ง ขอใหย้ กฟอ้ ง เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ หลงั จากจำ� เลย ได้รับปลาป่นท่มี ีขนไก่ปลอมปนแล้ว จ�ำเลยยงั สงั่ ซื้อปลาปน่ จากโจทกต์ อ่ ไปอกี 30 คนั รถบรรทกุ แสดงว่า แม้ปลาป่นของโจทก์จะมีขนไก่ปลอมปนอยู่บ้างก็น่าจะเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงกับท�ำให้ไก่ของจ�ำเลยเจริญ มสธเติบโตช้ากว่าปกติ การที่ปลาป่นมีขนไก่ปลอมปนอยู่จึงไม่ถึงกับถือได้ว่าเป็นกรณีทรัพย์สินท่ีขายช�ำรุด

สัญญาซ้ือขาย 2 4-29 บกพร่องอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเส่ือมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติในอันที่โจทก์ มสธผูข้ ายจะต้องรบั ผดิ ตอ่ จ�ำเลยผ้ซู ้ือ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 472 3) เปน็ เหตใุ หเ้ สอื่ มประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมายโดยสญั ญา หมายถงึ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งนนั้ เป็นเหตุใหท้ รัพย์สินทีข่ ายใช้ประโยชนไ์ มไ่ ดต้ ามวัตถปุ ระสงคข์ องสญั ญาซ้ือขายนน่ั เอง คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 5581/2533 โจทกซ์ อื้ กระปอ๋ งสำ� หรบั บรรจปุ ลากบั นา้ํ ซอสมะเขอื มสธ มสธเทศ จากจำ� เลย เมอ่ื กระปอ๋ งดงั กลา่ วเปน็ สนมิ และมคี วามชำ� รดุ บกพรอ่ งอยา่ งอนื่ ซง่ึ เปน็ ผลมาจากการผลติ ของจ�ำเลย อันเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาจ�ำเลยต้องรับผิดชดใช้ คา่ เสยี หายให้โจทกต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 472 2.1.3 ผู้ขายต้องรับผิด ทรัพย์สินท่ีขายช�ำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดดังท่ีกล่าวมาแล้ว ผขู้ ายตอ้ งรบั ผดิ ความรบั ผดิ ดงั กลา่ วผขู้ ายอาจตอ้ งคนื ราคา นอกจากน้ี ยงั อาจตอ้ งรบั ผดิ ในผลแหง่ ความ เสียหายท่ีผู้ซื้อได้รับนอกจากราคาทรัพย์ด้วยก็ได้ 9 มสธอุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1614/2522 เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ขายท�ำงานได้ระบบเดียว อีก 6 ระบบ ท�ำงานไม่ได้ตามสญั ญา ผู้ซอ้ื เลิกสญั ญาได้ศาลใหค้ ืนเคร่ืองคอมพิวเตอร์ผซู้ ้อื ไมต่ อ้ งใชร้ าคา แต่ให้ ใช้คา่ ใชท้ รพั ย์ทใี่ ชไ้ ด้ 1 ระบบ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2522 ผู้ขายส่งมอบทรัพย์ช�ำรุดบกพร่อง เท่ากับไม่ช�ำระหน้ี มสธ มสธตามสญั ญา ผซู้ อ้ื เลกิ สญั ญาและเรยี กคา่ เสยี หายได้ ผขู้ ายตอ้ งใหผ้ ซู้ อื้ กลบั คนื สฐู่ านะเดมิ ผขู้ ายไมร่ บั สนิ คา้ คนื ไม่ปรากฏว่าสินคา้ ทไ่ี ม่รับคนื มรี าคาเท่าใด ศาลใหผ้ ูข้ ายใชร้ าคาคนื และคา่ เสียหายเต็มจ�ำนวน ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 66-67/2547 บา้ นทจ่ี ำ� เลยซอ้ื จากโจทก์ช�ำรุดบกพรอ่ ง และโจทก์ไม่ ไดซ้ อ่ มแซมใหเ้ รยี บร้อย เม่ือเกดิ ความช�ำรุดบกพร่องในทรัพยส์ นิ ทีซ่ อ้ื ขาย ผู้ขายตอ้ งรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 ส่วนจ�ำเลยผู้ซื้อชอบท่ีจะยึดหน่วงราคาท่ียังไม่ได้ช�ำระท้ังหมดหรือบางส่วน เว้นแต่ผู้ขาย จะหาประกนั ที่สมควรให้ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 488 มสธคำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 5569/2551 โจทกม์ อบอำ� นาจให้ ข. ทำ� สญั ญาจะซอ้ื จะขายทาวนเ์ ฮาส์ 3 ชนั้ พรอ้ มทด่ี นิ กับจำ� เลยในราคา 1,900,000 บาท จ�ำเลยได้ชำ� ระเงนิ ใหแ้ กโ่ จทกใ์ นวนั ท�ำสญั ญาจำ� นวน 100,000 บาท ส่วนทีเ่ หลือแบง่ ชำ� ระเป็น 6 งวด โดยจ�ำเลยได้เขา้ อยู่อาศัยในบ้านดงั กล่าวและจำ� เลยช�ำระ เงินให้โจทก์เป็นเวลา 5 งวด เมื่อทาวน์เฮ้าส์ท่ีโจทก์ส่งมอบให้แก่จ�ำเลยมีความช�ำรุดบกพร่องหลายแห่ง จำ� เลยจงึ มีสทิ ธิใหโ้ จทกแ์ กไ้ ขความชำ� รุดบกพรอ่ งและยึดหน่วงยังไม่ต้องชำ� ระราคาค่าซ้อื ในงวดสุดท้ายได้ มสธ มสธการที่จ�ำเลยยังไม่ช�ำระราคาค่าซอ้ื งวดสุดทา้ ย เพราะโจทกย์ ังมิไดแ้ กไ้ ขความช�ำรดุ บกพรอ่ งจึงถือไมไ่ ดว้ า่ จำ� เลยผดิ สญั ญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 และมาตรา 488 มสธ9 เรือ่ งเดยี วกนั . หน้า 147

4-30 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซ้ือขาย เชา่ ทรพั ย์ เชา่ ซือ้ 1.2 ข้อยกเว้นความรับผิดเพื่อความช�ำรุดบกพร่อง มสธในเรอ่ื งขอ้ ยกเวน้ ทผี่ ขู้ ายไมต่ อ้ งรบั ผดิ เพอื่ ความชำ� รดุ บกพรอ่ ง มบี ญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 473 ดงั นี้ มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ (1) ถ้าผู้ซ้ือได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความช�ำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นน้ัน มสธ มสธหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน (2) ถ้าความช�ำรุดบกพร่องน้ันเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอา ทรัพย์สินน้ันไว้โดยมิได้อิดเอ้ือน (3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด” ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วเปน็ ไปตามหลกั กฎหมายทวั่ ไปในเรอื่ งซอ้ื ขายทว่ี า่ “ผซู้ อ้ื ตอ้ งระวงั ” (caveat emptor) นัน่ เอง กล่าวคือ ตามบทบญั ญตั ดิ ังกลา่ ว และตาม ป.พ.พ. มาตรา 483 ผู้ขายไม่ต้อง มสธรบั ผิดหากเข้ากรณีหนึง่ กรณีใดใน 4 กรณี ดังต่อไปน้ี 1.2.1 ผซู้ อื้ รอู้ ยแู่ ลว้ แตใ่ นเวลาซอื้ ขายวา่ มคี วามชำ� รดุ บกพรอ่ ง หรอื ควรจะไดร้ เู้ ชน่ นนั้ หาก ได้ใช้ความระมัดระวังอันพึงจะคาดหมายได้แต่วิญญูชน การที่ผู้ซื้ออยู่แล้วต้ังแต่ในเวลาท�ำสัญญาซื้อขาย เป็นการแสดงว่าผู้ซ้ือตกลงซื้อทรัพย์สินนั้นตามสภาพน่ันเอง เช่น ก. ซ้ือรถยนต์คันหนึ่งจาก ข. โดยรู้ อยู่แล้วว่าเคร่ืองยนต์หลวมแล้ว ถ้าจะให้ใช้งานได้ดีต้องไปยกเครื่องใหม่ ดังนี้ หลังจากซ้ือขายแล้ว ก. มสธ มสธจะเรียกให้ ข. รบั ผิดในความชำ� รดุ บกพรอ่ งโดยตอ้ งซ่อมแซมยกเครอื่ งใหใ้ หม่ไมไ่ ด้ เปน็ ตน้ ส�ำหรับ ควรจะได้รู้ก่อนน้ันหากได้ใช้ความระมัดระวังอันพึงจะคาดหมายได้แต่วิญญูชน ค�ำว่า “วิญญูชน” หมายความว่า บุคคลซ่ึงผู้รู้ผิดรู้ชอบตามปกติ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554) กรณีน้ีผู้ซ้ือควรจะได้รู้ถึงความช�ำรุดบกพร่องน้ัน หากได้ใช้ความระมัดระวังตามควรอย่าง บคุ คลปกตทิ ว่ั ไปนนั่ เอง เช่น ก. ซ้อื รถยนตค์ นั หนง่ึ จาก ข. โดยกนั ชนท้ายมีรอยบุบจากการเฉ่ยี วชน ก. ได้ทดลองขับแล้ว แต่ไม่ไดด้ กู ันชนทา้ ยจงึ ไมเ่ หน็ รอยบบุ น้ัน ดงั น้ี ก. จะเรยี กให้ ข. รบั ผดิ ในความช�ำรุด มสธบกพรอ่ งโดยใหซ้ อ่ มแซมกนั ชนทา้ ยที่ถกู เฉย่ี วชนนนั้ ไม่ได้ เพราะหากใชค้ วามระมัดระวงั อย่างบคุ คลปกติ ท่วั ไปในการซือ้ รถยนตโ์ ดยเดินดูรอบตัวรถยนตก์ จ็ ะเห็นรอยกนั ชนทา้ ยถกู เฉ่ยี วชนนั้นได้อยู่แล้ว เป็นตน้ 1.2.2 ความช�ำรุดบกพร่องน้ันเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอา ทรัพย์สินน้ันไว้โดยมิได้อิดเอ้ือน ค�ำว่า “มิได้อิดเอื้อน” (Reservation) หมายถึง มิได้โต้แย้งหรือ สงวนสิทธิไ์ ว้ ฉะนน้ั หากความชำ� รดุ บกพรอ่ งนนั้ เป็นอันเหน็ ประจักษแ์ ลว้ ในเวลาสง่ มอบ และผู้ซ้อื รบั เอา มสธ มสธทรัพย์สินน้ันไว้โดยมไิ ดโ้ ต้แย้งหรือสงวนสิทธิไ์ วแ้ ต่ประการใด ผขู้ ายยอ่ มไม่ตอ้ งรับผดิ ซึ่งเป็นไปตามหลกั “กฎหมายปดิ ปาก” (Estoppel) นนั่ เอง เชน่ ก. ซอื้ โตะ๊ หมบู่ ชู าไมส้ กั แกะลายขาสงิ หจ์ าก ข. ชดุ หนงึ่ ขณะ ส่งมอบ ก. เห็นอยู่แล้วว่าขาโต๊ะตัวหนึ่งมีรอยบิ่น แต่โต๊ะท้ังชุดสวยมาก ก. จึงรับไว้โดยมิได้โต้แย้งหรือ มสธสงวนสทิ ธป์ิ ระการใด ดงั นี้ ภายหลงั ข. จะเรยี กให้ ก. รบั ผดิ ในความชำ� รดุ บกพรอ่ งดงั กลา่ วหาไดไ้ ม่ เปน็ ตน้

สัญญาซือ้ ขาย 2 4-31 ข้อสังเกต มสธ(1) กรณสี ง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทซ่ี อ้ื ขายซงึ่ มปี รมิ าณมาก การทผี่ ซู้ อ้ื รบั มอบสนิ คา้ นน้ั ไวก้ อ่ นแลว้ จงึ พบความชำ� รดุ บกพรอ่ งในภายหลัง ผู้ขายจะอา้ งวา่ ผู้ซ้อื รบั มอบทรพั ย์สนิ โดยมิได้อดิ เออ้ื นหาได้ไม่ อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8604/2549 สิ่งของบางส่วนในจ�ำนวนท้ังหมดท่ีโจทก์ส่งมอบให้แก่ มสธ มสธจำ� เลยตามสญั ญามคี วามชำ� รดุ บกพรอ่ ง แมจ้ ำ� เลยจะรบั มอบสงิ่ ของจากโจทกซ์ ง่ึ มจี ำ� นวนมากถงึ 8,988 ใบ แตก่ เ็ ปน็ การรบั มอบในลกั ษณะเปน็ แผน่ กระดาษซงึ่ จำ� เลยจะตอ้ งนำ� มาพบั เปน็ กลอ่ งเอง เมอ่ื สงิ่ ของมจี ำ� นวน มากถงึ 1 คันรถบรรทุก ความชำ� รดุ บกพรอ่ งนั้นจงึ ไม่อาจพึงพบไดใ้ นขณะเมอ่ื จ�ำเลยรับมอบ อนั จะถือวา่ จำ� เลยยอมรบั มอบการท่ีทำ� จากโจทกแ์ ลว้ โดยมไิ ด้อิดเอ้ือนหาไดไ้ ม่ (2) กรณีการผุกร่อนของเหล็กเส้นท่ีถูกสนิมกัดกินคานบ้าน เป็นความช�ำรุดบกพร่องท่ีไม่ อาจถอื ไดว้ า่ ผซู้ อ้ื รอู้ ยแู่ ลว้ ในเวลาซอื้ ขาย หรอื ควรจะไดร้ เู้ ชน่ นน้ั หากไดใ้ ชค้ วามระมดั ระวงั อนั พงึ คาดหมาย มสธได้แตว่ ญิ ญูชน ตามมาตรา 473 (1) และมใิ ช่ความชำ� รดุ บกพรอ่ งเป็นอนั เห็นประจักษ์แลว้ ในเวลาสง่ มอบ และผูซ้ ้ือรับเอาไว้โดยมิได้อิดเอ้ือน ตามมาตรา 473 (2) แต่ประการใด อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17002/2555 การผกุ รอ่ นของเหลก็ เสน้ ทถ่ี กู สนมิ กดั กนิ คานบา้ นเปน็ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งทเ่ี ปน็ เหตเุ สอ่ื มราคาและเสอ่ื มความเหมาะสมแกป่ ระโยชนอ์ นั มงุ่ จะใชเ้ ปน็ ปกติ แมก้ อ่ น มสธ มสธจะมีการโอนกรรมสิทธ์ิและส่งมอบบ้านให้แก่โจทก์นั้น โจทก์ได้เข้าไปตรวจดูบ้านถึง 4 คร้ัง กับใช้กล้อง วิดีโอถ่ายสภาพบ้านน�ำไปให้ญาติของโจทก์ช่วยกันพิจารณาสภาพบ้านด้วยก็ตาม แต่ในส่วนโครงเหล็ก ของคานชน้ั 2 อยบู่ รเิ วณเหนอื ฝา้ การจะตรวจดตู อ้ งทบุ แลว้ รอ้ื ฝา้ ออกจงึ จะพบเหน็ ไมใ่ ชก่ รณที คี่ วามชำ� รดุ บกพร่องน้ันเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบและโจทก์ผู้ซ้ือทรัพย์รับเอาบ้านไว้โดยมิได้อิดเอื้อน ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้ขอเปิดฝ้าเพื่อตรวจดูคานน้ัน ก็เป็นเร่ืองปกติของคนท่ัวไปที่ไม่น่าจะคาดคิดว่าคาน บ้านชั้น 2 ซ่ึงไม่ได้อยู่ใกล้พื้นดินหรือความช้ืนจะเกิดสนิมที่เหล็กเส้นจนผุกร่อน จนต้องขอเปิดฝ้าดูเพื่อ มสธตรวจสอบ กรณนี ้ีจึงไม่อาจถือไดว้ ่าโจทกผ์ ้ซู อ้ื ได้รอู้ ย่แู ล้วแต่ในเวลาซ้อื ขายวา่ มคี วามชำ� รุดบกพรอ่ ง หรือ ควรจะได้รู้เช่นน้ันหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน อันจะท�ำให้จ�ำเลยท้ังสอง ผขู้ ายไมต่ อ้ งรับผดิ ในความช�ำรุดบกพรอ่ งในกรณดี ังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 473(1) และ (2) 1.2.3 ทรพั ย์สินน้ันได้ขายทอดตลาด ซงึ่ กฎหมายเหน็ วา่ เปน็ การซือ้ ขายโดยเปดิ เผย และ เปน็ การขายทรพั ยส์ นิ ตามสภาพ ผปู้ ระมลู สรู้ าคาไดต้ ามใจสมคั ร เปน็ การเสย่ี งประมลู ซอื้ ไปเอง จงึ ไมค่ วรให้ มสธ มสธผขู้ ายรบั ผดิ 10 ฉะนนั้ การซอ้ื ทรพั ยส์ นิ จากการขายทอดตลาดไมว่ า่ จะเปน็ การขายทอดตลาดตามคำ� สง่ั ศาล หรือค�ำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย หรือจากการขายทอดตลาดของเอกชนก็ตาม ผขู้ ายไม่ตอ้ งรบั ผดิ ในความชำ� รุดบกพร่องแตป่ ระการใด เชน่ ก. ซ้อื รถยนต์จาก ข. ในการขายทอดตลาด ขณะ ก. ขับรถยนต์นัน้ ออกจากสถานที่ขายทอดตลาด ปรากฏวา่ ความร้อนขึน้ สูงจนเครื่องยนตน์ ็อค ดังนี้ ก. จะเรยี กให้ ข. รับผดิ ในความช�ำรุดบกพร่องดังกลา่ วหาไดไ้ ม่ เพราะเปน็ การซื้อทรัพย์สินจากการขาย ตลาด เปน็ ตน้ มสธ10 ไพจิตร ปุญญพันธ์ุ. เอกสารการสอนชุดวิชากฎหมายพาณิชย์ 1. หนา้ 79.

4-32 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซอ้ื ขาย เชา่ ทรพั ย์ เช่าซ้อื 1.2.4 คู่สัญญาซ้ือขายตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพื่อความช�ำรุดบกพร่องตาม ป.พ.พ. มสธมาตรา 483 เปน็ บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทเี่ ปดิ ชอ่ งใหค้ สู่ ญั ญาตกลงยกเวน้ ความรบั ผดิ ของผขู้ ายเพอื่ ความ ชำ� รดุ บกพร่องได้โดยตรง แต่ก็ตอ้ งอยภู่ ายในบังคับของ ป.พ.พ. มาตรา 484 และมาตรา 485 ซง่ึ จะได้ กล่าวต่อไป 1.3 อายุความฟ้องร้องบังคับคดี มสธ มสธในเรอื่ งอายคุ วามฟอ้ งรอ้ งบงั คบั คดเี พอื่ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งน้ี มบี ญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 474 ดงั นี้ มาตรา 474 “ในข้อรับผิดเพ่ือช�ำรุดบกพร่องนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเม่ือพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่ เวลาที่ได้พบเห็นความช�ำรุดบกพร่อง” ตามบทบญั ญัติดังกลา่ ว ความรับผดิ เพ่ือความชำ� รุดบกพรอ่ งนัน้ มิให้ฟอ้ งคดีเม่อื พน้ 1 ปี นับแต่ เวลาที่ได้พบเห็นความช�ำรุดบกพร่อง มิใช่นับแต่เวลาที่ท�ำสัญญาซื้อขาย เวลาโอนกรรมสิทธ์ิ หรือเวลา มสธสง่ มอบ อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2522 ข้อสัญญาว่าถ้ากระป๋องที่ขายช�ำรุดใช้การไม่ได้ ผู้ขายรับคืน และใช้ราคาเป็นเรอ่ื งรบั ผดิ ในความช�ำรดุ บกพรอ่ ง มอี ายุความ 1 ปี ตามมาตรา 474 ไม่ใช่อายคุ วาม 2 ปี ตามมาตรา 165(1)11 มสธ มสธค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3185/2531 การทโี่ จทกฟ์ ้องให้จ�ำเลยชำ� ระค่าใช้จา่ ยทโี่ จทก์เสียไปในการ ซอ่ มแซมหมอ้ แปลงไฟฟา้ ทจ่ี ำ� เลยขายใหโ้ จทก์ ซง่ึ เกดิ ชำ� รดุ ขน้ึ ภายในระยะเวลาทจ่ี ำ� เลยจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบ เป็นการฟ้องจ�ำเลยให้รับผิดเพ่ือช�ำรุดบกพร่อง มิใช่เป็นการฟ้องให้จ�ำเลยปฏิบัติตามสัญญาซ้ือขาย หรือ เลิกสัญญากับจ�ำเลย โจทก์จึงฟ้องจ�ำเลยภายใน 1 ปี นับแต่เวลาท่ีได้พบเห็นความช�ำรุดบกพร่อง ตาม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 474 ข้อสังเกต มสธ(1) ท่ีว่ามิใช่ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหน่ึงนับแต่เวลาได้ “พบเห็น” ความช�ำรุดบกพร่องน้ัน การจะถอื วา่ พบเหน็ เมอื่ ใดนน้ั ในบางกรณี เชน่ เรอ่ื งการกอ่ สรา้ งตอ้ งนบั แตเ่ วลาทปี่ รากฏผลการตรวจสอบ ของผ้มู วี ชิ าชพี เปน็ ส�ำคัญ อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5584/2544 ความช�ำรุดบกพร่องของห้องชุดท่ีโจทก์ซื้อจากจ�ำเลย มสธ มสธเกดิ ผนงั แตกรา้ วระหวา่ งกำ� แพงทเ่ี ปน็ ปนู หรอื สว่ นทเ่ี ปน็ พน้ื กบั วงกบอะลมู เิ นยี มของบานประตหู นา้ ตา่ งตอ่ ไมส่ นทิ หรอื ยาซลิ โิ คนไมท่ ว่ั ทำ� ใหน้ า้ํ ฝนสามารถซมึ เขา้ มาจงึ จะรู้ แมโ้ จทกม์ อบใหต้ วั แทนโจทกเ์ ขา้ ไปสำ� รวจ เมื่อเดือนกันยายน 2538 ก็เป็นการตรวจสอบเพียงว่ามีทรัพย์สินใดเสียหายบ้าง แต่บุคคลดังกล่าวไม่มี ความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้าง ท้ังในระหว่างน้ันโจทก์ได้ว่าจ้างให้บุคคลอื่นท�ำการตกแต่งภายในอยู่ด้วยจึง อาจมกี ารตอกตะปู ใชส้ วา่ นเจาะหรอื อนื่ ใด ซง่ึ เปน็ สาเหตใุ หเ้ กดิ รอยแตกรา้ วได้ การทโี่ จทกว์ า่ จา้ งใหบ้ รษิ ทั มสธ11 ปจั จบุ นั คอื มาตรา 193/34.

สญั ญาซอื้ ขาย 2 4-33 อ. ซง่ึ มคี วามรเู้ ช่ยี วชาญเข้าไปตรวจสอบให้แน่ชดั จะถือวา่ โจทก์พบเหน็ ความชำ� รุดบกพรอ่ งแล้วแต่เวลา มสธน้ันยงั ไมไ่ ด้ เมอ่ื บรษิ ทั อ. ตรวจสอบเสร็จและเสนอรายการซ่อมใหโ้ จทกท์ ราบเม่อื วนั ท่ี 30 ตลุ าคม 2538 จงึ ถอื ไดว้ า่ โจทกพ์ บเหน็ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งนบั แตเ่ วลานนั้ โจทกฟ์ อ้ งเมอ่ื วนั ที่ 28 ตลุ าคม 2539 ยงั ไมพ่ น้ เวลาปีหนึ่งนบั แตว่ นั ดังกลา่ ว จึงไม่ขาดอายคุ วาม (2) การที่ผู้ขายรับทรัพย์สินท่ีขายไปซ่อมแซม อายุความย่อมสะดุดหยุดลง หากยังช�ำรุด มสธ มสธบกพรอ่ งอยู่อกี ต้องเริ่มนบั อายคุ วาม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 474 ใหม่ อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2539 โจทก์ผู้ซ้ือพบเสื้อเกยี ร์แตกครง้ั แรกเมือ่ วนั ที่ 27 มีนาคม 2532 จ�ำเลยผู้ขายได้รับไปซ่อมเม่ือวันท่ี 29 มีนาคม 2532 แล้วน�ำมาส่งคืน ถือว่าจ�ำเลยกระท�ำการ อันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้ว อายุ ความยอ่ มสะดดุ หยดุ ลงตง้ั แตว่ นั ทไี่ ดร้ บั ไปซอ่ ม แตเ่ มอ่ื เสอ้ื เกยี รก์ ย็ งั แตกอกี หลายครงั้ โดยจำ� เลยไมส่ ามารถ มสธแก้ไขความช�ำรดุ บกพร่องในจุดเดิมได้ อายุความจงึ ยงั คงสะดดุ หยุดลงอยู่ ต่อมาโจทก์แจง้ ใหจ้ �ำเลยส่งช่าง ไปแกไ้ ข แต่จำ� เลยปฏิเสธความรบั ผดิ เมอ่ื วันท่ี 28 พฤศจิกายน 2533 ทำ� ใหอ้ ายคุ วามสะดุดหยุดลงน้นั ไดส้ ิ้นสุดลง ต้องเร่มิ นับอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 474 ใหม่ ตั้งแต่ วันดงั กลา่ ว (3) การท่ีผขู้ ายสังหารมิ ทรพั ย์ท่ขี ายไมต่ รงตามความประสงคท์ แ่ี ทจ้ ริงแห่งมูลหนีน้ น้ั หรอื มสธ มสธไม่ถกู ต้องตรงตามสัญญา อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มิใชอ่ ายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 474 อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8339/2540 โจทก์ส่งมอบเครื่องอัดตะกอนลอยไม่ถูกต้องตามที่ ก�ำหนดไว้ในสัญญาซ้ือขาย ต้องคืนเงินส่วนที่เกินให้จ�ำเลย โดยหักเงินส่วนที่จ�ำเลยค้างอยู่ออกก่อนการ เรยี กคนื เงนิ สว่ นทชี่ ำ� ระเกนิ เปน็ เรอื่ งทโี่ จทกไ์ มช่ ำ� ระหนใี้ หต้ อ้ งตามความประสงคอ์ นั แทจ้ รงิ แหง่ มลู หนี้ มใิ ช่ มสธเป็นเร่ืองความรับผิดเพื่อช�ำรุดบกพร่องซึ่งมีอายุความ 1 ปี ไม่ และเป็นกรณีท่ีไม่มีกฎหมายบัญญัติเร่ือง อายคุ วามไว้โดยเฉพาะ อายคุ วามจึงมีก�ำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 (เดมิ )12 ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5963/2552 โจทกฟ์ อ้ งใหจ้ ำ� เลยชำ� ระคา่ เสยี หายเพราะจำ� เลยสง่ มอบ ทรัพย์สินไม่ถูกต้องตรงตามสัญญา แม้ค�ำฟ้องโจทก์จะบรรยายความช�ำรุดบกพร่องของห้องน้ําว่าส้วม ชักโครกใช้การไม่ได้ ใช้ห้องนํ้าแล้วมีน้ําขังไม่สามารถระบายน้ําลงท่อระบายนํ้าได้ก็เป็นการฟ้องเร่ืองส่ง มสธ มสธมอบทรัพย์สินที่ซ้ือขายไม่ถูกต้องตรงตามสัญญา ไม่ใช่กรณีฟ้องว่าทรัพย์สินท่ีส่งมอบช�ำรุดบกพร่องเป็น เหตุให้เสื่อมราคาหรือเส่ือมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติหรือประโยชน์ท่ีมุ่งหมายโดย สัญญาซงึ่ จะต้องบังคับ อายคุ วาม 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 474 แตเ่ ป็นกรณีตอ้ งบงั คับอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 เมอ่ื โจทกฟ์ อ้ งคดีภายใน 10 ปี ฟอ้ งโจทก์จึงไมข่ าดอายุความ มสธ12 ปัจจบุ ัน คอื มาตรา 193/30.

4-34 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซอ้ื ขาย เช่าทรพั ย์ เชา่ ซือ้ (4) กรณีผู้ซื้อใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ขายรับผิดตามข้อตกลงพิเศษแห่งสัญญา ไม่มีกฎหมาย มสธกำ� หนดอายุความไว้เปน็ การเฉพาะ จึงตอ้ งใชอ้ ายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มใิ ช่อายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 474 อุทาหรณ์ คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 1285/2553 การซอ้ื ขายสมี กี ารรบั รองคณุ ภาพของสไี วเ้ ปน็ พเิ ศษ โดย มสธ มสธมอี ายุการประกนั 1 ปี อนั ถือได้วา่ เป็นสว่ นหนึ่งของขอ้ ตกลงในการซอ้ื ขาย เม่ือการซ้อื ขายดังกลา่ วมกี าร รับรองคุณภาพสินค้าไว้เป็นพิเศษจึงมิใช่การซื้อขายธรรมดา ท้ังโจทก์ฟ้องให้จ�ำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่ เปน็ คา่ สเี สอ่ื มคณุ ภาพและคา่ สว่ นตา่ งทโ่ี จทกต์ อ้ งซอ้ื สมี าใชท้ ดแทนสที เี่ สอ่ื มคณุ ภาพตามขอ้ ตกลงรบั ประกนั สินค้าตามสัญญาซื้อขาย มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จ�ำเลยรับผิดในความช�ำรุดบกพร่องแห่ง ทรพั ยส์ นิ ธรรมดาซึ่งจะทำ� ให้คดีโจทก์มีอายคุ วาม 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 474 อกี ท้งั ไม่ใช่การใชส้ ทิ ธิ เรยี กรอ้ งทเ่ี กดิ จากจำ� เลยผเู้ ปน็ ลกู หนรี้ บั สภาพความรบั ผดิ แตป่ ระการใดแตเ่ ปน็ กรณโี จทกใ์ ชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ ง มสธให้จ�ำเลยรับผิดตามข้อตกลงพิเศษแห่งสัญญาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดย เฉพาะ จึงมีอายคุ วาม 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 2. ความรับผิดในการรอนสิทธิ มสธ มสธเร่ืองความรับผิดในการรอนสิทธินี้ จะได้จ�ำแนกอธิบายออกเป็น 4 หัวข้อ คือ (1) หลักแห่ง การรอนสทิ ธิ (2) กรณที ่ีถอื วา่ เป็นการรอนสิทธิ (3) การดำ� เนนิ คดีเกย่ี วกบั การรอนสทิ ธิ และ (4) กรณี ผขู้ ายไมต่ อ้ งรบั ผิดในการรอนสิทธิ 2.1 หลักแห่งการรอนสิทธิ มบี ัญญัตไิ ว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 475 ดงั น้ี มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซ้ือขายก็ดี เพราะความผิด ของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น” มสธตามบทบัญญัติดังกล่าว อาจจ�ำแนกอธิบายหลักแห่งการรอนสทิ ธิ ดังนี้ 2.1.1 มบี คุ คลมากอ่ การรบกวนขดั สทิ ธขิ องผซู้ อ้ื ไวอ้ นั จะครองทรพั ยส์ นิ โดยปกตสิ ขุ ลกั ษณะ การรอนสิทธิในประการแรก ต้องมีบุคคลมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันท่ีจะครอบครองหรือใช้ ทรพั ยส์ นิ ทข่ี ายนัน้ โดยปกติสุข มสธ มสธอุทาหรณ์ (1) การทเ่ี จ้าของทีแ่ ท้จริงตดิ ตามเอารถยนตค์ นื เป็นการก่อการรบกวนขัดสทิ ธิผู้ซ้อื คำ� พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 655/2510 แมผ้ ขู้ ายจะไดร้ ถยนตม์ าโดยการโอนตอ่ นายทะเบยี น และการขายให้ผู้ซื้อก็ได้โอนต่อนายทะเบียนก็ดี ก็ไม่ตัดสิทธิเจ้าของอันแท้จริงท่ีจะติดตามเอาคืน การท่ี เจ้าของอันแท้จริงติดตามเอารถคืนจากผู้ซื้อเช่นนี้ เป็นการรอนสิทธิของผู้ซ้ือ การที่ผู้ซ้ือยินยอมคืนรถให้ แก่เจ้าของอันแท้จริงเอง แต่เม่ือความปรากฏชัดแจ้งแล้วว่ารถคันน้ันเป็นของเจ้าของ การท่ีผู้ซ้ือคืนรถให้ มสธแกเ่ จา้ ของทแี่ ทจ้ รงิ จงึ เปน็ การปฏบิ ตั ทิ ถี่ กู ตอ้ ง ถงึ การซอ้ื ขายรถยนตจ์ ะไดท้ ำ� การโอนซอื้ ขายกนั ทางทะเบยี น

สญั ญาซอื้ ขาย 2 4-35 ผู้ขายก็ยังคงมีความรับผิดเพราะเหตุการรอนสิทธิอยู่ เมื่อผู้ซ้ือมิได้รู้ในขณะซื้อขายว่ามีเหตุรอนสิทธิเกิด มสธขึน้ ผขู้ ายกต็ ้องรบั ผดิ ตามกฎหมาย (2) ซ้ือปากกามาโดยสจุ รติ ซ่ึงปากกานนั้ ถกู ลักมาขาย เจา้ พนักงานตำ� รวจยดึ ปากกา นน้ั คนื ให้เจ้าของ ถอื เป็นการกอ่ การรบกวนขัดสิทธิผู้ซอื้ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 1895/2514 มีผู้ลักปากกามาขายให้โจทก์ โจทก์ซ้ือไว้แล้วน�ำ มสธ มสธมาขายให้กบั จ�ำเลย โดยจำ� เลยไมร่ ู้ ตอ่ มาเจ้าพนกั งานตำ� รวจยดึ ปากกาไปจากจำ� เลยและคนื ให้เจา้ ของไป ถอื วา่ เปน็ การรอนสทิ ธจิ ำ� เลย โจทกซ์ ง่ึ เปน็ ผขู้ ายตอ้ งรบั ผดิ จงึ ไมม่ สี ทิ ธทิ จ่ี ะเรยี กรอ้ งใหจ้ ำ� เลยชำ� ระเงนิ ตาม เชค็ ทจี่ ำ� เลยสงั่ จา่ ยเป็นคา่ ปากกา (3) การถูกระงับการโอนทะเบียนหรือเปล่ียนแปลงรายการต่างๆ เก่ียวกับรถยนต์ท่ี ซอ้ื มาเพือ่ บงั คบั ชำ� ระคา่ ภาษีอากรทคี่ า้ งชำ� ระ เปน็ การก่อการรบกวนขดั สทิ ธขิ องผซู้ อ้ื ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 4846/2537 โจทกก์ ็ได้ซอ้ื รถยนตพ์ ิพาทโดยสุจริตจาก อ. ซ่ึง มสธประกอบอาชพี เป็นพอ่ คา้ ขายรถยนต์ โจทก์จึงไม่จ�ำต้องคืนรถยนตพ์ ิพาทให้แก่เจ้าของที่แทจ้ ริง เวน้ แต่จะ ได้รบั ชดใช้ราคาทซ่ี อื้ มา ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1332 การทกี่ รมสรรพากรจำ� เลย มีหนังสือถึงผู้บังคับการกองทะเบียนยานพาหนะกรมต�ำรวจ ให้ระงับการโอนทะเบียนหรือเปล่ียนแปลง รายการตา่ งๆ เกย่ี วกับรถยนต์พิพาทเพื่อบงั คับช�ำระภาษอี ากรค้างของ ป. ซ่งึ เปน็ เจ้าของรถยนตพ์ ิพาท จึงเปน็ การรอนสิทธิของโจทก์ มสธ มสธมีปัญหาว่า การซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาด ในท้องตลาด หรือจาก พ่อค้าซ่ึงขายของชนิดนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 แล้วถูกเจ้าของท่ีแท้จริงติดตามเอาคืน จึงถือว่า เป็นการก่อการรบกวนขดั สิทธขิ องผู้ซือ้ หรือไม่ กรณนี ้ี แตเ่ ดมิ เคยมคี ำ� พพิ ากษาศาลฎกี าวนิ จิ ฉยั วา่ เจา้ ของทแี่ ทจ้ รงิ ซงึ่ ตดิ ตามเอาคนื ต้องชดใชร้ าคาท่ีซอ้ื มา ถอื ว่าไม่ใชเ่ รอื่ งการรอนสิทธิ อุทาหรณ์ มสธคำ� พพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1801/2501 (ประชมุ ใหญ)่ นา้ํ มนั และถงั รายพพิ าทเปน็ ของทาง ราชการทหารถูกคนร้ายลักไป โจทก์รับซื้อไว้โดยสุจริตในท้องตลาด แล้วต่อมาจ�ำเลยได้ซื้อไปจากโจทก์ เด็ดขาดและโจทก์ได้มอบให้แก่จ�ำเลยไปแล้ว จ�ำเลยจึงมีสิทธิเหนือนํ้ามันท่ีตนซื้อจากโจทก์ยิ่งกว่าบุคคล อ่ืนๆ แม้เจ้าของอันแท้จริงก็จะมาเรียกน้ํามันคืนไปจากจ�ำเลยไม่ได้ เว้นแต่จะชดใช้ราคาท่ีจ�ำเลยซ้ือมา จำ� เลยตอ้ งชำ� ระราคานาํ้ มนั และถงั ให้โจทก์ ไมใ่ ชเ่ รื่องรอนสิทธิ มสธ มสธอย่างไรก็ดี ต่อมาได้มีค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2292/2518, 390/2518, และ 15873/2556 วินิจฉัยกลับค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1801/2501 ดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นเร่ืองการรอนสิทธิ เพราะมิได้มีบท กฎหมายใดห้ามไมว่ ่าผ้ซู อ้ื ทรพั ย์สินโดยสุจรติ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 ไม่อย่ใู นฐานะจะถูกรอนสทิ ธิได้ ซงึ่ ผเู้ ขยี นเหน็ พอ้ งดว้ ย เพราะบทบญั ญตั ติ าม ป.พ.พ. มาตรา 1332 นน้ั คมุ้ ครองเฉพาะราคาทซี่ อื้ มา มไิ ด้ คุ้มครองกรรมสิทธ์ิแต่ประการใด หากเป็นเร่ืองการรอนสิทธินอกจากผู้ซ้ือจะเรียกให้ผู้ขายชดใช้ราคาแล้ว มสธยงั มสี ิทธิเรยี กค่าเสียหายได้ดว้ ย

4-36 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซ้อื ขาย เช่าทรพั ย์ เชา่ ซ้ือ อุทาหรณ์ มสธค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292/2515 โจทกซ์ อื้ รถยนตโ์ ดยสจุ รติ จากจำ� เลยซง่ึ เปน็ พอ่ คา้ ผขู้ ายของชนดิ นัน้ แตเ่ จ้าหน้าทต่ี ำ� รวจได้มายดึ รถยนตน์ ้ันจากโจทกไ์ ปเปน็ ของกลางในคดอี าญา และศาล อาญาพพิ ากษาใหค้ นื รถยนตแ์ กผ่ เู้ สยี หายซง่ึ เปน็ เจา้ ของทแ่ี ทจ้ รงิ แมต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1332 โจทกม์ ีสิทธิไม่จ�ำต้องคนื รถยนตท์ ่ซี ้อื ขายให้แก่เจ้าของที่แทจ้ ริงเว้นแต่เจ้าของจะชดใชร้ าคา มสธ มสธทซ่ี อื้ มาแตว่ ตั ถปุ ระสงคข์ องโจทกใ์ นการซอ้ื รถยนตก์ เ็ พอื่ จะไดร้ ถยนตม์ าเปน็ กรรมสทิ ธิ์ หาใชเ่ พอื่ รบั ชดใชร้ าคา คนื ไม่ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475 ก็มิได้ บัญญัติว่า ผู้ซ้ือทรัพย์โดยสุจริตตาม มาตรา 1332 ไมอ่ ยูใ่ นฐานะท่ีจะถูกรอนสทิ ธิ ดังนนั้ เมอ่ื เจา้ ของทีแ่ ท้จรงิ มารบกวนขัดสทิ ธโิ จทก์ผซู้ ้อื และ โจทก์จ�ำต้องคืนรถยนต์ให้ไปตามค�ำพิพากษาของศาลไม่ว่าโจทก์จะได้รับชดใช้ราคาท่ีซื้อมาหรือมีสิทธิได้ รับชดใชร้ าคาหรือไม่ กต็ ้องถอื วา่ โจทก์ถูกรอนสิทธซิ ึง่ จ�ำเลยผขู้ ายตอ้ งรบั ผิดในผลน้นั ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 390/2518 โจทกซ์ อื้ รถจักรยานยนตจ์ ากรา้ นจ�ำเลยรว่ ม ตอ่ มา มสธความปรากฏว่ารถคันน้ันเป็นของ ค. ท่ีหายไป เจ้าหน้าที่ต�ำรวจจับจ�ำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการร้านจ�ำเลยร่วม เปน็ ผู้ต้องหาฐานรบั ของโจรและยดึ รถคนั ดงั กล่าวไว้ ดังนแ้ี มโ้ จทกจ์ ะไดร้ ถจกั รยานยนตจ์ ากการซอ้ื ขายใน ทอ้ งตลาดและมสี ิทธิทจ่ี ะติดตามเอารถคืนได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ได้กต็ าม แตเ่ มือ่ ปรากฏชัดแจ้ง วา่ รถเปน็ ของ ค. ทหี่ ายไป ซงึ่ โจทกจ์ ะตอ้ งคนื ใหแ้ กเ่ จา้ ของทแี่ ทจ้ รงิ แมโ้ จทกจ์ ะมสี ทิ ธเิ รยี กใหเ้ จา้ ของทแ่ี ท้ จริงชดใช้ราคา ก็มิได้หมายความว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องจากจ�ำเลยในเหตุรอนสิทธิไม่ได้ เพราะไม่มี มสธ มสธกฎหมายห้ามไว้ จำ� เลยในฐานะผู้ขายจงึ ยังคงตอ้ งรับผิดต่อโจทก์ ค�ำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 15873/2556 แมจ้ ำ� เลยที่ 2 จะไดร้ ถยนตพ์ พิ าทจากการซอื้ ขาย ในทอ้ งตลาดและมสี ิทธทิ ่จี ะได้รบั การชดใชร้ าคาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 ก็ตาม แต่เม่ือปรากฏชดั แจง้ แลว้ วา่ รถยนตพ์ พิ าทเปน็ ของโจทก์ ซึ่งจ�ำเลยท่ี 2 จะตอ้ งคืนแกโ่ จทกผ์ ูเ้ ป็นเจา้ ของท่ีแท้จริง จ�ำเลยร่วมใน ฐานะผ้ขู ายจึงยงั คงต้องรบั ผิดตอ่ จ�ำเลยที่ 2 เพราะทรพั ยส์ นิ ท่ีซื้อขายหลดุ ไปจากจำ� เลยที่ 2 ด้วยเหตแุ ห่ง การรอนสิทธิตามมาตรา 479 แม้จ�ำเลยท่ี 2 จะมีสิทธิเรียกร้องขอให้ชดใช้ราคาจากโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลที่ มสธอา้ งวา่ เปน็ เจา้ ของรถโดยตรง ตามมาตรา 1332 ได้ กม็ ไิ ดห้ มายความวา่ จำ� เลยท่ี 2 จะใชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ งจาก จ�ำเลยร่วม ข้อสังเกต กรณีทรัพย์สินท่ีซื้อขายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 ถือเป็นทรัพย์นอกพาณชิ ย์ สญั ญาซือ้ ขายตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ไม่ต้องดว้ ยความรับผิด มสธ มสธในการรอนสิทธิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 475 แตอ่ ย่างใด อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2538 ที่ดินท่ีจ�ำเลยขายให้แก่โจทก์ที่ 1 บางส่วนเป็น สาธารณสมบตั ขิ องแผน่ ดนิ ทสี่ งวนไวเ้ พอื่ ประโยชนข์ องแผน่ ดนิ โดยเฉพาะ จงึ เปน็ ทรพั ยน์ อกพาณชิ ยซ์ ง่ึ ไม่ อาจซ้ือขายกันได้ สัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้อง มสธห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นโมฆะ เท่ากับว่าจ�ำเลยไม่เคยท�ำสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซ้ือขายที่ดิน

สญั ญาซอื้ ขาย 2 4-37 ส่วนดังกล่าวกับโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซ้ือขายที่ดินส่วนดังกล่าวท่ีจ�ำเลยจะต้อง มสธรับผิดในการรอนสทิ ธิ 2.1.2 เพราะบคุ คลนน้ั มสี ทิ ธเิ หนอื ทรพั ยส์ นิ ทไ่ี ดซ้ อ้ื ขายกนั นนั้ อยใู่ นเวลาซอื้ ขาย หรอื เพราะ ความผิดของผ้ขู าย เหตแุ ห่งการรอนสทิ ธดิ งั กลา่ ว อาจเกดิ จาก 2 กรณี คือ 1) เพราะบคุ คลนนั้ มสี ทิ ธเิ หนอื ทรพั ยส์ นิ ทไี่ ดซ้ อื้ ขายกนั นนั้ อยใู่ นเวลาซอ้ื ขาย หมายถงึ มสธ มสธบคุ คลผมู้ าก่อการรบกวนขัดสทิ ธนิ นั้ มีสทิ ธเิ หนือทรพั ยส์ ินทซ่ี อ้ื ขายอยกู่ ่อนแล้วนั่นเอง อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2597/2541 ท่ีดินท่ีจ�ำเลยทั้งสองขายให้โจทก์น้ัน ศาลฎีกา พิพากษาใหโ้ อนไปเป็นของบุคคลอื่น จงึ เป็นกรณบี ุคคลอ่ืนมาก่อการรบกวนขัดสิทธขิ องโจทก์ซง่ึ เปน็ ผ้ซู อื้ ในอันท่ีจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลนั้นมีสิทธิเหนือท่ีดินท่ีได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซ้ือขาย จำ� เลยทัง้ สองจงึ ตอ้ งรับผดิ ตอ่ โจทกต์ าม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 475 มสธข้อสังเกต (1) บคุ คลภายนอกทม่ี ากอ่ การรบกวนขดั สทิ ธนิ น้ั ตอ้ งมสี ทิ ธอิ ยเู่ หนอื ทรพั ยส์ นิ ทซี่ อ้ื ขายกนั นน้ั อยใู่ นเวลาซอื้ ขาย หากสทิ ธอิ ยเู่ หนอื ทรพั ยส์ นิ นน้ั เกดิ ขนึ้ ภายหลงั จากทไ่ี ดท้ ำ� สญั ญาซอ้ื ขาย แล้ว มใิ ช่เรื่องการรอนสทิ ธิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 475 ดังกล่าว ตัวอย่าง มสธ มสธก. ซ้ือที่ดินมีโฉนดแปลงหน่ึงจาก ข. โดยจดทะเบียนโอนกันเรียบร้อย ท่ีดิน ดังกลา่ วมี ค. บคุ คลภายนอกครอบครองอยู่ และ ค. ไดค้ รอบครองโดยสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของ และได้ครอบครองครบ 10 ปี จนได้กรรมสิทธ์ิโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ใน ภายหลังจากการซ้ือขายดังกล่าว หรือท่ีดินแปลงที่ซื้อขายน้ันถูกเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืน อสงั หาริมทรัพย์ในภายหลัง เชน่ น้ีไมถ่ ือว่าเปน็ การรอนสิทธิ (2) กรณผี ซู้ อื้ ทด่ี นิ มหี นงั สอื รบั รองการทำ� ประโยชนไ์ ปขอออกโฉนดทด่ี นิ แตถ่ กู มสธเจา้ พนกั งานทดี่ นิ ระงบั ดว้ ยเหตทุ ว่ี า่ หนงั สอื รบั รองการทำ� ประโยชนอ์ ยรู่ ะหวา่ งการสอบสวนของกรมสอบสวน คดีพิเศษ เช่นนี้มิใช่เรื่องการรอนสิทธิ เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษมิใช่บุคคลภายนอกผู้มีสิทธิเหนือ ทรัพยส์ นิ ท่ซี ้อื ขาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 475 แตอ่ ย่างใด อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5465/2559 โจทกส์ ามารถเข้าครอบครองทำ� ประโยชน์ในท่ดี ิน มสธ มสธท่ีซ้ือจากจ�ำเลยทั้งสองโดยไม่ถูกรบกวนขัดสิทธิโดยบุคคลภายนอกให้โจทก์เข้าครอบครองทรัพย์สินโดย ปกตสิ ขุ เพราะบคุ คลนนั้ มสี ทิ ธเิ หนอื ทด่ี นิ ทไี่ ดซ้ อ้ื ขายโดยชอบดว้ ยกฎหมายอนั ถอื วา่ เปน็ การรอนสทิ ธติ าม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 475 แม้กรมสอบสวนคดีพเิ ศษจะด�ำเนนิ คดอี าญาแกจ่ �ำเลยทงั้ สองกรณอี อกเอกสารสทิ ธไิ มช่ อบในทดี่ นิ ทจ่ี ำ� เลยทงั้ สองขายใหแ้ กโ่ จทกแ์ ละมหี นงั สอื ถงึ อธบิ ดกี รมทด่ี นิ ให้ เพกิ ถอนหนงั สอื รบั รองการทำ� ประโยชนต์ ามประมวลกฎหมายทด่ี นิ มาตรา 61 กต็ าม แตก่ รมสอบสวนคดี พเิ ศษไมใ่ ชบ่ คุ คลภายนอก ผมู้ สี ทิ ธเิ หนอื ทรพั ยส์ นิ ทซ่ี อื้ ขายตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา มสธ475 และแม้โจทก์จะไม่สามารถออกโฉนดท่ีดินตามหนังสือรับรองการท�ำประโยชน์เน่ืองจากเจ้าพนักงาน

4-38 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซื้อขาย เช่าทรพั ย์ เช่าซ้ือ ท่ีดินได้ระงับเร่ืองการออกโฉนดโดยให้เหตุผลว่าหนังสือรับรองการท�ำประโยชน์อยู่ระหว่างการสอบสวน มสธของกรมสอบสวนคดีพิเศษก็ตาม แต่มใิ ชเ่ ปน็ การรอนสทิ ธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 475 ท้ังไม่ใช่กรณีท่ีดินตามหนังสือรับรองการท�ำประโยชน์ที่โจทก์ซ้ือจากจ�ำเลยทั้งสองหลุดไปจากโจทก์ ผซู้ อื้ ทง้ั หมดหรอื แตบ่ างสว่ น เพราะเหตกุ ารรอนสทิ ธทิ จ่ี ำ� เลยทง้ั สองผขู้ ายตอ้ งรบั ผดิ ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 479 อีกด้วย โจทกไ์ ม่มีอ�ำนาจฟอ้ งเรียกค่าเสยี หายจากจำ� เลยทงั้ สอง มสธ มสธ2) เพราะความรบั ผดิ ของผขู้ าย กรณไี มว่ า่ จะเกดิ ขนึ้ กอ่ นหรอื เกดิ ขนึ้ ภายหลงั การทำ� สัญญาซื้อขาย ก็อยู่ในความรับผิดของผู้ขายทั้งส้ิน ต่างจากกรณีแรกที่ผู้มาก่อการรบกวนสิทธิต้องมีสิทธิ เหนอื ทรัพยส์ นิ นน้ั อยู่ในเวลาซ้อื ขายเทา่ น้นั ตัวอย่าง ก. ท�ำสัญญาขายรถยนต์คันหน่ึงให้ ข. โดยมีขอ้ ตกลงว่ากอ่ นส่งมอบ ก. จะตอ้ งยก เคร่อื งและท�ำสใี หมเ่ สียก่อน ก. น�ำรถยนตน์ ัน้ ไปใหช้ า่ งด�ำเนินการตามขอ้ ตกลง แต่ ก. ไม่ชำ� ระเงนิ ค่ายก มสธเครื่องและทำ� สีใหม่ดงั กล่าว เป็นเหตุใหช้ ่างยึดหน่วงรถยนต์นนั้ ไว้ เชน่ น้ี แมเ้ หตแุ หง่ การรอนสทิ ธจิ ะเกดิ ขึน้ ภายหลังการทำ� สญั ญาซ้อื ขาย ก. ผู้ขายกห็ าพน้ จากความรบั ผิดไม่ 2.1.3 ผขู้ ายจะตอ้ งรบั ผดิ ในผลอนั นนั้ กลา่ วคอื ผขู้ ายจะตอ้ งรบั ผดิ ตอ่ ผลของการทที่ รพั ยส์ นิ นนั้ ถกู รอนสทิ ธนิ ่ันเอง อุทาหรณ์ มสธ มสธค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3620/2516 จ�ำเลยเช่าซื้อรถยนต์มาจากเจ้าของรถ ขณะท่ียังช�ำระ ค่าเช่าซื้อไม่ครบจ�ำเลยได้น�ำรถนั้นไปขายให้กับโจทก์ โดยให้โจทก์ผ่อนช�ำระเป็นงวดๆ ต่อมาจ�ำเลยไม่ ช�ำระค่าเช่าซ้ือ เจ้าของรถได้มายึดเอารถยนต์ไป ถือว่าได้มีการรอนสิทธิเกิดข้ึน ท�ำให้จ�ำเลยไม่สามารถ จะส่งมอบและจัดการให้โจทก์ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันน้ีได้ ทั้งน้ีเพราะความผิดของจ�ำเลย จ�ำเลย จึงมีหน้าท่ีต้องรับผิดตามมาตรา 475 ข้อสังเกต มสธความรับผิดของผู้ขายดังกล่าว นอกจากราคาทรัพย์สินน้ันแล้ว ยังรวมถึงมีสิทธิเรียกค่า เสยี หายและดอกเบ้ยี สำ� หรับคา่ เสียหายนน้ั ด้วย อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2769/2535 โจทกต์ กลงซอ้ื รถยนตจ์ ากจำ� เลยทงั้ สอง แตข่ ณะทจ่ี ำ� เลย ทง้ั สองโอนรถยนตใ์ หก้ บั โจทกน์ นั้ บคุ คลอนื่ เปน็ เจา้ ของ มใิ ชจ่ ำ� เลยทง้ั สองตอ่ มาเจา้ หนา้ ทต่ี ำ� รวจยดึ รถยนต์ มสธ มสธไปเปน็ ของกลางเพื่อคนื ใหแ้ ก่เจา้ ของเดิม ถือวา่ โจทก์ถูกรอนสิทธิ รถยนต์ทีโ่ จทกซ์ อื้ จากจ�ำเลยถูกเจ้าหนา้ ท่ีตำ� รวจยดึ ไปท�ำใหโ้ จทกไ์ มส่ ามารถใช้ได้ ต้องเช่า รถผู้อ่ืนมาใช้แทนนับได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นแก่โจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้นับต้ังแต่ มสธวนั ทถี่ ูกยึดไปและสามารถคดิ ดอกเบีย้ ในค่าเสยี หายดงั กล่าวได้ ไมเ่ ปน็ การคดิ ดอกเบีย้ ซาํ้ ซอ้ น

สัญญาซือ้ ขาย 2 4-39 2.2 กรณีท่ีถอื วา่ เปน็ การรอนสิทธิ มีบัญญัตไิ ว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 479 ดังนี้ มสธมาตรา 479 “ถ้าทรัพย์สินซึ่งซื้อขายกันหลุดไปจากผู้ซื้อทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเพราะเหตุการ รอนสทิ ธกิ ด็ ี หรอื วา่ ทรพั ยส์ นิ นน้ั ตกอยใู่ นบงั คบั แหง่ สทิ ธอิ ยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดซง่ึ เปน็ เหตใุ หเ้ สอ่ื มราคา หรอื เสื่อมความเหมาะสมแก่การท่ีจะใช้ หรือเส่ือมความสะดวกในการใช้สอย หรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึง ได้แต่ทรัพย์สินนั้น และซึ่งผู้ซ้ือหาได้รู้ในเวลาซ้ือขายไม่ก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด” มสธ มสธตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว ถอื วา่ เปน็ การรอนสทิ ธิ ผขู้ ายตอ้ งรบั ผดิ เชน่ เดยี วกนั ซง่ึ อาจจำ� แนกอธบิ าย เป็น 2 กรณี ดังน้ี 2.2.1 กรณที รพั ยส์ นิ ซงึ่ ซอ้ื ขายหลดุ ไปจากผซู้ อ้ื ทง้ั หมดหรอื แตบ่ างสว่ น เพราะเหตรุ อนสทิ ธิ ซ่ึงผู้ซ้ือมิได้รู้อยู่ในเวลาซื้อขาย หากผู้ซ้ือรู้อยู่แล้วในเวลาซื้อขาย ผู้ขายหาจ�ำต้องรับผิดไม่ เพราะถือว่า ผซู้ ือ้ ยอมรบั หรอื ยอมเส่ียงภยั เองอย่แู ล้ว อุทาหรณ์ มสธ(1) พนกั งานสอบสวนยดึ รถยนตท์ ซ่ี อ้ื มาโดยสจุ รติ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 เพอื่ เอา ไปเปน็ ของกลางในคดอี าญา ทำ� ใหร้ ถยนตน์ นั้ หลดุ ไปจากผซู้ อ้ื ถอื เปน็ การรอนสทิ ธติ าม ป.พ.พ. มาตรา 479 ค�ำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 981/2523 การทพี่ นกั งานสอบสวนยดึ รถยนตท์ โี่ จทกซ์ อื้ มาจาก จำ� เลยเอาไปเปน็ ของกลางในคดอี าญาและไมย่ อมคนื ใหโ้ จทกเ์ นอ่ื งจากเปน็ รถยนตข์ องบคุ คลภายนอกทถี่ กู คนรา้ ยลกั มานน้ั ตามพฤตกิ ารณย์ อ่ มฟงั ไดว้ า่ บคุ คลภายนอกผเู้ ปน็ เจา้ ของรถยนตพ์ พิ าทอนั แทจ้ รงิ มากอ่ การ มสธ มสธรบกวนขัดสิทธิของโจทก์ผู้ซื้อในอันจะใช้สอยหรือครอบครองรถยนต์พิพาทโดยปกติสุขเพราะมีสิทธิเหนือ รถยนตพ์ พิ าทอยใู่ นเวลาซอื้ ขายกนั จงึ ถอื ไดว้ า่ โจทกถ์ กู รอนสทิ ธทิ โี่ จทกไ์ มต่ อ้ งคนื รถเวน้ แตจ่ ะไดร้ บั ใชร้ าคา ตาม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1332 น้นั ไมท่ �ำใหก้ รณีไม่เปน็ การรอนสทิ ธิ ฉะนั้น เมอ่ื รถพิพาทได้หลุดไปจากโจทก์ผู้ซ้ือ จ�ำเลยผู้ขายจึงต้องรับผิดช�ำระราคารถยนต์พิพาทคืนให้แก่โจทก์ตาม มาตรา 479 (2) กรณที ด่ี นิ สง่ั เพกิ ถอนการจดทะเบยี นและโฉนดทดี่ นิ ทำ� ใหก้ รรมสทิ ธใิ์ นทด่ี นิ หลดุ มสธไปจากผู้ซ้อื กลับคนื ไปยังเจา้ ของที่แทจ้ ริง ถอื เป็นการรอนสทิ ธิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 479 ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2530 กรมทด่ี นิ ยอ่ มมอี ำ� นาจสงั่ เพกิ ถอนและแกไ้ ขรายการ จดทะเบยี นทด่ี นิ และโฉนดทดี่ นิ ซงึ่ เจา้ พนกั งานทดี่ นิ จดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธแิ์ ละแบง่ แยกโฉนดโดยมชิ อบ โดยอาศยั หนงั สอื มอบอำ� นาจทร่ี ะงบั สนิ้ ไปแลว้ เพราะผมู้ อบอำ� นาจตาย ตามประมวลกฎหมายทดี่ นิ มาตรา 61 แมจ้ ำ� เลยท่ี 3 จะซ้ือทีพ่ ิพาทมาโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิกันทางทะเบียนและเสียค่าตอบแทนโดย มสธ มสธสจุ รติ กต็ าม แตโ่ จทกก์ ร็ บั ซอ้ื ทรพั ยส์ นิ ดงั กลา่ วไวจ้ ากจำ� เลยท่ี 3 โดยสจุ รติ เชน่ กนั เมอ่ื กรมทดี่ นิ สง่ั เพกิ ถอน การจดทะเบียนที่พพิ าทและโฉนดท่พี พิ าท เปน็ เหตใุ ห้กรรมสิทธ์ใิ นทรัพยส์ ินนนั้ กลบั คนื ไปยังเจา้ ของทแ่ี ท้ จริงกรณีเช่นน้ีถือว่า โจทก์ถูกรอนสิทธิ จ�ำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณชิ ย์ มาตรา 479 (3) ศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนการขายฝากที่ดินและนิติกรรมซ้ือขายท่ีดิน ท�ำให้ มสธกรรมสทิ ธใ์ิ นทด่ี นิ หลดุ ไปจากผซู้ อื้ กลบั คนื ไปยงั เจา้ ของทแ่ี ทจ้ รงิ ถอื เปน็ การรอนสทิ ธติ าม ป.พ.พ. มาตรา 479

4-40 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซ้ือขาย เชา่ ทรพั ย์ เชา่ ซ้ือ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2845/2548 การที่ศาลฎีกาในคดีก่อนพิพากษาให้เพิกถอน มสธนติ กิ รรมการฝากขายทด่ี นิ และนติ กิ รรมซอื้ ขายทดี่ นิ พพิ าทอนั มผี ลใหก้ รรมสทิ ธใิ์ นทด่ี นิ พพิ าทกลบั คนื ไปยงั เจา้ ของทแ่ี ทจ้ รงิ กรณเี ชน่ นถ้ี อื ไดว้ า่ เจา้ ของทด่ี นิ พพิ าททแ่ี ทจ้ รงิ มารบกวนสทิ ธขิ องโจทกท์ งั้ สองผซู้ อื้ ใหจ้ ำ� ต้องคืนท่ีดินพิพาทให้แก่เจ้าของที่ดินที่แท้จริงตามค�ำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ท้ังสองจึงถูกรอนสิทธิซึ่ง จำ� เลยผขู้ ายมหี นา้ ทตี่ อ้ งรบั ผดิ ในผลแหง่ การรอนสทิ ธนิ นั้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 475 เมอ่ื ทด่ี นิ พพิ าทไดห้ ลดุ มสธ มสธไปจากโจทกท์ ้งั สองผู้ซือ้ จ�ำเลยผขู้ ายจึงตอ้ งรบั ผดิ ชำ� ระราคาท่ดี นิ พิพาทคืนใหแ้ ก่โจทกท์ ั้งสองตามมาตรา 479 ดังนั้น ค่าเสียหายท่ีจ�ำเลยต้องรับผิดคือราคาที่ดินพิพาทที่โจทก์ท้ังสองได้ช�ำระแก่จ�ำเลยไปแล้วอัน เปน็ คา่ เสยี หายโดยตรงทีโ่ จทกท์ ั้งสองเสียหายไปจรงิ ข้อสังเกต กรณีทรัพย์สินซ่ึงซ้ือขายหลุดไปจากผู้ซื้อ หากเหตุดังกล่าวปรากฏเป็นข่าวสารและ ผู้ซือ้ สามารถตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ไดเ้ องอยู่แลว้ ถอื ว่าผ้ซู ือ้ รอู้ ยู่แล้วในเวลาซอื้ ขาย ผขู้ ายหาต้องรับผิดไม่ มสธอุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16897/2557 โจทก์เสียสิทธิในท่ีดินทั้งสองแปลงไปเพราะถูก ศาลพพิ ากษาเพกิ ถอนการโอนขายเพอื่ ใหก้ ลบั สกู่ องทรพั ยส์ นิ ของพนั จา่ อากาศเอกหญงิ น. ในคดลี ม้ ละลาย เพอื่ ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทกุ คนตาม พ.ร.บ. ลม้ ละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 (เดิม) ไม่ใชก่ รณีทโี่ จทก์ เพยี งถกู กอ่ การรบกวนขดั สทิ ธใิ นอนั ทจ่ี ะครองทรพั ยส์ นิ ทซ่ี อื้ มาโดยปกตสิ ขุ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 475 และ มสธ มสธ476 แตเ่ ปน็ กรณที ท่ี ดี่ นิ ทงั้ สองแปลงหลดุ ไปจากโจทกท์ ง้ั หมดเพราะการรอนสทิ ธติ ามมาตรา 479 ซงึ่ บญั ญตั ิ ว่า “ถ้าทรัพย์สินซึ่งซื้อขายกันหลุดไปจากผู้ซื้อท้ังหมดหรือแต่บางส่วนเพราะเหตุการรอนสิทธิ... และซ่ึง ผู้ซื้อหาได้รู้ในเวลาซื้อขายไม่ก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด” ดังนั้น จ�ำเลยที่ 1 หรือจ�ำเลยท้ังสองจะต้อง รบั ผดิ ตอ่ โจทกห์ รอื ไม่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ตอ้ งปรากฏวา่ ในเวลาทที่ ำ� สญั ญาซอ้ื ขายโจทกร์ หู้ รอื ไมว่ า่ เหตรุ อนสทิ ธนิ นั้ มอี ยแู่ ล้ว จากพยานหลักฐานน่าเช่อื วา่ โจทก์โดยกรรมการของโจทก์ กไ็ ด้รับรู้ขา่ วเก่ียวกบั แชร์น้ํามันของ พันจ่าอากาศเอกหญิง น. ดังนั้น แมจ้ ำ� เลยที่ 1 จะไม่ได้แจง้ ข้อเทจ็ จริงในขณะซือ้ ขายวา่ ที่ดินพิพาทจ�ำเลย มสธที่ 1 รบั โอนมาโดยไมช่ อบและอาจถกู เพกิ ถอนได้ แตโ่ จทกก์ ส็ ามารถตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ จนรไู้ ดเ้ องอยแู่ ลว้ การที่จำ� เลยที่ 1 นง่ิ เสียเช่นน้นั ไมใ่ ช่กรณที จ่ี ะถือวา่ เปน็ กลฉอ้ ฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 162 จ�ำเลยที่ 1 หรอื จ�ำเลยทั้งสองจึงไมต่ ้องรบั ผิดตอ่ โจทกต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 479 2.2.2 ทรพั ยส์ นิ นน้ั ตกอยใู่ นบงั คบั แหง่ สทิ ธอิ ยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด ซง่ึ เปน็ เหตใุ หเ้ สอื่ มราคา หรอื เส่ือมความเหมาะสมแก่การท่ีจะใช้ หรือเส่ือมความสะดวกในการใช้สอย หรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้ มสธ มสธแต่ทรพั ยส์ ินนัน้ และผู้ซื้อมิได้ร้อู ยู่ในเวลาซือ้ ขาย ทรัพย์สินที่ตกอยู่ในสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าว สิทธินั้นจะต้องมิได้จดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าท่ี เพราะหากเป็นสิทธิที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วก็ย่อมจะปรากฏในทะเบียนผู้ซื้อย่อมรู้หรือ ตรวจสอบได้อยู่แลว้ ในขณะจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธิ์ สทิ ธิทีก่ ฎหมายมิไดบ้ ังคบั ใหจ้ ดทะเบยี น เชน่ สิทธิ การเช่าสังหารมิ ทรัพย์ สทิ ธกิ ารเช่าอสงั หารมิ ทรพั ย์มกี ำ� หนดเวลาไม่เกนิ 3 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 538 สทิ ธกิ ารเชา่ ซอื้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 572 สทิ ธจิ ำ� นำ� ตาม ป.พ.พ. มาตรา 747 สทิ ธยิ ดึ หนว่ ง ตาม ป.พ.พ. มสธมาตรา 241 เป็นต้น

สัญญาซ้อื ขาย 2 4-41 ตัวอย่าง มสธกอ่ นท่ี ก. จะขายที่ดนิ แปลงหนึ่งให้ ข. นัน้ ก. ได้ทำ� หนังสอื สญั ญาให้ ค. เชา่ ทดี่ ินน้นั เป็น เวลา 3 ปี ในขณะท�ำสัญญาซือ้ ขาย ข. ไม่ทราบเรือ่ งสิทธกิ ารเชา่ ดังกลา่ ว ซ่งึ สญั ญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ ยอ่ มไม่ระงบั สน้ิ ไปเพราะเหตุโอนกรรมสิทธ์ิ ทรพั ย์สนิ ซงึ่ ให้เช่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 569 ท่ดี นิ น้นั ย่อมตก อยู่ในบังคับแห่งสิทธิการเช่า ย่อมเป็นท�ำให้เสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินน้ัน เพราะต้องให้ ค. มสธ มสธครอบครองเพอื่ ใช้หรือได้ประโยชนจ์ ากท่ดี ินตามสญั ญาเชา่ ดงั กลา่ ว เชน่ นี้ ถือเปน็ การรอนสิทธิ ซงึ่ ผู้ขาย ตอ้ งรบั ผิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 479 สำ� หรบั ทรพั ยสทิ ธอิ ่นื ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาระจำ� ยอม13 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1387 สทิ ธิอาศยั 14 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1402 สทิ ธิเหนอื พนื้ ดนิ 15 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1410 สิทธิเกบ็ กนิ 16 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1417 หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1429 นั้น หากมิได้ทำ� เป็นหนังสือและ จดทะเบยี นกไ็ มบ่ รบิ รู ณเ์ ปน็ ทรพั ยสทิ ธิ ซงึ่ ใชบ้ งั คบั ไดใ้ นระหวา่ งคกู่ รณเี ทา่ นนั้ ไมอ่ าจยกเปน็ ขอ้ ตอ่ สบู้ คุ คล มสธภายนอกผรู้ บั โอน (กรณนี ค้ี อื ผซู้ อื้ ตามสญั ญาซอื้ ขาย) ไมว่ า่ บคุ คลภายนอกนน้ั จะรวู้ า่ มสี ทิ ธเิ ชน่ นน้ั อยหู่ รอื ไมก่ ต็ าม 2.3 การด�ำเนินคดีเก่ียวกับการรอนสิทธิ ในเรอื่ งการด�ำเนินคดเี กยี่ วกับการรอนสทิ ธนิ ้ี จะได้จ�ำแนกอธิบายออกเป็น 3 หัวข้อ คอื (1) การ ขอใหศ้ าลเรยี กผขู้ ายเขา้ มาเปน็ โจทกร์ ว่ มหรอื จำ� เลยรว่ ม (2) ผขู้ ายรอ้ งสอดเขา้ มาเปน็ โจทกร์ ว่ มหรอื จำ� เลย มสธ มสธร่วม และ (3) อายุความฟอ้ งคดใี นขอ้ รับผิดเพอื่ การรอนสิทธิ 2.3.1 การขอใหศ้ าลเรยี กผูข้ ายเข้ามาเปน็ โจทกร์ ่วมหรือจำ� เลยร่วม มบี ญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 477 ดังน้ี มาตรา 477 “เมื่อใดการรบกวนขัดสิทธิน้ันเกิดเป็นคดีข้ึนระหว่างผู้ซ้ือกับบุคคลภายนอก ผู้ซื้อชอบที่จะขอให้ศาลเรียกผู้ขายเข้าเป็นจ�ำเลยร่วมหรือเป็นโจทก์ร่วมกับผู้ซื้อในคดีน้ันได้ เพ่ือศาลจะ ได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้เป็นคู่กรณีท้ังหลายรวมไปเป็นคดีเดียวกัน” มสธตามบทบัญญัติดังกล่าว การรบกวนขัดสิทธิซ่ึงเป็นคดีระหว่างผู้ซ้ือกับบุคคลภายนอกน้ัน อาจเกิดขนึ้ ไดใ้ น 2 กรณดี ังน้ี 1) ผู้ซื้อเป็นโจทก์ฟ้องบุคคลภายนอกผู้ก่อการรบกวนสิทธิ แล้วเรียกผู้ขายมาเป็น โจทกร์ ว่ มในคดี หรือ 2) บุคคลภายนอกผู้มีสิทธิดีกว่าฟ้องผู้ซื้อเป็นจ�ำเลย แล้วผู้ซื้อเรียกผู้ขายเข้ามาเป็น มสธ มสธจ�ำเลยรว่ ม 13 ค�ำพพิ ากษาฎีกาท่ี 2229/2542, 8621/2554, 2554-2545/2555 14 ค�ำพิพากษาฎกี าท่ี 714/2532 มสธ15 ค�ำพิพากษาฎกี าที่ 5560/2537, 6188/2545, 5215/2554 16 ค�ำพพิ ากษาฎีกาท่ี 6872/2539

4-42 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซือ้ ขาย เช่าทรัพย์ เช่าซอ้ื การขอใหศ้ าลเรยี กผขู้ ายมาเปน็ โจทกร์ ว่ มหรอื จำ� เลยรว่ มในคดดี งั กลา่ ว เพอ่ื ศาลจะได้ มสธวินิจฉัยช้ีขาดข้อพิพาทระหว่างผู้เป็นคู่กรณีทั้งหลายรวมไปเป็นคดีเดียวกัน เพื่อให้คดีเสร็จสิ้นไปในคราว เดียว ซึ่งกฎหมายให้สิทธิผู้ซื้อท่ีจะเรียกหรือไม่เรียกผู้ขายเข้ามาในคดีก็ได้ แต่การท่ีไม่ขอเรียกผู้ขายเข้า มาในคดี หากผขู้ ายพสิ จู นไ์ ดว้ า่ หากไดเ้ รยี กเขา้ มาคดฝี า่ ยผซู้ อื้ จะชนะ ซง่ึ จะทำ� ใหผ้ ขู้ ายไมต่ อ้ งรบั ผดิ ในการ รอนสิทธินน้ั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 482(2) ซง่ึ จะได้กลา่ วตอ่ ไป มสธ มสธข้อสังเกต การขอใหศ้ าลเรยี กผขู้ ายเปน็ โจทกห์ รอื จำ� เลยรว่ มดงั กลา่ ว ตอ้ งเปน็ เรอ่ื งทบ่ี คุ คลภายนอก เป็นผู้ก่อการรบกวนขัดสิทธิหรือเป็นผู้มีสิทธิดีกว่า กรณีภาษีอากรค้างช�ำระมิใช่กรณีดังกล่าว ผู้ซ้ือจึงขอ ใหศ้ าลพพิ ากษาใหผ้ ขู้ ายรบั ผดิ ในภาษที ค่ี า้ งชำ� ระตอ่ ผซู้ อื้ ใหเ้ สรจ็ ไปในคดเี ดยี วกนั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 477 ไมไ่ ด้ อุทาหรณ์ มสธค�ำพิพากษาฎีกาที่ 2759/2531 จำ� เลยท่ี 1 และจำ� เลยท่ี 4 ซงึ่ เปน็ เจา้ ของอาคารพพิ าท เดิมค้างช�ำระคา่ ภาษีโรงเรอื นต่อโจทก์กอ่ นโอนขายให้จ�ำเลยท่ี 3 จำ� เลยท่ี 3 ซง่ึ เปน็ ผรู้ ับโอนกรรมสิทธ์ิใน อาคารพพิ าทตอ้ งรว่ มรบั ผดิ ในคา่ ภาษโี รงเรอื นทค่ี า้ งดว้ ยในฐานะเปน็ ลกู หนรี้ ว่ ม โดยผลแหง่ พระราชบญั ญตั ิ ภาษีโรงเรอื นและท่ดี นิ พุทธศกั ราช 2475 มาตรา 45 การทีจ่ �ำเลยท่ี 3 ต้องรับผดิ ในค่าภาษีโรงเรอื นทีค่ ้าง ชำ� ระมาตง้ั แตจ่ ำ� เลยที่ 4 เปน็ เจา้ ของ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งทท่ี รพั ยส์ นิ ทซี่ อื้ ขายตกอยใู่ นบงั คบั แหง่ สทิ ธอิ ยา่ งหนง่ึ อยา่ ง มสธ มสธใดซึ่งเป็นเหตุให้เส่ือมราคาหรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินน้ันดังที่บัญญัติไว้ในประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 479 ศาลจึงจะพิพากษาให้จ�ำเลยที่ 4 รับผิดในค่าภาษีโรงเรือนที่ ค้างชำ� ระนน้ั ตอ่ จำ� เลยที่ 3 ให้เสร็จไปในคดีเดียวกันตามมาตรา 477 ไม่ได้ 2.3.2 ผขู้ ายรอ้ งสอดเขา้ มาเปน็ โจทกร์ ว่ มหรอื จำ� เลยรว่ ม มบี ญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 478 ดังน้ี มาตรา 478 “ถ้าผู้ขายเห็นเป็นการสมควร จะสอดเข้าไปในคดีเพ่ือปฏิเสธการเรียกร้องของ มสธบุคคลภายนอก ก็ชอบท่ีจะท�ำได้ด้วย” ตามบัญญัติดังกล่าว กฎหมายให้สิทธิผู้ขายหากเห็นเป็นการสมควรจะร้องสอดเข้ามาเป็น โจทก์ร่วมหรือเปน็ จำ� เลยรว่ มก็ได้ เพื่อปฏิเสธการเรียกร้องของบุคคลภายนอก อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาฎีกาที่ 4431/2553 เคร่ืองหมายการค้าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหน่ึงซ่ึง มสธ มสธกฎหมายรบั รอง และคมุ้ ครองไวโ้ ดยเฉพาะ ไมม่ รี ปู รา่ ง ทง้ั ไมอ่ าจยดึ ถอื ครอบครองไดอ้ ยา่ งทรพั ยส์ นิ ทว่ั ไป ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. แม้จ�ำเลยท่ี 1 จะเป็นตัวแทนจ�ำหน่ายสินค้าภายใต้เคร่ืองหมายการค้าของ ผู้ร้อง แต่ไม่ปรากฏว่าจ�ำเลยท่ี 1 เป็นผู้รับโอนสิทธิในเคร่ืองหมายการค้าซึ่งเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของ เจ้าของเครื่องหมายการค้า เมื่อจ�ำเลยท่ี 1 ส่ังซ้ือสินค้าภายใต้เคร่ืองหมายการค้าของผู้ร้องไปแล้ว ผู้ร้อง ซง่ึ เปน็ เจา้ ของเครอื่ งหมายการคา้ ในสนิ คา้ ทไ่ี ดจ้ ำ� หนา่ ยไปไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการใชเ้ ครอ่ื งหมายการคา้ นน้ั จากราคาสนิ คา้ ทจ่ี ำ� หนา่ ยไปเสรจ็ สน้ิ แลว้ จงึ ไมม่ สี ทิ ธหิ วงกนั ไมใ่ หจ้ ำ� เลยที่ 1 ผซู้ อ้ื สนิ คา้ ซงึ่ ประกอบการคา้ มสธปกติน�ำสินค้านั้นออกจ�ำหน่ายอีกต่อไปเท่านั้น การซ้ือสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของผู้ร้องไป

สัญญาซ้ือขาย 2 4-43 ดงั กล่าวไมไ่ ดก้ ่อใหเ้ กิดสทิ ธิแต่เพยี งผเู้ ดียวแกจ่ �ำเลยที่ 1 ในอนั ทีจ่ ะใชเ้ คร่อื งหมายการคา้ ของผรู้ ้อง การที่ มสธโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้ารูปเพชรในกรอบสี่เหล่ียมฟ้องจ�ำเลยท้ังสามให้ระงับหรือเลิกใช้ เครื่องหมายการค้าที่เลียนเคร่ืองหมายการค้าของโจทก์ท่ีได้จดทะเบียนในประเทศไทยพร้อมท้ังเรียก ค่าเสยี หาย จงึ ไมใ่ ชก่ ารกอ่ การรบกวนสทิ ธขิ องจำ� เลยทงั้ สามผซู้ อื้ ในอนั จะครอบครองทรพั ยส์ นิ โดยปกตสิ ขุ เพราะโจทก์มีสิทธิเหนือทรัพย์สินท่ีได้ซื้อขายกันน้ันอยู่ในเวลาซื้อขาย อันผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ขายจะต้องรับผิด มสธ มสธในผลอันน้ันตาม ป.พ.พ. มาตรา 475 ที่จะเป็นเหตุให้ผู้ร้องซ่ึงเป็นผู้ขายสามารถสอดเข้ามาในคดีเพ่ือ ปฏเิ สธการเรียกรอ้ งของโจทกต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 478 ได้ 2.2.3 อายุความฟ้องคดีในข้อรับผิดเพ่ือการรอนสิทธิ มีบัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 481 ดังน้ี มาตรา 481 “ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความ กับบุคคลภายนอก หรือยอมตามท่ีบุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพ่ือการ มสธรอนสิทธิเม่ือพ้นก�ำหนดสามเดือนนับแต่วันค�ำพิพากษาในคดีเดิมถึงท่ีสุด หรือนับแต่วันประนีประนอม ยอมความ หรือวันท่ียอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องน้ัน” ตามบัญญัติดังกล่าว เป็นการก�ำหนดอายุความส�ำหรับการฟ้องคดีในกรณีหน่ึงกรณีใดใน 3 กรณี ดังต่อไปน้ี 1) ผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดมิ ทีว่ า่ “คดีเดิม” นัน้ หมายถงึ คดีในศาลระหว่าง มสธ มสธผู้ซ้ือกับบุคคลภายนอก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 477 ดังกล่าวมาแล้ว โดยผู้ซ้ือไม่ได้ขอให้ศาลเรียกผู้ขาย เขา้ มาเปน็ โจทก์รว่ มหรอื จำ� เลยร่วม 2) ผ้ซู ้ือได้ประนีประนอมยอมความกับบคุ คลภายนอก หรอื 3) ยอมตามที่บุคคลภายนอกเรยี กรอ้ ง หากเป็นกรณีหนึ่งกรณีใดดังกล่าว ห้ามฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้น ก�ำหนด 3 เดอื น นบั แต่วนั ค�ำพพิ ากษาในคดีเดมิ ถงึ ทสี่ ดุ หรือวนั ประนีประนอมยอมความ หรอื วนั ทยี่ อม มสธตามบุคคลภายนอกเรยี กรอ้ งน้ันแลว้ แต่กรณี หากเกินก�ำหนดดังกลา่ วย่อมเป็นอันขาดอายคุ วาม อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาฎีกาท่ี 4467/2553 การซอ้ื ขายทดี่ นิ ตามสญั ญาจะซอื้ จะขายและสญั ญาซอื้ ขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยเสร็จสมบูรณ์ตามสัญญาแล้ว หลังจากนั้นปรากฏว่าท่ีดินที่ซ้ือขายและ ส่งมอบกันแล้วเป็นของบุคคลภายนอกบางส่วน กรณีจึงเป็นเร่ืองการรอนสิทธิท่ีผู้ขายจะต้องรับผิดตาม มสธ มสธป.พ.พ. มาตรา 475 เมอื่ โจทกย์ อมคนื ทดี่ นิ ใหแ้ กบ่ คุ คลภายนอกจงึ ตอ้ งฟอ้ งคดภี ายในสามเดอื นนบั แตว่ นั ที่ ยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 481 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า วันที่โจทก์ยอม ตามทบ่ี คุ คลภายนอกเรยี กรอ้ งคอื กลางเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ 2545 แตโ่ จทกฟ์ อ้ งคดนี วี้ นั ที่ 12 กรกฎาคม 2545 มสธจึงเกินสามเดอื น ถอื ว่าคดโี จทก์ขาดอายุความ

4-44 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซอ้ื ขาย เชา่ ทรัพย์ เชา่ ซ้ือ ข้อสังเกต มสธ(1) กรณผี ขู้ ายเปน็ คคู่ วามในคดเี ดมิ ไมอ่ ยใู่ นอายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 481 อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาฎีกาที่ 2597/2541 ที่ดินท่ีจ�ำเลยท้ังสองขายให้โจทก์นั้น ศาลฎีกา พิพากษาให้โอนไปเปน็ ของบุคคลอ่นื จงึ เปน็ กรณบี คุ คลอื่นมาก่อการรบกวนขดั สทิ ธขิ องโจทกซ์ ่ึงเป็นผซู้ อ้ื มสธ มสธในอันท่ีจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลนั้นมีสิทธิเหนือท่ีดินท่ีได้ซ้ือขายกันอยู่ในเวลาซ้ือขาย จ�ำเลยทงั้ สองจึงต้องรบั ผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 475 จ�ำเลยท่ี 1 ผขู้ ายเป็นคู่ความในคดเี ดิม โจทก์ ไม่ได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอกหรือยอมตามท่ีบุคคลภายนอกเรียกร้อง กรณีของโจทก์ เฉพาะจำ� เลยท่ี 1 จงึ ไมต่ อ้ งตาม ป.พ.พ. มาตรา 481 และมอี ายคุ วาม10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 สทิ ธิ เรยี กรอ้ งของโจทกเ์ รม่ิ นบั แตว่ นั ที่ 4 เมษายน 2534 โจทกน์ ำ� คดมี าฟอ้ งวนั ท่ี 1 ตลุ าคม 2534 คดโี จทกเ์ ฉพาะ จำ� เลยท่ี 1 จึงไม่ขาดอายุความ แต่จ�ำเลยท่ี 2 น้ันปรากฏว่าไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม กรณีจึงต้องตาม มสธมาตรา 481 คดีโจทกเ์ ฉพาะจำ� เลยที่ 2 จงึ ขาดอายคุ วามตามกฎหมายดังกลา่ ว (2) กรณีท่ีดินท่ีซื้อขายถูกเพิกถอนหนังสือรับรองการท�ำประโยชน์ มิใช่กรณี อายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 481 อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาฎีกาท่ี 8467/2555 ความรับผิดของจ�ำเลยเกิดจากที่ดินที่จ�ำเลยขาย มสธ มสธใหแ้ กโ่ จทกถ์ กู รอนสทิ ธิ หาใชเ่ พราะจำ� เลยทำ� ละเมดิ ตอ่ โจทก์ อนั จะอา้ งอายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 มาปรับใช้หาได้ไม่ ซ่ึงอายุความในเรื่องการรอนสิทธิมีบัญญัติไว้ในมาตรา 481 เฉพาะกรณีท่ีผู้ซื้อได้ ประนปี ระนอมยอมความกบั บคุ คลภายนอก หรอื ยอมตามทบ่ี คุ คลภายนอกเรยี กรอ้ ง เมอื่ ทด่ี นิ ถกู เพกิ ถอน หนังสือรับรองการท�ำประโยชน์ จึงไม่เข้าบทบัญญัติดังกล่าว เม่ือไม่มีกฎหมายก�ำหนดอายุความไว้โดย เฉพาะ จงึ ต้องใช้อายุความท่ัวไปตามที่บญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มีก�ำหนดสบิ ปี (3) กรณีท่ีผู้ซ้ือยินยอมตามข้อคัดค้านหรือการเรียกร้องในทางอาญาหรือทาง มสธปกครองเปน็ เชงิ มสี ภาพบงั คบั มฉิ ะนน้ั จะถกู ดำ� เนนิ คดใี นทางอาญา มใิ ชเ่ ปน็ การยนิ ยอมโดยความสมคั รใจ จงึ มใิ ช่อายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 481 อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาฎีกาที่ 1192/2541 จำ� เลยทำ� สัญญาขายต้นยางพาราซ่งึ อา้ งวา่ ปลูก อยู่ในที่ดินจ�ำเลยให้โจทก์ โจทก์จึงส่ังจ่ายเช็คสองฉบับให้จ�ำเลยฉบับแรกเรียกเก็บเงินได้ โจทก์จึงเข้าตัด มสธ มสธโค่นต้นยางพาราแต่ผู้ใหญ่บ้านได้คัดค้านและสั่งห้ามโจทก์ตัดโค่นต้นยางพาราในท่ีดินพิพาท โดยอ้างว่า เป็นพื้นท่ีสาธารณประโยชน์โดยใช้เป็นทุ่งเล้ียงสัตว์ โจทก์จึงมีคำ� ส่ังให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็ค ฉบับทสี่ อง แล้วบอกเลกิ สัญญาแก่จ�ำเลย ดังนน้ั กรณีไมว่ า่ ทีด่ นิ ซึ่งปลกู ต้นยางพาราจะเปน็ ของจำ� เลยจริง หรือไม่และกรรมสิทธิ์ในต้นยางพาราท้งั หมดหรือแต่บางสว่ นจะได้โอนไปยังโจทกแ์ ล้วหรอื ไม่ก็ตาม แต่ใน เมอื่ หลงั จากนน้ั จำ� เลยมไิ ดด้ ำ� เนนิ การใดหรอื แจง้ ความรอ้ งทกุ ขต์ อ่ พนกั งานสอบสวนดำ� เนนิ คดแี กผ่ ใู้ หญบ่ า้ น ผเู้ ขา้ มารบกวนขดั ขวางการตดั โคน่ ตน้ ยางพาราของโจทกเ์ พอื่ ใหเ้ กดิ ความมนั่ ใจแกโ่ จทกว์ า่ การตดั โคน่ ตน้ มสธยางพาราจะไดร้ บั ความสะดวกและจะไมถ่ กู ดำ� เนนิ คดี แตจ่ ำ� เลยกย็ งั มไิ ดด้ ำ� เนนิ การประการใดจำ� เลยจงึ ตอ้ ง

สัญญาซือ้ ขาย 2 4-45 ตกเปน็ ผผู้ ดิ สญั ญาซอ้ื ขายตน้ ยางพารา การยอมตามทบี่ คุ คลภายนอกเรยี กรอ้ งตามประมวลกฎหมายแพง่ มสธและพาณิชย์ มาตรา 481 นั้น มีความหมายว่าต้องเป็นการยอมโดยสมัครใจ แต่การยอมตามข้อคัดค้าน หรือการเรียกร้องในทางอาญาหรือในทางปกครองอันมีรูปเรื่องเป็นเชิงมีสภาพบังคับให้บุคคลท่ีเก่ียวข้อง หรอื โจทกต์ อ้ งจำ� ยอมปฏบิ ตั ติ าม มฉิ ะนน้ั อาจถกู ดำ� เนนิ คดใี นทางอาญาไดน้ น้ั กรณยี อ่ มไมอ่ ยใู่ นความหมาย และในบงั คับอายุความแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 481 มสธ มสธ(4) การท่ีผู้ซื้อจ�ำต้องยอมให้เจ้าพนักงานต�ำรวจยึด เพราะเป็นทรัพย์สินที่ถูก โจรกรรมมา มใิ ช่เปน็ ความยนิ ยอมโดยสมคั รใจ ไมอ่ ยใู่ นบังคับอายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 481 อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาฎีกาที่ 2053/2538 จ�ำเลยผู้ขายต้องรับผิดในการรอนสิทธิตาม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 475 แมจ้ ะไมท่ ราบถงึ เหตแุ หง่ การรอนสทิ ธกิ ต็ ามและเมอื่ โจทก์ จ�ำต้องยอมให้เจ้าพนักงานต�ำรวจยึดรถยนต์พิพาทซ่ึงซื้อมาจากจ�ำเลยไปเพราะเป็นรถยนต์ท่ีถูกโจรกรรม มสธมาความรบั ผดิ ของจำ� เลยดงั กลา่ วจงึ ไมอ่ ยใู่ นบงั คบั อายคุ วามฟอ้ งรอ้ งตามมาตรา 481แตม่ อี ายคุ วาม 10 ปี ตามมาตรา 193/3017 (5) กรณีผู้ขายไม่อาจโอนกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซ้ือได้ เป็นเร่ืองของ การผิดสญั ญา ไม่อยู่ในบังคบั อายคุ วาม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 481 อุทาหรณ์ มสธ มสธค�ำพิพากษาฎีกาที่ 5366/2539 การทจ่ี ำ� เลยนำ� รถยนตม์ าขายใหแ้ กโ่ จทกเ์ ทา่ กบั วา่ จำ� เลยผขู้ ายไดร้ บั รองโดยปรยิ ายวา่ จำ� เลยมกี รรมสทิ ธใ์ิ นรถยนตท์ นี่ ำ� มาขายเมอ่ื ปรากฏวา่ จำ� เลยไมม่ แี ละ ไม่อาจโอนกรรมสิทธ์ิในรถยนต์คันนั้นให้แก่โจทก์ได้จึงเป็นการผิดสัญญาท่ีทำ� ไว้กับโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ ได้รับความเสียหายเนื่องจากโจทก์ต้องช�ำระเงินจ�ำนวน 240,000 บาท คืนให้แก่ผู้ซ้ือรถยนต์คันดังกล่าว ไปจากโจทก์ โจทกย์ ่อมมสี ิทธิฟ้องเรยี กค่าเสยี หายเปน็ เงินจ�ำนวนดงั กล่าวจากจำ� เลยได้ หาใช่การฟอ้ งคดี ในขอ้ รบั ผดิ เพอื่ การรอนสทิ ธอิ นั มอี ายคุ วาม 3 เดอื น ตามมาตรา 481 แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มสธไม่ การฟ้องคดเี ชน่ นไ้ี ม่มกี ฎหมายกำ� หนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงตอ้ งใช้อายคุ วามท่วั ไป 10 ปี (6) ผู้ซื้อฟ้องเรียกค่าเสียหายเพราะผู้ขายผิดสัญญาท่ีรับรองกับผู้ซื้อว่าไม่มี การรอนสทิ ธิ ไม่อย่ใู นบังคับอายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 481 ค�ำพิพากษาฎีกาท่ี 7407/2540 โจทกฟ์ อ้ งรยี กคา่ เสยี หายตามขอ้ ตกลงในสญั ญา เพราะจ�ำเลยผดิ สัญญารบั รองกับโจทก์วา่ ไม่มกี ารรอนสิทธิมิได้ฟ้องร้องจ�ำเลยใหร้ บั ผิดเพราะการรอนสิทธิ มสธ มสธไมม่ บี ทบญั ญตั กิ ำ� หนดอายุความไวโ้ ดยเฉพาะตอ้ งถือบทบญั ญตั อิ ายคุ วามท่ัวไปคอื 10 ปี 2.4 กรณีผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ กรณผี ขู้ ายไมต่ อ้ งรบั ผดิ ในการรอนสทิ ธิ อาจจำ� แนกออกไดเ้ ปน็ 4 กรณี คอื (1) กรณผี ซู้ อ้ื รอู้ ยแู่ ลว้ ในเวลาซ้ือขาย (2) กรณีอสังหาริมทรัพย์ต้องศาลแสดงว่าตกอยู่ในบังคับแห่งภาระจ�ำยอมโดยกฎหมาย (3) กรณเี ปน็ ความผดิ ของผซู้ อ้ื ในคดี และ (4) กรณคี สู่ ญั ญาซอื้ ขายตกลงกนั วา่ ผขู้ ายไมต่ อ้ งรบั ผดิ เพอื่ การ รอนสทิ ธิ มสธ17 คำ� พิพากษาฎกี าที่ 317/2491, 390/2518, 2769/2535 วินจิ ฉยั ในแนวเดยี วกัน

4-46 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซื้อขาย เชา่ ทรพั ย์ เช่าซื้อ 2.4.1 กรณผี ้ซู อ้ื รู้อยูแ่ ลว้ ในเวลาซ้อื ขาย มบี ญั ญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 476 ดงั นี้ มสธมาตรา 476 “ถ้าสิทธิของผู้ก่อการรบกวนนั้นผู้ซื้อรู้อยู่แล้วในเวลาซื้อขาย ท่านว่าผู้ขายไม่ ต้องรับผิด” ตามบทบัญญตั ิดังกลา่ ว ถ้าผ้ซู ้ือร้อู ยแู่ ล้วถึงสิทธขิ องผรู้ ่วมก่อการรบกวนนั้นในเวลาซอื้ ขาย ผูข้ ายไม่ตอ้ งรับผดิ ถือวา่ ผูซ้ อื้ สมคั รใจยอมรบั ผลในความเสียหายท่จี ะเกิดแก่ตนเอง18 ซึ่งเปน็ ไปตามหลกั มสธ มสธกฎหมายปดิ ปาก (Estoppel) นนั่ เอง อุทาหรณ์ ค�ำพิพากษาฎีกาท่ี 2008/2540 หนงั สอื ทจี่ ำ� เลยท่ี 1 มไี ปถงึ โจทกแ์ จง้ ใหโ้ จทกท์ ราบวา่ จำ� เลย ที่ 1 ตกลงขายที่ดินและอาคารให้แก่โจทก์ตามท่ีโจทก์เสนอขอซื้อ มีข้อความระบุไว้ชัดแจ้งว่า การตกลง ขายที่ดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างดังกล่าวไม่ได้รวมสิ่งปลูกสร้างซ่ึงเป็นส�ำนักงานของจ�ำเลยที่ 2 พร้อมกับ เครอื่ งจักรและเคร่อื งชั่งซ่ึงปรากฏในแผนท่สี ังเขปตามทีจ่ �ำเลยท่ี 1 ไดแ้ จง้ ใหท้ ราบลว่ งหนา้ แล้ว เพราะสิง่ มสธปลกู สร้างดงั กลา่ วไมไ่ ดเ้ ป็นกรรมสทิ ธิข์ องจำ� เลยท่ี 1 แต่โจทก์กย็ งั ตกลงทำ� สัญญาจะซ้ือจะขายกบั จำ� เลยท่ี 1 ดังนี้ โจทกท์ ราบถงึ การรบกวนขดั สิทธขิ องจ�ำเลยที่ 2 ในทีด่ นิ ทีซ่ อ้ื แลว้ แมว้ ่าผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบ การครอบครองทรพั ย์สินที่ซอ้ื ขายให้อยู่ในเงือ้ มมือของผ้ซู ้อื ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา 461 และ 462 และผ้ขู ายต้องรับผิดในกรณีท่มี ีผมู้ าก่อการรบกวนขดั สทิ ธขิ องผ้ซู ้ือในอันจะครองทรพั ยส์ นิ โดยปกติสขุ ตามมาตรา 475 แตใ่ นกรณีน้โี จทก์ซ่ึงเป็นผ้ซู ื้อทราบอยู่แลว้ ในเวลาซื้อขายว่ามที รพั ย์สนิ ของ มสธ มสธจำ� เลยท่ี 2 อยใู่ นทด่ี นิ ทโ่ี จทกซ์ อื้ มาจำ� เลยที่ 1 จงึ ไมต่ อ้ งรบั ผดิ ในการรอื้ ถอนและขนยา้ ยเครอ่ื งจกั ร เครอ่ื งชงั่ และค่าเสียหายแกโ่ จทก์ตามมาตรา 476 จำ� เลยท่ี 2 รบกวนสทิ ธิของโจทกใ์ นการเขา้ ครอบครองทรัพย์สิน ทซี่ อื้ มาโดยปกตสิ ขุ ยอ่ มทำ� ใหโ้ จทกไ์ ดร้ บั ความเสยี หายแมจ้ ำ� เลยที่ 1 ผขู้ ายจะไมต่ อ้ งรบั ผดิ ตอ่ โจทกก์ ต็ าม แต่เมือ่ อาคาร เคร่อื งจักร และเครือ่ งชงั่ ของจ�ำเลยที่ 2 ซ่งึ ไดจ้ ำ� นองไวแ้ กจ่ ำ� เลยที่ 1 ตง้ั อยใู่ นทด่ี ินทโี่ จทก์ ซื้อมาจากจ�ำเลยท่ี 1 โดยไม่ปรากฏวา่ ไดจ้ ดทะเบยี นสทิ ธเิ หนือพ้ืนดิน จ�ำเลยท่ี 2 จงึ ไม่อาจอ้างสิทธใิ ดๆ ทจ่ี ะคงอยบู่ นที่ดินของโจทก์ เมือ่ โจทกบ์ อกกลา่ วให้จำ� เลยที่ 2 รื้อถอนไปภายใน 15 วนั และจำ� เลยท่ี 2 มสธได้รับหนังสือบอกกล่าวนั้นแล้วในวันที่ 26 พฤษภาคม 2533 จ�ำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดช�ำระค่าเสียหาย ตง้ั แตว่ นั ท่ี 27 พฤษภาคม 2533 เปน็ ตน้ ไปพรอ้ มดอกเบยี้ ของคา่ เสยี หายในระหวา่ งผดิ นดั ในอตั รารอ้ ยละเจด็ คร่ึงต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 นับแต่ผิดนัดแต่ละเดือนไปจนกว่าจะช�ำระ เสร็จ 2.4.2 กรณีอสังหาริมทรัพย์ต้องศาลแสดงว่าตกอยู่ในบังคับแห่งภาระจ�ำยอมโดยกฎหมาย มสธ มสธมบี ัญญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 480 ดังนี้ มาตรา 480 “ถ้าอสังหาริมทรัพย์ต้องศาลแสดงว่าตกอยู่ในบังคับแห่งภาระจ�ำยอมโดย กฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิด เว้นไว้แต่ผู้ขายจะได้รับรองไว้ในสัญญาว่าทรัพย์สินนั้นปลอด จากภาระจ�ำยอมอย่างใด ๆ ท้ังสิ้น หรือปลอดจากภาระจ�ำยอมอันน้ัน” มสธ18 ประพนธ์ ศาตะมาน และไพจติ ร ปุญญพันธุ.์ คำ� อธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลกั ษณะซอื้ ขาย หนา้ 84.

สัญญาซื้อขาย 2 4-47 ตามบทบัญญตั ดิ ังกลา่ ว คำ� วา่ “ภาระจำ� ยอมโดยกฎหมาย” (Servitude by law) ซง่ึ ก็คอื มสธข้อจ�ำกัดสิทธิ (Restriction) นั่นเอง19 ซึ่งข้อจ�ำกัดสิทธิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1338 น้ัน ไม่จ�ำต้อง จดทะเบียน จะถอนหรือแก้ให้หย่อนลงโดยนิติกรรมไม่ได้ นอกจากจะได้ท�ำนิติกรรมเป็นหนังสือและ จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าท่ี และข้อจ�ำกัดสิทธิซ่ึงก�ำหนดไว้เพื่อสาธารณประโยชน์น้ัน จะถอนหรือ แกใ้ หห้ ย่อนลงมไิ ดเ้ ลย ข้อจำ� กัดสทิ ธใิ นหมวดน้ี มีตงั้ แตม่ าตรา 1339 ถึงมาตรา 1355 มสธ มสธนอกจากข้อจ�ำกัดสิทธิอันเป็นภาระจ�ำยอมโดยกฎหมายดังกล่าว ผู้เขียนมีความเห็นว่า บทบญั ญตั อิ นั เกยี่ วกบั ภาระจำ� ยอม เชน่ ภาระจำ� ยอมโดยผลของกฎหมายกรณโี รงเรอื นรกุ ลำ�้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 ภาระจ�ำยอมโดยอายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 เปน็ ต้น ก็อยใู่ น ความหมายของภาระจ�ำยอมโดยกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 480 อุทาหรณ์ ฎ. 800/2502 (ประชุมใหญ่) ภาระจ�ำยอมจะสิ้นไปก็แต่เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์ มสธสลายไปทั้งหมดหรือมิได้ใช้สิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1397, 1399 และใน ลักษณะซ้อื ขายตาม มาตรา 480 กย็ ังบัญญตั วิ า่ “ถา้ อสังหารมิ ทรพั ยต์ อ้ งแสดงวา่ ตกอยใู่ นบงั คับแหง่ ภาระ จ�ำยอมโดยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิด เว้นแต่ผู้ขายจะได้รับรองไว้ในสัญญาว่าทรัพย์น้ัน ปลอดจากภาระจ�ำยอมอย่างใดๆ ท้ังสิ้นหรือปลอดจากภาระจ�ำยอมอันนั้น” ตาม มาตรา 1299 หมายถึง แตก่ รณที บ่ี คุ คลไดม้ าโดยสจุ รติ ซง่ึ ทรพั ยสทิ ธอิ นั เดยี วกนั กบั สทิ ธทิ ยี่ งั ไมไ่ ดจ้ ดทะเบยี น ผรู้ บั โอนกรรมสทิ ธ์ิ มสธ มสธในที่ดินซ่ึงมีภาระจ�ำยอมติดอยู่ หาได้สิทธิในภาระจ�ำยอมไปด้วยแต่อย่างไรไม่ ส�ำหรับที่ดินอันเป็น ภารยทรัพย์น้ัน ภาระจ�ำยอมท่ีมีอยู่เป็นแต่การรอนสิทธิตาม มาตรา 480 เท่านั้น ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ท่ีดิน จะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริตข้ึนเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภาระจ�ำยอมท่ีมีอยู่ในท่ีดินน้ันต้องส้ินไปหา ได้ไม่ กรณอี สงั หารมิ ทรพั ยต์ อ้ งศาลแสดงวา่ ตกอยใู่ นภาระจำ� ยอมโดยกฎหมายดังกล่าว ผขู้ ายไม่ ต้องรับผิด เว้นแต่ผู้ขายจะได้รับรองไว้ในสัญญาว่าทรัพย์สินนั้นปลอดจากภาระจ�ำยอมอย่างใดๆ ท้ังสิ้น มสธหรอื ปลอดจากภาระจ�ำยอมอันนนั้ ฉะนน้ั ในสัญญาซอ้ื ขายอสงั หาริมทรัพย์ ผ้ซู ้อื ท่ีมีความรอบคอบและมี ความรู้ทางกฎหมายจึงระบุข้อสัญญาว่า “ผู้ขายรับรองว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซ้ือขายแต่ เพยี งผเู้ ดยี ว โดยปราศจากภาระผกู พนั ใดๆ ทงั้ สนิ้ ” เพอ่ื ใหผ้ ขู้ ายตอ้ งรบั ผดิ กรณอี สงั หารมิ ทรพั ยท์ ซี่ อ้ื ขาย ตกอยูใ่ นบังคับแหง่ ภาระจ�ำยอมโดยกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 480 ดังกล่าว 2.4.3 กรณีเป็นความผดิ ของผูซ้ ือ้ ในคดี มบี ญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 482 ดังน้ี มสธ มสธมาตรา 482 “ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิเม่ือกรณีเป็นด่ังกล่าวต่อไปน้ี” คือ (1) ถ้าไม่มีการฟ้องคดี และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซ้ือได้สูญไปโดยความผิด ของผู้ซ้ือเอง หรือ (2) ถ้าผู้ซื้อไม่ได้เรียกผู้ขายเข้ามาในคดี และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่า ถ้าได้เรียกเข้ามาคดี ฝ่ายผู้ซ้ือจะชนะ หรือ มสธ19 เสนีย์ ปราโมทย.์ อธิบายประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ กฎหมายลักษณะทรัพย.์ (กรุงเทพฯ: เนติบัณฑติ ยสถาน, 2551) หนา้ 311.

4-48 กฎหมายพาณชิ ย์ 1: ซ้ือขาย เช่าทรัพย์ เช่าซอ้ื (3) ถ้าผู้ขายได้เข้ามาในคดี แต่ศาลได้ยกค�ำเรียกร้องของผู้ซื้อเสียเพราะความผิดของ มสธผู้ซื้อเอง แต่ถึงกรณีจะเป็นอย่างไรก็ดี ถ้าผู้ขายถูกศาลหมายเรียกให้เข้ามาในคดีและไม่ยอม เข้าว่าคดีร่วมเป็นจ�ำเลยหรือร่วมเป็นโจทก์กับผู้ซ้ือไซร้ ท่านว่าผู้ขายคงต้องรับผิด” ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว ผขู้ ายไมต่ อ้ งรบั ผดิ ในการรอนสทิ ธิ ดว้ ยเหตเุ ปน็ ความผดิ ของ มสธ มสธผซู้ ื้อเองในคดคี วามในกรณีหน่งึ กรณีใดใน 3 กรณี ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) กรณีไม่มีการฟ้องคดี กล่าวคือ ผู้ซื้อได้คืนทรัพย์ให้แก่ผู้อ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิ เหนือทรัพย์สินไปโดยไม่มีการฟ้องคดี แต่ผู้ขายก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อได้สูญไปโดยความผิด ของผูซ้ ือ้ เอง หากผู้ขายมไิ ด้พสิ ูจนห์ รอื พสิ จู น์ไม่ได้ ผู้ขายกห็ าพ้นจากความรบั ผิดไม่ อุทาหรณ์ (1) แม้ผู้ซ้ือจะยินยอมให้เจ้าพนักงานยึดคืนไปเพราะเป็นทรัพย์สินที่ถูก มสธยักยอกมา โดยมิได้มีการฟ้องคดี แต่ผู้ขายก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อได้สูญไปโดยความผิดของ ผซู้ ้อื เอง มิฉะนน้ั ผูข้ ายหาพ้นจากความรับผดิ ไม่ ค�ำพิพากษาฎีกาที่ 6429/2534 ผขู้ ายจะไมต่ อ้ งรบั ผดิ ในการรอนสทิ ธติ าม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 482(1) ก็ต่อเมื่อผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซ้ือได้สูญไปโดย ความผดิ ของผซู้ อื้ เอง ไดค้ วามวา่ รถยนตท์ จี่ ำ� เลยขายใหโ้ จทกเ์ ปน็ รถยนตท์ ถ่ี กู ยกั ยอกและไดถ้ กู เจา้ พนกั งาน มสธ มสธติดตามยึดคืนไป ดังนี้ เม่ือจ�ำเลยมิได้น�ำสืบให้เห็นว่า การท่ีรถยนต์พิพาทถูกยึดไปน้ันเป็นความผิดของ โจทก์ จ�ำเลยจึงไมอ่ าจอ้างข้อยกเวน้ การรับผดิ ในการรอนสทิ ธติ ามกฎหมาย (2) แมผ้ ู้ซอื้ จะยนิ ยอมคนื ทรัพย์สินไปเพราะถูกผอู้ า้ งสทิ ธเิ หนือทรัพย์สนิ น้นั แจ้งความด�ำเนินคดี โดยมิไดม้ กี ารฟอ้ งคดี แตผ่ ้ขู ายกต็ อ้ งพิสูจน์ให้ได้ว่าสทิ ธิของผซู้ อื้ ไดส้ ญู ไปเพราะ ความผิดของผู้ซือ้ เอง มิฉะนั้นผู้ขายหาพน้ จากความรับผดิ ไม่ ค�ำพิพากษาฎีกาท่ี 7218/2542 โจทกซ์ ื้อที่ดนิ พิพาทจากจ�ำเลย และชำ� ระ มสธค่าท่ีดินให้จ�ำเลยครบถ้วนแล้วจ�ำเลยส่งมอบท่ีดินพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองท�ำประโยชน์ต้ังแต่วันท�ำ สญั ญาแตท่ ดี่ นิ พพิ าทเปน็ ของ ผ. และ ผ. ไดแ้ จง้ ความกลา่ วหาวา่ คนงานของโจทกบ์ กุ รกุ ทดี่ นิ พพิ าท ดงั นี้ เป็นกรณีท่ี ผ. มาก่อการรบกวนสทิ ธขิ องโจทกใ์ นฐานะผูซ้ ้อื ในอันจะครองทีด่ ินพิพาทเป็นปกตสิ ุข เพราะ ผ. มกี รรมสทิ ธเ์ิ หนอื ทด่ี นิ พพิ าทอยใู่ นเวลาทโ่ี จทกซ์ อ้ื จากจำ� เลยจงึ เปน็ การรอนสทิ ธติ ามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์มาตรา 475 เมอ่ื โจทกม์ ไิ ดร้ ใู้ นเวลาซ้ือขายว่าท่ดี ินพิพาทเป็นสว่ นหนงึ่ ของท่ดี ิน ผ. และ มสธ มสธจ�ำเลยพสิ ูจนไ์ มไ่ ดว้ ่าสิทธิของโจทก์ได้สญู ไปโดยความผดิ ของโจทก์เอง จ�ำเลยจึงต้องรบั ผดิ คนื เงินค่าทด่ี ิน พพิ าทพร้อมดอกเบ้ยี แกโ่ จทก์ 2) กรณผี ซู้ อื้ ไมไ่ ดเ้ รยี กผขู้ ายเขา้ มาในคดี และผขู้ ายพสิ จู นไ์ ดว้ า่ ถา้ ไดเ้ รยี กเขา้ มา ในคดีฝ่ายผู้ซื้อจะชนะ กรณีน้ีผู้ซ้ืออาจเป็นโจทก์ฟ้องบุคคลภายนอก หรือบุคคลภายนอกฟ้องผู้ซื้อเป็น จ�ำเลยก็ได้ แต่ผู้ซื้อไม่ได้ขอให้ศาลเรียกผู้ขายมาในคดีและผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าถ้าได้เรียกมาในคดีฝ่ายผู้ซื้อ มสธจะชนะ เช่น ผู้ขายมีหลักฐานแสดงได้ว่าผู้ขายได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริตในการขยายทอดตลาดตาม

สัญญาซอื้ ขาย 2 4-49 คำ� สง่ั ศาล ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 หรอื ผขู้ ายไดท้ รพั ยส์ นิ นน้ั มาโดยการครอบครองปรปกั ษ์ ตาม ป.พ.พ. มสธมาตรา 1382 เป็นตน้ 3) กรณผี ขู้ ายไดเ้ ขา้ มาในคดี ซง่ึ อาจเปน็ กรณที ผ่ี ซู้ อื้ ขอใหศ้ าลเรยี กผขู้ ายเขา้ มา เปน็ โจทก์ร่วมหรอื จ�ำเลยร่วม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 477 หรอื ผู้ขายรอ้ งสอดเขา้ มาในคดเี อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 478 ก็ได้ แต่ศาลได้ยกค�ำร้องของผู้ซ้ือเสีย เพราะความผิดของผู้ซื้อเอง เช่น ผู้ซ้ือขาดนัดการ มสธ มสธพิจารณา หรอื ยอมรบั สทิ ธิของคูก่ รณีเสยี ก่อนท่ผี ู้ขายจะไดน้ ำ� สบื เป็นต้น อยา่ งไรก็ดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 482 วรรคท้าย ถา้ ผู้ขายถูกศาลหมายเรยี กให้ เขา้ มาในคดแี ล้ว แตผ่ ขู้ ายไมย่ อมเขา้ ว่าคดีร่วมเป็นจ�ำเลยหรือเป็นโจทกก์ บั ผู้ซอื้ ไมว่ ่ากรณีจะเปน็ อย่างไร ผู้ขายกต็ อ้ งรับผดิ เพราะถอื ว่ากฎหมายให้สิทธิเขา้ มาพิสูจน์ตอ่ สู้แล้ว แต่จงใจหลีกเลี่ยงเอง จงึ ตอ้ งรับผดิ ดังกลา่ ว 2.4.4 กรณีคู่สัญญาตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพื่อการรอนสิทธิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา มสธ483 เปน็ บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทเี่ ปดิ ชอ่ งใหค้ สู่ ญั ญาตกลงยกเวน้ ความรบั ผดิ ของผขู้ ายเพอื่ การรอนสทิ ธิ ได้โดยตรง แต่กต็ ้องอยู่ภายในบงั คบั ของ ป.พ.พ. มาตรา 484 และมาตรา 485 ซง่ึ จะไดก้ ล่าวต่อไป 3. ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิด มสธ มสธในเรื่องข้อสญั ญานไี้ มต่ ้องรับผดิ นี้ จะไดจ้ �ำแนกอธิบายออกเปน็ 2 หัวขอ้ คอื (1) ขอ้ ตกลงยกเว้น ความรับผิดเพ่ือความช�ำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิ และ (2) กรณีข้อตกลงยกเว้นความรับผิด ไม่คมุ้ ครองผูข้ าย 3.1 ข้อตกลงยกเว้นความรับผิดเพื่อความช�ำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิ มีบัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 483 ดังนี้ มาตรา 483 “คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความช�ำรุดบกพร่องหรือ เพ่ือการรอนสิทธิก็ได้” มสธตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว คสู่ ญั ญาซอ้ื ขายจะตกลงกนั วา่ ผขู้ ายไมต่ อ้ งรบั ผดิ เพอ่ื ความชำ� รดุ บกพรอ่ ง หรอื เพอื่ การรอนสทิ ธกิ ไ็ ด้ ซง่ึ เปน็ ไปตามหลกั เสรภี าพในการทำ� สญั ญา (Freedom of contract) และหลกั ความศกั ดสิ์ ทิ ธแิ์ หง่ การแสดงเจตนา (Autonomy of will) นนั่ เอง ในเมอ่ื บทบญั ญตั ทิ ว่ี า่ ดว้ ยความรบั ผดิ เพอื่ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งหรอื เพอ่ื การรอนสทิ ธิ มใิ ชบ่ ทบญั ญตั อิ นั เกยี่ วดว้ ยความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรม มสธ มสธอันดีของประชาชน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 คู่สัญญาซื้อขายจึงตกลงกันเป็นอย่างอ่ืนได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 151 3.2 กรณีขอ้ ตกลงยกเวน้ ความรบั ผิดไม่คมุ้ ครองผูข้ าย มบี ัญญัตไิ ว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 484 และ มาตรา 485 ดงั น้ี มาตรา 484 “ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดน้ัน ย่อมไม่คุ้มผู้ขายให้พ้นจากการต้องส่งเงินคืนตาม ราคา เว้นแต่จะได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น” มาตรา 485 “ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดน้ัน ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอัน มสธผู้ขายได้กระท�ำไปเอง หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย”

4-50 กฎหมายพาณิชย์ 1: ซื้อขาย เชา่ ทรพั ย์ เชา่ ซอ้ื ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว แมจ้ ะมขี อ้ ตกลงยกเวน้ ความรบั ผดิ กไ็ มค่ มุ้ ครองผขู้ ายใน 3 กรณี ตอ่ ไปน้ี มสธ1) ไมค่ มุ้ ครองผขู้ ายใหพ้ น้ จากการตอ้ งสง่ เงนิ คนื ตามราคา เวน้ แตจ่ ะไดร้ ะบไุ วเ้ ปน็ อยา่ งอน่ื ตาม ป.พ.พ. มาตรา 484 ซ่ึงมไิ ดเ้ ปน็ บทบัญญัตเิ ดด็ ขาด ค่กู รณอี าจระบุไวเ้ ปน็ อยา่ งอ่นื ได้ ตัวอย่าง ก. ทำ� สัญญาขายรถยนตค์ นั หนง่ึ ให้ ข. โดยมีขอ้ ตกลงวา่ ก. ผู้ขายไมต่ อ้ งรบั ผิดเพ่ือความ มสธ มสธช�ำรดุ บกพรอ่ งและเพ่ือการรอนสทิ ธิใดๆ ปรากฏว่ารถยนตค์ นั นั้น ก. ซือ้ มาจาก ค. โดย ค. ไดร้ ถยนต์คนั น้นั มาจากการยกั ยอก ซ่งึ ง. เจ้าของทแี่ ท้จริงไดแ้ จง้ เจา้ หน้าที่ตำ� รวจยึดรถยนตค์ ันนน้ั จาก ข. คืนไป เช่น น้ี แมจ้ ะมีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดของ ก. ผู้ขาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 483 แตก่ ไ็ มค่ ุ้มครอง ก. ผู้ขาย ให้พน้ จากการท่ตี ้องคนื เงินแก่ ข. ตามราคาท่ีขายให้ ข. ไป 2) ไมค่ มุ้ ความรบั ผดิ ของผขู้ ายในผลของการอนั ผขู้ ายไดก้ ระทำ� ไปเอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 485 ส่วนแรก ซงึ่ เป็นบทบัญญตั ิอันเกี่ยวดว้ ยความสงบเรยี บร้อยและศีลธรรมอันดขี องประชาชน คู่สัญญา มสธซอ้ื ขายจะตกลงยกเวน้ ไมไ่ ด้ เพราะความตกลงยกเวน้ ความผดิ ทไ่ี ดก้ ระทำ� ไปเองนนั้ ขดั ตอ่ หลกั สจุ รติ (good faith) น่นั เอง ตัวอย่าง ก. ทำ� สญั ญาขายโคซง่ึ เปน็ สตั วพ์ าหนะใหแ้ ก่ ข. โดยมขี อ้ ตกลงวา่ ผขู้ ายไมต่ อ้ งรบั ผดิ ในการ รอนสิทธิและได้สง่ มอบโคให้ ข. ไปแลว้ แต่ ก. กลบั นำ� ตวั๋ รูปพรรณโคดงั กลา่ วไปจดทะเบียนโอนขายให้ มสธ มสธแก่ ค. ซง่ึ ใหร้ าคาสงู กวา่ และ ค. ไดน้ ำ� หลกั ฐานตว๋ั รปู พรรณดงั กลา่ วมาตดิ ตามเอาโคจาก ข. เชน่ นี้ ขอ้ สญั ญา วา่ ไมต่ ้องรับผดิ ไม่ค้มุ ความรบั ผดิ ของผขู้ ายในผลของการอันผขู้ ายได้ทำ� ไปเองดงั กล่าว 3) ไม่คุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 485 สว่ นทา้ ย ซึ่งเป็นบทบัญญัตอิ ันเก่ยี วด้วยความสงบเรยี บร้อยและศลี ธรรมอนั ดี ของประชาชน คสู่ ญั ญาจะตกลงยกเวน้ ไมไ่ ด้ รวมทง้ั ขดั ตอ่ หลกั สจุ รติ เชน่ เดยี วกนั กบั ขอ้ 2) ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ตัวอย่าง มสธก. ทำ� สญั ญาขายทดี่ นิ แปลงหนึ่งเนอ้ื ท่ี 100 ไร่ ใหแ้ ก่ ข. โดย ก. รูอ้ ยู่แล้ววา่ ทีด่ นิ ประมาณ ครงึ่ หนงึ่ เปน็ บอ่ ลกึ และอกี ครงึ่ หนง่ึ อยใู่ นเขตเวนคนื ทดี่ นิ โดย ก. ปกปดิ ไว้ และไดท้ ำ� ขอ้ ตกลงในสญั ญาซอ้ื ขายว่าผู้ขายไมต่ ้องรับผิดเพือ่ ความชำ� รดุ บกพรอ่ งและเพือ่ การรอนสทิ ธิ เชน่ นีข้ อ้ ตกลงวา่ จะไมต่ อ้ งรับผดิ ดังกล่าวไม่คุ้มความรับผิดของ ก. ผู้ขายในผลแห่งข้อความจริงอัน ก. ได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย ตาม มสธ มสธ มสธป.พ.พ. มาตรา 485 ส่วนทา้ ยดังกล่าว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook