40 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ี่ 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2563) รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540. ราชกจิ จานเุ บกษา. 114, 55ก (11 ตลุ าคม 2540). รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550. ราชกจิ จานเุ บกษา. 124, 47ก (24 สงิ หาคม 2550). รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560. ราชกจิ จานเุ บกษา. 134, 40ก (6 เมษายน 2560).
ตอนที่ 2 บทความวิจัย Research Articles
42 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปที ่ี 13 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) แนวทางการพัฒนาการปอ้ งกันการทุจริตขององคก์ รปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต Development of Approaches for Corruption Prevention by Anti-Corruption Agencies ชัญญณัท พรโพธIิ์ Chanyanat PhonpohI ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนนั ทกุลII Tanansak BorwornnuntakulII บทคัดย่อ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการวจิ ยั เพอื่ ศกึ ษาความเกยี่ วขอ้ งกนั ระหวา่ งการทจุ รติ และอาชญากรรม ปญั หา และอุปสรรคในการป้องกันการทุจริตขององค์กรป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพ่ือหาแนวทาง ในการพัฒนาการป้องกันการทุจริตขององค์กรป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยใช้การวิจัยแบบ ผสมผสานเก็บข้อมลู กบั เจ้าหน้าทีด่ ้านป้องกันการทุจริตของสำ� นักงาน ป.ป.ช. และสำ� นักงาน ป.ป.ท. เก็บข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม จ�ำนวน 167 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การ เก็บข้อมลู แบบการสนทนากลุม่ จ�ำนวน 15 คน ผลการศึกษาวจิ ัยพบว่า ปัจจยั ท่ีสง่ ผลต่อความสำ� เร็จ ในการพฒั นาการป้องกนั การทจุ ริตขององคก์ รป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้แก่ ปจั จัยดา้ นการ บรหิ ารจดั การภาครฐั ปจั จยั ดา้ นการบงั คบั ใชก้ ฎหมายและควบคมุ ตรวจสอบการใชอ้ ำ� นาจรฐั และปจั จยั ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม โดยพบว่ามีความสมั พนั ธก์ ันทรี่ ะดับนยั ส�ำคญั ทางสถติ ิ 0.01 มคี ่าสมั ประสิทธิ์ สหสมั พนั ธ์ 0.603 โดยการทจุ รติ จดั อยใู่ นประเภทอาชญากรรมคอปกขาว และพบในองคก์ รอาชญากรรม พบว่าปัญหาและอุปสรรคในการป้องกันการทุจริตขององค์กรป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในปจั จุบนั คือ ความเป็นอสิ ระขององค์กร ประสิทธภิ าพของระบบการบรหิ ารจัดการหน่วยงานภาครัฐ ประสิทธภิ าพของระบบการประเมิน ประสิทธภิ าพของกฎหมาย การยอมรับการทจุ รติ ของประชาชน และการขาดคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยมเร่อื งความซ่อื สัตยส์ ุจรติ ค�ำส�ำคญั : การปอ้ งกันการทจุ รติ การทจุ ริต ส�ำนักงาน ป.ป.ช. สำ� นักงาน ป.ป.ท. Abstract The objectives of the study were 1) to study the association between corruption and crime, 2) to address problems and obstacles in preventing corruption by anti- corruption agencies and 3) to explore guidelines in improving preventive measures to I นักศึกษาระดบั บณั ฑติ ศึกษา คณะสงั คมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล I Graduate Student, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University II อาจารยป์ ระจำ� สาขาวชิ าอาชญาวิทยาและงานยตุ ิธรรม คณะสังคมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล II Program in Criminology and Criminal Justice, Faculty of Social Sciences and Humanities, Mahidol University. ไดร้ ับบทความ 1 กรกฎาคม 2562 แกไ้ ขปรับปรุง 9 พฤษภาคม 2563 อนมุ ัติใหต้ ีพมิ พ์ 14 พฤษภาคม 2563
แนวทางการพัฒนาการป้องกันการทุจรติ ขององค์กรปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ 43 fight corruption anti-corruption agencies. The study used mixed method research, and data were collected using quantitative research through questionnaires with 167 anti-corruption officers from the NACC and the PACC as well as using qualitative research through focus group discussion with 15 officers. The results revealed that factors affecting the success in developing prevention measures for the anti-corruption agencies were public sector governance, law enforcement, state power inspection as well as morality and ethics, with the statistical significance level of 0.01 and the correlation coefficient of 0.603. Corruption was categorized as white collar crime and practiced in criminal organizations. Problems and obstacles in preventing corruption by the anti-corruption agencies consist of the independence of agencies were organization autonomy, efficiency of public sector governance, evaluation system and laws as well as people’s tolerance of corruption, lack of morality and ethics and the value of integrity. Keywords: Prevention of corruption, Corruption, Office of the NACC, Office of the PACC 1. บทน�ำ การทจุ รติ เปน็ ปญั หาสำ� คญั ทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ การพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม และยงั เปน็ ปญั หา ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้นเร่ือย ๆ แม้ว่าหลายประเทศได้ก้าวเข้าสู่ความทันสมัย มรี ะบบการบรหิ ารราชการสมัยใหม่ มีการรณรงค์จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ท่ีต่างเห็นพ้องกันว่าการทุจริตเป็นปัญหาท่ีน�ำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการพัฒนา ประเทศ (สำ� นกั งานคณะกรรมการกำ� กบั หลกั ทรพั ยแ์ ละตลาดหลกั ทรพั ย,์ 2559) และสำ� นกั งานปอ้ งกนั ยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UN Office on Drugs and Crime - UNODC) ได้มีการก�ำหนดใหก้ ารทุจริตเป็น 1 ใน 5 ปญั หาอาชญากรรมทตี่ อ้ งด�ำเนินการป้องกนั และ แก้ไข (United Nations Office on Drugs and Crime, 2010) โดยปัญหาอาชญากรรมท่ีต้อง ด�ำเนินการแก้ไข ได้แก่ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและการค้าส่ิงผิดกฎหมาย (Organized Crime and Trafficking) การต่อต้านการทุจริต (Corruption) การป้องกันการก่อการร้าย (Terrorism Prevention) การปอ้ งกันอาชญากรรมและการปฏิรปู กระบวนการยุติธรรม (Crime Prevention and Criminal Justice Reform) และการปอ้ งกนั ปญั หายาเสพตดิ และระบบสาธารณสขุ (Drug Prevention and Health) นอกจากนี้ สมชั ชาใหญแ่ หง่ สหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ไดใ้ ห้ การรบั รองอนสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ (United Nations Convention against
44 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ่ี 13 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2563) Corruption - UNCAC) ใหม้ ีผลบงั คบั ใช้เมือ่ วนั ท่ี 14 ธนั วาคม พ.ศ. 2548 โดยมีความมุ่งหวงั สำ� คัญ ใน 3 ประเด็น (คณะกรรมการพจิ ารณาพนั ธกรณอี นสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ค.ศ. 2003) คอื 1. เพอื่ สง่ เสรมิ และเสรมิ สรา้ งมาตรการในการปอ้ งกนั และตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ และประสทิ ธิผลมากขนึ้ 2. สง่ เสรมิ อำ� นวยความสะดวก และสนบั สนนุ ความรว่ มมอื ระหวา่ งประเทศและความชว่ ยเหลอื ทางวชิ าการในการปอ้ งกันและต่อต้านการทจุ รติ รวมทั้งการติดตามทรัพยส์ ินคืน 3. สง่ เสริมความมีคณุ ธรรม ตรวจสอบได้ และการบริหารกจิ การบ้านเมอื งและทรพั ยส์ นิ ของรฐั อยา่ งเหมาะสม ส�ำหรับประเทศไทยได้ร่วมลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) เมื่อวนั ท่ี 9 ธนั วาคม พ.ศ. 2546 และได้ให้สัตยาบันเป็นรัฐภาคี เมอื่ วันท่ี 1 มีนาคม พ.ศ. 2554 โดยเริ่มมผี ลใชบ้ งั คับกับประเทศไทยเมอื่ วนั ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554 และได้มีการด�ำเนินการ อย่างต่อเน่ืองในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) อาทิ การด�ำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายภายในของประเทศไทย เพื่ออนุวัติการตาม อนสุ ญั ญาฯ ในเรอ่ื งของการกำ� หนดความผดิ ในการใหห้ รอื รบั สนิ บนทเ่ี กยี่ วกบั เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ตา่ งประเทศ และเจ้าหนา้ ทข่ี ององคก์ ารระหวา่ งประเทศ การไมน่ บั อายคุ วามในกรณหี ลบหนี การรบิ ทรัพย์สนิ จาก ผกู้ ระทำ� ผิดฐานทุจริตและรำ่� รวยผดิ ปกติ การจดั ตง้ั องคก์ รพเิ ศษเพอื่ การตอ่ ต้านการทจุ ริต การกำ� หนด นโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีโดยการส่งเสริมธรรมาภิบาล หลักนิติธรรม ความโปรง่ ใส ตรวจสอบได้ และการดำ� เนนิ การโดยหนว่ ยงานตา่ ง ๆ เพอื่ หาแนวทางในการปอ้ งกนั การทจุ รติ และต่อตา้ นการทจุ ริต การทุจริตของนักการเมืองและข้าราชการในประเทศไทยนั้นเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน จากการจัดอันดับดัชนีการรับรู้การทุจริตขององค์กรเพ่ือความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ตัง้ แตเ่ ริ่มมีการจดั อนั ดับในปี พ.ศ. 2538 จนถึงปี พ.ศ. 2561 ประเทศไทยไมเ่ คยได้ คะแนนสงู กว่า 38 คะแนน จาก 100 คะแนน โดยในปี พ.ศ. 2561 ได้คะแนนดัชนีการรบั ร้กู ารทุจริต 36 คะแนน อยู่ในอันดบั ท่ี 99 จากทั้งหมด 180 ประเทศ จะเหน็ ได้วา่ การจัดการกับปญั หาการทจุ รติ ของประเทศไทยนนั้ ไมเ่ คยไดร้ บั การยอมรบั จากองคก์ รระหวา่ งประเทศ ซง่ึ สง่ ผลโดยตรงตอ่ การพจิ ารณา การลงทนุ ของบริษทั ต่างชาติ เน่ืองจากหากมีการทจุ รติ เม่อื มกี ารเขา้ มาลงทุน นอกจากตน้ ทนุ ในการผลิต โดยทั่วไปแล้ว จะต้องจ่ายค่าสินบนในการด�ำเนินการต่าง ๆ ท�ำให้ต้นทุนในการผลิตสูงข้ึนกว่าเดิม ส่งผลให้บริษัทท่ีด�ำเนินการธุรกิจท่ีดีที่ถูกกฎหมายจะไม่เลือกเข้ามาลงทุน ในขณะเดียวกัน จะมีการ เข้ามาขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเพ่ิมมากขึ้นจากการรับสินบนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปัญหา การทุจริตจึงยังคงเป็นปัญหาส�ำคัญของไทยทจี่ ะตอ้ งได้รบั การแก้ไขอย่างเรง่ ด่วน
แนวทางการพัฒนาการป้องกนั การทุจริตขององคก์ รป้องกนั และปราบปรามการทุจริต 45 วธิ กี ารดำ� เนนิ การเพอ่ื แกไ้ ขปญั หาการทจุ รติ ของประเทศไทยในปจั จบุ นั ไดด้ ำ� เนนิ การในหลาย รปู แบบ ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั คอื การปรบั ปรงุ ในเชงิ สถาบนั คอื การปรบั ปรงุ รปู แบบวธิ กี ารปฏบิ ตั งิ านของสถาบนั หรอื หนว่ ยงานของทางราชการทม่ี หี นา้ ทใี่ นการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ในหลายหนว่ ยงานอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ใหม้ ี บทบาทหนา้ ทท่ี ช่ี ดั เจน และมคี วามเปน็ อสิ ระปราศจากการควบคมุ จากฝา่ ยบรหิ าร การปรบั ปรงุ พฒั นา กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายให้มีความเหมาะสมกับรูปแบบและวิวัฒนาการของการทุจริต ท่ีเปลี่ยนแปลงไป ต้ังแต่การปราบปรามการทุจริตโดยน�ำตัวผู้กระท�ำผิดมาลงโทษ รวมถึงการก�ำหนด มาตรการตา่ ง ๆ มาเพอื่ การปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การทจุ รติ ขน้ึ เพราะหากสามารถปอ้ งกนั มใิ หเ้ กดิ การทจุ รติ ขึน้ ไดจ้ ะป้องกันความเสียหายหรอื ผลกระทบจากการทุจรติ ได้เชน่ เดยี วกนั เนอ่ื งจากหากปลอ่ ยให้เกิด การทุจริตข้ึนแล้ว กระบวนการน�ำตัวผู้กระท�ำผิดมาลงโทษภายหลัง นอกจากรัฐจะต้องสูญเสีย งบประมาณไปกบั การทจุ รติ จำ� นวนมาก ทำ� ใหป้ ระเทศขาดการพฒั นาอยา่ งเหมาะสมแลว้ รฐั ยงั จะตอ้ ง สญู เสยี งบประมาณไปในขนั้ ตอนของการนำ� ผกู้ ระทำ� ผดิ มาลงโทษอกี ดว้ ย ซง่ึ สง่ ผลเสยี ตอ่ การพฒั นาประเทศ เปน็ อยา่ งมาก ดังนัน้ การปอ้ งกันการทุจรติ ไม่ใหเ้ กดิ ขึ้นจึงเปน็ วธิ ีการทีม่ คี วามสำ� คัญเป็นอยา่ งมาก ทผี่ า่ นมาประเทศไทยไดม้ คี วามพยายามในการหารปู แบบวธิ กี ารทเ่ี หมาะสมเพอ่ื นำ� มาใชใ้ นการ ป้องกันการทุจริต โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม การปลูกฝังทัศนคติและค่านิยม ท่ีถกู ต้องผ่านโครงการฝึกอบรมให้ความรู้ หรอื โครงการต่าง ๆ ท่เี น้นการสรา้ งความรู้ความเขา้ ใจใหก้ บั ประชาชน เยาวชน มคี วามเขา้ ใจถงึ ผลกระทบของการทจุ รติ มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม มคี วามซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ เป็นท่ีตั้งนั้น แต่ยังไม่เห็นผลว่าการด�ำเนินการเพื่อป้องกันการทุจริตของประเทศไทยในปัจจุบันน้ัน เป็นไปในแนวทางท่ถี กู ต้อง เพราะปัญหาการทจุ ริตยังคงมีเกิดข้ึน พบเหน็ ได้ทั่วไปผา่ นสือ่ มวลชน และ ส่ือสังคมออนไลน์ รวมถึงผลการเก็บข้อมูลจากหน่วยงานหลายแห่งก็ยังคงพบว่ายังคงมีการทุจริตอยู่ เชน่ เดยี วกนั กบั คา่ ดชั นกี ารรบั รกู้ ารทจุ รติ ทปี่ ระเทศไทยยงั ไดค้ ะแนนตำ่� กวา่ ครง่ึ ตลอดมา ดงั นนั้ จงึ ทำ� ให้ ผู้วิจัยสนใจท่ีจะศึกษาแนวทางการพัฒนาการป้องกันการทุจริตขององค์กรป้องกันและปราบปราม การทุจริต เพ่ือที่จะหาแนวทางในการพัฒนาการป้องกันการทุจริตให้มีความเหมาะสมกับบริบทของ สงั คมไทย เพื่อให้การป้องกนั มิให้การทจุ รติ เกิดขึ้นมีประสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ลมากยง่ิ ขึ้นต่อไป 2. วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 2.1 เพอ่ื ศกึ ษาหาแนวทางในการพฒั นาการปอ้ งกนั การทจุ รติ ขององคก์ รปอ้ งกนั และปราบปราม การทจุ ริต 2.2 เพอ่ื ศกึ ษาความเกย่ี วข้องกนั ระหวา่ งการทจุ ริตและอาชญากรรม 2.3 เพอ่ื ศกึ ษาปญั หาและอปุ สรรคในการปอ้ งกนั การทจุ รติ ขององคก์ รปอ้ งกนั และปราบปราม การทจุ ริตในปัจจุบนั
46 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปที ี่ 13 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 3. ขอบเขตการวิจัย 3.1 ขอบเขตด้านเน้ือหา การศึกษาวิจัยในคร้ังน้ีเป็นการวิจัยแบบผสม (Mixed Method) โดยท�ำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทุจริตและอาชญากรรม ปัญหาและอุปสรรคในการป้องกัน การทจุ รติ ของประเทศไทย ตลอดจนการหาแนวทางการพฒั นาการปอ้ งกนั การทจุ รติ ขององคก์ รปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในประเทศไทย 3.2 ขอบเขตด้านประชากร ได้แก่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานป้องกันการทุจริตของส�ำนักงาน ป.ป.ช. และส�ำนกั งาน ป.ป.ท. ประกอบดว้ ย ผู้บริหาร และเจา้ หน้าท่ี 4. แนวคดิ ทฤษฎีทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การวิจัย ปจั จบุ นั มกี ารดำ� เนนิ การปอ้ งกนั การทจุ รติ ในหลายแนวทางและหลายภาคสว่ น การศกึ ษาวจิ ยั ในครงั้ น้ีใหค้ วามสนใจในการศกึ ษาความเกย่ี วข้องกันของการทุจรติ และอาชญากรรม โดยมีสมมติฐาน วา่ หากการทจุ รติ เปน็ อาชญากรรมจะสามารถนำ� แนวคดิ ทฤษฎใี นการปอ้ งกนั อาชญากรรม หรอื แนวคดิ ทางอาชญาวิทยามาใชใ้ นการป้องกนั การทุจรติ ได้ โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ 4.1 การทจุ ริตกับอาชญากรรม Huisman, W. & Walle, G.V. (2015) ไดศ้ กึ ษาวิจัยถงึ ความเกี่ยวขอ้ งกนั ของการทุจรติ และ อาชญากรรม โดยพบว่า การทุจริตมีความสัมพันธ์เป็นส่วนหน่ึงในองค์กรอาชญากรรม (Organized Crime) และอาชญากรรมคอปกขาว (White Collar Crime) และยังสามารถอธิบายผู้ที่ได้รับ ผลกระทบจากการทุจริตโดยอาศัยการอธิบายผ่านวิธีการเหยื่อวิทยา เนื่องจากประชาชนมักจะยัง ไมไ่ ดร้ บั ผลกระทบจากการทจุ รติ ตอ่ ตนเองโดยตรง 4.2 การปอ้ งกันการทจุ ริต ได้ศกึ ษาข้อมลู อนุสญั ญาสหประชาชาติว่าด้วยการตอ่ ต้านการทจุ รติ ค.ศ. 2003 การปอ้ งกนั การทจุ รติ ของประเทศไทย และของประเทศทปี่ ระสบความสำ� เรจ็ ในการปอ้ งกนั การทจุ รติ โดยสามารถ แบ่งแนวทางการปอ้ งกนั การทุจริตออกเปน็ 4 ปัจจัยหลกั ไดแ้ ก่ 4.2.1 ปัจจัยด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ครอบคลุม การก�ำหนดให้มีองค์กรเพื่อต่อต้านการทุจริต การด�ำเนินการในภาครัฐต่าง ๆ เช่น การจัดซ้ือจัดจ้าง การบรหิ ารงานภาครฐั การบรหิ ารงานบคุ คล การดำ� เนนิ การตามแนวทางการบรหิ ารประเทศในรปู แบบ ต่าง ๆ ความโปรง่ ใสในการปฏบิ ัตงิ านของเจา้ หนา้ ทร่ี ัฐ และการประเมินผล เปน็ ต้น 4.2.2 ปัจจัยด้านการบังคับใช้กฎหมายและการควบคุมตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรัฐ ให้ความส�ำคัญและเจาะจงไปที่การปฏิบัติหน้าท่ีขององค์กรหรือหน่วยงานที่มีหน้าท่ีและอ�ำนาจในการ บงั คบั ใชก้ ฎหมาย เชน่ ตำ� รวจ อยั การ ศาล ความศกั ดส์ิ ทิ ธขิ์ องกฎหมาย ความนา่ เชอื่ ถอื ของหนว่ ยงาน หรอื องคก์ ร เปน็ ตน้ โดยเฉพาะการปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี ององคก์ รหรอื หนว่ ยงานทมี่ หี นา้ ทโ่ี ดยตรงในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ
แนวทางการพัฒนาการป้องกนั การทุจรติ ขององค์กรปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ 47 4.2.3 ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยครอบคลุมภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการท่จี ะเขา้ มามีสว่ นรว่ ม เช่น ประชาชนมคี วามตระหนักถงึ สาเหตุ และความรา้ ยแรงของการทจุ ริตและการไมย่ อมรบั การทุจริตในทุกรปู แบบ เปน็ ตน้ 4.2.4 ปัจจัยด้านคุณธรรมและจริยธรรม เป็นส่ิงท่ีเป็นพื้นฐานในสังคม เป็นคุณธรรม จริยธรรมของทกุ คนในสงั คม เช่น การนึกถึงประโยชนส์ ว่ นรวมมากกว่าประโยชนส์ ว่ นตน เปน็ ตน้ 4.3 อาชญาวิทยาในการป้องกันการทุจริต ได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีทางอาชญาที่มีความ เก่ียวข้องกับการป้องกันการทจุ รติ จ�ำนวน 5 ทฤษฎี ได้แก่ 4.3.1 ทฤษฎคี วามกดดนั ทางสงั คม (Strain Theory) ทฤษฎนี เ้ี ชอ่ื วา่ มนษุ ยม์ คี วามตอ้ งการ ทไ่ี ร้ขดี จำ� กดั สภาพแวดลอ้ มของสังคมเปน็ ส่ิงกำ� หนดค่านยิ มและเปา้ หมายของคนในสงั คม ซง่ึ สภาวะ กดดันไปสู่เป้าหมายแห่งความส�ำเร็จของสังคม จะสร้างความกดดันให้กับกลุ่มคนที่ไม่สามารถบรรลุ เปา้ หมายของสงั คมได้ ซง่ึ อาจนำ� ไปสกู่ ารใชว้ ธิ กี ารทผ่ี ดิ กฎหมาย โดยสามารถแบง่ รปู แบบการรบั มอื กบั ความกดดนั ทางสงั คมได้ 5 รูปแบบ ดงั นี้ 1) การปฏบิ ัตติ าม : ยอมรับแนวทางทถี่ กู ตอ้ งไม่ว่าจะทำ� ให้บรรลุเปา้ หมายทางสังคม หรอื ไมก่ ็ตาม 2) การเปลี่ยนแปลง : ยอมรับในเป้าหมายของสังคม แต่จะใช้วิธีการที่ผิดกฎหมาย เพอ่ื ให้บรรลุเปา้ หมาย 3) ยดึ ถอื วฒั นธรรมใหม่ : ไม่ยอมรับเปา้ หมายของสงั คม แต่ก็ท�ำตามวิธีการท่ถี กู ตอ้ ง 4) ลา่ ถอย : ไม่ยอมรับเป้าหมายของสงั คม และไมป่ ฏิบัติตามวิธีการของสังคม 5) ปฏวิ ัติ : การถอนตัวออกจากเป้าหมายและวิธกี ารของสงั คม ซึ่งอาจจะมีการสร้าง คา่ นิยมหรือเปา้ หมายเฉพาะกลมุ่ (พรชัย ขนั ต,ี 2553) 4.3.2 ทฤษฎพี นั ธะทางสงั คม (Social Bonding Theory) ทฤษฎีน้ีเช่ือว่าบุคคลควบคมุ ตวั เองใหไ้ มก่ ระทำ� ผดิ ได้ เพราะเกดิ ความกลวั วา่ หากกระทำ� ผดิ จะทำ� ลายความผกู พนั ความสมั พนั ธข์ อง ครอบครัว เพื่อน และสังคมรอบตัว โดยองค์ประกอบของความผูกพันทางสังคม ประกอบด้วย ความผูกพัน (Attachment), ขอ้ ผูกมัด (Commitment), การเขา้ รว่ ม (Involvement) และความเชอ่ื (Belief) (ชาญคณติ สรุ ยิ ะมณ,ี 2554) 4.3.3 ทฤษฎกี ารเรยี นร้ทู างสังคม (Social Learning Theory) ทฤษฎนี ี้เชอ่ื วา่ พฤตกิ รรม ของบุคคลจะกระท�ำผิดข้ึนอยู่กับประสบการณ์ท่ีได้รับหลังจากการท�ำพฤติกรรมน้ัน ๆ โดยเกิดข้ึนใน รูปแบบของการได้รับรางวัลและการลงโทษ ความเป็นไปได้ของการกระท�ำผิดซ�้ำข้ึนอยู่กับรางวัลท่ี ได้รับเมื่อได้กระท�ำผิดไป โดยรางวัลน้ันอาจไม่ใช่ในรูปแบบของทรัพย์สินเงินทอง อาจเป็นในรูปแบบ ของการได้รับการยอมรับ ความรู้สึกดีท่ีเกิดข้ึนขณะการท�ำพฤติกรรมน้ัน โดยเรียกปรากฏการณ์น้ีว่า “การสนับสนุนในทางบวก” (Positive Reinforcement) “การสนับสนุนในทางลบ” (Negative Reinforcement)
48 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปีท่ี 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 4.3.4 ทฤษฎปี อ้ งกันหรือทฤษฎีข่มขู่ยบั ยัง้ (Deterrence Theory) Beccaria, C. (1764) กล่าวว่า “มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลในการมุ่งแสวงหาเพ่ือให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดทางด้านวัตถุหรือ ดา้ นจติ ใจ และในการตดั สนิ ใจเลอื กกระทำ� หรือไมก่ ระทำ� การใด ๆ มนษุ ยจ์ ะพจิ ารณาทางเลอื กต่าง ๆ ท่ีมีอยู่อย่างมีเหตุมีผล เพื่อพิจารณาและค�ำนวณถึงผลประโยชน์หรือผลเสียท่ีจะได้รับจากการกระท�ำ นนั้ ๆ หลงั จากนนั้ จงึ เลอื กวา่ จะทำ� หรอื ไมท่ ำ� ” โดยใหค้ วามสำ� คญั กบั ประสทิ ธภิ าพของการลงโทษตาม กฎหมายท่ีว่า “ความรุนแรง ความรวดเร็ว และความแน่นอน ในการลงโทษเป็นหัวใจส�ำคัญในการ ป้องกันอาชญากรรม” (พรชยั ขันตี, 2553) 4.3.5 ทฤษฎที างเลอื กทมี่ เี หตผุ ล (Rational Choice Theory) ทฤษฎนี เี้ ชอ่ื วา่ ผกู้ ระทำ� ผดิ ได้มีการไตร่ตรองถึงผลได้ และผลเสีย หรือก�ำไรขาดทุนท่ีตนจะได้รับจากการกระท�ำผิด โดยผลเสีย รวมท้งั ดา้ นวัตถุ ด้านจิตใจ และโอกาสตา่ ง ๆ 5. ระเบียบวธิ ีวจิ ัย การศึกษาวิจัยในคร้งั นเี้ ป็นการวิจัยแบบผสม (Mixed Method) โดยท�ำการศกึ ษาทง้ั ใน เชิงปริมาณ (Quantitative Study) โดยกลุ่มประชากรประกอบด้วยเจ้าหน้าท่ีด้านป้องกันการทุจริต ของส�ำนกั งาน ป.ป.ช. และส�ำนกั งาน ป.ป.ท. จำ� นวนทงั้ ส้นิ 274 คน ไดเ้ ปน็ กลมุ่ ตวั อย่าง จ�ำนวน 163 คน เกบ็ ขอ้ มลู จากกลมุ่ ตวั อยา่ งได้ 167 คน เลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งโดยวธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งแบบกลมุ่ (Cluster Sampling) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เก็บข้อมูลเป็น แบบสอบถามปลายปิด โครงสร้างของแบบสอบถามนั้นแบง่ ออกเป็น 4 ส่วน ไดแ้ ก่ ข้อมูลส่วนบคุ คล ข้อมูลสถานการณ์การป้องกันการทุจริตในปัจจุบัน การทุจริตและอาชญากรรม ปัจจัยที่ส่งผลในการ ป้องกันการทุจริต และแนวทางการพัฒนาการป้องกันการทุจริตตามแนวคิดทฤษฎีที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการป้องกนั การทจุ รติ สว่ นการศกึ ษาเชงิ คุณภาพ (Qualitative Study) ใช้การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การสัมภาษณ์ แบบสนทนากลุ่ม (Focus Group) ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนโดยน�ำผลที่ได้จากการวิจัยเชิงปริมาณมาใช้เป็น ส่วนประกอบในการสร้างประเด็นค�ำถามเพ่ือให้ได้ข้อมูลเชิงลึก โดยผู้วิจัยน�ำข้อมูลเชิงปริมาณมาใช้ ประกอบการสมั ภาษณก์ บั กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผ้บู รหิ ารของส�ำนักงาน ป.ป.ช. และส�ำนกั งาน ป.ป.ท. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานของส�ำนักงาน ป.ป.ช. และส�ำนักงาน ป.ป.ท. ซ่ึงแบบสัมภาษณ์มีประเด็น การสัมภาษณ์ ดังน้ี ข้อมูลส่วนบุคคล ค�ำถามเกี่ยวกับการทุจริตและอาชญากรรม และการน�ำวิธีการ ในการป้องกันอาชญากรรมมาประยุกต์ใช้ในการป้องกันการทุจริตได้อย่างไร ค�ำถามเกี่ยวกับปัญหา และอุปสรรคในการปฏิบัติงานป้องกันการทุจริตในปัจจุบันคืออะไร และมีแนวทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้น อย่างไร และคำ� ถามเกีย่ วกับแนวทางการพัฒนาการป้องกันการทจุ รติ โดยอาศัยปัจจัยด้านตา่ ง ๆ ท่ีสง่ ผล ในการปอ้ งกันการทจุ รติ
แนวทางการพฒั นาการปอ้ งกันการทจุ รติ ขององคก์ รป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต 49 6. ผลการศกึ ษาและการอภิปรายผล 6.1 การทจุ รติ กบั อาชญากรรม ผลการศึกษาความคิดเห็นของเจ้าหน้าท่ีต่อความเก่ียวข้องกันของการทุจริตและอาชญากรรม ในภาพรวม เจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าการทุจริตเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมในระดับมากทส่ี ดุ (X= 4.30) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า เจ้าหน้าท่ีส่วนใหญ่เห็นว่าการทุจริตเป็นอาชญากรรมคอปกขาวมากที่สุด (X= 4.65) รองลงมาคือการทุจริตเป็นอาชญากรรม (X= 4.57) และองค์กรอาชญากรรม (X=4.23) ตามลำ� ดบั สว่ นของเหยอ่ื วทิ ยาเจา้ หนา้ ทพ่ี บเหน็ การตกเปน็ เหยอ่ื อาชญากรรมในเรอื่ งของการทจุ รติ อยู่ ในระดับมาก (X= 4.03) โดยสอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เห็นว่า การทจุ รติ เปน็ อาชญากรรม เนอื่ งจากกฎหมายกำ� หนดใหก้ ารทจุ รติ เปน็ ความผดิ ตามประมวลกฎหมาย อาญา เป็นการกระท�ำผิดท่ีส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม โดยมองว่าการทุจริตเป็น อาชญากรรมท่ีมีความซับซ้อนมากกว่าอาชญากรรมรูปแบบอื่น และมีความซับซ้อนมากขึ้นอย่าง ต่อเนือ่ ง อีกทงั้ ยงั อาจเปน็ ตน้ เหตขุ องอาชญากรรมประเภทอนื่ อกี ดว้ ย และสอดคล้องกับงานวจิ ัยของ วัชรา ไชยสาร และคณะ (2561) ที่ได้ศึกษากลมุ่ อทิ ธพิ ลซง่ึ นำ� ไปสกู่ ารทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั อยา่ งเปน็ ระบบ (Organized Corruption) จำ� แนกตามภาคเศรษฐกิจ : กรณีศึกษาการทุจริตภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษี ศุลกากรในประเทศไทย ให้ความเห็นว่า การทุจริตมีวิธีการทุจริตท่ีมีการน�ำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ มขี อ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ งจำ� นวนมาก มกี ารกระทำ� ผดิ ในลกั ษณะของกลมุ่ อทิ ธพิ ลไปจนถงึ องคก์ รอาชญากรรม ทม่ี กี ารทำ� งานรว่ มกนั อยา่ งเปน็ ระบบ ซงึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายตอ่ ประเทศอยา่ งรา้ ยแรง และเมอ่ื ทำ� การ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ (LSD) พบวา่ เจ้าหนา้ ทีท่ ีม่ รี ายได้ และระยะเวลาในการรบั ราชการแตกตา่ ง กันมคี วามคิดเห็นต่อการทจุ ริตกับอาชญากรรมแตกต่างกัน 6.2 การป้องกันการทุจริต ปัญหา และอุปสรรคในรูปแบบวิธีการป้องกันการทุจริตใน ปจั จุบนั เจ้าหน้าท่ีเห็นว่ารูปแบบวิธีการป้องกันการทุจริตในปัจจุบันในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ซ่ึงมีค่าเฉลี่ย (X) เท่ากับ 2.91 และมีค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60 ซึ่งเม่ือพิจารณาเป็น รายดา้ นพบวา่ เจา้ หนา้ ทสี่ ว่ นใหญเ่ หน็ วา่ รปู แบบการปอ้ งกนั การทจุ รติ ในปจั จบุ นั ยอมรบั ในประสทิ ธภิ าพ ของการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในระดับมาก ขณะที่ด้านประสิทธิภาพของกฎหมาย ประสทิ ธภิ าพของระบบการบรหิ ารจดั การภาครฐั และความเปน็ อสิ ระขององคก์ รทม่ี หี นา้ ทป่ี อ้ งกนั และ ปราบปรามการทจุ รติ อยใู่ นระดบั ปานกลาง และความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ ของภาคประชาชนอยใู่ นระดบั น้อยท่ีสดุ ซง่ึ สอดคล้องกบั การศกึ ษาเชิงคุณภาพทพ่ี บว่า ปัจจุบนั ประชาชนมคี วามเชอ่ื มัน่ ในความเป็น อิสระขององคก์ รปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตนอ้ ยกว่าทีค่ วร เมอ่ื ไมไ่ ด้รับความเชือ่ มน่ั จึงไม่ไดร้ บั ความรว่ มมอื จากภาคประชาชน ทงั้ ในเรอ่ื งของความร่วมมอื และการใหข้ ้อมูล ช้ชี ่องแจง้ เบาะแส ซงึ่ จะ สะทอ้ นเป็นภาพใหเ้ หน็ วา่ ประชาชนไมเ่ ห็นถึงความสำ� คญั ไม่เขา้ มามีส่วนร่วมในการปอ้ งกนั การทุจริต นอกจากความเป็นอิสระขององค์กรป้องกันและปราบปรามการทุจริตแล้ว ระบบการบริหารจัดการ หน่วยงานภาครัฐท่ียังคงมีช่องทางให้หลีกเล่ียง และสามารถกระท�ำผิดหรือทุจริตได้ หรือในบางกรณี
50 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปที ่ี 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2563) ระบบบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่บังคับให้เกิดการกระท�ำผิดหรือทุจริต รวมถึงการมี ข้อกฎหมายจ�ำนวนมาก แตข่ าดปจั จัยส�ำคญั อย่างการบงั คับใชก้ ฎหมายท่มี ปี ระสิทธิภาพ รวดเรว็ เท่าทนั ตอ่ สถานการณ์ และมคี วามเทา่ เทยี มกันในการบังคับใช้กฎหมาย ในสว่ นของระบบการประเมินตา่ ง ๆ เปน็ วธิ กี ารทเี่ ปน็ ประโยชนแ์ ละสง่ ผลใหก้ ารปอ้ งกนั การทจุ รติ ประสบความสำ� เรจ็ ได้ แตก่ ารประเมนิ ตอ้ ง เป็นการประเมินตามความเป็นจริง และน�ำข้อบกพร่องไปพัฒนาการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ มากย่ิงขึ้น แต่ปัญหาในขณะนี้คือ ยังคงมีการประเมินเพื่อผ่านตัวช้ีวัดโดยไม่ได้มีการปรับปรุงหรือ เปลย่ี นแปลงองค์กรและขัน้ ตอนการปฏบิ ตั ิงานให้ถูกต้องตามหลักการของการประเมิน โดยการเปรยี บเทยี บค่าเฉลี่ยรายคู่ (LSD) พบวา่ เจ้าหน้าทีท่ ีม่ อี ายุ สถานภาพสมรส และระยะเวลา ในการรับราชการแตกต่างกนั มีความคิดเหน็ ต่อการป้องกนั การทุจรติ ปญั หา และอปุ สรรคในรูปแบบ วิธีการป้องกนั การทจุ รติ ในปัจจุบนั แตกต่างกัน 6.3 ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลในการปอ้ งกนั การทจุ ริตมปี ระสทิ ธภิ าพ ปัจจัยท่ีส่งผลในการป้องกันการทุจริตในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ด้านการบริหารจัดการ ภาครฐั ดา้ นการบงั คบั ใชก้ ฎหมายและควบคมุ ตรวจสอบการใชอ้ ำ� นาจรฐั ดา้ นการมสี ว่ นรว่ มของภาคประชาชน และดา้ นคุณธรรม จริยธรรม พบว่าจากข้อมูลเชิงปริมาณปัจจัยด้านการบังคับใช้กฎหมายและควบคุม ตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรฐั มคี า่ เฉลยี่ (x) สงู สดุ อยทู่ ี่ 4.41 ตามมาดว้ ยปจั จยั ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ดา้ นการมสี ว่ นรว่ มของภาคประชาชน และดา้ นการบรหิ ารจดั การภาครฐั ตามลำ� ดบั โดยสอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพเมอ่ื ใหเ้ จา้ หนา้ ทดี่ า้ นปอ้ งกนั การทจุ รติ เรยี งลำ� ดบั ปจั จยั ทคี่ ดิ วา่ จะสง่ ผลใหก้ ารปอ้ งกนั การทจุ รติ ประสบความสำ� เรจ็ เจา้ หนา้ ทสี่ ว่ นใหญเ่ หน็ วา่ การบงั คบั ใชก้ ฎหมายและควบคมุ ตรวจสอบการใช้ อำ� นาจรฐั อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเปน็ ปจั จยั สำ� คญั ในการป้องกันการทุจริต และสอดคล้องกับ ศิรินันท์ วฒั นศริ ธิ รรม และคณะ (2561) ไดศ้ กึ ษารปู แบบการทจุ รติ และปจั จยั เสย่ี งทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ การทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั ในองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ พบวา่ สำ� นกั งาน ป.ป.ช. ควรดำ� เนนิ การตรวจสอบการทจุ รติ อยา่ งรวดเรว็ และต่อเน่ือง ด�ำเนินงานในลักษณะเชิงรุกหรือเฝ้าระวังการทุจริตท่ีจะเกดิ ขน้ึ เชน่ การลงพน้ื ทเี่ พอื่ สมุ่ ตรวจสอบโครงการตา่ ง ๆ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเกรงกลวั และไมก่ ลา้ ทจ่ี ะทำ� การทุจริต มีความเกรงกลัวต่อ การถกู ตรวจสอบ ไมก่ ลา้ ทจ่ี ะทำ� การกระทำ� ทผี่ ดิ กฎหมาย ซง่ึ นอกจากจะเปน็ การปอ้ งกนั การทจุ รติ ทอ่ี าจ จะเกิดขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ที่ต้องการที่จะแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนกล่าวหามีความเชื่อมั่นในองค์กร ป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ มากขนึ้ อกี ดว้ ย - ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ การป้องกันการทุจริตโดยใช้ระบบเข้ามาเป็นองค์ประกอบ ส�ำคัญในการป้องกันให้ผู้กระท�ำผิดกระท�ำการทุจริตได้ยากมากยิ่งขึ้น ซ่ึงหากมีการพัฒนารูปแบบ การบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐให้มีการบริหารจัดการท่ีมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล จะส่งผลในการพัฒนาการป้องกันการทุจริตใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผลมากย่งิ ข้ึน - ดา้ นการมสี ว่ นรว่ มของภาคประชาชน จากจำ� นวนเจา้ หนา้ ทดี่ า้ นปอ้ งกนั การทจุ รติ ขององคก์ ร ปอ้ งกนั การทจุ ริตมีจำ� นวนจ�ำกดั ไม่เพียงพอในการเขา้ ถงึ พื้นท่ี และประชาชนเป็นผู้ท่อี ยู่ในพนื้ ที่จะได้
แนวทางการพฒั นาการปอ้ งกนั การทจุ รติ ขององคก์ รปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต 51 เห็นถึงสภาพความเป็นจริงในพื้นท่ีมากกว่า การเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชนจึงเป็นส่วนส�ำคัญอย่างย่ิง ท่ีหากได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนย่อมส่งผลให้การป้องกันการทุจริตประสบความส�ำเร็จ เพราะที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่า หากการป้องกันการทุจริตต้องด�ำเนินการเพียงหน่วยงานภาครัฐ เพยี งอย่างเดียวจะไม่ประสบความสำ� เรจ็ ตอ้ งอาศยั บทบาทของภาคประชาชน ทงั้ ในระดบั ครอบครัว ชุมชน และสังคม - ด้านคุณธรรม จริยธรรม เป็นปัจจัยภายในตัวบุคคลซ่ึงเชื่อว่าหากคนคนนั้นมีคุณธรรม จรยิ ธรรมประจ�ำใจ มีทัศนคตทิ ่ีถูกต้องแล้ว บคุ คลผนู้ ั้นจะไมก่ ระท�ำการทุจรติ โดยการปลูกฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรมควรตอ้ งใชว้ ธิ กี ารทถ่ี กู ตอ้ ง โดยเรม่ิ จากสถาบนั ครอบครวั สถาบนั การศกึ ษา และการเปน็ แบบ อยา่ งท่ีดีของผใู้ หญใ่ นสังคมด้วย - การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ (LSD) พบว่า เจ้าหน้าที่ท่ีมีระยะเวลาในการรับราชการ แตกต่างกนั มีความคิดเห็นตอ่ ปจั จัยท่สี ่งผลในการป้องกนั การทจุ ริตในดา้ นต่าง ๆ แตกตา่ งกัน แผนภมู ทิ ี่ 1 แสดงผลของระดบั ความคดิ เหน็ ของเจา้ หนา้ ทตี่ อ่ ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลในการปอ้ งกนั การทจุ รติ 6.4 การป้องกนั การทจุ ริตตามแนวคดิ ทฤษฎีทางอาชญาวทิ ยา การปอ้ งกนั การทจุ รติ ตามแนวคดิ ทฤษฎที างอาชญาวทิ ยา ทฤษฎปี อ้ งกนั หรอื ทฤษฎขี ม่ ขยู่ บั ยง้ั มคี า่ เฉลีย่ (x) อยใู่ นระดับมากทสี่ ดุ และสงู สดุ เท่ากับ 4.68 และตามมาดว้ ยทฤษฎกี ารเรยี นรทู้ างสังคม (x=4.46) ทฤษฎที างเลอื กทม่ี เี หตผุ ล (x=4.46) ทฤษฎพี นั ธะทางสงั คม (x=4.46) และทฤษฎคี วามกดดนั ทางสงั คม (x=4.46) ตามลำ� ดบั ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ในภาพรวมสามารถนำ� แนวคดิ ทฤษฎที างอาชญาวทิ ยา มาใช้ในการป้องกันการทจุ ริตได้
52 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ี่ 13 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – มถิ ุนายน 2563) แผนภูมทิ ี่ 2 แสดงผลของระดับความคิดเหน็ ของเจา้ หนา้ ที่ตอ่ การปอ้ งกนั การทุจรติ ตามแนวคิด ทฤษฎที างอาชญาวทิ ยา โดยสอดคลอ้ งกบั การศึกษาเชิงคุณภาพ ดงั นี้ แนวคิดทฤษฎีป้องกันหรือทฤษฎีข่มขู่ยับย้ัง การศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า ความเคยชินกับ การทจุ รติ จะเปน็ สภาพบงั คบั ใหค้ นไมก่ ลวั ทจี่ ะกระทำ� ผดิ เพราะทผี่ า่ นมาเคยทำ� ผดิ แลว้ ไมไ่ ดร้ บั การถกู ลงโทษ ดงั นนั้ สงิ่ สำ� คญั คอื ตอ้ งทำ� ใหก้ ารทจุ รติ ถกู ลงโทษโดยการทเ่ี จา้ หนา้ ทลี่ งพนื้ ทโี่ ดยเรว็ เมอ่ื ไดร้ บั แจง้ ขอ้ มลู การทจุ รติ ซึ่งจะสง่ ผลให้ตวั ผ้กู ระท�ำความผดิ ยุตกิ ารกระท�ำผิด ขณะเดียวกนั เจ้าหนา้ ท่รี ัฐอ่ืนจะส่งต่อ ขอ้ มลู ซงึ่ สง่ ผลใหเ้ กดิ ความระมดั ระวงั มากขนึ้ ของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั และเปน็ การปอ้ งกนั ใหเ้ จา้ หนา้ ทร่ี ฐั ไมก่ ลา้ ทจ่ี ะกระทำ� การทุจริตและสอดคลอ้ งกันกบั ศริ นิ ันท์ วัฒนศิรธิ รรม และคณะ (2561) ได้ท�ำการศึกษาเร่อื ง “รูปแบบการทุจริตและปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน” พบว่า หน่วยงานต้นสังกัดของผู้กระท�ำผิดฐานทุจริตควรให้มีการลงโทษทางวินัยโดยเร็วเม่ือพบการทุจริต เพอื่ ทำ� ใหเ้ กดิ ความเกรงกลวั ไมก่ ลา้ ทำ� ตาม และการดำ� เนนิ การในสว่ นของสำ� นกั งาน ป.ป.ช. ควรดำ� เนนิ การ ตรวจสอบการทจุ รติ อย่างรวดเรว็ และมกี ารดำ� เนินการอย่างต่อเนือ่ ง เพื่อท�ำให้เกิดความเกรงกลัวและ ไม่กล้าทจ่ี ะกระท�ำการทุจริต ทฤษฎกี ารเรยี นรทู้ างสงั คม การศกึ ษาเชงิ คณุ ภาพพบวา่ การปอ้ งกนั การทจุ รติ คอื การปรบั เปลย่ี น พฤติกรรมมนุษย์ ซ่ึงเห็นผลได้ช้า การด�ำเนินการต้องใช้เวลายาวนานเพื่อให้การปรับพฤติกรรม บรรลผุ ล ซง่ึ ตามแนวคิดของหลักของการพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์แลว้ จะตอ้ งประกอบดว้ ย 5 ปจั จัย คอื ความรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ ทัศนคติ และพฤติกรรม โดยการท�ำงานขององค์กรปอ้ งกนั และปราบปราม การทจุ รติ ในปจั จบุ ันดำ� เนินการได้เพียงแคป่ ัจจัยแรก คอื การเข้าไปใหข้ อ้ มูลองคค์ วามรู้ ยงั ไม่สามารถ สรา้ งความเขา้ ใจและสรา้ งทศั นคติ คา่ นยิ ม คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ใหก้ บั ประชาชนได้ สง่ ผลใหป้ ระชาชนผา่ น การเขา้ ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ แตก่ อ็ าจไม่เข้าใจและไมส่ ามารถปรับพฤติกรรมน�ำไปใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วันได้ จะต้องอาศัยสงั คมรอบขา้ งเปน็ ตัวแบบในการเรยี นรู้ ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั การศึกษาของ พรเทพ จนั ทรนภิ (2558) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันภาครัฐเพื่อการบริหารจัดการ
แนวทางการพัฒนาการป้องกันการทุจริตขององค์กรป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต 53 บ้านเมอื งทดี่ ใี นสังคมไทย ท่ีกล่าววา่ สถาบันครอบครวั และสถาบนั การศกึ ษา ทั้ง 2 สถาบันหลกั ทาง สงั คม จะตอ้ งมีบทบาทส�ำคญั ในการปลกู ฝังจิตสำ� นึกด้านคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม โดยการอบรมสง่ั สอน เดก็ และเยาวชนใหม้ คี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม มคี วามซอื่ สตั ย์ ความมรี ะเบยี บวินัย และความรับผิดชอบต่อ หน้าที่ รวมถึงผูบ้ รหิ ารประเทศและผู้บรหิ ารองคก์ รตา่ ง ๆ จะต้องประพฤติปฏิบัตติ ัวเปน็ แบบอย่างที่ดี ใหก้ บั เด็กและเยาวชน ทฤษฎีทางเลือกที่มีเหตุผล การศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า เม่ือการทุจริตมีการลงโทษ อย่างรวดเร็ว เพิ่มความเส่ียงในการถูกลงโทษเมื่อมีการกระทำ� ผิด ซ่ึงหากมีการทุจริตแล้วการลงโทษ มคี วามลา่ ชา้ ใชร้ ะยะเวลาหลายสบิ ปใี นการดำ� เนนิ การลงโทษ ผกู้ ระทำ� ผดิ ไดใ้ ชช้ วี ติ อยา่ งมคี วามสขุ อกี นาน หลายปี บางกรณีผู้กระท�ำผิดเสียชีวิตไปแล้ว รวมถึงการชดเชยชดใช้ต่อความเสียหายไม่เพียงพอกับ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงต่อรัฐ เม่ือประชาชนได้เห็นเช่นน้ีย่อมส่งผลให้ไม่เกิดความเกรงกลัว ในการกระท�ำความผิดในการทจุ ริต เพราะอาจจะไมไ่ ดร้ บั โทษ หรอื ไดร้ บั โทษทน่ี อ้ ยกวา่ ผลประโยชนท์ เ่ี กดิ ขน้ึ เมอื่ กระทำ� การทจุ รติ สอดคลอ้ งกบั ลอยลม ประเสรฐิ ศรี (2554) ไดท้ �ำการศึกษาในเรอ่ื ง “บทบาทของรางวัล นำ� จับและการลงโทษต่อการแก้ปญั หาคอร์รปั ชัน : วธิ กี ารทดลองขนั้ พ้ืนฐานทางเศรษฐศาสตร์” พบวา่ พฤติกรรมคอร์รัปชันส่วนหน่ึงเป็นผลมาจากลักษณะนิสัย โดยกลุ่มตัวอย่างให้ความส�ำคัญกับ ผลประโยชน์ต่างตอบแทน มากกวา่ ประเด็นทางคณุ ธรรม ความซ่อื สตั ย์สุจรติ โดยเป็นการสมยอมกนั ระหว่างผู้จ่ายและผู้รับสินบน โดยต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์จากการคอร์รัปชัน การแก้ไขจึงควร เพ่ิมโอกาสสร้างความล้มเหลวในความร่วมมือระหว่างผู้ให้และผู้รับเพื่อให้การสมยอมเกิดข้ึนได้ยาก มากยิง่ ข้นึ ทฤษฎีพันธะทางสังคม การศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า การที่คนในสังคมไม่ยอมรับคนที่ทุจริต จะเป็นส่วนส�ำคัญท่ีส่งผลให้บุคคลซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของสังคมไม่อยากท่ีจะทุจริตเพราะไม่อยากสูญเสีย สถานะทางสังคมท่ีมีอยู่ แนวคิดดังกล่าวน้ีสอดคล้องกับงานวิจัยของ สังศิต พิริยะรังสรรค์ และคณะ (2559) ซง่ึ ไดศ้ กึ ษาโครงการสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ มาตรการลงโทษทางสงั คม พบวา่ การลงโทษทางสงั คม โดยผลของการตอบสนองทางสังคมต่อพฤติกรรมการทุจริต โดยข้ึนอยู่กับบรรทัดฐานทางสังคม หากสังคมมีบรรทัดฐานที่เข้มแข็ง จะมีอัตราความส�ำเร็จของการควบคุมพฤติกรรมการทุจริตของ เจ้าหนา้ ท่รี ฐั สงู กว่าสงั คมท่มี บี รรทดั ฐานทางสังคมออ่ นแอ ทฤษฎีความกดดันทางสังคม การศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า ความร่�ำรวยเป็นปัจจัยส�ำคัญของ การทุจริต การทุจริตเกิดขึ้นเพราะต้องการความร่�ำรวย เม่ือร�่ำรวยจะได้รับการยอมรับทางสังคม เมอ่ื ใดกต็ ามทส่ี ามารถทำ� ใหป้ ระชาชน โดยเฉพาะเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั ใชแ้ นวทางทถี่ กู ตอ้ งเพอื่ นำ� ไปสคู่ วามรำ�่ รวย การยอมรบั จากสังคม จะส่งผลในการปอ้ งกันการทจุ ริตได้ โดยการเปรยี บเทยี บคา่ เฉลยี่ รายคู่ (LSD) พบวา่ เจา้ หนา้ ทท่ี ม่ี รี ะดบั การศกึ ษา และระยะเวลา ในการรบั ราชการแตกตา่ งกนั มคี วามคดิ เหน็ ตอ่ การปอ้ งกนั การทจุ รติ ตามแนวคดิ ทฤษฎที างอาชญาวทิ ยา แตกตา่ งกนั
54 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีท่ี 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 6.5 แนวทางการพฒั นาการปอ้ งกนั การทุจรติ จากปจั จยั ทสี่ ง่ ผลในการปอ้ งกนั การทจุ รติ มี 4 ดา้ น ประกอบดว้ ย ดา้ นการบรหิ ารจดั การภาครัฐ ดา้ นการบงั คบั ใชก้ ฎหมายและควบคมุ ตรวจสอบการใชอ้ ำ� นาจรฐั ดา้ นการมสี ว่ นรว่ มของภาคประชาชน และด้านคุณธรรม จริยธรรม ซ่ึงมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 โดยมี คา่ สมั ประสิทธ์สิ หสัมพันธ์ 0.779 เมอื่ นำ� มาใชก้ ารวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) กับการปอ้ งกนั การทจุ รติ ตามแนวคดิ ทฤษฎที างอาชญาวทิ ยา สรา้ งสมการทำ� นายหาปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ ภาพรวมแนวทางการพัฒนาการปอ้ งกนั การทจุ รติ ตามทฤษฎที างอาชญาวิทยา พบวา่ ปจั จัยดา้ น การบริหารจัดการภาครัฐ ปัจจัยด้านการบังคับใช้กฎหมายและการควบคุมตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรัฐ และปัจจัยด้านคุณธรรม จริยธรรม มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 โดยมี คา่ สมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พนั ธ์ 0.603 สามารถทำ� นายถงึ แนวทางการพฒั นาการปอ้ งกนั การทจุ รติ ตามทฤษฎี ทางอาชญาวิทยาได้ คิดเป็นร้อยละ 60.3 มีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของตัวท�ำนาย 0.29 แสดงสมการพยากรณป์ จั จยั ทสี่ ง่ ผลในการปอ้ งกนั การทจุ รติ ตอ่ แนวทางการปอ้ งกนั การทจุ รติ ขององคก์ ร ปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตตามแนวคิดทฤษฎีทางอาชญาวทิ ยา ในรูปแบบคะแนนดบิ ไดด้ งั น้ี การพัฒนาการป้องกันการทุจริต = 0.161 + 0.344 (การบริหารจัดการภาครัฐ) + 0.354 (คุณธรรม จริยธรรม) + 0.274 (การบังคับใชก้ ฎหมายและควบคมุ ตรวจสอบการใชอ้ �ำนาจรัฐ) เม่ือ เขยี นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ไดด้ ังนี้ การพัฒนาการป้องกันการทุจริต = 0.326 (การบริหารจัดการภาครัฐ) + 0.307 (คุณธรรม จริยธรรม) + 0.241 (การบังคบั ใช้กฎหมายและควบคุมตรวจสอบการใชอ้ �ำนาจรัฐ) ซึง่ แสดงใหเ้ ห็นวา่ แนวทางการพฒั นาการปอ้ งกนั การทุจรติ ตามทฤษฎีอาชญาวทิ ยา สามารถ ท�ำไดโ้ ดยใช้ส่วนประกอบของปัจจยั ดา้ นการบรหิ ารจดั การภาครัฐ ปจั จยั ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และ ปัจจัยด้านการบังคับใช้กฎหมายและควบคุมตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษา เชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์แบบสนทนากลุ่ม (Focus Group) ผู้บริหารและเจ้าหน้าท่ีด้านป้องกัน การทจุ รติ เหน็ วา่ การปอ้ งกนั การทจุ รติ ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพตอ้ งอาศยั ปจั จยั หลายสว่ น ทงั้ การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย และควบคมุ ตรวจสอบการใชอ้ �ำนาจรฐั ซึง่ ต้องมคี วามรวดเร็ว มีความแน่นอน และมคี วามรนุ แรงที่เหมาะสม การปฏบิ ตั งิ านของหน่วยงานราชการมีระบบทรี่ ดั กุม โปรง่ ใส ตรวจสอบได้ โดยทัง้ หมดอยู่บนพน้ื ฐาน ของคณุ ธรรม จริยธรรม นอกจากน้ี ในส่วนของสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลในการป้องกันการทุจริตต่อแนวทาง การป้องกันการทุจริตตามแนวคิดทฤษฎีเฉพาะทฤษฎีป้องกันหรือทฤษฎีข่มขู่ยับยั้ง (Deterrence Theory) ซ่งึ เปน็ ทฤษฎที ่มี ีคะแนนเฉลยี่ สงู สดุ ไดแ้ ก่ ดา้ นการบังคบั ใชก้ ฎหมายและควบคมุ ตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรฐั ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีไดค้ ะแนนเฉลย่ี สงู สดุ เชน่ เดยี วกนั โดยมคี า่ สมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธพ์ หคุ ณู (Coefficient
แนวทางการพฒั นาการป้องกันการทจุ รติ ขององคก์ รปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ 55 of Determination: R2) 0.319 หมายถึงประสทิ ธิภาพในการท�ำนายไดร้ ้อยละ 31.9 และมีความเคล่อื น มาตรฐานของตัวท�ำนาย 0.396 ไดส้ มการท�ำนายในรปู แบบคะแนนดิบ ดังน้ี แนวทางการป้องกนั การทุจรติ ตามทฤษฎปี อ้ งกัน = 1.723 + 0.672 (การบงั คบั ใชก้ ฎหมายและ ควบคมุ ตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรัฐ) ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน ได้ดังน้ี แนวทางการป้องกันการทุจริตตามทฤษฎีป้องกัน = 0.569 (การบังคับใช้กฎหมายและควบคุม ตรวจสอบการใชอ้ �ำนาจรฐั ) แสดงใหเ้ หน็ วา่ แนวทางการปอ้ งกนั การทจุ รติ ตามแนวทางทฤษฎปี อ้ งกนั หรอื ทฤษฎขี ม่ ขยู่ บั ยงั้ (Deterrence Theory) สามารถท�ำได้โดยใช้ส่วนประกอบของปัจจัยด้านการบังคับใช้กฎหมายและ ควบคมุ ตรวจสอบการใชอ้ ำ� นาจรฐั ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาเชงิ คณุ ภาพจากการสมั ภาษณแ์ บบสนทนา กลุ่ม (Focus Group) เจา้ หนา้ ท่ีดา้ นป้องกันการทจุ ริตสว่ นใหญเ่ ห็นว่าปัจจัยทส่ี ่งผลในการป้องกนั การ ทุจริตมากที่สุดคือด้านการบงั คบั ใชก้ ฎหมายและตรวจสอบการใช้อ�ำนาจรัฐ จึงสรุปได้ว่าควรด�ำเนินการป้องกันการทุจริตโดยการให้ความส�ำคัญกับการบังคับใช้ กฎหมายและการควบคมุ ตรวจสอบการใชอ้ ำ� นาจรฐั โดยรปู แบบและวธิ กี ารของการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย ในเชงิ รกุ ไมใ่ ชก่ ารตง้ั รับรอให้มีการทุจริตแล้วมีเรื่องกล่าวหาร้องเรียนเข้ามาสู่ระบบ แต่เป็นการเข้าไป ตรวจสอบในพืน้ ท่ีเมอ่ื มกี ารแจง้ เบาะแส หรอื เมอื่ มพี ฤตกิ ารณห์ รอื โครงการทม่ี คี วามเสย่ี งตอ่ การทจุ รติ เกดิ ขนึ้ จะน�ำไปสู่การพัฒนาการป้องกันการทุจริต ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พรอัมรินทร์ พรหมเกิด และคณะ (2561) ไดใ้ หค้ วามเห็นว่า เจ้าหนา้ ที่ขององคก์ รท่มี หี นา้ ทป่ี ้องกันและปราบปรามการทจุ ริต ต้องไม่ท�ำงานตามระบบราชการอย่างในอดีต ในฐานะที่เป็นองค์กรอิสระควรต้องใช้วิธีการท�ำงานเชิงรุก เพือ่ ใหไ้ ดข้ ้อมลู การทจุ ริตในเชงิ ลึกและสามารถปอ้ งกนั การทุจรติ ไดท้ นั ตอ่ สถานการณ์ของการทุจริต 7. ข้อเสนอแนะ จากการศกึ ษา และการสรปุ ผลการวจิ ยั เรอื่ งแนวทางการพฒั นาการปอ้ งกนั การทจุ รติ ขององคก์ ร ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ มขี อ้ เสนอแนะจากการวิจัย ดงั น้ี 1. องค์กรป้องกันและปราบปรามการทุจริตควรปรับรูปแบบการป้องกันการทุจริตโดยใช้ วิธกี ารของการบังคับใชก้ ฎหมายในเชงิ รุก ไม่ใชก่ ารต้งั รับรอให้มีการทุจริตแล้วมีเร่ืองกล่าวหาร้องเรียน เข้ามาสู่ระบบ แต่เป็นการเข้าไปตรวจสอบในพ้ืนท่ีเมื่อมีการแจ้งเบาะแส หรือเม่ือมีพฤติการณ์หรือ โครงการทม่ี คี วามเสยี่ งตอ่ การทจุ รติ เกดิ ขน้ึ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู การทจุ รติ ในเชงิ ลกึ และสามารถปอ้ งกนั การทจุ รติ ได้ทันตอ่ สถานการณข์ องการทุจรติ
56 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปีท่ี 13 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 2. การปฏิบตั ิหนา้ ที่ของหน่วยงานทม่ี หี นา้ ที่ทเ่ี กี่ยวข้อง จะตอ้ งบงั คับใช้กฎหมายอย่างจริงจงั รวดเร็ว รนุ แรง มคี วามสมำ�่ เสมอ และมคี วามเทา่ เทยี มกนั ในการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย พรอ้ มทง้ั จะตอ้ งมี การสอ่ื สารการดำ� เนนิ การบงั คบั ใชก้ ฎหมายไปใหถ้ งึ ประชาชน เพอ่ื สรา้ งความมน่ั ใจใหก้ บั ประชาชนตอ่ องคก์ ร ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ และยงั เปน็ การปอ้ งปรามหรอื ยบั ยง้ั ไมใ่ หค้ นทคี่ ดิ จะกระทำ� การทจุ รติ เม่ือได้ทราบถึงโอกาสท่ีจะได้รับโทษหรือผลกระทบทางลบจากการทุจริตจะหยุดความคิดที่จะกระท�ำ การทุจริต เพราะเป็นการกระตุ้นให้สังคมเล็งเห็นถึงข้อเสีย หรือโทษของการทุจริตโดยต้องแสดงให้ ประชาชนเห็นว่าเมื่อมีการทุจริตจะได้เห็นการลงโทษอย่างรวดเร็ว เพิ่มความเส่ียงในการถูกลงโทษ เม่ือมีการกระท�ำผิด ซึ่งหากมีการทุจริตแล้วการลงโทษมีความล่าช้า ใช้ระยะเวลาหลายสิบปีในการ ดำ� เนนิ การลงโทษ ผกู้ ระทำ� ผดิ ไดใ้ ชช้ วี ติ อยา่ งมคี วามสขุ อกี นานหลายปี บางกรณผี กู้ ระทำ� ผดิ เสยี ชวี ติ ไปแลว้ รวมถงึ การชดเชย ชดใช้ต่อความเสียหายไมเ่ พียงพอกับความเสียหายที่เกดิ ขนึ้ จริงต่อรฐั เมื่อประชาชน ได้เห็นเช่นน้ีย่อมส่งผลให้ไม่เกิดความเกรงกลัวในการกระท�ำความผิดในการทุจริต เพราะอาจจะไม่ได้ รบั โทษ หรือไดร้ บั โทษทนี่ อ้ ยกว่าผลประโยชน์ทเ่ี กดิ ขน้ึ เมอื่ กระท�ำการทจุ รติ 3. การดำ� เนนิ การเพอื่ ปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ มเรอื่ งความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ การแยกแยะ ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ยังคงเป็นสิ่งส�ำคัญที่ต้องด�ำเนินการ แต่ควรเปลี่ยนแปลง รปู แบบการดำ� เนนิ การเพราะการทจ่ี ะสรา้ งคนทมี่ แี นวคดิ และทศั นคตทิ ถี่ กู ตอ้ งจะตอ้ งใชเ้ วลานาน แตก่ เ็ ปน็ วธิ กี ารทสี่ ำ� คญั สง่ ผลตอ่ การพฒั นาการปอ้ งกนั การทจุ รติ ในระยะยาว โดยการปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ควรเริม่ ต้ังแตเ่ ด็ก โดยอาศยั ครอบครัวเปน็ สถาบันหลัก ร่วมกบั สถาบนั การศกึ ษา เมือ่ เด็กและเยาวชน เข้าสกู่ ระบวนการการศึกษา ขณะเดยี วกันประชาชนในสังคมก็ตอ้ งมีทัศนคติและค่านยิ มทถ่ี กู ต้องด้วย โดยรปู แบบวธิ กี ารในการเสรมิ สรา้ งทศั นคติ การปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ควรเปน็ หนา้ ทขี่ องหนว่ ยงานหลกั ท่ีท�ำหน้าอบรมสั่งสอนให้ความรู้กับเด็กและเยาวชน โดยไม่เป็นไปในลักษณะของการเพ่ิมโครงการ หรือกิจกรรมท่ีเบียดบังเวลาในการเรียนการสอน แต่ควรเป็นคุณธรรม จริยธรรมท่ีสอดแทรกอยู่ ในการใช้ชวี ิตประจ�ำวัน เอกสารอ้างอิง ชาญคณติ กฤตยา สรุ ยิ ะมณ.ี (2554). ทฤษฎอี าชญาวทิ ยารว่ มสมยั กบั การวจิ ยั ทางดา้ นอาชญาวทิ ยา ในปจั จุบัน. นนทบรุ ี: หยนิ หยางการพิมพ.์ พรเทพ จนั ทรนภิ . (2558). การพฒั นารปู แบบการปอ้ งกนั การทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั ในภาครฐั เพอื่ การบรหิ าร จดั การบ้านเมอื งทด่ี ีในสังคมไทย. วารสารเกษมบัณฑิต, 16 (1 มกราคม - มิถุนายน 2558), 89 - 101. พรชัย ขันตี. (2553). ทฤษฎีอาชญาวิทยา: หลักการ งานวิจัย และนโยบายประยุกต์. กรุงเทพฯ: หจก. สเุ นตรฟ์ ลิ ม์ .
แนวทางการพัฒนาการป้องกนั การทุจริตขององค์กรป้องกนั และปราบปรามการทุจริต 57 พรอมั รนิ ทร์ พรหมเกดิ , ภมู ภิ กั ด์ิ พทิ กั ษเ์ ขอื่ นขนั ธ,์ กรี ตพิ ร จตู ะวริ ยิ ะ, ธรี ภทั ร์ ลอยริ ตั น์ และวรญั ญา ศรรี นิ . (2561). การศกึ ษาเครอื ขา่ ยกลมุ่ อทิ ธพิ ลซงึ่ นำ� ไปสกู่ ารทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั อยา่ งเปน็ ระบบ (Organized Corruption) ของภาคการศกึ ษา: กรณศี กึ ษาโรงเรยี นสงั กัดส�ำนักงานเขตพน้ื ที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขตท่ี 24, 25, 26 (กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม). ขอนแก่น: มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . ลอยลม ประเสรฐิ ศร.ี (2554). บทบาทของรางวลั นำ� จบั และการลงโทษตอ่ การแกป้ ญั หาคอรร์ ปั ชนั : วธิ กี าร ทดลองขั้นพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์. กรุงเทพฯ: คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. วชั รา ไชยสาร, วรวฒุ ิ รักษาวงศ,์ ทศพนธ์ นรทศั น,์ อดเิ รก คดิ ธรรมรกั ษา, นัทพล เพชรากลู และณฐพร ถนอมทรัพย์. (2561). การศึกษากลุ่มอิทธิพลซ่ึงน�ำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ (Organized Corruption) จ�ำแนกตามภาคเศรษฐกิจ: กรณีศึกษาการทุจริตภาษีมูลค่าเพ่ิม และภาษีศลุ กากรในประเทศไทย. นนทบรุ ี: สำ� นักงาน ป.ป.ช.. ศริ นิ ันท์ วฒั นศิรธิ รรม, ศักรินทร์ นิลรตั น์ และสยาม ธรี ะบตุ ร. (2561). รปู แบบการทจุ ริตและปัจจัย เส่ียงที่ก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงาน ป.ป.ช.. สงั ศิต พริ ยิ ะรงั สรรค,์ สนุ ทร คณุ ชัยมัง, ทวีศกั ด์ิ รักยิ่ง และไชยณัฐ เจตยิ านวุ ัตร. (2559). โครงการ ส่งเสริมและสนบั สนุนมาตรการลงโทษทางสงั คม. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏจันทรเกษม. สำ� นักงานคณะกรรมการกำ� กบั หลักทรัพยแ์ ละตลาดหลักทรพั ย.์ 2560. (2559, มนี าคม 14). สืบคน้ จาก http://www.cgthailand.org/TH/principles/CG/Pages/cg-concept.asp Huisman, W. & Walle, G.V. (2015). The Criminology Of Corruption. Retrieved from https:// www.researchgate.net/publication/267227056_THE_CRIMINOLOGY_OF_ CORRUPTION. Transparency International. (2016). Transparency International. Retrieved from http:// www.transparency.org/what-is-corruption/#define. United Nations Office on Drugs and Crime. (2010). UNODC Service & Tools Practical solutions to global threats to justice, security. Vienna.
58 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปีท่ี 13 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มถิ ุนายน 2563) การสำ� รวจการรับรแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นการขดั กนั แห่งผลประโยชน์ ของเจ้าหนา้ ท่รี ัฐในองค์การบริหารส่วนจงั หวัดของประเทศไทย A Survey of Provincial Local Administration Officers’ Perception and Understanding on Conflict of Interest in Thailand ณัฐวุฒิ สมบูรณย์ งิ่ I Nuttavut SomboonyingI บทคัดยอ่ การเกิดแรงกดดันในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและแนวโน้มการยอมรับในหลักการปกครอง ตนเองในระดับท้องถิ่นในประเทศไทยมากขึ้น เป็นปัจจัยส�ำคัญท่ีผลักดันให้เกิดทิศทางและแนวโน้ม ในการกระจายอ�ำนาจจากรัฐบาลกลางไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากข้ึน ในขณะเดียวกัน อ�ำนาจและ ผลประโยชน์ท่ีมากขึ้นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็เป็นส่วนส�ำคัญท่ีจะผลักดันให้เกิดความเส่ียง ดา้ นการทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั และความขดั กนั แหง่ ผลประโยชนส์ ว่ นตวั และผลประโยชนส์ ว่ นรวมมากขน้ึ ตาม มาดว้ ย ปรากฏการณด์ งั กลา่ วนเี้ ปน็ แรงกระตนุ้ ที่อยากตรวจสอบวา่ ผู้บรหิ ารองคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ โดยเฉพาะในระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีการรับรู้และความเข้าใจอย่างไรในด้าน การขดั กนั แห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) โดยการวิจยั เน้นกรอบวัตถุประสงค์เพอ่ื สำ� รวจสถานะ การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจเก่ยี วกบั แนวคิด หลกั การ และมาตรการทางกฎหมายทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนข์ องเจา้ หนา้ ทร่ี ัฐในองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัด รวมถึงการจัดท�ำขอ้ เสนอแนะการสง่ เสริม ความรคู้ วามเขา้ ใจทนี่ ำ� ไปสแู่ นวปฏบิ ตั ทิ ถี่ กู ตอ้ ง ในดา้ นรปู แบบการศกึ ษาใชก้ ารวจิ ยั แนวการสำ� รวจโดย แบบสอบถามทีเ่ นน้ การเกบ็ ขอ้ มูลความคิดเหน็ เชงิ ปริมาณ (Quantitative Survey) จากกลุม่ ตวั อยา่ ง เจา้ หน้าทร่ี ฐั ในองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัด 76 จงั หวดั และที่มาจากฝา่ ยการเมือง (นายกและรองนายก องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั สมาชกิ สภาจงั หวดั ) และจากฝา่ ยขา้ ราชการและบคุ ลากรประจำ� (ขา้ ราชการ พนักงานส่วนทอ้ งถ่ิน ลูกจา้ งประจำ� และพนักงานจา้ ง) จำ� นวน 921 คน วิธีการเกบ็ ข้อมูลดำ� เนินการ โดยการส่งแบบสอบถามทางไปรษณยี ์ I เจ้าพนักงานป้องกนั การทุจรติ ชำ� นาญการ สำ� นกั งาน ป.ป.ช. I Corruption Prevention Officer, Professional Level, Office of the National Anti-Corruption Commission ไดร้ บั บทความ 10 กรกฎาคม 2562 แกไ้ ขปรบั ปรุง 1 พฤษภาคม 2563 อนมุ ัติใหต้ ีพมิ พ์ 15 พฤษภาคม 2563
การส�ำรวจการรบั รูแ้ ละความเขา้ ใจด้านการขัดกนั แหง่ ผลประโยชน์ 59 ของเจ้าหน้าทร่ี ัฐในองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัดของประเทศไทย การศกึ ษานม้ี ีข้อคน้ พบหลักคอื ในภาพรวม เจา้ หน้าท่รี ัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวดั มีระดับ การรับร้เู กย่ี วกบั การขดั กนั แหง่ ผลประโยชน์ระดับปานกลาง หรอื คิดเป็นรอ้ ยละ 52.89 และเจา้ หน้าทรี่ ัฐ ในองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีระดับความเข้าใจเก่ียวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ระดับปานกลาง หรือคิดเป็นร้อยละ 46.09 นอกจากนี้ เม่ือพิจารณาในรายมิติ การศึกษาน้ียังพบว่า เจ้าหน้าท่ีรัฐ ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั มคี วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั ผลประโยชนส์ ว่ นตวั ในระดบั ปานกลาง หรอื คดิ เปน็ รอ้ ยละ 45.20 เจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั มคี วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั การปฏบิ ตั หิ นา้ ทท่ี กี่ ำ� หนด อย่างเป็นทางการระดับปานกลาง หรือคิดเป็นร้อยละ 45.40 และเจ้าหน้าท่ีรัฐในองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดมีความเข้าใจเก่ียวกับการขัดแย้งในผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมในระดับ ปานกลาง หรือคิดเป็นร้อยละ 47.68 ข้อค้นพบจากการศึกษาน้ีสะท้อนให้เห็นนัยส�ำคัญหลายด้านที่เก่ียวโยงกับการก�ำหนดทิศทาง และยุทธศาสตร์/นโยบายป้องกันปัญหาการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ ส่วนรวม และการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐ โดยเฉพาะในระดับการปกครองและการบริหารท้องถิ่น การพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายส�ำหรับส�ำนักงาน ป.ป.ช. จึงครอบคลุมท้ังในด้านการเร่งรัด การประชาสัมพันธ์เพื่อการส่งเสริมให้เกิดการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ในทกุ ระดบั ขององคก์ ร สำ� นกั งาน ป.ป.ช. ประจำ� จงั หวดั ควรเปน็ หวั หอกในการรณรงคแ์ ผนงานดงั กลา่ ว และศนู ย์วิจยั เพอื่ ตอ่ ต้านการทจุ ริต ป๋วย องึ๊ ภากรณ์ ส�ำนกั งาน ป.ป.ช. ควรเน้นความส�ำคัญกบั การวจิ ัย และพัฒนาแผนงานการศกึ ษา (Educational Programs) เก่ยี วกับเรื่องน้อี ย่างจรงิ จงั คำ� ส�ำคญั : การขัดกันแหง่ ผลประโยชน์ การทจุ รติ ผลประโยชน์สาธารณะ การทจุ รติ ในองคก์ รปกครอง สว่ นทอ้ งถ่นิ การรบั รูข้ อ้ มลู การทุจริต Abstract Continuous pressures from various sides and more recognition in the principles of local self- management have increasingly paved a direction and trend toward more decentralized local governments in Thailand. Simultaneously, more power and financial interests of local government and administration also become key factors that generate risks of corruption and conflict of interest between private and public gains. This phenomenon is thus a crucial impetus in examining local administrators and officers, especially related to their perception and understanding of conflict of interest issues. This research therefore aims at investigating provincial local officers’ status of perception and understanding of conflict of interest, including drawing some recommendations for proper promotion and regulation of conflict of interest. The study method of this research employs a quantitative questionnaire-based survey sent by
60 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปที ี่ 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) post of 921 samples which are selected from 76 provincial local administration (PLA) offices. These sampled PLA officers are both politically elected officers (Chiefs executives and deputy Chief executives of provincial administrative organizations (PAO), members of PAO council) and appointed civil servants (local government officials/local staff, permanent employees and employers) Key findings of this research are the following. First, overall, PLA officers have relevant perception of conflicts of interest concepts at the medium level or approximately 52.89 % and relevant understanding of conflicts of interest at the medium level or approximately 46.09 %. Second, in more specific aspects, this study also finds that PLA officers understanding about the concept of private interest at the medium level or 45.20%, PLA officers’ understanding of executive official duties at the medium level or approximately 45.40%, and PLA officers’ relevant understanding of the conflict of private and public interests at the medium level or approximately 47.68%. The results of this research endingly reflect several critical implications with respect to the setting of direction and strategie policies for the prevention of conflict of interest as well as corruption in the public-sector domain, especially at the local administration and government level. Policy development of the National Anti-Corruption Commission should intensify more attention on the promotion of the conflict of interest campaign and public relations to all levels of the NACC The Puey Ungphakorn Anti-Corruption Research Center should be the Spearhead of the campaign and undertake the conflict of interest research and educational programs as its priority. Keywords: Conflict of Interest, Public Corruption, Corruption in Local Administration Offices, Perception of Corruption 1. ท่ีมาและความสำ� คัญ ในประเทศไทย ประเดน็ การขดั กนั แหง่ ผลประโยชนท์ เ่ี พง่ิ ไดร้ บั ความสนใจ มหี ลายกรณที โ่ี ยงใย ถึงปญั หาการทุจริตคอร์รัปชัน หลายกรณีเกดิ ขนึ้ โดยรเู้ ท่าไม่ถึงการณ์ ไมม่ ีความรู้ความเขา้ ใจ ไม่สนใจ และมพี ฤตกิ รรมหรอื การกระทำ� บางอยา่ งทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั วฒั นธรรมความเชอื่ ในสงั คมไทย เชน่ วฒั นธรรม การใหข้ องขวญั สนิ นำ้� ใจ คา่ นยิ มเจา้ ขนุ มลู นาย ระบบเครอื ญาตแิ ละพรรคพวกในระบบราชการ เปน็ ตน้ พฤติกรรมบางอย่างมีการปฏิบัติการอย่างต่อเน่ืองจนเกิดความเคยชินและเป็นท่ียอมรับ (เช่น การใช้ ทรพั ยส์ นิ ของสว่ นราชการ การรับเลีย้ ง การเรียกรอ้ งหรือรบั สิ่งตอบแทน เปน็ ต้น)
การสำ� รวจการรับรูแ้ ละความเข้าใจด้านการขดั กันแหง่ ผลประโยชน์ 61 ของเจ้าหนา้ ทีร่ ัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย ขณะท่ีในปัจจุบันมีการยอมรับในหลักการปกครองตนเองในระดับท้องถ่ินของประเทศไทย อันเป็นปัจจัยส�ำคัญให้เกิดทิศทางและแนวโน้มการกระจายอ�ำนาจจากรัฐบาลไปสู่องค์การปกครอง สว่ นทอ้ งถนิ่ มากขน้ึ ขณะเดยี วกนั ดว้ ยอำ� นาจขององคก์ ารปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ทม่ี ากขนึ้ กอ็ าจเปน็ สว่ นสำ� คญั ทจี่ ะผลกั ดนั ใหเ้ กดิ ความเสยี่ งดา้ นการทจุ รติ และการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนต์ ามมา ซง่ึ จากสถานการณ์ การทุจริตของประเทศไทย พบว่า เจ้าหน้าท่ีรัฐในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสุ่มเสียงในการ เข้าไปเก่ียวข้องกับพฤติกรรมที่เป็นความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์โดยรู้หรือไม่รู้เท่าทัน ซ่ึงพฤติกรรม เหลา่ นเ้ี ป็นจดุ กำ� เนิดของการทจุ รติ คอร์รัปชันในวงราชการ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ องคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั ทเ่ี ปน็ หนว่ ยการปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ขนาดใหญ่ คอ่ นขา้ งมคี วามเสยี่ งและสง่ ผลตอ่ ความเสยี หายจำ� นวนมาก หากมกี ารทุจรติ เกนิ ข้ึน โดยข้อมูลจากศูนยป์ ระมวลขอ้ มูล สำ� นักงาน ป.ป.ช. ณ วันที่ 13 มีนาคม 2561 พบว่า เร่ืองร้องเรียนการทุจริตขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในช่วงปี พ.ศ. 2559 - 2561 มจี �ำนวน 213 เรอื่ ง องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ จึงเปน็ หน่วยในการศกึ ษาท่ีส�ำคญั โดยในระยะแรกน้ี จำ� กดั ขอบเขตการศกึ ษาเฉพาะองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั เนอื่ งดว้ ยองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ในแตล่ ะ จังหวัดมีโครงสร้างการบริหารงานครอบคลุมและสร้างผลกระทบได้ท่ัวทั้งจังหวัด กอปรกับได้รับการ จดั สรรงบประมาณจำ� นวนมากเมอ่ื เทยี บกบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ รปู แบบอน่ื ๆ จงึ มแี นวโนม้ และ สุ่มเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม การศึกษาวิจัยเร่ืองนี้ จึงเป็นการศึกษาและส�ำรวจข้อมูลระดับการรับรู้ของเจ้าหน้าท่ีรัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มีต่อ ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) ซึ่งเป็นงาน ส�ำคัญท่ีจะน�ำไปสู่การก�ำหนดมาตรการป้องกัน การก�ำหนดหลักการข้อบังคับ กฎหมาย ตลอดจน การก�ำหนดแนวทางปฏบิ ตั ทิ ี่ชดั เจนเพ่ือลดพฤติกรรมความขดั แย้งแหง่ ผลประโยชน์ในอนาคต 2. วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษา 2.1 เพ่ือส�ำรวจและทราบระดับการรับรู้และความเข้าใจของเจ้าหน้าที่รัฐในองค์การบริหาร ส่วนจงั หวดั เกีย่ วกบั การขัดกันแหง่ ผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) 2.2 เพือ่ จดั ทำ� ข้อเสนอแนะเพือ่ การแก้ไขปญั หาการส่งเสรมิ หรอื สนบั สนนุ ให้เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ในองคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั มีความรคู้ วามเขา้ ใจท่ถี กู ตอ้ งในประเด็นของการขัดกนั แห่งผลประโยชน์ 3. ขอบเขตการศึกษา มีขอบเขตการศึกษาครอบคลุมดังต่อไปน้ี 3.1 เน้ือหาที่ศึกษา: ส�ำรวจการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับแนวความคิด หลักการ และมาตรการทางกฎหมายทีเ่ กย่ี วข้องกบั การขดั กันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) 3.2 ระดับองค์กรของการศึกษา: เจ้าหน้าท่ีรัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย ทงั้ ฝา่ ยการเมอื งและฝา่ ยประจำ�
62 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปีท่ี 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 3.3 พ้นื ทข่ี องการศึกษา: ประเทศไทย 3.4 กรอบเวลาท่ีจะทำ� การศึกษา: 12 เดือน 4. นิยามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร 4.1 การขดั กนั ของผลประโยชน์ คอื การขดั กนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ สว่ นรวม เปน็ สถานการณท์ บี่ คุ คล (เจา้ หนา้ ทรี่ ฐั หรอื ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ) มผี ลประโยชนส์ ว่ นตวั ในระดบั ทเ่ี พียงพอที่อาจจะหรอื เขา้ มามีอิทธิพลตอ่ การตัดสนิ ใจหรือการใช้ดุลพินิจตามตำ� แหนง่ หนา้ ท่ี โดยการ ขดั กนั ระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวมมีสาเหตุหลายประการ แตม่ อี งค์ประกอบหลกั ท่ีก่อใหเ้ กดิ การขัดกันระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตวั กบั ผลประโยชน์ส่วนรวมอยู่ 3 ประการ คือ องค์ประกอบท่ี 1 มีผลประโยชนส์ ่วนตวั (private or personal interest) ทัง้ ในรปู ของตวั เงนิ หรอื ผลประโยชนใ์ นรปู แบบอนื่ กไ็ ด้ และเปน็ ผลประโยชนข์ องตนเองหรอื ผลประโยชนข์ องผอู้ น่ื ทมี่ คี วาม สมั พนั ธ์ใกล้ชิด องคป์ ระกอบท่ี 2 มกี ารปฏิบัตหิ นา้ ท่ีที่ก�ำหนดอยา่ งเปน็ ทางการ (public or official duty) โดยต้องด�ำรงต�ำแหน่งสาธารณะ และปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพที่มีความเป็นกลาง และยึด ผลประโยชนส์ ว่ นรวมเป็นสำ� คญั องค์ประกอบท่ี 3 มีความขัดแย้งในผลประโยชน์ กล่าวคือ เม่ือผู้ด�ำรงต�ำแหน่งสาธารณะ ได้ปฏิบตั ิหนา้ ที่ตามตำ� แหนง่ ดงั กลา่ ว แตใ่ นการปฏิบัตหิ น้าท่ีนน้ั มกี ารแทรกแซง ขาดความเปน็ อิสระ มอี คติ และตดั สนิ ใจโดยค�ำนึงถงึ ผลประโยชน์ส่วนตัว 4.2 ระดับการรบั รู้ หมายถึง ระดับการตีความหมายจากตัวอยา่ งสถานการณร์ ูปแบบการขดั กนั แหง่ ผลประโยชน์ 4.3 ระดบั ความเขา้ ใจ หมายถึง ระดบั การตคี วามหมายและแยกแยะสถานการณก์ ารขดั กนั แห่งผลประโยชน์อย่างเป็นระบบ 4.4 เจ้าหน้าท่ีรัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย หมายถึง เจ้าหน้าที่รัฐ ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทยทงั้ ฝา่ ยการเมอื งและฝา่ ยประจำ� คอื บคุ ลากรฝา่ ยการเมอื ง (ประกอบดว้ ย นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั รองนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั และสมาชกิ สภา) และบคุ ลากรฝ่ายประจำ� (ประกอบด้วย ขา้ ราชการ/พนกั งานส่วนทอ้ งถ่ิน ลกู จ้างประจ�ำ และพนกั งานจา้ ง) ขององค์การบริหารส่วนจังหวดั 76 แหง่ จากนิยามเชิงปฏิบัติการข้างต้น การรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั จงึ หมายถงึ ระดบั การตคี วามหมายและแยกแยะอยา่ ง เปน็ ระบบจากตวั อยา่ ง รปู แบบ และสถานการณท์ เี่ จา้ หนา้ ทร่ี ฐั มผี ลประโยชนส์ ว่ นตวั ในระดบั ทเี่ พยี งพอ ที่อาจจะหรือเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจหรือการใช้ดุลพินิจตามต�ำแหน่งหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ีรัฐ ในองคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวัดของประเทศไทยทง้ั ฝา่ ยการเมอื งและฝ่ายประจ�ำ
การสำ� รวจการรับร้แู ละความเขา้ ใจด้านการขดั กนั แห่งผลประโยชน์ 63 ของเจ้าหนา้ ที่รัฐในองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัดของประเทศไทย 5. แนวคิดทฤษฎที ี่เกย่ี วขอ้ ง จากการทบทวนแนวคิดทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ในประเทศไทย พบว่า เป็นข้อมูล/องคค์ วามรเู้ พ่อื ขบั เคลื่อนการพฒั นา ป้องกันและแก้ไขการกระทำ� ท่ีเป็นการขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมของประเทศไทย พบว่า งานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับการขัดกัน ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมยงั มกี ารศกึ ษาไมม่ ากนกั และยงั มปี ระเดน็ ในการศกึ ษา ไม่หลากหลาย ซึ่งงานศึกษาส่วนใหญ่จะมีลักษณะร่วมกันคือ งานศึกษาแทบทุกชิ้นมักเป็นการศึกษา เพอื่ การค้นหาองคค์ วามร้วู า่ ด้วยการขดั กันระหวา่ งประโยชน์สว่ นตนและส่วนรวม ขณะทใ่ี นแตล่ ะงาน ศึกษาจะมจี ดุ เนน้ ทีแ่ ตกตา่ งกันไปตามจดุ มุง่ หมายของการศึกษา ซ่ึงสามารถแบง่ ได้กว้าง ๆ 3 ประเภท กลา่ วคือ 5.1 งานศึกษาเชิงทฤษฎี (Theoretical Study): เป็นการศึกษาเพ่ือค้นหาทฤษฎี/องค์ความรู้ ว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชนท์ ่ีมีอยูอ่ ยา่ งกระจดั กระจาย และยังไมแ่ น่ชดั ในตวั องค์ความรู้ อนั สง่ ผล ให้การน�ำไปปรับใช้ไม่สามารถได้ข้อสรุปในตัวองค์ความรู้เอง ซ่ึงงานศึกษาวิจัยประเภทนี้จะเน้นท่ี การศกึ ษาความหมาย ลกั ษณะ รูปแบบ ทฤษฎี องค์ความรู้ว่าดว้ ยการขดั กันแห่งผลประโยชนส์ ่วนตน และผลประโยชน์ส่วนรวม เพื่อทบทวนและหาข้อสรุปเกี่ยวกับตัวองค์ความรู้ และความชัดเจน ของลกั ษณะการกระท�ำทีเ่ ป็นการขัดกันระหวา่ งประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวม 5.2 งานศึกษาเชิงประยุกต์ใช้กับกรณีศึกษา (Case Study): เป็นงานศึกษาท่ีเน้นการน�ำ องคค์ วามรวู้ า่ ดว้ ยการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนไ์ ปประยกุ ตป์ รบั ใชก้ บั กรณศี กึ ษาตา่ ง ๆ เพอื่ หาความหมาย คำ� ตอบ ปญั หาและอปุ สรรค และผลของการน�ำองคค์ วามรไู้ ปใช้ในทางปฏบิ ตั ิ 5.3 การศกึ ษาเชงิ กฎหมาย (Legal Study): มจี ดุ เนน้ ทก่ี ารศกึ ษาวเิ คราะหเ์ ชงิ ตวั บทกฎหมาย ท่ีเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวม โดยเป็นการศึกษาปัญหา ข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงกระบวนการ การปรับใช้ ความเหมาะสม ผลในทางปฏิบัติ การบังคับใช้ รวมถึงจดุ บกพร่องและชอ่ งโหว่ของกฎหมาย จะเหน็ ไดว้ า่ พฒั นาการของงานศกึ ษาวจิ ยั ทเี่ กยี่ วกบั การขดั กนั แหง่ ผลประโยชนใ์ นประเทศไทย ยังขาดการศึกษาวิจัยท่ีเป็นการศึกษาวิจัยเชิงส�ำรวจท่ีมุ่งแสวงหาฐานข้อมูลและองค์ความรู้ของ สถานการณ์ของระดับการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในพื้นที่ที่สามารถส่งผลให้เกดิ ระดับความรุนแรงของปญั หาการขดั กันแห่งผลประโยชน์ หากมีการเกิดขนึ้ ของปญั หา อาทิ องคก์ ารปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ขณะทจี่ ากการทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กย่ี วกบั การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนกบั ประโยชน์ สว่ นรวม พบวา่ การขดั กนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ประโยชนส์ ว่ นรวมมแี นวคดิ พนื้ ฐานทเี่ กย่ี วขอ้ ง ประกอบด้วย 1) หลักการประชาธิปไตย (Democracy) มีวิวัฒนาการมาจากหลักการกรีกโบราณ โดยถอื วา่ อำ� นาจอำ� นาจอธปิ ไตย (อำ� นาจปกครอง) เปน็ ของประชาชน ซง่ึ หลกั การประชาธปิ ไตยมแี นวคดิ พ้ืนฐานที่สำ� คญั ดงั น้ี
64 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปีที่ 13 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 1.1) อ�ำนาจของประชาชน (Popular Sovereignty) หลักการประชาธิปไตยถือว่า อ�ำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ซ่ึงประชาชนอาจใช้อ�ำนาจของตนในฐานะเจ้าของอ�ำนาจผ่านทางช่องทาง ต่าง ๆ เช่น การเลือกผู้แทนของตนเข้าไปบริหารประเทศ การเสนอร่างกฎหมาย การลงประชามติ การมีข้อเรียกร้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ หรือการตรวจสอบผู้แทนท่ีตนเลือกเข้าไปใช้อ�ำนาจแทนตน เปน็ ต้น 1.2) สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของปัจเจกบุคคล (Right, Liberty and Equality) เป็นแนวคิดหลกั ของลทั ธเิ สรนี ยิ ม (Liberalism) สทิ ธแิ ละเสรีภาพเป็นภายใตข้ อบเขตของ กฎหมายและต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อ่ืน ปัจจุบันสิทธิและเสรีภาพถูกรับรองไว้ใน หลายแหล่ง เช่น ปฏญิ ญาสากลวา่ ดว้ ยสิทธมิ นษุ ยชน (The Universal Declaration of Human Rights) ส่วนแนวคิดว่าด้วยความเสมอภาค (Equality) คือการท่ีปัจเจกบุคคลเสมอภาคในสิทธิและศักดิ์ศรี แหง่ ความเปน็ มนษุ ย์ (Equality of Right and Dignity) ซง่ึ ไมไ่ ดห้ มายความวา่ ทกุ คนจะไดร้ บั การปฏบิ ตั ิ อยา่ งเท่าเทียมกันในทุกเรอ่ื งทุกโอกาส 1.3) ฉันทานมุ ัติ (Consent) คือ การได้รับความยินยอมจากประชาชนผเู้ ปน็ เจา้ ของ อ�ำนาจในการที่ประชาชนจะถูกปกครอง กล่าวคือ ด้วยประชาชนเป็นเจ้าของอ�ำนาจสูงสุด มีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคในอ�ำนาจการปกครอง ในการท่ีประชาชนเจ้าของอ�ำนาจจะไม่ปกครอง หรือใช้อ�ำนาจดว้ ยตนเองโดยตรง แต่จะให้บคุ คลหรือกล่มุ บคุ คลอืน่ มาทำ� หนา้ ท่ีปกครองแทนตน ก็จะ ต้องได้รับความยินยอมหรือฉันทานุมัติจากประชาชนเจ้าของอ�ำนาจ บุคคลหรือคณะบุคคลท่ีเข้ามาใช้ อำ� นาจปกครอง (รฐั บาล) โดยฝนื ใจประชาชนจงึ จะกระทำ� มไิ ด้ ประชาชนจงึ ยอ่ มมสี ทิ ธใิ นการทจี่ ะเปลยี่ น ผ้ปู กครองหรือรัฐบาลทไี่ ม่ไดร้ ับฉนั ทานมุ ัติจากประชาชนได้ 1.4) สาธารณประโยชน์ หรอื ประโยชนส์ าธารณะ (Public Interest) สมบตั ิ จนั ทรวงศ์ (2520) การท่ีประชาธิปไตยเป็นการปกครองท่ีอำ� นาจสูงสุดเป็นของประชาชน และเป็นการปกครอง ทที่ ำ� “เพ่ือประชาชน” น่ันเป็นท่มี าของค�ำวา่ “สาธารณประโยชนห์ รือประโยชนส์ าธารณะ” ซง่ึ ก็คอื ผลประโยชน์ทปี่ ระชาชนทุกคนในรัฐควรจะไดร้ บั ประโยชน์ เปรียบเสมือนเจตจำ� นงร่วมท่ีประชาชนทุกคน รว่ มทำ� สัญญา ดังเช่น เจตจ�ำนงท่ัวไปของรสุ โซ ท่ปี ระชาชนตา่ งแสดงออกเพือ่ ประโยชนส์ าธารณะหรือ ผลประโยชนข์ องทกุ คน การปฏเิ สธเจตจำ� นงทวั่ ไป คอื การละเมดิ กฎหมาย ซง่ึ เทา่ กบั การตง้ั ตนอยเู่ หนอื เจตนารมณ์ร่วมและน�ำไปสู่การท�ำลายล้างสังคมท้ังหมด และเป็นการปล้นเอาเสรีภาพท่ีมีคุณค่าทาง ศีลธรรมของสว่ นรวมไป ซงึ่ ตรงขา้ มกับผลประโยชน์สว่ นตวั ท่ีมองวา่ มนุษยเ์ ป็นสัตว์ท่ถี อื เอาประโยชน์ สว่ นตนเปน็ ทตี่ งั้ และดำ� เนนิ ชวี ติ โดยยดึ หลกั การดงั กลา่ วอยา่ งมเี หตผุ ล โดยอยบู่ นพนื้ ฐานหลกั ประโยชน์ นิยม (Utilitarianism) ที่มองว่า การกระท�ำท่ีดีท่ีสุด คือ การกระท�ำท่ีก่อให้เกิดความสุขมากท่ีสุด ของคนจำ� นวนมากท่สี ดุ
การส�ำรวจการรบั รแู้ ละความเข้าใจด้านการขดั กันแห่งผลประโยชน์ 65 ของเจา้ หน้าท่ีรัฐในองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั ของประเทศไทย 1.5) การปกครองโดยกฎหมาย (The Rule of Law) คอื เป็นการยดึ ถือกฎหมาย เปน็ หลกั สงู สดุ ในการปกครองทถี่ อื วา่ ทกุ คนในรฐั เสมอภาคกนั ทกุ คน ประชาชนทกุ คนในรฐั ทง้ั ผบู้ ญั ญตั ิ กฎหมายและบังคับใช้กฎหมายก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายแบบเดียวกัน ไม่มีข้อยกเว้น เจ้าหน้าที่ ของรัฐทุกคนไม่ว่าจะมาจากการเลือกต้ังหรือแต่งต้ังก็ตามล้วนต้องรับผิดชอบทางกฎหมายต่อศาล เช่นเดียวกันประชาชนในรัฐทุกคนและกฎหมายจะต้องควบคุมความประพฤติของคนท้ังประเทศ คนทุกคนตอ้ งอยู่ภายใตก้ ฎหมายเดยี วกนั และจะต้องปฏบิ ัติตามขอ้ กำ� หนดและขอบเขตของกฎหมาย โดยไมย่ ดึ ถอื “กฎหม”ู่ อยู่เหนอื “กฎหมาย” 2) ศลี ธรรม คุณธรรมของประชาธิปไตย (Democratic Morality) การด�ำเนินงานในระบอบ ประชาธิปไตยจะต้องมีศีลธรรม คุณธรรม เป็นเคร่ืองก�ำกับด้วยอยู่เสมอ เพื่อเป็นหลักประกันว่า ผลประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนจะได้รับการตอบสนอง และการแสดงออกทางประชาธิปไตยจะ ด�ำเนินการถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ซ่ึงเป็นเคร่ืองการันตีว่าเสียงข้างมากจะไม่ตัดสินหรือ ด�ำเนินการใด ๆ ที่ขัดต่อศีลธรรม คณุ ธรรม และเจา้ หนา้ ที่ของรัฐจะไม่กระท�ำการใด ๆ ทีเ่ ปน็ ไปเพ่ือ ผลประโยชนส์ ว่ นตวั 3) รัฐบาลแบบเปิดและตรวจสอบได้ (Open and Accountable Government) รัฐบาล แบบเปิดและตรวจสอบได้ คือการที่รัฐบาลจะต้องจัดหาข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับนโยบายของรัฐบาลไว้ให้ ประชาชนได้ศึกษาและพิจารณาการด�ำเนินงาน และจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงเอกสาร ขอ้ มลู ของรฐั บาลและเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม และจะตอ้ งถกู ตรวจสอบ (Accountable Government) ท้ังทางกฎหมาย ทางการเมือง และทางการคลัง ช่วยให้ประชาชนเห็นว่าตัวแทน ของตนหรอื รฐั บาล และเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ไดด้ ำ� เนนิ การบรหิ ารประเทศแทนตนอยา่ งไรบา้ ง มกี ารคอรร์ ปั ชนั หรอื ด�ำเนินการผิดพลาดอะไรหรือไม่ ซ่ึงจะช่วยให้ประชาชนได้ทราบสถานการณ์ของประเทศได้อย่าง ทนั ทว่ งที นอกจากน้ี รฐั บาลทแ่ี บบเปดิ และตรวจสอบไดย้ งั ชว่ ยพทิ กั ษเ์ สรภี าพใหแ้ กป่ ระชาชนทง้ั หลาย ผู้เปน็ เจ้าของอำ� นาจดว้ ย 4) การทำ� งาน/หนา้ ท่ใี นกิจการของรฐั (Official Duties) คือการท่ปี จั เจกบุคคลไดร้ บั ความ ไว้วางใจให้มีเข้ามาปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ มีหน้าท่ี ความรับผิดชอบ บทบาทเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ต้องมีพันธสัญญา และมาตรฐานความประพฤติที่ดีงาม การด�ำเนินการใด ๆ จะต้องถูกต้อง ตามระเบียบกฎหมาย 5) หลักการไม่มสี ่วนไดเ้ สยี หรอื หลกั ความเป็นกลาง ไมม่ อี คติ ส�ำหรบั การปฏิบัติหนา้ ที่ของรฐั อนั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของหลกั ความยตุ ธิ รรมธรรมชาติ (Natural Justice) หลกั การไมม่ สี ว่ นไดเ้ สยี มคี วามคดิ พื้นฐานว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐใช้อ�ำนาจในเรื่องที่ตนมีส่วนได้เสีย เจ้าหน้าที่รัฐผู้น้ันก็จะไม่มีความเป็นกลาง และไม่อาจใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งการได้โดยปราศจากอคติในเรื่องดังกล่าว หลักการนี้ได้น�ำมาใช้ ในการพิจารณาตัดสนิ ของภาครฐั เชน่ หลักความเปน็ กลางของผพู้ ิพากษา การหา้ มเจา้ หน้าท่ขี องรัฐที่มี อ�ำนาจพจิ ารณาทางปกครองพจิ ารณาสง่ั การ รว่ มประชมุ หรอื ลงมตใิ นเรอ่ื งทตี่ นมสี ่วนได้เสยี เป็นต้น
66 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ี่ 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) เมอ่ื พจิ ารณาการใหค้ วามหมายของการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนน์ นั้ มกี ารใหค้ วามหมายทห่ี ลากหลาย ซ่ึงสะท้อนถึงความไม่ชัดเจนของความหมายและขอบเขตของผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งอาจส่งผล ถึงนโยบายและมาตรการในการแกไ้ ขปญั หาการขัดกนั ระหว่างประโยชนส์ ่วนตนกบั ประโยชนส์ ว่ นรวม ที่แตกต่างกัน โดยสะท้อนจุดเน้นอยู่ 2 ประการ คือ ประการท่ีหนึ่ง เน้นท่ีบริบทของการกระท�ำ การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตวั และประโยชนส์ ว่ นรวม กลา่ วคอื การพจิ ารณาขอ้ เทจ็ จรงิ ในการกระทำ� ว่าไปลิดรอนผลประโยชน์ส่วนรวมหรือไม่ ประการที่สอง เน้นที่การด�ำรงต�ำแหน่งของเจ้าหน้าที่รัฐ ทีไ่ มค่ วรมกี ารขดั กนั แหง่ ผลประโยชน์ โดยสรุป การขัดกันแห่งประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวมเป็นส่วนหน่ึงของ การคอรร์ ปั ชนั ทเี่ จา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ใชอ้ ำ� นาจในตำ� แหนง่ หนา้ ทเี่ ขา้ มาแสวงหาประโยชนแ์ กต่ นเองหรอื ผอู้ นื่ ซงึ่ ทำ� ใหก้ ระทบตอ่ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม โดยการขดั กนั แหง่ ผลประโยชน์ คอื การขดั กนั ระหวา่ งประโยชน์ ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม เป็นสถานการณ์ที่บุคคล (เจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้ประกอบวิชาชีพ) มผี ลประโยชนส์ ว่ นตวั ในระดบั ทเ่ี พยี งพอทอ่ี าจจะหรอื เขา้ มามอี ทิ ธพิ ลตอ่ การตดั สนิ ใจหรอื การใชด้ ลุ พนิ จิ ตามต�ำแหน่งหน้าที่ โดยการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมมีสาเหตุ หลายประการ แต่มีองค์ประกอบของสาเหตุหลักท่ีก่อให้เกิดการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว กับผลประโยชนส์ ว่ นรวมโดย Michael McDonald อยู่ 3 ประการ คือ องค์ประกอบท่ี 1 มีผลประโยชน์สว่ นตวั (Private or Personal Interest) ทั้งในรปู ของตวั เงนิ หรอื ผลประโยชนใ์ นรปู แบบอน่ื กไ็ ด้ และเปน็ ผลประโยชนข์ องตนเองหรอื ผลประโยชนข์ องผอู้ นื่ ทมี่ คี วาม สมั พนั ธ์ใกล้ชดิ องคป์ ระกอบที่ 2 มกี ารปฏบิ ัติหนา้ ทที่ ี่กำ� หนดอย่างเปน็ ทางการ (Public or Official Duty) โดยต้องด�ำรงต�ำแหน่งสาธารณะ และปฏิบัติหน้าท่ีตามมาตรฐานวิชาชีพที่มีความเป็นกลาง และยึด ผลประโยชน์สว่ นรวมเปน็ ส�ำคัญ องค์ประกอบท่ี 3 มีความขัดแย้งในผลประโยชน์ กล่าวคือ เม่ือผู้ด�ำรงต�ำแหน่งสาธารณะ ได้ปฏิบัติหน้าท่ีตามต�ำแหน่งดังกล่าว แต่ในการปฏิบัติหน้าที่น้ันมีการแทรกแซง ขาดความเป็นอิสระ มีอคติ และตดั สินใจโดยค�ำนงึ ถงึ ผลประโยชน์สว่ นตัว ในส่วนแนวคิดทฤษฎีท่ีเกี่ยวกับการรับรู้และความเข้าใจน้ันเป็นแนวคิดในเชิงจิตวิทยา และ พฤติกรรมศาสตร์ ซึง่ คณะผวู้ จิ ัยไดท้ บทวนแนวคดิ ทฤษฎี และวรรณกรรมอ่นื ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกับการรบั รู้ พบวา่ การรับรูเ้ ปน็ กระบวนการตีความหมายจากสิง่ ท่ีเราสมั ผัส เป็นทีร่ ู้จกั ท่ีเขา้ ใจ โดยใช้ประสบการณเ์ ดิม ช่วยในการแปลความหมาย ได้แก่ ความคิด ความรู้ และการกระท�ำท่ีได้เคยปรากฏแก่ผู้น้ันมาแล้ว และการท่ีเราตีความหมายต่อส่ิงหนึ่งอย่างไรน้ันขึ้นอยู่กับว่าเรารับรู้และตีความหมายให้เป็นอย่างไร เพราะแตล่ ะคนจะตีความหมายจากการรับรไู้ มเ่ หมอื นกนั ข้ึนอยูก่ ับประสบการณท์ ่ีไดร้ ับของแตล่ ะคน และการเขา้ ใจความหมายของสง่ิ ทเี่ ราเหน็ แลว้ เอามาขยายความ ขณะทคี่ วามเขา้ ใจนนั้ เปน็ กระบวนการ รับรู้เรื่องราวหรือข้อมูลต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และสามารถรวบรวมหรือแยกแยะในประเด็นต่างๆ ได้อย่างละเอียดและสามารถล�ำดับขั้นตอนได้อย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อความรู้และ
การสำ� รวจการรับรแู้ ละความเขา้ ใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 67 ของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในองคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั ของประเทศไทย ความเข้าใจอยู่ 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยจากส่ิงแวดล้อม โดยพฤติกรรมความเข้าใจ แบง่ ได้เป็น 3 รูปแบบ คอื การแปลความ การตีความ และการสรปุ อา้ งอิง จากการทบทวนแนวความคดิ และวรรณกรรมทเี่ กยี่ วขอ้ งขา้ งตน้ โครงการวจิ ยั นมี้ กี รอบแนวคดิ การดำ� เนินการวิจยั ดังแผนภาพ แผนภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดของการวจิ ยั 6. วิธีการศึกษา งานศกึ ษาชน้ิ นเี้ ปน็ การศกึ ษาวจิ ยั เชงิ สำ� รวจโดยแบบสอบถามทเี่ นน้ การเกบ็ ขอ้ มลู ความคดิ เหน็ ในเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงปริมาณอย่างเป็นรูปธรรมในประเด็น ท่ีศึกษา และสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ หรือความแตกต่างออกมาเป็นตัวเลขได้อย่างชัดเจน เกดิ ความเชอ่ื มน่ั ในการเกบ็ ขอ้ มลู และการวเิ คราะหข์ อ้ มลู อนั ทำ� ใหท้ ราบขอ้ มลู และสถานภาพทเี่ กย่ี วกบั การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั เกยี่ วกบั แนวความคดิ หลกั การและ มาตรการทางกฎหมายทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การขดั กนั แหง่ ผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) เพอ่ื นำ� ขอ้ มลู ดงั กล่าวไปใช้ประโยชนใ์ นการศึกษาเพือ่ กำ� หนดมาตรการ แนวทาง การดำ� เนนิ งาน ตลอดจนการแก้ไข และพัฒนาเพื่อลดปัญหาอุปสรรคและข้อจ�ำกัดของการรับรู้ของเจ้าหน้าท่ีรัฐในองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดเกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (conflicts of Interest) และการลดความเสี่ยงการ มีพฤติกรรมการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของเจ้าหน้าท่ีรัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐในองค์การบริหาร ส่วนจงั หวดั โดยวธิ ีการศกึ ษามี 3 ระยะ คอื
68 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปที ี่ 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มถิ ุนายน 2563) ระยะที่ 1 การศึกษาทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทฤษฎีท่ีเก่ียวข้อง กับการคอรร์ ปั ชัน แนวความคิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) และความเชื่อมโยง กบั การคอรร์ ปั ชนั กฎหมายทเ่ี กย่ี วกบั การขดั กนั แหง่ ผลประโยชนใ์ นการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ องคก์ ารบรหิ าร สว่ นจงั หวดั ของไทย งานศกึ ษาวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง แนวคดิ และทฤษฎที เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจ เพ่อื สรา้ งกรอบแนวคดิ ในการศกึ ษา การออกแบบการศึกษาวจิ ยั และการพฒั นาและทดสอบเครือ่ งมือ ในการวิจัย ระยะที่ 2 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ปฐมภูมจิ ากกลมุ่ ตัวอยา่ งของเจา้ หน้าท่รี ฐั ในองคก์ ารบรหิ าร สว่ นจงั หวัดของประเทศไทย ระยะที่ 3 การวิเคราะหแ์ ละแปลความหมายขอ้ มูลท่ไี ด้จากเก็บรวบรวมข้อมลู โดยระบุปญั หา อุปสรรคและข้อจ�ำกัดของการรับรู้และความเข้าใจของเจ้าหน้าที่รัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดเกี่ยวกับ การขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) และจัดท�ำข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไขปัญหา การสง่ เสริม หรอื สนบั สนุนให้เจา้ หนา้ ท่ีของรัฐในองคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวัดมีความร้คู วามเขา้ ใจท่ีถูกต้อง ในประเด็นของการขัดกันแหง่ ผลประโยชนต์ อ่ ไป หน่วยท่ีศึกษาของงานวิจัยช้ินนี้ คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย จากข้อมูล องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและบุคลากร ณ วันท่ี 31 มกราคม 2560, กรมส่งเสริมการปกครอง สว่ นทอ้ งถนิ่ กระทรวงมหาดไทย พบวา่ มจี ำ� นวนองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั 76 แหง่ มจี ำ� นวนบคุ ลากร ทั้งสิ้น 24,096 คน แบ่งเป็นบุคลากรฝา่ ยการเมืองและฝ่ายประจำ� ดงั ตารางท่ี 1 และตารางท่ี 2 ตารางท่ี 1 จ�ำนวนบคุ ลากรฝ่ายการเมอื ง จำ�นวน 70 ที่ ตำ�แหน่ง 150 1 นายกองค์การบริหารสว่ นจังหวัด 2,256 2 รองนายกองค์การบรหิ ารส่วนจังหวัด 2,476 3 สมาชิกสภาองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั รวม ตารางที่ 2 จำ� นวนบุคลากรฝ่ายประจำ� ที่ ตำ�แหนง่ จำ�นวน 1 ขา้ ราชการ/พนกั งานสว่ นทอ้ งถ่ิน 9,217 2 ลกู จา้ งประจำ� 1,348 3 พนักงานจา้ ง 11,055 รวม 21,620 ท่มี า: ข้อมูลองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ และบคุ ลากร ณ วนั ที่ 31 มกราคม 2560, กรมสง่ เสริมการปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ กระทรวงมหาดไทย
การสำ� รวจการรบั รู้และความเขา้ ใจดา้ นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 69 ของเจา้ หนา้ ท่ีรัฐในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัดของประเทศไทย เมอ่ื แบง่ ขนาดหรอื กลมุ่ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทย ตามฐานขอ้ มลู สารสนเทศ ขอ้ มลู ดา้ นการเงนิ การคลงั ทอ้ งถนิ่ สำ� นกั บรหิ ารคลงั ทอ้ งถน่ิ กรมสง่ เสรมิ การปกครองทอ้ งถนิ่ กระทรวง มหาดไทย โดยพจิ ารณาจากรายได้ในปงี บประมาณ พ.ศ. 2559 คอื (1) รายได้จัดเกบ็ เองของ อบจ. (2) รายได้รัฐจัดสรรของ อบจ. และ (3) รายไดเ้ งินอุดหนนุ ของ อบจ. สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขนาด คอื อบจ. ขนาดใหญ:่ อบจ. ทมี่ รี ายไดร้ วมจากเกณฑก์ ารพจิ ารณามากกวา่ 1,000 ลา้ นบาท ขนาดกลาง และขนาดเลก็ ขนาดกลาง: อบจ. ทมี่ รี ายไดร้ วมจากเกณฑก์ ารพจิ ารณารายไดร้ ะหวา่ ง 501 - 999 ลา้ นบาท อบจ. ขนาดเล็ก: อบจ. ทม่ี รี ายได้รวมจากเกณฑก์ ารพจิ ารณารายได้รายไดต้ ำ่� กว่า 500 ล้านบาท 1) ประชากรและกล่มุ เป้าหมาย ประชากร ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ นี้ คอื บคุ ลากรฝา่ ยการเมอื ง (ประกอบดว้ ย นายกองคก์ ารบรหิ าร สว่ นจงั หวดั รองนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั และสมาชกิ สภา) และบคุ ลากรฝา่ ยประจำ� (ประกอบดว้ ย ข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถ่ิน ลูกจ้างประจ�ำ และพนักงานจ้าง) ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด 76 แห่ง จำ� นวนทั้งสนิ้ 24,096 คน (กรมส่งเสรมิ การปกครองทอ้ งถ่ิน, 2560) กลมุ่ ตวั อยา่ ง กำ� หนดขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ งทเี่ หมาะสมโดยใชส้ ตู รของ Taro Yamane (1967: 886-887) จากจำ� นวนประชากร 24,096 คน เมือ่ ก�ำหนดความคลาดเคล่อื นที่ยอมรับไดเ้ ท่ากับ 0.05 ได้ขนาดตวั อย่าง ดังนี้ โดยท่ี N คือ ขนาดของประชากร n= N 1 + Ne2 n คือ ขนาดของกลุม่ ตัวอยา่ ง e คือ คา่ ความน่าจะเป็นของความผิดพลาดท่ียอมรับใหเ้ กดิ ได้ มคี า่ เท่ากบั 0.05 เมื่อคำ� นวณขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จะได้ n = 393.47 คน 2) การสุ่มตัวอย่าง การส�ำรวจการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ของเจ้าหน้าที่รัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย ได้ท�ำการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัดทง้ั 76 แห่ง แห่งละ 15 คน เพ่ือความเป็นตัวแทน ทด่ี ตี ามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั และเพอ่ื ความสะดวกในการขอความรว่ มมอื เพอื่ ดำ� เนนิ การเกบ็ ขอ้ มลู ไปยังนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั้ง 76 แห่ง ซ่ึงจ�ำนวนแบบสอบถามท่ีได้รับตอบกลับมาและ มีความสมบูรณ์ครบถว้ น มีจ�ำนวนทัง้ ส้ิน 921 คน
70 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีท่ี 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 3) เครอื่ งมือการวจิ ยั เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) โดยคณะผู้วิจัยได้สร้าง เครื่องมือส�ำหรับใช้ในการศึกษาวิจัยกรอบแนวคิดในการส�ำรวจและผังค�ำถามของเคร่ืองมือการวิจัย ที่ก�ำหนดไว้ โดยจ�ำแนกเป็น 4 ส่วน คอื สว่ นที่ 1 แบบสอบถามขอ้ มลู ทว่ั ไป เปน็ การสอบถามขอ้ มลู สว่ นบคุ คลของผตู้ อบแบบสอบถาม มีทั้งส้ิน 5 ข้อ ประกอบด้วย อายุ เพศ ระดับการศึกษา ต�ำแหน่งหน้าท่ีในปัจจุบัน และระยะเวลา การทำ� งาน โดยใหผ้ ู้ตอบเลือกค�ำตอบจากรายการท่ีก�ำหนดใหแ้ ละเตมิ คำ� ตอบตามความเป็นจริง ส่วนที่ 2 แบบสำ� รวจการรบั รแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นการขดั กันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) มีทั้งส้ิน 25 ข้อ ซ่ึงคณะผู้วิจัยได้สร้างข้อค�ำถามและจ�ำแนกตามกรอบแนวคิดของนิยาม เชิงปฏิบัติการ โดยแบ่งเป็นการรับรู้เกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) จ�ำนวน 10 ขอ้ คำ� ถาม และความเข้าใจดา้ นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) ตาม องคป์ ระกอบ 3 องค์ประกอบ คอื องคป์ ระกอบท่ี 1 การรบั รแู้ ละความเข้าใจเกี่ยวกบั ผลประโยชน์สว่ นตัว (Private or Personal Interest) มี 5 ขอ้ คำ� ถาม องคป์ ระกอบที่ 2 การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจเกีย่ วกับ การปฏิบัติหน้าท่ีที่ก�ำหนดอย่างเป็นทางการ (Public or Official Duty) มี 5 ข้อค�ำถาม และ องคป์ ระกอบท่ี 3 การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจเกย่ี วกบั การขดั แยง้ ในผลประโยชนส์ ว่ นตวั และสว่ นรวม มี 5 ขอ้ คำ� ถาม สว่ นที่ 3 แบบสำ� รวจความสนใจเกยี่ วกบั การขัดกนั แห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) มีทั้งส้ิน 5 ข้อ ซึ่งเป็นแบบส�ำรวจเกี่ยวกับการศึกษาองค์ความรู้ หรือเข้าร่วมในโครงการ/กิจกรรม ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การขดั กนั แหง่ ผลประโยชนใ์ นแหล่งขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการสร้างความเขา้ ใจ ในประเด็นดงั กลา่ วของผตู้ อบแบบสอบถาม ส่วนท่ี 4 เปน็ ข้อคำ� ถามปลายเปิด (Open-Ended Questionnaire) ใหผ้ ตู้ อบแบบสอบถาม ไดเ้ สนอขอ้ คดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั แนวทางการพฒั นาการรบั รแู้ ละความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การขดั กันแหง่ ผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) โดยการตรวจสอบความเชอื่ มน่ั ของเครอ่ื งมอื (Reliability) โดยการนำ� เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ไปทดลองใช้ (Tryout) กบั ประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอยา่ งทม่ี ีลักษณะใกล้เคยี งกับกลุ่มตวั อย่าง จำ� นวน 30 คน โดยใชว้ ิธกี ารหาค่าสัมประสทิ ธแิ์ อลฟา (Alpha Coefficient) ของครอนบัค (Cronbach) ซ่ึงค่า สมั ประสิทธิแ์ อลฟาของครอนบคั มคี ่าอยูร่ ะหว่าง 0 ถงึ 1 หากผลการทดสอบไดค้ า่ สมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟา ของครอนบคั ใกล้ค่า 1 มาก แสดงวา่ มีความเชอ่ื ม่ันในระดบั สงู (Fisher & Corcoran, 1994) ผลการตรวจสอบความเช่ือม่ันของเคร่ืองมือ (Reliability) พบว่า แบบสอบถามทั้งฉบับมีค่า ความเช่อื ม่นั เทา่ กับ 0.915 ซึ่งมคี ่าความเชือ่ มั่นในระดบั สงู จงึ สามารถน�ำแบบสอบถามไปใช้เก็บขอ้ มูล ได้จริง และผู้วิจัยได้ท�ำการตรวจสอบความเชื่อมั่นของเคร่ืองมือแยกตามองค์ประกอบการวัดการรับรู้ และความเข้าใจด้านความขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) โดยมีผลการทดสอบ ความเชือ่ มั่นของแบบสอบถาม ดงั น้ี
การสำ� รวจการรบั รูแ้ ละความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 71 ของเจ้าหนา้ ทรี่ ัฐในองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทย แบบสอบถามเก่ียวกับการรับรู้เกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) มคี า่ ความเช่อื มน่ั เท่ากบั 0.913 แบบสอบถามเก่ียวกับความเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว (Private or Personal Interest) มีค่าความเช่ือมั่นเท่ากบั 0.853 แบบสอบถามเกี่ยวกับความเข้าใจเก่ียวกับการปฏิบัติหน้าท่ีท่ีก�ำหนดอย่างเป็นทางการ (Public or Official Duty) มีคา่ ความเช่อื ม่นั เทา่ กับ 0.875 แบบสอบถามเกยี่ วกบั ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั การขดั กนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตวั และสว่ นรวม มีค่าความเชอ่ื ม่ันเท่ากับ 0.736 4) วิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การวจิ ัยน้ี ใช้วธิ ีการเก็บขอ้ มลู แบบการตอบแบบสอบถามด้วยตนเอง (Self – Administered Questionnaire Survey) เนอ่ื งจากการเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยวธิ ดี งั กลา่ วทำ� ใหผ้ ตู้ อบแบบสอบถามไมต่ อ้ งแสดงตน ซึ่งจะท�ำให้สามารถตอบแบบสอบถามสะท้อนสภาพการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่ง ผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ของเจ้าหน้าที่รัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดอย่างแท้จริง โดยผู้วิจัยจะท�ำหนังสือขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลในการวิจัยไปยังนายกองค์การบริหารส่วน จงั หวัดทง้ั 76 แหง่ และส่งแบบสอบถามกลับทางไปรษณีย์ 5) การวิเคราะหข์ อ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถาม ผู้วิจัยจะด�ำเนินการตรวจความสมบูรณ์ของ แบบสอบถามทั้งหมดแล้วน�ำแบบสอบถามที่สมบูรณ์ทั้งหมดมาประมวลผลด้วยวิธีทางสถิติ โดย ใชค้ า่ สถติ ใิ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล ดังน้ี 1) การวิเคราะห์ขอ้ มูลทวั่ ไปของกลมุ่ ตวั อยา่ ง และความสนใจเกีย่ วกบั การขัดกันแหง่ ผลประโยชน์ (Conflict of Interest) โดยการแจกแจงความถี่ (Frequency) และคา่ ร้อยละ (Percentage) 2) การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดา้ นการรบั รู้ และความเขา้ ใจดา้ นการขดั กนั แหง่ ผลประโยชน์ (Conflict of Interest) โดยการแจกแจงความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) แบบสอบถาม ในส่วนนใี้ ห้เลอื กตอบเพียงคำ� ตอบเดียวจากทัง้ หมด 3 คำ� ตอบ คอื เปน็ ไม่เปน็ และไม่แนใ่ จ ทัง้ น้ี ค�ำตอบ ที่ถูกต้องของทุกข้อค�ำถาม คือ “เป็น” ซึ่งการวิเคราะห์การรับรู้ และความเข้าใจด้านการขัดกัน แห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ไดแ้ บง่ การวิเคราะห์เปน็ 2 สว่ น คือ ส่วนท่ี 1 การวิเคราะห์ข้อมูลด้านการรับรู้ และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ในภาพรวม โดยหากกลุ่มตัวอย่างตอบค�ำตอบ “เป็น” จึงจะน�ำมาค�ำนวณ การรับรู้และความเข้าใจ โดยมีเกณฑ์การวัดระดับการรับรู้และความเข้าใจเก่ียวกับการขัดกัน แห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) ดงั น้ี เกณฑ์การวัดระดับการรับรู้เกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) ของเจ้าหนา้ ที่รฐั ในองค์การบริหารส่วนจังหวดั ของประเทศไทย แบ่งออกดังน้ี
72 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ี่ 13 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) ระดับน้อย หมายถึง การรับรู้น้อยกว่าร้อยละ 40 (จ�ำนวนค�ำตอบ “เป็น” รวมอยู่ระหว่าง 0 - 3 ข้อ) ระดบั ปานกลาง หมายถงึ การรับรรู้ ะหวา่ งรอ้ ยละ 40 - 60 (จ�ำนวนคำ� ตอบ “เปน็ ” รวมอยู่ ระหว่าง 4 - 6 ข้อ) ระดับมาก หมายถงึ การรับรู้มากกวา่ รอ้ ยละ 60 (จ�ำนวนคำ� ตอบ “เปน็ ” รวมอยรู่ ะหวา่ ง 7 - 10 ขอ้ ) เกณฑ์การวัดระดับความเข้าใจด้านความขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) ของเจา้ หนา้ ที่รฐั ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัดของประเทศไทย แบง่ ออกดังนี้ ระดับนอ้ ย หมายถึง ความเขา้ ใจนอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 40 (จำ� นวนคำ� ตอบ “เป็น” รวมอยูร่ ะหวา่ ง 0 - 5 ขอ้ ) ระดบั ปานกลาง หมายถึง ความเข้าใจระหวา่ งร้อยละ 40-60 (จำ� นวนคำ� ตอบ “เป็น” รวมอยู่ ระหวา่ ง 6 - 9 ขอ้ ) ระดบั มาก หมายถงึ ความเขา้ ใจมากกว่าร้อยละ 60 (จำ� นวนค�ำตอบ “เปน็ ” รวมอยูร่ ะหวา่ ง 10 - 15 ขอ้ ) ส่วนท่ี 2 การวิเคราะห์ข้อมูลด้านการรับรู้ และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) เปน็ รายขอ้ ค�ำถาม ในการวิเคราะหส์ ่วนน้ีผ้วู ิจัยไดแ้ บง่ การวเิ คราะหอ์ อกเป็น กลมุ่ ตัวอย่างท่ีตอบคำ� ตอบ “เป็น” และ “ไมเ่ ปน็ ” และกล่มุ ตัวอยา่ งทต่ี อบคำ� ตอบ“ไม่แน่ใจ” 3) การทดสอบความสมั พันธร์ ะหวา่ งการรับรแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นการขัดกันแหง่ ผลประโยชน์ (Conflict of Interest) กับตัวแปรอิสระ สถิตทิ ีใ่ ช้ คอื Chi-square 4) ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากขอ้ คดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั แนวทางการพฒั นาการรบั รแู้ ละ ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การขดั กนั แหง่ ผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) จากกลมุ่ ตวั อยา่ ง โดยจดั กลมุ่ แตล่ ะเร่ืองในหมวดหมู่เดียวกนั 7. ผลการศกึ ษา การส�ำรวจการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทย ไดด้ ำ� เนนิ การเกบ็ ขอ้ มลู จากเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั ในองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทั้ง 76 แห่ง ด้วยการส่งไปรษณีย์ จ�ำนวน 1,125 ฉบับ ซึ่งจ�ำนวน แบบสอบถามท่ีสามารถจัดเก็บได้ ท้ังสิ้นจ�ำนวน 983 คน อัตราการตอบกลับคิดเป็นร้อยละ 87.38 โดยมแี บบสอบถามทสี่ มบรู ณค์ รบถว้ นทส่ี ามารถน�ำมาวเิ คราะหไ์ ด้ทง้ั สิน้ จำ� นวน 921 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 93.69 ของข้อมลู การตอบกลับท้ังหมด
การส�ำรวจการรบั รู้และความเขา้ ใจดา้ นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 73 ของเจ้าหน้าทร่ี ฐั ในองค์การบริหารสว่ นจังหวัดของประเทศไทย กลมุ่ ตวั อย่างที่ศกึ ษาเปน็ เพศชาย รอ้ ยละ 57.44 และเพศหญิง ร้อยละ 42.56 โดยอายขุ อง กลุ่มตัวอยา่ งส่วนใหญอ่ ยรู่ ะหวา่ ง 51 – 60 ปี รองลงมามีอายุระหว่าง 41 – 50 ปี ดา้ นระดบั การศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับการศึกษาส่วนใหญ่ คือ ปริญญาโทหรือเทียบเท่าหรือสูงกว่า รองลงมา คอื ปรญิ ญาตรหี รอื เทยี บเทา่ สว่ นตำ� แหนง่ หนา้ ทใ่ี นปจั จบุ นั พบวา่ สว่ นมากเปน็ ผบู้ รหิ ารองคก์ ารบรหิ าร ส่วนจังหวัดหรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองลงมาเป็นข้าราชการองค์การบริหารส่วน จังหวัดระดับผู้บริหาร (ผู้อ�ำนวยการกอง/หัวหน้าฝ่าย/หัวหน้างาน) ท้ังน้ี กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มรี ะยะเวลาในการทำ� งานทอ่ี งคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั สว่ นใหญต่ ำ�่ กวา่ 5 ปี และรองลองมาคอื ระหวา่ ง 6 - 10 ปี เจ้าหน้าท่ีองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทยมีการรับรู้เกี่ยวกับการขัดกัน แห่งผลประโยชน์ในภาพรวม ในระดับปานกลาง คดิ เป็นรอ้ ยละ 52.89 ส่วนการศึกษาความเข้าใจเก่ียวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี วามเขา้ ใจเก่ียวกบั การขดั กนั แหง่ ผลประโยชนใ์ นภาพรวม ในระดับปานกลาง คดิ เป็น ร้อยละ 46.09 โดยเม่ือแยกวิเคราะห์รายมิติ พบว่า มิติด้านความเข้าใจเก่ียวกับผลประโยชน์ส่วนตัว (Private or Personal Interest) กลมุ่ ตวั อย่างมคี วามเขา้ ใจในระดบั ปานกลาง คิดเปน็ รอ้ ยละ 45.20 มิติด้านความเข้าใจเก่ียวกับการปฏิบัติหน้าที่ที่ก�ำหนดอย่างเป็นทางการ (Public or Official Duty) กลุ่มตัวอย่างมีความเข้าใจในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 45.40 และมิติด้านความเข้าใจเก่ียวกับ การขัดแยง้ ในผลประโยชน์สว่ นตัวและสว่ นรวม กล่มุ ตวั อย่างมคี วามเข้าใจในระดบั ปานกลางมากทส่ี ดุ คดิ เปน็ ร้อยละ 47.68 กลมุ่ ตวั อยา่ งสว่ นใหญเ่ คยศกึ ษาขอ้ มลู องคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 มากท่สี ุด คิดเปน็ รอ้ ยละ 43.21 รองลงมาคือ เคยเข้าร่วมกิจกรรม สัมมนา การอบรมองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบ รฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. 2542 มาตรา 100 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 38.33 ขณะทเี่ คยใช้งานแอปพลเิ คชัน มาตรา 100 และมาตรา 103 ของส�ำนักงาน ป.ป.ช. นอ้ ยทีส่ ุด คดิ เปน็ ร้อยละ 11.51 การศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการรบั รกู้ บั ตวั แปรอสิ ระ พบวา่ ระดบั การศกึ ษา ตำ� แหนง่ หนา้ ท่ี ในปจั จบุ นั ระยะเวลาในการทำ� งานทอี่ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั และขนาดองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั มคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ กิ บั การรบั รเู้ กยี่ วกบั การขดั กนั แหง่ ผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) และการศกึ ษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความเขา้ ใจด้านการขดั กันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) กบั ตวั แปรอสิ ระ พบวา่ ระดบั การศกึ ษา ตำ� แหนง่ หนา้ ทใ่ี นปจั จบุ นั ระยะเวลาในการทำ� งาน ทอ่ี งคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั และขนาดองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั มคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทาง สถิติกับความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) โดยการศึกษาข้อมูล องคค์ วามรเู้ กีย่ วกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) การเขา้ รว่ มกิจกรรม สมั มนา
74 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ี่ 13 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) การอบรมองค์ความรู้เกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) ส่งผลต่อระดับ การรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีข้อคิดเห็นและ ข้อเสนอแนะว่า แนวทางการพัฒนาการรับรู้และความเข้าใจเก่ียวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์น้ัน ควรสง่ เสริมและสนับสนนุ ใหม้ กี ารพฒั นาและสรา้ งการรบั รู้และความเข้าใจโดยผ่านการอบรม/สมั มนา ให้ความรแู้ กน่ ักเรยี น/นกั ศึกษาในสถานการศึกษา การจดั ท�ำคู่มอื สอ่ื ประชาสมั พนั ธท์ เ่ี ขา้ ใจงา่ ย อาทิ คลิปวิดีโอการ์ตูนผ่าน Social Media รวมท้ังการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีจิตอาสาการป้องกัน การขัดกนั แหง่ ผลประโยชน์ในสงั คมทอ้ งถิ่น 8. การอภปิ รายผล จากผลการศึกษาคณะผู้วิจัยมีข้อคน้ พบที่สำ� คญั ดงั น้ี 8.1 ความเช่ือมโยงระหว่างการรับรู้ ความเข้าใจ และความสนใจด้านการขัดกันแห่ง ผลประโยชน์: ในภาพรวมกลุ่ม ตวั อย่างมีการรับรแู้ ละความเขา้ ใจในระดบั ปานกลาง และมคี วามสนใจ เกย่ี วกบั ดา้ นการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนไ์ มถ่ งึ กง่ึ หนงึ่ คอื รอ้ ยละ 43.21 ถอื วา่ เปน็ ระดบั ทนี่ อ้ ยมาก เมอื่ พจิ ารณาจากตวั เลขผลการศกึ ษา (การรบั รฯู้ เพยี งรอ้ ยละ 52.89 และมคี วามเขา้ ใจฯ เพยี งรอ้ ยละ 46.09) การด�ำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนและส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การให้ข้อมูล องค์ความรู้ที่เก่ียวข้องยังไม่สัมฤทธิผลในกลุ่มองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งอาจต้องการปรับปรุง เปล่ียนแปลง ปรับทิศทางการด�ำเนินงานของหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ซ่ึงเม่ือการรับรู้เกี่ยวกับการขัดกัน แห่งผลประโยชน์มีน้อยก็ส่งผลถึงความเข้าใจต่อตัวข้อมูล องค์ความรู้ และกฎหมายท่ีเกี่ยวกับ การขดั กันแห่งผลประโยชน์ซ่ึงเปน็ เร่ืองท่ีคอ่ นข้างซบั ซอ้ น ตอ้ งอาศยั ระยะเวลาทำ� ความเขา้ ใจ ผลลัพธ์ สดุ ทา้ ย เมอ่ื ประชาชนขาดความสนใจ การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจกม็ นี อ้ ย กอ็ าจสง่ ผลใหก้ รณหี รอื พฤตกิ รรม ท่ีเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ที่สามารถพบเห็นได้ท่ัวไปอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ สามารถ ประพฤติและปฏิบัติได้ และเช่ือมโยงไปสู่ความสุ่มเสียงต่อการกระท�ำอาจเข้าข่ายการขัดกัน แหง่ ผลประโยชน์ รวมถึงอาจนำ� ไปสู่การกระทำ� การทุจรติ เกิดขึ้นตามมา 8.2 ความเชื่อมโยงในแต่ละมิติของระดับความเข้าใจด้านการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ ของเจา้ หน้าที่รฐั ในองคก์ ารบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย: ผลการสำ� รวจความเข้าใจในแตล่ ะมติ ิกลุม่ ตัวอย่างมีความเข้าใจในระดับปานกลาง แต่เม่ือพิจารณารายละเอียดตามรายมิติที่กลุ่มตัวอย่างเข้าใจ จะพบวา่ ในแตล่ ะมิติกลมุ่ ตัวอยา่ งมคี วามเข้าใจในระดบั ปานกลางแต่ไมถ่ ึงกง่ึ หนง่ึ ในทุกมิติ ทง้ั แนวคดิ พ้นื ฐานวา่ อะไรเป็นการกระทำ� ทเ่ี ป็นผลประโยชนส์ ่วนตวั และการกระท�ำใดอยรู่ ะหวา่ งเปน็ การปฏิบัติ หนา้ ทต่ี ามตำ� แหนง่ ท่ขี องเจ้าหนา้ ทีร่ ัฐ และการกระทำ� ใดทีเ่ ป็นการขัดแยง้ ในผลประโยชน์ หมายความวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งสามารถแยกเรอ่ื งสว่ นตวั ผลประโยชนส์ ว่ นตวั ออกจากการปฏบิ ตั หิ นา้ ทอ่ี ยา่ งเปน็ ทางการ/ เร่ืองส่วนรวมได้ และสามารถมีความเข้าใจว่าการกระท�ำใดเป็นการขัดแย้งในผลประโยชน์ในระดับ ปานกลาง แต่ไม่ถงึ รอ้ ยละ 50 ซ่งึ ท้ังแนวคิดพื้นฐานวา่ อะไรเป็นการกระทำ� ที่เป็นผลประโยชนส์ ่วนตวั และการกระท�ำใดอยู่ระหว่างเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีตามต�ำแหน่งท่ีของเจ้าหน้าท่ีรัฐ และการกระท�ำใด
การสำ� รวจการรบั รู้และความเข้าใจดา้ นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 75 ของเจ้าหน้าทร่ี ัฐในองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทย ที่เป็นการขัดแย้งในผลประโยชน์ เป็นแนวความคิดพื้นฐานท่ีจ�ำเป็นต่อความเข้าใจด้านการขัดกัน แห่งผลประโยชน์ในระดับกรณีการกระท�ำหรือพฤติกรรมท่ีซับซ้อนตามมา ถึงแม้จะมีความเข้าใจในระดับ ปานกลาง การทมี่ คี วามเขา้ ใจในระดับปานกลางแต่ในรายละเอียดยังมีถึงรอ้ ยละ 50 จึงมคี วามสำ� คญั และควรให้ความสำ� คญั เปน็ อยา่ งยิ่งในการเรง่ สร้างความเข้าใจต่อองค์ความรูด้ งั กลา่ วใหเ้ กนิ รอ้ ยละ 50 ที่เมื่อสามารถมีความเข้าใจในแนวคิดพ้ืนฐานของการขัดกันแห่งผลประโยชน์แล้วก็จะส่งผลต่อ ความเข้าใจกรณีท่ีเป็นการขัดกันแห่งประโยชน์ตามมา กรณีท่ีเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ก็จะสามารถมี ความเข้าใจได้เกือบทกุ กรณี ไม่เฉพาะกรณีทเี่ ปน็ การขัดกนั แหง่ ผลประโยชน์ทช่ี ดั แจง้ เท่าน้นั นอกจากนี้ การทม่ี ติ ดิ า้ นความเขา้ ใจเกย่ี วกบั การปฏบิ ตั หิ นา้ ทที่ ก่ี ำ� หนดอยา่ งเปน็ ทางการ และ มิติด้านความเข้าใจเก่ียวกับผลประโยชน์ส่วนตัว มีความเข้าใจน้อยกว่ามิติการขัดแย้งในผลประโยชน์ ยงั สะทอ้ นวา่ พฤตกิ รรมบางอยา่ งของกลมุ่ ตวั อยา่ งอาจเปน็ การปฏบิ ตั หิ รอื มพี ฤตกิ รรมทค่ี นุ้ ชนิ จนกระทงั่ คิดว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่น่าจะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทั้งที่การแยกได้ว่าการกระท�ำใดคือ ผลประโยชน์ส่วนตัว และการกระท�ำใดคือผลประโยชน์ส่วนรวม/การปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นข้อบ่งชี้/องค์ประกอบพ้ืนฐานของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และน�ำมาสู่พฤติกรรมการขัดแย้ง ในผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวมตามมา 8.3 รายประเดน็ การสำ� รวจระดบั การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นการขดั กนั ระหวา่ งผลประโยชน์ ของเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทย: จากผลการสำ� รวจการพจิ ารณาประเดน็ รายข้อค�ำถาม จะพบว่าในการเร่งเสริมสร้างการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ของกลุ่มตัวอย่างในองค์การบริหารส่วนจังหวัด ควรมุ่งเน้นการการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ในประเดน็ ทม่ี คี วามเขา้ ใจนอ้ ย กลา่ วคอื ควรเรง่ สรา้ งการรบั รดู้ า้ นการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนใ์ นประเดน็ ทเี่ ปน็ การขดั กนั แหง่ ผลประโยชนท์ เ่ี ปน็ การขดั กนั โดยออ้ ม และคอ่ นขา้ งเปน็ ผลประโยชนท์ เ่ี ปน็ นามธรรม นอกเหนือเป็นผลจากการแสวงหาผลประโยชน์โดยตรง และมีลักษณะนามธรรม ขณะที่ในด้านความ เข้าใจควรมุ่งสร้างความเข้าใจในประเด็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ที่มีลักษณะที่เจ้าหน้าที่รัฐได้รับ ผลประโยชนต์ อบแทนหรอื แลกเปลย่ี นผลประโยชนใ์ นรปู แบบทคี่ อ่ นขา้ งเปน็ นามธรรม ใชอ้ ำ� นาจหนา้ ที่ หรืออาศัยอ�ำนาจหน้าท่ีตามที่ตนมีอ�ำนาจกระท�ำการที่อาจเข้าข่ายเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ นอกเหนือช่วงเวลาท�ำงาน และการอาศัยอ�ำนาจตามต�ำแหน่งหน้าท่ีเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์กับหน่วยงาน หรือบุคคลภายนอก ซึ่งสะท้อนว่าบุคคลจะมีการรับรู้และความเข้าใจน้อยในประเด็นท่ีมีลักษณะนามธรรม และอยนู่ อกเหนอื ขอบเขตแบบแผนการประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน็ ปกตปิ ระจำ� ทซ่ี ง่ึ การขดั กนั แหง่ ประโยชน์ มีแนวโน้มทจี่ ะมีการกระท�ำท่ีซบั ซอ้ น และหลากหลายมากขนึ้ 8.4 ลกั ษณะกลมุ่ ตวั อยา่ งกบั ระดบั การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นการขดั กนั ระหวา่ งผลประโยชน์ ของเจ้าหน้าท่ีรัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย: จากลักษณะกลุ่มตัวอย่างข้างต้น ในการสรา้ งการรบั รแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนข์ องเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั ในองคก์ ารบรหิ าร สว่ นจงั หวัดท่ีผ่านมานั้น สามารถสรา้ งการรับรใู้ นระดบั ปานกลาง แต่มากกวา่ รอ้ ยละ 50 ไมม่ าก และ มีความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ในระดับปานกลาง แต่ต่�ำกว่าร้อยละ 50 ซึ่งควรมีการ
76 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มถิ ุนายน 2563) สง่ เสรมิ และใหค้ วามสำ� คญั ในการสรา้ งการรบั รแู้ ละความเขา้ ใจเปน็ อยา่ งยงิ่ เนอื่ งจากระดบั การรบั รแู้ ละ ความเข้าใจไม่มาก ในส่วนกลุ่มที่ควรเร่งด�ำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างการรับรู้และความ เขา้ ใจอนั ดบั แรกคอื ในกลมุ่ เปา้ หมายทรี่ ะดบั การศกึ ษานอ้ ย ตำ� แหนง่ หนา้ ทไ่ี มส่ งู มรี ะยะเวลาการทำ� งาน ไม่มาก ซ่งึ ก็คือเจา้ หนา้ ท่รี ฐั ระดับปฏบิ ตั งิ านเปน็ ส่วนใหญ่ 8.5 ขนาดขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกับระดับการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกัน ระหว่างผลประโยชน์ของเจ้าหน้าท่ีรัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย และสถิติการ รอ้ งเรยี น: กลมุ่ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ขนาดกลางและขนาดเลก็ แมว้ า่ จะมรี ายไดร้ วมไมม่ าก (ตามเกณฑ์ ที่ก�ำหนด) แต่ก็ได้รับความสนใจและให้ความส�ำคัญในการรับรู้และเข้าใจในประเด็นที่อาจเข้าข่าย การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งอาจส่งผลให้มีการกระท�ำที่เข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์น้อย เมอ่ื พจิ ารณาการถกู รอ้ งเรียนวา่ กระทำ� การทจุ รติ ระหว่างปี พ.ศ. 2559 - 2561 ประกอบ ซึ่งนอ้ ยกว่า องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ขนาดเลก็ ทม่ี จี ำ� นวน เรือ่ งถูกร้องเรียนเพียง 35 เร่อื ง ซง่ึ อาจสะทอ้ นได้วา่ การมีระดบั การรบั รู้และความเขา้ ใจที่มากส่งผลให้ มีจ�ำนวนเรื่องร้องเรียนว่ากระท�ำการทุจริตท่ีน้อยตามมา ในขณะเดียวกัน หากมีการขัดกันแห่ง ผลประโยชนข์ องกลมุ่ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ขนาดกลางและขนาดเลก็ เกดิ ขน้ึ มลู คา่ ความเสยี หายของ ราชการจากรายไดข้ องรฐั อาจไมส่ งู มากเมอื่ พจิ ารณาตามรายไดร้ วมตามเกณฑท์ ก่ี ำ� หนด แตส่ ง่ิ ทน่ี า่ เปน็ ห่วงและควรเร่งให้ความส�ำคัญในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ คอื กลุ่มองคก์ ารบริหารส่วนจังหวัดขนาดใหญท่ ีม่ ีระดบั การรับร้แู ละความเข้าใจสว่ นใหญ่ในระดับน้อย ประกอบกบั มีสถิตกิ ารรอ้ งเรยี นการกระทำ� การทุจรติ ในปี พ.ศ. 2559 – 2561 ถึงจ�ำนวน 96 เรื่อง ซ่งึ สะทอ้ นวา่ การมรี ะดบั การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจทน่ี อ้ ยสง่ ผลใหม้ จี ำ� นวนเรอื่ งรอ้ งเรยี นวา่ กระทำ� การทจุ รติ ท่ีมาก และหากมีการกระท�ำการขัดกันแห่งผลประโยชน์รวมถึงมีการกระท�ำการทุจริตเกิดข้ึนก็ย่อม ส่งผลตอ่ มูลคา่ ความเสียหายของราชการท่ีมากและรา้ ยแรงตามมา 8.6 ความไม่แน่ใจในรายประเด็นของการส�ำรวจกับการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกัน แหง่ ผลประโยชนข์ องเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทย: การทกี่ ลมุ่ ตวั อยา่ งมกี าร ตอบ “ไม่แน่ใจ” ในประเด็นข้อค�ำถามบางข้อค�ำถามมาก เมื่อพิจารณาจะพบว่าข้อค�ำถามดังกล่าว เปน็ ประเดน็ ใหมข่ องการขัดกนั แหง่ ผลประโยชน์ รวมถึงบางประเด็นเปน็ ประเดน็ ทีม่ คี วามซับซอ้ น คอ่ นข้าง ยาก ที่ต้องอาศัยความสนใจ ทราบข้อมูล รวมถึงต้องอาศัยความเข้าใจในแนวความคิดพ้ืนฐานจนถึง ความเข้าใจในองค์ความรู้ที่ซับซ้อนตามมา ซึ่งข้อค�ำถามดังกล่าวส่งผลต่อการรับรู้และความเข้าใจ จงึ ควรตอ้ งมกี ารมงุ่ เนน้ ในการสรา้ งการรบั รแู้ ละความเขา้ ใจ หรอื เผยแพรแ่ ละประชาสมั พนั ธใ์ นประเดน็ การขัดกันแหง่ ผลประโยชนท์ ่เี ปน็ ประเด็นใหม่ และมีความซบั ซอ้ นและค่อนข้างยากด้วย 8.7 มติ ทิ างวฒั นธรรมกบั การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนข์ องเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย: การรับรู้และความเข้าใจด้านขัดกันแห่งผลประโยชน์ ของกลมุ่ ตวั อยา่ งจะเปน็ การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นขดั กนั แหง่ ผลประโยชนท์ เี่ หน็ ชดั แจง้ เปน็ รปู ธรรม
การส�ำรวจการรับรู้และความเข้าใจดา้ นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 77 ของเจา้ หน้าท่ีรัฐในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทย และเปน็ การขดั กนั แหง่ ผลประโยชนโ์ ดยตรง สามารถพบเหน็ การกระทำ� ดงั กลา่ วไดโ้ ดยงา่ ยในการดำ� เนนิ ชีวิต หากมีกรณีการกระท�ำการขัดกันแห่งผลประโยชน์เกิดขึ้น กลุ่มตัวอย่างมักรับรู้ว่าการกระท�ำ ดังกล่าวเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ขณะท่ีกรณีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ที่กลุ่มตัวอย่างมีการ รับรู้น้อยและมีความไม่แน่ใจน้ัน จะเห็นได้ว่าเป็นรูปแบบและลักษณะการขัดกันแห่งผลประโยชน์ท่ี ไมช่ ดั แจง้ มลี กั ษณะนามธรรม แมส้ ามารถพบเหน็ การกระทำ� ดงั กลา่ วไดโ้ ดยงา่ ยในการดำ� เนนิ ชวี ติ แตก่ ลมุ่ ตวั อยา่ งกลบั รบั รแู้ ละมคี วามเขา้ ใจวา่ กรณดี งั กลา่ วไมเ่ ปน็ การขดั กนั แหง่ ผลประโยชนห์ รอื มคี วามไมแ่ นใ่ จ ซึ่งเมอ่ื พจิ ารณาในรายละเอียดจะพบวา่ การท�ำงานพิเศษ การท�ำงานหลังจากออกจากต�ำแหน่งหนา้ ท่ี สาธารณะหรอื เกษยี ณ การรบั ของขวญั หรอื ความสะดวกสบาย การใชอ้ ำ� นาจหรอื อทิ ธพิ ลเพอื่ ประโยชน์ ต่อตนเองและเครือขา่ ย ต่างมคี วามสอดรบั กับมิติวฒั นธรรมของไทยที่เอ้ือหรอื อาจส่งผลตอ่ การขัดกนั แหง่ ผลประโยชน์ อาทิ ระบบเครอื ญาตหิ รอื พวกพอ้ งทส่ี ภาพสงั คมคาดหวงั วา่ จะชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั การให้ของขวัญ ของก�ำนัล หรือความสะดวกสบายเพ่ือสร้างความสัมพันธ์ต่อผู้มีอ�ำนาจหรือ การอำ� นวยความสะดวกให้ หรอื การใชอ้ ำ� นาจแสวงหาผลประโยชนใ์ หแ้ กต่ นเองหรอื เครอื ญาติ ซง่ึ แงม่ มุ ทางวฒั นธรรมเหลา่ นลี้ ว้ นมลี กั ษณะ “สเี ทา” ทเ่ี ปน็ ลกั ษณะหนงึ่ ของการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนแ์ ละมคี วาม เชอ่ื มโยงกับพฤตกิ รรมในชวี ติ ประจำ� วนั ซ่ึงตา่ งมองวา่ เปน็ สภาพธรรมดาทีใ่ คร ๆ ก็สามารถจะกระทำ� ได้ ซ่ึงแม้เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้และความเข้าใจน้อย หรืออาจไม่แน่ใจ ก็เป็นเรื่อง ทส่ี ง่ ผลตอ่ ความสมุ่ เสยี่ งตอ่ การทจุ รติ ตามมา ซง่ึ ควรมกี ารมงุ่ เนน้ แกไ้ ขปญั หาไปทปี่ ระเดน็ ดงั กลา่ วทเ่ี ปน็ วิถชี ีวติ ประจำ� วนั ของกล่มุ ตัวอยา่ งเป็นส�ำคญั 8.8 นัยส�ำคัญต่อการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทย: มเี หตแุ ละปจั จยั ทมี่ นี ยั สำ� คญั ตอ่ การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจ ด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของเจ้าหน้าท่ีรัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประเทศไทย กล่าวคือ ปัจจัยท่ีส่งผลต่อการรับรู้ด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ระดับการศึกษา และตำ� แหน่งหนา้ ที่ เปน็ ตน้ ขณะท่ปี ัจจัยที่ส่งผลต่อความเขา้ ใจด้านการขัดกนั แห่งผลประโยชน์ ได้แก่ ระดับการศึกษา ตำ� แหน่งหนา้ ท่ี และระยะเวลาในการท�ำงาน ซงึ่ สะท้อนวา่ ในการเสรมิ สรา้ งการรับรู้ และความเขา้ ใจดา้ นการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนค์ วรคำ� นงึ และใหค้ วามสำ� คญั กบั เหตแุ ละปจั จยั ทงั้ ระดบั การศึกษา ต�ำแหน่งหน้าท่ี และระยะเวลาในการท�ำงานเป็นล�ำดับแรก ๆ และควรต้องปรับปรุงและ พัฒนาเทคนิควิธีการให้สอดคล้องและเอื้อต่อปัจจัยเหล่าน้ี เนื่องจากเหตุและปัจจัยเหล่านี้ส่งผลและ ช่วยให้การเสริมสร้างการรับรู้และความเข้าใจมีประสิทธิผล สามารถสร้างและเพ่ิมระดับการรับรู้และ ความเข้าได้อยา่ งมีนัยส�ำคัญ
78 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) 9. ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะแนวทางส�ำหรับการปรับปรุงและพัฒนาการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ดา้ นการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนข์ องเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ของประเทศไทย ประกอบ ไปด้วย 1. สำ� นกั งาน ป.ป.ช. โดยเฉพาะสำ� นกั /สถาบนั /ศนู ย/์ สำ� นกั งาน ป.ป.ช. ประจำ� จงั หวดั ทด่ี ำ� เนนิ งาน ดา้ นการปอ้ งกนั การทจุ รติ และกรมสง่ เสรมิ การปกครองทอ้ งถนิ่ กระทรวงมหาดไทย ควรใหค้ วามสำ� คญั และเร่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพ่ือการสร้างการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ของเจ้าหน้าที่รัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นอย่างย่ิง เนื่องจากผลการส�ำรวจพบว่า กลมุ่ ตวั อยา่ งมกี ารรบั รใู้ นระดบั ปานกลาง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 52.89 ยงั ไมถ่ งึ รอ้ ยละ 60 ขณะทมี่ คี วามเขา้ ใจ ในระดบั ปานกลาง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 46.09 ซงึ่ ยงั ไมถ่ งึ กง่ึ หนงึ่ จากผลการสำ� รวจดงั กลา่ ว จงึ มคี วามจำ� เปน็ ตอ้ งใหค้ วามสำ� คญั และเรง่ เผยแพรแ่ ละประชาสมั พนั ธเ์ พอื่ การสรา้ งการรบั รแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นการขดั กนั แห่งผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐในองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นอย่างย่ิง โดยเฉพาะกลุ่มองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขนาดใหญ่เป็นอันดับแรก ที่ได้รับรายได้จ�ำนวนมาก แต่มีระดับการรับรู้และ ความเขา้ ใจในระดับน้อย อันเป็นสญั ญาณสะทอ้ นความสุ่มเส่ียงของแนวโนม้ ท่ีอาจน�ำไปสูส่ ถานการณ์ การขดั กันแหง่ ผลประโยชนต์ ามมา ในอีกแงห่ นง่ึ กอ็ าจน�ำไปสกู่ ารทุจริตตามมา 2. สำ� นกั งาน ป.ป.ช. โดยเฉพาะสำ� นกั /สถาบนั /ศนู ย/์ สำ� นกั งาน ป.ป.ช. ประจำ� จงั หวดั ทด่ี ำ� เนนิ งาน ด้านการป้องกันการทุจริต ควรพัฒนา ปรับปรงุ เปล่ียนแปลง ปรับทิศทางการดำ� เนนิ งาน สรา้ งการรับรู้ และความเข้าใจ โดยมุ่งเน้นการสร้างและท�ำความเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานของการขัดกัน แหง่ ผลประโยชนใ์ นกลมุ่ ทม่ี รี ะดบั การศกึ ษานอ้ ย กลมุ่ เจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในระดบั ปฏบิ ตั ิ และกลมุ่ องคก์ ารบรหิ าร สว่ นจงั หวดั ขนาดใหญ่ 3. ในระยะแรกของการสร้างการรับรู้และความเข้าใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ควรมุ่งเน้นและให้ความส�ำคัญกับช่องทางการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ที่ควรเข้าถึงง่ายและไม่ซับซ้อน โดยเฉพาะตัวส่ือประชาสัมพันธ์ควรมีลักษณะทันสมัยและย่อยองค์ความรู้ให้สามารถเข้าใจง่าย และการสรา้ งการรบั รแู้ ละความเขา้ ใจอาจดำ� เนนิ การโดยการจดั อบรม สมั มนาและการเขา้ รว่ มกจิ กรรม ทเี่ กย่ี วขอ้ งของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ควบคกู่ นั ซง่ึ สามารถสง่ ผลตอ่ ระดบั การรบั รแู้ ละความเขา้ ใจดา้ นการขดั กนั แหง่ ผลประโยชนด์ ว้ ย 4. ส�ำนักงาน ป.ป.ช. โดยเฉพาะส�ำนักวิจัยและบริการวิชาการด้านป้องกันและปราบปราม การทุจริต ควรมีการศึกษาวิจัยเก่ียวกับพฤติกรรมของประชาชนที่มีต่อการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ท้งั ในแงก่ ารรบั ร้แู ละความเขา้ ใจเป็นระยะทกุ ๆ 2 ปี เหตุเพราะในอนาคตร่างพระราชบญั ญัตวิ า่ ด้วย ความผดิ เกย่ี วกับการขัดกันระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นบุคคลกบั ประโยชนส์ ว่ นรวม พ.ศ. .... จะมีการบงั คบั ใช้ เกดิ ขน้ึ จงึ ควรศกึ ษาวจิ ยั และสำ� รวจถงึ สภาพการณข์ องพฤตกิ รรมการรบั รแู้ ละความเขา้ ใจเพอ่ื ประโยชน์ ในการเผยแพร่ ประชาสมั พันธ์ การสร้างการรบั รูแ้ ละความเขา้ ใจ การบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนความเสี่ยง ในการกระท�ำทีอ่ าจเข้าขา่ ยการขดั กันแห่งผลประโยชน์ และความเสย่ี งในการทุจรติ ตามมา
การส�ำรวจการรับรูแ้ ละความเขา้ ใจด้านการขัดกันแห่งผลประโยชน์ 79 ของเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั ในองค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั ของประเทศไทย เอกสารอา้ งองิ กฟิ ลี วรรณจยิ ี. (2542). จติ วิทยาทัว่ ไป. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั เทคโนโลยรี าชมงคล. กรมสง่ เสรมิ การปกครองสว่ นท้องถน่ิ กระทรวงมหาดไทย. (2560). ขอ้ มูลองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และบุคลากร. ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. (2549). รัฐ-ชาติกับ (ความไร้) ระเบียบโลกชุดใหม่. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพว์ ภิ าษา. ทรงพล ภูมิพัฒน์. (2540). จิตวิทยาท่ัวไป (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพมหานคร: ศูนย์เทคโนโลยี ทางการศกึ ษา มหาวิทยาลัยศรปี ทุม. ธีรภทั ร์ เสรรี ังสรรค์. (2549). นักการเมืองไทย: จรยิ ธรรม ผลประโยชน์ทับซ้อน การคอร์รัปชนั สภาพ ปัญหา สาเหตุ ผลกระทบ แนวทางแกไ้ ข. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพมิ พ์สายธาร. นวลศริ ิ เปาโรหิตย.์ (2532). จิตวิทยาทวั่ ไป. กรงุ เทพมหานคร: ภาควิชาจิตวทิ ยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยรามคำ� แหง. ผาสุก พงษ์ไพจิตร และนวลน้อย ตรีรัตน์. (2546). คอร์รัปชัน ค่าเช่า และการพัฒนาเศรษฐกิจ. กรุงเทพมหานคร: วารสารเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. ไพโรจน์ ภัทรนรากุล. (2547). ความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม: ศกึ ษากลุม่ วชิ าชีพราชการและเจา้ หนา้ ที่หนว่ ยงานภาครฐั . กรุงเทพมหานคร: สำ� นักพิมพ์ไอที กราฟคิ ดีไซน์ แอนด์ พร้นิ ติง้ . รัจรี นพเกตุ. (2539). จิตวิทยาทั่วไปเร่ืองการรับรู้ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์ ประกายพรึก. ศูนย์ประมวลข้อมูล ส�ำนักงาน ป.ป.ช. (2561). ข้อมูลสถิติการร้องเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2559 – 2561. สมบัติ จันทรวงศ.์ (2520). สญั ญาประชาคมของรสุ โซ. กรงุ เทพมหานคร: รฐั ศาสตรส์ าร มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร.์ สร้อยตระกูล อรรถมานะ. (2545). พฤติกรรมองค์การทฤษฎีและการประยุกต์. (พิมพ์คร้ังท่ี 3). กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพมิ พ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์ สงั ศิต พิรยิ ะรงั สรรค์. (2549). คอรร์ ัปชันแบบเบด็ เสรจ็ . (พิมพ์ครัง้ ท่ี 2). กรงุ เทพมหานคร: ส�ำนักพมิ พ์ ร่วมดว้ ยชว่ ยกัน. สังศติ พิรยิ ะรังสรรค์. (2549). ทฤษฎคี อรร์ ัปชนั . กรุงเทพมหานคร: สำ� นักพิมพ์ร่วมดว้ ยชว่ ยกัน. สำ� นกั งานคณะกรรมการกฤษฎกี า. สาระส�ำคัญของร่างพระราชบญั ญตั วิ ่าดว้ ยความผดิ เก่ยี วกบั การขัดกนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นบุคคลและประโยชน์สว่ นรวม พ.ศ. (....).
80 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปีที่ 13 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) ส�ำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. (2546). ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน และ ผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflicts of Interests). การประชุมสัมมนาเผยแพร่ ผลการวจิ ัย. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนกั งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรอื น. ส�ำนักบริหารคลังท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย. (2559). ข้อมูล สารสนเทศ ขอ้ มูลด้านการเงนิ การคลงั ท้องถน่ิ . Carney, G. (1998). Conflict of Interest: Legislators, Ministers and Public Officials. Retrieved from http://www.transparency.org. Greenberg, Jerald, and Baron, A. (2003). Behavior in Organizations. New Jersey: Pearson Education. Kernaghan K. and Langford, J. (2014) The Responsible Public Servant. The Institutional of Public Administration of Canada. McDonald, M. Ethics and Conflict of Interest. Retrieved from http://ethics.ubc.ca/people mcdonaldconflict-htm/. Robbins Stephen P. (2003). Organizational Behavior. New Jersey: Pearson Education. The Office of Ethics and Business Conduct (EBC). Conflicts of Interest. Retrieved from http://web.worldbank.org/WBSITE/EXTERNAL/EXTABOUTUS/ORGANIZATION/ ORGUNITS/EXTETHICS/0, contentMDK:20382808~menuPK:780665~page PK:64168445~piPK:64168309~theSitePK:593304,00.html.
81 ปัญหาความไม่โปร่งใสของสถาบนั การเงนิ คลองจ่ัน The Transparency Problems of Financial Institution Klongchan อภษิ ฎา วฒั นะเสวIี ปรีชา เป่ยี มพงษ์สานตI์ I และสงั ศิต พิริยะรังสรรคI์ II Apisada WatthanasaweeI Preecha PiamphongsantII and Sungsidh PiriyarangsanIII บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือศึกษารูปแบบการคอร์รัปชันในการบริหารของสหกรณ์ เครดติ ยเู นยี่ นคลองจนั่ 2) เพอื่ ศกึ ษากระบวนการฟอกเงนิ ระหวา่ งกลมุ่ เครอื ขา่ ยตา่ งๆ ทอี่ าศยั วงจรของ ศาสนสถานเปน็ ชอ่ งทางหลกั ในการสง่ ผา่ นทรพั ยส์ นิ ทไี่ ดจ้ ากการคอรร์ ปั ชนั และ 3) เพอ่ื ศกึ ษาแนวทาง การปอ้ งกนั ปญั หาการคอรร์ ปั ชนั ในระบบสหกรณท์ เี่ หมาะสม งานวจิ ยั ชน้ิ นเี้ ปน็ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพทม่ี ี วิธีการศึกษาแบบสหวิทยาการแนววิพากษ์โดยต้ังอยู่บนศาสตร์ของความรู้แบบบูรณาการก้าวข้ามพ้น ความรู้ท่ีจ�ำกัดอยู่ในสาขาวิชาควบคู่กับวิธีการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ท่ีมีส่วน เก่ียวข้องและผู้มีส่วนได้เสียกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจ่ัน พร้อมท้ังสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน กระบวนการยุติธรรมเพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูลน�ำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ที่สามารถน�ำ ความรู้นัน้ ไปสร้างประโยชนใ์ ห้แก่สงั คมตอ่ ไป ผลการวิจัยช้ีให้เหน็ ว่า 1) โครงสรา้ งการบรหิ ารงานของสหกรณ์เครดติ ยูเนย่ี นคลองจั่นแหง่ น้ี มีการสร้างอ�ำนาจการบริหารผูกขาดอยู่ในมือของบุคคลและกลุ่มบุคคลหรือคณะกรรมการดําเนินการ ที่ยังสามารถด�ำรงต�ำแหน่งต่อเนื่องภายหลังจากส้ินสุดวาระ กลายเป็นจุดอ่อนท�ำให้ระบบควบคุมการ ตรวจสอบภายในขาดประสิทธิภาพก่อใหเ้ กิดชอ่ งทางคอร์รัปชัน 2) กระบวนการฟอกเงนิ มหี ว่ งโซ่เชอื่ มกนั จึงสามารถเช่ือมโยงไปยังนิติบุคคลหรือบุคคลอื่น ๆ ท่ัวประเทศที่อยู่ในเครือข่ายของอดีตผู้บริหาร สหกรณเ์ ครดติ ยเู นยี่ นคลองจน่ั โดยมเี จตนาปกปดิ สรา้ งความซบั ซอ้ นทางธรุ กรรมการเงนิ และนำ� เงนิ เขา้ กลบั สรู่ ะบบเศรษฐกจิ ท่ถี ูกกฎหมายเสมือนได้มาปกติ ถอื ว่าเปน็ ชอ่ งโหว่ทางกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ในการตรวจสอบธรุ กรรมที่เก่ยี วขอ้ งการกระทำ� ความผิด 3) การแกไ้ ขปัญหาการคอรร์ ัปชันเปน็ หน้าที่ I นกั ศกึ ษาระดบั ดุษฎีบัณฑิต สาขาผนู้ �ำทางสงั คม ธุรกจิ และการเมือง วทิ ยาลยั นวัตกรรมสงั คม มหาวทิ ยาลยั รังสติ I Ph.D. students, Social Leadership Business and politics, Program College of Social Innovation, Rangsit University II อาจารยพ์ ิเศษสาขาเศรษฐศาสตรก์ ารเมอื ง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย (ดร.) II Special instructor, Faculty of Economics, Political Economy, Chulalongkorn University (Dr rer pol) III รศ.ดร. หลกั สตู รปรัชญาดษุ ฎบี ัณฑิตสาขาวชิ าผู้นำ� ทางสงั คม ธุรกจิ และการเมอื ง วิทยาลยั นวตั กรรมสังคม มหาวิทยาลยั รังสติ III Associate Professor Doctor of Philosophy Program in Social Leadership Business and politic, College of Social Innovation Rangsit University ได้รบั บทความ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 แกไ้ ขปรบั ปรุง 8 พฤษภาคม 2563 อนมุ ตั ใิ หต้ ีพิมพ์ 14 พฤษภาคม 2563
82 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ่ี 13 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มิถนุ ายน 2563) ของทกุ หนว่ ยงาน ไดแ้ ก่ ภาครฐั ภาคเอกชน และภาคประชาสงั คมทกุ ภาคสว่ นของสงั คมตอ้ งมสี ว่ นรว่ ม ในการก�ำจัดจุดอ่อน ปรับปรุงระบบการตรวจสอบและสร้างจุดแขง็ เกี่ยวกบั การกำ� กบั ดูแลดา้ นธรรมาภบิ าล และด้านความเสี่ยง เน่ืองจากที่ผ่านมาเกณฑ์ก�ำกับดูแลการบริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มคี วามยอ่ หยอ่ นมากเกินไป ค�ำส�ำคัญ: อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ คอร์รัปชัน ฟอกเงิน Abstract This research aimed to 1) investigate patterns of corruption in financial institution Klongchan, 2) to study the process of which caused money laundering among networks which exploited the cycle of temple as the main channel for funneling proceeds of Corruption and 3) to explore appropriate preventive approach for cooperative system. This research was qualitatively conducted using interdisciplinary critical methodology on the foundation of non-boundary research in combination with document analysis and in-depth interviews with key informants and relevant stakeholders of the Klongchan credit union cooperative and judicial experts in order to collect data for future social benefits. The result revealed that firstly the administrative structure of the financial institution Klongchan was monopolized by a group of administrative committees who were allowed to remain in their positions after their terms ended. This weakened the internal audit system resulting in corruption. Secondly, The money laundering process was found to be connected to other juristic persons or individuals around Thailand who were in the network of former administrators of the cooperative. Caused by gaps in the Civil and Commercial Code related to the investigation of the transaction of illegally obtained money, the money laundering was aimed to conceal the origins of illegally obtained money and to return the laundered money to the national economic cycle. Thirdly, The research recommended public, private, and civil society organizations participate in the improvement of the audit system and strengthen the regulatory measures related to good governance and risk management since the current regulations applied to the administration of the Klongchan cooperative have been too lenient. Keywords: Economic Crime, Corruption, Money Laundering
ปญั หาความไม่โปร่งใสของสถาบันการเงินคลองจ่ัน 83 1. ความเปน็ มาและความสำ� คัญของปัญหา “อาชญากรรมทางเศรษฐกจิ ” (Economic Crime) หรอื ทรี่ จู้ กั กนั ในนามวา่ “อาชญากรรม คอปกขาว” (White-Collar Crime) ซ่ึงมีความหมายเหมอื นกับ “ฉอ้ โกง” (Fraud) คอื การหลอกลวง ปกปดิ อาศยั ความไวว้ างใจ เป็นการกระท�ำของบุคคลทม่ี สี ถานภาพทางเศรษฐกจิ เชี่ยวชาญทางดา้ นธรุ กจิ เบ้ืองหลงั อาชญากรรมเหล่านี้มีแรงจูงใจ (Motivation) มาจาก “เงนิ ” มูลค่ามหาศาล โดยมเี จตนาเพอ่ื จะไดม้ า หรอื หลกี เลยี่ งไมใ่ หส้ ญู เสยี หรอื ตอ้ งการรกั ษาผลประโยชนท์ างธรุ กจิ ใหแ้ กต่ นเองหรอื พรรคพวก เทา่ น้ัน (FBI, cited in Edwin H. Sutherland, 1940) อาชญากรรมทางเศรษฐกิจมกั จะแอบแฝง อยใู่ นกจิ การทไี่ ดร้ บั การอนญุ าตแตก่ ลบั ละเมดิ กฎหมายพเิ ศษทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เศรษฐกจิ และพาณชิ ย์ เชน่ กฎหมายธุรกจิ เงินทุน ธุรกจิ หลักทรพั ย์ และธุรกิจเครดิตฟองซเิ อร์ ฉะนน้ั ลกั ษณะการกระทำ� ความผดิ ทางเศรษฐกจิ ไมใ่ ชเ่ พยี งแค่การฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบยี บ ขอ้ บังคับของทางราชการ หรือการละเมดิ ทาง แพ่งเท่าน้ัน แต่ถือว่าเป็นความผิดทางอาญาท่ีร้ายแรงเช่นกันเพราะเป็นการกระท�ำท่ีเป็นอันตรายต่อ ความผาสุกทางสังคม (Social Well-being) เป็นบ่อนท�ำลายความมั่นคงทางการเงินไม่ว่าจะเป็นกับ ตวั บุคคลหรือสาธารณะหรือวิสาหกิจเอกชนและเกย่ี วพันกับการฟอกเงนิ นำ� ไปสูก่ ารส่งเสรมิ สนับสนนุ กิจกรรมท่ีผิดกฎหมาย (วีรพงษ์ บุญโญภาส, 2557: 51 - 52) เช่นเดียวกับการกระท�ำความผิดที่ ขบั เคล่อื นดว้ ยก�ำไร กล่าวคือ “การคอร์รัปชนั ” (Corruption) และ “การฟอกเงิน” (Money Laundering) มักเกิดขึ้นพร้อมกันเพ่ือสนับสนุนซ่ึงกันและกัน (Sammer Ahmad, cited in IMF 2019) ท้ังน้ี นักวิชาการสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ อาชญาวิทยาและจิตวิทยา ตา่ งได้ต้งั สมมตฐิ านวา่ เพราะ เหตุใดบุคคลบางคนจึงมีแนวโน้มท่ีจะคอร์รัปชันมากกว่าคนอื่น ๆ นั่นเป็นผลมาจากการตัดสินใจของ แต่ละบุคคลไม่เพียงแค่มองถึงต้นทุนและผลประโยชน์ที่คาดหวังเท่านั้น แต่ต้องมองถึงอิทธิพลของ บรรทัดฐานทางสังคม (Social norms) ทมี่ ผี ลต่อการประพฤตผิ ิดจรรยาบรรณด้วยเช่นกัน (Gorsira, and others, 2016) นอกจากน้ี ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันค่อนข้างสูงมากจากผลส�ำรวจในทาง สถติ ดิ รรชนวี ดั ภาพลกั ษณข์ องคอรร์ ปั ชนั แตล่ ะประเทศโดยองคก์ รความโปรง่ ใสนานาชาตปิ ระจำ� ปี 2018 (พ.ศ. 2561) พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับท่ี 99 จากภาพรวมทั้งหมด 180 ประเทศ นับว่าปญั หา คอรร์ ปั ชนั ทวคี วามรนุ แรงเพมิ่ ข้นึ เร่อื ย ๆ จากในช่วง 5 ปที ีผ่ ่านมา และดูเหมือนว่ายังไม่มแี นวโนม้ ที่จะ ปรับตวั ลดลงไดอ้ ย่างชดั เจน (Transparency International, 2018) สาเหตกุ ารคอรร์ ปั ชนั ในสงั คมไทยจากผลสำ� รวจหอการคา้ ไทยระบวุ า่ “สว่ นใหญเ่ กดิ จากความ ล่าช้า ความยุ่งยากในข้ันตอนการด�ำเนินงานของราชการและกฎหมายเปิดช่องเอ้ือต่อการทุจริตและ ความไมเ่ ขม้ งวดของการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย โดยรปู แบบทพี่ บในการทจุ รติ สว่ นใหญเ่ ปน็ การใหส้ นิ บน การ ทจุ รติ เชงิ นโยบาย และการใชต้ ำ� แหนง่ ทางการเมอื งเออื้ ประโยชนแ์ กพ่ รรคพวก” (เสาวณยี ์ ไทยรงุ่ โรจน,์ ไทยโพสต,์ 2561) ในสว่ นของภาคการเงนิ ไทยเองกไ็ ดร้ บั ผลกระทบจากปญั หาคอรร์ ปั ชนั เปน็ อยา่ งมาก ธนาคารแหง่ ประเทศไทยใหข้ อ้ มลู เกยี่ วกบั พฤตกิ รรมการฉอ้ โกงหรอื คอรร์ ปั ชนั ในปจั จบุ นั คอื การใชข้ อ้ มลู
84 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ่ี 13 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) ภายในองค์กรเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตน เช่น การฟอกเงิน การปั่นหุ้น และการน�ำเสนอขาย ผลิตภณั ฑ์ทางการเงนิ ทบ่ี ดิ เบอื นขอ้ มลู จรงิ ใหแ้ กล่ กู คา้ (วิรไท สันตปิ ระภพ, Bangkok Sustainable Banking Forum, 2018) ผลส�ำรวจในทางสถิติดรรชนีการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินโดยสถาบันบาเซิล ด้าน ธรรมาภบิ าลประจำ� ปี 2018 (พ.ศ. 2561) ชใี้ ห้เหน็ ว่าประเทศไทยมีความเสยี่ งต่ออาชญากรรมเกย่ี วกบั การฟอกเงนิ ที่กำ� ลังปรับตัวสงู ขึน้ อยา่ งต่อเนื่อง จัดอยใู่ นอันดับท่ี 31 จาก 203 ประเทศท่วั โลก และใน ระดบั อาเซยี นความเสย่ี งของประเทศไทยมคี วามใกลเ้ คยี งกบั ประเทศฟลิ ปิ ปนิ สแ์ ละประเทศอนิ โดนเี ซยี อันดับท่ี 43 และ 52 ตามลำ� ดบั (Basel AML Index 2018) ปจั จบุ นั นสี้ ถาบนั การเงนิ ไทยทยี่ งั มคี วาม เปราะบาง คอื สหกรณอ์ อมทรพั ย์ สะท้อนใหเ้ ห็นพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงข้ึนจากการรับ ฝากเงิน การถือหุ้นของสมาชิกจ�ำนวนเพ่ิมมากขึ้นและการน�ำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์เน้นการลงทุน ในตราสารหนร้ี ะยะยาวทใี่ หอ้ ตั ราดอกเบย้ี สงู อกี ทง้ั ยงั พบวา่ สหกรณอ์ อมทรพั ยข์ นาดใหญบ่ างแหง่ กยู้ มื เงนิ เพ่ือมาลงทุนในหลักทรัพย์และในวงการสหกรณ์ด้วยกันมีการปล่อยกู้ยืมและฝากเงินระหว่างกัน แตห่ ากสหกรณแ์ หง่ ใดแหง่ หนง่ึ ประสบปญั หาสภาพคลอ่ งจะนำ� พาใหเ้ กดิ ความเสยี หายในแบบ “ลกู โซ”่ กระทบไปถงึ สหกรณ์อ่ืน ๆ (ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2561) กรมส่งเสรมิ สหกรณ์ (2558) สรุปภาพรวมสหกรณใ์ นประเทศไทย ณ วันท่ี 1 มกราคม 2558 มจี ำ� นวนทั้งสิน้ 7,043 แห่ง (ไม่รวมชุมนุมสหกรณ)์ มีสมาชกิ ทง้ั หมด 11,470,013 คน โดยแบ่งเฉพาะ ประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ 1,403 แหง่ มีสมาชกิ 2,859,905 คน และประเภทสหกรณ์เครดติ ยูเน่ียน 527 แห่ง มีสมาชิก 734,789 คน ซ่ึงผลการตรวจสอบระบบสหกรณ์ทุกประเภทในประเทศไทย ณ วนั ท่ี 31 ธันวาคม 2558 ตรวจพบสหกรณท์ มี่ ปี ัญหาทุจริตและบกพรอ่ ง 1,103 แห่ง มีมลู ค่าความ เสยี หายรวมท้งั สิน้ 29,580 ลา้ นบาท สหกรณ์หน่ึงแหง่ อาจมขี อ้ บกพร่องหลายประเภท ประกอบดว้ ย สหกรณ์ท่ีมปี ญั หาทจุ รติ 277 แหง่ มลู ค่าความเสียหาย 18,763 ล้านบาท บกพรอ่ งทางการเงนิ 728 แห่ง มลู ค่าความเสยี หาย 2,105 ลา้ นบาท ทำ� กิจกรรมนอกกรอบวัตถุประสงคข์ องสหกรณ์ 107 แหง่ มูลค่าความเสยี หาย 5,327 ลา้ นบาท บกพรอ่ งทางบญั ชี 67 แหง่ มลู ค่าความเสยี หาย 35 ลา้ นบาท และมีพฤตกิ รรมอาจเกิดความเสยี หายอีก 74 แหง่ วงเงิน 3,349 ล้านบาท จากภาพรวมท่ไี ด้กล่าวไป ขา้ งตน้ นี้ “กรณสี หกรณเ์ ครดติ ยเู นย่ี นคลองจน่ั ” ทำ� ใหว้ งการสหกรณไ์ ทยสะเทอื นทส่ี ดุ ในประวตั ศิ าสตร์ เนื่องจากพบปัญหาความไม่โปร่งใสด้านการบริหารจัดการ อีกทั้งยังพบว่ากรมส่งเสริมสหกรณ์และ กรมตรวจบญั ชสี หกรณเ์ ปน็ หนว่ ยงานมหี นา้ ทก่ี ำ� กบั ดแู ลสหกรณก์ ย็ งั ขาดการตรวจสอบทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ (สำ� นกั ข่าวอสิ รา, 2560) สง่ ผลกระทบเสยี หายต่อความเชอื่ มั่นใน “ระบบสหกรณ์” เปน็ อย่างมาก ซ่งึ ปัญหาในการบริหารของสหกรณ์ฯ คลองจ่ันมีความไม่ชอบมาพากลและมีสัญญาณผิดปกติมาต้ังแต่ปี 2546 เปน็ ระยะเวลา 10 ปี แตไ่ ดป้ รากฏขา่ วโดง่ ดงั ตอ่ สาธารณชนเมอื่ ชว่ งตน้ ปี 2556 เรม่ิ จากเหตกุ ารณ์ ทีเ่ หลา่ สมาชิกสหกรณ์ฯ คลองจั่นจำ� นวนมากไม่สามารถถอนเงนิ ออกได้และสาเหตุสำ� คญั เกดิ จากอดีต ประธานกรรมการดำ� เนนิ การสหกรณ์หรืออดตี ผบู้ รหิ ารสหกรณฯ์ คลองจนั่ ในขณะนน้ั (ไทยรฐั , 2558)
ปัญหาความไมโ่ ปรง่ ใสของสถาบันการเงนิ คลองจ่ัน 85 อย่างไรก็ตาม ทางด้านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และส�ำนักงานป้องกันและปราบปรามการ ฟอกเงนิ (ปปง.) ไดต้ รวจสอบเสน้ ทางการเงนิ พบวา่ อดตี ผบู้ รหิ ารสหกรณฯ์ คลองจน่ั กบั พรรคพวกกระทำ� การทุจริต มูลค่าความเสียหายกว่า 17,000 ล้านบาท (ส�ำนักข่าวอิสรา, 2560) สืบเน่ืองจากในช่วง ระหวา่ งปี พ.ศ. 2552-2555 ประธานกรรมการดำ� เนนิ การสหกรณ์ คณะกรรมการดำ� เนนิ การของสหกรณ์ และเจา้ หนา้ ทส่ี หกรณฯ์ คลองจน่ั ไดม้ คี วามเกย่ี วขอ้ งกบั การปลอ่ ยกสู้ มาชกิ สมทบ และเบกิ จา่ ยเชค็ หรอื เงินสดของสหกรณ์ฯ คลองจ่นั โดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย กลา่ วคือ มไิ ด้มีอำ� นาจทกี่ ระทำ� ได้ มไิ ดเ้ ปน็ ไป ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องสหกรณ์ ขดั ตอ่ ระเบยี บขอ้ บงั คบั สหกรณ์ พระราชบญั ญตั สิ หกรณ์ พ.ศ. 2542 และ ฝ่าฝืนกฎหมายหลายประการมรี ายละเอยี ด ดงั ตอ่ ไปน้ี อดตี ผ้บู รหิ ารสหกรณฯ์ คลองจ่นั และพวกร่วมกับเจา้ หน้าที่สหกรณ์ฯ ปลอ่ ยก้สู มาชกิ สมทบท่ี เป็นนิตบิ คุ คลและคณะบุคคลท่ีไมไ่ ดถ้ อื หนุ้ ในสหกรณ์ จ�ำนวน 27 ราย เป็นเงิน 11,858 ล้านบาท เป็นการกู้ เกนิ กวา่ ระเบยี บฯ กำ� หนดโดยมไิ ดม้ กี ารจดั การวเิ คราะหค์ วามเสยี่ งและประเมนิ หลกั ประกนั ตามแนวทาง ที่ก�ำหนดไวใ้ นระเบยี บฯ อกี ทัง้ ยงั มไิ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามข้อบังคบั สหกรณ์และคำ� สงั่ นายทะเบียน อดตี ผบู้ รหิ ารสหกรณฯ์ คลองจน่ั คณะกรรมการดำ� เนนิ การของสหกรณฯ์ และเจา้ หนา้ ทสี่ หกรณฯ์ ด�ำเนนิ การเบิกจ่ายเชค็ หรือเบิกจ่ายเงินสดของสหกรณ์ฯ คลองจ่นั โดยทจุ รติ ดังวธิ กี ารต่อไปน้ี ตารางท่ี 1 รูปแบบการทุจริตการเบิกจ่ายเช็คและการเบิกจ่ายเงินสดของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจ่ัน วธิ ีการ จำ�นวนรายการ จำ�นวนเงิน (ลา้ นบาท) 878 11,367 เบกิ จ่ายเชค็ ระบใุ ห้เปน็ การทดรองจ่ายแก่อดีตประธาน 76 1,966 กรรมการดำ�เนินการสหกรณ์ฯ 191 4,036 เบิกจ่ายเงนิ สดจากเคานเ์ ตอรห์ รือจากตู้เซฟระบใุ ห้เปน็ 1,145 17,369 การทดรองแกอ่ ดีตประธานกรรมการดำ�เนินการสหกรณฯ์ สงั่ จ่ายเชค็ ให้แก่บุคคลท่ีไมไ่ ด้เกย่ี วข้องกบั สหกรณ์ฯ คลองจั่น และมกี ารเบกิ จ่ายตามเชค็ รวม ทม่ี า: แผนฟ้นื ฟูกิจการของสหกรณ์เครดิตยเู น่ยี นคลองจน่ั จ�ำกดั (2558) ทง้ั หมดนส้ี รา้ งความเดอื ดรอ้ นแกส่ มาชกิ สหกรณฯ์ คลองจนั่ จำ� นวนกวา่ 5 หมนื่ ราย โดยสว่ นใหญ่ เป็นกลุ่มผู้สูงวัยเกษียณแล้ว และสหกรณ์เล็กตามภูมิภาคต่าง ๆ ที่ได้น�ำเงินมาฝากไว้กับสหกรณ์ เครดิตยูเน่ียนคลองจ่ันเพียงแห่งเดียว ในภายหลังนายทะเบียนกรมส่งเสริมสหกรณ์ สังกัดกระทรวง
86 วารสารวชิ าการ ป.ป.ช. ปีท่ี 13 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) เกษตรและสหกรณ์ได้มีหนังสือค�ำสั่งปลดคณะกรรมการด�ำเนินการสหกรณ์ฯ คลองจ่ัน ชุดท่ี 29 พ้น จากตำ� แหนง่ ท้งั คณะ โดยมี นาย ศ. เป็นประธานกรรมการด�ำเนินการสหกรณฯ์ จากน้นั ได้แต่งตั้งคณะ กรรมการด�ำเนินการสหกรณ์ฯ ชุดใหม่มาท�ำหน้าท่ีบริหารสหกรณ์แทนชั่วคราว เมื่อวันท่ี 9 ตุลาคม 2556 เพ่ือจัดท�ำแผนฟื้นฟูกิจการยับยั้งเหตุการณ์วิกฤติ (ไทยพับลิก้า, 2556) แต่เน่ืองจากสหกรณ์ฯ คลองจน่ั อยใู่ นสภาวะขาดสภาพคลอ่ งทางการเงนิ อยา่ งรนุ แรง ทำ� ใหข้ าดความเชอ่ื มนั่ และสง่ ผลใหบ้ รรดา สมาชิกผูฝ้ ากเงนิ รวมถงึ สหกรณอ์ ื่น ๆ ไดแ้ จ้งขอถอนเงนิ ฝากและหรอื ปดิ บัญชีเงินฝากประเภทต่าง ๆ ทมี่ อี ยกู่ บั สหกรณฯ์ คลองจนั่ เปน็ จำ� นวนมากเปน็ ผลใหม้ ภี าระหนา้ ทต่ี อ้ งคนื เงนิ ฝากใหแ้ กผ่ ฝู้ ากเงนิ เปน็ จ�ำนวนรวมกว่า 7,000 ล้านบาท อันเป็นจ�ำนวนทมี่ ากเกนิ กวา่ ความสามารถของสหกรณ์ฯ คลองจั่นจะ ช�ำระหนี้ให้ได้ ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง สาเหตุมาจากพฤติกรรมไม่สุจริตของอดีตผู้บริหาร สหกรณฯ์ คลองจน่ั เปน็ ผลใหค้ ณะกรรมการบรหิ ารแผนฟน้ื ฟฯู ตอ้ งปฏเิ สธการเบกิ ถอนเงนิ ฝากในเวลา ต่อมา (แผนฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์ฯ คลองจ่ัน, 2558) จากปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข อีกทั้ง ยังไม่พบการสนับสนุนแหล่งเงินมหาศาลใดสามารถเยียวยาแก้ไขความเดือดร้อนของสมาชิกทั้งหมดได้ ท�ำให้สมาชิกไม่อาจรอการแก้ปัญหาจากทางราชการ ตัวแทนสมาชิกจึงได้รวบรวมรายชื่อส่งหนังสือ รอ้ งเรียนขอความชว่ ยเหลือจาก 3 ช่องทาง ไดแ้ ก่ 1) ทูลเกลา้ ฯ ถวายฎีการ้องทกุ ขข์ อความเป็นธรรมจาก พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั 2) ยนื่ ขอ้ เสนอแนะรฐั บาลยกเปน็ ประเดน็ เพอ่ื แกไ้ ขปญั หาการดำ� เนนิ งาน สหกรณ์ฯ คลองจ่ัน ขบั เคลือ่ นให้เปน็ “วาระแห่งชาต”ิ 3) ยื่นฟ้องตอ่ ศาลปกครอง ในกรณหี นว่ ยงาน กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ รวมไปถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ก�ำกับดูแล สหกรณต์ ามอ�ำนาจหน้าท่ี ปลอ่ ยปละละเลยจนท�ำใหส้ หกรณฯ์ เกดิ ความเสียหาย (ไทยพบั ลกิ ้า, 2557) 2. คำ� ถามวจิ ัย ท�ำไมจึงเกิดการคอร์รัปชันในระบบสหกรณ์ข้ึนได้ อะไรท่ีเป็นปัจจัยเง่ือนไขต่อการคอร์รัปชัน มรี ูปแบบการคอรร์ ัปชนั และกระบวนการฟอกเงนิ อยา่ งไร 3. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 3.1. เพื่อศกึ ษารูปแบบการคอรร์ ปั ชันในการบริหารสหกรณ์เครดิตยเู นย่ี นคลองจัน่ 3.2. เพอื่ ศกึ ษากระบวนการฟอกเงนิ ระหวา่ งกลมุ่ เครอื ขา่ ยตา่ ง ๆ ทอ่ี าศยั วงจรของศาสนสถาน เป็นชอ่ งทางหลักในการส่งผ่านทรพั ย์สินท่ีได้จากการคอรร์ ัปชัน 3.3. เพ่ือศกึ ษาแนวทางการป้องกนั ปัญหาการคอร์รัปชันในระบบสหกรณท์ เี่ หมาะสม 4. ทบทวนวรรณกรรม งานวิจัยน้ีมีเป้าหมายหลักเพื่อศึกษารูปแบบการคอร์รัปชันและกระบวนการฟอกเงิน ผู้วิจัย เรม่ิ ตน้ จากการทบทวนวรรณกรรมตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วข้องเพ่อื ทำ� ความเข้าใจเกี่ยวกบั อาชญากรรมท่เี กดิ ขึ้น กบั สหกรณ์เครดติ ยูเนี่ยน คลองจัน่ จำ� กัด โดยมเี อกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วขอ้ ง ดังต่อไปน้ี
ปญั หาความไมโ่ ปรง่ ใสของสถาบันการเงินคลองจัน่ 87 4.1 ปจั จยั ทนี่ ำ� ไปสกู่ ารทุจริต “ทจุ รติ ภายในองค์กร” เปน็ ปัญหาส�ำคัญมากของหนว่ ยงานก�ำกบั ดูแลตรวจสอบบญั ชี (Audi- tors) หรือผ้ตู รวจสอบบัญชภี ายนอก (External auditor) ในฐานะผูต้ รวจสอบบญั ชซี ึ่งมบี ทบาทและ หนา้ ทใ่ี นการปอ้ งกนั และตรวจสอบการทจุ รติ หรอื ขอ้ ผดิ พลาดขององคก์ รนนั้ ๆ วธิ กี ารตรวจสอบทจุ รติ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งงา่ ยจงึ จำ� เปน็ ตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั พฤตกิ รรมทจุ รติ โดยใชห้ ลกั การและทฤษฎขี อง Donald Ray Cressey นักสังคมวิทยาและอาชญาวิทยา ผู้น�ำเสนอโมเดลทฤษฎีสามเหล่ียมทุจริต “Fraud Triangle” ไวใ้ นหนงั สอื ชอื่ Other People’s Money ในปี ค.ศ. 1953 (Rasha Kassem and Andrew Higson, 2012, pp. 191–192) อธบิ ายพฤตกิ รรมทจุ รติ โดยใชว้ ธิ กี ารวเิ คราะหเ์ ชงิ อปุ นยั พบวา่ “บคุ คล ทนี่ า่ เชอ่ื ถอื กลายเปน็ ผลู้ ะเมดิ ความไวว้ างใจทางการเงนิ ” (Ronald L. Akers and Ross L. Matsueda, 1989) ตอ่ มาแนวคดิ นีไ้ ด้ถูกนำ� มาพัฒนาเปน็ ทฤษฎี “Fraud Diamond Model” ของ David T. Wolfe & Dana R. Hermanson และทฤษฎี GONE Theory ของ Brook J. Leonard ในปเี ดียวกัน ค.ศ. 2004 โดยจดุ มงุ่ หมายของทฤษฎที ง้ั 3 แบบ เพอ่ื วเิ คราะหป์ จั จยั ทน่ี ำ� ไปสกู่ ารทจุ รติ ในตำ� แหนง่ หนา้ ท่ี ดงั ตาราง ตอ่ ไปนี้ ตารางท่ี 2 เปรยี บเทยี บทฤษฎีเพอื่ วิเคราะหป์ ัจจยั ท่ีน�ำไปสู่การทจุ ริตในต�ำแหน่งหน้าที่ Fraud Triangle Fraud Diamond Model GONE Theory 1. Opportunity 1. Capability 1. G – Greed 2. Opportunity 2. O - Opportunity 2. Pressure 3. Incentive or Motivation 1. N – Need 3. Rationalization 2. E - Expectation ที่มา: กรมสง่ เสรมิ สหกรณ์ (2559) Kassem and Higson (2012) ไดร้ วบรวมแนวคดิ Cressey (1950), Wolfe & Hermanson (2004), Dorminey et al., (2010) และคนอ่ืน ๆ พรอ้ มกบั น�ำเสนอทฤษฎสี ามเหลีย่ มทจุ ริตแบบใหม่ “The New Fraud Triangle” เพอ่ื เปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั งิ านของผตู้ รวจสอบบญั ชี เพราะสงิ่ สำ� คญั ของการตรวจสอบจะต้องประเมินความเสีย่ งท่ีเกิดจากการทจุ รติ ผา่ นโมเดลทุจรติ ทง้ั หมดน้ี (Douglas MC Allan, 2018) และค้นหาว่าเหตุใดการทุจริตจึงเกิดขึ้นได้ โดยเลือกใช้ทฤษฎีสามเหล่ียมทุจริต แบบใหม่ ซ่ึงจ�ำแนกออกเปน็ 4 ปจั จยั หลกั ดงั แสดงในแผนภาพท่ี 1
88 วารสารวิชาการ ป.ป.ช. ปที ่ี 13 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) แผนภาพที่ 1 ทฤษฎีสามเหลีย่ มทจุ ริตแบบใหม่ (The New Fraud Triangle Model) ท่มี า: Douglas MC Allan (2018) อธิบายความหมายของคำ� ศพั ทท์ ่ีเป็นปัจจยั ทนี่ �ำไปสู่การทุจรติ ประพฤติมิชอบ มีดงั ต่อไปนี้ 1) แรงจูงใจ (Motivation) หมายถึง เหตุผลในการทุจริตหรือความประพฤติมิชอบของ ผู้ทุจรติ เกิดข้นึ ได้จากแรงกดดัน (Pressure) ไดแ้ ก่ “แรงกดดนั สว่ นตวั บคุ คล” (Personal pressure) ที่มีทั้งแรงกดดันท่ีเก่ียวข้องกับการเงิน (Financial) เช่น อุปนิสัยการใช้จ่ายเงินเกินตัว/ติดการพนัน/ ต้องการใชเ้ งินกะทนั หัน และส่วนทไ่ี มเ่ ก่ยี วข้องกับการเงนิ (Non-financial) เชน่ ความโลภ (Greed) หรอื ขาดจรยิ ธรรม/ใชป้ ระโยชนจ์ ากการบรหิ ารงานเพอ่ื ประโยชนข์ องตนเอง นอกจากนยี้ งั มี “แรงกดดนั จากภายนอก” (External pressure) เช่น แรงกดดนั จากการจา้ งงาน (Employment pressure) หรือ ขาดสภาพคล่องในการจ่ายค่าตอบแทนพนักงานต่อเน่ือง/สภาวะกดดันจากองค์กรหรือตั้งเป้าหมาย ผลตอบแทนทางธุรกิจสูงเกินความสามารถ/สภาพแวดล้อมภายนอกองค์กรกระทบต่อความมั่นคง ทางการเงิน เช่น ขอ้ กาํ หนดทางการเงิน (Financier covenants) จากการกู้ยืมลงทุน (Kassem and Higson, 2012) Kranacher et al., (2010) ได้เสนอ M.I.C.E ประกอบด้วย เงิน (Money) อุดมการณ์ (Ideology) การบบี บังคบั (Coercion) และคตินยิ มตน (Ego) ให้เปน็ ตัวขยายแรงจงู ใจในแบบตา่ ง ๆ เช่น - แรงจูงใจเชิงอุดมการณ์ คือ ความสามารถของผู้ทุจริตในการสร้างการรับรู้ของผู้อ่ืนให้ สอดคลอ้ งหรอื การยอมรบั ในอดุ มการณ์ของตน - การบีบบังคับ คอื เกดิ ขน้ึ กับบุคคลท่ีถกู ดงึ เข้าสู่แผนการฉ้อโกงอยา่ งไม่เต็มใจ
ปญั หาความไม่โปร่งใสของสถาบนั การเงินคลองจ่ัน 89 - คตนิ ิยมตน คอื แรงจงู ใจของผู้ทจุ ริตเองท่ีไมต่ ้องการสญู เสยี ชอ่ื เสียง ตำ� แหนง่ หรอื สูญเสีย อ�ำนาจต่อหน้าผู้อื่นในสังคมหรือครอบครัว สิ่งเหล่านี้คือแรงกดดันจากทางสังคมท่ีเป็นเหตุจูงใจให้ ทจุ รติ ได้ 2) โอกาส (Opportunity) คอื โอกาสทเี่ ออ้ื อำ� นวยใหเ้ กดิ การทจุ รติ เชน่ ระบบควบคมุ การตรวจสอบ ภายในหย่อนประสิทธิภาพ โครงสร้างการบริหารองค์กรที่มีลักษณะแบบผูกขาดอยู่ในมือผู้ท่ีทุจริต หรือการใช้ตำ� แหน่งหนา้ ที่ของตนฉกฉวยผลประโยชน์ หรอื อาศัยช่องโหวก่ ฎระเบียบบงั คับใช้ (Lister, 2007) 3) ซื่อสัตยต์ ่อตนเอง (Personal integrity) คอื พฤติกรรมทขี่ าดหลกั ยดึ ถือทางด้านคณุ ธรรม ขาดความซ่ือสัตย์สุจริตจนกลายเป็นเห็นแก่ส่วนประโยชน์ตน ดังกล่าวนี้ สังเกตได้จากการตัดสินใจ ขั้นตอนการตดั สินใจ และความมุ่งมั่นของบคุ คลนัน้ ๆ (Albrecht et al, 1984) 4) ความสามารถของผ้ทู ุจรติ (Fraudster’s Capability) คือ การทุจรติ จะเกดิ ขึ้นไดย้ ากหาก ไมใ่ ชบ่ คุ คลทเี่ หมาะสมกบั ความสามารถ Wolfe and Hermanson ค.ศ. 2004 เสนอขอ้ สงั เกต 4 ประการ ได้แก่ บุคคลท่ีมีต�ำแหน่งหน้าท่ีน่าเช่ือถือหรือมีต�ำแหน่งหน้าท่ีเอื้อประโยชน์ต่อการทุจริต/บุคคลที่มี ความรเู้ ขา้ ใจในระบบบญั ชแี ละเหน็ จดุ ออ่ นระบบการควบคมุ ภายใน/บคุ คลทมี่ คี วามเชอ่ื มน่ั วา่ การทจุ รติ ที่ตนกระท�ำจะไม่ถูกจับได้/บุคคลที่สามารถการจัดการกับความเครียดได้ในขณะทุจริตโดยมีเหตุผล เขา้ ข้างตนเอง เป็นต้น 4.2 รูปแบบการคอรร์ ัปชัน สังศิต พริ ยิ ะรงั สรรค์ (2549) ให้ความหมายของ “การคอร์รัปชนั ” คือ “การผสมผสานของ ส่วนที่เป็นสาธารณะกับของท่ีเป็นส่วนตัวอย่างไม่เหมาะสม กล่าวคือ มันเป็นการทุจริตของบุคคล สาธารณะเพื่อตัวเองจากระบบราชการ” กล่าวถึง “รูปแบบคอร์รัปชัน” (Corruption forms) นักวิชาการไดอ้ ธิบายรปู แบบการคอรร์ ัปชันแตกตา่ งกนั ออกไปมากมาย พจิ ารณาได้จาก ขนาด (Size) ระดับความอดทนของชมุ ชน (Degree of Tolerability) และมติ ิ (Dimension) ของการทจุ ริต แบ่ง ตามรายละเอยี ด ดังนี้ 1) แบง่ ตามขนาด Susan-Ackerman ค.ศ. 1999 ไดจ้ ำ� แนกการคอรร์ ปั ชนั ออกเปน็ 2 ขนาด ไดแ้ ก่ - การคอร์รัปชันขนาดเล็ก (Petty corruption) เป็นการติดสินบน (Bribery) กระท�ำโดย เจา้ หน้าท่ขี องรัฐในระดบั ลา่ ง - การคอรร์ ปั ชนั ทม่ี ขี นาดใหญ่ (Grand corruption) ทกี่ ระทำ� โดยนกั การเมอื งและขา้ ราชการ ชั้นผใู้ หญ่ James Q. Wilson ค.ศ. 1968 ได้จำ� แนกสนิ บนออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สนิ บนท่ีใหโ้ ดย สจุ ริตใจ (Honest graft) และสินบนทีใ่ ห้โดยไม่สจุ ริต (Dishonest graft) ซึ่งการใหส้ นิ บนจะเป็นสิง่ ที่ ดหี รอื เลว รบั รไู้ ดจ้ ากผลทตี่ ามมาในภายหลงั แตห่ ากไมท่ ำ� ใหผ้ ลประโยชนข์ องประชาชนเสยี หายกอ็ าจ เปน็ สนิ บนทดี่ ีได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154