Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore nprc31517

nprc31517

Published by 6214891030, 2020-01-08 13:28:43

Description: nprc31517

Search

Read the Text Version

บทคัดยอ่ การสารวจความคิดเห็น ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว ท่ีมีต่อสิ่งอานวยความสะดวกและ การใช้บริการโปรแกรมส่ือความหมายทางธรรมชาติอุทยานแห่งชาติปางสีดา จังหวัดสระแก้ว โดยมี วัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาข้อมูลท่ัวไปเก่ียวกับลักษณะพ้ืนฐานทางสังคม ประเมินความคิดเห็นและ ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และเปรียบเทียบปัจจัยที่คาดว่าจะมีอิทธิพลต่อนักท่องเท่ียวท่ีมีต่อ สิ่งอานวยความสะดวกและการใช้บริการโปรแกรมสื่อความหมายทางธรรมชาติ โดยวิธีการเก็บ ข้อมูลแบบแบบสอบถามเพ่ือสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยท่ีเดินทางมาเท่ียวอุทยานแห่งชาติปางสีดา จานวน 400 ชุด มีการกระจายจึงทาการเก็บข้อมูลในช่วงวันธรรมดา วันหยุด ของฤดูการท่องเที่ยว (พฤศจกิ ายน-ธันวาคม 2560) และนอกฤดกู ารท่องเท่ียว (เมษายน-มถิ ุนายน 2561) ผลการศึกษาพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง อยู่ในช่วงอายุ 30-39 ปี ซึ่งอาจ กล่าวได้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามท้ังหมดเป็นผทู้ ่ีบรรลนุ ิติภาวะมีทัศนคติและการให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัท มีรายได้15,001 -20,000 บาท ต่อเดือน นักท่องเท่ียวส่วนใหญ่เดินทางมาจากภาคตะวันออก ส่วนใหญ่ไม่เคยเดินทางมาท่ีอุทยาน แห่งชาติปางสีดา มีวัตถุประสงค์สาคัญท่ีเดินทางมาครั้งนี้มาเพ่ือเล่นน้าตก โดยทราบข้อมูลแหล่ง ท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติปางสีดาจากเพื่อน และนักท่องเท่ียวส่วนใหญ่มากับกลุ่มเพ่ือน มีจานวน สมาชิกในการเดินทาง 2 - 6 คน มาเช้าเยน็ กลบั ไม่ไดพ้ กั แรม มีจานวนค่าใชจ้ ่ายอยู่ในระดับท่ีคาดหวัง จานวนค่าใช้จ่ายต่อวัน โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่าไม่เคยเข้าไปใช้บริการในศูนย์บริการ นักท่องเท่ียวเลย ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อส่ิงอานวยความสะดวกต่างๆ ภายในพ้ืนท่ีอุทยาน แต่มีนักท่องเท่ียวบางส่วนมีความต้องการให้มีร้านจาหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในพ้ืนที่อุทยาน ด้านโปรแกรมสื่อความหมายทางธรรมชาติโดยเฉพาะเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และการแนะนาพ้ืนที่ โดนเจ้าหน้าที่พบว่านักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจมาก แต่ในส่วนของนิทรรศการในอาคาร วีดีทัศน์ ต่างๆ แผ่นพับ ใบปลิว เคร่ืองหมาย และสัญลักษณ์ต่างๆ ควรปรับปรุงโปรแกรมส่ือความหมายใน ความน่าสนใจของส่ือ เพ่ือที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวในการเข้าไปศึกษาหาความรู้จากโปรแกรมสื่อ ความหมายประเภทต่างๆ มากขึ้น และนักท่องเท่ียวส่วนใหญ่ระบุว่ามีโอกาสจะกลับมาเยือนอุทยาน แหง่ ชาติปางสีดา จังหวัดสระแก้วอกี คาสาคัญ : ความพึงพอใจของนกั ท่องเทย่ี ว สิ่งอานวยความสะดวก โปรแกรมสื่อความหมาย อทุ ยานแห่งชาติปางสีดา

คานา เดิมบริเวณน้าตกปางสีดา เป็นหน่วยงานหนึ่งในโครงการพัฒนาพ้ืนท่ีราบเชิงเขา จังหวัด ปราจีนบุรี ซ่ึงเป็นโครงการในพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการท่ี 9 ในการที่จะจัด บริเวณน้าตกปางสีดา ให้เป็นสถานที่สาหรับพักผ่อนของประชาชน ปัจจุบันประกาศเป็นอุทยาน แห่งชาติปางสีดา มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ประกอบไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติท่ีสาคัญและมีค่า เช่น ปา่ ไม้ สัตว์ป่า และทิวทัศน์ที่สวยงาม สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีพืชพรรณไม้ หลายชนิด ประกอบไปด้วย ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าผสมผลัดใบ ป่าเตง็ รัง และป่าทุ่งหญ้า เหมาะสมท่ีจะรักษาไว้เพ่ือการศึกษาวิจัยในด้านป่าไม้ สัตว์ป่า ส่วนด้านการท่องเที่ยว จุดเด่นที่ น่าสนใจ ได้แก่ น้าตกปางสีดา น้าตกผาตะเคียน กลุ่มน้าตกแควมะค่า กลุ่มน้าตกถ้าค้างคาว ภูเขาเจดีย์ ฟอสซิลไดโนเสาร์ แหล่งดูนกน้าอ่างเก็บน้าพระปรง แหล่งดูผีเสื้อ จนได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งดู ผีเสอื้ แห่งภาคตะวันออก จากความอุดมสมบูรณท์ างธรรมชาติเหลา่ นี้ จงึ ทาให้จานวนนักทอ่ งเท่ยี วเพิ่ม มากข้ึนทุกปี จากการเก็บรวบรวมข้อมูลทางสถติ ิตัวเลขของนักท่องเท่ียว โดยรวมของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช (2560) พบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติปางสีดา ในรอบ 5 ปี ท่ีผ่านมา (2556 - 2560) มีจานวนเฉล่ีย 67,140 คน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยท่ีเดินทางมา ท่องเที่ยวและพักผ่อน ทาให้สามารถสร้างรายได้ให้ แก่อุทยานแห่งชาติทั้งด้านของการเก็บ ค่าธรรมเนียมและค่าท่ีพัก จากการที่นักท่องเที่ยวมีความต้องการท่องเที่ยวเป็นจานวนมาก จึงอาจก่อให้ เกดิ ปัญหาการบรกิ ารนกั ท่องเท่ยี ว เช่น ทีพ่ ัก ร้านอาหาร ห้องน้า-สขุ า ปัญหาขยะ เป็นตน้ นอกจากน้ี ยังมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยสร้างส่ิงอานวยความสะดวกและโปรแกรมสื่อความหมายทาง ธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเท่ียวให้ความคาดหวังไว้อย่างมากเมื่อเข้ามายัง อุทยานแห่งชาติ แต่ท้ังนี้อุทยานแห่งชาติในแต่ละแห่งย่อมมีการพัฒนาสิ่งอานวยความสะดวกและ โปรแกรมส่ือความหมายทางธรรมชาติเพื่อรองรับและตอบสนองความต้องการของนักท่องเท่ียวท่ี แตกต่างกัน เนื่องจากความแตกต่างของนักท่องเท่ียวทั้งในด้านลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทาให้บางครั้งส่ิงอานวย ความสะดวกและโปรแกรมสื่อความหมายท่ีมีในพ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติอาจไม่สอดคล้องกับความ คาดหวังและความตอ้ งการของนักท่องเท่ียว ดังนั้นศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุทยานแห่งชาติ จังหวัดนครราชสีมาจึงต้องการที่จะ ศึกษาความคิดเห็นและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อส่ิงอานวยความสะดวกและโปรแกรมส่ือ ความหมายภายในอุทยานแห่งชาติปางสีดา เพื่อรับฟังความคิดเห็นของนักท่องเท่ียว ตลอดจนรับฟัง คาแนะนาและแนวทางแก้ไขที่เกิดจากความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวในการปรับปรุงส่ิงอานวยความ สะดวกและโปรแกรมส่อื ความหมายทางธรรมชาติต่อไป

สารบัญ (3) คานา หนา้ สารบัญ สารบญั ตาราง (2) สารบญั ภาพ (3) วตั ถปุ ระสงค์ (4) การตรวจเอกสาร (5) อุปกรณ์และวิธีการ 1 ผลการศึกษา 2 สรุปและขอ้ เสนอแนะ 47 เอกสารและส่งิ อ้างอิง 51 ภาคผนวก 80 83 85

(4) สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า 1 ตวั อย่างตารางแบบสอบถามเพ่ือการวิจัย 36 2 ตัวอย่างการจัดทาคู่มอื การลงรหสั 37 3 ตวั อย่างแบบสอบถาม ตวั แปร และค่ารหสั ของตวั แปร 38 4 ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งของทาโร ยามาเน่ ทรี่ ะดับความเช่ือมน่ั 95 % และความคลาดเคล่ือนต่างๆ 41 5 ภมู หิ ลงั ของนักท่องเท่ยี ว 52 6 ขอ้ มูลท่วั ไปของนกั ท่องเทยี่ วขณะทีม่ าเยือนอุทยานแหง่ ชาติ 56 7 ความพึงพอใจของนกั ทอ่ งเที่ยวท่ีมีต่อสิ่งอานวยความสะดวก 62 8 ความคิดเหน็ และความพงึ พอใจต่อการใช้บริการโปรแกรมส่ือความหมายทางธรรมชาติ ภายในอุทยานแห่งชาติปางสีดา 64 9 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งเพศกับวัตถปุ ระสงคท์ ส่ี าคญั ท่สี ุดท่ีเลือกเดินทางมาท่องเท่ียว อุทยานแหง่ ชาติปางสีดา 67 10 ความสัมพนั ธ์ระหว่างอายุกับความพงึ พอใจต่อโปรแกรมส่ือความหมาย ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ 68 11 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอายุกับความพึงพอใจต่อโปรแกรมส่ือความหมายในการแนะนา พืน้ ทโ่ี ดยเจา้ หน้าที่ 69 12 ความสมั พันธ์ระหว่างระดบั การศึกษาสูงสดุ กบั วัตถุประสงคใ์ นการเดินทางมาที่ อทุ ยานแห่งชาติปางสดี า 70 13 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างระดับการศกึ ษาสูงสดุ กบั ความพึงพอใจต่อ โปรแกรมสื่อความหมายต่อวีดที ศั นต์ า่ งๆ 71 14 ความสมั พันธ์ระหว่างอาชพี กับความพึงพอใจต่อโปรแกรมสือ่ ความหมาย นิทรรศการในอาคาร 72 15 สรุปผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตวั แปรทม่ี คี ่าระดับนยั สาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 73

(5) สารบญั ภาพ ภาพท่ี หน้า 1 แผนที่อทุ ยานแหง่ ชาตปิ างสดี า 10 2 แผนทแ่ี หลง่ ท่องเทย่ี วอุทยานแห่งชาติปางสดี า 11 3 แผนทเ่ี สน้ ทางเดนิ ทางไปอุทยานแห่งชาติปางสดี า 12 4 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งความคลาดเคลอ่ื นในการสมุ่ ตวั อยา่ งกบั ขนาดของกล่มุ ตวั อย่าง 39 5 แผนทีท่ าการเกบ็ ข้อมลู ในอทุ ยานแห่งชาติปางสีดา 46 6 ภูมิหลงั ของนักท่องเท่ียว 55 7 ข้อมูลทัว่ ไปของนักทอ่ งเที่ยวขณะทมี่ าเยือนอุทยานแห่งชาติ 60 8 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเพศกับวัตถปุ ระสงคท์ สี่ าคัญท่สี ุดที่เลือกเดินทาง มาทอ่ งเที่ยวอุทยานแหง่ ชาติปางสดี า 74 9 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างอายุกบั ความพงึ พอใจต่อโปรแกรมสื่อความหมาย ในเสน้ ทางศึกษาธรรมชาติ 75 10 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอายุกับความพงึ พอใจตอ่ โปรแกรมส่ือความหมาย ในการแนะนาพืน้ ท่ีโดยเจ้าหน้าท่ี 76 11 ความสัมพันธร์ ะหว่างระดับการศึกษาสูงสดุ กับวตั ถปุ ระสงคใ์ นการเดนิ ทาง มาทีอ่ ุทยานแห่งชาติปางสีดา 77 12 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างระดบั การศึกษาสูงสุดกบั ความพงึ พอใจต่อโปรแกรมสือ่ ความหมาย ต่อวดี ที ศั นต์ ่างๆ 78 13 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอาชีพกับความพงึ พอใจต่อโปรแกรมส่อื ความหมาย นทิ รรศการในอาคาร 79 ภาพผนวก 1 เกบ็ ข้อมลู แบบสอบถามนักท่องเทยี่ ว 86 2 แบบฟอร์มแบบสอบถาม 89

1 วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปเก่ียวกับลักษณะพ้ืนฐานทางสังคม ประชากรของผู้เดินทางมาเยือน อุทยานแหง่ ชาติปางสดี า จังหวัดสระแกว้ 2. เพ่ือประเมินความคิดเห็นและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสิ่งอานวยความ สะดวกและการใช้บริการโปรแกรมสื่อความหมายทางธรรมชาติ 3. เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยท่ีคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อนักท่องเท่ียวท่ีมีต่อความคิดเห็นและความ พึงพอใจของนักท่องเท่ียว ต่อส่ิงอานวยความสะดวกและการใช้บริการโปรแกรมสื่อความหมายทาง ธรรมชาติ

2 การตรวจเอกสาร อทุ ยานแหง่ ชาติ อุทยานแห่งชาติ (อังกฤษ : national park) คือ อุทยาน (park) ท่ีใช้เพ่ือวัตถุประสงค์ในการ สงวนรักษา มกั เป็นแหล่งสงวนที่ดินทางธรรมชาติ ที่ดินกึ่งธรรมชาติ หรือท่ีดินท่ีสร้างข้ึน ตามประกาศ หรืออยู่ในความครอบครองของรัฐเอกราช แม้ประเทศแต่ละแห่งจะนิยามอุทยานแห่งชาติของตนไว้ ตา่ งกัน แต่มีแนวคิดร่วมกัน คือ การสงวนรักษา \"ธรรมชาติแบบป่า\" (wild nature) ไว้เพ่ือคนรุ่นหลัง และเพ่ือเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิของชาติ ส่วนในระดับสากลน้ัน องค์การระหว่างประเทศชื่อ \"สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ\" หรือ \"ไอยูซีเอ็น\" (International Union for Conservation of Nature: IUCN) และหน่วยงานในสังกัด คือ คณะกรรมการโลกว่าด้วยพ้ืนท่ี คุ้มครอง (World Commission on Protected Areas) เป็นผู้นิยามอุทยานแห่งชาติ และพื้นที่ ค้มุ ครอง ประเภท \"หมวด 2\" (Category II) ในสหรัฐ แม้มีการเสนอเกี่ยวกับประเภทของอุทยานแห่งชาติมาก่อนแล้ว แต่มีการจัดตั้ง \"อุทยานแห่งชาติหรือพื้นที่ร่ืนรมย์เพื่อประโยชน์และความเพลิดเพลินของประชาชน\" (public park or pleasuring-ground for the benefit and enjoyment of the people) เป็ น ค รั้ งแ ร ก ใน ค.ศ. 1872 คือ อทุ ยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) เยลโลว์สโตนไม่ได้รับ การเรียกขานในกฎหมายว่า เป็นอทุ ยานแห่งชาติ แต่ในทางปฏิบตั ิถือกันว่า เป็นอุทยานแห่งชาติ และ ถือกันอย่างกว้างขวางว่า เป็นอุทยานแห่งชาติท่ีแรกในโลก และเป็นอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดใน โลก ส่วนพื้นที่คุ้มครองท่ีเก่าแก่ท่ีสุดนั้นคือ ป่าสงวนโทเบโกเมนริดจ์ (Tobago Main Ridge Forest Reserve) จัดต้ังใน ค.ศ. 1776 กับเขตโดยรอบ คือภูเขาบอจด์ข่าน (Bogd Khan Mountain) จัดต้ัง ใน ค.ศ. 1778 ซึ่งเป็นเวลาเกือบหน่ึงร้อยปีก่อนเยลโลว์สโตน สถานท่ีท่ีกฎหมายสหรัฐเรียกอย่างเป็น ทางการวา่ \"อุทยานแห่งชาต\"ิ เปน็ ทีแ่ รกคือ อุทยานแห่งชาติแมกคะนอว์ (Mackinac National Park) จัดตั้งใน ค.ศ. 1875 ต่อมาใน ค.ศ. 1879 มีการจัดต้ังราชอุทยานแห่งชาติ (Royal National Park) ในออสเตรเลีย จึงถือเป็นอุทยานแห่งชาติท่ีเก่าแก่ท่ีสุดเป็นอันดับสามของโลก อย่างไรก็ดี ใน ค.ศ. 1895 มีการแปรสถานะแมกคะนอว์จาก อุทยานแห่งชาติ เป็น อุทยานแห่งรัฐ (state park) โดยโอน กรรมสิทธิ์จากรัฐบาลระดับชาติไปให้รัฐบาลท้องถ่ินของรัฐมิชิแกนแทน ดังน้ันจึงมีผู้ถือว่าราชอุทยาน ของออสเตรเลียเป็นอุทยานแห่งชาติอันเก่าแก่เป็นอันดับท่ีสองของโลกคร้ัน ค.ศ. 1911 แคนาดา จัดต้ังหน่วยงานชื่อ \"อุทยานแคนาดา\" (Parks Canada) ข้ึนดูแลอุทยานแห่งชาติ นับเป็นหน่วย ราชการแหง่ แรกของโลกทีจ่ ดั ต้ังขึ้นเพอื่ งานด้านอุทยานแหง่ ชาติ

3 อุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตามนิยามของไอยูซีเอ็น คือ อุทยานแห่งชาติ กรีนแลนด์ตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeast Greenland National Park) ซ่ึงจัดตั้งใน ค.ศ. 1974 และตามข้อมูลของไอยูซีเอ็น ใน ค.ศ. 2006 มีอุทยานแห่งชาติ 6,555 แห่งท่ีเข้าหลักเกณฑ์ของไอยูซี เอน็ นอกจากนี้ ไอยซู ีเอ็นยงั พจิ ารณาปรับเปลี่ยนนยิ ามอุทยานแห่งชาติอยู่เป็นระยะ เสรี เวชบุษกร (2529) ให้ความหมายไว้ว่า อุทยานแห่งชาติ คือพื้นที่อันกว้างขวาง ประกอบด้วยทิวทัศน์ท่ีสวยงามเหมาะสาหรับการพักผ่อนหย่อนใจ มีสิ่งท่ีน่าสนใจด้านการศึกษา เช่น เป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัยของพืช สัตว์ที่หายาก หรือมีปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นท่ีน่าอัศจรรย์หรือมีสิ่งที่ น่าสนใจเป็นพิเศษทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือวัฒนธรรม อุทยานแห่งชาติที่ได้มาตรฐาน จะต้องมีพื้นที่อย่างน้อย 10 ตารางกิโลเมตร บริหารงานโดยรัฐ มีเจ้าหน้าท่ีดูแลอย่างเพียงพอที่จะ สามารถป้องกันการบุกรุกได้อย่างเด็ดขาด ข้อสาคัญ คือ จะต้องอนุญาตให้เข้าไปท่องเท่ียว และ จะต้องรกั ษาธรรมชาตใิ หค้ งสภาพดังเดิมมากท่สี ุด สหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (International Union of Conservation of Nature and Resources - IUCN) หรือปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น The World Conservation Union ได้แนะนาว่ารัฐบาลของทุก ๆ ประเทศควรสงวนคาว่าอุทยานแห่งชาติไว้ เฉพาะพ้ืนทท่ี ่ีมีลกั ษณะดงั ข้างล่างน้ี อุทยานแห่งชาติ คือ พ้ืนที่ท่ีค่อนข้างกว้างขวาง ซึ่งเป็นพื้นท่ีซึ่งระบบนิเวศหน่ึงระบบหรือ หลายๆ ระบบไม่เปล่ียนแปลงในสาระสาคัญไป เนื่องจากการเข้าไปแสวงหาประโยชน์และการยึด ครองของมนุษย์ เป็นท่ีซ่ึงพันธ์ุพืชและพันธ์ุสัตว์ มีสัณฐานและถิ่นท่ีอยู่อาศัยของพืชและน่าสนใจเป็น พิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการศึกษา และด้านการพักผ่อนหย่อนใจหรือเป็นที่ซึ่งมีสภาพ ธรรมชาติงดงามตระการตายิ่ง เป็นที่ซ่ึงองค์กรอันมีอานาจสูงสุดของประเทศได้เข้าคุ้มครอง รวมถึง เข้ าจัด ก ารยึ ด ค รอ งพ้ื น ที่ แ ล ะจั ด ก ารแส ว งห าผ ล ป ระโย ช น์ ทั้ งห ม ด โด ย เร็ว ท่ี สุ ด เท่ าท่ี จ ะ ท าได้ เพื่อปกป้องระบบนิเวศ สัณฐาน หรือสภาพธรรมชาติอันงดงามยิ่งน้ันไว้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ เปน็ องคป์ ระกอบของอุทยานแหง่ ชาตติ ลอดไป เป็นท่เี ปิดโอกาสให้คนเขา้ เย่ียมชมได้ตามเงื่อนไขพิเศษ เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านการพัฒนากาลังกาย กาลังใจ และกาลังความรู้ของผู้เข้าไปเยี่ยมชมใน รปู ของการศกึ ษา วฒั นธรรม และนนั ทนาการ สรุปได้ว่า อุทยานแห่งชาติ คือ พื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง เป็นท่ีซ่ึงมีสภาพธรรมชาติ งดงาม ตระการตา หรอื มีปรากฏการณ์ธรรมชาติทนี่ ่าอัศจรรย์ หรือเป็นท่ีน่าสนใจเปน็ พิเศษ มคี ุณค่าทางด้าน ประวัติศาสตร์ ศิลปะสังคมและวัฒนธรรม หรือมีพันธ์ุพืช พันธ์ุสัตว์ ที่น่าสนใจ ที่ควรแก่การสงวน รักษาไว้เพื่อประโยชน์ทางด้านการอนุรักษ์ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และ ทางด้านการพักผ่อนหย่อนใจทั้งน้ีพื้นที่ดังกล่าว มิได้อยู่ในครอบครองของผู้หน่ึงผู้ใดโดยเฉพาะ

4 นอกจากรัฐเข้าไปดาเนินการเพ่ือสงวนรักษาและจัดการเพ่ือให้เกิดประโยชน์ได้ตามเง่ือนไขพิเศษ โดยไมเ่ ปลยี่ นแปลงสภาพธรรมชาตทิ ่สี าคญั ความเป็นมาของอทุ ยานแห่งชาตใิ นประเทศไทย แนวความคิดเร่ืองอุทยานแห่งชาติเร่ิมประมาณ 100 กว่าปีมาแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา คือ ในช่วงเวลานั้นได้มีการสารวจและบุกเบิกดินแดนทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือเพ่ือ การตงั้ ถิ่นฐาน ขยายพืน้ ทเ่ี พาะปลูก และเพ่ือความรใู้ นดินแดนที่ยังไม่มีการบุกเบิก เหตุผลท่ีผลักดันให้ มีการสารวจดังกล่าวคือ การเพิ่มขึ้นของจานวนประชากรทาให้มีพื้นที่เพื่อท่ีอยู่อาศัยและพื้นที่ เพาะปลูกมีผลผลิตน้อยลง การสารวจและบุกเบิกดังกล่าวส่งผลให้มีการค้นพบภูมิประเทศที่งดงาม หลายแห่ง การต้ังถิ่นฐานและการเพาะปลูกในพื้นท่ีป่าเพ่ิมมากขึ้น ทาให้พ้ืนท่ีป่าลดลงมาก จนปี พ.ศ. 2407 แนวความคดิ ทางนิเวศวิทยาของ George Perkins Marsh ในหนังสือ Man and Nature ท่ีว่า \"มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การทาลายธรรมชาติก็เท่ากับว่าเป็นการทาลายตัวมนุษย์เอง\" ได้จุดประกายให้มีการริเร่ิมการสงวนแหล่งธรรมชาติขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2415 อทุ ยานแหง่ ชาติแหง่ แรกของโลกจงึ ได้ถูกจัดตั้งข้นึ ท่ี Yellowstone โดย Abraham Lincoln สาหรับประเทศไทย แนวความคิดในการจัดต้ังอุทยานแห่งชาติได้ริเร่ิมข้ึนภายหลัง สงครามโลกครั้งท่ีสอง ท้ังนี้เน่ืองมาจากอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทาให้ ความต้องการพื้นที่เพ่ือการเพาะปลูกเพิ่มข้ึนเป็นเงาตามตัว ผลที่ตามมาคือการหักล้างถางพงเปล่ียน สภาพป่าเป็นไร่นา ประกอบกับความเจรญิ ทางด้านวตั ถแุ ละเทคโนโลยี มีการใช้อาวุธที่ทนั สมัยล่าสัตว์ อย่างล้างผลาญ ทาให้สัตว์ป่าลดจานวนลงอย่างรวดเร็ว สัตวป์ ่าบางชนิดสูญพนั ธ์ุไปเลยก็มี จนในท่ีสุด รฐั บาลได้ตระหนักถึงความสาคัญของการคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะด้านป่าไม้และ สตั ว์ป่า จงึ ดาริให้มกี ารจัดตั้งสวนรุกขชาติ วนอุทยาน และอุทยานแห่งชาติ โดยกาหนดให้ป่าภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นวนอุทยานแห่งแรก ในปี พ.ศ. 2486 แต่ด้วยเป็นช่วงสงครามโลก การดาเนินงานเพื่อ ประกาศจัดต้ังอุทยานแห่งชาติจึงมีอุปสรรคและต้องระงับไปจนกระท่ังในปี พ.ศ. 2502 ฯลฯ จอม พลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ส่ังการให้กระทรวงเกษตรและกระทรวงมหาดไทยร่วมกัน พจิ ารณากาหนดพ้นื ทป่ี ่าเพ่อื จดั ตงั้ อุทยานแห่งชาตขิ น้ึ คณะรัฐมนตรีในสมัยน้ันได้ประชุมปรึกษาและลงมติเป็นคร้ังแรกเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2502 ให้แต่งตั้งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติขึ้น เพื่อจัดทาโครงการและดาเนินงานเกี่ยวกับการสงวนและ คุ้มครองทรพั ยากรธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วย รฐั มนตรีว่าการกระทรวงเกษตร เปน็ ประธานกรรมการ โดยตาแหน่งมีอธิบดีกรมป่าไม้ กรมที่ดิน ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตร กระทรวง คมนาคม สานักงบประมาณ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว สานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

5 และสมาคมโรงแรม และกรรมการผู้มีเกียรติได้รับแต่งตั้ง มีนายแพทย์บุญ ส่ง เลขะกุล นายเล็ก จุณณานนท์ พลตรีเสถียร พจนานนท์ พันเอกหลวงวิจิตรวาทการ พันเอกทวนชัย สาริกขกานนท์ และนาวาโทประสาท พรหมประวตั ิ รน. คณะกรรมการฯ ได้เลือกให้หัวหน้ากองบารุง กรมป่าไม้ เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ โดยตาแหน่ง ผลการประชุมของคณะกรรมการได้กาหนดให้คัดเลือกพ้ืนที่ป่าเพ่ือจัดต้ังเป็นอุทยาน แห่งชาติขึ้นรวม 14 แห่ง ได้แก่ ป่าดอยสุเทพ ป่าดอยอินทนนท์ ป่าดอยขุนตาล ป่าลานสาง ป่าน้าหนาว ป่าทุ่งแสลงหลวง ป่าภูกระดึง ป่าภูพาน ป่าเขาใหญ่ ป่าเขาสระบาป ป่าเขาคิชฌกูฏ ป่าเทือกเขาสลอบ ป่าเขาสามร้อยยอด และป่าเขาหลวง การคัดเลือกพื้นท่ีดังกล่าวได้รับความช่วยเหลือจาก Dr.George D. Ruhle ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรรมชาติของ U.S. National Park Service ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2504 ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 เม่ือวันที่ 22 กันยายน 2504 ซ่ึงมีผล บังคับใช้ถัดวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือวันท่ี 4 ตุลาคม 2504 หลังจากน้ันได้มีพระราช กฤษฎีกากาหนดให้พื้นที่ต่างๆ เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยมีเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของ ประเทศไทยเม่ือปี พ.ศ. 2505 จนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2559) ประเทศไทยมีอุทยานแห่งชาติที่ได้รับ การประกาศจดั ตัง้ แลว้ ทั้งส้ิน 128 แหง่ รวมพ้ืนท่ีท้ังหมดประมาณ 39.01 ล้านไร่ และอุทยานแห่งชาติ ที่อย่รู ะหวา่ งเตรียมการจดั ตั้งอกี 22 แหง่ อทุ ยานแหง่ ชาติปางสีดา อุทยานแห่งชาติปางสีดา มีพื้นท่ีครอบคลุมท้องที่อาเภอตาพระยา อาเภอวัฒนานคร อาเภอเมืองจังหวัดสระแก้ว และอาเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ประกอบด้วย ทรัพยากรธรรมชาติท่ีสาคัญและมีค่า มีสภาพธรรมชาติและเอกลักษณ์ทางธรรมชาติท่ีสวยงามหลาย แห่ง เช่น น้าตกปางสีดา น้าตกผาตะเคียน น้าตกแควมะค่า จุดชมวิว โขดหินตามลาน้าที่มีลักษณะ แปลกๆ มเี นอ้ื ท่ปี ระมาณ 527,500 ไร่ หรอื 844 ตารางกโิ ลเมตร ความเปน็ มาของการจัดต้ังอุทยานแห่งชาติปางสีดา เดมิ บริเวณน้าตกปางสีดา เป็นหน่วยงาน หน่ึงในโครงการพัฒนาพ้ืนท่ีราบเชิงเขา จังหวัดปราจีนบุรี ซ่ึงเป็นโครงการในพระราชดาริ ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการท่ีจะจัดบริเวณน้าตกปางสีดา ให้เป็นสถานท่ีสาหรับพักผ่อน ของประชาชน อีกท้ังยงั เปน็ การรกั ษาพ้ืนที่ต้นน้าลาธารและสภาพปา่ ธรรมชาติ ดังนน้ั กรมป่าไมจ้ ึงได้ จัดต้ังให้เป็นวนอุทยานแห่งชาติ ชื่อว่า วนอุทยานปางสีดา เม่ือปี พ.ศ. 2521 ต่อมากองอุทยาน แห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้ทารายงานสารวจเบ้ืองต้น กาหนดให้ป่าน้าตกปางสีดาและพ้ืนที่ใกล้เคียงเป็น อุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากาหนดบริเวณที่ดิน ป่าแก่งดินสอ ป่าแก่งใหญ่ ป่าเขาสะโตน และป่าท่ากระบาก ในท้องที่ ต.แก่งดินสอ อ.นาดี ต.บ้านแก้ง ต.ท่าแยก ต.โคกปี่ฆ้อง อ.สระแก้ว

6 ต.หนองน้าใส ต.ช่องกุ่ม ต.แซร์ออ อ.วัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรีให้เป็นอุทยานแห่งชาติปางสีดา ซ่ึงประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนท่ี 24 ลงวันท่ี 22 กุมภาพันธ์ 2525 เป็นอุทยาน ฯ แหง่ ที่ 41 ของประเทศไทย ปัจจบุ ันอุทยานแห่งชาติปางสีดา ต้ังอยู่ในพื้นท่ี อ.เมือง อ.วัฒนานคร อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว และ อ.นาดี จังหวัดปราจีนบุรี ต้ังอยู่ทางทิศใต้ของเทือกเขาพนมดงรัก คลอบคลุมพื้นที่ 527,500 ไร่ หรือประมาณ 844 ตารางกิโลเมตร มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ ประกอบไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติท่ี สาคัญและมีค่า เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า และทิวทัศน์ที่สวยงาม สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง สลบั ซบั ซ้อน มพี ืชพรรณไม้หลายชนดิ ประกอบไปด้วย ป่าดบิ ช้นื ป่าดบิ แล้ง ป่าดบิ เขา ปา่ ผสมผลดั ใบ ป่าเต็งรัง และป่าทุ่งหญ้า เหมาะสมที่จะรักษาไว้เพ่ือการศึกษาวิจัยในด้านป่าไม้ สัตว์ป่า ด้านการ ท่องเท่ียว จุดเด่นท่ีน่าสนใจ ได้แก่ น้าตกปางสีดา น้าตกผาตะเคียน กลุ่มน้าตกแควมะค่า กลุ่มน้าตก ถา้ คา้ งคาว ภูเขาเจดีย์ ฟอสซิลไดโนเสาร์ แหล่งดูนกน้าอ่างเก็บน้าพระปรง แหล่งดูผีเสื้อ จนได้รับการ ยอมรับว่าเป็นแหล่งดูผีเส้ือแห่งภาคตะวันออก การเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติปางสดี า จากสถานีขนส่ง จังหวัดสระแก้ว ถึงที่ทาการอุทยาน ฯ ระยะทางประมาณ 27 กม. ปัจจุบันได้รวมผืนป่า 5 ผืนป่า ประกอบไปด้วย อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ปางสีดา ทับลาน ตาพระยา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ เนื้อที่ประมาณ 3.8 ล้านไร่ เรียกว่า “ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่” และได้ประกาศเป็น “มรดกโลก ทางธรรมชาติ แหง่ ท่ี 2 ของประเทศไทย” เมอ่ื วนั ท่ี 14 กรกฎาคม 2548 ลักษณะภมู ิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศอุทยานแห่งชาติปางสีดาตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเทือกเขาพนมดงรัก สภาพภมู ิประเทศส่วนใหญ่เป็นภเู ขาสูงชันสลับซับซ้อน มผี ืนปา่ อนั อุดมสมบูรณ์ เป็นตน้ น้าของลาห้วย หลายสายท่ีไหลรวมเป็นแม่น้าบางปะกง โดยลักษณะของพ้ืนที่จะมีความลาดชันจากทศิ เหนือไปยังทิศ ใต้ เม่ือฝนตกหนักปริมาณน้าฝนจากเทือกเขาไหลลงสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว เน่ืองจากความลาดชัน คอ่ นขา้ งสงู ลกั ษณะภูมิอากาศ ส ภ า พ ภู มิ อ า ก า ศ ภู มิ อ า ก า ศ ข อ ง อุ ท ย า น แ ห่ ง ช า ติ ป า ง สี ด า เป็ น แ บ บ ทุ่ ง ห ญ้ า เมื อ ง ร้ อ น (Savanna Climate) ซ่ึงในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีอากาศชุ่มชื้นและฝนตกตลอดฤดูแต่ในฤดู มรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ หรือฤดูหนาวนั้นจะมีอากาศแห้งแล้ง ฤดูร้อน เริ่มต้ังแต่กลางเดือน กุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม อากาศจะร้อนอบอ้าวทั่วไปโดยเฉพาะในเดือนเมษายน เป็นเดือนที่มีอากาศร้อนอบอ้าวมากในรอบปี ฤดูฝนเร่ิมต้ังแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือน

7 ตุลาคม ซึ่งระยะท่ีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้าสู่ประเทศไทย อากาศจะเร่ิมชุ่มชื้นและมีฝนตก ต้ังแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ฤดูหนาวเริ่มต้ังแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซง่ึ เป็นช่วงของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศโดยทั่วไปจะหนาวเย็นและแห้งแล้ง แตเ่ นอ่ื งจาก ได้รบั กระแสลมจากทะเลทาใหไ้ ม่หนาวจัดมาก ทรัพยากรปา่ ไม้ พันธุ์พืช และทรัพยากรป่าไม้ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติปางสีดาครอบคลุมพ้ืนท่ีประมาณ 500,320.22 ไร่ หรือประมาณร้อยละ 94.79 ของพ้ืนท่ีอุทยานฯ สามารถจาแนกสังคมพืชออกเป็น ประเภทต่างๆ ได้แก่ ป่าดิบช้ืน ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่ารุ่นสอง/ไร่ร้าง และป่าไผ่ โดยสามารถ สรปุ ผลได้ดังน้ี ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest) ป่าดิบชื้นกระจายอยู่ท่ัวพ้ืนท่ี อยู่ในระดับ ความสูงต้ังแต่ 400 -1,000 เมตรจากระดับน้าทะเลปานกลาง ครอบคลุมพื้นที่มากท่ีสุดของอุทยานฯ คือ 302,123.88 ไร่ หรือประมาณร้อยละ 57.24 ของพื้นที่ป่าไม้ พรรณไม้คล้ายคลึงกับปา่ ดิบแล้ง แต่ มีพืชวงศ์ยาง (Dipterocarpaceae) ชนิดต่างๆ ข้ึนมากกว่า คือ ยางกล่อง (Dipterocapus dyeri) ยางขน (Dipterocapus buadii) ยางเสียน (Dipterocapus gracilis) และกระบาก (Anisoptera costata) ตามหุบหว้ ยมไี ม้ตมุ้ แต๋น หรอื ลาพปู ่า (Duabanga grandiflora) และกระทุม่ (Anthocephalus Chinensis) ขึ้นอยู่ท่ัวไป บริเวณลาธารมักจะมีไผ่ลามะลอก (Dendrocalamus longispathus) ในพื้นที่ ค่อนข้างสูงน้ัน ยางกล่อง (Diptarocapus dyeri) ยางขน (Dipterocapus buadii) กระบาก (Anisoptera costata) จะไม่มีปรากฏอยู่ แต่จะมียางดง (Dipterocapus macrocapus) เข้ามา แทนท่ี นอกจากน้ีมีไม้ เค่ียมคะนอง (Shorea henryana) กระตุก มะมือ (Chorospondias axillaris) จาปีป่า (Paramichellia baillonii) พะอง (Calophyllum polyamthum) และทะโล้ (Schima walllichii) ไม้ช้ันรองเป็นพวกก่อชนิดต่างๆ เช่น ก่อน้า (Lithocapus annamensis) ก่อรัก (Quercus semiserrata) ก่อด่าง (Quercus myrsinifolia) และก่อเดือย (Castanopsis acuminatissima) ขึ้น ปะปนกับ ข้ีขม (Ligustrum confusum) ส่วนไม้พุ่มมีหลายชนิดได้แก่ ส้มกุ้ง (Embelia ribes) ข้าวสารหลวง (Measa ramentacea) ชะโอน (Viburnum punctuatum) สะพ้านก้าน (Sambucus javanica) สะบ้า (Entada phaseoloides) และ คานหามเสือ (Aralia armata) เป็นต้น บริเวณริม ธารจะพบพวกต้นกูด เช่น มหาสะดา (Cyathea borneensis) และกูดพร้าว (Latebrosa copel) ข้ึน ปะปนกับ ละอองฟ้า (Pseudodrynaria coronans) ส่วนกล้วยไม้ที่พบข้ึนท่ัวไป เช่น เอ้อื งกุหลาบพวง (Aerides falcatum) และเอือ้ งปากเป็ด (Cymbidium simulans) ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) ป่าดิบแล้งกระจายอยู่ทั่วพื้นท่ีค่อนข้างราบใน บริเวณทิศตะวันออกของอุทยาน ฯ ทส่ี ูงระดับความสูงต้งั แต่ 100-400 เมตรจากระดับน้าทะเลปานกลาง

8 ครอบคลุมพื้นที่มากเป็นอันดับสองของอุทยานฯคือ 154,452.80 ไร่ หรือร้อยละ 29.26 ของพื้นท่ี ทั้งหมด พรรณไม้ท่ีสาคัญพบทั่วไปคือ ยางนา (Dipterocarpus alatus) ยางแดง (Dipterocarpus turbinnatus) เค่ียมคะนอง (Shorea henryana) พะยอม (Shorea roxburgii) ตะเคียนทอง (Hopea odorata) ตะเตียนหิน (Hopea Ferrea) ตะแบกใหญ่ (Legerstroemia calyculata) มะค่าโมง (Afzelia xylocarpa) สมพง (Tetrameles nudiflora) พลองขี้นก (Memecylon floribundum) เป็นต้น นอกจากน้ียังมีปาล์มต้นสูงสองชนิด คือ หมากนางลิง (Areca Triandra) และลาน (Coryha lecomtei) ข้ึนกระจายทั่วไป พืชพรรณช้ันล่างเป็นไม้วงศ์ Marantadeae สกุล Phrynium และ Cucurlico ว ง ศ์ ก ร ะ เจี ย ว (Zingiberceae) ส กุ ล Achasma ส กุ ล Curcuma, Amomum, catimbium และ Ctenolopon ซึ่งขึ้นป ะป นกับ กล้วยไม้ป่ า (Musa acuminata) และเตย (Pandanus) ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) ป่าเบญจพรรณกระจายอยู่ในพ้ืนท่ี บรเิ วณทางทิศใต้ของอุทยานฯครอบคลมุ พ้ืนท่ีมากเป็นอันดบั สามของอทุ ยานฯคือ 32,146.89 ไร่ หรือ ประมาณรอ้ ยละ 6.09 ของพ้ืนทปี่ า่ ไม้ พรรณไม้ทส่ี าคัญพบท่ัวไป คือ มะค่าโมง (Afzelia xylocarpa) ป ร ะ ดู่ (Pterocarpus macrocarpus) ต ะ แ บ ก ให ญ่ (Legerstroemia calyculata) ป อ อ้ี เก้ ง (Pterocymbium javanicum) ซ้อ(Gmelia arborea) กว้าว (Adina pinata) และตะเคียนหนู (Anogeissus acuminata) ส่วนพืชช้ันล่าง ประกอบด้วย ไผ่ป่า (Bambusa arundinacea) และ หญา้ ชนดิ ตา่ งๆ ปา่ ไผ่ (Bamboo Forest) ปา่ ไผ่กระจายอยู่บริเวณตอนกลางด้านลางของอุทยานฯมี พื้นที่ครอบคลุม4,419.55 ไร่ หรือประมาณ0.84 ของพ้ืนที่ป่าไม้ ส่วนใหญ่เป็นไผ่ป่า (Bambusa arundinacea) ป่าไม้รุ่นสอง/ไร่ร้าง (Secondary Forest and Old clearing) ทุ่งหญ้า ไม้พุ่มและ ไม้ละเมาะ (Grass and Shrubus land) เกิดจากการทดแทนของสังคมพืชของพ้ืนท่ีๆ ถูกบุกรุกแผ้ว ถางแล้วละทง้ิ พืน้ ทไี่ ป ท่บี รเิ วณด้านใต้ของพืน้ ทอ่ี ทุ ยานฯเป็นแนวขนานกบั แนวเขตอุทยานฯ รวมพ้ืนท่ี ประมาณ 7,177.11 ไร่ และ 5,745.93 ไร่ ตามลาดับลักษณะการเกิดทุ่งหญ้าและป่ารุ่นสอง (Grassland and Secondary forest) นี้มีสาเหตุเช่นเดียวกับท่ีอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ คือเกิด เนอื่ งจากการทาไร้เลอ่ื นลอยในอดตี ก่อนทจ่ี ะมีการจัดต้งั อทุ ยานฯเมอื่ มีการอพยพราษฎรลงไปสทู่ ร่ี าบ บริเวณดังกล่าวถูกปล่อยท้ิง ต่อมามีสภาพเป็นทุ่งหญ้าคา (Imperata cylindrica) เสียส่วนใหญ่ ทุ่งหญ้าเหล่านี้มักถูกไฟไหม้เป็นประจา ส่วนทุ่งหญ้าบางท่ีเมื่อมีการป้องกันไฟมิให้ลามเข้ามาไหม้ สภาพทงุ่ หญ้าก็จะเปล่ียนสภาพมาเป็นปา่ ละเมาะหรือป่ารุ่นที่สอง ซึ่งมกั พบพรรณไมเ้ บกิ นา (pioneer species) หลายๆชนิด จานวนช้ันเรือนยอดของป่ารุ่นท่ีสองสามารถจาแนกได้สองช้ันเรือนยอด คือ เรือนยอดช้ันบน สูงประมาณ 8-15 เมตร พรรณไม้สาคัญที่พบคือ ตะแบกกราย (Terminalia

9 pierrei) ติ้วเกล้ียง พลับพลา เขลง โมกมัน และแคหางค่าง (Fernando adenophylla) โดยมีค่า ดัชนีความสาคัญเท่ากับ 77.23, 43.10, 41.95, 35.38,14.28 และ 5.42 ตามลาดับ ส่วนเรือนยอดชั้นไม้ พุ่ม มีความสูงไม่เกิน 8 เมตร พรรณไม้ที่สาคัญได้แก่ กล้วยน้อย (Xylopia vielana) อีแปะ (Vitex quinata) คารอก (Ellipanthus tometosus) บูตูบูแว (Gonocaryum lobbianum) ทรพั ยากรสัตวป์ ่า ทรัพยากรสัตว์ป่าสัตว์ป่าที่อยู่อาศัยในบริเวณอุทยานแห่งชาติปางสีดา จังหวัดสระแก้ว และ ปราจีนบุรี ซ่ึงมีการศึกษาชนิดความชุกชุม ตลอดจนชีววิทยาบางประการของสัตว์ป่าท่ีมีกระดูกสันหลัง สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 5 กลุ่มคือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก สตั ว์เล้ือยคลาน สัตวส์ ะเทนิ น้าสะเทินบก และปลาน้าจืด โดยมีจานวนท้ังส้ิน 278 ชนิด แบ่งเป็นสัตว์เล้ียงลูกด้วยนม 81 ชนิด จาก 58 สกุล ใน 20 วงศ์ นก 143 ชนิด จาก 107 สกุล ใน 38 วงศ์ จัดเป็นนกประจาถ่ิน (Resident bird) 131 ชนิด และนกอพยพย้ายถิ่น (Winter visitor) จานวน 12 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 19 ชนิด จาก 17 สกุลใน 5 วงศ์ สัตว์สะเทินน้าสะเทินบก 16 ชนิด จาก 7 สกุล ใน 3 วงศ์ และปลาน้าจืด 19 ชนิด จาก 17 สกุลใน 10 วงศ์(กรมป่าไม้,2543) และจากการสารวจในฤดูหนาวพบสัตว์ป่าทั้งหมด 267 ชนิด ประกอบด้วย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 41 ชนิด นก 188 ชนิด สัตว์เล้ือยคลาน 26 ชนิด และสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก 12 ชนดิ โดยสัตว์ป่าท้ังหมดจานวน 267 ชนิด ส่วนใหญ่จัดเป็นสัตวป์ ่าคุ้มครอง (224 ชนิด) สัตว์ป่าที่ พบตามสถานภาพของ สผ. และ IUCN มีประเภทท่ีใกล้สูญพันธ์ุอย่างยิ่ง (Critically endangered) 1 ชนิด คือ จระเข้น้าจืด (Crocodylus Siamensis) ส่วนประเภทที่ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) 4 ชนิด ได้แก่ ช้างป่า (Elephas maximus) นกกระสานวล (Ardea cinerea) นกกระสาแดง (Ardea purpurea) และเตา่ เหลือง (Indotestudo elongata) ส่วนประเภทที่มีแนวโน้มใกล้สญู พนั ธุ์ จานวน 10 ชนดิ ได้แก่ ลิงกงั (Mecaca nemestrina) ชะนีมือขาว (Hylobates lar) หมาใน (Cuon alpinus) หมีหมาหรือหมีคน (Ursus malayanus) หมีควาย (Ursus thibetanus) เสือดาว (Panthera pardus) กระทิงหรือเมย (Bos gaurus) เม่นใหญ่ (Hystrix brachyura) ตะพาบน้า (Amyda cartilaginea) และเต่านา (Malayemys subtrijuga) สาหรับทรัพยากรสัตว์ป่าท่ีสารวจพบ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาตปิ างสีดา เป็นสัตว์ป่าท่ีสามารถพบได้ทั่วไปพ้ืนที่ตา่ งๆ ของประเทศไทย ยกเว้น จระเข้น้าจืด ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีสถานภาพจัดอยู่ในประเภทสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธ์ุอย่างยิ่ง นอกจากน้ี ยังมีสัตว์ป่าอีกหลายชนิดท่ีมีสถานภาพจัดอยู่ในประเภทท่ีใกล้สูญพันธุ์และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธ์ุ ดังน้ันพื้นท่ีอุทยานแห่งชาติปางสีดามีโอกาสท่ีจะพัฒนาเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติและค้นค ว้าวิจัย เกย่ี วกบั สัตว์ป่าไดเ้ ป็นอย่างดี โดยเฉพาะแหล่งอนุรักษ์จระเข้นา้ จืดบริเวณแก่งยายมาก ซึ่งคาดว่าจะมี เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย สาหรับปัจจัยท่ีอาจมีผลกระทบต่อการดารงชีวิตของสัตว์ป่าตาม ธรรมชาติ ได้แก่ การท่ีชาวบ้านปล่อยสัตว์เลี้ยงให้หากินบริเวณใกล้เคียงพ้ืนท่ีอุทยานฯ โดยสัตว์เลี้ยง

10 เหล่าน้ีอาจเข้ามาแย่งพื้นที่และขบั ไล่สัตว์ป่าชนิดอ่ืนๆ ในพื้นท่ีอุทยานฯ ได้ ปัญหาการลักลอบล่าสัตว์ ป่าหรือหาของป่า ซึ่งเป็นการรบกวนการดารงชีวิตของสัตว์ป่าในพื้นท่ีอุทยานฯการเปลี่ยนแปลง คุณภาพน้าจากกิจกรรมนักท่องเท่ียวที่มีจานวนมาก อาจก่อให้เกิดปัญหาการวางไข่ในน้าของสัตว์ สะเทนิ น้าสะเทนิ บกในพ้นื ทอี่ ุทยานฯ หนว่ ยงานในพนื้ ที่ - ที่ทาการอุทยานแหง่ ชาติปางสดี าหน่วยพทิ กั ษอ์ ุทยานแห่งชาตทิ ่ี ปด.1 (หว้ ยโสมง) - หนว่ ยพิทักษ์อทุ ยานแหง่ ชาตทิ ี่ ปด.2 (คลองหมากนัด) - หนว่ ยพิทกั ษอ์ ทุ ยานแห่งชาตทิ ่ี ปด.3 (โคกสัมพนั ธ์) - หนว่ ยพทิ กั ษอ์ ทุ ยานแหง่ ชาตทิ ี่ ปด.4 (ดา่ นตรวจ) - หนว่ ยพิทักษ์อทุ ยานแหง่ ชาตทิ ่ี ปด.5 (หว้ ยนา้ เย็น) - หนว่ ยพทิ กั ษอ์ ุทยานแห่งชาตทิ ี่ ปด.6 (ชอ่ งกล่าบน) - หน่วยพิทกั ษ์อุทยานแห่งชาติท่ี ปด.7 (คลองเกลอื ) - หน่วยพิทักษอ์ ทุ ยานแห่งชาตทิ ่ี ปด.8 (พระปรง) - หน่วยพทิ กั ษ์อทุ ยานแหง่ ชาติที่ ปด.9 (เขหว้ ยชัน) - หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาตทิ ี่ ปด.10 (วังครก) - หน่วยพิทักษ์อุทยานแหง่ ชาตทิ ี่ ปด.11 (เขาทะลาย) ภาพท่ี 1 แผนที่อุทยานแหง่ ชาติปางสีดา ท่มี า : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธุพ์ ืช

11 สถานท่ที อ่ งเท่ียว - นา้ ตกทบั ซุง - จุดสกดั ลานหิน - น้าตกปางสดี า - น้าตกผาตะเคียน - น้าตกถ้าค้างคาว - น้าตกทบั เทวา - ลานหินดาด - นา้ ตกแควมะค่า - ทงุ่ หญา้ บุตาปอด (โปง่ กระทิง) - จุดชมววิ กม 25 ภเู ขาเจดีย์ - อา่ งเก็บนา้ พระปรง ภาพที่ 2 แผนทีแ่ หล่งท่องเที่ยวอทุ ยานแห่งชาตปิ างสีดา ท่มี า : กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ปา่ และพันธพุ์ ืช

12 การเดนิ ทาง การเดนิ ทางโดยรถยนต์ 1. จากกรุงเทพฯ ถึงอาเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว ระยะทาง 256 กิโลเมตร จาก อาเภอเมือง โดยสารรถประจาทางไปตามทางหลวงหมายเลข 3462 สายสระแก้ว - บา้ นคลองนา้ เขยี ว ระยะทางประมาณ 27 กโิ ลเมตร ถึงทที่ าการอุทยานแหง่ ชาตปิ างสดี า เดินทางโดยรถไฟ 2. สายตะวันออก กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ เที่ยวแรกออกเวลา 06.00 น. เที่ยวสอง ออก 13.00 น. ถึงสถานีรถไฟสระแก้ว แลว้ นัง่ รถโดยสารจากอาเภอสระแกว้ ถึงทท่ี าการอุทยานฯ ภาพที่ 3 แผนท่เี ส้นทางเดินทางไปอทุ ยานแห่งชาติปางสดี า ทมี่ า : กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์พุ ชื

13 ความคดิ เห็น ความหมายของความคิดเหน็ บุญเรียง ขจรศิลป์ (2534) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความคิดเห็น หมายถึง การแสดงออกทาง วาจาของเจตคติ การท่ีบุคคลกล่าวว่าเขามีความเช่ือหรือความรู้สึกอย่างไรนั้น เป็นการแสดงความ คดิ เหน็ ของบุคคลนนั้ ดงั นนั้ การวัดความคิดเหน็ ของบคุ คลนั้นเปน็ ส่งิ ท่เี ปน็ ไปได้ สชุ า จันทน์เอม (2541) ได้กล่าวว่า ความคิดเห็น หมายถึง ความรสู้ ึกของบุคคลที่มตี ่อสิ่งหน่ึง แต่เป็นลักษณะที่ไม่ลึกซ้ึงเหมือนกับทัศนคติ คนเรามักจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป ความคิดเห็น เป็นส่วนหนึง่ ของทศั นคติ ศิริวรรณ และคณะ (2541) ได้ให้ความหมายว่า ความคิดเห็น คือ การประเมิน หรือการ ตัดสินเก่ียวกับความชอบหรือไม่ชอบในวัตถุ คน หรือเหตุการณ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของ คนๆ หนึง่ เกี่ยวกับบางสิ่งบางอยา่ ง Good (1973:339) กล่าวว่าความคิดเห็น หมายถึง ความเชื่อ ความคิดหรือการลงความเห็น เก่ียวกบั สงิ่ หน่ึงส่งิ ใด ซึ่งไม่อาจบอกได้ว่าถูกต้องหรือไม่ Kolasa (1969: 386) กล่าวว่า ความคิดเห็น เป็นการแสดงออกของแต่ละบุคคลในอันที่จะ พิจารณาถึงข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเป็นการประเมินผล (evaluation) สิ่งใดสิ่งหนึ่งจาก สถานการณ์แวดลอ้ ม (circumstance) ตา่ งๆ หรือ “ความคดิ เห็น” เป็นการสนองต่อสงิ่ เร้าทถี่ ูกจากัด สรุปได้ว่า ความคิดเห็น หมายถึง การแสดงออกทางด้านความคิด ความรู้สึก และความเช่ือ ของบุคคลท่ีมีต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึงด้วยการพูด หรือเขียน ภายใต้พ้ืนฐานของความรู้ประสบการณ์ และ สภาพแวดล้อมของบุคคลนน้ั เขา้ มาเก่ียวข้องในการตัดสินใจ ซึง่ ความคิดเห็นน้นั อาจจะเป็นไปในทาง เหน็ ดว้ ย หรือไม่เห็นด้วยก็ได้ ลักษณะของความคดิ เห็น สงวน สุทธิเลิศอรุณ (2529) ได้กล่าวว่า ลักษณะของความคิดเห็นจะเป็น 2 มิติ คล้ายๆ กับวัตถุ ซ่ึงเป็นมิติความกว้างและมิติความยาว ลักษณะของความคิดเห็นจะประกอบด้วยมิติทิศทาง มีลักษณะดังต่อไปน้ี 1. ทิศทางมีอยู่ 2 ทิศทาง คือ ทางบวกและทางลบ ทางบวก ได้แก่ ความรู้สึกหรือ ทา่ ทางในทางที่ดี ชอบหรือพึงพอใจ ส่วนทางลบ ก็เป็นไปทางตรงกันข้าม ได้แก่ ความรสู้ ึกหรือทา่ ทาง ในทางทไ่ี ม่ดี ไม่ชอบและไม่พงึ พอใจ 2. ความเข็มข้นมีอยู่ 2 ขนาด คือ ความเข้มข้นมาก และความเข้มข้นน้อย เช่นบาง คนมคี วามรู้สึกชอบสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก แต่บางคนมที ่าทีใฝ่ต่ามากๆ ถา้ บุคคล มคี วามคดิ เหน็ ที่มคี วามเข้มขน้ มาก จะเปน็ อุปสรรคในการเปลย่ี นแปลงความคดิ เหน็

14 นวม สงวนทรัพย์ (2535) ได้สรุปเก่ียวกับความคิดเห็นว่า ความคิดเห็นมีลักษณะสาคัญ 3 ประการ คอื 1. ความคิดเห็น คือ ความพร้อมทางจิตหรือระบบประสาท กล่าวอีกนัยหน่ึง ความคิดเห็น คือ การแสดงออกแห่งภาพทางสมองทางจิตเก่ียวกับวัตถุ ปัจเจกชน และสถานการณ์ ต่างๆ 2. ความคิดเห็นไมใ่ ชส่ งิ่ ติดมาแต่กาเนดิ หากเป็นการเรยี นรขู้ องมนษุ ย์ 3. ความคิดเห็นทาหน้าท่ีกระตุ้นหรือเร้าให้บุคคลควรประพฤติ หรือแสดงปฏิกิริยา ในอาการอย่างใดอยา่ หนง่ึ ตอ่ ปจั เจกชน วัตถุ หรอื สถานการณ์ต่างๆ สรุปได้ว่า ลักษณะความคิดเห็น ที่แสดงออกมาต่อสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน วัตถุหรือ สถานการณ์ต่างๆ ในแง่บวกและลบ คือ ความรู้สึกที่ดี - ไม่ดี ชอบ –ไม่ชอบ พอใจ - ไม่พอใจ ซึ่งเกิด จากการเรียนรู้ ประสบการณ์ สภาพแวดล้อมในสงั คมน้ันๆ ทีก่ ระตนุ้ ให้แสดงความรสู้ ึกนกึ คดิ ออกมา ปัจจยั ที่มอี ทิ ธิพลต่อความคิดเห็น ประภาเพ็ญ สวุ รรณ (2540) ได้กล่าวว่า อายุ มีผลต่อเจตคติของบคุ คลส่วนใหญ่มักปรบั ตัวให้ เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปล่ียนไปได้ยาก ซึ่งทาให้มีผลตอ่ เจตคตขิ องเขาเอง นอกจากอายุแล้วยงั มีตวั แปร อ่ืนๆ อีกมากมาย เช่น ปฏิกิริยาของบุคคลต่อส่ิงเร้า ข่าวสาร เป็นต้น บุคคลที่แตกต่างกัน จะมี ปฏกิ ริ ยิ าไม่เหมือนกนั ผลทีจ่ ะมีต่อการเปลย่ี นแปลงเจตคติ ความคิดย่อมแตกตา่ งกนั ไปด้วย รัชนี พิทักษ์ญาติ (2546) ได้กลา่ วไวว้ า่ ปัจจยั ท่มี ีอิทธิพลต่อความคิดเห็น สามารถสรปุ ได้ดังน้ี 1. ปัจจัยสว่ นบคุ คล ไดแ้ ก่ 1. ระดับการศึกษา การศึกษามีอิทธิพลมากต่อการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นเพราะ การศึกษาจะทาให้บุคคลนั้นๆ มีความรู้เร่ืองต่างๆ เพ่ิมมากขึ้น ดังนั้น คนท่ีมีความรู้มากมักจะมีความ คิดเห็นในเรือ่ งตา่ งๆ อยา่ งมีเหตผุ ล 2. ความเช่ือ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดของบุคคลในการยอมรับต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจ แตกตา่ งกันออกไป เช่น ความเช่ือในการนบั ถอื ศาสนา เป็นต้น 3. สถานภาพทางสังคม หมายถึง สิทธิและหน้าที่ที่มีต่อผู้อื่น และต่อสังคมหรือกลุ่ม เปน็ สว่ นรวม 4. ประสบการณ์ เป็นส่ิงกอ่ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ทาให้มคี วามรู้ ความเข้าใจในหนา้ ที่และ ความรบั ผดิ ชอบของงาน ซ่งึ จะสง่ ผลตอ่ ความคดิ เห็น 2. ปัจจัยดา้ นสิง่ แวดล้อม ได้แก่

15 1. การอบรมของครอบครัว หมายถึง การที่พ่อแม่หรือบุคคลในครอบครัวสั่งสอน โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้สมาชิกของกลุ่มได้เรียนหรือรับเอาระเบียบวิธี กฎเกณฑ์ค่านิยมต่างๆ ท่กี ลุม่ น้ันไดก้ าหนดไวเ้ ป็นระเบียบของความประพฤติ และความสมั พันธข์ องสมาชิกในสังคมนนั้ 2. กลุ่มและสังคมที่เกี่ยวข้อง มีอิทธิพลต่อบุคคลอย่างมาก เพราะเม่ือบุคคลอยู่ใน กลุ่มใด หรือสังคมใดก็จะต้องยอมรับ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกลุ่มหรือสังคมน้ัน และในที่สุดก็ มกั จะมคี วามคิดเห็นคล้อยตามไปกับกลมุ่ และสงั คมนัน้ ดว้ ย 3. ส่ือมวลชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้มีอิทธิพลอย่าง มากต่อการเปล่ียนแปลงความคิดเห็นของบุคคล เพราะเป็นสิ่งที่สร้างความคิดท้ังทางด้านบวก และ ด้านลบ จาเรียง ภาวิจิตร (2536) ได้กล่าวว่าสาธารณมติหรือมติมหาชน หมายถึง ทัศนคติความรู้สึก และความคิดเห็นของประชากรกลุ่มต่างๆ เฉพาะกลุ่มเกี่ยวข้องกับประเด็นความสนใจหรือปัญหา ประเด็นใดประเด็นหน่ึงช่ัวระยะเวลาหน่ึง สาธารณมติประเด็นใดๆ ก็ตามไม่ได้หมายวา่ จะต้องเป็นมติ หรือความคิดเหน็ ของประชาชนท้ังหมดในประเทศ แต่เป็นความคิดเห็นของประชากรส่วนใหญ่ซ่งึ เป็น ผลมาจากส่ิงที่ยังตกลงกันไม่ได้ จาเป็นต้องมีการถกเถียงหาเหตุผลมาอภิปรายกันให้เห็นทั้งข้อดีและ ข้อเสียในที่สุดเกิดการตัดสินใจร่วมกันเป็นมติออกมา คุณภาพของมติมหาชนหรือสาธารณมติข้ึนอยู่ กบั ปัจจยั หลายประเด็นดงั นี้ คอื 1. การอภิปรายของสาธารณชน ซึ่งต้องมีความกระตือรือร้น มีประสิทธิภาพและ สามารถเปล่ียนมตไิ ปในทิศทางหน่งึ ทศิ ทางใดได้ 2. มีขา่ วสารและขอ้ มลู ที่เพียงพอ 3. มเี สรภี าพในการคดิ และการแสดงออก 4. คุณภาพของภาวะความเป็นผู้นาต้องดี เพราะความคิดเห็นของผู้นาและ ผเู้ ช่ียวชาญจะมอี ิทธิพลต่อสาธารณมติ 5. กลุ่มกดดันจะแสวงหาผลประโยชน์หรือข้อได้เปรียบจากความสนับสนุนของผู้มี อานาจในสงั คม สรุปได้ว่า การตัดสินใจ ประเมินค่า หรือแสดงทรรศนะเก่ียวกับเรื่องหน่ึงเรื่องใดของแต่ละ บุคคล ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นจะประกอบปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยแวดล้อม ปัจจัยส่วน บุคคลจะประกอบด้วย ความรู้ ความเชื่อ สถานภาพทางสังคม และประสบการณ์ ปัจจัยแวดล้อม ประกอบด้วย ครอบครัว สังคม และสื่อมวลชน

16 การวัดความคดิ เห็น นีออน กล่ินรัตน์ (2525) ได้กล่าวว่า ความคิดเห็นและทัศนคติ มีความหมายและลักษณะ ต่างๆ ใกล้เคียงกันมาก ดังนั้น การวัดความคิดเห็นจึงใช้วิธีการวัดทางทัศนคติได้ด้วย แต่เนื่องจาก ทัศนคติเป็นพฤติกรรมภายใน และไม่สามารถทราบได้เลยว่าบุคคลมีทัศนคติอย่างไร ดังน้ันจึงต้องใช้ วธิ กี ารอนุมานจากพฤตกิ รรมภายนอกท่ีบุคคลแสดงออก และมวี ธิ ีการวัดหลายๆ อยา่ งด้วยกนั การวัดความคิดเห็น หรือทัศนคติส่วนใหญ่จะใช้วิธีการแบบรายงานตนเอง เพราะสามารถ จดั เก็บข้อมลู ได้จากคนกลุ่มใหญ่ ซงึ่ อาจกระทาได้โดยการสัมภาษณ์ ซ่ึงมีท้ังแบบสัมภาษณ์ที่มลี ักษณะ คาถามไว้ให้เลือกตอบ และลักษณะคาถามที่ผู้ตอบสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ หรืออาจ ใช้แบบสอบถามซึ่งสามารถใช้ได้รวดเร็ว ข้อมูลที่ได้สามารถนาไปอธิบายได้กว้างขวาง แต่มีข้อจากัด เพราะอาจได้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริงกับพฤตกิ รรมของเขา เน่ืองจากบุคคลเกิดความระมัดระวัง ในการตอบแบบสอบถาม เพราะฉะน้นั การวัดทัศนคตจิ ึงควรใช้หลายๆ วิธปี ระกอบกัน เพื่อช่วยเสริม ขอ้ บกพรอ่ งในวิธีใดวธิ ีหนึง่ เพอ่ื ใหส้ มบรู ณย์ ง่ิ ข้ึน พรเพ็ญ เพชรสุขศิริ (2531) ได้กล่าวถึงมาตราวัดทัศนคติและความคิดเห็นที่ใช้กันอยู่ แพร่หลายมี 4 วธิ ี คือ 1. วิธีของเธอร์สโตน (Thuston’s Method) เป็นวิธีสร้างมาตราวัดออกเป็นปริมาณแล้ว เปรียบเทียบตาแหนง่ ของความคิดเห็นหรือทัศนคตไิ ปในทางเดียวกันและเสมือนว่าเป็น scale ท่ีมีชว่ ง ห่างเท่ากนั (equal-appearing intervals) 2. วิธีของกัตต์แมน (Guttman’s Scale) เป็นวิธีวัดทัศนคติหรือความคิดเห็นในแนวเดียวกัน และสามารถจัดอนั ดับของทศั นคติสูง - ตา่ แบบเปรยี บเทยี บกันและกนั ได้ จากอนั ดบั ต่าสดุ ถงึ สูงสดุ ได้ และแสดงถึงการสะสมของข้อความคดิ เหน็ 3. วิธีจาแนกแบบ เอส ดี สเกล (Semantic.Differential.Scale.:.S-D.Scale) เป็นวิธีการ วัดทัศนคติหรือความคิดเห็น โดยอาศัยคู่คาคุณศัพท์ที่มีความหมายตรงกันข้าม (Bipolar Adjective) เช่น ดี - เลว, ขยนั - ขี้เกียจ เปน็ ต้น 4. วิธีของไลเคิร์ท (Likert’s Method) เป็นวิธีสร้างมาตรวัดทัศนคติและความคิดเห็นที่นิยม แพร่หลาย เพราะว่าเป็นวิธีสร้างมาตราวัดท่ีง่าย ประหยัดเวลา ผู้ตอบสามารถแสดงทัศนคติในทาง ชอบหรอื ไม่ชอบ โดยจัดอันดบั ความชอบหรือไม่ชอบ ซ่ึงอาจมีคาตอบให้เลือก 4 หรือ 5 คาตอบ และ ใหค้ ะแนน 5, 4, 3, 2, 1 หรอื +2, +1, 0, -1, -2 ตามลาดบั สรุปได้ว่า การวัดความคิดเห็น เป็นการแสดงออกทางด้านความรู้สึกของแต่ละบุคคลในการ ตัดสินใจ ประเมินค่า หรือแสดงทรรศนะเก่ียวกับส่ิงใดส่ิงหน่ึงหรือเร่ืองใดเรื่องหน่ึง โดยมีความเช่ือ ทัศนคติ และค่านิยมเป็นองค์ประกอบ ความคิดเห็นแสดงออกได้ทางการพูดหรือการเขียน โดยอาศัย

17 พ้ืนฐานทางด้านความรู้ ประสบการณ์ สภาพแวดล้อม และข้อมูลข่าวสารของแต่ละบุคคลซ่ึงไม่มี กฎเกณฑต์ ายตัว ความพึงพอใจ ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า “satisfaction” การศึกษาเกีย่ วกับความพงึ พอใจ นยิ มศึกษาอยู่ 2 มิติ คือ มิติความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงาน (job satisfaction) และมิติความพึงพอใจ ในการรับบริการ (service satisfaction) (ปรัชญา,2542) ในการศึกษาคร้ังนี้จะศึกษาเฉพาะความพึง พอใจในการรับบริการ และจากความหมายของการให้บริการสาธารณะนั้น มีเป้าหมายหมายในการ สร้างความประทับใจให้เกิดแก่ผรู้ ับบริการ ดังน้ันการจะประเมนิ วา่ การบริการนั้นจะประสบผลสาเร็จ มากน้อยเพียงใด จึงอาจวัดได้จากความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวท่ี เข้ามาใช้บริการ สาหรับ ความหมายของความพึงพอใจ มีผใู้ หค้ วามหมายและคาจากดั ความไว้หลายท่านดังน้ี ดิเรก (2527) ความพงึ พอใจ หมายถึง ทัศนคตใิ นทางบวกของบุคคลท่มี ีตอ่ สงิ่ ใดสิ่งหนึ่ง ซึง่ จะ เปลย่ี นแปลงไปเปน็ ความพอใจในการปฏิบตั ติ อ่ สง่ิ นั้น สงวน (2522) กล่าววา่ เมื่อบคุ คลมีความตอ้ งการเกดิ ขนึ้ ความตอ้ งการน้ันจะส่งผลให้เกิดแรง ขับซึ่งหมายถึง ความต้องการนั้นเริ่มมีทิศทางและผลักดันให้ร่างกายปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อ ไปส่เู ป้าหมายนัน้ และเมอื่ ความต้องการนาไปสคู่ วามปรารถนา บคุ คลก็จะเกิดความพอใจ วรรณวิมล จงจรวยสกุล (2551) ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกที่ดีมีความชอบ พอใจ มีความเต็มใจ มีความสบายใจ ได้รับการยกย่อง ในการจัดการเรียนการสอน ผู้เรียนมีความพอใจ ในการเรยี น ทาให้ผู้เรียนเกดิ การเรยี นรไู้ ด้อย่างมีประสิทธภิ าพ มกี ารสรา้ งแรงจงู ใจ เพ่ือให้ผู้เรยี น เกิด ความพงึ พอใจและ มีความสนใจและรสู้ กึ รกั ท่จี ะเรียน Vroom (1964) กล่าวว่า ทัศนคติและความพงึ พอใจในสง่ิ หนึง่ สามารถใช้แทนกันไดเ้ พราะทั้ง สองคาน้ีจะหมายถงึ ผลทไ่ี ด้จากการทบ่ี ุคคลเข้าไปมสี ่วนร่วมในสงิ่ น้นั ทัศนคติด้านบวกจะแสดงให้เห็น สภาพความพึงพอใจในส่งิ นั้น และทศั นคตดิ า้ นลบจะแสดงใหเ้ หน็ สภาพไม่พงึ พอใจนั่นเอง Davis (1967) ไดก้ ล่าววา่ พฤตกิ รรมเกี่ยวกับความพึงพอใจของมนุษย์ คือความพยายามท่จี ะ ขจัดความตึงเครียดหรือความกระวนกระวาย หรือภาวะไม่ได้ดุลยภาคในร่างกาย เม่ือมนุษย์ขจัดส่ิง ต่างๆดงั กลา่ วไดแ้ ลว้ มนุษย์ย่อมได้รบั ความพงึ พอใจในสิ่งทีต่ นต้องการ ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ เป็นทัศนคติด้านบวกเม่ือความต้องการบรรลุตาม วตั ถุประสงค์หรือตรงกับที่คาดหวังไว้ ก็จะเกิดความพอใจขึ้น แต่หากไม่ได้เป็นไปตามท่ีต้องการหรือท่ี คาดหวงั ไวก้ จ็ ะเกิดความไมพ่ งึ พอใจ

18 นกั ทอ่ งเท่ียว นักท่องเท่ียว (tourist) ตามความหมายของสันนิบาตชาติที่ได้ให้คานิยามไว้ในปี พ.ศ. 2480 วา่ นักท่องเท่ียว หมายถึง บุคคลท่ีเดินทางอยู่ในประเทศหน่ึงประเทศใดท่ีมิใช่บา้ นเมืองที่อาศัยอย่เู ป็น ประจาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 24 ช่ัวโมง และได้ขยายความต่อไปอีกว่า บุคคลเช่นใด นับเป็น นักทอ่ งเที่ยว และบคุ คลเช่นใดไมน่ บั เป็นนักทอ่ งเทีย่ วดังต่อไปน้ี คือ (บุญเลิศ จติ ตง้ั วฒั นา, 2548) 1. บคุ คลทน่ี บั เปน็ นกั ท่องเทย่ี ว ไดแ้ ก่ 1.1 ผูท้ เี่ ดนิ ทางเพื่อผักผ่อนใจหรือเพอื่ สุขภาพ 1.2 ผทู้ เ่ี ดนิ ทางไปประชุมหรอื ประกอบภารกจิ อย่างใดอย่างหนึ่ง 1.3 ผู้ท่เี ดินทางเพอ่ื ทาธรุ กจิ การค้าบางประการ 1.4 ผู้ท่ีเดินทางมากับเรือท่ีเพลินตากับทิวทัศน์สองฝั่งน้า แม้จะแวะพักอยู่น้อยกว่า 24 ชว่ั โมงกต็ าม 2. บคุ คลท่ีไม่นบั เป็นนกั ทอ่ งเท่ยี ว ไดแ้ ก่ 2.1 ผู้เดินทางมาเพื่อประกอบอาชีพใดอาชีพหนึ่งประกอบธรุ กิจทีม่ ีรายได้ในประเทศ นัน้ โดยจะมีสญั ญาไว้กับผูใ้ ดหรอื ไมก่ ็ตาม 2.2 ผู้เดนิ ทางมาเพอ่ื ตงั้ ถนิ่ ฐานที่อย่อู ยา่ งถาวรในประเทศนั้น 2.3 ผเู้ ดินทางข้ามพรมแดนไปทางานนอกประเทศของตน 2.4 ผเู้ ดินทางเพ่ือเข้าไปเป็นนกั เรยี น หรือนกั ศึกษาที่อาศัยอยใู่ นทที่ ี่จัดไว้เป็นหอพัก นักเรยี นนกั ศกึ ษา 2.5 ผู้เดินทางผ่านโดยมิได้แวะลงจากยานพาหนะเลย แม้ว่าจะเดินทางอยู่ใน อาณาเขตของประเทศใดประเทศหน่ึง เปน็ เวลามากกวา่ 24 ช่ัวโมง กต็ าม 2.6 ผลู้ ภ้ี ยั ทางการเมอื งหรือผลู้ ี้ภยั ทางศาสนา ไปอยู่ตา่ งประเทศหรอื ผลู้ ี้ภยั สงคราม ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 สหพันธ์องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวระห ว่างประเทศ (International Union of Official Travel Organization – IUOTO) ได้หยิบยกคานิยาม ของนักท่องเท่ียวมาพิจารณาใหม่ และได้ตกลงให้นักเรียน หรือนักศึกษาต่างประเทศ นับเป็น นักท่องเที่ยวด้วย เพราะคา่ ใชจ้ ่ายของนักเรียนนกั ศึกษาเหล่านั้นมาจากตา่ งประเทศ นอกจากน้ันยงั ให้ เรียกผู้เดินทางที่ตั้งใจมาท่องเที่ยว ณ ประเทศหน่ึง แต่อยู่ไม่ถึง 24 ช่ัวโมง ว่าเป็นนักทัศนาจร (excursionist) ซึ่งรวมถงึ ผูโ้ ดยสารท่ีเดนิ ทางผ่านประเทศโดยมิได้ออกจากบริเวณท่ีจัดไว้สาหรับผู้เดิน ทางผา่ นสนามบินดว้ ย ต่อมาในปี พ.ศ. 2506 องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุมว่าด้วยการเดินทางและท่องเที่ยว ระหว่างประเทศข้ึนที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ได้คิดคาข้ึนมาใหม่แทนคาว่า นักท่องเที่ยว คือ คาว่า “ผู้เย่ียมเยือนต่างประเทศ” หรือ “Foreign Visitor” ซ่ึงหมายถึง บุคคลที่เดินทางไปยังประเทศใด

19 ประเทศหนึ่ง ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยถาวรของตนด้วยเหตผุ ลใดก็ตามที่ไม่ใช่ไปเพื่อประกอบอาชีพหารายได้ โดยแบ่งผมู้ าเยอื นต่างประเทศออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1 นักท่องเท่ียวต่างประเทศ (foreign tourist) หมายถึง ผู้มาเยือนชั่วคราวที่มาพัก อยู่ในประเทศท่ีมาเยือนอย่างน้อย 24 ช่ัวโมง และเป็นการมาเยือนด้วยวัตถุประสงค์อื่น ที่มิใช่เพื่อ ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งหรอื ไปอยปู่ ระจา 2 นักทัศนาจรต่างประเทศ (foreign tourist) หมายถึง ผู้มาเยือนช่ัวคราวที่เข้าไป อยู่ในประเทศที่มาเยือนน้อยกว่า 24 ชั่วโมง และมิได้พักค้างคืน ซ่ึงรวมถึงผู้มาเยือนกับเรอื ที่เพลินตา กบั ทิวทศั นส์ องฝ่งั นา้ ดว้ ย ส่วนประเทศไทยได้ให้ความหมายของนักท่องเที่ยวไว้ในมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติการ ท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2522 ว่านักท่องเท่ียว หมายถึง บุคคลที่เดินทางจากท้องถิ่นอัน เป็นถิ่นที่อยู่โดยปกติของตนไปยังท้องถิ่นอ่ืนเป็นการชั่วคราวด้วยความสมัครใจ และดว้ ยวัตถุประสงค์ ทมี่ ิใช่เพื่อประกอบอาชพี หรือหารายได้ ส่ิงอานวยความสะดวก ความหมายและประเภทของส่ิงอานวยความสะดวก สิ่งอานวยความสะดวก หมายถึง สิ่งใดก็ตามท่ีฝ่ายจัดการพื้นที่จัดสร้างข้ึนเพื่อให้ผู้ใช้ ประโยชนไ์ ดร้ บั ความสะดวกสบาย (ดรรชนี, 2542) ส่ิงอานวยความสะดวก หมายถึง บริเวณพ้ืนท่ีและโครงสร้างหรือส่ิงปลูกสร้างต่างๆท่ีถูก จัดสร้างขนึ้ ภายในแหล่งท่องเท่ียวเพอื่ รองรับกิจกรรมของผู้มาเยือน และกจิ กรรมในการบริหารจัดการ แหล่งท่องเท่ยี ว โดยสง่ิ อานวยความสะดวกมีบทบาทสาคัญตอ่ แหล่งทอ่ งเทยี่ วโดยสรปุ คอื 1. สนองความตอ้ งการของผูใ้ ช้ประโยชน์/นกั ท่องเท่ยี ว ในการประกอบกจิ กรรมนนั ทนาการ /กิจกรรมการท่องเที่ยว 2. ช่วยป้องกันรักษาทรัพยากร และสภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเท่ียวไม่ให้เส่ือมโทรมลง เนื่องจากกิจกรรมการท่องเทยี่ ว 3. ชว่ ยปอ้ งกันอนั ตรายท่ีอาจเกดิ กบั นกั ท่องเท่ียวขณะประกอบกิจกรรม 4. เป็นเครื่องมือ/ส่ือ ในด้านการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ และเพ่ิมโอกาสให้นักท่องเท่ียว สมั ผัสชื่นชมธรรมชาติมากขึน้ 5. อานวยความสะดวกให้กบั การบริหารจดั การแหลง่ ทอ่ งเทย่ี ว 6. มบี ทบาททางอ้อมในการสรา้ งภาพลักษณ์ (image) ของแหล่งท่องเท่ยี ว (นภวรรณ, 2542) Sharpe and Odegarrd (1983: 122-145) ได้อธิบายสิ่งอานวยความสะดวกภายในอุทยาน แห่งชาติไว้ว่า อุทยานแห่งชาติส่วนใหญ่จะต้องมสี ่ิงอานวยความสะดวกข้ันพ้ืนฐาน ถงึ แม้คณุ ภาพและ

20 ปริมาณจะแตกต่างกันไปตามอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่ง ซ่ึงสามารถแบ่งประเภทของส่ิงอานวยความ สะดวกออกเปน็ 4 ประเภท คือ 1. ประเภทอาคารสถานท่ี (buildings) ได้แก่ อาคารในส่วนของการบริหารการปฏิบัติงานใน พื้นท่ีสาหรับเจ้าหน้าท่ีของอุทยานแห่งชาติ และอาคารในส่วนของการบริหารให้กับนักท่องเท่ียว เช่น ศนู ย์บริการนักท่องเที่ยว หอ้ งนา้ รา้ นขายของทรี่ ะลกึ ร้านอาหาร เป็นตน้ 2. ส่ิงอานวยความสะดวกที่ใช้ในเวลากลางวัน (day use area) เช่น สถานท่ีรับประทาน อาหาร ระบบเส้นทางเดินเท้า ที่จอดรถ จุดชมวิวทิวทัศน์ ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบภายในอ่ืนๆ เช่น โต๊ะปิกนคิ จุดบริการนา้ หอ้ งน้า ห้องส้วม ถงั ขยะ เป็นต้น 3. สิ่งอานวยความสะดวกที่ใช้ในเวลากลางคืน (overnight use area) ซ่ึงจะอยู่ในบริเวณที่ แยกจากบริเวณส่วนอ่ืนๆ เพ่ือให้มีการดูแลรักษาง่าย และลดความขัดแย้งจากผู้ใช้ประโยชน์จากสิ่ง อานวยความสะดวกในเวลากลางวัน ได้แก่ บ้านพักแรม ห้องน้า ห้องส้วม ลานกิจกรรมกลางแจ้ง เปน็ ต้น 4. สิ่งอานวยความสะดวกสนับสนุน (support facilities) ได้แก่ ระบบโครงสร้างพ้ืนฐานที่ จาเปน็ เช่น ระบบกาจดั ของเสยี และขยะ ระบบถนนทางเข้า และสัญลักษณ์ควบคุมการจราจรภายใน อุทยานแห่งชาติ ทจี่ อดรถ ระบบการจา่ ยกระแสไฟฟ้า นา้ ด่มื นา้ ใช้ เปน็ ต้น สาหรับหน้าที่หลกั ของส่ิงอานวยความสะดวกในอุทยานแห่งชาติ จะต้องสนองความต้องการ ของนักท่องเที่ยวได้อย่างเหมาะสม และสามารถป้องกันสภาพพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติจากการใช้ ประโยชนข์ องนักท่องเท่ียวได้ ดังนน้ั การพัฒนาสิ่งอานวยความสะดวกภายในอุทยานแห่งชาติจะต้องมี การวางแผน (site planning) ให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์และบริเวณที่จะพัฒนาเป็นอย่างดี ซ่ึง เป็นหน้าที่ของฝ่ายจัดการพ้ืนท่ีจะต้องพยายามให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติแล ะ สิ่งแวดล้อมน้อยท่ีสุด นอกจากน้ีสิ่งอานวยความสะดวกที่สร้างขึ้นน้ันจะต้องสามารถซ่อมแซม บารุงรักษาได้ง่าย ประหยดั ค่าใช้จ่าย มคี วามปลอดภยั และกลมกลนื กบั ธรรมชาติเป็นประการสาคัญ สาหรับแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สามารถจาแนกสิ่งอานวยความสะดวกออกเป็น 4 ประเภท (นภวรรณ, 2542) ดังน้ี 1. ส่ิงอานวยความสะดวกเพ่ือปอ้ งกันผลกระทบต่อแหลง่ ท่องเทย่ี วและป้องกันอันตรายใหก้ ับ ผ้มู าเยอื น เช่นทางเดินเท้า และเส้นทางศึกษาธรรมชาติต่างๆ ทางจักรยาน ถนน ท่ีจอดรถ ระบบขยะ ระบบกาจัดน้าเสยี หอ้ งสุขา ปา้ ยคาเตอื น เปน็ ต้น 2. สงิ่ อานวยความสะดวกเพือ่ การเรยี นรแู้ ละศึกษาธรรมชาต/ิ ศกึ ษาวัฒนธรรม เช่น คู่มือหมุด บอกตาแหน่งใชค้ ูก่ ับแผ่นพบั นทิ รรศการริมทาง ศูนยบ์ ริการนกั ท่องเท่ยี ว 3. ส่ิงอานวยความสะดวกเพ่ือเพ่ิมความสะดวกสบายในการประกอบกิจกรรมนันทนาการ เชน่ พืน้ ทกี่ างเตน็ ท์ บา้ นเดย่ี ว เรือนแถว ระบบน้าใช้ ระบบไฟสอ่ งสวา่ ง ร้านจาหน่ายอาหาร

21 4. สิ่งอานวยความสะดวกสาหรับการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าท่ี เช่น ป้อมยาม/ด่านตรวจ อาคารทีท่ าการ อาคารสนับสนุนตา่ งๆ บา้ นพักเจ้าหนา้ ท่ี โดยได้เน้นการบรหิ ารจัดการส่ิงอานวยความ สะดวกในลักษณะของการประหยัดพลังงาน และลดของเสีย การบารุงรักษาสิ่งอานวยความสะดวก และการจัดการกับผลกระทบท่เี กดิ ขน้ึ ในพ้ืนท่ี สิ่งอานวยความสะดวกท่ีสาคัญอันดับต้นๆ ได้แก่ สิ่งอานวยความสะดวกเพ่ือป้องกันรักษา ธรรมชาติ และสิ่งอานวยความสะดวกเพื่อการเรียนรู้และศึกษาธรรมชาติ ส่วนส่ิงอานวยความสะดวก เพ่ือความสะดวกสบาย และส่ิงอานวยความสะดวกสาหรับปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ี จะมีความสาคัญ ในอันดับรองลงมา อย่างไรก็ดียังไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวเกี่ยวกับชนิด ปริมาณและขนาดของสิ่งอานวย ความสะดวก แต่ลักษณะท่ีเหมาะสมกับแหล่งเท่ียวแต่ละแหล่งข้ึนอยู่กับลักษณะของแหล่งท่องเที่ยว (site setting) และวัตถุประสงค์เพื่อการจัดการพื้นท่ีแต่ละแห่งเป็นหลัก (การท่องเท่ียวแห่งประเทศ ไทย,ม.ป.ป.) แนวทางในการพฒั นาอุทยานแหง่ ชาติและเขตสงวนเพ่อื การท่องเทย่ี ว เพอื่ จดั ทาแนวทางการ ออกแบบส่ิงอานวยความสะดวกทางการท่องเท่ียวให้เหมาะสมกับอุทยานแห่งชาติ สรุปได้ (WTO, UNEP และ IUCN, 1995) ดังน้ี 1. ส่ิงกอ่ สรา้ งโดยมนษุ ย์จะต้องรบกวนระบบนิเวศทางธรรมชาติให้น้อยทีส่ ุด 2. ส่ิงก่อสร้างต้องเรียบง่ายที่สุด ไม่บดบังความงามตามธรรมชาติ ควรจะสร้างจากวัสดุท่ีมา จากธรรมชาติ และออกแบบใหก้ ลมกลืนกับสภาพท้องถ่ิน 3. การก่อสร้างอาคารบนพื้นท่ีท่ีเหมาะสมขึ้นอยู่กับการพิจารณาหน้าท่ีของอาคารน้ันๆ ไม่ ควรพิจารณาแค่นโยบายเพยี งอย่างเดีย่ ว 4. กอ่ นที่จะสร้างอาคารควรคานึงถงึ วิธีที่นักท่องเท่ยี วจะสามารถเดนิ ทางไปยังอาคารน้ันๆ ได้ อานวยความสะดวกต่อนกั ทอ่ งเท่ียว 5. ควรมกี ารใชค้ วามสมั พันธ์ในระบบนิเวศ “ecotechniques” เพ่ือส่งเสริมการวางแผนทาง กายภาพในการออกแบบและการก่อสร้างสิ่งอานวยความสะดวก เช่น การใช้ระบบพลังงาน แสงอาทติ ย์ การเก็บสารองนา้ ฝนเพอื่ นามาใช้ เปน็ ตน้ 6. การออกแบบศูนย์ “ecotourism” ควรให้มีกระท่อมทางเดินธรรมชาติ ป้ายสื่อ ความหมาย หอสังเกตการณ์ ควรมีระบบเก็บสารองพลังงาน และส่วนท่ีพักอาศัยของเจ้าหน้าท่ีและ นกั วจิ ัย 7. ท่ีพักสาหรับนักนิยมธรรมชาติควรมีความเรียบง่าย สะอาด แต่สะดวกสบาย นักนิยม ธรรมชาติชอบที่จะแสวงหาสถานที่แปลก และมีความงามตามธรรมชาติมากกว่าป่าคอนกรีต และ ความหรูหราฟ่มุ เฟือยในเมอื งกรุง

22 8. ถนนทางเดินควรให้มีลักษณะตามธรรมชาติ แวดล้อมด้วยต้นไม้ และเนินเขา เป็นตน้ ควร ออกแบบให้เป็นไปตามสภาพภูมิประเทศมากกว่าท่ีจะตัดผ่านภูเขาหรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ และควร ออกแบบเพือ่ ให้ช่วยลดการพงั ทลาย จึงควรมีระบบระบายน้าทดี่ ี 9. แม้ว่าถนนจะชว่ ยใหน้ ักทอ่ งเท่ียวดูสัตวไ์ ด้ใกล้ๆ แต่ควรหลกี เล่ียงพ้นื ที่บางแหง่ เช่น แหล่ง ผสมพันธุ์นก นอกเหนือจากแนวทางเหล่านี้ ยังมีแนวทางท่ีจะช่วยในการประเมินความเหมาะสม และ ปริมาณการพฒั นาพ้ืนท่ี ดังน้ี 1. ทุกส่ิงทุกอย่างจะตอ้ งมจี ุดหมาย 2. ออกแบบเพ่ือนกั ท่องเท่ียว แมว้ า่ จะมขี ดี จากัดแตก่ ม็ คี วามปลอดภยั และสะดวกสบาย 3. ออกแบบโดยคานึงถึงข้อจากัดของงทรัพยากรโดยเฉพาะขีดความสามารถของ สภาพแวดลอ้ ม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น 4. รปู แบบและหนา้ ทนี่ ่าพอใจ มคี วามสมดลุ ระหว่างเศรษฐกจิ มนษุ ยแ์ ละส่ิงแวดลอ้ ม 5. คานึงถึงความต้องการดา้ นเทคนคิ 6. กอ่ ให้เกิดการใช้ประโยชนอ์ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและปลอดภัย 7. สารวจแนวทางในการจัดการสิง่ อานวยความสะดวกในระยะยาว 8. หากมีงบประมาณจากัด ให้เริ่มก่อสร้างจากส่ิงก่อสร้างง่ายๆจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ แฝก แล้วค่อยสรา้ งอาคารถาวรภายหลัง โปรแกรมส่อื ความหมาย ความหมายโปรแกรมสอ่ื ความหมายทางธรรมชาติ คาว่าสือ่ ความหมายนนั้ ได้มผี ้ใู หค้ วามหมายไว้หลายความหมายด้วยกันดงั นี้ Harold (1982;อ้างโดย Sharpe,1982) ให้ความหมายของส่ือความหมายไว้ว่าเป็น การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวให้มีความรู้สึกเช่นเดียวกับนักสื่อความหมาย เช่น ความรู้สึกต่อความ สวยงาม ความสลบั ซับซอ้ น ความหลากหลาย และความสมั พันธ์ซ่งึ กันและกันต่อส่งิ แวดลอ้ ม ซึ่งจะทา ใหน้ ักท่องเที่ยวพฒั นาความเข้าใจและพฒั นาความรสู้ ึกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และนาความรูท้ ี่ได้กลับไป ยังภูมิลาเนา Sharpe (1982) กล่าวว่า สื่อความหมายเป็นบริการสาหรับนักท่องเท่ียวท่ีมาเยือนอุทยาน วนอุทยาน และพ้ืนที่นันทนาการอ่ืนๆ แม้ว่านักท่องเที่ยวต้องการมาเยือนพ้ืนท่ีเพ่ือการพักผ่อนแต่ กลับดลใจให้พวกเขาปรารถนาท่ีจะเรียนรู้กับพ้ืนที่ธรรมชาติและทรัพยากรทางวัฒนธรรม ทรัพยากร ทางธรรมชาติน้ัน ประกอบด้วยกระบวนการทางกายภาพ พืชและสัตว์ สังคมประชากรในระบบนิเวศ

23 และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ สื่อความหมายจึงเป็นการส่ือสารสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเท่ียวและ ทรัพยากร Freeman (1982) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ส่ือความหมายเป็นกิจกรรมศึกษาที่มเี ป้าหมายเพ่ือ แสดงให้เห็นความหมายและความสัมพันธข์ องธรรมชาติ โดยอาศยั วัตถทุ ี่มมี าแต่เดิม รวมทงั้ การอาศัย ตวั กลางทีค่ ่อนขา้ งงา่ ยต่อการส่อื สารเกยี่ วกบั ข้อเท็จจริง เป็นประสบการณ์ท่ไี ด้โดยตรง York (1982;อ้างโดย Sharpe,1982) ได้สรุปรวมคาว่าส่ือความหมายจาก 6 งานบริการ ดังต่อไปน้ี (1) เป็นการบริการข้อมูลข่าวสาร (2) เป็นบริการแนะแนว (3) เป็นบริการการศึกษา (4) เป็นบริการความสนุกสนาน (5) เป็นบริการเผยแพร่ และ (6) เป็นบริการเกี่ยวกับการดลใจ การสื่อ ความหมายมีเป้าหมายเพ่ือให้ประชาชนได้รับความเข้าใจใหม่ๆ ความเข้าใจอย่างลึกซ้ึง ความ กระตือรือร้นใหม่ๆ และความสนใจใหม่ๆ สุรเชษฎ์ (2539) กล่าวว่า การสื่อความหมายธรรมชาติ (nature interpretation) คือ งาน บริการที่นักสื่อความหมายได้ทาขึ้นเพื่อบริการแก่นักท่องเท่ียว ให้เกิดการเรียนรู้ของเท็จจริงของ ธรรมชาติ โดยอาศัยหลักศลิ ปะและเทคนิคในการถา่ ยทอดผ่านตัวกลางต่างๆ พร้อมท้ังเลือกใชภ้ าษาท่ี เข้าใจง่าย เป็นกันเอง มุ่งเน้นให้นักท่องเท่ียวเข้าใจเร่ืองราวแปลกใหม่จากส่ิงรอบๆตัว และเกิดความ เพลดิ เพลินในการซึมซับเรื่องราวของธรรมชาติ จากความหมายข้างต้น จึงกล่าวได้ว่า โปรแกรมสื่อความหมายธรรมชาติ คือการเช่ือมโยง นักท่องเที่ยวหรือผู้มาเยือน นักจัดการ และธรรมชาติให้มีแนวคิดไปในแนวทางเดียวกัน ตามท่ีนัก จัดการต้ังวัตถุประสงค์ของส่ือความหมายแต่ละประเภทท่ีจัดให้ดีขึ้น ซ่ึงส่ือท่ีว่าน้ีต้องอาศัยศิลปะมา ช่วยส่ือให้น่าสนใจยิ่งขึ้น และใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เพ่ือให้นักท่องเท่ียวได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติ มากที่สดุ Sharpe (1982) ได้กล่าวว่า สื่อความหมายเป็นงานบริการสาหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใน อุทยานและพนื้ ทีน่ ันทนาการ และมวี ัตถุประสงคเ์ พือ่ 1. เพ่ือให้นักท่องเที่ยวมีพัฒนาการเก่ียวกับความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ธรรมชาติ ความพึงพอใจ และความเข้าใจต่อพื้นที่ ซึ่งอาจจะช่วยทาให้การมาเยือนพ้ืนที่ของนักท่องเท่ียวเกิด ประประโยชน์สงู สดุ และเป็นประสบการณ์ทเี่ พลดิ เพลิน 2. เพ่ือให้การจัดการอุทยานและพ้ืนที่นันทนาการประสบความสาเร็จตาม จุดมุ่งหมายในการจัดต้ัง เนื่องจากอุทยานเป็นพื้นท่ีมีความสามารถพิเศษ จึงตอ้ งการให้นกั ท่องเที่ยวมี พฤติกรรมการท่องเที่ยวแบบพิเศษ ส่ือความหมายจะสามารถสนับสนุนการไตร่ตรองให้นักท่องเที่ยว เกิดความรับผิดชอบในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรนันทนาการขณะที่พวกเขามาเยือนทั้งนี้ เพ่ือให้ เกดิ ผลกระทบจากการประกอบกิจกรรมต่อทรพั ยากรธรรมชาตนิ ้อยที่สดุ

24 3. เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้สาธารณะชนเข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายของ หน่วยงานราชการทีใ่ ห้ความคมุ้ ครองดแู ลพ้ืนท่ีนั้นๆ สุรเชษฎ์ (2539) ได้ใหว้ ตั ถุประสงค์ของการสอ่ื ความหมายไวว้ า่ 1. เพ่ือช่วยให้นักท่องเที่ยวได้พัฒนาจิตสานึก (awareness) ความพึงพอใจ (appreciation) และความเข้าใจ (understanding) เก่ียวกับพ้ืนที่ที่ไปเยือนได้ ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการ ทาให้นักท่องเทยี่ วได้รบั ประสบการณท์ มี่ ีคุณค่ากลบั ไป 2. เพ่ือใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการพื้นที่หรอื เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการจดั การ พน้ื ที่ 3. เพื่อให้เป็นเคร่ืองมือเสริมสร้างการประชาสัมพันธ์ขององค์กรและกิจกรรมต่างๆ ขององคก์ รน้นั จากความหมายของการส่ือความหมายและวัตถุประสงค์ ทาให้เห็นว่า เม่ือนักท่องเที่ยวมา เยือนพ้ืนที่อุทยานแห่งชาติ หน้าที่สาคัญของอุทยานแห่งชาติ คือ การสร้างความรู้และความเข้าใจ พ้ืนฐานให้แกน่ ักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติจึงต้องมีแนวทางการจัดการที่ดี เพ่ือรักษาสภาพธรรมชาติ และระบบนิเวศ งานสื่อความหมายเป็นเร่ืองที่จาเป็นในการจัดการด้านนันทนาการ เพราะเจ้าหน้าที่ ไม่สามารถควบคุมนักท่องเที่ยวในพ้ืนที่ได้อย่างทั่วถึง จึงอาศัยการส่ือความหมายธรรมชาติ เป็น เครือ่ งมือหน่งึ ในการจดั การด้านนนั ทนาการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ประเภทของการสอื่ ความหมายธรรมชาติหรือโปรแกรมส่ือความหมาย สิ่งก่อสร้างและสิ่งอานวยความสะดวกในการสื่อความหมายและบริการนักท่องเที่ยวที่สาคัญ ได้แก่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์ เวทีกลางแจ้ง ทางเดินเท้า และถนน บริเวณท่ีชมวิว และ นิ ท ร ร ศ ก า ร ใน ร่ ม นิ ท ร ร ศ ก า ร ก ล า ง แ จ้ ง เป็ น ต้ น ( sharpe, G.W., S.W. Allen, and C.W.Hendee,1976) ส่ิงอานวยความสะดวกที่พัฒนาข้ึนในอุทยานแห่งชาตินั้น เป็นตัวกลางระหว่าง นักจัดการอุทยาน หรือนักวางแผนกับนักท่องเท่ียวท่ีไปเยือนหรือผู้ใช้ประโยชน์ เพ่ือทาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในพ้ืนท่ีตรงกันกับวัตถุประสงค์ที่จัดให้มีส่ือความหมายแต่ละประเภทเกิดข้ึน การจัดการ อุทยานแห่งชาติในปัจจุบันได้พยายามพัฒนาสื่อความหมายธรรมชาติข้ึนเพ่ือให้ นักท่องเท่ียวได้ รับทราบข้อมูลข่าวสารเก่ยี วกับอุทยานแห่งชาติ การสื่อความหมายน้ันเป็นกิจกรรมใหก้ ารศึกษาอย่าง หน่ึง โดยนักสือ่ ความหมายจะแสดงความสัมพันธ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และ/หรือ ผลผลิตจากทาง วัฒนธรรม และนาเร่ืองราวเก่ียวกับสิ่งนั้นๆผ่านตัวกลาง หรืออาจจะจาลองของจริง หรือนาสื่อที่เป็น วัตถุจริง โดยจะเป็นการสื่อสารด้วยข้อมูลความจริงเท่านั้น ส่วนการสื่อความหมายธรรมชาติท่ีเกิดใน อุทยานแห่งชาติหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่านั้น เป็นงานบริการที่นักสื่อความหมายได้จัดทาข้ึนเพื่อ บริการแก่ผู้มาเยือนในพื้นท่ี เพ่ือนาเสนอเรื่องราวข้อเท็จจริงของธรรมชาติ โดยอาศัยหลักศิลปะและ

25 เทคนิคในการถ่ายทอดเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายผ่านตัวกลางต่างๆ ซึ่งตัวกลางในการสื่อความหมาย ธรรมชาตใิ นอทุ ยานแห่งชาติ ซึง่ สรุ เชษฎ์ (2539) ได้แบ่งตวั กลางออกเป็น 2 ประเภทคอื 1. ตัวกลางผ่านนักสื่อความหมาย (personal services/attended services) บริการประเภทน้ีนักท่องเท่ียวจะติดต่อโดยตรงกับนักส่ือความหมาย ซ่ึงในท่ีนี้ก็คือเจ้าหน้าที่ของ อุทยานแห่งชาติ โดยจะรับทราบข้อมูลข่าวสารจากเจ้าหน้าที่หรือมีการปฏิสัมพันธ์ทั้งสองด้านคือ ระหว่างเจ้าหน้าท่ีกับนักท่องเท่ียวโดยตรง มีการส่ือสารโต้ตอบกัน เมื่อเกิดคาถามก็สามารถสอบถาม ได้ทันที เช่น การบริการด้านเอกสาร การนากลุ่ม เช่น การนาเดนิ ศึกษาธรรมชาติ การส่ือความหมาย ในอุทยานแห่งชาติน้ันๆ โดยการพดู ส่อื ความหมายเร่ืองราวทางธรรมชาติ ทางประวัติศาสตร์ และทาง โบราณคดีและวฒั นธรรม เป็นต้น 2. ตัวกลางท่ีไม่ต้องผ่านนักส่ือความหมาย (nonpersonal services/unattended services) บริการประเภทนี้นักท่องเที่ยวจะสัมผัสตัวกลางโดยตรง และสามารถศึกษาเร่ืองราวจาก โปรแกรมส่ือความหมายได้เองโดยท่ีไม่ต้องอาศัยนักสื่อความหมายซึ่งในท่ีนี้ก็คือเจ้าหน้าที่อุทยาน แหง่ ชาติ มาให้ข้อมูล ตวั กลางเหลา่ น้ัน ได้แก่ 2.1 เคร่ืองโสตทั ศนู ป กรณ์ (audio devices) เช่น สไลด์ วีดีทั ศ น์ ซ่ึงปัจจุบนั เป็นทน่ี ิยมใช้ในการฉายแนะนาพน้ื ท่ีก่อนที่จะเข้าไปชมพน้ื ที 2.2 ตัวกลางท่ีใช้การเขียน (written material) เคร่ืองหมายต่างๆ แผ่นปา้ ยบรรยาย สง่ิ พิมพ์ เช่น แผ่นปลิว แผ่นพับต่างๆ 2.3 กิจกรรมท่ีดาเนินด้วยตนเอง (self-guided activity) เช่น สร้าง ทางเดินเท้า ทม่ี กี ารสอ่ื ความหมายประกอบตามสถานีทนี่ ่าจะมกี ารสื่อความหมาย 2.4 นิทรรศการในร่ม (indoor exhibition) ส่วนใหญ่จะแสดงนิทรรศการ ในอาคารศูนย์บริการนกั ทอ่ งเท่ยี ว 2.5 นิทรรศการกลางแจ้ง (outdoor exhibition) เป็นนิทรรศการท่ีติดตั้ง บริเวณใกล้สิ่งที่น่าสนใจในธรรมชาติ เพื่อนักท่องเท่ียวได้ทราบเร่ืองราวธรรมชาติได้ทันทีที่เห็นสิ่งท่ี นาเสนอในนิทรรศการ ซ่ึงจะเป็นเรื่องราวที่โดดเด่นและเกิดข้ึนเฉพาะพื้นที่ และสามารถนาเสนอให้ เขา้ ใจได้ง่ายกว่าการอธิบายในบอร์ดธรรมดา เช่น นทิ รรศการกลางแจง้ ทจ่ี ัดให้มีข้ึนในอุทยานแห่งชาติ เขาใหญ่ เป็นนิทรรศการท่ีนาเสนอเร่ืองราวเก่ียวกับโป่งช้าง ท่ีสามารถมองเห็นโป่งช้างและช้างซึ่งจะ ทาให้เขา้ ใจเร่ืองราวธรรมชาติได้ชัดเจนขึ้น 2.6 ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (visitor center) เป็นศูนย์กลางการ สอ่ื ความหมายของพ้นื ที่นั้นๆ เป็นบริเวณทมี่ กี ารสือ่ ความหมายหลายเรื่องราว เกยี่ วกับสภาพพ้นื ที่ ข้อ ปฏิบัติ ข้อห้ามสาหรับนักท่องเท่ียว เป็นต้น เป็นด้านแรกที่นักท่องเที่ยวจะได้ทราบข้อมูลข่าวสาร ทัว่ ๆไปของพ้ืนที่

26 เส้นทางศกึ ษาธรรมชาติ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ เป็นตัวกลางหน่ึงท่ีถ่ายทอดข้อเท็จจริงเก่ียวกับธรรมชาติเพื่อให้ นักท่องเท่ียวเกิดความรู้ความเข้าใจในสภาพธรรมชาติสามารถจัดสร้างไว้ในเขตอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เปน็ ต้น Ashbangh และ Kordish (1971;อ้างโดย ชวี ภาพ,2541) ได้ แบง่ ประเภทเส้นทางศึกษาธรรมชาตเิ ป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. เส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะใกล้ (nature trail) เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระยะใกล้ที่มุ่งเน้นถึงการส่ือความหมายธรรมชาติอย่างเป็นระเบียบ เพ่ือให้ความรู้ง่ ายๆ แก่ นักท่องเท่ียวทั่วไปท่ีต้องการเดินชมธรรมชาติในระยะที่ไม่ไกลและไม่ลาบากเกินไป ระยะเวลาในการ เดินตลอดเสน้ ทางไมค่ วรเกิน 45 นาที แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื 1.1 เส้นทางศึกษาธรรมชาติโดยมีนักส่ือความหมาย (guided trails) เป็น เส้นทางเดินส้นที่ต้องอาศัยนักธรรมชาติวิทยาที่มีความสามารถในการส่ือความหมาย เป็นผู้นาทางให้ คาแนะนาและบรรยายเก่ียวกับธรรมชาติตามเส้นทาง การศึกษาธรรมชาติโดยวิธีน้ีจะต้องกาหนด จานวนกลุ่ม และตารางนาเที่ยวแน่นอน ทางประเภทนี้ไม่ต้องอาศัยหลักวชิ าการในการออกแบบและ กอ่ สร้างมากนัก คณุ ภาพจงึ ขึน้ อยูก่ ับบุคลิกของเจ้าหน้าท่ีผู้นาทางและเทคนิคส่ือความหมาย ผลดีของ เสน้ ทางประเภทนค้ี อื การลดจานวนปา้ ยส่อื ความหมาย ไม่ตอ้ งใชค้ ูม่ ือประกอบ 1.2 เส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วยตนเอง (self-guided trails) เป็นเส้นทาง เดนิ เท้าทคี่ วรสร้างขน้ึ เพอ่ื ให้นักท่องเทยี่ วมีโอกาสไดส้ ัมผัสกับธรรมชาติ โดยศกึ ษาเร่ืองราวดว้ ยตนเอง โดยการติดปา้ ยส่ือความหมายไปตามเส้นทาง การใช้คู่มือ/เอกสาร หรือการใช้เทปบรรยาย อธิบายจุด ท่ีสาคัญหรือส่ิงที่น่าสนใจบนเส้นทาง เหมาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ และมีจานวนหลายกลุ่ม ทางประเภทน้ีจะรองรับนักท่องเท่ียวได้จานวนมากโดยไม่จากัดเวลาและจานวนซึ่งแตกต่างจาก ทางเดินศึกษาธรรมชาติท่ีผู้ใช้นาทาง คือ ไม่สามารถจะทาได้ทุกเวลา โดยปกติทางเดินท่ีตัดเข้าสู่ป่า เพื่อชมธรรมชาตจิ ะเรยี กว่าทางเดินชมธรรมชาตหิ รือ nature trail หากมีคนนาทางและบรรยายให้ฟัง เรียกว่า guided trail หากไม่มีคนนาทางแต่มีเอกสารหรือป้ายประกอบให้ความรู้เรียกว่า self- guided trail เหตุผลของการจัดสร้างเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วยตนเองก็เนอื่ งจากความจากัดในด้าน งบประมาณสาหรับการจัดจ้างเจ้าหน้าที่ หรือบริเวณนั้นอยู่ห่างไกลไม่สะดวกแก่การปฏิบัติงาน ทางเดินศึกษาธรรมชาติด้วยตนเองและทางเดินศึกษาธรรมชาติโดยมีผู้นาทางให้ผลต่างกัน กล่าวคือ ทางเดินศกึ ษาธรรมชาติโดยมผี นู้ าทางจะให้รายละเอยี ดท่ีมากกวา่ และคุณภาพเหนือกว่า 2. เส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะไกล (hiking trails) เป็นเส้นทางเดินป่า ซ่ึงจะมี ระยะทางยาวๆแคบๆและปล่อยตามธรรมชาติ มีการพัฒนาเล็กน้อย จัดทาขึ้นเพื่อตอบสนองความ ต้องการแก่ผู้ที่สนใจต้องการศึกษาธรรมชาติอย่างจริงจัง ได้มีโอกาสศึกษาธรรมชาติโดยไม่ถูกรบกวน จากนักท่องเท่ียวอื่นๆ โดยไม่เน้นถึงความสะดวกของเส้นทางและการสื่อความหมายมากนัก เส้นทาง

27 ในลักษณะน้ีจะกาหนดข้ึนในพ้ืนที่ท่ีมีความกว้างขวางพอที่ผู้ศึกษาจะพบกับส่ิงท่ีน่าสนใจได้หลาย ประการ เส้นทางในลักษณะน้ีจะไม่มีผลกระทบต่อสภาพธรรมชาติมากนัก และแสดงเครื่องหมาย แสดง (marker) ไว้ในจดุ ทจ่ี ะสื่อความหมายและมีคู่มอื ประกอบ 3. เส้นทางใช้ประโยชน์พิเศษ (special-use trails) เป็นเส้นทางท่ีสร้างขึ้นเพ่ือ ตอบสนองความจาเปน็ ของผู้ใชแ้ ละวัตถุประสงคท์ ี่ต้องการใช้เป็นหลัก อาจเป็นเส้นทางที่ให้ประโยชน์ ในการศึกษาธรรมชาติอีกทางหน่ึงด้วย การสร้างเส้นทางไม่ได้ข้ึนอยู่กับสภาพแวดล้อมท่ัวไปของพ้ืนท่ี ทางในลักษณะนี้ได้แก่ การขับข่ีจักรยาน ทางศกึ ษาธรรมชาติใต้น้า เส้นทางเรือ ทางข่ีม้า ทางเดินช้าง และทางสาหรบั คนพกิ าร เปน็ ต้น 3.1 ทางศกึ ษาธรรมชาติโดยการข่ีมา้ เป็นทางที่จัดขึ้นไว้สาหรับให้คนขี่มา้ ชม ธรรมชาติ 3.2 ทางขรี่ ถจักรยาน จะพบในเมือง สวนสาธารณะในมหาวทิ ยาลัย โดยจะ มกี ารจดั ทางไว้ให้บริการ มเี ครอ่ื งหมายจราจรเฉพาะ มรี ายละเอียดอย่างนอ้ ย 8 กิโลเมตร 3.3 ทางศึกษาธรรมชาติใตน้ า การศกึ ษาธรรมชาติตามเส้นทางนี้จะใช้วิธีนา เรือท้องกระจก และการว่ายนา้ โดยใช้หน้ากากดปู ะการงั ทั้ง 2 วิธจี ะใช้ไดเ้ ฉพาะในบริเวณทมี่ ีนา้ ตนื้ ใน ระดับความลึก 4 - 6 ฟุต 3.4 เส้นทางเรือ เป็นการจัดการศึกษาธรรมชาติโดยใช้เรือนาชม จะจัดใน พนื้ ทที่ ีม่ ีทะเลสาบ หรอื ลาธารทม่ี ีน้าไหลตลอดปี 3.5 ทางสาหรับคนพิการ เป็นเส้นทางท่ีจัดไว้เฉพาะให้แก่คนพิการหรือ สูงอายุเข้ามาเที่ยวชม โดยเส้นทางนี้ต้องมีความกว้างเพียงพอสาหรับรถเข็น มีความยาวไม่เกิน 200 เมตร มลี ักษณะเป็นพื้นผวิ แขง็ และเปน็ ท่ีราบเป็นเสน้ ทางลกั ษณะมาบรรจบกัน เสน้ ทางศึกษาธรรมชาตดิ ้วยตนเอง เส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วยตนเอง เป็นตัวกลางอย่างหน่ึงที่จะให้ความรู้ความเข้าใจแก่ ประชาชนท่ัวไปในเร่ืองสภาพธรรมชาติส่ิงแวดล้อม เส้นทางศึกษาธรรมชาติเพื่อการสื่อความหมาย จะต้องมีเน้ือหาเป็นตัวกลางหรือวิธีการส่ือความหมายท่ีนาผู้มาเยือนไปสัมผัสกับทรัพยากรธรรมชาติ โดยตรง แตกต่างจากกิจกรรมนาศึกษาธรรมชาติตรงท่ีผู้มาเยือนต้องไปเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยผ่าน ตัวกลางท่ีอาจจะเป็นคู่มือศึกษาธรรมชาติ โดยคู่มือจะเน้นท่ีการให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพ ธรรมชาติหรือลักษณะทางวัฒนธรรมภายในแหล่งท่องเท่ียวตามเค้าโครงในการส่ือความหมาย ท่ีนักส่ือความหมายกาหนดไว้สาหรับแหล่งท่องเท่ียวแต่ละแห่ง ตัวกลางอีกประเภทที่พบได้บ่อยคือ

28 การใช้หมุดบอกตาแหน่งใช้คู่กับแผ่นพับ การใช้น้ันจะใช้หมุดบอกตาแหน่ง กับแผ่นพับ เพ่ือการ สอื่ ความหมายธรรมชาติและวัฒนธรรม นภวรรณ และคณะ (2541) ให้ข้อเสนอแนะว่าการออกแบบหมุดบอกตาแหน่งและ แผ่นพบั ทใ่ี ชค้ ู่กนั มขี อ้ ควรปฏบิ ัตคิ ือ 1. หมุดบอกตาแหน่งอาจเป็นป้ายขนาดเล็กแสดงเฉพาะหมายเลขตาแหน่ง ที่จะส่ือความหมายหรือป้ายแสดงหมายเลขตาแหน่งพร้อมชื่อตาแหน่งควบคู่กัน เช่น (1) หมู่บ้าน ชาวเล (2) อาหารสัตว์ (3) ผ้ยู อ่ ยสลายแห่งผืนปา่ เปน็ ต้น 2. วัสดุท่ีใช้จัดทาหมุดควรมีความกลมกลืนกับธรรมชาติ มีความคงทนต่อ สภาพอากาศและตอ่ การจบั โยกของนักท่องเที่ยว 3. แผ่นพับ ต้องระบุรายละเอียดที่จาเป็นทุกส่วนต้ังแต่การวางตาแหน่ง ต่างๆบนเส้นทาง ระยะทาง/เวลา และความยากง่ายในการเดิน และเร่ืองราวท่ีจะส่ือความหมายในแต่ ละตาแหน่งท้ังควรมภี าพประกอบเนื้อหาท่นี าเสนอ สารฐั (2542) ได้สรุปขอ้ ดแี ละข้อเสียของเส้นทางศึกษาธรรมชาตดิ ้วยตนเองไว้ดังน้ี 1. ขอ้ ดีของเสน้ ทางศกึ ษาธรรมชาตดิ ว้ ยตนเอง 1.1 ไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่หรือนักส่ือความหมายในการประกอบ กิจกรรม 1.2 นักทอ่ งเท่ียวสามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดต้ ามความต้องการ 1.3 ช่วยกระจายโปรแกรมส่ือความหมายไปยังงบริเวณท่ีห่างไกล ออกไป 1.4 สามารถใหบ้ รกิ ารได้ตลอดเวลา ทุกฤดกู าล 1.5 ชว่ ยลดผลกระทบส่งิ แวดล้อมตอ่ พืน้ ที่บริเวณนั้นๆ 1.6 ช่วยเสริมสรา้ งความสมั พันธ์ที่ดรี ะหว่างผู้ใหญก่ ับเด็ก 1.7 เปิดโอกาสให้นักท่องเท่ียวได้ชมพ้ืนที่ท่ีอ่อนไหวได้ โดยผ่าน ทางท่ีกาหนดไว้ 1.8 เป็นตัวกลางท่ีไม่แพงสาหรับการสร้างความสนใจและการให้ ข้อมลู กบั นักท่องเทีย่ วใหต้ ระหนักถงึ คณุ ค่าของลักษณะเด่นทางธรรมชาติและวฒั นธรรม 2. ข้อเสยี ของเส้นทางศกึ ษาธรรมชาติดว้ ยตนเอง 2.1 สิ่งท่ีนาเสนอไม่สามารถทาให้สัมพันธ์ได้กับทุกส่ิงทุกอย่าง เป็นการส่อื สารทางเดียว ไมส่ ามารถโต้ตอบไดใ้ นกรณที ซี่ บั ซอ้ น 2.2 การนาเสนอเนอื้ หาไมส่ ามารถปรับให้เหมาะสมในแตล่ ะบคุ คล 2.3 ยากต่อการดึงดูดความสนใจของนักท่องเท่ยี ว

29 2.4 ควบคมุ การทาลายได้ยากตอ้ งดแู ล 2.5 ไม่สามารถนาปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติในขณ ะน้ัน สร้างความสมั พันธ์กบั เรือ่ งท่นี าเสนอได้ 2.6 การนาเสนอเร่ืองราวขึ้นอยู่กับธรรมชาติท่ีปรากฏ ไม่สามารถ ลาดับได้ นอกจากนี้สารัฐ (2542) ได้ให้ข้อพิจารณาในการเลือกบริเวณสาหรับพัฒนาเส้นทาง ศกึ ษาธรรมชาติดว้ ยตนเอง (considerations in selecting the location of SGT) ไว้ดังน้ี 1. ศักยภาพในการส่อื ความหมาย (interpretive potential) โดยพจิ ารณาจาก 1.1 ลักษณะเด่นและส่ิงแวดล้อมท่ีสาคัญ ท่ีเป็นตัวแทนของระบบ นิเวศบริเวณนั้นหรือหาไดย้ ากในบริเวณอ่นื ๆ 1.2 ลักษณะเด่นอาจเก่ียวเนื่องกับพืช สัตว์ รูปทรงของลักษณะ ทางกายภาพประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม 1.3 ความหลากหลายของลักษณะเด่นในเส้นทาง ถ้ามีความ หลากหลายกจ็ ะทาให้มคี วามนา่ สนใจมากยงิ่ ขึ้น 1.4 เส้นทางที่ขาดศักยภาพ ต้องดึงดูดด้วยวิธีอื่น น่ันคืออาจจะ ออกแบบสิ่งอานวยความสะดวกบนเส้นทางให้สวยงาม เช่น ม้านั่ง สะพาน คู่มือศึกษาธรรมชาติ ปา้ ยบอกทาง เปน็ ต้น 2. การเข้าถึงเส้นทางเดินเท้า (trail accessible) ควรอยู่ใกล้กับบริเวณท่ีมี ผู้ใช้ประโยชน์รวมตวั กันมาก เชน่ ศนู ย์บริการนกั ทอ่ งเท่ยี ว จุดปิกนิก บริเวณที่กางเตน็ ท์ เป็นตน้ 3. ความปลอดภัยของผู้ใช้ประโยชน์และผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม (users safety and environmental impact) 3.1 ควรหลีกเล่ียงบริเวณที่มีสภาพระบบนิเวศเปราะบาง ง่ายต่อ การถกู ทาลาย 3.2 หลกี เลีย่ งบรเิ วณที่อยใู่ กล้กบั สายไฟ 3.3 หลกี เลีย่ งบรเิ วณทม่ี กี จิ กรรมอืน่ ๆปรากฏอยู่ นทิ รรศการ สุรเชษฏ์ (2539) ได้ให้ความหมายของนิทรรศการในอุทยานแห่งชาติไว้ว่า นิทรรศการเป็น ตัวกลางหรือส่ือที่นาเสนอภาพ และ/หรือวัตถุจริงและข้อความ เพ่ือเพิ่มพูนประสบการณ์และความรู้ แก่ผู้มาเยือนในอุทยานแห่งชาติ และข้อดีของโปรแกรมสื่อความหมายประเภทนี้ก็คือ นิทรรศการ สามารถเอาวัตถุดั้งเดิมมานาเสนอได้และวัตถุที่ดั้งเดิมท่ีมีคุณค่า สามารถนาเสนอและให้การคุ้มครอง

30 รักษาได้ ผู้มาเยือนสามารถเลือกชมในส่ิงท่ีตนเองสนใจ นักจัดการสามารถจาลองสงิ่ ที่ใหญ่ให้เลก็ และ ขยายสิ่งที่เล็กให้ใหญ่ เช่น จาลองพ้ืนที่ของอุทยานแห่งชาติให้เป็นโมเดลที่เล็กได้ หรือขยายภาพของ สิง่ มชี ีวิตเลก็ ๆ เช่น มด ให้เห็นการดารงชีวิตของมด เป็นตน้ นิทรรศการเป็นส่อื ท่นี ักทอ่ งเท่ยี วสามารถ เข้าชมได้ตลอดเวลา และสามารถออกแบบให้เป็นท่ีสนใจของคนทุกระดับอายุได้ แต่ทั้งน้ีก็มีข้อด้อย โดยท่ัวไปนั้นคนจะไม่นิยมอ่านข้อความเป็นเวลานานๆ และสิ่งท่ีนาเสนอจะนิ่งอยู่กับที่บนบอร์ดจึง อาจจะไม่ดึงดูดความสนใจมากนัก เนื่องจากนิทรรศการเป็นลักษณะของการให้ความรู้ การบอกกล่าว และการเผยแพรป่ ระชาสัมพนั ธจ์ ึงควรอาศยั ABC กลา่ วคือ 1. Attractive เพื่อดึงดูดความสนใจ หมายถึงออกแบบให้ดึงดูดความสนใจหรือ สามารถดงึ ความสนใจของผู้ใชบ้ ริการนิทรรศการให้นานทสี่ ดุ 2. Brief ต้องกะทัดรัดในเน้ือหาสาระ หมายถึง ใช้ถ้อยคาในการสื่อสารท่ีมีความสั้น กะทดั รัดได้ใจความครบถ้วน 3. Clear ต้องกระจ่างแจ่มแจ้ง หมายถึง หมายถึง สิ่งท่ีปรากฏในนิทรรศการต้องมี ความชัดเจนในความหมาย ผู้อา่ นสามารถเดาในสิ่งทตี่ ้องการใหผ้ ใู้ ช้บรกิ ารนิทรรศการรบั ร้ตู ้งั แต่ต้น ดังน้ันจึงกล่าวได้วา่ นทิ รรศการเปน็ การให้ขอ้ มูลข่าวสาร เพื่อเผยแพร่ประชาสมั พันธ์อุทยาน แห่งชาติ โดยสามารถนาเสนอได้หลายรูปแบบ เช่น ภาพถ่าย ภาพวาด รูปจาลอง หรือตัวอย่าง จึง จาเป็นตอ้ งอาศัยหลกั ศิลปะในการนาเสนอเร่อื งราว เพ่อื ให้นิทรรศการมคี วามน่าสนใจและดึงดูดความ สนใจของผู้มาเยือนให้เข้าชมนิทรรศการ การจัดนิทรรศการในอุทยานแห่งชาติน้ัน ส่วนใหญ่มักจัด ภายในศูนย์บริการนักท่องเท่ียว เพื่อให้ผู้มาเยือนได้ศึกษาและทราบเรื่องราวต่างๆขณะมาเยือน อทุ ยานแหง่ ชาติ ความรู้เบ้อื งตน้ เกย่ี วกบั สถติ ิ การวิเคราะห์ทางสถิติ คาว่า สถิติ (Statistics) มาจากภาษาเยอรมันว่า Statistik มีรากศัพท์มาจาก Stat หมายถึง ข้อมูล หรือ สารสนเทศ ซึ่งจะอานวยประโยชน์ต่อการบริหารประเทศในด้านต่างๆ เช่น การทา สามะโนครัว เพือ่ ทราบพลเมอื งในประเทศท้ังหมด ต่อมา สถิติ หมายถึงตัวเลขหรือข้อมูลที่ได้จากการ เก็บรวบรวม เช่น จานวนผู้ประสบอุบัติเหตบุ นทอ้ งถนน อัตราการเกิดของเด็กทารก ปริมาณนา้ ฝนใน แตล่ ะปี สถิตใิ นความหมายน้ี เรียกว่าขอ้ มลู ทางสถิติ (Statistical data) อีกความหมายหน่ึง สถิติ หมายถึงวิธีการท่ีว่าด้วยการเก็บรวบรว มข้อมูล การนาเสนอขอ้ มลู การวเิ คราะห์ข้อมลู และการตีความหมายข้อมลู

31 ประเภทของสถิติ สถิติแบ่งเป็น 2 ประเภท คอื 1. สถติ ิพรรณนา (Descriptive Statistics) เป็นสถิตทิ ี่ใชอ้ ธบิ ายคณุ ลกั ษณะของสง่ิ ที่ ต้องการศึกษากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่สามารถอ้างอิงไปยังกลุ่มอื่นๆ ได้ สถิติที่อยู่ในประเภทนี้ เช่น คา่ เฉล่ีย คา่ มัธยฐาน คา่ ฐานนิยม สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน คา่ พสิ ัย ฯลฯ 2. สถิติอ้างอิง (Inferential statistics) เป็นสถิติที่ใช้อธิบายคุณลักษณะของส่ิงที่ ต้องการศึกษากลุ่มใดกลุ่มหน่ึงหรือหลายกลุ่ม แล้วสามารถอ้างอิงไปยังกลุ่มประชากรได้ โดยกลุ่มที่ นามาศึกษาจะต้องเป็นตัวแทนท่ีดีของประชากร ตัวแทนที่ดขี องประชากรได้มาโดยวิธกี ารสุ่มตัวอย่าง และตัวแทนที่ดขี องประชากรเรยี กว่า กลมุ่ ตัวอยา่ ง สถิตอิ า้ งองิ แบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื 2.1. สถิติพารามิเตอร์ (Parametric Statistics) เป็นวิธีการทางสถิติท่ี จะต้องเปน็ ไปตามข้อตกลงเบ้อื งตน้ 3 ประการ ดังน้ี (1). ข้อมูลที่เกบ็ รวบรวมได้จะต้องอยู่ในระดับชว่ งข้ึนไป (Interval Scale) (2). ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากกลุ่มตัวอย่างจะต้องมีการแจกแจง เป็นโคง้ ปกติ (3). กลุ่มประชากรแต่ละกลุ่มท่ีนามาศึกษาจะต้องมีความ แปรปรวนเท่ากนั สถติ ทิ อ่ี ยู่ในประเภทน้ี เชน่ t-test, Z-test, ANOVA, Regression ฯลฯ 2.2. สถิตไรพ้ ารามิเตอร์ (Nonparametric Statistics) เป็นวิธีการทางสถิติ ที่สามารถนามาใช้ได้โดยปราศจากข้อตกลงเบื้องต้นท้ัง 3 ประการข้างต้น สถิติที่อยู่ในประเภทนี้ เช่น ไคสแควร์, Median Test, Sign test ฯลฯ โดยปกติแล้วนักวิจัยนิยมใช้สถิติมีพารามิเตอร์ทั้งนี้เพราะผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้สถิติมี พารามิเตอร์มีอานาจการทดสอบ (Power of Test) สูงกว่าการใช้สถิติไร้พารามิเตอร์ สถิติมี พารามิเตอร์เป็นการทดสอบที่ได้มาตรฐาน มีขั้นตอนต่างๆ ท่ีสมบูรณ์ ดังน้ันเมื่อข้อมูลมีคุณสมบัติท่ี สอดคล้องกับข้อตกลงเบ้ืองต้นในการใช้สถิติมีพารามิเตอร์จึงไม่มีผู้ใดคิดท่ีจะหันกลับไปใช้สถิติไร้ พารามิเตอรใ์ นการทดสอบสมมติฐาน ระดับการวดั การวัดเป็นการกาหนดตัวเลขให้กับส่ิงท่ีต้องการศึกษาภายใต้กฎเกณฑ์ที่แน่นอนการวัดแบ่ง ออกเป็น 4 ระดับ คอื ระดับที่ 1 ระดับนามบัญญัติ (Nominal Scale) เป็นระดับที่ใช้แยกความแตกต่าง ของสิ่งที่ต้องการวัดออกเป็นกลุ่ม เช่น เพศ แบ่งออกเป็นกลุ่มเพศชาย และกลุ่มเพศหญิง โดยให้เลข 1 แทน เพศชายและเลข 2 แทนเพศหญิง หรือระดับการศึกษาแบ่งออกเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาต่ากว่า

32 ปริญญาตรี ให้แทนด้วยเลข 1 กลุ่มท่ีมีการศึกษาระดับปริญญาตรีให้แทนด้วยเลข 2 และกลุ่มท่ีมี การศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรีให้แทนด้วยเลข 3 เป็นต้น ซ่ึงตัวเลข 1,2,3 ที่ใช้แทนกลุ่มต่างๆ ถือเป็นตัวเลขในระดบั นามบญั ญัติไม่สามารถนามาบวก ลบ คณู หาร หรือหาสดั สว่ นได้ ระดับท่ี 2 ระดับอันดับที่ (Ordinal Scales) เป็นระดับท่ีใช้สาหรับจัดอันดับที่หรือ ตาแหน่งของส่ิงของที่ต้องการวดั เชน่ ดาสอบได้ท่ี 1 แดงสอบได้ท่ี 2 เขียวสอบได้ที่ 3 ซึ่งตัวเลข 1, 2, 3 เปน็ ตัวเลขในระดบั อันดับทสี่ ามารถนามาบวก ลบกันได้ ระดับท่ี 3 ระดับชว่ ง (Interval Scales) เป็นระดับที่สามารถกาหนดค่าตัวเลขโดยมี ช่วงห่างระหว่างตัวเลขเท่าๆ กัน แต่ไม่มี 0 (ศูนย์) แท้ มีแต่ 0 (ศูนย์) สมมติ เช่น นายวิชัยสอบได้ 0 คะแนน มิได้หมายความว่าเขาไม่มีความรู้ เพียงแต่เขาไม่สามารถทาข้อสอบซึ่งเป็นตัวแทนของ ความรู้ทั้งหมดได้ ระดบั นสี้ ามารถนาตวั เลขมาบวก ลบ คณู หาร กันได้ ระดับที่ 4 ระดับอัตราส่วน (Ratio Scales) เป็นระดับที่สามารถกาหนดค่าตัวเลข ให้กับส่ิงทต่ี อ้ งการวัด มี 0 (ศนู ย์) แท้ เช่น นา้ หนกั ความสูง อายุ เปน็ ต้น ระดับน้ีสามารถนาตัวเลขมา บวก ลบ คณู หาร หรือหาอตั ราสว่ นกันได้ ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง - ประชากร คอื กลุ่มของการวดั ทั้งหมดทส่ี นใจศึกษา - ตัวอย่าง คือ สับเซตของการวดั ทม่ี าจากประชากรทสี่ นใจศึกษา - พารามิเตอร์ คอื คา่ จรงิ หรือค่าประชากร ซึ่งโดยท่ัวไปไมท่ ราบคา่ ตวั แปร ตัวแปร คือ คุณลักษณะท่ีเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับความแตกต่างเฉพาะบุคคลหรือกลุ่ม ตัวอย่าง เช่น อุณหภูมิของร่างกายคือตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละบุคคล การนับถือศาสนา รายได้ อายุ ความสงู ตวั แปรคุณลกั ษณะเหลา่ นีข้ นึ้ อยู่กบั แตล่ ะบุคคล ชนิดของตัวแปร 1. ตัวแปรเชิงคุณภาพ เป็นตัวแปรท่ีข้อมูลไม่ใช่ตัวเลขแต่เป็นข้อมูลที่มีลักษณะเป็น การแบ่งประเภทให้เห็นถึงความแตกต่างของกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่ม เช่น ศาสนา อาชีพ สถานภาพ สมรส ระดับการศึกษา 2. ตวั แปรเชิงปริมาณ เปน็ ตัวแปรทถี่ กู วัดมามีค่าเป็นตวั เลข เช่น จานวนบตุ ร รายได้ คะแนนสอบ ราคาส่ิงของ

33 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลและการสุ่มตวั อย่าง การวางแผนหรอื การกาหนดแนวความคิด สมมติฐานของการวิจัย ตัวแบบท่ีทาวิจัย ข้อมูลที่ต้องการเก็บรวบรวม วิธีการทดลองหรือเทคนิคการสารวจ ขนาดตัวอย่าง และวิธีวิเคราะห์ ข้อมูล ตลอดจนวธิ ีรายงานผล เพอื่ ประเมินผลลพั ธ์และตอบปญั หาของการวจิ ยั ตอ่ ไป ข้อมูล คือความจริงท่ีให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องท่ีวิจัยได้ ข้อมูลอาจเป็นตัวเลข หรือไม่เป็นตัวเลขท่ีเก่ียวกับเรื่องที่สนใจศึกษา ข้อมูลจาเป็นต้องมีคุณภาพ เพ่ือนาไปวิเคราะห์หา สารสนเทศท่ใี หค้ วามรหู้ รือชว่ ยในการตดั สนิ ใจใหถ้ กู ต้อง วิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมลู ก่อนอื่นผู้วิจยั ควรศึกษาและกาหนดข้อมูลท่ีใช้หรือที่สนใจ เก็บรวบรวมว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งอาจกาหนดในรูปของแบบบันทึกข้อมูลหรือการสร้างแบบสอบถามไว้ กอ่ นแล้วจงึ เลือกวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู มี 4 วธิ ีดังน้ี 1. วธิ ีสามะโนครวั คอื การเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากทุกหน่วยของประชากร 2. วิธีสารวจตัวอย่าง คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากหน่วยตัวอย่าง ซ่ึงโดยทั่วไปควรอาศัยเทคนิคการสุ่มตัวอย่าง เพอ่ื เลอื กหนว่ ยตวั อย่างทีเ่ ป็นตัวแทนทด่ี ขี องประชากร 3. วิธีการทดลอง คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลหรือสังเกตการณ์จากงาน ทดลองดา้ นต่างๆ ท่ีอาจทาในห้องปฏบิ ัตกิ ารหรอื นอกหอ้ งปฏิบัติการของการทดลอง 4. วิธีเก็บรวบรวมจากทะเบียน คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีมีผู้บันทึก รวบรวมขอ้ มลู ไว้เสรจ็ แล้ว ผูใ้ ช้ไปศึกษาค้นคว้าและนามาใชอ้ ีกต่อหน่ึง การสุ่มตัวอย่าง คือ การเลือกตัวอย่างและเทคนิคการประมาณค่าพารามิเตอร์ท่ี สนใจ เช่น ค่าเฉลี่ย ค่าสัดส่วน เป็นต้น ภายใตท้ ฤษฎีการสมุ่ ตัวอย่าง และนิยมใช้ในกรณีทป่ี ระชากรมี ขนาดใหญ่ ซ่ึงการเลือกตัวอย่างแบง่ เปน็ 2 วิธหี ลกั ๆ คอื 1. การเลือกตัวอย่างที่ใช้ความน่าจะเป็น เป็นเทคนิคการหาข้อมูลท่ีเป็น ตัวอย่างเชิงความน่าจะเป็น ซ่ึงมีคุณสมบัติว่าแต่ละหน่วยประชากรมีค่าความน่าจะเป็นที่ไม่เท่ากับ ศูนย์ท่ีจะถูกเลือกมาเป็นตัวอย่าง เช่น การเลือกตัวอย่างสุ่มแบบง่าย เช่น จับฉลาก ตารางเลขสุ่ม ใช้คอมพิวเตอร์, การเลือกตัวอย่างแบบมีระบบ เช่น เส้นตรง วงกลม และการเลือกตัวอย่างแบบเป็น ชนั้ ภมู ิ เช่น อยา่ งงา่ ย แบบกลมุ่ หลายข้นั 2. การเลือกตัวอย่างท่ีไม่ใช้ความน่าจะเป็น เป็นการเลือกตัวอย่างท่ีไม่ คานึงถึงโอกาสที่หน่วยต่างๆ ในประชากรจะถูกเลือกข้ึนมาอย่างไร วิธีการน้ีบางหน่วยของประชากร อาจไม่มีโอกาสจะถูกเลือกเลย จะไม่สามารถนาผลสรุปจากระดับตัวอย่างไปอนุมานเพื่อหาข้อสรปุ ถึง ระดับประชากรได้ เช่น การเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ การเลือกตัวอย่างแบบสโนว์บอล การเลือก ตัวอยา่ งแบบโควตา

34 ในการพิจารณาในการเลือกใช้ชนิดทางสถิติน้ัน จะต้องมีการคานึงถึงจุดมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ของการวิจัย ซ่ึงโดยท่วั ไปแบง่ จดุ ม่งุ หมายหรือวัตถุประสงค์ของการวิจยั ได้ดงั ต่อไปนี้ 1. เพื่อบรรยายลักษณะตัวแปรในกลุ่มตัวอย่างหรือประชากร เป็นการใช้ สถติ บิ รรยาย มาบรรยายภาพรวมของกลุ่มตัวอยา่ ง ประกอบด้วย - การแจกแจงความถ่ีและค่าร้อยละ และนาผลจากการแจกแจง ความถ่ีหรือค่าร้อยละเพื่อแสดงภาพรวมของข้อมูลท่ีได้ ในการนาเสนอนิยมใช้ตารางและแผนภูมิ มากกว่าคาบรรยายเพยี งอยา่ งเดียว - การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ได้แก่ คา่ เฉล่ียเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนยิ ม - การวดั การกระจาย ได้แก่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 2. เพื่อเปรียบเทียบหาความแตกต่าง และสรุปอ้างอิงหาความแตกต่างจาก กลุ่มตวั อยา่ งกลับไปยังประชากรที่ศกึ ษา ได้แก่ - การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระกัน ด้วย Independent t-test - การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่ เป็นอิสระต่อกันด้วย pair t-test - การเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของกลุ่มตัวอย่างตั้งแต่ 2 กลุ่มด้วย Anova - การเปรียบเทยี บความถี่และสัดส่วนด้วยไคสแควร์ 3. เพ่ือบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ได้แก่ การใช้สหสัมพันธ์อย่างง่าย ในการบรรยายความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวแปร เช่น การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s product moment coefficient of correlation) และสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน (Spearman’s Correlation) และการใช้สหสัมพันธ์พหุคูณ ในการบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างตัว แปรตั้งแต่ 2 ตัวขนึ้ ไป การเตรยี มข้อมลู เพื่อการวิเคราะห์ การจะให้ SPSS วิเคราะห์ข้อมูลให้ จาเป็นต้องเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์ สามารถอ่านได้ การประมวลผลข้อมูลเป็นการจัดการกับข้อมูลอย่างมีระบบ เพ่ือให้ขอมูลที่ได้รับการ ประมวลผลแล้วอยู่ในรปู ทีส่ ามารถนาไปใช้งานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ ซึ่งมขี น้ั ตอน ดังน้ี 1 การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีได้จากรูปแบบต่างๆ เช่น แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบสัมภาษณ์ ท้งั ทเ่ี ปน็ ข้อมลู ปฐมภูมแิ ละทตุ ยิ ภูมิ

35 2. การเปลี่ยนสภาพข้อมูล เปน็ การเปล่ียนสภาพของข้อมูลท่เี ก็บรวบรวมมาไดใ้ ห้อยู่ ในรปู แบบทีส่ ะดวกหรือเหมาะสมตอ่ การนาไปประมวลผล ซง่ึ ประกอบด้วย 2.1 การลงรหัส (Coding) เป็นการเปล่ียนรูปแบบข้อมูลโดยให้รหัสแทน ข้อมูลเพ่ือทาให้สามารถจาแนกลักษณะข้อมูล รหัสที่ใช้แทนข้อมูลอาจจะอยู่ในรูปตัวเลข ตัวอักษร หรือข้อความ ซ่ึงโดยปกตนิ ยิ มกาหนดรหสั ข้อมูลให้เป็นตัวเลข (ยกเว้นโปรแกรมท่ใี ชป้ ระมวลผลขอ้ มูล ในการวิจัย เชิงคุณภาพโดยเฉพาะ) ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ แต่การนาไป วเิ คราะห์หรือประมวลผล และการตีความจะแตกตา่ งกันไป 2.2 การแก้ไข (Editing) เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลรวมทั้ง ขอ้ มูลท่ไี ดแ้ ปลงให้อยู่ในรูปรหัสแล้ว รวมท้ังการตรวจสอบความสมบูรณ์ของขอ้ มูล และแก้ไขปรับปรุง ให้ถูกต้อง 3. การประมวลผล (Data processing) เป็นการนาข้อมูลที่ได้จากการเปล่ียนสภาพ แล้วมาทาการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งในปัจจุบันจะใช้โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติช่วยในการวิเคราะห์ ซ่ึงการวิเคราะห์ อาจจะเป็นการวิเคราะห์ข้ันต้น เช่น การเรียงลาดับ (Sorting) การรวบรวมข้อมูล (Merging) หรือการวิเคราะห์ในระดับที่สูงข้ึนมาอีก เช่น การประมาณค่า (Estimate) การทดสอบ สมมตฐิ าน (Hypothesis testing) หรอื การวเิ คราะหโ์ ดยใช้สถิติชน้ั สูงอ่นื ๆ 4. การแสดงผลลัพธ์ (Output) เป็นการนาเสนอผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ข้อมูลให้ อยู่ในรปู ทีเ่ ข้าใจงา่ ย ซึ่งอาจเปน็ รายงาน ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิอื่นๆ การสร้างรหสั สาหรับตวั แปร โดยปกติในการวิจัย ผู้วิจัยจะออกแบบการวิจัยโดยกาหนดตัวแปรไว้ต้ังแต่ก่อนการ เก็บรวบรวมข้อมูลแต่ถ้าเป็นข้อมูลท่ีมีการรวบรวมเพ่ือประมวลผลเพื่อวัตถุประสงค์ใดประสงค์หน่ึง อาจไม่ได้กาหนดตัวแปรไว้ล่วงหนา้ ก็ได้ ดังนั้นเม่ือมีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว จะต้องกาหนดตัวแปร หรือค่ารหัสของตัวแปร การกาหนดชื่อตัวแปรนั้นจะต้องกาหนดท้ังข้อมูลท่ีเป็นเชิงคุณภาพและ เชิงปริมาณ ส่วนการให้ค่ารหัสนั้นมักจะใช้กับตัวแปรเชิงคุณภาพ เช่น เพศ อาชีพ ศาสนา วฒุ ิการศึกษา เป็นต้น ส่วนตัวแปรเชิงปริมาณก็ใช้คา่ ท่ีได้จากการเก็บรวบข้อมูลจริง เช่น อายุ ก็จะใส่ ค่ารหัส ตามอายุจริงที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลมา ยกเว้น แต่มีการกาหนดช่วงอายุหรือจัดกลุ่ม อายไุ วต้ ง้ั แตก่ ่อนการเกบ็ ขอ้ มูล ในลกั ษณะอยา่ งนจ้ี าเป็นต้องกาหนดค่ารหัสเช่นกนั ในบางคร้ังการกาหนดตัวแปรหรือกาหนดรหัสจะทาควบคู่กับเครื่องมือการวิจัย ซ่ึงคาถาม 1 คาถาม จะสามารถสร้างตัวแปรได้อย่างน้อย 1 ตัวแปร และค่าของตัวแปรท่ีได้ก็คือข้อมูลนั่นเอง สามารถแสดงตัวอย่างการกาหนดตวั แปรและการให้ค่ารหัสตัวแปรจากแบบสอบถาม ดงั นี้

36 ตารางที่ 1 ตัวอยา่ งตารางแบบสอบถามเพื่อการวิจยั แบบสอบถามเพื่อการวิจัย หมายเลข........... สาหรบั เจา้ หน้าท่ี ตอนท่ี 1 สถานภาพส่วนบุคคล SEX  คาช้แี จง กรณุ ากาเคร่ืองหมาย  ลงในช่อง  ทีต่ รงกบั ความเป็นจรงิ ของ AGE  ทา่ น EXP  EDU  1. เพศ  1.ชาย  2. หญิง SIZE  2. อายุ.........................ปี 3. ประสบการณ์ในการทางาน........................ ปี 4. ระดับการศึกษา  1. ต่ากว่าปรญิ ญาตรี  2. ปริญญาตรี  3.ปริญญาโทข้ึนไป 5. ขนาดโรงเรียนที่ทางานอยู่ปัจจบุ ัน  1. ขนาดเล็ก  2. ขนาดกลาง  3. ขนาดใหญ่ ทีม่ า : http://www.saruthipong.com/port/document/299-705/299-705-4.pdf (มปป.) จากตัวอย่างแบบสอบถาม จะเห็นว่า ทางด้านขวามีช่ือตัวแปรกาหนดไว้ โดยการตั้งช่ือ ตัวแปรจะเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ การกาหนดชื่อตัวแปรที่จะใช้ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ นน้ั ควรกาหนดช่อื ให้สอดคล้องกับตัวตัวแปรในการวจิ ัยในเรือ่ งน้ันๆ ซึ่งจะทาให้สะดวกต่อการจาและ ทาความเข้าใจ ในกรณีที่ใช้โปรแกรม SPSS for Window จะมีความยาวไม่เกิน 8 ตัวอักษรซึ่งจะ กล่าวถึงในรายละเอียดต่อไป นอกจากนี้จะมีชองส่ีเหล่ียมสาหรับใส่ค่ารหัสของตัวแปร ซ่ึงได้มาจาก การตอบแบบสอบถาม ผู้วิจัยควรทาสมุดคู่มือการกาหนดรหัสให้ตัวแปร โดยกาหนดชื่อตัวแ ปร ชนิดของตวั แปร ขนาดของตัวแปร และการให้ค่ารหสั ตวั แปร

37 ตารางที่ 2 ตัวอย่างการจัดทาคู่มือการลงรหัส คาถามที่ ชอ่ื ตวั แปร รายการ ขนาดตัวแปร ค่ารหสั ขอ้ สงั เกต 1 SEX ข้อมูล (จานวนหลัก) ชอื่ 1 →ชาย เลือกได้คาตอบ 2 AGE 1 2→หญงิ เดียว 3 EXP อายุ 9→ไมต่ อบ/ตอบสองข้อ 4 EDU ประสบการณ์ 2 ตามจรงิ อายจุ ริง การศึกษา 2 99 →ไมต่ อบ 5 SIZE 1 01 – 40→ ตามจริง ประสบการณ์ ขนาดโรงเรียน 99 → ไมต่ อบ จรงิ 1 1→ ต่ากว่าปริญญาตรี เลอื กไดค้ าตอบ 2→ ปริญญาตรี เดยี ว 3→ ปริญญาโทข้นึ ไป 9→ไมต่ อบ เลือกได้คาตอบ 1→ ขนาดเล็ก เดยี ว 2→ขนาดกลาง 3→ขนาดใหญ่ 9→ไมต่ อบ ท่ีมา : http://www.saruthipong.com/port/document/299-705/299-705-4.pdf (มปป.) การจัดทาคู่มือลงรหัสจะทาให้การลงข้อมูลได้ไม่ผิดพลาดโดยเฉพาะเมอื่ ตัวแปรมีจานวนมาก อย่างไรก็ตามในบางครั้งจะนาข้อมูลท่ีได้จากเคร่ืองมือการวิจัย ไปเขียนลงใน กระดาษลงรหัส (Paper code) แล้วค่อยนาข้อมูลที่ลงรหัสในการกระดาษลงรหัสไปลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใน กรณีอาจจะเป็นการทาข้อมูลซ้าซ้อนแต่จะสะดวกต่อการลงรหัสในโปรแกรม SPSS มากข้ึน และยัง สะดวกต่อการตรวจสอบในกรณลี งรหัสในโปรแกรมผิด เปน็ ประโยชนก์ ็ได้ ซึง่ ในกระดาษลงรหัสนี้จะมี ลักษณะคล้ายกับหน้าต่าง Data editor ของ SPSS for window ซึ่งจะประกอบด้วย หมายเลข แบบสอบถาม ตัวแปร และคา่ รหสั ของตวั แปร ดงั ตวั อยา่ ง

38 ตารางที่ 3 ตวั อยา่ งแบบสอบถาม ตวั แปร และค่ารหสั ของตวั แปร หมายเลข SEX ตัวแปร (เทา่ กับจานวนข้อคาถามในเครือ่ งมือการวิจยั ) …. แบบสอบถาม AGE EXP EDU SIZE 1 …. 1 1 42 5 1 1 …. 2 2 35 7 1 1 …. 3 1 39 9 2 2 …. 4 2 48 10 3 3 …. 5 . 50 7 2 3 . . . ... . . . . ... . . . ... . ที่มา: http://www.saruthipong.com/port/document/299-705/299-705-4.pdf (มปป.) กลุม่ ตัวอยา่ ง(Sample groups) หมายถึงบางส่วนของประชากรที่ถูกเลือกมาเป็นตัวแทนของประชากรท่ีทาการศึกษา การใช้ กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กจะทาใหม้ ีโอกาสเกิดความคลาดเคลอ่ื นมาก และการใช้ขนาดกลุ่มตัวอยา่ งใหญ่ จะมีโอกาสเกิดความคลาดเคลื่อนน้อย เนื่องจากขนาดกลุ่มตัวอย่างใหญ่ให้ข้อมูลท่ีเที่ยงตรง การคานวณทางสถิติมีความถูกต้องมากกว่ากลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก กลุ่มตัวอย่างยิ่งมีขนาดใหญ่มาก เท่าใด ความคลาดเคล่ือนจากการสุ่มจะลดน้อยลงแต่เมื่อถึงจุดหน่ึงแม้จะเพิ่มขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ให้ใหญข่ นึ้ อีกแตค่ วามคลาดเคลื่อนก็ลดลงได้ไม่มากนัก

39 ภาพที่ 4 ความสัมพนั ธ์ระหว่างความคลาดเคลอื่ นในการสมุ่ ตวั อยา่ งกบั ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ทีม่ า : รพีวรรณ์ พิมพจ์ ันทร์ โรงเรยี นบา้ นบึง \"อตุ สาหกรรมนุเคราะห์\" (2557) การกาหนดขนาดของกล่มุ ตวั อย่าง ควรคานึงถึงสง่ิ ตา่ งๆ หลายอย่างมาประกอบกนั ดังนี้ 1) ค่าใช้จ่าย เวลาแรงงานและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก กลุ่มตัวอย่างน้นั พอหรอื ไม่ คุ้าค่าเพยี งใด 2) ขนาดของประชากร ถ้าประชากรมีขนาดใหญ่ จาเป็นต้องเลือก กล่มุ ตัวอยา่ ง ถา้ ประชากรมขี นาดเล็ก ควรศกึ ษาจากประชากรท้ังหมด 3) ความเหมือนกัน ถ้าประชากรมีความเหมือนกันมาก ใช้กลุ่มตัวอย่าง ขนาดเล็กได้ แต่ถ้าประชากรมีความแตกต่างของสมาชิกมาก ความแปรปรวนจะมีมากต้องใช้กลุ่ม ตัวอย่างขนาดใหญ่ขึ้น 4) ความแม่นยาชัดเจน ย่ิงขนาดกลุ่มตัวอย่างใหญ่มากเพียงใด ผลของ การศึกษายิ่งแมน่ ยามากเท่าน้นั 5) ความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มตัวอย่าง มักจะยอมให้เกิดได้ 1% หรือ 5% (สัดส่วน 0.01 หรอื 0.05) และข้ึนอย่กู บั ความสาคัญของเร่อื งทศี่ กึ ษาด้วย ถ้าสาคญั มากใหม้ ีความ คลาดเคลอื่ นให้น้อยท่สี ุด 6) ความเชื่อมั่น ต้องกาหนดความเช่ือม่ันว่ากลุ่มตวั อย่างที่สุ่มมามโี อกาสได้ คา่ อา้ งอิงไมแ่ ตกต่างจากค่าแท้จรงิ ของประชากรประมาณเทา่ ไร

40 วธิ ีการกาหนดขนาดกลุ่มตัวอยา่ ง วิธีการกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างมีด้วยกันหลากหลายวิธี ในท่ีน้ีจะเสนอการ กาหนดขนาดของ กลุ่มตัวอย่างจากการกาหนดเกณฑ์ การใช้สูตรคานวณและการใช้ตารางสาเร็จรูป ซง่ึ แตล่ ะวธิ สี ามารถอธบิ ายไดต้ อ่ ไปนี้ 1. การกาหนดเกณฑ์ ในกรณีนี้ผู้วิจัยต้องทราบจานวนประชากรท่ีแน่นอนก่อนแล้ว ใช้เกณฑ์โดย กาหนดเป็นรอ้ ยละของประชากรในการพิจารณา ดังน้ี ถ้าขนาดประชากรเป็นหลกั ร้อย ควรใชก้ ลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 25% ถา้ ขนาดประชากรเปน็ หลักพนั ควรใช้กลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 10% ถ้าขนาดประชากรเปน็ หลักหมื่น ควรใช้กลุ่มตวั อยา่ งอย่างน้อย 5% ถ้าขนาดประชากรเป็นหลักแสน ควรใชก้ ลมุ่ ตัวอย่างอยา่ งน้อย 1% 2. การใชต้ ารางสาเร็จรปู การกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสาเร็จรูป มีอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับ ความต้องการของผู้วิจัย ตารางสาเร็จรูปท่ีนิยมใช้กันในงานวิจัยเชิงสารวจ ได้แก่ ตาราง สาเรจ็ ของทาโร ยามาเน่ และตารางสาเร็จรปู ของเครจซ่แี ละเมอร์แกน เป็นตน้ ตารางสาเรจ็ ของทาโร ยามาเน่ ตารางสาเร็จรูปของ ทาโร ยามาเน่ (Yamane) เป็นตารางท่ีใช้หาขนาดของกลุ่ม ตัวอย่างเพื่อประมาณค่าสัดส่วนของประชากร โดยคาดว่าสัดส่วนของลักษณะท่ีสนใจในประชากร เท่ากับ 0.5 และระดับความเช่ือม่ัน 95% ดังตารางที่ 4 วิธีการอ่านตารางผู้วิจัยจะต้องทราบขนาด ของประชากร และกาหนดระดับความคลาดเคลือ่ นทย่ี อมรับได้

41 ตารางท่ี 4 ขนาดของกล่มุ ตวั อยา่ งของทาโร ยามาเน่ ทร่ี ะดบั ความเชื่อม่ัน 95 % และความคลาดเคล่อื นตา่ งๆ ขนาดประชากร ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ขนาดความคลาดเคลอ่ื น (e) ±1% ±2% ±3% ±4% ±5% ±10% 500 * * * * 222 83 1000 * * * 385 286 91 1500 * * 638 441 316 94 2000 * * 714 476 333 95 2500 * 1250 769 500 345 96 3000 * 1364 811 517 353 97 3500 * 1458 843 530 359 97 4000 * 1538 870 541 364 98 4500 * 1607 891 549 367 98 5000 * 1667 909 556 370 98 6000 * 1765 938 566 375 98 7000 * 1842 959 574 378 99 8000 * 1905 976 580 381 99 9000 * 1957 989 584 383 99 10000 5000 2000 1000 588 385 99 15000 6000 2143 1034 600 390 99 20000 6667 2222 1053 606 392 100 25000 7143 2273 1064 610 394 100 50000 8333 2381 1087 617 397 100 100000 9091 2439 1099 621 398 100 ∞ 10000 2500 1111 625 400 100 * หมายถึง ขนาดตวั อยา่ งไมเ่ หมาะสมที่จะ assume ให้เป็นการกระจายแบบปกติจงึ ไมส่ ามารถใชส้ ูตร คานวณขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งได้ ที่มา : รพีวรรณ์ พิมพจ์ นั ทร์ โรงเรยี นบ้านบึง \"อตุ สาหกรรมนุเคราะห์\" (2557)

42 สตู รของยามาเน่ Yamane ได้เสนอสูตรการคานวณขนาดตัวอย่างสัดส่วน 1 กลุม่ โดยสมมตคิ า่ สัดสว่ น เท่ากับ 0.5 และทรี่ ะดับความเช่ือมัน่ 95% n = 1 N + Ne2 โดย n = ขนาดตวั อย่างท่คี านวณได้ N = จานวนประชากรทท่ี ราบค่า e = คา่ ความคลาดเคล่อื นที่จะยอมรบั ได้ (allowable error) ถ้ากาหนดระดบั ความคลาดเคลอื่ นเท่ากบั 5% จะใชค้ ่า 0.05 แทนค่าในสูตร การสุ่มกลุ่มตวั อย่าง (Sampling) หมายถึง กระบวนการได้มาซ่ึงกล่มุ ตัวอย่างที่มีความเปน็ ตวั แทนท่ีดขี องประชากร ความจาเปน็ ในการสมุ่ ตวั อย่าง ในการวจิ ยั นยิ มใช้กลมุ่ ตวั อย่างเนื่องจากมคี วามจาเป็นบางประการได้แก่ 1. ป้องกันการลาเอียง (bias) ของผวู้ จิ ยั 2. เพื่อให้เกดิ ความเปน็ ไปได้ในทางปฏิบัติ 3. เพือ่ ประหยัดเวลาทุนทรัพย์และกาลงั คน 4. เพอื่ ให้ไดต้ ัวแทนที่ดีของประชากร ขัน้ ตอนการสมุ่ ตวั อยา่ ง การสุม่ ตัวอย่างแตล่ ะครง้ั ผวู้ จิ ยั ควรได้กระทาการท่มี ีข้นั ตอนดงั น้ี คือ 1. ศึกษาจุดมุ่งหมายของการวิจัยเรื่องน้ัน เพ่ือทราบว่ากลุ่มตัวอย่างจะ เป็นอะไร มขี อบเขตกวา้ งขวางเพยี งไร 2. ให้นิยามประชากร คือ การระบุขอบเขตประชากรให้ชัดเจน รัดกุม เช่น ประชากรคอื นสิ ติ มหาวิทยาลัยศรีนทรวโิ รฒ พิษณโุ ลก ท่ลี งทะเบยี นเรียนในภาคที่ 1/2529 3. กาหนดรายช่ือให้สมาชิกในประชากร ถ้าประชากรเป็นคนท่ีมีช่ืออยู่แล้ว กด็ ไี ป แต่ถา้ เปน็ สัตวห์ รอื สิ่งของ อาจใช้รหัสหรอื ตัวเลขช่วยให้ทราบว่ามีสมาชกิ ใดบ้างในประชากร 4. กาหนดหน่วยตัวอย่างที่จะทาการสุ่ม คือ ระบุว่าจะสุ่มเป็นรายบุคคล หรอื รายกลมุ่ หรือ เปน็ ห้อง เป็นแปลง ฯลฯ

43 5. วางแผนการสุ่มตัวอย่าง ข้ันนี้สาคัญมากต้องมีข้อมูลว่าประชากรมี ธรรมชาติเช่นไร เป็นเอกพันธ์หรือวิวิธพันธ์ ต้องการตัวแปรใดบ้าง ต้องการตัวอย่างขนาดเท่าไรจะ ยอมใหม้ ีความคลาดเคลื่อนในการสุ่มเท่าไร 6. สุ่มตัวอย่างตามท่ีได้วางแผนแลว้ อยา่ งระมัดระวัง แบบสอบถาม (Questionnaires) แบบสอบถามเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งท่ีสร้างข้ึนเพ่ือวัดความคิดเห็นต่างๆ หรือวัด ความจริงท่ไี มท่ ราบ อันจะทาให้ไดม้ าซึ่งข้อเท็จจรงิ ทั้งในอดีต ปจั จบุ ัน และการคาดคะเนเหตุการณ์ใน อนาคตส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของคาถามเป็นชุดๆ เพื่อวัดส่ิงที่ต้องการวัด โดยมีคาถามเป็นตัวกระตุ้น เรง่ เร้า ให้บุคคลตอบออกมา นบั วา่ เป็นเคร่อื งมือที่นิยมใชว้ ดั ทางดา้ นจติ พสิ ัย (Affective Domain) โครงสรา้ งของแบบสอบถาม แบบสอบถามมีหลายชนิดแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบสอบถามชนิดใดจะมีโครงสร้างหรือ ส่วนประกอบท่ีสาคญั 3 ส่วน ดงั น้ี 1. คาชี้แจงในการตอบแบบสอบถาม 2. สถานภาพทว่ั ไป ในส่วนนีเ้ ปน็ รายละเอียดสว่ นตัวของผตู้ อบ 3. ข้อคาถามเกีย่ วกับพฤตกิ รรมทีจ่ ะวดั จะถามเกีย่ วกับส่งิ ท่ตี ้องการจะวดั การสรา้ งแบบสอบถาม ขั้นตอนในการสรา้ ง 1. กาหนดจุดมุ่งหมายของแบบสอบถาม ผู้สร้างแบบสอบถามต้องระบุ จดุ มุ่งหมายของแบบสอบถามให้ชดั เจน ระบใุ ห้ได้ว่าแบบสอบถามจะถกู นาไปใช้ในเรื่องอะไร 2. กาหนดประเด็นหลัก หรือพฤติกรรมหลักที่จะวัดให้ครบถ้วนครอบคลุม ว่าจะมีประเด็นอะไรบ้าง หรืออาจเรียกว่าเป็นการกาหนดกรอบแนว คิดหรือโครงสร้างของ แบบสอบถาม 3. กาหนดชนิด หรือรูปแบบของแบบสอบถาม โดยเลือกให้เหมาะสมกับ เร่ืองท่จี ะวัด และลกั ษณะของกลุ่มผู้เรยี น 4. กาหนดจานวนข้อคาถาม โดยอาจจะกาหนดในเบ้ืองต้นว่าต้องการจะให้ แบบสอบถามมีความยาวมากนอ้ ยเพยี งใด และคลุมประเดน็ หลัก ประเด็นย่อยอย่างไรบา้ ง 5. สร้างข้อคาถามตามจุดมุ่งหมาย ชนิดหรือรูปแบบ จานวนข้อในประเด็น ต่างๆ ท่ีกาหนดไวต้ ามโครงสร้างของแบบสอบถาม

44 6. ตรวจทานเพ่ือการแก้ไข ปรับปรุง แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนแรก ตรวจทานโดยผู้สรา้ งแบบสอบถามเอง ตอนท่ีสองตรวจสอบ พิจารณาใหค้ าแนะนาและวิจารณ์โดยผู้รู้ หรอื ผูเ้ ช่ียวชาญหรือผูช้ านาญการ 7. นาแบบสอบถามไปทดลอง การนาไปทดลองใช้ (Try out) ควรนาไป ทดลองกับกลุ่มทีม่ ลี กั ษณะเหมือน หรอื ใกล้เคียงกบั กลุม่ ท่จี ะไปเกบ็ รวบรวมข้อมูลจริง 8. วิเคราะหแ์ บบสอบถาม โดยการนาผลจากการไปทดลองมาวิเคราะห์เพ่ือ หาคณุ ภาพและปรบั ปรงุ แบบสอบถามในสว่ นท่ียงั มขี ้อบกพร่องต่างๆ 9. จัดพมิ พแ์ บบสอบถาม เพอ่ื เตรยี มนาไปใช้จรงิ ต่อไป รปู แบบของแบบสอบถาม แบ่งรูปแบบของแบบสอบถามได้ 2 แบบ คอื 1. แบบสอบถามแบบปลายเปิด (Open-ended Form) แบบสอบถาม แบบน้ีไม่ได้กาหนดคาตอบไว้ ผู้ตอบสามารถเขียนตอบหรือแสดงความคดิ เห็นได้อย่างอิสระด้วยคาพูด ของตนเองคลา้ ยกับข้อสอบแบบอัตนัย 2. แบบสอบถามแบบปลายปิด (Closed-ended Form) แบบสอบถาม แบบนี้ประกอบด้วยข้อคาถามและตัวเลือก (คาตอบ) ซึ่งตัวเลือกน้ีสร้างข้ึนโดยคาดว่าผู้ตอ บ แบบสอบถามสามารถเลือกตอบได้ตามต้องการ และมีอย่างเพียงพอเหมาะสม แบบสอบถามแบบนี้ สร้างยาก ใช้เวลาในการสร้างมากกว่าแบบสอบถามแบบปลายเปดิ แต่ผตู้ อบตอบง่าย สะดวก รวดเร็ว นอกจากน้ีข้อมูลท่ีได้สามารถนาไปวิเคราะห์ สรุปผลได้ง่ายอีกด้วย แบบสอบถามแบบปลายปิด แบ่งเปน็ 4 แบบดงั นี้ 2.1 แบบเติมคาสั้นๆ ในช่องว่าง (Short Answer) แบบสอบถาม แบบน้ีให้ผู้ตอบเติมข้อความลงในช่องว่างท่ีเว้นไว้ให้ ควรกาหนดขอบเขตคาถามให้ชัดเจนจาเพาะ เจาะจงลงไป หากสร้างคาถามไม่ชัดเจนอาจทาให้ ผู้ตอบตีความหมายของคาถามไปคนละเรื่อง และตอบไม่ไปในทางเดยี วกนั 2.2 แบบจัดอันดับความสาคัญ (Rank Order) แบบสอบถามแบบ นี้ต้องการให้ผู้ตอบตอบข้อท่ีเห็นว่าสาคัญ โดยเรียงอันดับตามความสาคัญจากมากไปหาน้อยตาม ความร้สู ึกของผู้ตอบ 2.3 แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นการสร้างรายการ ของข้อความ (List of Statement) ที่เก่ียวหรือสัมพันธ์กับคุณลักษณะของพฤติกรรม (Behevior Traits) หรือการปฏิบัติ (Performance) แต่ละรายการจะถูกประเมินหรือชี้ว่า มีหรือไม่มี (all or none) การตรวจสอบรายการนิยมนาไปใช้ในการประเมิน ความสนใจของผู้เรียน เจตคติ กิจกรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook