1. เมื่อคา E นอย คาการขจัดยาจะเปลี่ยนแปลง เมื่อยาในรูปอิสระเปลี่ยนแปลง ดังน้ัน ความสามารถในการจบั กบั โปรตนี จะมีผลตอคา การขจดั ยา 2. เมื่อคา E มาก คาการขจัดยาจะไมขึ้นกับยาในรูปอิสระ แตขึ้นกับอัตราการไหลของ เลือดผานไต มกี ารจดั กลุม ยาตามคา renal extraction ratio ดงั ตารางที่ 3-4 ตารางท่ี 3-4 การจัดกลมุ ของยาตาม renal extraction ratio ตำ่ ปานกลาง สูง High (>0.7) Low (<0.3) Intermediate (0.3-0.7) (many) glucuronides hippurates amoxicillin amiloride (some) penicillins (many) sulfates atenolol cimetidine (many) glycine conjugates cefazolin cephalosporin ciprofloxacin ranitidine digoxin procainamide furosemide quaternary ammonium gentamicin lithium tetratcycline ทีม่ า Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015 3.3 การคํานวณคาการขจัดยาจากกราฟ จากสมการ Rate of excretion CL = Plasma concentration Plasma concentration x CL = Rate of excretion 47
ดังน้นั คาการขจัดยาจะสามารถประมาณโดยการเขียนกราฟระหวางความเขมขนของยาใน พลาสมาและอัตราการขจัดยา จากนั้นหาความชันของกราฟ หรือเขียนกราฟระหวางพื้นที่ใตก ราฟ ความเขมขน และเวลา (Area under the concentration time curve [AUC]) กับยาที่สะสมในปส สาวะ [Du] และหาความชันของกราฟ ตามรูปท่ี 3-2 และรปู ท่ี 3-3 ซ่งึ แสดงเปนสมการของกราฟดงั น้ี CL T = DU [ AUC ] 0 CLR = D 0 [ AUC ] 0 หากทุกรูปแบบของยาถูกกําจัดทางไต สมการดังกลาวจะชว ยในการคํานวณคาการขจัดยาเมื่อ ใหย า 1ครั้ง อยา งไรก็ตาม สมการนี้ไมสามารถใชได หากกระบวนการขจดั ยาไมไ ดเ ปลีย่ นแปลงแบบเสนตรง แสดงในรปู ท่ี 3-4 45 Rate of drug excretion 40 slope = Clearance A 35 30 25 B 20 15 10 5 0 0 5 10 15 20 25 Plasma level (Cp) รูปที่ 3-2 Graph ระหวางPlasma level และ Rate of excretion ของยา A และ B ทีม่ า Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw- Hill Professional Publishing.; 2015 48
Rate of excretion [Du] 50 Slope = Clearance 40 30 200 400 600 800 1000 20 10 [AUC] 0 0 รูปที่ 3-3 กราฟระหวา ง [AUC] และ [Du] ทม่ี า Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015 60 40 60 80 50 Plasma level (Cp) 40 30 Active secretion Total excretion 20 10 0 0 20 Filtration only รปู ที่ 3-4 กราฟระหวาง Plasma level (Cp) และ อตั ราการขับยา (Rate of excretion) ซง่ึ แสดงถึงกระบวนการ ขจัดยาโดยการกรองผานไต และกลไกการหลง่ั จากทอไต ท่มี า Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 49
คาการขจดั ยาจะสามารถคาํ นวณโดยสมการดงั น้ี CLT = KVd CLr = keVd CLH = kmVd จากนยิ ามของคาการขจัดยาโดยรวมของรางกายสามารถสรุปเปนสมการดงั น้ี CLT = CLR + CLH 3.4 การจับกบั โปรตีน ((Protein bound drug) : ยาทจ่ี บั กบั โปรตนี จะไมสามารถกรองผาน glomerulous ได เนอ่ื งจากมีขนาดโมเลกุลใหญดังนั้นจาก สมการขางลาง Rate of excretion สามารถปรับเปนดังน้ี CL = Plasma concentration Rate of unbound drug excretion CL = Concentration of unbound drug in plasman คา การขจดั ยาของรางกายสาํ หรับยาท่ีเขากนั ไดกบั แบบจําลอง 2 สว น (two compartment model) CLR = kVp หรอื CLR = bVd CLR = keVp คา b, และ β เปน สมั ประสทิ ธค าคงทขี่ องปริมาตรการ กระจายตัว (Vd) และ คา การขจดั ยาทางไต (CLR ตามลำดับ หากทราบสัดสวนของยาที่ขบั ออก (Fraction of drug excreted (fu)) D ke ke fu = FD = K ������������ = K ������������ = fu CL การหาคาการขจัดยาโดยรวมหลังใหยาทางหลอดเลือดดํา (total body clearance of drug after intravenous infusion) เปน ดังสมการ R CL = C Cp คือคาความเขมขนของยาในพลาสมา เมื่อถึงภาวะคงที่ (steadystate plasma concentration) R คอื อตั ราการใหยา (rate of drug infusion) อยางไรก็ตามสมการนี้สามารถใชไดเมื่อยาประพฤตติ ัวตามแบบจําลองแบบ 1 สวนหรอื 2 สว น (One, two compartment model) 50
3.5 ปจ จยั ที่มีผลตอการขจดั ยาผานไต มี 3 ปจจยั หลักทม่ี ผี ลตอการขจดั ยาผานไตคอื 1. พยาธิสรรี วทิ ยาของไต (renal physiology) 2. pH ของปส สาวะ (urine pH) 3. การจับกบั โปรตนี ในพลาสมา (plasma protein binding) ส่งิ ทมี่ ีผลตอ 3 ปจจยั หลักทจ่ี ะทาํ ใหมีการเปลย่ี นแปลงคาการขจดั ยาเชน 3.5.1 อายุ (Age): ในเด็กแรกเกิด การทํางานของไตจะยังไมสมบูรณและจะมีการพัฒนาเทาผใู หญ เมือ่ อายุ 6-7 เดอื นดังน้นั การขับยาทางไตจะตองมีการพจิ ารณาในทารก ผูสงู อายุ: การทาํ งานของไตในผูส งู อายจุ ะมีการเปลย่ี นแปลงตามดัชนชี ้ีวดั ดังน้ี 3.5.1.1 การลดลงของอัตราการกรองผาน glomerulus 3.5.1.2 การลดลงของกระบวนการหลัง่ สารผานไต (tubular secretion) 3.5.1.3 กระบวนการดูดกลับผานทอไต (tubular reabsorption) จะเพิ่มหรือลดลงขึน้ กับ pH ของปัสสาวะ หรือคุณสมบัติทางกายภาพและเคมขี องยา 3.5.1.4 การลดลงของการไหลของเลอื ดผานไต จากการเปลี่ยนแปลงดังกลาว การทํางานของไตจะลดลงในผูสูงอายุ ดงั นั้นประชากรกลุมนี้อ ความเส่ียงมากข้นึ ท่จี ะเกดิ พษิ จากยา ควรจะตองมกี ารปรับขนาดยาในผูปวยกลุมนี้ 3.5.2 ภาวะของโรค (diseases condition): ภาวะของโรคที่ทําใหมีการเปลี่ยนแปลงการจับกับโปรตีนของ ยาจะมผี ลตอ การขจดั ยาทางไต อยางไรก็ตามจะแบงเปน 3.5.2.1 การทาํ งานลดลงของไตซ่ึงจะมผี ลตอการกรองที่glomerulus (ทาํ ให GFR ลดลง) และลด creatinine clearance. นอกจากนี้ การลดลงของการจับกับโปรตีนและการเพิ่มขึ้นของการ เปล่ยี นแปลงยาอาจจะเกิดข้นึ 3.5.2.2 โรคหัวใจวายเรื้อรัง (chronic heart failure) หรือ โรคตับ (liver disease) จะลดปริมาณเลอื ดท่ไี หลผานไตในผูป วยบางราย ดงั นัน้ จึวอาจจะกระทบตอการกาํ จัดยา ซงึ่ ผลของโรคท่เี ปน รวมดว ย จะสรปุ ในตารางที่ 3-5 51
ตารางท่ี 3-5 ปจ จัยทม่ี ีผลตอการขจัดยาทางไต ปจ จัย กลไก ผลกระทบ 1. อายุ - เด็กแรกเกดิ การทำงานของไตยังไมสมบรู ณ การขจัดยาลดลง -เพิม่ ความเสี่ยง การเกิดพิษในยาท่ีขจัดทางไตเปน หลกั - ผสู งู อายุ GFR ลดลง การขจัดยาทางไตลดลง tubular secretion ลดลง ความเสี่ยงตอการเกิดพิษ อาจจะ อาจจะเพม่ิ หรอื ลด tubular reabsorption มีการเปลีย่ นขนาดยา renal blood flow ลดลง 2. ภาวะโรค - โรคไตทำงานบกพรอง ผลตอการทำงานของไต Clr ลดลง (เฉียบพลนั หรอื เรอ้ื รงั ) GFR ลดลง มีผลกระทบโดยเฉพาะอยางยิ่งยา protein binding ลดลง ที่ขจัดทางไตเปนหลัก ควรจะมี เพ่มิ เมทาโบลซิ มึ การปรับขนาดยา เพื่อหลีกเลี่ยง การเกดิ ผลไมพงึ ประสงค จากการ - โรคหัวใจ renal blood flow ลดลง ไดรบั ยาเกนิ ขนาด เมทาโบลซิ ึม ลดลง คอนขางทำนายยาก เนื่องจากมี - โรคตบั หลายปจจยั มาเกย่ี วขอ ง ท่ีมา Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing. เน่อื งจากมีปจจัยที่มากระทบตอการขจดั ยาทางไตหลายปจจยั ดงั น้ันในทางคลนิ กิ จึงตองมกี ารประเมิน แตล ะปจจัยเพื่อใหไดขอสรุปและสามารถหาสาเหตุหลักทีมีนาํ หนักมากที่สุด ที่ทําใหมีการเปลี่ยนแปลง ขจดั ยาทางไต ซ่งึ ในการประยกุ ตใชคา การขจัดยาทางไตในทางคลินิกเพ่ือการปรบั ขนาดยาสาํ หรับผูบ้ วยท่ีมกี าร ทาํ งานของไตบกพรองะไดกลา วตอไป ซงึ ปัจจยั ทมี ผี ลตอ่ ค่าการขจดั ยาทางไตตามทีกลา่ วมาสรุปดงั รูปที 3-5 52
โครงสรา งของไต คาการขจดั ยาทางไต pH ของปส สาวะ (Urine pH) การจบั โปรตีน รปู ท่ี 3-5 สรปุ ปจ จยั ที่มีผลตอการคา ขจดั ยาทางไต ที่มา Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing. https://accutoxlab.com/about/, Nature Reviews Cancer 2002;2:521–528 53
3.6 กรณีศึกษา 3.6.1 ผูปวยหญิงอายุ 50 ป มีอาการปสสาวะไม่ออก เป็นมา 3 วัน กอนหนา นี้มีอาการปวดขอ จึงไปซื้อยาแกป วดรับประทานเอง ยาที่ซื้อมาพบว่าชื่อ ibuprofen จากการวินิฉัย พบวาเกิดภาวะไตวาย เฉียบพลัน (acute renal failure) หรอื ไตบาดเจบ็ เฉยี บพลัน (acute kidney injury) จากการใชยาดงั กลา ว จากกรณีศึกษานี้เราสามารถอธิบายการเกิดภาวะดังกลาวโดยใชฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของยา ibuprofen ซึ ่งเปนย าใน กลุ่ม non-steroidal antiinflammatory drugs (NSAIDs) ว่ามีการยับยัง prostaglandin E2 และ prostaglandin I2 มีผลทาํ ใหห้ ลอดเลือดทีเขา้ สู่ไต (afferent arteriole) หดตัว มี ผลลดอตั ราการกรอง สรุปไดเ ปนดงั รูปท่ี 3-6 รูปที่ 3-6 ภาวะไตอักเสบ/ไตวายเฉยี บพลันจากการรับประทาน NSAIDs ทม่ี า medweb.tulane.edu/pharmwiki/doku.php/nsaid_side_effects 54
3.6.2 ผูป วยชาย อายุ 35 ป ไมมีโรคประจําตัวชอบดื่มสุรา แตปกติดื่มอยางนอยวันละ 1-2 แกวตอวัน เร่ิมดื่มมาตัง้ แตอายุ 30 ป ผลการตรวจรางกายพบวา มภี าวะตบั อักเสบจากการดื่มสุรา ระดับเอนไซมตบั สูง และ โปรเตีนในเลือดต่ำ ผูป วยรายนี้ไดรับยา acyclovir เนื่องจากติดเชื้อ Herpes หลังจากรับประทานยาแลว ผูปวยเกิดภาวะ hypokalemia และ มีอาการมนื งง คลืน่ ไสอาเจยี น ในกรณนี ีส้ ามารถอธิบายไดวา ภาวะตับอักเสบของผูปวยและภาวะโปรตีนในเลือดต่ำ มีผลตอการ ขบั ออกของ acyclovir ตามแผนภาพในรูปท่ี 3-7 ภาวะตับอักเสบ เปลย่ี นแปลงRenal blood Flow เปล่ยี นแปลง ระดับโปรตนี ในเลอื ด (renal blood flow ลดลง) (ระดับโปรตีนในเลือดต่ำ) GFR (GFR ลดลง) เพมิ่ acyclovir plasma concentration acyclovir adverse effects รูปที่ 3-7 การเกิด acyclovir adverse effects ในผูปวยที่มภี าวะตับอักเสบ 55
3.6.3 ผูป วยเด็กหญิงอายุ 5 ปี มีอาการไขสูง เจ็บคอ ตรวจรา งกายพบหนองที่บรเิ วณทอลซิล ไดร ับยา ปฏิชีวนะคือ amoxycillin/clavulanic acid ขนาด 1g วันละ3 ครั้ง ระหวางการไดรับยา เด็กเกิดอาการ ทองเสยี ถายเหลว จากขอ มูลของยาดังกลาว ขนาดยาของเด็กที่มีภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ทอลซิล (Bacterial Tonsillitis) คือ 500-850 mg ทุก12 ชั่วโมง แตในกรณีนี้ผูป วยไดร ับมากกวาขนาดทีแ่ นะนํา และจากความรู พื้นฐานทางเภสัชจลนพลศาสตร ในเด็กจะมีการทํางานของไตไมม ากเทาผูใ หญ กระบวนการ ขจัดยาทางไต ของยากลุมนี้ จะมีกระบวนการอิ่มตัว (saturation) การไดรับยาขนาดที่มากเกินไปทําใหระดับ amoxycillin/clavulanic acid ในเลือดสูง สง ผลใหเกิดอาการขา งคียงของ clavulanic acid คือทองเสีย ถา ยเหลว เมื่อพิจารณาการ ทางการขจัดยาทางไต (เพราะยากลุมนี้ขจัดทางไตเปน หลัก) สามารถอธิบายดัง แสดงในรปู ท่ี 3-8 ขนาดยาทม่ี ากเกินไป เกดิ กระบวนการอ่ิมตวั ของการขจัด ยาทางไต (saturation) ระดบั amoxycillin/clavulanic acid ในเลือดสงู เกดิ อาการทองเสียจาก clavulanic acid รปู ท่ี 3-8 การเกิดทองเสยี จาก clavulanic acid ในเด็กท่ีไดรบั ยาขนาดสูง 56
สรุป 1. ไตเปนหน่ึงในอวัยวะหลกั ท่ีทาํ หนาทใี่ นการขจดั ยาออกจากรางกายประกอบดวยสวนของเน้ือไต (renal corpuscle) และ ทอไต (renal tubules) 2. กระบวนการขจัดยาทางไตมี 3 ข้ันตอนคือ 1.1 การกรองผา นไต (glomerular filtration) 1.2 การดูดกลับทางทอไต (tubular reabsorption) 1.3 การขับออกทางทอไต (tubular secretion) 3. ในแตล ะกระบวนการขจัดยาทางไตจะอาศัยหลักการตางๆ ดังน้ี (ซึ่งแตละกระบวนการก็จะใช หลกั การใดมากนอยตา งกนั ไป) 3.1 การแพรผ า นแบบธรรมดา (passive diffusion, passive transport) 3.2 การแพรผ า นโดยใชต ัวพา (carrier mediated diffusion) 3.3 การแพรผ า นแบบใชพ ลังงาน (active diffusion, active transport) 4. คา การขจัดยาทางไตสามารถคาํ นวนไดหลายแบบ และมีความสัมพันธกบั renal extraction ratio สามารถแบงเปน 1.1 Low renal extraction ratio 1.2 Medium renal extraction ratio 1.3 High renal extractionratio 5. ปจจัยที่มีผลตอ การขจัดยาทางไต 5.1 โครงสรางของไต 5.2 pH ของปสสาวะ 5.3 การจบั กบั โปรตนี 6. ปจจยั ทม่ี ผี ลตอปจจยั หลกั ทกี่ ลาวมาเชน 6.1 อายุ 6.2 โรคท่ีเปนรวมดวย เชน โรคหัวใจ โรคไต กจ็ ะมผี ลตอคา การขจดั ยาทางไต 57
เอกสารอางองิ Le J. Drug Excretion - Clinical Pharmacology - MSD Manual Professional Edition [Internet]. MSD Manual Professional Edition. 2019 [cited 11 April 2019]. Available from: https://www.merckmanuals.com/professional/clinical pharmacology/pharmacokinetics/drug- excretion Ritschel W, Kearns G. Handbook of basic pharmacokinetics. Washington, D.C.: American Pharmacists Association; 2009. Rowland M, Tozer T. Clinical pharmacokinetics, and pharmacodynamics. 4th ed. Philadelphia: Wolters Kluwer-Lippincott William & Wilkins; 2011. Sakai J. Practical pharmacology for the pharmacy technician. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins, a Wolters Kluwer; 2009. Shargel L Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015. Tulane University.Nsaid_side_effects [TUSOM | Pharmwiki] [Internet]. Tmedweb.tulane.edu. 2019 [cited 11 April 2019]. Available from: http://tmedweb.tulane.edu/pharmwiki/doku.php/nsaid_side_effects: 58
บทท่ี 4 การขบั ยาทางตบั 4.1 โครงสรางของตับ ในบทท่ี 3 เรารูหลัการขจัดยาทางไตแลว แตยังมีอีกอวัยวะหนึ่งที่ทำหนาที่ขจัดยาคือตับ ตับเปน อวัยวะที่ขนาดใหญที่สุดในรางกายมนุษย (แสดงดงั รูปที่ 4-1) นำ้ หนักของตับประมาณ 1,500 g และ อยูบริเวณชอ งทอ งดา นขวาบนใกลๆ กับลําไสเ ล็ก ซึ่งจะมีกระบวนการนําเลือดที่ออกจากทางเดิน อาหารไปสง ท่ตี ับเพอื่ ยอ ย ตับจะมกี ารเปลย่ี นแปลงโครงสรางของยาโดยระบบ enzyme และสรางสารมากมาย ออกมาสูก ระแสเลือด เชน กลโู คส พลาสมาโปรตนี clotting factors, และ urea หรือสารที่จะทาํ การขบั ออก ทางน้ำดี นอกจากนี้ยังทําหนา ที่สังเคราะหสารบางอยางและนําไปเก็บไวเชน ไกลโคเจน ไขมัน หรือ วิตามนิ ทีล่ ะลายในไขมัน เลือดจะเขา สูต ับทาง portal vein เชนเดียวกบั ท่ีมาม ตับออน และถุงน้ำดี อีกทางหนี่งคือ hepatic artery ที่เปนสาขามาจาก celiac trunk และ descending aorta เสนเลือด hepatic artery และ portal vein โดย hepatic artery จะเปน เสนเลือดสําคัญเชื่อมกับ aorta ในการนําเลือดไปเลี้ยงที่ตับและนํา เลอื ดออกจากตบั ไปสูเ สนเลอื ดใหญ inferior venacava สวนประกอบของโครงสรางตับแบงเปน (ดังรูปที่ 4-2 และรูปที่ 4-3) 4.1.1 sinusoid เปนชองเล็กๆทเี่ กิดจากชองวางระหวางเซลลตบั 4.1.2 เสนเลือดที่ไปเลย้ี งตับประกอบดว้ บ 4.1.2.1 portal vein 4.1.2.2 hepatic artery นอกจากนยี้ ังมีตอมน้ำเหลอื งและมชี องทางเชอื่ มกับถุงน้ำดแี ละทอนำ้ ดีทจ่ี ะเรียกวา “Hilus” การเรียงตัวของ hepatocyte จะเปนลักษณะหกเหลี่ยม (hexagonal) โดยประกอบดวย 3 ชอง sinusoid และ 1 central vein เรียกวา “Lobe” โดยเซลล hepatocyte จะเรียงตัวอยูตรงมมุ ของหกเหลีย่ ม พนื้ ที่ระหวางการเรยี งตัวตอ กนั ของ hepatocyte เรียกวา acinus ซงึ่ แบงเปน็ 3 สว น (รปู ที่ 4-3) 59
รูปที่ 4-1 โครงสรางของตบั ท่มี า http://madrat.co/liver-anatomy/ รูปที่ 4-2 โครงสรางของตับ ท่มี า http://science.sciencemag.org/content/sci/295/5557/1005/F1.large.jpg 60
รปู ท่ี 4-3 โครงสรางละเอยี ดของตบั ทม่ี า http://fblt.cz/en/skripta/ix-travici-soustava/5-jatra-a-biotransformace-xenobiotik/ 4.1.3 องคป ระกอบของ hepatic acinus แบงเปน 3 สวน 4.1.3.1 พื้นท่ีสวนที่ 1 (Zone 1) แทนสว นของเนื้อเย่ือ parenchaima ที่อยูใ กล circum- lobular vein และartery เปนพื้นที่แรกที่ไดสารอาหารและออกซิเจน ในสวนนี้จะเปนสวนที่เกิดปฏิกิรยิ า oxidation เปนสว นมาก เชน ปฏิกิริยาการสรางกลูโคส (gluconeogenesis) และ การสรางโปรตีน (proteosynthesis) 4.1.3.2 พื้นที่สว นที่ 2 (Zone 2) จะอยูร ะหวาง สว นที่1และสวนที่3 ซึ่งจะไดร ับ ออกซเิ จนจากเลอื ดท่ไี ปเล้ียง ลดลง 4.1.3.3 พื้นที่สวนที่ 3 (Zone3) จะเริ่มตนตั้งแต circum-lobular vein และ artery (ใกลกับ central veins) ซึ่งบริเวณนี้จะมีปริมาณออกซิเจนนอ ยที่สุด การลดลงของออกซิเจน จะมีผลมากตอบรเิ วณกระบวนการ detoxication ทจี่ ะมกี ารลดเลือดท่ไี ปเลย้ี งลง การแบงแบบนี้ จะมีความสําคัญตอ การอธิบายพยาธิสภาพ และการที่ตับโดนทําลายบางสวน จากพน้ื ฐานการแบงท่กี ลา วแลว เซลลตบั (hepatocyte) สามารถแบง ออก เปน periportal และ perivenous hepatocytes 1. Periportal hepatocytes จะเปนกลุม เซลลแ รกที่ไดร ับเลอื ดจาก portal vein และ hepatic artery ออกซิเจนและสารอาหารจะไดร ับมากที่สุด เซลลจะมี mitochondria มากและมี smooth endoplasmic reticulum (sER) นอ ย ซึ่งเปน เหตุผลวาเหตุใดปฏิกิริยา oxidation จึงเกิดบริเวณนี้ เปนหลัก เชน Krebs’cycle, oxidative phosphorylation, β-oxidation, gluconeogenesis, proteosynthesis) การขจัดพษิ ของแอมโมเนยี โดยการสงั เคราะหเ ปนยเู รยี ก็เกดิ ขน้ึ บรเิ วณน้ี 61
2. Perivenous hepatocytes จะมีปริมาณออกซิเจน และสารอาหารจากเลือดไปเลี้ยงนอย ปฏิกิริยา reduction ก็จะเกิดมากในบริเวณนี้ (สวนใหญจะเปนปฏิกิริยา glycolysis, lipid synthesis, biotransformation of xenobiotics ที่ sER) การขจัดพิษของแอมโมเนียโดย การสังเคราะหเ ปนกลูตามีนกเ็ กดิ ขึน้ บรเิ วณน้ี สรปุ ท่กี ลาวมาดังรูปท่ี 4-4 รูปท่ี 4-4 ปฏิกิรยิ าทเี่ กดิ ในตับ ที่มา http://fblt.cz/en/skripta/ix-travici-soustava/5-jatra-a-biotransformace-xenobiotik/ แมวากระบวนการเปลี่ยนแปลงยาสามารถเกิดขึ้นในหลายอวัยวะหลัก ตับเปนอวัยหลักหนึ่ง ที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงยา และการศึกษาหนาที่ของอวัยวะนี้ก็มีการศึกษาอยา งกวางขวาง ปจ จัยที่จะวัดความสามารถในการขจัดยาของอวัยวะนี้คือ คา การขจัดยาท่ีตับและน้ำดี (hepatic and biliary clearance) จากนิยามของคา การขจัดยาของตับ (hepatic clearance): ซึ่งคือปริมาตรของของเหลวที่ผา น เซลลตบั และขจดั ยาออกอกภายใน1 นาที ซ่ึงแสดงโดยสมการ Hepatic clearance = QHEH QH คือผลรวมของการไหลของเลอื ดผานตบั และหลอดเลือดแดงซึ่งประมาณ 1050 และ 300 mL/min ตามลําดับ หรือตามสมการ CLH=CLT – CLR 62
4.2 ความสัมพันธของอัตราการไหลของเลือด คาการขจัดยาจากปจจยั ภายใน (intrinsic clearance) และคา การขจัดยาจากตับ (hepatic clearance) ปจจยั ทม่ี ผี ลตอ การขจัดยาคือการไหลเวยี นเลอื ดผานตบั คาการขจดั ยาจากปจจัยภายใน, (intrinsic clearance) และ สดั สวนของยาทจี่ ับกบั โปรตีน (fraction of drug bound to protein) ดามรายละเอียดที่ จะกลาวดังนี้ 4.2.1 การไหลเวยี นเลือดผานตับ (hepatic blood flow) จากการศึกษาในสัตวทดลอง อัตราการไหลของเลือดผานตบั จะวดั โดยการหาปรมิ าณยาที่หลอดเลอื ด แดงและหลอดเลอื ดดํา ขณะที่เลือดไหลสูตับกจ็ ะเกิดกระบวนการเปลย่ี นแปลงยาขึ้น และขจดั ออกทางทอนำ้ ดี ความเขมขน ของยาที่หลอดเลือดดําจะต่ำกวาที่หลอดเลือดแดงและคา hepatic extraction ratio (E) จะสามารถคํานวณไดจ ากสมการ (Ca-Cv)/Ca และจากสมการดานลา ง CLH= Q (Ca-Cv) Ca สามารถปรบั ไดเ ปน CLH = QE จากที่ไดกลาวไปแลว สามารถจัดกลุมยาโดยการใชคา E ซึง่ แบงได 3 กลุม ดงั ตารางที่ 4-1 มอี ยางนอย 5 กระบวนการทีม่ ีผลตอความสามารถในการขจัดยาทางตับคือ 1. กระบวนการที่ยาในเลอื ด จับกับเม็ดเลือด 2. ยาไปจับกบั พลาสมาโปรตีน 3. ยาอสิ ระเขา ไปทเี่ ซลลตบั 4. ยาสวนหน่ึงถูกขับออกทางน้ำดี 5. ยาสว นหนึง่ เกดิ การเปล่ียนแปลงโดยเอนไซมท ต่ี ับ อยางไรก็ตามเมื่อ ER =1, ยาจะใชเวลาไปท่ตี ับเพือ่ แตกตัว จากโปรตีนและแพรผานไปยังตับและจากน้ันก็เขาสูกระบวนการเปลี่ยนแปลงยาโดยเอนไซมที่ตบั หรือผา นสู ทอน้ำดีหรือทั้งสองชองทาง ในกรณียาบางชนิดเชน isoproterenol, lidocain และ nitroglycerin ซึ่งจะมีคาการสกัดยา (extraction ratio) สูง (>0.7). ยาจะถูกขจัดที่ตับอยา งรวดเร็ว ดังนั้นอัตราการ เปลย่ี นแปลงยาจะเปลีย่ นไปเมื่ออัตราการไหลของเลือดทผ่ี านตบั เปลยี่ นไป การเพ่ิมของอัตราการไหลของเลือด ผานตับจะทําใหอัตราการขจัดยาผานตับเพิ่มขึ้น ตัวอยา งเชน propranolol การลดลงของเลือดผานตับ จากการทเ่ี ลือดออกจากหวั ใจลดลงจะทาํ ใหคาการขจดั ยาลดลง โดยทว่ั ไปยาทมี่ ีกระบวนการ first pass effect (หรือมกี ระบวนการเปลย่ี นแปลงกอนดูดซึมสูกระแสเลอื ด) มักจะ มีคาการสกดั ยาท่ีตบั สงู 63
ตารางที่ 4-1 การจัดกลมุ ยาตาม hepatic extraction ratio ตํา ปานกลาง สูง low (<0.3) Intermidiate (0.3-0.7) High (>0.7) alprenolol carbamazepine aspirin arabinosyl-cytosine diazepam codeine cocain digitoxin nifeipine desipramine isoprenaline indomethacin nortriptyline isoproterenol isoniazid quinidine lidocain naproxen meperidine morphine nitrazepam nicotine phenobarbital nitroglycerin phenytoin pentazocine pethidine procainamide propranolol salicylamide salicylic acid verapamil theophylline valproic acid warfarin ที่มา Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing 64
กรณีท่ีอตั ราการไหลของเลือดผานตบั คงที่ คา การขจัดยาทางตับจะเทากบั CLH = QE กรณีที่ยามีคา การสกัดที่ตับต่ำ ปจ จัยอื่นๆ เชน คา การขจัดจากปจ จัยภายในหรือ การทํางานของ เอนไซม จะมสี วนเก่ียวของซึง่ จะกลา วถึงตอไป 4.2.2 คาการขจดั ยาจากปจจัยภายใน หรอื ความสามารถในการทํางานของเอนไซม (intrinsic clearance or enzyme activity) จะใชการอธิบายความสามารถของตับในการขจัดยาโดยไมไดเกี่ยวของกับอัตราการไหลของเลือด ผานตับ ซึ่งคา นี้จะแสดงถึงความสามารถของการทํางานของเอนไซม mixed function peroxidase ใน การเปล่ยี นแปลงยา หากเปน ยาที่มีคาการสกัดยาที่ตับสูง (high extraction ratio) ตับจะสามารถขจัดยาไดทั้งใน รูปที่จับกับโปรตีนและยาในรูปอิสระ อัตราการขจดั ยาจะเทากับความเขมขนของยาในเลือด ดังนั้นการจับกับ โปรตีนในพลาสมาจะไมมีผลตอการขจัดยา จากที่กลา วมาขา งตน คา การขจัดยาทางตับจะสัมพันธก ับอัตราการไหลของเลือดผา นตับและ การขจดั ยาจากปจจัยภายใน ดงั นน้ั สามารถอธิบายความสัมพันธดังสมการขางลาง CLint ] CLH = Q [ Q + CLint 4.2.3 ความสามารถของยาท่ีจบั กบั โปรตีน (protein bound drug) กรณขี องยาท่ีมคี า การสกัดยาท่ีตับต่ำ (low extraction ratio) คาการขจดั ยาจะข้ึนกับการจับ กบั โปรตีนซงึ่ สามารถอธบิ ายไดโดยสมการ Rate of elimination = Clu x Cu hepatic clearance = Clu x fu โดย Clu = clearance of unbound drug, Cu = Concentration of unbound drug, fu = fraction of unbound drug คำอธิบายขางตนเกี่ยวกับ hepatic clearance แสดงตัวอยางไวในรูปที่ 4-5 โดยยา propranolol เปนตัวแทนของ ยาที่เปน high hepatic extraction ratio จากกราฟจะเหน็ ไดวาอัตราสวนของยาอสิ ระไมทำ ใหมีการเปลี่ยนแปลงคาการขจัดยา (ความชันของกราฟ) ดังนั้นการจับของโปรตีนในพลาสมาไมมีผลตอการ ขจัดยา สวนยา diazepam, phenytoin, และ tolbutamide จะเปนตัวแทนของยาที่การจับกับโปรตีนใน พลาสมาจะมีผลตอคาการขจัดยาโดย diazepam และ phenytoin จะมคี วามอิ่มตัวในการขจัดยา กลาวคือ เม่อื ถึงจุดหนึง่ แมจ ะมกี ารเปลี่ยนแปลงของการจบั กับโปรตนี แตกไ็ มทำใหการขจัดยาเพ่ิมขึ้น แต tolbutamide เปนยาที่มี hepatic extraction ratio ต่ำ การเปลี่ยนแปลงการจับกับโปรตีนในพลาสมาที่สงผลตออัตราสวน ของยาอสิ ระจะแปรผันเปน สัดสว นกบั คา การขจดั ยาทเ่ี พิ่มข้นึ 65
Extraction ratio 000000000.........56879143210 0 0.2 F0r.a4ction un0b.6ound 0.8 1 Propranolol Diazepam Phenytoin Tolbutamide รปู ที่ 4-5 ความสัมพนั ธระหวางการจับกับโปรตนี ของยาและคาการสกดั ยาจากตับของยา 4 ชนิด Propanolol, Diazepam, Phenytoin and Tolbutamide ที่มา Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing จาก 3 ปจจยั ดงั กลา วคือ การไหลเวียนเล่ือดผานตับ (Q), คาการทำงานของ เอนไซม (Clint) และ สดั สวนการจบั กับโปรตีน (fu) สามารถเขียนเปนสมการไดดังนี้ fuCLint ] CLH =Q [ Q + fuClLnt จากสมการ เม่ือ CLint มคี าต่ำมากๆ เมื่อเทียบกบั อัตราการไหลของเลอื ดผานตับ สมการ ขา งบนสามารถเปลี่ยนรูปเปนดงั น้ี CLH = fuCLint =CLint สมมุติวาการจับกับโปรตีนของยาคงทีแ่ ละ CLH = CLint, หากยามี CLint ต่ำ การเปลี่ยนคา CLint หรือ fu จะมีผลตอ CLH อยา งไรก็ตาม หากยามี protein binding < 70-85% การเปลี่ยนแปลงการ จับกับโปรตีนจะไมม ีผลตอ CLH ซึ่งจะเรียกวา “Capacity limited and binding insensitive drug” ขณะที่ยาที่มีการจับโปรตีนสูงและมีคาการสกัดยาที่ตับต่ำ การเปลี่ยนแปลงรอยละคาการจับกับโปรตีนจะ มีผลตอ CLH และเรียกวา “Capacity limited and binding sensitive drug” การจัดกลุมของ ยาท่ีกลา วมาแลวนน้ั แสดงดังตารางท่ี 4-2 66
กรณที ่ี CLint ของยามีคามากเมอื่ เปรียบเทยี บกับอัตราการไหลของเลือดผานตับ สมการสามารถปรับเปน CLint CLH = Q =Q CLint ดังนั้นยาที่มี CLint สูง CLH จะขึ้นอยูกับอัตราการไหลของเลือดผานตับและรอ ยละของการจับ กับโปรตีนจะไมมีผลตอการขจดั ยาเนื่องจากยาจะแยกตัวกับโปรตีนในระหวางทีผ่ า นตับ ลักษณะจะคลา ย การขจดั ยาผานไตขั้นตอนการหลั่งจากทอไต 4.3 จากขอ มูลปจจัยตางๆท่มี ีผลเชน protein binding, liver blood flow, enzyme activity (intrinsic activity) สามารถจดั กลุม ยาตามปจ จัยท่มี ผี ลตอ hepatic clearance ดังนี้ 1.3.1 Flow-limited หมายถึง ยาน้นั มี hepatic clearance ทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปขน้ึ กับปริมาณเลือดทไ่ี หลไปเลี้ยง ตับ (hepatic blood flow) ซึ่งหากปริมาณเลือดที่ไหลผานตับนอยก็จะสงผลใหมี hepatic clearance ลดลง หรอื หากปจจยั ใดท่สี งผลให hepatic blood flow ลดลง เชน โรคตับแข็ง รุนแรง (liver cirrhosis), โรคหัวใจลมเหลว ก็อาจจาํ เปนตอ งปรบั ขนาดยา 1.3.2 Capacity-limited, binding sensitive หมายถึง ยานั้นมี hepatic clearance ที่ขึ้นกับการทํางานของ enzyme ของตับและ ความสามารถในการจับกับโปรตีนที่เปลีย่ นไปมีผลตอ hepatic clearance ซ่งึ ไดอธิบายจาก สมการ คาํ นวณ heapatic clearance แลวคอื สมการ ClH = fuClint =Clint โดยคุณสมบัตินี้ จะใชในยาที่มีคาการสกัดยาทางตับต่ำ ในยากลุม นี้ หากระดับของโปรตีนในเลือดของ ผูป วยเปลี่ยนไปก็จะตอ งมีการระวัง อาจจะตอ งปรับขนาดยา สวนใหญจ ะเปนยาที่มีคา protein binding สงู 4.3.3 Capacity-limited, binding insensitive หมายถึง ยานั้นมี hepatic clearance ที่ขึ้นกับการทํางานของเอนไซมที่ตับ ถา ตับมี การทํางานของเอนไซมมาก คา hepatic clearance ก็จะมากดวย หรือหากมีปจจัยที่สง ผลตอ การทํางานของเอนไซมที่ตับ ก็จะทําใหมีผลตอ hepatic clearance ดวย เชน กรณที ่ี ไดร ับสารที่มีคุณสมบัติยั้บยั้งหรือกระตุนการทํางานของเอนไซมของตับ ก็จะกระทบ กบั ยากลุม น้ีมาก สว นใหญจะเปนยาทม่ี คี า protein binding ไมสงู ทงั้ นีต้ ัวอยา งยาไดแ สดงในตารางท่ี 4-2 67
ตารางท่ี 4-2 การจัดกลุมของยาตามความสามารถในการจับกบั โปรตนี กลมุ ยา คาการสกัดยา รอยละการจับกับโปรตนี (Drug class) (Extraction ratio) (Percent protein bound) Flow-limited 0.83 45-80 lignocain 0.6-0.8 93 propranolol 60 95 pethidine 0.6-0.95 35 nortriptyline 0.5 90 0.5-0.75 98 morphine 98 Capacity-limited, binding 99 sensitive 91-99 99 phenytion 0.03 82 diazepam 0.03 97 tolbutamide 0.02 warfarin 0.003 59 chlorpromazine 0.22 - clindamycin 0.23 60-80 quinidine 0.27 5 digitoxin 0.005 Capacity-limited, binding insensitive 0.09 0.16 theophylline 0.28 hexobarbitone 0.43 chloramphenicol paracetamol ที่มา Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing 68
4.4 ปฏิกิริยาตอกนั ของยาที่จะมผี ลตอการขจัดยาทางตับ สิ่งหนึ่งที่ดองระวังคือการไดรับยารว มกันโดยยาหนึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งหรือกระตุนการทํางานของ เอนไซมท่ีตับ ดังที่กลา วมาแลวในบทแรกๆ ซ่ึงเปนส่ิงที่เภสัชกรตองระวงั เม่ือพบการส่ังยาทีม่ ีคุณสมบัติยับยง้ั หรือกระตุน การทาํ งานของเอนไซมท่ีตับ รว มกบั สารที่เปน substrate ของ CYP 450 สรุปดงั ตารางท่ี 4-3 ตารางท่ี 4-3 สรุปสารที่มีคณุ สมบัตยิ ับยง้ั หรอื กระตุนการทาํ งานของเอนไซมsubstrateทต่ี บั และสารท่เี ปน ของ CYP 450 Enzyme Potent inhibitors Potent Inducers Substrates CYP1A2 amiodarone (Cordarone®), cimetidine carbamazepine (Tegretol®) caffeine, (Tagamet®), ciprofloxacin (Cipro®), phenobarbital, rifampicin clozapine (Clozaril®), (Rifadin®), tobacco theophylline fluvoxamine (Luvox®) CYP2C9 amiodarone, fluconazole (Diflucan®) carbamazepine, Carvedilol (Coreg®), fluoxetine ((Prozac®), metronidazole celecoxib (Celebrex®), (Flagyl®), ritonavir (Norvir®), phenobarbital, phenytoin (Dilantin®), rifampicin glipizide (Glucotrol®), trimethoprim/sulfamethoxazole (Bactrim®, Septra®)) ibuprofen (Brufen®), irbesartan (Avaprol®), losartan (Cozaar®) CYP2C19 fluvoxamine, isoniazid (INH), ritonavir carbamazepine, phenytoin, omeprazole (Losec®), rifampicin phenobarbital, Phenytoin CYP2D6 amiodarone, cimetidine, No Significant inducers amitriptyline, carvedilol, diphenhydramine (Benadryl®), codeine, donepezil fluoxetine, paroxetine (Paxil®), (Aneceptl®), quinidine, ritonavir, haloperidol (Hadol®), terbinafine (Lamisil®) metoprolol (Lopressor®), paroxetine, risperidone (Risperdal®), tramadol (Tramal®) Erythromycin clarithromycin, diltiazem, carbamazepine, alprazolam (Xanax®), erythromycin, grape-fruit juice, HypericumPerforan (St. amlodipine (Norvasc®), itraconazole (Sporanox®), atorvastatin (Lipitor®), ketoconazole (Nizoral®), nepazodone, John’s wart), cyclosporin (Sandimmune®), ritonavir, telitromycin, verapamil phenobarbital, phenytoin, diazepam (Valium®), rifampicin estradiol, simvastatin, sildenafil (Viagra®), verapamil, zolpidem ท่มี า Am Fam Physician 2007;76:391- 6 69
และตัวอยางของการเกิดอันตรกิรยิ าของยาทีเ่ กีย่ วกบั Cytochorme P450 แสดงดงั ตารางท่ี 4-4 ตารางที่ 4-4 สรุปปฏิกิรยิ าของยาท่ีพบบอยในทางคลนิ กิ Drug(s)/Product Enzyme inhibitor or Drug(s) Metabolizing Possible clinical effect Inducer Enzyme amiodarone warfarin Increase risk of bleeding caused carbamazepine CYP2C9, CYP3A4 ethinyl-estradiol CYP2C9 by increase Warfarin level phenobarbital inhibitor Unplanned pregnancy caused phenytoin containing CYP3A4 by reduced estradiol level clarithromycin, CYP3A4 inhibitor contraceptives erythromycin, CYP3A4 inhibitor simvastatin, CYP3A4 Myopathy or rhabdomyolysis telitromycin CYP3A4 inhibitor verapamil, CYP3A4 caused by increased diltiazem, verapamil CYP2D6 inhibitor CYP2D6 fluoxetine, prednisolone Simvastatin level paroxetine CYP3A4 inhibitor risperidone, CYP3A4 CYP2C9 inhibitor tramadol CYP2C9 Hypotension and QT interval grape fruit juice CYP2D6 inhibitor CYP2D6 buspirone prolongation caused by metronidazole terbinafine warfarin increased Verapamil level amitriptyline Immunosuppression caused by increased Prednisolone level Increase risk or extrapyramidal adverse effects caused by increased Risperidone level, decrease analgesic effect caused by low level of active metabolite Dizziness and serotonin syndrome caused by increased Buspirone level Increase risk of bleeding caused by increase Warfarin level. Dry month, Dizziness and cardiac toxicity caused by prolonged increased Amitriptyline and Nortriptyline level. ท่ีมา Am Fam Physician 2007;76:391-6. ดังนั้นเวลาไดรับใบสัง่ ยาก็จะตอ งมีการวเิ คราะหถงึ การเกดิ อนั ตรกิริยาเหลานี้ดว ย 70
4.5 รายละเอียดและตวั อยางกรณศี ึกษา กรณีศกึ ษาการเกิดปฏิกิริยาระหวางยาท่ีมีกระบวนการเปล่ียนแปลงผา น CYP450 มรี ายงานท่ีพบบอย ในสถานพยาบาลที่มีเภสัชกรคลินิกที่ทํางานบรบิ าลก็จะมีการเก็บขอ มูลเหลานี้ไว ซึ่งขอมูลเหลานี้จะเปน ประโยชนในการเผาระวังการใชย า เพอื่ ใหเ กดิ ความปลอดภัยตอ ผปู วย 4.5.1 ยาตา นการแขง็ ตวั ของเลอื ด มีกรณีศึกษาถึงอันตรกริ ิยาระหวางยาตานการแขง็ ตัวของเลอื ดโดยเฉพาะกบั ยาที่มีคณุ สมบัติยับยั้ง หรือกระตุนการทํางานของ CYP450 เชน อันตรกิริยาระหวา งยา amiodarone และ warfarin ซึ่งจะทํา ใหเพ่ิมโอกาสในการเกิดเลือดออกได และมักจะพบในผูปวยที่มีภาวะหัวใจเตนผิดจังหวะ (Atrial Fibrillation AF) มผี ูแ นะนําวาใหลดขนาด warfarin ลง 25% และ ติดตามคา INR ทุกสัปดาห คําอธิบายการเกิดอันตรกริ ยิ า คือ เนื่องจาก amiodarone เปน ยาที่สามารถยับยั้ง CYP2C9 ซึ่งเป็นเอนไซมที่ทําการเปลีย่ นแปลง warfarin เพอื่ ใหหมดฤทธิ์ ดงั นน้ั การไดร บั ยา 2 ตัวนร้ี วมกัน ผูปว ยจะมีโอกาสเส่ียงตอการเกดิ เลอื ดออกเพราะระดับยาท่ี ออกฤทธม์ิ ีคาสูงกวา ปกติ อยางไรก็ตามตองพิจารณาชวงวลาท่ีไดรับยา 2 ตัวน้ี รวมกันดว ย เชน 4.5.1.1 กรณที ีไ่ ดรว มกันตั้งแตแ รก อาจจะตดิ ตาม INR เหมือนไดร ับ warfarin ปกติ แตส ิง่ ที่ตอ งระวังคอื หากมีการปรับขนาด amiodarone หรือหยุดยา ตองมีการติดตามคา INR และมีการปรับขนาด เพราะการหยุด amiodarone ไปจะทําใหผ ลการยับย้ังเอนไซมหมดไป ดังนั้นจะมีระดับของยานอยลงกวา ตอนที่ใชร ว มกัน โอกาสเกดิ เลอื ดแขง็ ตวั ทําใหอุดตนั หลอดเลือดจะมีเพมิ่ ขนึ้ 4.5.1.2 กรณีที่ได warfarin อยูแลว แลวได aminodarone ภายหลัง อาจจะตองปรับขนาด warfarinใหเ หม าะสมโดยดูจาก IINR base line หลังจากปรับขนาดยา warfarin จนคา INR อยูใ นชว งเปาหมายแลว ตอ งระวงั หากมีการปรับขนาดยา หรอื หยุดยา amiodarone เหมอื นกบั กรณีท่ไี ดรบั ยา รว มกันมาต้ังแตตน นอกจาก amiodarone แลว จะขอยกอีกตัวอยางหนึ่ง ซึ่งพบได ในทางเวชปฏิบัติ คือ metronidazole กับ warfarin เปนที่ทราบกันดีวา metronidazole มีฤทธิ์ในการฆาเชื้อ anaerobe และเปนไปไดว าผูป ว ยที่ไดรับยา warfarin จะไดรับยา metronidazole โดยเฉพาะในการวินิจฉัยวาติดเช้ือ anaerobic bacteria หรือกรณขี องปญหาชอ งปาก ซงึ่ ทันตแพทยมกั จะจายยาตวั นี้ เมื่อมีภาวะเหงือกอกั เสบ จากการตดิ เชอ้ื ดังน้นั ผูปวยจงึ มโี อกาสท่จี ะเกดิ ภาวะเลือดออกได ควรแจงแพทยว า ไดร ับยา warfarin อยู 4.5.2 ยาลดไขมนั ในเลอื ด ยาลดไขมันในเลอื ด ท่ีพบปญหาคือ ยาในกลุม HMG-CoA reductase inhibitor หรอื ที่รู จกั กันในชื่อกลุม statins กรณีไดรับยารวมกับ CYP250 inhibitor เชน clarithromycin หรือ erythromycin เนื่องจากการไดรับยาทั้งสองตัวรวมกันจะมีโอกาสเสี่ยงตอการเกิดอาการขา งเคียงของ statin ได กลาวคือ 71
ทําใหเกิดอาการปวดกลา มเน้ือ (myalgia) หรือภาวะกลามเนื้อสลาย (rhabdomyosis) ซึ่งพบวามี รายงานกรณศี กึ ษาและการศึกษาของการเกดิ อนั ตรกริ ยิ าชองยาคูนี้ (Medscape 2018) (Johanna Standell, 2009) พบวา การไดรับรว มกันจะทําใหเพิ่มการเกิดอาการ rhabdomyosis และมีรายงานจาก WHO ถึงอันตรกริ ิยาดังกลาวถึงการได azithromycin รวมกับยากลุม statins จํานวน 58 ราย ในป 2552 (Sonja R Li, 2015) โดยเฉพาะในผูสูงอายุมีโอกาสเสี่ยงเปน 2 เทา ดังนั้นจึงควรเลี่ยงการใชยา2 ชนิดนี้รวมกัน โดยเฉพาะในกรณีผูส งู อายุ จะขอยกกรณศี ึกษาของอันตรกิรยิ ายาคูน ้ดี ังน้ี ผูปวยชายอายุ70 ป มีโรคประจําตัวคือโรคไตเรื้อรัง เบาหวานชนิดที่2 โรคเกาต ความดันโลหิตสูง และ ไขมันในเลือดสูง มารักษาตัวที่โรงพยาบาลดวยอาการออ นเพลีย และปวดที่แขนขามากนาน5วัน ยาประจําที่ไดร ับคือ allopurinol 100 mg, prednisolone 5 mg ตอวัน simvastatin 80 mg ตอ วัน และยังมี ยาอ่ืน คือ labetalol, bumetamide, amlodepine และ insulin Glargine. หน่ึงสัปดาหต อมา ผูปวยไดร ับ azithromycin 500 mg ในวันแรก ตามดว ย 250 mg ตอวันเปนเวลา 4 วันเพื่อรักษา หลอดลมอักเสบ เฉียบพลัน ผูปว ยเร่ิมมีอาการของไตเกิดการบาดเจบ็ เฉียบพลัน (acute kidney Injury) โดยมี serum creatinine 3.8 mg/dL (Baseline 1.7 mg/dL) BUN = 200 mg/dL (baseline 50 mg/dL) และ rhabdomyolysis มี CPK = 11,240 u/L (คาอางอิง 0-310 u/L) จึงได ทาํ การสั่งหยุด simvastatin และให สารน้ำและ bicarbonate แกผูป วย เพื่อไมใหผูป วยขาดน้ำและปรับ pH ของปสสาวะใหเปนดา ง (pH 7 - 8) เมื่อทําการ ติดตามพบวาคา BUN ของผูปวยกลับสู baseline รวมทั้งคา CPK ก็ลดลงสู baseline ใน 7 วัน โดยไมตอ งทํา hemaodialysis อาการปวดกลามเน้ือดีขึน้ และปกติใน 3 สัปดาห จากนน้ั อีก 2 เดอื นผูป ว ยก็ไดรับยา simvastsin 40 mg และ เพม่ิ เปน 80 mg โดยไมม ีอาการปวดกลามเน้ือ หรอื กลา มเน้ือออ นแรง จากกรณีศึกษาดงั กลาวจึงควรระวังการใชย า 2 กลุมนรี้ วมกัน และขอแนะนําคอื 1. กรณีที่ไดรว มกันตัง้ แตแรกอาจจะติดตามอาการแตส ิ่งที่ตองระวังคือ หากมีการปรับขนาด หรือ หยุดยา เพราะการหยุด macrolides จะทําใหผลการยับยั้งเอนไซมหมดไป ดังนั้นจะมีระดับของยานอยลง กวาตอนท่ใี ชรวมกนั ตอ งดูขนาดยาทเี่ หมาะสมอีกครงั้ 2. กรณีที่ได statins อยูแ ลว และได ยากลุม macrolides ภายหลัง อาจจะตองปรับขนาดให เหมาะสมโดยดูจากอาการทางคลินิกและผลการลดไขมัน ตองติดตามผล หากมีการปรับขนาดยาหรือหยุดยา กลุม macrolides เหมอื นกบั กรณที ่ไี ดรบั ยารวมกันมาต้ังแตตน ในทางปฏิบัติการตรวจ CPK จะไมทําเปน งานประจํา แตจะตรวจกอ นใหยาและเม่อื เกิดอาการปวดกลา มเนอ้ื หรือสงสยั วาจะเกดิ อาการไมพงึ ประสงคจ ากยาลดไขมันกลุมดังกลา ว 72
4.5.3 ยาตา นการชกั มีรายงานถึงปฏิกิริยาตอกันของยาตานการชักกับยาหลายชนิด ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ตับ เนื่องจากยาตา นการชัก โดยเฉพาะยากลุมเกา เชน carbamazepine, phenobarbital, phenytoin มีคุณสมบตั ิ ในการกระตุน การทาํ งานของ enzyme CYP3A4 ซ่งึ มีผลตอยาที่มีการเปลี่ยนแปลงดว ย enzyme นี้ ตัวอยางท่ียกมาซึง่ เปน กรณีท่ีอาจจะไมมีการสัมภาษณป ระวตั ิไปถึงคือ การเกิดอันตรกิริยาระหวาง ยาตาน การชักกับยาคมุ กําเนิดชนิดรับประทาน โดยกลไกจะไปกระตุนการเปลี่ยนแปลงของยาคุมกําเนิด จากปฏิริยา การเปลี่ยนแปลง estrogen สงผลใหประสิทธิภาพของการคุมกําเนิดลดลง ดังนั้นการสัมภาษณป ระวัติ ผูปวยถึงเรื่องการใชยาคุมกําเนิดในหญิงวัยเจริญพันธุที่ไดรับยาตา นการชัก โดยเฉพาะในกลุม เกา จงึ เปนส่งิ สําคัญ เพราะหากตั้งครรภ จะมีปญหาการเลอื กใชยากันชกั ในอนาคต กลไกการเปลยี่ นแปลงโครงสรางยาคุมกาํ เนดิ สามารถอธบิ ายได ดงั รปู ที่ 4-6 รปู ที่ 4-6 การเปลี่ยนแปลงโครงสรางยาคมุ กาํ เนดิ ท่ีมา Ohe T., Hirobe M. and Mashino T. Novel Metabolic Pathway of Estrone and 17β-Estradiol Catalyzed by Cytochrome P-450. Drug Metabolism and Disposition. 2000, 28 (2) 110-112; 73
4.5.4 ยาตา นอาการซมึ เศรา ในปจจุบันประชากรโลกประสบกับปญหาทางจิตใจ และตองใชยาตานอาการซึมเศรา เพิ่มข้ึน ซึ่งมีรายงานกรณีศึกษาของอันตรกิริยาระหวางยาตานอาการซึมเศรากลุม SSRI โดยเฉพาะ fluoxetine เมือ่ ใชรว มกับ tramadol วาทําใหเ กิด serotonin syndrome ทั้งนี้กลไกเน่ืองจากยา SSR Iและ tramadol ออกฤทธิ์ตอ receptor ที่เกี่ยวของกับการหลั่ง serotonin เหมือนกัน สวนผลอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวของกับ CYP450 คือการที่ fluoxetine มีคุณสมบัติยับยั้ง CYP2D6 ซึ่งใชใ นการเปลี่ยนแปลง tramadol ใหเปน active metabolite (มีความชอบในการจับกับ µ receptor มากกวา tramadol) ตามรูปที่ 4-7 ดังน้ัน ฤทธ์ิของการระงับปวดจะลดลง จึงตองระวังในผูปวยทีไ่ ดรบั ยา 2 ตวั นีร้ ว มกนั รูปที่ 4-7 การเปลีย่ นแปลงโครงสรางยา tramadol ท่ีมา https://www.practicalpainmanagement.com/treatments/what-type-withdrawal- symptoms-tramadol-might-patient-experience 74
4.5.5 Grapefruit juice มรี ายงานถงึ อันตรกริ ิยาระหวาง Grapefruit juice และยาหลายชนดิ ดังตารางท่ี 4-5 ตารางท่ี 4-5 ยาที่มอี ันตรกริ ิยากับ Grapefruit juice กลุมยา ชือ่ ยา Anti-cancer crizotinib, dasatinib, erlotinib., everolimus., lapatinib., nilotinib. pazopanib, sunitinib, vandetanib., venurafenib. Anti-infective erythromycin., halofantrine., maraviroc., primaquine., Hypolipidemic quinine. rilpivirine atorvastatin., lovastatin., simvastatin. Cardiovascular amiodarone, apixaban., clopidogrel., dronedarone., eplerenone. Central nervous system felodipine, nifedipine., quinidine., rivaroxaban., ticagrelor. alfentanil (oral). buspirone., dextromethorphan., fentanyl (oral). Gastrointestinal ketamine (oral). lurasidone., oxycodone., pimozide., quetiapine, triazolam, ziprasidone domperidone. Immunosuppressants cyclosporine., everolimus., sirolimus., tacrolimus. Urinary tract darifenacin, fesoterodine., solifenacin., silodosin., tamsulosin. ทม่ี า Bailey, D. G. (2013). Grapefruit–medication interactions: Forbidden fruit or avoidable consequences? CMAJ, 309-316. ทั้งนี้กลไกเนื่องมาจาก Grapefruit มีสารที่ยับยั้งการทํางานของ enzyme CYP3A4 ซึ่งใชในการ เปล่ยี นแปลงยาหลายชนิดท่ีกลาวมา ทาํ ใหผูใชเกดิ ความเสีย่ งในการทีไ่ ดรบั ผลไมพ งึ ประสงคจากยา 75
4.6 แนวทางการเฝาระวังการเกดิ อนั ตรกริ ิยาจากยาที่มีกระบวนการเปลีย่ นแปลงผ◌่าน CYP450 4.6.1 ตรวจสอบรายการยาวามคี ใู ดท่เี กิดอันตรกิริยาตอกัน โดยผา นขั้นตอน การวเิ คราะหใบส่งั ยาจาก เภสชั กร กอนจายยาแกผูปวย หากมกี ารตรวสอบ รายการยากอนจายยาโดยเภสัชกร กจ็ ะลดอุบตั ิการณการเกิด อันตรกริ ิยาได 4.6.2 สรางระบบสารสนเทศท่ีชวยในการเฝาระวัง เชน มีการใหขอ มูลยาทเี่ กิดอนั ตรกิรยิ ากันบอยๆ มีระบบเตือนโดยคอมพิวเตอรเมื่อแพทยสั่งยาที่มีปฏิกิริยาตอ กัน หรือมีขอความวิ่งเตือนในหอ งยา เพอื่ ใหเภสัชกรระลกึ ไดกอนจายยา 4.6.3 ใหความรูแกบ ุคคลากร จัดอบรมความรูใ หมๆ ในดา นการเกิดอันตรกิริยาตอกัน ของยาใหกับ เภสัชกร หรือบุคคลากรทีเก่ียวของ 4.6.4 ใหความรูแ กผูทีไ่ ดรบั ยาในการสงั เกตุอาการไมพึงประสงคห ากจาํ เปนตอ งไดร ับยารวมกัน ในกรณีที่จําเปน ตองไดรับยารวมกันและตองมีการติดตาม ควรใหความรูกับผูป วยถึงการติดตาม หรือสังเกตุอาการไมพงึ ประสงค รวมท้ังการจดั การเม่อื เกดิ อาการไมพึงประสงคในเบ้ืองตนเม่อื ไดรับยารวมกนั 76
สรปุ 1. ตับเปนอวัยวะที่สําคัญในการเปลี่ยนแปลงยา และขับยาออกจากรางกาย ประกอบดวยชองเล็กๆ เรียกวา sinus และเสน เลือดที่ไปเลี้ยงตับ รวมทั้งชอ งระหวางเซลลตับซึ่งเรียกวา acinus องคประกอบของ Hepatic acinus แบงเปน 3 สวน (zone 1, zone 2, zone 3) ตามระยะทางที่หางจากเสนเลอื ดท่ีไปเลี้ยงตบั ซึง Zone ท่1ี จะไดรับเลอื ดและออกซเิ จนไปเลย้ี งมากทสี่ ดุ 2. คาการขจัดยาของตับจะมีความสัมพันธกับ hepatic extraction ratio มีการแบงยาตาม hepatic ratio ออกเปน extraction 2.1 Low hepatic extraction ratio 2.2 Medium hepatic extraction ratio 2.3 High hepatic extractionratio 3. คาการขจัดยาของตบั จะขึ้นกับคุณสมบัติของยาทางกายภาพและการจับกับโปรตีนทําใหแบงยาตาม ปจจยั ทมี่ ผี ลตอ คา การขจัดยาดงั นี้ 3.1 Flow limited: คา การขจดั ยาขึ้นกับปรมิ าณไหลเวยี นเลอื ดผานตับ 3.2 Capacity limited binding sensitive: คาการขจดั ยาขึ้นกับการทํางานของตบั และการจับกบั โปรตีนเนือ่ งจาก protein binding สูง 3.3 Capacity limited binding insensitive: คาการขจัดยาขึ้นกับการทํางานของตับไมขึ้นกับการ จับกับโปรตนี เนื่องจาก protein binding ตำ่ 4. ควรระวังเมื่อมีการจายยาทม่ี ีอนั ตรกิริยากันโดยกระบวนการยับยั้งหรือกระตุนการทํางานของตับที่ใช ในการเปลี่ยนแปลงยา เพราะจะทําใหเกิดอันรายตอ ผูปว ยทั้งเสี่ยงตอการเกิดพิษจากยาและการไมไ ดผ ลการรักษา ซึ่งมีแนวทางระวงั ดงั นี้ 4.1 ตรวจสอบรายการยาวามีคูใดที่เกดิ อันตรกิรยิ าตอ กัน 4.2 สรางระบบสารสนเทศท่ีชวยในการเฝา ระวัง 4.3 ใหความรูแกบุคคลากร 4.4 ใหความรูแกผูท่ีไดรับยาในการสงั เกตอาการไมพึงประสงค หากจําเป็นตอ งไดรบั ยารว มกัน 77
เอกสารอางอิง Bailey D, Dresser G, Arnold J. Grapefruit-medication interactions: Forbidden fruit or avoidable consequences? Canadian Medical Association Journal. 2012;185(4):309-316. Barclay L. Concurrent Macrolide Antibiotic May Increase Statin Toxicity [Internet]. Medscape. 2013 [cited 14 November 2017]. Available from: https://www.medscape.com/viewarticle/806436 Drug Excretion - Clinical Pharmacology - MSD Manual Professional Edition [Internet]. MSD Manual Professional Edition. 2019 [cited 24 Dec 2017]. Available from: https://www.merckmanuals.com/ professional/clinicalpharmacology/pharmacokinetics/drug-excretion Funk C. The role of hepatic transporters in drug elimination. Expert Opinion on Drug Metabolism & Toxicology. 2008;4(4):363-379. Grapefruit juice interaction with drugs can be deadly/CBC news [Internet]. CBC. 2012 [cited 14 November 2017]. Available from: https://www.cbc.ca/news/health/grapefruit-juice- interaction-with-drugs-can-be-deadly-1.1253489 [Internet]. 2017 [cited 14 November 2017]. Available from: https://www.fda. gov/For Consumers/ConsumerUpdates /ucm292276. Htm Kamberi M, Tsutsumi K, Kotegawa T, Kawano K, Nakamura K, Niki Y et al. Influences of Urinary pH on Ciprofloxacin Pharmacokinetics in Humans and Antimicrobial Activity In Vitro versus Those of Sparfloxacin. Antimicrobial Agents and Chemotherapy. 1999;43(3):525-529. Li D, Kim R, McArthur E, Fleet J, Bailey D, Juurlink D et al. Risk of adverse events among older adults following co-prescription of clarithromycin and statins not metabolized by cytochrome P450 3A4. Canadian Medical Association Journal. 2014;187(3):174-180. Muntingh G. An overview of interactions between grapefruit juice and drugs. SA Pharmaceutical Journal. 2011;78(8):40-45. Parkinson A, W. Ogilvie B, B. Buckley D, Kazmi F, Czerwinski M, Oliver O. Biotransformation of xenobiotics. In: D. Klaassen C, B. Watkins III J, ed. by. Casarett & Doull’s Essentials of oxicology. 3rd ed. New York: The McGraw-Hill; 2015. p. 79-107. Price A, Lynch T. The effect of cytochrome P450 metabolism on drug response, interactions, and adverse effects. Am Fam Physician. 2007;76(3):391-6. Ritschel W, Kearns G. Handbook of basic pharmacokinetics. Washington, D.C.: American Pharmacists Association; 2009. 78
Strandell J, Bate A, Hägg S, Edwards I. Rhabdomyolysis a result of azithromycin and statins: an unrecognized interaction. British Journal of Clinical Pharmacology. 2009;68(3):427-434. Rowland M, Tozer T. Clinical pharmacokinetics and pharmacodynamics. 4th ed. Philadelphia: Wolters Kluwer-Lippincott William & Wilkins; 2011. RXList. Grapefruit: Health Benefits, Uses, Side Effects, Dosage & Interactions [Internet]. RxList. 2017 [cited 18 November 2017]. Available from: https://www.rxlist.com/grapefruit/supplements.htm Sakai J. Practical pharmacology for the pharmacy technician. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins, a Wolters Kluwer; 2009. Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015. Sigillum facultatis medicae tertiae universitatiscarolinae. 4. Liver and Biotransformation of Xenobiotics • Functions of Cells and Human Body [Internet]. Fblt.cz. 2017 [cited 18 November 2017]. Available from: http://fblt.cz/en/skripta/ix-travici-soustava/5-jatra-a- biotransformace-xenobiotik/ Tomoyuki O, Masaaki H, Tadahiko M. Novel Metabolic Pathway of Estrone and 17β-Estradiol Catalyzed by Cytochrome P-450. Drug Metabolism and Disposition. 2000;28(2):110-112. Tulane University. nsaid_side_effects [TUSOM | Pharmwiki] [Internet]. Tmedweb.tulane.edu. 2017 [cited 18 November 2017]. Available from: http://tmedweb.tulane.edu/pharmwi- ki/doku.php/nsaid_side_effects. 79
บทที่ 5 การขจดั ยาทาง นำ้ ลาย นำ้ ดี น้ำนม และการประยกุ ตใชทางคลินกิ ในบทที่ 3 และ 4 เราไดท ราบถึงหลักการขจัดยาทางไตและตับซึ่งเปนอวัยวะหลกั ในการขจัดยา ไปแลว แตย งั มีอวัยวะอน่ื ท่สี ามารถทำหนาทีข่ จดั ยาดงั จะกลา วตอไปในบทนี้ 5.1 การขจัดยาผานทางนาํ ดี (Biliary excretion of drug) ยาใดกต็ ามทสี่ ามารถละลายในน้ำดไี ดจะไมดูดซึมแตจะถูกขจัดทางอุจจาระ ความสามารถใน การขจดั ยาทางนําดสี ามารถประเมนิ โดยสมการ Biliary clearance = (bile flow ) x (concentration in bile) (concentration in plasma) อัตราการไหลของน้ำดีประมาณ 0.5-0.8 mL/min ดงั นัน้ ยาจะมีความเขมขน ในนำ้ ดีนอยกวา หรือเทา กับความเขม ขนของยาในเลือด คา การขจัดยาทางน้ำดีจะมีคานอย ยาที่มีความเขม ขนในน้ำดีสูง การขจัดยาทางน้ำดีสูงดวย ซ่ึงคาการขจัดยาทางนำ้ ดีจะถูกจํากัดโดยการแพรผานของยาสูต ับ กลไกการขจัดยา ผานทางน้ำดีคือกระบวนการ active secretion ซึ่งจะคลา ยกับการขจัดยาโดยกระบวนการหลั่งจากทอไต ลักษณะโดยท่วั ไปของกลไกนี้คือมีกระบวนการอ่ิมตวั (Saturation) และมีการแยงจับกับตวั พา (competition) ได 5.1.1 ยาที่มคี ุณสมบตั ทิ ี่จะขจัดทางน้ำดี 5.1.1.1 สามารถขจัดโดยกระบวนการ active secretion มตี วั พาท่ีเฉพาะ (specific carrier)) ซง่ึ จะ แบง เปน กลมุ คือ ยาทีเ่ ปนกรด ยาท่เี ปนดา ง และยาทไ่ี มแตกตวั 5.1.1.2 เปนสารประกอบท่มี ขี ้ัว (polar compounds) 5.1.1.3 มวลโมเลกุลมากกวา 250 g/mole ตวั อยาง เชน ยาทอี่ ยูใ นรูป glucuronide จะมีมวลโมเลกุลมากกวา 300, มขี ้วั , pKa มคี า ~ 3 สามารถขจดั ออกทางนําดีได ตัวอยางยาที่ขจัดทางนาํ ดีแสดงดังตารางท่ี 5-1 80
ตารางที่ 5-1 ยาทข่ี จัดทางน้ำดี (biliary excretion of drugs) Drug excreted in unchanged form cromoglycate, dichloromethotrexate, rifampicin, penicillin, quaternary ammonium ion Drug excreted at least partly as indomethacin, erythromycin, morphine in active metabolism strychnine, quinine, steroid hormone, digitoxin, digoxin, chlorothiazide, thyroxine, chloramphenicol, estratiol, testosterone, sulfonamides, isoniazid ทมี่ า Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015 3.การขจัดยาทางลําไส (intestinal excretion) ยาอาจจะขับทางลําไสได จากการศึกษาในสัตวทดลองพบวา สามารถพบยาในทางเดินอาหารหลังจากให ยาทางหลอดเลือดดํา ตัวอยางเชน doxycycline ซึ่งโดยปกติจะขับออกทางไต อยางไรก็ตาม ในผูปว ยไตวาย จาํ เปน ตอ งปรบั ขนาดยาเนอ่ื งจากสามารถขจัดทางลาํ ไสได อกี การศกึ ษาหน่ึงทีเ่ ปนหลกั ฐานวา ยาบางชนดิ มีการขบั ออกทางลาํ ไส ซึง่ เขียนเปนรายงานสรปุ ส้นั ๆ คอื ยา ciprofloxacin 4. การขจัดยาทางนำ้ ลาย (salivary excretion) ยาทจ่ี ะขจดั ทางนำ้ ลายจะใชกระบวนการแพรท ่ีใชพลงั งานและไมใ ชพลงั งาน ซงึ่ มีปจจัย เกี่ยวของท่ีตอ งพจิ ารณาดังตอไปนี้ 4.7 การละลายในไขมัน (lipid solubility) 4.8 ผลตางของ pKa และ pH 4.9 การจบั กบั โปรตนี ในเลอื ด (plasma protein binding) ตัวอยางยาท่ีสามารถขจัดผานทางนำ้ ลายแสดงในตารางที่ 5-2 81
ตารางที่ 5-2 saliva-excreted drugs Drug Saliva plasma ratio Drug Saliva plasma ratio acetaminophen 1.40 penicillin 0.015 acetazolamide 0.009 pentobarbital 0.42 amitriptyline 0.13 phenobarbital 0.32 amphetamine 2.76 0.11 cafeine 0.55 phenytoin 0.97 cabamazepine 0.26 primidone 3.50 chloramphenicol 0.25 procainamide 12.0 cyclophosphamide 0.77 propanolol 0.51 diazepam 0.029 quinidine 0.033 digoxin 0.66 salicylate 0.15 erythromycin 0.21 streptomycin 0.92 estriol 0.009 sulfacetamide 0.31 ethosuximide 1.04 sulfadiazine 0.72 isoniazid 1.02 sulfadimidine 0.32 lidocain 1.78 sulfamerazine 0.074 lincomycin 0.086 sulfamethoxazole 0.87 lithium 2.85 sulfanilamide 0.81 methotrexate 0.042 sulfapyridine 0.23 methylprednisolone 5.2 sulfathiazole 0.75 theophylline metoprolol 2.9 0.012 nitrazepam 0.057 tolbutamide 1.26 nortriptyline 0.014 trimethoprim 0.06 valproic acid ทีม่ า Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015 82
5.2 การขจดั ยาทางนำ้ นม (mammary excretion) โดยทั่วไป การขจัดโดยวิธีนี้จะใชก ระบวนการแพรแบบไมใชพ ลังงาน (passive diffusion) อยางไรก็ตาม บางครั้งก็พบการแพรโ ดยใชพลังงานหรือตัวพา หากการทํางานของไตในแมบกพรอง ปจ จยั ที่เกยี่ วของคือ 5.2.1 ความแตกตางของ pKa, pH ในน้ำนมและในเลือด* 5.2.2 ความเขม ขนของยาในเลือด 5.2.3 คาการละลายในไขมนั (lipid solubility) * pH ของน้ำนมนั้นมีความเปนกรดกวาในเลือด ดังนัน้ milk/plasma ratio ของยาที่เปนดางจะมคี า มากกวา ยา ที่เปน กรด อธิบายไดด ังนี้ เลือด มี pH 7.4 ยาท่ีเป็นกรดจะแตกแตกตัวนอยกวายาท่ีเปนดาง และไปสูน้ำนมไดม ากกวา แตเ นื่องจากพออยูใ นสภาวะที่เปน กรดมากขึ้นตามภาวะของน้ำนม ยาท่ีเปน กรดในรูปท่ีใมแตกตัวจะกลบั มาสูเลือดขณะที่ยาที่เปนดางคงอยูใ นน้ำนมในรปู ท่ีแตกตัว milk/plasma คา ratio ของยาที่เปน ดา งจึงสงู กวา อธิบายดังรูป 5-1 ยาเปน กรดในรูปไมแ ตกตวั ยาเปนเดา งในรปู ไมแตกตวั ยาเปนกรดในรปู แตกตัว ยาเปนเดา งในรูปแตกตัว รูป 5-1 การขจัดยาทางนำ้ นมในยาทเี่ ปน กรดและดาง 83
ตวั อยางยาทข่ี ับผานน้ำนมแสดงในตารางท่ี 5-3 5.3 การขบั ยาทางเหงื่อ (excretion of drug into sweat) ยาสวนมากจะอยูใ นรูปไมแตกตัวเชน alcohol, antipyrine, urea, และใช กลไกการแพรแบบ ไมใชพ ลังงาน (passive diffusion) ตัวอยา งเชน sulfonamides, salicyclic acid, thiamine, iodine, bromine, lead, arsenic. จะขบั ออกโดยวธิ นี ้ี 5.4 การขบั ยาทาง ลมหายใจออก (excretion of drug into expired air) ยาสว นใหญท่ีเป็นกาซที่ละลายน้ำได ระเหยได เชน alcohol, ammonium chloride, anesthetics, gaseous, camphor, coumarin จะขับออกโดยวธิ นี ี้ ตารางที่ 5-3 ยาทขี่ จัดทางน้ำนม (milk-excreted drug) ampicillin anticoagulants antihistamine aspirin atropine caffeine carbamazepine chloral hydrate chloramphenicol chloroform chlorpromazine colistin sulphate corticosteroids cyclophosphamide cycloserine diazepam digoxin ergot alkaloids erythromycin ethanol folic acid gold heroine hydrochlorothiazide imipramine iodine isoniazid kanamycin licomycin lithium carbonate meperidine methadone methimazole methotrexate morphine nalidixic acid nicotine nitrofurantoin oral contraceptive penicillin phenobarbital potassium chloride propylthiouracil pyrimethamine quinine sulphate radio actives reserpine rifampicin salicylic acid scopolamine sex hormone sodium chloride sodium iodide sulfonamides tetracycline theophylline thiouracil thyroxine trimethoprim ที่มา Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015 84
85
5.4 การประยุกตทางคลินิก จากความรูพ น้ื ฐานเกย่ี วกับการขจดั ยา รายละเอียดเกย่ี วกบั โรคหรอื ภาวะทจ่ี ะมีผลกระทบตอ ยาและสง ผล ตอการตอบสนองทางคลนิ ิกจะมีการกลาวถึงในสวนตอ ไปนี้ ตวั อยางของโรคทีม่ ีผลตอการขจดั ยาจะแสดงในตารางท่ี 5-4 แตในเนอื้ หาบทนี้จะเนน ภาวะ 2 ภาวะหลกั ท่ีมี ผลตอการกําจัดยา คือ 1. ผลของโรคตบั ตอ การขจัดยา 2. ผลของโรคไตตอ การขจดั ยา ตารางท่ี 5-4 โรคและภาวะที่มผี ลตอการขจัดยา Diseases Drugs Class Effect Comment Liver diseases cirrhosis theophylline bronchodilator decrease drug metabolism since drug clearance is decreased, lower dose is recommended to avoid drug toxicity. acute viral warfarin anticoagulant increase anticoagulant effect lower dose is recommended to hepatitis avoid bleeding. Cardiovascular lidocaine antiarrhythmic agent increase plasma drug since drug clearance is decreased, heart failure concentration lower dose is recommended to avoid drug toxicity Renal diseases gentamicin Antibacterial agent Increase toxicity due to high since drug clearance is decreased, Hyperruremic plasma drug concentration lower dose is recommended to condition avoid drug toxicity ที่มา Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015 5.4.1 โรคตับ (liver diseases) ภาวะโรคตบั จะกอใหเกิดผลตงั นี้ 5.4.1.1 การลดลงของการทาํ งานของเอนไซม เชน acetyltransferase, sulfotransferase 5.4.1.2 การลดลงของระดับโปรตีนในเลือดกรณีของยาทีจ่ ับกบั โปรตีนสงู จะทาํ ใหเพ่ิมยาในรปู อสิ ระ และเพ่ิมความเสี่ยงในการเกดิ พิษจากยา 5.4.1.3 การลดลงของเลือดท่ีไปเลี้ยงผานตับทาํ ใหลดการขจัดยาทางตับการวัดการทาํ งานของตบั จะทําโดยการวัดการทํางานของเอนไซมตับ ซึ่งปจ จุบันที่นิยมคือ Asparate aminotransferase (AST), Alanine aminotransferase (ALT) และ Alkaline phosphatase (AP). 86
5.4.2 โรคไต (renal diseases) 5.4.2.1 มกี ารลดลงของเลอื ดที่ผานไต (decrease in renal blood flow) 5.4.2.2 ผลตอการหล่งั และการดดู กลับสารทท่ี อไต (effect on secretion and reabsorption at renal tubular) ตัวอยางความสัมพันธระหวาง คาการขจัดยาทางไจและคาอัตราการกรอง (ประมาณโดยใช creatinine clearance) แสดงดังรปู ท่ี 5-2 ceftazidime 150 creatinin5e0clearance (mL/m10i0n) 150 clearance (mL/min) 100 50 0 0 รูปที่ 5-2 ความสัมพนั ธระหวาง ceftazidime clearance และ creatinine clearance ทีม่ า Welage L, Schultz R, Schentag J. Pharmacokinetics of ceftazidime in patients with renal insufficiency. Antimicrobial Agents and Chemotherapy. 1984;25(2):201-204. 5.4.2.3 การประเมนิ การทำงานของไต ปจจบุ ันการประเมินการทาํ งานของไตจะใชการหาคาการขจดั ของครีเอทนิ นิ (creatinine clearance) ซง่ึ จะเปนประโยชนตอการใชป รับขนาดยาในผูป วยกลุมน้ี ตามตารางท่ี 5-5 ตารางท่ี 5-5 Renal function และคา Creatinine clearance Creatinine clearance above 80 Renal function 50-80 Normal 30-50 10-30 Slightly reduce <5-10 Mild renal failure Moderate renal failure Severe renal failure ทม่ี า Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015 87
คา creatinine clearance (mL/min) จะสามารถ คํานวณไดจาก 5.4.2.3.1 สมการของ Crockcroft -Gault creatinine clearance = (140-age) x IBW 72 x serum creatinine สมการน้จี ะใชในผชู าย หากเปนผหู ญิงตองคูณดวย 0.85 กรณขี องเด็กอายุ 1-20 ป ใชสมการ ดังขางลา ง creatinine clearance = 0.48 x height x (we7i0ght)0.7 serum creatinine 5.4.2.3.2 วธิ ีอ่นื ๆ 5.4.2.3.2.1 Jelliffe multi-step methodซงี่ มขี ั้นตอนดังนี้ 5.4.2.3.2.1.1 ประมาณคา urinary creatinine excretion rate (E) E (males) = LBW x (29.305 – [0.203 x (age)]) E (females) = LBW x (25.3 – [0.18 x (age)]) 5.4.2.3.2.1.2 ปรบั คา E กรณี non-renal creatinine excretion ใน chronic renal failure E = E x [1.035 -0.0377 Scr] Scr คอื คา serum creatinine ลาสุด หรือ หาก Scr ทกี่ าํ ลงั เพมิ่ ขึน้ ใหใ ช Scr เฉล่ีย 5.4.2.3.2.1.3 ปรับคา E กรณี serum creatinine ทีเ่ พ่มิ ขึ้น E = E – [4 x LBW x (Scr1-Scr2)/D LBW = lean body weight in kilograms Scr1 = the latest serum creatinine Scr2 = the earlier serum creatinine D = the number of days between Scr1 and Sc2 5.4.2.3.2.1.4 คาํ นวณ normalized creatinine clearance (Clcr) Clcr (E x 0.12) = 1.73 m2 Scr x BSA *BSA is body surface area (m2) 88
5.4.2.3.2.2 Salazar and Corcoran creatinine clearance method {(137- age) x [(0.285x Wt) + (12.1x Ht2 )]} Clcr (males) = 51 x Scr {(146 - age) x [(0.287 x Wt) + (9.74 x Ht2 )]} Clcr (females) = 60 x Scr Scr = คาserum creatinine ลาสุด Wt = the current weight in kg Ht = height in meters 5.4.2.3.2.3 Modified Diet in renal diseases (MDRD) creatinine clearance method Clcr (males) = exp [5.228 – (1.154 x log {Scr}) – (0.203 x log {Age})] Clcr (females) = 74.2% of males African Americans ใหค ูณ 1.21, Scr = คา serum creatinine ลาสุด 5.4.2.3.2.4 CKD-EPI GFR = 186.3 x (Scr (mg/dL)-1.154 x age-0.203 x (0.742 if female) x (1.21 if black) โดยมสี ตู รละเอียดดังตารางที่ 5-6 89
ตารางท่ี 5-6 รายละเอยี ดสูตร CKD-EPI Race SEX Serum creatinine (mg/dL) Equations Black Female <0.7 Black Female > 0.7 GFR=166x (Scr/0.7)-0.329x (0.993)Age Black Male <0.9 GFR=166x (Scr/0.7)-1.209x (0.993)Age Black Male >0.9 GFR=163x (Scr/0.9)-0.411x 0.993Age White or others Female <0.7 GFR=163x (Scr/0.7)-1.209x 0.993Age White or others Female > 0.7 GFR=166x (Scr/0.7)-0.329x 0.993Age White or others Male <0.9 GFR=144x (Scr/0.7)-1.200x 0.993Age White or others Male >0.9 GFR=166x (Scr/0.9)-0.411x 0.993Age GFR=166x (Scr/0.9)-1.209x 0.993Age ท่มี า Satirapoj B, Jirawatsiwaporn K, Tangwonglert T, Choovichian P. Performance of the estimated glomerular filtration rate creatinine and cystatin C based equations in Thai patients with chronic glomerulonephritis. International Journal of Nephrology and Renovascular Disease.2015;145-50. มกี ารศกึ ษาเปรยี บเทยี บสมการการทาํ นายคาการขจัดยา (creatinine clerance) และไดเสนอสมการ ทีเ่ หมาะสมในการใชประเมนิ การทาํ งานของไตและปรบั ขนาดยา ดังน้ี 1. สมการของ Crockcroft and Gualt 2. สมการ Modified Diet in renal diseases (MDRD) ซ่ึงท่ีนิยมใชคอื สมการทม่ี ี 4 ตวั แปร Clcr (males) = exp [5.228 – (1.154 x log {Scr}) – (0.203 x log {Age}) Clcr (fem3-ales)= 74.2% of males African Americans multiply by 1.21, Scr = คาserum creatinine ลาสุด หรือ GFR = 186.3 x (Scr (mg/dL)-1.154 x age-0.203 x (0.742 if female) x (1.21 if black) 3. CKD-EPI=141 × min (Scr/k1) a × max (Scr/k,1)-1.209 × 0.993Age × 1.018 (if female x 1.159 (if black) อยางไรกต็ ามไดมีการปรบั สมการใหเหมาะสมในประชากรแตละประเทศโดยใชพืน้ ฐานจาก MDRD สรปุ สมการท่มี กี ารใชบอยในทางคลนิ กิ เพ่ือประเมินการทํางานของไตและการปรบั ขนาดยาและการ ศกึ ษาเปรยี บเทยี บความถกู ตองแมนยําดังตารางท่ี 5-7 90
ตารางท่ี 5-7 สรุปสมการท่ีมกี ารใชบอยในทางคลินกิ เพ่ือประเมนิ การทํางานของไตและการปรบั ขนาดยาและมี การศกึ ษาเปรยี บเทียบความถูกตองแมนยํา ทีม่ า Satirapoj B, Jirawatsiwaporn K, Tangwonglert T, Choovichian P. Performance of the estimated glomerular filtration rate creatinine and cystatin C based equations in Thai patients with chronic glomerulonephritis. International Journal of Nephrology and Renovascular Disease.2015;145-50. 5.4.3 การปรับขนาดยา (Dose adjustment) ขนาดยาแบบประคบั ประคองสามารถคํานวณโดยสมการดงั นี้ Dm F x τ = Clu x Cuss, av F= bioavailability, Dm = maintenance dose, Clu= Clearance, Cuss = concentration at steady state อัตราการบริหารยาในผูป วยโรคไตเมื่อเปรียบเทียบกบั ผูท่ีมีการทํางานของไตปกติแสดงดังสมการ (Dm/τ)(d) Clu(d) x F(t) Dm/τ(t) = Clu(t) x F(d) d = ผปู ว ยโรคไต, t = ผปู ว ยทีไ่ ตทำงานปกติ 91
กรณีที่คา F คงที่ อตั ราการใหยาเทา กบั (Dm/)(d) = Rd x ((Dm/)(t) Rd คอื อัตราสวนของคา การขจดั ยาของยาในรูปแบบอิสระในผูป วยโรคไตเปรียบเทียบกบั ผูปวย คาดังกลาวน้ีเรยี กวา “Renal function (RF)” 5.4.4 ตัวอยา ง ผปู วยชายอายุ23ป นาํ หนัก=68 kg, creatinine clearance = 13 mL/min แพทยตองการให Amikacin sulfate. จะมวี ธิ กี ารใหอยางไรหากเปรียบเทยี บกับผูป วยทม่ี ีการทาํ งานของไตปกติ อายุ 55 ป น้ำหนัก=70 kg, creatinine clearance = 77 mL/min ซงึ่ ไดขนาดยา=7.5 mg/kg q 12 hrs จากขอมลู สามารถคาํ นวณR F ไดเทากบั 0.17 จากสมการ: (Dm/)(d) = Rd x ((Dm/)(t) (Dm/)(d) = 0.17 x ((Dm/)(t) อัตราการใหย าของผูปวยจะเทากับ 0.17 เทา ของผูป วยที่การทํางานของไตปกติ มี 3 วิธี ในการปรับการใหยาดังนี้ 5.4.4.1 ขยายชวงเวลาแตขนาดยาคงที่ (extend interval and constant dosage) (7.5x 68/)(d) = 0.17 x ((7.5 x 70)/12 = 72 hrs ผูป วยรายน้คี วรไดรบั amikacin = 7.5 x 68 = 525 mg (500 mg) q 72 hr (3 days) 5.4.4.2 ลดข น าดยา ลง แ ตช วง เวลา ใหย าคงที่ (decrease dosage and constant interval) จากสมการ Dm (d) = 89. 25 mg (every 12 hrs) 5.4.4.3 ลดขนาดยาลงและขยายชวงการใหยา (decrease dosage and extend interval) จากสมการ Dm/ = 7.44. ดงั นน้ั อาจจะให amikacin 178.56 mg หรอื amikacin (1.4 mL) q 24 hr จะทําให Dm/ประมาณ 7.44 ทางเลอื กของการใหยาน้ันขึน้ กับอาการของผูปวยควบคูไปกบั ระดับความเขมขนของยาในพลาสมา 5.5 ขนาดเริ่มตน (Loading dose): ในบางครั้งการลดขนาดเริ่มตนของยาอาจจะมีความจําเปน ตัวอยา งเชน amikacin จากการเปรียบเทียบระหวางขนาดเริ่มตน ของยาตา งๆกัน กับการไมใหข นาดยาเริ่ม แสดงดังรปู ท่ี 5-3. จากรปู สามารถกลา วไดวา หากไมมีการใหขนาดยาเรม่ิ ตน ระดับความเขมขนของยาเริ่มตน จะต่ำ อยางไรก็ตามหากชวงเวลาการใหยาบอยครั้งขึ้น อาจจะทําใหระดับยาในพลาสมาเพิ่มขึ้นจนถึงความ เขมขน ที่เกดิ พิษ ดังนนั้ จงึ จําเปนตอ งลดขนาดยาเรม่ิ ตน 92
รปู ท่ี 5-3 ระดับของ amikacin กรณีไมมขี นาดเริม่ ตน (A) และ ที่ขนาดเริ่มตน ตา งๆ (B) (- - -) 500 mg q 72 hr (---) 83 mg q 12 hr, (…) 167 mg q 24 hr ท่มี า Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing.; 2015 5.5 ขอ กาํ หนดโดยท่วั ไปและขอจํากัด 5.5.1 ขอ กำหนดทั่วไป 5.5.1.1 หากไมพ ิจารณาถึงยาที่มีดัชนีการรักษาแคบ จะไมแนะนําใหล ดขนาดยาลง 30% ในผูป ว ยโรคไต เนื่อง จากมคี วามผันแปรสงู หรอื หาก fe < 0.3 หรอื metabolite เปน สารท่ไี มออกฤทธิ์ การลด ขนาดยาจะไมม ีความจาํ เปน 5.5.1.2 ขณะที่การทํางานของไตมีคา ใกล 0 เมือพิจารณาจากค่าการขจัดยาทางไต วธิ ีการขจัดยาทางอืน่ จะมีบทบาทสําคัญมากขึ้น อยางไรก็ตาม คา่ การขจดั ยาโดยรวมจะ มีความผันแปรสูง และไม สามารถนํา มาประยุกตใ นการปรับขนาดยาในแตละบุคคลได◌้ และหากยาใดมี fe =1 คือยามีการ ขจัดทางไตทังหมดเมือ RF หรือ renal function มีคาใกลเคียง 0 ค่าการขจัดยาโดยรวมจะมีคา นอย และอัตรา การใหยาควรจะลดลง 5.5.2 ขอจำกดั 5.5.2.1 ก รณีข อง ยา ที่ตองไดเ ปนระย ะเวลา นา น แมว าจ ะมีกา ร เป ลี ่ยนแปลง ของการทํางานของ ไตเพียงเลก็ นอ ย แตก ต็ องการการปรบั ขนาดยาลดลงเปน ปรมิ าณมาก ตวั อยางเชน การทาํ งานของไตลดลง จาก 0.2 เปน 0.005 (เปลย่ี นไป 0.105) แตอ ตั ราการใหย าควรลดลงประมาณ 4 เทา 5.5.2.2 ความถกู ตอ งของการวัดการทาํ งานของไต 5.5.2.3 การทาํ งานของไตจะเปน การเปล่ยี นแปลงแบบไปกลับได้ (dynamic change) 93
5.6 การฟอกไต (dialysis condition) กรณผี ูป วยฟอกไต คา การขจัดยาและความเขมขนของยา ณ สภาวะคงที่ (Steady state plasma drug concentration) สามารถคํานวนไดจากสมการตอไปน้ี (Ca − Cv) CLD = Q Ca Q = renal blood flow Ca = the plasma drug concentration before dialysis Cv = the plasma drug concentration after dialysis ความเขม ขน ของระดับยาในเลือด ณ สภาวะคงที่ ของผูป ว ยฟอกไต เปนดงั สมการ FD Css = (CL + CL )τ Css = ความเขมขนของยาในเลอื ด ณ สภาวะคงท่ี, F= bioavailability, D= dose, CLR = renal clearance, CLD = dialysis clearance, = interval ยาในกลุม ท่ีมีการใชบอยในผูปว ยที่อาจจะมีภาวะทางไตบกพรอง คอื ยาท่บี รรเทาอาการปวดปลายประสาท (Neuropathic pain) ในผูปวยเบาหวาน หรือ การติดเชื้อ herpes virus และ ยาปฏิชีวนะ ดังนั้นจึงขอ ยกตัวอยางแนวทางการปรับขนาดยา 2 กลุมนต้ี ามตารางท่ี 5-8 และ 5-9 ตามลำดบั ตารางที่ 5-8 ขนาดแนะนาํ จากบรษิ ทั ผูผ ลิตยา Neurontin(gabapentin) Clcr Today daily dose Dose regimen (mg) (mL/min) >60 900-3600 300 tid 400 tid 600 tid 800 tid 1200 tid > 30-59 400-1400 200 bid 300 bid 400 bid 500 bid 700 bid > 15-29 200-700 200 QD 300 QD 400 QD 500 QD 700 QD 15* 100-300 100 QD 125 QD 400 QD 500 QD 700 QD * For patients with creatinine clearance <15 mL/min, reduce daily dose in proportion to creatinine clearance (eg. patients with a creatinine clearance of 7.5 mL/min should receive one-half the daily dose that patients with a creatinine clearance of 15 mL/min receive). ที่มา NEURONTIN® Dosage and Administration (gabapentin) | Pfizer Medical Information - US [Internet]. Pfizermedicalinformation.com. 2021 [cited 22 May 2021]. Available from: https://www.pfizermedicalinformation.com/en-us/neurontin/dosage-admin 94
ตารางท่ี 5-9 การปรับขนาดยาในผูปวยทีไ่ ตบกพรอง สําหรับยาปฏิชวี นะ Drug Method Clcr>50 mL/min Clcr 10- 50 mL/min Clcr<10 mL/min acyclovir I 5 mg/kg q 8 hr 5 mg/kg q 12 hr 5 mg/kg q 24 hr 0.5-1 g q 12 hr ampicillin D,I 1-2 g q 6 hr 0.5 g q 6-8 hr 0.5-1 g q 12 hr aztreonam D,I 1-2 g q 6-8 hr 0.5-1 g q 8 hr 1 g q 48 hr cefazolin D,I 1-2 g q 6-8 hr 0.5-1 g q 12-24 hr 0.5-1 g q 24 hr cefotetan D,I 1-2 g q 12 hr 1-2 g q 12-24 hr ท่มี า Shargel L, Yu A. Applied biopharmaceutics & pharmacokinetics. 7th ed. New York: McGraw-Hill Professional Publishing; 2015. 5.7 ตวั อยางการใชตาราง 5-8 และตาราง 5-9 5.7.1 กรณศี ึกษาท่ี 1 ผูปวยมภี าวะ neuropatic pain ตองไดร บั ยา neurontin® ขนาดเทาไร หากคา eGFR ผูปวยเทากับ 50 mL/min หากดูจากตารางการปรับยาของ neurontin® ผูปว ยมีคา eGFR = 50 mL/min ดังนั้นขนาดยาที่ ผูปว ยควรจะไดรบั คอื 200-700 mg bid อยางไรกต็ ามการจะเลือกขนาดยาใดควรจะตองมีขงตอมลู ดัอไปนี้ 1. อายุ 2. ความรุนแรงของอาการ 3. ยาท่ไี ดรับรวมดวย 4. ภาวะความเจ็บปวยอื่นๆของผูปวย หากอายุมากและอาการรุนแรงนอ ย ขนาดที่ใหก็ควรเริ่มดว ย 200 mg bid และรอดูอาการตอไปวา สามารถควบคุมอาการไดหรือไม หากอายนุ อ ยและอาการรุนแรง อาจจะสามารถเริ่มได ที่ขนาด 300 mg bid หรอื 400 mg bid ได 5.7.2 กรณีศกึ ษาท่สี อง ผูปวยหญิงอายุ 50 ป ไดร ับการวินิจฉัยเป็น acute pyelonephritis ไดรับยา cephazolin จากผลตรวจทางหองปฏิบัติการ ผูป วยมีคา GFR=30mL/min จงหาขนาดที่เหมาะสมในการรับประทานยา cephazolin จากความรูเร่อื งการขับยา cephazoline ขับทางไตเปนหลัก ตอ งปรับขนาดยาตามคาการขจดั ยาของ รางกายซึ่งแปรตามคา eGFR ผูปวยรายนี้คือ 30mL/min ขนาดยาที่แนะนําคือ 0.5-1 g ทุก12-24 ชม. อยางไรก็ตามการจะเลอื กขนาดยาใดควรจะตองมีขอมูลดอ ไปน้ี 1. ความรุนแรงของอาการ 2. ยาท่ไี ดรับรวมดวย 95
3. ภาวะความเจบ็ ปวยอน่ื ๆของผูปวย 4. ความสะดวกในการรบั ประทานยา ระหวางวันละครั้งหรือ วันละ 2 ครง้ั กรณีที่อาการรุนแรงไมมาก ไมไดร ับยาอื่นรวมดวย และไมม ีภาวะโรคเรื้อรังอื่น ผูปวยสะดวก รบั ประทานยาวนั ละคร้ัง ขนาดยาที่ควรไดรบั คือ 500mg ทกุ 24 ชม. 5.8 แหลงขอมลู ในการคนหาขนาดยาเพอ่ื ใชในผปู วยโรคไต เนื่องจากในทางปฏิบัตเิ วลาเจอผูปวยโรคไตหรือผูปว ยที่มกี ารทํางานของไตบกพรอง เราจําเปน ตองมี การหาขอมูลของขนาดยาที่เหมาะสมในผูปวยกลุมนี้ ดงั นั้นจึงจะขอยกตัวอยางแหลงขอมูลที่ใชในการคนหา ขนาดยาดงั นี้ 5.8.1 หนงั สือ 5.8.1.1 Drug prescribing in renal failure เปน หนังสือที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับ ผลของยาในแงชีวเคมีและทางกายภาพตอผูปวยไตวาย เนนเฉพาะยาที่ขับทางไตเปนหลัก และความสําคัญของคาการกรองผา นไตของผูปว ย รวมทั้งคําแนะนำ ขนาดยาเพ่ิมในผูปวยทีไ่ ดรับการบาํ บดั ทดแทนไต ครอบคลมุ ยาฆาเชือ้ แบคทีเรยี ยาตานไวรสั และอืนๆ 5.8.1.2 Drug information handbook หนังสือเลมนี้ เหมาะสําหรับการคนที่รวดเร็ว เพราะเนื้อหาจะไมละเอียดมากนัก มีขอ มลู ของ ยาสวนใหญที่ใชใ นอเมริกา ในเลมประกอบดวยขอมูลยาในประเดน็ ตา งๆ เชน ชื่อการคา คุณสมบัติ ทางเภสัช จลนพลศาสตร ขนาดยาในผูปวยรวมถึงผูปวยที่มีการทํางานของตับและไตบกพรอง ผลขางเคียง ของยาและ อันตรกิรยิ าของยา 5.8.1.3 Applied biopharmaceutics and pharmacokinetics เปนหนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับหลักการทางเภสัชจลนพลศาสตรของยาและมีหลักการปรับ ขนาดยาในผปู วยที่มีการทาํ งานของตับและไตบกพรอง โดยจะมสี ูตรการคํานวณขนาดยาโดยการใชตวั ชี้วัดทาง เภสั ชจลนพลศาสตร หนังสือเลมน้ีเห มาะสําหรับผูที่ตอ งการหาความรูพื้ นฐานทางเภสัช จลนพลศาสตรในผปู วยทมี่ กี ารทาํ งานของไตบกพรอ ง 5.8.1.4 Drug dosage in renal insufficiency หนังสือเลมนี้สวนใหญจะเนน เกี่ยวกับขนาดยาในผูป วยท่ีไดรับการบาํ บดั ทดแทนไต เชน ไดรับการฟอกไต (Dialysis) โดยจะอธิบายถึงหลักการทางเภสัชจลนพลศาสตร ในผูป วยกลุม นี้ หนังสือเลมน้ี เหมาะกบั ผูทีท่ าํ งานในหนวยไตซึ่งตอ งดแู ลผูปวยฟอกไต เพราะจะมีคําแนะนาํ การปรบั ขนาดยาในผูปวยที่ไดรับ การบําบดั ทดแทนไต 5.8.1.5 Drug dosing in chronic kidney disease- Oxford medicine หนังสือเลมนี้กลา วถึงขนาดของยาที่เหมาะสมในผูปวยไตวายเรื้อรัง ซึ่งเหมาะสําหรับ บุคลากรทางการแพทยที่ดแู ลผูปวยโรคไตวายเร้ือรัง และผูปวยทีทําการฟอกไต ซ่ึงตองมีพื้นฐานเกี่ยวกับเภสชั จลนพลศาสตรของผูป วยกลุม นี้ เนื้อหาจะกลา วถึงการดูแลผูปวยกลุม นี้ตั้งแตการสัมภาษณประวัติ 96
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156