Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ

Published by Oranut, 2021-11-28 04:35:17

Description: รหัสวิชา 20000-1303 ประกอบด้วย 8 หน่วยการเรียนรู้

Keywords: ธุรกิจ และบริการ,พันธุกรรม,เทคโนโลยีชีวภาพ,จุลินทรีย์

Search

Read the Text Version

151 เมือ่ จมุ่ แท่งทองแดงและสงั กะสลี งในกรดซลั ฟิวริกเจือจางจะทำให้เกิดปฏิกิรยิ าเคมขี น้ึ ดังนี้ เซลล์ปฐมภมู ทิ ่ใี ช้อยใู่ นปัจจบุ ันมหี ลายชนดิ ดงั น้ี 1.1 เซลลแ์ หง้ (Dry Cell) เปน็ เซลล์ท่ใี ชใ้ นไฟฉาย หรอื ใช้ในประโยชนอ์ นื่ ๆเช่น ในวทิ ยุ เคร่อื งคิดเลข ฯลฯ เซลล์ไฟฟ้าชนดิ นถี้ กู เรยี กว่า เซลล์แห้ง เพราะไม่ได้ใช้ของเหลวเป็นอเิ ล็กโทรไลต์ ➤ กล่องของเซลลท์ ำดว้ ยโลหะสงั กะสี ซง่ึ ทำหน้าทเี่ ป็นข้วั ลบ จะเกิดปฏกิ ิรยิ าออกซิเดชัน ให้อิเล็กตรอนวง่ิ ตามเสน้ ลวดตัวนำสูแ่ ท่งคารบ์ อน ➤ แท่งคารบ์ อนทำหนา้ ท่ีเป็นขัว้ บวก 1.2 เซลลแ์ อลคาไลน์ (Alkaline Cell) เซลล์แอลคาไลนจ์ ะมีส่วนประกอบของเซลล์เหมือนกับเซลล์ แหง้ หรอื ถ่านไฟฉาย แต่ส่งิ ที่แตกต่างกนั คือเซลลแ์ อลคาไลน์จะใช้ เบส คอื โพแทสเซยี มไฮดรอกไซด์ (KOH) เป็นอิ เล็กโทรไลต์แทนแอมโมเนยี มคลอไรด์ (NH4Cl)

152 1.3. เซลล์ปรอท (Mercury Cell) มีหลักการเช่นเดียวกบั เซลล์แอลคาไลน์ แต่จะใช้เมอร์ควิ รี ออกไซด์ (HgO) แทนแมงกานีสออกไซด์ (MnO2) เซลล์ชนดิ นจี้ ะให้ศักย์ไฟฟ้าประมาณ 1.3 โวลตค์ งท่ีตลอดอายุ การใชง้ านซง่ึ ให้กระแสไฟฟ้าตาํ่ 2) เซลล์ไฟฟา้ ทุตยิ ภูมิ (Secondary Cell) เป็นเซลล์ไฟฟา้ ท่ยี ังไมส่ ามารถนำมาใชง้ านได้ทันที แต่จะตอ้ ง นำไปอดั ไฟหรอื ชารจ์ ไฟฟ้ากระแสตรงเข้าไปในเซลล์กอ่ นเพ่ือใหเ้ กิดปฏกิ ริ ิยาเคมแี ละเกบ็ ไฟไว้ จงึ นำมาใช้งานได้ ซึ่งเม่ือแบตเตอร่ีถูกนำไปใชง้ านจะเกดิ การเคล่ือนทข่ี องอเิ ล็กตรอน โดยมที ิศทางจากแผ่นตะก่วั ไปยังแผ่น ตะกัว่ ไดออกไซด์ ซ่ึงเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมีข้นึ ดงั นี้

153 เซลล์ไฟฟา้ แบบตะกั่วท่ีใช้งานในชีวิตประจำวนั จะนำแผน่ ตะก่ัวหลายๆ เซลลม์ าเรียงต่อกันเปน็ ชุดๆเช่น 12 โวลต์ หรือ 24 โวลต์ เรียกวา่ แบตเตอรี่ 9.ครูใช้สื่อวดิ ที ศั นแ์ สดงการเกิดไฟฟ้าแบบเหนยี่ วนำจากการค้นพบของไมเคิล ฟาราเดย์ (Micheal Faraday) โดยการต่อปลายของขดลวดเข้ากบั กลั ปว์ านอมิเตอรท์ ่มี ีความไวมากๆ และนำแทง่ แม่เหล็กเคลื่อนที่ พุง่ เขา้ สู่ขดลวด ผลปรากฏว่าทำให้เขม็ ของกัลปว์ านอมิเตอรก์ ระดิกได้ และแสดงการผลิตกระแสไฟฟา้ จากการหมนุ ขดลวดตัดกบั สนามแม่เหล็ก ทเ่ี รียกวา่ ไดนาโม (Dynamo) 10.ผเู้ รียนทำการทดลองการเกดิ กระแสไฟฟ้าจากการเหน่ียวนำอยา่ งงา่ ย ดงั ขนั้ ตอนต่อไปน้ี 1). ผเู้ รียนตอ่ ปลายทั้งสองขา้ งของขดลวดเข้ากบั แอมมิเตอร์ 2). จับขดลวดใหอ้ ยกู่ ับท่ี แลว้ ปฏบิ ัตดิ งั น้ี โดยขณะทดลองให้สังเกตการเบนของเขม็ แอมมิเตอร์ 2.1 นำปลายขา้ งหนึ่งของแทง่ แมเ่ หล็กเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ๆ ขดลวด 2.2 จบั แทง่ แม่เหล็กเคล่ือนทีเ่ ข้าและออกจากขดลวด โดยเร่ิมจากการเคลื่อนทแี่ บบช้าๆและเพ่ิม ความเร็วมากข้ึน 2.3 นำแท่งแม่เหล็กเคล่ือนทเ่ี ข้าไปในขดลวดแล้วหยุดนงิ่ 3). จบั แท่งแม่เหล็กให้อยกู่ บั ที่ แล้วปฏบิ ัตดิ ังน้ี โดยขณะทดลองใหส้ ังเกตการเบนของเขม็ แอมมเิ ตอร์ 3.1 นำขดลวดเคล่อื นที่เข้ามาใกลๆ้ ปลายของแท่งแม่เหล็ก 3.2 นำขดลวดเคลอ่ื นท่ีเขา้ และออกจากแท่งแม่เหล็กอยา่ งรวดเร็ว 4).บันทกึ ผลการทดลอง

154 11. ครูใช้เทคนคิ การบรรยายเพอื่ อธิบายเนอื้ หาเร่อื งราวการเกดิ ปฏกิ ิริยาโฟโตอเิ ล็กตริก (Photoelectric Effect) ทเ่ี ป็นปฏกิ ิรยิ าทเี่ กดิ จากแสงไปตกกระทบบนพื้นผวิ ของโลหะ ซ่งึ ทำให้อิเลก็ ตรอนบนผวิ ของโลหะหลุด ออกมาได้ เรานำหลกั การนี้มาผลิตเซลล์สุริยะ (Solar Cell)ซ่ึงเป็นสงิ่ ประดิษฐท์ าง Electronic ท่ีสรา้ งขึ้น เพ่ือใช้ เป็นอุปกรณ์สำหรบั เปลยี่ นพลังงานแสงอาทติ ย์ใหเ้ ป็นพลังงานไฟฟ้า โดยการนำสารก่งึ ตัวนำท่ีนยิ มใชใ้ นปัจจุบันคือ ซลิ ิคอน เน่ืองจากมีราคาถกู และมีมากบนพน้ื โลกมาผา่ นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อผลิตให้เปน็ แผน่ บาง บริสทุ ธ์ิ และเมือ่ แสงตกกระทบบนแผ่นเซลลส์ ุรยิ ะ ทำให้รังสีของแสงซ่ึงเป็นอนภุ าคของพลังงานที่เรยี กวา่ โปรตอน (Proton) เกดิ การถ่ายเทพลังงานให้กบั อิเลก็ ตรอน (Electron) ในสารก่งึ ตัวนำจนกระทง่ั มีพลงั งานมากพอทจี่ ะหลดุ ออกมาจากแรงดงึ ดูดของอะตอม (Atom) และเคล่ือนที่ได้อยา่ งอสิ ระ ซง่ึ เมอ่ื อเิ ล็กตรอนเคลอ่ื นที่ครบวงจรก็จะทำ ให้เกดิ ไฟฟา้ กระแสตรงขนึ้ 12.ครใู ชเ้ ทคนิคการเรียนรู้แบบอภิปราย เพื่อให้ผ้เู รียนมสี ่วนรว่ มในการเรยี นการสอนโดยครูและผเู้ รียน ร่วมกันอภปิ รายเรื่องประโยชนข์ องการนำเซลล์สุริยะมาใชใ้ นชวี ิตประจำวัน 13.ครูใชส้ ือ่ Power Point ประกอบการสอนเร่อื งอุปกรณไ์ ฟฟ้า ซ่ึงได้แก่ 1).สายไฟ (Wire) 1.1 สายทนความร้อน 1.2 สายไฟคู่ 1.3 สายไฟเดย่ี ว 1.4 สายไฟคู่อ่อน 2). สวิตช์ (Switch) 2.1 สวิตชท์ างเดยี ว 2.2 สวิตช์ 2 ทาง 2.3 สวติ ช์อตั โนมตั ิ 3). ฟวิ ส์ (Fuse) 3.1 ฟิวส์เสน้ 3.2 ฟวิ ส์แผ่น 3.3 ฟิวส์กระเบื้อง 3.4 ฟิวสห์ ลอด

155 4). สะพานไฟ (Cut Out) 5). เต้ารบั และเตา้ เสยี บ (Socket) 5.1 เต้าเสียบแบบ 2 ขา 5.2 เต้าเสียบแบบ 3 ขา 14. ระบบไฟฟา้ ซง่ึ แบ่งออกเปน็ 2 ระบบ ดังน้ี 1). ระบบ 1 เฟส จะมสี ายไฟอยู่ 2 เส้น ทท่ี ำหนา้ ทีส่ ง่ สายไฟฟ้าเขา้ ไปในระบบ ประกอบด้วย ➤ สาย Line (ไลน์) ซงึ่ เป็นสายไฟเส้นท่ีมกี ระแสไฟฟ้า จำนวน 1 เส้น เขยี นแทนด้วยตัวอกั ษร L ➤ สาย Neutron (นิวตรอน) หรือสายศนู ย์ ซ่ึงเป็นสายไฟทีไ่ ม่มกี ระแสไฟฟ้า จำนวน 1 เสน้ เขียนแทน ด้วยตวั อักษร N 2). ระบบ 3 เฟส นน้ั มี 2 แบบ คือ แบบท่ีมี 3 สาย และแบบทีม่ ี 4 สาย ระบบท่ีการไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ จา่ ยมายังอาคารบ้านเรือนท่ัวไปจะมีสายไฟอยู่ 4 เสน้ ที่ทำหนา้ ทสี่ ่งสายไฟฟา้ เข้าไปในระบบ ประกอบดว้ ย ➤ สาย Line (ไลน์) ซึ่งเป็นสายไฟเสน้ ที่มีกระแสไฟฟ้า จำนวน 3 เสน้ ➤ สาย Neutron (นวิ ตรอน)หรอื สายศูนย์ ซงึ่ เป็นสายไฟทีไ่ ม่มกี ระแสไฟฟ้าจำนวน 1 เส้น 15.ครูแสดงรูปภาพผ่านสื่อ Power Point ประกอบการอธิบายการส่งไฟฟ้า ดงั น้ี 16.ครูแสดงรูปภาพผา่ นส่ือ Power Point ประกอบการอธิบายการตอ่ สายไฟฟา้ ภายในบ้าน

156 17.ผเู้ รียนบอกโทษของการใช้ไฟฟา้ อย่างไม่ระมัดระวงั และบอกปรมิ าณกระแสไฟฟ้าทแ่ี ตกต่างกนั มผี ลตอ่ ร่างกายแตกต่างกันอยา่ งไร 18.ครใู ช้เทคนิดวธิ ีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เพ่ือให้ผู้เรยี นไดร้ ว่ มมือและ ช่วยเหลอื กนั ในการเรียนร้โู ดยปฏบิ ตั กิ ิจกรรมดังนี้ 1) แบง่ กลุ่มผูเ้ รียนออกเปน็ 4 กลมุ่ 2) แตล่ ะกลมุ่ สืบคน้ ขอ้ มลู และภาพประกอบท่นี ่าสนใจ ในหวั ขอ้ วงจรไฟฟ้าแบบ 1 เฟสวงจรไฟฟ้าแบบ 3 เฟส การต่อวงจรไฟฟ้าภายในบ้าน และอนั ตรายจากกระแสไฟฟา้ นำมาทำเปน็ แผน่ ภาพ 3) ส่งตวั แทนร่วมกนั อธบิ ายหน้าชั้นเรียน 19.ครใู ช้ส่อื Power Point อธิบายเรอ่ื งกำลงั ไฟฟ้า (Electric Power) และสูตรการคำนวณ

157 20.ครูสาธติ ตวั อยา่ งการคำนวณค่าพลงั งานไฟฟา้ ดงั นี้

158 21.ครอู ธบิ ายแสดงภาพตัวอย่างบิลคา่ ไฟฟ้า และอธิบายค่าไฟฟ้าที่เราจะต้องจา่ ย ซึ่งมีองค์ประกอบอ่ืน ๆ ดงั นี้ 22.ผ้เู รยี นนำใบแจ้งค่าไฟฟา้ ของบา้ นตนเองจำนวน 12 เดือนตดิ ตอ่ กนั แลว้ ดำเนินการดังต่อไปน้ี 1). พจิ ารณาองค์ประกอบต่างๆ ของใบแจง้ ค่าไฟฟ้าตามท่ีไดศ้ ึกษามาแล้ว 2). ผูเ้ รียนนำคา่ ไฟฟ้าทจ่ี า่ ยแตล่ ะเดอื นมาเขยี นกราฟ โดยใหช้ ่อื เดอื นอยแู่ กนนอนและค่าไฟฟ้าอยู่แกน ตง้ั จากนน้ั พจิ ารณาวา่ เดอื นใดค่าไฟฟ้ามากที่สดุ และเดือนใดค่าไฟฟา้ นอ้ ยทสี่ ุด 3). แบ่งกลุ่มเพ่ืออภิปรายร่วมกนั โดยสังเกตกราฟแสดงคา่ ไฟฟ้า ของเพ่ือนแต่ละคนว่า มีแนวโนม้ เหมือนหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร 4). หาสาเหตวุ า่ ในบา้ นของเรามกี จิ กรรมอะไร หรือมีการใชเ้ ครื่องใช้ไฟฟา้ ชนดิ ใดมาก แล้วลองคน้ หาค่า กำลงั ไฟฟา้ ของเครื่องใช้ไฟฟา้ ประเภทตา่ งๆ ที่ใช้จากเนมเพจ แลว้ วิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้คา่ ไฟฟ้าสงู ในเดือนท่ี ต้องจา่ ยค่าไฟฟ้ามากทสี่ ุด 5). หาแนวทางประหยดั พลังงานไฟฟา้ ร่วมกนั และอภิปรายผลรว่ มกันหน้าช้นั เรียน 23.ครูอภิปรายเพิม่ เติมว่าถา้ ผู้เรยี นมกี ารกำหนดรายได้ใหเ้ พียงพอกบั รายจ่ายจะเปน็ สิ่งที่สำคญั และจำเปน็ มาก ทุกคนสามารถนำเงนิ ท่ีเกบ็ สะสมไว้มาใชไ้ ด้อยา่ งสะดวกสบายเพือ่ การดำรงชวี ิตต่อไป หากแต่ละบคุ คลมเี งนิ ออมเกบ็ สะสมไว้ เพื่อเป็นทนุ สำรองไว้ใชจ้ า่ ยสำหรับวัยเกษียณ วธิ ที ่ดี ีท่ีสุด คือ การวางแผนเพือ่ การเกษียณอายไุ ว้ ต้งั แตเ่ ร่มิ ต้นอย่างมรี ะบบตามขั้นตอน ซงึ่ แตล่ ะคนสามารถกำหนดแผนงานและข้ันตอนแตกตา่ งกนั ออกไปตามความ เหมาะสมกับสภาพการดำรงชีวติ 24.ครสู อนเพม่ิ เติมเกีย่ วกับการทำหน้าที่เป็นพลเมอื งดีของสังคมไทย รจู้ กั เออื้ เฟื้อเผอ่ื แผต่ ่อผ้อู ่ืน สรปุ และการประยุกต์ 25.ครูและผู้เรยี นช่วยกนั สรุปเนือ้ หาที่เรียน 26.ผู้เรยี นทำกิจกรรมใบงาน และแบบประเมินผลการเรียนรู้ 27.ผเู้ รียนวิเคราะห์เนอื้ หาการเรยี นการสอนและหาข้อสรปุ เป็นความคดิ รวบยอดเพ่ือนำไปประยุกต์ใช้ ต่อไป พรอ้ มข้อเสนอแนะตนเอง 28.ประเมินธรรมชาติของผูเ้ รียน 29.ครแู นะนำเพ่ิมเติมใหผ้ ู้เรียนเขียนบญั ชีแสดงรายรับ-รายจา่ ยในชวี ติ ประจำวนั เพ่ือสร้างนิสัยความ พอเพยี งให้แกต่ นเองและครอบครัว ขน้ั สรปุ และการประยกุ ต์ 30.ครแู ละผูเ้ รยี นร่วมกันสรุปเนื้อหาทเี่ รยี น 31.ผ้เู รียนทำกิจกรรมใบงาน 32.สรุปโดยการถาม-ตอบ เพื่อประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำวนั และประเมินผเู้ รยี นตามแบบฟอร์มตอ่ ไปนี้

159 ชื่อผู้เรยี น ประสบการณ์พ้นื ฐานการเรยี นรู้ วธิ กี ารเรยี นรู้ ความรู้ ทักษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5. 6. สือ่ และแหลง่ การเรยี นรู้ 1.หนงั สอื เรียน วิชาวิทยาศาสตรเ์ พือ่ งานธรุ กจิ และบริการ ของสำนักพมิ พเ์ อมพนั ธ์ 2.รูปภาพ 3.แผน่ ใส 4.สอ่ื PowerPoint , วดิ ีทศั น์ 5.แบบประเมินผลการเรียนรู้ 6.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 7.หลักฐานการเรยี นรู้ 1.บนั ทกึ การสอนของผสู้ อน 2.ใบเช็ครายช่อื 3.แผนจดั การเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน 8.การวัดและประเมนิ ผล 8.1 วิธกี าร 1. สังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลมุ่ 3. สังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสริมคุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมินพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8.2 เครอ่ื งมอื 1. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกล่มุ (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม (โดยผเู้ รียน)

160 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยครูและ ผู้เรยี นร่วมกันประเมิน 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑ์ผ่านการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไม่มีช่องปรับปรุง 2. เกณฑผ์ า่ นการประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกล่มุ คอื ปานกลาง (50 % ขึน้ ไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คือ ปานกลาง (50% ขึน้ ไป) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้มีเกณฑผ์ า่ น และแบบฝกึ ปฏิบตั ิ 50% 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงานมีเกณฑผ์ ่าน 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนขึ้นอยู่ กับการประเมนิ ตามสภาพจริง 9.บนั ทกึ ผลหลงั การจัดการเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลังการจดั การเรียนรู้ ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................. ..................................... ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาทีพ่ บ ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ..................... ......................................................................................... ......................................................... ............................................................................................................................. ..................... 9.3 แนวทางแก้ปัญหา .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ..................... ...................................................................................................... ............................................

161 ใบกจิ กรรมท่ี 1 หนว่ ยท่ี 7 รหสั วชิ า 20000-1305 สอนคร้ังท่ี 27 ชือ่ วิชา วิทยาศาสตร์เพื่องานธุรกจิ และบรกิ าร ชอื่ หน่วย ไฟฟา้ และแสงสว่าง เวลารวม 6 ช่ัวโมง ชือ่ งาน กระแสไฟฟ้าจากการเหนยี่ วนำ จำนวน 3 ช่วั โมง จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ จดุ ประสงคท์ ่ัวไป ศึกษาการกำเนิดไฟฟ้าด้วยวิธีการเหนี่ยวนำ จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ทำการทดลองและทดสอบกระแสไฟฟ้าทเี่ กิดจากการเหนย่ี วนำ สมรรถนะรายหน่วย แสดงความรแู้ ละสำรวจตรวจสอบเกยี่ วกับแหล่งกำเนดิ ไฟฟ้า เครื่องมอื วสั ดุ-อุปกรณ์ 1. เครื่องกำเนิดไฟฟ้าอย่างง่าย 1 เคร่ือง /กลุ่ม 2. สายไฟ 4 เส้น /กลมุ่ วธิ ีการทดลอง 1. ต่ออุปกรณ์ดังรปู 2. สลับขนั้ แม่เหลก็ 2 แทง่ ที่อยู่บนเหล็กรปู ตวั ยขู องเครื่องกำเนิดไฟฟา้ โดยให้ข้วั ต่างกนั เข้าหากนั 3. ต่อสายไฟจากเครื่องกำเนิดไฟฟา้ เขา้ กับเคร่ืองวัดกระแสไฟฟ้า สังเกตการเบนของเข็มของเคร่อื งวัด กระแสไฟฟา้ 4. ทำซ้ำข้อ ท่ี 1 ถงึ ข้อ 3 แตว่ างแท่งแม่เหล็ก 2 แท่งใหข้ วั้ เหมือนกนั หันเข้าหากัน

162 ใบปฏบิ ัติงาน ท่ี 1 หนว่ ยท่ี 7 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวิชาชีพช้นั สูง สอนครง้ั ท่.ี ...2-3 รหสั วชิ า20000-1303.ช่ือวชิ าวิทยาศาสตรเ์ พ่ืองานธรุ กจิ และ เวลา.......1........... บรกิ าร ชม. ช่อื งานยอ่ ยที่ปฏิบตั .ิ ......ตรวจหวั ข้อโครงงานวิทยาศาสตรซ์ ้ำ ใช้ประกอบใบงานที.่ ...1.. 1. จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม สำรวจและตัดสนิ ใจเลอื กเร่ืองท่ีจะทำโครงงาน 2. สมรรถนะ สำรวจและตัดสนิ ใจเลือกเรื่องทจี่ ะทำโครงงาน 3. เครือ่ งมือ วสั ดุ และอุปกรณ์ 3.1 เอกสาร แหลง่ ขอ้ มูลจากโครงงานวิทยาศาสตร์ฉบับเก่า ๆ 3.2 อินเตอรเ์ น็ต 4. คำแนะนำ ให้คิดจากปัญหาท่ีพบและอยากแก้ไข 5. ขอ้ ควรระวัง ไม่ลอกโครงงานของใคร 6. ลำดับขัน้ (การทดลอง/การปฏบิ ัติงาน) 6.1 สบื คน้ หัวข้อ 6.2 คัดเลอื กหวั ขอ้ . 6.3 ถา้ ยงั ไม่ผา่ น ใหส้ ืบค้นและคดั เลือกหวั ข้อมาใหม่ 7. คำถาม 7.1 .แก้ปัญหาอะไร 7.2 อยากร้อู ะไร 8. สรุปและวิจารณ์ผล ครูตรวจสอบว่าเป็นหวั ขอ้ โครงงานท่ีเหมาะสมหรือไม่ 9. การประเมินผล ใหห้ วั ข้อผ่านหรือไม่ 10. เอกสารอ้างอิง /เอกสารคน้ คว้าเพมิ่ เตมิ

163 ใบมอบหมายงาน ท่ี .....1...... หนว่ ยที่.......7....... หลกั สตู ร ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้นั สูง สอนคร้งั ท่ี...27-30.... รหสั วิช 20000-1303.ช่ือวชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ืองานธุรกิจและ เวลา........1..........ชม. บริการ ชอื่ เรอื่ ง.............วางแผนการทดลองโครงงานวิทยาศาสตร.์ .................................................................... 1. จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม วางแผนการทดลองโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. สมรรถนะ วางแผนการทดลองโครงงานวิทยาศาสตร์ 3. รายละเอียดของงาน วางแผนการทดลองโครงงานวิทยาศาสตร์ทเี่ หมาะสมกบั ระดบั การศึกษา การใช้วสั ดุอุปกรณ์ และ ระยะเวลาในการดำเนินงาน 4. กำหดเวลาส่งงาน สปั ดาหถ์ ดั ไป 5. แนวทางในการปฏิบัตงิ าน สบื ค้น ปรึกษา ประชมุ กลุ่ม วางแผน 6. แหลง่ ข้อมูลค้นควา้ เพ่ิมเติม หอ้ งสมุด เอกสารห้องวทิ ยาศาสตร์ อนิ เตอร์เนต็ 7. การประเมินผล มีความเหมาะสมกับระดบั ชนั้ ทีก่ ำลังศึกษา

164 แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 7 จำนวน 6 ชวั่ โมง สัปดาห์ท่ี 15-16 ชอื่ วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบริการ ชือ่ หนว่ ย คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ช่อื เร่ือง คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 1. สาระสำคัญ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า (Electromagnetic Radiation) เปน็ คล่ืนตามขวาง ที่เคลือ่ นทโ่ี ดยไม่อาศัยตัวกลาง จึงสามารถเคล่ือนท่ีในสูญญากาศได้ สเปกตรมั (Spectrum) ของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ จะประกอบดว้ ยคล่ืน แมเ่ หล็กไฟฟ้าทมี่ ีความถี่และความยาวคลื่นแตกตา่ งกัน ซ่ึงครอบคลมุ ตั้งแต่ คลน่ื แสงท่ีตามองเห็น อลั ตราไวโอเลต อนิ ฟราเรด คล่นื วทิ ยุ โทรทศั น์ ไมโครเวฟ รงั สีเอกซ์ รงั สีแกมมา เป็นต้น คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ มปี ระโยชน์ มากในด้านการส่อื สาร การโทรคมนาคม และทางการแพทย์ 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย แสดงความรู้และสำรวจตรวจสอบเร่อื งคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. บอกสมบัตคิ ลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าได้ 2. อธิบายการเกดิ ลักษณะ สมบัติ ประโยชน์ และโทษของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ ท่ีมีชว่ งความถี่ต่างๆ ได้ 3. ยกตัวอยา่ งสเปกตรัม พรอ้ มท้งั อธบิ ายสมบตั ติ ่างๆ ได้ 4. อธบิ ายและยกตัวอย่างผลกระทบท่ีเกิดจากคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าท่ีความถี่ตา่ งๆ ได้ 5. สามารถใชร้ ะบบสื่อสารโทรคมนาคมตา่ งๆ ได้ 6. มุ่งมั่นในการปฏบิ ตั ิงาน 7. ทำงานเป็นกระบวนการกลุ่มในการคิดและวเิ คราะห์อย่างเป็นระบบ 8. ยอมรับฟงั เรื่องงานและพลังงานอยา่ งต้ังใจ 4. สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ 2. สเปกตรัมของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า 3. ประเภทของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ 4. การใชป้ ระโยชน์คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า 5. กิจกรรมการเรียนรู้ (สปั ดาหท์ ่ี 15-16) ข้ันสนใจปัญหา (Motivation)

165 1. เรยี กช่อื นักเรียน พร้อมทงั้ บนั ทึกลงในแบบสงั เกตพฤติกรรม 2. แจง้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3. ถามคาถามเพอ่ื ตรวจสอบความรเู้ ดมิ เกย่ี วกบั เร่อื งคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า 4. ทบทวนความรเู้ ดมิ ในเรอ่ื งทเ่ี คยเรยี นมาแลว้ และเกย่ี วขอ้ งกบั เน้อื หาเรอ่ื งคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า 5. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า คล่นื วทิ ยุ การรบั การสง่ คล่นื วทิ ยุ 6. ใหน้ กั เรยี นไปสบื คน้ ขอ้ มลู จาก Internet เกย่ี วกบั คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า โดยจบั คู่ 2 คนต่อ 1 เรอ่ื ง และนามา เลา่ สกู่ นั ฟัง (มอบหมายงานกอ่ นถงึ คาบเรยี น 2 สปั ดาห)์ ข้นั ใหเ้ นือ้ หา (Information) 7. ใหค้ วามรเู้ รือ่ งคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แสดงตัวอยา่ ง โดยการศึกษาตามใบความรู้ที่ 7.1 - 7.2 และใชส้ ือ่ เพาเวอร์พอยต์ ประกอบ 8. ครอู ธบิ ายทฤษฎแี มเ่ หลก็ ไฟฟ้าของแมกเวลล์ และการทดลองของเฮริ ต์ ซเ์ พอ่ื พสิ จู น์ทฤษฎี แม่เหลก็ ไฟฟ้า 9. ครทู บทวนเกย่ี วกบั หลกั การการเหน่ียวนาไฟฟ้า ตามกฎของฟาราเดย์ 10. นกั เรยี นศกึ ษาจากใบความรู้ เรอ่ื งคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า ทค่ี รแู จก 11. ครอู ธบิ ายการเกดิ คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า และการแผ่ของคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าโดยใหน้ กั เรยี นดู ภาพเคล่อื นไหว เร่อื งการแผข่ องคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า 12. ครอู ธบิ ายเกย่ี วกบั การเกดิ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าจากสายอากาศ 13. ครอู ธบิ าย เกย่ี วกบั สเปกตมั ของคล่นื ไฟฟ้า 14. ครยู กตวั อย่าง ประโยชน์ของคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าทน่ี ่าสนใจใหน้ กั เรยี นฟัง และรว่ มกนั อภปิ ราย เกย่ี วกบั ประโยชน์ของคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า 15. ให้นกั เรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ตามใบกิจกรรมท่ี 7.1 ขณะที่นักเรยี นกำลงั ปฏบิ ัติงานครคู อยควบคุมดแู ลและ ให้คำแนะนำหากนักเรยี นมีข้อสงสยั ขั้นพยายาม (Application) 16. ใหน้ กั เรยี นปฏบิ ตั งิ านตามใบงาน ขณะทน่ี กั เรยี นกาลงั ปฏบิ ตั งิ านครคู อยควบคมุ ดแู ลและใหค้ าแนะนา หากนกั เรยี นมขี อ้ สงสยั 17. นกั เรยี นศกึ ษาเพม่ิ เตมิ จากใบความรทู้ ค่ี รแู จก และชว่ ยกนั วเิ คราะหเ์ กย่ี วกบั การทดลองของเฮริ ต์ และร่วมอภปิ ราย

166 ขนั้ สำเร็จผล (Progress) 18. นกั เรยี นเขยี นสรปุ เกย่ี วกบั การเกดิ และแผ่ของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า ดว้ ยปากเปลา่ 19. ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรปุ บทเรียน 6. ส่ือและแหล่งการเรยี นรู้ 1. คอมพิวเตอร์โน๊ตบุค๊ และจอ 2. สอ่ื เพาเวอร์พอยต์ เร่อื ง คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า 3. แบบเรยี น วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชพี ธุรกิจและบริการ 4. แบบกิจกรรม 7. หลกั ฐานการเรยี นรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ 1. ผลจากการทำแบบฝกึ หัด 2. ผลจากการทำแบบทดสอบหลงั เรยี น 7.2 หลักฐานการปฏบิ ตั ิงาน รายงานผลการทำกิจกรรม 8. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 8.1 เครอื่ งมือประเมิน 1. แบบสังเกตพฤติกรรม ความมวี นิ ยั ความรบั ผิดชอบ และความขยัน 2. แบบตรวจกจิ กรรม 3. แบบฝกึ หัด พร้อมเฉลยและเกณฑ์ 4. แบบทดสอบหลงั เรยี น พรอ้ มเฉลย และเกณฑ์ 8.2 เกณฑก์ ารประเมิน นักเรยี นทไ่ี ดค้ ะแนนร้อยละ 60 ขึ้นไป ถือว่าผ่านการประเมนิ 9. กจิ กรรมเสนอแนะ/งานท่มี อบหมาย (ถา้ ม)ี ศกึ ษาค้นควา้ เพิม่ เติม และอ่านหนงั สือทบทวน 10. เอกสารอ้างอิง จตุ ิมา จันทรต์ ระกลู . วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชีพธรุ กิจและบรกิ าร. กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์ เอมพนั ธ,์ 2556.

167 11. บนั ทกึ ผลหลงั การจัดการเรียนรู้ 11.1 ขอ้ สรุปหลังการจดั การเรียนรู้ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 11.2 ปญั หาอปุ สรรคทีพ่ บ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 11.3 แนวทางแก้ปัญหาและหรือพัฒนา ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................

168 ใบความร้ทู ่ี 7.1 หนว่ ยท่ี 7 รหสั วิชา 2000-1303 ภาคเรียนท่ี1/2558 ชือ่ วิชา วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชพี ธุรกิจและบริการ ชื่อหน่วย คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ เวลารวม______ช่ัวโมง ชือ่ เรอื่ ง คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ จำนวน_______ช่วั โมง จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ จุดประสงค์ทั่วไป เพอื่ ศกึ ษาเรือ่ งคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. บอกสมบตั ิคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ ได้ 2. อธบิ ายการเกิด ลกั ษณะ สมบัติ ประโยชน์ และโทษของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ที่มีชว่ งความถต่ี า่ งๆ ได้ 3. ยกตวั อยา่ งสเปกตรัม พร้อมท้ังอธิบายสมบัติต่างๆ ได้ 4. อธบิ ายและยกตวั อย่างผลกระทบท่ีเกดิ จากคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ท่ีความถี่ตา่ งๆ ได้ สมรรถนะรายหน่วย แสดงความรู้และสำรวจตรวจสอบเรอื่ งคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ เนือ้ หาสาระ คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า (Electromagnetic Radiation (EM radiation หรอื EMR)) เป็นคลน่ื ชนดิ หน่งึ ท่ี ไมต่ อ้ งใชต้ วั กลางในการเคล่อื นท่ี เชน่ คล่นื วทิ ยุ (Radio waves) คล่นื ไมโครเวฟ (Microwaves) ปัจจุบนั มกี ารใชค้ ลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าในหลาย ๆ ดา้ น เช่น การตดิ ต่อสอ่ื สาร (มอื ถอื โทรทศั น์ วทิ ยุ เรดาร์ ใยแกว้ นาแสง) ทางการแพทย์ (รงั สเี อกซ)์ การทาอาหาร (คลน่ื ไมโครเวฟ) การควบคุมรโี มท (รงั สี อนิ ฟราเรด) คุณสมบตั ขิ องคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า คอื เป็นคล่นื ทเ่ี กดิ จากคล่นื ไฟฟ้าและคลน่ื แมเ่ หลก็ ตงั้ ฉากกนั และ เคลอ่ื นทไ่ี ปยงั ทศิ ทางเดยี วกนั คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าสามารถเดนิ ทางไดด้ ว้ ยความเรว็ 299,792,458 เมตร/ วนิ าที หรอื เทยี บเท่ากบั ความเรว็ แสง คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า เกดิ จากการรบกวนทางแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance) โดย การทาใหส้ นามไฟฟ้าหรอื สนามแมเ่ หลก็ มกี ารเปลย่ี นแปลง เมอ่ื สนามไฟฟ้ามกี ารเปลย่ี นแปลงจะเหน่ยี วนา ใหเ้ กดิ สนามแม่เหลก็ หรอื ถ้าสนามแมเ่ หลก็ มกี ารเปลย่ี นแปลงกจ็ ะเหน่ียวนาใหเ้ กดิ สนามไฟฟ้า คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเป็นคล่นื ตามขวาง ประกอบดว้ ยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหลก็ ทม่ี กี ารสนั่ ใน แนวตงั้ ฉากกนั และอย่บู นระนาบตงั้ ฉากกบั ทศิ การเคล่อื นทข่ี องคลน่ื คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเป็นคลน่ื ท่ี เคล่อื นทโ่ี ดยไมอ่ าศยั ตวั กลาง จงึ สามารถเคล่อื นทใ่ี นสญุ ญากาศได้

169 สเปกตรมั (Spectrum) ของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าจะประกอบดว้ ยคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าทม่ี คี วามถแ่ี ละ ความยาวคลน่ื แตกตา่ งกนั ซง่ึ ครอบคลมุ ตงั้ แต่ คลน่ื แสงทต่ี ามองเหน็ มองเหน็ อลั ตราไวโอเลต อนิ ฟราเรด คล่นื วทิ ยุ โทรทศั น์ ไมโครเวฟ รงั สเี อกซ์ รงั สแี กมมา เป็นตน้ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้ามคี วามถต่ี อ่ เน่อื งกนั เป็นช่วงกวา้ งเราเรยี กชว่ งความถเ่ี หลา่ น้วี ่า \"สเปกตรมั คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า\" และมชี ่อื เรยี กช่วงตา่ ง ๆ ของความถต่ี า่ งกนั ตามแหล่งกาเนิดและวธิ กี ารตรวจวดั คล่นื สเปกตรมั คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าชนิดต่าง ๆในสเปกตรมั มสี มบตั ทิ ส่ี าคญั เหมอื นกนั คอื เคลอ่ื นทไ่ี ปดว้ ยความเรว็ เท่ากบั แสงและมพี ลงั งานสง่ ผา่ นไปพรอ้ มกบั คล่นื คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาตแิ ละท่ี มนุษยส์ รา้ งขน้ึ มชี อ่ื เรยี กดงั น้ี 1. คลื่นวิทยุ คลน่ื วทิ ยมุ คี วามถช่ี ่วง 104 - 109 Hz( เฮริ ตซ์ ) ใชใ้ นการสอ่ื สาร คลน่ื วทิ ยุมกี ารสง่ สญั ญาณ 2 ระบบคอื 1.1 ระบบเอเอม็ (A.M. = amplitude modulation) ระบบเอเอม็ มชี ว่ งความถ่ี 530 - 1600 kHz( กโิ ลเฮริ ตซ์ ) สอ่ื สารโดยใชค้ ล่นื เสยี งผสมเขา้ ไปกบั คล่นื วทิ ยเุ รยี กว่า \"คลน่ื พาหะ\" โดยแอมพลจิ ดู ของคลน่ื พาหะจะเปลย่ี นแปลงตามสญั ญาณคลน่ื เสยี ง ในการสง่ คล่นื ระบบ A.M. สามารถสง่ คล่นื ไดท้ งั้ คล่นื ดนิ เป็นคล่นื ทเ่ี คล่อื นทใ่ี นแนวเสน้ ตรงขนาน กบั ผวิ โลกและคลน่ื ฟ้าโดยคลน่ื จะไปสะทอ้ นทช่ี นั้ บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แลว้ สะทอ้ นกลบั ลงมา จงึ ไมต่ อ้ งใชส้ ายอากาศตงั้ สงู รบั 1.2 ระบบเอฟเอม็ (F.M. = frequency modulation) ระบบเอฟเอม็ มชี ่วงความถ่ี 88 - 108 MHz (เมกะเฮริ ตซ)์ สอ่ื สารโดยใชค้ ลน่ื เสยี งผสมเขา้ กบั คล่นื พาหะ โดยความถข่ี องคลน่ื พาหะจะเปลย่ี นแปลงตามสญั ญาณคล่นื เสยี ง ในการสง่ คล่นื ระบบ F.M. สง่ คล่นื ไดเ้ ฉพาะคลน่ื ดนิ อย่างเดยี ว ถา้ ต้องการสง่ ใหค้ ลมุ พน้ื ทต่ี อ้ งมี สถานีถ่ายทอดและเคร่อื งรบั ตอ้ งตงั้ เสาอากาศสงู ๆ รบั 2. คล่ืนโทรทศั น์และไมโครเวฟ คลน่ื โทรทศั น์และไมโครเวฟมคี วามถช่ี ว่ ง 108 - 1012 Hz มปี ระโยชน์ในการส่อื สาร แตจ่ ะไม่ สะทอ้ นทช่ี นั้ บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แตจ่ ะทะลุผา่ นชนั้ บรรยากาศไปนอกโลก ในการถา่ ยทอด

170 สญั ญาณโทรทศั น์จะตอ้ งมสี ถานีถ่ายทอดเป็นระยะ ๆ เพราะสญั ญาณเดนิ ทางเป็นเสน้ ตรง และผวิ โลกมคี วามโคง้ ดงั นนั้ สญั ญาณจงึ ไปไดไ้ กลสดุ เพยี งประมาณ 80 กโิ ลเมตรบนผวิ โลก อาจใช้ ไมโครเวฟนาสญั ญาณจากสถานีสง่ ไปยงั ดาวเทยี ม แลว้ ใหด้ าวเทยี มนาสญั ญาณสง่ ตอ่ ไปยงั สถานี รบั ทอ่ี ยไู่ กล ๆ เน่อื งจากไมโครเวฟจะสะทอ้ นกบั ผวิ โลหะไดด้ ี จงึ นาไปใชป้ ระโยชน์ในการตรวจหาตาแหน่งของ อากาศยาน เรยี กอุปกรณ์ดงั กล่าวว่า เรดาร์ โดยสง่ สญั ญาณไมโครเวฟออกไปกระทบอากาศยาน และรบั คลน่ื ทส่ี ะทอ้ นกลบั จากอากาศยาน ทาใหท้ ราบระยะหา่ งระหว่างอากาศยานกบั แหลง่ สง่ สญั ญาณไมโครเวฟได้ 3. รงั สีอินฟาเรด (infrared rays) รงั สอี นิ ฟาเรดมชี ว่ งความถ่ี 1011 - 1014 Hz หรอื ความยาวคล่นื ตงั้ แต่ 10-3 - 10-6 เมตร ซง่ึ มชี ่วงความถค่ี าบเกย่ี วกบั ไมโครเวฟ รงั สอี นิ ฟาเรดสามารถใชก้ บั ฟิล์มถา่ ยรปู บางชนิดได้ และใช้ เป็นการควบคุมระยะไกลหรอื รโี มทคอนโทรลกบั เครอ่ื งรบั โทรทศั น์ได้ 4. แสง (light) แสงมชี ว่ งความถ่ี 1014Hz หรอื ความยาวคล่นื 4x10-7 - 7x10-7 เมตร เป็นคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทป่ี ระสาทตาของมนุษยร์ บั ได้ สเปคตรมั ของแสงสามารถแยกไดด้ งั น้ี สี ความยาวคล่ืน (nm) ม่วง 380-450 น้าเงนิ 450-500 เขยี ว 500-570 เหลอื ง 570-590 แสด 590-610 แดง 610-760 5. รงั สีอลั ตราไวโอเลต (Ultraviolet rays) รงั สอี ลั ตราไวโอเลต หรอื รงั สเี หนอื มว่ ง มคี วามถช่ี ว่ ง 1015 - 1018 Hz เป็นรงั สตี าม ธรรมชาตสิ ว่ นใหญ่มาจากการแผ่รงั สขี องดวงอาทติ ย์ ซ่งึ ทาใหเ้ กดิ ประจอุ สิ ระและไอออนใน บรรยากาศชนั้ ไอโอโนสเฟียร์ รงั สอี ลั ตราไวโอเลต สามารถทาใหเ้ ชอ้ื โรคบางชนดิ ตายได้ แตม่ ี อนั ตรายต่อผวิ หนงั และตาคน 6. รงั สีเอกซ์ (X-rays) รงั สเี อกซ์ มคี วามถช่ี ว่ ง 1016 - 1022 Hz มคี วามยาวคลน่ื ระหว่าง 10-8 - 10-13 เมตร ซง่ึ สามารถทะลุสง่ิ กดี ขวางหนา ๆ ได้ หลกั การสรา้ งรงั สเี อกซค์ อื การเปลย่ี นความเรว็ ของอเิ ลก็ ตรอน มปี ระโยชน์ทางการแพทยใ์ นการตรวจดคู วามผดิ ปกตขิ องอวยั วะภายในร่างกาย ในวงการ อุตสาหกรรมใชใ้ นการตรวจหารอยรา้ วภายในชน้ิ สว่ นโลหะขนาดใหญ่ ใชต้ รวจหาอาวธุ ปืนหรอื ระเบดิ ในกระเป๋ าเดนิ ทาง และศกึ ษาการจดั เรยี งตวั ของอะตอมในผลกึ

171 7. รงั สีแกมมา ( -rays) รงั สแี กมมามสี ภาพเป็นกลางทางไฟฟ้ามคี วามถส่ี งู กวา่ รงั สเี อกซ์ เป็นคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าท่ี เกดิ จากปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี รแ์ ละสามารถกระตนุ้ ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี รไ์ ด้ มอี านาจทะลทุ ะลวงสงู เอกสารอ้างองิ จตุ ิมา จนั ทร์ตระกูล. วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาอาชีพธรุ กจิ และบริการ. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพ์ เอมพันธ,์ 2556.