Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore lสุขศึกษา พลศึกษา อ.อนงค์

lสุขศึกษา พลศึกษา อ.อนงค์

Published by panom5031, 2020-09-19 23:03:55

Description: lสุขศึกษา พลศึกษา อ.อนงค์

Search

Read the Text Version

ใบงาน คาส่ัง ใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ และจดั ทาํ เป็นรายงาน ตามหวั ขอ้ เรื่องท่ีครูกาํ หนดกลุ่มละ 1 เรื่อง โดยมี ส่วนประกอบของรายงานตามหวั ขอ้ ท่ีกาํ หนด กลุ่มท่ี 1 ระบบหายใจ กลุ่มที่ 2 ระบบยอ่ ยอาหาร กลุ่มที่ 3 ระบบขบั ถ่าย กลุ่มท่ี 4 ระบบสืบพนั ธุ์ กลุ่มท่ี 5 ระบบตอ่ มไร้ท่อ กลุ่มท่ี 6 ระบบประสาท ส่วนประกอบของรายงาน 1. ปก 2. คาํ นาํ 3. สารบญั 4. เน้ือหา (ตามท่ีไดร้ ับเป็นรายกลุ่ม) 5. ประโยชน์ท่ีไดร้ ับ 6. ขอ้ คิดเห็น ขอ้ เสนอแนะ 7. หนงั สืออา้ งอิง

ใบความรู้ เร่ือง ระบบต่างๆ ของร่างกาย 1.ระบบหายใจ มนุษยท์ ุกคนตอ้ งหายใจเพื่อมีชีวติ อยู่ การหายใจเขา้ อากาศผา่ นไปตามอวยั วะของระบบหายใจตามลาํ ดบั ดงั น้ี 1.จมูก (Nose) จมูกส่วนนอกเป็ นส่วนที่ย่ืนออกมาจากตรงก่ึงกลางของใบหนา้ รูปร่างของจมูกมีลกั ษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม พรี ะมิด ฐานของรูปสามเหล่ียมวางปะ ติดกบั หนา้ ผากระหวา่ งตาสองขา้ ง สันจมูกหรือด้งั จมูก มีรูปร่างและขนาด ต่างๆกนั ยน่ื ต้งั แต่ฐานออกมาขา้ งนอกและลงขา้ งล่างมาสุดที่ปลายจมูก อีกดา้ นหน่ึงของรูปสามเหล่ียมหอ้ ยติดกบั ริมฝีปากบนรู จมูกเปิ ดออกสู่ภายนกทางดา้ นน้ี รูจมูกทาํ หนา้ ท่ีเป็นทางผา่ นของอากาศที่หายใจเขา้ ไปยงั ช่องจมูก และกรองฝ่ นุ ละอองดว้ ย 2. หลอดคอ (Pharynx) เมื่ออากาศผา่ นรูจมูกแลว้ กผ็ า่ นเขา้ สู่หลอดคอ ซ่ึงเป็นหลอดต้งั ตรงยาวประมาณยาวประมาณ 5 \" หลอดคอ ติดต่อท้งั ช่องปากและช่องจมูก จึงแบง่ เป็นหลอดคอส่วนจมูก กบั หลอดคอส่วนปาก โดยมีเพดานอ่อนเป็นตวั แยก สองส่วนน้ีออกจากกนั โครงของหลอดคอประกอบดว้ ยกระดูกอ่อน 9 ชิ้นดว้ ยกนั ชิ้นที่ใหญ่ทีสุด คือกระดูกธยั รอยด์ ท่ีเราเรียกวา่ \"ลูกกระเดือก\" ในผชู้ ายเห็นไดช้ ดั กวา่ ผหู้ ญิง 3. หลอดเสียง (Larynx) เป็นหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ในผชู้ าย และ 3.5 cm ในผหู้ ญิง หลอดเสียงเจริญเติบโตข้ึนมาเร่ือยๆ ตามอายุ ในวยั เร่ิมเป็ นหนุ่มสาว หลอดเสียงเจริญข้ึนอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะในผชู้ าย เน่ืองจากสายเสียง (Vocal cord) ซ่ึงอยู่ ภายในหลอดเสียงน้ียาวและหนาข้ึนอยา่ งรวดเร็วเกินไป จึงทาํ ใหเ้ สียงแตกพร่า การเปล่ียนแปลงน้ีเกิดจากฮอร์โมน ของเพศชาย 4. หลอดลม (Trachea) เป็นส่วนที่ต่ออกมาจากหลอดเสียง ยาวลงไปในทรวงอก ลกั ษณะรูปร่างของหลอดลมเป็นหลอดกลมๆ ประกอบดว้ ยกระดูกออ่ นรูปวงแหวน หรือรูปตวั U ซ่ึงมีอยู่ 20 ชิ้น วางอยทู่ างดา้ นหลงั ของหลอดลม ช่องวา่ ง ระหวา่ งกระดูกออ่ นรูปตวั U ท่ีวางเรียงต่อกนั มีเน้ือเยอื่ และกลา้ มเน้ือเรียบมายดึ ติดกนั การท่ีหลอดลมมีกระดูก ออ่ นจึงทาํ ใหเ้ ปิ ดอยตู่ ลอดเวลา ไมม่ ีโอกาสท่ีจะแฟบเขา้ หากนั ไดโ้ ดยแรงดนั จากภายนอก จึงรับประกนั ไดว้ า่ อากาศเขา้ ไดต้ ลอดเวลา หลอดลม ส่วนที่ตรงกบั กระดูกสันหลงั ช่วงอกแตกแขนงออกเป็นหลอดลมแขนงใหญ่ (Bronchi) ขา้ งซา้ ยและขวา เม่ือเขา้ สู่ปอดก็แตกแขนงเป็นหลอดลมเล็กในปอดหรือที่เรียกวา่ หลอดลมฝอย (Bronchiole) และไปสุดท่ีถุงลม (Aveolus) ซ่ึงเป็นการที่อากาศอยู่ ใกลก้ บั เลือดในปอดมากที่สุด จึงเป็นบริเวณ แลกเปล่ียนก๊าซออกซิเจน กบั คาร์บอนไดออกไซด์ 5. ปอด (Lung) ปอดมีอยสู่ องขา้ ง วางอยใู่ นทรวงอก มีรูปร่างคลา้ ยกรวย มีปลายหรือยอดช้ีข้ึนไปขา้ งบนและไปสวมพอดีกบั ช่องเปิ ดแคบๆของทรวงอก ซ่ึงช่องเปิ ดแคบๆน้ีประกอบข้ึนดว้ ยซ่ีโครงบนของกระดูกสันอกและกระดูกสันหลงั ฐานของปอดแต่ละขา้ งจะใหญ่และวางแนบสนิทกบั กระบงั ลม

ระหวา่ งปอด 2 ขา้ ง จะพบวา่ มีหวั ใจอยู่ ปอดขา้ งขวาจะโตกวา่ ปอดขา้ งซา้ ยเลก็ นอ้ ย และมีอยู่ 3 กอ้ น ส่วนขา้ ง ซา้ ยมี 2 กอ้ น หนา้ ที่ของปอดคือ การนาํ ก๊าซ CO2 ออกจากเลือด และนาํ ออกซิเจนเขา้ สู่เลือด ปอดจึงมีรูปร่างใหญ่ มีลกั ษณะ ยดื หยนุ่ คลา้ ยฟองน้าํ 6. เย่ือหุ้มปอด (Pleura) เป็นเยอื่ ที่บางและละเอียดออ่ น เปี ยกช้ืน และเป็นมนั ล่ืน หุม้ ผวิ ภายนอกของปอด เย่อื หุม้ น้ี ไม่เพียงคลุมปอด เทา่ น้นั ยงั ไปบุผวิ หนงั ดา้ นในของทรวงอกอีก หรือกล่าวไดอ้ ีกอยา่ งหน่ึงวา่ เยอ่ื หุม้ ปอดซ่ึงมี 2 ช้นั ระหวา่ ง 2 ช้นั น้ี มี ของเหลวอยนู่ ิดหน่อย เพื่อลดแรงเสียดสี ระหวา่ งเยอื่ หุม้ มีโพรงวา่ ง เรียกวา่ ช่องระหวา่ งเยอ่ื หุม้ ปอด

กระบวนการในการหายใจ ในการหายใจน้นั มีโครงกระดูกส่วนอกและ กลา้ มเน้ือบริเวณอกเป็นตวั ช่วยขณะหายใจเขา้ กลา้ ม เน้ือหลายมดั หดตวั ทาํ ใหท้ รวงอกขยายออกไปขา้ งหนา้ และยกข้ึนบน ในเวลาเดียวกนั กะบงั ลมจะลดต่าํ ลง การกระทาํ ท้งั สอง อยา่ งน้ีทาํ ใหโ้ พรงของทรวงอกขยาย ใหญ่มากข้ึน เม่ือกลา้ มเน้ึอหยดุ ทาํ งานและหยอ่ นตวั ลง ทรวงอกยบุ ลงและ ความดนั ในช่องทอ้ งจะดนั กะบงั ลม กลบั ข้ึนมาอยใู่ นลกั ษณะเดิม กระบวนการเข่นน้ีทาํ ให้ ความดนั ในปอดเพิม่ ข้ึน เม่ือความดนั ในปอดเพ่มิ ข้ึนสูง กวา่ ความดนั ของบรรยากาศ อากาศจะถูกดนั ออกจาก ปอด ฉะน้นั จึงสรุปไดว้ า่ ปัจจยั ประการแรกท่ีทาํ ให้ อากาศมีการเคลื่อนไหวเขา้ ออกจากปอดไดน้ ้นั เกิด จากความดนั ที่แตกตา่ งกนั นนั่ เอง การแลกเปลยี่ นก๊าซและการใช้ออกซิเจน เม่ือเราหายใจเขา้ อากาศภายนอกเขา้ สู่อวยั วะ ของระบบหายใจไปยงั ถุงลมในปอด ท่ีผนงั ของถุงลมมีหลอด เลือดแดงฝอยติดอยู่ ดงั น้นั อากาศจึงมีโอกาสใกลช้ ิดกบั เมด็ เลือดแดงมากออกชิเจนก็จะผา่ นผนงั น้ีเขา้ สู่เมด็ เลือด แดง และคาร์บอนไดออกไชดก์ จ็ ะออกจากเมด็ เลือดผา่ นผนงั ออกมาสู่ถุงลม ปกติในอากาศมีออกชิเจนร้อยละ 20 แตอ่ ากาศท่ีเราหายใจมีออกซิเจนร้อยละ 13

2.ระบบย่อยอาหาร การย่อยอาหาร (Digestion) หมายถึงการแปรสภาพของสารอาหารที่มีโมเลกลุ ใหญ่และละลายน้าํ ไม่ได้ ใหเ้ ป็ น สารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กลงจนสามารถละลายน้าํ และดูดซึมเขา้ สู่กระแสเลือดนาํ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ โดยอาศยั กระบวนการทางเชิงกลและกระบวนการทางเคมี

ระบบยอ่ ยอาหารประกอบดว้ ยอวยั วะหลาย ๆ อวยั วะ ไดแ้ ก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ตบั ตบั อ่อน ลาํ ไส้เลก็ ลาํ ไส้ใหญ่ ซ่ึงอวยั วะบางอวยั วะไมม่ ีการยอ่ ยแต่เก่ียวขอ้ งกบั ทางเดินอาหาร การยอ่ ยอาหารเป็ นกระบวนการท่ีทาํ ใหอ้ าหารท่ีมีโมเลกุลใหญ่ มีขนาดเลก็ ลงจนสามารถซึมเขา้ สู่เซลลไ์ ด้ การย่อยมี 2 ลกั ษณะคือ 1. การย่อยเชิงกล เป็นการยอ่ ยอาหารโดยไม่ใชเ้ อ็นไซมม์ าช่วย เป็นการบดเค้ียวใหอ้ าหารมีขนาดเล็กลง ไดแ้ ก่ การบดเค้ียวอาหารในปาก 2. การย่อยทางเคมี เป็นการยอ่ ยท่ีตอ้ งใชเ้ อน็ ไซม์ (หรือน้าํ ยอ่ ย) มาช่วย ทาํ ใหโ้ มเลกลุ ของอาหารมีขนาด เลก็ ลง เช่นการเปลี่ยนโมเลกลุ ของแป้งเป็นน้าํ ตาล สารและเอนไซม์ทเี่ กย่ี วข้องกบั การย่อยในกระเพาะอาหาร 1. HCl มี pH อยรู่ ะหวา่ ง 0.9-2.0 2. Pepsinogen เป็น Proenzyme ตอ้ งไดร้ ับ HCl จึงเปล่ียนเป็นเพปซิน (Pepsin) สาํ หรับยอ่ ยโปรตีนเป็ นเพป ไทด์ ซ่ึงประกอบดว้ ยกรดอะมิโน 4-12 โมเลกุล 3. Prorennin เป็น Proenzyme ตอ้ งไดร้ ับ HCl จึงเปล่ียนเป็นเรนนิน (Rennin) สาํ หรับยอ่ ยโปรตีนในน้าํ นม 4. Lipase สร้างข้ึนในปริมาณนอ้ ยมาก เพราะสภาพเป็นกรดของกระเพาะอาหาร 5. Gastrin เป็นฮอร์โมนท่ีสร้างจากเซลลใ์ นกระเพาะอาหาร ทาํ หนา้ ท่ีกระตุน้ ให้ Parietal Cell หลง่ั HCl ออกมา การยอ่ ยอาหารจะเร่ิมต้งั แตอ่ าหารเขา้ สู่ร่างกายโดยผา่ น ปาก ลิ้น ฟัน ต่อจากน้นั อาหารจะถูกลืนผา่ นลาํ คอไป ตามอวยั วะตา่ ง ๆ ตามลาํ ดบั ดงั น้ี

1. ระบบขบั ถ่าย

การขบั ถ่ายเป็นระบบกาํ จดั ของเสียจากร่างกาย และช่วยควบคุมปริมาณของน้าํ ในร่างกายใหส้ มบูรณ์ประ กอยดว้ ย ไต ตบั และลาํ ไส้ เป็นตน้

ไต มีหนา้ ที่ขบั สิ่งที่ร่างกายไม่ไดใ้ ชอ้ อกจากร่างกาย อยดู่ า้ นหลงั ของช่องทอ้ ง ลาไส้ใหญ่ มีหนา้ ที่ขบั กากอาหารท่ีเหลือจากการยอ่ ยของระบบยอ่ ยอาหารออกมาเป็นอุจจาระ โครงสร้างของระบบขบั ถ่าย ไตเป็นอวยั วะที่กรองของเสียเพือ่ กาํ จดั ของเสียออกจากร่างกาย ไตของคนมี 1 คู่ อยใู่ นช่องทอ้ งสองขา้ ง ของกระดูกสนั หลงั ระดบั เอว มีรูปร่างคลา้ ยเมล็ดถว่ั ตอ่ จากไตท้งั สองขา้ งมีท่อไตทาํ หนา้ ท่ีลาํ เลียงน้าํ ปัสสาวะจาก ไตไปเกบ็ ไวท้ ี่กระเพาะปัสสาวะ ก่อนจะขบั ถ่ายออกมานอกร่างกายทางทอ่ ปัสสาวะเป็ นน้าํ ปัสสาวะนน่ั เอง การดูแลรักษาระบบขบั ถ่าย เค้ียวอาหารใหล้ ะเอียด และรับประทานอาหารท่ีช่วยในการขบั ถ่าย คือ อาหารท่ีมีกาก ใย เช่น ผกั ผลไม้ และควรดื่มน้าํ ใหม้ าก การกาจดั ของเสียออกทางไต ไต เป็นอวยั วะท่ีลกั ษณะคลา้ ยถว่ั มีขนาด ประมาณ 10 กวา้ ง 6 เซนติเมตร และหนาประมาณ 3 เซนติเมตร มีสี แดงแกมน้าํ ตาลมีเยอื่ หุม้ บางๆ ไตมี 2 ขา้ งซา้ ยและขวา บริเวณดา้ นหลงั ของช่องทอ้ ง ใกลก้ ระดูกสันหลงั บริเวณเอว บริเวณส่วนท่ีเวา้ เป็นกรวย ไต มีหลอดไตตอ่ ไปยงั มีกระเพาะปัสสาวะ โครงสร้างไต ประกอบดว้ ย เน้ือเยอื่ 2 ช้นั หน่วย ไต ช้นั นอก เรียกวา่ คอร์ดเทกซ์ ช้นั ใน เรียกวา่ เมดลั ลา ภายในไตประกอบดว้ ย หน่วยไต มีลกั ษณะเป็นท่อขดอยหู่ ลอด เลือดฝอยเป็นกระจุกอยเู่ ตม็ ไปหมด ไตเป็นอวยั วะที่ทาํ งานหนกั วนั หน่ึงๆ เลือดท่ี หมุนเวยี นในร่างกายตอ้ งผา่ นมายงั ไต ประมาณในแตล่ ะนาทีจะมีเลือดมายงั ไต ท่ี 1200 มิลลิลิตร หรือวนั ละ 180 ลิตร ไตจะขบั ของเสียมาในรูปของน้าํ ปัสสาวะ แลว้ ส่งต่อไปยงั กระเพาะปัสสาวะ มีความจุประมาณ 500 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร ร่างกายจะรู้สึกปวด ปัสสาวะเมื่อน้าํ ปัสสาวะไหลสู่กระเพาะปัสสาวะประมาณ 250 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร ใน 1 วนั คนเราจะขบั ปัสสาวะออกมาประมาณ 1 – 1.5 ลิตร การกาจัดของเสียออกทางผวิ หนัง ในรูปของเหงื่อ เหงื่อประกอบไปดว้ ยน้าํ เป็นส่วนใหญ่ เหง่ือจะถูกขบั ออกจากร่างกายทางผวิ หนงั โดยผา่ นตอ่ มเหง่ือซ่ึงอยใู่ ตผ้ วิ หนงั ต่อมเหง่ือมี 2 ชนิด คือ 1. ต่อมเหง่ือขนาดเล็ก มีอยทู่ ว่ั ผวิ หนงั ในร่างกาย ยกเวน้ ทา่ ริมฝีปากและอวยั วะสืบพนั ธุ์ ตอ่ มเหงื่อขนาด เล็กมีการขบั เหงื่อออกมาตลอดเวลา เหงื่อที่ออกจากต่อมขนาดเล็กน้ีประกอบดว้ ยน้าํ ร้อยละ 99 สารอื่นๆ ร้อยละ 1 ไดแ้ ก่ เกลือโซเดียม และยเู รีย 2. ต่อมเหง่ือขนาดใหญ่ จะอยทู่ ่ีบริเวณ รักแร้ รอบหวั นม รอบสะดือ ช่องหูส่วนนอก อวยั วะเพศ

บางส่วน ต่อมน้ีมีทอ่ ขบั ถ่ายใหญ่กวา่ ชนิดแรกต่อมน้ีจะตอบสนองทางจิตใจ สารท่ีขบั ถ่ายมกั มีกล่ิน ซ่ึงก็คือกล่ิน ตวั เหง่ือ จะถูกลาํ เลียงไปตามท่อท่ีเปิ ดอยู่ ที่เรียกวา่ รูเหง่ือ การกาจัดของเสียออกทางลาไส้ ใหญ่ กากอาหารที่เหลือกจากการยอ่ ย จะถูกลาํ เลียงผา่ นมาท่ีลาํ ไส้ใหญ่ โดยลาํ ไส้ใหญจ่ ะทาํ หนา้ ท่ีสะสมกาก อาหารและจะดูดซึม สารอาหารท่ีมีประโยชน์ ตอ่ ร่างกายไดแ้ ก่ น้าํ แร่ ธาตุ วติ ามิน และกลูโคส ออกจากกากอาหาร ทาํ ใหก้ ากอาหารเหนียวและขน้ จน เป็นกอ้ นแขง็ จากน้นั ลาํ ไส้จะบีบตวั เพ่ือใหก้ ากอาหารเคล่ือนที่ไปรวมกนั ที่ลาํ ไส้ ตรง และขบั ถ่ายสู่ภายนอกร่างกายทางทวารหนกั ท่ีเรียกวา่ อจุ จาระ การกาจัดของเสียทางปอด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซและน้าํ ซ่ึงเกิดจากการเผาผลาญอาหารภายใน เซลลจ์ ะถูกส่งเขา้ สู่เลือด จากน้นั หวั ใจจะสูบเลือดที่มีกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดไ์ ปไว้ ท่ีปอด จากน้นั ปอดจะทาํ การกรองกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดเ์ ก็บไว้ แลว้ ขบั ออกจาก ร่างกายโดยการหายใจออก ประโยชน์ของการขบั ถ่ายของเสียต่อสุขภาพ การขบั ถ่ายเป็นระบบกาํ จดั ของเสียร่างกายและช่วยควบคุมปริมาณของน้าํ ในร่างกายใหส้ มบูรณ์ประกอบดว้ ย ไต ตบั และลาํ ไส้ เป็นตน้ การปฏิบตั ิตนในการขบั ถ่ายของเสียใหเ้ ป็นปกติ หรือกิจวตั รประจาํ วนั เป็ นส่ิงจาํ เป็นอยา่ งยง่ิ ตอ่ สุขภาพอนามยั ของมนุษย์ เราไม่ควรใหร้ ่างกายเกิดอาการทอ้ งผกู เป็นเวลานานเพราะจะทาํ ใหเ้ กิดเป็นโรคริดสีดวงทวารหนกั ได้ การปัสสาวะ ถือเป็นการขบั ถ่ายของเสียประการหน่ึง ที่ร่างกายเราขบั เอาน้าํ เสียในร่างกายออกมาหากไม่ ขบั ถ่ายออกมาหรือกล้นั ปัสสาวะไวน้ านๆ จะทาํ ใหเ้ กิดเป็ นโรคนิ่วในไตหรือทาํ ใหก้ ระเพาะปัสสาวะอกั เสบและ ไตอกั เสบได้ การดื่มน้าํ การรับประทานผกั ผลไมท้ ุกวนั จะช่วยใหร้ ่างกายขบั ถ่ายไดส้ ะดวกข้ึน การดื่มน้าํ และ รับประทานทานอาหารที่ถูกสุขลกั ษณะ ตลอดจนการรับประทานอาหารท่ีมีเส้นใยอาหารเป็ นประจาํ จะทาํ ให้ ร่างกายขบั ถ่ายของเสียอยา่ งปกติ 4.ระบบสืบพนั ธ์ุ ระบบสืบพนั ธ์ุเพศชาย ระบบสืบพนั ธุ์เพศชายประกอบดว้ ยอวยั วะตา่ งๆ ดงั น้ี 1. อณั ฑะ (Testis) และถุงอณั ฑะ (Scrotum) อณั ฑะ มีลกั ษณะรูปร่างคลา้ ยไข่ฟองเล็ก ยาว 3-4 Cm หนาประมาณ 2-3 Cm หนกั ประมาณ 50 กรัม อณั ฑะมี 2 ขา้ งและขนาดใกลเ้ คียงกนั อยภู่ ายในถุงอณั ฑะ ซ่ึงทาํ หนา้ ที่ปรับอุณหภูมิภายในถุงอณั ฑะใหเ้ หมาะแก่การ

เจริญเติบโตของอสุจิ คือ ประมาณ 34 องศาเซลเซียส ภายในอณั ฑะประกอบดว้ ยหลอดสร้างตัวอสุจิิ มีลกั ษณะ เป็นท่อเลก็ ๆขดเรียงกนั อยมู่ ากมาย เพอื่ ทาํ หนา้ ที่สร้างตวั อสุจิ (Sperm) นอกจากน้นั ยงั มีเซลลท์ ่ีทาํ หนา้ ที่สร้าง ฮอร์โมนเพศชาย ซ่ึงควบคุมลกั ษณะตา่ งๆของเพศชาย เช่น เสียงหา้ ว มีหนวดเครา 2. หลอดเกบ็ ตัวอสุจิ เป็นท่ีพกั ของตวั อสุจิที่สร้างจากหลอดสร้างตวั อสุจิจะอยบู่ ริเวณดา้ นบนของอณั ฑะต่อเช่ือมกบั หลอดนาํ ตวั อสุจิ 3. หลอดนาตวั อสุจิ อยตู่ อ่ จากหลอดเก็บอสุจิ ทาํ หนา้ ท่ีลาํ เลียงอสุจิไปเก็บไวท้ ี่ต่อมสร้างน้าํ เล้ียงอสุจิ 4. ต่อมสร้างนา้ เลยี้ งอสุจิ(seminal vesicle) อยตู่ อ่ จากหลอดนาํ ตวั อสุจิ ทาํ หนา้ ท่ีสร้างอาหารใหแ้ ก่ตวั อสุจิ ส่วนมากเป็นน้าํ ตาลฟรักโตส และสารประกอบ อื่นๆท่ีทาํ ใหเ้ กิดสภาพที่เหมาะกบั ตวั อสุจิ 5. ต่อมลกู หมาก(prostate gland) อยบู่ ริเวณตอนตน้ ของท่อปัสสาวะ ทาํ หนา้ ท่ีหลง่ั สารบางชนิดที่เป็นเบสอยา่ งอ่อน เขา้ ไปในทอ่ ปัสสาวะปนกบั น้าํ เล้ียงอสุจิ และสารท่ีทาํ ใหต้ วั อสุจิแขง็ แรงและวอ่ งไว 6. ต่อมคาวเปอร์ (Cowper gland) มีหนา้ ท่ีหลง่ั สารของเหลวใสๆไปหล่อล่ืนท่อปัสสาวะในขณะเกิดการกระตุน้ ทางเพศ 7. อวยั วะเพศชาย (penis) เป็ นกลา้ มเน้ือท่ีหดและพองตวั ไดค้ ลา้ ยฟองน้าํ ในวลาปกติจะอ่อนและงอตวั อยู่ แตเ่ ม่ือ ถูกกระตุน้ จะเเขง็ ตวั เพราะมีเลือดมาคง่ั มาก ภายในจะมีท่อปัสสาวะทาํ หนา้ ที่เป็นทางผา่ นของตวั อสุจิและน้าํ ปัสสาวะ

ข้นั ตอนในการสร้างตัวอสุจิและการหลง่ั นา้ อสุจิ มีดงั น้ี เริ่มจากหลอดสร้างตวั อสุจิ ซ่ึงอยภู่ ายในอณั ฑะสร้างตวั อสุจิออกมา จากน้นั ตวั อสุจิจะถูกนาํ ไปพกั ไวท้ ่ี หลอดเก็บอสุจิก่อนจะถูกลาํ เลียงผา่ นไปตามหลอดนาํ ตวั อสุจิ เพือ่ นาํ ตวั อสุจิไปเกบ็ ไวท้ ี่ตอ่ มสร้างน้าํ เล้ียงตวั อสุจิ รอการหลง่ั ออกสู่ภายนอก ตอ่ มลูกหมากจะหลงั่ สารเขา้ ผสมกบั น้าํ เล้ียงอสุจิเพือ่ ปรับสภาพใหเ้ หมาะสมกบั ตวั อสุจิ ก่อนท่ีจะหลง่ั น้าํ อสุจิออกสู่ภายนอกทางทอ่ ปัสสาวะ โดยปกติเพศชายจะเริ่มสร้างตวั อสุจิไดเ้ มื่ออายปุ ระมาณ 12 - 13 ปี และจะสร้างไปจนตลอดชีวติ ส่วนการ หลง่ั น้าํ อสุจิในแต่ละคร้ังจะมีของเหลวออกมาเฉลี่ยประมาณ 3 - 4 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตรและมีตวั อสุจิเฉล่ียประมาณ 350 - 500 ลา้ นตวั สาํ หรับชายท่ีเป็นหมนั จะมีตวั อสุจินอ้ ยกวา่ 30 - 50 ลา้ นตวั ต่อลูกบาศกเ์ ซนติเมตร หรือมีตวั อสุจิ ที่ผดิ ปกติมากกวา่ ร้อยละ 25 ตวั อสุจิท่ีหลง่ั ออกมาจะเคล่ือนท่ีไดป้ ระมาณ 3 - 4 มิลลิเมตรต่อนาที และมีชีวติ อยู่ นอกร่างกายไดป้ ระมาณ 2 ชว่ั โมง แตจ่ ะมีชีวติ อยใู่ นมดลูกของเพศหญิงไดน้ านประมาณ 24 - 48 ชว่ั โมง อวยั วะสืบพนั ธ์ุภายในของชาย อวยั วะสืบพนั ธุ์ภายในของชาย ไดแ้ ก่ อณั ฑะ (testis) ทอ่ จากอณั ฑะ เซมินลั เวสิเคิล (seminal vesicle)ตอ่ ม ลูกหมาก (prostate gland) รวมท้งั ท่อปัสสาวะ อณั ฑะ รูปร่างคลา้ ยเมด็ ขนุน ค่อนขา้ งแบน ขนาดยาว ๔ เซนติเมตร กวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร หนา ๒ เซนติเมตร อยใู่ นถุงอณั ฑะท้งั สองขา้ ง มีปลอกหุม้ สีขาว ภายในเป็นหลอดเลก็ ขดไปมา หลอดน้ีเป็นท่ีสร้างตวั อสุจิ เชงิ กรานผา่ ซกี แสดงอวยั วะสบื พนั ธภุ์ ายนอกและภายในของชาย ท่อจากอณั ฑะ ส่วนตน้ ประกอบดว้ ยหลอดเลก็ ๆขดกนั ไปมาเรียกวา่ เอปิ ดิไดมิส รูปร่างคลา้ ยตวั ลูกน้าํ แก่ๆ ส่วนบน โต ส่วนล่างแคบ อยชู่ ิดกบั ขอบหลงั ของอณั ฑะ ต่อจากเอปิ ดิไดมิสกเ็ ป็นท่ออสุจิ (ductus deferens) เร่ิมตน้ ท่ีปลาย ล่างของเอปิ ดิไดมิส ยาวท้งั หมด ๔๕ เซนติเมตร ส่วนแรกขดไปขดมาอยภู่ ายในถุงหุม้ อณั ฑะ ตอ่ ไปจึงทอดเป็ นทอ่ ยาว ๓๐ เซนติเมตร ผา่ นมาที่ส่วนล่างของหนา้ ทอ้ ง แลว้ แทงผา่ นผนงั หนา้ ทอ้ งเฉียงเขา้ สู่ช่องเชิงกรานไปอยชู่ ิดกบั ดา้ นหลงั กระเพาะปัสสวะ ตอนที่อยชู่ ิดกบั ดา้ นหลงั กระเพาะปัสสาวะน้ี ทอ่ อสุจิจะโตข้ึนเลก็ นอ้ ยแลว้ เรียวเลก็ ลง เป็นทอ่ เล็กร่วมกบั ท่อจากเซมินลั เวสิเคิล เป็นท่อฉีดอสุจิ

ดา้ นหลงั ของอณั ฑะขา้ งซา้ ย แสดงทอ่ ของเอปิ ดไิ ดมสิ และทอ่ อสจุ สิ ว่ นตบั เซมนิ ัลเวสิเคลิ เป็นต่อมรูปร่างคลา้ ยถุงยาวๆ ผนงั ไมเ่ รียบ ยาวประมาณ ๕ เซนติเมตร อยชู่ ิดกบั ดา้ นหลงั ของกระเพาะปัสสาวะ เซมินลั เวสิเคิลมีปลายล่างเรียวเล็กลงไปร่วมกบั ทอ่ อสุจิเป็นท่อฉีดอสุจิ ท่อฉีดอสุจิ เป็นท่อขนาดเล็กเกิดจากการรวมของท่ออสุจิระหวา่ งทอ่ จากเซมินลั เวสิเคิล ยาวนอ้ ยกวา่ ๒.๕ เซนติเมตร ผา่ นต่อมลูกหมากไปเปิ ดสู่ทอ่ ปัสสาวะส่วนในตอ่ มลูกหมาก ต่อมลกู หมาก บางส่วนเป็นต่อม บางส่วนเป็นกลา้ มเน้ือเรียบ หุม้ ลอ้ มรอบส่วนตน้ ของทอ่ ปัสสาวะในชาย รูปร่างคลา้ ยพรี ะมิดเอายอดลง ขนาดสูง ๓ เซนติเมตร กวา้ ง ๔ เซนติเมตรและหนา ๒ เซนติเมตร ต่อมน้ีมีท่อเล็กๆ จาํ นวนมากไปเปิ ดสู่ท่อปัสสาวะส่วนในต่อมลูกหมาก มีหนา้ ที่หลงั่ สารน้าํ เล้ียงตวั อสุจิและมีสารชนิดหน่ึงเรียกวา่ กรดฟอสฟาเทส (phosphates acid)ซ่ึงในการพสิ ูจน์การขม่ ขืนกระทาํ ชาํ เรา เจา้ หนา้ ที่จะตรวจหาสารน้ีได้ แมจ้ ะไม่ พบตวั อสุจิในช่องคลอดของหญิงกต็ ามนอกจากน้นั ยงั มีต่อมเลก็ ๆ สร้างน้าํ เมือกมาสู่ท่อปัสสาวะอีกดว้ ย อวยั วะสืบพนั ธ์ุภายนอกของชาย วยั วะสืบพนั ธุ์ภายนอกของชาย ไดแ้ ก่ ถุงอณั ฑะ (scrotum) และลึงค์ ถุงอณั ฑะ เป็นถุงของผวิ หนงั ซ่ึงภายในมีอณั ฑะ เอปิ ดิไดมิส และส่วนตน้ ของท่ออสุจิอยู่ สีของผวิ หนงั มกั จะเขม้ กวา่ ส่วนอื่นของร่างกายทวั่ ไป ในผใู้ หญม่ ีขนยาวข้ึนอยหู่ ่างๆตรงกลางเป็นสันของผวิ หนงั เรียกวา่ รอย ประสานของถุงอณั ฑะ ถุงอณั ฑะมีรูปร่างแตกตา่ งกนั ในแต่ละบุคคล แมใ้ นคนเดียวกนั ก็ยงั แตกตา่ งกนั ไดใ้ น ภาวะแวดลอ้ มต่างๆ กนั ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั การหดตวั หรือการหยอ่ นตวั ของกลา้ มเน้ือเรียบในช้นั พงั ผดื ใตห้ นงั ถา้ กลา้ มเน้ือหดตวั ก็ทาํ ใหถ้ ุงอณั ฑะเล็กลงและยน่ ในขณะอากาศหนาวเยน็ ถา้ กลา้ มเน้ือหยอ่ นตวั กท็ าํ ใหถ้ ุงอณั ฑะ หยอ่ นยานและเรียบในขณะอากาศร้อนหรือออกกาํ ลงั ท้งั น้ีเพ่อื รักษาอุณหภูมิท่ีเหมาะสมใหก้ บั อณั ฑะท่ีจะสร้าง ตวั อสุจิ ลงึ ค์ ภายใน ลาลงึ คต์ ดั ตามขวาง แสดงสว่ นประกอบของลาลงึ ค์ ประกอบดว้ ยเน้ือเยอื่ ท่ีแขง็ ตวั ได้ (erectile tissue) ๓ แทง่ ภายในเน้ือเยอ่ื ท่ีแขง็ ตวั ไดน้ ้ี มีรูพรุนคลา้ ยฟองน้าํ เมื่อมีเลือดมาคงั่ ในรูพรุนน้ีเองทาํ ให้ลึงคม์ ีขนาดโตข้ึนและแขง็ เน้ือเยอ่ื ที่แขง็ ตวั ได้ ๒ แทง่ ทางดา้ นบนเรียกวา่ คอร์ปัส คาเวอร์โนซุม (corpus cavern sum)มีพงั ผดื สีขาว

หุม้ เป็นปลอกลึงค์ ภายในประกอบดว้ ยเน้ือเยอ่ื ท่ีแขง็ ตวั ได้ เน้ือเยอื่ ท่ีแขง็ ตวั ได้ ๒ แท่งทางดา้ นบนเรียกวา่ คอร์ปัส คาเวอร์โนซุม (corpus cavern sum)มีพงั ผดื สีขาว หุม้ เป็นปลอกลึงค์ ภายในประกอบดว้ ยเน้ือเยอ่ื ที่แขง็ ตวั ได้ (erectile tissue) ๓ แทง่ ภายในเน้ือเยอื่ ท่ีแขง็ ตวั ไดน้ ้ี มี รูพรุนคลา้ ยฟองน้าํ เมื่อมีเลือดมาคงั่ ในรูพรุนน้ีเองทาํ ใหล้ ึงคม์ ีขนาดโตข้ึนและแขง็ เน้ือเยอื่ ที่แขง็ ตวั ได้ ๒ แทง่ ทางดา้ นบนเรียกวา่ คอร์ปัส คาเวอร์โนซุม (corpus cavern sum)มีพงั ผดื สี ขาวหุม้ เป็นปลอกหนา ปลายหนา้ ของแท่งเป็นรูปกรวย ปลายหลงั แยกกนั ไปยดึ ติดที่กระดูก แทง่ ล่างเรียกวา่ คอร์ ปัสสปอนยโิ อซุม และเป็นส่วนท่ีมีท่อปัสสาวะผา่ นโดยตลอด ปลายหนา้ ของแทง่ ล่างน้ีจะแผก่ วา้ งออกเป็นส่วนหวั ของลึงค์ และหุม้ ปลายหนา้ ของคอร์ปัสคาเวอร์โนซุม ปลายหลงั จะโป่ งออกเป็นกระเปาะติดกบั แผน่ เยอ่ื ต่าํ กวา่ กระดูกหวั หน่าว เน้ือเยื่อที่แขง็ ตวั ได้ ท้งั ๓ แทง่ ถูกห่อหุม้ ดว้ ยผวิ หนงั โดยรอบ เย่อื ใตห้ นงั หลวม และไมม่ ีไขมนั หนงั จึงร่นได้ ที่หวั ของลึงคม์ ีหนงั หุม้ ปลายลึงคด์ ว้ ย ปลายลงึ คผ์ า่ ซกี ตามยาว แสดงสว่ นประกอบภายใน อวยั วะสืบพนั ธ์ุภายในของหญงิ ไดแ้ ก่ รังไข่ (ovary) ท่อนาํ ไขห่ รือท่อมดลูก (uterine tube)มดลูก (uterus) ช่องคลอด (vagina) และอวยั วะ สืบพนั ธุ์ภายนอกรวมท้งั ต่อมนมดว้ ย รังไข่ อยใู่ นช่องเชิงกรานท้งั สองขา้ ง รูปร่างคลา้ ยเมด็ ขนุน ค่อนขา้ งแขง็ แบน ยาว ๒.๕ -๓.๕ เซนติเมตร หนาประมาณ ๑.๓ เซนติเมตร มีเยอื่ บุช่องทอ้ งยดึ ขอบของรังไขไ่ วก้ บั ปี กมดลูก ในหญิงโสด แกนตามยาวของรัง ไขจ่ ะอยู่ ณแนวด่ิง และในหญิงเคยมีบุตรแลว้ มกั จะอยู่ ณ แนวนอน รังไข่ มีหนา้ ท่ีสร้างไข่ ดา้ นหลงั ของอวยั วะสบื พนั ธุภ์ ายในของหญงิ

ท่อนาไข่หรือท่อมดลกู เป็นทอ่ ซ่ึงเป็ นทางนาํ ไข่ที่สร้างจากรังไขไ่ ปสู่โพรงมดลูก แตล่ ะทอ่ ยาวประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ปลายหน่ึงเปิ ดสู่ช่องทอ้ งใกลๆ้ กบั รังไข่ รูเปิ ดกวา้ งเพียง ๒ มิลลิเมตร พน้ จากรูเปิ ด ทอ่ รับไข่ผายกวา้ งออกและแยกเป็นแฉกๆ เรียกวา่ ฟิ มเบรีย (fimbriae) อีกปลายหน่ึง เปิ ดเขา้ สู่มุมบนของโพรงมดลูก ขนาดของทอ่ มดลูกไม่เทา่ กนั ปลายที่อยใู่ กลร้ ังไข่จะกวา้ งยาว ที่สุด และคดเค้ียวเลก็ นอ้ ย ส่วนที่อยชู่ ิดกบั มดลูกจะมีขนาดเล็กลง ส้ันและแคบ มดลูก เป็นอวยั วะที่มีผนงั เป็นกลา้ มเน้ือเรียบหนายืน่ จากช่องคลอดข้ึนบนไปขา้ งหนา้ จึงอยู่ เหนือกระเพาะปัสสาวะส่วนบน ๒/๓ ของมดลูกเรียกวา่ ตวั มดลูก รูปร่างคลา้ ยไข่ แตค่ ่อนขา้ ง แบนจากหนา้ ไปหลงั และมีปลายมนที่เรียกวา่ กน้ มดลูกขนาดตวั มดลูกยาว ๕ เซนติเมตร กวา้ ง ๕ เซนติเมตร หนา ๒.๕ เซนติเมตร ส่วนล่าง ๑/๓ เป็นรูปทรงกระบอก และขนาดเล็กกวา่ มดลูก เรียกวา่ คอมดลูก ยาว ๒๕ มิลลิเมตร เส้นผา่ ศูนยก์ ลาง ๒.๕ มิลลิเมตร ยนื่ ผา่ นหนงั หนา้ ของช่อง คลอดส่วนบน ส่วนของคอมดลูกที่ยน่ื ลงไปในช่องคลอด เรียกวา่ ปากมดลูก ตรงรอยต่อระหวา่ ง ตวั มดลูกกบั คอมดลูกจะคอดลงเลก็ นอ้ ย กวา้ งประมาณ ๑ เซนติเมตร เรียกวา่ รอยคอดของมดลูก โพรงมดลกู เมื่อเปรียบเทียบกบั ขนาดของมดลูกแลว้ จะมีขนาดเล็ก เนื่องจากผนงั มดลูกหนา มาก เมื่อมองจากขา้ งหนา้ โพรงมดลูกจะมีรูปเป็ นสามเหลี่ยมแต่แคบมากเพราะผนงั หนา้ และผนงั หลงั ของมดลูกเขา้ มาชิดกนั ช่องคอมดลูก ติดตอ่ จากมุมล่างของโพรงมดลูกถึงรูเปิ ดเขา้ สู่ช่องคลอด รูปร่างคลา้ ย กระสวย ซ่ึงปลายท้งั สองแคบมากกวา่ ส่วนกลาง ระหว่างการตั้งครรภ์ ตวั มดลูกขยายโตข้ึนไดอ้ ยา่ งมากมาย หลงั จากการคลอดบุตร มดลูก กห็ ดตวั เล็กลงทนั ที แต่ก็ยงั ใหญ่กวา่ ขนาดปกติ หลงั จากน้นั มดลูกก็ค่อยๆ หดตวั ลงอยา่ งชา้ ๆ เรียกวา่ มดลูกเขา้ อู่ จนถึงปลายสปั ดาห์ท่ี ๘ หลงั คลอดจึงจะมีขนาดกลบั มาเทา่ กบั ปกติ ตัวมดลูก มีเยอื่ บุมดลูกเรียบและหนาเทา่ กนั โดยตลอดแต่จะหนามากข้ึนในระยะทา้ ย ก่อนมีเลือดประจาํ เดือนทุกเดือน (๒๘ วนั )ในระยะแรกของรอบประจาํ เดือน เยอ่ื บุมดลูกจะคอ่ ยๆ มีเลือดเล้ียงมากข้ึน ต่อมมดลูกกโ็ ตข้ึน ต่อไปส่วนผิวของเยอ่ื บุของมดลูกกล็ อกหลุด จึงมีเลือด ประจาํ เดือนออก เม่ือเลือดประจาํ เดือนหมด เยอ่ื บุมดลูกก็กลบั งอกข้ึนมาใหมจ่ ากเยอื่ บุมดลูก ส่วนลึกท่ียงั เหลืออยู่ วนเวยี นกนั เช่นน้ีตลอดไปเป็นรอบประจาํ เดือน ช่องคลอด โดยทวั่ ไปยาว ๙ เซนติเมตร ปลายบนตอ่ กบั คอมดลูก ปลายล่างเปิ ดที่บริเวณ อวยั วะสืบพนั ธุ์ภายนอกทอดเฉียงข้ึนบนไปทางหลงั ผนงั หนา้ และผนงั หลงั เขา้ มาอยชู่ ิดกนั ยกเวน้ ท่ีปลายบนมีคอมดลูกสอดเขา้ มา ส่วนบนจึงเป็ นส่วนกวา้ งท่ีสุด คอมดลูกสอดเขา้ ช่องคลอดผา่ น ส่วนบนของผนงั หนา้ ผนงั หนา้ จึงยาว ๗.๕ เซนติเมตร และผนงั หลงั ยาวประมาณ ๙ เซนติเมตร ปลายล่างเปิ ดสู่เวสติบูล (vestibule) ซ่ึงเป็นช่องระหวา่ งแคมเล็ก (labia minora) ในหญิงสาว

มีเยอื่ บางๆ รูปพระจนั ทร์เส้ียวหรือรูปแผน่ กลมปิ ดบางส่วนของปากช่องคลอด เรียกวา่ เยอื่ พรหมจารี แต่ในหญิงท่ีคลอดบุตรแลว้ มกั จะเหลือเป็นขอบกะรุ่งกะริ่งอยรู่ อบช่องคลอด อวยั วะสบื พนั ธภุ์ ายนอกของหญงิ มดลูกผา่ ใหเ้ ห็นภายใน เชงิ กรานผา่ ซกี แสดงใหเ้ ห็นอวยั วะสบื พนั ธุภ์ ายนอกและภายในของหญงิ 5.ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบต่อมไร้ท่อ ต่อมไร้ท่อ ( endocrine gland ) เป็นต่อมที่ผลิตสารออกมาแลว้ ไมม่ ีทอ่ ลาํ เลียงออกมา ภายนอก ตอ้ งอาศยั การลาํ เลียงไปกบั น้าํ เลือด ในสตั วท์ ่ีไม่มีเลือดก็จะแพร่ผา่ นไปตามเน้ือเยื่อ สารที่สร้างข้ึน เรียกวา่ ฮอร์โมน ( hormone ) ซ่ึงมีผลตอ่ เน้ือเยอ่ื หรืออวยั วะเฉพาะอยา่ ง เรียกอวยั วะที่ฮอร์โมนไปมีผล เรียกวา่ \"อวยั วะเป้าหมาย\" การสงั เกตวา่ ตอ่ มใดเป็นไร้ท่อจะสังเกตไดจ้ ากลกั ษณะตอ่ ไปน้ี ต่อมไร้ท่อทาํ หนา้ ท่ีควบคุมอวยั วะในร่างกายให่ทาํ งานประสานกนั ซ่ึงระบบน้ีทาํ หนา้ ท่ีนอกเหนือไปจากการ ทาํ งานของระบบประสาท โดยอวยั วะที่สาํ คญั ในระบบต่อมไร้ท่อ มีดงั น้ี 1.ต่อมใต้สมอง ทาํ หนา้ ท่ีผลิตฮอร์โมน ที่ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย ซ่ึงหากมีฮอร์โมนมากเกินไป

จะทาํ ใหร้ ่างกายโตผิดปกติ แต่หากมีฮอร์โมนนอ้ ยก็จะทาํ ใหเ้ ต้ีย นอกจากน้ียงั ช่วยเพ่มิ ปริมาณน้าํ ตาลในเลือด กระตุน้ การสร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ์และควบคุมการปัสสาวะไมใ่ หม้ ากเกินไปอีกดว้ ย 2.ต่อมไทรอยด์ อยตู่ รงคอใตล้ ูกกระเดือก ทาํ หนา้ ท่ีผลิตฮอร์โมนมีไอโอดีนเป็นองคป์ ระกอบสาํ คญั ซ่ึงช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก สมอง และประสาท 3.ต่อมพาราไทรอยด์ มีอยู่ 4 ตอ่ มเล็ก ๆ สองขา้ งของต่อมไทรอยด์ ทาํ หนา้ ท่ีควบคุมกระบวนการทางเคมี ของแคลเซ่ียมและฟอสฟอรัส ท่ีจะนาํ มาใชใ้ นร่างกายและการเจริญเติบโตของกระดูก 4.ต่อมหมวกไต มีรูปร่างคลา้ ยสามเหล่ียมครอบอยตู่ รงส่วนบนของไตท้งั 2 ขา้ ง ทาํ หนา้ ที่ควบคุมและ กระตุน้ ใหห้ วั ใจเตน้ เร็วข้ึน ควบคุมแรงดนั ของเลือด การหดตวั ของเส้นเลือด 5.ตับอ่อน เป็นต่อมท่ีมีท่อและไร้ทอ่ ส่วนที่เป็ นต่อมไร้ท่อทาํ หนา้ ที่ผลิตฮอร์โมนท่ีควบคุมระดบั น้าํ ตาลใน เส้นเลือด 6.ต่อมเพศ ในเพศชาย คือ อณั ฑะ ในเพศหญิง คือ รังไข่ ซ่ึงทาํ หนา้ ที่สร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ์และฮอร์โมน การทางานของระบบต่อมไร้ท่อ ต่อมไร้ท่อชนิด ต่าง ๆ จะผลิตฮอร์โมน แลว้ ฮอร์โมนเกือบท้งั หมดจะถูกขนส่งไปสู่อวยั วะทว่ั ร่างกายโดย ระบบไหลเวยี นโลหิต แตจ่ ะออกฤทธ์ิหรือมีผลตอ่ อวยั วะหรือเซลลบ์ างตวั เทา่ น้นั การดูแลและเสริมสร้างระบบต่อมไร่ท่อ 1.เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชนต์ ่อร่างกาย กินอาหารใหค้ รบ 5 หมู่ 2.ออกกาํ ลงั กายอยา่ งสม่าํ เสมอและใหเ้ หมาะสมกบั วยั 3.พกั ผอ่ นใหเ้ พียงพอกบั วยั สภาพร่างกาย ไมท่ าํ งานหนกั จนเกินไป 4.ทาํ จิตใจให้ร่างเริงแจม่ ใสอยเู่ สมอ 5.เมื่อเกิดความผดิ ปกติตอ่ ระบบต่อมไร้ท่อควรรีบไปพบแพทยใ์ นทนั ที เพ่อื ตรวจสุขภาพ และรักษาอยา่ ง ทนั ท่วงที ต่อมไร้ท่อตามความสาคัญต่อชีวติ 1. Essential endocrine gland เป็นต่อมไร้ท่อท่ีจาํ เป็ นมาก ถา้ ขาดแลว้ ทาํ ใหต้ ายได้ ไดแ้ ก่ตอ่ มดงั ต่อไปน้ี 1.1 ต่อมพาราไทรอยด์ ( parathyroid ) 1.2 ตอ่ มหมวกไตช้นั นอก ( adrenal cortex ) 1.3 ต่อมไอส์เลตของตบั อ่อน ( islets of Langerhans ) 2. Non - Essential endocrine gland เป็นตอ่ มที่ไม่จาํ เป็นหรือจาํ เป็นนอ้ ยมากต่อร่างกาย ไดแ้ ก่ตอ่ ม ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1 ต่อมใตส้ มอง ( pituitary ) 2.2 ตอ่ มไทรรอยด์ ( thyroid ) 2.3 ตอ่ มหมวกไตช้นั ใน ( adrenal medulla ) 2.4 ตอ่ มไพเนียล ( pineal )

2.5 ตอ่ มไทมสั ( thymus ) 2.6 ตอ่ มเพศ ( gonads ) จุดกาเนิดของต่อมไร้ท่อ ต่อมไร้ท่อ ( endocrine gland ) เป็นตอ่ มที่ทาํ หนา้ ที่ในการลาํ เลียงฮอร์โมน และปล่อยสู่กระแส เลือด เส้นเลือดที่นาํ เลือดออกจากตอ่ มไร้ท่อ จึงมีความสาํ คญั มาก เพราะเป็ นตวั นาํ ฮอร์โมนจากตอ่ ม ตอ่ ม ไร้ทอ่ มีการเปล่ียนแปลงมาจาก เน้ือเย่อื ท้งั 3 ช้นั คือ เอกโทเดิร์ม ( ectoderm ) มีโซเดิร์ม( mesoderm ) และ เอนโดเดิร์ม ( endoderm ) 6.ระบบประสาท ระบบประสาท (nervous system) คือ ระบบการตอบสนองต่อส่ิงเร้าของสัตว์ ทาํ ใหส้ ตั วส์ ามารถตอบสนอง ต่อสิ่งต่างๆ รอบตวั อยา่ งรวดเร็ว ช่วยรวบรวมขอ้ มูลเพ่ือใหส้ ามารถ ตอบสนองได้ สตั วช์ ้นั ต่าํ บางชนิด เช่น ฟองน้าํ ไม่มีระบบประสาท สัตวไ์ มม่ ีกระดูกสันหลงั บางชนิดเริ่ม มีระบบประสาท สตั วช์ ้นั สูงข้ึนมาจะมีโครงสร้างของระบบประสาทซบั ซอ้ นยง่ิ ข้ึน ระบบประสาทของมนุษยแ์ บ่ง ออกเป็ น 2 ส่วน คือระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทรอบนอก ระบบประสาทส่ วนกลาง ระบบประสาทส่วนกลาง(the central nervous system หรือ somatic nervous system ) เป็นศูนยก์ ลางควบคุม การทาํ งานของร่างกาย ซ่ึงทาํ งานพร้อมกนั ท้งั ในดา้ นกลไกและทางเคมีภายใต้ อาํ นาจจิตใจ ซ่ึงประกอบดว้ ยสมองและไขสันหลงั โดยเส้นประสาทหลายลา้ นเส้นจากทว่ั ร่างกายจะส่ง ขอ้ มูลในรูปกระแสประสาทออกจากบริเวณศูนยก์ ลาง มีอวยั วะที่เกี่ยวขอ้ งดงั น้ี 1. สมอง (brain) เป็ นส่วนท่ีใหญก่ วา่ ส่วนอื่นๆ ของระบบประสาทส่วนกลาง ทาํ หนา้ ท่ีควบคุมการทาํ กิจกรรมท้งั หมดของร่างกาย เป็นอวยั วะชนิดเดียวที่แสดงความสามารถดา้ นสติปัญญา การทาํ กิจกรรมหรือการ แสดงออกต่างๆ สมองของสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั ที่สาํ คญั แบง่ ออกเป็ น 3 ส่วนดงั น้ี 1.1 เซรีบรัมเฮมิสเฟี ยร์(cerebrum hemisphere) คือสมองส่วนหนา้ ทาํ หนา้ ท่ีควบคุมพฤติกรรมท่ีซบั ซอ้ น เก่ียวกบั ความรู้สึกและอารมณ์ ควบคุมความคิด ความจาํ และความเฉลียวฉลาด เชื่อมโยงความรู้สึกต่างๆ เช่น การไดย้ นิ การมองเห็น การรับกลิ่น การรับรส การรับสมั ผสั เป็นตน้ 1.2 เมดลั ลาออบลองกาตา(medulla oblongata) คือส่วนท่ีอยตู่ ิดกบั ไขสันหลงั ควบคุมการทาํ งานของ ระบบประสาทอตั โนวตั ิ เช่น การหายใจ การเตน้ ของหวั ใจ การไอ การจาม การกะพริบตา ความดนั เลือด เป็ นตน้ 1.3 เซรีเบลลมั (cerebellum) คือสมองส่วนทา้ ย เป็ นส่วนท่ีควบคุมการเคล่ือนไหวของกลา้ มเน้ือและการ ทรงตวั ช่วยใหเ้ คลื่อนไหวไดอ้ ยา่ งแมน่ ยาํ เช่น การเดิน การวง่ิ การข่ีจกั รยาน เป็นตน้

2.ไขสันหลงั (spinal cord) เป็นเน้ือเยอ่ื ประสาทที่ทอดยาวจากสมองไปภายในโพรงกระดูกสันหลงั กระแสประสาทจากส่วนต่างๆ ของร่างกายจะผา่ นไขสันหลงั มีท้งั กระแสประสาทเขา้ และกระแสประสาทออกจากสมอง และกระแสประสาทที่ติดต่อกบั ไขสนั หลงั โดยตรง 3. เซลล์ประสาท (neuron) เป็นหน่วนท่ีเลก็ ที่สุดของระบบประสาท เซลลป์ ระสาทมีเยอื่ หุม้ เซลล์ ไซโทพลาสซึมและนิวเคลียสเหมือนเซลลอ์ ่ืนๆ แต่มีรูปร่างและลกั ษณะแตกต่างออกไป เซลลป์ ระสาท ประกอบดว้ ยตวั เซลลแ์ ละเส้นใยประสาทท่ีมี 2 แบบคือ เดนไดรต(์ dendrite) ทาํ หนา้ ท่ีนาํ กระแสประสาทเขา้ สู่ตวั

เซลลแ์ ละแอกซอน(axon)ทาํ หนา้ ท่ีนาํ กระแสประสาท ออกจากตวั เซลลไ์ ปยงั เซลลป์ ระสาทอ่ืนๆ เซลลป์ ระสาทจาํ แนกตามหนา้ ที่การทาํ งานได้ 3 ชนิด คือ 3.1 เซลลป์ ระสาทรับความรู้สึก รับความรู้สึกจากอวยั วะสมั ผสั เช่น จมูก ตา หู ผวิ หนงั ส่ง กระแสประสาทผา่ นเซลลป์ ระสาทประสานงาน 3.2 เซลลป์ ระสาทประสาน เป็นตวั เชื่อมโยงกระแสประสาทระหวา่ งเซลลร์ ับความรู้สึกกบั สมอง ไขสันหลงั และ เซลลป์ ระสาทส่งั การ พบในสมองและไขสนั หลงั เท่าน้นั 3.3 เซลลป์ ระสาทสงั่ การ รับคาํ ส่ังจากสมองหรือไขสันหลงั เพ่ือควบคุมการทาํ งานของอวยั วะ ต่างๆ การทางานของระบบประสาทส่ วนกลาง สิ่งเร้าหรือการกระตุน้ จดั เป็นขอ้ มูลที่เส้นประสาทนาํ ไปยงั ระบบประสาทส่วนกลางเรียกวา่ “กระแส ประสาท” เป็นสญั ญาณไฟฟ้าที่นาํ ไปสู่เซลลป์ ระสาททางดา้ นเดนไดรต์ และเดินทางออก อยา่ งรวดเร็วทางดา้ นแอกซอน แอกซอนส่วนใหญ่มีแผน่ ไขมนั หุม้ ไวเ้ ป็นช่วงๆ แผน่ ไขมนั น้ีทาํ หนา้ ที่เป็น ฉนวนและทาํ ใหก้ ระแสประสาทเดินทางไดเ้ ร็วข้ึน ถา้ แผน่ ไขมนั น้ีฉีกขาดอาจทาํ ให้ กระแสประสาทชา้ ลง ทาํ ใหส้ ูญเสียความสามารถในการใชก้ ลา้ มเน้ือ เนื่องจากการรับคาํ สั่งจากระบบ ประสาทส่วนกลางไดไ้ ม่ดี

ระบบประสาทรอบนอก ระบบประสาทรอบนอก (peripheral nervous system) ทาํ หนา้ ท่ีรับและนาํ ความรู้สึกเขา้ สู่ระบบประสาท ส่วนกลาง ไดแ้ ก่ สมองและไขสันหลงั จากน้นั นาํ กระแสประสาทส่ังการจากระบบประสาทส่วนกลางไปยงั หน่วยปฏิบตั ิงาน ซ่ึงประกอบดว้ ยหน่วยรับความรู้สึกและอวยั วะรับสัมผสั รวมท้งั เซลลป์ ระสาทและ เส้นประสาทท่ีอยนู่ อกระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทรอบนอกจาํ แนกตามลกั ษณะการทาํ งานได้ 2 แบบ ดงั น้ี 1. ระบบประสาทภายใตอ้ าํ นาจจิตใจ เป็นระบบควบคุมการทาํ งานของกลา้ มเน้ือที่บงั คบั ไดร้ วมท้งั การ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก 2. ระบบประสาทนอกอาํ นาจจิตใจ เป็นระบบประสาทท่ีทาํ งานโดยอตั โนวตั ิ มีศูนยก์ ลางควบคุมอยใู่ น สมองและไขสนั หลงั ไดแ้ ก่ การเกิดรีเฟลกซ์แอกชนั (reflex action) และเม่ือมีสิ่งเร้ามากระตุน้ ที่อวยั วะรับสัมผสั เช่น ผวิ หนงั กระแสประสาทจะส่งไปยงั ไขสันหลงั และไขสันหลงั จะสงั่ การตอบสนองไปยงั กลา้ มเน้ือโดยไม่ ผา่ นไปท่ีสมอง ดงั รูป เมื่อมีเปลวไฟมาสัมผสั ท่ีปลายนิ้ว กระแสประสาทจะถูกส่งผา่ นไปยงั ไขสนั หลงั โดยไม่ผา่ น ไปยงั สมอง ไขสนั หลงั ทาํ หนา้ ที่สั่งการใหก้ ลา้ มเน้ือที่แขนเกิดการหดตวั เพ่ือดึงมือออกจากเปลวไฟทนั ที

ระบบประสาทภายใต้อานาจจิตใจ ระบบประสาทนนอกอานาจจิตใจ การเกาเม่ือมีอาการคนั การกะพริบตาเมื่อมีสิ่งรบกวน การเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การเดิน การเตน้ ของหวั ใจ การวง่ิ การยกมือ การเขียนหนงั สือ การวาด การบีบตวั ของกระเพาะอาหาร ภาพ เป็นตน้ การยกเทา้ เม่ือเหยยี บตะปู การกระตุกมือเม่ือสมั ผสั วตั ถุร้อน พฤติกรรมของมนุษย์ทต่ี อบสนองต่อส่ิงเร้า พฤติกรรมการตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้าของมนุษยเ์ ป็นปฏิกิริยาอาการท่ีแสดงออกเพอื่ การตอบโตต้ ่อสิ่งเร้าท้งั ภายในและ ภายนอกร่างกาย เช่น - ส่ิงเร้าภายในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ความหิว ความตอ้ งการทางเพศ เป็ นตน้ - ส่ิงเร้าภายนอกร่างกาย เช่น แสง เสียง อุณหภูมิ อาหาร น้าํ การสมั ผสั สารเคมี เป็นตน้ กิริยาอาการที่แสดงออกเพ่ือตอบสนองตอ่ สิ่งเร้าภายนอกอาศยั การทาํ งานที่ประสานกนั ระหวา่ งระบบประสาท ระบบกลา้ มเน้ือ ระบบตอ่ มไร้ทอ่ และระบบตอ่ มมีท่อ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี 1. การตอบสนองเม่ือมีแสงเป็นส่ิงเร้า

- เมื่อไดร้ ับแสงสวา่ งจา้ มนุษยจ์ ะมีพฤติกรรมการหรี่ตาเพ่ือลดปริมาณแสงท่ีตาไดร้ ับ 2. การตอบสนองเม่ืออุณหภูมิเป็นส่ิงเร้า - ในวนั ที่มีอากาศร้อนจะมีเหง่ือมาก เหงื่อจะช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายเพอ่ื ปรับอุณหภูมิ ภายในร่างกายไม่ใหส้ ูงเกินไป - เมื่อมีอากาศเยน็ คนเราจะเกิดอาการหดเกร็งของกลา้ มเน้ือ หรือ เรียกวา่ ”ขนลุก” 3. เม่ืออาหารหรือน้าํ เขา้ ไปในหลอดลมเกิดพฤติกรรมการไอหรือจาม เพอ่ื ขบั ออกจากหลอดลม 4. การเกิดพฤติกรรมแบบรีเฟลกซ์ เป็นพฤติกรรมการตอบสนองหรือตอบโตท้ นั ทีเพอื่ ความปลอดภยั จากอนั ตราย เช่น - เมื่อฝ่ นุ เขา้ ตามีพฤติกรรมกะพริบตา - เม่ือสัมผสั วตั ถุร้อนจะชกั มือจากวตั ถุร้อนทนั ที - เม่ือเหยยี บหนามจะรีบยกเทา้ ใหพ้ น้ หนามทนั ที บนั ทกึ หลงั การพบกล่มุ คร้ังท่ี ………….. วนั ที่……. เดือน ……………. พ.ศ………….. กจิ กรรมการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… สิ่งทไี่ ด้รับจากการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… บนั ทกึ หลงั การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… สภาพปัญหาทพ่ี บ ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………

วธิ ีการแก้ปัญหา ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ…………………………………….ผู้บนั ทกึ หลงั การสอน (………………..………………) ตาแหน่ง……………………………………… ลงช่ือ….................................................ผ้อู านวยการสถานศึกษา

แผนการเรียนรู้ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษา หน่วยการเรียนรู้ ปัญหาเพศศึกษา เร่ือง ค รายวชิ า/หวั เรื่อง ตัวชี้วดั เนื้อหา 1.ทกั ษะการจดั การปัญหา 1. อธิบายข้นั ตอนการ 1. การส่ือสาร / การต่อรอง ทางเพศและการ สื่อสารเพอ่ื ขอความ และการขอความช่วยเหลือ พฒั นาการทางเพศ ช่วยเหลือเก่ียวกบั เกี่ยวกบั ปัญหาทางเพศ 2.ปัญหาทางเพศในเด็ก ปัญหาทางเพศ 2. การจดั การกบั อารมณ์และ และวยั รุ่น 2. อธิบายวธิ ีการจดั การกบั ความตอ้ งการทางเพศ 3. การจดั การกบั อารมณ์ อารมณ์และความ 3.ความเชื่อผิดๆ เร่ืองเพศที่ และความตอ้ งการเพศ ตอ้ งการทางเพศไดอ้ ยา่ ง ส่งผลต่อสุขภาพทางเพศ 4.คาํ เชื่อท่ีผิดๆ ทางเพศ เหมาะสม 4.อิทธิพลของสิ่งตา่ งๆ ที่ส่งผล 5.กฎหมายท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั 3.วเิ คราะห์ความเช่ือผดิ ๆ ใหเ้ กิดปัญหาทางเพศ การละเมิดทางเพศ เรื่องเพศที่ส่งผลต่อสุขภาพ 5 กฎหมายที่เก่ียวขอ้ งกบั การ ทางเพศ ล่วงละเมิดทางเพศและ 4.วเิ คราะห์การนาํ เสนอส่ือ กฎหมายคุม้ ครองเด็กและสตรี ท่ีส่งผลใหเ้ กิดปัญหาทาง เพศ

า ทช 31003 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย คนยคุ ใหม่ใส่ใจเรื่องเพศ คร้ังที่ 2 พบกลุ่ม การจัดกระบวนการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวดั และประเมินผล 1. ใบงาน / ใบความรู้ ข้นั ที่ 1 กาํ หนดสภาพปัญหา ส่ือ 2. แบบทดสอบ 3. สังเกตการมีส่วนร่วม ความตอ้ งการในการเรียนรู้ - หนงั สือ 1.1 ครูทกั ทายนกั ศึกษา และ - แผน่ พบั / แผน่ ปลิว เปิ ดประเดน็ การทาํ แทง้ - ใบงาน ใบความรู้ ของวยั รุ่น - อินเทอร์เน็ต ข้นั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและ จดั การเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ 2.1 ครูทบทวนความรู้ โดยครู - หอ้ งสมุด พูดคุยกบั นกั ศึกษา - โรงพยาบาล / เก่ียวกบั พฤติกรรมทาง โรงพยาบาลส่งเสริม เพศของวยั รุ่นในปัจจุบนั สุขภาพชุมชน โดยยกปัญหาวยั รุ่นหญิง แต่งกายไม่เหมาะสม เช่น สายเด่ียว กางเกงเอวต่าํ เส้ือคบั ฯลฯ 2.2 แบง่ กลุ่มผเู้ รียนออกเป็ น กลุ่มยอ่ ย จาํ นวน 5 กลุ่ม

รายวชิ า/หวั เร่ือง ตวั ชี้วดั เนื้อหา

การจัดกระบวนการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวดั และประเมินผล ศึกษาเร่ืองท่ีครูกาํ หนดให้ ข้นั ท่ี 3 การปฏิบตั ิและการ นาํ ไปใช้ 3.1 ใหต้ วั แทนกลุ่มออกมา นาํ เสนอผลงานที่คน้ ควา้ ใหก้ ลุ่มอ่ืนฟัง 3.2 ครูและผเู้ รียนช่วยกนั สรุปเน้ือหาสาระสาํ คญั ของเรื่องและจด สาระสาํ คญั ของเร่ือง ข้นั ท่ี 4 การประเมินผล 4.1 แบบทดสอบ ใบงาน สังเกตการณ์มีส่วนร่วม

ใบความรู้ เรื่อง คนยุคใหม่ใส่ใจเรื่องเพศ พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานไดใ้ หค้ วามหมายของคาํ วา่ “เพศ” หมายถึง “รูปท่ีแสดงใหร้ ู้วา่ หญิงหรือชาย ทวั่ ไป คาํ วา่ “เร่ืองเพศ” หรือในภาษาองั กฤษเรียกวา่ เซ็กส์ (sex) หมายถึง ลกั ษณะทางกายภาพ ท่ีบอกวา่ เป็นเพศชาย หรือหญิง บางคร้ังหมายถึงแรงขบั หรือสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษยท์ ี่แสดง ออกเป็ นพฤติกรรม บางคร้ังหมายถึงพฤติกรรมทางเพศ หรือการมีเพศสัมพนั ธ์ เพศศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ท่ีจะทาํ ใหผ้ เู้ รียนมีความรู้ความเขา้ ใจ และมีพฤติกรรมทางเพศ อยา่ งถูกตอ้ ง การจดั การเรียนรู้เพศศึกษารอบดา้ น หมายถึง การจดั การเรียนรู้ที่มีลกั ษณะดงั น้ี 1.สอนใหเ้ ห็นวา่ เรื่องเพศเป็ นเร่ืองธรรมชาติ ความตอ้ งการทางเพศเป็ นเร่ืองปกติ และเป็นส่วนหน่ึง ของชีวติ ท่ีมีสุขภาวะ 2.สอนใหเ้ ห็นวา่ การไม่มีเพศสัมพนั ธ์ คือ วธิ ีที่ไดผ้ ลที่สุดตอ่ การป้องกนั การต้งั ครรภไ์ มพ่ ึงประสงค์ โรคติดตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์ รวมท้งั เอดส์ 3.สอนใหต้ ระหนกั ถึงการใหค้ ุณค่า และตระหนกั ถึงสิ่งที่ตนเองใหค้ ุณค่าควบคู่ไปกบั ความเขา้ ใจวา่ ครอบครัว และชุมชนที่เราอยใู่ หค้ ุณค่าตอ่ สิ่งน้นั อยา่ งไร 4.ใหส้ าระที่หลากหลายเก่ียวกบั เร่ืองเพศ ไมว่ า่ จะเป็นพฒั นาการ ธรรมชาติในเรื่องเพศของมนุษย์ สมั พนั ธภาพ ทกั ษะส่วนบุคคล การแสดงออกในเร่ืองเพศ สุขภาพทางเพศ มิติดา้ นสังคมวฒั นธรรมของเร่ืองเพศ 5.ใหข้ อ้ เทจ็ จริงตรงไปตรงมาไม่ปิ ดบงั ในเรื่องการทาํ แทง้ การสาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตนเอง ความพึง พอใจ และรสนิยมทางเพศแบบตา่ งๆ 6.ใหข้ อ้ มูลทางบวกเกี่ยวกบั เรื่องเพศ การแสดงออกทางเพศ ควบคูไ่ ปกบั ผลดีของการรักษาพรหมจรรย์ 7.สอนใหร้ ู้วา่ การใชถ้ ุงยาง และสารหล่อล่ืนอยา่ งถูกตอ้ ง จะทาํ ใหส้ ามารถลดความเส่ียงต่อการต้งั ครรภ์ ไมพ่ ึงประสงค์ และการเกิดโรคติดทางเพศสัมพนั ธ์ แมว้ า่ จะไม่ประกนั ความเส่ียงได้ 100% 8.สอนใหร้ ู้วา่ การใชว้ ธิ ีการคุมกาํ เนิดสมยั ใหมส่ ามารถป้องกนั การต้งั ครรภไ์ มพ่ ึงประสงคไ์ ดอ้ ยา่ งไร 9.ใหข้ อ้ มูลท่ีถูกตอ้ งชดั เจนเกี่ยวกบั โรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์ และเอดส์ รวมท้งั การหลีกเล่ียงความ เส่ียงไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง 10.สอนใหต้ ระหนกั วา่ คาํ สอน และคุณคา่ ทางศาสนาที่บุคคลยดึ ถือมีส่วนกาํ หนดการดาํ เนินชีวติ และ การแสดงออกทางเพศของบุคคลอยา่ งไร และใหโ้ อกาสผูเ้ รียนไดส้ าํ รวจความคิด ความเช่ือของตน และ ครอบครัวตอ่ เร่ืองน้ี 11.สอนใหเ้ ห็นวา่ เมื่อเด็ก/วยั รุ่นหญิงต้งั ครรภไ์ มต่ ้งั ใจ และไม่พร้อมมีทางเลือกไมว่ า่ จะเป็นการอุม้ ครรภจ์ นครบกาํ หนดคลอด และเล้ียงดูทารก หรือเม่ือคลอดแลว้ หาทางใหท้ ารกแก่ผูอ้ ุปถมั ภอ์ ่ืน หรือยตุ ิการ ต้งั ครรภด์ ว้ ยการทาํ แทง้ หากไม่พร้อมจริงๆ การวางตัวต่อเพศตรงข้าม

การวางตวั ตอ่ เพศตรงขา้ ม หมายถึง การท่ีชายหรือหญิงประพฤติปฏิบตั ิตอ่ กนั เพอ่ื สร้างสมั พนั ธภาพท่ีดี ระหวา่ งกนั ในแบบเพื่อน แบบพนี่ อ้ ง หรือแบบคู่รักภายใตส้ ภาพแวดลอ้ มตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีและ วฒั นธรรมใน สังคมน้นั ๆ การวางตวั ต่อเพศตรงข้ามแบบเพ่ือน การวางตวั ต่อเพศตรงขา้ มแบบเพอื่ น บุคคลควรปฏิบตั ิตอ่ เพศตรงขา้ มในดา้ นการพดู การแสดงกิริยา ทา่ ทาง และความประพฤติอื่น ๆ ท่ีใหเ้ กียรติซ่ึงกนั และกนั เช่น ฝ่ ายชายไมล่ ่วงเกินฝ่ ายหญิงหรือท่ีเรียกวา่ แตะ๊ อง๋ั เพราะธรรมชาติของผชู้ ายแลว้ มกั ถูกเน้ือตอ้ งตวั ผูห้ ญิง ซ่ึงบางคร้ังผูห้ ญิงจะคิดไมถ่ ึง การพดู คาํ สุภาพตอ่ กนั ควรช่วยเหลือกนั ในส่ิงท่ีพอจะช่วยกนั ได้ รู้จกั แสดงความขอบคุณเม่ือไดร้ ับความช่วยเหลือจากเพศตรงขา้ ม ไมท่ าํ ใหเ้ พอ่ื นอบั อาย เพราะเราไม่เอาเปรียบซ่ึงกนั และกนั เป็นที่ปรึกษาซ่ึงกนั และกนั มีความจริงใจต่อกนั ไม่ นินทากนั ลบั หลงั มีความห่วงใยและเอ้ืออาทรต่อกนั เป็ นตน้ ถา้ ปฏิบตั ิต่อกนั ไดเ้ ช่นน้ีจะทาํ ใหม้ ีสัมพนั ธภาพท่ีดี ระหวา่ งเดียวกนั และ เพศตรงขา้ ม การวางตัวต่อเพศตรงข้ามแบบพน่ี ้อง มีท้งั ฝ่ ายชายเป็นพีฝ่ ่ ายหญิงเป็นนอ้ งและฝ่ ายชายเป็นนอ้ งฝ่ ายหญิงเป็นพ่ีซ่ึงการปฏิบตั ิ โดย ทวั่ ไปกเ็ หมือน ๆ กบั การวางตวั แบบเพ่อื น แต่คนเป็นพ่ตี อ้ งเสียสละมากกวา่ มีความเอน็ ดูต่อนอ้ ง ปกป้องนอ้ ง ช่วยเหลือนอ้ ง ให้ คาํ แนะนาํ สง่ั สอนนอ้ งตามสมควร ทาํ ตวั เป็นแบบอยา่ งท่ีดีแก่นอ้ ง วางตวั ใหเ้ ป็นท่ีเคารพนบั ถือของนอ้ ง สาํ หรับ คนที่เป็นนอ้ งก็ตอ้ งใหค้ วามเคารพนบั ถือพี่ เชื่อฟังช่วยเหลือพี่เม่ือมีโอกาสนอกจากน้ีแลว้ ยงั มีการคบกนั แบบ คูร่ ักที่แฝงมาในคราบของพ่ีนอ้ ง ซ่ึงฝ่ ายหน่ึงอาจไม่รู้วา่ อีก ฝ่ ายหน่ึงไม่ไดค้ ิดแบบพนี่ อ้ ง หรืออาจจะรู้กนั ท้งั สอง ฝ่ าย แต่บอกวา่ เป็นพ่นี อ้ งเพือ่ ปิ ดบงั ผใู้ หญ่ แต่การคบกนั แบบพ่ีนอ้ งหรือแบบคู่รักน้นั ผใู้ หญ่จะมองออกเพราะ พฤติกรรมท่ี แสดงออกตอ่ กนั น้นั จะมีความแตกต่างกนั อยา่ งชดั เจน การวางตวั ต่อเพศตรงข้ามแบบคู่รัก การคบกนั แบบคู่รักอาจจะเริ่มตน้ มาจากการคบกนั แบบเพ่ือนหรือการคบกนั แบบพี่นอ้ ง มาก่อน แลว้ ก็ แปรเปล่ียนมาเป็ นแบบคู่รัก หรืออาจจะคบกนั แบบคู่รักเลยกไ็ ด้ อาจจะชอบพร้อม ๆ กนั หรือฝ่ ายหน่ึงฝ่ ายใด เป็นฝ่ ายชอบก่อน แตส่ ่วนมากฝ่ ายชายมกั จะแสดงออกก่อน เพราะมีความกลา้ มากกวา่ ฝ่ ายหญิง แต่ในสังคม ปัจจุบนั เริ่มแปรเปลี่ยนไปมากแลว้ เพราะฝ่ ายหญิงมีความกลา้ ข้ึน ความเขินอายนอ้ ยลง ซ่ึงถือเป็นสิ่งที่ไมถ่ ูกตอ้ ง เพราะเป็นการทาํ ลายจารีตประเพณีอนั ดีงามของสังคมไทย การวางตวั โดยทวั่ ไปก็จะเหมือนกบั การวางตวั แบบเพอ่ื น แตก่ ็จะมีความพเิ ศษ ความละเอียดลึกซ้ึงเพม่ิ ข้ึน ไป เช่น ช่วยเหลือตอ่ กนั มากข้ึน เสียสละต่อกนั มากข้ึน ห่วงใยเอ้ืออาทรกนั มากข้ึน คาํ นึงถึงความรู้สึกของอีก ฝ่ ายหน่ึงมากข้ึน เป็นตน้ การเปลยี่ นแปลงทางร่างกาย 1. ขนาดและความสูง : ในวยั เดก็ ท้งั เด็กผหู้ ญิงและเด็กผชู้ ายจะมีความกวา้ งของไหล่และสะโพกใกล้ เคียงกนั แต่ เมื่อเขา้ สู่วยั รุ่น ผชู้ ายจะมีอตั ราเร็วในการเจริญเติบโตของไหล่มากที่สุด ทาํ ใหว้ ยั รุ่นผชู้ ายจะมีไหล่ กวา้ งกวา่ ในขณะที่วยั รุ่นผหู้ ญิงมีอตั ราการเจริญเติบโตของสะโพกมาก กวา่ ผชู้ าย นอก จากน้ีการท่ีวยั น้ีมีการ

เจริญเติบโตสูงใหญไ่ ดร้ วดเร็ว โดยเฉพาะท่ี คอ แขน ขา มากกวา่ ท่ีลาํ ตวั จะทาํ ใหว้ ยั รุ่นรู้สึกวา่ ตวั เองมีรูปร่าง เกง้ กา้ งน่าราํ คาญ และการเจริญเติบโตหรือการขยายขนาดของร่างกายในแตล่ ะส่วน อาจเกิดข้ึนไม่พร้อมกนั หรือไม่เป็นไปตามข้นั ตอน เช่น ร่างกายซีกซา้ ยและซีกขวาเจริญเติบโตมีขนาดไม่เทา่ กนั ในระยะแรกๆ ซ่ึงเป็น เหตุทาํ ให้เดก็ ตกอยใู่ นความวิตกกงั วลสูงได้ จึงควรใหค้ วามมนั่ ใจกบั วยั น้ี 2. ไขมนั และกล้ามเนื้อ : เด็กผชู้ ายและเดก็ ผหู้ ญิงมีความหนาของไขมนั ที่สะสมอยใู่ ตผ้ วิ หนงั ใกลเ้ คียง กนั จนกระทงั่ อายปุ ระมาณ 8 ปี จะเริ่มมีการเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็ว วยั รุ่นชายจะมีกาํ ลงั ของกลา้ มเน้ือมากกวา่ วยั รุ่นผหู้ ญิง พละกาํ ลงั ของกลา้ มเน้ือจะแขง็ แรงข้ึน หลงั จากน้นั วยั รุ่นชายจะมีไขมนั ใตผ้ วิ หนงั บางลง พร้อมๆ กบั มีกลา้ มเน้ือเพม่ิ มากข้ึนและแขง็ แรงข้ึน ซ่ึงจะทาํ ใหว้ ยั รุ่นชายดูผอมลงโดยเฉพาะท่ีขา น่อง และแขน สาํ หรับ วยั รุ่นหญิงถึงแมว้ า่ จะมีการเพิ่มข้ึนของกลา้ มเน้ือ แต่ขณะเดียวกนั จะมีการสะสมของไขมนั ใตผ้ วิ หนงั เพ่มิ ข้ึนอีก โดยท่ีน้าํ หนกั จะ เพิ่มไดถ้ ึงร้อยละ 25 ของน้าํ หนกั โดยเฉพาะไขมนั ที่สะสมที่เตา้ นมและสะโพก ประมาณร้อย ละ 50 ของ วยั รุ่นหญิงจะรู้สึกไม่พอใจในรูปลกั ษณ์ของตน และมกั คิดวา่ ตวั เอง \"อว้ น\" เกินไป มีวยั รุ่นหลายคน ท่ีพยายามลดน้าํ หนกั จนถึงข้นั ที่มีรูปร่างผอมแหง้ 3. โครงสร้างใบหน้า ช่วงน้ีกระดูกของจมูกจะโตข้ึน ทาํ ใหด้ ้งั จมูกเป็ นสนั ข้ึน กระดูกขากรรไกลบนและ ขากรรไกรล่างเติบโตเร็วมากในระยะน้ี เช่นเดียวกบั กล่องเสียง ลาํ คอ และกระดูกอยั ลอยด์ และพบวา่ ในวยั รุ่น ชายจะเจริญเติบโตเร็วกวา่ วยั รุ่นหญิงชดั เจน เป็นเหตุใหว้ ยั รุ่นชายเสียงแตก 4. การเปลย่ี นแปลงของระดับฮอร์โมน ท้งั ฮอร์โมนการเติบโต (growth hormone) และ ฮอร์โมนจาก ต่อมธยั รอยดม์ ีอิทธิพลตอ่ การเจริญเติบโต รวมท้งั ฮอร์โมนทางเพศ นอกจากระดบั ฮอร์โมนจะมีผลโดยตรงต่อ การเจริญเติบโตทางร่างกาย และอวยั วะเพศในวยั รุ่นแลว้ ตวั ของมนั เองยงั ส่งผลถึงความรู้สึกทางอารมณ์และ จิตใจ ปฏิกิริยาการเรียนรู้ ฯลฯ ในวยั รุ่นอีกดว้ ย วยั รุ่นท่ีจะผา่ นช่วงวกิ ฤตน้ีได้ นอกจากจะตอ้ งปรับตวั ให้เขา้ กบั สภาพร่างกายที่เปล่ียนไปแลว้ ยงั ตอ้ งเขา้ ใจและควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านข้ึน จากการเปล่ียนแปลง ของระดบั ฮอร์โมนตา่ งๆ อีกดว้ ยโดยเฉพาะต่อมไขมนั ใตผ้ วิ หนงั และต่อมเหงื่อจะทาํ หนา้ ที่เพิ่มมากข้ึน เป็ น สาเหตุทาํ ใหเ้ กิดปัญหาเร่ือง \"สิว\" และ \"กลิ่นตวั \" แต่เน่ืองจากวยั น้ีจะใหค้ วามสนใจเก่ียวกบั ร่างกายท่ีมีการ เปล่ียนแปลงอยา่ ง รวดเร็ว และมีความระแวดระวงั ตวั เองมาก จึงทาํ ใหว้ ยั รุ่นพยายามท่ีจะรักษา \"สิว\" อยา่ งเอา เป็นเอาตาย ท้งั ๆท่ี \"สิว\" จะเป็นปัญหาในช่วงวยั น้ีแค่ระยะส้ันๆ เท่าน้นั 5. การเปลย่ี นแปลงของอวัยวะเพศ วยั รุ่นหญิงมีการเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วในช่วงระยะ 1 ปี ก่อนที่ จะมีประจาํ เดือน โดยเฉพาะการเจริญเติบโตของเตา้ นม ซ่ึงเริ่มมีการขยายในขนาดเมื่ออายปุ ระมาณ 8-13ปี และ จะใชเ้ วลา 2-2 ปี คร่ึง จึงจะเจริญเติบโตเตม็ ท่ี ในช่วงอายุ 11-13 ปี วยั รุ่นหญิงส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80) จะ มีรูปร่าง เป็นสาวเตม็ ตวั ดงั น้นั ในช้นั ประถมตอนปลายหรือมธั ยมตน้ จะเห็นวา่ วยั รุ่นสาวจะมีรูปร่างสูงใหญเ่ ป็ นสาวนอ้ ย แรกรุ่น ในขณะท่ีพวกผชู้ ายยงั ดูเป็นเดก็ ชายตวั เลก็ ๆ ท้งั ๆ ท่ีเดก็ ผหู้ ญิงเคยตวั เลก็ กวา่ เด็กผชู้ ายมาตลอด ทาํ ใหเ้ ด็ก สับสนและเป็นกงั วลกบั สภาพร่างกายได้ การมีรอบเดือนคร้ังแรก จะมีเมื่ออายปุ ระมาณ 12-13 ปี การท่ีมีประจาํ เดือนแสดงใหเ้ ห็นวา่ มดลูกและ ช่องคลอดไดเ้ จริญเติบโตเตม็ ท่ี แตใ่ นระยะ 1-2 ปี แรกของการมีประจาํ เดือน มกั จะเป็นการมีประจาํ เดือนโดยไม่

มีไข่ตก รอบเดือนในช่วงปี แรกจะมาไมส่ ม่าํ เสมอ หรือขาดหายไปได้ และเมื่อมีประจาํ เดือนแลว้ พบวา่ เด็กผหู้ ญิงยงั สูงต่อไปอีกเลก็ นอ้ ยไปไดอ้ ีกระยะหน่ึง และจะเติบโตเตม็ ท่ีเม่ือประมาณอายุ 15-17 ปี การมีรอบ เดือนคร้ังแรกอาจทาํ ใหร้ ู้สึกพอใจและภูมิใจที่เป็นผหู้ ญิงเตม็ ตวั หรืออาจจะรู้สึกในทางลบ คือ หวน่ั ไหว หวาดหวนั่ หรือตกใจไดเ้ ช่นกนั โดยทว่ั ไปการมีรอบเดือนคร้ังแรกจะเพิม่ ความใกลช้ ิดระหวา่ งวยั รุ่นหญิงกบั มารดาถา้ เคยไวว้ างใจกนั มาก่อน แต่วยั รุ่นหญิงบางคนจะปกปิ ดไมก่ ลา้ บอกใคร เพราะเขา้ ใจไปวา่ อวยั วะเพศฉีก ขาด หรือเป็ นแผลจากการสาํ รวจตวั ของวยั รุ่นเอง ใน ช่วงน้ีวยั รุ่นจะกงั วลหมกมุ่นกบั รูปร่างหนา้ ตา และมกั ใช้ เวลาอยหู่ นา้ กระจกนานๆ เพื่อสาํ รวจรูปร่าง ส่วนเวา้ ส่วนโคง้ หรือใชก้ ระจกส่งดูบริเวณอวยั วะเพศดว้ ยความ อยากรู้ อยากเห็น ซ่ึงกไ็ มใ่ ช่พฤติกรรมท่ีผดิ ปกติแต่อยา่ งใด สาํ หรับวยั รุ่นชาย ซ่ึงจะเร่ิมมีการเจริญเติบโตของลูกอณั ฑะ เม่ือเขา้ สู่ช่วงอายุ 10-13 ปี คร่ึง และจะใช้ เวลานาน 2 - 4 ปี กวา่ ที่จะเติบโตและทาํ งานไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ ในขณะที่รูปร่างภายนอกจะมีการเจริญเติบโต เปล่ียนแปลงชา้ กวา่ วยั รุ่นหญิง ประมาณ 2 ปี คือ ประมาณอายุ 12-14 ปี ในขณะท่ีเพอ่ื นผหู้ ญิงที่เคยตวั เลก็ กวา่ กลบั เจริญเติบโตแซงหนา้ ทาํ ใหว้ ยั รุ่นชายมีความวติ กกงั วลเก่ียวกบั รูปร่าง ความสูง ไดม้ าก เม่ือเติบโตเขา้ สู่ วยั รุ่นตอนกลางช่วงวยั 14-16 ปี ลูกอณั ฑะเจริญเติบโตและทาํ งานไดเ้ ตม็ ท่ีจึงสามารถพบภาวะฝันเปี ยกได้ บาง คนเขา้ ใจผดิ คิดวา่ ฝันเปี ยกเกิดจากการสาํ รวจความใคร่ดว้ ยตวั เอง หรือเป็นความผดิ อยา่ งแรง หรือทาํ ใหส้ ภาพจิต ผดิ ปกติ หรือบางรายวติ กกงั วลไปกบั จินตนาการหรือความฝัน เพราะบางคร้ังจะเป็ นความคิด ความฝันเกี่ยวขอ้ ง กบั คนในเพศเดียวกนั ซ่ึงกไ็ ม่ถือวา่ เป็นเรื่องท่ีผดิ ปกติอยา่ งใด การเปลย่ี นแปลงทางอารมณ์ สังคม ผลจากการเปล่ียนแปลงทางร่างกายจะทาํ ใหเ้ กิดผลกระทบต่ออารมณ์และจิตใจไดอ้ ยา่ ง ตรงไปตรงมา ท้งั ความวติ กกงั วล หงุดหงิด หมกมุน่ ไมพ่ อใจในรูปร่างที่เปลี่ยนไป 1. ความวติ กกงั วลเกย่ี วกบั การเปลยี่ นแปลงของร่างกาย เด็กผชู้ ายท่ีเขา้ สู่วยั รุ่นชา้ จะมีความวติ ก กงั วลสูงเกี่ยวกบั ความแขง็ แรงของร่างกาย ซ่ึงอาจจะไม่มนั่ ใจในความเป็ นชาย รู้สึกวา่ ตวั เองไมส่ มบูรณ์มกั ลูก ลอ้ เลียน กลน่ั แกลง้ จากเพอื่ นๆ ท่ีรูปร่างใหญโ่ ตกวา่ มีความภาคภูมิใจในตนเองในระดบั ต่าํ และรู้สึกวา่ ตวั เองมี ปมดอ้ ยฝังใจไปไดอ้ ีก นาน วยั รุ่นหญิงที่โตเร็วกวา่ เพ่ือในวยั เดียวกนั (early mature) มกั จะรู้สึกอึดอดั และรู้สึก เคอะเขิน ประหม่าอายต่อสายตาและคาํ พูดของเพศตรงขา้ ม ในขณะท่ีสภาพอารมณ์ จิตใจยงั เป็นเดก็ 2. ความวติ กกงั วลกบั อารมณ์เพศทสี่ ูงขึน้ การ เปลี่ยนแปลงของระดบั ฮอร์โมนทางเพศ ซ่ึงจะส่งผล ทาํ ใหว้ ยั รุ่นเกิดอารมณ์เพศข้ึนมาไดบ้ ่อย วยั รุ่นหลายคนท่ีมีกิจกรรมส่วนตวั ท่ีเบี่ยงเบนความสนใจ ทาํ ให้ สามารถควบคุมอารมณ์ไดอ้ ยา่ งดี โดยเฉพาะในวยั รุ่นที่ชอบเล่นกีฬากลางแจง้ เป็นประจาํ วยั น้ีจะมีความสนใจ อยากรู้อยากเห็นอยแู่ ลว้ เป็นทุน และเมื่อมาผสมกบั การที่มีระดบั ฮอร์โมนทางเพศเพิม่ สูงข้ึน จะทาํ ใหเ้ ดก็ เรียนรู้ ท่ีจะหดั สาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตนเอง อยากรู้อยากเห็นกิจกรรมทางเพศผใู้ หญ่ควรเขา้ ใจถึงความรู้สึกนึกคิดร่วมกบั ความอยากรู้อยากเห็นของวยั รุ่น ควรใหค้ วามรู้ในเร่ืองเพศท่ีถูกตอ้ ง และถือวา่ ความรู้สึกในวยั น้ีเป็นเรื่อง ธรรมดา เป็นธรรมชาติอยา่ งหน่ึงการท่ีวยั รุ่นจะสาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตนเองน้นั ไม่มีอนั ตรายต่อร่างกาย และไม่ ถือวา่ เป็นเรื่องที่ผดิ ศีลธรรม ถา้ กระทาํ อยา่ งระมดั ระวงั เป็ นส่วนตวั และไมท่ าํ ใหผ้ อู้ ่ืนเดือดร้อน เป็นตน้

3. ความวติ กกงั วลกลวั การเป็ นผู้ใหญ่ วยั น้ีจะมีความคิดวติ กกงั วล กลวั จะไมเ่ ป็นท่ียอมรับจากคน รอบขา้ ง มกั จะ กลวั ความรับผดิ ชอบ ซ่ึงจะรู้สึกวา่ เป็ นภาระที่หนกั หนา ยงุ่ ยาก บางคร้ังอยากจะเป็นเด็ก อยาก แสดงอารมณ์สนุกสนาน ร่าเริง เบิกบาน 4. ความวติ กกงั วลในความงดงามทางร่างกาย ไม่ วา่ วยั รุ่นหญิงหรือชายก็จะมีความรู้สึกตอ้ งการให้ คนรอบขา้ ง ชื่นชมเกี่ยวกบั รูปลกั ษณ์ภายนอกของตน สมเพศ สมวยั นนั่ เป็นเพราะวา่ เด็กจะสาํ นึกวา่ ความ สวยงามทางกายเป็นแรงจูงใจ ทาํ ใหค้ นยอมรับ ทาํ ใหเ้ พอ่ื นยอมรับเขา้ ไปในกลุ่มไดง้ ่าย เป็นวถิ ีทางหน่ึงท่ีจะเขา้ สู่สังคมและเป็นท่ีดึงดูดใจของเพศตรงขา้ ม ช่วงน้ีจะเห็นวา่ วยั รุ่นจะสนอกสนใจ พถิ ีพถิ นั ในการเลือกเส้ือผา้ การ หวผี ม เอาใจใส่ตอ่ การออกกาํ ลงั กาย สนใจคุณคา่ ทางอาหาร เคร่ืองประดบั สุขภาพอนามยั การวางตวั ใหส้ ม บทบาททางเพศ การวางตวั ในสังคม และความสนใจในแตล่ ะเร่ืองอาจอยไู่ ดไ้ ม่นาน การเปลย่ี นแปลงทางจิตใจ 1.ความรักและความห่วงใย ความ รู้สึกอยากท่ีจะถูกรัก และยงั อยากไดร้ ับความเอาใจใส่ ห่วงใยจาก บุคคลท่ีมีความสาํ คญั ต่อเดก็ แตม่ กั จะมีขอ้ แมว้ า่ จะตอ้ งไม่ใช่การแสดงออกของพอ่ แม่ท่ีทาํ กบั เขาราวกบั เดก็ เลก็ ๆ ไมต่ อ้ งการความเจา้ ก้ีเจา้ การ ไมต่ อ้ งการใหแ้ สดงความห่วงใยอยตู่ ลอดเวลา 2. เป็ นอสิ ระอยากทาอะไรได้ด้วยตัวของตัวเอง อยาก ทาํ ในส่ิงที่ตวั เองคิดแลว้ วา่ ดี อยากมีส่วนในการ ตดั สินใจ อยากที่จะทาํ ตวั ห่างจากพอ่ แม่ ห่างจากคาํ ส่งั การเจริญเติบโตในการทาํ งานของสมอง ทาํ ใหเ้ ดก็ วยั น้ี เร่ิมมีความคิดอา่ นเป็นของตนเอง เริ่มมีความคิดแบบนามธรรม (abstract thinking) การแยกจากพอ่ แมใ่ นเกือบ ทุกรูปแบบ บางคร้ังอาจทาํ ใหว้ ยั รุ่นเกิดความรู้สึกสับสน สองจิตสองใจ และอาจมีความรู้สึก \"สูญ เสีย\" ในความ รัก ความเอาใจใส่จากพอ่ แม่ แต่ถา้ พวกเขายอมรับการดูแลหรือยอมทาํ ตามคาํ ส่งั ของพ่อแม่ กจ็ ะไปขดั กบั ความ ตอ้ งการที่จะเป็นเดก็ โต เป็ นอิสระของตนเองท่ีตอ้ งการพ่ึงพาตนเอง การใหก้ ารเล้ียงดูจึงตอ้ งอาศยั ความเขา้ ใจ และเคารพในสิทธิส่วนบุคคลดว้ ย 3. ต้องการเป็ นตวั ของตัวเอง ความ ตอ้ งการที่ ยอมรับในส่ิงท่ีมาจากตวั ของตวั เขาทาํ ใหพ้ วกเขามนั่ ใจ ในตวั เอง พอ่ แมค่ งตอ้ งส่งเสริมใหเ้ ด็กไดช้ ่วยเหลือตวั เองใหม้ ากท่ีสุดเท่าที่จะทาํ ได้ ตามวยั เพราะในการฝึกเดก็ น้นั นอกจากจะทาํ ใหเ้ ดก็ ไดใ้ ชม้ ือไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่วแลว้ ยงั ช่วยทาํ ใหเ้ ด็กไดห้ ดั คิด หดั ตดั สินใจในการกระทาํ สิ่งต่างๆ ดว้ ย 4. อยากรู้, อยากเหน็ , อยากลอง การ ลองผดิ ลองถูก และคอยสังเกตดูจากปฏิกิริยาของคนรอบขา้ ง เพอื่ ตดั สินวา่ ส่ิงที่ทาํ น้นั ดีเลวเป็นอยา่ งไรวยั ท่ีโตข้ึน เมื่อความสามารถเพ่ิมข้ึน ร่างกายเจริญเติบโตข้ึนมา ส่ิง รอบตวั ตา่ งๆ ท่ีน่าสนใจ และทา้ ทายความสามารถกจ็ ะเร่ิมเขา้ มาเพอ่ื ทดลองการสนบั สนุนส่งเสริมเดก็ ใหค้ ง สภาพอยากรู้ อยากเห็น อยากลองและไดม้ ีโอกาสทดลองส่ิงแปลกๆ ใหมๆ่ ในขอบเขตที่เหมาะสมเพ่ิมข้ึนตาม วยั จะทาํ ใหเ้ ดก็ กา้ วเขา้ สู่วยั รุ่นดว้ ยความภาคภูมิใจที่ตนเองเคยมีประสบการณ์ ตา่ งๆ มาบา้ งสิ่งเหล่าน้ีจะมาเสริม ความภาคภูมิใจในตนเองดงั น้นั จะเห็นวา่ การฝึกสอน และใหโ้ อกาสเดก็ ไดท้ ดลองทาํ ในส่ิงที่ถูกตอ้ ง ควร ฝึกสอนมาต้งั แตเ่ ดก็ และควรคอ่ ยๆ สอนถึงอนั ตรายในหลายสิ่งหลายอยา่ งท่ีมีอยใู่ นสงั คม และวธิ ีการแกไ้ ข เรียนรู้ท้งั สิ่งท่ีดีและเลว การฝึ กใหเ้ ดก็ ไดล้ องในสิ่งที่น่าลอง แต่สนอใหห้ ดั ย้งั ตวั เองในสิ่งที่อนั ตรายจึงเป็นวธิ ีที่

สาํ คญั มาต้งั แต่วยั เรียน แต่ ในทางตรงกนั ขา้ มในกลุ่มวยั รุ่นที่ไมเ่ คยถูกฝึกใหล้ องคิด ลองทาํ ก่อน จะเกิด ความสบั สน วนุ่ วายใจขาดความรู้ ขากทกั ษะ ขาดการฝึกฝน ขาดการลองทาํ ผดิ ทาํ ถูกมาก่อน จึงทาํ ใหก้ ลุ่มน้ีตก อยใู่ นกลุ่มท่ีมีอนั ตรายสูง และในกลุ่มเดก็ วยั รุ่นที่พอ่ แม่ปล่อยปละละเลย หรือไม่เคยสอนใหย้ บั ย้งั ชงั่ ใจมาก่อน นึกอยากทาํ อะไรก็จะทาํ ไมเ่ คยตอ้ งผดิ หวงั ไมเ่ คยสนใจวา่ การกระทาํ ของตวั จะส่งผลกระทบต่อผคู้ นรอบขา้ ง อยา่ งไร พฤติกรรม อยากลองของ มกั จะมสี ูงสุดในช่วงวยั รุ่นตอนกลาง เป็ นเด็กกไ็ ม่ใช่ เป็ นผ้ใู หญ่กไ็ ม่เชิง แนวความคดิ และการยบั ยงั้ ตัวเองมีไม่มากพอ 5. ความถูกต้อง ยุตธิ รรม โดยเฉพาะเม่ือเขา้ สู่วยั รุ่นตอนกลาง มกั จะถือวา่ ความยตุ ิธรรมเป็นลกั ษณะ หน่ึงของความเป็นผใู้ หญ่ วยั รุ่นจึงใหค้ วามสาํ คญั อยา่ งจริงจงั กบั ความถูกตอ้ ง ยตุ ิธรรมตามทศั นะของตนเป็ น อยา่ งยง่ิ และอยากจะทาํ อะไรหลายๆ อยา่ ง เพื่อเรียกร้องความยตุ ิธรรม ท้งั ในแง่บุคคลและสังคมส่วนรวม จึง มกั จะเห็นภาพวยั รุ่นถกเถียงกนั เร่ืองของสิ่งตา่ งๆ ท่ีเกิดข้ึนรอบตวั 6. ความตื่นเต้น ท้าทาย ความต้องการหาประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ เกลียดความจาเจซ้าซาก วยั รุ่น กลุ่มน้ีจะสร้างความตื่นเตน้ ทา้ ทายกบั การท่ีกระทาํ ผดิ ต่อกฎเกณฑต์ ่างๆ ของทางบา้ นและกฏของสงั คมนน่ั เป็น เพราะวา่ เป็ นความตื่นเตน้ และความรู้สึกวา่ ถูกทา้ ทาย แนวทางการเล้ียงดูเดก็ ฝึกใหเ้ ด็กไดม้ ี โอกาสทาํ งานที่ทา้ ทายความสามารถทีละนอ้ ยอยตู่ ลอดเวลา จะส่งผลทาํ ใหเ้ ด็กไดพ้ ฒั นาความเชี่ยวชาญข้ึนมาได้ แกป้ ัญหาได้ 7.ต้องการการยอมรับว่าเป็ นส่วนหน่ึงของบ้าน ของกล่มุ เพื่อน พ้ืน ฐานการเล้ียงดูที่ยอมรับและมี ความรักความผกู พนั ระหวา่ งพอ่ แมเ่ ดก็ จะมีผลทาํ ใหเ้ ดก็ เกิดความรู้สึก ดงั ที่กล่าวมาน้ีอยา่ งง่ายดาย จากการ ฝึกฝนใหโ้ อกาสเดก็ ในการตดั สินใจลงมือกระทาํ หรือแสดงความคิดเห็นใน เร่ืองต่างๆ และรับฟังพยายามทาํ ความเขา้ ใจตาม ถา้ เบี่ยงเบนก็ช่วยแกไ้ ข ถา้ ถูกตอ้ งกช็ มเชยและช่ืนชม ส่ิงเหล่าน้ีจะไปกระตุน้ ให้เดก็ เกิด ความรู้สึกเป็นที่ยอมรับจากบุคคลภายใน บา้ น ซ่ึงจะส่งผลทาํ ใหเ้ ดก็ อยากเป็นท่ียอมรับจากเพอื่ น จากครูและจาก คนอ่ืนๆ ต่อๆ ไป จึงเป็ นเหตุผลจูงใจกระทาํ ความดีมากข้ึนๆ แต่ ในกรณีตรงกนั ขา้ ม ถา้ เด็กคนใดเกิดมาในครอบครัวท่ียงุ่ เหยงิ ทาํ ใหพ้ อ่ แมไ่ ม่มีปัญหาพอท่ีจะดูแล เด็ก กลบั จะตอ้ งส่งเดก็ มาฝากใหญ้ าติเล้ียงเป็นภาระ ไมม่ ีใครเป็นธุระจดั การอะไรให้อยา่ งออกนอกหนา้ ถา้ ไม่ จาํ เป็นกไ็ มค่ ่อยอยากจะรับรู้ รับฟังเรื่องของเด็ก ถึงเวลาจะนานกไ็ ม่รู้วา่ ใครจะใหค้ วามอบอุน่ เมตตาหรือรักได้ มี ความรู้สึกโดดเด่ียว ไม่เป็นที่ตอ้ งการของใครแมแ้ ต่คนเดียวในบา้ นไมว่ า่ จะถูกหรือทาํ ผิด ทาํ ดีหรือทาํ ชวั่ ก็ไมม่ ี คนเห็นคนทกั หาคนท่ีหวงั ดีจริงจงั ในการแนะนาํ ตกั เตือนอดทนช่วยฝึกสอนกไ็ มม่ ี ในลกั ษณะเช่นน้ีเดก็ จะมี ชีวติ ที่เลื่อนลอย ไม่รู้สึกวา่ ตวั เองเป็ นสมาชิกภายในบา้ น เป็นคนหน่ึงภายในครอบครัว ไมม่ ีใครรับฟังปัญหา หรือไม่รู้วา่ จะปรึกษาใคร เม่ือเติบโตไปโรงเรียนกม็ กั จะพกพาเอาความรู้สึกโดดเด่ียว วา้ เหวน่ ้ีไปท่ีโรงเรียน ความท่ีทกั ษะไมไ่ ดถ้ ูกฝึกสอนมาต้งั แต่ท่ีบา้ นจึงทาํ ใหผ้ ลการเรียนไม่ดี และมกั จะแยกตวั ออกจากกลุ่มเพ่ือน

การควบคุมอารมณ์ทางเพศ การจดั การกบั อารมณ์เพศอาจแบ่งตามความรุนแรงไดเ้ ป็ น 3 ระดบั ดงั น้ี ระดับท่ี 1 การควบคุมอารมณ์ทางเพศ อาจทาํ ได้ 2 วธิ ี คือ 1. การควบคุมจิตใจตนเอง พยายามขม่ ใจตนเอง มิใหเ้ กิดอารมณ์ทางเพศได้ หรือถา้ เกิดอารมณ์ทางเพศ ก็ ใหพ้ ยายามข่มใจไวไ้ มใ่ หเ้ กิดอารมณ์ทางเพศ เพือ่ ใหอ้ ารมณ์ทางเพศค่อยๆ ลดลงจนสู่สภาพอารมณ์ที่ปกติ 2. การหลีกเล่ียงจากส่ิงเร้า สิ่งเร้าภายนอกที่ยวั่ ยอุ ารมณ์ทางเพศหรือยวั่ กิเลส ยอ่ มทาํ ใหเ้ กิดอารมณ์ทางเพศ ได้ ดงั น้นั การตดั ไฟเสียแต่ตน้ ลม คือหลีกเล่ียงจากสิ่งเร้าเหล่าน้นั เสียกจ็ ะช่วยใหไ้ มเ่ กิดอารมณ์ได้ เช่น ไม่ดูสื่อ ลามกตา่ งๆไมเ่ ที่ยวกลางคืนเป็นตน้ ระดบั ที่ 2 การเบ่ียงเบนอารมณ์ทางเพศ ถา้ เกิดอารมณ์ทางเพศจนไม่อาจควบคุมไดค้ วรใชว้ ธิ ีการเบี่ยงเบนเปล่ียนใหไ้ ปสนใจ ในสิ่งอ่ืนแทนท่ีจะ หมกมุน่ อยกู่ บั อารมณ์ทางเพศเช่น ไปออกกาํ ลงั กาย ประกอบกิจกรรมนนั ทนาการตา่ งๆใหส้ นุกสนานเพลิดเพลิน ไปทาํ งานต่างๆเพ่ือให้จิตใจมุ่งที่งาน ไปพูดคุยสนทนากบั คนอื่น เป็นตน้ ระดับที่ 3 การปลดปล่อยหรือระบายอารมณ์ทางเพศ ถา้ เกิดอารมณ์ทางเพศระดบั มากจนเบ่ียงเบนไมไ่ ด้ หรือสถานการณ์น้นั อาจทาํ ใหไ้ มม่ ี โอกาสเบี่ยงเบน อารมณ์ทางเพศกอ็ าจปลดปล่อย หรือระบายอารมณ์ทางเพศดว้ ยวธิ ีการท่ีเหมาะสมกบั สภาพของวยั รุ่นซ่ึงเป็น นกั เรียนโดยทาํ ได้ 2 ประการ คือ 1. โดยการฝันนน่ั ก็คือการฝันเปี ยก (Wet Dream)ในเพศชาย ซ่ึงการฝันน้ีเราไม่สามารถบงั คบั ใหฝ้ ันหรือ ไม่ใหฝ้ ันได้ แต่จะเกิดข้ึนเองเม่ือเราสนใจหรือมีความรู้สึกในทางเพศมากจนเกินไปหรืออาจเกิดการสะสมของน้าํ อสุจิมีมากจนลน้ ถุงเก็บน้าํ อสุจิธรรมชาติก็จะระบายน้าํ อสุจิออกมาโดยการใหฝ้ ันเก่ียวกบั เรื่องเพศจนถึงจุดสุดยอด และมีการหลง่ั น้าํ อสุจิออกมา 2. การสาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตนเองหรืออาจเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ การช่วยเหลือตวั เอง(Masturbation)ทาํ ไดท้ ้งั ผหู้ ญิงและผชู้ าย ซ่ึงผชู้ ายแทบทุกคนมกั มีประสบการณ์ในเร่ืองน้ีแต่ผหู้ ญิงน้นั มีเป็นบางคนท่ีมีประสบการณ์ ใน เร่ืองน้ี การสาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตนเองเป็นเร่ืองธรรมชาติของคนเรา เม่ือเกิดอารมณ์ทางเพศจนหยดุ ย้งั ไม่ได้ เพราะ การสาํ เร็จความใคร่ดว้ ยตนเองไม่ ทาํ ใหต้ นเองและผอู้ ื่นเดือดร้อน แต่ไมค่ วรกระทาํ บอ่ ยนกั วธิ ีควบคุมอารมณ์ทางเพศ 1. ใหค้ วามสนใจกบั การศึกษาเล่าเรียน เพ่ือความกา้ วหนา้ และ ความสาํ เร็จในการดาํ เนินชีวติ ใน อนาคต 2. หลีกเลี่ยงการกระตุน้ อารมณ์ทางเพศจากสื่อตา่ งๆท่ีเป็นสิ่งเร้าทาํ ใหเ้ กิด อารมณ์ทางเพศเช่นหนงั สือตา่ งๆ การดูภาพยนตร์หรือวดี ีโอที่ยวั่ ยอุ ารมณ์ทางเพศ หรือไม่ควรอยตู่ ามลาํ พงั กบั เพ่ือนตา่ งเพศในที่ลบั ตาคน 3. สนใจเขา้ ร่วมกิจกรรมต่างๆเช่นดนตรี กีฬา หรือ วาดรูป เพอ่ื จะไดเ้ บี่ยงเบนความสนใจจากอารมณ์ทาง เพศและยงั ทาํ ใหส้ ุขภาพกายและสุขภาพ จิตดีดว้ ย

ข้อคดิ ดีๆเกยี่ วกบั ความสัมพนั ธ์เร่ืองเพศ การมีเพศสมั พนั ธ์ นอกจากเป็นวถิ ีทางธรรมชาติอยา่ งหน่ึงของมนุษย์ ยงั มีผลพลอยไดเ้ กิดข้ึนตามมาอีก ดว้ ย นกั วชิ าการที่ช่างสรรหาเร่ืองวจิ ยั ระบุวา่ ผลพลอยไดจ้ ากการมีเพศสัมพนั ธ์ สะทอ้ นออกมาทางกระบวนการ ทางชีววทิ ยา ดงั น้ี 1. เซ็กซ์คือการบาํ รุงความงาม การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ พบวา่ ขณะผหู้ ญิงมีเพศสมั พนั ธ์ เธอจะหลง่ั ฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมาปริมาณมาก ซ่ึงทาํ ใหเ้ ส้นผมเป็นเงางามและผวิ พรรณนุ่มนวล 2. เพศสัมพนั ธ์ที่อ่อนโยนและผอ่ นคลาย ช่วยลดการอกั เสบทางผวิ หนงั เช่น สิวและผน่ื ตา่ งๆ เหงื่อท่ี ไหลออกมาเป็นตวั ชะลา้ งรูขุมขน ทาํ ใหผ้ วิ ผอ่ งใส 3. เพศสัมพนั ธ์ช่วยเผาผลาญแคลอรีท่ีคุณกินเขา้ ไปช่วงม้ือค่าํ อนั โรแมนติก 4. เซ็กซ์คือการออกกาํ ลงั กายที่ปลอดภยั ท่ีสุด ท้งั ช่วยยดื เส้นยดื สายและทาํ ใหก้ ลา้ มเน้ือตึงในทุกๆ ส่วน ของร่างกาย อีกท้งั น่าสนุกกวา่ จอ๊ กกิ้งหรือวา่ ยน้าํ สกั 20 เที่ยวเป็นไหนๆ แถมยงั ไมต่ อ้ งใชร้ องเทา้ กีฬาแพงๆ 5. เซ็กซ์ช่วยลดความตึงเครียดไดด้ ียง่ิ กิจกรรมทางเพศช่วยทาํ ใหร้ ่างกายหลงั่ สารเอนดอร์ฟิ นส์ใน กระแสเลือดทาํ ใหค้ ุณรู้สึกดีข้ึน 6. มีเซ็กซ์บ่อยๆ คุณยง่ิ ไดร้ ับสารเคมีที่ชื่อ ฟี โรโมนส์ (Pheromones) มากยง่ิ ข้ึน 7. กลิ่นตวั ท่ีถูกขบั ออกมาขณะมีความตอ้ งการทางเพศ เป็ น 'น้าํ หอม' ท่ีช่วยกระตุน้ ใหเ้ พศตรงขา้ มคึกคกั ไดอ้ ยา่ งเหลือเชื่อ 8. จูบกนั ทุกวนั ลดอาการฟันผุ การจูบกระตุน้ น้าํ ลายใหข้ บั น้าํ ลายออกมา จึงช่วยชะลา้ งฟันของคุณให้ สะอาด 9. เซ็กซ์แกป้ วดหวั ตลอดกระบวนการทางเพศจะช่วยผอ่ นคลายความตึงเครียดซ่ึงไปปิ ดก้นั หลอดเลือด ในสมองไว้ 10. ร่วมเพศบ่อยๆ ช่วยแกอ้ าการคดั จมูก เพราะเซ็กซ์เป็นยาแอนต้ีฮิสตามีนจากธรรมชาติ แกอ้ าการแพ้ ฝ่ นุ แพล้ ะอองไดด้ ี 11. เซ็กซ์จะเป็นยานอนหลบั ที่มีประสิทธิภาพดีกวา่ แวเลี่ยม (Valium) หลายเท่า วฒั นธรรมทางเพศ หมายถึง วฒั นธรรมท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางเพศ ไดแ้ ก่ ระเบียบ จารีต ประเพณี ศีลธรรมและจริยธรรมอนั ดีงามของคนไทยในดา้ นความประพฤติเกี่ยวกบั เพศซ่ึงเป็นท่ียอมรับนบั ถือ และสืบทอดปฏิบตั ิต่อเน่ืองกนั มายาวนาน ต้งั แตส่ มยั โบราณจนถึงปัจจุบนั ซ่ึงไดส้ ่งผลใหค้ รอบครัวและ สงั คมไทยมีความสงบสุขร่มเยน็ วฒั นธรรมทางเพศของคนไทยถือว่าเป็ นมรดกอนั มคี ่าของสังคมไทยทท่ี ุกคนควรอนุรักษ์แบะประพฤติ ปฏิบัตติ ามซ่ึงมีดงั นี้ 1. ชายหญงิ ควรมีอภิสิทธ์ิและศักด์ิศรีเท่าเทยี มกนั ตามหลักสิทธิมนุษยชน ในสมยั ก่อนผชู้ ายจะมีสิทธิและ ศกั ด์ิศรีเหนือกวา่ ผหู้ ญิงมาก เมื่อเป็นสามีภรรยากนั ภรรยาตอ้ งคอยปรนนิบตั ิสามีเป็นอยา่ งดี ถา้ สามีเป็นเจา้ นาย ที่สูงศกั ด์ิแลว้ กต็ อ้ งดูแลเป็ นพิเศษ การแสดงความคิดเห็นการตดั สินใจทาํ ไดน้ อ้ ยเพราะสามีมีอาํ นาจ

สิทธ์ิขาด ภรรยามกั จะตอ้ งเช่ือฟังสามี ซ่ึงถือวา่ ขาดความเสมอภาคทางเพศต่อมาสถานภาพสตรีเพิม่ ข้ึนเป็น ลาํ ดบั เมื่อประเทศไทยเขา้ สู่ยคุ ประชาธิปไตย ผหู้ ญิงมีการศึกษามากข้ึน สังคมเปิ ดโอกาสใหผ้ หู้ ญิงทาํ งานหา รายไดเ้ ล้ียงครอบครัวมากข้ึน มีบทบาททางการศึกษามากข้ึน จนเป็ นที่ยอมรับกนั วา่ ผชู้ ายและผหู้ ญิงควรมีสิทธิ และศกั ด์ิศรีเทา่ เทียมกนั ยกเวน้ บางเรื่องเท่าน้นั ท่ีเป็ นเรื่องของเพศซ่ึงมีความแตกต่างกนั เช่น ตาํ รวจตอ้ งทาํ งาน หนกั จบั ผรู้ ้ายซ่ึงเป็นการเส่ียงภยั ทหารตอ้ งทาํ หนา้ ที่สู้รบป้องกนั ประเทศเป็นงานหนกั และเส่ียงภยั เป็นตน้ 2. ผ้ชู ายควรให้เกียรติและช่วยปกป้องอันตรายให้แก่ผู้หญงิ ผชู้ ายเป็นเพศที่แขง็ แรงและรูปร่างใหญโ่ ตกวา่ ผหู้ ญิงสามารถทาํ งานหนกั ไดจ้ ึงควรช่วยดูแลช่วยเหลืออยา่ ใหผ้ หู้ ญิงตอ้ งทาํ งานหนกั เกินไปโดยเฉพาะทาง ร่างกายเม่ือมีภยั อนั ตรายผชู้ ายจะตอ้ งทาํ หนา้ ท่ีคุม้ ครองป้องกนั หรือแมจ้ ะยงั ไมเ่ กิดภยั อนั ตรายกค็ วรจะช่วยดูแล คุม้ ครองมิให้ภยั อนั ตรายเกิดข้ึนกบั ผหู้ ญิง ถา้ มีท่ีนงั่ จาํ นวนจาํ กดั ไมเ่ พยี งพอตอ้ งใหผ้ หู้ ญิงนงั่ ก่อน ถา้ จะตกั อาหารหรือทาํ สิ่งใดท่ีตอ้ งทาํ ทีละคนหรือคร้ังละนอ้ ยคน ควรใหผ้ หู้ ญิงไดท้ าํ ก่อน ยกเวน้ บางเรื่องที่เป็ นอนั ตราย ผชู้ ายกค็ วรทาํ ก่อนแลว้ แตส่ ถานการณ์ 3. การแสดงความชอบหรือความสนใจเพศตรงข้ามควรปฏิบัติตามจารีตประเพณขี องสังคมไทยอย่างเคร่งครัด ความสนใจเพศตรงขา้ มเป็นเรื่องปกติของคนเมื่อเขา้ สู่วยั รุ่น วยั หนุ่มสาว แต่ในสังคมแตล่ ะสังคมมกั มีจารีต ประเพณี อนั ดีงาม แตใ่ นสงั คมแตล่ ะสังคมมกั มีจารีตประเพณีอนั ดีงาม ดงั น้นั การชอบหรือสนใจเพศตรง ขา้ ม ควรปฏิบตั ิตามจารีตประเพณีของสงั คมน้นั ๆ ในวยั เรียนควรคบเพอื่ นตา่ งเพศแบบเพ่ือนจะดีกวา่ แต่ถา้ จะ คบกนั แบบคูร่ ักกต็ อ้ งอยใู่ นกรอบประเพณีอนั ดีงาม และใหพ้ อ่ แมห่ รือผปู้ กครองรับรู้ และตอ้ งเช่ือฟังปรึกษาพอ่ แม่ ผปู้ กครองดว้ ยเพราะวยั รุ่นน้นั ไมบ่ รรลุนิติภาวะ ยงั ผา่ นโลกมานอ้ ยอาจรู้เทา่ ไมถ่ ึงการณ์ หรือทาํ ผิดพลาดข้ึน ได้ 4. ท้งั ผู้หญงิ และผู้ชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตวั กนั จนเกนิ ความจาเป็ นดูแล้วไม่เหมาะสม การถูกเน้ือตอ้ งตวั กเพศ ตรงขา้ มเกินความจาํ เป็น โอบกอด หนุนตกั ลูบไลเ้ น้ือตวั จบั ของสงวนกอดคอ ซ่ึงผเู้ ป็ นคู่รักและเป็นนกั เรียนไม่ ควรทาํ อยา่ งยง่ิ ไมค่ วรเลียนแบบละคร เพราะถา้ ล่วงเกินโดยฝ่ ายหญิงไม่พอใจ เป็นการกระทาํ ท่ีไม่ควรทาํ อยา่ ง ยง่ิ เพราะจะทาํ ใหผ้ หู้ ญิงเสื่อมเสีย 5. ผู้หญงิ ไม่ควรแต่งตวั เปิ ดเผยสัดส่วน ในสงั คมปัจจุบนั การแต่งตงั ของผูห้ ญิงบางคนไม่รัดกุม เป็นการยว่ั กิเลสผชู้ ายอาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายตอ่ ตนเอง เช่น การถูกกระทาํ การอนาจาร หรือขม่ ขืน 6. ไม่มีเพศสัมพนั ธ์ก่อนวัยอนั ควรและเม่ือยงั ไม่ได้แต่งงานกนั ในสังคมปัจจุบนั มีวยั รุ่นจาํ นวนไม่นอ้ ยที่มี เพศสัมพนั ธ์แลว้ ซ่ึงไมเ่ หมาะสม เพราะเป็ นการขดั ต่อวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียนอนั ดีงามของไทย ซ่ึงบางราย พอ่ แม่หรือผปู้ กครองกไ็ ม่รู้แต่บางรายพอ่ แม่รู้ ก็ตอ้ งช่วยกนั แกไ้ ขปัญหาตอ่ ไป เป็นการสร้างความหนกั ใจแก่ ผปู้ กครองแลว้ ยงั ทาํ ใหเ้ สื่อมเสียตอ่ วงศต์ ระกลู ถา้ เกิดต้งั ครรภข์ ้ึนมาจะตอ้ งเสียอนาคตแบะเกิดปัญหาสงั คมใน ระยะยาว 7. การเลือกคู่ครองต้องเป็ นไปโดยความสมคั รใจ ในสมยั ก่อนอาจมีการแตง่ งานกนั โดยไม่ไดส้ มคั รใจ อาจเป็น ฝ่ ายชายไมส่ มคั รใจแตเ่ ป็นพอ่ แม่เห็นชอบ หรือฝ่ ายหญิงไม่สมคั รใจแต่เพราะพอ่ แม่เห็นชอบ ฝ่ ายชายใชอ้ ิทธิพล

เพราะพอ่ แม่ตอ้ งการปลดหน้ี แตใ่ นสมยั ปัจจุบนั การมีคู่ครองในลกั ษณะดงั กล่ามไม่มีอีกแลว้ นบั วา่ เป็นการ สร้างความเสมอภาคทางเพศอยา่ งหน่ึงดว้ ย 8. ชายหญงิ ทจี่ ะอยู่ด้วยกนั แบบสามภี รรยาต้องมีพธิ ีแต่งงานทถ่ี ูกต้องตามจารีตประเพณขี องไทย เป็นความชาญฉลาดของบรรพบุรุษไทยท่ีสร้างระเบียบประเพณีก่อนท่ีจะอยกู่ ินกนั แบบสามีภรรยาท่ีฝ่ ายชาย ตอ้ งส่งผใู้ หญไ่ ปสู่ขอหญิงสาว เม่ือผใู้ หญฝ่ ่ ายหญิงยนิ ยอมแลว้ จึงกาํ หนดวนั หม้นั และวนั แตง่ งานตอ่ ไป การ แตง่ งานจะมีพธิ ีรดน้าํ สังขเ์ พ่ือความเป็ นสิริมงคลแก่ครอบครัวใหม่ และเป็นการประกาศใหส้ งั คมรับรู้ถึงการอยู่ กินแบบสามีภรรยานอกจากพิธีแต่งงานแลว้ ท้งั คูจ่ ะตอ้ งไปจดทะเบียนสมรสกนั ณ ท่ีวา่ การอาํ เภอ สาํ หรับ ตา่ งจงั หวดั และ ณ สาํ นกั งานเขตสาํ หรับกรุงเทพมหานคร เพ่อื ใหถ้ ูกตอ้ งตามกฎหมาย 9. สามภี รรยาควรยดึ ค่านิยมในการครองคู่แบบครอบครัวผวั เดียวเมยี เดียว ครอบครัวแบบผวั เดียวเมียเดียวเป็นวฒั นธรรมทาฃเพศที่เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั หลกั มนุษยธรรมและสิทธิ มนุษยชนซ่ึงถือไดว้ า่ เป็นรากฐานและหลกั ประกนั อนั มนั่ คงของชีวติ ครอบครัวอยา่ งแทจ้ ริง รวมท้งั มีความ ปลอดภยั ตอ่ โรคเอดส์ อีกท้งั ยงั ส่งผลต่อการเล้ียงดูบุตรใหส้ มบูรณ์และไดร้ ับการศึกษาอยา่ งเตม็ ท่ีตามศกั ยภาพ และความสนใจของบุตร 10. สามีภรรยาต้องไม่กระทารุนแรงต่อกนั สามีบางคนเม่ือไม่พอใจหรือทะเลาะกนั กจ็ ะทาํ ร้ายภรรยา ในทาง ตรงกนั ขา้ ม ภรรยาอาจทาํ รุนแรงต่อสามีก็ได้ แต่กจ็ ะมีนอ้ ยกวา่ นอกจากน้ีการกระทาํ รุนแรงดว้ ยวาจาและการ ทอดทิง้ กนั ไมค่ วรอยา่ งยงิ่ ถา้ มีปัญหาควรแกก้ นั ดว้ ยสันติวธิ ีดีกวา่ อาจเป็ นเพราะสังคม ใจปัจจุบนั สภาพสังคมท่ี ตอ้ งแขง็ ขนั อาจทาํ ใหเ้ กิดความเครียด อาจแสดงออกโดยการกระทาํ ท่ีรุนแรง หลายรายถึงข้นั ฆ่ากนั ตาย หรือฆา่ อีกฝ่ ายแลว้ ตวั เองตายตาม นบั เป็ นความลม้ เหลวท่ีน่าหดหู่อยา่ งยงิ่ ตอ้ งพยายามใหก้ าํ ลงั ใจซ่ึงกนั และกนั การดาเนินชีวติ คู่อย่างมีความสุข ชีวติ คู่ที่หวานชื่นและสุขสมจนเรียกวา่ “ถือไมเ้ ทา้ ยอดทอง กระบองยอดเพชร”น้นั ไมไ่ ดเ้ ป็นปาฏิหาริยท์ ่ีเกิดข้ึน โดยคนเพยี งคนเดียว หากแตเ่ ป็นความร่วมใจที่จะพฒั นาตนเองของท้งั สองฝ่ าย เพ่ือประคองใหค้ รอบครัวดาํ รง อยไู่ ดอ้ ยา่ งมีความสุขและยนื ยาว ซ่ึงการครองคู่อยา่ งมีความสุขน้นั มีเคลด็ ลบั ดูแลที่หลากหลาย ดงั น้ีคือ 1.เริ่มชีวิตคู่ดว้ ยความรัก และเติมความรักใหก้ นั อยา่ งสม่าํ เสมอ หวานกนั เรื่อยๆ เช่น อยา่ ลืมกระซิบคาํ พดู แสนหวานใหเ้ ขาฟัง จูงมือกนั ยามเดินขา้ มถนน หรือแมแ้ ตบ่ อกเขาวา่ เขาพิชิตใจคุณไดอ้ ยา่ งไร ที่สาํ คญั อยา่ ลืม แสดงความรักของคุณใหเ้ ขารู้ ลองซ้ือดอกไม้ ขนม หรือแอบส่งโปสตก์ าร์ด เพราะจะทาํ ใหค้ ุณรู้สึกดีที่ไดแ้ สดง ความรักแก่คนที่คุณรักอยา่ งสม่าํ เสมอ 2. จงเป็นเพอื่ นที่รักกนั เพราะเม่ือรักกนั ใหมๆ่ ก็คิดวา่ จะเป็นสามีภรรยาท่ีดีต่อกนั และกนั แต่ความเป็นสามี ภรรยากนั น้นั เปลี่ยนแปลงได้ แยกจากกนั ได้ ไมค่ ่อยจีรังยง่ั ยนื ความเป็นเพื่อนต่างหากท่ียง่ั ยนื กวา่ เพราะเม่ือคุณ เป็นเพื่อนรักกนั แลว้ คุณกจ็ ะพยายามเขา้ ใจกนั ไวใ้ จกนั ช่วยเหลือเก้ือกลู กนั และใหอ้ ภยั กนั เสมอในยามที่ฝ่ ายใด ฝ่ ายหน่ึงเกิดทาํ อะไรผดิ พลาดข้ึนมา ตราบใดที่ความรักฉนั หนุ่มสาวของคุณก็ยงั คงดาํ รงอยู่ ตราบน้นั ความเป็ น เพ่ือนคู่ชีวติ จะมากข้ึนเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ผา่ นไป

3. จงซ่ือสตั ยต์ อ่ ความรู้สึกของคุณเองและคนรักของคุณ เพราะความซ่ือสตั ยต์ อ่ ความรู้สึก หมายถึง การ อธิบายความรู้สึกของคุณอยา่ งตรงไปตรงมาแก่คนรัก อยา่ ปิ ดบงั ความรู้สึก ถา้ คุณรู้สึกวา่ เขาทาํ ใหค้ ุณรู้สึก เจบ็ ปวดหรือโกรธเคือง จงบอกเขาอยา่ งไม่ตอ้ งอาย เพราะความรักเป็นเรื่องของการใหเ้ กียรติซ่ึงกนั และกนั และ ดูแลความรู้สึกของกนั และกนั ตลอดเวลา 4. หากิจกรรมทาํ ร่วมกนั ขอ้ น้ีง่ายมาก เพราะความสุขเกิดข้ึนไดเ้ มื่อไดท้ าํ กิจกรรมร่วมกนั โดยหากิจกรรม ที่ท้งั คู่สามารถทาํ ดว้ ยกนั แลว้ มีความสุข อาจเป็ นกิจกรรมที่เป็นกิจวตั รประจาํ วนั เช่น ทานขา้ ว ดูโทรทศั น์ หรือ จะเป็นกิจกรรมที่มีความสนใจร่วมกนั เช่น ปลูกตน้ ไม้ เล่นกีฬา ฟังเพลง หรืองานบา้ นก็เป็นกิจกรรมได้ อยา่ งเช่นการทาํ กบั ขา้ ว ลา้ งรถ ท่ีท้งั สองฝ่ ายตา่ งทาํ ดว้ ยความเตม็ ใจ ไม่เร่งร้อน และมีความรู้สึกสนุกเมื่อได้ ช่วยกนั ทาํ ไมร่ ู้สึกวา่ เป็นภาระหนา้ ท่ี 5. รักษาสุขภาพร่างกายใหแ้ ขง็ แรงดีและฟิ ตอยเู่ สมอ ออกกาํ ลงั กาย ควบคุมการรับประทานอาหารใหไ้ ด้ พลงั งาน และคุณคา่ ท่ีเหมาะสมต่อการดาํ เนินชีวติ พกั ผอ่ นกนั อยา่ งพอเพยี ง พยายามหาเวลาไปพกั ผอ่ นสุด สปั ดาห์เป็นประจาํ เชื่อไหมวา่ คนเราน้นั ถา้ ร่างกายสมบูรณ์แลว้ อะไรต่อมิอะไร ไม่วา่ จะเป็นงานหนกั หรือ ความเครียด ก็จะลดลง ทาํ ใหไ้ มม่ ีปัญหาครอบครัวตามมา นอกจากน้ีควรมองโลกในแง่ดี เพราะจะทาํ ให้ สุขภาพจิตของคุณดีข้ึน มีความสุข ไมเ่ ศร้าหมอง เป็นผลดีตอ่ คู่ชีวิตที่ตอ้ งใชช้ ีวติ ร่วมกนั อยา่ งมาก เคลด็ ลบั ในการใชช้ ีวติ คู่ท่ีดีคงไม่ไดแ้ ค่มีไวอ้ ่าน หากแตค่ ุณลองเร่ิมตน้ สร้างปาฏิหาริยแ์ ห่งรักดว้ ยตวั คุณ เสียแตว่ นั น้ีรับรองวา่ คุณจะเป็นอีกคูห่ น่ึงที่ไดช้ ื่อวา่ เป็นคู่ท่ี “ถือไมเ้ ทา้ ยอดทอง กระบองยอดเพชร” ทมี่ า: http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9520000028321 ใบงาน คาสั่ง ใหน้ กั ศึกษาร่วมกนั ศึกษาคน้ ควา้ เร่ืองต่อไปน้ี และตวั แทนกลุ่มนาํ เสนอรายงานหนา้ ช้นั ตามหวั ขอ้ ที่ กาํ หนด 1. การปรับตวั ทางเพศ 2. การปรับตวั ทางดา้ นร่างกาย 3. การปรับตวั ทางดา้ นจิตใจ 4. ความรักระหวา่ งเพศ 5. ความรักในวยั รุ่น 6. การควบคุมอารมณ์ทางเพศ 7. การวางตวั ต่อเพศตรงขา้ ม 8. ขอ้ คิดเกี่ยวกบั เพศสัมพนั ธ์ 9. วฒั นธรรมทางเพศ 10. การดาํ เนินชีวติ คู่อยา่ งมีความสุข

บันทกึ หลงั การพบกล่มุ คร้ังที่ ………….. วนั ที่……. เดือน ……………. พ.ศ………….. กจิ กรรมการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… สิ่งทไ่ี ด้รับจากการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… บันทกึ หลงั การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้

…………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… สภาพปัญหาทพี่ บ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… วธิ ีการแก้ปัญหา …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ…………………………………….ผู้บนั ทกึ หลงั การสอน (………………..………………) ตาแหน่ง……………………………………… ลงช่ือ….................................................ผู้อานวยการสถานศึกษา

แผนการเรียนรู้ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษ คร้ังที่ 3 การศึกษา รายวชิ า/หัวเร่ือง ตวั ชี้วดั เนื้อหา อาหารและโภชนาการ 1. อธิบายปัญหา สาเหตุ 1. โรคขาดสารอาหาร ไดแ้ ก่ คร อาการ และการป้องกนั โรคลกั ปิ ดลกั เปิ ด โรคคอ งาน โรคขาดสารอาหาร หอยพอก โรคเอ๋อ โรคตา ข้นั 2. บอกหลกั การ และปฏิบตั ิ ฟาง โรคโลหิตจาง -ค 2. หลกั การสุขาภิบาล ตน ตนตามหลกั สุขาภิบาลได้ อาหาร อยา่ งเหมาะสม ข้นั 3. จดั โปรแกรมอาหารที่ - การปนเป้ื อน - การปรุงและจาํ หน่าย - ค เหมาะสมสาํ หรับครบ ครัว ผสู้ ูงอายุ และผปู้ ่ วย - ผปู้ ระกอบการจาํ หน่าย ขอ้ อาหาร - ค - สุขลกั ษณะทวั่ ไป คน้ บริเวณแผงจาํ หน่าย ข้นั - สุขลกั ษณะอาหารถึง -ส 3. การจดั โปรแกรมท่ี ราย เหมาะสมสาํ หรับกลุ่ม ข้นั บุคคลตา่ งๆ -ใ - ตนเองและครอบครัว -แ - ผสู้ ูงอายุ

ษา ทช31003 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สื่อ วดั /ประเมนิ ผล าค้นคว้าด้วยตนเอง ส่ือ 1. ใบงาน การจัดการแผนการเรียนรู้ รูมอบหมายใหผ้ เู้ รียนแต่ละคนปฏิบตั ิตามใบ - หนงั สือ 2. ส่งงานตาม นตามท่ีกาํ หนด - แผน่ พบั / แผน่ ปลิว กาํ หนด นท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ ครูสนทนากบั ผูเ้ รียนถึงวธิ ีการศึกษาดว้ ย - ใบงาน ใบความรู้ นเอง - อินเตอร์เน็ต นท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ ครูบอกถึงแหล่งเรียนรู้ที่ใชใ้ นการศึกษาหา แหล่งเรียนรู้ อมูล - หอ้ งสมุด ครูมอบหมายงานใหผ้ เู้ รียนไปทาํ การศึกษา - โรงพยาบาล / นควา้ ดว้ ยตนเอง โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพชุมชน นท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ สรุปผลการศึกษาคน้ ควา้ และจดั ทาํ เป็น ยงานส่งตามกาํ หนดเวลา นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ ใบงาน/ใบความรู้ แบบทดสอบ

รายวชิ า/หวั เรื่อง ตวั ชี้วดั เนื้อหา คร เสริมสร้างสุขภาพ งาน 1. มีส่วนร่วมในกิจกรรม - ผปู้ ่ วย สร้างเสริมสุขภาพของ 1. การรวมกลุ่ม เพ่ือ ข้นั ชุมชนอยา่ งสม่าํ เสมอ -ค เสริมสร้างสุขภาพ เช่น ตน 2. อธิบายวธิ ีการของการ กลุ่มออกกาํ ลงั กาย เล่น ออกกาํ ลงั กาย เพอื่ กีฬา บาํ เพญ็ ประโยชน์ ข้นั สุขภาพไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และนนั ทนาการ เป็ นตน้ -ค 2. การออกกาํ ลงั กานที่ ขอ้ เหมาะสมกบั บุคคลและ -ค วยั ต่างๆ คน้ ข้นั -ส ราย ข้นั -ใ -แ

การจัดการแผนการเรียนรู้ สื่อ วดั /ประเมินผล รูมอบหมายใหผ้ ูเ้ รียนแต่ละคนปฏิบตั ิตามใบ ส่ือ 1.ใบงาน นตามที่กาํ หนด - หนงั สือ 2 . ส่ ง ง า น ต า ม นที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ ครูสนทนากบั ผเู้ รียนถึงวธิ ีการศึกษาดว้ ย - แผน่ พบั / แผน่ ปลิว กาํ หนด นเอง - ใบงาน ใบความรู้ นที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ ครูบอกถึงแหล่งเรียนรู้ท่ีใชใ้ นการศึกษาหา - อินเตอร์เน็ต อมูล ครูมอบหมายงานใหผ้ เู้ รียนไปทาํ การศึกษา แหล่งเรียนรู้ นควา้ ดว้ ยตนเอง - หอ้ งสมุด นที่ 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ - โรงพยาบาล / สรุปผลการศึกษาคน้ ควา้ และจดั ทาํ เป็น โรงพยาบาลส่งเสริม ยงานส่งตามกาํ หนดเวลา สุขภาพชุมชน นที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ใบงาน/ใบความรู้ แบบทดสอบ

ใบความรู้ เร่ือง อาหารและโภชนาการ อาหารและโภชนาการ อาหาร หมายถึง สารซ่ึงอาจเป็นของแขง็ หรือของเหลวท่ีรับประทานเขา้ ไปแลว้ ไมเ่ ป็ นพิษหรือโทษ ตอ่ ร่างกาย แตม่ ีประโยชน์ต่อร่างกาย โภชนาการ หมายถึง อาหารท่ีเรารับประทานเขา้ ไป แลว้ ร่างกายนาํ เอาไปใช้ เพือ่ การทาํ หนา้ ที่อยา่ ง สม่าํ เสมอของอวยั วะท่ีสาํ คญั เช่น หวั ใจ ปอด เป็นตน้ นอกจากน้ียงั นาํ ไปใชเ้ พอ่ื สร้างความเจริญเติบโตของ ร่างกาย การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เราสามารถแบ่งอาหารออกเป็ นประเภท โดยอาศยั หลกั ทาง โภชนาการ ไดแ้ ก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมนั วติ ามิน เกลือแร่ และน้าํ ซ่ึงมีส่วนสาํ คญั ต่อการทาํ งานของ ร่างกายไม่ยงิ่ หยอ่ นไปกวา่ กนั โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั เมื่อรับประทานเขา้ ไปร่างกายจะเผาผลาญ ทาํ ใหเ้ กิดพลงั งานได้ ส่วนพวกวติ ามิน เกลือแร่ และน้าํ จะเป็นองคป์ ระกอบท่ีมีความสาํ คญั ในการทาํ ใหว้ งจร การทาํ งานตา่ งๆ ของร่างกาย ดาํ เนินต่อไปไดเ้ ป็นปกติ โภชนาการกบั สุขภาพ การท่ีคนเราจะมีสุขภาพดีข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั หลายๆ อยา่ ง ซ่ึงส่วนใหญจ่ ะอยภู่ ายใต้ การควบคุมของตวั เอง ส่วนที่นอกเหนือการควบคุมมีนอ้ ย เช่น กรรมพนั ธุ์ ดงั น้นั ถา้ เราควบคุมปัจจยั ตา่ งๆ ได้ เช่น การเล้ียงดูต้งั แต่เด็ก การดาํ เนินชีวติ อยา่ งถูกตอ้ ง คนส่วนใหญ่ช่วยกนั รักษาสิ่งแวดลอ้ ม ในครอบครัวมี ความสงบสุขดีคือมีสุขภาพจิตดี และสิ่งที่สาํ คญั อีกประการหน่ึงคือ การเอาใจใส่เร่ืองโภชนาการ ถา้ สามารถ ควบคุมส่ิงเหล่าน้ีไดห้ มด สุขภาพดีถว้ นหนา้ กค็ งจะไม่เกินความเป็นจริง ความสาคัญของอาหารกบั สุขภาพ กิจกรรมของมนุษยใ์ นแต่ละวนั จาํ เป็นตอ้ งใชพ้ ลงั งาน และสารอาหารท่ีร่างกายไดร้ ับจากการรับประทาน อาหารในแตล่ ะม้ือ การรู้จกั เลือกรับประทานอาหารใหเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการของร่างกาย จะช่วยให้ ร่างกายเจริญเติบโตอยา่ งเตม็ ท่ีสมบูรณ์ และมีสุขภาพร่างกายท่ีแขง็ แรง 1.โภชนาการเป็นการศึกษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอาหารกบั กระบวนการตา่ งๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั สุขภาพ และการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวติ หากสภาพร่างกายไดร้ ับอาหารที่มีสารอาหารครบ และเพียงพอต่อความ ตอ้ งการ ร่างกายสามารถนาํ สารอาหารเหล่าน้นั ไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ เรียกวา่ ภาวะโภชนาการที่ดี แตถ่ า้ ร่างกาย ไดร้ ับสารอาหารท่ีไม่ครบถว้ น และไมเ่ พยี งพอต่อความตอ้ งการของร่างกาย จะเรียกวา่ ภาวะโภชนาการที่ไม่ดี หรือทุพโภชนาการ 2.ภาวะโภชนาการต่าํ เป็นสภาวะของร่างกายที่ขาดอาหาร ไดร้ ับสารอาหารต่าํ กวา่ ท่ีร่างกายตอ้ งการ หรือรับประทานอาหารไม่ไดเ้ นื่องจากสาเหตุตา่ งๆ ทาํ ใหเ้ กิดโรคขาดสารอาหาร 3.ภาวะโภชนาการเกิน เป้นสภาวะของร่างกายที่ไดอ้ าหาร และสารอาหารเกินความตอ้ งการของ ร่างกาย ทาํ ใหเ้ กิดการสะสมจนเกิดโทษแก่ร่างกาย

ผลทางร่างกายของภาวะโภชนาการ 1.ขนาดของร่างกาย ปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อขนาดของร่างกาย ไดแ้ ก่ พนั ธุกรรม และส่ิงแวดลอ้ ม พนั ธุกรรมเป็ นสิ่งท่ีไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แตส่ ภาพแวดลอ้ ม เช่น การรับประทานอาหาร เราสามารถ ปรับปรุงได้ โดยเลือกรับประทานอาหารใหเ้ พยี งพอ และเหมาะสมตอ่ ความตอ้ งการของร่างกาย ก็จะทาํ ใหก้ าร เจริ ญเติบโตของร่างกายเป็ นปกติ 2.ภูมิต้านทานโรค ผทู้ ่ีไดร้ ับสารอาหารครบถว้ นตามความตอ้ งการของร่างกาย จะทาํ ใหร้ ่างกาย สามารถสร้างภูมิคุม้ กนั โรคต่างๆได้ หรือหากไดร้ ับเช้ือโรค ก็สามารถฟ้ื นตวั ไดเ้ ร็ว 3.ไม่แก่ก่อนวยั และอายยุ ืน เมื่อร่างกายมีภูมิคุม้ กนั โรค ความเสี่ยงท่ีจะเสียชีวติ ก่อนวยั อนั สมควรก็ลด นอ้ ยลง ผลต่อสตปิ ัญญา และอารมณ์ การรู้จกั เลือกรับประทานอาหารท่ีดีมีประโยชน์ มีส่วนใหเ้ กิดพฒั นาการทางดา้ นสมอง มีสติปัญญาที่ เฉลียวฉลาด อารมณ์แจม่ ใส กระตือรือร้น ปรับตวั เขา้ กบั สงั คมไดง้ ่าย ผดิ กบั ผทู้ ่ีรับประทานอาหารไมม่ ี ประโยชนจ์ ะทาํ ให้ร่างกายออ่ นแอ พฒั นาการทางดา้ นสติปัญญาลดนอ้ ยลง อารมณ์หดหู่ ไม่แจ่มใส จนบางคร้ัง อาจไม่สามารถดาํ เนินชีวติ ร่วมกบั ผอู้ ื่นไดอ้ ยา่ งปกติสุข การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ 1.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทกุ วัน ไม่รับประทานอาหารท่ีซ้าํ ซาก ควรรับประทานอาหารท่ี หลากหลาย เพอ่ื ใหไ้ ดส้ ารอาหารครบตามที่ตอ้ งการ 2.รับประทานอาหารทส่ี ะอาดและปลอดภยั เพื่อป้องกนั การปนเป้ื อนของสิ่งท่ีเป็นพิษที่มีอยใู่ นอาหาร ที่อาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายตอ่ ตวั ผบู้ ริโภค อาหารปนเป้ื อนไดจ้ ากหลายสาเหตุ คือ จากเช้ือโรค และพยาธิตา่ งๆ สารเคมีที่เป็นพษิ หรือสารปนเป้ื อน หรือโลหะหนกั ที่เป็นอนั ตราย ท้งั น้ีอาจเกิดจากกระบวนการผลิต ปรุง

ประกอบ และจาํ หน่ายอาหารที่ไมถ่ ูกสุขลกั ษณะ หรือสิ่งแวดลอ้ มท่ีไมเ่ หมาะสม เช่น แผงลอยริมบาทวถิ ี การใช้ สารปรุงแตง่ อาหารไมไ่ ดม้ าตรฐาน การใชส้ ารเคมีในการถนอมอาหาร การใชส้ ารเคมีกาํ จดั ศตั รูพืชในปริมาณ มาก เป็นตน้ หลกั การในการเลือกกินอาหารท่ีสะอาด ปราศจากการปนเป้ื อน ควรเลือกกินอาหารท่ีสด สะอาด ผลิตจากแหล่งท่ีเชื่อถือได้ มีเคร่ืองหมายรับรองคุณภาพ มีกล่ิน รส และสีสนั ตามธรรมชาติ ในการปรุงอาหารใน ครัวเรือน ควรเลือกซ้ืออาหารท่ีสด สะอาด มาปรุง ลา้ งทาํ ความสะอาด ก่อนนาํ ไปปรุงประกอบ ใชภ้ าชนะ อุปกรณ์ที่สะอาดปลอดภยั ลา้ งเกบ็ ถูกสุขลกั ษณะ มีพฤติกรรมบริโภคท่ีถูกสุขลกั ษณะ คือ ลา้ งมือก่อนบริโภค ใชช้ อ้ นกลาง การเลือกซ้ืออาหารปรุงสาํ เร็จ อาหารถุง ควรเลือกซ้ือจากร้านจาํ หน่ายอาหาร หรือแผงลอยที่ถูก สุขลกั ษณะ ปรุงสุกใหม่ มีการปกปิ ดป้องกนั แมลงวนั บรรจุในภาชนะทีสะอาดปลอดภยั มีการใชอ้ ุปกรณ์หยบิ จบั หรือตกั อาหารแทนการใชม้ ือ 3.รับประมานอาหารไขมันพอเหมาะ เพือ่ ป้องกนั การสะสมไขมนั มากเกินไป 4.รับประทานอาหารทม่ี ีเส้นใยอาหารอย่างสม่าเสมอ เพือ่ ช่วยระบบการขบั ถ่าย และลดไขมนั ในเลือด ควรกินใยอาหารอยา่ งสม่าํ เสมอ ใยอาหารทาํ ใหก้ ารขบั ถ่ายอุจจาระเป็นไปตามปกติ และป้องกนั โรคหลายชนิด ดว้ ย 5.ระมัดระวงั การรับประทานอาหารทม่ี สี ารก่อมะเร็ง เช่น อาหารประเภททอด ยา่ ง เผา หรืออาหารท่ี ไหมเ้ กรียม 6.ลดปริมาณ และระดับการรับประทานอาหรรสจัด เช่น หวานจดั เปร้ียวจดั เคม็ จดั เผด็ จดั เพราะจะทาํ ใหเ้ กิดการระคายเคืองตอ่ เยอื่ บุทางเดินอาหาร และอาจก่อโรค เช่น โรคอว้ น โรคเบาหวาน โรคไต โรคกระเพาะ เป้นตน้ 7.หลกี เลย่ี งเครื่องด่ืมทมี่ แี อลกอฮอล์ และนา้ อดั ลม เพราะเสี่ยงต่อการเป็ นโรคตา่ งๆ เช่น โรคตบั แขง็ โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็ง ฟันผุ โรคเบาหวาน เป็นตน้ การดื่มเคร่ืองด่ืมที่มีแอลกอฮอลน์ าํ ไปสู่การ เกิดอุบตั ิเหตุบนทอ้ งถนนการเจบ็ ป่ วยดว้ ยโรคตา่ งๆ เช่น ความดนั โลหิตสูง ตบั แขง็ โรคกระเพาะ เป็นตน้ เครื่องด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์ ไดแ้ ก่สุรา เบียร์ ไวน์ บร่ันดี กระแช่ ฯลฯ จึงควรหลีกเลี่ยงเคร่ืองดื่มดงั กล่าว ระวงั เรื่อง ด่ืมเหลา้ แมว้ า่ เหลา้ ท่ีกินจะถูกเผาผลาญใหก้ าํ ลงั งานไดก้ ็จริง แตเ่ ราไม่จดั เหลา้ เป็นสารอาหาร เพราะผลท่ีไดไ้ ม่ คุม้ กบั อนั ตรายที่เหลา้ คุกคามสุขภาพ คนติดเหลา้ มกั เป็นโรคขาดสารอาหารไดห้ ลายชนิด เช่น โรคขาดโปรตีน และแคลอรี โรคเหน็บชา เม่ือกินเหลา้ ไปนานๆ ตบั ถูกทาํ ลาย ยงิ่ ทาํ ใหก้ ารขาดสารอาหารรุนแรงมากข้ึน โรคขาดสารอาหาร โรคขาดสารอาหาร คือ โรคท่ีเกิดจากภาวะโภชนาการบกพร่อง ทาํ ใหร้ ่างกายขาดสารอาหาร บางชนิด สารอาหารมีหลายชนิด แตล่ ะชนิดมีหนา้ ท่ีแตกต่างกนั ออกไป บางชนิดร่างกายตอ้ งการมาก บางชนิดร่างกาย ตอ้ งการนอ้ ย หากรับประทานอาหารไมถ่ ูกหลกั โภชนาการกจ็ ะเป็นโรคขาดสารอาหารได้ ซ่ึงอาจเกิดจากสาเหตุ ต่างๆ ดงั น้ี สาเหตุท่ีทาให้เกดิ โรคขาดสารอาหาร 1.รับประทานอาหารไมเ่ พยี งพอ เกิดข้ึนเนื่องจากปัจจยั ต่างๆ เช่น ความยากจน ไมม่ ีเงินซ้ืออาหารมา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook