Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 10. รัฐสภาสารฉบับเดือนตุลาคม 2560

10. รัฐสภาสารฉบับเดือนตุลาคม 2560

Published by sapasarn2019, 2020-10-01 01:28:53

Description: 10. รัฐสภาสารฉบับเดือนตุลาคม 2560

Search

Read the Text Version

วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ เผยแพร่การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  และเพื่อเสนอ ขา่ วสารวิชาการในวงงานรัฐสภา และอน่ื ๆ ทั้งภายใน และต่างประเทศ การสง่ เรอ่ื งลงรฐั สภาสาร ส่งไปที่ บรรณาธิการวารสารรัฐสภาสาร ส�ำ นกั งานเลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร ส�ำ นกั ประชาสมั พนั ธ์ กลมุ่ งานผลติ เอกสาร ถนนประดพิ ทั ธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรงุ เทพฯ ๑๐๔๐๐ โทร. ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๔ - ๕ โทรสาร ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๒ e-mail : [email protected] การสมัครเปน็ สมาชกิ ค่าสมคั รสมาชกิ ปลี ะ ๕๐๐ บาท (๑๒ เลม่ ) ราคาจำ�หนา่ ยเล่มละ ๕๐ บาท (รวมค่าจัดสง่ ) ก�ำ หนดออกเดือนละ ๑ ฉบับ





ตามโรดแมปท่ีนำ�ไปสู่การเลือกต้ัง  ภายหลังการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  ๒๕๖๐  จะมีการร่าง กฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู หรอื เรียกงา่ ย ๆ วา่ กฎหมายลูก  ๑๐ ฉบับ แล้วส่งให้ทางสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา  จากน้ันจึงทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเพ่ือประกาศใช้  จึงจะสามารถกำ�หนดวันเลือกต้ังได้ ท้ังนี้  ขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติกำ�ลังพิจารณา  กฎหมายลูกทั้ง  ๑๐  ฉบับ เราในฐานะพลเมืองไทย  ต้องติดตามข่าวสารและศึกษาข้อมูลกฎหมายดังกล่าว เพอ่ื เป็นการเตรียมความพร้อมสกู่ ารเลอื กตัง้ และเพ่ือให้สอดคล้องกับการติดตามข่าวสารเร่ืองกฎหมายที่เก่ียวข้องกับ รัฐธรรมนูญ  วารสารรัฐสภาสารฉบับนี้  จึงขอเสนอบทความท่ีเกี่ยวกับสิทธิทางการเมือง ของประชาชนท่ีปรากฏในรัฐธรรมนูญเป็นบทความแรก  คือ  เรื่อง  “สิทธิทางการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ”  ซึ่งผู้เขียนได้ศึกษาเชิงเปรียบเทียบสิทธิทางการเมืองของประชาชนที่ได้ถูก บญั ญัติไวใ้ นรฐั ธรรมนูญฉบบั ต่าง ๆ ตั้งแตฉ่ บบั แรก คอื พระราชบญั ญัติธรรมนญู การปกครอง แผ่นดินสยามชั่วคราว  พุทธศักราช  ๒๔๗๕  จนถึง  ฉบับปัจจุบัน  คือ  รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ และพบว่า ทุกฉบบั มีบทบัญญตั ิสิทธิทางการเมือง ของประชาชน นอกจากน้ี เปน็ ทน่ี า่ สนใจ คอื รฐั ธรรมนญู ฉบบั ปี ๒๕๔๐ มบี ทบญั ญตั ทิ เ่ี กย่ี วกบั สิทธิทางการเมืองของประชาชนมีความหลากหลาย  จนกลายเป็นแม่แบบให้แก่ฉบับต่อ  ๆ  มา ในช่วงทา้ ยของบทความ ผู้เขยี นไดส้ รปุ ว่า รัฐธรรมนญู ฉบบั ปี ๒๕๖๐ มบี ทบญั ญัติทเี่ กี่ยวกบั สิทธิทางการเมืองของประชาชนคล้ายคลึงกับท่ีได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ  ฉบับปี  ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ แต่บทบัญญัตสิ ว่ นใหญเ่ ป็นแคห่ ลกั การหรอื ข้อกำ�หนดกว้าง ๆ เทา่ นนั้   ดงั น้นั จะตอ้ งมกี ารบญั ญตั กิ ฎหมายฉบบั อน่ื ๆ เพอ่ื สนบั สนนุ สทิ ธทิ างการเมอื งของประชาชน ตลอดจน ยุทธศาสตรช์ าติ และการด�ำ เนินการปฏริ ูปประเทศดา้ นการเมอื ง บทความเรื่องที่สอง  “การจัดองค์กรของรัฐในประเทศไทย”  แม้มิได้มีความ เก่ียวข้องกับรัฐธรรมนูญ  แต่เป็นเร่ืองท่ีน่ารู้และเก่ียวข้องกับทุกคน  เนื่องจากเป็นเร่ือง การบริหารจัดการองค์กรภาครฐั ของไทย ผู้เขยี นได้อธิบายการจัดการองคก์ รภาครัฐท่ปี จั จบุ ัน มีความเปลย่ี นแปลงไป อาทิ การแยกบางหน่วยงานเปน็ องคก์ รมหาชน และองคก์ รของรัฐ รูปแบบพิเศษ  เน่ืองจากต้องการให้มีการบริหารท่ีคล่องตัวและสามารถให้บริการ แกป่ ระชาชนไดม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขน้ึ อยา่ งไรกต็ าม ยงั มอี ปุ สรรค ทง้ั งบประมาณ การวางระบบ

ที่ต้องโปร่งใส  ตรวจสอบได้  ระบบการทำ�งานท่ีถ่วงดุล อำ�นาจ และทีส่ ำ�คญั คอื ตอ้ งยดึ หลักความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม นอกจากน้ี การปรบั เปลย่ี นองคก์ รภาครฐั อยา่ งรวดเรว็ เปน็ เรอ่ื งไมง่ า่ ย จึงมีความจำ�เป็นที่จะต้องศึกษาเพ่ือกำ�หนดกระบวนการบริหารงาน ให้สอดคล้องกับภารกิจต่อไป สำ�หรับบทความเร่ืองสุดท้าย  “ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล กับอาหรบั ชว่ งสงครามเยน็ ”  เปน็ บทความทศ่ี กึ ษาความขดั แยง้ ระหวา่ งอสิ ราเอล กบั อาหรับ  โดยผู้เขียนได้กล่าวถึงความเป็นมาของความขัดแย้งที่เร่ิมขึ้นมาตั้งแต่ กอ่ นเกดิ สงครามเยน็   ทท่ี ง้ั สองฝา่ ยมกี ารกระทบกระทง่ั จนเกดิ สงคราม  ความขดั แยง้ ดงั กลา่ วมาปะทคุ วามรนุ แรงยง่ิ ขน้ึ ในชว่ งสงครามเยน็ เนอ่ื งจากมมี หาอ�ำ นาจเขา้ มาเกย่ี วขอ้ ง ประกอบกบั การเมอื งภายในของอสิ ราเอลเองทม่ี คี วามเปลย่ี นแปลง ทง้ั น้ี แมม้ หาอ�ำ นาจ สหประชาชาติ และสนั นบิ าตอาหรบั พยายามแสวงหาหนทางทีเ่ ป็นท่ียอมรบั ของทุกฝา่ ย เพอื่ ใหเ้ กดิ สนั ตภิ าพ แต่ความขดั แยง้ ยังคงอยู่จากหลากหลายปจั จยั ท้ายน้ี  กองบรรณาธิการรัฐสภาสารขอขอบคุณทุกท่านท่ีติดตามวารสารของเรา เรอื่ ยมา หากมีขอ้ เสนอแนะใดๆ เรายินดีนอ้ มรับ แล้วพบกันใหมฉ่ บบั หนา้ สวัสดคี ะ่ บรรณาธิการ

ปีท่ี ๖๕ ฉบับที่ ๑๐ เดอื นตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ Vol.65 No.10 October 2017 สิทธทิ างการเมืองตามรฐั ธรรมนญู ๙ อรวรรณ เกษร การจัดองค์กรของรัฐในประเทศไทย ๓๘ กติ ติวัฒน์ รตั นดิลก ณ ภูเกต็ ความขดั แยง้ ระหว่างอสิ ราเอลกับอาหรบั ชว่ งสงครามเยน็ ๘๘ ธโสธร ตูท้ องคำ�



9 * อรวรรณ เกษร* บทนำ� สทิ ธิ ทางการเมอื ง  (Political  rights)  เปน็ สทิ ธใิ นการมสี ว่ นรว่ มในทางการเมอื ง ถือว่าเป็นสิทธิที่สำ�คัญของประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตยท่ีมีหลักการอำ�นาจ อธิปไตยเป็นของปวงชน * วทิ ยากรช�ำ นาญการ  กลมุ่ งานกฎหมาย  ๑  ส�ำ นกั กฎหมาย  ส�ำ นกั งานเลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร

ซึง่ นานาประเทศให้ความสำ�คัญและตระหนักถงึ สิทธิของประชาชนในดา้ นน้ี จึงไดม้ กี ารรับรอง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง  (International  Covenant on  Civil  and  Political  Rights)  เพ่ือเป็นการรองรับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ของประชาชน  และโดยเหตุท่ีประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศดังกล่าว จึงมีพันธกรณีท่ีจะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการในกติการะหว่างประเทศ  โดยต้องมี การออกมาตรการทางกฎหมายหรือมาตรการอื่นใดในการดำ�เนินการ  และเมื่อมาพิจารณา ถึงรัฐธรรมนูญของประเทศไทยก็พบว่า  มีการบัญญัติรับรองสิทธิทางด้านการเมือง ของประชาชนเอาไวต้ ง้ั แตใ่ นอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั แตด่ ว้ ยเหตปุ จั จยั ทเ่ี กดิ จากสถานการณบ์ า้ นเมอื ง ของประเทศไทยท่ีมีความผันผวนตามยุคสมัย  ทำ�ให้รัฐธรรมนูญของไทยมีการบัญญัติ รับรองสิทธิทางการเมืองของประชาชนเอาไว้มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป  ซึ่งรัฐธรรมนูญ บางฉบับไม่ได้มีการบัญญัติในเร่อื งสิทธิทางการเมืองของประชาชนเอาไว้เลย  และในปัจจุบัน เพ่ิงได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่  คือ  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ เมอ่ื วนั ท่ี ๖ เมษายน ๒๕๖๐ จงึ ขอน�ำ มาเปน็ กรณศี กึ ษาในบทความฉบบั น้ี ๑.  ความหมายของค�ำ วา่ สิทธแิ ละเสรีภาพ และสทิ ธทิ างการเมือง สิทธิ  (Right)  คือ  อำ�นาจท่กี ฎหมายรับรองให้แก่บุคคลในอันท่จี ะกระทำ� การเกยี่ วข้องกบั ทรัพย์หรอื บคุ คลอน่ื เสรีภาพ (Liberty) คือ ภาวะของมนษุ ยท์ ี่ไม่อยภู่ ายใต้ การครอบง�ำ ของผูอ้ ื่น ภาวะทป่ี ราศจากการถูกหนว่ งเหนี่ยวขัดขวาง ซึ่งก็คอื อำ�นาจของบุคคล ในอนั ทีจ่ ะก�ำ หนดตนเอง โดยอำ�นาจน้บี คุ คลยอ่ มเลือกวถิ ชี ีวิตของตนได้ด้วยตนเอง๑ สทิ ธทิ างการเมอื ง (Political rights) เปน็ สทิ ธใิ นการมสี ว่ นรว่ มในทางการเมอื ง โดยมผี ู้ให้คำ�นิยามและตัวอยา่ งไว้ ดงั น้ี - สทิ ธทิ างการเมอื ง  เปน็ สทิ ธทิ ไ่ี มอ่ าจหลกี เลย่ี งในกระบวนการการมสี ว่ นรว่ ม ในระบอบประชาธิปไตยได้  และสิทธินี้นอกจากจะทำ�ให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วม ๑ วรพจน์ วศิ รตุ พชิ ญ,์ สทิ ธแิ ละเสรภี าพตามรฐั ธรรมนญู , (กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั (สกว.), ๒๕๓๘), หน้า ๑๖ – ๑๗. 10

11 ในกิจธุระท่ีเกี่ยวข้องกับการปกครองได้สะดวกขึ้นแล้ว  ยังเป็นเสมือนช่องทางที่จะนำ�ไปสู่ ทม่ี าของอำ�นาจไดอ้ ีกดว้ ย สิทธทิ างการเมืองท่ีสำ�คญั ๆ มดี ังนี้ ๑) สิทธใิ นการเลือกตัง้ หรอื สิทธใิ นการออกเสยี งเลือกตัง้ สทิ ธิน้ีผลจาก การปกครองในระบอบประชาธิปไตย  โดยในการปกครองระบอบประชาธิปไตยทางตรงนั้น ประชาชนสามารถท่ีจะมีส่วนร่วมในการสร้างและการจัดการของรัฐบาลได้  และในการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยทางอ้อม  ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในกิจธุระท่ีเกี่ยวข้อง กบั รฐั บาลโดยผ่านตวั แทนทป่ี ระชาชนเป็นผเู้ ลอื ก การเลือกสรรทางการเมืองของประชาชนท่ีแสดงออกโดยผ่านสิทธิ ในการออกเสียงเลือกต้ังน้ัน  แต่ละรัฐจะเป็นผู้กำ�หนดคุณสมบัติผู้เลือกต้ัง  แต่ในประเทศ ประชาธิปไตยสมัยใหม่  มักกำ�หนดให้บุคคลต่างด้าว  บุคคลล้มละลาย  ผู้วิกลจริต  เด็ก และผู้ท่กี ่ออาชญากรรมไม่มสี ทิ ธิในการเลือกตัง้ ๒) สิทธิในการถูกรับเลือกตั้งหรือสิทธิในการลงสมัครรับเลือกต้ัง สิทธิในการเลือกตั้งอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ  เนื่องจากประชาชนจะต้องมีสิทธิในการท่ีจะ สามารถเปน็ สมาชกิ ในสภานติ บิ ญั ญตั ไิ ด้ สทิ ธดิ งั กลา่ วจะไมม่ คี วามหมายเลย ถา้ ปราศจากซง่ึ สทิ ธิในการเขา้ รับหรอื เปน็ ข้าราชการ อาทิ ผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี หรือนายกรฐั มนตรี ๓) สทิ ธใิ นการใชส้ ำ�นกั งานท่ีเป็นของสาธารณะ ๔) สทิ ธใิ นการย่ืนค�ำ รอ้ งทกุ ข์ ๕) สทิ ธใิ นการวพิ ากษว์ จิ ารณ ์ สทิ ธดิ งั กลา่ วนเ้ี ปน็ อกี หนง่ึ ในสทิ ธพิ น้ื ฐาน ทางการเมือง โดยสทิ ธิน้ีอยู่บนพน้ื ฐานของเสรีภาพในการแสดงออก๒ - สิทธิทางการเมือง  ได้แก่  สิทธิในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง ท้ังทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เสรีภาพในการแสดงความคิดเหน็ และการมสี ่วนร่วมกบั รฐั เสรีภาพในการชมุ นุมโดยสงบ เสรีภาพในการรวมกลมุ่ ๓ ๒ Jatkar  S D and Jayaram R, pp. 97-99, อ้างถงึ ใน รุง้ นภา ยรรยงเกษมสขุ , “สทิ ธิ และเสรภี าพของชนชาวไทยในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐,” (วทิ ยานพิ นธร์ ฐั ศาสตร มหาบณั ฑิต จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒), หน้า ๒๒. ๓ ศราวุฒิ  ประทุมราช,  เคร่อื งมือค้มุ ครองสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ,  กรุงเทพฯ: บรษิ ทั พี. เพรส จ�ำ กัด, ๒๕๔๗), หน้า ๕.

๒.  สทิ ธทิ างการเมืองตามสนธิสญั ญาระหว่างประเทศ ด้วยเหตุที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ในด้านสิทธมิ นุษยชน คือ กติการะหว่างประเทศวา่ ด้วยสิทธพิ ลเมืองและสิทธทิ างการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) หรอื ICCPR โดยการภาคยานวุ ตั ิ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ท�ำ ใหม้ ผี ลใชบ้ งั คบั กบั ประเทศไทยเมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ซ่งึ ในเรอื่ งสิทธิทางการเมอื งของพลเมอื งได้มีการรบั รองไวใ้ น ขอ้ ๒๑ และ ข้อ ๒๕ ของกติการะหว่างประเทศฯ ดังกล่าว โดยได้ก�ำ หนดไว้ ดังน้ี ข้อ ๒๑ กำ�หนดว่า  สิทธิในการชุมนุมโดยสงบย่อมได้รับการรับรอง การกำ�กดั การใชส้ ทิ ธินี้จะกระท�ำ มไิ ด้ นอกจากจะกำ�หนดโดยกฎหมายและเพียงเท่าทีจ่ ำ�เป็น สำ�หรับสังคมประชาธิปไตย  เพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงของชาติ  หรือความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย  การสาธารณสุข  หรือศีลธรรมของประชาชนหรือการคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพของบคุ คลอนื่ ขอ้ ๒๕ กำ�หนดวา่ พลเมืองทกุ คนยอ่ มมีสิทธิและโอกาส โดยปราศจาก ความแตกตา่ งดังกล่าวไว้ในขอ้ ๒ และโดยปราศจากขอ้ ก�ำ กัดอนั ไมส่ มควร (ก)   ในการท่ีจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารรัฐกิจโดยตรง  หรือ ผา่ นทางผ้แู ทนซึง่ ได้รับเลอื กมาอยา่ งเสรี (ข)   ในการท่ีจะออกเสียงหรือได้รับเลือกต้ังในการเลือกตั้งอันแท้จริง ตามวาระ ซึ่งมกี าร ออกเสียงโดยท่วั ไปและเสมอภาค และโดยการลงคะแนนลับ เพื่อประกนั การแสดงเจตนาโดยเสรีของผเู้ ลอื ก (ค)   ในการที่จะเข้าถึงการบริการสาธารณะในประเทศของตนตาม หลกั เกณฑท์ วั่ ไปแหง่ ความเสมอภาค จากหลักการข้างต้น  ทำ�ให้ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติ ใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั การดงั กลา่ ว  จงึ ตอ้ งมกี ารออกมาตรการทางกฎหมายหรอื มาตรการอน่ื ท่ีอาจจำ�เป็นในการประกันว่าพลเมืองมีโอกาสอย่างแท้จริงในการได้ใช้สิทธิดังกล่าว และจะตอ้ งไม่มกี ารเลือกปฏบิ ตั ๔ิ ๔ ไพโรจน์ พลเพชร และณฐกร ศรีแก้ว, “รายงานการศึกษา สทิ ธเิ สรภี าพข้ันพ้นื ฐานตามกรอบ รฐั ธรรมนญู ในบรบิ ทของสงั คมไทย และมาตรฐานสากลระหวา่ งประเทศดา้ นสทิ ธมิ นษุ ยชน,” ๒๕๔๙, หนา้ ๒๘. 12

13 ๓.  สทิ ธทิ างการเมืองตามรัฐธรรมนญู รัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศในระบอบ ประชาธิปไตย  ซ่ึงหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีหลักการส�ำ คัญ  ๒  ประการ คือ  หลักแห่งสิทธิเสรีภาพ  และหลักอธิปไตย  หลักแห่งสิทธิเสรีภาพ  หมายถึง  การท่ี รัฐจะต้องปกครองโดยรักษาสิทธิเสรีภาพของประชาชน  จะต้องดำ�เนินการให้ประชาชน มีสิทธิเสรีภาพข้ันพ้ืนฐาน  โดยเฉพาะสิทธิในด้านความคิดความเช่ือ  ส่วนหลักอธิปไตยนั้น หมายถึง  หลักการท่ีอำ�นาจสูงสุดในทางการเมืองจะต้องเป็นของประชาชน  ดำ�เนินไปโดย ประชาชน และเพอ่ื ประชาชน๕ ดงั นน้ั การบญั ญตั ริ บั รองอ�ำ นาจอธปิ ไตยของประชาชน และ รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญจึงถือว่าเป็นส่ิงสำ�คัญ  ซึ่งสิทธิและเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนญู โดยการจ�ำ แนกตามเน้อื หา แบง่ ออกได้เป็น ๖ ประเภท คอื ๑)  สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล  ได้แก่  ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และร่างกาย  เสรีภาพ  ในเคหสถาน  เสรีภาพในการเดินทางและการเลือกถิ่นท่ีอยู่ ในราชอาณาจกั ร  สิทธิในครอบครวั เกยี รตยิ ศ ชอื่ เสยี ง และความเปน็ อยสู่ ว่ นตวั เป็นตน้ ๒)  สิทธิและเสรีภาพในทางความคิด  และการแสดงออกซึ่งความคิด  ได้แก่  เสรีภาพในการถือศาสนา  นิกายศาสนา  หรือลัทธินิยมในทางศาสนา  และในการ ปฏิบัติพธิ กี รรมตามความเช่ือถือของตน  เมือ่ ไม่เป็นปฏิปักษต์ ่อหน้าที่ของพลเมือง  และไมเ่ ปน็ การขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  สิทธิในการรับการ ศึกษาขั้นมูลฐาน  เสรีภาพ  ในการศึกษาอบรม  เสรีภาพทางวิชาการ  เสรีภาพในการพูด การเขยี น การพมิ พ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวธิ อี นื่ เป็นตน้ ๓)  สิทธิและเสรีภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ  ได้แก่  สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพ  และการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม สทิ ธทิ จ่ี ะได้รับบรกิ ารทางสาธารณสุขท่ีได้มาตรฐาน เป็นต้น ๔)  สิทธิและเสรีภาพในการรวมกลุ่ม  ได้แก่  เสรีภาพในการรวมกัน เป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ หรือหมคู่ ณะอน่ื ๆ ๕ สธุ าชยั ยิม้ ประเสรฐิ , ๖๐ ปปี ระชาธิปไตยไทย, (กรุงเทพฯ: บรษิ ทั ครีเอทีฟ พบั ลชิ ช่งิ จ�ำ กัด, ๒๕๓๖), หน้า๑๐.

๕)  สิทธิและเสรีภาพทางการเมือง  ได้แก่  เสรีภาพในการรวมตัวกัน เป็นพรรคการเมือง  เพื่อดำ�เนินกิจกรรมทางการเมือง  ตามวิถีทางการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย  สิทธิเลือกตั้งและสมัครรับเลือกต้ัง  เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวธุ เปน็ ตน้ ๖)  สิทธิท่ีจะได้รับการปฏิบัติจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน  ได้แก่  บทบัญญัติท่ีรับรองว่าบุคคลย่อม  เสมอกันในกฎหมาย  และได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมายเท่าเทยี มกนั เปน็ ตน้ ๖ ในการศึกษาวิจัยครั้งน้ี  เป็นการศึกษาเร่ืองสิทธิทางการเมืองของ ประชาชนในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย  จึงขอกล่าวถึงเฉพาะเร่ืองสิทธิทางการเมือง ของประชาชนที่ได้มีการบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ  นับตั้งแต่ประเทศไทย ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ ประชาธิปไตย  ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการจัดท�ำ รฐั ธรรมนูญฉบบั แรก คือ พระราชบญั ญตั ิ ธรรมนญู การปกครองแผ่นดนิ สยามชวั่ คราว พทุ ธศักราช ๒๔๗๕ และฉบับตอ่ ๆ มาจน กระท่ังถึงรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ ซง่ึ เป็นฉบบั ปจั จบุ นั รวม จ�ำ นวนทงั้ ส้นิ ๒๐ ฉบบั ในท่ีนีจ้ ะขอกล่าวถงึ เฉพาะรฐั ธรรมนูญฉบับทไ่ี ดม้ กี ารบญั ญัตริ ับรอง สิทธิทางการเมืองของประชาชนเอาไว้  กรณีสิทธิทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญที่ได้มีการ จำ�แนกตามเนื้อหาของสิทธิและเสรีภาพตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น  ซ่ึงเรียกว่า  สิทธิ และเสรภี าพทางการเมอื ง  ได้แก่  เสรภี าพในการรวมตวั กนั เปน็ พรรคการเมอื ง  สทิ ธเิ ลอื กต้งั และสมคั รรบั เลอื กตง้ั เสรภี าพในการชมุ นมุ โดยสงบและปราศจากอาวธุ รวมถงึ สทิ ธทิ างการเมอื ง ที่ได้มีการรับรองเพ่ิมข้ึนในรัฐธรรมนูญ  ได้แก่  สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมาย  สิทธิออกเสียง ประชามติ  สิทธิเข้าช่อื ถอดถอนผ้ดู ำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง  สิทธิถอดถอนผ้บู ริหารท้องถ่นิ สิทธิเข้าชื่อเพื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถ่ิน  และสิทธิเข้าช่ือเสนอญัตติขอแก้ไขเพ่ิมเติม รฐั ธรรมนูญ โดยรฐั ธรรมนูญแต่ละฉบบั มรี ายละเอยี ดดงั น้ี ๖ วรพจน์ วศิ รตุ พิชญ,์ สิทธิและเสรีภาพตามรฐั ธรรมนญู , หนา้ ๒๒ – ๒๔. 14

15 พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามช่ัวคราว พทุ ธศักราช ๒๔๗๕ กำ�หนดสิทธิทางการเมืองของประชาชนไว้เป็นคร้ังแรก  เร่ืองการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยก�ำ หนดให้ราษฎรในหมู่บ้านเลือกผู้แทนเพ่ือออกเสียง ต้ังผู้แทนตำ�บล  ผู้แทนหมู่บ้านเลือกผู้แทนตำ�บล  ผู้แทนตำ�บลเป็นผู้เลือกตั้งสมาชิก ในสภาผู้แทนราษฎร  (มาตรา  ๑๒)  ซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติว่า  ราษฎรไม่ว่าเพศใด  เมื่อมคี ุณสมบัติดัง่ ต่อไปน้ี ย่อมมีสทิ ธิออกเสียงลงมตเิ ลอื กผู้แทนหมู่บ้านได้ คือ ๑) มีอายุ ครบ ๒๐ ปบี รบิ รู ณ์ ๒) ไมเ่ ปน็ ผไู้ รห้ รอื เสมอื นไรค้ วามสามารถ ๓) ไมถ่ กู ศาลพพิ ากษาใหเ้ สยี สทิ ธิ ในการออกเสียง  ๔)  ต้องเป็นบุคคลท่ีมีสัญชาติเป็นไทยตามกฎหมาย  (มาตรา  ๑๔) คณุ สมบัติของผูแ้ ทนหม่บู า้ นและผแู้ ทนต�ำ บล (มาตรา ๑๔ ประกอบมาตรา ๑๑) รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรสยาม พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๕ กำ�หนดเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  (มาตรา  ๑๖) คุณสมบัติผเู้ ลือกต้ังและผู้สมคั รรับเลอื กตั้ง วิธเี ลอื กตง้ั และจ�ำ นวนสมาชกิ (มาตรา ๑๗) รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ กำ�หนดเรื่องการมีเสรีภาพในการต้ังพรรคการเมือง  การชุมนุม สาธารณะ (มาตรา ๑๔) การเลอื กต้งั สมาชิกพฤฒสภา(มาตรา ๒๔)   คณุ สมบัติของผ้สู มัคร รับเลือกตั้งและผู้เลือกต้ัง  หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกต้ังสมาชิกพฤฒสภา  (มาตรา  ๒๕) การเลือกตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทน (มาตรา ๒๙) คุณสมบตั ขิ องผู้เลอื กตง้ั และผสู้ มคั รรับเลือกตงั้ หลักเกณฑ์และวิธกี ารเลือกตง้ั และจ�ำ นวนสมาชิกสภาผูแ้ ทน (มาตรา ๓๐) รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชว่ั คราว) พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๐ กำ�หนดเร่ืองการมีเสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะ  (มาตรา  ๒๓) การเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทน (มาตรา ๓๗) คุณสมบัตขิ องผ้เู ลอื กตั้งและผสู้ มัครรบั เลือกตงั้ หลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการเลอื กต้งั และจำ�นวนสมาชิก (มาตรา ๓๘)  รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๔๙๒ กำ�หนดเร่ืองการมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ (มาตรา ๓๗) การรวมกนั เป็นพรรคการเมือง (มาตรา ๓๙) การเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผแู้ ทน จ�ำ นวนสมาชิกสภาผูแ้ ทน (มาตรา ๘๖ ประกอบมาตรา ๘๗) คณุ สมบตั ผิ ู้มีสทิ ธิเลอื กตัง้ (มาตรา ๘๘ ประกอบมาตรา ๘๙ และมาตรา ๙๐) คณุ สมบตั ิผู้มสี ิทธสิ มัครรบั เลอื กตง้ั เป็น สมาชิกสภาผู้แทน (มาตรา ๙๑ ประกอบมาตรา ๘๘ มาตรา ๙๒ และมาตรา ๙๓) สทิ ธอิ อกเสยี งประชามติ (มาตรา ๑๗๔ มาตรา ๑๗๕ และมาตรา ๑๗๖)

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๕ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พุทธศักราช ๒๔๙๕ กำ�หนดเร่ืองการมีเสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะ  การต้ัง พรรคการเมือง (มาตรา ๒๖) รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ กำ�หนดเร่ืองการมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ (มาตรา ๓๕) การรวมกนั เปน็ พรรคการเมือง (มาตรา ๓๗) การเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทน จำ�นวนสมาชกิ สภาผูแ้ ทน (มาตรา ๘๒ ประกอบมาตรา ๘๓) คณุ สมบัตผิ ู้มีสิทธิเลอื กตง้ั (มาตรา ๘๔ ประกอบมาตรา ๘๕ และมาตรา ๘๖) คณุ สมบัติ  ผู้สมคั รรบั เลือกตั้งเปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทน (มาตรา ๘๗ ประกอบมาตรา ๘๔ มาตรา ๘๘ และมาตรา ๘๙) สทิ ธอิ อกเสยี ง ประชามติ (มาตรา ๑๗๐ มาตรา ๑๗๑ และมาตรา ๑๗๒) รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ กำ�หนดว่าบุคคลย่อมมีสิทธิทางการเมือง  การใช้สิทธิเลือกตั้ง สิทธิสมัครรับเลือกต้ัง  และสิทธิออกเสียงแสดงประชามติ  (มาตรา  ๒๙)  การมีเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ  (มาตรา  ๔๓)  การรวมกันเป็นพรรคการเมือง (มาตรา ๔๕) การเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา ๑๑๑ ประกอบมาตรา ๑๑๒) คุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกต้ัง  (มาตรา  ๑๑๕)  คุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกต้ังเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร  (มาตรา  ๑๑๗)  สิทธิเลือกต้ังสมาชิกของสภาท้องถ่ินและหัวหน้า ฝา่ ยบรหิ ารทอ้ งถน่ิ หรอื คณะผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ (มาตรา ๒๑๖ และมาตรา ๒๑๗) สทิ ธอิ อกเสยี ง ประชามติ (มาตรา ๒๒๙ มาตรา ๒๓๐ และมาตรา ๒๓๑) รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ กำ�หนดว่าบุคคลย่อมมีสิทธิทางการเมือง  การใช้สิทธิทางการเมือง (มาตรา  ๒๔) การมเี สรภี าพในการชมุ นมุ โดยสงบและปราศจากอาวธุ (มาตรา ๓๖) เสรภี าพ ในการรวมกันเป็นพรรคการเมือง  (มาตรา  ๓๘)  การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา ๘๙ ประกอบมาตรา ๙๐) คณุ สมบตั ผิ มู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั (มาตรา ๙๒) คณุ สมบตั ผิ มู้ สี ทิ ธิ สมคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (มาตรา ๙๔) การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาทอ้ งถน่ิ คุณสมบตั ผิ ู้สมัครรบั เลือกต้ังเป็นสมาชกิ สภาท้องถนิ่ (มาตรา ๑๘๒ ประกอบมาตรา ๙๔(๑) และ (๒))  การเลอื กตงั้ คณะผู้บริหารทอ้ งถน่ิ หรือผูบ้ ริหารท้องถนิ่ (มาตรา ๑๘๓) 16

17 รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๔ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย แกไ้ ขเพิม่ เติม (ฉบบั ท่ี ๕) พุทธศกั ราช ๒๕๓๘ กำ�หนดว่าบุคคลย่อมมีสิทธิทางการเมือง  การใช้สิทธิทางการเมือง (มาตรา ๒๖) การมเี สรีภาพในการชมุ นมุ โดยสงบและปราศจากอาวุธ (มาตรา ๔๒) เสรีภาพ ในการรวมกันเปน็ พรรคการเมอื ง (มาตรา ๔๔) การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร (มาตรา ๑๐๕)  คุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกต้ัง  (มาตรา  ๑๐๙)  คุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  (มาตรา  ๑๑๑)  การเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถ่ิน  คุณสมบัติ ผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั (มาตรา ๑๙๘ ประกอบมาตรา ๑๑๑ (๑) และ (๒)) การเลอื กตง้ั คณะผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ หรอื ผู้บริหารทอ้ งถิ่น (มาตรา ๑๙๙) รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ มาตรา  ๔๔  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวธุ การจำ�กัดเสรภี าพตามวรรคหนึ่งจะกระทำ�มไิ ด้ เว้นแต่โดยอาศัยอ�ำ นาจ ตามบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายเฉพาะในกรณกี ารชมุ นมุ สาธารณะ  และเพอ่ื คมุ้ ครองความสะดวก ของประชาชนท่ีจะใช้ท่ีสาธารณะหรือเพ่ือรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลา ท่ีประเทศอยู่ในภาวะการสงครามหรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรอื ประกาศใชก้ ฎอยั การศกึ มาตรา ๔๗ บุ ค ค ล ย่ อ ม มี เ ส รี ภ า พ ใ น ก า ร ร ว ม กั น จั ด ต้ั ง เ ป็ น พรรคการเมืองเพ่ือสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนและเพ่ือดำ�เนินกิจการ ในทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณน์ ้ัน ตามวิถที างการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุขตามทบี่ ญั ญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนญู นี้ วรรคสาม  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซ่ึงเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง กรรมการบริหารของพรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมืองตามจำ�นวนท่ีกำ�หนด ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  ซ่งึ เห็นว่ามติหรือข้อบังคับในเร่อื งใด ของพรรคการเมืองท่ีตนเป็นสมาชิกอยู่น้ันจะขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญน้ี  หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพ้ืนฐานแห่งการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  มีสิทธิร้องขอให้ศาล รัฐธรรมนญู พจิ ารณาวินจิ ฉยั

วรรคสี่  ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติหรือข้อบังคับดังกล่าว ขดั หรอื แยง้ กบั หลกั การพน้ื ฐานแหง่ การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์ ทรงเปน็ ประมขุ ให้มติหรอื ขอ้ บงั คับน้นั เป็นอนั ยกเลิกไป มาตรา ๑๐๕  บุคคลผู้มคี ณุ สมบตั ดิ ังตอ่ ไปน้ี เปน็ ผ้มู สี ิทธิเลอื กต้งั (๑)  มีสัญชาติไทย   แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ตอ้ งได้สัญชาตไิ ทยมาแลว้ ไมน่ อ้ ยกวา่ หา้ ปี (๒)  มอี ายไุ ม่ต�ำ่ กว่าสิบแปดปีบรบิ ูรณใ์ นวนั ที่ ๑ มกราคมของปีท่มี ีการ เลอื กตั้ง และ (๓)  มีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อย กวา่ เก้าสิบวนั นบั ถงึ วนั เลอื กตงั้ มาตรา ๑๐๗  บคุ คลผมู้ คี ณุ สมบตั ดิ งั ตอ่ ไปน้ ี เปน็ ผมู้ สี ทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (๑)  มีสญั ชาติไทยโดยการเกิด (๒)  มีอายุไม่ต่ำ�กว่ายีส่ บิ ห้าปีบริบรู ณ์ในวนั เลือกตง้ั (๓)  สำ�เร็จการศึกษาไม่ตำ่�กว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า  เว้นแต่ เคยเปน็ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ สิ ภา (๔)  เปน็ สมาชกิ พรรคการเมอื งใดพรรคการเมอื งหนง่ึ แตเ่ พยี งพรรคเดยี ว นับถึงวันสมคั รรบั เลือกตัง้ เป็นเวลาตดิ ตอ่ กันไมน่ ้อยกว่าเก้าสิบวัน (๕)  ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกต้ังต้องมีลักษณะอย่างใด อยา่ งหนง่ึ ดงั ตอ่ ไปนด้ี ว้ ย คอื (ก) มชี อ่ื อยใู่ นทะเบยี นบา้ นในจงั หวดั ทส่ี มคั รรบั เลอื กตง้ั มาแลว้ เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าหน่ึงปีนับถึงวันสมัครรับเลือกต้ัง  (ข)  เคยเป็นสมาชิกสภา ผ้แู ทนราษฎรจังหวัดท่สี มัครรับเลือกต้งั   หรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถ่นิ หรือผ้บู ริหารท้องถ่นิ ในจงั หวดั น้ัน (ค) เปน็ บุคคลซงึ่ เกดิ ในจังหวัดท่สี มคั รรับเลอื กต้งั   (ง) เคยศึกษาในสถานศกึ ษา ทต่ี ง้ั อยใู่ นจงั หวดั ทส่ี มคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ เวลาตดิ ตอ่ กนั ไมน่ อ้ ยกวา่ สองปกี ารศกึ ษา (จ) เคยรบั ราชการหรือเคยมีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดท่ีสมัครรับเลือกต้ังเป็นเวลาติดต่อกัน ไม่นอ้ ยกวา่ สองปี มาตรา ๑๒๕   บคุ คลผมู้ คี ณุ สมบตั ดิ งั ตอ่ ไปน ้ี เปน็ ผมู้ สี ทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ วุฒสิ ภา (๑)  มีสัญชาติไทยโดยการเกิด  (๒)  มีอายุไม่ตำ่�กว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ ในวันเลือกต้ัง  (๓)  สำ�เร็จการศึกษาไม่ต่ำ�กว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า  (๔)  มีลักษณะ อย่างใดอยา่ งหน่งึ ตามมาตรา ๑๐๗ (๕) 18

19 มาตรา ๑๗๐  ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าห้าหม่ืนคน  มีสิทธิเข้าชื่อ ร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่กำ�หนดในหมวด  ๓  และหมวด ๕ แห่งรฐั ธรรมนญู นี้ มาตรา ๒๑๔  ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ากิจการในเรื่องใด อาจกระทบถงึ ประโยชนไ์ ดเ้ สยี ของประเทศชาตหิ รอื ประชาชน นายกรฐั มนตรโี ดยความเหน็ ชอบ ของคณะรัฐมนตรีอาจปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาเพื่อประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาให้มกี ารออกเสียงประชามตไิ ด้ ... มาตรา ๒๘๕  องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องมีสภาท้องถ่ิน และคณะผูบ้ ริหารท้องถ่นิ หรือผูบ้ ริหารท้องถ่ิน สมาชกิ สภาท้องถ่นิ ตอ้ งมาจากการเลอื กตง้ั คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกต้ัง โดยตรงของประชาชน หรอื มาจากความเหน็ ชอบของสภาท้องถนิ่ ... มาตรา ๒๘๖  ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกต้ังในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินใด มีจำ�นวนไม่น้อยกว่าสามในส่ีของจำ�นวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเสียง  เห็นว่า สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถ่ินผู้ใดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นน้ันไม่สมควร ดำ�รงตำ�แหน่งต่อไป  ให้สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้นั้นพ้นจากตำ�แหน่ง  ท้ังนี้ ตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ การลงคะแนนเสียงตามวรรคหน่ึงต้องมีผู้มีสิทธิเลือกต้ังมาลงคะแนน ไม่นอ้ ยกว่าก่ึงหนงึ่ ของจ�ำ นวนผมู้ สี ิทธิเลือกตั้งทั้งหมด  มาตรา ๒๘๗  ราษฎรผ้มู ีสิทธิเลือกต้งั ในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ใด มีจำ�นวนไม่น้อยกว่ากึ่งหน่ึงของจำ�นวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นน้ัน มีสิทธิเข้าช่ือร้องขอต่อประธานสภาท้องถิ่นเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติ ทอ้ งถิ่นได้ มาตรา ๓๐๔  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำ�นวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในสี่ ของจำ�นวนสมาชิกท้ังหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ัง จำ�นวนไม่น้อยกว่าห้าหม่ืนคน  มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพ่ือให้วุฒิสภามีมติ ตามมาตรา  ๓๐๗  ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา  ๓๐๓  ออกจากตำ�แหน่งได้  คำ�ร้องขอ

ดังกล่าวต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าผู้ดำ�รงตำ�แหน่งดังกล่าวกระทำ�ความผิดเป็นข้อ  ๆ ใหช้ ัดเจน (บุคคลผู้ดำ�รงต�ำ แหน่งตามมาตรา ๓๐๓ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  ประธานศาลฎีกา  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ  ประธาน ศาลปกครองสงู สุด หรอื อยั การสูงสุด กรรมการการเลือกตั้ง ผูต้ รวจการแผน่ ดินของรฐั สภา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน  ผู้พิพากษาหรือตุลาการ  พนักงาน อัยการ  หรือผู้ดำ�รงตำ�แหน่งระดับสูง  ทั้งน้ี  ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ) รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย  (ฉบบั ชว่ั คราว)  พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๙ กำ�หนดเรื่องสิทธิออกเสียงประชามติในการให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบรา่ งรฐั ธรรมนูญ (มาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๑) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖๓  บคุ คลยอ่ มมเี สรภี าพในการชมุ นมุ โดยสงบและปราศจากอาวธุ การจำ�กัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำ�มิได้  เว้นแต่โดยอาศัย อำ�นาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ  และเพ่ือคุ้มครอง ความสะดวกของประชาชนท่ีจะใช้ที่สาธารณะหรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่าง เวลาท่ีประเทศอยู่ในภาวะสงคราม  หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศใช้กฎอยั การศกึ มาตรา ๖๕  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนและเพ่ือดำ�เนินกิจกรรมในทางการเมือง ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้น  ตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ ตามที่บญั ญัตไิ วใ้ นรฐั ธรรมนูญน้ี วรรคสาม  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซ่ึงเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง กรรมการบริหารของพรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมืองตามจำ�นวนท่ีกำ�หนด ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  ซ่ึงเห็นว่ามติหรือข้อบังคับ ในเรื่องใดของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกอยู่น้ันจะขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้  หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐาน แหง่ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ มีสทิ ธิร้องขอให้ ศาลรัฐธรรมนญู พิจารณาวนิ ิจฉยั 20

21 วรรคส่ี  ในกรณีท่ีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติหรือข้อบังคับดังกล่าว ขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมขุ ใหม้ ตหิ รอื ขอ้ บงั คบั นั้นเปน็ อันยกเลิกไป มาตรา ๙๙  บุคคลผู้มีคณุ สมบัตดิ ังตอ่ ไปนี้ เป็นผ้มู สี ิทธิเลอื กต้ัง (๑)  มีสัญชาติไทย  แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ตอ้ งไดส้ ัญชาติไทย มาแล้วไมน่ อ้ ยกวา่ ห้าปี (๒)  มอี ายไุ มต่ ่�ำ กวา่ สบิ แปดปีบรบิ ูรณใ์ นวนั ที่ ๑ มกราคมของปีที่มีการ เลอื กต้งั และ (๓)   มีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกต้ังมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า เกา้ สิบวันนบั ถงึ วันเลอื กตัง้ มาตรา ๑๐๑  บคุ คลผมู้ คี ณุ สมบตั ดิ งั ตอ่ ไปน้ี เปน็ ผมู้ สี ทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตง้ั เป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (๑)  มีสัญชาติไทยโดยการเกดิ (๒)  มอี ายไุ ม่ต่�ำ กว่ายส่ี บิ หา้ ปีบรบิ ูรณ์ในวนั เลือกตง้ั (๓)  เปน็ สมาชกิ พรรคการเมอื งใดพรรคการเมอื งหนง่ึ แตเ่ พยี งพรรคเดยี ว เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกต้ัง  เว้นแต่ในกรณีท่ีมีการเลือกต้ัง ทว่ั ไปเพราะเหตยุ บุ สภา ตอ้ งเปน็ สมาชกิ พรรคการเมอื งใดพรรคการเมอื งหนง่ึ แตเ่ พยี งพรรคเดยี ว เป็นเวลาติดต่อกันไม่นอ้ ยกวา่ สามสิบวนั นบั ถึงวนั เลือกตง้ั (๔)  ผู้สมัครรับเลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง  ต้องมีลักษณะอย่างใด อย่างหน่ึงดังต่อไปน้ีด้วย  (ก)  มีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดท่ีสมัครรับเลือกต้ังมาแล้ว เป็นเวลาตดิ ต่อกนั ไม่น้อยกวา่ หา้ ปนี บั ถงึ วนั สมัครรับเลือกตั้ง (ข) เป็นบคุ คลซ่งึ เกิดในจังหวดั ทส่ี มคั รรบั เลอื กตง้ั   (ค)  เคยศกึ ษาในสถานศกึ ษาทต่ี ง้ั อยใู่ นจงั หวดั ทส่ี มคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ เวลา ติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปีการศึกษา  (ง)  เคยรับราชการหรือเคยมีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้าน ในจงั หวดั ทส่ี มคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ เวลาตดิ ตอ่ กนั ไมน่ อ้ ยกวา่ หา้ ปี (๕) ยกเลกิ (๖) คณุ สมบตั อิ น่ื ตามที่บัญญัติไว้  ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรและการได้มาซ่งึ สมาชกิ วฒุ ิสภา มาตรา ๑๑๕  บุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ เปน็ ผู้มีสทิ ธสิ มัครรบั เลือกตง้ั หรือได้รบั การเสนอชอ่ื เพ่อื เข้ารบั การสรรหาเป็นสมาชกิ วุฒิสภา

(๑)  มีสัญชาติไทยโดยการเกิด (๒)  มีอายุไม่ตำ่�กว่าส่ีสิบปีบริบูรณ์ในวันสมัครรับเลือกตั้งหรือวันที่ ไดร้ บั การเสนอช่ือ (๓)  ส�ำ เรจ็ การศกึ ษาไมต่ �่ำ กว่าปรญิ ญาตรีหรือเทยี บเทา่ (๔)  ผู้สมัครรับเลือกต้ังเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกต้ังต้องมี ลักษณะอย่างใดอย่างหน่ึงดังต่อไปนี้ด้วย  (ก)  มีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับ เลือกต้งั มาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไมน่ ้อยกว่าหา้ ปนี บั ถงึ วนั สมคั รรับเลอื กตั้ง (ข)  เป็นบุคคล ซึ่งเกิดในจังหวัดท่ีสมัครรับเลือกต้ัง  (ค)  เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัคร รบั เลอื กตง้ั เปน็ เวลาตดิ ตอ่ กนั ไมน่ อ้ ยกวา่ หา้ ปกี ารศกึ ษา (ง) เคย รบั ราชการหรอื เคยมชี อ่ื อยใู่ น ทะเบียนบา้ นในจงั หวัดที่สมคั รรบั เลอื กต้งั เปน็ เวลาติดตอ่ กนั ไมน่ อ้ ยกว่าห้าปี (๕)  ไม่เป็นบุพการี  คู่สมรส  หรือบุตรของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งสมาชิก สภาผูแ้ ทนราษฎรหรอื ผดู้ �ำ รงต�ำ แหน่งทางการเมอื ง (๖)  ไม่เป็นสมาชิกหรือผู้ดำ�รงตำ�แหน่งใดในพรรคการเมืองหรือเคย เป็นสมาชิกหรือเคยดำ�รงตำ�แหน่งและพ้นจากการเป็นสมาชิกหรือการดำ�รงตำ�แหน่งใด  ๆ  ในพรรคการเมอื งมาแล้วยังไม่เกินหา้ ปีนบั ถงึ วันสมคั รรบั เลอื กตง้ั หรอื วนั ที่ได้รบั การเสนอชือ่ (๗)  ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  หรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรและพ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วไม่เกินห้าปีนับถึงวันสมัคร รบั เลือกต้ังหรือวนั ที่ไดร้ บั การเสนอชือ่ (๘)   เปน็ บคุ คลตอ้ งหา้ มมใิ หใ้ ชส้ ทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตง้ั ตาม  มาตรา  ๑๐๒ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๑) (๑๒) (๑๓) หรือ (๑๔) (๙) ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมืองอ่ืนซึ่งมิใช่ สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น  หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำ�แหน่งดังกล่าวมาแล้ว ยังไมเ่ กนิ ห้าปี มาตรา ๑๔๒  ภายใตบ้ งั คบั มาตรา ๑๓๙ รา่ งพระราชบญั ญตั จิ ะเสนอได้ ก็แตโ่ ดย (๔)  ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำ�นวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าช่ือเสนอ กฎหมายตามมาตรา ๑๖๓ ในกรณีที่ร่างพระราชบญั ญัตซิ ึง่ มผี เู้ สนอตาม (๒) (๓) หรือ (๔) เป็นรา่ ง พระราชบัญญตั ิเกย่ี วด้วยการเงินจะเสนอไดก้ ็ตอ่ เมื่อมคี ำ�รบั รองของนายกรัฐมนตรี ... 22

23 มาตรา ๑๖๓ ประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั ไมน่ อ้ ยกวา่ หนง่ึ หมน่ื คน มสี ทิ ธิ เข้าช่ือร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพ่ือให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามที่กำ�หนด ในหมวด ๓ และหมวด ๕ แหง่ รฐั ธรรมนูญน้ี ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามวรรคหนึ่ง  สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาต้อง  ให้ผ้แู ทนของประชาชนผ้มู ีสิทธิเลือกต้งั ท่เี ข้าช่อื เสนอร่างพระราชบัญญัติน้นั ชแ้ี จงหลกั การของรา่ งพระราชบญั ญตั ิ  และคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั เพอ่ื พจิ ารณารา่ งพระราช บัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังที่เข้าช่ือเสนอ ร่างพระราชบญั ญตั นิ ั้นจำ�นวนไม่น้อยกวา่ หนึง่ ในสามของจำ�นวนกรรมาธิการทง้ั หมดด้วย มาตรา ๑๖๔  ประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั จ�ำ นวนไมน่ อ้ ยกวา่ สองหมน่ื คน มีสิทธิเข้าช่ือร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพ่ือให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา  ๒๗๔  ให้ถอดถอน บุคคลตามมาตรา  ๒๗๐  ออกจากตำ�แหน่งได้  (บุคคลผู้ดำ�รงตำ�แหน่งตามมาตรา  ๒๗๐ ได้แก่  นายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรี  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  ประธานศาล ฎีกา ประธานศาลรฐั ธรรมนญู ประธานศาลปกครองสูงสดุ หรืออยั การสูงสุด  ตลุ าการศาล รฐั ธรรมนูญ กรรมการการเลอื กต้งั ผ้ตู รวจการแผน่ ดนิ กรรมการตรวจเงินแผน่ ดิน ผ้พู ิพากษา หรือตุลาการ  พนักงานอัยการ  หรือผู้ดำ�รงตำ�แหน่งระดับสูง  ท้ังนี้  ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ย  การปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต) มาตรา ๑๖๕  ประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั ยอ่ มมสี ทิ ธอิ อกเสยี งประชามติ การจดั ให้มกี ารออกเสียงประชามติใหก้ ระทำ�ได้ในเหตุ ดังต่อไปนี้ (๑)  ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ากิจการในเร่ืองใดอาจกระทบถึง ประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติหรือประชาชน  นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรีอาจปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาเพื่อประกาศใน ราชกจิ จานุเบกษาให้มีการออกเสียงประชามติได้ (๒)  ในกรณที ี่มกี ฎหมายบญั ญัตใิ ห้มีการออกเสยี งประชามติ … มาตรา ๒๗๑ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังจำ�นวนไม่น้อยกว่าสองหม่ืนคนมีสิทธิเข้าชื่อ ร้องขอให้ถอดถอนบคุ คลตามมาตรา ๒๗๐ ออกจากต�ำ แหน่งไดต้ ามมาตรา ๑๖๔

มาตรา ๒๘๒ … ในการกำ�กับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามวรรคหนึ่ง  ให้มีการ กำ�หนดมาตรฐานกลางเพ่ือเป็นแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเลือกไปปฏิบัติได้เอง โดยคำ�นึงถึงความเหมาะสมและความแตกต่างในระดับของการพัฒนาและประสิทธิภาพ ในการบรหิ ารขององคก์ รปกครอง  สว่ นทอ้ งถน่ิ ในแตล่ ะรปู แบบโดยไมก่ ระทบตอ่ ความสามารถ ในการตัดสินใจดำ�เนนิ งานตามความตอ้ งการขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ รวมทง้ั จัดให้มี กลไกการตรวจสอบการด�ำ เนนิ งานโดยประชาชนเปน็ หลัก มาตรา ๒๘๔  องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องมีสภาท้องถ่ิน และคณะผู้บริหารทอ้ งถน่ิ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถิ่น สมาชิกสภาท้องถ่ินตอ้ งมาจากการเลือกตัง้ คณะผู้บริหารท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกต้ัง โดยตรงของประชาชน หรือมาจากความเหน็ ชอบของสภาท้องถ่นิ วรรคเก้า  การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มี โครงสร้างการบริหารที่แตกต่างจากท่ีบัญญัติไว้ในมาตรานี้  ให้กระทำ�ได้ตามท่ีกฎหมาย บัญญัติ แตค่ ณะผ้บู ริหารทอ้ งถน่ิ หรือผูบ้ รหิ ารทอ้ งถิ่นตอ้ งมาจากการเลือกตง้ั มาตรา ๒๘๕  ประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั ในองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ใด เห็นว่าสมาชิกสภาท้องถิ่น  คณะผู้บริหารท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้ใดขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นไม่สมควรดำ�รงตำ�แหน่งต่อไป  ให้มีสิทธิลงคะแนนเสียงถอดถอน สมาชิกสภาทอ้ งถ่ิน คณะผู้บริหารทอ้ งถ่ิน หรอื ผ้บู ริหารท้องถิน่ ผนู้ ั้นพน้ จากตำ�แหน่ง ทัง้ นี้ จ�ำ นวนผมู้ สี ทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารเขา้ ชอ่ื การตรวจสอบรายชอ่ื และการลงคะแนนเสยี ง ใหเ้ ป็นไปตามทกี่ ฎหมายบัญญตั ิ มาตรา ๒๘๖  ประชาชนผ้มู ีสิทธิเลือกต้งั ในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ มสี ทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื รอ้ งขอตอ่ ประธานสภาทอ้ งถน่ิ เพอ่ื ใหส้ ภาทอ้ งถน่ิ พจิ ารณาออกขอ้ บญั ญตั ทิ อ้ งถน่ิ ได้ มาตรา ๒๘๗  ประชาชนในท้องถ่ินมีสิทธิมีส่วนร่วมในการบริหาร กิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องจัดให้มีวิธีการ ท่ใี หป้ ระชาชนมสี ่วนรว่ มดงั กลา่ วได้ด้วย 24

25 ในกรณีที่การกระทำ�ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินจะมีผลกระทบต่อ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถ่ินในสาระสำ�คัญ  องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้อง แจ้งข้อมูลรายละเอียดให้ประชาชนทราบก่อนกระทำ�การเป็นเวลาพอสมควร  และในกรณี ทเ่ี หน็ สมควรหรอื ไดร้ บั การรอ้ งขอจากประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั ในองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นก่อนการกระทำ�น้ัน  หรืออาจจัดให้ประชาชนออกเสียง ประชามติเพอื่ ตดั สินใจก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องรายงานการดำ�เนินงานต่อประชาชน ในเรอื่ งการจดั ท�ำ งบประมาณ การใช้จ่าย และผลการดำ�เนินงานในรอบปี เพอ่ื ให้ประชาชน มสี ่วนรว่ มในการตรวจสอบ และก�ำ กบั การบรหิ ารจัดการขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ … มาตรา ๒๙๑  การแก้ไขเพม่ิ เติมรฐั ธรรมนญู ใหก้ ระท�ำ ไดต้ ามหลกั เกณฑ์ และวิธกี ารดังตอ่ ไปนี้ (๑)  ญัตตขิ อแกไ้ ขเพิ่มเติมตอ้ งมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชกิ สภาผู้แทน ราษฎรมีจำ�นวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในห้าของจำ�นวนสมาชิกทั้งหมดเท่าท่ีมีอยู่ของสภาผู้แทน ราษฎร  หรือจากสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร  และสมาชิกวุฒิสภามีจำ�นวนไม่น้อยกว่าหน่งึ ในห้า ของจำ�นวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา  หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ัง จ�ำ นวนไมน่ อ้ ยกว่าหา้ หม่ืนคนตามกฎหมายวา่ ด้วยการเข้าชอ่ื เสนอกฎหมาย … (๔)  การพิจารณาในวาระที่สองข้ันพิจารณาเรียงลำ�ดับมาตรา  ต้องจัด ให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไข เพมิ่ เตมิ ดว้ ย … รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชว่ั คราว) พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ (รวมถงึ ฉบบั แก้ไขเพิม่ เตมิ ) กำ�หนดเรื่องสิทธิออกเสียงประชามติในการให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ  ร่างรัฐธรรมนูญ  และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการจัดทำ� ร่างรัฐธรรมนูญ

รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  ๒๕๖๐  ได้มีการ ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เมือ่ วันท่ี ๖ เมษายน ๒๕๖๐ โดยมีบทบัญญัตเิ กยี่ วกับสทิ ธิ ทางการเมืองของประชาชน ดงั น้ี มาตรา ๒๕  สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย  นอกจากท่ีบัญญัติ คุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว  การใดที่มิได้ห้ามหรือจำ�กัดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือในกฎหมายอ่นื บุคคลยอ่ มมสี ิทธิและเสรภี าพที่จะท�ำ การนัน้ ได้และได้รบั ความคมุ้ ครอง ตามรฐั ธรรมนญู   ตราบเทา่ ทก่ี ารใชส้ ทิ ธหิ รอื เสรภี าพเชน่ วา่ นน้ั ไมก่ ระทบกระเทอื นหรอื เปน็ อนั ตราย ตอ่ ความมน่ั คงของรฐั ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน และไมล่ ะเมดิ สทิ ธิ หรือเสรภี าพของบคุ คลอ่ืน สิทธิหรือเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามท่ีกฎหมายบัญญัติ หรือให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกฎหมายบัญญัต ิ แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายนั้น ข้ึนใช้บังคับ  บุคคลหรือชุมชนย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นได้ตามเจตนารมณ์ ของรฐั ธรรมนูญ บุคคลซ่ึงถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญ  สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็น ขอ้ ต่อสคู้ ดใี นศาลได้ … มาตรา ๔๔  บคุ คลยอ่ มมเี สรภี าพในการชมุ นมุ โดยสงบและปราศจากอาวธุ การจ�ำ กัดเสรีภาพตามวรรคหน่งึ จะกระท�ำ มิได้ เว้นแตโ่ ดยอาศัยอำ�นาจ ตามบทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมายทต่ี ราขน้ึ เพื่อรกั ษาความม่นั คงของรัฐ ความปลอดภยั สาธารณะ ความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  หรือเพ่ือคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพ ของบคุ คลอืน่ มาตรา ๔๕  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมือง ตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามท่ี กฎหมายบัญญตั ิ กฎหมายตามวรรคหน่ึงอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหาร พรรคการเมือง  ซง่ึ ตอ้ งก�ำ หนดให้เป็นไปโดยเปดิ เผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้สมาชิก มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกำ�หนดนโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง  และกำ�หนด มาตรการให้สามารถดำ�เนินการโดยอิสระไม่ถูกครอบงำ�หรือชี้นำ�โดยบุคคลซึ่งมิได้เป็น 26

27 สมาชิกของพรรคการเมืองนั้น  รวมท้ังมาตรการกำ�กับดูแลมิให้สมาชิกของพรรคการเมือง กระท�ำ การอนั เป็นการฝ่าฝนื หรือไม่ปฏิบัตติ ามกฎหมายเกี่ยวกบั การเลือกต้งั มาตรา ๕๑  การใดท่ีรัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นหน้าท่ีของรัฐ ตามหมวดนี้ ถ้าการนนั้ เป็นการท�ำ เพือ่ ให้เกดิ ประโยชนแ์ กป่ ระชาชนโดยตรง ยอ่ มเป็นสิทธิ ของประชาชนและชมุ ชนทจ่ี ะตดิ ตามและเรง่ รดั ใหร้ ฐั ด�ำ เนนิ การ รวมตลอดทง้ั ฟอ้ งรอ้ งหนว่ ยงาน ของรฐั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง  เพอ่ื จดั ใหป้ ระชาชนหรอื ชมุ ชนไดร้ บั ประโยชนน์ น้ั ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี าร ที่กฎหมายบญั ญัติ มาตรา ๖๓  รัฐต้องส่งเสริม  สนับสนุนอและให้ความรู้แก่ประชาชน ถึงอันตรายท่เี กิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบท้งั ในภาครัฐและภาคเอกชน  และจัดให้มี มาตรการและกลไกทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพเพอ่ื ปอ้ งกนั และขจดั การทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบดงั กลา่ ว อย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริมใหป้ ระชาชนรวมตวั กันเพอื่ มีส่วนร่วมในการรณรงค์ ใหค้ วามรู้ ตอ่ ต้าน หรือชเ้ี บาะแส โดยไดร้ บั ความค้มุ ครอง จากรัฐตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๗๗ วรรคสอง ก่อนการตรากฎหมายทกุ ฉบับ รัฐพงึ จัดให้มกี ารรับฟังความคิดเห็นของ ผู้เก่ียวข้อง  วิเคราะห์ผลกระทบท่ีอาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทง้ั เปดิ เผยผลการรบั ฟงั ความคดิ เหน็ และการวเิ คราะหน์ น้ั ตอ่ ประชาชน และน�ำ มาประกอบ การพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกข้นั ตอน เม่ือกฎหมายมีผลใช้บงั คบั แลว้ รัฐพงึ จัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธ์ขิ องกฎหมายทุกรอบระยะเวลาท่กี ำ�หนดโดยรับฟังความคิดเห็น ของผู้เก่ียวข้องประกอบด้วย  เพ่ือพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสมกับ บริบทต่างๆ ที่เปลยี่ นแปลงไป มาตรา ๗๘  รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจ ท่ีถูกต้องเก่ียวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ  การจัดทำ�บริการสาธารณะทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถนิ่ การตรวจสอบการใชอ้ �ำ นาจรัฐ การตอ่ ต้านการทุจรติ และประพฤติมิชอบ รวมตลอดทง้ั การตัดสินใจทางการเมือง และการอนื่ ใดบรรดาท่ีอาจมีผลกระทบต่อประชาชน หรือชุมชน มาตรา ๙๕  บคุ คลผ้มู คี ณุ สมบัตดิ งั ต่อไปนี้ เป็นผู้มสี ทิ ธเิ ลือกตง้ั (๑)  มีสัญชาติไทย  แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ตอ้ งได้สัญชาตไิ ทย มาแล้วไม่น้อยกวา่ หา้ ปี (๒)  มีอายไุ ม่ต่ำ�กวา่ สบิ แปดปีในวนั เลอื กตง้ั

(๓)  มีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกต้ังมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า เก้าสบิ วันนับถึงวันเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกต้ังซ่ึงอยู่นอกเขตเลือกต้ังที่ตนมีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้าน หรือมีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาน้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง หรือมีถิ่นท่ีอยู่นอกราชอาณาจักร  จะขอลงทะเบียนเพื่อออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งนอก เขตเลอื กตงั้ ณ สถานที่ และตามวนั เวลา วิธกี าร และเง่ือนไขท่บี ัญญตั ไิ วใ้ นพระราชบัญญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลือกต้ังสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรกไ็ ด้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งซ่ึงไม่ไปใช้สิทธิเลือกต้ังโดยมิได้แจ้งเหตุอันสมควร ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อาจถูกจ�ำ กดั สิทธิบางประการตามที่กฎหมายบัญญัติ มาตรา ๙๗  บคุ คลผมู้ คี ณุ สมบตั ดิ งั ตอ่ ไปน้ี เปน็ ผมู้ สี ทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตง้ั เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (๑) มสี ัญชาติไทยโดยการเกิด (๒) มีอายุไม่ต�ำ่ กวา่ ย่สี บิ หา้ ปีนบั ถงึ วันเลอื กตง้ั (๓) เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียง พรรคการเมืองเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกต้งั   เว้นแต่ในกรณี ทม่ี กี ารเลอื กตง้ั ทว่ั ไปเพราะเหตยุ บุ สภา  ระยะเวลาเกา้ สบิ วนั ดงั กลา่ วใหล้ ดลงเหลอื สามสบิ วนั (๔)  ผู้สมัครรับเลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  ต้องมีลักษณะอย่างใด อย่างหนง่ึ ดังตอ่ ไปนี้ด้วย (ก)  มีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกต้ังมาแล้ว เปน็ เวลาตดิ ตอ่ กันไม่นอ้ ยกวา่ ห้าปีนบั ถงึ วันสมคั รรบั เลอื กตง้ั (ข)  เปน็ บคุ คลซง่ึ เกดิ ในจังหวดั ที่สมัครรบั เลอื กตั้ง (ค)  เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดตอ่ กันไมน่ ้อยกว่าหา้ ปกี ารศกึ ษา (ง)  เคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าท่ีในหน่วยงานของรัฐ  หรือ เคยมีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดท่ีสมัครรับเลือกตั้ง  แล้วแต่กรณี  เป็นเวลาติดต่อกัน ไม่น้อยกวา่ ห้าปี มาตรา ๑๓๓  ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ก่อนจะเสนอไดก้ ็แต่โดย 28

29 (๓) ผู้มีสิทธิเลือกต้ังจำ�นวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหม่ืนคนเข้าช่ือเสนอ กฎหมายตามหมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หรอื หมวด ๕ หน้าท่ขี องรฐั ทง้ั น้ี ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการเขา้ ชอื่ เสนอกฎหมาย ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม  (๒)  หรือ  (๓)  เป็นร่าง พระราชบัญญตั ิเกี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอไดก้ ็ต่อเมือ่ มคี �ำ รับรองของนายกรัฐมนตรี มาตรา ๑๖๖  ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร  คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการ ออกเสียงประชามติในเร่ืองใดอันมิใช่เร่ืองที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เก่ียวกับ ตัวบุคคลหรอื คณะบุคคลใดกไ็ ด้ ทง้ั น้ี ตามท่กี ฎหมายบัญญัติ มาตรา ๒๕๒  สมาชกิ สภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตง้ั ผู้บริหารท้องถ่ินให้มาจากการเลือกต้ังหรือมาจากความเห็นชอบของ สภาท้องถ่ิน  หรือในกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ  จะให้มาโดยวิธีอ่ืนก็ได้ แตต่ อ้ งคำ�นงึ ถงึ การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนด้วย ท้งั นี้ ตามทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ มาตรา ๒๕๓  ในการดำ�เนินงาน  ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน สภาทอ้ งถน่ิ   และผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ เปดิ เผยขอ้ มลู และรายงานผลการด�ำ เนนิ งานใหป้ ระชาชนทราบ รวมตลอดทั้งมีกลไกใหป้ ระชาชนในท้องถน่ิ มสี ว่ นรว่ มด้วย ทัง้ น้ี ตามหลักเกณฑแ์ ละวิธกี าร ทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๒๕๔  ประชาชนผมู้ สี ิทธเิ ลอื กต้งั ในองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ มีสิทธิเข้าชื่อกันเพื่อเสนอข้อบัญญัติหรือเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น  หรือผู้บริหาร ท้องถ่นิ ไดต้ ามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงื่อนไขที่กฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๒๕๖  ภายใตบ้ งั คบั มาตรา ๒๕๕ การแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ รฐั ธรรมนญู ให้กระท�ำ ไดต้ ามหลกั เกณฑ์และวิธกี าร ดังตอ่ ไปนี้ (๑)  ญัตติขอแก้ไขเพ่ิมเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี  หรือจากสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจำ�นวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในห้าของจำ�นวนสมาชิกทั้งหมดเท่าท่ีมีอยู่ของสภา ผู้แทนราษฎร  หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจำ�นวนไม่น้อยกว่าหน่ึง ในหา้ ของจ�ำ นวนสมาชกิ ทง้ั หมดเทา่ ทม่ี อี ยขู่ องทง้ั สองสภา  หรอื จากประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั จ�ำ นวนไมน่ ้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าดว้ ยการเข้าชอ่ื เสนอกฎหมาย … (๔)  การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำ�ดับมาตรา  โดยการออกเสียง  ในวาระท่ีสองนี้  ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ  แต่ในกรณีท่ีเป็น

รา่ งรฐั ธรรมนญู แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ทป่ี ระชาชน  เปน็ ผเู้ สนอ  ตอ้ งเปดิ โอกาสใหผ้ แู้ ทนของประชาชน ทเี่ ข้าช่ือกันไดแ้ สดงความคดิ เหน็ ดว้ ย … (๘)  ในกรณรี า่ งรฐั ธรรมนญู แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ เปน็ การแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ หมวด  ๑ บทท่วั ไป หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ หรอื หมวด ๑๕ การแกไ้ ขเพมิ่ เติมรฐั ธรรมนญู หรอื เร่ืองท่ีเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ด�ำ รงตำ�แหน่งต่างๆ  ตามรัฐธรรมนูญ หรือเร่ืองที่เก่ียวกับหน้าท่ีหรืออำ�นาจของศาลหรือองค์กรอิสระ  หรือเร่ืองท่ีทำ�ให้ศาลหรือ องคก์ รอิสระไมอ่ าจปฏิบัตติ ามหน้าทหี่ รอื อ�ำ นาจได้  ก่อนด�ำ เนินการ  ตาม (๗) ใหจ้ ัดให้มี การออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ  ถ้าผลการออกเสียง ประชามตเิ หน็ ชอบดว้ ยกับร่างรฐั ธรรมนญู แก้ไขเพมิ่ เติม จงึ ใหด้ �ำ เนินการตาม (๗) ตอ่ ไป … มาตรา ๒๕๘  ให้ดำ�เนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่างๆ ใหเ้ กิดผล ดงั ต่อไปน้ี ก. ดา้ นการเมือง (๑)  ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกับการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  มีส่วนร่วมในการดำ�เนิน กิจกรรมทางการเมืองรวมตลอดท้ังการตรวจสอบการใช้อำ�นาจรัฐ  รู้จักยอมรับในความ เห็นทางการเมืองโดยสุจริตท่ีแตกต่างกัน  และให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกต้ังและออกเสียง ประชามติโดยอสิ ระปราศจากการครอบงำ�ไมว่ ่าดว้ ยทางใด มาตรา ๒๕๙  ภายใตบ้ งั คบั มาตรา ๒๖๐ และมาตรา ๒๖๑ การปฏริ ปู ประเทศตามหมวดน้ี  ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการดำ�เนินการปฏิรูป ประเทศซึ่งอย่างน้อยต้องมีวิธีการจัดทำ�แผน  การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงาน ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ขน้ั ตอนในการด�ำ เนนิ การปฏริ ปู ประเทศ การวดั ผลการด�ำ เนนิ การ และระยะเวลา ดำ�เนนิ การปฏิรูปประเทศทุกดา้ น ซ่ึงต้องก�ำ หนดให้เรม่ิ ดำ�เนินการปฏริ ูปในแต่ละด้านภายใน หนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญน้ีรวมตลอดทั้งผลสัมฤทธ์ิ  ที่คาดหวังว่าจะบรรลุ ในระยะเวลาหา้ ปี ให้ดำ�เนินการตรากฎหมายตามวรรคหน่ึง  และประกาศใช้บังคับภายใน หนงึ่ รอ้ ยยส่ี ิบวัน นบั แตว่ ันประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู นี้ ในระหว่างที่กฎหมายตามวรรคหนึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ  ให้หน่วยงาน ของรฐั ด�ำ เนินการปฏริ ูปโดยอาศยั หน้าท่ีและอำ�นาจทมี่ อี ยูแ่ ลว้ ไปพลางกอ่ น 30

31 ๔.  บทสรุป จากการศึกษารัฐธรรมนูญของประเทศไทยฉบับต่างๆ  ตามที่กล่าวมาแล้ว ทั้งหมด จะเหน็ ได้ว่ารฐั ธรรมนญู ของไทยแตล่ ะฉบบั ไดม้ กี ารบญั ญัตริ ับรองสทิ ธิทางการเมือง ของประชาชนเอาไว้มากบ้างน้อยบ้าง  แตกต่างกันไป  และบางฉบับก็ไม่ได้มีการบัญญัติ รับรองสทิ ธทิ างการเมอื งของประชาชนเอาไว้เลย ซึง่ ปจั จยั สำ�คญั นั้นขน้ึ อยกู่ ับความผันผวน ของสถานการณ์บ้านเมอื งของประเทศไทย  นับตัง้ แตม่ กี ารเปล่ยี นแปลงระบอบการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชยม์ าเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ และได้ มีรัฐธรรมนูญฉบับแรก  คือ  พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ จนกระทั่งถงึ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ซง่ึ เปน็ ฉบบั ปจั จบุ นั รฐั ธรรมนญู แตล่ ะฉบบั จะมที ม่ี าในการยกรา่ ง แตกตา่ งกนั ไป โดยบางฉบบั ได้มีการยกร่างโดยฝ่ายพลเรือน  บางฉบับได้ยกร่างและจัดทำ�ในช่วงหลังการปฏิวัติ  หรือ รฐั ประหาร บางฉบับไดย้ กรา่ งโดยสภาร่างรฐั ธรรมนญู คณะกรรมาธิการยกรา่ งรัฐธรรมนูญ และบางฉบับเกิดจากการเรียกร้องของประชาชนบางกลุ่ม  เช่น  นักศึกษาและประชาชน ทำ�ให้รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับมีบทบัญญัติท่ีเป็นการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แตกต่างกนั ไปโดยขึ้นอยู่กบั วตั ถุประสงคใ์ นการยกรา่ งประกอบด้วย และเม่ือกล่าวโดยเฉพาะในเรื่องสิทธิทางการเมืองซึ่งควรจะต้องมีการศึกษา หลักการในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง  (International Covenant on Civil and Political Rights) ทไ่ี ทยเขา้ รว่ มเปน็ ภาคปี ระกอบดว้ ย โดยทง้ั หลกั การ ในกติการะหว่างประเทศและหลักสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่ได้มีการจำ�แนก ตามเนอ้ื หาแหง่ สทิ ธแิ ละเสรภี าพ สทิ ธทิ างการเมอื งจะไดแ้ ก่ สทิ ธเิ ลอื กตง้ั และสมคั รรบั เลอื กตง้ั เสรีภาพในการรวมตัวเป็นพรรคการเมือง  เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นต้น  ก็สามารถมาพิจารณาถึงรัฐธรรมนูญของไทยฉบับต่างๆ  ท่ีได้มีการบัญญัติรับรอง สิทธิดังกล่าวไว้  กล่าวคือ  ในรัฐธรรมนูญฉบับแรก  ซ่ึงก็คือ  พระราชบัญญัติธรรมนูญการ ปกครองแผ่นดินสยามช่ัวคราว  พุทธศักราช  ๒๔๗๕  ได้มีการบัญญัติสิทธิทางการเมือง ไว้เป็นครั้งแรกในเร่ืองการออกเสียงลงมติเลือกผู้แทนหมู่บ้าน  และในรัฐธรรมนูญฉบับ ตอ่ ๆมากไ็ ดม้ กี ารบญั ญตั ิ สทิ ธใิ นเรอ่ื งการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร การตง้ั พรรคการเมอื ง การชุมนุมสาธารณะ  และสิทธิในการออกเสียงประชามติ  จนกระท่งั ในช่วงก่อนการจัดทำ� รัฐธรรมนญู ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ไดม้ กี ารเคล่อื นไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และรัฐธรรมนญู ในช่วงเดือนตุลาคม  พ.ศ.  ๒๕๑๖  ซ่ึงเป็นการเคล่ือนไหวเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ 

เชน่   การขอสทิ ธเิ ลอื กตง้ั   เสรภี าพในการแสดงความคดิ เหน็   การเรยี กรอ้ งรฐั ธรรมนญู ฉบบั ถาวร หรือสิทธิทางการเมืองอื่นๆ  การเรียกร้องครั้งน้ีส่งผลให้รัฐธรรมนูญฉบับปี  พ.ศ.  ๒๕๑๗ มีการบัญญัติรับรองสิทธิทางการเมืองของบุคคลอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก  โดยบัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิทางการเมือง”  และบทบัญญัติในหลายมาตราที่รับรองสิทธิทางการเมือง และในรัฐธรรมนญู ฉบบั ต่อมา คือ ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๒๑ และฉบบั ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ก็ไดม้ กี าร บัญญัติในเร่ืองสิทธิทางการเมืองของประชาชนไว้ในทำ�นองเดียวกัน  และจนกระทั่งเม่ือ มาถงึ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ รฐั ธรรมนญู ฉบบั ทม่ี ี การบัญญัติคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้มากที่สุด  เม่ือเทียบกับบทบัญญัติ ในรฐั ธรรมนญู ฉบบั อน่ื ๆ เทา่ ทเ่ี คยมมี า โดยมบี ทบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยสทิ ธแิ ละเสรภี าพของชนชาวไทย ในหมวด ๓ จ�ำ นวนถงึ ๔๐ มาตรา คอื มาตรา ๒๖ ถงึ มาตรา ๖๕ ซึง่ เป็นการบญั ญัติ รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานท่ีสำ�คัญและสิทธิในการมีส่วนร่วมในทางการเมืองของประชาชน และยงั ไดข้ ยายความรบั ผดิ ชอบของรฐั ในทางการเมอื งการปกครองเพม่ิ ขน้ึ   ซง่ึ สทิ ธทิ างการเมอื ง ที่ได้มีการรับรองไว้  ได้แก่  เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ  เสรีภาพ ในการรวมกันเป็นพรรคการเมือง  การเลือกต้ังและการสมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา  การเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถ่ิน หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ   สทิ ธอิ อกเสยี งประชามต ิ สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื ของประชาชนเพอ่ื ใหร้ ฐั สภาพจิ ารณา กฎหมาย  สิทธิเข้าชื่อเพื่อถอดถอนผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง  สิทธิถอดถอนสมาชิก สภาทอ้ งถน่ิ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ และสทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื เพอ่ื เสนอขอ้ บญั ญตั ทิ อ้ งถน่ิ (สทิ ธทิ เ่ี พม่ิ ขน้ึ จาก รฐั ธรรมนญู ฉบบั กอ่ นๆ คอื การเลอื กตง้ั และการสมคั รรบั เลอื กตง้ั สมาชกิ วฒุ สิ ภา สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื ของประชาชนเพ่ือให้รัฐสภาพิจารณากฎหมาย  สิทธิเข้าชื่อเพ่ือถอดถอนผู้ดำ�รงตำ�แหน่ง ทางการเมือง  สิทธิถอดถอนผ้บู ริหารท้องถ่ิน  และสิทธิเข้าช่อื เพ่ือเสนอข้อบัญญัติท้องถ่ิน) และต่อมาเม่อื มาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  ๒๕๕๐  ก็ยังคงหลักการ รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้เช่นกันโดยได้บัญญัติไว้ในหมวด  ๓  สิทธิ และเสรีภาพของชนชาวไทย จ�ำ นวนถงึ ๔๔ มาตรา คอื มาตรา ๒๖ ถงึ มาตรา ๖๙ ซ่ึงมี บทบญั ญัตใิ นเร่อื งสทิ ธิทางการเมือง ได้แก่ เสรีภาพในการชมุ นมุ โดยสงบและปราศจากอาวุธ เสรีภาพในการรวมกันเป็นพรรคการเมือง  การเลือกตั้งและการสมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภา ผูแ้ ทนราษฎร การเลือกตง้ั สมาชิกสภาทอ้ งถ่ินและคณะผบู้ รหิ ารทอ้ งถิ่นหรือผ้บู รหิ ารท้องถน่ิ สทิ ธอิ อกเสยี งประชามติ สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื ของประชาชนเพอ่ื ใหร้ ฐั สภาพจิ ารณากฎหมาย สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื เพื่อถอดถอนผู้ดำ�รง  ตำ�แหน่งทางการเมือง  สิทธิถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น 32

33 และคณะผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ   สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื เพอ่ื เสนอขอ้ บญั ญตั ทิ อ้ งถน่ิ   สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื เสนอกฎหมาย  สิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญและแสดงความคิดเห็น ในการพิจารณาในวาระท่ีสอง  (สิทธิที่เพ่ิมขึ้นจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช  ๒๕๔๐  คือ  สิทธิเข้าช่ือเสนอญัตติขอแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญและแสดง ความคิดเห็นในการพิจารณาในวาระท่ีสอง)  และเม่ือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ไดถ้ กู ยกเลกิ ไป และได้ประกาศใช้รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พทุ ธศักราช ๒๕๕๗ ก็ไดม้ ีการบัญญัติสิทธใิ นการออกเสียงประชามตเิ พอื่ ให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ  รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในการจัดท�ำ ร่างรัฐธรรมนญู ฉบับใหม่ ต่อมา  ได้มีการจัดทำ�รัฐธรรมนูญถาวรฉบับใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว  และได้มี การประกาศใชเ้ มอ่ื วนั ที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งกค็ อื รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ในการศึกษาจึงขอนำ�บทบัญญตั ิ ในรัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่มาเปน็ กรณี ศกึ ษา ซึง่ ได้มีการบญั ญัตสิ ทิ ธแิ ละเสรีภาพของปวงชนชาวไทยไว้ในหมวด ๓ ของรฐั ธรรมนูญ โดยมีหลักการสำ�คัญในเรื่องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในมาตรา  ๒๕  ว่าสิทธิ และเสรภี าพ  ของประชาชน  หากมไิ ดม้ กี ารหา้ มหรอื จ�ำ กดั ไวใ้ นรฐั ธรรมนญู หรอื ในกฎหมายอน่ื บุคคลยอ่ มมีสิทธแิ ละเสรีภาพท่ีจะท�ำ การนน้ั ได้ แตก่ ารใชส้ ิทธหิ รือเสรีภาพจะตอ้ งไม่กระทบ กระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ  ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน และไม่ละเมดิ สทิ ธิหรือเสรภี าพของบคุ คลอ่ืน และในส่วนสิทธหิ รอื เสรีภาพ ที่รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามท่ีกฎหมายบัญญัติ  แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับ บุคคลย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นได้ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ  และมีการนำ� บทบัญญัติในส่วนท่ีเคยอยู่ในหมวดสิทธิและเสรีภาพมาบัญญัติเป็นหมวดใหม่  คือหมวด หน้าท่ีของรัฐ  โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือเป็นหลักประกันให้แก่ประชาชนว่ารัฐต้องปฏิบัติตามท่ี รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้  อีกท้ังได้บัญญัติว่าการใดท่ีรัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นหน้าท่ีของรัฐ  ถ้าเป็นการทำ�เพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง  ย่อมเป็นสิทธิของประชาชน ในการติดตามและเร่งรัดให้รัฐดำ�เนินการ  รวมท้ังฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้อง เพอ่ื จดั ใหป้ ระชาชนไดร้ บั ประโยชนต์ ามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทก่ี ฎหมายบญั ญตั  ิ นอกจากนน้ั ยังมีสิทธิบางส่วนถูกย้ายไปไว้ที่หมวดแนวนโยบายแห่งรัฐเพื่อเป็นแนวทางของรัฐในการ ดำ�เนินการตรากฎหมายและกำ�หนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน  และเม่ือกล่าว โดยเฉพาะในเรอ่ื งสทิ ธทิ างการเมอื งของประชาชนทไ่ี ดม้ กี ารบญั ญตั ไิ ว ้ กไ็ ดแ้ ก ่ เสรภี าพในการ

ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ  เสรีภาพในการรวมกันเป็นพรรคการเมือง  การเลือกตั้ง และการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  การเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถิ่น และผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื เสนอกฎหมาย สทิ ธอิ อกเสยี งประชามติ สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื เพอ่ื เสนอ ขอ้ บญั ญตั ทิ อ้ งถน่ิ หรอื เพอ่ื ถอดถอนสมาชกิ สภาทอ้ งถน่ิ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ   สทิ ธเิ ขา้ ชอ่ื เสนอ ญัตติขอแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญและแสดงความคิดเห็นในการพิจารณาวาระที่สอง  สทิ ธิออกเสียงประชามตใิ หค้ วามเห็นชอบการแกไ้ ขเพมิ่ เติมรัฐธรรมนญู ในบางหมวด จากบทบัญญัติข้างต้น  จะเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๖๐  มีบทบัญญัติ ที่เป็นการรับรองสิทธิทางการเมืองของประชาชนไว้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับรัฐธรรมนูญ ฉบบั กอ่ นๆ แตก่ ม็ สี ทิ ธทิ างการเมอื งบางประการทเ่ี คยบญั ญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนญู ฉบบั ปี ๒๕๔๐ และฉบับปี ๒๕๕๐ แต่ไมไ่ ด้มีการบัญญัตไิ ว้ในรัฐธรรมนญู ฉบับปี ๒๕๖๐ เช่น หมวดการมี สว่ นรว่ มทางการเมืองโดยตรงของประชาชน หรอื ในเรอื่ งการมีสว่ นรว่ มในการตรวจสอบการ ใช้อำ�นาจรัฐ  (สิทธิเข้าชื่อเพื่อถอดถอนผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง)  โดยนำ�บทบัญญัติ ท่เี คยอย่ใู นหมวดการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชนไปบัญญัติไว้ในหมวดอ่นื ๆ เช่น หมวดรัฐสภาในเรือ่ งสิทธิเสนอกฎหมาย และหมวดคณะรัฐมนตรีในเรอ่ื งการออกเสยี ง ประชามติ  และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิทางการเมืองของประชาชนบางประการก็ไม่ได้มี การบญั ญัตเิ ปน็ หมวดเฉพาะ แตไ่ ปอยู่ในหมวดหนา้ ท่ีของรัฐ และหมวดแนวนโยบายแหง่ รัฐ เช่น  การส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อำ�นาจรัฐและการตัดสินใจ ทางการเมอื ง เปน็ ตน้ นอกจากนั้น  บทบัญญัติท่ีเกี่ยวกับสิทธิทางการเมืองบางเรื่องในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี  ๒๕๖๐  ก็มีความแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ  ในท่ีนี้จะขอเปรียบเทียบกับ รัฐธรรมนญู ฉบบั ปี ๒๕๔๐ และฉบบั ปี ๒๕๕๐ กลา่ วคือ เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ  รัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญฉบับ  ปี  ๒๕๕๐  กำ�หนดข้อจำ�กัดการชุมนุมได้โดยกฎหมายเฉพาะในกรณี การชุมนุมสาธารณะ  และเพ่ือคุ้มครองความสะดวกของประชาชนท่ีจะใช้ที่สาธารณะ  หรือ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาท่ีประเทศอยู่ในภาวะสงคราม  หรือในระหว่าง เวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก  แต่รัฐธรรมนูญฉบับ ปี  ๒๕๖๐  กำ�หนดข้อจำ�กัดการชุมนุมได้โดยกฎหมายท่ตี ราข้นึ เพ่อื รักษาความม่นั คงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ  ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  หรือเพ่ือ ค้มุ ครองสทิ ธิหรอื เสรภี าพของบุคคลอื่น ซึ่งอาจพจิ ารณาได้ว่ารัฐอาจมอี ำ�นาจทีจ่ ะจ�ำ กดั การ ชมุ นมุ ไดใ้ นขอบเขตทก่ี วา้ งกวา่ ในรฐั ธรรมนญู ฉบบั กอ่ นๆ  เนอ่ื งจากไมม่ ถี อ้ ยค�ำ ทว่ี า่   “โดยเฉพาะ”  34

35 และค�ำ วา่ “ความสงบเรยี บร้อยหรือศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน” เป็นค�ำ ท่มี ีความหมายกวา้ ง และตอ้ งอาศยั การตีความ เสรีภาพในการรวมกันเป็นพรรคการเมือง  รัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๔๐  และ ฉบบั ปี ๒๕๕๐ ก�ำ หนดเพียงวา่ หากสมาชิกพรรคเหน็ วา่ มติหรือขอ้ บังคบั ของพรรคจะขัดตอ่ การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือขัดกับหลักพื้นฐานการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตย มสี ิทธริ ้องขอใหศ้ าลรฐั ธรรมนญู วนิ ิจฉัยให้มติหรอื ขอ้ บังคับนั้นยกเลิกไป แตใ่ น รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๖๐ ก�ำ หนดวา่ กฎหมายเกี่ยวกบั การบรหิ ารพรรคการเมอื ง  ตอ้ งเปดิ โอกาสให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในการกำ�หนดนโยบายและส่งผ้สู มัครรับเลือกต้งั   ดำ�เนินการ ได้อย่างอิสระ  ไม่ถูกครอบงำ�  และมีมาตรการกำ�กับดูแลสมาชิกพรรคมิให้กระทำ�การ ฝา่ ฝนื หรอื ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎหมายเลอื กตง้ั   ซง่ึ จะเหน็ ไดว้ า่ รฐั ธรรมนญู ฉบบั ป ี ๒๕๖๐  เปน็ การ ก�ำ หนดอยา่ งชดั เจนใหส้ มาชกิ พรรคมสี ว่ นรว่ มในการดำ�เนนิ กจิ กรรมของพรรคการเมอื งมากขน้ึ และก�ำ หนดให้มีมาตรการในการกำ�กับดแู ลสมาชกิ พรรคใหป้ ฏบิ ตั ิตามกฎหมาย สิทธิเลือกตั้ง  รัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๖๐  มีบทบัญญัติอย่างชัดเจนในเร่ือง การเพ่ิมเติมบทลงโทษ  ในกรณีผู้มีสิทธิเลือกต้ังไม่ไปใช้สิทธิเลือกต้ังโดยมิได้แจ้งเหตุ อันสมควรตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  ว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร ว่าอาจถกู จำ�กดั สทิ ธิบางประการตามท่ีกฎหมายบัญญัติ ทม่ี าของสมาชกิ วฒุ สิ ภา รฐั ธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ ก�ำ หนดให้สมาชกิ วฒุ ิสภา มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน  รัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๕๐  กำ�หนดให้สมาชิกวุฒิสภา มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนส่วนหนึ่งและมาจากการสรรหาส่วนหนึ่ง  แต่รัฐธรรมนูญ ฉบบั ป ี ๒๕๖๐  มกี ารเปลย่ี นแปลงทม่ี าของสมาชกิ วฒุ สิ ภาใหเ้ ปน็ การใหป้ ระชาชนแตล่ ะกลมุ่ อาชีพเลือกกันเองตงั้ แต่ระดบั อ�ำ เภอ จงั หวดั และประเทศ ที่มาของผู้บริหารท้องถิ่น  รัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๕๐  กำ�หนดให้คณะผู้บริหาร ท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถ่ินในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษจะต้องมาจาก การเลอื กตงั้ เท่าน้นั แตใ่ นรัฐธรรมนญู   ฉบบั ปี ๒๕๖๐ กำ�หนดให้สามารถมาโดยวธิ อี ่นื ได้ แตต่ ้องค�ำ นงึ ถงึ การมีสว่ นร่วมของประชาชนโดยใหเ้ ปน็ ไปตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิ การมีส่วนร่วมในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  รัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๕๐ กำ�หนดให้ในกรณีการกระทำ�ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นต้องแจ้งข้อมูลรายละเอียดให้ประชาชนทราบ กอ่ นกระทำ�การ และอาจจดั ให้มกี ารรับฟงั ความคิดเห็น หรอื จัดใหม้ ีการออกเสยี งประชามติ เพอ่ื ตดั สนิ ใจกไ็ ด้ ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ สว่ นในรฐั ธรรมนญู ฉบบั ปี ๒๕๖๐ ก�ำ หนดวา่ ตอ้ งเปดิ เผย

และรายงานผลการดำ�เนินงานให้ประชาชนทราบ  รวมทั้งมีกลไกให้ประชาชนในท้องถิ่น มีส่วนร่วม  ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ  ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับปี  ๒๕๖๐  กำ�หนดการมีส่วนร่วมของประชาชนไว้ว่าให้มีกลไกให้ประชาชนในท้องถ่ิน มสี ว่ นรว่ ม โดยให้เปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติ และไมก่ �ำ หนดเรือ่ งการออกเสียงประชามติ สิทธอิ อกเสยี งประชามติ รัฐธรรมนญู ฉบบั ปี ๒๕๔๐ กำ�หนดใหม้ ีการออกเสยี ง ประชามติได้ในกรณีท่ีคณะรัฐมนตรีเห็นว่ากิจการในเร่ืองใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสีย ของประเทศชาติหรือประชาชน  แต่มีผลเป็นเพียงการให้คำ�ปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีเท่าน้ัน สว่ นรฐั ธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ กำ�หนดใหม้ กี ารออกเสยี งประชามตไิ ดใ้ นกรณที คี่ ณะรัฐมนตรี เห็นว่ากิจการในเร่ืองใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติหรือประชาชน  หรือ ในกรณีท่ีมีกฎหมายบัญญัติให้มีการออกเสียงประชามติ  โดยการออกเสียงประชามติ อาจมผี ลเปน็ การให้ได้ข้อยุตหิ รอื เปน็ การให้ค�ำ ปรกึ ษาแกค่ ณะรฐั มนตรีก็ได้ สว่ นรัฐธรรมนูญ ฉบับปี  ๒๕๖๐  กำ�หนดให้มีการออกเสียงประชามติในกรณีท่ีมีเหตุอันสมควรแต่ให้เป็นไป ตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ และการออกเสียงประชามตกิ ารแกไ้ ขเพ่มิ เติมรฐั ธรรมนูญบางหมวด สิทธิเสนอญัตติขอแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญ  รัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๔๐  ไม่ได้กำ�หนดให้ประชาชน  มีสิทธิเข้าช่ือเสนอญัตติขอแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญได้  แต่ใน รัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๕๐  กำ�หนดให้ประชาชนจำ�นวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนมีสิทธิเข้าชื่อ เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้  ซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับปี  ๒๕๖๐  ก็กำ�หนดให้ ประชาชนจำ�นวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนมีสิทธิเข้าช่ือเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ไดเ้ ชน่ กนั และยงั ก�ำ หนดใหก้ ารแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ รฐั ธรรมนญู ในบางหมวดจะตอ้ งจดั ใหม้ กี ารออกเสยี ง ประชามติดว้ ย จากบทบัญญัติและการเปรียบเทียบข้างต้นจะเห็นได้ว่า  รัฐธรรมนูญ ฉบับปี  ๒๕๖๐  มีบทบัญญัติ  ในเรื่องสิทธิทางการเมืองของประชาชนในส่วนท่ีคล้ายคลึง กับรฐั ธรรมนญู ฉบับกอ่ นๆ โดยเฉพาะฉบับปี ๒๕๔๐ และฉบับปี ๒๕๕๐ แต่ในบางเร่ือง มีการเปล่ียนแปลงไปจากหลักการในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ  และบทบัญญัติโดยส่วนใหญ่ ยังกำ�หนดหลักการหรือแนวทางไว้เป็นกรอบกว้างๆ  โดยให้การดำ�เนินการเป็นไปตามที่ กฎหมายบญั ญัติ ดงั นัน้ จงึ ตอ้ งมกี ารติดตามกฎหมายทจ่ี ะออกมารองรบั สิทธิทางการเมือง ของประชาชนตามทีร่ ัฐธรรมนญู ฉบับปี ๒๕๖๐  ไดก้ ำ�หนดไว้ตอ่ ไป รวมถงึ ในเรอื่ งการจัดทำ� ยุทธศาสตร์ชาติ  และการดำ�เนินการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง  ท่ีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก�ำ หนดให้ประชาชนมีสว่ นร่วม 36

37 บรรณานกุ รม กรุงเทพธรุ กจิ . เสถยี รภาพการเมอื งกับรฐั ธรรมนูญฉบบั “มีชัย”. (๓๐ มนี าคม ๒๕๕๙). สืบค้นจาก http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/637342 เม่ือวันท่ี ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๐. คณะกรรมการรา่ งรฐั ธรรมนญู . ร่างรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช .... . สบื คน้ จาก http://www.parliament.go.th/ewtcommittee/ewt/ draftconstitution2/more_news.php?cid=61 เมอ่ื วนั ท่ี ๒๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๐. ประภาส ปน่ิ ตบแตง่ . ความถดถอยของการเมอื งภาคประชาชนในรา่ งรฐั ธรรมนญู ฉบบั มชี ยั . (๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) สบื คน้ จาก http://waymagazine.org/prapart02/. เมอ่ื วนั ท่ี ๒๗ มนี าคม ๒๕๖๐. ประชาไท. รายงานเสวนา: #อวสานโลกสวย วเิ คราะหร์ า่ งรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๙. (๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙). สบื คน้ จาก http://www.matichon.co.th/news/228283 เม่อื วนั ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐. ไพโรจน์ พลเพชร และณฐกร ศรแี ก้ว. รายงานการศึกษา สิทธเิ สรภี าพข้นั พ้ืนฐาน ตามกรอบรฐั ธรรมนญู ในบรบิ ทของสงั คมไทย และมาตรฐานสากลระหวา่ ง ประเทศด้านสิทธมิ นุษยชน, ๒๕๔๙. มติชน ออนไลน์. มชี ัย ฤชุพนั ธุ์ ไข ๓ ปมใหญ่ สทิ ธิ - เสรีภาพ - อำ�นาจ ในรา่ งรัฐธรรมนูญ. (๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙). สบื คน้ จาก “http://www.matichon.co.th/news/228283” http://www.matichon.co.th/news/228283 เมอื่ วันท่ี ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐. รุ้งนภา ยรรยงเกษมสขุ . สทิ ธิและเสรภี าพของชนชาวไทยในรัฐธรรมนญู แหง่ ราช อาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐. วทิ ยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบณั ฑิต, จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒. วรพจน์ วศิ รุตพิชญ์. สิทธแิ ละเสรีภาพตามรัฐธรรมนญู . กรงุ เทพฯ: สำ�นักงาน กองทุนสนับสนนุ การวิจยั (สกว.), ๒๕๓๘. ศราวุฒิ ประทมุ ราช. เครื่องมือคุ้มครองสิทธิและเสรภี าพตามรัฐธรรมนญู . กรุงเทพฯ: บริษทั พี. เพรส จ�ำ กดั , ๒๕๔๗. สุธาชยั ยม้ิ ประเสริฐ. ๖๐ ปปี ระชาธิปไตยไทย. กรุงเทพฯ: บรษิ ทั ครเี อทีฟ พับลิชชงิ่ จ�ำ กัด, ๒๕๓๖. อดุ ม รฐั อมฤต, นพนธิ ิ สรุ ยิ ะ และบรรเจดิ สงิ คะเนต.ิ การอา้ งศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ หรอื ใชส้ ทิ ธ ิ และเสรภี าพของบคุ คลตามมาตรา ๒๘ ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐. กรงุ เทพฯ: หา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั นานาสง่ิ พมิ พ,์ ๒๕๔๔.

กติ ตวิ ฒั น ์ รตั นดลิ ก ณ ภเู กต็ * องค์กรของรัฐหากแบ่งตามการใช้อ�ำ นาจอธิปไตยน้นั   ได้แก่  องค์กรของ รฐั ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ  องคก์ รของรฐั ฝา่ ยบรหิ าร  และองคก์ รของรฐั ฝา่ ยตลุ าการ  โดยทก่ี ารจดั องค์กรท่ีกำ�หนดอำ�นาจหน้าท่ีและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐผู้ใช้อ�ำ นาจอธิปไตย ดงั กลา่ วขา้ งตน้ เปน็ เรอ่ื งของ “กฎหมายรฐั ธรรมนญู ” ในขณะท่ีการจัดองค์กรของรัฐในระบบราชการ  ท่ีเป็นการกำ�หนดสถานะ และอำ�นาจหน้าท่ีขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐ ฝา่ ยบรหิ ารกบั ประชาชนเปน็ เรอ่ื งของ ”กฎหมายปกครอง” ดงั ทจ่ี ะกลา่ วตอ่ ไปน้ี * ผชู้ ว่ ยอธกิ ารบดวี ทิ ยาลยั วทิ ยาลยั ทองสขุ 38

39 ๑. องคก์ รของรฐั ทจ่ี ดั ตง้ั ขน้ึ ตามรฐั ธรรมนญู องค์กรของรัฐท่ีจัดต้ังข้ึนตามรัฐธรรมนูญหรือท่ีเรียกกันโดยย่อว่า  “องค์กร ตามรฐั ธรรมนญู ” จ�ำ แนกไดเ้ ปน็ ๔ ประเภทใหญ่ ๆ คอื ๑ ๑.๑ องคก์ รของรฐั ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติซ่งึ มีอำ�นาจหน้าท่หี ลักในการออกกฎหมาย ระดบั พระราชบญั ญตั  ิ และมอี �ำ นาจหนา้ ทอ่ี น่ื ตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายจากรฐั ธรรมนญู   คอื รฐั สภาซง่ึ ประกอบดว้ ยสภาผแู้ ทนราษฎรและวฒุ สิ ภา ๑.๒ องคก์ รของรฐั ฝา่ ยบรหิ าร องค์กรของรัฐฝ่ายบริหารมีอำ�นาจหน้าท่ีหลักในการบังคับใช้กฎหมาย ในการบริหารประเทศ  และในการจัดทำ�บริการสาธารณะเพ่อื นตอบสนองความต้องการ ดา้ นตา่ ง ๆ ของประชาชน องคก์ รของรฐั ฝา่ ยบรหิ ารแบง่ ออกเปน็ ๒ ระดบั คอื ๑. “ฝา่ ยการเมอื ง”  คอื   คณะรฐั มนตร ี (นายกรฐั มนตรแี ละรฐั มนตร)ี   ซง่ึ ใช้ อำ�นาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญกำ�หนดนโยบายและกำ�กับดูแลการนำ�นโยบายไปสู่ การปฏบิ ตั โิ ดย “ฝา่ ยประจ�ำ ” ๒. “ฝ่ายประจำ�”  คือ  องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองซ่ึงใช้อำ�นาจตามพระราช บญั ญตั บิ งั คบั ใชก้ ฎหมาย และน�ำ นโยบายของ “ฝา่ ยการเมอื ง” ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ ๑ สรปุ และปรบั ปรงุ จาก  ชาญชยั   แสวงศกั ด,์ิ   ค�ำ อธบิ ายกฎหมายปกครอง,  พมิ พค์ รง้ั ท ่ี ๑๒ (กรงุ เทพฯ: วญิ ญชู น, ๒๕๕๐), หนา้ ๙๗ – ๑๐๗.

องคก์ รของรฐั ฝา่ ยบรหิ ารทเ่ี ปน็ “ฝา่ ยประจ�ำ ” มี ๓ รปู แบบใหญ่ ๆ ก. สว่ นราชการ ไดแ้ ก่ ราชการสว่ นกลาง (กระทรวง ทบวง กรม) ราชการ สว่ นภมู ภิ าค (จงั หวดั อ�ำ เภอ ต�ำ บล) และราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ (อบต., อบจ., เทศบาล, กรงุ เทพมหานคร และเมอื งพทั ยา) 40

41 ข. รฐั วสิ าหกจิ ทง้ั ทจ่ี ดั ตง้ั ในรปู แบบของ  “องคก์ ารของรฐั บาล”  โดยพระราช บญั ญตั หิ รอื พระราชกฤษฎกี า  และทจ่ี ดั ตง้ั ในรปู แบบของบรษิ ทั จ�ำ กดั หรอื บรษิ ทั มหาชนจ�ำ กดั ค. หน่วยงานของรัฐท่มี ิใช่ส่วนราชการและมิใช่รัฐวิสาหกิจ  ได้แก่  องค์การ มหาชนท่ีจัดต้ังโดยพระราชบัญญัติเฉพาะ  และท่ีจัดต้ังโดยพระราชกฤษฎีกาท่ีออกตาม ความในพระราชบญั ญตั อิ งคก์ ารมหาชน พ.ศ.๒๕๔๒ ตลอดจนหมายถงึ หนว่ ยบรกิ ารของ รฐั รปู แบบพเิ ศษ ซง่ึ เปน็ หนว่ ยงานทท่ี �ำ หนา้ ทใ่ี นดา้ นการใหบ้ รกิ าร สงั กดั อยภู่ ายในหนว่ ยงาน ราชการ เปน็ ตน้ ๑.๓ องคก์ รของรฐั ฝา่ ยตลุ าการ องค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ  คือ  ศาลซ่ึงมีอำ�นาจพิจารณาพิพากษา อรรถคดีความให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย  ประกอบไปด้วย  ศาลรฐั ธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม ศาลปกครอง และศาลแขวง ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง  แม้จะจัดต้ังข้ึนใหม่ตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นศาลท่มี ีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเช่นเดียวกับศาลยุติธรรม  ศาลท้งั สอง มไิ ดเ้ ปน็ “องคก์ รอสิ ระ” ดงั ทเ่ี ปน็ ทเ่ี ขา้ ใจกนั อยใู่ นขณะน้ี ๑.๔ องคก์ รของรฐั ทเ่ี ปน็ อสิ ระ นอกเหนอื จากองคก์ รของรฐั ซง่ึ ใชอ้ �ำ นาจอธปิ ไตย ๓ ดา้ นตามทร่ี ะบไุ วใ้ น รฐั ธรรมนญู ฯ แลว้ รฐั ธรรมนญู ฯ ยงั ไดบ้ ญั ญตั ใิ หม้ กี ารจดั ตง้ั องคก์ รของรฐั ขน้ึ มาอกี หนง่ึ ประเภท ท่ีเป็นอิสระจากการกำ�กับดูแลของรัฐบาลเรียกกันว่า  “องค์กรของรัฐท่ีเป็นอิสระ”  หรือ “องคก์ รอสิ ระ” ซง่ึ อาจแบง่ ไดเ้ ปน็ ๓ กลมุ่ ดงั น้ี ๑. องคก์ รควบคมุ การเลอื กตง้ั คอื คณะกรรมการการเลอื กตง้ั (กกต.) ๒. องคก์ รตรวจสอบการใชอ้ �ำ นาจของรฐั ซง่ึ มอี ยู่ ๓ องคก์ ร คอื   ก. คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาต ิ (ป.ป.ช.) ข. คณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ (คตง.) ค. ผตู้ รวจการแผน่ ดนิ ๓. องคก์ รอน่ื คอื คณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ

42

43

๒. องคป์ ระกอบและความหมายขององคก์ รของรฐั “ฝา่ ยบรหิ าร” รองศาสตราจารย์  ดร.วรพจน์  วิศรุคพิชญ์  ให้คำ�อธิบาย  ว่า  ตามระบอบ รฐั ธรรมนญู และกฎหมายไทย “องคก์ รของรฐั ฝา่ ยบรหิ าร” ประกอบดว้ ย๒ ๑. พระมหากษัตริย ์ ซ่งึ นอกจากเป็นประมุขของรัฐแล้ว  ยังทรงเป็นประมุข ของ  “ฝ่ายบริหาร”  ด้วย  โดยรัฐธรรมนูญและกฎหมายอ่ืนได้ถวายพระราชอำ�นาจแด่ พระมหากษตั รยิ ไ์ วห้ ลายประการ  เชน่   พระราชอ�ำ นาจในการตราพระราชกฤษฎกี าโดยไมข่ ดั ตอ่ กฎหมาย  พระราชอำ�นาจในการพระราชทานอภัยโทษ  พระราชอำ�นาจในการแต่งต้ัง ขา้ ราชการฝา่ ยทหารและฝา่ ยพลเรอื นซง่ึ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ ปลดั กระทรวง อธบิ ดี และเทยี บเทา่ และใหพ้ น้ จากต�ำ แหนง่ ดงั กลา่ ว ๒ วรพจน์  วิศรุตพิชญ์,  “การกระทำ�ทางปกครอง,”  เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร พนกั งานคดปี กครอง ระดบั ตน้ รนุ่ ท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๔๓ (อดั ส�ำ เนา), หนา้ ๓-๖. 44

45 ๒. คณะรัฐมนตรีซ่ึงประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีหน่ึงคนและรัฐมนตรีอ่ืน อกี ไมเ่ กนิ สามสบิ หา้ คน ๓. นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีแต่ละคน  ซ่ึงมีหน้าท่ีเป็นของตนเองตามท่ี กฎหมายก�ำ หนดอกี ดว้ ย ๔. บรรดาองค์กรและเจ้าหน้าท่ีต่าง  ๆ  ซ่ึงอยู่ในบังคับบัญชาหรือในก�ำ กับ ดแู ลของนายกรฐั มนตรหี รอื รฐั มนตรี ส�ำ หรบั ความหมายของ “องคก์ รของรฐั ฝา่ ยบรหิ าร” หมายถงึ บรรดาองคก์ ร ของรัฐท่ีอยู่ในบังคับบัญชาหรือในก�ำ กับหรือควบคุมดูแลของรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนใด คนหนง่ึ เชน่ กระทรวง ทบวง กรม หรอื สว่ นราชการทเ่ี รยี กชอ่ื อยา่ งอน่ื และมฐี านะเปน็ กรม ในระเบียบบริหารราชการส่วนกลางซ่งึ อย่ใู นบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี วา่ การกระทรวงใดกระทรวงหนง่ึ จังหวัด  อำ�เภอ  ในระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคซ่ึงอยู่ในบังคับบัญชา ของรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ   ซง่ึ อยใู่ นก�ำ กบั ดแู ลของรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย รฐั วสิ าหกจิ ท่จี ัดต้งั โดยพระราชบญั ญัติเฉพาะหรือพระราชกฤษฎกี าทอ่ี อกตาม ความในพระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยการจดั ตง้ั องคก์ ารของรฐั บาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ซง่ึ อยใู่ นก�ำ กบั ดูแลของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดกระทรวงหน่ึงซ่ึงเป็นผู้รักษาการ ตามพระราชบญั ญตั หิ รอื พระราชกฤษฎกี าจดั ตง้ั รฐั วสิ าหกจิ นน้ั ๆ หน่วยงานอ่ืนของรัฐท่ีจัดต้ังข้ึนโดยพระราชบัญญัติเฉพาะและองค์การมหาชน ท่ีจัดต้ังขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน  พ.ศ.  ๒๕๔๒  ซ่ึงอยู่ในกำ�กับดูแลของรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดต้ัง องคก์ รมหาชนนน้ั องค์กรของรัฐฝ่ายบริหารข้างต้นส่วนใหญ่เป็นนิติบุคคล  จึงไม่อาจท�ำ กิจกรรม ทอ่ี ยใู่ นอ�ำ นาจหนา้ ทข่ี องตนไดด้ ว้ ยตนเอง แตจ่ ะตอ้ งอาศยั บคุ คลธรรมดาหรอื คณะบคุ คล ธรรมดาให้เป็นผู้ดำ�เนินการแทนและในนามขององค์กรดังกล่าว  บุคคลธรรมดา หรอื คณะบคุ คลธรรมดาเชน่ วา่ นเ้ี รยี กวา่ “เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ฝา่ ยปกครอง” เชน่

๑. ปลดั กระทรวงและอธบิ ดี ในระเบยี บบรหิ ารราชการสว่ นกลาง ๒. ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั และนายอ�ำ เภอ ในระเบยี บบรหิ ารราชการสว่ นภมู ภิ าค ๓. สภาทอ้ งถน่ิ และผบู้ รหิ ารของแตล่ ะองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ๔. คณะกรรมการและผบู้ รหิ ารของแตล่ ะรฐั วสิ าหกจิ ๕. คณะกรรมการและผ้บู ริหารของแต่ละหน่วยงานอ่นื ของรัฐและของแต่ละ องคก์ รมหาชน รองศาสตราจารย์ ดร. วรพจน์ วศิ รตุ พชิ ญ์ ใหค้ �ำ อธบิ ายตอ่ ไป วา่ “องคก์ รของ รฐั ฝา่ ยบรหิ าร” นน้ั อาจกระท�ำ การในฐานะทเ่ี ปน็ “รฐั บาล” หรอื ในฐานะทเ่ี ปน็ “องคก์ ร ของรฐั ฝา่ ยปกครอง”  กไ็ ด ้ แลว้ แตว่ า่ ใชอ้ �ำ นาจตามกฎหมายใด  กลา่ วคอื   ถา้ องคก์ รของ รัฐฝ่ายบริหารกระทำ�การโดยอาศัยอำ�นาจตามรัฐธรรมนูญ  ก็ถือว่ากระทำ�การในฐานะท่เี ป็น  “รัฐบาล”  แต่ถ้ากระทำ�การโดยอาศัยอำ�นาจตามพระราชบัญญัติหรือกฎหมายอ่ืนท่ีมีค่า บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ  (เช่น  พระราชกำ�หนด)  ก็ถือว่ากระทำ�การในฐานะท่ีเป็น “องคก์ รของรฐั ฝา่ ยปกครอง”๓ ๓ วรพจน์ วศิ รตุ พชิ ญ,์ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๗. 46

47 ๓. รปู แบบองคก์ รภาครฐั ฝา่ ยบรหิ าร ๓.๑ หนว่ ยงานของรฐั ในก�ำ กบั ของฝา่ ยบรหิ าร หน่วยงานของรัฐในกำ�กับของฝ่ายบริหาร  ท่ีมีสถานะเป็นนิติบุคคล มี ๔ ประเภท คอื สว่ นราชการ รฐั วสิ าหกจิ องคก์ รมหาชน หนว่ ยงานของรฐั รปู แบบใหม่ (๑) องคก์ รทเ่ี ปน็ สว่ นราชการ ตามหลักการแบ่งแยกอำ�นาจ  ได้แยกอำ�นาจออกเป็นองค์กร ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั  ิ องคก์ รฝา่ ยบรหิ าร  และองคก์ รฝา่ ยตลุ าการ  ในกรณขี ององคก์ รฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ และองคก์ รฝา่ ยตลุ าการ จะไมข่ อกลา่ วถงึ ในทน่ี ้ี แตจ่ ะขอกลา่ วเฉพาะองคก์ ารฝา่ ยบรหิ าร กล่าวคือ  องค์กรฝ่ายบริหารท่เี ป็นส่วนราชการ  มีลักษณะเฉพาะเป็นหน่วยงานท่รี ับผิดชอบ การให้บริการสาธารณะทางปกครอง  ซ่ึงเป็นภารกิจของรัฐ  เช่น  การรักษาความสงบ เรียบร้อย  การป้องกันประเทศ  การออกระเบียบ  อนุมัติ  อนุญาตตามกฏหมายรวมท้งั งานนโยบายตา่ งๆ โดยทว่ั ไปเปน็ หนว่ ยงานของรฐั ทจ่ี ดั ตง้ั ตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ าร ราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. ๒๕๓๔ และฉบบั แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ และกฏหมายทเ่ี กย่ี วกบั การปกครอง ทอ้ งถน่ิ ซง่ึ องคก์ รในสว่ นของรฐั บาล มกี ารจดั องคก์ รตามหลกั การของการรวมอ�ำ นาจ แบง่ อ�ำ นาจ และกระจายอ�ำ นาจ ประกอบดว้ ยสว่ นราชการ ดงั น้ี ก. ราชการบรหิ ารสว่ นกลาง - ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี - กระทรวงหรอื ทบวงทม่ี ฐี านะเทยี บเทา่ กระทรวง (๑๙ กระทรวง) - ทบวง ซง่ึ สงั กดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรหี รอื กระทรวง (ไมม่ )ี - กรม  หรอื สว่ นราชการทเ่ี รยี กชอ่ื อยา่ งอน่ื และมฐี านะเปน็ กรม ซง่ึ สงั กดั หรอื ไมส่ งั กดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรกี ระทรวงหรอื ทบวง (๑๕๕ กรม เพม่ิ จากปี พ.ศ. ๒๕๕๑ จ�ำ นวน ๑ สว่ นราชการ) ข. ราชการบรหิ ารสว่ นภมู ภิ าค - จงั หวดั   เปน็ หนว่ ยบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ในเขตพน้ื ทข่ี องจงั หวดั มีผู้ว่าราชการจังหวัดรับนโยบายและคำ�ส่ังจากนายกรัฐมนตรี  คณะรัฐมนตรี  กระทรวง ทบวง กรม มาปฏบิ ตั ใิ หเ้ หมาะกบั พน้ื ทแ่ี ละประชาชน และเปน็ หวั หนา้ บงั คบั บญั ชาบรรดา

ข้าราชการฝ่ายบริหารซ่ึงปฎิบัติหน้าท่ีในราชการส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัดและรับผิดชอบ ในราชการจงั หวดั (๗๖ จงั หวดั ) อ�ำ เภอ (๘๗๘ อ�ำ เภอ โดยมี อ�ำ เภอกลั ยาณวิ ฒั นา จงั หวดั เชยี งใหม่ เปน็ อ�ำ เภอทต่ี ง้ั หลงั สดุ เมอ่ื ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๒) อ�ำ เภอเปน็ หนว่ ยจดั บรกิ าร สาธารณะแก่ประชาชนในอำ�เภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการในอำ�เภอ และรบั ผดิ ชอบงานบรหิ ารราชการของอ�ำ เภอ ค. ราชการบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ - องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั (๗๖ แหง่ ) - เทศบาล (๒,๔๔๑ เทศบาล: เทศบาลนคร ๓๐ แหง่ เทศบาลเมอื ง ๑๗๘ แหง่ เทศบาลต�ำ บล ๒,๒๓๓ แหง่ ) - สขุ าภบิ าล (ไมม่ )ี - องคก์ รบรหิ ารสว่ นต�ำ บล (๕,๓๓๔ แหง่ ) - องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินรูปแบบพิเศษ  ๒  แห่ง (กรงุ เทพมหานครและเมอื งพทั ยา)** (๒) รฐั วสิ าหกจิ (State Enterprises) รัฐวิสาหกิจ  เป็นองค์กรในภาคมหาชนท่ีรัฐมอบหมายให้จัดทำ� บริการสาธารณะ  ซ่ึงรับผิดชอบภารกิจประเภทท่ีมักจะต้องอาศัยอำ�นาจบังคับฝ่ายเดียว บงั คบั แกป่ ระชาชนเปน็ ดา้ นหลกั   และกจิ การทไ่ี ดร้ บั มอบใหไ้ ปดแู ลด�ำ เนนิ การกเ็ ปน็ กจิ การ ท่ีต้องอาศัยอำ�นาจมหาชนในการดำ�เนินการท้ังส้ิน  และด้วยพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ของการผลติ ในระบบอตุ สาหกรรมและการเจรญิ เตบิ โตของการพาณชิ ย ์ ท�ำ ใหร้ ฐั ตอ้ งเขา้ มา รบั ผดิ ชอบภารกจิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การขยายตวั ของระบบเศรษฐกจิ ซง่ึ ไดแ้ ก่ การจดั หาแหลง่ วัตถุดิบและพลังงานท่ีเพียงพอต่ออุตสาหกรรม  รวมไปถึงการจัดระบบสาธารณูปโภค และสาธารณปู การ เพอ่ื รองรบั การขยายตวั ของอตุ สาหกรรมและการคา้ ท่ีภารกิจท่ีรัฐต้องเข้ามารับผิดชอบเพ่ิมข้ึนน้ีแม้ว่าจะมีลักษณะเป็นการ ใหบ้ รกิ ารสาธารณะ  แตข่ ณะเดยี วกนั กม็ เี อกชนหรอื โรงงานอตุ สาหกรรมหรอื บรษิ ทั การคา้ บางรายท่ีได้รับประโยชน์มากกว่าเอกชนรายอ่ืน  ๆ  อีกท้ังการประกอบการกิจกรรม ** ขอ้ มลู ณ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙ 48


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook