หลักพทุ ธรรมกบั การพฒั นาสงั คมอุดมคติยคุ ๔.๐ 99 สังคมมีความแตกแยกเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากปัญหาทัศนคติทางการเมืองที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะปัญหาการเมืองท่ีไม่มีเสถียรภาพ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำ�ให้รัฐบาลท่ีเข้ามาบริหารประเทศเกิดความชะงัก ทำ�ให้การค้าระหว่างประเทศสะดุดลงไปด้วย ปัญหาเหล่าน้ีส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองของประเทศไทยอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ และทำ�ให้การพัฒนาสังคมแบบองค์รวมของ ประเทศไทยไดร้ บั ผลกระทบไปด้วย การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของคนท้ังในยุค ปจั จุบันและยุคต่อๆ ไปอย่างเท่าเทียมกัน ในสว่ นของมติ กิ ารพัฒนาสงั คมท่ีย่งั ยนื เปน็ การ พัฒนาคนให้มคี วามรู้ มสี มรรถนะและมผี ลติ ภาพสงู ขึน้ ส่งเสรมิ ให้เกดิ สงั คมท่ีมคี ณุ ภาพ และ เปน็ สังคมแหง่ การเรียนรู้ ระบบการพฒั นาทย่ี ง่ั ยืนในปจั จัยด้านสงั คมนน้ั จะต้องจัดระบบสังคม ท้ังด้านเศรษฐกิจ การเมอื ง การบริหาร ตลอดจนกจิ การต่างๆ ให้ผสมกลมกลืนสอดคลอ้ งเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดียวกนั บนฐานแหง่ ความรู้ ความเปน็ จรงิ สรา้ งบรรยากาศแหง่ ความไม่เบียดเบียน บรรยากาศแหง่ ความช่วยเหลือเกือ้ กลู พทิ ักษป์ กป้องคนท่ีอยใู่ นสถานะตา่ งๆ ซง่ึ มีโอกาสและ มีความสามารถตา่ งกนั แผนพฒั นาสังคมและเศรษฐกิจแหง่ ชาติ ฉบับที่ ๑๒ ระบวุ า่ การพัฒนาสงั คม สคู่ วามยง่ั ยนื เพอ่ื รองรบั ความเปลย่ี นแปลงของโลกในยคุ ศตวรรษท่ี๒๑ จ�ำ เปน็ ตอ้ งมกี ารเสรมิ สรา้ ง สังคมเข้มแข็งให้เกิดข้ึน สามารถเป็นภูมิคุ้มกันการเปล่ียนแปลงต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนในอนาคตได้ ตวั ชว้ี ดั ส�ำ คญั ของการพฒั นาสงั คมอยา่ งยง่ั ยนื ตามแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี ๑๒ คอื สถาบนั ทางสงั คม มีความเข้มแข็ง โดยดัชนีครอบครัวอบอุ่นอยู่ในระดับดีขึ้น และจำ�นวนผู้ถูกกระทำ�ด้วย ความรนุ แรงในครอบครวั ไดร้ บั ความชว่ ยเหลือค้มุ ครองเพม่ิ ข้นึ การเรยี นรขู้ องคนในชมุ ชนเพม่ิ ข้นึ คนในครัวเรือนมีส่วนร่วมทำ�กิจกรรมสาธารณะของหมู่บ้านและชุมชนเพ่ิมข้ึน การพัฒนาให้ คนในสังคมไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีสภาพแวดล้อมในการดำ�รงชีวิตที่ดี มีความม่ันคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีสุขภาพอนามัยแข็งแรงสามารถเข้าถึงระบบการคุ้มครอง ทางสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน แต่สถานการณ์การพัฒนาสังคมท่ีผ่านมาส่งผลกระทบต่อคน และสงั คมไทยหลายประการ อาทิ ประชากรมแี นวโนม้ ประชากรวยั สงู อายเุ พม่ิ ขน้ึ ประชากรวยั เดก็ และวยั ท�ำ งานลดลง ขณะทก่ี ารยา้ ยถน่ิ ของประชากรสง่ ผลใหค้ วามเปน็ เมอื งสงู ขน้ึ ความปลอดภยั ในชีวิตและทรัพย์สิน การแพร่ระบาดของยาเสพติด และการเพ่ิมขึ้นของการพนันเป็นปัญหา สำ�คัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน สังคมไทยเผชิญวิกฤตความเส่ือมถอยด้านคุณธรรม
100 รัฐสภาสาร ปที ่ี ๖๗ ฉบบั ท่ี ๖ เดือนพฤศจกิ ายน-ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ จริยธรรม มีการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย และมีแนวโน้มเป็นสังคมปัจเจก มากข้นึ แนวทางในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้คือ ส่งเสริมให้ มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องของการศึกษา ทักษะการทำ�งาน และการดำ�เนินชีวิต เพ่ือเป็นภูมิคุ้มกันสำ�คัญในการดำ�รงชีวิตและปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุค ศตวรรษที่ ๒๑ สร้างจิตส�ำ นึกทดี่ ี มีคา่ นิยมท่พี งึ ประสงค์ อยู่ร่วมกันด้วยความรกั ความสามคั คี เป็นน้ำ�หนึ่งใจเดียวกัน บนความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม เพื่อเป็นฐานในการ ก้าวไปส่สู งั คมท่มี ีความใส่ใจและแบง่ ปนั ตอ่ ผู้อ่นื สถาบันทางสงั คมมีความเขม้ แขง็ ทำ�หนา้ ทแี่ ละ บทบาทของตนเองไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกับสถานการณท์ ่ีมีการเปล่ยี นแปลงตลอดเวลา ทง้ั สถาบนั ครอบครัว สถาบนั ศาสนา สถาบนั การศกึ ษา และชุมชนให้เปน็ สถาบันหลักในการพัฒนาความรู้ ปลกู ฝงั คุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยมที่ดีงาม รวมถึงการเสริมสรา้ งความเข้มแขง็ ของสถาบนั ทางสังคม ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนนำ�ค่านิยมและวัฒนธรรมท่ีดีงามของไทยไปเป็นฐานใน การพัฒนาคนและสังคม เสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวในการบ่มเพาะให้คน มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมในวิถีชีวิต พัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็งและสามารถสร้าง ภูมิคุ้มกันให้คนในชุมชน ฟื้นฟูบทบาทของสถาบันศาสนาในการส่งเสริมศีลธรรมและเป็น ที่พึ่งในวิถีชีวิต โดยสนับสนุนให้สถาบันศาสนาเผยแพร่แก่นของศาสนาท่ีถูกต้องและจัดพ้ืนท่ี ในการปฏิบัติธรรมอย่างทั่วถึงรวมท้ังมีการสร้างนวัตกรรมและกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ของ เดก็ และเยาวชนใหม้ ีศลี ธรรม คณุ ธรรมจรยิ ธรรมตามหลกั ค�ำ สอนทางศาสนา ดังน้ันแล้ว การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนจึงเป็นการพัฒนาคนในสังคมสู่สังคม แห่งการเรียนรู้ เรียนรู้ในการดำ�รงตนในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข สร้างความมั่นคงให้กับ ตนเองและสังคม สรา้ งความเขม้ แขง็ ใหก้ ับสถาบนั ครอบครวั ชุมชน และสังคมควบคูไ่ ปกบั การ สร้างความอบอนุ่ ทางสงั คมให้เกิดขนึ้ สรา้ งความเท่าเทยี มในสงั คมด้วยการเห็นคณุ คา่ ของผอู้ ่นื ปฏิบัติดีกับผู้อื่น สิ่งเหล่าน้ีล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างเง่ือนไขทางสังคมใหม่ ให้สังคม มีการเปลย่ี นแปลงไปสสู่ งั คมที่พึงปรารถนา ก่อใหเ้ กดิ ความเอ้อื อาทร ความรัก ความสามัคคี ความสมานฉนั ท์ สงั คมเข้มแข็งและอยูร่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ตสิ ุข สังคมไทย : พ้นื ฐานและความเปน็ ไปในการพัฒนาสงั คม สังคมไทย เป็นสังคมท่ีมีความหลากหลายทั้งในด้านความเป็นพหุวัฒนธรรม ที่มีความแตกต่างท้ังทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต ละสภาพ
หลักพุทธรรมกับการพัฒนาสังคมอดุ มคติยคุ ๔.๐ 101 ความเปล่ียนแปลงทางสังคม สังเกตได้ว่า สังคมไทยมีการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดดจาก สังคมแบบเกษตรกรรมสู่สังคมกึ่งเกษตรกรรมกึ่งอุตสาหกรรม และเริ่มที่จะมีแนวโน้มของ ความเปล่ียนแปลงไปสู่สังคมอุตสาหกรรมเพ่ิมมากข้ึน ท้ังน้ีท้ังน้ันเพราะความเปลี่ยนแปลง ทางสังคมดังกล่าวได้เกดิ ข้นึ พรอ้ มกบั สภาพเศรษฐกจิ ท่เี ปลย่ี นแปลงไป เมื่อโลกได้ก้าวสู่ยุคที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ ท่ีการส่ือสารติดต่อเป็นไปอย่างฉับไว ทำ�ใหอ้ ิทธพิ ล ของอำ�นาจทนุ นยิ มยงิ่ แผก่ ระจายออกไปมากยง่ิ ขนึ้ วถิ ีชวี ิตในสงั คมไทยไดร้ ับ ผลกระทบจากทุนนิยมที่เกิดข้ึนด้วยเช่นกัน สภาพสังคมซ่ึงแต่เดิมแยกออกเป็นสังคมชนบท ซึ่งเป็นเขตที่มีผู้คนอาศัยอยู่ต่อหน่วยพื้นท่ีน้อย มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ใกล้ชิดกับ ธรรมชาติ กิจกรรมทางเศรษฐกิจข้ึนอยู่กับการเกษตรเป็นสำ�คัญ ปัญหาของสังคมเป็นเร่ือง ของรายได้ สุขอนามัย หรือการศกึ ษา และสงั คมเมือง คอื บรเิ วณทีม่ ปี ระชากรอาศัยอยรู่ วมกัน เป็นจำ�นวนมาก เป็นศูนย์กลางของความเจริญต่างๆ ปัญหาของสังคมเมืองมักจะเป็นเร่ืองของ ความเสื่อมโทรมด้านจิตใจของคนในสังคม และจากท่ามกลางกระแสการพัฒนาในปัจจุบัน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การพฒั นาทางเศรษฐกจิ ท�ำ ใหเ้ กดิ สงั คมอกี ประเภทหนง่ึ ขนึ้ คอื สงั คมกงึ่ เมอื ง ก่ึงชนบท ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างความเป็นเมืองกับชนบท แยกชุมชนออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ ชุมชนด้ังเดิมท่ียังคงวิถีชีวิตชนบทไว้กับชุมชนใหม่ท่ีดำ�เนินชีวิตตามแบบ สังคมเมือง ทำ�ให้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นในสังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบทมีทั้งปัญหาพื้นฐานของสังคมและ ปัญหาด้านจิตใจของคนในสังคม (ทัศนา พฤตกิ ารณ์กจิ , ๒๕๕๘) การทีส่ ังคมไทยเปลี่ยนแปลงไป ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลกระทบข้ึนมากมาย สังคมชนบทของไทยได้สูญสิ้นความเป็นสังคม ชนบทที่มีเสน่ห์น้ันไปแทบจะหมดส้ิน กลายมาเป็นสังคมกึ่งชนบทก่ึงเมืองที่วิถีชีวิตต่างๆ เกิดการเปล่ียนแปลงไปเป็นอย่างมากเกิดภาวการณ์แข่งขัน การเร่งรีบ การไม่มีนำ้�ใจ การไม่มี ความเอื้ออาทรต่อกัน ซ่ึงเป็นตัวทำ�ให้สังคมชนบทของไทยมีการเปลี่ยนแปลงไป ท้องทุ่งนา หลายแห่งหลายเป็นป่าหญ้ารกร้างเพราะผู้คนหนุ่มสาว วัยทำ�งาน ไม่มีเวลามาทำ�งานในไร่ในนา แม้กระท่ังเด็กในวัยเรียนก็ละทิ้งสังคมชนบทเข้าไปศึกษาต่อในเมือง ทำ�ให้สังคมชนบท ส่วนใหญ่กลายเป็นสังคมแห่งความว่างเปล่า มีเพียงผู้เฒ่าผู้แก่เท่านั้นท่ีอยู่บ้านเลี้ยงลูกหลาน ตัวน้อยทพ่ี อ่ แมเ่ อามาทิง้ ไวใ้ ห้ สังคมชนบทจึงไดส้ ญู เสียอตั ลกั ษณ์ทางสังคมไปแทบจะหมดส้ิน กลายเป็นสังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบทท่ีมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนส่วนใหญ่มักยึดติด กบั การใช้ชีวิตท่สี ะดวกสบายและรวดเรว็ ทนั ต่อความต้องการของตนเอง นับต้ังแต่ทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา ชนบทไทยประสบความเปล่ียนแปลง อยา่ งรวดเรว็ เกษตรกรรมเพอ่ื ยงั ชพี ซง่ึ ทเ่ี คยเปน็ สดั สว่ นทส่ี �ำ คญั ในรายไดข้ องประชาชนเรม่ิ พงั สลายลง
102 รฐั สภาสาร ปที ่ี ๖๗ ฉบับท่ี ๖ เดอื นพฤศจิกายน-ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เศรษฐกิจตลาดรุกเข้าไปในชีวิตของผู้คนมากขึ้น ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมและธุรกิจ ก็รุกเข้าไปสู่ชนบทมากขึ้นทำ�ให้ประชาชนในชนบทส่วนหน่ึงหันเข้าหางานอ่ืนที่มีลักษณะประจำ� มากขนึ้ ในเศรษฐกิจสมัยใหม่ โดยสว่ นใหญ่ขายแรงงาน (นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ อ้างใน ประภาส ปนิ่ ตบแตง่ , ๒๕๕๘) ปัจจบุ ันจากสภาวะตา่ งๆ ทีเ่ กิดขนึ้ ในยุคโลกาภวิ ัตน์ กระแสของระบบ สงั คมเทคโนโลยสี ารสนเทศ และระบบเศรษฐกจิ แบบทนุ นยิ มสมยั ใหม่ ท�ำ ใหเ้ กดิ ความเหลอ่ื มซอ้ นกนั ในบริบททางสังคมที่ทำ�ให้สภาพของสังคมส่วนใหญ่ในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยเกิดการ เปล่ียนแปลงไปสู่สภาพสังคมแบบที่เรียกว่า “สังคมกึ่งชนบทกึ่งเมือง” ซ่ึงจะมีลักษณะร่วมกัน ของความเป็นเมืองและชนบท ปัญหาของสังคมก็เป็นปัญหาท่ีผสมผสานระหว่างปัญหาของ สงั คมเมอื งและสังคมชนบท (ทัศนา พฤตกิ ารณก์ ิจ, ๒๕๕๘) เราไม่สามารถทจ่ี ะปฏิเสธได้วา่ สิ่งเหล่าน้ีคือกระบวนการหน่ึงในการพัฒนาสังคมท่ีมีความเปล่ียนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะการพฒั นาสังคม เปน็ การเปลย่ี นแปลงโครงสร้างสังคมตามแผนของสังคมหน่งึ ใด น่นั คอื การพัฒนาต้องมีการเปลี่ยนแปลง และเป็นการเปล่ียนแปลงตามที่ผู้ต้องการเปล่ียนแปลง ก�ำ หนด สง่ิ ท่ีจะเปลี่ยนแปลงคอื โครงสรา้ งสังคม ซ่ึงประกอบดว้ ยคน ระเบยี บสังคม และวตั ถุ สิ่งของ (สญั ญา สญั ญาวิวัฒน์, ๒๕๔๖) แตใ่ นขณะเดยี วกนั เราอย่าลืมว่า ความเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวได้เพิ่มมูลค่าให้กับส่ิงหนึ่ง แต่กลับลดมูลค่าให้กับอีกสิ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน น่ันก็คือ เราเพ่ิมมูลค่าให้กับการพัฒนาสังคมที่ต้องการเห็นความเจริญในด้านวัตถุ แต่เรากลับ ลดมลู คา่ ทางดา้ นจิตใจของผคู้ นลงไป ปัญหาทางสงั คมตา่ งๆ ที่เกิดขึน้ ในปัจจบุ นั เราจะเห็นไดว้ า่ ส่วนใหญ่แล้วมาจากการไม่เอื้อเฟื้อซ่ึงกันและกันให้กับผู้คนท่ีอยู่ร่วมกันในสังคม จึงปรากฏ ข่าวคราวบอ่ ยคร้ังท่เี กิดกรณวี วิ าท ทำ�รา้ ยซงึ่ กนั และกนั เพยี งเพราะแคข่ ับรถไมถ่ ูกใจกันเทา่ นั้น นเ่ี ปน็ เพยี งปญั หาหนง่ึ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงั คมไทยยคุ ปจั จบุ นั และจะท�ำ อยา่ งไร การพฒั นาสงั คมทด่ี นี น้ั จะไม่เป็นการเพ่ิมมูลค่าให้กับส่ิงที่เราต้องการ และในขณะเดียวกันก็ลดมูลค่าให้กับอัตลักษณ์ ทางสังคมดั้งเดิมท่เี ราเคยมอี ย่แู ละยดึ ถอื เป็นวัฒนธรรมทางสังคมร่วมกันมาอยา่ งช้านาน สงั คมไทยยุค ๔.๐ : สงั คมอดุ มคติ จากทกี่ ลา่ วมาแล้วว่า สงั คมไทยเปน็ สังคมทมี่ กี ารเปลย่ี นผ่านทางสังคมจากสงั คม แบบเกษตรกรรมหรือแบบชนบทมาสู่สังคมเมือง และในขณะเดียวกันก็ยังปรากฏมีสังคม อีกประเภทหนึ่งขึ้นมา น่ันก็คือ สังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบท ซ่ึงเป็นสังคมที่มีความผสานกัน ระหว่างสังคมแบบเกษตรกรรมท่ีผู้คนยังคงวิถีชีวิตด้ังเดิมด้วยการยึดอาชีพเกษตรกรร่วมกับการ ใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ท่ีผู้คนหนุ่มสาวเริ่มที่จะออกไปขายแรงงานยังต่างถ่ิน หรือแม้กระทั่งการมี
หลักพุทธรรมกบั การพัฒนาสงั คมอดุ มคติยุค ๔.๐ 103 โรงงานอตุ สาหกรรมเกดิ ขึ้นในสังคมชนบทด้วยเชน่ กนั รวมท้งั รูปแบบวถิ ีชวี ิตทเี่ ปลย่ี นแปลงไป จากเดมิ กเ็ ปน็ สว่ นหนง่ึ ทท่ี �ำ ใหส้ งั คมไทยเปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ อยา่ งกา้ วกระโดด แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ยังเชื่อได้ว่าทุกคนในสังคมย่อมปรารถนาที่จะเห็นสังคมไทยได้รับการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ท้งั ทางด้านวตั ถแุ ละด้านจติ ใจไปพร้อมๆ กนั ซ่งึ นน่ั อาจจะเป็น “สงั คมอุดมคต”ิ ก็เป็นได้ สังคมอุดมคติ หมายถึง สังคมท่ีมนุษย์มีความสุขที่สุดท่ีมุ่งหวังจะให้เกิดขึ้นแต่ ก็ไม่สามารถจะบรรลุถึงได้จริง ถ้าถามคนในสังคมทุกวันนี้ ว่าสังคมในอุดมคติของพวกเขา ควรจะเปน็ เชน่ ไร? เชื่อแน่ว่าคำ�ตอบส่วนใหญท่ ีไ่ ดร้ ับก็คอื เปน็ สังคมทม่ี คี วามม่นั คง สังคมทีม่ ี ความเจริญก้าวหน้า สังคมที่มีความปลอดภัย และสังคมที่มีพื้นที่สำ�หรับลูกหลานของตน ในอนาคต แม้จะไม่ถึงขน้ั สังคมอุดมสขุ อย่างทเี่ คยนึกฝนั กต็ าม (ประภสั สร เสวิกลุ , ออนไลน์) แต่ถึงกระน้ัน สังคมอุดมคติอาจจะยังเป็นเรื่องท่ีไกลเกินฝันของคนในสังคมที่อาจไม่มีทาง ท่ีจะเกิดข้ึนได้ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่หากเราร่วมกันสร้างสังคมที่ได้รับการพัฒนา ทั้งดา้ นวตั ถุและจติ ใจไปพร้อมๆ กัน ก็อาจทำ�ให้เราใกล้เขา้ สูส่ งั คมอดุ มคติที่พึงปรารถนา อยา่ ลืมวา่ สังคมไทยหากเปรียบเทียบเป็นยุคสมัยแล้วนั้นก็อาจเปรียบได้ว่าเราผ่านมาถึง ๓ ยุคสมัย ได้แก่ สงั คมยุค ๑.๐ ทเ่ี ป็นสงั คมเกษตรกรรม สังคมยุค ๒.๐ ท่ีเป็นสงั คมยุคกึ่งเกษตรกรรมกึ่งอตุ สาหกรรม และสังคมยุค ๓.๐ สังคมแห่งยุคอุตสาหกรรม ที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในชีวิตประจำ�วันของ เรานั้นไม่มีเร่ืองของอุตสาหกรรมเข้ามาเก่ียวข้อง เพราะทุกวันน้ีเราใช้ชีวิตและดำ�เนินชีวิตไป พร้อมๆ กับอุตสาหกรรม ที่ถึงแม้ว่าจะไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในสังคมบ้านเราก็ตาม แต่เราก็ยังคงมีเร่ืองของอุตสาหกรรมเข้ามาเก่ียวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี เครอ่ื งอ�ำ นวยความสะดวกตา่ งๆในชวี ติ ประจ�ำ วนั ลว้ นแลว้ แตเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ความเปน็ อตุ สาหกรรมทง้ั สน้ิ ยกตัวอย่าง การใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากท้ังในสังคมเมืองและสังคม ชนบท โดยเฉพาะสังคมชนบทที่ดูจะเป็นสิ่งแปลกใหม่และน่าทดลองใช้สำ�หรับผู้คนในชนบท การสนทนาผ่านโปรแกรมต่างๆ (แชท, แมสเซนเจอร์, ไลน์ ฯ) ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สำ�หรับผู้คนท่ัวไปไม่ว่าจะในสังคมเมืองหรือสังคมชนบท และดูจะเป็นเร่ืองที่น่าตื่นเต้น ด้วยซ้ำ�ไปในสังคมชนบทที่มีเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำ�วัน แตใ่ นขณะเดยี วกนั ก็เกิดปัญหาทางสงั คมข้ึนด้วยเช่นกัน จากข่าวท่ีปรากฏทางส่ือต่างๆ ท่ีมกี าร ใชเ้ ทคโนโลยดี งั กลา่ วไปในทางทผ่ี ดิ หรอื ในทางทเ่ี สอ่ื มเสยี เชน่ การลอ่ ลวง การประพฤตผิ ดิ ทางเพศ การหลอกลวงโฆษณาเกินจริง เป็นต้น ปัญหาต่างๆ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากการเสพส่ือทาง เทคโนโลยีที่ไม่มีการใช้วิจารณญาณในการรับสื่อ ซึ่งนับได้ว่าเป็นปัญหาที่มาพร้อมกับความ เจริญกา้ วหน้าทางสังคม ปรากฏการณเ์ หลา่ นน้ี บั ไดว้ า่ เปน็ รปู แบบของสงั คมในยคุ ๓.๐ ทส่ี งั คมไทย
104 รัฐสภาสาร ปที ่ี ๖๗ ฉบับท ี่ ๖ เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ กำ�ลังดำ�เนินอยู่ในปัจจุบัน และกำ�ลังที่จะก้าวผ่านไปสู่สังคมใหม่ที่อาจเป็นสังคมอุดมคติ ท่ีคนในสงั คมคาดหวงั ว่าจะเกดิ ข้นึ ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม “สงั คม ๔.๐” ประกอบไปดว้ ยสังคมทีเ่ ปน็ ธรรม ศักด์ิศรคี วามเปน็ มนุษย์ ทกุ คน ในสังคมเท่าเทียมกัน เป็นสังคมแห่งโอกาส ทุกคนมีโอกาสเท่าเท่าเทียมกัน เป็นสังคม แหง่ ความสามารถ ตอ้ งเตมิ เตม็ ความสามารถตามศกั ยภาพทม่ี ี เปดิ โอกาสให้แสดงความสามารถ เปน็ สงั คมทเี่ ก้ือกูลและแบ่งปันกัน (ลม เปลยี่ นทศิ , ออนไลน์) เป็นสงั คมทีด่ ีงามและอย่เู ย็น เปน็ สุขร่วมกนั หมายถงึ สังคมแห่งความพอเพยี งและสันตสิ ขุ มเี ศรษฐกิจพอเพยี ง ไม่ทอดทิ้งกนั มคี วามเป็นธรรม มวี ฒั นธรรม มจี ริยธรรมคณุ ธรรม มคี วามเข็มแข็งทางสงั คม และสามารถ รักษาความสมดลุ ในตวั เอง และกบั โลกภายนอกท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง แนวทางการสรา้ ง สงั คมยุค ๔.๐ อาจเป็นเรอื่ งท่ยี ากเกินความสามารถของคนในสงั คมทจี่ ะรว่ มกันสร้างขึ้นมา แตห่ ากเรามองย้อนกลับไปว่า สังคมยคุ ๔.๐ หรือสังคมอดุ มคตินั้นเป็นสงั คมท่เี ราพงึ ปรารถนา ร่วมกนั ในเร่อื งของการสร้างความสขุ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ใสสงั คมอย่างย่งั ยนื จะมีแนวทางใดในการสร้าง สงั คมดังกล่าวให้เกิดขน้ึ ได้ ผู้เขียนจึงขอเสนอแนวคิดหลกั ๗ ประการ แห่งสงั คมอดุ มคติ ดงั นี้ ๑. สังคมทไ่ี มท่ อดท้งิ กัน เปน็ สงั คมท่ที กุ คนในสังคมถอื ว่าเป็นครอบครวั เดียวกัน ซึ่งอาจไม่จำ�เป็นที่จะต้องเป็นสังคมในระดับใหญ่โต อาจเริ่มเพียงในระดับชุมชน ซ่ึงสังคม ท่ีไม่ทอดทิ้งกันไม่ใช่สังคมแบบตัวใครตัวมัน แต่เป็นสังคมท่ีมีน้ำ�ใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุข และ ไมท่ อดทง้ิ กนั ๒. มีเศรษฐกิจพอเพียง พออยพู่ อกนิ รูจ้ กั พอประมาณในการใชช้ วี ิต สามารถ ทีจ่ ะพง่ึ ตนเองได้ มคี วามสมดุลในการใช้ชวี ติ มคี ณุ ธรรมประจำ�ตน ๓. การใชท้ รพั ยากรอย่างเป็นธรรมและยง่ั ยืน ดว้ ยการรว่ มมือกันรักษาส่งิ แวดลอ้ ม และทรัพยากรธรรมชาติ รู้จักการแบ่งปันทรัพยากรท่ีถือว่าทุกคนในสังคมเป็นเจ้าของร่วมกัน รจู้ ักการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติอยา่ งเปน็ ระบบ เปน็ ธรรมและยงั่ ยนื ๔. มีการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ยอมรับในความแตกตา่ งทง้ั ทางดา้ นเช้ือชาติ ศาสนา วฒั นธรรม เพ่ือใหก้ ารอยู่ร่วมกนั ในสังคม เป็นไปอยา่ งปกตสิ ุข ๕. รกั ษาความเปน็ ธรรมทางสังคม การไม่เอารัดเอาเปรียบซึง่ กนั และกัน การรกั ษา น้�ำ ใจผู้อ่ืน การหยบิ ย่ืนมติ รไมตรที ่ีดแี ก่กัน รวมทง้ั การรกั ษาความเป็นธรรมทางกฎหมายหรอื กฎระเบยี บต่างๆ ทถ่ี อื เป็นขอ้ ตกลงรว่ มกันของสังคม
หลกั พุทธรรมกบั การพัฒนาสงั คมอุดมคตยิ คุ ๔.๐ 105 ๖. การสร้างสันติธรรมทางสังคม เป็นการสร้างความสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ด้วยการใช้หลักธรรมทางศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ การสร้างสังคมแห่งสันติธรรมนั้น จะเปน็ การสรา้ งความสขุ ทางสงั คมได้อย่างยง่ั ยนื ๗. การพัฒนาอบรมจิตใจให้สูงข้ึน เป็นการปรับความคิดให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยการน้อมน�ำ หลักธรรมทางศาสนาเข้ามาเปน็ ส่วนหน่ึงของการด�ำ เนนิ ชวี ติ รว่ มกนั ในสงั คม สังคมไทยจะได้รับการพัฒนาไปสู่สังคมยุค ๔.๐ ได้นั้น แน่นอนว่าจะต้องได้รับ ความร่วมมอื รว่ มใจ ความสมัครสมานสามคั คขี องคนในชาตดิ ้วย ประการสำ�คัญ หลกั ค�ำ สอน ทางศาสนากจ็ ะเป็นสว่ นหน่งึ ที่จะสร้างสังคมอุดมคติหรือสังคมยคุ ๔.๐ ไดเ้ ชน่ เดียวกนั พุทธธรรมกบั การพัฒนาสงั คมสู่สังคมอุดมคติ การพัฒนาสังคม เป็นการทำ�ให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีการ เปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ ในทางทด่ี ภี ายในสงั คมนน้ั ๆ การพฒั นาสงั คม หมายถงึ การท�ำ ใหก้ ารอยรู่ ว่ มกนั ของคนในสังคมเดียวกันเกิดประโยชน์ส่วนบุคคลและส่วนรวมอย่างเสมอภาคและยุติธรรม มากที่สุด ให้เป็นความสุขความพอใจท่ีจะได้อยู่ร่วมสัมพันธ์กัน เป็นสังคมท่ีผูกพันม่ันคง ถาวรตลอดไป (พทั ยา สายห,ู ๒๕๔๖) ดังนัน้ การพัฒนาสงั คมที่ประสบยความสำ�เร็จได้น้นั จึงเป็นการพัฒนาบทบาทของคนในสังคมให้มีความเท่าเทียมกัน ปัญหาในการพัฒนาสังคม ที่ยังไม่ประสบความส�ำ เรจ็ นั้น เกิดจากกิเลส ๓ อยา่ งที่ขดั ขวางจรยิ ธรรม คือ ตณั หา มานะ และทิฏฐิ เราจึงต้องพัฒนาคนและสังคมให้คู่ขนานไปกับการพัฒนาจริยธรรมด้วยโดยการใช้ หลกั พทุ ธธรรม หลักพทุ ธธรรม คือหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาทถี่ อื ไดว้ ่าเป็น “อกาลิโก” คือ สามารถประยุกต์ใช้ได้โดยไม่จำ�กัดกาลเวลา กล่าวคือสามารถนำ�มาประยุกต์ใช้กับสังคมยุค ปัจจุบันได้อย่างลงตัวและเท่ียงแท้แน่นอน จากปัญหาทางสังคมหลายๆ อย่างท่ีเกิดขึ้น ในปจั จบุ นั หากมกี ารน�ำ เอาหลกั พทุ ธธรรมเขา้ มาประยกุ ตใ์ ชแ้ ลว้ นน้ั ยอ่ มท�ำ ใหป้ ระสบความส�ำ เรจ็ ในการแก้ปัญหาได้ส่วนหน่งึ แม้จะไม่ท้งั หมดก็ตาม พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึง หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการพัฒนาที่ยั่งยืนแนวพุทธว่า มีลักษณะเป็นทางสายกลาง คือ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา (พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ๒๕๔๑) อนั เปน็ ทางสายกลางในการยึดถือปฏบิ ัต ิ ทางสายกลางคือการดำ�เนินชวี ติ ทดี่ งี ามหรอื ประเสรฐิ ตรงกับทีพ่ ระพทุ ธองคต์ รสั วา่ มรรค คือ ทางปฏบิ ัตเิ พ่อื ใหถ้ ึงซึ่งความดบั สนิทแห่งทุกข์ มรรคมีองค์ ๘ (พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙) ไดแ้ ก่ สมั มาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ สมั มาสงั กปั ปะ ความด�ำ รชิ อบ
106 รัฐสภาสาร ปีท ่ี ๖๗ ฉบบั ท ี่ ๖ เดือนพฤศจกิ ายน-ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สัมมาวาจา การเจรจาชอบ สมั มากมั มนั ตะ การกระท�ำ ชอบ สัมมาอาชีวะ การเล้ยี งชพี ในทาง ทช่ี อบ สมั มาวายามะ ความพยายามในทางที่ชอบ สัมมาสติ การระลึกชอบ และสมั มาสมาธิ การต้ังใจชอบ แน่นอนว่า การปฏิบัติตนตามหลักมรรคมีองค์ ๘ น้ันย่อมเป็นการดำ�รงตน ตามหลกั ทางสายกลาง ไมเ่ ปน็ ทเ่ี ดอื ดรอ้ นทง้ั ตนเองและผอู้ น่ื ซง่ึ นอกจากการด�ำ รงตนในสงั คมตาม หลักมัชฌิมาปฏิปทาแล้วน้ัน การพัฒนาตนเองก็นับได้ว่ามีความสำ�คัญเช่นเดียวกัน การพัฒนา ตนเองตามหลักพุทธธรรมน้ันได้แก่ หลักภาวนา ๔ คือ การเจริญ, การทำ�ให้เป็นให้มีข้ึน, การฝกึ อบรม, การพฒั นา (พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), ๒๕๕๔) อันไดแ้ ก่ (พระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙) ๑) กายภาวนา การเจรญิ กาย หรือ การพฒั นากาย ๒) สีลภาวนา การเจรญิ ศีล หรือการพัฒนาความประพฤติ ๓) จิตตภาวนา การเจรญิ จติ หรอื การพฒั นาจติ ใจ และ ๔) ปญั ญาภาวนา การเจรญิ ปญั ญา หรอื การพฒั นาปญั ญา การพัฒนาตนเองตามหลักภาวนา ๔ น้ีเป็นหลักการพัฒนาตนเองให้มีความสมบูรณ์พร้อม ท้งั ด้านร่างกายและจติ ใจในการด�ำ รงตนในสังคม การพัฒนาตนเองตามหลักธรรมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ถือได้ว่าเป็นการพัฒนา ตนเองเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในตนเองให้มากขึ้น ให้สมกับความเป็นมนุษย์ท่ีแปลว่า ผู้มีจิตใจสูง เม่ือคนได้รับการพัฒนาไปในทิศทางท่ีต้องการแล้วน้ันก็จะเป็นส่วนสำ�คัญท่ีทำ�ให้สังคม ได้รับการพัฒนาตามไปด้วย หลักธรรมสำ�คัญหลักธรรมหน่ึงท่ีสามารถนำ�มาประยุกต์ใช้ในการ พัฒนาสังคมได้น่ันก็คือ หลักสาราณียธรรม ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นหลักการอยู่ร่วมกัน ประกอบด้วย (๑) เมตตากายกรรม ท�ำ ตอ่ กันดว้ ยเมตตา คอื แสดงไมตรแี ละความหวงั ดตี อ่ เพื่อนรว่ มงาน รว่ มกจิ การ ร่วมชุมชน ด้วยการช่วยเหลือกิจธุระตา่ งๆ โดยเต็มใจ แสดงอาการ กริ ยิ าสุภาพ เคารพนบั ถือกัน ท้งั ตอ่ หน้าและลับหลงั (๒) เมตตาวจกี รรม พดู ตอ่ กนั ดว้ ยเมตตา คือ ช่วยบอกแจง้ สิง่ ทเ่ี ป็นประโยชน์ สง่ั สอนหรือแนะนำ�ตักเตอื นกันด้วยความหวังดี กล่าววาจา สุภาพ แสดงความเคารพนบั ถือกนั ท้งั ต่อหน้าและลบั หลงั (๓) เมตตามโนกรรม คิดตอ่ กันดว้ ย เมตตา คือ ตง้ั จติ ปรารถนาดี คดิ ท�ำ ส่ิงทีเ่ ป็นประโยชนแ์ กก่ ัน มองกันในแง่ดี มหี นา้ ตายิม้ แยม้ แจม่ ใสตอ่ กัน (๔) สาธารณโภคี ได้มาแบง่ กันกินใช้ คือ แบง่ ปันลาภผลทีไ่ ด้มาโดยชอบธรรม แม้เปน็ ของเลก็ นอ้ ยกแ็ จกจา่ ยใหไ้ ดม้ สี ว่ นรว่ มใชส้ อยบรโิ ภคทว่ั กนั (๕) สลี สามญั ญตา ประพฤตใิ หด้ ี เหมอื นเขา คือ มคี วามประพฤติสจุ ริตดงี ามรักษาระเบยี บวินัยของสว่ นรวม ไม่ทำ�ตนให้เปน็ ที่นา่ รงั เกียจหรือเส่อื มเสยี แกห่ มคู่ ณะ (๖) ทฏิ ฐิสามัญญตา ปรบั ความเห็นเข้ากนั ได้ คอื เคารพ รับฟังความคิดเห็นกัน มีความเห็นชอบร่วมกัน ยึดถืออุดมคติ หลักแห่งความดีงามหรือ จดุ หมายสูงสุดอันเดยี วกัน (พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), ๒๕๔๗)
หลกั พทุ ธรรมกบั การพฒั นาสังคมอดุ มคตยิ ุค ๔.๐ 107 สรุป การพัฒนาสงั คมสู่สงั คมอดุ มคตยิ คุ ๔.๐ เปน็ การก้าวผ่านทางสงั คมยุค ๓.๐ ซึ่ง เปรียบได้ว่าเป็นสังคมแห่งยุคอุตสาหกรรม ท่ีการดำ�เนินชีวิตของผู้คนในสังคมล้วนแล้วแต่ เก่ียวข้องกับความเป็นอุตสาหกรรมท้ังสิ้น โดยเฉพาะในเร่ืองของการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ท่ีเปน็ สว่ นหนง่ึ ของชีวติ ประจ�ำ วนั แต่นั่นก็ยอ่ มนำ�มาซ่ึงปญั หาตา่ งๆ ทางสังคมดว้ ยเช่นกนั และ ในขณะเดียวกนั สงั คมไทยเรม่ิ ที่จะแสวงหาสงั คมอดุ มคติ ซึง่ เปน็ สงั คมท่ีพึงปรารถนาทีท่ ุกคน ในสังคมลว้ นแล้วแตอ่ ยากจะให้เกิดข้ึน สังคมอดุ มคติ หรอื สังคมยคุ ๔.๐ เปน็ สังคมทท่ี กุ คนในสงั คมมีความรกั ใคร่สามัคคี กลมเกลยี ว เปน็ สงั คมแหง่ การไมท่ อดทง้ิ ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ไมเ่ อารดั เอาเปรยี บซง่ึ กนั และกนั การรกั ษาน�้ำ ใจผอู้ น่ื เป็นสังคมทีท่ ุกคนในสังคมถอื วา่ เปน็ ครอบครัวเดยี วกัน รู้จักพอประมาณ ในการใช้ชีวิต สามารถที่จะพึ่งตนเองได้ เคารพศักด์ิศรีและคุณค่าความเป็นคนของทุกคน อย่างเท่าเทียมกัน การพัฒนาอบรมจิตใจให้สูงขึ้นโดยการน้อมนำ�หลักธรรมทางศาสนา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำ�เนินชีวิตร่วมกันในสังคม ซึ่งสังคมอุดมคติน้ีนับได้ว่าเป็นสังคม ท่ีเรามีความคุ้นเคยและคุ้นชินอย่างมากเพราะดูเหมือนว่าจะเป็นสภาพสังคมในยุคเก่าก่อน หรือเป็นสังคมแบบชนบท แต่ด้วยความเปล่ียนแปลงทางสังคมในปัจจุบันจึงทำ�ให้เราโหยหา สงั คมอุดมคติท่ีพงึ ปรารถนาขึน้ มาอีกครัง้ ซง่ึ อาจจะไมส่ มบูรณ์แบบก็ตาม แตจ่ ะทำ�อย่างไรให้ สงั คมอุดมคตดิ ังกลา่ วเกิดข้ึนและมองเหน็ ความเปน็ ไปได้ในการพฒั นาสงั คมไปสู่สงั คมยคุ ๔.๐ แนวทางหน่ึงอาจประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนา สงั คมใหเ้ ปน็ ไปในทศิ ทางทต่ี อ้ งการได้ ซง่ึ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาทถ่ี อื ไดว้ า่ เปน็ “อกาลโิ ก” คือสามารถประยุกต์ใช้ได้โดยไม่จำ�กัดกาลเวลา กล่าวคือสามารถนำ�มาประยุกต์ใช้กับสังคม ยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัวและเที่ยงแท้แน่นอน หลักธรรมดังกล่าวได้แก่ ข้อปฏิบัติอันเป็น ทางสายกลาง หรอื มรรคมอี งค์ ๘ หลกั ภาวนา ๔ อนั เปน็ การพฒั นาตนเองเพอ่ื ใหส้ ามารถด�ำ รงตน อยู่ได้ในสังคมท่ีมีความหลากหลายและเปลย่ี นแปลงอยา่ เสมอ และหลกั สาราณยี ธรรม อนั เปน็ หลกั ธรรมของการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมอยา่ งปกตสิ ขุ ดงั นน้ั แลว้ สงั คมไทยจะไดร้ บั การเปลย่ี นแปลงไปมากนอ้ ยเพยี งใด จะเปลย่ี นแปลง เชงิ โครงสรา้ ง เชงิ วฒั นธรรม เชงิ พฤตกิ รรม หรอื ในดา้ นอตั ลกั ษณไ์ ปในทศิ ทางใดกต็ าม ตราบใดทย่ี งั คงมกี ารน�ำ หลกั พทุ ธธรรมเขา้ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการพฒั นาสงั คมแลว้ นน้ั ยอ่ มท�ำ ใหส้ งั คมนน้ั ๆ มกี าร พฒั นาไปในทศิ ทางทด่ี ขี น้ึ กอ่ ใหเ้ กดิ สงั คมแหง่ ความสงบสขุ ผคู้ นอยอู่ าศยั ดว้ ยกนั อยา่ งมติ รไมตรี มคี วามสมคั รสมานสามคั คใี นสงั คม และน�ำ ไปสสู่ งั คมอดุ มคติ หรอื สงั คมยคุ ๔.๐ ไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื
108 รฐั สภาสาร ปที ี่ ๖๗ ฉบับที่ ๖ เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ บรรณานกุ รม ๑) หนงั สอื จรยิ า พรจ�ำ เรญิ . (มปป.). สงั คมไทย. เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าหนา้ ทพ่ี ลเมอื ง. โรงเรยี น มหดิ ลวทิ ยานสุ รณ,์ นครปฐม. ทศั นยี ์ ทองสวา่ ง. (๒๕๓๗). สงั คมไทย. กรงุ เทพฯ : โอเดย่ี นสโตร.์ ณรงค์ เสง็ ประชา. (๒๕๔๔). วถิ ไี ทย. กรงุ เทพฯ : โอเดย่ี นสโตร.์ ประภาส ปน่ิ ตบแตง่ . (๒๕๕๘). “การเปลย่ี นแปลงดา้ นเศรษฐกจิ การเมอื งในชมุ ชนชนบทและ การ ปรบั ตวั ของชาวนา”. เอกสารการประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เนอ่ื งในวนั คลา้ ยวนั สถาปนา ครบรอบ ๔๙ ปี สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์ ประจ�ำ ปี ๒๕๕๘. คณะพฒั นาสงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม : สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร.์ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). (๒๕๔๑). การพฒั นาทย่ี ง่ั ยนื . กรงุ เทพฯ : ส�ำ นกั พมิ พม์ ลู นธิ พิ ทุ ธธรรม. พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต). ๒๕๔๗. ธรรมนญู ชวี ติ . กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา. __________. (๒๕๕๔). พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรฉ์ บบั ประมวลธรรม. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒๐. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ บรษิ ทั สหธรรมกิ จ�ำ กดั . พทั ยา สายห.ู (๒๕๔๖). กลไกของสงั คม. กรงุ เทพฯ : ส�ำ นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . (๒๕๓๙). พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั . กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พห์ าจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . สนธยา พลศร.ี (๒๕๔๗). ทฤษฎแี ละหลกั การพฒั นาชมุ ชน. กรงุ เทพฯ : โอเดย่ี นสโตร.์ สญั ญา สญั ญาววิ ฒั น.์ (๒๕๔๖). ทฤษฎแี ละกลยทุ ธก์ ารพฒั นาสงั คม. กรงุ เทพฯ : ส�ำ นกั พมิ พ์ แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ๒) บทความวารสาร ทศั นา พฤตกิ ารณก์ จิ . ๒๕๕๘. บรบิ ทชมุ ชนภายใตส้ งั คมกง่ึ เมอื งกง่ึ ชนบท. วารสารวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั ฟารอ์ สิ เทอรน์ . ๙(๑) : ๗. ๓) ออนไลน์ ประภสั สร เสวกิ ลุ . (๒๕๕๘). สงั คมอดุ มคต.ิ (ระบบออนไลน)์ . แหลง่ ขอ้ มลู : http://www.komchadluek. net/news/politic/204623 ลม เปลย่ี นทศิ . ๒๕๖๑. คนไทย ๔.๐ สงั คม ๔.๐ การศกึ ษา ?.๐. (ระบบออนไลน)์ . แหลง่ ขอ้ มลู : https://www.thairath.co.th/content/680341
ประชาสัมพนั ธก์ ารสง่ บทความเพอื่ ตพี มิ พ์ในวารสารรฐั สภาสาร สำ�นักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอเชิญชวนอาจารย์ ข้าราชการ นักวิชาการ นักการศึกษา สาขาต่าง ๆ และผู้สนใจทั่วไป ส่งบทความวิชาการด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ลงตีพิมพ์ในวารสารรัฐสภาสารของสำ�นักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซ่งึ มีก�ำ หนดออก ๒ เดอื น ๑ ฉบับ ข้อกำ�หนดบทความ ๑. บทความวิชาการ หมายถึง บทความที่เขียนขึ้นในลักษณะวิเคราะห์ วิจารณ์ หรือเสนอแนวคิด ใหม่ ๆ จากพ้ืนฐานวิชาการที่ได้เรียบเรียงมาจากผลงานทางวิชาการของตนหรือของผู้อื่น หรือเป็นบทความ ทางวิชาการที่เขียนข้ึนเพื่อเป็นความรู้สำ�หรับผู้สนใจท่ัวไป โดยบทความวิชาการจะประกอบด้วย ส่วนเกร่ินนำ� ส่วนเน้ือหา ส่วนสรปุ เอกสารอ้างองิ และเชิงอรรถ ๒. บทความตอ้ งมีความยาวของต้นฉบบั ไม่เกนิ ๒๐ หน้ากระดาษขนาด A4 ๓. เป็นบทความทไ่ี มเ่ คยตีพิมพท์ ่ีใดมากอ่ น การเตรยี มต้นฉบบั เพ่ือตพี มิ พ์ ๑. ตัวอักษรมีขนาดและแบบเดียวกันท้ังเรื่อง โดยพิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word ใช้ตัวอักษรแบบ Angsana New/UPC ขนาด ๑๖ พอยท์ ตัวธรรมดาสำ�หรับเนื้อหาปกติ และตัวหนา สำ�หรบั หวั ข้อ โดยจดั พมิ พ์เปน็ ๑ คอลัมน ์ ขนาด A4 หน้าเดยี ว และเวน้ ระยะขอบกระดาษดา้ นละ ๑ น้ิว ๒. การใช้ภาษาไทยใหย้ ึดหลกั พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. ตอ้ งระบุชอ่ื บทความ ช่อื -สกลุ ต�ำ แหน่ง และสถานท่ที ำ�งานของผู้เขียนบทความอย่างชดั เจน การส่งบทความ สามารถส่งบทความได้ ๒ วิธี ดังนี้ ๑. สง่ ต้นฉบับในรปู แบบเอกสารจ�ำ นวน ๑ ชดุ พร้อมแผน่ บนั ทึกไฟลข์ ้อมูล ไปท่ี บรรณาธกิ ารวารสารรฐั สภาสาร กลมุ่ งานผลติ เอกสาร สำ�นักประชาสัมพนั ธ ์ ส�ำ นกั งานเลขาธิการสภาผูแ้ ทนราษฎร เลขท่ ี ๑๑๐ ถนนประดิพทั ธ ์ แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐ ๒. สง่ ไฟล์ข้อมูลทาง e-mail ไปท ี่ [email protected] ค่าตอบแทน หน้าละ ๒๐๐ บาท หรือ ๓๐๐ บาท ซึ่งกองบรรณาธิการรัฐสภาสารจะเป็นผู้พิจารณาว่า สมควรจะจ่ายเงินค่าตอบแทนในจำ�นวนหรืออัตราเท่าใด โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์ท่ีคณะกรรมการพิจารณา ปรบั อัตราค่าเขียนบทความในวารสารรัฐสภาสารได้ก�ำ หนดไว้ ติดตอ่ สอบถามรายละเอยี ดไดท้ ่ี กองบรรณาธิการวารสารรัฐสภาสาร โทร. ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๔ และ ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๑ โทรสาร ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๒
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112