49 จดทะเบยี นแรงงานตา่ งดา้ วแบบเบด็ เสรจ็ (One Stop Service) เพม่ิ เตมิ อกี ใน ๕๓ จงั หวดั ไดแ้ ก่ จงั หวดั กาญจนบรุ ี กาฬสนิ ธ์ุ ก�ำ แพงเพชร ขอนแกน่ ชยั นาท ชยั ภมู ิ เชยี งราย เชยี งใหม่ ตาก นครนายก นครปฐม นครพนม นครราชสมี า นครสวรรค์ นนทบรุ ี นา่ น บงึ กาฬ บรุ รี มั ยป์ ทมุ ธานี ปราจนี บรุ ี พะเยา พทั ลงุ พจิ ติ ร พษิ ณโุ ลก เพชรบรู ณ์ แพร่ มหาสารคาม มกุ ดาหาร แมฮ่ อ่ งสอนยโสธร ยะลา รอ้ ยเอด็ ราชบรุ ี ลพบรุ ี ล�ำ ปาง ล�ำ พนู เลย ศรสี ะเกษ สกลนคร สระแกว้ สระบรุ ี สงิ หบ์ รุ ี สโุ ขทยั สพุ รรณบรุ ี สรุ นิ ทร์ หนองคาย หนองบวั ลาํ ภู อา่ งทอง อ�ำ นาจเจรญิ อดุ รธานี อทุ ยั ธานี อตุ รดติ ถ์ และอบุ ลราชธาน๓ี ๑ ๔) การติดตามและตรวจสอบการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและ การคา้ มนษุ ย์ คสช. ได้มีคำ�ส่ังแต่งต้ังคณะทำ�งานติดตามและตรวจสอบการ จัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์กรุงเทพมหานคร โดยให้มีอำ�นาจหน้าท่ี ในการติดตาม ตรวจสอบนายจ้างและสถานประกอบการ เพ่อื ให้การบังคับใช้กฎหมาย ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การแกไ้ ขปญั หาแรงงานตา่ งดา้ ว การปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ การบงั คบั ใชแ้ รงงาน และการใชแ้ รงงานเดก็ ภายในเขตกรงุ เทพมหานครเปน็ ไปดว้ ยความ เรียบร้อยมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ประสานงานและติดตามการดำ�เนินงาน ของหน่วยงานอ่ืนท่ีเก่ียวข้องท้ังภาครัฐและภาคเอกชนภายในเขตกรุงเทพมหานคร รายงานผลการดำ�เนินงานพร้อมความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการนโยบาย การจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ แต่งต้ังชุดติดตามและตรวจสอบ การจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์กรุงเทพมหานครเพ่อื ทำ�หน้าท่ตี ามท่ี ได้รับมอบหมาย๓๒ และนอกจากน้ัน คสช. ยังได้แต่งต้ังชุดติดตามและตรวจสอบ ๓๑ ประกาศคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี ๑๑๗/๒๕๕๗ เรอ่ื ง การจดั ตง้ั ศนู ยบ์ รกิ าร จดทะเบยี นแรงงานตา่ งดา้ วแบบเบด็ เสรจ็ (One Stop Service) เพม่ิ เตมิ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๓๒ คำ�ส่ังคณะรักษาความสงบแห่งชาติท่ี ๑๐๐/๒๕๕๗ เร่ือง แต่งต้ังคณะทำ�งานติดตาม และตรวจสอบการจดั การปญั หาแรงงานตา่ งดา้ วและการคา้ มนษุ ยก์ รงุ เทพมหานคร และค�ำ สง่ั คณะรกั ษา ความสงบแหง่ ชาตทิ ่ี ๑๐๑/๒๕๕๗ เรอ่ื ง การแตง่ ตง้ั ชดุ ตดิ ตามและตรวจสอบการจดั การปญั หาแรงงานตา่ งดา้ ว และการคา้ มนษุ ยจ์ งั หวดั เมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗
การจดั การปญั หาแรงงานตา่ งดา้ วและการคา้ มนษุ ยจ์ งั หวดั ใหม้ อี �ำ นาจหนา้ ทเ่ี ชน่ เดยี วกนั กบั คณะทำ�งานติดตามและตรวจสอบการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ กรงุ เทพมหานคร โดยใหส้ ว่ นราชการและหนว่ ยงานของรฐั ภายในเขตจงั หวดั สนบั สนนุ การด�ำ เนนิ งานของชดุ ตดิ ตามและตรวจสอบการจดั การปญั หาแรงงานตา่ งดา้ วและการคา้ มนษุ ยจ์ งั หวดั ตามทไ่ี ดร้ บั การรอ้ งขอ๓๓ ๓.๔ การเร่งบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังโดยให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ในทกุ มติ ิ พลเอก ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรฐั มนตรี เปน็ ประธานการประชมุ เร่ืองความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเร่ืองค้ามนุษย์ในประเทศไทย เพ่ือทบทวนเร่ือง ประสทิ ธภิ าพของกลไกการท�ำ งานทม่ี อี ยใู่ นเรอ่ื งคา้ มนษุ ย์ ตลอดจนผลการด�ำ เนนิ การของ หนว่ ยราชการตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และหารอื เรอ่ื งแผนการด�ำ เนนิ งานรว่ มกนั เปน็ รายเดอื น นบั ตง้ั แตเ่ ดอื นมกราคม ๒๕๕๘ พรอ้ มสง่ั การใหห้ นว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งเรง่ ด�ำ เนนิ การเพอ่ื ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาการคา้ มนษุ ยใ์ นทกุ ดา้ น ไมว่ า่ จะเปน็ แรงงานเดก็ การคา้ ประเวณเี ดก็ ความรุนแรงต่อสตรี ขอทานบังคับ แรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ในแรงงาน ภาคประมง อยา่ งจรงิ จงั และเรง่ ดว่ น ซง่ึ ในการประชมุ น้ี นายกรฐั มนตรไี ดส้ ง่ั การส�ำ คญั ๆ ดงั น๓้ี ๔ ๑) นายกรัฐมนตรีส่ังการให้มีการทบทวนกลไกการทำ�งานแก้ไข ปญั หาคา้ มนษุ ยร์ ะดบั ชาตเิ พอ่ื ใหท้ กุ หนว่ ยงานท�ำ งานอยา่ งเปน็ บรู ณาการยง่ิ ขน้ึ และมกี าร ขับเคล่อื นการด�ำ เนินการแกไ้ ขปัญหาคา้ มนุษย์ไดอ้ ยา่ งจริงจงั โดยนายกรฐั มนตรจี ะเป็น ประธานคณะกรรมการการหารือระดับนโยบายเร่อื งค้ามนุษย ์ และมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวติ ร วงษส์ วุ รรณ) เปน็ รองประธาน และใหต้ ง้ั คณะอนกุ รรมการ ๕ คณะ คอื คณะอนกุ รรมการเรอ่ื งคา้ มนษุ ยค์ ณะอนกุ รรมการเรอ่ื งประมงและ IUU คณะอนกุ รรมการ ๓๓ ค�ำ สง่ั คณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาตทิ ่ี ๑๐๑/๒๕๕๗ เรอ่ื ง แตง่ ตง้ั ชดุ ตดิ ตามและตรวจสอบ การจดั การปญั หาแรงงานตา่ งดา้ วและการคา้ มนษุ ยจ์ งั หวดั เมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๓๔ ๒๔ ธนั วาคม ๒๕๕๗ 50
51 เร่อื งแรงงานเด็ก แรงงานบังคับและแรงงานต่างด้าว คณะอนุกรรมการสตรี และคณะ อนกุ รรมการดา้ นกฎหมายและประชาสมั พนั ธ์ พรอ้ มรายงานผลการดำ�เนนิ การใหน้ ายก รฐั มนตรที ราบทกุ เดอื น โดยตอ้ งมเี ปา้ หมายและแผนงานอยา่ งชดั เจน เชน่ ใหเ้ รง่ ด�ำ เนนิ การจดทะเบียนเรือประมงไทยให้เรียบร้อยภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และขอให้ คณะอนกุ รรมการทกุ คณะเรง่ สง่ แผนการด�ำ เนนิ การของตนใหน้ ายกรฐั มนตรี ภายในวนั ท่ี ๗ มกราคม ๒๕๕๘ ๒) นายกรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศเป็นผ้รู ับผิดชอบ ในการช้ีแจงผลการดำ�เนินงานเร่ืองค้ามนุษย์ของไทยกับประเทศต่างๆ และในเวที ระหว่างประเทศ และมอบหมายกระทรวงพัฒนาสังคมและความม่ันคงมนุษย์และ กระทรวงแรงงานเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่ส่ือมวลชนและประชาชนเร่ืองการดำ�เนินการแก้ไข ปญั หาการคา้ มนษุ ย์ ๓) นายกรัฐมนตรีกำ�ชับให้เร่งรัดกระบวนการดำ�เนินคดีค้ามนุษย์ ทง้ั ในสว่ นของส�ำ นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาติ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ ส�ำ นกั งานปอ้ งกนั และ ปราบปรามการฟอกเงิน สำ�นักงานอัยการสูงสุด และสำ�นักงานศาลยุติธรรม พร้อมท้งั กำ�ชับให้ทุกหน่วยงานท่ีรับผิดชอบเก่ียวกับการจับกุมและพิจารณาคดีค้ามนุษย์ เร่งดำ�เนินคดีกับผ้กู ระทำ�ผิด โดยเฉพาะคดีท่ผี ้กู ระทำ�ผิดเป็นเจ้าหน้าท่ขี องรัฐให้เป็นไปตาม กระบวนการดำ�เนินการท่ีกระชับ เป็นธรรมและโปร่งใส เพ่ือมิให้เป็นข้อกังขาของ ประชาชน และกำ�ชับให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสืบสวนและขยายผลการดำ�เนินคดี ให้ถึงผ้มู ีอิทธิพลและตัวการใหญ่ให้ครบกระบวนการและครบตัวบทกฎหมาย และให้ทุก หนว่ ยงานในกระบวนการยตุ ธิ รรมเรง่ ด�ำ เนนิ คดอี ยา่ งรวดเรว็ และถงึ ทส่ี ดุ ๔) นายกรัฐมนตรีมอบหมายสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามทจุ รติ แหง่ ชาติ และส�ำ นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครัฐ เร่งออกระเบียบ/ข้อกำ�หนดระยะเวลาในการดำ�เนินคดี กับเจ้าหน้าท่ขี องรัฐ ท่ีเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องกับการค้ามนุษย์ เพ่ือให้สะท้อนถึงเจตนารมณ์และความจริงจัง ของรฐั บาล ในการปราบปรามการทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั นอกจากน้ี นายกรฐั มนตรยี งั ไดก้ �ำ ชบั
ใหท้ กุ หนว่ ยงาน ชว่ ยกนั สอดสอ่ งดแู ลมใิ หม้ เี จา้ หนา้ ทเ่ี ขา้ ไปมสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั การนำ�พา และลกั ลอบขนคนเขา้ เมอื งและการคา้ มนษุ ย์ เชน่ ชาวโรฮนิ จา หากพบใหเ้ รง่ ด�ำ เนนิ คดกี บั เจา้ หนา้ ทอ่ี ยา่ งเดด็ ขาด ๕) นายกรัฐมนตรีกำ�ชับให้ทุกหน่วยงานเร่งประชาสัมพันธ์เพ่ือให้ ประชาชนรบั ทราบบรกิ ารสายดว่ น (Hotline) แจง้ เหตกุ ารคา้ มนษุ ย์ และเบาะแสการทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั เพอ่ื ใหก้ ารชว่ ยเหลอื เหยอ่ื คา้ มนษุ ย์ ทง้ั ชาวไทยและชาวตา่ งชาติ เปน็ ไปอยา่ ง รวดเรว็ และทนั ทว่ งที ๓.๕ นโยบาย“การปอ้ งกนั ปราบปรามการคา้ มนษุ ย”์ เปน็ วาระแหง่ ชาติ นอกจากนน้ั พลเอก ประยทุ ธ ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรฐั มนตรยี งั ไดม้ อบ นโยบาย “การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์” เป็นวาระแห่งชาติ เพ่ือเร่งรัดให้ทุก กระทรวง ทบวง กรม บรู ณาการการท�ำ งานรว่ มกนั ตามกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งอยา่ งเขม้ งวด ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงปัญหาค้ามนุษย์และร่วมกันแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ และขจัด อปุ สรรคดา้ นกฎระเบยี บ เรง่ แกไ้ ขกฎกระทรวงและขอ้ กฎหมายตา่ งๆ เพอ่ื ใหท้ กุ หนว่ ยงาน สามารถทำ�งานร่วมกันได้อย่างเป็นระบบอย่างแท้จริง พร้อมดำ�เนินการกับผู้กระทำ� ความผดิ ทง้ั ขา้ ราชการและพลเรอื นอยา่ งเดด็ ขาด๓๕ กล่าวโดยสรุป มาตรการ/แนวทางการปฏิบัติท้ังหมดน้ีเพ่ือจะแก้ไขปัญหา คา้ มนษุ ย์ ใหข้ น้ึ จาก Tier3 หรอื ประเทศทม่ี สี ถานการณก์ ารคา้ มนษุ ยเ์ ลวรา้ ยทส่ี ดุ จงึ ก�ำ หนด มาตรการนข้ี น้ึ มาเปน็ วาระแหง่ ชาตทิ ต่ี อ้ งเรง่ ปฏบิ ตั กิ ารอยา่ งเรง่ ดว่ น และจรงิ จงั ซง่ึ จากรายงาน สถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประเทศไทยยังถูกปรับลดระดับ เปน็ กลมุ่ ท่ี ๓ (Tier3) เปน็ ปที ่ี ๒๓๖ แลว้ แตก่ ารด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ ๓๕ http://www.thaigov.go.th/index.php/th/government-th๑/item/๙๑๑๒๖-id๙๑๑๒๖.html เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เมอ่ื วนั ท่ี ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ๓๖ รายงานสถานการณก์ ารคา้ มนษุ ยป์ ระจ�ำ ป ี พ.ศ. ๒๕๕๘ จาก http://thai.bangkok. usembassy.gov/tipthaireport๑๕-t.html เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เมอ่ื วนั ท่ี ๑๐ กนั ยายน ๒๕๕๘. 52
53 ประจำ�ปี ๒๕๕๙ น้ี การดำ�เนินการของรัฐบาลไทยนับว่าสอดคล้องกับมาตรฐาน ขน้ั ต�ำ่ ของกฎหมาย Victims of Trafficking and Violence Protection Act ค.ศ. ๒๐๐๐ และสามารถตอบโจทยใ์ นรายงาน Trafficking in Persons Report 2015 ซง่ึ ตอ้ งรอดวู า่ รายงานสถานการณก์ ารคา้ มนษุ ยป์ ระจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ของสหรฐั อเมรกิ า วา่ จะจดั ให้ ประเทศไทยคงอยใู่ นระดบั Tier3 อกี หรอื ไม่ ท้ังน้ี เน้ือหาของรายงานรายงานผลการดำ�เนินการป้องกันและปราบปราม การคา้ มนษุ ย์ ประจ�ำ ปี ๒๕๕๙ ใหค้ วามส�ำ คญั กบั วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ๙ ประการ ไดแ้ ก่ (๑) การอดุ ชอ่ งโหวท่ างกฎหมาย (๒) การจดั การกบั เจา้ หนา้ ทภ่ี าครฐั ทพ่ี วั พนั กบั การคา้ มนษุ ยแ์ ละทจุ รติ (๓) การเรง่ รดั กระบวนการยตุ ธิ รรมส�ำ หรบั คดคี า้ มนษุ ย์ (๔) การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพของเจา้ หนา้ ทเ่ี พอ่ื ใหม้ ผี ลการปฏบิ ตั งิ านทเ่ี ปน็ รปู ธรรม (๕) การลดความเส่ียงสำ�หรับกลุ่มท่ีสุ่มเส่ียงต่อการเป็นผู้เสียหาย จากการคา้ มนษุ ย์ (๖) การเพ่ิมประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้เสียหายและพยาน ในระหวา่ งกระบวนการยตุ ธิ รรม (๗) การบรู ณาการการท�ำ งานเพอ่ื แกไ้ ขปญั หาการคา้ มนษุ ยเ์ ดก็ (๘) การเพม่ิ พนู และขยายความเปน็ หนุ้ สว่ น และ (๙) การสรา้ งความเขา้ ใจและความตระหนกั รเู้ กย่ี วกบั ปญั หาการคา้ มนษุ ย์ ๔. การด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ยข์ องกรมสอบสวนคดพี เิ ศษ๓๗ ๔.๑ การจดั ตง้ั ศนู ยต์ อ่ การตา้ นการคา้ มนษุ ย์ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ ด้วยเหตุผลความจำ�เป็นอันเน่ืองจากการค้ามนุษย์ทวีความรุนแรงและ ความสลับซับซ้อน มีการกระทำ�ผิดในลักษณะขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติมากย่งิ ข้นึ รวมทง้ั ผลกระทบตอ่ ความมน่ั คงของชาตใิ นมติ ติ า่ งๆ อยา่ งมหาศาล ดงั กลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ ๓๗ ศนู ยก์ ารตอ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ
กรมสอบสวนคดีพิเศษซ่ึงได้รับมอบหมายภารกิจจากกระทรวงยุติธรรมให้รับผิดชอบ กำ�หนดแนวทางการดำ�เนินงานและปฏิบัติการในการปราบปรามการค้ามนุษย์ ต้ังแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เปน็ ตน้ มา จนกระทง่ั ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ จงึ ไดจ้ ดั ตง้ั “ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์” ข้ึนเป็นหน่วยงานภายในของสำ�นักกิจการต่างประเทศ และอาชญากรรมระหว่างประเทศ เพ่อื ทำ�หน้าท่ใี นการจัดทำ�แผนงานโครงการเพ่อื ปราบปราม การค้ามนุษย์ ประสานและปฏิบัติการด้านการข่าว ประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน องคก์ รทง้ั ภาครฐั และเอกชน ตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ สบื สวนสอบสวน และปราบปราม การกระทำ�ผิดเก่ยี วกับการค้ามนุษย์ โดยมีกฎกระทรวงว่าด้วยการกำ�หนดคดีพิเศษเพ่มิ เติม ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการสอบสวนคดพี เิ ศษ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ อาศยั อ�ำ นาจตามความ ในมาตรา ๔ วรรคหนง่ึ และมาตรา ๑๐ วรรคหนง่ึ (๑) แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวน คดพี เิ ศษ พ.ศ.๒๕๔๗ และมาตรา ๒๑ วรรคหนง่ึ (๑) แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวน คดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ อนั เปน็ กฎหมายทม่ี บี ทบญั ญตั บิ างประการเกย่ี วกบั การจ�ำ กดั สทิ ธิ และเสรภี าพของบคุ คล ซง่ึ มาตรา ๒๙ ประกอบกบั มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๕๖ ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยบญั ญตั ิ ให้กระทำ�ได้โดยอาศัยอำ�นาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรมโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการคดีพิเศษออกกฎกระทรวงไว้ให้คดีความผิด ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ยแ์ หง่ กฎกระทรวงวา่ ดว้ ยการ ก�ำ หนดคดพี เิ ศษเพม่ิ เตมิ ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๕๗ จากการเพม่ิ เตมิ การกระท�ำ ความผดิ ดงั กลา่ วเปน็ ความผดิ ตามบญั ชที า้ ย พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ จงึ ไดม้ คี �ำ สง่ั ท่ี ๒๓๖/๒๕๕๔ ลงวนั ท่ี ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ จดั ตง้ั ศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ ขน้ึ มาโดยให้ เปน็ หนว่ ยงานภายในมฐี านะเทยี บเทา่ กองขน้ึ ตรงตอ่ อธบิ ดกี รมสอบสวนคดพี เิ ศษ โดยให้ มอี �ำ นาจหนา้ ทใ่ี นการปอ้ งกนั การปราบปราม การสบื สวนและการสอบสวน การวเิ คราะห์ และพิสูจน์ความผิดทางคดีค้ามนุษย์ การเก็บรักษาพยานหลักฐานและของกลางในคดี ความผิดเก่ยี วกับการค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ รวมทง้ั การสนธกิ �ำ ลงั หรอื บรู ณาการรว่ มกบั หนว่ ยงานตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 54
55 ๔.๒ ปญั หาการคา้ มนษุ ยก์ บั ภารกจิ หนา้ ทข่ี องกรมสอบสวนคดพี เิ ศษ ๑) การปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ยเ์ ปน็ วาระแหง่ ชาติ ตง้ั แต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ๒) นายกรฐั มนตรใี หค้ วามส�ำ คญั กบั ปญั หาการคา้ มนษุ ย์ โดยปรากฏ ในค�ำ แถลงนโยบายของคณะรฐั มนตรตี อ่ รฐั สภา เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในนโยบายความ มน่ั คงแหง่ รฐั ใหเ้ รง่ แกไ้ ขปญั หาการคา้ มนษุ ยผ์ หู้ ลบหนเี ขา้ เมอื ง และแรงงานตา่ งดา้ วทผ่ี ดิ กฎหมาย ๓) มคี ณะกรรมการระดบั ชาตเิ รอ่ื งการคา้ มนษุ ยท์ ส่ี �ำ คญั ๒ ชดุ คอื (๑) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ มนี ายกรฐั มนตรเี ปน็ ประธาน และมรี ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงยตุ ธิ รรมรว่ มเปน็ กรรมการ (๒) คณะกรรมการประสานและก�ำ กบั การด�ำ เนนิ งานปอ้ งกนั และ ปราบปรามการค้ามนุษย์มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีปลัดกระทรวงยุติธรรม และ อธบิ ดกี รมสอบสวนคดพี เิ ศษ รว่ มเปน็ กรรมการ ๔) ปัญหาการค้ามนุษย์เป็นปัญหาสำ�คัญระดับนานาชาติ สหรฐั อเมรกิ าจดั อนั ดบั ใหป้ ระเทศไทยอยใู่ นบญั ชี ๓ ๕) พระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เปน็ บญั ชที า้ ย พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษฯ ในปี ๒๕๕๕ ท�ำ ใหม้ อี �ำ นาจในการ สบื สวนคดกี ารคา้ มนษุ ยท์ ม่ี ลี กั ษณะความผดิ เปน็ คดพี เิ ศษ ๖) กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติได้ลงนามใน บนั ทกึ ขอ้ ตกลง (MOU) ระหวา่ งหนว่ ยงานวา่ ดว้ ยความรว่ มมอื ในการปฏบิ ตั กิ ารปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ เมอ่ื วนั ท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยกรมสอบสวนคดพี เิ ศษ จะรบั ผดิ ชอบในการสบื สวนสอบสวนคดกี ารคา้ มนษุ ยท์ ว่ั ประเทศทม่ี ลี กั ษณะเปน็ คดพี เิ ศษ และอธบิ ดกี รมสอบสวนคดพี เิ ศษเหน็ ชอบใหท้ �ำ การสอบสวน ๗) กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหน่วยงานหน่งึ ของประเทศไทยในเวที การประชุมความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ระดับนานาชาติ อาทิ คณะกรรมการ COMMIT ประเทศในลมุ่ แมน่ �ำ้ โขง ไดแ้ ก่ ประเทศไทย สปป.ลาว เมยี นมา เวยี ดนาม กมั พชู า และจนี
๘) กรมสอบสวนคดีพเิ ศษมีบันทกึ ความตกลงกบั ตำ�รวจเมยี นมาด้าน ความรว่ มมอื ปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ พ.ศ. ๒๕๕๕ และมกี ารประชมุ ทวภิ าคี ตอ่ เนอ่ื งกบั ต�ำ รวจเมยี นมามารวม ๘ ครง้ั แลว้ ๙) ในโครงสรา้ งปจั จบุ นั ศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย ์ (ศคม.) กรมสอบสวน คดพี เิ ศษ มอี ตั ราก�ำ ลงั ๔๙ คน (เทยี บเทา่ ส�ำ นกั คดฯี ) อยภู่ ายใตส้ �ำ นกั คดอี าญาพเิ ศษ ๓ ๑๐) อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีคำ�ส่ังให้ผู้เช่ียวชาญฯ กำ�กับดูแล การปฏิบัติของศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยให้ข้นึ ตรงกับอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ผา่ นรองอธบิ ดกี รมสอบสวนคดพี เิ ศษ) ๑๑) กรมสอบสวนคดพี เิ ศษไดบ้ รรลขุ อ้ ตกลงความรว่ มมอื กบั ส�ำ นกั งาน องคก์ ารสหประชาชาตดิ า้ นยาเสพตดิ และอาชญากรรม (United Nations Office Drugs and Crime : UNODC) ในการรว่ มมอื ดา้ นพฒั นาขดี ความสามารถของศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ (ศคม.) ใหม้ มี าตรฐานสากล (โครงการ ๒ ป)ี โดย UNODC และรฐั บาลสหรฐั อเมรกิ าให้ ความชว่ ยเหลอื เปน็ เงนิ งบประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ เหรยี ญสหรฐั ฯ (ประมาณ ๑๕ ลา้ นบาท) โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม สนับสนุนงบประมาณเป็นเงินจำ�นวน ๖ ลา้ นบาท ๑๒) ศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษมกี ารประสานงาน กับหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องท้ังภายในและระหว่างประเทศท่ีเก่ียวข้องกับการป้องกันและ ปราบปรามการคา้ มนษุ ยท์ ส่ี �ำ คญั คอื - ในประเทศ เชน่ ส�ำ นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาติ กระทรวงการพฒั นา สงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ ส�ำ นกั งานอยั การสงู สดุ กระทรวงการตา่ งประเทศ และ กระทรวงแรงงาน เปน็ ตน้ - ตา่ งประเทศ เชน่ ส�ำ นกั งานองคก์ ารสหประชาชาตดิ า้ นยาเสพตดิ และอาชญากรรม (United Nations Office Drugs and Crime : UNODC) โครงการความ รว่ มมอื สหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการตอ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ (United Nations Inter-Agency Project on Human Trafficking : UNIAP) สถานเอกอคั รราชทตู สหรฐั อเมรกิ าประจ�ำ ประเทศไทย องคก์ ารต�ำ รวจสากล (International Criminal Police Organization : Interpol) 56
57 สหภาพยโุ รป (European Union : EU) Foreign Anti-Narcotics Community : FANC หนว่ ยต�ำ รวจปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ยข์ องเมยี นมา หนว่ ยตอ่ ตา้ นปอ้ งกนั และปราบปราม การค้ามนุษย์ของกัมพูชา และหน่วยต่อต้านป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของ สปป.ลาว เปน็ ตน้ ๔.๓ การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตามอำ�นาจหน้าท่ีของ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ ปัจจุบันเป็นความรับผิดชอบของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (พระราช บญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เปน็ บญั ชที า้ ยพระราชบญั ญตั ิ การสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ แลว้ ) ประกอบกบั มกี ารจดั ทำ�บนั ทกึ ขอ้ ตกลงกบั สำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติในเร่ืองความร่วมมือในการปฏิบัติการป้องกันและปราบปราม การค้ามนุษย์ซ่ึง จะมีคดีค้ามนุษย์ท่ีเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษถูกโอนจากสำ�นักงานตำ�รวจ แหง่ ชาตมิ าใหก้ รมสอบสวนคดพี เิ ศษมากขน้ึ กลา่ วคอื อ�ำ นาจการสอบสวนคดพี เิ ศษ ของกรม สอบสวนคดพี เิ ศษ จงึ อยใู่ นเงอ่ื นไข ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) เงอ่ื นไขการสอบสวนคดีความผิดฐานคา้ มนษุ ย ์ จะตอ้ งมลี กั ษณะ อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดตามนยั มาตรา ๒๑ วรรคหนง่ึ (๑) แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดี พเิ ศษ ๒) เง่ือนไขการสอบสวนคดีความผิดฐานค้ามนุษย์ ตามบันทึก ขอ้ ตกลงความรว่ มมอื ระหวา่ งส�ำ นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาต ิ กบั กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ เรอ่ื ง ความรว่ มมอื ในการปฏบิ ตั งิ านดา้ นการปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ ลงวนั ท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซง่ึ มหี ลกั การส�ำ คญั เพอ่ื ในการประสานความรว่ มมอื และแบง่ อ�ำ นาจ หนา้ ทก่ี ารท�ำ งาน และการบรู ณาการการท�ำ งานในการปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ ซ่ึงเป็นนโยบายสำ�คัญและเร่งด่วนของรัฐบาลท่ีได้ประกาศและมอบหมายให้หน่วยงาน บงั คบั ใชก้ ฎหมาย (ก) สำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติและกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีอำ�นาจหน้าท่ีในการสืบสวนและสอบสวนคดีความผิดทางอาญาเก่ียวกับการค้ามนุษย์ ภายใต้เง่ือนไขและกรอบอำ�นาจหน้าท่ีตามกฎหมาย (เป็นไปตามเง่ือนไขในการรับคดี
พเิ ศษ ตามมาตรา ๒๑ วรรคหนง่ึ (๑) (ก) - (จ) แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ) (ข) ภายใต้หลักการตาม (ก) หน่วยงานใดได้รับเร่ืองร้องเรียน หรือร้องทุกข์ เพ่อื ให้ดำ�เนินการสืบสวนหรือสอบสวนคดีความผิดเก่ยี วกับการค้ามนุษย์ หนว่ ยงานนน้ั ควรด�ำ เนนิ การสบื สวนสอบสวนจนแลว้ เสรจ็ ตามขน้ั ตอน และวธิ กี ารตามท่ี กฎหมายก�ำ หนด กรณมี คี วามจ�ำ เปน็ หรอื เปน็ เรอ่ื งส�ำ คญั ทง้ั สองหนว่ ยงานอาจประสาน ความรว่ มมอื และการสนบั สนนุ บคุ ลากรทม่ี คี วามรู้ ความสามารถ หรอื ผเู้ ชย่ี วชาญ หรอื อุปกรณ์/เคร่ืองมือ เพ่ือสนับสนุนการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล อยา่ งสงู สดุ (ค) ในช้ันการดำ�เนินการสืบสวน หรือการปฏิบัติภารกิจในการ ช่วยเหลือบุคคลท่อี ย่ใู นข่ายตกเป็นผ้เู สียหายจากการค้ามนุษย์ หากกรณีมีความจำ�เป็น และเรง่ ดว่ น ทง้ั สองหนว่ ยงานอาจมกี ารประสานสนธกิ �ำ ลงั หรอื บรู ณาการการปฏบิ ตั งิ าน ร่วมกัน เพ่ือประโยชน์แห่งความปลอดภัยในชีวิต อนามัย และเสรีภาพของบุคคล เปน็ ส�ำ คญั (ง) กรณีมีการดำ�เนินการสืบสวนและสอบสวนต่อเน่ืองตามผล การปฏบิ ตั งิ านตาม (ค) และเปน็ คดคี วามผดิ เกย่ี วกบั การคา้ มนษุ ย์ อ�ำ นาจในการสอบสวน คดดี งั กลา่ วใหเ้ ปน็ ไปตามเงอ่ื นไขทก่ี ฎหมายก�ำ หนด ทง้ั น้ี โดยค�ำ นงึ ถงึ ความรวดเรว็ ถกู ตอ้ ง และเปน็ ธรรม รวมทง้ั การอ�ำ นวยความยตุ ธิ รรมใหแ้ กป่ ระชาชนเปน็ ส�ำ คญั จากทก่ี ลา่ วมานน้ั จะเหน็ ไดว้ า่ ภารกจิ ของศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ มคี วามชดั เจนในดา้ นความรบั ผดิ ชอบทางกฎหมาย และนโยบายของรฐั บาล กระทรวง ยตุ ธิ รรม และกรมสอบสวนคดพี เิ ศษ ตามหลกั ของการบรหิ ารงานสบื สวนสอบสวนทาง กฎหมาย กลา่ วคอื ส�ำ นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาติ มอี �ำ นาจหนา้ ทด่ี �ำ เนนิ การสอบสวนการ กระท�ำ ผดิ อาญาทเ่ี ปน็ คดอี าญาทว่ั ไป โดยยดึ อ�ำ นาจการสอบสวนในเขตพน้ื ทร่ี บั ผดิ ชอบ ของพนักงานสอบสวน ในลักษณะคดีท่มี ิใช่อย่ใู นเง่อื นไขของการสอบสวนตามพระราช บัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอ�ำ นาจหน้าท่ี ดำ�เนินการสอบสวนการกระทำ�ความผิดอาญาท่ีเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติ การสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ 58
59 ๔.๔ ภารกิจของศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ต่อสถานการณ์การค้ามนุษย์ ของประเทศไทย และนโยบายของ คสช. รฐั บาล กระทรวงยตุ ธิ รรม และกรมสอบสวนคดพี เิ ศษ ๑) สถานการณก์ ารคา้ มนษุ ยข์ องประเทศไทยในทศั นะของสหรฐั อเมรกิ า จากรายงานสถานการณก์ ารคา้ มนษุ ยข์ องสหรฐั อเมรกิ าในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ยังคงมองว่าประเทศไทยยังไม่มีความพยายามปราบปรามและไม่ได้ด�ำ เนินการ ตามมาตรฐานขน้ั ต�ำ่ ในการแกไ้ ขปญั หาการคา้ มนษุ ย์ โดยประเดน็ ส�ำ คญั ทย่ี งั คงถกู จบั ตา มองและน�ำ ไปสกู่ ารจดั อนั ดบั ประเทศใหอ้ ยใู่ นระดบั Tier3 ซง่ึ มปี ระเดน็ หลกั ไดแ้ ก่ (๑) ประเทศไทยยงั คงมกี ารทจุ รติ อยา่ งกวา้ งขวางในหมเู่ จา้ หนา้ ท่ี ผบู้ งั คบั ใชก้ ฎหมาย (๒) การโยกย้ายเจ้าหน้าท่ีทำ�ให้การบังคับใช้กฎหมายค้ามนุษย์ ลา่ ชา้ (๓) เจา้ หนา้ ทบ่ี งั คบั ใชก้ ฎหมายเทา่ นน้ั ทส่ี ามารถตดั สนิ ใจวา่ ใคร เปน็ ผเู้ สยี หายจากการคา้ มนษุ ย์ (๔) การประสานงานระหว่างตำ�รวจและอัยการเป็นอุปสรรค ประการหนง่ึ ตอ่ ความส�ำ เรจ็ ในการด�ำ เนนิ คดคี า้ มนษุ ย์ (๕) เจา้ หนา้ ทบ่ี างคนยงั ใชบ้ รกิ ารธรุ กจิ ทางเพศกบั เดก็ ทเ่ี ปน็ เหยอ่ื การคา้ มนษุ ย์ (๖) ไทยไมไ่ ดม้ กี ารด�ำ เนนิ คดกี บั เจา้ ของเรอื ไตก๋ ง๋ หรอื เจา้ หนา้ ท่ี รฐั ทม่ี สี ว่ นรว่ มในอาชญากรรมการคา้ มนษุ ยเ์ พอ่ื ใชแ้ รงงานอตุ สาหกรรมประมง (๗) มคี ดที ผ่ี จู้ ดั การเรอื รายหนง่ึ ไดก้ กั ขงั ผเู้ สยี หายอยา่ งนอ้ ย ๑๔ ราย กลบั ไมไ่ ดร้ บั การลงโทษในขอ้ หามสี ว่ นรว่ มในการคา้ มนษุ ย์ แตก่ ลบั ไดร้ บั การตดั สนิ ลงโทษ จ�ำ คกุ ๓ ปี ในขอ้ หา ใหท้ พ่ี กั พงิ แกแ่ รงงานตา่ งชาตทิ เ่ี ขา้ เมอื งผดิ กฎหมาย (๘) เจา้ หนา้ ทต่ี �ำ รวจและต�ำ รวจตรวจคนเขา้ เมอื งขกู่ รรโชกเอาเงนิ หรือมีเพศสัมพันธ์จากผ้เู ข้าเมืองผิดกฎหมายท่ถี ูกกักตัวอย่ใู นประเทศไทยเพ่อื รอส่งกลับ มกี ารขายผอู้ พยพชาวเมยี นมาทไ่ี มส่ ามารถจา่ ยคา่ บรกิ ารจดั หางานแกน่ ายหนา้ และผคู้ า้ มนษุ ย์ ๒) นโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่ีเก่ียวข้องกับการ บงั คบั ใชก้ ฎหมายปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์
(๑) คณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาต ิ ไดม้ ปี ระกาศฉบบั ท่ี ๗๐/๒๕๕๗ เรอ่ื ง มาตรการชว่ั คราวในการแกไ้ ขปญั หาแรงงานตา่ งดา้ วและการคา้ มนษุ ย์ (๒) คณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ ไดม้ คี �ำ สง่ั ท่ี ๗๓/๒๕๕๗ เรอ่ื ง การแตง่ ตง้ั คณะกรรมการนโยบายการจดั การปญั หาแรงงานตา่ งดา้ วและการคา้ มนษุ ย์ (๓) คณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ ไดม้ คี �ำ สง่ั ท่ี ๗๔/๒๕๕๗ เรอ่ื ง แตง่ ตง้ั คณะอนกุ รรมการประสานงานการจดั การปญั หาแรงงานตา่ งดา้ วและการคา้ มนษุ ย์ ๓) นโยบายรฐั บาล พลเอก ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรฐั มนตรี ท่เี ก่ยี วข้องกับการบังคับใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย ์ คณะรัฐมนตรี โดยพลเอก ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรฐั มนตรี ไดแ้ ถลงนโยบายตอ่ รฐั สภาเมอ่ื วนั ศกุ รท์ ่ี ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๗ ขอ้ ๓ การลดความเหลอื มล�ำ้ ของสงั คม และการสรา้ งโอกาส การเขา้ ถงึ บรกิ ารของรฐั ขอ้ ๓.๒ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาการคา้ มนษุ ย์ รวมถงึ ปญั หา ผู้หลบหนีเข้าเมือง การทารุณกรรมต่อแรงงานข้ามชาติ การท่องเท่ียวท่ีเน้นบริการ ทางเพศและเดก็ และปญั หาคนขอทาน โดยการปรบั ปรงุ กฎหมายขอ้ บงั คบั ทจ่ี �ำ เปน็ และ เพม่ิ ความเขม้ งวดในการระวงั ตรวจสอบ ๔) นโยบายของกระทรวงยุติธรรม โดยพลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การบงั คบั ใชก้ ฎหมายปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ รฐั มนตรวี า่ การ กระทรวงยุติธรรม ได้กำ�หนดให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นนโยบายท่ี ส�ำ คญั และเรง่ ดว่ นของกระทรวงยตุ ธิ รรม ในการขบั เคลอ่ื นภารกจิ อยภู่ ายใตแ้ ผนดา้ นการ ปอ้ งกนั และปราบปรามอาชญากรรมพเิ ศษ โดยมอบหมายใหก้ รมสอบสวนคดพี เิ ศษเปน็ หน่วยงานหลักในการปราบปรามการกระทำ�ความผิดเก่ียวกับการค้ามนุษย์ โดยมีศูนย์ ตอ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย ์ ซง่ึ เปน็ หนว่ ยงานภายในกรมสอบสวนคดพี เิ ศษและขน้ึ ตรงตอ่ อธบิ ดี กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ มอี �ำ นาจและหนา้ ทใ่ี นการสบื สวนสอบสวนคดคี วามผดิ ทางอาญา ท่ีเก่ยี วกับการค้ามนุษย์ รวมถึงการบูรณาการป้องกันและปราบรามอาชญากรรมพิเศษ ร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายท่เี ก่ยี วข้องท้งั ภายในและภายนอกกระทรวงยุติธรรม โดยยึดนโยบายท่สี �ำ คัญของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนโยบายของรัฐบาล เพ่อื แปลงไปสวู่ ธิ กี ารปฏบิ ตั ขิ องศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ 60
61 ๕) นโยบายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ท่ีเก่ียวข้องกับการบังคับใช้ กฎหมายปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ อธบิ ดกี รมสอบสวนคดพี เิ ศษไดเ้ สนอแผน เร่งด่วนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในการมุ่งเน้นการป้องกันและปราบปราม การกระทำ�ผิดเก่ียวกับการค้ามนุษย์และแรงงานต่างด้าวท่ีอยู่ในเง่ือนไขการรับเป็นคดี พเิ ศษ ตามมาตรา ๒๑ แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยได้ มีการประชุมจัดทำ�แผนงานและกำ�หนดทิศทางในการขับเคล่ือนภารกิจด้านการป้องกัน และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๗ วางเปา้ หมายดา้ น การแก้ไขแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่ี ๗๐/๒๕๕๗ ๔.๕ ศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ยก์ บั ภารกจิ ดา้ นการปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ ไดม้ คี �ำ สง่ั ท่ี ๒๓๖/๒๕๕๔ ลงวนั ท่ี ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ ให้ยกระดับ “ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์” เป็นหน่วยงานภายในมีฐานะเทียบ เท่ากองท่ขี ้ึนตรงต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีหน้าท่คี วามรับผิดชอบด้านการ ปอ้ งกนั ปราบปราม สบื สวน การวเิ คราะหแ์ ละพสิ จู นค์ วามผดิ การด�ำ เนนิ คดกี บั ผกู้ ระท�ำ ความผดิ เกย่ี วกบั การคา้ มนษุ ย์ รวมทง้ั การวางแผน บรหิ ารจดั การ และประสานงานเพอ่ื การปอ้ งกนั และปราบปรามการกระท�ำ ความผดิ ทางคดคี า้ มนษุ ย์ และการเกบ็ รกั ษาพยาน หลกั ฐานและของกลางในคด ี ตลอดจนการปฏบิ ตั งิ านรว่ มกบั หรอื สนบั สนนุ การปฏบิ ตั งิ าน ของหน่วยงานอ่ืนท่ีเก่ียวข้องหรือท่ีได้รับมอบหมาย โดยผลจากการดำ�เนินคดีพิเศษ เก่ียวข้องการการกระทำ�ความผิดฐานค้ามนุษย์ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบ ปรามการคา้ มนษุ ย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ รวมทง้ั การขบั เคลอ่ื นภารกจิ และมาตรการในการปอ้ งกนั และปราบปรามเชิงรุกของศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ซ่ึงเป็นหน่วยงานข้ึนตรงต่ออธิบดี กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ นน้ั นอกจากจะสามารถด�ำ เนนิ คดตี อ่ กลมุ่ บคุ คล และนติ บิ คุ คล ทส่ี �ำ คญั ดงั น๓้ี ๘ ๓๘ ศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ ขอ้ มลู ณ วนั ท่ี ๓๐ ธนั วาคม ๒๕๕๘
๑) คดพี เิ ศษทอ่ี ยรู่ ะหวา่ งด�ำ เนนิ การ จ�ำ นวน ๖ คดี (ขอ้ มลู ณ กนั ยายน ๒๕๕๘) คอื (๑) คดพี เิ ศษท่ี ๓๖/๒๕๕๗ คดกี ารหลอกลวงหญงิ ไทยไปบงั คบั ใชแ้ รงงานทป่ี ระเทศแอฟรกิ าใต้ (๒) คดพี เิ ศษท่ี ๗๑/๒๕๕๗ คดกี ารหลอกลวงหญงิ ไทยไปบงั คบั คา้ ประเวณที ป่ี ระเทศมาเลเซยี (๓) คดพี เิ ศษท่ี ๘๔/๒๕๕๗ คดอี าชญากรรมขา้ มชาตเิ กย่ี วกบั การคา้ มนษุ ยโ์ ดยการบงั คบั ใชแ้ รงงานในเรอื ประมงในสาธารณรฐั อนิ โดนเี ซยี (๔) คดพี เิ ศษท่ี ๑๒/๒๕๕๘ คดอี าชญากรรมขา้ มชาตเิ กย่ี วกบั การคา้ มนษุ ยโ์ ดยการบงั คบั ใชแ้ รงงานในเรอื ประมงในสาธารณรฐั อนิ โดนเี ซยี (๕) คดพี เิ ศษท่ี ๒๒/๒๕๕๘ อาชญากรรมขา้ มชาตเิ กย่ี วกบั การ คา้ มนษุ ยโ์ ดยการบงั คบั ใชแ้ รงงานในเรอื ประมงในสาธารณรฐั อนิ โดนเี ซยี (๖) คดพี เิ ศษท่ี ๒๓/๒๕๕๘ คดอี าชญากรรมขา้ มชาตเิ กย่ี วกบั การคา้ มนษุ ยโ์ ดยการบงั คบั ใชแ้ รงงานในเรอื ประมงในสาธารณรฐั อนิ โดนเี ซยี ๒) คดที อ่ี ยรู่ ะหวา่ งสบื สวน จ�ำ นวน ๑๔ คดี คอื (๑) เลขสบื สวนท่ี ๑๑๘/๒๕๕๒ กรณกี ารเกบ็ รายไดจ้ ากภาษปี า้ ย ของ กทม. (๒) เลขสบื สวนท่ี ๑๕๓/๒๕๕๓ กรณกี ารกกั ขงั และบงั คบั ใชแ้ รงงาน ในพน้ื ท่ี อ�ำ เภอขนอม จงั หวดั นครศรธี รรมราช ในความผดิ ฐานคา้ มนษุ ยแ์ ละฟอกเงนิ (๓) เลขสืบสวนท่ี ๗๘/๒๕๕๔ กรณีการบังคับใช้แรงงานประมง ในพน้ื ท่ี ต�ำ บลแสมสาร อ�ำ เภอ.สตั หบี จงั หวดั ชลบรุ ี (๔) เลขสบื สวนท่ี ๑๖๗/๒๕๕๔ กรณสี �ำ นกั งานต�ำ รวจออสเตรเลยี ประจำ�ประเทศไทยขอความร่วมมือในการสืบสวนกรณีมีกลุ่มบุคคลร่วมกันปลอมแปลง เอกสาร เพอ่ื ใหบ้ คุ คลใดใชเ้ ปน็ หลกั ฐานประกอบการยน่ื ขอวซี า่ เขา้ ประเทศออสเตรเลยี (๕) เลขสืบสวนท่ี ๓๕๕/๒๕๕๕ กรณีหญิงต่างด้าวชาวลาวถูก หลอกลวงบงั คบั คา้ ประเวณแี ละตกเปน็ เหยอ่ื การคา้ มนษุ ยใ์ นสถานบรกิ ารพน้ื ทจ่ี งั หวดั ภาคใต้ 62
63 (๖) เลขสบื สวนท ่ี ๑๓๗/๒๕๕๓ กรณขี บวนการคา้ ยาเสพตดิ และ ค้ามนุษย์ในจังหวัดเชียงราย (เดิมเป็นคดีของสำ�นักกิจการต่างประเทศและคดี อาชญากรรมระหวา่ งประเทศ อธบิ ดกี รมสอบสวนคดพี เิ ศษ ใหโ้ อนมาศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ เมอ่ื วนั ท่ี ๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๖) (๗) เลขสืบสวนท่ี ๓๓๒/๒๕๕๖ กรณีหญิงสาวชาวเมียนมาถูก หลอกลวงมาบงั คบั ขายบรกิ ารทางเพศในพน้ื ท่ี จงั หวดั สงขลา (๘) เลขสบื สวนท่ี ๔๑๙/๒๕๕๖ กรณไี ดร้ บั จดหมายรอ้ งเรยี นเรอ่ื ง การจดั บรกิ าร Sex Tour บรเิ วณหาดปา่ ตอง จงั หวดั ภเู กต็ (๙) เลขสืบสวนท่ี ๙/๒๕๕๗ กรณีบัตรสนเท่ห์ “ชาวบ้านตำ�บล ทา่ มว่ ง” รอ้ งเรยี นขอใหต้ รวจสอบเรอ่ื งการคา้ ประเวณแี ละเสน้ ทางการเงนิ (๑๐) เลขสืบสวนท่ี ๑๐/๒๕๕๗ กรณีสถานทูตสวิสเซอร์แลนด์ ขอความร่วมมือตรวจสอบตัวการหลักในขบวนการค้ามนุษย์ซ่ึงเป็นคนสัญชาติไทยและ อาศยั อยใู่ นประเทศไทย (๑๑) เลขสบื สวนท่ี ๓๒/๒๕๕๗ กรณหี ญงิ สาวชาวเมยี นมาอายุ ๒๕ ปี ถกู จบั โยนออกจากรถยนตบ์ นถนนเขต จ. สมทุ รสงคราม และเสยี ชวี ติ ในเวลาตอ่ มา (๑๒) เลขสืบสวนท่ี ๑๓๓/๒๕๕๗ กรณีการปราบปรามขบวนการ น�ำ พาชาวโรฮนี จาและผลู้ กั ลอบเขา้ เมอื งผดิ กฎหมายทอ่ี า้ งเปน็ ชาวตรุ กี (อยุ กรู )์ (๑๓) เลขสบื สวนท่ี ๑๔๐/๒๕๕๗ กรณมี ลู นธิ ิ LPN รอ้ งขอใหช้ ว่ ยเหลอื ผเู้ สยี หายจากการคา้ มนษุ ยช์ าวเมยี นมาทก่ี �ำ ลงั ถกู น�ำ ไปบงั คบั ใชแ้ รงงานไทยในเรอื ประมง ในพน้ื ทจ่ี งั หวดั สมทุ รสาคร (๑๔) เลขสบื สวนท่ี ๑๔๗/๒๕๕๗ กรณกี ารคา้ มนษุ ยใ์ นสถานบรกิ าร พน้ื ทก่ี รงุ เทพฯ (๑๕) เลขสบื สวนท่ี ๔๔/๒๕๕๘ กรณชี าวเมยี นมาจ�ำ นวน ๓ ราย ถูกนายหน้าชาวเมียนมาร่วมกับคนไทยหลอกลวงจาก จ.ระนอง ให้ไปทำ�งานบนเรือ ประมงไทยทไ่ี ปท�ำ การประมงในอนิ โดนเี ซยี
(๑๖) เลขสบื สวนท่ี ๔๖/๒๕๕๘ กรณเี ขา้ ขอ้ มลู ภาพการลว่ งละเมดิ ทางเพศและภาพลามกต่างๆ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ในประเทศไทย (๑๗) เลขสบื สวนท่ี ๗๒/๒๕๕๘ กรณเี จา้ หนา้ ทต่ี �ำ รวจรว่ มกนั จบั กมุ ชาวโรฮนี จา (อยุ กรู )์ จ�ำ นวนหลายรายแตต่ อ่ มาไดม้ กี ารปลอ่ ยตวั ผตู้ อ้ งหาทง้ั หมดไปคนื ให้ กลมุ่ นายหนา้ ทพ่ี ามาโดยไมม่ กี ารด�ำ เนนิ คดแี ตอ่ ยา่ งใด (๑๘) เลขสบื สวนท่ี ๙๖/๒๕๕๘ กรณนี ายมงคล บญุ เลศิ ถกู หลอกลวง และบงั คบั ใชแ้ รงงานบนเรอื ประมงในนา่ นน�ำ้ ตา่ งประเทศ (๑๙) เลขสบื สวนท่ี ๑๓๔/๒๕๕๘ กรณี MAT รอ้ งขอใหช้ ว่ ยเหลอื ลกู เรอื ประมงเมยี นมา จ�ำ นวน ๕ คน ซง่ึ ถกู บงั คบั ใชแ้ รงงานบนเรอื ในนา่ นน�ำ้ จงั หวดั ตรงั (๒๐) เลขสืบสวนท่ี ๑๔๗/๒๕๕๘ กรณีสถานเอกอัครราชทูต สหรัฐอเมริกาประจำ�ประเทศไทยขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำ�เนินการสืบสวนกรณี ชายสญั ชาตสิ หรฐั อเมรกิ า พ�ำ นกั ในประเทศไทย มพี ฤตกิ รรมลว่ งละเมดิ เดก็ ชาย (๒๑) เลขสืบสวนท่ี ๑๕๓/๒๕๕๘ กรณีได้รับข้อมูลจากสำ�นักงาน สืบสวนความม่นั คงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา (HSI) ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจ สอบกรณบี รษิ ทั ๕ บรษิ ทั ในประเทศไทยทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การผลติ อาหารทะเลซง่ึ คาดวา่ ใช้ แรงงานทถ่ี กู บงั คบั จำ�นวนปริมาณคดี และการจำ�แนกผลการปฏิบัติงานท่เี ก่ียวกับการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ (๑) ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ปรมิ าณคดรี วมจ�ำ นวน ๑ เรอ่ื ง (คดกี ารตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ) (๒) ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ปรมิ าณคดรี วมจ�ำ นวน ๕ เรอ่ื ง (คดกี ารตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ) (๓) ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ปรมิ าณคดรี วมจ�ำ นวน ๔ เรอ่ื ง (คดกี ารสบื สวน ๔ เรอ่ื ง) 64
65 (๔) ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ปรมิ าณคดรี วมจ�ำ นวน ๘ เรอ่ื ง (คดพี เิ ศษ ๑ เรอ่ื ง และคดกี ารสบื สวน ๗ เรอ่ื ง) (๕) ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ปรมิ าณคดรี วมจ�ำ นวน ๙ เรอ่ื ง (คดกี ารสบื สวน ๘ เรอ่ื ง และคดตี รวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ๑ เรอ่ื ง) (๖) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปรมิ าณคดรี วมจ�ำ นวน ๑๓ เรอ่ื ง (คดพี เิศษ๒เรอ่ื งคดกี ารสบื สวน๗เรอ่ื งและคดตี รวจสอบ ขอ้ เทจ็ จรงิ ๔ เรอ่ื ง) (๗) ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ปรมิ าณคดรี วมจ�ำ นวน ๑๒ เรอ่ื ง (คดพี เิ ศษ ๒ เรอ่ื ง และคดกี ารสบื สวน ๑๐ เรอ่ื ง) (๘) ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ปรมิ าณคดรี วมจ�ำ นวน ๑๑ เรอ่ื ง (คดพี เิ ศษ ๓ เรอ่ื ง และคดกี ารสบื สวน ๘ เรอ่ื ง) (๙) ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ปรมิ าณคดรี วมจ�ำ นวน ๑๑ เรอ่ื ง (คดพี เิ ศษ ๓ เรอ่ื ง คดกี ารสบื สวน ๗ เรอ่ื ง และคดกี ารตรวจ สอบขอ้ เทจ็ จรงิ ๑ เรอ่ื ง) จากท่กี ล่าวมาแล้วน้นั จะเห็นได้ว่า ภารกิจของศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเช่ือมโยงหลากหลายมิติ ท้ังในส่วนของนโยบายของ คณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ นโยบายรฐั บาล นโยบายของกระทรวงยตุ ธิ รรม และกรม สอบสวนคดีพิเศษ โดยการปฏิบัติหน้าท่ีของกรมสอบสวนคดีพิเศษจะเน้นความเป็น สหวิชาชีพและการบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานท่เี ก่ยี วข้อง รวมท้งั ความเช่อื มโยงกับ การแก้ไขปัญหาของประเทศไทยท่ถี ูกลดระดับในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ซ่ึงถือเป็นวาระแห่งชาติ ท่ีจะต้องขับเคล่ือนและบูรณาการการทำ�งานอย่างเป็นระบบ เตม็ ประสทิ ธภิ าพ และเกดิ ประสทิ ธผิ ลอยา่ งสงู สดุ
บทสรปุ ความพยายามอยา่ งตอ่ เนอ่ื งในการแกไ้ ขปญั หาการคา้ มนษุ ยข์ องประเทศไทย เร่มิ เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะความพยายามในการแก้ปัญหาด้านแรงงานของไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมประมง ส่งผลให้รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ เม่ือวันท่ี ๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๙ กระทรวงตา่ งประเทศสหรฐั อเมรกิ ายกสถานะของประเทศไทยจาก ระดบั Tier3 เปน็ Tier2 (Watch list)๓๙ ประเทศทไ่ี ดร้ บั การจดั ระดบั คงเดมิ คอื อยใู่ นระดบั Tier2 มี ๖ ประเทศ ไดแ้ ก่ บรไู น อนิ โดนเี ซยี สปป.ลาว มาเลเซยี สงิ คโปร์ และเวยี ดนาม และประเทศทไ่ี ดร้ บั การ จดั ระดบั แยล่ งมเี พยี งประเทศเดยี ว ไดแ้ ก่ เมยี นมา (ในรายงานใชค้ �ำ วา่ Burma) ทถ่ี กู ลด ระดบั ลงจาก Tier2 Watch List เปน็ Tier3 การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนส่งผลให้สถานภาพของไทยเปล่ียนจากประเทศ ท่ีมีระดับแย่ท่ีสุด คือ Tier3 มาเป็นประเทศท่ีอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับสาธารณรัฐ ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และมาเลเซยี และไดข้ น้ึ มาอยใู่ นระดบั ทด่ี กี วา่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอีกด้วย การได้รับการเล่ือนอันดับจาก Tier3 มาเป็น Tier2 Watch List ในครง้ั น ้ี เปน็ สง่ิ ทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ ในปที ผ่ี า่ นมารฐั บาลไดแ้ สดงถงึ ความ พยายามในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์มาอย่างต่อเน่ือง แต่ยังไม่ถึงข้ันท่ีจะจัดให้อยู่ใน ระดบั Tier2 ตามเกณฑท์ ก่ี �ำ หนดไว้ ดงั นน้ั หากรฐั บาลยงั คงด�ำ เนนิ การปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ โดยเฉพาะในเรอ่ื งการคา้ ประเวณี และการคา้ แรงงานในสาขาประมงอยา่ งตอ่ เนอ่ื งจรงิ จงั ตอ่ ไป เชอ่ื วา่ จะผลการจดั ระดบั สถานการณก์ ารคา้ มนษุ ยข์ องไทยจะขน้ึ ไป ผลจากการได้รับการเล่ือนระดับท่ีดีข้ึนในคร้ังน้ีอย่างน้อยท่ีสุดจะช่วยให้ ประชาคมโลกใหก้ ารยอมรบั และมที า่ ทที ด่ี ขี น้ึ ตอ่ ประเทศไทยในประเดน็ ของการคา้ มนษุ ย์ ท�ำ ใหภ้ าพลักษณข์ องประเทศไทยดขี ้นึ และยังเป็นอกี ปจั จัยหน่งึ ทจ่ี ะชว่ ยให้สถานการณ์ การสง่ ออกสนิ คา้ ไทย โดยเฉพาะสนิ คา้ ประมงดขี น้ึ ดว้ ย ๓๙ รายงานสถานการณก์ ารคา้ มนษุ ย ์ ฉบบั ท ่ี ค.ศ. ๒๐๑๖ ใน http://www.state-gov/ documents/orgnization/28876.pdf. 66
67 เอกสารอา้ งองิ เอกสารวจิ ยั ทรงพล พนั ธว์ุ ชิ าตกิ ลุ . ความผดิ ฐานคา้ มนษุ ยต์ ามอนสุ ญั ญาสหประชาชาตเิ พอ่ื ตอ่ ตา้ น อาชญากรรมทจ่ี ดั ตง้ั ในลกั ษณะองคก์ ร ค.ศ. ๒๐๐๐ และผลกระทบหาก ประเทศไทยเขา้ เปน็ ภาค.ี วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ คณะนติ ศิ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๗. บนั ดาล บวั แดง. การคา้ มนษุ ยใ์ นโลกไรพ้ รมแดน. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั งานคณะกรรมการ วจิ ยั แหง่ ชาติ และมหาวทิ ยาลยั นเรศวร, ๒๕๕๖. รงุ่ โรจน์ แจม่ พทิ ยากรณ.์ มาตรการพเิ ศษในการรวบรวมพยานหลกั ฐานในคดคี า้ มนษุ ย ์ กรณแี สวงหาประโยชนท์ างเพศ. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ คณะนติ ศิ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑. วฒั นวทิ ย์ คชเสน.ี การวเิ คราะหบ์ ทบาทของไทยในการเปน็ หนุ้ สว่ นกบั ประเทศพฒั นาแลว้ เพอ่ื ใหค้ วามรว่ มมอื แกป่ ระเทศทส่ี าม (ความรว่ มมอื ไตรภาค)ี . รายงาน การศกึ ษาสว่ นบคุ คล หลกั สตู รนกั บรหิ ารการทตู รนุ่ ท่ี ๔ กระทรวงการ ตา่ งประเทศ, ๒๕๕๕. วนั ชยั รจุ นวงศ์ และคณะ. การพฒั นากฎหมายปอ้ งกนั และปราบปรามองคก์ ร อาชญากรรมขา้ มชาติ (ระยะท่ี ๒). รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ.์ ส�ำ นกั งาน กองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั , สงิ หาคม ๒๕๔๘. ศริ ะ สวา่ งศลิ ป.์ แนวทางเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพการบงั คบั ใชก้ ฎหมายตอ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย ์ ของประเทศไทย : ศกึ ษาเปรยี บเทยี บ Trafficking Victims Protection Act 2000 ของสหรฐั อเมรกิ า และพระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ พ.ศ. ๒๕๕๑. รายงานการศกึ ษาสว่ นบคุ คล (Individual Study) หลกั สตู ร นกั บรหิ ารการทตู รนุ่ ท่ี ๖ ปี ๒๕๕๗, สถาบนั การตา่ งประเทศเทวะวงศ์ วโรปการ กระทรวงการตา่ งประเทศ.
ศนู ยศ์ กึ ษายทุ ธศาสตร์ สถาบนั วชิ าการปอ้ งกนั ประเทศ. การคา้ มนษุ ยใ์ นประเทศไทย : ปจั จยั ทเ่ี ปน็ สาเหตุ เครอ่ื งมอื และกลไกในการแกไ้ ข. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑ กรงุ เทพฯ : สถาบนั วชิ าการปอ้ งกนั ประเทศ, ๒๕๕๖. สภุ างค์ จนั ทวานชิ และคณะ. การใชแ้ รงงานเดก็ ภาคประมง ตอ่ เนอ่ื งประมง เกษตรกรรม และคนรบั ใชใ้ นบา้ นจงั หวดั สมทุ รสาคร. กรงุ เทพฯ : ศนู ยว์ จิ ยั การยา้ ยถน่ิ แหง่ เอเชยี สถาบนั เอเชยี ศกึ ษาจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙. อแี ลน เพยี รส์ นั , สรุ ยี พ์ ร พนั พง่ึ และคณะ. งานทา้ ทายทล่ี มุ่ แมน่ �ำ้ โขง การจา้ งแรงงาน ขา้ มชาตใิ นประเทศไทย: งานหนกั จา่ ยนอ้ ยและไมไ่ ดร้ บั ความคมุ้ ครอง เลม่ หนง่ึ . โครงการอนภุ มู ภิ าคลมุ่ น�ำ้ โขงเพอ่ื ตอ่ ตา้ นการคา้ เดก็ และหญงิ . กรงุ เทพฯ: องคก์ ารแรงงานระหวา่ งประเทศ, ๒๐๐๖. บทความและเอกสารอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ช�ำ นาญ จนั ทรเ์ รอื ง. ไทยกบั การคา้ มนษุ ย.์ (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://www. pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1962. ทรงศกั ด์ิ สายเชอ้ื . “แจงไทยถกู จดั . Tier 3 จาก ๓ ทม่ี า ๑๕ สาเหต”ุ . ประชาชาตธิ รุ กจิ . (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://www.prachachat.net/news_detail. php?newsid =1403496548. มลู นธิ กิ ระจกเงา. โครงการศนู ยป์ ฏบิ ตั กิ ารตอ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย.์ (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://www.mirror.or.th/autopagev4/show_page.php? รายงานการคา้ มนษุ ยป์ ระจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://thai.bangkok. usembassy.gov/tipthaireport13-t.html. รายงานการคา้ มนษุ ยป์ ระจ�ำ ปี ๒๕๕๖. “ประเทศไทย บญั ชกี ลมุ่ ท่ี ๓ (ประเทศทด่ี �ำ เนนิ การ ไมส่ อดคลอ้ งกบั มาตรฐานขน้ั ต�ำ่ ของกฎหมายสหรฐั อเมรกิ า และไมม่ คี วามพยายาม แกไ้ ขปญั หา)”. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://thai.bangkok.usembassy.gov/ tipthaireport13-t.html. รายงานการคา้ มนษุ ยป์ ระจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://thai.bangkok. usembassy.gov/tipthaireport14-t.html. 68
69 รายงานการคา้ มนษุ ยป์ ระจ�ำ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://thai.bangkok. usembassy.gov/tipthaireport15-t.html. ศนู ยต์ อ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ยร์ ะหวา่ งประเทศ. ๒๕๕๘. เปรยี บเทยี บการคา้ มนษุ ย์ และการลกั ลอบขนผยู้ า้ ยถน่ิ ฐาน. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://www.caht. ago.go.th/index.php/22. องั คณา กมลเพช็ ร.์ ปญั หาการคา้ มนษุ ยข์ า้ มชาตเิ พอ่ื เปน็ แรงงานในอตุ สาหกรรมประมง ทะเลของประเทศไทย. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://www.thaiworld.org/th/ thailand_monitor/answer.php?question_id=1136. เอกลกั ษณ์ หลมุ่ ชมแข. รายงานพเิ ศษ“อา่ วไทยกบั การซอ้ื ขายแรงงานประมง”. (ออนไลน)์ แหลง่ ทม่ี า : http://www.notforsale.in.th/autopagev4/show_page. php?topic_id=685&auto_id=7&TopicPk Wannapa Khaopa. Human Trafficking Getting Worse in Fishing Industry. The Nation. 2010-06-04. และเอกลกั ษณ์ หลมุ่ ชมแข. เวทสี าธารณะ ศนู ยป์ ฏบิ ตั กิ าร ตอ่ ตา้ นการคา้ มนษุ ย์ มลู นธิ กิ ระจกเงา. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า : http://www. thaipost.net/node/13539. เอกสารราชการ บนั ทกึ ความเหน็ และขอ้ เสนอแนะ กม.คปก.(ก) ท่ี 31/2558. คณะกรรมการปฏริ ปู กฎหมาย เรอ่ื ง พระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ ทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ศนู ยป์ ฏบิ ตั กิ ารปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ยแ์ หง่ ชาต.ิ นโยบาย ยทุ ธศาสตร์ และ มาตรการในการปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙. ส�ำ นกั งานปลดั กระทรวงการพฒั นาการ สงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ย.์ ส�ำ นกั ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาการคา้ หญงิ และเดก็ กรมพฒั นาสงั คมและสวสั ดกิ าร กระทรวงพฒั นาการสงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ย.์ คมู่ อื ส�ำ หรบั เจา้ หนา้ ท ่ี ในการปอ้ งกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย.์ พ.ศ. ๒๕๕๕. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั งาน กจิ การโรงพมิ พ์ องคก์ ารสงเคราะหท์ หารผา่ นศกึ , ๒๕๕๖.
ธรี พล พงษบ์ วั * บทน�ำ บรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ เปน็ ผลมาจากการกระจายอ�ำ นาจในรฐั ธรรมนญู ปี ๒๕๔๐ นำ�มาสู่การจัดโครงสร้างการบริหารราชการในพระราชบัญญัติระเบียบ บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๖ ซ่ึงได้กำ�หนดโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน ออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ การบริหารราชการส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาค และการบริหารราชการส่วนท้องถ่ิน การกระจายอำ�นาจดังกล่าวส่งผลให้องค์กรปกครอง * นกั ศกึ ษาปรญิ ญาโท คณะรฐั ประศาสนศาสตร์ สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์ 70
71 ส่วนท้องถ่นิ มีบทบาทและอำ�นาจหน้าท่ใี นการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถ่นิ ของตน๑ ปจั จบุ นั การบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ หรอื องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ของไทยม ี ๕ ประเภท ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนต�ำ บล (อบต.) กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา โดยท่ีอำ�นาจหน้าท่ีขององค์การบริหารส่วนจังหวัด รับผิดชอบงานจัดบริการสาธารณะในระดับจังหวัด รับผิดชอบงานท่ีมีความคาบเก่ียว หรือซำ้�ซ้อนระหว่างพ้ืนท่ีรับผิดชอบงานจัดบริการสาธารณะขนาดใหญ่ หรือมีค่าใช้จ่าย สูงเกินกว่าความสามารถของเทศบาลหรือ อบต. และมีหน้าท่ีประสานงานจัดบริการ สาธารณะรว่ มกนั ระหวา่ งองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ตา่ งๆ ภายในจงั หวดั เทศบาลมหี นา้ ท่ี รบั ผดิ ชอบการจดั บรกิ ารสาธารณะในเขตพน้ื ทช่ี มุ ชนเมอื งทม่ี คี วามเจรญิ หรอื มคี วามหนาแนน่ ของประชากรสงู อบต. เปน็ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ขนาดเลก็ ทส่ี ดุ ทม่ี หี นา้ ทร่ี บั ผดิ ชอบ การจัดบริการสาธารณะในระดับตำ�บลท่ีเป็นพ้ืนท่ีชนบทหรือมีความเจริญไม่มากนัก ส่วนกรุงเทพมหานครมีบทบาทเหมือนกับ อบจ. และเทศบาล เน่ืองจากเป็นองค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ในระดบั จงั หวดั อกี ทง้ั มหี นา้ ทใ่ี นการจดั บรกิ ารสาธารณะโดยตรง และ เมอื งพทั ยามบี ทบาทหนา้ ทใ่ี นการจดั บรกิ ารสาธารณะเหมอื นกบั เทศบาล๒ ภายใตก้ ารบรหิ ารราชการของประเทศไทยดงั กลา่ ว การบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ คือ ส่วนหน่ึงของการบริหารงานภาครัฐหรือระบบราชการ ซ่ึงโครงสร้างดังกล่าว คือ การบริหารราชการส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาค และการบริหารราชการ สว่ นทอ้ งถน่ิ ทง้ั ๓ สว่ นมคี วามเชอ่ื มโยงกนั โดยรม่ ใหญข่ องการบรหิ ารราชการอยทู่ ก่ี าร ๑ ธงชยั โรจนกนนั ท,์ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ กบั การบรหิ ารจดั การน�ำ้ , (กรงุ เทพฯ: สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๕๗), หนา้ ๓. ๒ วีระศักด์ิ เครือเทพ, “ทิศทางการปกครองท้องถ่ินไทย,” วารสารประชาคมวิจัย, ๖๐ (มีนาคม – เมษายน ๒๕๔๘): ๒. สืบค้นจาก http://www.polsci.chula.ac.th/weerasak/data/ Paper%๒๐and%๒๐Articla/Future%๒๐of%๒๐ Local%๒๐ Administration.pdf เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เมอ่ื วนั ท่ี ๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘
บรหิ ารราชการสว่ นกลางนน้ั คอื กระทรวง ทบวง กรม โดยกระทรวงมหาดไทยในฐานะ หน่วยงานท่ีทำ�หน้าท่ีกำ�กับดูแลท้องถ่ิน รวมถึงกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ินในสังกัด กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานพ่เี ล้ยี งของท้องถ่นิ ซ่งึ แนวนโยบายของหน่วยงาน ดังกล่าวน้ันเป็นผลมาจากแนวนโยบายการบริหารงานภาครัฐหรือระบบราชการน่ันเอง สง่ ผลใหก้ ารบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ สว่ นหนง่ึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากการบรหิ ารงานภาครฐั หรอื ระบบราชการนด้ี ว้ ย ดว้ ยลกั ษณะดงั กลา่ วนเ้ี อง สง่ ผลใหก้ ารบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ มคี วามเกย่ี วขอ้ ง เช่ือมโยงกับความเปล่ียนแปลงของการบริหารงานภาครัฐหรือระบบราชการระดับชาติ นอกจากน้ ี ทอ้ งถน่ิ ยังต้องปฏิบัตติ ามกฎระเบียบทส่ี ่วนกลางเป็นผ้กู ำ�หนด โดยเฉพาะอย่างย่งิ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเร่ืองต่างๆ เช่น ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการ พสั ดขุ องหนว่ ยการบรหิ ารราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ พ.ศ. ๒๕๓๕ ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของเจ้าหน้าท่ีท้องถ่ิน ระเบียบกระทรวง มหาดไทยวา่ ดว้ ยการรบั เงนิ การเบกิ จา่ ยเงนิ การฝากเงนิ การเกบ็ รกั ษาเงนิ และการตรวจเงนิ ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ ฯลฯ ซง่ึ สง่ิ เหลา่ นส้ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ การท�ำ งานของทอ้ งถน่ิ ทต่ี อ้ งสอดคลอ้ งและเปน็ ไปตามระเบยี บทส่ี ว่ นกลางไดก้ �ำ หนดไว้ ดังน้ันบทความช้ินน้ี ผู้เขียนจะอธิบายถึงการบริหาราชการของท้องถ่ินท่ี มีความเก่ียวข้องเช่ือมโยงกับกระบวนทัศน์ “ธรรมาภิบาล” ซ่ึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อ การบริหารราชการหรือการบริหารงานภาครัฐในยุคปัจจุบัน โดยได้แบ่งการอภิปรายออกเป็น ๓ ประเด็นใหญ่ๆ ประเด็นแรก กล่าวถึง พัฒนาการการศึกษาการบริหารท้องถ่ิน ซง่ึ จะชว่ ยใหเ้ ราเหน็ พลวตั รของการเปลย่ี นแปลงจากอดตี ถงึ ปจั จบุ นั และอนาคต ประเดน็ ทส่ี อง กล่าวถึงทิศทางการบริหารราชการท้องถ่ินโดยวิเคราะห์ผ่าน ๑) กระบวนทัศน์ทาง รฐั ประศาสนศาสตร์ และยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาระบบราชการ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๑ และ ๒) สะทอ้ นถงึ ปญั หาการบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ทป่ี ระสบอยใู่ นปจั จบุ นั สว่ นประเดน็ สดุ ทา้ ย จะไดอ้ ธบิ ายถงึ แนวทางการบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ภายใตแ้ นวคดิ “ทอ้ งถน่ิ ภบิ าล” (Local Governance) ดงั ทผ่ี เู้ ขยี นจะไดอ้ ธบิ ายเปน็ ล�ำ ดบั ดงั น้ี 72
73 พฒั นาการการบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ พัฒนาการการบริหารราชการท้องถ่ิน มีความเป็นพลวัตรมีพัฒนามาต้ังแต่ หลงั การเปล่ียนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ และปรากฏชัดเจนในปี ๒๕๔๐ ซึง่ เรยี กได้วา่ เป็นยุคทองของการกระจายอ�ำ นาจไปยังท้องถ่นิ เพ่อื ให้เห็นภาพการเคล่อื นท่ขี ององค์ความรู้ ด้านการบริหารราชการท้องถ่ินจึงจำ�เป็นต้องเข้าใจพัฒนาการด้านองค์ความรู้ของการ บรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ซง่ึ ผเู้ ขยี นไดส้ รปุ จากการศกึ ษาของ นศิ าชล พรหมรนิ ทร์ ในบทความ เรอ่ื ง “ประมวลขอ้ เขยี นรฐั ประศาสนศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๕๘”๓ ทไ่ี ดจ้ ดั ชว่ งพฒั นา การบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ไว้ ๓ ชว่ ง ดงั น้ี ชว่ งแรก การศึกษาการบริหารราชการท้องถ่ินตามแนวทางกฎหมายและ สถาบนั (legal-institutional approach) (พ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๔๐) เนน้ การศกึ ษารปู แบบ โครงสรา้ ง อ�ำ นาจหนา้ ทอ่ี งคก์ รปกครองทอ้ งถน่ิ ตามกฎหมาย มงุ่ ศกึ ษาปญั หา อปุ สรรค หรอื ผลเสยี ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการปกครองทอ้ งถน่ิ ช่วงท่ีสอง (พ.ศ. ๒๕๔๐-ปัจจุบัน) เป็นช่วงของการศึกษาราชการท้องถ่ิน ตามแนวทางการกระจายอำ�นาจศึกษาบทบาทหน้าท่ีขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ตลอดจนความเหมาะสมในด้านโครงสร้างหรือขนาด และศักยภาพในด้านต่างๆ ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ในการถา่ ยโอนภารกจิ และชว่ งสดุ ทา้ ย เปน็ ชว่ งของการศกึ ษาการบรหิ ารทอ้ งถน่ิ ภายใตห้ ลกั ธรรมาภบิ าล และแนวคิดท้องถ่ินเข้มแข็ง (พ.ศ. ๒๕๔๖ - ปัจจุบัน) การศึกษาการบริหารท้องถ่ิน ไดป้ รากฏเคา้ ลางแหง่ แนวคดิ ธรรมาภบิ าล ดงั ท่ี โกวทิ ย์ พวงงาม เรยี กวา่ ยคุ ของการจดั บรกิ าร สาธารณะแบบการบรหิ ารจดั การบา้ นเมอื งทด่ี ี ๓ นศิ าชล พรหมรนิ ทร,์ “ประมวลขอ้ เขยี นรฐั ประศาสนศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๕๘,” ใน รฐั ประศาสนศาสตรใ์ นประเทศไทย: การเปลย่ี นแปลง การพฒั นา และทศิ ทาง, สจุ ติ รา บณุ ยรตั พนั ธ,์ุ บรรณาธกิ าร (กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั สขุ มุ วทิ มเี ดยี มารเ์ กต็ ตง้ิ จ�ำ กดั , ๒๕๕๘), หนา้ ๒๑๔.
พัฒนาการการบริหารราชการท้องถ่ินท่ีกล่าวมาทำ�ให้เราเห็นพลวัตร การเปล่ียนแปลงด้านการบริหารราชการท้องถ่ิน จากอดีตท่ีมุ่งเน้นหลักกฎหมายและ ความเป็นสถาบัน นำ�มาสู่การกระจายอำ�นาจให้ความอิสระทางการบริหารและการคลัง แกท่ อ้ งถน่ิ รวมทง้ั การถา่ ยโอนภารกจิ แกท่ อ้ งถน่ิ และจากปจั จบุ นั ไปสอู่ นาคต การบรหิ าร ราชการทอ้ งถน่ิ ก�ำ ลงั ด�ำ เนนิ ไปภายใตแ้ นวคดิ ธรรมาภบิ าลเชน่ เดยี วกบั แนวคดิ การบรหิ ารงาน ภาครฐั หรอื ระบบราชการ ดงั ทผ่ี เู้ ขยี นจะไดอ้ ธบิ ายในประเดน็ ตอ่ ไป การบรหิ ารงานภาครฐั กบั ทศิ ทางการบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ภายใตแ้ นวคดิ ธรรมาภบิ าล การทำ�ความเข้าใจถึงทิศทางการบริหารราชการท้องถ่ินน้ัน ผู้เขียนเห็นว่า ในความเป็นจริงการบริหารราชการท้องถ่ินเป็นส่วนหน่ึงของการบริหารงานภาครัฐ ไมส่ ามารถแยกออกจากกนั ไดใ้ นเชงิ การปฏบิ ตั ิ ดงั นน้ั ทศิ ทางของภาครฐั สองสว่ นตอ้ งขบั เคลอ่ื น ไปในทศิ ทางเดยี วกนั และสอดประสานกนั ซง่ึ ผเู้ ขยี นมองการเปลย่ี นแปลงไว้ ๒ ประเดน็ ใหญๆ่ ดงั น้ี ประเดน็ แรก การเปลย่ี นแปลงองคค์ วามรดู้ า้ นการบรหิ ารงานภาครฐั หรอื การบรหิ ารราชการ องคค์ วามรดู้ า้ นรฐั ประศาสนศาสตร ์ ถอื ไดว้ า่ เปน็ หวั ใจส�ำ คญั ของการบรหิ ารงาน ภาครฐั การเปลย่ี นแปลงกระบวนทศั นท์ างดา้ นรฐั ประศาสนศาสตร ์ Nicholas Henry๔ ไดแ้ บง่ กระบวนทศั นท์ างดา้ นรฐั ประศาสนศาสตรอ์ อกเปน็ ๖ กระบวนทศั น์ ไดแ้ ก่ (๑) การแยก การเมืองออกจากการบริหาร (๒) หลักรัฐประศาสนศาสตร์ (๓) รัฐประศาสนศาสตร์ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของรฐั ศาสตร์ (๔) รฐั ประศาสตรเ์ ปน็ ศาสตรข์ องการจดั การภาครฐั แนวใหม่ (๕) รฐั ประศาสนศาสตรท์ เ่ี ปน็ ศาสตรห์ นง่ึ (๖) ธรรมาภบิ าล (ปจั จบุ นั ) ค�ำ วา่ “ธรรมาภบิ าล” หรอื การบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งทด่ี ี หรอื ธรรมรฐั ๔ ทนิ พนั ธ์ ุ นาคะตะ, “กระบวนทศั นร์ ฐั ประศาสนศาสตรไ์ ทย อดตี ปจั จบุ นั และอนาคต: จากมมุ มองของนกั รฐั ศาสตร,์ ” ใน รฐั ประศาสนศาสตรใ์ นประเทศไทย: การปลย่ี นแปลง การพฒั นา และ ทศิ ทาง, สจุ ติ รา บณุ ยรตั พนั ธ,์ุ บรรณาธกิ าร (กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั สขุ มุ วทิ มเี ดยี มารเ์ กต็ ตง้ิ จ�ำ กดั , ๒๕๕๘), หนา้ ๒๑. 74
75 ธรรมาภิบาลมาจากคำ�ว่า “ธรรม” + “อภิบาล” มาจากคำ�ภาษาอังกฤษว่า good governance ซง่ึ บวรศกั ด ์ิ อวุ รรณโณ๕ อธบิ ายวา่ อภบิ าล หมายถงึ วธิ กี ารใชอ้ �ำ นาจ เพอ่ื บรหิ ารทรพั ยากรขององคก์ าร ดงั นน้ั ค�ำ วา่ “ธรรมาภบิ าล” หมายถงึ วธิ กี ารทด่ี ใี นการ ใชอ้ �ำ นาจเพอ่ื บรหิ ารจดั การทรพั ยากรขององคก์ าร แนวคดิ ธรรมาภบิ าลมหี ลายหนว่ ยงานทไ่ี ดก้ ลา่ วไว้ แตท่ น่ี ก้ี ลา่ วถงึ ตามแนวทาง ของ UNNESCAP๖ ทพ่ี จิ ารณาคณุ ลกั ษณะของธรรมาภบิ าลไว้ ๘ ประการ ไดแ้ ก่ การมสี ว่ นรว่ ม (participation) ฉนั ทามติ (consensus) การตรวจสอบได้ (accountable) ประสทิ ธภิ าพ และประสทิ ธผิ ล (effective and efficient) ความเสมอภาคและความเทา่ เทยี มกนั (equitable and inclusive) นติ ริ ฐั (rule of law) ความโปรง่ ใส (transparency) การตอบสนองตอ่ ผมู้ ี สว่ นไดส้ ว่ นเสยี (responsiveness)๗ แนวคิดเร่ืองการบริหารจัดการท่ีดีหรือธรรมาภิบาล ได้เผยแพร่สู่สังคมไทย ประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๙ - ๒๕๔๐ โดยองค์กรพัฒนาในประเทศและ ต่างประเทศ รวมท้ังนักวิชาการท่ีตระหนักถึงความสำ�คัญของการบริหารจัดการท่ีดี ในการสนบั สนนุ การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื โดยหยบิ ยกปญั หาทเ่ี ปน็ ผลกระทบจากการมรี ะบบ บริหารจัดการท่ไี ม่ดีและแนวทางสร้างระบบท่ีดีข้นึ มาเป็นประเด็นในการสร้างความเข้าใจ และระดมความเห็นจากประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ของสังคม ส่งผลให้ภาคประชาชน ภาคประชาสงั คมเกดิ การตน่ื ตวั ในเรอ่ื งดงั กลา่ วอยา่ งกวา้ งขวาง องคก์ รตา่ งประเทศทใ่ี หเ้ งนิ กู้ ๕ ปธาน สุวรรณมงคล, การบริหารงานภาครัฐกับการสร้างธรรมาภิบาล, (กรุงเทพฯ: สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๕๘), หนา้ ๓ - ๔. ๖ UNNESCAP เป็นหน่วยงานระดับภูมิภาคของสำ�นักเลขาธิการท่ีดูแลภาคพ้ืนเอเชีย - แปซิฟิกของสหประชาชาติ ซ่ึงมีหน้าท่ีส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านความร่วมมือ และการบรู ณาการทง้ั ระดบั ภมู ภิ าคและอนภุ มู ภิ าค ๗ ปกรณ์ ศริ ประกอบ, ๓ พาราไดมท์ างรฐั ประศาสนศาสตร:์ แนวคดิ ทฤษฏี และการน�ำ ไป ปฏบิ ตั ,ิ (กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘), หนา้ ๑๘๓.
และเงนิ ชว่ ยเหลอื เชน่ ธนาคารโลก (World Bank) และกองทนุ การเงนิ ระหวา่ งประเทศ (IMF) ไดน้ �ำ หลกั ธรรมาภบิ าลมาใชเ้ พอ่ื ใหป้ ระเทศก�ำ ลงั พฒั นาเปน็ แนวปฏบิ ตั ิ เพอ่ื การน�ำ เงนิ ไปใช้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยหลักการของการมีธรรมาภิบาล หลายหลักการแตกต่างกันออกไป แต่มีหลักการพ้นื ฐานท่สี ำ�คัญคล้ายกัน คือ หลักการ มสี ว่ นรว่ ม หลกั ความโปรง่ ใส ส�ำ นกึ รบั ผดิ ชอบ และประสทิ ธภิ าพประสทิ ธผิ ล๘ ต่อมา ภาครัฐไทยได้มีการออกระเบียบสำ�นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการ สรา้ งระบบบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งทด่ี ี พ.ศ. ๒๕๔๒ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ กรอบในการปฏบิ ตั ขิ อง สว่ นราชการโดยยดึ หลกั การ ๖ ประการ ไดแ้ ก่ หลกั นติ ธิ รรม หลกั คณุ ธรรม หลกั การมสี ว่ นรว่ ม หลักความโปร่งใส หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า๙ และได้ตราพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ดี ี พ.ศ. ๒๕๔๖ เพ่อื ให้ มผี ลเปน็ “บทบงั คบั ” ใหท้ กุ สว่ นราชการก�ำ หนดเปา้ หมายและวธิ กี ารในการด�ำ เนนิ การเพอ่ื การบรหิ ารราชการทด่ี ๑ี ๐ ซง่ึ ประกอบดว้ ย (๑) เกดิ ประโยชนส์ ขุ ของประชาชน (๒) เกดิ ผล สัมฤทธ์ิต่อภารกิจของรัฐ (๓) มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ (๔) ไมม่ ขี น้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ านเกนิ ความจ�ำ เปน็ (๕) มกี ารปรบั ปรงุ ภารกจิ ของสว่ นราชการ ใหท้ นั ตอ่ สถานการณ์ (๖) ประชาชนไดร้ บั การอ�ำ นวยความสะดวกและไดร้ บั การตอบสนอง ความตอ้ งการ (๗) มกี ารประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ริ าชการอยา่ งสม�ำ่ เสมอ ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า ร่มใหญ่ของการบริหารราชการท้องถ่ิน คือ การบริหารงานภาครัฐหรอื ระบบราชการ ดังน้นั การพจิ ารณาถึงทศิ ทางดังกล่าวอาจจะดไู ด้ จากแผนยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาระบบราชการ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๑ โดยวเิ คราะหท์ ศิ ทาง ๘ ถวลิ วดี บรุ กี ลุ , “ธรรมาภบิ าล: หลกั การเพอ่ื การบรหิ ารรฐั กจิ แนวใหม,่ ” วารสารสถาบนั พระปกเกลา้ ๑,๒ (๒๕๔๖): ๑๔-๒๕. สบื คน้ จาก http://wiki.kpi.ac.th เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เมอ่ื วนั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๙ ๙ รชั ยา ภกั ดจี ติ ต,์ ธรรมาภบิ าลเพอ่ื การบรหิ ารงานภาครฐั และภาคเอกชน, (กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั พมิ พ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๕), หนา้ ๒๔. ๑๐ สเุ มธ แสงนม่ิ นวล, ภาวะผนู้ �ำ กบั ธรรมาภบิ าลในการบรหิ ารงานองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ , (กรงุ เทพฯ: สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๕๒), หนา้ ๒๕. 76
77 จากวิสัยทัศน์ของการพัฒนาระบบราชการ ดังท่ีได้ระบุไว้ว่า “ระบบราชการไทยมุ่งเน้น พฒั นาการท�ำ งานเพอ่ื ประชาชน และรกั ษาผลประโยชนข์ องประเทศชาติ ภายใตห้ ลกั ธรรมาภบิ าล ของการบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งทด่ี ี ยกระดบั ขดี สมรรถนะไปสคู่ วามเปน็ เลศิ บรู ณาการ และเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพงานของภาครฐั ประสานการท�ำ งานกบั ทกุ ภาคสว่ น สรา้ งความโปรง่ ใส ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้เป็นท่ีน่าเช่ือม่ันศรัทธาของประชาชน”๑๑ ซ่งึ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการก็สะท้อนให้เห็นว่า ระบบราชการให้ความสำ�คัญ ตอ่ หลักธรรมาภิบาลเปน็ อยา่ งมาก จนอาจจะเรียกว่าเปน็ หวั ใจสำ�คัญของการบริหารงาน ภาครฐั หรอื ระบบราชการไปแลว้ โดยสรปุ จะเหน็ ไดว้ า่ ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาระบบราชการดงั กลา่ วไดร้ บั อทิ ธพิ ล อย่างมากจากกระบวนทัศน์ทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ น่ันคือ แนวคิดธรรมาภิบาล (good governance) ซง่ึ สง่ ผลตอ่ แนวทางการบรหิ ารงานภาครฐั ทง้ั สว่ นกลาง สว่ นภมู ภิ าค และรวมไปถงึ สว่ นทอ้ งถน่ิ ดว้ ย ประเดน็ ทส่ี อง ปญั หาการบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ในปจั จบุ นั นบั ตง้ั แตร่ ฐั ธรรมนญู ฉบบั พ.ศ. ๒๕๔๐ ทม่ี งุ่ กระจายอ�ำ นาจแกท่ อ้ งถน่ิ มากยง่ิ ขน้ึ และตอ่ เนอ่ื งมาถงึ รฐั ธรรมนญู ฉบบั พ.ศ. ๒๕๕๐ ทย่ี งั เนน้ การกระจายอ�ำ นาจแกท่ อ้ งถน่ิ มากขน้ึ แตก่ ารกระจายอ�ำ นาจทผ่ี า่ นมานน้ั เปน็ การกระจายอ�ำ นาจกระแสหลกั ทใ่ี หค้ วามส�ำ คญั กับรัฐและองค์กรของรัฐเป็นกลไกสำ�คัญของการบริหารราชการท้องถ่ิน ดังท่ีงานของ เชงิ ชาญ จงสมชยั ๑๒ ไดช้ ใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ผลจากการกระจายอ�ำ นาจตามกระแสหลกั วา่ สง่ิ ทต่ี ามมา คอื ความเขม้ แขง็ ของรฐั และองคก์ รของรฐั โดยเฉพาะองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ขณะท่ี ประชาชนในท้องถ่นิ ถูกทำ�ให้อ่อนแอลงและถูกกีดกันให้ออกจากการเมืองและการบริหาร จากเงนิ ขายเสยี งทไ่ี ดร้ บั ประกอบกบั ทศั นคตแิ บบ “ราษฎร” อนั เปน็ ผใู้ ตป้ กครองทด่ี ที ไ่ี มค่ วร เขา้ ไปยงุ่ เกย่ี วเรอ่ื งของผปู้ กครอง ขณะเดยี วกนั ประชาชนในทอ้ งถน่ิ บางสว่ นเรม่ิ มที ศั นคติ ๑๑ ส�ำ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ (ก.พ.ร.), แผนยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาระบบ ราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖ – พ.ศ. ๒๕๖๑), (กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั วชิ น่ั พรน้ิ ทแ์ อนด์ มเี ดยี , ๒๕๕๖), หนา้ ๒๗. ๑๒ เชงิ ชาญ จงสมชยั , “ทศิ ทางการปฏริ ปู การกระจายอ�ำ นาจและการปกครองทอ้ งถน่ิ หลงั การ รฐั ประหาร ๒๕๕๗,” วารสารสงั คมศาสตร์ ๑๑, ๑ (ม.ค.- ม.ิ ย. ๒๕๕๘): ๓๒ - ๓๓.
ทค่ี อยมงุ่ แตร่ อความชว่ ยเหลอื จากองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ จนมสี ภาพทช่ี ว่ ยตนเองไมไ่ ด้ มุ่งแต่ร้องขอและรอคอยความช่วยเหลือจากผู้มีอำ�นาจมากข้ึน ขณะท่ีองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเข้มแข็งขึ้นจากการท่ีรัฐกระจายอำ�นาจมาให้มากข้ึนแต่กลับใช้อำ�นาจ และความเขม้ แขง็ นน้ั ไปแสวงหาผลประโยชน์ น�ำ ไปสกู่ ารเกดิ ปญั หาการคอรร์ ปั ชนั ดงั ปรากฏ กรณตี วั อยา่ ง นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล ๓๒ ราย ในอ�ำ เภอเมอื งมหาสารคามถกู ระงบั การปฏบิ ตั หิ นา้ ท ่ี เนอ่ื งมาจากพบมลู เอย่ี วทจุ รติ จดั สอบพนกั งานสว่ นต�ำ บล๑๓ ซง่ึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ การใชอ้ �ำ นาจของนายกในทางมชิ อบ แสวงหาผลประโยชน์ จนน�ำ มาสปู่ ญั หาดงั กลา่ ว นอกจากน้ี เหล่าข้าราชการจำ�นวนไม่น้อยมองว่าการคอร์รัปชันกลายเป็น ธรรมเนียมปฏิบัติในกระบวนการบริหารราชการ ซ่ึงต่างก็ได้รับผลประโยชน์ ในกระบวนการเหล่าน้ันด้วย เม่ือเป็นเช่นน้ี การท่ีจะหวังให้องค์กรภาครัฐระดับภูมิภาค มาคอยกำ�กับตรวจสอบน้นั เป็นอันหวังไม่ได้ ด้านประชาชนในท้องถ่นิ เกิดความขัดแย้ง แบ่งฝักฝ่ายจากการมีการเลือกต้ัง ความสามัคคีในชุมชนลดน้อยลง ขณะเดียวกัน ประชาชนในทอ้ งถน่ิ กย็ อมรบั การคอรร์ ปั ชนั มากขน้ึ ขอเพยี งตนไดป้ ระโยชนบ์ า้ งสง่ิ เหลา่ น้ี เปลย่ี นแปลงประชาชนในทอ้ งถน่ิ จากราษฎรไปเปน็ ไพรม่ ากขน้ึ ดงั นน้ั ปญั หาเหลา่ นเ้ี ปน็ สง่ิ ท่ี สว่ นทอ้ งถน่ิ ตอ้ งเรง่ แกไ้ ข ปรบั ปรงุ ภาพหลกั ใหม้ คี วามโปรง่ ใส ตระหนกั ในความรบั ผดิ ชอบ ตอ่ ประชาชนในทอ้ งถน่ิ และเพอ่ื ใหก้ ารบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ เปน็ ของคนในทอ้ งถน่ิ ความเปลย่ี นแปลงของแนวทางการบรหิ ารงานภาครฐั และปญั หาของทอ้ งถน่ิ เอง ทส่ี ง่ ผลตอ่ การบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ซง่ึ ความเชอ่ื มโยงตง้ั แตอ่ งคค์ วามรดู้ า้ นรฐั ประศาสนศาสตร์ นำ�มาส่ทู ิศทางของการบริหารงานภาครัฐของไทยผนวกกับปัญหาหลักของท้องถ่นิ ท่เี ผชิญ จ�ำ เปน็ ตอ้ งเรง่ แกไ้ ขนน้ั คอื การทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั แนวทางการแกไ้ ขทด่ี แี ละเหมาะสมจงึ มงุ่ เนน้ ไปสหู่ ลกั คดิ เรอ่ื ง ธรรมาภบิ าล (Good Governance) เพอ่ื เปน็ หลกั ประกนั ในการสรา้ งความ ๑๓ ไทยรฐั ออนไลน,์ ปลดแลว้ ! นายก อบต.มหาสารคาม ๓๒ ราย เอย่ี วทจุ รติ จดั สอบ พนกั งาน. สบื คน้ จาก http://www.thairath.co.th/content/๗๒๐๑๖๐ เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ ตลุ าคม ๒๕๕๙. 78
79 โปรง่ ใส สรา้ งความรบั ผดิ ชอบ มงุ่ เนน้ การตอบสนองความตอ้ งการและแกป้ ญั หาในทอ้ งถน่ิ ดงั นน้ั การบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ในปจั จบุ นั และในอนาคตจงึ มงุ่ เนน้ ไปสแู่ นวคดิ ธรรมาภบิ าล และในบทความชน้ิ นจ้ี ะเรยี กแนวคดิ ดงั กลา่ ววา่ “ทอ้ งถน่ิ ภบิ าล” ซง่ึ จะไดอ้ ธบิ ายเปน็ ล�ำ ดบั ถดั ไป การบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ภายใตแ้ นวคดิ “ทอ้ งถน่ิ ภบิ าล” การบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ภายใตแ้ นวคดิ “ทอ้ งถน่ิ ภบิ าล” นน้ั พบวา่ ทอ้ งถน่ิ ควรปรับเปล่ียนแนวทางการบริหารจากเดิมท่ีเน้นความเป็นราชการมาสู่ลดความเป็น ราชการลง และหันมาให้ความสำ�คัญกับประชาชนในท้องถ่ินเพ่ิมมากข้ึน เพ่ือท่ีท้องถ่ิน จะได้เป็นหน่วยการบริหารท่ีเป็นของคนท้องถ่ินอย่างแท้จริง ซ่ึงผู้เขียนเห็นว่าท้องถ่ิน ควรปรบั ตวั ไปในแนวทาง ดงั ตอ่ ไปน้ี ประการท่ีหน่ึง มุ่งแสวงหาการมีส่วนร่วมจากประชาชนและองค์กรภาค ประชาชน เนอ่ื งจากทอ้ งถน่ิ มใิ ชแ่ ตเ่ พยี งตวั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ อกี ตอ่ ไป แตท่ อ้ งถน่ิ มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียท่ีหลากหลาย โดยท้องถ่ินควรเปิดโอกาสให้ประชาชนในพ้ืนท่ี สามารถเสนอขอ้ บญั ญตั ทิ อ้ งถน่ิ ไดแ้ ละความพยายามในการเสรมิ สรา้ งความเขม้ แขง็ ใหก้ บั ชมุ ชน และภาคประชาสังคม การแสวงหาการมีส่วนร่วมจากประชาชนและภาคประชาคมในท้องถ่นิ โดยเฉพาะกระบวนการตดั สนิ ใจในดา้ นนโยบายการพฒั นาขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และการบรหิ ารจดั การ เชน่ การจดั ซอ้ื จดั จา้ ง รวมทง้ั มสี ว่ นรว่ มในการตรวจสอบและตดิ ตาม ประเมนิ ผล ซง่ึ จะท�ำ ใหแ้ กไ้ ขปญั หาของประชาชนไดโ้ ดยตรงและยกระดบั ขดี ความสามารถ ของทอ้ งถน่ิ ในการตอบสนองตอ่ ประชาชน ประการทส่ี อง มงุ่ เนน้ กระบวนการปรกึ ษาหารอื การด�ำ เนนิ งานของทอ้ งถน่ิ สง่ิ ทข่ี าดไมไ่ ด้ คอื กระบวนการปรกึ ษาหารอื รว่ มกนั กบั ชมุ ชนหรอื ภาคประชาสงั คมในทอ้ งถน่ิ เพราะทอ้ งถน่ิ ไมใ่ ชเ่ ฉพาะตวั องคก์ รหรอื หนว่ ยงานของรฐั ดงั ท่ี อดุ ม ทมุ โฆสติ ๑๔ ไดเ้ สนอ ให้นำ�เอาคุณลักษณะของการเป็นชุมชนมาร่วมด้วย ในขณะท่ีนักวิชาการส่วนใหญ่มักจะ ๑๔ อดุ ม ทมุ โฆสติ , การปกครองทอ้ งถน่ิ สมยั ใหม:่ บทเรยี นจากประเทศพฒั นาแลว้ , (กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั แซท โฟร์ พรน้ิ ตง้ิ จ�ำ กดั , ๒๕๕๒), หนา้ ๕๐๖ - ๕๐๗.
พจิ ารณาเฉพาะอาณาเขต และประชากรเปน็ หลกั จนละเลยความเปน็ ชมุ ชน โดยเฉพาะ การส่งเสริมให้ประชาชนมีสำ�นึกความเป็นชุมชนร่วมกัน การส่งเสริมการรวมกลุ่ม ทางเศรษฐกิจ สังคม ท่ีเก้ือกูล การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมเกิดความรับผิดชอบร่วมกัน รวมถงึ การเกอ้ื กลู ระหวา่ งรฐั กบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ด้วยกันเอง ซ่ึงนิยามความหมายท้องถ่ินจึงรวมถึงทุกคนในชุมชนท้องถ่ิน ท้ังประชาชน องคก์ รชมุ ชน หนว่ ยงานภาครฐั อน่ื และรวมถงึ ภาคเอกชนในทอ้ งถน่ิ ดว้ ย กระบวนการปรกึ ษาหารอื จงึ เปน็ สง่ิ ส�ำ คญั ซง่ึ น�ำ ไปสกู่ ารเพม่ิ พน้ื ทแ่ี สดงออกให้ ประชาชนกลมุ่ ตา่ ง ๆ ใหท้ กุ สว่ นไดถ้ กเถยี ง ไดแ้ สดงความคดิ เหน็ หรอื เรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ การสรา้ งกระบวนการระดมความคดิ เหน็ จากประชาชน ความคดิ เหน็ จากหลายฝา่ ยจะชว่ ย เพ่มิ โอกาสในการตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาในท้องถ่นิ หรือตอบสนองต่อผ้มู ี สว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในทอ้ งถน่ิ เพราะเราเชอ่ื วา่ ผทู้ ร่ี ปู้ ญั หาของทอ้ งถน่ิ ดคี อื คนในทอ้ งถน่ิ นน่ั เอง ดังน้นั กระบวนการปรึกษาหารือจึงเป็นกุญแจส�ำ คัญท่จี ะนำ�ไปส่แู นวทางการแก้ไขท่ตี รงจุด และเปน็ วธิ กี ารหาทางรว่ มกนั ซง่ึ จะชว่ ยลดความขดั แยง้ ทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ ในทอ้ งถน่ิ ประการทส่ี าม การตดั สินใจบนพ้นื ฐานของหลักฉนั ทามต ิ การพฒั นาชมุ ชน ทอ้ งถน่ิ หรอื การด�ำ เนนิ งานของทอ้ งถน่ิ เกย่ี วขอ้ งกบั ทกุ คนในทอ้ งถน่ิ ไมใ่ ชห่ นา้ ทข่ี องใคร คนใดคนหนง่ึ หากแตเ่ ปน็ หนา้ ทข่ี องทกุ คน การดำ�เนินการควรมาจากการตัดสินใจของชุมชนท้องถ่นิ เป็นหลัก การกระทำ�ใด ต้องผ่านมติจากประชาชนหรือส่วนรวม ซ่ึงโดยหลักแล้วจะมาจากกระบวนการประชุม ปรกึ ษาหารอื รว่ มกนั ระหวา่ งทอ้ งถน่ิ และชมุ ชนดงั ทก่ี ลา่ วมาในประการทส่ี อง ขอ้ ดขี องการ ยึดมติของส่วนรวมคือจะช่วยเพ่ิมแรงสนับสนุน และในขณะเดียวกัน จะลดแรงต้าน หรอื ลดความขดั แยง้ ทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ ในทอ้ งถน่ิ ได ้ แรงสนบั สนนุ ดงั กลา่ วเกดิ ไดใ้ นหลายๆ ดา้ น ทง้ั ดา้ นก�ำ ลงั คน การระดมทรพั ยากรจากชมุ ชน ดังน้ัน หลักฉันทามติดังกล่าวจะแปรเปล่ียนเป็นพลังสำ�คัญเพ่ือการเพ่ิม ศกั ยภาพการพฒั นาของทอ้ งถน่ิ และชว่ ยเพม่ิ โอกาสในความส�ำ เรจ็ ของการพฒั นาดา้ นตา่ ง ๆ รวมไปถงึ การลดความขดั แยง้ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในทอ้ งถน่ิ 80
81 ประการทส่ี ่ี มงุ่ เนน้ การเสรมิ สรา้ งความโปรง่ ใสในการบรหิ าร โดยด�ำ เนนิ การ ดงั น้ี (๑) ท้องถ่ินต้องประกาศข้อมูลสาธารณะโดยเฉพาะอย่างย่ิงงบประมาณ และแผน/โครงการพัฒนาให้ประชาชนทราบอย่างท่ัวถึงโดยผ่านส่ือลักษณะต่างๆ เช่น ปา้ ยประกาศ หอกระจายขา่ ว หนงั สอื พมิ พท์ อ้ งถน่ิ วทิ ยชุ มุ ชน และ/หรอื การประชมุ ชแ้ี จง เปน็ ตน้ (๒) เปิดโอกาสให้องค์กรภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการต่าง ๆ ภายใต้กรอบของกฎหมายโดยควรเร่มิ ต้นต้งั แต่การวางแผน/งบประมาณ การดำ�เนินงาน และการตดิ ตามตรวจสอบ (๓) รว่ มมอื กบั ภาคประชาชนในการบรหิ ารกจิ การสาธารณะในลกั ษณะของการ “รว่ มคดิ รว่ มท�ำ ” องคก์ รปกครองทอ้ งถน่ิ อาจจดั สรรงบประมาณใหภ้ าคประชาชนด�ำ เนนิ โครงการพัฒนาตามศักยภาพ หรือเปิดโอกาสให้บุคคลหรือผ้ปู ระกอบการภายในท้องถ่นิ ประมลู งานไดอ้ ยา่ งโปรง่ ใสและยตุ ธิ รรม หรอื องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ จดั หาวสั ดอุ ปุ กรณ์ ส�ำ หรบั การพฒั นาโดยภาคประชาชนเปน็ ผดู้ �ำ เนนิ การ (๔) ร่วมมือกับกลุ่มหรือองค์กรชุมชนในพ้ืนท่ี เช่น วัด สถานศึกษา และ ส่ือมวลชน เป็นต้น เพ่ือการดำ�เนินกิจกรรมตามโครงการพัฒนาต่างๆ อย่างโปร่งใส และมปี ระสทิ ธภิ าพ ประการทห่ี า้ เสรมิ สรา้ งพลเมอื งและองคก์ รภาคประชาชน แนวคดิ ธรรมาภบิ าล มุ่งเน้นกระจายอำ�นาจสู่ภาคประชาชนมิใช่หน่วยงาน เพ่ือการพัฒนาท้องถ่ินองค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ตอ้ งเปดิ โอกาสใหอ้ งคก์ รของประชาชนมารว่ มวางแผนรว่ มบรหิ ารงาน ของท้องถ่ินและองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินควรมีงบประมาณสนับสนุนการเสริมสร้าง ความเขม้ แขง็ ขององคก์ รภาคประชาชนดว้ ย ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ รฐั มงุ่ ไปทก่ี ารพฒั นา หรอื แกไ้ ขปญั หาขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ เปน็ หลกั ดงั นน้ั ทศิ ทางใหมข่ องการบรหิ ารทอ้ งถน่ิ นน้ั ควรหนั ความสนใจไปทก่ี ารพฒั นา องค์กรภาคประชาชนในท้องถ่ินมากข้ึน โจทย์ต่อไปคือ ทำ�อย่างไรท่ีจะทำ�ให้องค์กร ภาคประชาชนมคี วามเขม้ แขง็ มากขน้ึ เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหเ้ ปน็ องคก์ รหลกั ในทอ้ งถน่ิ และคอ่ ยๆ ลดระดบั ความส�ำ คญั ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ของรฐั ใหเ้ ปน็ องคก์ รสนบั สนนุ มากยง่ิ ขน้ึ
อกี ตวั แปรหนง่ึ ทม่ี คี วามส�ำ คญั และจ�ำ เปน็ ตอ่ การบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ในอนาคต คอื การ เปลย่ี นราษฎรใหเ้ ปน็ พลเมอื งของทอ้ งถน่ิ เปน็ สง่ิ ทต่ี อ้ งท�ำ ใหไ้ ดม้ ากทส่ี ดุ เพราะพลเมอื งคอื ก�ำ ลงั ของเมอื งทถ่ี อื วา่ เปน็ กลไกหลกั ส�ำ คญั ในการขบั เคลอ่ื นทอ้ งถน่ิ และพฒั นาทอ้ งถน่ิ ประการทห่ี ก เสรมิ สรา้ งส�ำ นกึ รบั ผดิ ชอบตอ่ ทอ้ งถน่ิ กลา่ วคอื การสรา้ งส�ำ นกึ รกั ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ กระบวนการดงั กลา่ วสามารถท�ำ ได้ มองได้ ๒ มติ ิ คอื มติ ขิ องผบู้ รหิ าร ทต่ี อ้ งมสี �ำ นกึ รบั ผดิ ชอบ มคี ณุ ธรรม รบั ผดิ ชอบตอ่ ประชาชนในทอ้ งถน่ิ มติ ทิ ส่ี องมติ ขิ อง ประชาชนด้วยการดึงประชาชนเข้ามาในกระบวนการพัฒนาของท้องถ่ิน อย่างไรก็ตาม การพฒั นาทอ้ งถน่ิ นน้ั ไมใ่ ชห่ นา้ ทข่ี องใครคนใดคนหนง่ึ หากแตเ่ ปน็ หนา้ ทข่ี องทกุ คนทง้ั หนว่ ยงาน ของรัฐ ภาคประชาชน หรือภาคประชาสังคม ส่ิงสำ�คัญคือการให้คนในท้องถ่ินน้ันเป็น ผสู้ รา้ งชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ของตน โดยใหเ้ ขาไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในฐานะผใู้ หข้ อ้ มลู เขา้ มามสี ว่ น คดิ ท�ำ และตดิ ตาม การบวนการดงั กลา่ วจะชว่ ยท�ำ ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ ผกู พนั เกดิ ความรกั หวงแหนชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ของตนมากขน้ึ ความรสู้ กึ รว่ มเหลา่ นจ้ี ะกลายเปน็ พลงั ทย่ี ง่ั ยนื ท�ำ ให้ ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ เกดิ ความเขม้ แขง็ และมศี กั ยภาพในการพฒั นาตนเอง ประการทเ่ี จด็ มงุ่ เนน้ การบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ แบบเครอื ขา่ ย/ความรว่ มมอื การบริหารท้องถ่ินไทยในอดีตถึงปัจจุบันม่งุ เน้นการแข่งขัน ขาดการเช่อื มโยงระหว่างคน หรอื กลมุ่ คนในทอ้ งถน่ิ ดงั นน้ั ควรเปดิ โอกาสใหภ้ าคประชาชน ภาคเอกชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ ม ในการจดั บรกิ ารสาธารณะในรปู แบบเครอื ขา่ ย ทม่ี งุ่ เนน้ การชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั รว่ มมอื กนั แกป้ ญั หา เชน่ การจดั การปญั หาขยะ ระบบบ�ำ บดั น�ำ้ เสยี การจดั การศกึ ษา การจดั บรกิ าร สาธารณสขุ สาธารณปู โภค สาธารณปู การขนาดใหญ่ เปน็ ตน้ ปญั หาตา่ งๆ ดงั กลา่ ว จ�ำ เปน็ ต้องอาศัยจากทุกภาคส่วนในท้องถ่ิน และความร่วมมือดังกล่าวยังจะเป็นการเสริมสร้าง พลังในการพัฒนาท้องถ่ินในอีกแนวทางหน่ึง ดังน้ัน โจทย์ของท้องถ่ินต่อไปคือจะ “การสรา้ งเครอื ขา่ ย (network)” ใหเ้ กดิ ขน้ึ ในทอ้ งถน่ิ และระหวา่ งทอ้ งถน่ิ ไดอ้ ยา่ งไร แนวทางท้ัง ๗ ประการข้างต้นเป็นลักษณะและเป็นกุญแจสำ�คัญท่ีนำ�ไปสู่ แนวทางการบริหารงานของท้องถ่นิ ภิบาล รวมไปถึงจะช่วยแก้ไขปัญหาของท้องถ่นิ โดย เฉพาะอย่างย่งิ เร่อื งความโปร่งใส และการทุจริต คอร์รัปชัน นอกจากน้แี นวทางดังกล่าว ยงั สอดประสานกบั แนวนโยบายภาครฐั ทง้ั สว่ นกลาง สว่ นภมู ภิ าค และสว่ นทอ้ งถน่ิ ทจ่ี ะขบั เคลอ่ื นไป พรอ้ มกนั และมงุ่ สหู่ ลกั ธรรมาภบิ าลไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ 82
83 บทสรปุ การมองถึงทิศทางการบริหารราชการท้องถ่ินในอนาคต หลักการสำ�คัญคือ การเหลยี วหลงั (พจิ ารณาถงึ ปญั หาทผ่ี า่ นมา) แลหนา้ (สง่ิ ทค่ี วรเปน็ ) เมอ่ื พจิ ารณาจาก รฐั ธรรมนญู พ.ศ. ๒๕๔๐ ทถ่ี อื วา่ เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการกระจายอ�ำ นาจไปยงั ทอ้ งถน่ิ ท�ำ ใหเ้ กดิ การบริหารราชการท้องถ่ินข้ึน ส่งผลต่อการจัดโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน แบง่ ออกเปน็ ๓ สว่ น ไดแ้ ก่ การบรหิ ารราชการสว่ นกลาง การบรหิ ารราชการสว่ นภมู ภิ าค และการบริหารราชการท้องถ่นิ ท้งั สามส่วนโดยหลักการแล้ว การบริหารราชการท้องถ่นิ ถือว่ามีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการตนเอง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติพบว่า การบริหารราชการท้ังสามส่วนมีความเช่ือมโยงกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ซง่ึ แมบ่ ทหรอื รม่ ใหญข่ องการบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ คอื การบรหิ ารงานภาครฐั หรอื ระบบ ราชการโดยในปัจจุบันการบริหารงานภาครัฐดำ�เนินไปภายใต้แนวคิดธรรมาภิบาล ดว้ ยการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วสง่ ผลใหก้ ารบรหิ ารราชการทอ้ งถน่ิ ตอ้ งปรบั ตวั ใหส้ อดรบั กบั การ เปล่ยี นแปลงผนวกกับการบริหารราชการท้องถ่นิ ก็กำ�ลังประสบปัญหาโดยเฉพาะอย่างย่งิ ปญั หาเรอ่ื งความไมโ่ ปรง่ ใส และปญั หาการทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั ในวงราชการทอ้ งถน่ิ การขบั เคลอ่ื น ทอ้ งถน่ิ ตอ่ ไปในอนาคต สง่ิ ส�ำ คญั จงึ ควรมงุ่ เนน้ หลกั ธรรมาภบิ าล เพอ่ื ชว่ ยแกไ้ ขปญั หาการ ทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั สรา้ งความโปรง่ ใส และเพม่ิ ขดี ความสามารถในการตอบสนองประชาชน นน่ั คอื การจดั บรกิ ารสาธารณะใหม่ ทม่ี งุ่ เนน้ การเสรมิ สรา้ งความเปน็ พลเมอื ง แสวงการมสี ว่ นรว่ ม จากประชาชนและองคก์ รประชาชนในท้องถน่ิ โดยเข้ามาเป็นห้นุ สว่ นในการรบั ผดิ ชอบร่วม เปน็ เจา้ ของเรม่ิ ตง้ั แต่ การจดั ท�ำ แผนพฒั นาทอ้ งถน่ิ การจดั สรรงบประมาณ การตรวจสอบ การใชจ้ า่ ยงบประมาณของทอ้ งถน่ิ จะเหน็ ไดว้ า่ ธรรมาภบิ าลเปน็ หลกั การบรหิ ารการปกครองทม่ี งุ่ เนน้ ประโยชน์ สูงสุดของประชาชนและประเทศชาตอิ ยา่ งแท้จรงิ โดยยึดหลักเหตุผลและความเป็นธรรม หรือกล่าวอีกมุมหน่ึง ธรรมาภิบาลเป็นท้ังหลักการ (principles) และแนวทาง (guidelines) สำ�หรับการปฏิบัติ หากท้องถ่ินสามารถดำ�เนินตามแนวทางน้ี ในท้ายท่ีสุดก็จะนำ�ไปสู่การบริหารราชการท้องถ่ินท่ีเราเรียกว่า “ท้องถ่ินภิบาล” (Local Governance) นน่ั เอง
บรรณานกุ รม เชงิ ชาญ จงสมชยั . ทศิ ทางการปฏริ ปู การกระจายอ�ำ นาจและการปกครองทอ้ งถน่ิ หลงั การ รฐั ประหาร ๒๕๕๗. วารสารสงั คมศาสตร์ ๑๑,๑ (ม.ค.- ม.ิ ย. ๒๕๕๘): ๒๙ - ๕๑. ทนิ พนั ธ์ุ นาคะตะ. กระบวนทศั นร์ ฐั ประศาสนศาสตรไ์ ทย อดตี ปจั จบุ นั และอนาคต: จากมมุ มองของนกั รฐั ศาสตร.์ ใน สจุ ติ รา บณุ ยรตั พนั ธ์ุ (บรรณาธกิ าร), รฐั ประศาสนศาสตรใ์ นประเทศไทย: การเปลย่ี นแปลง การพฒั นา และทศิ ทาง. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั สขุ มุ วทิ มเี ดยี มารเ์ กต็ ตง้ิ จ�ำ กดั , ๒๕๕๘. ถวลิ วดี บรุ กี ลุ . ธรรมาภบิ าล: หลกั การเพอ่ื การบรหิ ารรฐั กจิ แนวใหม.่ วารสารพระปกเกลา้ ๑,๒ (๒๕๔๖) : ๑๔ - ๑๕. สบื คน้ จาก http://wiki.kpi.ac.th เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เมอ่ื วนั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๙. ไทยรฐั ออนไลน.์ ปลดแลว้ ! นายก อบต.มหาสารคาม ๓๒ ราย เอย่ี วทจุ รติ จดั สอบ พนกั งาน. สบื คน้ จาก http://www.thairath.co.th/content/๗๒๐๑๖๐ เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ ตลุ าคม ๒๕๕๙. ธงชยั โรจนกนนั ท.์ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ กบั การบรหิ ารจดั การน�ำ้ . กรงุ เทพฯ: สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๕๗. นศิ าชล พรหมรนิ ทร.์ ประมวลขอ้ เขยี นรฐั ประศาสนศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๕๘. ใน สจุ ติ รา บณุ ยรตั พนั ธ์ุ (บรรณาธกิ าร), รฐั ประศาสนศาสตรใ์ นประเทศไทย: การเปลย่ี นแปลง การพฒั นา และทศิ ทาง. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั สขุ มุ วทิ มเี ดยี มารเ์ กต็ ตง้ิ จ�ำ กดั , ๒๕๕๘. ปกรณ์ ศริ ประกอบ. ๓ พาราไดมท์ างรฐั ประศาสนศาสตร:์ แนวคดิ ทฤษฏี และการน�ำ ไปปฏบิ ตั .ิ กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘. ปธาน สวุ รรณมงคล. การบรหิ ารงานภาครฐั กบั การสรา้ งธรรมาภบิ าล. กรงุ เทพฯ: สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๕๘. รชั ยา ภกั ดจี ติ ต.์ ธรรมาภบิ าลเพอ่ื การบรหิ ารงานภาครฐั และภาคเอกชน. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๕. วรี ะศกั ด์ิ เครอื เทพ. ทศิ ทางการปกครองทอ้ งถน่ิ ไทย. วารสารประชาคมวจิ ยั ๖๐(๒๕๔๘): ๓ - ๗. 84
85 สบื คน้ จาก http://www.polsci.chula.ac.th/weerasak/data/Paper%๒๐and%๒๐ Articla/Future%๒๐of%๒๐Local%๒๐Administration.pdf เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เมอ่ื วนั ท่ี ๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘. สเุ มธ แสงนม่ิ นวล. ภาวะผนู้ �ำ กบั ธรรมาภบิ าลในการบรหิ ารงานองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ . กรงุ เทพฯ: สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๕๒. ส�ำ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ (ก.พ.ร.) แผนยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาระบบ ราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖ – พ.ศ. ๒๕๖๑). กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั วชิ น่ั พรน้ิ ทแ์ อนด์ มเี ดยี , ๒๕๕๖. อดุ ม ทมุ โฆสติ . การปกครองทอ้ งถน่ิ สมยั ใหม่ : บทเรยี นจากประเทศพฒั นาแลว้ . กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั แซท โฟร์ พรน้ิ ตง้ิ จ�ำ กดั , ๒๕๕๒. ∗ นกั ศกึ ษาปรญิ ญาโท คณะรฐั ประศาสนศาสตร์ สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์
* ฉตั รทพิ ย์ ชยั ฉกรรจ,์ ดารารตั น์ ค�ำ เปง็ , สธุ นิ ี ชตุ มิ ากลุ ทว,ี ถริ ายสุ ์ บ�ำ บดั ** ความน้ีนำ�เสนอบทเรียนในการบริหารจัดการท่ีดีขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถ่ินในส่ีด้าน ได้แก่ การจัดการขยะ การดูแลรักษาทรัพยากรในท้องถ่ิน การจัดเก็บภาษี และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองตนเอง ของทอ้ งถน่ิ ทส่ี รปุ จากการสมั มนาเพอ่ื ถอดบทเรยี นในการบรหิ ารจดั การทด่ี ขี องทอ้ งถน่ิ * บทความนเ้ี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของโครงการถอดบทเรยี นในการบรหิ ารจดั การทด่ี ขี ององคก์ รปกครอง ส่วนท้องถ่ินในภาคเหนือตอนบน ซ่ึงได้รับทุนสนับสนุนจากศูนย์ส่งเสริมและประสานงานการวิจัย เพอ่ื การปกครองตนเองของทอ้ งถน่ิ (สปวท.) และคณะรฐั ศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พะเยา ** คณะอาจารยป์ ระจ�ำ สาขาวชิ ารฐั ศาสตร์ คณะรฐั ศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พะเยา 86
87 ในเขตพน้ื ทภ่ี าคเหนอื ตอนบน โดยมอี งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ทไ่ี ดร้ บั คดั เลอื กจ�ำ นวน ๙ แหง่ จากพน้ื ทภ่ี าคเหนอื ตอนบนทง้ั ๘ จงั หวดั ไดแ้ ก่ เชยี งใหม่ เชยี งราย แพร่ นา่ น ลำ�พูน ลำ�ปาง พะเยา และแม่ฮ่องสอน ส่งตัวแทนมาเข้าร่วมเวทีสาธารณะขนาดเล็ก เพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างกัน คณะผู้เขียนได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวทีดังกล่าว แล้วนำ�ข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์ใน ๖ ประเด็นตามกรอบการวิเคราะห์ท่ีได้ออกแบบไว้ ไดแ้ ก่ ประเดน็ ความส�ำ เรจ็ ประเดน็ ความแตกตา่ ง/โดดเดน่ ประเดน็ ความยง่ั ยนื ประเดน็ แนวปฏบิ ตั ทิ ด่ี ี ประเดน็ ปจั จยั ความส�ำ เรจ็ และประเดน็ ปญั หาอปุ สรรค ขอ้ สรปุ ไดท้ จ่ี าก การถอดบทเรยี น พบวา่ อปท. ทง้ั ๙ แหง่ ตา่ งมคี วามส�ำ เรจ็ ตามแตล่ ะดา้ นทต่ี นเอง นำ�เสนอโดยมีจุดร่วมท่ีน่าสนใจอย่างน้อยสองประการ คือ การสร้างการบริหารจัดการ ทเ่ี นน้ กระบวนการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชนในรปู แบบตา่ งๆ และการสรา้ งเสรมิ ความตระหนกั ถงึ วฒั นธรรมทม่ี รี ว่ มกนั ในพน้ื ท่ี This article discusses lessons of good local governance in four practices including: waste management, conservation of natural resources, tax imposition, and promotion of local participation. Data are collected through documentary research and interviews with nine local governments located in eight provinces in the upper North of Thailand. Each case was purposively selected by the Provincial Local Administrative Office and the authors. Then, a representative of each case participated in a small public forum in order to exchange and learn from one another’s lessons. Data analysis follows a framework of six issues including success identification, difference/distinctiveness of the case, success sustainability, good practices, success determinants, and problems/obstruction of the case. The article concludes that the nine cases have diverse patterns of success but shares two good practices. One is to provide services through community participation. Another is to raise awareness of common culture in local community.
บทน�ำ การบรหิ ารจดั การทด่ี ขี ององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ (อปท.) เปน็ ทส่ี นใจของ นกั วชิ าการและนกั ปฏบิ ตั ทิ ง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ โดยภายในประเทศ จะเหน็ ไดจ้ าก การสนับสนุนส่งเสริมการบริหารจัดการท่ีดีของ อปท. ในลักษณะของการให้รางวัล โดยหนว่ ยงานตา่ ง ๆ เชน่ กระทรวงมหาดไทยรว่ มมอื กบั คณะกรรมการกระจายอ�ำ นาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน จัดให้มีการมอบรางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ทม่ี กี ารบรหิ ารจดั การทด่ี ี ดว้ ยงบประมาณสงู ถงึ ๔๙๒ ลา้ นบาทเมอ่ื ปี ๒๕๕๖๑ สถาบนั พระปกเกล้าจัดให้มีการมอบรางวัลพระปกเกล้า ซ่ึงเป็นรางวัลองค์กรปกครองท้องถ่ิน ท่ีมีความเป็นเลิศในสามประเภท คือ ด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของประชาชน ดา้ นการเสรมิ สรา้ งสนั ตสิ ขุ และความสมานฉนั ท์ และดา้ นการเสรมิ สรา้ ง เครอื ขา่ ยรฐั เอกชน และประชาสงั คม โดยรางวลั นม้ี มี าตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๔ เปน็ ตน้ มา๒ เมอ่ื พจิ ารณางานศกึ ษาวจิ ยั ทม่ี อี ยใู่ นประเทศไทยในปจั จบุ นั การถอดบทเรยี น ในการบรหิ ารจดั การทด่ี เี หลา่ นด้ี �ำ เนนิ อยใู่ นสองลกั ษณะใหญๆ่ ดว้ ยกนั คอื ลกั ษณะหนง่ึ เป็นการพิจารณาบทเรียนในการบริหารจัดการท่ีดีในรูปแบบของนวัตกรรมการบริหาร ขององคป์ กครองสว่ นทอ้ งถน่ิ โดยเฉพาะ ซง่ึ เปน็ งานศกึ ษากลมุ่ ทเ่ี ปน็ ทน่ี ยิ มมากนบั ตง้ั แต่ ชว่ งกลางพทุ ธทศวรรษ ๒๕๔๐ เปน็ ตน้ มา เชน่ งานของ จรสั สวุ รรณมาลา๓ และคณะ และวรี ะศกั ด์ิ เครอื เทพ๔ ในขณะทอ่ี กี ลกั ษณะหนง่ึ เปน็ การพจิ ารณาบทเรยี นเหลา่ นใ้ี นรปู แบบ ๑ ประกาศคณะกรรมการการกระจายอ�ำ นาจใหแ้ กอ่ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ เรอ่ื งหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และอตั ราการจดั สรรเงนิ อดุ หนนุ เพอ่ื เปน็ รางวลั สำ�หรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ จงู ใจเพอ่ื เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารจดั การของทอ้ งถน่ิ ปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒ ดู ภควตั อจั ฉรยิ ปญั ญา (บก.), รางวลั พระปกเกลา้ ’ ๕๘, กรงุ เทพฯ: สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๕๘. ๓ จรสั สวุ รรณมาลา และคณะ, นามานกุ รมนวตั กรรมทอ้ งถน่ิ ไทย, กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค์ รุ สุ ภา, ๒๕๔๗. ๔ วรี ะศกั ด ์ิ เครอื เทพ, นวตั กรรมสรา้ งสรรคข์ ององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ , กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั , ๒๕๔๘ 88
89 ของการวเิ คราะหแ์ นวปฏบิ ตั ใิ นการบรหิ ารจดั การทด่ี โี ดยทว่ั ไป เชน่ งานของ โกวทิ ย์ พวงงาม๕ ณรงค์ บญุ สวยขวญั ๖ ชลดิ า ศรมณ๗ี และสเุ มธ แสงนม่ิ นวล๘ บทเรียนท่ีนำ�เสนออยู่ในบทความน้ีอยู่ก่ึงกลางระหว่างงานท้ังสองกลุ่ม ทก่ี ลา่ วขา้ งตน้ กลา่ วคอื เปน็ บทเรยี นทผ่ี า่ นการวเิ คราะหท์ ง้ั ในเชงิ ของการเปน็ นวตั กรรม และการมแี นวปฏบิ ตั ใิ นการบรหิ ารจดั การทด่ี ี โดยกรณศี กึ ษาทง้ั ๙ กรณศี กึ ษา จะถกู วิเคราะห์ความสำ�เร็จ ความแตกต่าง ความย่ังยืน ซ่ึงเป็นลักษณะสำ�คัญของการเป็น นวัตกรรมของ อปท. ในขณะเดียวกัน การวิเคราะห์จะครอบคลุมไปถึงแนวทางการ ด�ำ เนนิ งานทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความส�ำ เรจ็ ซง่ึ เกย่ี วพนั ไปถงึ เรอ่ื งของแนวปฏบิ ตั ทิ ด่ี ี ปจั จยั ทเ่ี ออ้ื ตอ่ ความส�ำ เรจ็ และปญั หาหรอื อปุ สรรคทเ่ี กดิ ขน้ึ ระหวา่ งการด�ำ เนนิ งาน ขอ้ มลู ทใ่ี ชใ้ นการเขยี นบทความชน้ิ นไ้ี ดม้ าจากการด�ำ เนนิ โครงการถอดบทเรยี น ในการบรหิ ารจดั การทด่ี ขี อง อปท. ในภาคเหนอื ตอนบน ซง่ึ เกดิ ขน้ึ จากความรว่ มมอื กนั ระหว่างศูนย์ส่งเสริมและประสานงานการวิจัยเพ่ือการปกครองตนเองของท้องถ่ิน (ศนู ย์ สปวท.) กบั คณะรฐั ศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พะเยา โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้ท่ีได้จากการทบทวนกรณีศึกษาว่าด้วยการบริหาร จัดการท่ีดีของ อปท. ในพ้ืนท่ีภาคเหนือตอนบน อันเป็นท่ีคาดหวังว่า ในท้ายท่ีสุด ผลท่เี กิดข้นึ จากการด�ำ เนินโครงการน้ ี จะนำ�ไปส่กู ารเพ่มิ พ้นื ท่ใี นการวิเคราะห์ผลส�ำ เร็จ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ท่ีเกิดข้ึน เพ่ือเป็นต้นแบบสำ�คัญในการพัฒนา ทอ้ งถน่ิ และตอ่ ยอดองคค์ วามรดู้ า้ นการบรหิ ารจดั การของ อปท. ตอ่ ไป ๕ โกวิทย์ พวงงาม, “การประเมินองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีมีการบริหารจัดการท่ีดี,” วารสารการเมอื งการปกครองกจิ การสาธารณะ ๔,๒ (๒๕๕๗): ๓๒-๖๐. ๖ ณรงค์ บุญสวยขวัญ, “โครงการบริการสาธารณะท่ีเป็นนวัตกรรมท้องถ่ินท่ีภาคใต้,” วารสารสถาบนั พระปกเกลา้ ๙,๑ (๒๕๕๔): ๓๖-๕๘. ๗ ชลดิ า ศรมณ,ี การสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมบรกิ ารสาธารณะโดยองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล, กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง, ๒๕๕๖. ๘ สุเมธ แสงน่ิมนวล, “ต้นแบบการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินใน ประเทศไทย,” วารสารสถาบนั พระปกเกลา้ ๑๑,๒ (๒๕๕๖) : ๖๓-๘๐.
วธิ กี ารด�ำ เนนิ โครงการฯ เปน็ ไปในลกั ษณะของการจดั ท�ำ เวทสี าธารณะขนาดเลก็ สำ�หรับการแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง อปท. ภายในเขตภาคเหนือตอนบน ซง่ึ แตล่ ะ อปท. ไดร้ บั การคดั เลอื กเบอ้ื งตน้ โดยส�ำ นกั งานทอ้ งถน่ิ จงั หวดั ทง้ั ๘ จงั หวดั ไดแ้ ก่ เชยี งใหม่ เชยี งราย แพร่ นา่ น ล�ำ พนู ล�ำ ปาง พะเยา และแมฮ่ อ่ งสอน แล้วคณะผู้ดำ�เนินงานนำ�มาคัดเลือกร่วมกันอีกคร้ังหน่ึงจนเหลือเพียง ๑๐ กรณีศึกษา จากนน้ั อปท. ทไ่ี ดร้ บั เลอื กทง้ั ๑๐ แหง่ จงึ มาเขา้ รว่ มการจดั เวทสี าธารณะขนาดเลก็ เพ่ือแบ่งปันประสบการณ์และแลกเปล่ียนข้อมูลกับ อปท. อ่ืน โดยมีกลุ่มนักวิชาการ คอยขับเคล่ือนการแลกเปล่ียนและร่วมถอดบทเรียนในการบริหารจัดการท่ีดีของแต่ละ อปท. ซ่งึ มีการแบ่งกล่มุ การแลกเปล่ยี นเรียนร้ตู ามประเด็นการบริหารจัดการ ดังแสดง ในตารางท่ี ๑ และมีนักวิชาการคอยเก็บข้อมูลท้ังจากในการสนทนากลุ่มย่อยและ การสมั ภาษณเ์ พม่ิ เตมิ นอกรอบ อยา่ งไรกด็ ี การวเิ คราะหก์ รณศี กึ ษาในบทความนจ้ี ะมเี พยี ง ๙ กรณศี กึ ษา เทา่ นน้ั เนอ่ื งจากเทศบาลเมอื งเมอื งแกนพฒั นาไมส่ ามารถเขา้ รว่ มแลกเปลย่ี นในกลมุ่ ยอ่ ย และให้สัมภาษณ์ได ้ ทำ�ให้ข้อมูลไม่เพียงพอ ผ้เู ขียนจึงไม่ได้น�ำ ข้อมูลของเทศบาลเมือง เมอื งแกนพฒั นามาประกอบการวเิ คราะหแ์ ละน�ำ เสนอในบทความฉบบั น้ี ตารางท่ี ๑ รายชอ่ื อปท. ผใู้ หข้ อ้ มลู *ไดร้ บั เลอื กเปน็ กรณศี กึ ษา แตข่ อ้ มลู ไมเ่ พยี งพอตอ่ การวเิ คราะห์ 90
91 โดยสรุป ในด้านการจัดการขยะ เทศบาลตำ�บลบ้านเหล่า เทศบาลตำ�บล แมแ่ รง และอบต.ดอนแกว้ ไดน้ �ำ เสนอความส�ำ เรจ็ ในการคดั แยกขยะทม่ี ชี มุ ชนเขา้ รว่ ม ในการบริหารจัดการและมีการพัฒนาระบบอาสาสมัครในการจัดการขยะ ในขณะท่ี เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน นำ�เสนอการจัดการขยะแบบฝังกลบท่ีชุมชนมีส่วนร่วม สว่ นดา้ นการดแู ลรกั ษาทรพั ยากรนน้ั เทศบาลนครเชยี งราย ไดน้ �ำ เสนอเครอื ขา่ ยการดแู ล รกั ษาทรพั ยากรซง่ึ เปน็ ความรว่ มมอื จากหลายภาคสว่ น เชน่ รฐั เอกชน วชิ าการ ซง่ึ มาจาก หลายระดบั ทง้ั ระดบั ทอ้ งถน่ิ ระดบั ชาติ และระดบั นานาชาติ ในด้านการสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนเพ่อื การปกครองตนเองของท้องถ่นิ น้นั อบต.บา้ นหนนุ ไดน้ �ำ เสนอความส�ำ เรจ็ ในการรเิ รม่ิ ศนู ยย์ ตุ ธิ รรมชมุ ชนในทอ้ งถน่ิ ของตนเอง และเทศบาลเมืองแกนพัฒนา ได้นำ�เสนอความสำ�เร็จในการจัดเทศกาลการท่องเที่ยว ทป่ี ระชาชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการจดั การ (แตไ่ มไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มการแลกเปลย่ี นเรยี นรภู้ ายในกลมุ่ ) สว่ นดา้ นการจดั เกบ็ ภาษอี ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพนน้ั น�ำ เสนอโดย เทศบาลนครล�ำ ปาง และ อบต. ขว่ งเปา กรอบการวเิ คราะหบ์ ทเรียนในการบริหารจัดการที่ดีของ อปท. การดำ�เนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน (อปท.) ภายใต้ภารกิจ ตามกฎหมายย่อมมีวิถีทางและแนวปฏิบัติท่ีคล้ายคลึงและแตกต่างกันไปตามบริบท ของตนเอง ดังน้ัน เพ่ือถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาท่ีถือได้ว่าประสบความสำ�เร็จ จึงจำ�เป็นต้องอาศัยกรอบในการวิเคราะห์เพ่ือสรุปสังเคราะห์บทเรียนแห่งความสำ�เร็จ ดงั กลา่ ว อนั จะน�ำ ไปถา่ ยทอดสสู่ งั คมในวงกวา้ งมากขน้ึ กรอบการวิเคราะห์ท่ใี ช้ในการถอดบทเรียนคร้งั น้พี ัฒนาข้นึ มาจากงานศึกษา วา่ ดว้ ยการถอดบทเรยี นทง้ั หลาย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ผลงานการศกึ ษาภายใตโ้ ครงการวถิ ใี หม่ ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ในประเทศไทย ทม่ี งุ่ ศกึ ษาการบรหิ ารจดั การรปู แบบใหม่ ท่ีเกิดจากการปรับตัวของ อปท. ต่อการกระจายอำ�นาจในช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๔๐ ยกตัวอย่างเช่น งานของ จรัส สุวรรณมาลา และคณะ๙ และวีระศักด์ิ เครือเทพ๑๐ ๙ จรสั สวุ รรณมาลา และคณะ, เรอ่ื งเดยี วกนั . ๑๐ วรี ะศกั ด์ิ เครอื เทพ, เรอ่ื งเดยี วกนั .
ซง่ึ ถอื ไดว้ า่ เปน็ หนง่ึ ในงานทไ่ี ดร้ บั การอา้ งถงึ มากทส่ี ดุ วา่ ดว้ ยการถอดรปู แบบความส�ำ เรจ็ และนวตั กรรมขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ กรอบแนวคดิ ของงานชน้ิ นย้ี งั ทรงพลงั อยมู่ าก แต่ด้วยระยะเวลาท่ีผ่านมากว่าทศวรรษ ข้อมูลของ อปท. ท่ีสรุปไว้ในงานดังกล่าว ย่อมเปล่ียนแปลงไป ดังน้ัน การถอดบทเรียนน้ีจึงจะเป็นส่วนหน่ึงของการจัดเก็บ และวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทเ่ี ปน็ ปจั จบุ นั มากขน้ึ นอกจากน้ี ในระดับภูมิภาค ได้มีงานหลายช้ินท่ีทำ�การศึกษาการบริหาร จดั การทด่ี ขี อง อปท. เชน่ งานของ ณรงค์ บญุ สวยขวญั ๑๑ ทศ่ี กึ ษาการบรกิ ารสาธารณะ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีเป็นนวัตกรรมท้องถ่ินในภาคใต้ และนำ�เสนอ ๒ ประเด็นหลัก คือ พัฒนาการและปัจจัยสู่ความสำ�เร็จของนวัตกรรมท้องถ่ิน งานของ ชลดิ า ศรมณ๑ี ๒ ทศ่ี กึ ษานวตั กรรมบรกิ ารสาธารณะโดยองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บลในจงั หวดั นนทบรุ ี ในสามประเดน็ หลกั ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ การกอ่ ตวั ของนวตั กรรม กลยทุ ธก์ ารตดั สนิ ใจ ของ อบต. ในการเลอื กท�ำ นวตั กรรมบรกิ ารสาธารณะ และความพงึ พอใจของประชาชน ทม่ี ตี อ่ นวตั กรรมดงั กลา่ ว งานของ โกวทิ ย์ พวงงาม๑๓ เปน็ อกี หนง่ึ งานทน่ี า่ สนใจ โดยเปน็ งานทส่ี รปุ ประเดน็ การประเมนิ การบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งทด่ี ตี ามพระราชกฤษฎกี าวา่ ดว้ ยหลกั เกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี พ.ศ. ๒๕๔๖ ซ่ึงประกอบด้วยประเด็นการ ประเมนิ ใน ๗ สว่ นดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ การบรหิ ารราชการเพอ่ื ใหเ้ กดิ หลกั ประโยชนส์ ขุ ของ ประชาชน การบรหิ ารงานเพอ่ื ใหเ้ กดิ ผลสมั ฤทธต์ิ อ่ ภารกจิ ของรฐั การบรหิ ารงานอยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพและความคมุ้ คา่ การลดขน้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ าน การปรบั ปรงุ ภารกจิ ของสว่ นราชการ การอ�ำ นวยความสะดวกและการตอบสนองความตอ้ งการของประชาชน และการประเมนิ ผล การปฏบิ ตั ริ าชการ ซง่ึ โกวทิ ย์ พวงงาม ไดส้ รปุ ผลการประเมนิ ในภาพกวา้ งและน�ำ เสนอ ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื การปรบั ปรงุ เอาไว้ ๑๑ ณรงค์ บญุ สวยขวญั , เรอ่ื งเดยี วกนั . ๑๒ ชลดิ า ศรมณ,ี เรอ่ื งเดยี วกนั . ๑๓ โกวทิ ย์ พวงงาม, เรอ่ื งเดยี วกนั . 92
93 เม่ือพิจารณาฐานคิดของงานต่างๆ ดังกล่าว การถอดบทเรียนคร้ังน้ี จึงจะทำ�การวิเคราะห์การบริหารจัดการท่ดี ีขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ภายใต้กรอบ การวเิ คราะหใ์ น ๖ ประเดน็ ดว้ ยกนั ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. ความส�ำ เรจ็ ของรปู แบบการบรหิ ารจดั การทด่ี ี โดยมงุ่ เนน้ การวเิ คราะหว์ า่ อะไรคอื ความส�ำ เรจ็ ของรปู แบบการบรหิ ารจดั การทด่ี ขี อง อปท. ทเ่ี ขา้ รว่ มเวทกี ารถอดบทเรยี น ครง้ั น้ี ๒. แนวปฏบิ ตั ทิ ด่ี ขี อง อปท. ทน่ี �ำ ไปสคู่ วามส�ำ เรจ็ ดงั กลา่ ว โดยวเิ คราะห์ ภายใตค้ �ำ ถามหลกั คอื อะไรคอื แนวปฏบิ ตั ทิ ด่ี ี (เชน่ วธิ กี าร แนวคดิ ฐานคดิ กระบวนการ ด�ำ เนนิ งาน) ในการบรหิ ารจดั การของ อปท. นน้ั ๆ ๓. ความแตกตา่ ง/ความโดดเดน่ ของการบรหิ ารจดั การทด่ี ที ่ี อปท. ไดน้ �ำ เสนอ โดยจะเป็นการวิเคราะห์เพ่ือให้เห็นว่า อะไรท่ีทำ�ให้รูปแบบการบริหารจัดการท่ีดีของ อปท. นน้ั แตกตา่ งการด�ำ เนนิ งานในดา้ นเดยี วกนั ของ อปท. อน่ื ๆ ๔. ปจั จยั ความส�ำ เรจ็ ของการบรหิ ารจดั การทด่ี ดี งั กลา่ ว โดยมงุ่ เนน้ การวเิ คราะห์ ปจั จยั เฉพาะทส่ี ง่ ผลตอ่ ความส�ำ เรจ็ ของการบรหิ ารจดั การทด่ี ขี อง อปท. อนั จะน�ำ ไปสกู่ าร วเิ คราะหป์ จั จยั รว่ มของแตล่ ะดา้ น ๕. ปญั หาและอปุ สรรคของการบรหิ ารจดั การทด่ี ี โดยวเิ คราะหว์ า่ ปจั จยั ใดบา้ ง ทเ่ี ปน็ อปุ สรรคตอ่ การบรหิ ารจดั การทด่ี ดี งั กลา่ ว และ อปท. แตล่ ะแหง่ มวี ธิ กี ารจดั การอยา่ งไร ๖. ความยง่ั ยนื ของการบรหิ ารจดั การทด่ี ี ซง่ึ เปน็ การวเิ คราะหส์ บื เนอ่ื งจาก ประเด็นปัญหาอุปสรรคและปัจจัยความสำ�เร็จ โดยพิจารณาเน้นไปท่ีคำ�ถามเฉพาะว่า การบรหิ ารจดั การท่ี อปท. ไดน้ �ำ เสนอนน้ั จะมคี วามยง่ั ยนื หรอื ไม่ อยา่ งไร และอะไรเปน็ ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ ความยง่ั ยนื ดงั กลา่ ว จากประเด็นการวิเคราะห์ท้งั ๖ ประเด็นข้างต้น สามารถนำ�มาจัดทำ�เป็น แผนภาพของการวิเคราะห์เพ่ือให้เห็นภาพท่ีชัดเจนข้ึนได้ดังแสดงใน แผนภาพท่ี ๑ โดยในแผนภาพดังกล่าว จะเน้นให้เห็นถึงความเหล่ือมซ้อนกันระหว่างความสำ�เร็จ ความแตกตา่ ง/โดดเดน่ และความยง่ั ยนื ทง้ั น ้ี หากกรณศี กึ ษาใด แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความ เหล่ือมซ้อนของสามองค์ประกอบดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นเพียงส่วนหน่ึงของบทเรียน ในการบรหิ ารจดั การทด่ี ขี อง อปท. เทา่ นน้ั เนอ่ื งจากในการถา่ ยทอดบทเรยี นใหเ้ ปน็ ประโยชน์ แก่ อปท. อน่ื ๆ นน้ั กระบวนการและปจั จยั ระหวา่ งการด�ำ เนนิ งานยอ่ มเปน็ สว่ นส�ำ คญั
ในการเรยี นรเู้ ชน่ กนั ดงั นน้ั แผนภาพดา้ นลา่ งนจ้ี งึ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเชอ่ื มโยงระหวา่ ง แนวปฏบิ ตั ทิ ด่ี ี ปจั จยั แหง่ ความส�ำ เรจ็ และปญั หา/อปุ สรรคของการด�ำ เนนิ งานของ อปท. ทไ่ี ดร้ บั เลอื ก และสะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ กระบวนการและปจั จยั ระหวา่ งด�ำ เนนิ งานมคี วามสมั พนั ธ์ ตอ่ องคป์ ระกอบของบทเรยี นในการบรหิ ารจดั การทด่ี อี กี ดว้ ย แผนภาพท่ี ๑ กรอบการวเิ คราะหก์ ารบรหิ ารจดั การทด่ี ขี ององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ บทสงั เคราะห:์ การบรหิ ารจดั การทด่ี ขี อง อปท. พน้ื ทภ่ี าคเหนอื ตอนบน บทเรยี นทไ่ี ดจ้ ากกรณศี กึ ษาในทง้ั สด่ี า้ น คอื การจดั การขยะ การดแู ลรกั ษา ทรพั ยากรในทอ้ งถน่ิ การสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มฯ และการจดั เกบ็ ภาษอี ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ไดย้ �ำ้ เตอื นอกี ครง้ั ใหเ้ หน็ ถงึ คณุ คา่ และความส�ำ คญั ของการบรหิ ารจดั การทด่ี มี ปี ระสทิ ธภิ าพ มปี ระสทิ ธผิ ล และผา่ นกระบวนการมสี ว่ นรว่ มของหลายภาคสว่ น ดงั จะเหน็ จากตารางท่ี ๑ ในหนา้ ถดั ไป ซง่ึ สรปุ องคป์ ระกอบของบทเรยี นในการบรหิ ารจดั การทด่ี ี ๓ ประการ เอาไว ้ ได้แก่ ความสำ�เร็จของการบริหารจัดการ ความแตกต่าง/โดดเด่น และความย่ังยืน 94
ตารางท่ี ๑ องคป์ ระกอบของบทเรยี นในการบรหิ ารจดั การทด่ี ี 95
ในองคป์ ระกอบดา้ นความส�ำ เรจ็ จะเหน็ ไดว้ า่ อปท. ทง้ั ๙ แหง่ ตา่ งมคี วาม ส�ำ เรจ็ ตามแตล่ ะดา้ นทต่ี นเองน�ำ เสนอ โดยจดุ รว่ มของความส�ำ เรจ็ ทน่ี า่ สนใจสองประการ ทง่ี านช้นิ นส้ี ามารถสรปุ ได้น้นั สะท้อนออกมาจากความโดดเด่นทแ่ี ตล่ ะ อปท. มองการ บรหิ ารจดั การของตนเอง โดยจดุ รว่ มแรกคอื การเนน้ ย�ำ้ ถงึ การสรา้ งการบรหิ ารจดั การท่ี เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในรูปแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การสร้างระบบ อาสาสมคั รทท่ี �ำ งานในดา้ นนน้ั ๆ โดยเฉพาะ เชน่ อาสาสมคั รดา้ นการจดั การขยะของ อบต.ดอนแก้ว สารวัตรขยะของเทศบาลตำ�บลแม่แรง อาสาสมัครยุติธรรมของ อบต. บา้ นหนนุ เปน็ ตน้ จดุ รว่ มทส่ี องทเ่ี หน็ ไดเ้ ดน่ ชดั คอื การสรา้ งเสรมิ ความตระหนกั ถงึ วฒั นธรรม ทม่ี รี ว่ มกนั ในพน้ื ท่ี ยกตวั อยา่ งเชน่ การใชเ้ สวยี น (ไมไ้ ผส่ านดว้ ยภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ) ของ เทศบาลต�ำ บลบา้ นเหลา่ ในการจดั การขยะ การเนน้ จติ ส�ำ นกึ ของความเปน็ ชมุ ชน “คน” พวกเดยี วกนั เชน่ คนดอนแกว้ คนแมแ่ รง คนแมฮ่ อ่ งสอน เปน็ ตน้ ในสว่ นของความยง่ั ยนื นน้ั เปน็ การประเมนิ บนฐานของขอ้ มลู ทไี ดร้ บั จาก อปท. ซง่ึ จะเหน็ ไดว้ า่ บทเรยี นทไ่ี ดจ้ าก อปท. สว่ นใหญม่ แี นวโนม้ ทจ่ี ะยง่ั ยนื มาก ทวา่ มี อปท. ๒ แหง่ ทด่ี เู หมอื นวา่ ความยง่ั ยนื ของการบรหิ ารจดั การดจู ะไมช่ ดั เจน ไดแ้ ก่ เทศบาลเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน และ อบต.บา้ นหนนุ สาเหตทุ ก่ี ารจดั การขยะของเทศบาลเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน ไมม่ คี วามชดั เจนเรอ่ื ง ความย่งั ยืน เน่อื งจากการจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอนน้นั มีการขอใช้ พ้ืนท่ีของ อบต.ผาบ่อง ซ่ึงในปัจจุบัน ท้ังสองฝ่ายกำ�ลังเจรจากันถึงแนวทางการปรับ รูปแบบบริหารจัดการท่ีเป็นอยู่ จึงอาจส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงรูปแบบความสำ�เร็จท่ี เทศบาลเมอื งแมฮ่ อ่ งสอนไดน้ �ำ เสนอกเ็ ปน็ ได้ สว่ นความยง่ั ยนื ทไ่ี มช่ ดั เจนของ อบต.บา้ นหนนุ นน้ั ประเมนิ จากฐานของการรเิ รม่ิ นโยบายทม่ี าจากสว่ นกลาง คอื กระทรวงยตุ ธิ รรม ซง่ึ ศนู ย์ ยตุ ธิ รรมชมุ ชนยงั ด�ำ เนนิ ไปไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งดว้ ยการสนบั สนนุ หลกั จากสว่ นกลาง แตห่ าก นโยบายของสว่ นกลางเปลย่ี นแปลงไปอาจสง่ ผลตอ่ การด�ำ เนนิ งานดา้ นนข้ี อง อบต.บา้ นหนนุ ก็เป็นได้ ท้ังน้ี ความย่ังยืนของ อปท. มีความเก่ียวข้องกับปัจจัย แห่งความสำ�เร็จ และปญั หาอปุ สรรคท่ี อปท. ไดเ้ ผชญิ ระหวา่ งกระบวนการด�ำ เนนิ งาน ดงั นน้ั จงึ จะมกี าร อภปิ รายความยง่ั ยนื รว่ มกบั ประเดน็ ปจั จยั สนบั สนนุ และอปุ สรรคอกี ครง้ั ในชว่ งทา้ ย ในการทจ่ี ะบรรลคุ วามส�ำ เรจ็ สรา้ งความแตกตา่ ง และรกั ษาความยง่ั ยนื อปท. แต่ละแห่งต่างมีแนวปฏิบัติท่ดี ีของตนเอง ซ่งึ ในการจัดเวทีคร้งั น้สี ามารถสรุปแนวปฏิบัติท่ดี ี ท่ี อปท. ทง้ั ๙ แหง่ ด�ำ เนนิ การคลา้ ยคลงึ กนั ไดท้ ง้ั สน้ิ ๗ ประการ (ดสู รปุ จากตารางท่ี ๒) ไดแ้ ก่ 96
ตารางท่ี ๒ แนวทางสกู่ ารพฒั นาการบรหิ ารจดั การทด่ี ี 97
ประการแรก คอื การสรา้ งความเขา้ ใจกบั ชมุ ชน ท่ี อปท. ทกุ แหง่ (ยกเวน้ เทศบาลนครเชียงราย) ได้ดำ�เนินการและเป็นเสมือนจุดเร่ิมต้นของความสำ�เร็จในการ บริหารจัดการ เช่น เทศบาลตำ�บลบ้านเหลา่ มกี ารประชาสัมพนั ธเ์ ร่อื งการจดั การขยะ ทกุ ครง้ั ทม่ี โี อกาส อบต.นาเหลอื ง ด�ำ เนนิ งานโดยเนน้ ใหช้ มุ ชนเหน็ ความส�ำ คญั ของปา่ เปน็ ตน้ ประการทส่ี อง คอื การสรา้ งระบบอาสาสมคั รภายในชมุ ชน ซง่ึ กลายมาเปน็ กลไกหลกั ในการด�ำ เนนิ งานของ อปท. หลายแหง่ เชน่ ระบบอาสาสมคั รการจดั การขยะ ของ อบต. ดอนแกว้ อาสาสมคั รยตุ ธิ รรมของ อบต.บา้ นหนนุ เปน็ ตน้ ประการท่ีสาม คือ การสร้างเครือข่ายการทำ�งานร่วมกันกับองค์กรอ่ืนๆ ไมว่ า่ จะเปน็ องคก์ รภาครฐั ภาคเอกชน หรอื ภาคประชาชน ซง่ึ อาจมาจากหลายๆ ระดบั ทง้ั ระดบั ชมุ ชน ทอ้ งถน่ิ ชาติ หรอื นานาชาติ ตวั อยา่ งการสรา้ งเครอื ขา่ ยทน่ี �ำ มาสกู่ าร บริหารจัดการท่ีดีท่ีโดดเด่นท่ีสุดจากเวทีน้ี คือ โครงการเพ่ือการดูแลรักษาทรัพยากร ในท้องถ่ินของ เทศบาลนครเชียงราย ท่ีริเร่ิมข้ึนมาด้วยความร่วมมือจากสมาคม สง่ิ แวดลอ้ มไทย มหาวทิ ยาลยั หลายแหง่ และเครอื ขา่ ยสง่ิ แวดลอ้ มระดบั สากล ประการทส่ี ่ี คอื การรว่ มลงมอื ท�ำ แนวปฏบิ ตั นิ ถ้ี กู เนน้ ใหเ้ หน็ อยา่ งเดน่ ชดั ในการบรหิ ารจดั การของหลาย อปท. เชน่ เทศบาลต�ำ บลบา้ นเหลา่ ทเ่ี นน้ การรว่ มคดั แยกขยะ ภายในส�ำ นกั งานเทศบาลต�ำ บลบา้ นเหลา่ ซง่ึ ท�ำ ใหป้ ระชาชนเหน็ วา่ อปท. ไมไ่ ดเ้ พยี ง ชกั จงู ใหผ้ อู้ น่ื ท�ำ แตต่ นเองกร็ ว่ มท�ำ ดว้ ย อบต.นาเหลอื ง ทร่ี ว่ มจดั การปญั หาปา่ เสอ่ื มโทรม โดยเปน็ ทง้ั หนว่ ยงานขบั เคลอ่ื นและรว่ มลงมอื ท�ำ เปน็ ตน้ ประการท่ีห้า คือ การใช้ความเช่ียวชาญเฉพาะด้าน ซ่ึงจะเห็นได้ชัดจาก กรณีศึกษาด้านการจัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กรณีท่ีเทศบาลนครลำ�ปาง ผสานการพฒั นาเทคโนโลยสี ารสนเทศรว่ มกบั การพฒั นาบคุ ลากรใหม้ คี วามเชย่ี วชาญดา้ นภาษี อนั น�ำ มาสรู่ ะบบการจดั เกบ็ ภาษอี เิ ลก็ ทรอนกิ สท์ ส่ี ามารถเปน็ ตน้ แบบใหก้ บั อปท. อน่ื ๆ ได้ ประการทห่ี ก คอื การปรบั พฤตกิ รรมของสมาชกิ ในชมุ ชน ซง่ึ ในการบรหิ ารจดั การ ทกุ ดา้ นจะประสบความส�ำ เรจ็ ไมไ่ ดเ้ ลย หากพฤตกิ รรมของสมาชกิ ภายในชมุ ชนไมเ่ ปลย่ี นแปลง ยกตัวอย่างเช่น การจัดการขยะท่ตี ้องมีการสร้างเสริมพฤติกรรมการคัดแยกขยะในชีวิต 98
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130