ผงั รายการสถานีวทิ ยกุ ระจายเสียงรัฐสภา (ประชุม สปท.-สนช.) ประจาเดือน เมษายน 2560 เปน็ ตน้ ไป ออกอากาศทกุ วัน ตั้งแต่เวลา 05.00 – 22.00 นาฬิกา เวลา จันทร์ องั คาร พธุ พฤหัสบดี ศกุ ร์ เสาร์ อาทติ ย์ เวลา 05.00 รายการเผยแผค่ วามรู้ทางศาสนา 05.00 06.00 รัฐสภาไทยใต้รม่ พระบารมี (10 นาท)ี 06.00 คุยข่าวเช้า weekend news แจง้ ขา่ ว: ขา่ วเชา้ สุดสปั ดาห์ เตอื นภัย 07.00 ถา่ ยทอดข่าว สวท. 07.00 07.30 Inside รฐั สภา วจิ ยั ก้าวไกล ทาดีได้ดี 07.30 08.00 สกู๊ป...ในหลวง ร.๙ ถา่ ยทอด คสช. สกูป๊ ...ในหลวง ร.๙ 08.00 หอ้ งขา่ วรัฐสภาแชนแนล (โทรทศั นร์ ัฐสภา) (rerun) ขบวนการคนตัวเลก็ 09.00 สภาสนทนา สภาสนทนา มองรฐั สภา มองรัฐสภา รฐั สภาของ ปชช. ร้อยเรอ่ื งเมอื งไทย 09.00 09.30 เวลา 09.30 น. เวลา 09.30 น. (โทรทัศนร์ ัฐสภา) (โทรทศั น์รัฐสภา) (โทรทัศน์รัฐสภา) 09.15 10.00 เป็นต้นไป ร้อยเรยี งข่าว มขี ่าวดีมาบอก เป็นต้นไป สภาสนทนา สภาสนทนา 10.00 ถ่ายทอดเสียง ถ่ายทอดเสียง 11.00 การประชุม การประชุม การเมืองเรอ่ื ง เวลา 10.00 น. เวลา 10.00 น. บ้านสุขภาพ ตะลอนทัวร์ 11.00 สภาขับเคลือ่ น ของประชาชน เปน็ ต้นไป เปน็ ตน้ ไป ท่วั ไทย สภาขับเคล่ือน (คนพกิ าร-ด้อยโอกาสฯ) ถา่ ยทอดเสียง เกาะติดสภา ถา่ ยทอดเสยี ง การประชมุ บนั ทึกประชมุ สภา นติ ิบญั ญตั ิแหง่ ชาติ การประชุม 12.00 การปฏิรูป การปฏริ ปู สภานิตบิ ัญญัติ สภานติ ิบญั ญัติ 12.00 ประเทศ ประเทศ สกู๊ป...ในหลวง ร.๙ แหง่ ชาติ แห่งชาติ สกู๊ป...ในหลวง ร.๙ รัฐสภาของเรา แผน่ ดนิ ถ่ินไทย 13.00 (สปท.) (สปท.) สายดว่ นรัฐสภา (สนช.) (สนช.) 13.00 จนเสรจ็ สน้ิ จนเสรจ็ สิ้น (โทรทัศน์รฐั สภา) จนเสร็จสิน้ จนเสร็จส้ิน การประชมุ การประชมุ การประชมุ การประชุม ทอ้ งถน่ิ บา้ นเรา 15.00 (ทปี่ ระชุม สปท. (ที่ประชุม สปท. (ทป่ี ระชมุ สนช. (ท่ีประชมุ สนช. สภาสาระ 15.00 ครั้งที่ 2/2558 ครัง้ ที่ 2/2558 รกั เมืองไทย ครัง้ ที่ 3/2557 ครัง้ ท่ี 3/2557 19 ต.ค.58) 19 ต.ค.58) 21 ส.ค.57) 21 ส.ค.57) ละครวิทยุ 15.30 ชวี ติ กบั การเรยี นรู้ สบาย สบาย 16.00 กบั แพทย์ทางเลอื ก 16.30 ปฏริ ูปกฎหมายประชาชนกับ คปก. เดินหนา้ รฐั ธรรมนูญไทย 17.00 ข่าวเด่นรอบวัน สกปู๊ ข่าว.สภากับประชาคมโลก สกปู๊ ขา่ ว...เสน้ ทางกฎหมาย 17.00 สบาย สบาย Gossip การเมือง ละติจดู รอบโลก กับแพทย์ทางเลอื ก 18.00 เดนิ หนา้ ประเทศไทย (เชอ่ื มสัญญาณสถานีโทรทัศน์กองทัพบก) กา้ วทนั ไอที เดนิ หน้าประเทศไทย (เชือ่ มสญั ญาณ ททบ.) 18.00 18.30 กรรมาธกิ ารพบประชาชน เจตนารมณ์ เก็บเบี้ยใต้ถนุ ร้าน เสยี งสอื่ สาร เพลงดี เพลินเพลง กฎหมาย การปฏิรปู ศรแี ผ่นดิน ยามเยน็ 19.00 ถา่ ยทอดข่าว สวท. 19.00 19.30 ข่าวภาษาองั กฤษ เรดโิ อ for you 19.30 20.00 ขา่ วในพระราชสานกั (รบั สญั ญาณจาก สวท.) 20.00 รายการจากสถาบนั พระปกเกล้า คุยกันนอกศาล สนทนากับ คลังสมอง วปอ.ฯ 21.00 ปปช. ๓๐ นาที คยุ กบั สตง. ผตู้ รวจการแผน่ ดิน 21.00 พบประชาชน คดีปกครอง คณะกรรมการสิทธฯิ พบประชาชน พบประชาชน ธรรมะกอ่ นนอน 21.30 ธรรมะกอ่ นนอน 22.00 22.00 หมายเหตุ - เวลา 08.00 น. และ 18.00 น. เคารพธงชาติ และ พระบรมราโชวาท - ตั้งแต่เวลา 08.00–21.00 น. นาเสนอขา่ วต้นชั่วโมง/สก๊ปู พิเศษ จากกลุ่มงานขา่ วฯ และสปอตต่างๆ - หากช่วงเวลาใดมีการถ่ายทอดคาสงั่ /ประกาศ/รายการพเิ ศษจาก คสช. หรอื งานที่ได้รบั มอบหมาย สถานีฯ จะดาเนินการถ่ายทอดเสียงจนเสร็จส้ินภารกจิ
วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ เผยแพร่การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อเสนอ ขา่ วสารวิชาการในวงงานรัฐสภา และอน่ื ๆ ทั้งภายใน และต่างประเทศ การสง่ เรอ่ื งลงรฐั สภาสาร ส่งไปที่ บรรณาธิการวารสารรัฐสภาสาร ส�ำ นกั งานเลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร ส�ำ นกั ประชาสมั พนั ธ์ กลมุ่ งานผลติ เอกสาร ถนนประดพิ ทั ธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรงุ เทพฯ ๑๐๔๐๐ โทร. ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๔ - ๕ โทรสาร ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๒ e-mail : [email protected] การสมัครเปน็ สมาชกิ ค่าสมคั รสมาชกิ ปลี ะ ๕๐๐ บาท (๑๒ เลม่ ) ราคาจำ�หนา่ ยเล่มละ ๕๐ บาท (รวมค่าจัดสง่ ) ก�ำ หนดออกเดือนละ ๑ ฉบับ
สวสั ดคี ะ่ ทา่ นผอู้ า่ น กลบั มาพบกนั อกี ครง้ั กบั วารสารรฐั สภาสาร สำ�หรับฉบับน้ี ทางกองบรรณาธิการได้คัดสรรบทความท่ีน่าสนใจมาฝาก ๓ บทความด้วยกัน เรมิ่ ดว้ ย บทความแรก “นติ ปิ รชั ญาแนวเสรีนิยมก้าวหนา้ ของโรแนลด ์ ดวอรก์ น้ิ (Ronald Dworkin) : กฎหมายและการใชก้ ฎหมาย บนรากฐานแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และภารดรภาพทางศีลธรรม” เปน็ บทความทก่ี ลา่ วถงึ แนวความคดิ เกย่ี วกบั กฎหมายของโรแนลด์ มายเลส ดวอรก์ น้ิ นักนิติปรัชญาอเมริกันกันร่วมสมัย ซึ่งได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางในแวดวง นกั กฎหมาย แนวคิดที่ว่าน้ีคือ การเสนอว่า การออกกฎหมายและนำ�กฎหมายไปใช้ ควรผกู โยงกบั ความเสมอภาคและศลี ธรรมดว้ ย ท�ำ ใหเ้ ราฉกุ คดิ ไดว้ า่ บอ่ ยครง้ั ทม่ี กี ารกลา่ ววา่ หากต้องการให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ก็ต้องยอมรับกฎหมายท่ลี ะเมิดสิทธิความเสมอภาค หรือตัดสินคดีความตามตัวบทกฎหมาย แต่ในตอนท้ายกลับกลายเป็นการละเลยต่อการ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักภารดรภาพทางศีลธรรม เป็นเร่ืองสมควรหรือไม่ แนวคิดเก่ียวกับกฎหมายของดวอร์ก้ินเป็นมุมมองที่น่าสนใจ เพราะจุดหมายสุดท้ายคือ การทำ�อย่างไรท่ีจะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือให้สังคมสงบสุข ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของการ ออกกฎหมายทีย่ ึดหลักนติ ิธรรม บทความตอ่ มา “IAPP and UPF as I Know” เป็นบทความสบื เนอ่ื งจากผเู้ ขียน (ดร. บญุ เลิศ ไพรนิ ทร์ อดตี สมาชกิ วุฒิสภาและอดตี สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร) ได้รับเชญิ จาก สหพันธส์ ันตภิ าพสากล (the Universal Peace Federation : UPF) ใหเ้ ข้ารว่ มการประชมุ ของ สมาคมระหว่างประเทศของสมาชิกรัฐสภาเพอื่ สันตภิ าพ – อนิ เดยี (The Conference of International Association of Parliamentarians for Peace – India) ในวนั ท่ี ๗ เมษายน ๒๕๖๐ ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย วัตถุประสงค์ของการนำ�เสนอบทความนี้ ผู้เขียนต้องการแนะนำ�ให้ท่านผู้อ่าน ได้รู้จักกับอีกหนึ่งเวทีระหว่างประเทศของสมาชิกรัฐสภาในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ความทา้ ทายสำ�คัญของโลก อาทิ ความยากจน การกอ่ การรา้ ย ความขัดแย้งทางเชือ้ ชาต ิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั่นคือ สมาคมระหว่างประเทศของสมาชิกรัฐสภา เพอื่ สันตภิ าพ (International Association of Parliamentarians for Peace : IAPP) ทีถ่ ือกำ�เนดิ มาจากการประชุมระหว่างประเทศของสหพันธ์สันติภาพสากล ณ สาธารณรัฐเกาหลี
สมาคมดังกล่าวน้ีมีบทบาทและการดำ�เนินการอย่างไร ตดิ ตามได้ในบทความ สำ�หรับบทความเรื่องสุดท้าย “การเปล่ียนแปลง โครงสรา้ งสงั คมการเมอื งอารเ์ จนตนิ า จากกฎหมายสาเอนซ ์ เปนา ทข่ี ยายสทิ ธกิ ารเลอื กตง้ั ใน ค.ศ. ๑๙๑๒” เปน็ บทความทน่ี �ำ เสนอเรอ่ื งราว ของความพยายามในการแก้ไขปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของ อาร์เจนตนิ า ดว้ ยการออกกฎหมายปฏริ ูปการเลือกตัง้ แต่ผลไมเ่ ปน็ ดังท่คี าดหวงั ในทางกลับกนั ยิง่ ท�ำ ให้อารเ์ จนตินาเผชิญกับปัญหามากขนึ้ ซง่ึ สะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ หากอาศัยกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาเพียงอย่างเดียวโดยไม่ปฏิรูปด้านอื่น ๆ อยา่ งเปน็ ระบบ สดุ ทา้ ยน�ำ มาซงึ่ ความล้มเหลว อย่างไรก็ดี กฎหมายสาเอนซ์ เปนา หรือกฎหมายฉบบั ที่ ๘๘๑๗ ของ อารเ์ จนตนิ า ใน ค.ศ. ๑๙๑๒ ที่ก�ำ หนดให้การลงคะแนนเปน็ ความลบั และบงั คบั ให้ผูช้ าย ทุกคนที่มีอายุ ๑๘ ปี ขึ้นไป ใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนน นำ�ความเปล่ียนแปลงมาสู่ อาร์เจนตนิ า คอื เปน็ การเปดิ โอกาสใหช้ นชัน้ ล่างทส่ี ว่ นใหญเ่ ป็นชนช้นั แรงงานมีตวั ตนและมี บทบาทสำ�คัญในสังคม ส่งผลต่อการเมืองและเศรษฐกิจของอาร์เจนตินานับตั้งแต่ภายหลัง สงครามโลกคร้งั ที่สอง กองบรรณาธิการวารสารรัฐสภาสารหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความท่ีน�ำ เสนอในเล่มนี้ จะถูกใจทา่ นผูอ้ ่าน ท้งั นีเ้ พ่ือพัฒนาวารสารให้ดียิง่ ขึ้น ทางกองบรรณาธกิ ารได้จัดทำ�แบบสำ�รวจ ความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั วารสาร และในอนาคต เราจะเพม่ิ ชอ่ งทางการน�ำ เสนอบทความในรปู แบบ ทเ่ี ขา้ ถงึ และพกพางา่ ยยง่ิ ขน้ึ เชน่ e-book เพอ่ื อ�ำ นวยความสะดวกแกผ่ อู้ า่ น สดุ ทา้ ยน้ี หากทา่ นใด สนใจสง่ บทความเกย่ี วกบั การเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม ลงตพี มิ พใ์ นวารสารรฐั สภาสาร ทางกองบรรณาธกิ าร มีความยินดีเปน็ อยา่ งย่ิง แล้วพบกันใหมฉ่ บับหนา้ บรรณาธิการ
ปีท่ี ๖๕ ฉบบั ที่ ๔ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ Vol.65 No.4 June 2017 ๙ นติ ปิ รชั ญาแนวเสรนี ยิ มกา้ วหนา้ ของโรแนลด์ ดวอรก์ น้ิ (Ronald Dworkin): กฎหมายและการใชก้ ฎหมาย บนรากฐานแหง่ ศกั ด์ศิ รคี วามเปน็ มนุษย์และภราดรภาพ ทางศลี ธรรม จรญั โฆษณานนั ท ์ IAPP AND UPF AS I KNOW ๕๑ ดร. บญุ เลศิ ไพรนิ ทร์ การเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งสังคมการเมืองอาร์เจนตินา ๖๓ จากกฎหมายสาเอนซ์ เปนา ทข่ี ยายสทิ ธกิ ารเลอื กตง้ั ใน ค.ศ. ๑๙๑๒ ธโสธร ตูท้ องคำ�
9 จรญั โฆษณานนั ท*์ แหง่ ความรกั ๑๔ กมุ ภาพนั ธ์ ของทกุ ปี ยอ่ มเปน็ วาระหนง่ึ แหง่ ความสขุ หรอื การเฉลมิ ฉลองทส่ี �ำ คญั ในโลกตะวนั ตก แต่ ๑๔ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ กลบั เปน็ วันแห่งความโศกสลดหน่ึงในวงการนิติศาสตร์สากลจากการสูญเสียโรแนลด ์ มายเลส ดวอรก์ น้ิ (Ronald Myles Dworkin : ๑๑ ธนั วาคม ๒๔๗๔ - ๑๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๖) นกั นติ ปิ รชั ญาอเมรกิ นั รว่ มสมยั ทย่ี ง่ิ ใหญค่ นหนง่ึ ของโลก ผรู้ เิ รม่ิ วพิ ากษโ์ ตแ้ ยง้ อยา่ งแขง็ ขนั ตอ่ ทฤษฎปี ฏฐิ านนยิ มทางกฎหมาย (Legal Positvism) สมยั ใหมข่ องฮารท์ (H.L.A. Hart) * รองศาสตราจารยป์ ระจ�ำ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง
ผู้เป็นต้นแบบบุกเบิกแนวความคิดท่ีบางฝ่ายถือว่าเป็นทฤษฎีกฎหมายแนวท่ีสามระหว่าง ปรัชญากฎหมายธรรมชาติและปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ขณะท่ีหลายฝ่ายจัดให้เป็น ทฤษฎกี ฎหมายธรรมชาตแิ นวตคี วามหมาย (Interpretive version of natural law theory) ผยู้ นื ยนั แกรง่ กลา้ ในทฤษฎกี ฎหมายซง่ึ เนน้ ความส�ำ คญั อยา่ งยง่ิ ของสทิ ธเิ หนอื ขอ้ พจิ ารณา ทางนโยบายหรอื ผลลพั ธเ์ ชงิ อรรถประโยชน ์ ขณะเดยี วกนั ดวอรก์ น้ิ ยงั เปน็ นกั นติ ปิ รชั ญา ท่ีมีความคิดแม่บทใหญ่ซ่ึงยืนยันความสำ�คัญของศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ในฐานะเป็น ศูนยก์ ลางแหง่ ระบบศลี ธรรมอนั พงึ ยดึ มน่ั ส�ำ หรบั ผพู้ ิพากษาและบคุ คลท่วั ไป และเหนอื สง่ิ อน่ื ใด คอื ความเปน็ สามญั ชนทจ่ี รงิ จงั ตอ่ ชวี ติ และเปย่ี มศรทั ธาในการมชี วี ติ ทด่ี งี าม ซง่ึ เขา เชอ่ื วา่ ลว้ นมศี กั ดศ์ิ รแี หง่ ความเปน็ มนษุ ยเ์ ทา่ เทยี มกนั พรอ้ มๆ กบั ความรบั ผดิ ชอบแหง่ ชวี ติ ในการแปรเปลย่ี นใหศ้ กั ยภาพแหง่ ความเปน็ มนษุ ยท์ ม่ี ศี กั ดศ์ิ รปี รากฏขน้ึ ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ ประวตั ชิ วี ติ และงานเขยี นส�ำ คญั ๑ ดวอรก์ น้ิ เกดิ ทเ่ี มอื งวอรเ์ ซสเทอร์ (Worcester) รฐั แมสสาชเู ซทส์ (Massachusetts) สหรฐั อเมรกิ า ส�ำ เรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรดี ว้ ยผลการเรยี นดเี ลศิ กลา่ วคอื ไดเ้ กรด A ลว้ นตลอดการเรยี น ๔ ปี จากมหาวทิ ยาลยั ฮารว์ ารด์ (Harvard) และมหาวทิ ยาลยั ออกซฟอรด์ (Oxford) ทซ่ี ง่ึ เขาน�ำ เสนอรายงานชน้ิ สดุ ทา้ ยดา้ นนิติปรัชญากอ่ นส�ำ เรจ็ การศึกษาซ่งึ มเี น้อื หา วพิ ากษว์ จิ ารณท์ ฤษฎกี ฎหมายของฮารท์ (H.L.A.Hart) อยา่ งทรงพลงั พรอ้ มกบั ปรญิ ญา ระดบั บณั ฑติ ทางกฎหมาย จากคณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ฮารว์ ารด์ ๑ Godfrey Hodgson, “Ronald Dworkin Obituary,” The Guardian (14 February 2013) สบื คน้ จาก http://www.guardian.co.uk/law/2013/feb/14/ronald-dworkin ; Justice Peter Applegarth, “Taking Life Seriously : the Legacy of Ronald Dworkin,” สบื คน้ จาก http://www.hearsay.org.au/index. php?option=com_content&task=view&id=1480&Ite 10
11 หลงั ส�ำ เรจ็ การศกึ ษา ดวอรก์ น้ิ เรม่ิ งานเปน็ เสมยี นศาล ชว่ ยงานแฮนด์ (Judge Learned Hand) ผู้พิพากษาท่ีมีช่ือเสียงโดดเด่นย่ิงท่านหน่ึง ระหว่างทำ�งาน ดวอร์ก้ิน พบรักและแต่งงานกับเบ็ทซ่ี (Betsy Ross) ต่อมาได้เข้าทำ�งานในสำ�นักงานกฎหมาย Sullivan & Cromwell ซง่ึ ท�ำ ใหต้ อ้ งเดนิ ทางไปยงั ทห่ี า่ งไกลตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหค้ �ำ ปรกึ ษาแกล่ กู ความ แต่เน่ืองจากภรรยาให้เลือกระหว่างหางานทำ�ใหม่หรือหาภรรยาคนใหม่ จึงเกิดความ เปลย่ี นแปลงชวี ติ การท�ำ งานของดวอรก์ น้ิ เขาจงึ กา้ วเขา้ มาสสู่ ายนกั วชิ าการ โดยเรม่ิ จาก การสอนหนังสือท่ีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล (Yale) จนกระท่ังได้รับแต่งต้ังเป็น ศาสตราจารยท์ างนติ ศิ าสตร ์ (ProfessorofJurisprudence) ทม่ี หาวทิ ยาลยั ออกซฟอรด์ ในปี คศ.๑๙๖๙ จากการสนับสนุนรับรองโดยฮาร์ท (H.L.A.Hart) ซ่ึงเกษียณจาก ตำ�แหน่งศาสตราจารย์ดังกล่าว ด้วยวัยเพียง ๓๗ ปี ซ่ึงนับเป็นการรับตำ�แหน่งสำ�คัญ ทม่ี อี ายนุ อ้ ยทส่ี ดุ คนหนง่ึ เทา่ ทม่ี กี ารแตง่ ตง้ั ของออกซฟอรด์ ชว่ งชวี ติ ถดั มา ดวอรก์ น้ิ ยงั ไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ ศาสตราจารยใ์ นมหาวทิ ยาลยั นวิ ยอรค์ (New York) และมหาวทิ ยาลยั ลอนดอน (University College London) ในสถานะศาสตราจารย์ด้านปรัชญาและปรัชญากฎหมายของ มหาวทิ ยาลยั ออกซฟอรด์ (Oxford) และมหาวทิ ยาลยั นวิ ยอรค์ (New York) และเสยี ชวี ติ ดว้ ยโรคเมด็ โลหติ ขาวผดิ ปกติ (Leukaemia) ทล่ี อนดอน ประเทศองั กฤษ ดว้ ยวยั ๘๑ ปี ตวั อยา่ งผลงานทางวชิ าการทส่ี �ำ คญั ของดวอรก์ น้ิ ไดแ้ ก ่ Taking Rights Seriously (๑๙๗๗), A Matter of Principle (๑๙๘๕), Law’s Empire (๑๙๘๖), Life’s Dominion (๑๙๙๓), Freedom ‘s Law (๑๙๙๖), Sovereign Virtue (๒๐๐๐), Justice in Robes (๒๐๐๖), Justice for Hedgehogs (๒๐๑๑) นอกเหนอื จากงานเขยี นทว่ี พิ ากษโ์ ตแ้ ยง้ ทฤษฎปี ฏฐิ าน นิยมทางกฎหมาย-ทฤษฎีอรรถประโยชน์นิยม และการยนื หยัดความส�ำ คัญของศลี ธรรม- ศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ยใ์ นกฎหมาย ชว่ งสบิ ปสี ดุ ทา้ ยของชวี ติ ดวอรก์ น้ิ มผี ลงานโดดเดน่ ทใ่ี หค้ วามส�ำ คญั ตอ่ คณุ คา่ ของอิสรภาพ และความเสมอภาค รวมท้ังข้อถกเถียงว่าชีวิตท่ีดี (Good life) คืออะไร อะไรทำ�ให้เกิดชีวิตท่ีดีและการใช้ชีวิตอย่างดีงาม (Living well) งานเขียนสำ�คัญของ เขาหลายๆ เรื่องได้รับการแปลเผยแพร่ในประเทศต่างๆ ของยุโรป รวมท้ังในญี่ปุ่นและจีน นอกเหนือจากการสอน/วิจัยต่างๆ ดวอร์ก้ินยังมีบทบาทเป็นนักวิจารณ์/ปัญญาชน
สาธารณะทแ่ี ขง็ ขนั ตอ่ ประเดน็ ปญั หารว่ มสมยั ทางการเมอื ง สทิ ธมิ นษุ ยชนและกฎหมาย / รฐั ธรรมนญู โดยเฉพาะตอ่ ค�ำ พพิ ากษาศาลสงู สดุ ของอเมรกิ าซง่ึ มปี ญั หาความไมช่ อบธรรม ในหลายๆ กรณี จดุ ยนื ทางสงั คมการเมอื งแบบเสรนี ยิ มกา้ วหนา้ ความเป็นเสรีนิยม/ซ้ายเสรีนิยม (Left-liberal) หรือนักประชาธิปไตยเสรีนิยม (Liberal Democrat) ของดวอรก์ น้ิ สะทอ้ นจากการยกยอ่ งชน่ื ชมบคุ คลทเ่ี ปน็ ตวั แบบส�ำ คญั อยา่ งอดตี ประธานาธบิ ดรี สุ เวลท์ (Franklin D. Roosevelt) ในฐานะผผู้ ลกั ดนั การปฏริ ปู สงั คม ใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรมในนามโครงการ New Deal ชว่ งตน้ ศตวรรษท ่ี ๒๐ ความเชอ่ื มน่ั ในอุดมการณ์เสรีนิยมก้าวหน้าดังกล่าวจัดเป็นแรงจูงใจสำ�คัญเบื้องหลังทฤษฎีกฎหมาย ของดวอร์กิ้น กฎหมายและการปรับใช้กฎหมายซ่ึงเป็นสองส่ิงท่ีไม่อาจแยกจากกัน ในทรรศนะของดวอรก์ น้ิ จงึ มฐี านะเปน็ เครอ่ื งมอื อนั ส�ำ คญั หนง่ึ ในการบรรลจุ ดุ หมายเสรนี ยิ ม๒ น่าสังเกตว่าความเป็นซ้ายเสรีนิยม/เสรีนิยมก้าวหน้าของดวอร์ก้ินมีลักษณะ คล้ายคลึงกับแนวคิดของรอลส์ (John Rawls:๑๙๒๑-๒๐๐๒) นักปรัชญาอเมริกัน ร่วมสมัยผู้ย่ิงใหญ่คนหน่ึง ดังดวอร์ก้ินเช่ือม่ันในแนวคิดเสมอภาคนิยมแนวเสรี (Liberal Egalitarianism) หรือความคิดปัจเจกชนนิยมแนวเสมอภาค (Egalitarian Individualism) ซ่ึงเน้นความเช่ือมโยงระหว่างความเสมอภาคและแนวคิดปัจเจกชนนิยมเข้าด้วยกัน ปัจเจกชนนิยมแนวเสมอภาคในทรรศนะของดวอร์ก้ินประกอบด้วยหลักการสำ�คัญ ๔ ประการ กลา่ วคอื ๑. หลกั ความเสมอภาคในการแบง่ ปนั ทรพั ยากร ๒. สทิ ธิ (เชงิ นามธรรม) ในความมอี สิ ระทางศลี ธรรม (Moral Independence) ซง่ึ ปกปอ้ งคมุ้ ครองปจั เจกบคุ คลจากการลว่ งล�ำ้ ทางการเมอื งโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าต ๒ Ken Kress & Scott W.Anderson, “Dworkin in Transition,” American Journal of Comparative Law, 37(1989): 383. 12
13 ๓. หลักความยุติธรรมในกฎหมาย ซ่ึงให้หลักประกันแก่ประชาชนต่อการมี สทิ ธใิ นระบบกฎหมายทม่ี ี “หลกั การทางศลี ธรรม” อนั เปน็ เอกภาพชดั เจน ๔. แนวคดิ เกย่ี วกบั สง่ิ ทด่ี ที างสงั คม (Social Good) ตอ้ งอยภู่ ายใต/้ ถกู จ�ำ กดั โดยสิทธิอันกล่าวมาก่อนหน้า โดยถือว่าสิทธิมีนำ้�หนักความสำ�คัญเหนือกว่า (Trump) ความใสใ่ จตอ่ อรรถประโยชน์ (Utilitarian concerns) ทว่ั ไปทข่ี บั เคลอ่ื น/อยเู่ บอ้ื งหลงั แนวคดิ เกย่ี วกบั สง่ิ ทด่ี ที างสงั คม๓ หลักการสำ�คัญท้งั ส่ปี ระการ จดั เปน็ รายละเอียดรวบยอดของแนวคิดเสรนี ิยม กา้ วหนา้ ของดวอรก์ น้ิ ซง่ึ ลกึ ๆ เปน็ การหลอมรวมหลกั คณุ คา่ อสิ รภาพและความเสมอภาค เข้าด้วยกัน ดังเขาไม่เช่ือว่าอิสรภาพของมนุษย์จะดำ�รงอยู่ได้โดดเด่ียวตัดขาดโดยส้ินเชิง จากหลักความเสมอภาคเท่าเทียม โดยพ้ืนฐานแล้ว ดวอร์ก้ินเช่ือม่ันว่าสิทธิในความมี อสิ รภาพ (Right to liberty) มไิ ดข้ ดั แยง้ กบั สทิ ธใิ นความเสมอภาคเทา่ เทยี ม (Right to equality) ซง่ึ ถอื เปน็ แกน่ แกนของสงั คม กระทง่ั สทิ ธสิ �ำ คญั ตา่ งๆ อนั ปรากฏใน “บญั ญตั แิ หง่ สทิ ธ”ิ ตามรัฐธรรมนูญอเมริกาล้วนมีท่มี าจากสิทธิในความเสมอภาค มิใช่เกิดจากสิทธิในความมีอิสรภาพ ดวอร์ก้ินมุ่งโต้แย้งแนวคิดอันตรายซ่ึงแพร่หลายกว้างขวางท่ีเช่ือว่าลัทธิปัจเจกชนนิยม เป็นศัตรูของความเสมอภาค ความคิดน้ีจัดเป็นความผิดพลาดของท้ังฝ่ายอิสรภาพ นยิ ม (Libertarians) ซง่ึ เกลยี ดชงั ความเสมอภาค และฝา่ ยทเ่ี ชอ่ื เรอ่ื งความเสมอภาคของมนษุ ย์ (Egalitarian) ซ่ึงเกลียดชังอิสรภาพ โดยแต่ละฝ่ายต่างโจมตีทำ�ลายล้างอุดมคติของตน ภายใตช้ อ่ื เรยี กอดุ มคตอิ น่ื ๔ ภายใตพ้ น้ื ฐานความคดิ เชน่ น ้ี เรายอ่ มเหน็ คลอ้ ยไดไ้ มย่ ากวา่ การปรากฏของ เสรีภาพของมนุษยล์ ้วนตอ้ งการปจั จยั สนบั สนนุ เชิงทรพั ยากร เงิน วัตถหุ รอื ปจั จยั จำ�เปน็ ในการมีชีวิตอยู่รอดของมนุษย์ต่างๆ ดังตัวอย่าง เสรีภาพในการลงคะแนนเลือกต้ัง ๓ Ibid., p.338. ๔ Ronald Dworkin, Taking Rights Seriously, (London: Duckworth, 1978), pp.xii, 273 - 274.
ของบคุ คลจะปรากฏเปน็ จรงิ ตอ่ เมอ่ื ผใู้ ชส้ ทิ ธมิ อี าหารการกนิ ไมอ่ ดอยาก มสี ขุ ภาพรา่ งกาย ทแ่ี ขง็ แรงระดบั หนง่ึ เพยี งพอตอ่ การเดนิ ทางไปเลอื กตง้ั มเี วลาวา่ ง หรอื มขี อ้ มลู ความร/ู้ การศกึ ษา (ระดับหน่ึง) เก่ียวกับความสำ�คัญของประชาธิปไตยหรือคุณสมบัติอันเหมาะสมของผู้ท่ี ตนต้ังใจจะไปเลือก อิสรภาพจึงมิใช่เป็นเพียงแค่หลักคุณค่าเชิงกระบวนการ (Process) แตย่ งั บรรจดุ ว้ ย “แกน่ สาระ” เชงิ วตั ถธุ รรม (Substance) อนั จ�ำ เปน็ ตอ่ การมชี วี ติ อยรู่ อดดว้ ย สทิ ธใิ นความเสมอภาคของมนษุ ย์ และการใสใ่ จตอ่ กฎหมายอยา่ งจรงิ จงั การผูกโยงหลักอิสรภาพและเสมอภาคข้างต้นเก่ียวพันอย่างลึกซ้ึงกับแนวคิด เร่ืองสิทธิในความเสมอภาคของดวอร์ก้ิน ซ่ึงจัดเป็นหัวใจสำ�คัญในปรัชญาการเมืองแบบ เสรีนิยมก้าวหน้าของเขาโดยมีสายสัมพันธ์กับแนวคิดของรอลส์ (John Rawls) เร่ือง ความยตุ ธิ รรมในแงค่ วามเทย่ี งธรรม (Justice as Fairness) หลกั ความยตุ ธิ รรมของรอลส์ สรุปอนุมานข้ึนจากการเลือกของมนุษย์ในสถานการณ์สมมุติซ่ึงไตร่ตรองด้วยเหตุผล และค�ำ นงึ ถงึ ผลประโยชนต์ นเองภายใต้ “สถานะเรม่ิ ตน้ (Original position) ทป่ี กคลมุ ดว้ ย มา่ นแหง่ อวชิ ชา/ความไมร่ ู้ (Veil of ignorance)” เกย่ี วกบั ธรรมชาตขิ องตนดา้ นความสามารถ และสถานะทางครอบครวั บทสรปุ ทา้ ยสดุ สองประการของหลกั ความยตุ ธิ รรมน้ ี ประกอบดว้ ย หลักความเสมอภาคแห่งอิสรภาพของบุคคลทุกคนและหลักความเสมอภาคแห่งโอกาส ทางสงั คม โดยทค่ี วามไมเ่ สมอภาคในอ�ำ นาจ ความมง่ั คง่ั รายได ้ และทรพั ยากรอนั จ�ำ เปน็ ต่อชีวิตอ่ืนๆ ต้องไม่ปรากฏเว้นแต่เม่ือความไม่เสมอภาคน้ันๆ จักเป็นประโยชน์ อยา่ งสมบรู ณต์ อ่ สมาชกิ ทย่ี ากไรท้ ส่ี ดุ ของสงั คม๕ ในทรรศนะของดวอร์ก้ิน หลักความยุติธรรมของรอลส์ดังกล่าว เน้นความ สำ�คัญอย่างย่ิงต่อความเสมอภาคอันนำ�ไปสู่การยืนยันต่อการดำ�รงอยู่ของสิทธิในความ เสมอภาค (Right to equality) ของมนษุ ยใ์ นฐานะเปน็ สทิ ธพิ น้ื ฐานอยา่ งยง่ิ ของสงั คมทเ่ี ปน็ ธรรม โดยท่ีสาระรายละเอียดของสิทธิในความเสมอภาคหมายถึงสิทธิของประชาชนท่ีจะได้รับ ความใส่ใจเป็นห่วงใยและเคารพนับถืออย่างเท่าเทียมกัน (Right to equal concern ๕ ศกึ ษารายละเอยี ดใน John Rawls, A Theory of Justice, (Oxford: Oxford University Press,1973). 14
15 and respect) ในแงน่ ร้ี ฐั บาลตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ ผอู้ ยใู่ ตป้ กครองดว้ ยความใสใ่ จเปน็ หว่ งใยในฐานะ ท่ีเขาเป็นมนุษย์ซ่ึงอาจมีความทุกข์ความคับข้องใจ และปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความ เคารพนับถือในแง่ท่เี ขาเป็นมนุษย์ ซ่งึ อาจกำ�หนดและกระทำ�ตามอย่างมีสติปัญญาว่าเขา ควรมีชีวิตอย่อู ย่างไร ข้อสำ�คัญคือรัฐบาลต้องไม่เพียงปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความใส่ใจ เป็นห่วงใยและเคารพนับถือเท่าน้ัน แต่ต้องเป็นความใส่ใจห่วงใยและเคารพนับถือ อย่างเสมอภาคเทา่ เทยี มกนั ๖ เมอ่ื โยงกลบั สทู่ ฤษฎคี วามยตุ ธิ รรมของรอลส ์ ดวอรก์ น้ิ เชอ่ื วา่ หลกั ความยตุ ธิ รรมในแงค่ วามเทย่ี งธรรมตง้ั อยบู่ นสมมตฐิ านแหง่ สทิ ธธิ รรมชาตใิ นความเสมอภาค ของมนุษย์ท่ีจะได้รับความใส่ใจและการเคารพนับถือ ความศรัทธาเช่ือม่ันในสิทธิ ดังกล่าวทำ�ให้เขายืนยันว่าสิทธิท่ีจะได้รับความใส่ใจห่วงใยและเคารพนับถืออย่างเสมอภาค จดั เปน็ รากฐานของจารตี ความคดิ เกย่ี วกบั สทิ ธขิ องฝา่ ยแองโกลอเมรกิ นั (Anglo-American) อกี ทง้ั เปน็ แกนกลางของความคดิ เสรนี ยิ มซง่ึ มฐี านะเปน็ ปรชั ญาการเมอื งแบบหนง่ึ ดวอรก์ น้ิ เชอ่ื มน่ั วา่ ภายใตน้ โยบายทม่ี ลี กั ษณะเฉพาะอนั เกย่ี วโยงกบั ลทั ธเิ สรนี ยิ ม อาท ิ โครงการ New Deal, Great Society หรือ การปฏิบัติชดเชยช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสเพ่ือยืนยัน ความเทา่ เทยี ม (Affirmative action) ลว้ นมแี นวคดิ ทางการเมอื งอนั ทรงพลงั หนนุ หลงั ซง่ึ ตง้ั อยู่ บนฐานของสทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั ความใสใ่ จเปน็ หว่ งใยและเคารพนบั ถอื อยา่ งเสมอภาค กลา่ วโดยทว่ั ไป เสรนี ยิ มหรอื สทิ ธดิ งั กลา่ วก�ำ หนดใหร้ ฐั บาลปฏบิ ตั ติ อ่ ประชาชนทกุ คนอยา่ งมอี สิ รเสรแี ละมี ศักด์ศิ รีอันเท่าเทียมกัน เขาเช่อื ว่าสังคมท่เี ท่ยี งธรรมต้องต้งั อย่บู นรากฐานแห่งการเคารพ ตอ่ สทิ ธ ิ (Rights based society) และสทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั ความใสใ่ จเปน็ หว่ งใยและเคารพนบั ถอื อย่างเสมอภาคจะประกันปกป้องไม่ให้เกิดข้อบกพร่องเสียหายตามข้อวิพากษ์จากท้งั ฝ่าย ซ้ายและขวาท่มี ักมองเหมือนกันว่าการเน้นความส�ำ คัญของสิทธิจะเส่อื มทรุดส่ลู ัทธิปัจเจก ชนนิยมท่เี อาแต่เน้นความอยากเป็นเจ้าของครอบครองส่งิ ต่างๆและยึดถือเอาตัวเองเป็น ศนู ยก์ ลาง๗ ๖ Ronald Dworkin, op. cit., pp. xii, 272-273. ๗ อา้ งใน Jack Donnelly, “Book Review A Matter of Principle,” Human Rights Quarterly 8,2 (May 1986) : 341.
ความใสใ่ จตอ่ สทิ ธอิ ยา่ งจรงิ จงั ของดวอรก์ น้ิ เปน็ เพราะความเชอ่ื มน่ั วา่ ศกั ดศ์ิ รี แห่งความเป็นมนุษย์ สิทธิ/สิทธิของปัจเจกบุคคลเป็นแกนสำ�คัญของรัฐเสรีนิยมและถือ เป็นองค์ประกอบอันสำ�คัญจำ�เป็นในกฎเกณฑ์พ้ืนฐาน (Ground rules) แห่งกฎหมาย โดยเฉพาะเม่อื เราไม่ต้องการเห็นกฎหมายเป็นเพียงแค่กฎหมายของผ้ชู นะ (Conqueror’s law) ซง่ึ ชนชน้ั ทม่ี อี �ำ นาจครอบง�ำ บญั ญตั ขิ น้ึ ใชเ้ หนอื ผอู้ อ่ นแอดอ้ ยอ�ำ นาจกวา่ ตามทม่ี ารก์ ซ์ (Karl Marx) เชอ่ื วา่ เปน็ ลกั ษณะทต่ี อ้ งเปน็ ไปของกฎหมายในสงั คมทนุ นยิ ม ในทรรศนะของ ดวอรก์ น้ิ กฎหมายโดยภาพรวมซง่ึ สง่ เสรมิ นโยบายทางสงั คม เศรษฐกจิ และตา่ งประเทศ ไม่สามารถเป็นกลางได้ แต่เน้ือหาส่วนใหญ่สุดต้องสะท้อนความคิดของคนส่วนใหญ่ ตอ่ สง่ิ ทเ่ี ปน็ คุณความดีร่วม (Common good) ในแงน่ ้เี องทส่ี ถาบันแหง่ สิทธิมีความสำ�คัญ อย่างย่ิงเน่ืองจากเป็นตัวแทนแห่งคำ�ม่ันสัญญาของฝ่ายข้างมากในสังคมว่าจะเคารพ นับถือต่อศักด์ิศรีและความเสมอภาคของฝ่ายข้างน้อย โดยท่ีสิทธิจำ�เป็นต้องมีการใช้ อย่างสุจริตต่อคนกล่มุ น้อยดังกล่าว รัฐบาลไม่อาจสถาปนาการเคารพนับถือต่อกฎหมายได้ โดยปราศจากการกำ�หนดให้มีข้อเรียกร้องเก่ียวกับสิทธิบางประการท่ีจำ�เป็นต้องได้รับ การเคารพนับถือในกฎหมาย รัฐบาลไม่อาจกระทำ�การดังกล่าวได้หากไม่ใส่ใจส่ิงสำ�คัญ (สทิ ธ)ิ ทใ่ี ชแ้ ยกความแตกตา่ งระหวา่ งกฎหมายและความปา่ เถอ่ื นโหดเหย้ี มทป่ี รากฏในรปู ค�ำ สง่ั บงั คบั ตา่ งๆ (Ordered brutality) และจากเหตผุ ลส�ำ คญั เหลา่ นเ้ี องทด่ี วอรก์ น้ิ ยนื ยนั วา่ หากรัฐบาลไม่ใส่ใจต่อสิทธิอย่างจริงจัง ย่อมหมายถึงการไม่ใส่ใจต่อกฎหมาย (อนั แทจ้ รงิ ) อยา่ งจรงิ จงั เชน่ กนั ๘ ขณะเดยี วกนั บคุ คลใดกต็ ามซง่ึ ประกาศตวั วา่ ใสใ่ จตอ่ สทิ ธิ อย่างจริงจังจะต้องยอมรับในความคิดสำ�คัญสองประการ ประการแรก คือ ความคิด อนั เปย่ี มพลงั เรอ่ื งศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ย ์ (อนั เทา่ เทยี มกนั ) และประการทส่ี อง คอื ความคดิ ดา้ นความเสมอภาคทางการเมอื ง/สทิ ธใิ นความเสมอภาค ซง่ึ เชอ่ื มน่ั วา่ สมาชกิ ทอ่ี อ่ นแอกวา่ ในชุมชนทางการเมือง/สังคมมีสิทธิท่ีจะได้รับความใส่ใจเป็นห่วงใยและความเคารพ นับถือจากรัฐบาลอย่างเดียวกับสมาชิกสังคมผู้มีอำ�นาจมากกว่า ทำ�นองเดียวกับการท่ี ฝา่ ยขา้ งมากในสงั คมใหค้ �ำ มน่ั สญั ญาวา่ จะเคารพตอ่ ศกั ดศ์ิ รแี ละความเสมอภาคเทา่ เทยี มกนั ของฝา่ ยขา้ งนอ้ ยในสงั คม๙ ๘ Ronald Dworkin, Taking Rights Seriously, p. 205. ๙ Ibid., pp.198, 205. 16
17 นา่ สงั เกตวา่ โดยเนอ้ื แทข้ องสทิ ธหิ รอื สงั คมแหง่ สทิ ธขิ องดวอรก์ น้ิ มอี งคป์ ระกอบ ของ “หลักการ” (Principle) เชิงศีลธรรมอันเข้มข้นซ่ึงเน้นความสำ�คัญของหลักคุณค่า เชิงนามธรรม (ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ - ความเสมอภาคเท่าเทียม) มากกว่าผลลัพธ์ เชงิ วตั ถธุ รรมหรอื ความมง่ั คง่ั มน่ั คงหยาบๆ เชงิ เศรษฐกจิ ในแงน่ ส้ี ทิ ธหิ รอื หลกั การเชงิ นามธรรม จงึ แตกตา่ งหรอื มคี วามส�ำ คญั มากกวา่ อรรถประโยชนท์ ว่ั ไป (Utility) หรอื นโยบาย (Policy) ทางสังคมท่ีต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของการขยาย/ปกป้องอรรถประโยชน์หรือสวัสดิสุขส่วนรวม ซ่ึงมีข้อจำ�กัด/ปัญหาท้ังในเชิงการนิยามความหมาย การตรวจวัดหรือความแตกต่าง ในความตอ้ งการ/ความชน่ื ชอบสง่ิ ตา่ งๆ ของบคุ คลทไ่ี มเ่ หมอื นกนั ๑๐ รวมความแลว้ สทิ ธจิ งึ มีนำ�้ หนักความสำ�คัญหรือเป็นเสมือนไพ่ตาย (Trump) ท่มี ีสถานะเหนือข้อพิจารณาด้าน “นโยบาย” หรืออรรถประโยชน์ในสถานการณ์ปกติ ดังน้ัน แม้จะมีข้อแนะนำ�เชิง อรรถประโยชนห์ รอื นโยบายทางสงั คมใหก้ ระท�ำ ในทางตรงขา้ ม บคุ คลยงั คงตอ้ งมสี ทิ ธใิ นสง่ิ อนั มีคุณค่าในเร่ืองท่ีมีปัญหา สิทธิกลายเป็นส่ิงท่ีมีความสำ�คัญเหนือกว่าเสมอโดยพ้ืนฐาน ดังน้นั รัฐบาลจึงมีหน้าท่สี �ำ คัญพ้นื ฐานในการปกป้องและจัดหาเง่อื นไขต่างๆ ท่จี ะทำ�ให้ ประชาชนเข้าถึงสิทธิพ้ืนฐานต่างๆ ได้ในความเป็นจริง ในความคิดของดวอร์ก้ิน การใสใ่ จใหค้ วามส�ำ คญั ตอ่ สทิ ธอิ ยา่ งจรงิ จงั คอื การปกปอ้ งความส�ำ คญั โดยพน้ื ฐานของสทิ ธิ ท่อี ยู่เหนือกว่าเร่อื งนโยบายหรืออรรถประโยชน ์ รวมท้งั เป็นการรับรองว่าข้อวินิจฉัยทาง กฎหมายและการเมอื งซง่ึ เกย่ี วขอ้ งกบั สทิ ธพิ น้ื ฐานตา่ งๆ จกั กระท�ำ ขน้ึ ภายใตค้ วามสำ�คญั ของ “หลกั การ” ไมใ่ ช ่ “นโยบาย” ทางเศรษฐกจิ สงั คมอนั มจี ดุ หมายทค่ี ลมุ เครอื นา่ สังเกตเพม่ิ เติมว่า แมส้ ิทธิจะเปน็ หัวใจสำ�คญั หน่งึ ในงานเขยี นของดวอร์ก้นิ มาแตแ่ รกเรม่ิ เรากลบั ไมค่ อ่ ยเหน็ การกลา่ วอา้ งถงึ สทิ ธมิ นษุ ยชนในขอ้ เขยี นของเขาโดยตรง ในขณะท่ีนัยสำ�คัญของสิทธิในความเสมอภาคหรือสิทธิท่ีจะได้รับความใส่ใจเป็นห่วงใย และเคารพนบั ถอื อยา่ งเทา่ เทยี ม มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั หลกั ศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ยอ์ ยา่ งลกึ ซง้ึ ไม่ว่าจะมองการหลีกเล่ียงภาษาเก่ียวกับสิทธิมนุษยชนโดยตรงว่า อาจเป็นไปเพราะ ๑๐ Ibid., pp. 81-105, 232, 239, 274.
ไมต่ อ้ งการเขา้ ไปพวั พนั กบั ปญั หายงุ่ ยาก ทง้ั ในทางทฤษฎแี ละการปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั สทิ ธมิ นษุ ยชน ทส่ี ดุ แลว้ เรายากจะปฏเิ สธไดว้ า่ งานเขยี นของดวอรก์ น้ิ มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั ทฤษฎสี ทิ ธิ มนุษยชนและเป็นงานเขียนเชิงปรัชญาท่ีสำ�คัญมากท่ีสุดช้ินหน่ึงในการทำ�ความเข้าใจต่อ สทิ ธมิ นษุ ยชน๑๑ ขอ้ นา่ สนใจเพม่ิ เตมิ คอื หลกั สทิ ธใิ นความเสมอภาคขา้ งตน้ อนั สมั พนั ธก์ บั หลกั ความยุติธรรมในแง่ความเท่ียงธรรมท่ีเคยกล่าวมาก่อนหน้า ลึกๆ แล้วยังต้ังอยู่บนหลัก ภราดรภาพ (Fraternity) ทางศลี ธรรมอนั ละเอยี ดออ่ น ซง่ึ ถอื วา่ ชวี ติ ทง้ั หลายในสงั คมลว้ นเปน็ เสมือนพ่ีน้องท่ีพึงมีความรักใคร่เป็นห่วงใยและเคารพนับถือเสมอเหมือนกัน ดวอร์ก้ิน เชอ่ื วา่ หลกั คณุ คา่ แหง่ ภราดรภาพเชน่ นเ้ี องทจ่ี ดั เปน็ ค�ำ ตอบของ “การเมอื งทด่ี ที ส่ี ดุ ” (Best politics) อนั จดั เปน็ องคป์ ระกอบ/จดุ หมายแหง่ กฎหมายอนั ถกู ตอ้ งเทย่ี งธรรม๑๒ ฐานความคดิ ส�ำ คญั เชงิ ปรชั ญา ในภาพรวมเบอ้ื งต้น สมควรรบั รวู้ ่าทฤษฎกี ฎหมายของดวอรก์ น้ิ ต้งั อย่บู นฐาน ความคิดเชิงปรัชญาแบบวัตถุวิสัยนิยม/ภววิสัยนิยมทางศีลธรรม (Moral objectivism)๑๓ ซ่ึงเช่ือม่ันต่อการดำ�รงอยู่ของศีลธรรม/ความจริงทางศีลธรรม (Moral truth) ท่ีถูกต้อง แน่นอนชัดเจนซ่งึ ไม่ว่าบุคคลใดๆ ต่างต้องยอมรับราวกับเป็นความจริงท่เี ห็นประจักษ์ใน ตวั เอง (Self evident truth) เชน่ เดยี วกบั การยดึ ถอื วา่ มาตรฐานทางศลี ธรรมหรอื ความยตุ ธิ รรม (ท่แี ท้จริง) เป็นอิสระจากการตัดสินใจของมนุษย์หรือระเบียบแบบแผนใดๆ ฐานความคิดน้ี จะถกู หรอื ผดิ ยอ่ มเปน็ อกี กรณหี นง่ึ ดงั ปรากฏคคู่ วามคดิ ตรงขา้ มในนามอตั วสิ ยั นยิ มทางศลี ธรรม (Moral subjectivism) ทเ่ี ชอ่ื วา่ ทศั นคตทิ างศลี ธรรมลว้ นเปน็ เรอ่ื งความพงึ พอใจสว่ นบคุ คล ซง่ึ เชอ่ื มโยงไปถงึ แนวคดิ กงั ขาคตทิ างศลี ธรรม (Moral skepticism) ทต่ี ง้ั ขอ้ สงสยั หรอื ไมเ่ ชอ่ื ๑๑ Jack Donnelly, “Book Review A Matter of Principle”, op.cit., p. 342. ๑๒ J. W. Harris, Legal Philosophies, (London: Butterworths, 1997), pp. 192 - 193. ๑๓ Mark Tebbit, Philosophy of Law, (London: Routledge, 2005), pp. 55 - 56, 63. 18
19 ในการด�ำ รงอยขู่ องศลี ธรรมอนั ถกู ตอ้ งแนน่ อน จะอยา่ งไรกต็ าม เราอาจกลา่ วไดว้ า่ ความคดิ แนวภววิสัยนิยมทางศีลธรรมของดวอร์ก้นิ ในระดับสำ�คัญมีความสัมพันธ์กับความคิดหลัก ทางกฎหมายของเขาในหลายๆ ประเด็น นับต้ังแต่เร่ืองความสามารถในการกำ�หนด ผลลพั ธท์ เ่ี ดด็ ขาดแนน่ อนไดข้ องกฎหมาย (Legal determinacy) บทสรปุ ยนื ยนั ตอ่ ค�ำ ตอบ อนั ถกู ตอ้ งหนง่ึ เดยี ว (เสมอ) (One right answer thesis) จากการใชก้ ฎหมายอยา่ งถกู ตอ้ ง เท่ียงธรรม ธรรมชาติแห่งกฎหมายอันแท้จริงท่ีมีลักษณะเป็นความเท่ียงตรงเป็นธรรม (Law as integrity) การด�ำ รงอยขู่ องกฎหมายในรปู ของหลกั การ (Principles) หรอื มาตรฐาน ทางกฎหมายเชงิ ศีลธรรม (Moral-legal standard) ทป่ี รากฏเคียงค่กู ับกฎเกณฑ์ (Rules) อนั เปน็ รปู แบบทเ่ี ปน็ ทางการของกฎหมาย นา่ สนใจอยา่ งมากดว้ ยวา่ หลกั การแหง่ กฎหมายนย้ี งั เปน็ ตวั ก�ำ หนดความชอบธรรม ของลักษณะการใช้อำ�นาจตุลาการอย่างแผ่กว้าง ไม่ยึดติดเคร่งครัดกับถ้อยคำ�ในตัว บทกฎหมายเพ่ือจุดหมายในการเปล่ียนแปลง/ปรับปรุงสังคมท้ังในแง่การเมือง-ศีลธรรม ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลายทางสากลในนาม “ตลุ าการเปลย่ี นแปลงสงั คม-การเมอื ง” (Judicial activism) หรอื “ตลุ าการก�ำ หนดการเมอื ง-นโยบายสาธารณะ” (Judicialization of politics) ดงั ทส่ี ดุ แลว้ การใช้อำ�นาจตุลาการดังกล่าวอย่างถูกต้องในทรรศนะของดวอร์ก้ินต้องเป็นไปภายใต้ การยดึ มน่ั ในหลกั การ (Principled judicial activism) อยา่ งเครง่ ครดั ไมใ่ ชเ่ ปน็ การใชอ้ �ำ นาจ ท่ีมุ่งผลการเปล่ียนแปลงทาง “นโยบาย” สังคมการเมืองซ่ึงในทางหลักการต้องถือว่า เป็นอำ�นาจชอบธรรมของฝ่ายการเมือง (ฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ) อันมีท่ีมาในแง่ ประชาธปิ ไตยซง่ึ ยดึ โยงกบั อ�ำ นาจประชาชน (การเลอื กตง้ั ) โดยตรง ความคิดหลักทางกฎหมายของดวอร์ก้ินยังปรากฏในบทสรุปยืนยัน ความสำ�คัญของสิทธิในฐานะเป็นองค์ประกอบสำ�คัญของกฎหมาย/ศีลธรรมในกฎหมาย (Rights thesis/ Rights based theory of law) ความเชอ่ื มน่ั ตอ่ ความเปน็ ไปไดใ้ นการม ี “เฮอคิวลิส” (Hercules)ซ่ึงเป็นนามสมมุติผู้พิพากษาอุดมคติท่ีเป็นประหน่ึงอภิมนุษย์ (Super-human judge) ซง่ึ มคี วามเปรอ่ื งปราชญอ์ ยา่ งไรข้ ดี จ�ำ กดั ในการประกาศค�ำ พพิ ากษา ท่ถี ูกต้องอย่างเป็นภววิสัย (Objective judgement) หรือสามารถเข้าถึงความเท่ยี งธรรม ม่ันคงแห่งกฎหมายได้ทุกคราว โดยจำ�เป็นต้องกระทำ�ผ่านการตระหนักรู้ถึงธรรมชาติ
แหง่ กฎหมายในความเปน็ จรงิ ทางปฏบิ ตั ิ ทโ่ี ดยสภาพเปน็ แนวความคดิ ทต่ี อ้ งมกี ารตคี วามหมาย (Law as interpretive concept) อย่างถูกต้องเหมาะสม หรือท่ีดวอร์ก้ินใช้คำ�ว่า เป็นการตีความหมายอย่างสร้างสรรค์ (Constructive interpretation) เพ่ือให้เกิดความ เทย่ี งตรงเปน็ ธรรม (Integrity) ทเ่ี ปน็ หนง่ึ เดยี ว และสง่ เสรมิ /สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ มนษุ ยนยิ ม ทางกฎหมาย (Legal humanism) ของสงั คมเสรนี ยิ มกา้ วหนา้ ในทา้ ยทส่ี ดุ ทฤษฎกี ฎหมายภายใตอ้ ดุ มคตแิ หง่ ความเทย่ี งตรงเปน็ ธรรมของกฎหมาย จากภาพรวมแนวความคิดสำ�คัญของดวอร์ก้ินข้างต้น ไม่น่าสงสัยเลยว่า แนวทางอธบิ ายธรรมชาตแิ หง่ กฎหมายเชงิ นติ ปิ รชั ญาของเขาจดั อยใู่ นกระแสความคดิ แบบ อุดมคติท่ีปรากฏควบคู่กับการให้ความสำ�คัญต่อความเป็นจริงของกฎหมายในทางปฏิบัติ ซ่ึงแยกไม่ออกจาการใช้การตีความกฎหมายเสมอ แม้จะมีผู้มองทฤษฎีกฎหมายของ ดวอรก์ น้ิ วา่ เปน็ เสมอื นทฤษฎกี ฎหมายสายทส่ี าม (The third theory of law) ทเ่ี หมอื นสอดแทรก อยู่ระหว่างกลางทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติและปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย๑๔ ทว่าลึกๆ แล้ว เราอาจจัดให้ทฤษฎีกฎหมายของดวอร์ก้ินเป็นส่วนหน่ึงของทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ สมัยใหม่ในรูปแบบท่ีซับซ้อนมากข้ึน โดยเฉพาะเม่ือพิจารณาจากเกณฑ์วินิจฉัยในเร่ือง ความสมั พนั ธท์ จ่ี �ำ เปน็ ตอ้ งมรี ะหวา่ งกฎหมายและศลี ธรรม (Inseparation thesis) จดุ ยนื พน้ื ฐาน ทางนิติปรัชญาของดวอร์กิ้นหย่ังรากม่ันคงอยู่กับธรรมเนียมความคิดแบบคอมมอนลอว์ (Common law) และการกล่าวอ้างสำ�คัญท่ีว่าหลักความยุติธรรมซ่ึงเติบโตข้ึนมาภายใต้ ธรรมเนียมความคิดดังกล่าวถือเป็นองค์ประกอบท่สี ำ�คัญจำ�เป็นของกฎหมาย๑๕ หลักการน้ี มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบทยืนยันเก่ียวกับสิทธิในฐานะเป็นองค์ประกอบสำ�คัญ ของกฎหมาย (Rights thesis) ๑๔ John Mackie , “The Third Theory of Law,” in Marshall Cohen (Ed), Ronald Dworkin & Contemporary Jurisprudence, (New Jersey : Rowman & Allanheld, 1984), pp.161 - 170. ๑๕ Mark Tebbit, Philosophy of Law, p. 52. 20
21 จากความเช่ือม่ันทางปรัชญาและปฏิบัติการทางกฎหมายท่ีเป็นจริง ทำ�ให้ ดวอรก์ น้ิ ปฏเิ สธบทยนื ยนั ของฝา่ ยปฏฐิ านนยิ มทางกฎหมายในเรอ่ื งการแยกออกจากกนั ไดร้ ะหวา่ ง กฎหมายและศลี ธรรม (Separation thesis) เขาเชอ่ื วา่ กฎหมายและศลี ธรรมมคี วามเกย่ี วพนั ท่ีไม่อาจแยกออกจากกันได้ เฉพาะอย่างย่ิงบทบาทความสำ�คัญของศีลธรรมหรือการ วินิจฉัยทางศีลธรรมในทางปฏิบัติซ่ึงจำ�เป็นอย่างย่ิงต่อการตีความหรือปรับใช้กฎหมาย อย่างถูกต้องเหมาะสม กล่าวอีกนัยหน่ึงคือ การยืนยันว่ากฎหมายท่ีบัญญัติข้ึน ไม่สามารถตีความและปรับใช้อย่างเหมาะสมถูกต้องได้โดยปราศจากข้อวินิจฉัยทางศีลธรรม (Moral judgement) และเพราะจุดยืนความคิดเช่นน้ีเองท่ีทำ�ให้มีการเรียกขานทฤษฎี กฎหมายของดวอร์ก้นิ ว่า เป็นกฎหมายธรรมชาติในแบบฉบับท่เี น้นการตีความ (ศีลธรรม) ในกฎหมาย (Interpretive version of natural law)๑๖ ดงั ลกึ ๆ ดวอรก์ น้ิ เชอ่ื วา่ กฎหมาย เปน็ แนวความคดิ ทต่ี อ้ งเกย่ี วขอ้ งกบั การตคี วาม (Law as interpretive concept) และเมอ่ื มีจุดเน้นในแง่น้ีทฤษฎีกฎหมายหรือนิติปรัชญาจึงเป็นส่วนประกอบสำ�คัญท่ัวไปของการ ตดั สนิ คด ี (Jurisprudence is the general part of adjudication) ทวา่ (ในความเปน็ จรงิ ) นิติปรัชญาท่ีเป็นบทเร่ิมต้นสำ�คัญ (ในการพิจารณาธรรมชาติแห่งความเป็นกฎหมาย) กลับมักถูกลืมเลือน/ละเลยในทุกๆ การตัดสินทางกฎหมาย๑๗ ท้งั ๆ ท่เี ป็นความจำ�เป็น เสมอท่ีจะต้องมีนิติปรัชญาในการตีความกฎหมายอย่างสร้างสรรค์ (Constructive interpretation) อนั มศี ลี ธรรม/สทิ ธเิ ปน็ องคป์ ระกอบส�ำ คญั เพอ่ื บรรลถุ งึ ความเปน็ กฎหมาย ทเ่ี ทย่ี งตรงเปน็ ธรรม (Law as Integrity)๑๘ เพราะเหตุน้ีเอง จึงมีการเน้นยำ้�ว่า ความเป็นกฎหมายเป็นมากกว่า กฎเกณฑ์ลายลักษณ์อักษรท่ีถูกกำ�หนดโดยฝ่ายนิติบัญญัติและศาล หากแท้จริง ธรรมชาติภายในของกฎหมายยังประกอบด้วยมาตรฐานทางกฎหมายเชิงศีลธรรม (Moral legal standard) อาทิ หลกั การแหง่ ความยตุ ธิ รรมหรอื สทิ ธพิ น้ื ฐานอนั ส�ำ คญั ตา่ งๆ ๑๖ Andrew Altman, Arguing About Law : An Introduction to Legal Philosophy, (Belmont: Wadsworth Publishing Company, 1996), p. 34. ๑๗ J.W. Harris, Legal Philosophies, p.196. ๑๘ Mark Tebbit, Philosophy of Law, p.52.
ซ่ึงแยกไม่ออกจากการพิจารณาตีความกฎหมายในทางปฏิบัติ กฎหมายโดยเน้ือแท้จึง เป็นเร่อื งกระบวนการท่เี ก่ยี วข้องกับการตีความ (Interpretive process) ซ่งึ มีท้งั นโยบาย หลักการและสิทธิต่างๆ เป็นองค์ประกอบร่วมกับกฎหมาย/กฎเกณฑ์ท่ีบัญญัต ิ การเน้น มิติทางศีลธรรมของกฎหมายในทางปฏิบัติ (การตีความ) ของดวอร์ก้นิ มีผ้ตู ้งั ข้อสังเกต เช่นกันว่าดูเหมือนได้รับอิทธิพล/เป็นหน้คี วามคิดจากฝ่ายปฏิบัตินิยมเชิงปรัชญา (Philosophical pragmatism) และสจั นยิ มทางกฎหมาย (Legal realism) โดยเฉพาะในประเดน็ การรวมศนู ย์ ความสำ�คัญของกฎหมายท่ีศาล/บทบาทของศาลและคำ�ส่ังวินิจฉัยของศาลในคดีซับซ้อน ท่ีมีปัญหาข้อโต้แย้งเข้มข้น ท้ังท่ีโดยจุดยืนแล้ว ดวอร์ก้ินปฏิเสธแนวความคิดสำ�คัญ สว่ นใหญข่ องฝา่ ยสจั นยิ มทางกฎหมายซง่ึ มที า่ ทแี บบกงั ขาคตทิ างศลี ธรรม/ความเคลอื บแคลงใจ ต่อความชดั เจนแน่นอนของศลี ธรรม (Moral skepticism) และไมเ่ ช่อื เร่อื งความสามารถ ในการก�ำ หนดผลลพั ธท์ เ่ี ดด็ ขาดแนน่ อนไดข้ องกฎหมาย (Legal Indeterminacy) อย่างไรก็ตาม สำ�หรับดวอร์ก้ินแล้ว การตัดสินคดีของศาลซ่ึงเป็นการ ปรับใช้หลักการและส่งเสริมสิทธิต่างๆ ย่อมดีกว่าการตัดสินซ่ึงมิได้เป็นไปตามแนวทางน้ี เน่ืองจากมันหมายถึงการท่ีระบบกฎหมายน้ันๆ กำ�ลังแสดงออกในส่ิงท่ีดวอร์ก้ินเรียกว่า เป็น “คุณธรรมแห่งความเท่ียงตรงเป็นธรรมทางการเมือง” (Political integrity) อนั ครอบคลมุ ถงึ หลกั แหง่ ความเทย่ี งตรงเปน็ ธรรมในการนติ บิ ญั ญตั ิ (Principle of integrity in legislation / การบญั ญตั กิ ฎหมายใหม้ คี วามสบื เนอ่ื งกนั ในเชงิ หลกั การ) และหลกั แหง่ ความเท่ียงตรงเป็นธรรมในการตัดสินคดี (Principle of integrity in adjudication/ Adjudicative Integrity) ซ่งึ กำ�หนดให้ผ้ทู ่รี ับผิดชอบในการช้ขี าดความหมายแห่งกฎหมาย ทเ่ี ปน็ อย ู่ (What the law is) ตอ้ งพจิ ารณาและบงั คบั ใชก้ ฎหมายใหม้ ลี กั ษณะเชอ่ื มโยง ตอ้ งตรงกนั (Coherent) ในเชงิ หลกั การ หลกั แหง่ ความเทย่ี งตรงเปน็ ธรรมในการตดั สนิ คดี จงึ เปน็ การอธบิ ายใหเ้ ขา้ ใจวา่ ทำ�ไมผพู้ พิ ากษาตอ้ งพจิ ารณาเนอ้ื แทแ้ หง่ กฎหมายซง่ึ ตนปรบั ใช้ อยา่ งเปน็ องคร์ วม (As a whole) หรอื มเี อกภาพเชอ่ื มโยงกนั อยา่ งเปน็ องคร์ วม (Law as a coherent whole) มใิ ชเ่ ปน็ การวนิ จิ ฉยั โดยใชด้ ลุ ยพนิ จิ ซง่ึ พวกเขามอี สิ รเสรใี นการก�ำ หนด หรอื แกไ้ ขเปน็ กรณๆี ไป๑๙ ๑๙ R. Dworkin, “Law’s Empire,” as cited in Ian Mcleod, Legal Theory, (UK: Macmillan, 1999), p.106. 22
23 ภายใต้แนวความคิดเร่ืองความเท่ียงตรงเป็นธรรมในการตัดสินคดี ก า ร พิ พ า ก ษ า ซ่ึ ง มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ก า ร ตี ค ว า ม ก ฎ ห ม า ย อ ย่ า ง ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ท่ี ดี สุ ด (Best constructive interpretation) (ซ่ึงจะกล่าวต่อถัดไป) ในทรรศนะของดวอร์ก้ิน จงึ เทยี บเคยี งไดก้ บั การเขยี นนวนยิ ายแบบลกู โซ ่ (Chain novel) ซง่ึ เนอ้ื หาในแตล่ ะบทเขยี นขน้ึ โดยผปู้ ระพนั ธท์ แ่ี ตกตา่ งกนั /คนละคน หรอื หากจะกลา่ วใหส้ มจรงิ มากขน้ึ ในโลกสมยั ใหม่ คงคลา้ ยละครทวี ซี ง่ึ มผี เู้ ขยี นบทหลายๆ คนตอ่ เนอ่ื งกนั โครงเรอ่ื งกวา้ งๆ และลกั ษณะนสิ ยั ใจคอของตวั ละครถกู ก�ำ หนดในชว่ งตน้ ของการประพนั ธ ์ ซง่ึ สง่ ผลใหผ้ เู้ ขยี นคนตอ่ ๆ มาถกู เหน่ียวร้ัง/มีกรอบบังคับระดับหนึ่งให้ต้องพัฒนาแนวเรื่องต่อไปตามน้ัน ผู้เขียนแต่ละคน จำ�ต้องตีความส่ิงซ่ึงเกิดข้ึนมาก่อนหน้า เน้ือหาของบทตอนใหม่ท่ีต้องเขียนข้ึนอย่างดีท่ีสุด จึงจำ�ต้องมีความเช่ือมโยงและเข้ากันได้หรือลงตัว (Fit) กับเน้ือหาท่ีเขียนข้ึนก่อนหน้า แมก้ ระนน้ั ภายใตก้ รอบบงั คบั ดงั กลา่ วคงยงั เปดิ โอกาสสำ�หรบั การสรา้ งสรรคเ์ นอ้ื หาใหมๆ่ (Creativity) ดังท่ีผู้ประพันธ์ (แต่ละคน) จำ�ต้องเขียนบทละครให้ดีท่ีสุดเท่าท่ีจะสามารถ กระท่ังบางคร้ังอาจถึงขนาดเป็นการเปล่ียนแปลงเน้ือหาท่ีสำ�คัญ (ในนิยายลูกโซ่น้ี) ตัวอย่างเช่น กรณีท่ีเกิดการตายอย่างปัจจุบันทันด่วนของตัวแสดงนำ�ในเน้ือเร่ือง ท่อี าจเปดิ ช่องความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงเร่อื งใหม่ซ่งึ ไม่เคยจินตนาการมาก่อนหน้า โดยนยั เปรยี บเทยี บเชน่ น้ ี ผ้พู พิ ากษา (ทเ่ี ปรยี บคลา้ ยนักเขียนในนยิ ายลกู โซภ่ ายใต้ระบบ กฎหมายคอมมอนลอว ์ (Common law)) จ�ำ ตอ้ งมกี ารตคี วามกฎหมายทม่ี อี ยใู่ หเ้ ขา้ กนั ได้ (Fit) กบั ขอ้ มลู หลกั ฐานตา่ งๆ ทป่ี รากฏพรอ้ มๆ กบั ท�ำ ใหก้ ารอธบิ ายความกฎหมายเปน็ ได้ อย่างดีท่ีสุดเท่าท่ีจะสามารถในแง่ของศีลธรรมทางการเมือง ดังกรณีตัวอย่างคำ�ตัดสิน ในบางคดที เ่ี ปน็ การหกั ลา้ งความคดิ พน้ื ฐานเดมิ อนั น�ำ ไปสกู่ ารวางรากฐานของกฎหมายสมยั ใหม่ เปิดทางให้เกิดการพัฒนากฎหมายในเร่ืองใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ในเชิงเปรียบเทียบ การเปลย่ี นแปลงขน้ั พน้ื ฐานเชน่ นน้ั ไมอ่ าจเกดิ ขน้ึ ไดบ้ อ่ ยๆ ในทกุ ๆ บทตอนของละครหรอื ทกุ ๆ สปั ดาห ์ เพราะมฉิ ะนน้ั ความรสู้ กึ ถงึ ความตอ่ เนอ่ื ง (Sense ofcontinuity) (ในเนอ้ื เรอ่ื ง ของบทละครหรือสาระของกฎหมาย) ซ่ึงเป็นส่ิงสำ�คัญจำ�เป็นท้ังในงานเขียนแบบลูกโซ่ และ ระบบกฎหมายจะถกู ท�ำ ลายหายไป ดงั นแ้ี ลว้ ในการใชด้ ลุ ยพนิ จิ ตดั สนิ คด ี ผพู้ พิ ากษา จงึ ควรพจิ ารณาถงึ ความเชอ่ื มโยงตอ่ เนอ่ื งของระบบกฎหมายอยา่ งเปน็ องคร์ วม และค�ำ ตดั สนิ
ท่ีส่งเสริมความเช่ือมโยงต่อเน่ืองดังกล่าวอย่างแท้จริงย่อมดีกว่าคำ�ตัดสินท่ีทำ�ให้เกิด ความเสยี หาย/ลดทอนความเชอ่ื มโยงน๒้ี ๐ กฎหมายในรปู กฎเกณฑแ์ ละหลกั การแหง่ ความเปน็ ธรรม การปรากฏตัวของทฤษฎีกฎหมายท่มี ีลักษณะเฉพาะของดวอร์ก้นิ เร่มิ เห็นชัด จากการวิพากษ์ทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมายสมัยใหม่ของฮาร์ท (H.L.A. Hart) ซ่ึงยืนยันการแยกออกจากกันได้ของกฎหมายจากศีลธรรม (Separation thesis) และอธบิ ายความเปน็ กฎหมายในสงั คมสมยั ใหมใ่ นแงเ่ ปน็ กฎเกณฑ์ - ระบบแหง่ กฎเกณฑ ์ (System of rules) อนั เปน็ ทางการซง่ึ ก�ำ กบั ควบคมุ การกระท�ำ ของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั และประชาชน ขณะเดียวกันฮาร์ทยอมรับว่า กฎหมายมีความไม่ชัดเจนแน่นอนได้ในบางสถานการณ์ ทซ่ี บั ซอ้ นคลมุ เครอื ในสถานการณด์ งั กลา่ ว ฮารท์ เหน็ วา่ เปน็ ภารกจิ ของผพู้ พิ ากษาในการแกไ้ ข ปัญหาความไม่แน่นอนของกฎหมายให้ดีท่ีสุดเท่าท่ีสามารถ โดยท่ีผู้พิพากษาสามารถ ใช้ดุลยพินิจเชิงศีลธรรมของตนในการ “สร้างกฎหมาย” อย่างจำ�กัดแคบ (Interstitially) ในเมอ่ื คดขี อ้ พพิ าทไมส่ ามารถตดั สนิ ไดโ้ ดยกฎเกณฑท์ ป่ี รากฏอยู่ ณจุดน้ีเอง ท่ีดวอร์ก้ินวิพากษ์ฮาร์ทในการอธิบายสภาพแห่งกฎหมาย ท่ีบิดเบือนไม่รอบด้านจนสนับสนุนให้ผู้พิพากษาบัญญัติสร้างกฎหมายข้ึนเองได้ในบาง สถานการณ์ ดวอร์ก้ินโต้แย้งประเด็นการรับรองอำ�นาจในการบัญญัติกฎหมายของ ผ้พู ิพากษาว่าเป็นส่งิ ท่ขี ัดหลักประชาธิปไตย เน่อื งจากผ้พู ิพากษามิได้มาจากการเลือกต้งั และไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้มีสิทธิเลือกต้ัง/ประชาชนในแบบเดียวกับฝ่ายนิติบัญญัติ และขอ้ ส�ำ คญั ประการทส่ี องกฎหมายทบ่ี ญั ญตั โิ ดยวถิ ที างเชน่ นถ้ี อื เปน็ กฎหมายทม่ี สี ภาพยอ้ นหลงั (Retroactive) เน่อื งจากค่คู วามท่แี พ้คดีจะถูกลงโทษมิใช่เพราะเขาฝ่าฝืนหน้าท่บี างอย่างท่ี ๒๐ Ian Mcleod, Legal Theory, p.107 ; Mark Tebbit, Philosophy of Law, p. 54. 24
25 เขามแี ตก่ ลบั เปน็ หนา้ ทใ่ี หมซ่ ง่ึ ถกู สรา้ งขน้ึ (โดยศาล) ภายหลงั เกดิ เหตกุ ารณ๒์ ๑ ความผดิ พลาด สำ�คัญของฮาร์ทในทรรศนะของดวอร์ก้ินเกิดจากความเข้าใจอันคับแคบต่อความเป็น กฎหมายซง่ึ จ�ำ กดั เฉพาะในรปู ของกฎเกณฑอ์ นั เปน็ ทางการเทา่ นน้ั โดยมองขา้ มกฎหมาย ในรปู “หลกั การ” ทางศลี ธรรม/ความเปน็ ธรรม (Fairness) หรอื หลกั ความยตุ ธิ รรม (Justice)๒๒ ในแก่นแกนความคิดของดวอร์ก้นิ “กฏเกณฑ์” ต่างๆ อาจหมดส้นิ ไม่เหลือ (ในการปรับใช้ ทางปฏบิ ตั )ิ แต ่ “กฎหมาย” ไมม่ วี นั หมดสน้ิ ดงั อาจปรากฏในรปู แบบทไ่ี มใ่ ชก่ ฎเกณฑท์ เ่ี ปน็ ทางการดังกล่าวหลักการจึงจัดเป็นมาตรฐาน (Standard) แห่งกฎหมายหน่ึงซ่ึงจำ�ต้อง เคารพใส่ใจเน่อื งจากมันเป็นส่งิ จำ�เป็น/ข้อเรียกร้องของความยุติธรรมหรือความเป็นธรรม หรอื มติ ทิ างศลี ธรรมอน่ื ๆ หลกั การ แตกตา่ งจาก นโยบาย (Policy) (ซง่ึ จดั เปน็ มาตรฐาน ในอีกแบบหน่ึง) ในแง่ท่ีนโยบายมุ่งกำ�หนดเป้าหมายส่วนรวม (Collective goal) ท่ีจะ บรรลุไดม้ าซ่งึ โดยปกตเิ ป็นเรอ่ื งการพัฒนาปรับปรุงเศรษฐกิจ การเมือง หรือสภาพสงั คม บางประการ เช่น นโยบายส่ิงแวดล้อมท่ีสะอาดปลอดภัย การค้าท่ีสมดุล หรือระบบ การขนสง่ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ในทางตรงขา้ ม การเคารพยดึ มน่ั ตอ่ หลกั การ กลบั เปน็ ไปเพอ่ื ความยุติธรรมหรือสิทธิของปัจเจกบุคคล ไม่ใช่เพราะมันจะสร้างความก้าวหน้าหรือทำ�ให้ เกิดความม่ังค่ังม่ันคงทางเศรษฐกิจ การเมืองหรือสถานการณ์ทางสังคมอันพึงปรารถนา ซ่งึ เป็นเร่อื งนโยบายมากกว่า ข้อสำ�คัญในทรรรศนะของดวอร์ก้นิ หลักการ/สิทธิมีนำ้�หนัก ความสำ�คัญอย่างสูงเสมือนเป็นไพ่ตายท่ีอยู่เหนือข้อพิจารณาเชิงนโยบายดังกล่าวมาแล้ว ดังการกล่าวอ้างเร่ืองบุคคลมีสิทธิอิสระในการพูดย่อมหมายความว่า อิสรเสรีในการพูด/ แสดงออกไม่ควรถูกขวางก้ัน/แทรกแซง แม้ว่าการแทรกแซงน้ันอาจเป็นไปเพ่ือจุดหมาย ๒๑ Ronald Dworkin, Taking Rights Seriously, p. 84 อยา่ งไรกต็ าม ทรรศนะในทางตรงขา้ ม กลับเห็นว่า กรณีท่ีปราศจากฎหมายอันชัดเจน การยุติข้อพิพาทโดยการบัญญัติกฎหมายของศาลซ่ึงมี ลกั ษณะยอ้ นหลงั ยอ่ มดกี วา่ การไมช่ ข้ี าดขอ้ ยตุ ใิ ดๆ สว่ นการยนื ยนั ใหอ้ �ำ นาจในการบญั ญตั กิ ฎหมายตกเปน็ ของเจ้าหน้าท่ี/สส.ซ่ึงมาจากการเลือกต้ังเท่าน้ันก็ถูกโต้แย้งว่ามีลักษณะสายตาส้ัน สืบแต่รัฐสมัยใหม่ ล้วนมีหน่วยงานฝ่ายปกครองจำ�นวนมากซ่ึงประกอบด้วยเจ้าหน้าท่ีซ่ึงมิได้มาจากการเลือกต้ัง แต่กลับ บญั ญตั ขิ อ้ บงั คบั ตา่ งๆ เปน็ ประจ�ำ ซง่ึ ลว้ นมอี �ำ นาจบงั คบั ทางกฎหมาย ดรู ายละเอยี ดใน Michael Bayles, “Hart VS. Dworkin,” Law and Philosophy, 10 (1991): 364. ๒๒ Ronald Dworkin, Taking Rights Seriously, pp. 22 - 45.
ทเ่ี ปน็ ประโยชนส์ ว่ นรวมหรอื สวสั ดสิ ขุ ของชมุ ชน (ขอ้ พจิ ารณาเชงิ นโยบาย) อยา่ งไรกต็ าม สิทธิดังกล่าวย่อมมิใช่สิทธิสัมบูรณ์เช่นกัน กรณีจึงอาจเป็นไปได้ท่ีจะมีการห้ามหรือระงับ สิทธิน้ีอย่างชอบธรรมด้วยเหตุผลเก่ียวกับความม่ันคงของชาติอันจำ�เป็นเร่งด่วนแท้จริง อยา่ งไรกต็ าม โดยฐานคดิ กฎหมายในแงค่ วามเทย่ี งตรงเปน็ ธรรม ดวอรก์ น้ิ ยนื ยนั วา่ การใช้ อ�ำ นาจของผพู้ พิ ากษาเปน็ ไปตามหรอื ควรจำ�กดั ขอบเขตอยบู่ นหลกั การดงั กลา่ วดว้ ยเหตผุ ล ในแงค่ วามมน่ั คง/คงเสน้ คงวา (Consistency) ไมแ่ กวง่ โอนเอนไปตามนโยบาย สาธารณะ ซ่ึงมีความไม่แน่นอน ท่ีสำ�คัญยังเป็นเหตุผลในแง่ประชาธิปไตย กล่าวคือ ผู้พิพากษา ซง่ึ มไิ ด้มาจากการเลอื กต้งั ไม่ควรตัดสิน (ในคดีท่ยี งุ่ ยากซบั ซอ้ น) ในลกั ษณะเป็นการสรา้ ง กฎเกณฑใ์ หมบ่ นพ้นื ฐานของนโยบายทางสังคม ปัญหาเก่ยี วกบั นโยบายสาธารณะ อาทิ การมีถนนใหม่ โรงพยาบาลใหม่ ประสิทธิภาพการผลิตท่ีสูง หรืออากาศท่ีบริสุทธ์ิ ควรปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการประชาชนผ่านกระบวนการประชาธิปไตย ( ท่ี ฝ่ า ย บ ริ ห า ร - นิ ติ บั ญ ญั ติ ท่ี ม า จ า ก ก า ร เ ลื อ ก ต้ั ง เ ป็ น ผู้ ใช้ อำ � น า จ แ ท น ป ร ะ ช า ช น ) กลา่ วอกี นยั หนง่ึ เปน็ สง่ิ ถกู ตอ้ งเหมาะสมทป่ี ญั หาทางนโยบายควรไดร้ บั การก�ำ หนดตดั สนิ โดยวิถีทางประชาธิปไตย ไม่ควรให้ผ้พู ิพากษา (ซ่งึ มิได้มาจากการเลือกต้งั ) เป็นผ้ตู ัดสิน ขณะท่ีปัญหาเชิงหลักการ/สิทธิซ่ึงมีนำ้�หนักเหนือเป้าหมายส่วนรวม หรือ (อาจ) เปน็ ปรปกั ษก์ บั ความตอ้ งการของฝา่ ยขา้ งมาก ควรไดร้ บั การตดั สนิ จากผพู้ พิ ากษามใิ ชฝ่ า่ ย นิติบัญญัติท่ีมาจากการเลือกต้ังท่ีเป็นประชาธิปไตย๒๓ จากวิธีคิดเช่นน้ี ดวอร์ก้ิน เหน็ วา่ ปรากฎการณก์ ารใชอ้ �ำ นาจตลุ าการในลกั ษณะ “ตลุ าการเปลย่ี นแปลงสงั คม การเมอื ง” (Judicial activism) ซ่ึงเก่ียวข้องกับการใช้/การตีความกฎหมายอย่างกว้าง/ยืดหยุ่น ไมย่ ดึ ตดิ กบั ตวั อกั ษร ซง่ึ สง่ ผลเปน็ การเปลย่ี นแปลงสงั คมในเชงิ การเมอื ง-ศลี ธรรม สมควรตอ้ ง กระทำ�บนพ้นื ฐานของหลักการ (Principled judicial activism) ท่ผี ้พู ิพากษาต้องค้นพบ อันเก่ยี วข้องกับสิทธิพ้นื ฐานสำ�คัญ (ไม่ใช่เกิดจาการใช้ดุลยพินิจในลักษณะสร้างกฎหมาย ขน้ึ มาใหมบ่ นเหตผุ ลเชงิ นโยบายทางการเมอื งซง่ึ แทจ้ รงิ เปน็ อ�ำ นาจของฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ติ า่ งหาก)๒๔ ๒๓ N. E. Simmonds, Central Issues in Jurisprudence Justice Law and Rights, London: Sweet & Maxwell, 1986), pp.107-108. J.W. Harris, Legal Philosophies, p. 204. ๒๔ ศกึ ษารายละเอยี ดใน Ronald Dworkin, A Matter of Principle, Cambridge: Harvard University Press, 1985), pp. 9 - 71 ; Ken Kress & Scott W.Davidson, “Dworkin in Transition,” pp. 341, 346. 26
27 สมควรเข้าใจเพ่ิมเติมด้วยว่า ดวอร์ก้ินใช้คำ�ว่ากฎหมายครอบคลุมถึงส่ิง ทเ่ี ขาเรยี กวา่ เปน็ ขอ้ เสนอ/บทเสนอทางกฎหมาย (Propositionsoflaw) หลกั การจงึ ถอื เปน็ กฎหมายเน่ืองจากมันมีผลผูกมัดต่อผู้พิพากษา ขณะเดียวกันยังจัดเป็นส่ิงท่ีชอบด้วย กฎหมายหรอื เปน็ หลกั การทางกฎหมาย (Legal principle) เนอ่ื งจากเนอ้ื หาทางศลี ธรรม และการเมืองสำ�คัญซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของความเป็นกฎหมายท่ัวไปภายใต้แนวความคิดท่ี เชอ่ื มน่ั วา่ ไมม่ กี ารแยกขาดจากกนั ระหวา่ งกฎหมาย/ความสมบรู ณท์ างกฎหมายและศลี ธรรม ข้อสำ�คญั หลักการเปน็ สง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ งตามกฎหมายเน่อื งจากมนั ไมไ่ ด้มาจากการสรา้ งขน้ึ บน อากาศธาตโุ ดยดลุ ยพนิ จิ บรสิ ทุ ธข์ิ องผพู้ พิ ากษา แตเ่ ปน็ สง่ิ ทม่ี ปี ระวตั ศิ าสตรก์ ฎหมายในตวั เอง ท่เี กิดจากการพัฒนา การยอมรับ ปรับใช้และตีความในคดีต่างๆ ก่อนหน้าและมีความ สมั พนั ธก์ บั กฎเกณฑท์ างกฎหมายและสถานการณอ์ นั แตกตา่ งกนั ๒๕ โดยภาพรวม กฎหมายในทรรศนะของดวอร์ก้ินจึงประกอบด้วย กฎเกณฑ์ อันเป็นทางการ และหลักการทางศีลธรรมหรือหลักการแห่งความยุติธรรม/ ความเปน็ ธรรมซง่ึ เปน็ มาตรฐานทางกฎหมายเชงิ ศลี ธรรม (Moral legal standard) โดยท่ี หลักการเป็นฐานแห่งความชอบธรรมของค�ำ วินิจฉัยทางกฎหมายและช่วยช้นี �ำ การตีความ กฎเกณฑท์ างกฎหมายในคดที ย่ี งุ่ ยากซบั ซอ้ นซง่ึ ไมม่ คี �ำ ตอบอนั ถกู ตอ้ งทางกฎหมายทช่ี ดั เจน ในคดดี งั กลา่ ว ดวอรก์ น้ิ จงึ เหน็ วา่ ผพู้ พิ ากษามหี นา้ ทใ่ี นการตดั สนิ คดบี นฐานของหลกั การ ไมใ่ ชใ่ ชด้ ลุ ยพนิ จิ บญั ญตั กิ ฎหมายอยา่ งจ�ำ กดั แคบบนฐานของนโยบายหรอื ศลี ธรรมสว่ นตน ตามความเขา้ ใจของฮารท์ หรอื นกั คดิ หลายๆ คน อยา่ งไรกด็ ี เขายอมรบั เชน่ กนั วา่ หลกั การ ทางศีลธรรมอันหลากหลายอาจมีความขัดแย้งในการหยิบยกข้ึนมาปรับใช้ได้เช่นกัน การช่ังนำ้�หนักหลักการอันแตกต่างจึงเป็นความจำ�เป็นท่ีต้องกระทำ� โดยท่ีผู้พิพากษา มีภารกิจในการค้นหาหลักการท่ีดีท่ีสุดทางศีลธรรม (Morally best) ซ่ึงเข้ากันได้ (Fit) กับกฎเกณฑ์ทางกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง และเป็นหลักการอันถูกต้องเหมาะสมซ่ึงอยู่ในวิถี แห่งความเป็นธรรมเม่อื คำ�นึงถึงประวัติศาสตร์เชิงสถาบันของโครงสร้างกฎหมายในสังคม หน่ึงๆ๒๖ ในกรณีตัวอย่างอเมริกา หลักการดังกล่าวเก่ียวพันกับสิทธิทางศีลธรรมของ ๒๕ Roger Cotterrell, The Politics of Jurisprudence: A Critical Introduction to Legal Philosophy, (UK: Lexis Nexis, 2003), p.163 ; Michael Bayles, “Hart VS. Dworkin,” Law and Philosophy 10 (1991): 359. ๒๖ George C. Christie and Patrick H. Martin, Jurisprudence: Text and Reading on the Philosophy of Law, (West: West Group Publishing,1995), p. 996 ; Andrew Altman, Arguing About Law: An Introduction to Legat Philosophy, p. 46.
ปจั เจกบคุ คลอนั เปน็ สทิ ธทิ ร่ี ฐั บาลตอ้ งเคารพและปกปอ้ ง อยา่ งไรกต็ าม หากเรายอ้ นกลบั สู่ ภาพรวมทว่ั ไปเกย่ี วกบั ความยตุ ธิ รรมในแงค่ วามเทย่ี งตรงเปน็ ธรรมของดวอรก์ น้ิ ซง่ึ สมั พนั ธ์ กับทฤษฎีความยุติธรรมของรอลส์ นัยสำ�คัญท่ีดวอร์ก้ินขยายความในเร่ืองสิทธิในความ เสมอภาคอันหมายถึงสิทธิของประชาชนท่ีจะได้รับความใส่ใจเป็นห่วงใยและการเคารพ นบั ถอื อยา่ งเสมอภาคเทา่ เทยี ม (Right to equal concern and respect) อนั ตง้ั อยบู่ นพน้ื ฐาน ของการเคารพตอ่ ศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ยอ์ นั เทา่ เทยี มกนั และหลกั ภราดรภาพทางศลี ธรรม ซ่ึงเป็นจุดหมายแห่งกฎหมายอันเท่ียงตรงเป็นธรรม ย่อมสัมพันธ์อย่างย่ิงกับการปรับใช้ หลักการแห่งความยุติธรรมในการตัดสินคดีโดยท่ัวไป ขณะเดียวกัน หลักการท่ีเป็นส่วน สำ�คัญของความเป็นกฎหมายท่ียึดโยงอยู่กับสิทธิพ้ืนฐานดังกล่าวย่อมมีความสำ�คัญ เหนอื กวา่ ขอ้ พจิ ารณาดา้ นนโยบายหรอื อรรถประโยชนด์ งั กลา่ วมาแลว้ ภายใตค้ วามสมั พนั ธ์ ใกล้ชิดระหว่างหลักการและสิทธิเช่นน้ี เม่ือหวนพิจารณาต่อบทยืนยันของดวอร์ก้ิน ท่ีว่า หากรัฐบาลไม่ใส่ใจต่อสิทธิอย่างจริงจัง ย่อมหมายถึงการไม่ใส่ใจต่อกฎหมาย อยา่ งจรงิ จงั เชน่ กนั หลกั การ (แหง่ ความยตุ ธิ รรม) ยอ่ มเปน็ สง่ิ เดยี วกบั สทิ ธทิ ร่ี ฐั บาลซง่ึ จรงิ จงั ตอ่ กฎหมายตอ้ งใสใ่ จอยา่ งแทจ้ รงิ เสมอ เฮอควิ ลสิ /ผพู้ พิ ากษาอดุ มคติ และการตคี วามกฎหมายอยา่ งสรา้ งสรรค์ ความเช่ือม่ันอันแรงกล้าต่อการดำ�รงอยู่ของหลักการแห่งความยุติธรรม ในกฎหมายซง่ึ ยดึ โยงกบั สทิ ธแิ ละการตคี วามกฎหมายอยา่ งสรา้ งสรรค์ ท�ำ ใหด้ วอรก์ น้ิ เชอ่ื มน่ั ในความคดิ เรอ่ื ง “ค�ำ ตอบอนั ถกู ตอ้ งเดยี ว” (One right answer thesis) ในการตดั สนิ คดี โดยเช่อื ว่าหากมีการวินิจฉัยตัดสินตามแนวทางท่กี ล่าวมา อย่างน้อยในทางทฤษฎีย่อมมี คำ�ตอบ/คำ�ตัดสินท่ีถูกต้องเดียวอันโดดเด่น/เป็นพิเศษซ่ึงเป็นไปตามกฎหมายในเกือบ ทกุ ประเดน็ ทางกฎหมายในระบบกฎหมายสมยั ใหมท่ ส่ี ลบั ซบั ซอ้ น ขณะเดยี วกนั คคู่ วามในคดี แพง่ และจ�ำ เลยในคดอี าญายอ่ มมสี ทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั การตดั สนิ คดอี ยา่ งถกู ตอ้ งตรงตามคำ�ตอบ อนั ถกู ตอ้ งเดยี วดงั กลา่ วเชน่ กนั 28
29 วาทกรรมเรอ่ื ง “ค�ำ ตอบอนั ถกู ตอ้ งเดยี วของดวอรก์ น้ิ ” จดั เปน็ สว่ นส�ำ คญั หนง่ึ ของความเชอ่ื มน่ั ในแนวคดิ วตั ถวุ สิ ยั นยิ ม/ภววสิ ยั นยิ ม (Moral objectivism) ของดวอรก์ น้ิ ซง่ึ ลกึ ๆ เชอ่ื วา่ มสี ง่ิ ทเ่ี ปน็ มาตรฐานทางศลี ธรรมหรอื ความยตุ ธิ รรมทถ่ี กู ตอ้ งแนน่ อนซง่ึ เปน็ อิสระจากการกำ�หนดตัดสินของมนุษย์หรือระเบียบแบบแผนใดๆ ความเช่ือม่ันน้ียังให้ กำ�เนิดต่อบทสรุปเชิงอุดมคติหรือภาพลักษณ์อุดมคติของกฎหมายในแง่ความเท่ียงตรง เปน็ ธรรม(Lawasintegrity) ผพู้ พิ ากษาอดุ มคตทิ เ่ี ปน็ ประหนง่ึ อภมิ นษุ ย ์ : เฮอควิ ลสิ (Hercules) ผู้เป็นนักวัตถุวิสัยนิยม (Moral objectivist) ซ่ึงบรรลุหรือเข้าใจซาบซ้ึงต่อ “การตีความ กฎหมายอยา่ งสรา้ งสรรค”์ (Constructive interpretation) จนท�ำ ใหเ้ กดิ ค�ำ ตอบอนั ถกู ตอ้ งเดยี ว หรอื ความเทย่ี งตรงเปน็ ธรรมในการใชก้ ฎหมายอยา่ งสม�ำ่ เสมอ ในความคิดของดวอร์ก้ินท่ีเช่ือม่ันต่อความเท่ียงตรงเป็นธรรมของกฎหมาย ความเป็นกฎหมายท่ีแท้จริงล้วนต้ังอยู่บนองค์ประกอบสำ�คัญสามส่วน กล่าวคือหลัก ความยตุ ธิ รรม (Justice) ความเปน็ ธรรม (Fairness) และกระบวนการทเ่ี ปน็ ธรรมในวธิ พี จิ ารณา อนั น�ำ ไปสกู่ ารตคี วามกฎหมายอยา่ งสรา้ งสรรคท์ ด่ี สี ดุ (Best constructive interpretation) ในปฏบิ ัตกิ ารทางกฎหมายของชุมชน๒๗ ในแงน่ เ้ี ฮอควิ ลสิ หรือผ้พู ิพากษาอดุ มคตติ ้องใสใ่ จ จริงจังต่อหลักการท้ังสามส่วนดังกล่าวในการเข้าถึงคำ�ตอบอันถูกต้องของคำ�พิพากษา เฮอควิ ลสิ ตอ้ งชง่ั นำ�้ หนกั ความส�ำ คญั ของหลกั การเหลา่ น้ ี (ในกรณที อ่ี าจมคี วามขดั แยง้ กนั ) และคน้ หาทางออกทางการเมอื งทส่ี ง่ ผลดที ส่ี ดุ (Optimal) ซง่ึ เขา้ กนั ไดก้ บั ขอ้ กฎหมายตา่ งๆ หลักแห่งความยุติธรรมดังกล่าวสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิทธิท่ีจะได้รับความใส่ใจ เปน็ หว่ งใยและการเคารพนบั ถอื อยา่ งเสมอภาคเทา่ เทยี มกนั ดงั กลา่ วมาแลว้ และโดยทว่ั ไป การยึดม่ันกับหลักความยุติธรรมน้ีของดวอร์ก้ินผ่านตัวแบบผู้พิพากษาอุดมคติอย่าง เฮอควิ ลสิ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ จดุ ยนื ความคดิ แบบเสรนี ยิ ม ดงั ตวั อยา่ งการแสดงออกทางความคดิ ของดวอร์ก้ินในหลายๆ กรณี อาทิ การสนับสนุนให้ผู้หญิงมีสิทธิในการเลือกทำ�แท้ง การยืนยันว่าผู้สมัครสอบเข้าศึกษาท่ีเป็นคนผิวขาวไม่อาจอ้างสิทธิท่ีจะไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ๒๗ Ronald Dworkin, Law’s Empire, (Cambridge: Harvard Univercity Press, 1986) อา้ งใน George C. Christie and Patrick H. Martin, Jurisprudence: Text and Readings on the Philosophy of Law, p. 999.
ภายใตร้ ะเบยี บการศกึ ษาทย่ี อมใหม้ กี ารเลอื กปฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน็ ธรรม/การมรี ะบบโควตาแกค่ นผวิ สี เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเพ่ือชดเชยการเลือกปฏิบัติท่ีไม่เป็นธรรมในอดีต (Reverse discrimination) หรือกรณีปัญหาส่ือลามกอนาจาร (Pornography) และการมีวิถีชีวิต ดา้ นเพศสมั พนั ธท์ ไ่ี มเ่ หมอื นคนทว่ั ไป ดวอรก์ น้ิ เชอ่ื วา่ ทกุ คนลว้ นมสี ทิ ธใิ นความมอี สิ รภาพทาง ศลี ธรรม (Right to moral independence) หรอื มอี สิ รเสรภี าพในการตดั สนิ ใจเลอื กเกย่ี วกบั เรอ่ื งเพศโดยไมถ่ กู ปดิ กน้ั หรอื ตอ่ ตา้ น๒๘ ในกรณขี องเรอ่ื งความเปน็ ธรรม (Fairness) นยั ความหมายเชงิ ปรชั ญาทไ่ี ดร้ บั การยอมรับเพ่ิมมากข้ึนมุ่งเน้นความสำ�คัญของผลลัพธ์หรือบทสรุปอันถูกต้องท่ีเกิดจาก กระบวนการ (Process) ซ่ึงบุคคลท่ีเก่ียวข้องท้ังหมดเข้ามีส่วนร่วมในการให้คำ�ตอบ ความเป็นธรรมจึงเป็นเร่อื งเดียวกับส่งิ ท่ไี ด้รับการสนับสนุนจากความเห็นของคนส่วนใหญ่ ประเด็นท่ีน่าสนใจคือ โดยนัยเช่นน้ีความยุติธรรม (Justice) อาจมีความแตกต่างจาก ความเปน็ ธรรม (Fairness) ได ้ ถา้ หากแนวทางอดุ มคตเิ กย่ี วกบั สทิ ธ ิ (ซง่ึ เปน็ แกน่ ส�ำ คญั ของความยตุ ธิ รรม) ไมต่ อ้ งตรงกบั ความเหน็ ซง่ึ ไดร้ บั การยอมรบั แพรห่ ลายของคนสว่ นใหญ่ ความเป็นธรรมจัดเป็นส่ิงท่ีมีความสำ�คัญเป็นพิเศษในบริบทของการตีความกฎหมาย ซ่ึงบัญญัติข้ึน เน่ืองจากมันกำ�หนดให้เฮอคิวลิสต้องใส่ใจต่อความคิดเห็นร่วมสมัยของ สาธารณะในส่ิงท่ีเป็นความหมายของกฎหมายในเร่ืองต่างๆ โดยถือว่าความคิดเห็นน้ี มีความสำ�คัญเหนือกว่าข้อวินิจฉัยซ่ึงสรุปอนุมานจากประวัติข้อมูลต่างๆ อาทิ รายงาน การประชมุ ของคณะกรรมการรา่ งกฎหมาย) ทเ่ี กย่ี วกบั การบญั ญตั กิ ฎหมายนน้ั ๆ ในกรณี ของการตีความรัฐธรรมนูญ หลักความเป็นธรรมจึงสร้างความชอบธรรมเชิงเหตุผลต่อ ผู้พิพากษาอุดมคติในการปฏิบัติตาม/รับฟังความคิดเห็นร่วมสมัยของคนหมู่มากในสังคม ท่ีเห็นว่ารัฐธรรมนูญควรได้รับการตีความ/เข้าใจความหมายในเร่ืองน้ันๆอย่างไร แทนท่ี จะพิจารณาเจตนารมณ์อันเป็นรูปธรรมของเหล่าผู้ร่างหรือให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญ ๒๘ J.W. Harris, Legal Philosophies, p.198. 30
31 หลักการให้ความสำ�คัญต่อมติสาธารณะหรือประชาชนยังปรากฏเช่นกันในกรณี กระบวนการทเ่ี ปน็ ธรรมในวธิ พี จิ ารณาความ (Procedural due process) ดงั เมอ่ื พจิ ารณา ถึงผลลัพธ์ท่ีดีท่ีสุด ในทางการเมือง การพิพากษาคดีท่ีเป็นการลบล้างแนวคำ�พิพากษา บรรทดั ฐาน (Precedent) ยอ่ มเปน็ สง่ิ ทไ่ี มพ่ งึ กระท�ำ หากขดั แยง้ กบั วถิ ปี ฏบิ ตั ขิ องประชาชน ทด่ี �ำ เนนิ รอยตามบรรทดั ฐานดงั กลา่ ว๒๙ แนวทางการตีความกฎหมายอย่างสร้างสรรค์ท่ีนำ�ไปสู่คำ�ตอบท่ีถูกต้องหรือ ความเปน็ กฎหมายแทจ้ รงิ อนั เทย่ี งธรรมขา้ งตน้ เปน็ การตอกยำ�้ ความเชอ่ื มน่ั ของดวอรก์ น้ิ ท่ีเห็นว่า กฎหมายมิใช่เป็นเพียงเร่ืองกฎเกณฑ์แต่ยังประกอบด้วยหลักการแห่งความ ยุติธรรม - ความเป็นธรรม ขณะเดียวกันกฎหมายยังมิใช่มีแต่ข้อกำ�หนดบังคับต่างๆ ซง่ึ บญั ญตั โิ ดยผมู้ สี ทิ ธอิ ำ�นาจ (Authorities) เทา่ นน้ั แตย่ งั ประกอบดว้ ยขอ้ พจิ ารณาตอ่ การเมอื ง ท่ดี ีท่สี ุด (Best politics) ซ่งึ เข้ากันได้สนิท (Fit) กับข้อกำ�หนดทางกฎหมายดังกล่าวด้วย เฮอคิวลิสจึงไม่เพียงนำ�เอามาตรฐานทางศีลธรรมท่ีใช้กฎเกณฑ์อันเป็นทางการ มาประกอบการพิจารณาตีความ หากยังสร้างทฤษฎีการเมืองซ่ึงให้เหตุผลชอบธรรม ท่ีดีท่ีสุดแก่ความเป็นกฎหมายโดยรวม อันรวมท้ังแนวความคิดทางกฎหมาย วิถีทางสู่ กฎหมาย/คำ�ตัดสินอันเท่ียงธรรมของเฮอคิวลิสจึงมีลักษณะเป็นการพิจารณาแง่มุมต่างๆ อย่างเป็นองค์รวม/บูรณาการ (Holistic) การบรรลุซ่ึงคำ�ตัดสินใดๆอันเท่ียงธรรมถูกต้อง จึงเกิดข้ึนผ่านการคิดพิจารณาทบทวนอย่างรอบคอบท่ีเคล่ือนไหวสลับสับเปล่ียนระหว่าง บทกฎหมายต่างๆท่ีดำ�รงอยู่และข้อถกเถียงเก่ียวกับศีลธรรมทางการเมือง (Political Morality) จนกวา่ จะเขา้ ถงึ จดุ ลงตวั อนั เหมาะสมของขอ้ ยตุ คิ วามขดั แยง้ ในแง่มุมน้ี การตีความกฎหมายท่ีสร้างสรรค์จึงเป็นการตีความท่ีมีมิติสำ�คัญ สองประการ ประการแรกเปน็ การตคี วามทม่ี งุ่ สคู่ วามลงตวั (Fit) อยา่ งดที ส่ี ดุ ทง้ั กบั แนวค�ำ วนิ จิ ฉยั ทผ่ี า่ นมา ตวั บทกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ิ และประการทส่ี องเปน็ การตคี วามทเ่ี ผย/แสดงให้ ๒๙ Ibid., pp.198 - 199.
เหน็ ถงึ ความเปน็ กฎหมายในเชงิ แนวความคดิ ทด่ี ที ส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะเปน็ ได ้ (Best possible light) ในแง่ท่ีมีคุณธรรมทางศีลธรรมการเมืองท่ีหนักแน่นม่ันคงซ่ึงสะท้อนแบบอย่างแห่ง หลักคุณค่าความยุติธรรมแบบเสรีนิยม ความเป็นธรรม กระบวนการท่ีเป็นธรรม ทางกฎหมายและสิทธิของปัจเจกบุคคล๓๐ มองในภาพรวม ความท่ีดวอร์ก้ินยืนยันว่า กฎหมายเป็นส่งิ ท่ตี ้องมีการตีความโดยตลอดในทุกกรณ ี (Law is interpretive through and through) ทฤษฎีกฎหมายหรือการกล่าวอ้างเก่ียวกับธรรมชาติกฎหมายจึงจำ�ต้อง เช่ือมโยงกับความเช่ือม่ัน/ความคิดทางการเมืองเสมอไม่ใช่เป็นทฤษฎีท่ีปลอดจากคุณค่า (ค่านิยมทางการเมืองต่างๆ) ในแบบฉบับท่ีฝ่ายปฏิฐานนิยมทางกฎหมายท้ังเบนแธม (Jeremy Bentham) ออสตนิ (John Austin) เคลเซน่ (Hans Kelsen) หรอื ฮารท์ (H.L.A. Hart) กลา่ วอา้ ง๓๑ อย่างไรก็ตาม แม้ดวอร์ก้นิ จะเช่อื ว่าข้อวินิจฉัยทางกฎหมายทุกคราวจ�ำ เป็นท่ี ตอ้ งเกย่ี วขอ้ งกบั ศลี ธรรมทางการเมอื ง โดยทศ่ี ลี ธรรมดงั กลา่ วใหม้ าตรฐานในการประเมนิ ค่าความถูกผิดสำ�หรับการตีความกฎหมาย เขากลับวิพากษ์ความผิดพลาดของทรรศนะ ท่หี ยาบกระด้างเก่ยี วกับความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและการเมืองของบางฝ่าย ท่ีเห็นว่า กฎหมายและการเมืองเป็นส่ิงเดียวกัน หรือกฎหมายเป็นเพียงการใช้-การแสดงออกของ อำ�นาจทางการเมือง (อย่างหยาบๆ) ดังแม้การตัดสินของผู้พิพากษาในคดีที่เกี่ยวกับ รัฐธรรมนูญอันซับซ้อน ก็เป็นเพียงการลงมติตัดสินโดยอาศัยความเช่ือม่ันทางการเมืองส่วนตัว (Personal political conviction) ราวกับเป็นฝ่ายนิติบัญญัติเสียเอง ในทางตรงข้าม ดวอร์ก้ินเช่ือว่ากฎหมายต้ังอยู่บนหลักกฎหมายอันเกิดจากคำ�พิพากษาบรรทัดฐาน (Precedent)ผ่านกระบวนการประเมินคุณค่าทางศีลธรรม กฎหมายจึงเป็นเร่ือง การใช้อำ�นาจอย่างมีหลักการ (ทางศีลธรรมการเมือง) (Principled exercise of power)๓๒ ความขอ้ นต้ี อ้ งเขา้ ใจเพม่ิ เตมิ วา่ แมด้ วอรก์ น้ิ จะถอื วา่ กฎหมายเทา่ กบั การเมอื ง ๓๐ Mark Tebbit, Philosophy of Law, p. 54 ๓๑ J.W.Harris, Legal Philosophies, pp.190 - 191. ๓๒ Ken Kress and Scott W.Anderson, “Dworkin in Transition,” The American Journal of Comparative Law, 37 (1989): 246, 350. 32
33 และยอมรบั อยา่ งเปดิ เผยวา่ ขอ้ วนิ จิ ฉยั ทางกฎหมาย (Legal decision) เปน็ รปู แบบหนง่ึ ของขอ้ วนิ จิ ฉยั ทางการเมอื ง (Political decision) ซง่ึ มใิ ชเ่ พยี งเพราะมนั เกย่ี วขอ้ งอยา่ งเลย่ี ง ไม่ได้กับการปรับใช้อำ�นาจโดยองค์กรของรัฐหากยังถูกกระต้นุ ผลักดันโดยทฤษฎีการเมือง พ้นื ฐานต่างๆ แต่ขณะเดียวกันดวอร์ก้นิ ถือว่าท่สี ุดแล้วการเมืองมีรากฐานอย่บู นศีลธรรม โดยท่อี าณาบริเวณแห่งกฎหมาย ศีลธรรมและการเมืองในหลายๆ กรณีไม่อาจแบ่งแยก ออกจากกนั ได ้ และมเี พยี งการยดึ โยงกบั ศลี ธรรมเทา่ นน้ั ทร่ี ะบบกฎหมายจงึ สามารถเขา้ ถงึ ข้อยุติซ่งึ ท�ำ ให้เราสามารถกล่าวอ้างได้ว่าแท้จริงแล้วมีค�ำ ตอบอันถูกต้องชอบธรรม (Right answer) ในปญั หาทางกฎหมาย (เกอื บ) ทง้ั หมด๓๓ จะอย่างไรก็ตาม ในสถานะท่ีกฎหมายถูกแปลความให้เป็นการเมืองท่ีดีสุด ซ่ึงสอดรับกับข้อกำ�หนดท่ีมีสภาพเป็นกฎหมาย สมควรยำ้�ทบทวนด้วยว่าการเมืองท่ีดี ท่ีสุดดังกล่าวในทรรศนะของดวอร์ก้ินหมายถึงการเมืองท่ีตอบสนองต่อหลักภราดรภาพ (Fraternity) ทางศีลธรรมดังกล่าวผ่านมาก่อนหน้า ดังลึกๆ หลักภราดรภาพท่ีมีแก่นแท้คือ ความรักฉันพ่นี ้องของชีวิตท้งั ผองในสังคม ให้กำ�เนิดหลักความเสมอภาคของทุกคนท่ีจะ ได้รับความใส่ใจเป็นห่วงใยและการเคารพนับถืออย่างเท่าเทียมกัน๓๔ กระท่ังหลักความ เสมอภาคนแ้ี ปรเปลย่ี นตอ่ มาเปน็ สทิ ธใิ นความเสมอภาค อนั เปน็ สทิ ธพิ น้ื ฐานอยา่ งยง่ิ ของ มนุษย์ทุกคนในสังคมท่ีจะได้รับความใส่ใจเป็นห่วงใยและเคารพนับถืออย่างเท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันหลักความเสมอภาคยังจัดเป็นหลักการอันส�ำ คัญย่ิงในกฎหมายอันเท่ียงตรง เป็นธรรม (Law as integrity) ซ่ึงยืนยันหลักการเคารพต่อศักด์ิศรีแห่งความเป็นมนุษย์ อนั เทา่ เทยี มกนั ท่สี ุดแล้วลักษณะแท้จริงของกฎหมายในแง่ความเท่ยี งธรรมถูกต้องจึงประกอบ ด้วยการยอมรับความสัมพันธ์ท่สี �ำ คัญระหว่างกฎหมาย ศีลธรรม การเมือง (ท่ดี ีท่สี ุด) หรือ ศีลธรรมทางการเมืองซ่งึ ยึดโยงม่นั คงอย่กู ับหลักการแห่งความเป็นธรรม ความเสมอภาค ภราดรภาพและศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์อันเท่าเทียม ท้ังหมดน้ีล้วนตอกยำ้�ความเช่ือม่ัน ๓๓ George C.Christie and Patrick H.Martin, Jurisprudence: Text and Reading on the Philosophy of Law, pp. 997 - 998. ๓๔ J.W. Harris, Legal Philosophies, pp.192 - 193.
ต่อกฎหมาย/การปรับใช้กฎหมายในฐานะเป็นเคร่อื งมือสำ�คัญหน่งึ เพ่อื บรรลุจุดหมายแห่ง ความคิดเสรีนิยม ทว่ามิใช่เสรีนิยมชนิดท่ีต่างคนต่างอยู่/ตัวใครตัวมัน หากเป็นเสรีนิยม ท่ีเน้นความเสมอภาคเคียงคู่กับอิสรภาพอย่างเข้มข้น อันจัดได้เป็นความคิดเสมอภาค นิยมแนวเสรี (Liberal egalitarianism) หรือปัจเจกชนนิยมแนวเสมอภาค (Egalitarian individualism)ท่ีมุ่งรักษาความสมดุลของหลักคุณค่าแห่งความเสมอภาคและเสรีภาพ ในความเปน็ กฎหมายทเ่ี ทย่ี งตรงเปน็ ธรรมอยา่ งแทจ้ รงิ หลกั นติ ธิ รรมสองแนวทาง การปรากฏตัวของทฤษฎีกฎหมายแนวมนุษยนิยมของดวอร์ก้ินท่ีท้าทาย ความม่ันคงของทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมายสมัยใหม่ สร้างแรงกระเพ่ือมต่อ วงวิชาการนิติปรัชญาร่วมสมัยให้หันมาใส่ใจจริงจังต่อข้อถกเถียงเชิงอุดมคติของ กฎหมาย การทบทวนความเช่ือม่ันหรือคำ�ถามต่อความเท่ียงตรงเป็นธรรมของกฎหมาย รวมท้ังความสำ�คัญของศีลธรรมในมิติของสิทธิพ้ืนฐานท่ีจำ�เป็นต้องมีในกฎหมาย จุดยืน ในเชิงมนุษยนิยมทางกฎหมายท่ใี ห้ความสำ�คัญต่อปัจเจกภาพของบุคคลและศักด์ศิ รีความ เป็นมนุษย์ยังมีส่วนสำ�คัญท่ีทำ�ให้ดวอร์ก้ินสนับสนุนความชอบธรรมของการด้ือแพ่งต่อ กฎหมายทไ่ี มเ่ ปน็ ธรรมของประชาชน (Civil disobedience) บนพน้ื ฐานของความเทย่ี งตรง เปน็ ธรรม (Integrity based) และความยตุ ธิ รรม (Justice based civil disobedience) พรอ้ มๆกบั การสนบั สนนุ ใหร้ ฐั /กระบวนการยตุ ธิ รรมบงั คบั ใชก้ ฎหมายอยา่ งยดื หยนุ่ ผอ่ นปรน ในลักษณะชะลอการฟ้อง รอการลงอาญาหรือลงโทษข้ันตำ่�สุด ต่อบรรดาผู้กระทำ�การ ดอ้ื แพง่ ฯอยา่ งชอบธรรม๓๕ อยา่ งไรกด็ ที า่ ทผี อ่ นปรนตอ่ การดอ้ื แพง่ ฯดงั กลา่ วคงมไิ ดห้ มาย ถึงการลดทอนคุณค่า-ความศักด์สิ ิทธ์ขิ องกฎหมาย โดยเฉพาะการปฏิเสธคุณค่าของหลัก นติ ธิ รรม (The Rule of Law) ซง่ึ เปน็ ศนู ยก์ ลางส�ำ คญั ของทฤษฎกี ฎหมายแนวเสรนี ยิ มทง้ั หลาย . ๓๕ Ronald Dworkin, Taking Rights Seriously, pp. 207, 222 ; Ronald Dworkin, A Matter of Principle, p.107. 34
35 ในความเชอ่ื มน่ั ตอ่ ความส�ำ คญั ของหลกั นติ ธิ รรม ดวอรก์ น้ิ เหน็ วา่ หลกั นติ ธิ รรม มีความละเอียดอ่อนซับซ้อนและมีความชอบด้วยเหตุผลมากกว่าคำ�กล่าวแข็งกร้าวท่ีว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมายหรืออาชญากรรมต้องถูกลงโทษ การยืนยันว่ากฎหมายต้อง เป็นกฎหมายซ่ึงต้องบังคับใช้เสมอ/ไม่มีข้อแม้ใดๆถือเป็นข้อสรุปซ่ึงปฏิเสธการแยกความ แตกตา่ งของบคุ คลทด่ี อ้ื แพง่ ตอ่ กฎหมายดว้ ยเหตผุ ลทางมโนธรรมจากอาชญากรทว่ั ไป และ เปน็ ความผดิ พลาดซ�ำ้ สองตอ่ การบงั คบั ใชก้ ฎหมายทล่ี ะเมดิ สทิ ธทิ างศลี ธรรมของประชาชน น่าสนใจอยู่มากท่ีจุดยืนหรือท่าทีต่อการด้ือแพ่งฯดังกล่าวของดวอร์ก้ิน ไม่ต่างจากท่าที ของเขาต่อระบบกฎหมายท่ีช่วั ร้าย ซ่ึงเขาเห็นว่าจำ�ต้องมีการแบ่งแยกประเด็นเร่อื งการบ่งช้ี ตวั ตน (Identification) ของกฎหมาย และความมเี หตผุ ลชอบธรรม (Justification) ของ กฎหมายออกจากกัน ดังน้ันระบบการปกครองช่ัวร้ายท่ีบัญญัติกฎหมายเลวร้ายมากดข่ี บังคับประชาชน แม้ผลผลิตทางอำ�นาจดังกล่าวจะถือว่าเป็นกฎหมายในความหมายหน่งึ ในแง่ของการเป็น “กฎหมายก่อนท่ีจะมีการตีความหมาย” (Preinterpretive law) แตก่ ลบั ไมถ่ อื เปน็ กฎหมายในอกี ความหมายหนง่ึ กลา่ วคอื กฎหมาย (อนั มเี หตผุ ลชอบธรรม) ภายหลังท่ผี ่านการตีความ(เน้อื หาแห่งกฎหมายน้นั ๆ) (Postinterpretive law) โดยเหตุน้ี ดวอรก์ น้ิ จงึ ยนื ยนั วา่ ในบางครง้ั คราว ผพู้ พิ ากษาทม่ี หี นา้ ทใ่ี นการปรบั ใชก้ ฎหมายทช่ี ว่ั รา้ ย ดังกล่าว อาจมีเหตุผลชอบธรรมในการต้องกล่าวหรือเขียนในส่ิงท่ีรู้ว่าไม่เป็นความจริง (Lie)เก่ียวกับกฎหมายน้ันๆ (การตีความในลักษณะตรงข้าม/ไม่ต้องตรงกับเน้ือหาของ กฎหมาย) หากเขาเช่ือม่ันว่ามันเป็นกฎหมายท่ีไร้ศีลธรรมจนเกินกว่าจะปรับใช้กฎหมาย ดังกล่าวตามเน้ือความแท้จริง หรือมิฉะน้ันก็จำ�ต้องถือเป็นหน้าท่ีในการลาออกเสียจาก ต�ำ แหนง่ ๓๖ ๓๖ R.Dworkin, Law,s Empire, p.219 cited in Michael Bayles, “Hart VS. Dworkin,” p.379 ; David Dyzenhaus, “ Dworkin and Unjust Law,” ใน www.uva.ul/binaries/content/…/dyzenhaus- dworkin-and-unjust-law,pdf? กล่าวในเชิงขยายความเพ่ิมเติม กฎหมายในความหมายก่อนจะมีการ ตีความ (Preinterpretive law) คือกฎหมายซ่ึงบุคคลบ่งช้ีความเป็นกฎหมายในฐานะผู้สังเกตการณ์ ภายนอก (External observer) โดยไม่จำ�เป็นต้องยอมรับ (Accept) ต่อกฎหมายน้ันๆ น่าสังเกตว่า การยอมรบั ความเปน็ กฎหมายในแงน่ ม้ี นี ยั เทา่ กบั การยอมรบั ประเดน็ เรอ่ื ง “กฎหมายคอื อะไร” ในเชงิ พรรณนา ความ (Descriptive) ไม่ใช่เชิงบรรทัดฐาน (Normative) ขณะท่กี ฎหมายในความหมายภายหลังการตีความ (Postinterpretive law) คือกฎหมายท่บี ุคคลเห็นว่ามีความดีงามเพียงพอต่อการยอมรับในแง่ท่อี ย่างน้อย เปน็ การก�ำ หนดเหตผุ ลพน้ื ฐานส�ำ หรบั การกระท�ำ เชงิ ศลี ธรรม
อย่างไรก็ดี เม่ือหันกลับมาพิจารณาถึงความซับซ้อนของหลักนิติธรรม ดวอร์ก้ินยอมรับเช่นกันต่อความขัดแย้งในตัวแนวความคิดหลักนิติธรรมท่ีละเอียดอ่อน ในความเป็นหลักอุดมคติทางการเมืองที่ส�ำ คัญ หลักนิติธรรมมีความแตกต่างกันสองแบบ ในทรรศนะของดวอรก์ น้ิ หลกั นติ ธิ รรมแบบแรกเนน้ การปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑใ์ นตวั บทกฎหมาย (Rule – book conception) ขณะทห่ี ลกั นติ ธิ รรมแบบทส่ี องจะเนน้ ความส�ำ คญั ของสทิ ธิ ทางศีลธรรมของประชาชน (Rights conception)๓๗ แนวความคิดหลักนิติธรรมแบบแรก ถือว่าการใช้อำ�นาจรัฐไม่ควรกระทำ�ในลักษณะท่ีเป็นปรปักษ์ต่อประชาชนต่อละคน เว้นแต่ จะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ท่ีตราข้ึนอย่างชัดแจ้งเป็นกฎหมายสาธารณะซ่ึงทุกคนสามารถ เข้าถึงได้ ท้งั น้รี ัฐบาลและสามัญชนต่างล้วนอย่ใู ต้กฎหมายหรือต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ สาธารณะดงั กลา่ วจนกวา่ จะมกี ารแกไ้ ขเปลย่ี นแปลง อยา่ งไรกต็ าม ในแงก่ ารเปรยี บเทยี บ ดวอรก์ น้ิ มองวา่ แนวความคดิ หลกั นติ ธิ รรมแบบแรกมคี วามคบั แคบอยมู่ ากในตวั เพราะไมม่ ี การก�ำ หนดใดๆ เกย่ี วกบั เนอ้ื หาสาระของกฎเกณฑ ์ ขณะทฝ่ี า่ ยสนบั สนนุ แนวความคดิ น้ี มองว่าประเด็นเชิงเน้ือหาสาระของกฎเกณฑ์/กฎหมายเป็นเร่ืองความยุติธรรมเชิงเน้ือหา (Substantive justice) ซง่ึ เปน็ เรอ่ื งอดุ มคตอิ สิ ระ (Independent ideal) ทแ่ี ยกออกจากกนั หรือมิได้เป็นส่วนเดียวกับอุดมคติแห่งหลักนิติธรรม ทว่าปัญหาสำ�คัญคือการปฏิบัติตาม แนวทางหลักนิติธรรมท่ีเน้นแต่การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เห็นได้ว่าไม่เพียงพอต่อความ ยุตธิ รรม การปฏิบตั ติ ามหลกั นิติธรรมนอ้ี ย่างบริบูรณ์ (อาจ) จะนำ�มาซ่งึ ความอยุติธรรม อยา่ งใหญห่ ลวงไดห้ ากกฎเกณฑ์ (ทป่ี ฏบิ ตั ติ าม) ขาดความยตุ ธิ รรมในตวั เอง๓๘ ในทรรศนะของดวอร์ก้ินแนวความคิดหลักนิติธรรมแบบท่ีสองซ่ึงเน้นอุดมคติ แหง่ การปกครองโดยกฎหมายทต่ี อ้ งมสี าระส�ำ คญั เชงิ เนอ้ื หาของการเคารพตอ่ สทิ ธพิ น้ื ฐาน ส�ำ คญั จงึ มลี กั ษณะกวา้ งกวา่ แบบแรกโดยถอื วา่ ประชาชนมสี ทิ ธทิ างศลี ธรรมและหนา้ ทต่ี อ่ กนั และกัน รวมท้ังมีสิทธิทางการเมืองในการต่อต้านรัฐอีกด้วย เช่นน้ีแล้วหลักนิติธรรม ๓๗ รายละเอยี ดปรากฏใน Ronald Dworkin, A Matter of Principle, pp. 11 - 32. ๓๘ Ibid., p.12. 36
37 แบบท่ีสองจึงยืนยันให้มีการยอมรับต่อสิทธิทางศีลธรรมและการเมืองในตัวกฎหมาย เพอ่ื ใหม้ กี ารบงั คบั ใชต้ ามความตอ้ งการของประชาชนโดยผา่ นศาลหรอื สถาบนั ตลุ าการอน่ื ๆ ประเด็นสำ�คัญคือสิทธิดังกล่าวคือแก่นสาระของความยุติธรรม ท่ีสุดแล้วแนวความคิดน้ี จึงไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างหลักนิติธรรมและความยุติธรรมเชิงเน้อื หาสาระ เหมือนหลักนิติธรรมแบบแรก ในทางตรงข้ามกลับยืนยันความสัมพันธ์กับประชาชน และรัฐบาลภายใต้กรอบกฎหมายว่าเป็นเร่ืองความยุติธรรมอันท้ายสุดเป็นเร่ืองสิทธิของ ปจั เจกบคุ คลไมใ่ ชเ่ รอ่ื งคณุ ประโยชนส์ าธารณะ (Public good) ในแงน่ ห้ี ลกั นติ ธิ รรมยงั ชว่ ย เสริมต่อปรับปรุงประชาธิปไตยในสังคม โดยเพ่ิมเติมการปกครองประชาธิปไตยภายใต้ หลักนิติธรรมให้มีแก่นสาระอิสระเร่อื งหลักการ - ความยุติธรรมรวมท้งั สิทธิของปัจเจกบุคคล ต่างๆ หากส่ิงสำ�คัญท้ายสุดคือท้ังหลักนิติธรรมและประชาธิปไตยซ่ึงต่างเป็นหลักคุณค่า ทางการเมืองท่ีสำ�คัญล้วนหย่ังรากลึกอยู่บนอุดมคติพ้ืนฐานอันลึกซ้ึงกว่าท่ีถือว่ารัฐบาล อันพึงปรารถนาใดๆ ล้วนต้องปฏิบัติต่อประชาชนในสถานะท่ีเท่าเทียมกัน๓๙ น่าสังเกตว่า ท่ีสุดแล้วแนวความคิดหลักนิติธรรมอันพึงปรารถนาของดวอร์ก้ินกลับมาเช่ือมโยงกับ ความเปน็ กฎหมายตามทฤษฎขี องเขาซง่ึ มใิ ชม่ เี พยี งแตก่ ฎเกณฑใ์ นตวั บทหากยงั ครอบคลมุ ถงึ หลกั การแหง่ ความยตุ ธิ รรม - ความเปน็ ธรรมและประชาธปิ ไตยซง่ึ มสี ทิ ธเิ ปน็ แกน่ ส�ำ คญั หลักนิติธรรมตามทรรศนะเช่นน้ีจึงเป็นอันหน่ึงอันเดียวกับทฤษฎีกฎหมายและการตัดสิน คดขี องดวอรก์ น้ิ ซง่ึ ตง้ั อยบู่ นฐานของสทิ ธ๔ิ ๐ ในเมอ่ื ทฤษฎกี ฎหมายของดวอรก์ น้ิ เนน้ ความ ส�ำ คญั ของกฎหมายในแงห่ ลกั การและความเทย่ี งตรงเปน็ ธรรม (Integrity) สงั คมการเมอื งใด ทย่ี ดึ มน่ั ในแนวทางหลกั นติ ธิ รรมดงั กลา่ วจกั ตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ ประชาชนของตนดว้ ยความเทย่ี งตรง เปน็ ธรรมเชน่ กนั ๓๙ Ibid., p. 32. ๔๐ Paul Craig, “Formal and Substantive Conceptions of the Rule of Law : An Analytical Framework,” in Richard Bellamy (Ed), The Rule of Law and the Separation of Powers, (Hampshire: Ashgate Publishing, 2005), p.107.
ขอ้ สงั เกตเชงิ วพิ ากษต์ อ่ ทฤษฎกี ฎหมายของดวอรก์ น้ิ แม้แนวความคิดหลักนิติธรรมของดวอร์ก้ินอาจไม่ได้รับการยอมรับจาก ผู้สนับสนุนหลักนิติธรรมแบบแรกท่ีเน้นรูปแบบอันเป็นทางการของการปกครอง โดยกฎหมาย แต่ใช่หรือไม่ว่าในความแข็งกระด้างและคลุมเครือในระดับใดระดับหน่งึ ของ กฎเกณฑ์แห่งกฎหมาย จุดเน้นหนักสำ�คัญในทฤษฎีของเขาในเร่ืองสิทธิ ความสัมพันธ์ เชิงแนวคิดระหว่างกฎหมายและศีลธรรม หลักการแห่งกฎหมาย หรือความเท่ียงตรง เป็นธรรมของกฎหมาย อย่างน้อยย่อมเป็นความคิดอุดมคติท่ีมีจุดหมายดีงามซ่ึงเป็นท่ี ปรารถนาของสังคมท่ีเป็นธรรม ย่ิงจำ�เพาะในท่ามกลางความเป็นจริงของสังคมท่ีมีการ ละเมิดสิทธิหรือปฏิเสธศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์อย่างแพร่หลาย การยืนยันในหลักความ เป็นหน่ึงเดียวของการใส่ใจต่อกฎหมายอย่างจริงจังและการใส่ใจต่อสิทธิอย่างจริงจัง ย่อมจัดเป็นหลักหมายสำ�คัญหน่ึงในการใช้อำ�นาจภายใต้ส่งิ ท่เี รียกว่าหลักนิติธรรมซ่ึงยาก จะปฏเิ สธได้ แมจ้ ะมคี �ำ ถามส�ำ คญั หลายๆ ขอ้ ด�ำ รงอยเู่ คยี งคกู่ ต็ าม ตัวอย่างคำ�ถามดังกล่าว อาจเร่ิมจากข้อถกเถียงเบ้ืองต้นเก่ียวกับความ แตกต่างระหว่างหลักการและนโยบาย ซ่ึงดวอร์ก้ินยืนยันว่าในคดีอันมีปัญหาซับซ้อน ผู้พิพากษาต้องตัดสินคดีบนพ้ืนฐานของหลักการอันเก่ียวข้องกับสิทธิพ้ืนฐานของ บุคคล ไม่ใช่ตัดสินในลักษณะเป็นการสร้างกฎหมายอย่างเงียบๆด้วยการอิงนโยบาย/ นโยบายสาธารณะท่ีเก่ียวข้องกับจุดหมายกว้างๆ ทางสังคม หลายฝ่ายกลับปฏิเสธ เร่ืองเส้นแบ่งอันชัดเจนระหว่างหลักการและนโยบาย หรือช้ีให้เห็นถึงการใช้ทดแทนกันได้ (Substitutability) ของถ้อยคำ�ท้ังสอง ดังตัวอย่างกรณีท่ีศาลอ้างอิงถึงเร่ืองนโยบาย สาธารณะทางเศรษฐกิจ ก็สามารถตีความส่ิงท่ีศาลกล่าวให้เป็นเร่ืองของหลักการอัน เก่ียวข้องกับสิทธิทางการเมืองของแต่ละบุคคลซ่ึงเป็นสมาชิกของชุมชน๔๑ นอกจากน้ี ความท่ดี วอร์ก้นิ ให้ความสำ�คัญอย่างมากต่อเร่อื งหลักการทางศีลธรรม - ความยุติธรรม ดังถือว่ากฎหมายคือการใช้อำ�นาจอย่างมีหลักการ และการใช้อำ�นาจทางกฎหมาย ตามระบบแห่งหลักการจักนำ�ไปสู่คำ�ตอบอันเท่ียงตรงถูกต้องเสมอในทุกข้อพิพาททาง ๔๑ J.W. Harris, Legal Philosophies, pp. 203 - 205. 38
39 กฎหมาย ผลลัพธ์แห่งการใช้อำ�นาจดังกล่าวท่ีเช่ือว่าจะทำ�ให้กฎหมายมีความเท่ียงตรง เป็นธรรม แม้เบ้ืองแรกสุดจะสร้างแรงบันดาลใจต่อภาพลักษณ์อันดีงามของกฎหมาย แต่ลึกๆ กลับอยู่ภายใต้คำ�ถามท่ีไม่ยอมรับต่อแนวคิดวัตถุนิยม/ภววิสัยนิยมทางศีลธรรม (Moral objectivism) ท่ีอยู่เบ้ืองหลัง ควบคู่กับการยืนยันต่อความขัดแย้งไม่ลงรอยใน ความคิดความเช่อื ทางศีลธรรมและการเมืองท้งั ในหม่ปู ระชาชนและผ้พู ิพากษาท่ตี ัดสินคดี อันยุ่งยากซับซ้อน ปัญหาความไม่ลงรอยในแนวคิดเก่ียวกับความยุติธรรมท่ีเคียงแข่งกัน หลากหลายและเป็นอัตวิสัย รวมท้ังปัญหาการไม่มีมาตรฐานร่วม/กลางใดๆ ท่ีใช้ ชง่ั วดั น�ำ้ หนกั คณุ คา่ ของสทิ ธติ า่ งๆ ทอ่ี าจขดั แยง้ กนั ได้ ดงั นน้ั แมผ้ พู้ พิ ากษาจะยดึ ถอื หลกั คดิ ในการ ใช้การตีความตามทฤษฏีของดวอร์ก้ินเคร่งครัด ผลลัพธ์ท่ีเป็นจริงของคำ�พิพากษาอาจ แตกตา่ งไมเ่ ปน็ ค�ำ ตอบอนั ตอ้ งตรงหนง่ึ เดยี วเสมอไป๔๒ ในแงน่ ้ี ฮารท์ (H.L.A. Hart) ควู่ วิ าทะ คนสำ�คัญจึงกล่าววิจารณ์ดวอร์ก้นิ ว่า เป็นนักฝันผ้สู ูงส่งต่ออุดมคติท่เี ป็นไปไม่ได ้ (Utopian noble dreamer) อนั เปน็ ความสดุ โตง่ ทางความคดิ แบบหนง่ึ ทเ่ี ปน็ ปฏกิ รยิ าอนั เกนิ เลยตอ่ แนวคดิ แบบฝนั รา้ ย (Nightmare view) ทไ่ี มเ่ ชอ่ื ใจตอ่ กฏเกณฑ์ (Rule skepticism) ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะสดุ โตง่ อกี แบบหนง่ึ ของพวกสจั นยิ มทางกฎหมายแบบอเมรกิ นั ๔๓ และหากเชอ่ื ในบทสรปุ เชงิ ภาษาศาสตรข์ องฮารท์ ทเ่ี หน็ วา่ ถอ้ ยค�ำ ทว่ั ไปทกุ เรอ่ื งลว้ นมเี นอ้ื หาทเ่ี ปดิ กวา้ งให้ โตเ้ ถยี งกนั ได ้ (Open texture) ทง้ั “หลกั การ” ทางกฎหมายและ “กฎเกณฑ”์ ทางกฎหมาย ย่อมล้วนประกอบด้วยถ้อยคำ�ท่ัวไปซ่ึงเปิดกว้างต่อการโต้เถียงหรือขัดแย้งได้เช่นเดียวกัน ลักษณะของกฎหมายท่ไี ม่สามารถก�ำ หนดผลได้เด็ดขาดแน่นอน (Legal Indeterminacy) จงึ ยอ่ มคงอยเู่ ชน่ กนั แมว้ า่ กฎหมายจะประกอบดว้ ยหลกั การ (ทม่ี เี หตผุ ลนา่ เลอ่ื มใสเพยี งใด) ควบค่กู ับกฎเกณฑ์ก็ตามที๔๔ เพราะเหตุน้เี องท่ที ำ�ให้หลายๆ ฝ่ายมีบทสรุปต่อแนวความคิด ทางกฎหมายในแง่ความเท่ียงตรงเป็นธรรมของดวอร์ก้ินว่าเป็นทฤษฎีกฎหมาย แนวบรรทดั ฐาน (Normative) ทม่ี งุ่ เนน้ ลกั ษณะกฎหมายทค่ี วรจะเปน็ มากกวา่ จะเปน็ ทฤษฎี ๔๒ Mark Tebbit, Philosophy of Law, pp. 64 - 68 ๔๓ Ibid., pp. 51 - 52 บทสรปุ รวมววิ าทะทางความคดิ ระหวา่ งฮารท์ และดวอรก์ น้ิ อาจศกึ ษา ไดใ้ น Michael Bayles, “Hart VS. Dworkin” : 349 - 381 ๔๔ David O. Brink, “Legal Theory, Legal Interpretation and Judicial Review”, Philosophy and Public Affairs, 17, 2 (Spring 1988): 111.
กฎหมายท่ีมีความสมจริง (Realistic) ดังท่ีสุดแล้วดูเหมือนเป็นทฤษฎีกฎหมาย ท่ีปรับใช้ได้เพียงเฉพาะในระบบกฎหมายท่ีมีมาตรฐานความยุติธรรมระดับหน่ึงแล้วเท่าน้ัน ไม่อาจใช้ได้ในระบบกฎหมายท่ไี ร้ความเป็นธรรม๔๕ จะอย่างไรก็ตาม แม้จะมีผ้สู นับสนุน บทวิจารณ์ในแง่มุมเหล่าน้อี ย่มู าก ดวอร์ก้นิ คงยืนยันเช่นเดิมว่าความไม่ลงรอยทางความ คิดมิได้หมายถึงการไม่มีคำ�ตอบอันถูกต้องโดยตัวมันเอง แม้ประชาชนจะมีข้อขัดแย้งใน ประเดน็ ทางศลี ธรรมจ�ำ นวนมาก แตก่ ม็ ใิ ชเ่ ปน็ ขอ้ พสิ จู นว์ า่ ไมม่ คี �ำ ตอบอนั ถกู ตอ้ งทางศลี ธรรม หรือคำ�พิพากษาซ่ึงต้ังอยู่บนรากฐานแห่งเหตุผลอันหนักแน่น ตัวอย่างการยืนยันว่าการ กระทำ�ทารุณกรรมต่อเด็กทารกเป็นส่ิงท่ีผิด (โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ) อาจนับเป็นบทสรุป ทางศลี ธรรมหนง่ึ ทย่ี ากจะปฏเิ สธไดใ้ นทา่ มกลางความขดั แยง้ ทางศลี ธรรมอนั หลากหลาย๔๖ แน่นอนท่ีข้อโต้แย้งของดวอร์ก้ินดังกล่าว ย่อมชวนให้สะดุดคิดอยู่ไม่น้อย แต่ในฟากตรงข้ามน่ีอาจมองเป็นกรณีตัวอย่างอันสุดโต่งท่ีสามารถหยิบยกข้ึนได้น้อยคร้ัง เชน่ กนั ในสายตาของทฤษฏกี ฎหมายฝา่ ยกา้ วหนา้ อาท ิ นติ ศิ กึ ษาแนววพิ ากษ ์ (Critical Legal Studies/CLS) กฎหมายจัดเป็นส่ิงท่ีเต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งและความไม่ คงเสน้ คงวาไรเ้ อกภาพอยา่ งมาก กระทง่ั เปน็ ไปไมไ่ ดใ้ นการกลา่ วถงึ ค�ำ ตอบอนั ถกู ตอ้ งเสมอ ข อ ง ข้ อ พิ พ า ท ห รื อ ก า ร ตี ค ว า ม ก ฎ ห ม า ย อั น เ ท่ี ย ง ต ร ง เ ป็ น ธ ร ร ม อ ย่ า ง แ น่ น อ น ยง่ิ เมอ่ื พจิ ารณากฎหมายในมติ ขิ องการเมอื งเชงิ อ�ำ นาจ (Powerpolitics) เบอ้ื งหลงั กฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายแนววิพากษ์กลับเช่ือม่ันว่าระบบกฎหมายมีความไม่เป็นธรรมหรือ มีลักษณะกดข่โี ดยพ้นื ฐานจากการส่งเสริมผลประโยชน์ของฝ่ายท่มี ่งั ค่งั และกล่มุ อภิสิทธ์ใิ น สังคม ในแง่น้ ี ความคิดเชิงบรรทัดฐานของดวอร์ก้นิ ในเร่อื งหลักการทางศีลธรรมท่ดี ีท่สี ุด (Best moral principles) ซ่งึ เข้ากันได้สนิท (Fit) กับกฎเกณฑ์ในระบบกฎหมายย่อมไม่ (มีพลังอำ�นาจ) เพียงพอในการยกระดับกฎหมายให้อยู่เหนือการเมืองเชิงอำ�นาจได้ หลักการดังกล่าวส่วนใหญ่ในสภาพท่ีเป็นจริงจึงสะท้อนผลประโยชน์ของผู้มีอำ�นาจ อนั จะท�ำ ใหก้ ฎหมายมใิ ชเ่ ปน็ ความเทย่ี งตรงเปน็ ธรรมตามความเชอ่ื ของดวอรก์ น้ิ แตอ่ ยา่ งใด๔๗ ๔๕ J.W. Harris, Legal Philosophies, pp.196 - 197. ๔๖ Andrew Altman, Arguing About Law An Introduction to Legal Philosophy, p. 47. ๔๗ Ibid., p. 48. 40
41 แนน่ อนวา่ ดวอรก์ น้ิ ยอ่ มปฏเิ สธวา่ ความคดิ ขา้ งตน้ เปน็ ความสดุ ขว้ั ทางความคดิ แบบหน่ึงท่ีให้ความสำ�คัญกับการเมืองเชิงอำ�นาจมากไป แต่เช่นเดียวกันบางฝ่ายอาจต้ัง คำ�ถามกลับต่อความสุดข้ัวในความคิดเชิงอุดมคติของดวอร์ก้ินซ่ึงมีมิติทางการเมือง ผสมผสานอยา่ งเขม้ ขน้ เหมอื นกนั ความแตกตา่ งอยทู่ ฝ่ี า่ ยหนง่ึ เชอ่ื วา่ กฎหมายคอื การเมอื ง หรือการแสดงออกของอำ�นาจทางการเมืองซ่ึงอาจมีหรือไม่มีศีลธรรมในการเมืองน้ันๆ แต่อีกฝ่ายเช่ือม่ันว่ากฎหมายคือการใช้อำ�นาจอย่างมีหลักการทางศีลธรรมการเมือง ฝ่ายแรกดูเหมือนจะเน้นโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่าอุดมคติ ขณะท่ีฝ่ายหลังกลับ พยายามทำ�ให้ความคิดอุดมคติกลายเป็นบรรทัดฐานเชิงข้อเท็จจริงแต่กลับมิได้เป็นเช่นน้นั เสมอไปในความเป็นจริง ทำ�นองเดียวกับกรณีเฮอคิวลิสหรือผู้พิพากษาท่ีเป็นอภิมนุษย์ เปร่ืองปราชญ์ก็ตกอยู่ใต้บทวิพากษ์ว่าเป็นความคิดอุดมคติสุดข้ัวเช่นกัน สำ�หรับ ฝา่ ยตรงขา้ มกบั ดวอรก์ น้ิ เฮอควิ ลสิ คอื ตวั แทนของแนวคดิ วตั ถนุ ยิ ม/ภววสิ ยั นยิ มทางศลี ธรรม (Moral objectivism) ซ่ึงไม่มีอยู่จริงหรือกระท่ังเป็นผู้ทำ�หน้าท่ีแทนพระเจ้าผู้มีอำ�นาจ สัมบูรณ์หรือสัพพัญญูผู้รอบรู้ความถูกต้องยุติธรรมท้ังหมด ในมุมมองวิพากษ์เช่นน้ี ทฤษฎีการตีความอย่างสร้างสรรค์ (Constructive interpretation) ซ่งึ แทนค่าการตีความ กฎหมายอยา่ งเปน็ องคร์ วม (Holistic approach) ของเฮอควิ ลสิ เพอ่ื บรรลสุ กู่ ารเมอื งทด่ี ที ส่ี ดุ จึงมิได้เป็นอะไรมากไปกว่าการนำ�เอาแนวคิดเก่าท่หี มดความน่าเช่อื ถือของแบบแผนนิยม ทางกฎหมาย (Legal formalism) เวียนกลับมาเผยแพร่โดยใช้คำ�อธิบายใหม่จากการประกาศว่า ผพู้ พิ ากษาทเ่ี ปน็ มนษุ ยซ์ ง่ึ รจู้ กั ผดิ พลาดสามารถสลดั ภาวะอตั วสิ ยั (Subjectivity) ของตวั เอง ท้ิงได้และใช้/ตีความกฎหมายอย่างเป็นองค์รวมในการก้าวข้ามปัญหาศีลธรรมอันยาก ลำ�บากและความขัดแย้งระหว่างสิทธิต่างๆจนค้นพบคำ�ตอบอันถูกต้องท่ียากต่อการเข้าถึง ทว่าแท้จริงกลับมิได้ดำ�รงอยู่ในความเป็นจริง๔๘ แน่ละว่าหากไม่มีมนุษย์ใดสามารถ เป็นตัวแทนของพระเจ้าได้แล้ว ผู้พิพากษาเย่ียงเฮอคิวลิสท่ีใช้อำ�นาจทางกฎหมาย ๔๘ Mark Tebbit, Philosophy of Law, p. 63.
อยา่ งเทย่ี งตรงเปน็ ธรรมหรอื หยง่ั รถู้ งึ หลกั การแหง่ ความยตุ ธิ รรม - สทิ ธพิ น้ื ฐานอนั ชอบธรรมไดเ้ สมอ ย่อมเป็นบุคคลท่ีดำ�รงอยู่เพียงในโลกแห่งทฤษฎีเท่าน้ัน ไม่มีบุคคลดังกล่าวในโลก แห่งความเป็นจริงไม่ต่างจากความฝันอันล้มเหลวเร่ืองราชาปราชญ์ (Philosopher king) ของเพลโต (Plato) ท้ังหลายท้ังปวงจึงเป็นเพียงความเช่ือแบบหน่ึง บางทีแล้ว อาจตอ้ งไตรต่ รองกนั จรงิ จงั วา่ ใชห่ รอื ไมท่ พ่ี วกเราทง้ั หมดตา่ งลว้ นตกเปน็ นกั โทษของความ เช่อื ต่างๆ ท่เี ราต่างยึดม่นั ถือม่นั (แตกต่างกัน)๔๙ และส่วนหน่งึ ท่ที ำ�ให้เฮอคิวลิสมีอย่ใู น โลกแห่งความเช่อื หรือโลกแห่งเทพนิยายทางกฎหมาย ยังอาจเกิดจากจุดอ่อนทางทฤษฎี ทม่ี ไิ ดม้ องการตคี วามกฎหมายในความเปน็ จรงิ ทางสงั คมวทิ ยาซง่ึ มปี จั จยั ควบคมุ /มอี ทิ ธพิ ล ต่อการตีความหลายๆ ส่วนอันสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคมของชุมชนท่ีเก่ียวข้อง แรงกดดนั สง่ิ เหนย่ี วรง้ั ตา่ งๆ รวมทง้ั เงอ่ื นไขความขดั แยง้ ซง่ึ ด�ำ รงอยจู่ รงิ ๕๐ พน้ จากนแ้ี ลว้ เราอาจตอ้ งรบั ฟงั เชน่ กนั ตอ่ ขอ้ วจิ ารณก์ ารใชอ้ �ำ นาจเชงิ การเมอื ง ของเฮอคิวลิส เพราะขณะท่ีดวอร์ก้ินปฏิเสธข้อวิจารณ์ของทฤษฎีกฎหมายแนววิพากษ์ โดยยอ้ นกลบั ไปสปู่ ระเดน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมาย - การเมอื งทด่ี เู ขม้ ขน้ เกนิ ไปในทฤษฎี แนววพิ ากษ์ บางฝา่ ยกลบั มองวา่ หากยดึ ถอื แนวทางการใชก้ ารตคี วามกฎหมายแบบเฮอควิ ลสิ ผู้พิพากษาน้ันๆ จักใช้อำ�นาจในลักษณะท่ีเป็นการเมืองมากเกินไปเหมือนกันจนกลายเป็น การปกครองโดยการเมืองของฝ่ายตุลาการ (Politics of the judiciary) (แทนท่กี ารปกครอง โดยหลักนิติธรรม)๕๑ สืบเน่ืองจากการตีความกฎหมายในแบบอภิมนุษย์สัมพันธ์กับการ พิจารณากฎหมายอย่างเป็นองค์รวม (Holistically) ในลักษณะเช่ือมโยงกับกฎหมาย อ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้อง ละท้ิงกฎหมายท่ีผิดพลาดบกพร่อง กำ�หนดตัดสินต่อส่ิงท่ีเป็นความ ๔๙ J.W. Harris, Legal Philosophies, p.194. ๕๐ Roger Cotterrell, The Politics of Jurisprudence A Critical Introduction to Legal Philosophy, (UK: Lexis Nexis, 2003), p.173 ; M.D.A. Freeman, Lloyd’s Introduction to Jurisprudence, (London: Sweet & Maxwell, 1996), pp. 1276 - 1277 ๕๑ J.W. Harris, Legal Philosophies, p. 200. 42
43 ตอ้ งการของความยตุ ธิ รรมอนั แทจ้ รงิ หรอื สรปุ มาตรฐานทางศลี ธรรมรว่ มสมยั โดยมคี วาม ระมัดระวังในการใช้อำ�นาจตามกระบวนการท่ีเป็นธรรมในวิธีพิจารณาความท้ังหมด ของการใช้อำ�นาจในลักษณะน้ีล้วนเก่ียวข้องกับข้อวินิจฉัยทางการเมืองอันมีจุดหมาย สกู่ ารเมอื งทด่ี ที ส่ี ดุ (Best politics) ดงั กลา่ วผา่ นมา ถงึ แมว้ า่ ดวอรก์ น้ิ จะแยง้ วา่ การเมอื ง ของผพู้ ิพากษาแบบเฮอควิ ลิสเป็นการเมอื งทต่ี ง้ั อย่บู นหลักการทางศีลธรรม/ความยุติธรรม ไม่ใช่การเมืองท่ีเป็นเร่ืองความเช่ือส่วนบุคคลอีกท้ังเป็นการเมืองท่ีมีฐานทางศีลธรรม หนักแน่นอันเก่ียวกับสิทธิในความเสมอภาคและความเป็นภราดรภาพของมนุษย์ท้ังผอง แตน่ า่ คดิ วา่ ตราบเทา่ ทป่ี ญั หาความขดั แยง้ ไมล่ งรอยทางศลี ธรรม/ขอ้ วนิ จิ ฉยั ทางศลี ธรรม/ ความยุติธรรม รวมท้งั สิทธิอันหลากหลายท่ขี ัดแย้งกันได้เสมอ ยังล้วนเป็นปัญหาท่ดี �ำ รง อยู่จริงท่ามกลางความเป็นมนุษย์ปุถุชนของทุกฝ่ายและการเมืองเชิงอำ�นาจอันเข้มข้น ดังน้แี ล้วการเมืองท่มี ีศีลธรรม/ศีลธรรมทางการเมืองซ่งึ สัมพันธ์ใกล้ชิดกับกฎหมาย/การใช้ กฎหมายตามแนวทางของดวอร์ก้ิน ท้ายสุดย่อมหนีไม่พ้นความไม่ชัดเจนแน่นอนและ ไมอ่ าจประกนั ความเทย่ี งตรงเปน็ ธรรมในการใชก้ ารตคี วามกฎหมายไดเ้ สมอไป๕๒ ความข้อน้ีอาจเห็นได้ชัดในบทวิพากษ์ของฝ่ายนิติศึกษาแนววิพากษ์ (Critical legal studies) ทม่ี องการปะทะขดั แยง้ ระหวา่ งแนวคดิ ปจั เจกชนนยิ ม (Individualism) และแนวคิดท่ีเห็นแก่ประโยชน์ผู้อ่ืนเป็นสำ�คัญ (Altruism) ว่าเป็นคู่ ความขัดแย้งแม่บท ในโครงสร้างระดับลึกของแนวคิดเสรีนิยมและทฤษฎีกฎหมายแบบเสรีนิยมท้งั หลายท่ยี าก จะแกต้ กไดใ้ นสังคมเสรนี ยิ ม อันนำ�ไปส่คู วามไม่แน่นอนในผลลพั ธ์ของกฎหมายซง่ึ ไมอ่ าจ หลกี เลย่ี งได ้ แมจ้ ะมกี ารยนื ยนั การใชก้ ฎหมายบนพน้ื ฐานของ “หลกั การ” ดงั วา่ แตส่ �ำ หรบั ฝ่ายนิติศึกษาแนววิพากษ์แล้วระบบกฎหมายท่นี ่าเช่อื ถือใดๆ ล้วนประกอบด้วยหลักการ ท่ขี ัดแย้งกันเอง (Contradictory principles) อย่างไม่อาจเปล่ยี นแปลงได้ อันเน่อื งจาก ๕๒ โดยวิธีคิดอันไม่แตกต่างกัน บางฝ่ายจึงเช่ือม่ันว่า หากเราใส่ใจต่อแนวคิดพหุนิยม อย่างจริงจัง (Take pluralism seriously) ท้ังในมิติของปรากฏการณ์ท่ีเป็นจริงและในแง่บรรทัดฐาน เชิงคุณค่า เราคงต้องปฏิเสธหลักการกฎหมายหน่ึงเดียวและหลักคำ�ตอบอันถูกต้องหน่ึงเดียวของ ดวอรก์ น้ิ ; Rosenfeld Michel, “Dworkin and the One Law Principle : A Pluralist Critique,” สบื คน้ จาก www.cairn.info/revue-internationale-de-philosophie-2005-3-page-363.htm
วสิ ยั ทศั นท์ างศลี ธรรมทไ่ี มอ่ าจลงรอยกนั ไดใ้ นสงั คม จนแมพ้ วกเราเองยงั เกดิ การแบง่ แยก ภายในตวั เราเองเมอ่ื เขา้ สู่ (การขบคดิ ) เรอ่ื งปจั เจกชนนยิ มและการเหน็ แกป่ ระโยชนข์ องผอู้ น่ื เพราะเหตุน้ีหลักการและหลักการท่ีเป็นปรปักษ์ขัดแย้ง (Counterprinciple) ในระบบ กฎหมายจึงไม่อาจปรับสมานเข้ากันได้เน่ืองจากมันเกิดข้ึนจากวิสัยทัศน์ทางศีลธรรม และการเมือง ท่ีเข้ากันไม่ได้ ดังลึกๆแล้วแนวคิดปัจเจกชนนิยมและแนวคิดเห็นแก่ ประโยชน์ผู้อ่ืนเป็นส่ิงท่ีเข้ากันไม่ได้ในเชิงตรรกะ ดังน้ันจึงไม่มีความคิดเชิงบรรทัดฐาน ท่ีอยู่สูงส่งกว่า (Higher-order normative viewpoint) ใดๆ ท่ีจะใช้ไกล่เกล่ีย ความไม่ลงรอยดังกล่าวได้จริง๕๓ ความไม่แน่นอน ทางกฎหมายเช่นน้ีย่อมชวนให้คิด ว่าเป็นบทสรุปท่ีแตกต่างสักเพียงใดจากแนวคิด แบบหลังสมัยใหม่ (Postmodern approach) ตามค�ำ อธบิ ายของฟสิ ต ์ (Stanley Fish) ซง่ึ เชอ่ื วา่ ถงึ ทส่ี ดุ แลว้ กฎหมายสามารถ ถูกลดทอน (Reducible) ให้เป็นเพียงเร่ืองคารมโวหาร (Rhetoric) จนทำ�ให้มีคำ�ตอบท่ี “ถูกต้อง”ได้หลากหลายมากมายในการตัดสินคดีท่ีซับซ้อนตามแต่การหย่ังถึงโดยอาศัย ทกั ษะพลกิ แพลงเชงิ คารมโวหาร (Rhetorical skills) ของผพู้ พิ ากษาตา่ งๆ๕๔ หากบทวิพากษ์ข้างต้นมีนำ้�หนักแห่งเหตุผลพอ เราอาจต้องคิดต่อว่า ปรากฏการณ์ตุลาการเปล่ียนแปลงสังคม-การเมือง (Judicial activism) อันชอบธรรม ซ่ึงดวอร์ก้ินเห็นว่าต้องกระทำ�บนพ้ืนฐานของหลักการ (Principled judicial activism) แม้จะเป็นการกำ�หนดฐานคิดซ่งึ มีเหตุผลท่ดี ีซ่งึ ม่งุ ปิดก้นั ยับย้งั มิให้ตุลาการตีความกฎหมาย ในลกั ษณะสรา้ งกฎเกณฑข์ น้ึ ใหมต่ ามความเชอ่ื สว่ นตนอนั ขดั แยง้ กบั หลกั การประชาธปิ ไตย หลักการแบ่งแยกอำ�นาจ (ทำ�นองเดียวกับปรากฏการณ์ “ตุลาการภิวัตน์” ในสังคมไทย ตลอดช่วงทศวรรษแห่งความแตกร้าวใหญ่ท่ีผ่านมา) แต่ท้ายสุดก็ไม่มีหลักประกันเสมอ ไปว่าจะทำ�ให้เกิดคำ�ตอบ/คำ�พิพากษาท่เี ท่ยี งตรงเป็นธรรมเสมอไปตราบเท่าท่ยี ังมีปัญหา ๕๓ Andrew Altman, Critical Legal Studies: A Liberal Critique, (Princeton: Princeton University Press,1993), p.125. ๕๔ Rosenfeld Michel, “Dworkin and the One Law Principle : A Pluralist Critique,” p.14. 44
45 ถกเถียงเก่ียวกับความหลากหลายไม่ชัดเจนของหลักการ - สิทธิ หรือข้อถกเถียงท่ี หลายๆ ฝา่ ยไมย่ อมรบั ตอ่ เสน้ แบง่ อนั แนน่ อนระหวา่ งหลกั การและนโยบายตามขอ้ ยนื ยนั ของ ดวอร์ก้ิน มีความเป็นไปได้มากท่ีคำ�พิพากษาจะมีการอ้างเหตุผลในเชิง “หลักการ” อยา่ งผดิ พลาดหรอื บดิ เบอื น หรอื กระทง่ั มคี �ำ พพิ ากษาทเ่ี ปน็ ไปตามหลกั การ แตก่ ลบั สง่ ผลลพั ธ์ ท่ีไม่พึงปรารถนาได้เช่นกัน ดังตัวอย่าง คำ�พิพากษาศาลสูงสุดอเมริกาในช่วงปี คศ. ๑๘๙๐-๑๙๓๗ ท่สี นับสนุนแนวทางเศรษฐกิจแบบปล่อยเสรี (Laissez-faire economic decisions) ซง่ึ มกี ารกลา่ ววา่ เปน็ การพพิ ากษาตาม “หลกั การ” เชน่ กนั โดยตง้ั อยบู่ นพน้ื ฐาน ของหลักเสรีภาพในการทำ�สัญญาในฐานะท่ีเป็นสิทธิส่วนบุคคลข้ันพ้ืนฐาน แต่น่าคิดว่า ดวอรก์ น้ิ จะยอมรบั ความถกู ตอ้ งของค�ำ พพิ ากษาดงั กลา่ วไดห้ รอื ซง่ึ จรงิ ๆ แลว้ เออ้ื ประโยชน์ แก่กลุ่มทุนมากกว่าลูกจ้าง - ผู้ด้อยอำ�นาจในสังคม เช่นเดียวกับบางข้อโต้แย้งท่ีอิงอยู่ กบั “หลกั การ” อาจกลายเปน็ สง่ิ เลวรา้ ยชดั เจนไดเ้ ชน่ กนั ในบางทรรศนะ ดงั การปฏบิ ตั ติ อ่ บุคคลอย่างโหดเห้ียมไม่เป็นธรรมในทางศาสนาผ่านทางศาลศาสนาในอดีต ล้วนเป็นไป ตามหลกั การแบบหนง่ึ (ทางศาสนา) ไมใ่ ชเ่ กดิ จากการคาดค�ำ นวณแบบอรรถประโยชน์๕๕ โลกแห่งความเป็นจริงทางตุลาการสมัยใหม่จึงคละเคล้าด้วยคำ�พิพากษาท่ีเป็นธรรมและ ไม่เป็นธรรม ดังแม้ดวอร์ก้ินยังเคยวิจารณ์รุนแรงต่อคำ�พิพากษาของศาลสูงสุดอเมริกา ในบางคดี อาทิ คดี Citizens United v.FEC, 2010 ว่าเป็นคำ�พิพากษาท่ี “คุกคาม ประชาธปิ ไตย” กอ่ ผลรา้ ยนา่ หวาดกลวั ตอ่ ประเทศชาติ จากการประกาศวา่ บรษิ ทั เอกชน และสหภาพมีสิทธิทางรัฐธรรมนูญในการให้เงินสนับสนุนมากเท่าท่ีต้องการ/ไม่จำ�กัด จำ�นวนแก่ผู้สมัครเลือกต้ังในการหาเสียงเลือกต้ังทางการเมือง น่ีคือคำ�พิพากษา อนรุ กั ษน์ ยิ มในสายตาของดวอรก์ น้ิ ทเ่ี ปรยี บเสมอื นการถอยหลงั ยอ้ นสยู่ คุ หนิ ทางรฐั ธรรมนญู ของอดุ มการณฝ์ า่ ยขวา๕๖ ๕๕ Christopher Wolfe , “Three Contemporary Theories of Judicial Review : A Critical Review,” สบื คน้ จาก http://isistatic.org/journal_archive/pr/15_01/wolfe.pdf ๕๖ Justice Peter Applegarth, “Taking Life Seriously: the legacy of Ronald Dworkin,” p.4, สบื คน้ จาก http:www.hearsay.org.au/index.php?option=com_content&task=view&id=1480&Ite…
เม่ือหวนกลับมายังตัวบุคคลในโลกแห่งความจริง ผู้พิพากษาท่ีแบกรับ ภารกิจอุดมคติแบบดวอร์ก้ิน ล้วนมีข้อจำ�กัดทางความคิด/อุดมการณ์หรือการเมือง เชิงอำ�นาจในสภาพทเ่ี ปน็ จริงทง้ั สน้ิ นอกเหนอื จากความส�ำ คญั อยา่ งย่งิ ของอิสระตุลาการ ท่ีเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมจำ�นวนมาก เป็นไปได้ท่ีการใช้การตีความกฎหมาย อย่างสร้างสรรค์และเป็นองค์รวมเพ่ือค้นพบกฎหมายอันเท่ียงตรงเป็นธรรมซ่ึงสอดคล้อง กับการเมืองท่ีดีท่ีสุด สุดท้ายแล้วอาจเป็นเพียงม่านควันท่ีบดบังความจริงทำ�ให้ ผู้พิพากษาสามารถเลือกใช้ความคิดความเช่ือทางศีลธรรมและการเมืองส่วนตัวในการ กำ�หนดคำ�พิพากษาท่ีเป็นจริง๕๗ น่ีย่อมมิใช่เป็นการปฏิเสธทฤษฎีกฎหมายของดวอร์ก้ิน โดยส้ินเชิง แต่อาจเป็นข้อเตือนสติท่ีดีในการระมัดระวังและตรวจสอบผู้พิพากษาท้ังท่ีใช้ อำ�นาจตามปกติหรือท่ใี ช้อำ�นาจตามรอยอภิมนุษย์แบบเฮอคิวลิส เพราะแม้ดวอร์ก้นิ เอง ก็ยอมรับว่า หากผู้พิพากษามิได้ใช้อำ�นาจภายใต้สิ่งเหน่ียวร้ังท่ีสำ�คัญแห่งหลัก นิติธรรม กล่าวคือ ความซ่ือตรงต่อหลักการ ความโปร่งใส การปรับใช้หลักการ อยา่ งคงเสน้ คงวา และการไมส่ รา้ งขอ้ ยกเวน้ (ตามใจชอบ) ในการปรบั ใชห้ ลกั การทางกฎหมาย ซ่ึงส่งผลลัพธ์ท่ีไม่ต้องตรงใจตน ผู้พิพากษาเหล่าน้ันก็เป็นเพียงนักการเมืองท่ีมิได้มาจาก การเลือกต้ังเท่าน้ันเอง๕๘ น่าคิดว่าจะมีผู้พิพากษามากน้อยเพียงใดท่ีเคารพยึดม่ันใน สง่ิ เหนย่ี วรง้ั ดงั กลา่ วอยา่ งสมำ�่ เสมอ หรอื มนี กั การเมอื งทม่ี ไิ ดม้ าจากการเลอื กตง้ั ในศาลตา่ งๆ มากมายเพยี งใด บทสรปุ : ความทา้ ทายในภารกจิ กฎหมายของนกั ฝนั (รว่ ม) ทเ่ี ปย่ี มคณุ ธรรม แนน่ อนวา่ ในโลกทเ่ี ปน็ จรงิ ผพู้ พิ ากษาเยย่ี งเฮอควิ ลสิ ยอ่ มสามารถกระท�ำ ผดิ พลาด ไดเ้ สมอ และจ�ำ เปน็ ตอ้ งอยใู่ ตก้ ารตรวจสอบวพิ ากษว์ จิ ารณอ์ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งเชน่ กนั กระนน้ั ก็ตามตราบเท่าท่ีสังคมยังจำ�ต้องมีความเช่ือความศรัทธาต่อหลักนิติธรรม อย่างน้อย ๕๗ J.W. Harris, Legal Philosophies, p. 210. ๕๘ Cited in Justice Peter Applegarth, “Taking Life Seriously : the legacy of Ronald Dworkin,” p. 4. 46
47 เฮอคิวลิสอาจเป็นตัวแบบอุดมคติหรือบุคลาธิษฐานแห่งความยุติธรรมท่ผี ้พู ิพากษาซ่งึ เป็น มนษุ ยเ์ ดนิ ดนิ ทว่ั ไป หรอื กระทง่ั นกั กฎหมายทม่ี งุ่ มน่ั ตอ่ ความเปน็ ธรรมตอ้ งพยายามเขา้ ถงึ ทีละน้อยๆ แม้จะไม่สมบูรณ์หรือเป็นไปไม่ได้ท่ีจะเข้าถึงได้อย่างสมบูรณ์ก็ตามที ท้ังน้ี ตอ้ งไมล่ มื วา่ โลกแหง่ อดุ มคตทิ างกฎหมายของดวอรก์ น้ิ จรงิ ๆ แลว้ คอื การผลติ ซ�ำ้ อยา่ งแยบยล ต่อความเช่อื ม่นั ปรัมปราทางนิติศาสตร์แบบหน่ึงท่ีถือเอาความยุติธรรมเป็นองค์ประกอบ อันจำ�เป็นและอยู่เหนือกฎหมาย เคียงค่กู ับการมองความขัดแย้งพ้ืนฐานท่ลี ึกสุดระหว่าง ปัจเจกบุคคลและสังคมว่าเป็นปัญหาความยุติธรรมซ่ึงแยกไม่ออกจากวาทกรรมเร่ือง หลกั การทางศลี ธรรม - การเมอื ง สทิ ธพิ น้ื ฐาน และศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ยอ์ นั เทา่ เทยี มกนั ภายใต้ฐานคิดท่มี ีความยุติธรรมเป็นตัวต้งั และยืนยันความเป็นกฎหมายในแง่เป็นเคร่อื งมือ สู่ความยุติธรรมแบบเสรีนิยมก้าวหน้าท่ีเทิดทูนสิทธิในความเสมอภาคและความเป็น ภราดรภาพของมนุษย์ท่ีล้วนมีศักด์ิศรีเสมอกัน จะอย่างไรก็ดี แม้ความเช่ือม่ันดังกล่าว จะห่างไกลจากโลกแห่งความเป็นจริงซ่ึงเต็มไปด้วยความเหล่อื มล�ำ้ ไม่เท่าเทียม การต่อสู้ ช่วงชิงอำ�นาจทางการเมืองอย่างเข้มข้น การละเมิดคุกคามสิทธิมนุษยชน หรือความ ยุติธรรมแบบสองมาตรฐาน ใช่หรือไม่ว่า ภารกิจของนักฝันท่ีเป่ียมคุณธรรม (Noble dreamer) อยา่ งดวอรก์ น้ิ ยงั คงคณุ คา่ ในระดบั สำ�คญั ตอ่ การรว่ มสบื สานทง้ั ในแงพ่ ลงั บนั ดาลใจ และการกระทำ�ทางกฎหมายท่ีเป็นธรรม อย่างน้อยในหมู่นักมนุษยนิยมทางกฎหมาย ท้ังปวงท่ีเช่ือว่าการดำ�เนินรอยตามทฤษฎีกฎหมายเช่นน้ีคือส่วนหน่ึงของการครองตนอยู่ ในชีวิตท่ดี ีงาม และส่วนหน่งึ ของภารกิจในการแก้ไขความจำ�กัดอ่อนแอของหลักนิติธรรม ท่ปี รากฏแพร่หลายในสังคมต่างๆ รวมท้งั สังคมไทยท่ตี ิดหล่มลึกในวังวนแห่งวิกฤติเปล่ยี นผ่าน ปัจจุบันท่ามกลางความมืดสลัวและสับสนท้ังทางความคิดและการปฏิบัติในเร่ือง หลักนิติธรรมและศักด์ศิ รีความเป็นมนุษย ์ ทว่าในขณะเดียวกันก็เป็นทฤษฎีท่สี มควรสานต่อ พร้อมๆ กับการตระหนักร้อู ย่างจริงจังต่อบทวิพากษ์ข้อจ�ำ กัดต่างๆ จากทฤษฎีกฎหมาย ฝ่ายตรงข้ามอ่ืน เพียงกระน้ันแม้พวกเขาจะมองกฎหมายในแง่ลบมากกว่า แต่แท้จริง ท่สี ุดแล้ว ท้งั หมดอาจมีความเช่อื ม่นั ลึกๆ ร่วมกันต่อการต่อส้สู ร้างสรรค์สังคมท่ยี ุติธรรม ซ่ึงปกครองโดยกฎหมายท่ีเท่ียงตรงเป็นธรรม รวมท้ังมีความใฝ่ฝันต่อชีวิตท่ีดีงาม
และมีศักด์ศิ รี ซ่งึ อาจไม่ผิดแผกนักจากสาระ(บางส่วน)ในหนังสือเล่มสุดท้ายแห่งชีวิตของ ดวอรก์ น้ิ ๕๙ : “…..ความยตุ ธิ รรมในจนิ ตนาการของเราเรม่ิ ตน้ จากสง่ิ ทด่ี เู หมอื นเปน็ ขอ้ เสนอ ทไ่ี มอ่ าจทา้ ทายไดท้ ว่ี า่ รฐั บาลตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ ผทู้ อ่ี ยใู่ ตอ้ �ำ นาจตนดว้ ยความใสใ่ จเปน็ หว่ งใย และเคารพนบั ถอื อยา่ งเสมอภาค ความยตุ ธิ รรมดงั กลา่ วจกั ไมค่ กุ คาม หากมแี ตแ่ ผข่ ยาย อิสรภาพ ไม่ยอมให้มีการแลกเปล่ียนเสรีภาพเพ่ือความเสมอภาคหรือส่ิงท่ัวไปอ่ืนๆ ไมส่ รา้ งความงอ่ ยเปลย้ี ออ่ นแอตอ่ การประกอบกจิ การตา่ งๆ เพอ่ื ผลประโยชนอ์ นั เปน็ มายา หลอกลวง ไมช่ น่ื ชอบทง้ั รฐั บาลทใ่ี หญโ่ ตหรอื รฐั บาลขนาดเลก็ หากมแี ตเ่ พยี งรฐั บาลทย่ี ตุ ธิ รรม ความยตุ ธิ รรมเกดิ ขน้ึ จากความมศี กั ดศ์ิ ร ี (Dignity) และมงุ่ สคู่ วามมศี กั ดศ์ิ รี มนั ท�ำ ใหเ้ ราสามารถมชี วี ติ ทด่ี อี นั ถกู ตอ้ งไดง้ า่ ยและเปน็ ไปไดม้ ากขน้ึ รำ�ลึกไว้ด้วยว่ามีส่งิ ท่เี ป็นเดิมพันส�ำ คัญย่งิ กว่าความตาย หากปราศจากความ มศี กั ดศ์ิ ร ี ชวี ติ ของเรากเ็ ปน็ เพยี งแสงกะพรบิ รบิ หรแ่ี หง่ กาลเวลา แตห่ ากเราครองตนสกู่ ารมี ชวี ติ ทด่ี ไี ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เราจกั สรรคส์ รา้ งสง่ิ ทส่ี �ำ คญั ยง่ิ กวา่ ไดจ้ ารกึ ค�ำ อทุ ศิ ใหก้ บั การจากไป จากโลกน้ีของเรา และทำ�ให้ชีวิตเราเป็นประหน่ึงเกล็ดเพชรน้อยๆ (ท่ีระยิบระยับ) อยบู่ นผนื ทรายแหง่ จกั รวาล.” ๕๙ Ronald Dworkin, Justice for Hedgehogs, (Cambridge,: Harvard University Press, 2011), p. 423. 48
Search