1.2 ความตอ้ งการพลังงานของรา่ งกาย (ต่อ) คา่ พลงั งานของสารอาหาร (Energy value of nutrient) • เม่ืออาหารเข้าสู่ร่างกาย จะต้องผ่านกระบวนการย่อยในกระเพาะอาหารและลาไส้เล็ก แลว้ ดดู ซึมทีล่ าไสเ้ ล็กสว่ นต้น การยอ่ ยและการดูดซึมนจ้ี ะมสี ารอาหารบางส่วนสญู เสียไป – คาร์โบไฮเดรต สญู เสียไป 2% (ดดู ซึมได้ 98%) – ไขมนั สญู เสยี ไป 5% (ดูดซึมได้ 95%) – โปรตนี สูญเสยี ไป 8% (ดดู ซมึ ได้ 92%) • ดังนนั้ จานวนพลังงานที่เกดิ จากการออกซิไดส์สารอาหารในร่างกายจริงๆ จะลดลง – คาร์โบไฮเดรต 4.10 * (98/100) = 4.10 กิโลแคลอรตี ่อกรัม – ไขมนั 9.45 * (95/100) = 8.98 กโิ ลแคลอรีตอ่ กรัม – โปรตนี 4.10 * (92/100) = 4.05 กโิ ลแคลอรีต่อกรมั 51 NPRU
1.2 ความต้องการพลังงานของรา่ งกาย (ต่อ) ค่าพลงั งานของสารอาหาร (Energy value of nutrient) สารอาหาร พลงั งานความร้อนทเ่ี กดิ จาก พลงั งานความร้อนทีเ่ กิดข้นึ การเผาไหม้ ในร่างกาย Kcal/g KJ/g Kcal/g KJ/g คารโ์ บไฮเดรต 4.10 17 4.00 17 โปรตนี 5.65 24 4.00 17 ไขมัน 9.45 39 9.00 37 ทม่ี า : ข้อมูลจาก Mudambi and Rajagopal (2007) 52 NPRU
1.2 ความต้องการพลังงานของร่างกาย (ตอ่ ) คา่ พลังงานของสารอาหาร (Energy value of nutrient) • แอลกอฮอล์ท่ีมีในเบียร์ ไวน์ และ เหล้าชนิดต่างๆเป็นเอทิลแอลกอฮอล์ เมื่อด่ืมเข้าสู่ร่างกาย ดูดซึมรวดเร็วท่ี กระเพาะอาหาร เน่ืองจากมีโมเลกุล ขนาดเล็กและให้พลังงาน 7 กิโล แคลอรี หรอื 29 กิโลจูลต่อกรมั 53 NPRU
1.2 ความต้องการพลงั งานของร่างกาย (ตอ่ ) วธิ กี ารคานวณพลงั งานของสารอาหาร • ตัวอย่าง เช่น ข้าวสารน้าหนัก 100 กรัม ประกอบด้วยน้า 11.8 กรัม โปรตีน 7 กรัม ไขมัน 0.7 กรมั และคาร์โบไฮเดรต 80.2 กรัม สามารถคานวณได้ว่า ข้าวสาร 100 กรัม จะให้พลงั งานเทา่ ใด ดังน้ี พลังงานทเ่ี กิดจากโปรตนี 4 * 7 = 28 กโิ ลแคลอรี พลังงานทเี่ กดิ จากไขมนั 9 * 0.7 = 6.3 กโิ ลแคลอรี พลังงานทเี่ กิดจากคารโ์ บไฮเดรต 4 * 80.2 = 320.8 กิโลแคลอรี ดงั นนั้ ขา้ วสาร 100 กรัม ให้พลงั งาน = 28 + 6.3 + 320.8 = 355.1 กโิ ลแคลอรี 54 NPRU
1.2 ความต้องการพลังงานของรา่ งกาย (ตอ่ ) พลังงานเพื่อใช้ในการดารงชวี ิตประจาวนั (energy requirement) ร่างกายของคนเราต้องการพลังงานจากสารอาหารหลัก ในการทากิจกรรมต่างๆ อย่าง ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน เขียนหนังสือ การเดิน การนั่ง แม้แต่ขณะนอนหลับ กล้ามเนอื้ หัวใจกต็ ้องทางานตลอดเวลา พลงั งานเพอ่ื ประกอบกิจกรรมตา่ งๆ ในผใู้ หญจ่ ากสารอาหารหลักเปน็ สัดสว่ น คารโ์ บไฮเดรต 45-55% (3-5 กรมั ตอ่ กิโลกรัมต่อวัน) โปรตนี 10-15% (0.8-1.0กรมั ต่อกโิ ลกรัมตอ่ วนั ) ไขมนั 25-35% (0.5-1.5กรัมต่อกโิ ลกรมั ตอ่ วนั ) ควรได้รับปริมาณ total calorie intake ประมาณ 30 – 35 กิโลแคลอรีต่อน้าหนักตัว 1 กิโลกรมั ตอ่ วนั 55 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลังงานของรา่ งกาย (ต่อ) พลังงานเพ่ือใชใ้ นการดารงชีวติ ประจาวนั (energy requirement) ความต้องการพลงั งาน แตกต่างตามอาชพี และขนาดของ รา่ งกายของแต่ละบุคคลน้ัน พลงั งานทง้ั หมดทีร่ ่างกายต้อง ผลิตขน้ึ มาตลอดเวลาเพ่ือใชใ้ นการดารงชีวติ ประจาวัน จากสารอาหารหลกั ทั้ง 3 ประเภท 56 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลงั งานของร่างกาย (ต่อ) พลงั งานเพ่ือใช้ในการดารงชวี ิตประจาวนั (energy requirement) 1. พลงั งานพ้นื ฐานท่ีใช้ในการทางานของอวัยวะภายในร่างกาย (Basal Metabolism) • ร่างกายจาเป็นตอ้ งใชพ้ ลังงานจานวนแรกสาหรับ ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ใช้ในการ เต้นของหัวใจ การหายใจ การทางานของปอด ตับ ไต ระบบประสาท ระบบ หมุนเวียนเลือด และการทางานของอวัยวะภายในอื่นๆ ขณะท่ีต่ืนและร่างกายกาลัง พักผ่อนอยู่ในที่ๆ มีอุณหภูมิเหมาะสม ภาวะนี้ร่างกายจาเป็นต้องใช้พลังงานจานวน หน่งึ ซ่งึ เปน็ จานวนน้อยท่ีสดุ • Basal Metabolism ของร่างกายขึ้นอยู่กับมวลของโพรโทพลาซึมภายในเซลล์ของ ร่างกาย ที่มีอัตราการหายใจเป็นสัดส่วนโดยตรงกับพ้ืนท่ีผิวของร่างกาย วัดออกมา ในรูป basal metabolic rate (BMR) หรือ resting metabolic rate (RMR) หรอื resting energy expenditure (REE) 57 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลงั งานของรา่ งกาย (ตอ่ ) 1. พลงั งานพ้นื ฐานทีใ่ ชใ้ นการทางานของอวัยวะภายในร่างกาย (Basal Metabolism) • การวดั metabolic rate ท่ีประกอบด้วยสภาวะตอ่ ไปนี้ 1. ในขณะพักสงบมากท่ีสุด นิยมวัดตอนเชา้ หรือหลังจากตืน่ นอน โดยไม่ทากิจกรรมใดๆทงั สนิ 2. หลงั มืออาหารเป็นเวลา 10 -12 ชว่ั โมง 3. มอี ารมณ์สดชื่น แจม่ ใส อยใู่ นท่ีอุณหภมู เิ หมาะสมและคงท่ี (ประมาณ 26 องศาเซลเซยี ส) 4. และขณะวดั จะต้องไมม่ กี ารพูดคยุ กัน หรอื มเี สยี งรบกวนจากภายนอก • วิธกี ารวัดคา่ BMR ทาไดห้ ลายวธิ ี ไดแ้ ก่ 1. การวดั โดยตรง เปน็ การวัดความร้อนท่ีปลอ่ ยออกมาจากร่างกาย 2. การวัดระดับฮอร์โมนไทรอกซนิ ในเลือด ฮอร์โมนนมี ีหน้าท่คี วบคมุ BMR 3. วัดโดยทางอ้อมโดยใช้ indirect calorimetry เป็นการวัดอัตราการหายใจ หรือปริมาณก๊าซ ออกซเิ จนท่ีรา่ งกายใชใ้ นการออกซิไดส์สารอาหาร คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน และไขมนั 58 NPRU
1.2 ความต้องการพลังงานของร่างกาย (ตอ่ ) 1. พลังงานพืน้ ฐานท่ใี ชใ้ นการทางานของอวยั วะภายในร่างกาย (Basal Metabolism) Harris & Benedict’s Equation BMR (F) = 655.1 * + 9.56 W + 1.85 H - 4.68 A BMR (M) = 66.5 + 13.75 W + 5.0 H - 6.78 A W = Weight (kg), H = Height (cm), A = Age (yr.) 59 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลังงานของร่างกาย (ต่อ) 1. พลงั งานพ้นื ฐานท่ีใช้ในการทางานของอวัยวะภายในร่างกาย (Basal Metabolism) Harris & Benedict’s Equation ตวั อย่าง สมมติว่า A เปน็ ผ้หู ญงิ อายุ 30 ปี สว่ นสงู 165 ซม. น้าหนกั 60 กก. BMR จะเทา่ กบั BMR (F) = 655.1 * + 9.56 W + 1.85 H - 4.68 A = 665.1 +(9.6 x 60)+(1.8 x 165)-(4.7 x 30) = 1,397 กโิ ลแคลอรี 60 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลงั งานของร่างกาย (ตอ่ ) 1. พลงั งานพื้นฐานทใี่ ช้ในการทางานของอวยั วะภายในร่างกาย (Basal Metabolism) จากตวั อยา่ ง พลงั งานทจ่ี าเป็นพ้นื ฐานในการมีชวี ิต หมายถงึ A ตอ้ งการพลังงาน อย่างน้อย 1,397 กิโลแคลอรี ในการดารงชีวิตในแต่ละวัน ในกรณีที่วันน้ัน A ไม่ได้ทากิจกรรมอะไรเลย จากสูตรนีเ้ หน็ ได้ว่า คนทมี่ สี ว่ นสูงและน้าหนักมาก จะมีค่า BMR มากกว่าคนท่ีมี สว่ นสงู และนา้ หนักน้อยกวา่ หรือกรณที มี่ อี ายุมากข้นึ คา่ BMR กจ็ ะลดลงไปด้วย เพราะยิ่งคนมีอายมุ ากขน้ึ อัตราการเผาผลาญของร่างกาย หรือที่เรียกว่า \"เมตา บอลิซมึ \" กจ็ ะปรับลดลงตามไปด้วย https://health.kapook.com/view103730.html 61 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลังงานของรา่ งกาย (ต่อ) 1. พลังงานพน้ื ฐานที่ใชใ้ นการทางานของอวยั วะภายในร่างกาย (Basal Metabolism) ในแต่ละวนั เราต้องทากิจกรรมมากมาย ท้ังน่ัง เดิน นอน ดูทีวี ทางาน ออกกาลัง กาย ซึ่งกิจกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พลังงานท่ีต้องการในแต่ละวันจึงไม่ เทา่ กันด้วย ดังน้ันเราต้องมาคานวณหาปริมาณแคลอรีที่เราใช้ในแต่ละวัน หรือค่าของ พลังงานท่ีเราสามารถใช้ได้หมดในแต่ละวัน ท่ีเรียกว่า TDEE (Total Daily Energy Expenditure) https://health.kapook.com/view103730.html 62 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลงั งานของรา่ งกาย (ต่อ) 1. พลังงานพื้นฐานท่ีใช้ในการทางานของอวัยวะภายในร่างกาย (Basal Metabolism) ค่าของพลงั งานทีเ่ ราสามารถใช้ได้หมดในแต่ละวัน TDEE (Total Daily Energy Expenditure) นัง่ ทางานอยู่กับท่ี และไม่ได้ออกกาลงั กายเลย หรอื นอ้ ยมาก = BMR x 1.2 ออกกาลงั กายหรอื เลน่ กฬี าเลก็ นอ้ ย 1-3 วนั /สปั ดาห,์ เดินบา้ งเลก็ นอ้ ย ทางานออฟฟศิ = BMR x 1.375 ออกกาลงั กายหรือเลน่ กีฬาปานกลาง 3-5 วนั /สัปดาห์, เคล่ือนทต่ี ลอดเวลา = BMR x 1.55 ออกกาลงั กายหรอื เล่นกฬี าอย่างหนกั 6-7 วนั /สปั ดาห์ = BMR x 1.725 ออกกาลังกายหรือเล่นกีฬาอยา่ งหนกั หรอื เป็นนักกฬี า ทางานท่ใี ช้แรงงานมาก = BMR x 1.9 https://health.kapook.com/view103730.html 63 NPRU
1.2 ความต้องการพลงั งานของรา่ งกาย (ต่อ) 1. พลงั งานพ้นื ฐานท่ใี ชใ้ นการทางานของอวัยวะภายในร่างกาย (Basal Metabolism) จากตวั อยา่ งดา้ นบน คณุ A มคี ่า BMR = 1,397 กิโลกรมั แคลอรี ถ้าเป็นคนท่ีแทบไม่ได้ออกกาลังกายเลย เท่ากับต้องนา BMRx1.2 ก็จะได้ปริมาณ แคลอรีที่ต้องการในหนึ่งวันเปน็ 1,397x1.2 = 1,676.4 ดงั นัน้ ถา้ ต้องการควบคุมนา้ หนัก ไม่ควรทานอาหารมากเกนิ กวา่ 1,676.4 กโิ ลแคลอรี เพราะ ร่างกายเราสามารถเผาผลาญได้เพียง 1,676.4 กิโลแคลอรี ถ้าทานมากกว่านี้ สว่ นท่เี หลือก็เปน็ ส่วนเกนิ https://health.kapook.com/view103730.html 64 NPRU
1.2 ความต้องการพลังงานของรา่ งกาย (ตอ่ ) 1. พลงั งานพนื้ ฐานท่ใี ช้ในการทางานของอวยั วะภายในร่างกาย (Basal Metabolism) • ปจั จยั ทม่ี ผี ลต่อคา่ BMR – สภาวะรา่ งกาย ขาดสารอาหาร BMR – ขนาดของร่างกาย BMR – อณุ หภูมิ 1o C BMR 13% – ส่วนประกอบของรา่ งกาย – อารมณ์และจิตใจ – ความผิดปกติของร่างกาย – อายุ เด็ก > ผูใ้ หญ่ > ผสู้ ูงอายุ – การนอนหลบั – เพศ ชาย > หญงิ – ฮอร์โมน • รา่ งกายใช้พลงั งานสาหรบั BMR ประมาณ 60% ของพลงั งานท่ีต้องการทงั้ หมด 65 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลงั งานของรา่ งกาย (ต่อ) 2. พลังงานทร่ี า่ งกายผลติ เพอื่ ใช้ในการเปลยี่ นแปลงอาหาร (specific dynamic action (SDA)/ thermic effect of food (TEF)) • พลังงานทใ่ี ชใ้ นกระบวนการการย่อย การดดู ซมึ การขนส่งสู่เซลล์ การเก็บสะสมเมแทบอลิซึม และการขับถา่ ยสาร • สารอาหารแต่ละชนิดจะมีค่า SDA แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของสารอาหารที่กิน เข้าไป – คาร์โบไฮเดรต กระต้นุ ใหร้ า่ งกายปลอ่ ยพลังงานเพม่ิ ขึน้ 5-6 % – ไขมนั กระตุ้นให้รา่ งกายปล่อยพลงั งานเพ่ิมขึ้น 4 % – โปรตีน กระตนุ้ ให้ร่างกายปล่อยพลงั งานเพิม่ ข้นึ 20-30 % – อาหารผสม (คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมนั ) คา่ SDA เท่ากบั 10% 66 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลังงานของรา่ งกาย (ต่อ) 2. พลงั งานท่ีร่างกายผลติ เพ่อื ใช้ในการเปลย่ี นแปลงอาหาร (specific dynamic action (SDA)/ thermic effect of food (TEF)) • ตัวอย่างเชน่ สารอาหารโปรตีน จานวน 40 กรัม – จะให้พลงั งานเทา่ กับ 40 * 4 = 160 Kcal – เมือ่ กินโปรตนี เขา้ สู่รา่ งกาย จะกระตุน้ ใหเ้ กิด SDA สงู ถึง 0.3 * 160 = 48 Kcal (เป็นพลังงานทร่ี า่ งกายจะสูญเสยี ไป) – ดงั นน้ั รา่ งกายได้รับพลังงานท่ีแทจ้ ริงจากโปรตนี 40 กรมั เพยี ง 160 – 48 = 112 Kcal 67 NPRU
1.2 ความต้องการพลงั งานของร่างกาย (ตอ่ ) 3. พลงั งานทร่ี า่ งกายผลิตเพ่อื ใชส้ าหรับการออกแรงทางานตา่ ง ๆ ในชีวิตประจาวนั (physical activity) • การทางานของสมอง ใช้พลังงานเพียง 3-4% แต่พลังงานที่ใช้มาก คือ พลังงานท่ีใช้สาหรับการ ทางานของกล้ามเนอื้ เพอื่ ทากิจกรรมตา่ งๆ และการออกกาลงั กาย เชน่ – การว่งิ ใชพ้ ลงั งาน 7 Kcal/กิโลกรัมนา้ หนักตวั /ช่วั โมง – การเดิน ใช้พลังงาน 2 Kcal/กโิ ลกรมั นา้ หนักตวั /ชั่วโมง • จานวนพลงั งานทร่ี ่างกายต้องการใชจ้ ะมากหรือน้อย ข้นึ อยกู่ บั ชนดิ ของกิจกรรมและระยะเวลาที่ ทากจิ กรรมนัน้ ๆ 68 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลังงานของรา่ งกาย (ต่อ) วธิ ีคานวณความต้องการพลังงานของรา่ งกายใน 1 วัน 1. คานวณ BMR จาก น้าหนกั ของร่างกาย (สูตรในตาราง) aน้าหนักตัวหนว่ ยเปน็ กิโลกรมั ห า ก ใ ช้ สู ต ร น้ี ไ ม่ ต้ อ ง หั ก ค่ า พลังงานท่ีใช้ในการพักผ่อน (นอนหลับ) ทม่ี า : Whitney, Eleanor Noss and Rolfs, Sharon Rady. 2002 อา้ งถึงใน อัจฉรา ดลวิทยาคณุ , 2556 69 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลังงานของรา่ งกาย (ตอ่ ) วิธีคานวณความตอ้ งการพลงั งานของรา่ งกายใน 1 วัน 2. คานวณหาค่าพลังงานที่ใชท้ ากจิ กรรมภายนอกรา่ งกาย P.A. โดยใช้สตู ร P.A. = พลงั งานทรี่ ่างกายใชส้ าหรบั ทากจิ กรรม × นา้ หนกั ตัว × จานวนชวั่ โมงที่ใชท้ ากิจกรรม ที่มา : อัจฉรา ดลวิทยาคุณ, 2556 70 NPRU
71
1.2 ความต้องการพลงั งานของรา่ งกาย (ตอ่ ) วธิ คี านวณความตอ้ งการพลงั งานของร่างกายใน 1 วัน 3. คานวณหาคา่ พลงั งานทใ่ี ช้สาหรับเปลี่ยนแปลงอาหารในร่างกาย S.D.A. โดยใช้สตู ร S.D.A. = พลังงานทีไ่ ดจ้ ากการทากิจกรรม × 10 100 ท่มี า : อัจฉรา ดลวทิ ยาคุณ, 2556 72 NPRU
1.2 ความต้องการพลงั งานของร่างกาย (ตอ่ ) วธิ ีคานวณความตอ้ งการพลังงานของร่างกายใน 1 วนั 4. ผลรวมพลังงานท่รี ่างกายใชใ้ น 1 วัน โดยใชส้ ตู ร ผลรวมพลงั งาน = ข้อ 1 + ข้อ 2 + ขอ้ 3 ทม่ี า : อัจฉรา ดลวทิ ยาคณุ , 2556 73 NPRU
1.2 ความต้องการพลงั งานของรา่ งกาย (ตอ่ ) วธิ คี านวณความตอ้ งการพลงั งานของร่างกายใน 1 วนั ตัวอยา่ งการคานวณความตอ้ งการพลงั งานสาหรับใชป้ ระกอบกจิ กรรมต่างๆ ใน 1 วัน ผหู้ ญิงอายุ 21 นาหนกั 47 กโิ ลกรมั ทางานเบามากโดยมีกิจกรรมประจาวันดังนี 1. นอนหลับ 7 ช่วั โมง 2. รบั ประทานอาหาร 3 มือ มือละ 1 ช่วั โมง รวม 3 ชว่ั โมง 3. อาบนาแตง่ ตวั เชา้ -เย็น รวม 1 ช่วั โมง 4. อา่ นหนังสือ 8 ช่ัวโมง 5. ขบั รถยนตไ์ ป-กลับบ้าน 1 ช่ัวโมง 6. ขึนบนั ได 2 เท่ยี ว 30 ขนั 7. ลงบนั ได 2 เทีย่ ว 30 ขัน 8. ถักไหมพรม 2 ช่ัวโมง 9. พมิ พ์ดีดงาน 2 ชว่ั โมง รวม 24 ชัว่ โมง 74 ที่มา : อัจฉรา ดลวทิ ยาคณุ , 2556 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลังงานของรา่ งกาย (ต่อ) วธิ ีคานวณความต้องการพลังงานของรา่ งกายใน 1 วัน 1. คานวณ BMR จาก น้าหนกั ของร่างกาย (สูตรในตาราง) aน้าหนักตัวหนว่ ยเปน็ กิโลกรมั ห า ก ใ ช้ สู ต ร น้ี ไ ม่ ต้ อ ง หั ก ค่ า พลังงานท่ีใช้ในการพักผ่อน (นอนหลับ) ทม่ี า : Whitney, Eleanor Noss and Rolfs, Sharon Rady. 2002 อา้ งถึงใน อัจฉรา ดลวิทยาคณุ , 2556 75 NPRU
1.2 ความตอ้ งการพลงั งานของร่างกาย (ต่อ) วิธคี านวณความต้องการพลังงานของรา่ งกายใน 1 วัน 1. คานวณ BMR จากน้าหนัก ของร่างกาย B.M. = (14.7 × 47 )+496 = 1,186.9 Cal 76 NPRU
1.2 ความต้องการพลังงานของรา่ งกาย (ต่อ) วธิ ีคานวณความต้องการพลงั งานของร่างกายใน 1 วัน 2. คานวณหาค่าพลงั งานท่ใี ชท้ ากิจกรรมภายนอกร่างกาย P.A. โดยใชส้ ตู ร P.A. = พลังงานทีร่ ่างกายใช้สาหรับทากิจกรรม × นา้ หนักตัว × จานวนชวั่ โมงทใี่ ช้ทากิจกรรม 1. รบั ประทานอาหาร 3 มื้อ มื้อละ 1 ชว่ั โมง = 0.4 × 47 × 3 = 56.4 Cal 2. อาบนา้ แตง่ ตัวเชา้ -เย็น รวม = 1.6 × 47 × 1 = 75.2 Cal 3. อ่านหนงั สือ = 0.1 × 47 × 8 = 37.6 Cal 4. ขับรถยนต์ไป-กลับบ้าน = 1.7 × 47 × 1 = 49.9 Cal 5. ขน้ึ บันได 2 เทย่ี ว 30 ข้นั = 0.036 × 47 × 2 = 3.38 Cal 6. ลงบนั ได 2 เทย่ี ว 30 ขนั้ = 0.012 × 47 × 2 = 1.13 Cal 7. ถกั ไหมพรม = 0.4 × 47 × 2 = 37.6 Cal 8. พิมพด์ ีดงาน = 0.9 × 47 × 2 = 84.6 Cal ท่มี า : อัจฉรา ดลวิทยาคณุ , 2556 รวม = 345.81 Cal 77 NPRU
1.2 ความต้องการพลงั งานของร่างกาย (ตอ่ ) วธิ คี านวณความตอ้ งการพลังงานของร่างกายใน 1 วัน 3. คานวณหาคา่ พลังงานท่ีใชส้ าหรับเปลีย่ นแปลงอาหารในรา่ งกาย S.D.A. โดยใช้สูตร S.D.A. = 345.81 × 10 100 = 34.58 Cal 4. ผลรวมพลงั งานท่รี า่ งกายใช้ใน 1 วนั โดยใช้สูตร 78 ผลรวมพลังงาน = 1,186.9 + 345.81 + 34.58 = 1,567.29 NPRU ทมี่ า : อัจฉรา ดลวทิ ยาคุณ, 2556
1.2 ความต้องการพลงั งานของร่างกาย (ตอ่ ) ภาวะสมดลุ ของพลังงาน (Energy Balance) BMR คารโ์ บไฮเดรต BMR SDA โปรตีน ไขมนั พลงั งานทรี่ า่ งกาย พลังงานท่รี า่ งกาย ตอ้ งการใช้ ไดร้ ับจากสารอาหาร 79 NPRU
1.2 ความต้องการพลงั งานของร่างกาย (ต่อ) แคลอรีที่ได้จากอาหาร (100%) = BMR (65%) + TEF/SDA (10%) + PA (25%) กินอาหาร 2,000 กิโลแคลอรใี นหนึ่งวนั BMR และTEF 1,500 กิโลแคลอรี และ PA 500 กโิ ลแคลอรี 80 NPRU
3. กระบวนการย่อยและการดดู ซึม ของสารอาหาร ทมี่ าของภาพ: http://www.healthcarethai.com/ 81 NPRU
กระบวนการย่อยและการดูดซมึ • กระบวนการยอ่ ย เป็นข้ันตอนแรกในกระบวนการเมแทบอลิซึม เป็นปฏิกิริยา ไฮโดรไลซิสสารอาหารโมเลกุลใหญ่ให้มีโมเลกุลเล็ก จนเป็นโมเลกุลเด่ียว เพื่อ เขา้ สูก่ ระบวนการดูดซึม และขนยา้ ยไปยงั เซลลเ์ นื้อเย่ือท่วั ร่างกาย Oral cavity pharynx esophagus stomach Small intestine ตบั ออ่ น (pancreas) 82 ตบั (Liver) ถุงนา้ ดี (gallbladder) เปน็ อวยั วะทีม่ ีบทบาท large intestine ในการช่วยยอ่ ย ลาดับการเคลือ่ นที่ของอาหาร ท่มี าของภาพ : http://www.mvsk.ac.th/science/download/1-digestive.pdf
3.1 ขน้ั ตอนการย่อยอาหาร การยอ่ ยอาหารมี 2 ขัน้ ตอน • การย่อยเชิงกล (Mechanical digestion) เป็นกระบวนการทาให้ อาหารมีขนาดเล็กลง เพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนท่ีและการเกิดปฏิกิริยา เคมีต่อไป โดยการบดเคี้ยว รวมทั้งการบีบตัวของทางเดินอาหาร ยังไม่ สามารถทาให้อาหารมีขนาดเล็กสุด จึงไม่สามารถดูดซึมเข้าเซลล์ได้ • การย่อยทางเคมี (Chemical digestion) เป็นการย่อยอาหารให้มี ขนาดเล็กท่ีสุด โดยการเกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่าง อาหาร กับ น้า โดยตรง และจะใช้เอนไซมห์ รือน้ายอ่ ยเข้าเร่งปฏกิ ริ ยิ า 83
3.2 กระบวนการย่อยอาหาร • กระบวนการยอ่ ยอาหารในระบบทางเดินอาหาร แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 ระดบั คอื 1. การย่อยในชอ่ งปาก 2. การย่อยในกระเพาะอาหาร 3. การยอ่ ยในลาไสเ้ ลก็ และลาไส้ใหญ่ ของเหลวในระบบยอ่ ยอาหาร สารอาหารที่ถกู ย่อย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตนี ไมม่ กี ารย่อย นา้ ลาย ย่อยได้บางส่วน ไมม่ กี ารย่อย มีการยอ่ ย มกี ารย่อย นา้ ย่อยในกระเพาะอาหาร ไมม่ ีการย่อย ย่อยไดเ้ ล็กน้อย มกี ารย่อย ไม่มีการยอ่ ย นา้ ย่อยจากตับออ่ น มกี ารย่อย มกี ารย่อย 84 นา้ ย่อยจากลาไส้เล็ก มีการย่อย มกี ารยอ่ ย น้าดี ไม่มกี ารยอ่ ย มีการย่อย ทมี่ า : Stenesh , 1988 อ้างถงึ ใน นิธิยา รตั นาปนนท์ และ วบิ ลู ย์ รตั นาปนนท์, 2556
1) การยอ่ ยในชอ่ งปาก • ปากเปน็ ส่วนของทางเดินอาหารลาดบั แรก • มที ้งั การย่อยเชิงกลและการยอ่ ยเชงิ เคมี ปาก • ฟัน (teeth) ทาหน้าที่บดเคี้ยวอาหารให้มี ขนาดเลก็ ลง ซง่ึ เป็นการยอ่ ยเชิงกล • ล้ิน (tongue) ทาหน้าท่ีคลุกเคล้าอาหาร ช่วย ดนั กอ้ นอาหารในการกลืน ให้อาหาร ผ่านไปยัง คอหอยและหลอดอาหาร และทาหน้าท่ีในการ รบั รสอาหาร • ต่อมน้าลาย (salivary gland) มี 3 คู่ คือ ตอ่ มขา้ งกกหู ต่อมใต้ขากรรไกร และต่อมใต้ลิ้น ท า ห น้ า ที่ ผ ลิ ต น้ า ล า ย ที่ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย น้ า ย่ อ ย อ ะ ไ ม เ ล ส ( amylase)/ ไ ท ย า ลิ น (ptyalin) ทาหน้าที่ย่อยแป้งให้เป็นน้าตาล ท่มี าของภาพ : มนี า โอวรารมิ ท์. 2546 : 83 มอลโทส 85
1) การย่อยในชอ่ งปาก (ตอ่ ) ทมี่ าของภาพ : มีนา โอวรารมิ ท์. 2546 : 83 ต่อมน้าลาย • ต่อมน้าลาย (salivary gland) มี 3 คู่ คือ ต่อม ข้างกกหู ต่อมใต้ขากรรไกร และต่อมใต้ล้ิน ทา หน้าที่ผลิตน้าลาย ท่ีประกอบด้วย น้าย่อย อะไมเลส (amylase)/ไทยาลิน (ptyalin) ทา หน้าที่ยอ่ ยแปง้ ให้เปน็ น้าตาลมอลโทส ท่ีมาของภาพ :http://www.myvmc.com/uploads/VMC/Anatomy/gastro/mouth_450.jpg 86
1) การยอ่ ยในช่องปาก (ตอ่ ) กลโู คสสายส้นั ๆ นา้ ตาลโมเลกลุ คปู่ ระกอบด้วยนา้ ตาลกลูโคส 2 โมเลกลุ ตอ่ กัน ในธรรมชาตพิ บในเมล็ดขา้ วบาเลยแ์ ละเมลด็ ขา้ วมอลท์ที่กาลังงอก ท่มี าของภาพ :อภริ ะดี แสงสุริยันต์. http://www.mvsk.ac.th/science/download/Digestive%20system.pdf 87
คอหอย 1) การยอ่ ยในช่องปาก (ตอ่ ) • บริเวณทางร่วมของทัง้ ทางเดนิ อาหารและทางเดนิ หายใจ • ในขณะที่กลืนอาหารจึงต้องมีกลไกที่มีฝาปิดกล่องเสียง (epiglottis) เล่ือนลงมาปิดช่องลม เพ่ือป้องกันไม่ให้อาหาร ตกลงไปในหลอดลม แต่ให้ไหลลงไปในหลอดอาหาร (esophagus) ไมเ่ ชน่ นน้ั จะเกดิ การสาลกั ท่มี าของภาพ : มนี า โอวรารมิ ท์. 2546 : 83 88 ทมี่ าของภาพ : http://www.mvsk.ac.th/science/download/Digestive%20system.pdf
1) การย่อยในช่องปาก (ต่อ) หลอดอาหาร กลไกเพอริสตัลซิส (peristalsis) • หลอดอาหารมีความยาว 25 เซนติเมตร ทา ที่มาของภาพ : หนา้ ทล่ี าเลียงอาหารจากคอหอยถึงกระเพาะ http://www.pw.ac.th/main/website อาหาร /sci/3_data.files/image001.jpg • โดยอาศัยการหดและคลายตัวเป็นจังหวะๆ ของกล้ามเน้ือเรียบ เรียกว่า เพอริสตัลซิส 89 (peristalsis) ซง่ึ เปน็ การย่อยเชิงกล ท่มี าของภาพ : มนี า โอวรารมิ ท์. 2546 : 83
2) การยอ่ ยในกระเพาะอาหาร ท่มี าของภาพ : http://www.webmd.com/digestive-disorders/picture-of-the-stomach ท่ีมาของภาพ : มนี า โอวรารมิ ท์. 2546 : 83 กระเพาะอาหาร • กระเพาะอาหารถอื ว่าเป็นส่วนของทางเดินอาหารที่มีขนาดใหญ่ท่สี ดุ • จะมขี นาดประมาณ 50 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร และสามารถ ขยายตวั เม่อื มีอาหารได้ 10 - 40 เท่า • กระเพาะอาหารจะมหี รู ดู อยู่ 2 แห่ง คือ กลา้ มเนื้อหูรูดส่วนท่ีติดต่อกับหลอดอาหาร และส่วนที่ติดต่อ กับลาไส้เล็ก 90
2) การย่อยในกระเพาะอาหาร (ต่อ) 91 ท่มี าของภาพ : http://chanathip30.blogspot.com/p/digestion-2-mechamical-digestion.html
2) การย่อยในกระเพาะอาหาร (ต่อ) ทมี่ าของภาพ : http://www.mvsk.ac.th/science/download/Digestive%20system.pdf สารท่ีหลง่ั ในกระเพาะอาหาร ประกอบดว้ ย 1. กรดไฮโดรคลอรกิ หรอื กรดเกลอื (HCl) ทาหน้าทป่ี รบั สภาพใหเ้ ปน็ กรด (ค่า pH ประมาณ 2) ซึ่ง เหมาะสมกบั การทางานของเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร 2. แกสตรนิ เป็นฮอร์โมนท่ีทาหน้าทกี่ ระตุ้นการหลง่ั กรดไฮโดรคลอรกิ 3. นา้ ยอ่ ยเพปซโิ นเจนและโพรเรนนนิ (เอนไซม์ท่ยี งั ไม่พรอ้ มทางาน ตอ้ งถูกกระต้นุ จากกรดไฮโดรคลอริก ใหเ้ ปน็ เพปซินและเรนนนิ เสยี ก่อน) 4. เมอื กมีสมบัติเปน็ เบส ทาหนา้ ท่เี คลอื บกระเพาะอาหารไม่ให้เซลลถ์ ูกทาลายจากกรดไฮโดรคลอร9กิ2
2) การย่อยในกระเพาะอาหาร (ตอ่ ) ทม่ี าของภาพ : http://www.mvsk.ac.th/science/download/Digestive%20system.pdf 1. อาหารจะถูกคลกุ เคล้าอยู่ในกระเพาะอาหาร ด้วยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อท่ี แขง็ แรง 3 ชัน้ 2. เซลล์ภายในกระเพาะอาหารจะสร้างน้าเมือก กรดไฮโดรคลอริก และเอนไซม์เพปซิน ซง่ึ อยู่ในสภาพไม่พรอ้ มทางาน เรยี กว่า เพปซโิ นเจน 3. กรดไฮโดรคลอรกิ ทาใหเ้ อนไซม์เพปซโิ นเจนเปลีย่ นเปน็ เอนไซม์เพปซนิ ทพี่ รอ้ มทางานได้ 93
2) การยอ่ ยในกระเพาะอาหาร (ต่อ) ท่ีมาของภาพ : http://www.mvsk.ac.th/science/download/Digestive%20system.pdf 4. เอนไซม์เพปซินจะทาหน้าท่ีย่อยโปรตีนจนมีขนาดโมเลกุลเล็กลงเป็นโปรตีนสาย สน้ั ๆ เรยี กวา่ เพปไทด์ 5. ส่วนเรนนินช่วยย่อย เคซีน (Casein) ซึ่งเป็นโปรตีนในน้านม โดยจะไม่มีการ ยอ่ ยไขมนั และคาร์โบไฮเดรตทีก่ ระเพาะอาหาร 94
2) การย่อยในกระเพาะอาหาร (ต่อ) • เซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารจะถูกทาลายโดยกรดไฮโดรคลอริกตลอดเวลา จึงมี การสร้างใหมข่ ้นึ มาทดแทนอยา่ งรวดเร็ว • ในกระเพาะอาหาร น้าย่อยลิเพสไม่สามารถทางานได้ เนื่องจากมสี ภาพเป็นกรด • อาหารจะคงค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร จนกระท่ังวัตถุสารที่เป็นของแข็งถูกย่อย เป็นของเหลว นาน 30 นาทีถงึ 6 ชวั่ โมง ขึน้ อยู่กับชนดิ ของอาหารน้นั ๆ • กระเพาะอาหารมีการดูดซึมอาหารบางชนิดได้แต่ปริมาณน้อยมาก เช่น น้า แรธ่ าตุ นา้ ตาลโมเลกุลเดีย่ ว โดยจะดูดซมึ แอลกอฮอล์ได้ดี 95
2) การย่อยในกระเพาะอาหาร (ตอ่ ) • กระเพาะอาหารดดู ซึมแอลกอฮอลไ์ ดด้ ี • อาหารโปรตีน เช่น เน้ือวัว ย่อยยากกว่าเนื้อปลา ในการปรุงอาหาร เพ่ือให้ย่อยง่าย อาจใช้การหมักหรือใส่สารบางอย่างลงไปในเน้ือสัตว์ เหลา่ นัน้ เช่น ยางมะละกอ หรือสบั ปะรด • โรคแผลในกระเพาะอาหาร ท่ีเกิดจากภาวะมีกรดในกระเพาะอาหาร มากเกนิ ไป • โรคกรดไหลยอ้ น เกิดจาก กล้ามเน้ือหรู ดู ส่วนทตี่ ดิ กบั หลอดอาหารมีการ คลายตัวผิดปกติ ทาให้กรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหารไหล ย้อนกลบั ไปยงั หลอดอาหาร 96
3) การย่อยในลาไส้เลก็ • ลาไส้เล็กเป็นส่วนของทางเดินอาหารที่ยาว ที่สุด อยู่ต่อจากกระเพาะอาหาร มีลักษณะ เป็นท่อขดไปมา ยาวประมาณ 6 - 7 เมตร • มีการย่อยอาหารและดูดซึมอาหารมากที่สุด แบง่ ออกเปน็ 3 สว่ น คอื 1.ดูโอดีนัม (duodenum) ทาหน้าท่ีย่อย อาหารมากที่สุด รับน้าย่อยจากตับอ่อน มาช่วยในการย่อย และน้าดีจากตับซ่ึง ชว่ ยในการทาให้ไขมนั แตกตัว 2.เจจูนัม (jejunum) ทาหน้าที่ดูดซึม อาหารท่ยี อ่ ยแลว้ มากทส่ี ุด 3.ไอเล่ียม (ileum) ทาหน้าท่ีย่อยอาหาร และดดู ซึมอาหารส่วนทเ่ี หลอื 97
3) การย่อยในลาไส้เล็ก (ตอ่ ) • อาหารที่ผ่านการย่อยจากกระเพาะอาหารจะเข้าเคล่ือนเข้าสู่ลาไส้เล็ก โดย ในลาไส้เล็กก็จะมีเอนไซม์หลายชนิดทีม่ ายอ่ ยอาหาร เอนไซม์ อาหารที่ย่อย ผลการย่อย อะไมเลส เดกซ์ทริน มอลโทส ไลเปส ไขมนั กรดไขมนั และกลเี ซอรอล ทริปซนิ โปรตนี เพปติเดส เพปไทด์ เพปไทด์ กรดอะมโิ น 98
3) การย่อยในลาไส้เลก็ (ต่อ) • สารอาหารทีถ่ ูกดูดซึมจะตอ้ งเปน็ สารโมเลกลุ เล็กที่สุด เช่น - คารโ์ บไฮเดรต จะถูกดดู ซมึ ในรปู น้าตาลโมเลกุลเด่ยี ว - โปรตีน จะถูกดดู ซมึ ในรูปกรดอะมิโน - ไขมนั จะถกู ดดู ซมึ ในรูปกรดไขมันและกลเี ซอรอล สามารถดูดซึมผ่านเซลล์บุผนังลาไส้เล็กได้ เพราะที่ผนังด้านในของลาไส้เล็ก ปกคลุมไปด้วย โครงสร้างเลก็ ๆ คลา้ ยนว้ิ มือยืน่ ออกมา เรียกวา่ วิลไล (villi) จานวนล้านๆ หนว่ ย 99
3) การยอ่ ยในลาไส้เล็ก (ต่อ) วลิ ไล (villi) • ช่วยเพิ่มพื้นที่ผวิ ในการดดู ซมึ สารอาหาร • หากนาวลิ ไลทั้งหมดมากางออก พ้ืนทผ่ี วิ ทง้ั หมดของลาไส้เล็ก จะมขี นาดใหญเ่ กือบเท่าสนามเทนนิส ที่มาของรูปภาพ : มนี า โอวรารมิ ท์. 2546 : 92 100
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186