Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ฝึกงาน

ฝึกงาน

Published by Woranutda Memee Phum Jeweree, 2021-07-30 01:50:45

Description: งานฝึกงาน

Search

Read the Text Version

การลดความขดั แยง้ โดยการขยายทรัพยากร (Expansion of Resources) เช่น ต้งั ตาํ แหน่งใหม่ เพิ่ม ตาํ แหน่งบริหาร แตง่ ท้งั น้ีตอ้ งมีการวางแผนการบริหารคนกบั ประสิทธิภาพของงานใหด้ ี เด๋ียวในองคก์ รจะมี แต่หวั หนา้ ต่างคนตา่ งใหญ่ วธิ ีที่ 4 ลดขอ้ ขดั แยง้ ดว้ ยการหลีกเล่ียง (Avoidance) คือ ถอยหนี หรือไม่รับรู้ (ท้งั ที่รู้) คือผูบ้ ริหารรู้จกั หู หนวก ตาบอด และเป็นใบ้ ระยะส้นั อาจไดผ้ ล แต่ถา้ ยงั ขดั แยง้ อยู่ ตอ้ งรีบแกป้ ัญหา วิธีท่ี 5 ทาํ ให้เกิดความราบร่ืนกลมกลืนกนั (Smoothing) โอนอ่อนเขา้ หากนั ไม่ยึดทิฐิ ปรับความแตกต่าง พบกนั คร่ึงทาง ถา้ มนั จะแกป้ ัญหาไดโ้ ดยองคก์ รไมเ่ สียหาย พบกนั ค่อนทางก็น่าทาํ ครับ คอ่ นไปทางไหนกไ็ ด้ วธิ ีท่ี 6 ลดขอ้ ขดั แยง้ ดว้ ยวิธีการประนีประนอม (Compromise) วิธีการน้ีบางคร้ังอาจตอ้ งใช้คนกลางหรือ บุคคลท่ีสามเขา้ มาไกล่เกลี่ย หรือแมก้ ระทง่ั ใหค้ ูก่ รณีส่งตวั แทนมาตอ่ รองกนั วธิ ีท่ี 7 ใช้กาํ ลงั หรือบีบบงั คบั (Forcing) หมายถึง การใช้ขอ้ ได้เปรียบทางฐานะของการมีอาํ นาจบังคบั บญั ชา ดว้ ยการสง่ั ใหท้ าํ ออกกฎ ระเบียบ มาบงั คบั วธิ ีที่ 8 เปล่ียนโครงสร้างองคก์ ร (Altering Structural Variables) โดยเฉพาะในกรณีที่โครงสร้างองคก์ รเป็น สิ่งท่ีทาํ ใหเ้ กิดความขดั แยง้ หรืออาจใชว้ ิธียา้ ยฝ่ าย เปล่ียนตาํ แหน่ง ฯลฯเลือกใชว้ ิธีใดขา้ งตน้ หรือวิธีอื่นที่ผม ไม่ไดเ้ ขยี นไวก้ ไ็ ด้ ถา้ วธิ ีน้นั ทาํ ใหค้ วามขดั แยง้ ลดหรือหมดไปได้ การป้องกนั การเกิดปัญหาความขดั แยง้ ท่ีเกร่ินไวข้ า้ งตน้ คือ ผบู้ ริหารตอ้ งมีการบริหารจดั การที่ดี ถา้ มี การบริหารจดั การท่ีดี แมแ้ ต่ครอบครัวก็เป็ นสุข แต่ถา้ ตรงกนั ขา้ มและรุนแรง องคก์ รแรกคือครอบครัวก็พงั สามี-ภรรยา จึงควรตอ้ งตกลงกนั ก่อนว่าถา้ มีปัญหาข้ึนในครอบครัว ใครมีอาํ นาจในการตดั สินใจในเรื่อง ใดบา้ ง โดยขอ้ เทจ็ จริงท่ีสงั คมไทยยอมรับ สามีคอื หวั หนา้ ครอบครัว ดงั น้นั เรื่องใหญ่ๆ และสาํ คญั สามีจึงควร ตอ้ งเป็นผตู้ ดั สินใจ ส่วนเรื่องเล็กๆ และไม่สาํ คญั ก็ใหเ้ ป็นหนา้ ที่ของภรรยาไป เช่น ครอบครัวหน่ึง แต่งงาน

กนั มาเกือบสามสิบปี ไม่เคยมีความขดั แยง้ เร่ืองการตดั สินใจเลย เพราะท้งั สามีและภรรยายึดถือขอ้ ตกลง ขา้ งตน้ อยา่ งเหนียวแน่น ความสามารถในการบริหารความขดั แยง้ เป็นคุณสมบตั ิท่ีพึงประสงคแ์ ละทกั ษะท่ี จาํ เป็นสาํ หรับผบู้ ริหาร ความขดั แยง้ มีอยทู่ วั่ ทุกมุมโลก ดว้ ยเส้นแบ่งเขตแดนและวฒั นธรรมท่ีไม่เหมือนกนั เป็นบ่อเกิดของ พลงั ที่สร้างสรรคห์ รือการนาํ ไปสู่ชนวนของความทกุ ขก์ ระทง่ั ความตายที่รุนแรงได้ ดว้ ยเหตนุ ้ี โดยธรรมชาติ ของความขดั แยง้ มนั ไมใ่ ช่ท้งั ส่ิงที่ดีหรือเลว ความขดั แยง้ เป็นส่ิงที่คณุ ไมอ่ าจคาดคิดวา่ จะเกิดข้นึ ซ่ึงเกิดจากสิ่ง 2 สิ่งหรือมากกว่าของ ( บุคคล กลุ่ม องคก์ าร )ในสถานการณ์ท่ีรู้สึกไดว้ ่ามีการต่อตา้ นหรือขดั แยง้ หรือความ ไมล่ งรอยกนั ระหวา่ งบุคคล กลมุ่ หรือองคก์ าร ซ่ึงเป็นมิติที่หลากหลายและเกิดข้นึ เป็นประจาํ ในองคก์ าร ความขดั แยง้ มีองคป์ ระกอบ 3 ข้นั คือ ความพยายามที่จะอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ ายหน่ึง การคุมเชิงกันอยู่เพ่ือให้อีกฝ่ ายหมดกาํ ลงั หรือหมด หนทางและแต่ละฝ่ ายต่างบรรลุข้อตกลงบางอย่างจนนําไปสู่ความร่วมมือซ่ึงกันและกัน ลักษณะของ พฤติกรรมต่างๆในการตอบสนองต่อความขดั แยง้ คอื การรวมตวั กนั เป็นกลุ่ม การมีน้าํ ใจช่วยเหลือกนั การมี อิทธิพลครอบงาํ การหลีกเลี่ยงและการตกลงประนีประนอมยอมความกนั ท้งั สองฝ่ าย และเป็ นแรงผลกั ดนั ดว้ ยขอบเขตความสนใจของตนต่อตวั ตนเอง บุคคลอ่ืนๆรวมท้งั หมดท่ีกล่าวมา ดว้ ยเหตุน้ี ถา้ มีเวลาสําหรับ การแกป้ ัญหาท่ีซับซ้อนซ่ึงเรามีความเก่ียวขอ้ งสูงโดยตนเองและบคุ คลอื่น ๆ แลว้ อาจจะทาํ ใหเ้ กิดความชอบ มากกวา่ ในการร่วมกนั สร้างความสัมพนั ธอ์ นั ดีใหเ้ กิดข้นึ ความขดั แยง้ ที่เกิดข้นึ ในองคก์ ารสามารถแบ่งออกได้ 6 ประเภท ตามระดบั ความขดั แยง้ จากบคุ คลถึงองคก์ าร ดงั น้ี ประเภทที่ 1 ความขดั แยง้ ภายในตวั บคุ คล (Intrapersonal Conflict) หมายถึง ความขดั แยง้ ภายในตวั บุคคลเกิดข้ึนเน่ืองจาก ความไม่เป็นไปตามเป้าหมายหรือการไมแ่ น่ใจการกระทาํ ของตนเองวา่ มีความสามารถเพียงพอหรือไม่ หรือ เกิดความสับสนวา้ วนุ่ ในสถานการณ์น้นั ๆ จนไม่สามารถตดั สินใจ ความขดั แยง้ ภายในตวั บุคคลสามารถแบ่ง ออกเป็น 3 ชนิด 1. Approach – Approach Conflict คือความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้นึ จากบคุ คลตอ้ งเลือกทาํ ส่ิงใดในระหวา่ งตวั เลือกที่ มีมากกวา่ 1 ตวั และทุกตวั เลือกเป็นส่ิงที่จะใหผ้ ลทางบวก เช่น การตดั สินใจเลือกทาํ งานหน่ึงใน 2 งาน ซ่ึงท้งั สองงานต่างใหผ้ ลประโยชน์และน่าสนใจเทา่ กนั

2.. Avoidance – Avoidance Conflict คอื ความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้ึนเนื่องจากจะตอ้ งเลือกทางเลือกทางใดทางหน่ึง จากทางเลือกสองทางหรือมากกว่าข้ึนไป ซ่ึงทางเลือกต่างๆ เหล่าน้นั ต่างก็ไดผ้ ลท่ีไม่น่าพอใจ เช่น จะตอ้ ง เลือกวา่ ตอ้ งอยคู่ อนโดมิเนียมในเมือง หรือขบั รถจากบา้ นท่ีนอกเมืองเขา้ มาทาํ งานในตวั เมือง 3. Approach – Avoidance Conflict คือความขัดแยง้ ที่เกิดข้ึนเน่ืองจากจะต้องเลือกทําในสิ่งท่ีเป็ นท้ังผล ทางบวกและผลทางลบ เช่น จะเลือกทํางานในตําแหน่งท่ีดีแต่ท่ีทํางานต้ังอยู่ในจังหวัดภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือที่จะตอ้ งยา้ ยท่ีอยแู่ ละไม่มีโรงเรียนท่ีดีสาํ หรับบตุ รและธิดา ประเภทท่ี 2 ความขดั แยง้ ระหว่างบุคคล (Interpersonal Conflict) หมายถึงความขดั แยง้ ที่เกิดข้ึนระหว่างบุคคลเน่ืองจาก ความไมเ่ ห็นดว้ ยในเรื่องราว การกระทาํ หรือจุดประสงค์ ความขดั แยง้ ระหวา่ งบุคคลเกิดข้นึ ส่วนใหญ่มีผลมา จากความแตกต่างของบุคคลในดา้ นการรับรู้ พ้ืนฐานการศึกษาและครอบครัว ตลอดจนสถานภาพ ความ ขดั แยง้ ชนิดน้ีจะเป็นส่ิงสกดั ก้นั บุคคลใหม้ ีการติดตอ่ กนั อยา่ งมีประสิทธิภาพ ประเภทที่ 3 ความขดั แยง้ ภายในกลุ่ม (Intragroup Conflict) หมายถึงความขดั แยง้ ของสมาชิกภายในกลุ่มที่เกิดจากความ ไม่เห็นดว้ ย เนื่องจากแนวคิดตา่ งกนั ดงั น้นั เม่ือสมาชิกสรุปผลจากขอ้ มลู เดียวกนั โดยสรุปต่างกนั จึงทาํ ให้เกิด ความขัดแยง้ ซ่ึงอาจเรียกได้ว่าเป็ น Substantive Conflict ผลของความขัดแยง้ แบบน้ีจะช่วยให้เกิดการ แลกเปล่ียนขอ้ มูลขา่ วสารท่ีดีข้นึ และมีการตดั สินใจ ส่วนความขดั แยง้ ที่อยบู่ นรากฐานของการตอบสนองทาง อารมณ์ต่อสถานการณ์น้นั ๆ อาจเรียกไดว้ ่า Affective Conflict ซ่ึงความขดั แยง้ แบบน้ีอาจเป็นผลมาจากการที่ มีรูปแบบและบคุ ลิกภาพท่ีไม่เขา้ กนั ประเภทท่ี 4 ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่ม (Intergroup Conflict) หมายถึงความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้นึ ระหวา่ งกลุ่ม เช่น ความขดั แยง้ ของแผนกบญั ชีและแผนกวิจัย กลุ่มสหภาพแรงงานและคณะกรรมการประนีประนอม ถา้ ปรากฏว่าไม่ สามารถตกลงแกป้ ัญหาได้ ความขดั แยง้ ชนิดน้ีมกั จะนาํ ไปสู่การแขง่ ขนั และเกิดผลในแงข่ องการชนะ – แพ้ ประเภทที่ 5 ความขดั แยง้ ในองค์การ (Intraoganizational Conflict) ความขดั แยง้ ภายในองค์การสามารถแบ่งออกได้ 4 ชนิด

1. Vertical Conflict เป็นความขดั แยง้ ที่เกิดข้ึนระหวา่ งหัวหนา้ กบั ลูกนอ้ ง ซ่ึงมีความขดั แยง้ ใน ดา้ นวิธีการท่ีดี ที่สุดที่จะทาํ ใหง้ านสาํ เร็จ 2. Horizontal Conflict เป็ นความขดั แยง้ ระหวา่ งแผนกในระดบั เดียวกนั หรือผูบ้ ริหารในระดบั เดียวกนั เข่น การแยง่ ชิงทรัพยากร 3. Line – Staff Conflict เป็ นความขดั แยง้ ที่เกิดข้ึนระหว่างผูป้ ฏิบตั ิงานประจาํ กลุ่มท่ีทาํ งานในลกั ษณะสาย งานและทีมงาน 4. Role Conflict เป็นความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้ึนจากการกาํ หนดบทบาทท่ีไม่ชดั เจนหรือไม่มีการกาํ หนดบทบาท หรือรับรู้บทบาท ทาํ ใหเ้ กิดความไม่เขา้ ใจและทาํ งานความสมั พนั ธ์ ประเภทที่ 6 ความขดั แยง้ ระหว่างองคก์ าร (Interoganizational Conflict) หมายถึงความขดั แยง้ ระหว่างองคก์ ารท่ีตอ้ งใช้ ทรัพยากรร่วมกนั หรือลูกคา้ กลุ่มเดียวกนั มีการแข่งขนั หรือความสัมพนั ธ์ว่าจะเกิดปฏิสัมพนั ธ์ในแง่ใด ถา้ มี การขดั แยง้ สูงจะมีผลต่อความพยายามขององคก์ ารที่จะเขา้ ควบคมุ แหล่งทรัพยากร รักษาสมดุลของส่วนแบ่ง ตลาด มีการพฒั นาเพือ่ แกไ้ ขปัญหา และอาจจะมีการติดต่อเจรจากบั องคก์ ารน้นั ๆ เพอ่ื แกไ้ ขความขดั แยง้ นอกจากน้ีสาเหตขุ องความขดั แยง้ อาจเกิดจากปัจจยั ตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.ลกั ษณะงานท่ีตอ้ งพ่งึ พาซ่ึงกนั และกนั (Task interdependence) ปัจจยั ประการแรกน้ี หมายถึง การท่ีหน่วยงานสองหน่วยงานหรือมากกวา่ น้นั ไม่สามารถเป็นอิสระแก่กนั ได้ จะตอ้ งมีการพ่ึงพาอาศยั ซ่ึงกนั และกนั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในเรื่องขอ้ มูล ความช่วยเหลือหรือการประสานงาน กนั เป็นตน้ ท้งั น้ีเพอ่ื ทาํ ใหก้ ารทาํ งานประสบผลสาํ เร็จ การท่ีงานของหน่วยงานต่าง ๆ ใน องคก์ รไมส่ ามารถ เป็นอิสระแก่กนั ได้ อาจนาํ ไปสู่ความขดั แยง้ ซ่ึงมีอยู่ 3 รูปแบบดว้ ยกนั ประการแรก ความขดั แยง้ อาจเกิดข้ึนจากการที่หน่วยงานหรือกลุ่มต่าง ๆ ในองค์กรอาจจะไม่ จาํ เป็ นตอ้ งมี ความสัมพนั ธ์กนั โดยตรงก็ได้ แต่เม่ือหน่วยงานหน่ึงเกิดทาํ งานผิดพลาดข้ึนอย่างร้ายแรงก็อาจจะส่งผล กระทบตอ่ การทาํ งานของอีกหน่วยงานหน่ึงท่ีเก่ียวขอ้ ง และจะนาํ ไปสู่ความขดั แยง้ ตอ่ กนั

ประการท่ีสอง มีรูปแบบที่ว่า การปฏิบตั ิงานของหน่วยงานหน่ึง จะเร่ิมลงมือปฏิบตั ิไดก้ ็ต่อเม่ือ งานของอีกหน่วย หน่ึงไดท้ าํ สาํ เร็จลงแลว้ ในลกั ษณะเช่นน้ี หากการทาํ งานของหน่วยงานแรกเกิดความล่าชา้ กจ็ ะส่งผลใหง้ าน ของหน่วยงานหลงั ตอ้ งล่าชา้ ตามไปดว้ ย เพราะตอ้ งรอให้หน่วยงานแรกปฏิบตั ิงานเสร็จเสียก่อน เง่ือนไข เช่นน้ี ยอ่ มนาํ ไปสู่ความขดั แยง้ ระหวา่ งสอง หน่วยงานอยา่ งหลีกเล่ียงไม่พน้ ประการสุดทา้ ย เป็นลกั ษณะท่ีการทาํ งานของกลมุ่ หรือหน่วยงานตา่ ง ๆ จะตอ้ งพ่ึงพาอาศยั ซ่ึงกนั และกนั จึงจะทาํ ให้ งานสาํ เร็จลุล่วงได้ เช่น หน่วยงานวิจยั ตอ้ งอาศยั ขอ้ มลู จากฝ่ายปฏิบตั ิการในขณะเดียวกนั ฝ่ายปฏิบตั ิการก็ตอ้ ง อาศยั ขอ้ มูลหรือผลการวิจยั จากฝ่ ายวิจยั เพ่ือเป็นแนวทางในการปฏิบตั ิงาน หากหน่วยงานหรือกลุ่มจากสอง หน่วยงานน้ีไม่สามารถร่วมมือกนั ได้ หรือต่างฝ่ายตา่ งไม่ยอมรับกนั ก็จะมีผลนาํ ไปสู่ความขดั แยง้ ในทา้ ยที่สุด 2. การแบ่งงานตามความชาํ นาญเฉพาะดา้ นมีมากข้นึ (Increased specialization) เกิดปัญหา มากมายหลายประการด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองของความขัดแยง้ ซ่ึงจาก ผลการวจิ ยั ของนกั วชิ าการหลายท่าน ไดม้ ีการคน้ พบวา่ การแบง่ งานตามความชาํ นาญมากเทา่ ใด ยง่ิ เกิดความ ขดั แยง้ เพม่ิ มากข้ึน เพราะจะทาํ ใหบ้ ุคลากรแตล่ ะกลุม่ มีโครงสร้างในการทาํ งาน และพฒั นาการในการเรียนรู้ หรือแนวความคิดที่จาํ กัดอยู่แต่เฉพาะในงานของตนเอง สภาพเช่นน้ีทาํ ให้บุคลากรใน แต่ละหน่วยงานมี แนวความคิดต่อการปฏิบตั ิ และแกไ้ ขปัญหาต่าง ๆ ของงานแตกต่างกนั ไปตามความถนัดของแต่ละบุคคล และเม่ือมีความจาํ เป็ นที่จะตอ้ งประสานงานหรือทาํ งานร่วมกันแลว้ โอกาสที่จะนาํ ไปสู่ความขดั แยง้ ก็จะ เกิดข้ึนได้ 3. การกาํ หนดหนา้ ท่ีความรับผิดชอบของงานไมช่ ดั เจน (Ambiguously defined responsibilities) ความขดั แยง้ มกั เกิดจากความไม่ชดั เจนของการกาํ หนดหนา้ ท่ีรับผิดชอบในการทาํ งานในองคก์ ร ทาํ ให้เกิดความสับสน กา้ วก่ายในการทาํ งานหรือทาํ งานซ้ําซ้อนกัน ซ่ึงเป็ นบ่อเกิดของความขดั แยง้ สาเหตุ สําคัญประการหน่ึงท่ีทําให้องค์กรขาดความชัดเจนในการกําหนดหน้าที่รับผิดชอบ คือในขณะท่ี สภาพแวดลอ้ มขององคก์ รมีการเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ซ่ึงมีผลทาํ ให้เกิดหนา้ ท่ีความรับผิดชอบของงาน ใหม่ ๆ ข้ึนมามากมาย แต่องคก์ รส่วนใหญ่มกั จะไม่มีการเปล่ียนแปลงลกั ษณะขอบข่ายของงาน ซ่ึงระบุถึง หนา้ ท่ีความรับผิดชอบให้ทนั สมยั ตามกาลเวลาท่ีเปลี่ยนแปลงไป ดว้ ยสภาพเช่นน้ีจะทาํ ให้บุคลากร กลุ่ม หรือหน่วยงานแต่ละฝ่ ายไม่สามารถตกลงกนั ได้ ว่าใครจะเป็ นผูร้ ับผิดชอบในการทาํ งานน้นั ๆ ซ่ึงบางคร้ัง

อาจจะทาํ ให้เกิดการแบ่งงานกันทาํ หรือปัดความรับผิดชอบให้กบั ฝ่ ายอ่ืน และความขดั แยง้ ตามมาอย่าง หลีกเลี่ยงไมไ่ ด้ 4. อุปสรรคของการติดต่อสื่อสารหรือการสื่อขอ้ ความ (Communication obstruction) อาจจะเกิดข้ึนจากความคล่องตวั ของงานท่ีเป็นอย่ภู ายในหรือระหวา่ งหน่วยงาน ไม่มีประสิทธิภาพ หรืออาจเกิดจากอุปสรรคดา้ นภาษา ซ่ึงเกิดจากการท่ีบุคลากรในแต่ละหน่วยงานมีพ้ืนฐานความรู้ การศึกษา หรือการอบรมท่ีแตกต่างกัน เช่น วิศวกร นายแพทย์ และนักสังคมศาสตร์ เป็ นตน้ มกั จะมีภาษาที่ใช้สื่อ ความหมายเฉพาะตวั ตามสาขาอาชีพตน ซ่ึงแตกต่างกนั อย่างมากมาย สภาพเช่นน้ีอาจจะมีผลทาํ ให้การ ติดต่อสื่อสารระหวา่ งบุคคล กล่มุ หรือหน่วยงานขาดความเขา้ ใจ หรือเกิดการเขา้ ใจผิดซ่ึงกนั และกนั ซ่ึงมีผล ทาํ ใหไ้ ม่สามารถประสานงานและร่วมมือร่วมใจกนั ไดต้ ามท่ีควรจะเป็ น เงื่อนไขเช่นน้ีอาจจะนาํ ไปสู่ความ ขดั แยง้ ตามมาในทา้ ยท่ีสุด 5. การแข่งขนั เพือ่ แยง่ ชิงทรัพยากรที่มีจาํ กดั (Competition for limited sources) บุคลากรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองคก์ ร มกั จะเผชิญปัญหาที่เก่ียวกบั การแก่งแย่ง เพื่อให้ไดม้ า ซ่ึงทรัพยากรขององคก์ รที่มีคอ่ นขา้ งจาํ กดั เช่น ในเรื่องของงบประมาณ วสั ดุ หรือทรัพยากรมนุษย์ เป็นตน้ ประโยชน์และโทษของความขัดแย้ง Davis & Newstrom .1985 ความขัดแยง้ ไม่ว่าจะเป็ นประเภทใด ระดับใด ขนาดใหญ่หรือเล็ก เป็ นสิ่งท่ี หลีกเล่ียงไม่ได้ อยา่ งไรก็ดี ความจริง 2 ประการที่สาํ คญั ของความขดั แยง้ คอื 1. ความขดั แยง้ เป็นเหตกุ ารณ์ทางสงั คมท่ีสามารถพยากรณ์ได้ 2. ความขดั แยง้ เป็นช่องทางที่เป็นประโยชน์ท่ีจะนาํ ไปสู่จุดประสงคไ์ ด้ แต่คนส่วนมากมองวา่ ความขดั แยง้ เป็นสถานการณ์ท่ีเกิดจากจุดที่ไมช่ อบ ไม่พงึ พอใจ จึงไม่มีทศั นคติที่ดีต่อความขดั แยง้ และเห็นวา่ ความขดั แยง้ เป็นเร่ืองไมด่ ี นน่ั คือความขดั แยง้ มีผลท้งั ดา้ นบวกและดา้ นลบ 1. ผลดีของความขดั แยง้ มีดงั ต่อไปน้ี 1.1 เปิ ดเผยเรื่องรวมท่ีขดั ขอ้ งและรับรู้ปัญหา 1.2 มีการทาํ ความเขา้ ใจเร่ืองน้นั ๆ 1.3 ปรับปรุงคณุ ภาพของการแกป้ ัญหา 1.4 ทาํ ใหม้ ีการส่ือสารทนั ทีทนั ใด

1.5 ปรับปรุงแนวความคดิ 1.6 กระตนุ้ ใหค้ น้ หาวิธีการที่ไดผ้ ล 1.7 มีการแสดงความคิดเป็นในปัญหาและการแกป้ ัญหา 1.8 เกิดความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ 1.9 สร้างความเจริญกา้ วหนา้ 1.10 เม่ือสร้างทางเลือกไดห้ รือแกป้ ัญหาไดจ้ ะทาํ ใหม้ ีความสัมพนั ธ์ที่เขม้ แขง็ 1.11 เกิดความร่วมมือในการทาํ งาน 1.12 ช่วยเพ่มิ ประสิทธิภาพ 2. ผลเสียของความขดั แยง้ มีดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1 ทาํ ใหส้ ูญเสียพนกั งานที่ใชใ้ นการทาํ งาน อตั ราการลาออกสูง 2.2 ทาํ ลายขวญั ของบคุ ลากร 2.3 เกิดความแตกแยกเป็นบุคคลหรือกลุ่ม 2.4 มีการกีดกนั การร่วมมือ 2.5 ทาํ ใหเ้ กิดพฤติกรรมที่ไมพ่ ึงปรารถนา 2.6 สร้างความสงสยั ไมเ่ ช่ือถือซ่ึงกนั และกนั 2.7 เกิดความรู้สึกพา่ ยแพห้ รือสูญเสีย 2.8 เกิดความห่างเหินระหวา่ งบคุ คล 2.9 เกิดอปุ สรรคในการทาํ งาน 2.10 ประสิทธิภาพและผลผลิตลดลง ความขดั แยง้ เป็ นสถานการณ์ที่ให้ท้งั ประโยชน์และโทษต่อบุคคลและองค์การ การท่ีจะเกิดประโยชน์หรือ โทษข้นึ อยกู่ บั องคป์ ระกอบ 2 ประการ คือ 1.ระดบั ความเขม้ ของความขดั แยง้

2.การจดั การความขดั แยง้ ถา้ ความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้ึนมีการจดั การท่ีเหมาะสม จะทาํ ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด ความขดั แยง้ ที่ใหผ้ ลทางบวก เรียกวา่ ความขดั แยง้ ในทางสร้างสรรค์ (Constructive Conflict) เป็นความขดั แยง้ ที่ใชป้ ระโยชนก์ บั บคุ คลและ องค์การที่เก่ียวข้องกับความขัดแยง้ น้ัน ผลประโยชน์ที่ได้รับท่ีชัดเจนคือการเพ่ิมการสร้างสรรค์และ นวตั กรรม การเพม่ิ พลงั การเพ่มิ ความยดึ เหน่ียวและลดความตึงเครียด เราคงปฏิเสธไมไ่ ดใ้ นเร่ืองความขดั แยง้ ท่ีเกิดข้นึ ในชีวิตประจาํ วนั ของเรา เพราะเราอยู่ร่วมกนั เป็นสงั คมหรือ การทาํ งานร่วมกนั ในองค์กร ซ่ึงความขดั แยง้ มีท้งั ในตวั บุคคล ระหว่างบุคคล ภายในกลุ่ม ระหว่างกลุ่ม ภายในองค์กร และระหว่างองคก์ ร เพราะมีความแตกต่าง ในหลาย ๆ ดา้ น และส่ิงแวดลอ้ มที่แตกต่างกนั ความขดั แยง้ ยอ่ มเกิดข้ึนไดเ้ สมอ มีหลายทกั ษะท่ีเก่ียวกบั ความขดั แยง้ ที่เกิดข้ึน ไม่ว่า จะเป็นเร่ืองของการ ส่ือสาร ประสานงาน การทาํ งานเป็ นทีม เราสามารถปรับเปลี่ยนความขดั แยง้ ให้กลายเป็นความคิดเห็นท่ี แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ได้ เพราะความคิดท่ีหลากหลาย ย่อมนําไปสู่วิธีการที่เหมาะสมในการ ไปถึง เป้าหมายที่วางไว้ มากกว่าท่ีจะใช้วิธีเดียวในการบริหารจดั การเพื่อเสริมสร้าง และพฒั นาทกั ษะให้ผูเ้ ขา้ อบรมไดเ้ ขา้ ใจใน “ความขดั แยง้ ” ท่ีเกิดข้ึนในองคก์ รไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง เตรียมความพร้อมในการหาแนวทาง จดั การกบั ความขดั แยง้ น้นั อย่างสร้างสรรค์ และสามารถนาํ ความรู้ที่ไดร้ ับไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั การบริหารความ ขดั แยง้ ใหเ้ กิดประสิทธิผลสูงสุด กระบวนการแกไ้ ขความขดั แยง้ (Conflict Resolution Process - CRP) 1.แสดงออกถึงความขดั แยง้ ผบู้ ริหาร/ผูท้ ี่เก่ียวขอ้ งสามารถสังเกตได้ จากการสื่อสารดว้ ยท่าทาง และคาํ พูด สถานการณ์ การแสดงออกท้งั สงบ หรือ หงุดหงิด เป็ นตวั ช้ีวดั ลาํ ดบั แรกว่าเร่ิมมีความขดั แยง้ ในข้นั น้ีการ แสดงความขดั แยง้ อาจมีเพยี งฝ่ายเดียวสถานการณ์ หากความขดั แยง้ กลบั มาเกิดในระดบั น้ีอีก ความขดั แยง้ จะ แสดงออกจนทาํ ให้หมดโอกาสที่จะไดร้ ับ ความร่วมมือกนั อีก และจะยงั คงมีความขดั แยง้ อย่างต่อเน่ือง จนกวา่ จะมีฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเป็นผูช้ นะผลกระทบการเลือกรูปแบบการแกไ้ ข ข้นั น้ีเกิดในทุกรูปแบบของความ ขดั แยง้ 2. ตระหนกั ถึงความขดั แยง้ ผบู้ ริหาร/ผทู้ ่ีเกี่ยวขอ้ ง จะตอ้ งแจง้ ใหท้ ีมงานทราบและใหท้ ีมงานใชข้ ้นั ตอน CRP แกไ้ ขสถานการณ์ ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงรับรู้ถึงความขดั แยง้ การรับรู้น้ีอาจส่ือสารหรือไม่ไดส้ ่ือสารใหอ้ ีกฝ่ายทราบ หากเลือกใชก้ ารหลีกเลี่ยงจะหยดุ ความขดั แยง้ ไดเ้ พราะมีเพียงฝ่ ายเดียวที่ทราบสถานการณ์ หากความขดั แยง้ มีการหารือกนั ยงั เปิ ดอกก็จะช่วยสร้างความพึงพอใจในการแกป้ ัญหาได้ สถานการณ์ หากความขดั แยง้ ยอ้ นกลบั มาใหม่ทีมงาน สามารถเลือกรูปแบบการแก้ปัญหาความ ขดั แยง้ ดว้ ยวธิ ีแบบเดิมหรือใชก้ ระบวนการแกไ้ ขในข้นั ตอนตอ่ ไปได้

ผลกระทบการเลือกรูปแบบการแกไ้ ข หากเลือกการปรองดองความขดั แยง้ จะยุตติเพราะฝ่ ายหน่ึง ยอมอีกฝ่ าย หากเลือกการแข่งขนั ความขัดแยง้ จะกลบั มาอีกหากเลือกวิธีประนีประนอมหรือช่วยกันจะ นาํ ไปสู่ขอ้ ตกลงร่วมกนั 3. เขา้ ใจความขดั แย้ ผบู้ ริหาร/ผูท้ ี่เกี่ยวขอ้ งช่วยทีมงานรวบรวมขอ้ มลู เรื่องการต่อรองหรือจุด ท่ีจาํ เป็นเพ่ือให้ สถานการณ์เป็นไปไดแ้ บบประโยชนท์ ้งั สองฝ่าย สถานการณ์ เปิ ดโอกาสให้แต่ละฝ่ ายไดอ้ ธิบายถึงสถานการณ์ความขดั แยง้ ความตอ้ งการและความ เขา้ ใจคาํ ถามของแต่ละฝ่าย ผลกระทบการเลือกรูปแบบการแกไ้ ข ใชว้ ธิ ีประนีประนอมระบุจุด ต่อรองอะไร ท่ีควรยกเลิกเพื่อให้ ไดใ้ นอีกเรื่องหน่ึงกระบวนการน้ีปกติจะใชเ้ วลาไม่นานใชว้ ิธีช่วยกนั ระบุความตอ้ งการของแต่ละทีมว่าคือ อะไรเพอื่ ใหท้ ้งั สองฝ่ายชนะ-ชนะกระบวนการน้ีจะใชเ้ วลามากในการแกป้ ัญหา 4. ทาํ การตกลงในเร่ืองทว่ั ๆไป สถานการณ์ ให้ทีมท่ีมีความขดั แยง้ กนั ระบุประโยชน์ที่ได้รับจากการตกลงแก้ไขปัญหาร่วมกัน ตวั อยา่ งเช่น แหมบคุ ลากรจะรู้สึกถึงความขดั แยง้ แตท่ กุ คนกม็ งุ่ มนั่ ที่จะรับผดิ ชอบและตอ้ งแกไ้ ขปัญหาความ ขดั แยง้ ผลกระทบการเลือกรูปแบบการแกไ้ ข วิธีประนีประนอมและช่วยกนั ใช้เวลาและความพยายามใน การแกป้ ัญหาความขดั แยง้ การทาํ ขอ้ ตกลงกนั ในเร่ืองทว่ั ๆไปทาํ ใหข้ ยายเวลาและความพยายามอยา่ งมีเหตผุ ล 5. การแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ ผูบ้ ริหาร/ผูท้ ี่เกี่ยวขอ้ ง รักษาการหารือเพ่ือให้ไดข้ อ้ ตกลงและทีมงานแสดง การยอมรับเม่ือบรรลขุ อ้ ตกลง สถานการณ์ ท้งั สองฝ่ายระบแุ ละมุ่งมน่ั ท่ีจะหาทางออกท่ีพอใจในการแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ ผลกระทบกนั เลือกรูปแบบการแกไ้ ข ใชว้ ิธีประนีประนอมแต่ละฝ่ ายยอมเสียสละอย่างหน่ึงเพื่อให้ ไดอ้ ีกอยา่ งแทนการใชว้ ิธีช่วยกนั แตล่ ะฝ่ายจะไดร้ ับผลตอบแทนตามที่ลงมือกระทาํ ทกั ษะที่จาํ เป็นคือการเจรจา ผูบ้ ริหารตอ้ งชาญฉลาดในการเจรจา เริ่มจากประเมินข้นั ตอนของการเกิดความ ขดั แยง้ มองหาสาเหตุให้ทะลุหรือจะเรียกว่า “มองให้ขาด” ก็น่าจะได้ จากน้ันจึงค่อยเจรจา ไกล่เกล่ียและ สื่อสารระหวา่ งค่ขู ดั แยง้ ท้งั สองฝ่าย หรือมากกวา่ 2 ฝ่าย อยา่ งมีประสิทธิภาพ ความขดั แยง้ จบได้ ต่อเมื่อมีการ กระจายความเป็นธรรม ซ่ึงเป็นหนา้ ที่โดยตรงของผูบ้ ริหารท่ีจะหาวิธีที่เป็นธรรมกบั ทุกฝ่ าย น่าหนกั ใจที่ว่า

ความเป็ นธรรมน้ัน เป็ นความพอใจส่วนบุคคล แต่ละคนมีมาตรฐานท่ีไม่เท่ากนั จึงอาจใช้ 3 เกณฑ์ต่อไปน้ี คือ 1.ความตอ้ งการ (Need) ใครที่มีความตอ้ งการมากกวา่ มีภาระรับผิดชอบมากกวา่ ควรไดร้ ับส่วนแบง่ มากกวา่ 2.ความเท่าเทียม (Equality) เกณฑน์ ้ีเห็นวา่ ทกุ คนท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การทาํ งานควรไดร้ ับส่วนแบง่ เทา่ กนั 3.ความเสมอภาค (Equity) เกณฑน์ ้ีเห็นว่าส่วนแบ่งที่แต่ละคนไดร้ ับ ควรข้ึนอย่กู บั ปริมาณที่แต่ละคนลงทุน หรือลงแรงไป ค่อนขา้ งยากในการปฏิบตั ิจริง เพราะการลงทุนน้นั อาจเป็ นเม็ดเงิน สติปัญญา หรือแรงงาน ฯลฯ เกณฑค์ วามเท่าเทียมใชไ้ ดผ้ ลกบั กล่มุ พนกั งานท่ีมีความสามคั คีกนั เกณฑค์ วามเสมอภาคใชไ้ ดด้ ีกบั กลุ่มคนที่ ไม่มีความกลมเกลียวกนั สุดทา้ ยคือการใชอ้ าํ นาจของผบู้ ริหารท่ีตอ้ งพิจารณาใชบ้ งั คบั เป็นกรณีๆ ไป ภายใต้ หลกั วา่ ความขดั แยง้ ยอ่ มเกิดข้นึ เพือ่ ประโยชนส์ ูงสุดขององคก์ ร

บรรณานุกรม เ พ ช ร รั ต น์ . / / 2 5 5 5 . / / ก า ร บ ริ ห า ร ค ว า ม ขัด แ ย้ง . / / สื บ ค้น เ มื่ อ 4 ก ร ก ฎ า ค ม 2 5 6 4 ,/จ า ก https://www.gotoknow.org/posts/400064 Prosoft HCM.//2 0 1 7 . / / ก า ร บ ริ ห า ร ค ว า ม ขัด แ ย้ง . / / สื บ ค้ น เ มื่ อ 4 ก ร ก ฎ า ค ม 2 5 6 4 ,/จ า ก https://www.prosofthcm.com/Article/Detail/15620 Rfu’s blog.//2 0 0 7 . / / ก า ร บ ริ ห า ร ค ว า ม ขั ด แ ย้ ง . / / สื บ ค้ น เ ม่ื อ 4 ก ร ก ฎ า ค ม 2 5 6 4 ,/จ า ก http://personnel.mju.ac.th/itm-admin/uploads/23587.doc Wealthmeup.//2017.//กลยุทธ์การจัดการความขัดแย้ง.//สื บค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2564,/จาก https://wealthmeup.com/6กลยทุ ธ์แกค้ วามขดั แยง้ / Cowboymanager.//2554.//กลยุทธ์การจดั การความขดั แยง้ ในองคก์ าร.//สืบคน้ เม่ือ 5 กรกฎาคม 2564,/จาก http://cowboymanager.blogspot.com/2011/10/36.html นางสาวภิสสรา อุมะวิชนี.//2020.//รูปแบบการจดั การความขดั แยง้ .//สืบคน้ เมื่อ 5 กรกฎาคม 2564,/จาก https://smarterlifebypsychology.com/2020/04/16/การจดั การความขดั แยง้ / เพชรรัตน์ โครตไชย.//2012.//การบริ หารความขัดแย้ง.//สื บค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2564,/จาก https://www.gotoknow.org/posts/400064 S.duangchai.//2 5 5 9 . / / แ ก้ ปั ญ ห า ค ว า ม ขั ด แ ย้ ง . / / สื บ ค้ น เ มื่ อ 6 ก ร ก ฎ า ค ม 2 5 6 4 ,/จ า ก https://www.winnews.tv/news/10778 Patchapol haroenja.//2556.//แนวทางในการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ .//สืบคน้ เม่ือ 6 กรกฎาคม 2564,/จาก https://sites.google.com/site/patchalapol30274/3-4-naewthang-ni-kar-pxngkan-laea-kaekhi- payha-khwam-khad-yaeng Amarin books.//2019.//สาเหตุวิธีป้องกันและวิธีแก้ไขปัญหาความขัดแยง้ ในที่ทํางาน.//สืบค้นเม่ือ 7 กรกฎาคม 2564,/จาก https://amarinbooks.com/ปัญหา-ความขดั แยง้ ในท่ีท/ อ.สมิต.//2007.//ทักษะที่จําเป็ นในการแก้ไขความขัดแย้ง.//สืบค้นเม่ือ 7 กรกฎาคม 2564,/จาก https://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=653&pageid=5&read=tr นางสาวศิริรุ่ง สม พรและนางสาววิราภรณ์ สมาน.//2021.//การจดั การความขดั แยง้ ในองคก์ ร.//สืบคน้ เมื่อ 7 กรกฎาคม 2564,/ จาก https://sites.google.com/site/rtech603xx/prawati-phu-cad-tha-1

ภาคผนวก

เรื่อง การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ เสนอ อาจารย์ รุ้งมณี พนั ธ์ุพฤกษ์ชาติ อาจารย์ ศจมี าศ หมะอุ จดั ทาโดย นางสาว ปนดั ดา บุญศาสตร์ เลขที่ 18 ระดบั ช้ันปวส.2/5 สาขาการจัดการ รายงานฉบบั นเี้ ป็ นส่วนหนึ่งของ งานฝึ กงาน ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 วิทยาลยั เทคโนโลยีหาดใหญ่อานวยวิทย์

เรื่อง การพฒั นาบุคลกิ ภาพ เสนอ อาจารย์ รุ้งมณี พนั ธ์ุพฤกษ์ชาติ อาจารย์ ศจีมาศ หมะอุ จัดทาโดย นางสาว ปนดั ดา บญุ ศาสตร์ เลขที่ 18 ระดับช้ันปวส.2/5 สาขาการจัดการ รายงานฉบับนเี้ ป็ นส่วนหน่งึ ของ งานฝึ กงาน ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564

ก คานา รายงานฉบบั น้ีเป็นส่วนหน่ึงของ งานฝึ กงาน โดยมีจุดประสงคเ์ พื่อการศึกษาหาความรู้เรื่อง การพฒั นาบคุ คลิกภาพ ซ่ึงรายงานน้ีมีเน้ือหาเก่ียวกบั การพฒั นาบคุ ลิกภาพภายนอก การพฒั นา บคุ ลิกภาพภายใน การพฒั นาบุคลิกภาพในการทางาน และการพฒั นาบคุ ลิกภาพของผใู้ หบ้ ริการ เพ่ือ เป็นการศึกษาคน้ ควา้ และเผยแพร่เรื่องที่สนใจในเรื่องการพฒั นาบุคลิกภาพ หวงั เป็นอยา่ งยง่ิ วา่ รายงานเลม่ น้ีจะเป็นประโยชน์อยา่ งยง่ิ ในการท่ีจะทาใหผ้ สู้ นใจศึกษา เรื่องการพฒั นาบุคคลิกภาพ ไดร้ ับความรู้พอสมควร ผ้จู ดั ทา นางสาว ปนัดดา บญุ ศาสตร์

สารบัญ หน้า เร่ือง ก คานา 1 บทที่ 1 การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ 1 1 - ความหมายของบุคลกิ ภาพ 2 - ความสาคัญของบคุ ลกิ ภาพ 3 - องค์ประกอบของบุคลกิ ภาพ 4 - แนวทางการพฒั นาบุคลกิ ภาพ - การเสริมสร้างบคุ ลกิ ภาพ 6 บทที่ 2 การพฒั นาบุคลกิ ภาพภายนอก 6 6 - แนวคดิ สาคัญ (Main Idea) 6 - ความหมายของบุคลกิ ภาพภายนอก 8 - ข้นั ตอนการพฒั นาบุคลกิ ภาพ 8 - การปรับปรุงบุคลกิ ภาพภายนอก 9 - การดูแลและพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายนอก 11 - การดแู ลรักษารูปร่าง 12 - การดูแลรักษาใบหน้า 14 - การดแู ลรักษาเส้นผม 16 - การดแู ลรักษาตา 17 - การดูแลรักษาควิ้ 18 - การดูแลรักษาหู 19 - การดูแลรักษาจมูก 20 - การดูแลรักษาริมฝี ปาก 21 - การดแู ลรักษาฟัน - การดแู ลรักษาอก

สารบัญ (ต่อ) - การดูแลรักษาเลบ็ มือและเท้า 22 - การดูแลรักษาผิวพรรณ 23 - การดแู ลรักษาขา 25 - การดูแลรักษาเท้า 25 - สรุปสาระสาคัญ 27 บทท่ี 3 การพฒั นาบุคลกิ ภาพภายใน 28 - แนวคิดสาคญั (Main Idea) 28 - ความหมายของบคุ ลกิ ภาพภายใน 28 - ความสาคญั ของการพฒั นาบุคลกิ ภาพภายใน 29 - ทฤษฎกี ารพฒั นาจิตลกั ษณะและบคุ ลกิ ภาพของบุคคล 29 - ทฤษฎจี ติ วเิ คราะห์ (Psychoanalytic Theory) 30 - ทฤษฎีโครงสร้างทางจิตหรือโครงสร้างบุคลกิ ภาพ 31 - พฒั นาการทางบุคลกิ ภาพของ Freud 33 - องค์ประกอบของการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายใน 34 - ธรรมะกบั การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายใน 41 - สรุปสาระสาคัญ 43 บทท่ี 4 การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพในการทางาน 44 - การพฒั นาบุคลกิ ภาพในการทางาน 44 - การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพโดยทั่วไป 44 - การพฒั นาความเป็ นผ้ใู หญ่ 46 บทที่ 5 การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพของผู้ให้บริการ 49 - ความสาคัญของบคุ ลกิ ภาพต่องานบริการ 49 - ลกั ษณะบคุ ลกิ ภาพที่ผู้ให้บริการพงึ พจิ ารณา 49 - ผ้ใู ห้บริการควรมบี คุ ลกิ ภาพเช่นไร 49

สารบัญ (ต่อ) 50 - ผู้ให้บริการควรปรับปรุงบุคลกิ ภาพอย่างไร 51 - การเสริมสร้างบคุ ลกิ ภาพ 52 - บรรณนานุกรม

1 บทที่ 1 การพฒั นาบุคลกิ ภาพ ความหมายของบคุ ลกิ ภาพ บคุ ลิกภาพ (Personality) มาจากรากศพั ทภ์ าษากรีก คอื Persona (Per+Sonare) ซ่ึงหมายถึง Mask ที่แปลวา่ หนา้ กากท่ีตวั ละคร ใชส้ วมใส่ใน การเล่นเป็น บทบาทแตกต่างกนั ไปตามท่ีไดร้ ับ ฮาร์ดแมน (Hartman) ไดใ้ หค้ วามหมายของบุคลิกภาพวา่ หมายถึง ส่วนรวมท้งั หมดท่ีบคุ คล แสดงออกโดยกริยาอาการ ความนึกคดิ อารมณ์ นิสัยใจคอ ความสนใจ การติดตอ่ กบั ผอู้ ื่น ตลอดจน รูปร่างหนา้ ตา การแต่งกาย และความสามารถในการอยรู่ วมกบั บคุ คลอ่ืน เออร์เนส อาร์.ฮิลการ์ด (Hilgard) กลา่ ววา่ บุคลิกภาพเป็นลกั ษณะส่วนรวมของบุคคล และ การแสดงออกของพฤติกรรม ซ่ึง ช้ีใหเ้ ห็นความเป็นปัจเจกบุคคล ในการปรับตวั ต่อส่ิงแวดลอ้ ม รวมถึง ลกั ษณะที่ส่งผลสู่การติดต่อ สมั พนั ธ์กบั ผอู้ ่ืน ไดแ้ ก่ ความรู้สึกนบั ถือตนเอง ความสามารถ แรงจูงใจ ปฏิกิริยาในการเกิดอารมณ์ และลกั ษณะนิสัยที่สะสมจากประสบการณ์ชีวิต อลั ชลี แจ่มเจริญ ใหค้ วามหมายวา่ บุคลิกภาพ หมายถึง ลกั ษณะส่วนรวมของบุคคลท้งั หมด ที่แสดงออกมาปรากฏ ใหค้ นอื่นไดร้ ู้ไดเ้ ห็น ซ่ึง แตกตา่ งกนั เพราะภาวะส่ิงแวดลอ้ มที่สร้างตวั บุคคลน้นั แตกต่างกนั ประการหน่ึง และพนั ธุกรรม ท่ี แต่ละบคุ คล ไดม้ าก็แตกตา่ งกนั ไปอีกประการหน่ึง จากความหมายของ “บุคลิกภาพ” สรุปไดว้ า่ บุคลิกภาพหมายถึงลกั ษณะตวั บคุ คลโดย ส่วนรวม ท้งั ลกั ษณะทางกาย รูปร่างหนา้ ตากิริยาท่าทาง น้ าเสียง ค าพดู ความสามารถทางสมอง ทกั ษะการท ากิจกรรมต่างๆ และลกั ษณะทางจิต ความรู้สึกนึก คิด เจตคติค่านิยม ความสนใจ ความ มุ่งหวงั อดุ มคติ เป้าหมาย ความสามารถในการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ มของแต่ละคน ความสาคญั ของบคุ ลกิ ภาพ บุคลิกภาพ ของแตล่ ะคนเป็นส่ิงประจาตวั ของคนท่ีท าใหแ้ ตกตา่ งจากคนอื่น แต่ละคนมี บคุ ลิกภาพเป็นของตวั เอง ซ่ึงเป็นผลมาจากการทางานประสานกนั ของสมองท่ีข้ึนอยกู่ บั พนั ธุกรรม และประสบการณ์ที่ไดร้ ับจากสิ่งแวดลอ้ มโดยทวั่ ไปบคุ ลิกภาพมีความสาคญั ตอ่ บุคคลดงั น้ี 1. ประสิทธิภาพการปฏิบตั ิงาน ถา้ บุคคลมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิสูงจะเป็นแรงพลงั กระตุน้ ให้ มานะพยายาม ดาเนินงานสู่ความสาเร็จ ทาใหบ้ ุคคลมีความอดทน ต่อสู้ บากบน่ั ใชค้ วามสามารถ ลงทนุ ลงแรง สนใจใฝ่รู้ในทุกสิ่งท่ีเก่ียวขอ้ งเพ่อื พฒั นางานใหเ้ จริญกา้ วหนา้ แต่ถา้ บุคคลมีแรงจูงใจ

2 ใฝ่ สัมฤทธ์ิต่า กจ็ ะลงทนุ ลงแรงนอ้ ยเพ่อื ใหง้ านบรรลเุ ป้าหมายนอ้ ยลงไป ทาใหง้ านขาด ประสิทธิภาพ 2. กาหนดทิศทางการดาเนินงาน ไดแ้ ก่ ความคิดริเร่ิม กลา้ ไดก้ ลา้ เสีย 2.1. บคุ คลมีความคดิ ริเริ่มสร้างสรรคส์ ูง มกั ดาเนินงานโดยคดิ คน้ ความแปลกใหมใ่ หก้ บั ผลผลิต หรือการใหบ้ ริการรวมท้งั การใชก้ ลยทุ ธ์หลากหลายเพอ่ื การตลาดและการโฆษณาประชาสมั พนั ธ์ เพ่อื เอาชนะคแู่ ข่งขนั และดารงงานใหค้ งอยหู่ รือกา้ วหนา้ ต่อไป 2.2. บุคลิกภาพแบบกลา้ ไดก้ ลา้ เสีย บคุ คลน้ีมกั จะยอมลงทุน เส่ียง กลา้ เผชิญกบั ความ ลม้ เหลว เพราะถา้ ไดก้ ็จะไดม้ ากจนข้นั พลิกผนั ชีวิตของตนเองได้ 2.3. บคุ คลที่มีความระมดั ระวงั รอบคอบสูง มกั จะไม่ลงทนุ กบั สิ่งท่ีไม่แน่นอน และจะ ทางาน ประเภทท่ีกา้ วไดเ้ รื่อยๆ คือ กา้ วชา้ แตต่ นเองรู้สึกวา่ มน่ั คง 3. ความน่าเชื่อถือ บุคลิกภาพบางดา้ น เช่น บุคคลท่ีรักษาคาพดู อารมณ์มน่ั คง มีเหตุผล วาง ตนไดถ้ ูกตอ้ งตามกาลเทศะ มีน้าใจ ทาอะไรโดยนึกถึงใจเขาใจเรา เป็นตน้ ถา้ เป็นหวั หนา้ ก็จะเป็น ที่ ยอมรับของลูกนอ้ ง เป็นมิตรท่ีดี และสร้างความรู้สึกไวว้ างใจใหแ้ ก่ลกู คา้ ได้ แต่ถา้ บุคคลมีลกั ษณะ ไม่ น่าเชื่อถือ มกั เกิดปัญหาอุปสรรคในการดาเนินงาน ผอู้ ่ืนอาจไมไ่ วว้ างใจ ไม่เช่ือถือศรัทธา ไม่ ยอมรับ ไมร่ ่วมงานดว้ ย ซ่ึงอาจสร้างความเสียหายใหก้ บั งานได้ เป็นตน้ องค์ประกอบของบคุ ลกิ ภาพ บุคลิกภาพเป็นภาพรวมท่ีตวั เราแสดงออกท้งั ที่รู้ตวั และไม่รู้ตวั โดยมีคนอื่นมองอยหู่ รือ รู้สึก กบั สิ่งที่เราแสดงออกดงั น้นั จึงตอ้ งมีการระมดั ระวงั และตกแต่งเสริมเติมใหบ้ คุ ลิกภาพของเรา ยง่ิ น่า มอง และเป็นที่ประทบั ใจของคนรอบตวั องคป์ ระกอบของบุคลิกภาพที่จะกล่าวถึงในที่น้ี ประกอบดว้ ย 4 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ บุคลิกภาพทางกาย บคุ ลิกภาพทางอารมณ์และจิตวทิ ยา บคุ ลิกภาพทางสงั คม บุคลิกภาพทางสติปัญญา 1. บคุ ลิกภาพทางกาย หมายถึง รูปลกั ษณ์ภายนอกของบุคล เพราะเป็นสิ่งแรกท่ีปรากฏ แก่ สายตาผคู้ น ดงั น้นั ความสะอาดของร่างกายจึงเป็นสิ่งสาคญั รองลงมาคือการแตง่ กายท่ีเรียบร้อย เหมาะสมกบั ตาแหน่ง วยั และสถานการณ์ ท้งั สองส่วนน้ีจะเป็นตวั ส่ือสารใหค้ นภายนอกรู้จกั ตวั คุณ เอง ไมว่ า่ จะเป็น ระดบั การศึกษา ฐานะ ตาแหน่ง ฯลฯ

3 2. บุคลิกภาพทางอารมณ์และจิตวทิ ยา หมายถึง อารมณ์เป็นส่ิงที่แสดงใหค้ นรู้จกั เราได้ อยา่ งชดั เจน ผนู้ าท่ีมีบคุ ลิกภาพดีตอ้ งมีความมน่ั คงทางอารมณ์ ทนตอ่ ความกดดนั ได้ ระงบั อารมณ์ โกรธไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ไม่หงุดหงิดบ่นวา่ ตลอดเวลา ตอ้ งกลา้ เผชิญอปุ สรรคอยา่ งไมย่ อ่ ทอ้ เคารพ สิทธิ ผอู้ ่ืน รับฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน และตอ้ งมีจิตวิทยาในการพดู พูดจาชมเชย โนม้ นา้ วจูงใจให้ คนท างานเพื่อความเจริญกา้ วหนา้ ของหน่วยงานได้ รวมท้งั ไมตรีจิตใจที่จะส่งเสริมความกา้ วหนา้ ดว้ ย 3. บคุ ลิกภาพทางสงั คม หมายถึง ความเป็นผนู้ าในการศึกษาหาความรู้ในพิธีการต่าง ๆ ตาม บรรทดั ฐาน (Norms) ของสังคม เพ่ือจะไดป้ ฏิบตั ิตามมารยาทสากลไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง สามารถเป็น ตวั อยา่ งใหค้ าแนะนาแก่ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา 4. บุคลิกภาพทางสติปัญญา หมายถึง ความรอบรู้และมองการณ์ไกลเป็นส่ิงสาคญั กบั ผทู้ ่ี อยู่ ในสถานะ “ผบู้ ริหาร” ผบู้ ริหารที่มีบคุ ลิกภาพท่ีดีจะตอ้ งมีความคดิ ริเร่ิมสร้างสรรคพ์ อท่ีจะเป็น ผนู้ า กลุ่มได้ สามารถสร้างสิ่งที่ก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อองคก์ รได้ อีกท้งั การมีบคุ ลิกภาพท่ีดีทาง สติปัญญา แนวทางการพฒั นาบุคลกิ ภาพ บคุ ลิกภาพของบุคคลสามารถพฒั นาเปล่ียนแปลงไดต้ ามบทบาท และอาชีพท่ีดาเนินการอยู่ การพฒั นาบุคลิกภาพในการทางาน ที่น้ีจะกล่าวถึงการพฒั นาบคุ ลิกภาพโดยทวั่ ไปและบคุ ลิกภาพ ดา้ น ความเป็นผใู้ หญ่ ซ่ึงมีแนวทางการพฒั นา ดงั ต่อไปน้ี 1. การพฒั นาบุคลิกภาพโดยทว่ั ไป 1.1. การพฒั นาบุคลิกภาพทางกาย ควรใชเ้ คร่ืองแต่งกายท่ีสะอาดเรียบร้อย ให้เหมาะสมกบั รูปร่าง ของตน ไม่ฟ่ ฟู ่ าหรือนาสมยั จนเกินไป บุคลิกภาพทางกายเป็นส่ิงประทบั ใจคร้ังแรก นอกจากการ ดูแลตนเอง เรื่องการแตง่ กายและความสะอาด ควรตรวจสอบตนเองเกี่ยวกบั ภาษาและ กิริยาท่าทาง 1.2. การพฒั นาบคุ ลิกภาพทางสติปัญญา ความรู้สึกนึกคดิ เจตคติ และความสนใจเม่ือ บุคคลคิดวา่ ตนเองมีความสามารถดา้ นใดเป็นพิเศษกพ็ ฒั นาดา้ นน้นั รวมท้งั สะสมความรอบรู้หรือ ความสนใจ ดา้ นอ่ืนๆ ดว้ ย เช่น มีส่วนร่วมในการทางานของสโมสร สมาคม และองคก์ ารตา่ งๆ ร่วมใน การกีฬา การละเล่น หรือในกิจกรรมต่างๆเป็นตน้ เพราะจะทาใหม้ ีความคดิ และความสนใจที่กวา้ งข้ึน ทาใหม้ ี เพอ่ื นใหม่เพิ่มความมน่ั ใจในตนเอง

4 1.3. การพฒั นาบคุ ลิกภาพทางอารมณ์ วธิ ีการท่ีดีก็คือไม่ปล่อยใหม้ ีอารมณ์พลงุ่ พลา่ น เพราะจะทาให้ บุคคลกา้ วร้าวหยาบคายต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อผบู้ ริหาร ลูกคา้ และบคุ คลทวั่ ไป หรือ แมแ้ ตก่ าร แสดงออกซ่ึงความรักความชอบกค็ วรจะสารวมใหอ้ ยใู่ นระดบั ท่ีพอดีใหเ้ ป็นที่ยอมรับของ บุคคล ทวั่ ไป 1.4. การพฒั นาบุคลิกภาพทางสังคม ปัจจยั เบ้ืองตน้ ที่จูงใจ ใหบ้ ุคคลอ่ืนๆ อยากคบหา สมาคมดว้ ย เช่น กิริยาทา่ ทาง น้าเสียง ภาษาพูด การแต่งกาย และการวางตน เป็นตน้ ปัจจยั ที่จะท า ใหม้ ิตรภาพ ยงั่ ยนื มาจากคณุ สมบตั ิท่ีอยภู่ ายในตวั บคุ คล เช่น น้าใจท่ีใหผ้ อู้ ่ืน ความไม่เห็นแก่ตวั ความ ซ่ือสตั ย์ ความบริสุทธ์ิใจ การรู้จกั ใจเขาใจเรา ความเป็นคนตรงต่อเวลา เป็นตน้ ซ่ึงสิ่งเหลา่ น้ีบุคคล ควบคุม ตนเองใหป้ ระพฤติปฏิบตั ิได้ และเม่ือท าไปนานๆ ก็จะเกิดความเคยชิน และกลายเป็นลกั ษณะ ประจาตวั การเสริมสร้างบคุ ลกิ ภาพ 1. การมองตอ้ งพยายามใชส้ ายตาดว้ ยความสุภาพเรียบร้อย เพราะสายตาสามารถ บอกถึง ความรัก ความเกลียดชงั ความเมตตาปรานี ความโกรธแคน้ ความเคารพนบั ถือ หรือความ เหยยี ด หยาม ดูหมิ่นดูแคลนไดร้ ะวงั ในการใชส้ ายตาอยา่ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจผดิ หรือรู้สึกติดลบได้ 2. การแตง่ กายตอ้ งคานึงถึงความสะอาดเรียบร้อย ทุกคร้ังที่เลือกเคร่ืองแต่งกายหรือ กาลงั จะแต่งกาย ถูกตอ้ งและเหมาะสมกบั กาลเทศะ แต่งกายใหพ้ อดี อยา่ ใหม้ ากเกินไปหรือนอ้ ยเกินไป เพราะการแต่งกายบ่งบอกความพิถีพถิ นั และเอาใจใส่ตวั เอง ช่วยทาใหด้ ูดีหรือดูแยไ่ ด้ 3. การพูด ศิลปะในการพดู ตอ้ งพดู ใหช้ นะใจผฟู้ ัง ใชค้ าพดู ที่มีเหตผุ ล สุภาพ ไพเราะ มี น้าเสียงชวนฟัง เสียงดงั ฟังชดั ฉะฉาน และใชค้ าพดู ที่เหมาะสมกบั ผฟู้ ังโดยคานึงถึงเพศ อายุ ระดบั การศึกษา อาชีพ ความสนใจพิเศษของผฟู้ ัง สถานที่ เวลา และโอกาส 4. การเดินเดินใหม้ ีทา่ ทางสง่าและเรียบร้อย โดยเดินใหต้ วั ตรง อกผายไหลผ่ ่ึงเพื่อให้ ดูสงา่ เวลาเดินใหก้ า้ วเทา้ ยาวพอประมาณ และสอดคลอ้ งกบั เส้ือผา้ หรือรองเทา้ ที่สวมใส่ วา่ กา้ วแค่ ไหนจึง ดูคลอ่ งแคลว่ และปลอดภยั ตอ้ งระมดั ระวงั ไมใ่ ห้เกิดเสียงดงั จนเกินไป เพราะเสียงฝีเทา้ จะไป รบกวนผอู้ ื่น ไม่เดินผา่ กลางผอู้ ่ืนท่ียนื สนทนากนั

5 5. การแสดงทา่ ทางใหเ้ ป็นธรรมชาติ สงา่ ทา่ ทางท่ีดีจะตอ้ งมาจากพ้นื ฐานของความ สงบ สารวม ใหเ้ กียรติท้งั แก่ตนเองและผอู้ ื่น ควรมีท่าทางประกอบเพื่อใหด้ ูผอ่ นคลาย และเสริมในส่ิง ท่ี พดู หรือเลา่ ตอ้ งระวงั ทา่ ทางท่ีไมส่ วยงาม เวลาพดู หรือทาอะไรกต็ าม อยา่ มีการแสดงท่าประกอบ มากเกินไปจนน่าเกลียด หรือแสดงทา่ ท่ีไม่สุภาพ 6. การทางานตอ้ งทาดว้ ยทา่ ทางคลอ่ งแคลว่ ดว้ ยความชานาญ และใหไ้ ดผ้ ลงานดีเด่น ทา ดว้ ยความมุง่ มนั่ ต้งั ใจ อยา่ ใหน้ อ้ ยไปกวา่ ความสามารถที่เรามีหรือท าไดค้ วามน่าช่ืนใจของ ผรู้ ่วมงาน หรือหวั หนา้ งานทุกคนก็คือ การมีเพ่ือนร่วมงานหรือลูกนอ้ งท่ีทางาน “เตม็ ความสามารถ” อยตู่ ลอดเวลา นนั่ คือบคุ ลิกแห่งความสาเร็จ 7. การรักษาสุขภาพร่างกายตอ้ งระวงั สุขภาพใหด้ ีอยา่ ให้มีโรค ผทู้ ่ีป่ วยออดๆ แอดๆ จะดู เป็นคนข้ีโรค ซ่ึงน่าเป็นห่วงมากกวา่ น่าช่ืนชม ดูออ่ นแอ ไม่คลอ่ งแคลว่ โรคบางโรคส่งผลถึงความ ซีดเซียว ห่อเห่ียว หม่นหมอง จึงขาดสงา่ ราศีการดูแลสุขภาพใหด้ ีคือตน้ ทุนของการพฒั นา บคุ ลิกภาพ ท่ีสาคญั ท่ีสุด

6 บทท่ี 2 การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายนอก แนวคิดสาคัญ (Main Idea) บคุ ลิกภาพเป็นเรื่องเฉพาะตวั ของแตล่ ะคน บุคลิกภาพที่มีเสน่ห์ใครเห็นใครกช็ อบ ใครเห็น ใครกร็ ัก จึงเป็นยอดปรารถนาของทกุ คน บางคนแมเ้ ห็นแค่คร้ังเดียวก็อยากคบหาสมาคมหรือพูดจา ดว้ ย เพราะชอบกิริยาทา่ ทาง หนา้ ตา การยม้ิ การพดู จา ความเอ้ืออาทรต่อกนั ทกุ หน่วยงานต่าง ปรารถนาท่ีจะไดค้ นดี คนเก่งมาทางาน เพอื่ ใหล้ กู คา้ ประทบั ใจและปรับตวั เขา้ กบั ผรู้ ่วมงานคนอื่น ได้ รวมท้งั กลา้ ท่ีจะช่วยคดิ ช่วยสร้างสรรคส์ ่ิงใหม่ ๆ หรือทาประโยชน์ใหห้ รือสามารถประเมิน สถานการณ์เขา้ ใจปัญหา และแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ดงั น้นั แนวคิดในการพฒั นาบุคลิกภาพภายนอก ตอ้ งเริ่มจากการสารวจขอ้ บกพร่องของ ตนเอง ยอมรับหรือเผชิญความจริงโดยไมเ่ ขา้ ขา้ งตนเอง นาขอ้ บกพร่องท่ีสารวจพบ มาปรับปรุง แกไ้ ขเพอ่ื ใหบ้ คุ ลิกภาพภายนอกดีข้ึน เป็นการสร้างความมนั่ ใจใหก้ บั ตนเอง และเป็นที่ประทบั ใจแก่ บคุ คลอ่ืนที่ตอ้ งปฏิสัมพนั ธ์ดว้ ย ความหมายของบุคลกิ ภาพภายนอก บุคลิกภาพภายนอก (External Personality) หมายถึง ลกั ษณะภายนอกท่ีสังเกตเห็นไดอ้ ยา่ ง ชดั เจนของแตล่ ะคน ซ่ึงอาจหมายถึง สรีระทางกาย กิริยาท่าทางตา่ ง ๆ การเคลื่อนไหว รูปร่าง หนา้ ตา ผิวพรรณ การแตง่ กาย การใชน้ ้าเสียง ศิลปะการพูด ส่ิงต่าง ๆ เหลา่ น้ีลว้ นเป็นบุคลิกภาพ ภายนอกท้งั สิ้น ซ่ึงบุคลิกภาพภายนอกสามารถปรับปรุงไดง้ ่ายและใชเ้ วลาไมน่ าน ข้ันตอนการพฒั นาบุคลกิ ภาพ แมว้ า่ บคุ ลิกภาพบางอยา่ งจะถูกหลอ่ หลอมมาต้งั แตเ่ กิด แต่ถา้ คนเรามีความมนั่ ใจที่จะ ปรับปรุงและพฒั นาก็สามารถทาได้ โดยเฉพาะบุคลิกภาพภายนอกสามารถปรับปรุงไดโ้ ดยใชเ้ วลา ไมน่ าน และเพอ่ื ใหก้ ารพฒั นาบุคลิกภาพเป็นไปอยา่ งถกู ตอ้ งและไดผ้ ล ควรปฏิบตั ิตามข้นั ตอนดงั น้ี 1. ตระหนกั ในความสาคญั ของบคุ ลิกภาพ บคุ ลิกภาพนบั เป็นส่ิงท่ีจาเป็นและสาคญั ต่อ อาชีพและอนาคต จึงมีการให้ความสาคญั และต่ืนตวั ในการพฒั นาบุคลิกภาพกนั มากข้ึน ดงั จะเห็น วา่ มีการบรรจุหลกั สูตรการพฒั นาบุคลิกภาพใหน้ กั เรียน นกั ศึกษาไดเ้ รียนรู้โดยเฉพาะงานดา้ น

7 บริการต่าง ๆ การจดั ต้งั ศนู ยห์ รือสถาบนั ส่งเสริมการพฒั นาบุคลิกภาพ เช่น ชมรมฝึกพดู การวางตวั การเขา้ สมาคม การแสดงอิริยาบถในสังคม มีนิตยสารและคอลมั นใ์ นนิตยสารกล่าวถึงหวั ขอ้ หรือ บคุ คลต่าง ๆ ที่ประสบความสาเร็จในหนา้ ท่ีการงาน บุคลิกภาพกบั ความสาเร็จในการทางาน สาเหตุ ของความลม้ เหลวในชีวิตเป็นตน้ และหาทางพฒั นาตนเองดว้ ยการศึกษาหาความรู้และนามาปฏิบตั ิ 2. ประเมินบคุ ลิกภาพของตนท้งั ดา้ นดีและดา้ นท่ีบกพร่อง ก่อนการพฒั นาบคุ ลิกภาพ ตอ้ ง ทาการประเมินบุคลิกภาพของตนเองก่อนโดยประเมินขอ้ ดีขอ้ เสียของตนเอง การประเมิน ตนเองเป็นเร่ืองค่อนขา้ งยากเพราะบางคร้ังคนเราไมค่ ่อยยอมรับความบกพร่องเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ส่วนมากมกั จะคดิ วา่ ตวั เองถูก ตวั เองดี ตวั เองเพยี บพร้อมดว้ ยคณุ สมบตั ิทุกประการ ฉะน้นั จึงถือเป็น เร่ืองยาก เวน้ แตเ่ ราตอ้ งเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคดิ เสียใหมโ่ ดยพิจารณาถึงหลกั ความจริงวา่ “สี่ เทา้ ยงั รู้พลาดนกั ปราชญย์ งั รู้พล้งั ” คนเราก็ตอ้ งมีบา้ งที่บางคร้ังทาอะไรไม่ถกู ตอ้ งและรับฟังคา วจิ ารณ์จากผใู้ กลช้ ิด เช่น บิดามารดา ญาติพีน่ อ้ ง เพื่อน โดยเกบ็ ขอ้ ดีไว้ และนาขอ้ บกพร่องมา ปรับปรุงและพฒั นา 3. มุ่งมนั่ ที่จะปรับปรุงและพฒั นาบคุ ลิกภาพของตนอยา่ งจริงจงั และถูกวิธี เมื่อไดต้ ระหนกั ถึงความสาคญั ของบุคลิกภาพและไดป้ ระเมินขอ้ ดีขอ้ เสียของตนเองแลว้ จะตอ้ งศึกษาวธิ ีการ ปรับปรุงขอ้ บกพร่องดว้ ยวิธีท่ีมีประสิทธิภาพ ดว้ ยความมงุ่ มนั่ จริงจงั และมีความสม่าเสมอในเร่ือง ต่อไปน้ี คือ 3.1 การปรับปรุงท่วงทา่ (Appearance) 3.2 การเสริมสร้างความเช่ือมน่ั ในตนเอง (Self Confidence) 3.3 การปรับปรุงมนุษยส์ มั พนั ธ์ (Human Relationship) 3.4 การเสริมสร้างความคิดอยา่ งมีเหตผุ ล มีความคดิ ริเร่ิม และการแกไ้ ขปัญหาอยา่ งมี ประสิทธิภาพ (Reasoning Thinking, Creative Thinking, and Problem Solving) บุคลิกภาพเป็น สมบตั ิเฉพาะตวั ยงั ไม่มีใครมีบุคลิกภาพเหมือนกนั ทกุ ประการ บุคลิกภาพที่ดีท่ีสุดไม่มี มีแต่วา่ จะ ปรับปรุงใหบ้ คุ ลิกภาพดีข้ึนไดอ้ ยา่ งไร

8 การปรับปรุงบุคลกิ ภาพภายนอก การปรับปรุงบคุ ลิกภาพภายนอก หมายถึงส่ิงที่สงั เกตเห็นไดช้ ดั หรือสัมผสั ได้ การ ปรับปรุง แกไ้ ขสามารถทาไดง้ า่ ย ใชเ้ วลานอ้ ยและวดั ผลไดท้ นั ที ประกอบดว้ ย 1. การปรับปรุงรูปร่างหนา้ ตา โดยการดูแลบารุงรักษาใหส้ ะอาดเรียบร้อยปราศจาก สิ่ง น่ารังเกียจ หากรูปร่างมีขอ้ บกพร่องอาจใชว้ ิธีการแต่งกายที่เหมาะสม ช่วยในการอาพราง หรือเสริมแต่งใหด้ ูดีข้ึน เหมาะสมกบั วยั ฐานะ และกาลเทศะ 2. การรักษาสุขภาพ ดว้ ยการทาใหร้ ่างกายแขง็ แรงอยเู่ สมอ เพราะผทู้ ่ีมีสุขภาพไมแ่ ขง็ แรง มกั มีอารมณ์หงุดหงิดงา่ ย จึงควรบารุงดูแลร่างกายดว้ ยอาหารท่ีมีประโยชน์ การพกั ผ่อนนอนหลบั ที่ เพียงพอ ออกกาลงั กายสม่าเสมอเพื่อใหอ้ ารมณ์ดีอยเู่ สมอ 3. การปรับปรุงกิริยาท่าทาง ควรปรับปรุงกิริยาทา่ ทางให้สุภาพ อ่อนโยน เหมาะสม เช่น การไหวเ้ พอื่ แสดงความเคารพ หรือแสดงการทกั ทายตามวฒั นธรรมไทยควรเดินและนงั่ อยา่ งรักษากิริยามารยาทที่ดี ไม่มองคนดว้ ยหางตา ฝึกการมองใหเ้ ป็นไปในทางที่ดี เป็นตน้ 4. การปรับปรุงการแต่งกาย การแต่งกายเป็นองคป์ ระกอบเบ้ืองตน้ ที่เสริมบุคลิกภาพของ บุคคลจึงควรแต่งกายดว้ ยเส้ือผา้ ที่สะอาดสวยงามเหมาะสมแก่โอกาส เพื่อเป็นการสร้างเสน่ห์แก่ผู้ พบเห็น 5. การปรับปรุงการพดู ส่ิงที่สาคญั ที่สุดในการสร้างมิตรภาพกบั บุคคลคือการพูดเนื่องจาก เป็นการถา่ ยทอดความรู้สึกนึกคิดความเช่ือคา่ นิยม ทศั นคติท่ีมีตอ่ ตนเองและผอู้ ื่น เราจึงควรฝึกพูด ใหม้ ีความไพเราะเลือกใชถ้ อ้ ยคาและน้าเสียงที่แสดงความจริงใจ รวมถึงฝึกการฟังผอู้ ื่น ทาใหผ้ อู้ ่ืน รู้สึกวา่ ส่ิงท่ีพูดมีความสาคญั ส่งผลต่อบคุ ลิกภาพที่ดีของตนเอง 6. การปรับปรุงการทางาน บุคคลท่ีทางานหรือทากิจกรรมตา่ ง ๆ ไดด้ ีเด่น มีลกั ษณะ คลอ่ งแคลว่ วอ่ งไวดว้ ยลกั ษณะทา่ ทางท่ีสง่างามเขม้ แขง็ และจริงจงั เหมาะสมกบั สภาพงานที่กระทา ยอ่ มเป็นสิ่งท่ีสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงบุคลิกภาพของบุคคลน้นั ว่ามีบุคลิกภาพที่น่าศรัทธายกยอ่ ง การดูแลและพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายนอก การพฒั นาบคุ ลิกภาพภายนอกเป็นสิ่งที่สามารถทาไดง้ ่ายกวา่ การพฒั นาบุคลิกภาพภายใน ใชเ้ วลาไมม่ ากนกั ก็สามารถเห็นผลได้ หากผปู้ ฏิบตั ิมีความต้งั ใจจริง ดงั น้นั เราจึงควรสารวจ บคุ ลิกภาพภายนอกของเราโดยเริ่มจากอวยั วะท่ีสามารถปรับปรุงไดง้ ่าย ดงั น้ี

9 1. รูปร่าง 8. ริมฝีปาก 2. ใบหนา้ 9. ฟัน 3. เสน้ ผม 10. อก 4. ตา 11. เลบ็ มือและเทา้ 5. คิ้ว 12. ผวิ พรรณ 6. หู 13. ขา 7. จมกู 14. เทา้ 1. การดูแลรักษารูปร่าง รูปร่าง (Appearance) ทรวดทรงสรีระ หมายถึง ลกั ษณะร่างกายทรวดทรง สดั ส่วนของ ร่างกายต้งั แต่ศีรษะจรดเทา้ เช่น นายแบบท่ีมีรูปร่างสูงโปร่งมกั ประสบความสาเร็จในอาชีพ และ โดยลกั ษณะรูปร่างของแตล่ ะเผา่ พนั ธุอ์ าจแตกตา่ งกนั ออกไป เช่น ชาวยโุ รปจะมีรูปร่างที่สูงใหญ่ กวา่ ชาวเอเชีย เป็นตน้ รูปร่างของบุคคลเป็นที่ส่ิงที่สามารถพฒั นาได้ โดยเฉพาะบุคคลที่มีรูปร่าง อว้ น หรืออว้ นเน่ืองจากอายุท่ีมากข้ึน นอกจากจะทาให้ดูเป็นคนไมค่ ล่องแคลว่ แลว้ ยงั จะก่อใหเ้ กิด โรคภยั ไขเ้ จ็บต่าง ๆ เช่น ความดนั โลหิตสูง เบาหวาน โรคหวั ใจ อีกดว้ ย จะเห็นไดว้ า่ ผทู้ ่ีมีน้าหนกั เกินมกั จะหาวิธีการเพอ่ื จะลดน้าหนกั ใหอ้ ยใู่ นสัดส่วนที่พอดี คาวา่ สัดส่วนที่พอดี หมายถึงน้าหนกั กบั ส่วนสูงอยใู่ นอตั ราท่ีพอเหมาะ มีการประเมินน้าหนกั ตามเกณฑ์ ส่วนสูงวา่ น้าหนกั เทา่ ใดจึงจะเหมาะสม ซ่ึงนิยมใชก้ บั ผใู้ หญ่อายเุ กิน 20 ปี โดยอตั ราส่วนที่ พอเหมาะของเพศชาย จะนา 100 ลบออกจากส่วนสูง ส่วนเพศหญิงจะนา 105 (มาตรฐานสากล) ลบ ออกจากส่วนสูง กจ็ ะไดน้ ้าหนกั ตวั ท่ีเหมาะสม ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี ส่วนสูง (เซนติเมตร) นา้ หนกั ชาย (กโิ ลกรัม) นา้ หนกั หญิง (กโิ ลกรัม) 150 150 - 100 = 50 150 - 105 = 45 155 155 - 100 = 55 155 - 105 = 50 160 160 - 100 = 60 160 - 105 = 55 165 165 - 100 = 65 165 - 105 = 60 170 170 - 100 = 70 170 - 105 = 65 175 175 - 100 = 75 175 - 105 = 70 180 180 - 100 = 80 180 - 105 = 75

10 โรคอว้ นเกิดไดจ้ ากหลายสาเหตุ แต่ที่พบมากท่ีสุดคืออุปนิสยั การบริโภค ซ่ึงอาจตอ้ งการ บริโภคเพราะความตอ้ งการของร่างกาย หรือมีสาเหตุมาจากความเครียด เม่ืออว้ นมกั จะทาใหเ้ จา้ ของ รูปร่างรู้สึกอึดอดั และแตง่ กายใหส้ วยงามไดล้ าบาก จึงมกั หาวิธีการต่าง ๆ เพ่ือขจดั ความอว้ นหรือ ส่วนเกินเหลา่ น้นั ใหห้ มดไป วิธีการลดความอว้ นท่ีกระทาได้ มีดงั น้ี 1.1. การควบคุมอาหาร เป็นวิธีการลดน้าหนกั ที่ดีและปลอดภยั ที่สุด เห็นผลไดเ้ ร็วและชดั เจน ผู้ ลดน้าหนกั จะตอ้ งควบคมุ ปริมาณอาหารใหเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการของร่างกาย จะตอ้ งบริโภค อาหารใหค้ รบท้งั 5 หมู่ เลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มาก ๆ เช่น ผกั สีเขยี ว ผกั สีมว่ ง ผลไม้ งด อาหารหวาน แป้ง น้าตาลหรืออาหารท่ีมีปริมาณไขมนั สูง ควรรับประทานอาหารดว้ ยวธิ ีการปิ้ ง น่ึง ยา่ ง แทนการทอด และท่ีสาคญั จะตอ้ งออกกาลงั กายควบค่กู นั ไปดว้ ย 1.2. การออกกาลงั กาย นอกจากจะช่วยเพมิ่ ความแขง็ แรงใหก้ ลา้ มเน้ือแลว้ ยงั จะช่วยเผาผลาญแคลอรี ส่วนเกิน ใหม้ ีความสดชื่น กระฉบั กระเฉง ช่วยลดไขมนั ส่วนเกิน ทาใหร้ ูปร่างดีข้นึ การออกกาลงั กายที่มีประสิทธิภาพ คือการออกกาลงั กายที่สม่าเสมอ ดงั น้ี 1.2.1. วธิ ีการออกกาลงั กาย สามารถทาไดห้ ลายวิธีที่แตกตา่ งกนั เช่น การเดินเร็ว ๆ การวง่ิ เหยาะ ๆ การเตน้ แกวง่ แขน ยกขา อยกู่ บั ท่ีในบา้ น ในสนามหนา้ บา้ น การรามวยจีนไทเกก็ การใชไ้ มพ้ ลอง ประกอบการทาโยคะ การเตน้ แอโรบิคที่ถูกตอ้ ง และท่ีสาคญั มาก ๆ คอื จะตอ้ งดูวา่ อายสุ ุขภาพ เหมาะกบั การออกกาลงั กายแบบไหน วิธีการออกกาลงั กายท่ีถกู ตอ้ งเหมาะสมน้นั นายแพทย์ พชิ ยั ดิฐสถาพร จากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ จงั หวดั สระบุรี ไดก้ ล่าวใหค้ วามรู้วา่ จะตอ้ งให้ กลา้ มเน้ือหลกั ๆ หรือกลา้ มเน้ือชุดใหญไ่ ดเ้ คล่ือนไหวหรือที่เรามกั จะพดู กนั วา่ ใหก้ ลา้ มเน้ือหลกั ๆ ไดท้ างาน เช่น กลา้ มเน้ือท่ี แขน ขา ทอ้ ง คอ รวมท้งั ปอดและหวั ใจ 1.2.2. เวลาที่เหมาะสมในการออกกาลงั กายซ่ึงอาจแตกตา่ งกนั ไปแลว้ แตบ่ คุ คล เช่น ตอนเชา้ อากาศคอ่ นขา้ งดี มีมลภาวะนอ้ ย เหมาะกบั การออกกาลงั กาย ตอนเยน็ หลงั จากเลิกงาน ช่วงเวลา 16.00-18.00 น. ก็เหมาะสม ไมต่ อ้ งกงั วลเร่ืองไปทางาน และเป็นช่วงที่ระบบกลา้ มเน้ือ ที่ไดเ้ คลื่อนไหวมาในตอนกลางวนั แลว้ ทาใหก้ ารยดื หยุ่นของกลา้ มเน้ือดีข้ึนท่ีจะออกกาลงั กายใน ตอนเยน็ ดงั น้นั จึงข้ึนอยกู่ บั เวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนที่จะตอ้ งพจิ ารณาตวั เอง วา่ ควรจะออก กาลงั กายเวลาไหนท่ีดีท่ีสุดสาหรับตวั เอง คงไม่มีกฎตายตวั สาหรับการดารงชีวิตในสงั คม ปัจจุบนั แตท่ ี่สาคญั อยา่ งยง่ิ คือร่างกายของคนเราตอ้ งมีการออกกาลงั กาย เพ่อื เสริมสร้างความ แขง็ แรงให้ร่างกายมีสุขภาพดีระยะเวลาในการออกกาลงั กาย โดยทวั่ ไปทางการแพทยแ์ นะนาให้ ออกกาลงั กายนานประมาณ 10-30 นาทีต่อวนั สัปดาหล์ ะ 3 วนั หรือ วนั เวน้ วนั หรือ ออกกาลงั กาย 10 นาที แลว้ รู้สึกเหนื่อยกใ็ หห้ ยดุ พกั ก่อน แลว้ จึงออกกาลงั กายต่ออีก จนครบเวลา 30 นาที

11 1.3. การรับประทานยาลดความอว้ น ผลขา้ งเคียงของยาลดความอว้ น คอื ยาจะเขา้ ไปมีฤทธ์ิตอ่ ระบบ ประสาทส่วนกลางท่ีควบคมุ ความหิว หรือความอยากอาหารเม่ือถึงเวลา และกระตนุ้ ใหร้ ่างกาย กระฉบั กระเฉงข้ึน เมื่อไมไ่ ดร้ ับสารอาหารทาใหร้ ่างกายตอ้ งนาไขมนั ที่สะสมอยใู่ นกลา้ มเน้ือมาใช้ ร่างกายจึงซูบผอม กลา้ มเน้ือเลก็ ลง เม่ือร่างกายผอมลง น้าหนกั ก็จะลดลงทนั ที การรับประทานยาลด ความอว้ น มีผลขา้ งเคียงคือทาใหน้ อนไมห่ ลบั มึนงง อ่อนเพลีย ปากแหง้ ใจสน่ั คลื่นไส้ เม่ือเลิกใช้ ยาอาจทาใหก้ ลบั มากินอาหารมากข้ึนกวา่ เดิม น้าหนกั อาจเพมิ่ ข้ึนกวา่ เดิมกไ็ ด้ ดงั น้นั หากจาเป็นตอ้ ง ลดความอว้ นดว้ ยวิธีน้ี ควรใหอ้ ยใู่ นความดูแลของแพทยเ์ สมอ 2. การดูแลรักษาใบหน้า ใบหนา้ (Face) เคา้ หนา้ ดวงหนา้ รูปลกั ษณะของหนา้ รูปหนา้ เป็นเคา้ โครงซ่ึงมี ส่วนประกอบอื่น ๆ ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ค้วิ ปาก ฟัน ผม ผวิ หนา้ อยดู่ ว้ ย คนที่เกิดมาหนา้ ตาหล่อ สวย จดั วา่ โชคดี ยง่ิ หากไดร้ ูปร่างท่ีดีมาประกอบดว้ ยแลว้ นบั ว่าเป็นสิ่งที่โชคดีอีกเทา่ ตวั 2.1. ลกั ษณะของใบหนา้ โดยทว่ั ไปลกั ษณะใบหนา้ ของคนจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ ใบหนา้ กลม ใบหนา้ เหลี่ยม ใบหนา้ ยาว และใบหนา้ รูปไข่ ซ่ึงจดั วา่ เป็นรูปหนา้ ท่ีสวยที่สุด ผทู้ ี่มี ลกั ษณะของใบหนา้ ต่าง ๆ สามารถแกไ้ ขลกั ษณะบนใบหนา้ ดว้ ยการแต่งหนา้ ไดด้ งั น้ี 2.1.1. ใบหนา้ กลม จะมีแกม้ ท่ีเตม็ และอมู มาก คางมกั ส้ันส่วนซ่ึงตอ้ งแกไ้ ขคอื ขา้ งแกม้ ท้งั หมดเพื่อ ทาใหใ้ บหนา้ ดูแคบลง ผทู้ ี่มีใบหนา้ กลมเมื่อตอ้ งแตง่ หนา้ หลงั จากท่ีรองพ้ืนและซบั แป้งจนทวั่ ใบหนา้ แลว้ สามารถเสริมบคุ ลิกใหด้ ีข้นึ ดว้ ยการปัดแกม้ บริเวณช่วงแกม้ ใหเ้ ป็นรูปสามเหล่ียมฐาน ดา้ นหน่ึงของสามเหล่ียมขนานกบั แนวหู และมมุ แหลมดา้ นตรงกนั ขา้ มกบั ฐานช้ีไปยงั จมกู โดย ระวงั อยา่ ปัดใหใ้ กลเ้ ขา้ มาในช่วงกลางของหนา้ มากเกินไป 2.1.2. ใบหนา้ เหลี่ยม ใบหนา้ รูปน้ีขากรรไกรซ่ึงเป็นเหลี่ยมน้นั มกั มีส่วนกวา้ งพอ ๆ กบั หนา้ ผาก กล่าวอีกนยั หน่ึงคอื หนา้ ผากดา้ นขา้ งกางออกไปพอ ๆ กบั ขากรรไกร การแตง่ หนา้ รูปหนา้ ลกั ษณะน้ี ตอ้ งพยายามลบความกวา้ งของหนา้ ผาก ขา้ งแกม้ และขากรรไกร โครงสร้างของหนา้ ซ่ึงกวา้ งอยแู่ ลว้ น้นั จาเป็นตอ้ งแตง่ หนา้ เล่นสีใหห้ นา้ ดูแคบเขา้ มา สามารถเสริมบคุ ลิกทางดา้ นหนา้ ตาใหด้ ูดีข้ึนดว้ ย การปัดแกม้ เป็นรูปสามเหล่ียมเช่นเดียวกบั ผทู้ ี่มีใบหนา้ กลม แต่จะใหฐ้ านของสามเหลี่ยมอยใู่ นแนว ระนาบที่บริเวณดา้ นล่างของแกม้ และมมุ แหลมดา้ นตรงกนั ขา้ มฐานช้ีออกไปทางขมบั 2.1.3. ใบหนา้ ยาว ใบหนา้ ประเภทน้ีมีลกั ษณะแคบและยาว การแต่งหนา้ จึงม่งุ หมายไปทางการแตง่ เพ่อื ช่วยใหใ้ บหนา้ ดูกวา้ งข้ึนและส้ันลง การเสริมบคุ ลิกของคนท่ีมีรูปหนา้ ยาว จะปัดช่วงแกม้ เป็น รูปสี่เหลี่ยมดา้ นขนาน เอียงข้ึนไปตามแนวกระดูกโหนกแกม้ จนจรดถึงไรผมบริเวณหู ดา้ นหน่ึงของ รูปส่ีเหลี่ยมซ่ึงเป็นดา้ นท่ีอยชู่ ่วงในของใบหนา้ ตอ้ งไม่เกินตาดาเขา้ มา

12 2.1.4. ใบหนา้ รูปไข่ ถือเป็นรูปหนา้ ที่สมบรู ณ์แบบที่สุด กล่าวคือ หนา้ ผากกวา้ งกาลงั ดี วงหนา้ จาก หนา้ ผากตรงลงมาจะเลก็ ลงเป็นลาดบั จนถึงคางซ่ึงไมแ่ หลม ไมป่ าดแตม่ นกาลงั ดี การแตง่ หนา้ สาหรับรูปหนา้ น้ีจึงทาไดไ้ มย่ าก ถา้ ตอ้ งการเนน้ จุดเด่นส่วนหน่ึงส่วนใดบนใบหนา้ กย็ อ่ มทาได้ 2.2. การดูแลผวิ หนา้ ประจาวนั ไม่วา่ จะเป็นผทู้ ่ีมีใบหนา้ ในลกั ษณะใดก็ตาม จะตอ้ งดูแลรักษาความ สะอาดบนใบหนา้ ใหป้ ราศจากสิว ฝ้า กระ หรือรอยด่างดา เพื่อใหใ้ บหนา้ ดูสวยและนวลเนียน ดงั น้นั จึงควรดูแลผวิ หนา้ ประจาวนั ดงั น้ี 2.2.1. เช็ดลา้ งเคร่ืองสาอางออกจากผิวหนา้ โดยเฉพาะผทู้ ี่แต่งหนา้ การทาความสะอาดเคร่ืองสาอาง ออกจากผวิ หนา้ ดว้ ยการลา้ งออกดว้ ยน้าเพียงอยา่ งเดียวเท่าน้นั ไม่เพยี งพอ จาเป็นตอ้ งใชผ้ ลิตภณั ฑ์ ทาความสะอาดผิวหนา้ ประเภทCleansingหรือRemoverเชด็ เคร่ืองสาอางออกก่อนการลา้ งหนา้ ทุก คร้ังซ่ึง Cleansing หรือ Remover จะช่วยขจดั สิ่งสกปรกและสารท่ีตกคา้ งและอุดตนั สะสมในผิว ออกไดอ้ ยา่ งหมดจดหลงั จากน้นั กล็ า้ งหนา้ ออกดว้ ยน้าสะอาดและ Cleansing ก็จะทาใหผ้ ิวหนา้ สะอาดสดใส 2.2.2. ทาความสะอาดผวิ ดว้ ยโทนเนอร์ หลงั จากท่ีไดล้ า้ งหนา้ เสร็จเรียบร้อยแลว้ ควรท่ีจะใชส้ าลีชุบ โทนเนอร์เช็ดผิวใหท้ วั่ ท้งั ใบหนา้ วิธีการเชด็ หนา้ ที่ถูกตอ้ งคอื การเชด็ ข้ึนจากดา้ นล่างข้ึนสู่ดา้ นบน เพือ่ เป็นช่วยเพม่ิ ความชุ่มช้ืนเขา้ สู่รูขมุ ขนและช่วยทาความสะอาดรูขมุ ขนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพอีก ดว้ ย 2.2.3. ทาครีมบารุงผิวหนา้ กลางวนั หรือกลางคืน หลงั จากท่ีเชด็ หนา้ ผิวหนา้ ดว้ ยโทนเนอร์เสร็จ เรียบร้อยแลว้ ควรนวดหนา้ ซ่ึงการนวดหนา้ จะช่วยกระตุน้ การดูดซึมของเน้ือครีมที่ทาเขา้ สู่ผิวหนา้ ไดด้ ีมากข้นึ 2.2.4. การใชค้ รีมกนั แดดที่มีคา่ SPF 30 PA+++ ข้นึ ไปในตอนเชา้ หลงั จากท่ีทาครีมบารุงผิวเสร็จ เรียบร้อยแลว้ ควรทาครีมกนั แดดเพ่ือปกป้องผิวหนา้ จากอนั ตรายของแสงยวู ี โดย ผลการวจิ ยั ทางการแพทยไ์ ดค้ น้ พบวา่ ผคู้ นส่วนใหญ่ท่ีมีอายุต่ากวา่ 18 ปี จะตอ้ งเผชิญกบั แสงยวู ีที่เป็นอนั ตราย ต่อผิวมาก และความรุนแรงของแสงจะเพม่ิ ข้นึ อีกร้อยละ 50-70 ของแสง ท้งั หมด การหลีกเล่ียงการถกู แสงแดดโดยตรงเป็นสิ่งสาคญั อยา่ งยง่ิ ท่ีจะช่วยลดความเส่ียงของการ เกิดมะเร็งผิวหนงั ผิวหนงั ไหมแ้ ละการเกิดจุดด่างดาจากเม็ดสีผิวได้ 3. การดแู ลรักษาเส้นผม ปัจจุบนั คนเราเร่ิมเป็นห่วงเป็นใยและสนใจเร่ืองราวกบั เส้นผมกนั มากข้นึ ไมว่ า่ จะเป็น ปัญหาเรื่องผมร่วง ผมหงอก ผมแหง้ ผมแตกปลาย ผมไร้น้าหนกั ขาดความเงางามและไมอ่ ยทู่ รง การท่ีคนเราจะมีเสน้ ผมท่ีแข็งแรง มีสีผมที่แตกต่างกนั ผมหนา ผมบาง ข้ึนกบั เช้ือชาติ และ พนั ธุกรรม

13 3.1. วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม เสน้ ผมของคนเราโดยปกติเจริญเติบโตไดว้ นั ละ 0.3 มิลลิเมตร ดงั น้นั ภายใน 1 เดือน ผม จะยาวไดป้ ระมาณ 1 เซนติเมตร โดยเส้นผมแต่ละเสน้ จะยดื ยาวได้ 2 ปี คอื ยาวประมาณ 36 นิ้ว หลงั จากน้นั เซลลร์ ากผมก็จะหยดุ เจริญเติบโต เส้นผมจะร่วง และเซลลร์ ากผมกจ็ ะสร้างเส้นผมข้ึน ใหม่ เส้นผมบนหนงั ศีรษะร้อยละ 10-15 เป็นเสน้ ผมที่หยดุ เจริญเติบโตและพร้อมท่ีจะร่วง เส้นผม บนหนงั ศีรษะมีประมาณ 120,000 เส้น และเสน้ ผมท่ีร่วงวนั ละ 50-100 เส้นถือวา่ ปกติ แต่ถา้ เส้นผม ค่อย ๆ บางลงแลว้ ผมยงั คงร่วงจานวนเทา่ เดิมก็ถือวา่ ผิดปกติ 3.2. วิธีดูแลเส้นผมใหส้ ะอาดสุขภาพดี การดูแลผมใหม้ ีสุขภาพดีก็เหมือนกบั ผวิ พรรณทวั่ ๆ ไปคอื จะตอ้ งใหค้ วามสาคญั กบั การ ทาความสะอาดเป็นอนั ดบั แรก คนปกติควรสระผม สปั ดาหล์ ะ 1-2 คร้ัง โดยใชแ้ ชมพูอ่อน สระผม บ่อย ๆ แชมพูอ่อนมีขอ้ ดีตรงที่ไมก่ ่อให้เกิดอาการระคายเคือง ไม่แพง้ ่าย จึงเหมาะสาหรับ เดก็ และบุคคลทวั่ ไปที่ไมม่ ีปัญหาเร่ืองหนงั ศีรษะ 3.2.1. การดูแลผมมนั สาหรับคนท่ีมีผมมนั คนท่ีชอบเลน่ กีฬา หรืออยใู่ นสภาพแวดลอ้ ม ท่ีตอ้ งผจญ กบั ฝ่นุ ละออง สารเคมี การฟอกสี เส้นผมลกั ษณะน้ีมกั จะสกปรกง่าย ถา้ เป็นไปไดค้ วรจะ สระผมทกุ วนั และหากรู้สึกวา่ ผมแหง้ กรอบจากการสระผม อาจใชค้ รีมนวดผมชโลมสักเลก็ นอ้ ย เนื่องจากโดย ปกติเสน้ ผมมกั จะมนั เป็นธรรมชาติ เนื่องจากต่อมไขมนั ผลิตไขมนั ออกมามากเกินไป ซ่ึงการสระ ผม การใชโ้ ลชนั่ การปรับเปล่ียนพฤติกรรมของการรับประทานอาหาร การนวดผม ท้งั หมด ไมม่ ี ผลในการลดการผลิตไขมนั แต่อยา่ งใด สรุปไดว้ า่ คงจะตอ้ งหาทางออกคือการสระผมบ่อย ๆ 3.2.2. การดูแลผมท่ีเป็นรังแค สาหรับคนท่ีมีปัญหาเสน้ ผมที่เป็นรังแค อาจตอ้ งใชแ้ ชมพปู ้องกนั รังแคที่มีส่วนผสมของซิงกไ์ พริไทออนคโี ตโคนาโซล เซเลเนียมซลั ไฟด์ ไพรอคโทนโอลามีน ซลั เฟอร์รีซอร์ซินอล หรือกรดซาลิไซลิก ซ่ึงรังแคมกั มีสาเหตุจากเช้ือราชนิดหน่ึง คอื “Pityrosporum Ovale” อาศยั อยบู่ นหนงั ศีรษะและมกั มีจานวนมากข้ึนในคนเหล่าน้นั วธิ ีการรักษาอาจตอ้ งสระ ผม โดยทิ้งแชมพไู วบ้ นศีรษะประมาณ 3-5 นาที เสร็จแลว้ จึงลา้ งออก ความถี่ห่างของการใชข้ ้นึ อยู่ กบั กบั ความรุนแรงของรังแคที่เป็น สามารถสระผมไดท้ ุกวนั ขณะเดียวกนั คงตอ้ งหาสาเหตแุ ละ ปัจจยั อื่น ซ่ึงส่งเสริมให้เป็นรังแค มากข้นึ เช่น ความเครียด การใชน้ ้ามนั ใส่ผม ถา้ อาการดีข้นึ อาจจะ ลดระยะเวลาสระผมลงเหลือแค่วนั เวน้ วนั 3.3.3. การเลือกใชแ้ ชมพู แชมพปู ระกอบดว้ ยสารชาระลา้ ง (detergent) ซ่ึงมีส่วนที่เป็นสารลดความ ตึงผวิ ของน้าและส่วนขจดั ความกระดา้ ง นอกจากน้นั จะมีไขมนั บางชนิด สี น้าหอม วิตามิน สารที่ทา ใหเ้ กิดฟอง สารกนั เสีย สารขจดั รังแค ซ่ึงแตล่ ะบริษทั ท่ีผลิตแชมพูออกมาจาหน่าย อาจมี ส่วนประกอบที่แตกต่างกนั บา้ ง ข้ึนกบั ความพอใจและวตั ถปุ ระสงคข์ องบริษทั การเลือกใชแ้ ชมพู

14 ใหเ้ หมาะสมกบั ตวั เอง เป็นวิธีการที่ช่วยดูแลรักษาเส้นผม ทาใหเ้ สน้ ผมสะอาด สดใส สบายหนงั ศีรษะและไมก่ ่อใหเ้ กิดอาการคนั ดงั น้นั ควรเลือกใชแ้ ชมพูใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะเสน้ ผมของ ตนเอง ดงั น้ี 3.3.1. แชมพสู าหรับผมแหง้ ผมท่ีตอ้ งเป่ า หรือดดั บ่อย ๆ ควรมีส่วนผสมของ Surfactant (สารที่ชาระ ลา้ งทาความสะอาด เอาความมนั ออกจากเสน้ ผม) หลายชนิด เช่น โปรตีนเพ่ือบารุงเส้นผม หลงั สระ อาจตอ้ งใชค้ รีมนวดเพ่ือป้องกนั เสน้ ผมพนั กนั 3.3.2. แชมพสู าหรับผมมนั ควรมีส่วนผสมของ Aikylsulphate ซ่ึงอยใู่ นกลุม่ ของ Anionic Surfactant (สารที่ละลายน้าแลว้ ไดป้ ระจุลบ) ซ่ึงมีคุณสมบตั ิในการชาระลา้ งส่ิงสกปรกไดด้ ี 3.3.3. แชมพูสาหรับผมแหง้ แพง้ า่ ย และผมเดก็ ควรใชแ้ ชมพสู าหรับเดก็ เพราะไมม่ ีสารระคายเคือง ผิวและเยอ่ื บตุ า 3.3.4. แชมพขู จดั รังแค มีส่วนผสมของซิงกไ์ พริไทออนคีโตโคนาโซล เซเลเนียมซลั ไฟด์ ไพรอค โทนโอลามีน ซลั เฟอร์รีซอร์ซินอล หรือกรดซาลิไซลิก เพื่อช่วยเพิม่ ประสิทธิภาพในการกาจดั รังแค 4. การดแู ลรักษาตา ตาเป็นอวยั วะที่ควรจะตอ้ งถนอมไว้ เพราะนอกจากจะทาใหม้ องเห็นโลกภายนอกแลว้ คนท่ี มีตาที่เป็นประกาย สดใส ยงั จะช่วยเสริมใหบ้ คุ คลน้นั มีใบหนา้ ท่ีงดงามดูดีไปดว้ ย บุคคลจะตอ้ ง ระวงั รักษานยั น์ตาเพ่ือใหส้ ามารถใชง้ านไดน้ านถึงแมว้ า่ อายจุ ะมากแลว้ ก็ตาม โดยปกติ ส่วนประกอบของตาจะมีระบบป้องกนั ภยั ในตวั เองอยแู่ ลว้ คอื จะมีเปลือกตาและขนตาทาหนา้ ท่ี ป้องกนั เศษฝ่นุ ละอองไม่ใหเ้ ขา้ ตาไดง้ ่าย แต่หากฝ่นุ ละอองเขา้ ไปแลว้ น้าตาก็จะไหลออกมาเพอื่ ชาระลา้ งสิ่งสกปรกน้นั ออกไป อยา่ งไรกด็ ีเมื่อตอ้ งสัมผสั กบั ดวงตาจะตอ้ งลา้ งมือใหส้ ะอาดเสียก่อน15 หรือหากตอ้ งทาความสะอาดดว้ ยผา้ หรือน้า ผา้ หรือน้าน้นั กจ็ ะตอ้ งสะอาดดว้ ย และหากมีอาการ ระคายเคยี งควรรีบปรึกษาแพทยท์ นั ที ดงั น้นั เพ่ือสุขภาพตาท่ีดีสามารถปฏิบตั ิไดด้ งั น้ี 4.1. พบจกั ษุแพทยเ์ พอื่ ทาการตรวจตาอยา่ งละเอียด หากคดิ วา่ สายตาเป็นปกติไมม่ ีปัญหาเรื่องการ มองเห็นอาจไม่จาเป็นตอ้ งพบจกั ษุแพทย์ แต่การไปพบแพทยเ์ พ่อื ทาการตรวจโดยละเอียดก็จะช่วย ทาใหแ้ น่ใจไดว้ า่ ไม่มีปัญหาจริง ๆ เน่ืองจากโรคตาบางชนิด เช่น ตอ้ หิน วุน้ ในตาเสื่อม อาจจะเกิดข้นึ โดยที่ไมม่ ีอาการเตือนล่วงหนา้ แตส่ ามารถตรวจพบไดโ้ ดยการตรวจตาโดยจกั ษุแพทย์ ในบางคร้ัง แพทยจ์ ะทาการขยายมา่ นตา โดยใหย้ าหยอดตา ทาใหส้ ามารถตรวจไดล้ ะเอียดมากยงิ่ ข้ึน 4.2. โรคตาที่มีในครอบครัว หากคนในครอบครัวมีโรคตา เป็นเรื่องสาคญั ที่จะตอ้ งรู้ดว้ ยวา่ ใครเป็น โรคตาอะไร เน่ืองจากโรคตาบางชนิดสามารถถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม หากมีประวตั ิในครอบครัวก็ อาจจะมีความเสี่ยงมากยงิ่ ข้นึ เพ่ือทาการตรวจทาการป้องกนั ก่อนท่ีจะสายเกินไป

16 4.3. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชนต์ ่อดวงตา อาจจะเคยไดย้ นิ วา่ การรับประทาน แครอท จะมีประโยชน์ แตน่ อกเหนือไปจากแครอท การรับประทานผลไมแ้ ละผกั ใบเขยี ว ก็สามารถช่วยทา ใหต้ ามีสุขภาพท่ีดีไดเ้ ช่นกนั นอกจากน้ียงั มีงานวิจยั ท่ีพบว่า การรับประทานอาหารที่มี Omega-3 สูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ก็จะสามารถช่วยบารุงสายตาไดเ้ ช่นกนั 4.4. การควบคมุ น้าหนกั ใหอ้ ยใู่ นเกณฑม์ าตรฐาน ในคนท่ีมีน้าหนกั ตวั มากเกินไปจะมีความเส่ียงท่ี จะทาใหเ้ กิดโรคเบาหวาน และโรคอ่ืน ๆ ซ่ึงอาจจะนาไปสู่ความผดิ ปกติของดวงตาได้ เช่นโรคตา จากเบาหวาน หรือความดนั โลหิตสูง ดงั น้นั การควบคุมน้าหนกั ใหด้ ีก็เป็นประโยชน์ต่อดวงตา เช่นกนั 4.5. การสวมแวน่ เพอื่ ป้องกนั ดวงตา โดยเฉพาะเวลาท่ีเล่นกีฬาหรือมีกิจกรรมที่อาจจะเสี่ยงต่อการ บาดเจ็บ หรืออบุ ตั ิเหตุต่อดวงตา เช่น การเลน่ กีฬาบางอยา่ ง การทางานเฟอร์นิเจอร์ ส่วนใหญ่แวน่ ประเภทน้ีจะทามาจาก polycarbonate ซ่ึงมีความแขง็ แรงกวา่ พลาสติกประมาณ 10 เทา่ 4.6. งดสูบบุหร่ี นอกจากบุหรี่จะเป็นอนั ตรายต่อหวั ใจ เสน้ เลือด และเพม่ิ ความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งแลว้ บุหรี่ยงั เพมิ่ ความเสี่ยงต่อการเกิดโรควุน้ ในตาเส่ือม ตอ้ กระจก และการทาลาย เสน้ ประสาทตาอีกดว้ ย ทาใหเ้ สี่ยงตอ่ การเกิดตาบอดได้ 4.7. ใชแ้ วน่ กนั แดด เพ่อื เป็นการป้องกนั รังสี UV เวลาเลือกซ้ือพยายามเลือกท่ีสามารถป้องกนั ได้ ท้งั UV-A และ UV-B ได้ 99-100% 4.8. การพกั สายตา ถา้ ใชเ้ วลาอยกู่ บั คอมพิวเตอร์ หรือใชส้ ายตาเพง่ มากเกินไป บางคร้ัง การกระพริบ ตาจะนอ้ ยลงโดยที่ไม่รู้ตวั และทาใหก้ ลา้ มเน้ือตาลา้ และตาแหง้ ได้ พยายามใชก้ ฎ 20-20-20 คอื ทกุ 20 นาที มองไปไกล 20 ฟตุ ประมาณ 20 วินาที เพอ่ื เป็นการพกั สายตา และป้องกนั สายตาลา้ ปวดตาได้ 4.9. ลา้ งมือใหส้ ะอาดเป็นประจา หากตอ้ งใชค้ อนแทคส์ควรเรียนรู้และฝึกฝนท่ีจะใชใ้ หถ้ ูกตอ้ งเพื่อ ป้องกนั การติดเช้ือ 4.10. ป้องกนั อนั ตรายที่อาจเกิดข้ึนในท่ีทางาน หากตอ้ งทางานท่ีเส่ียงตอ่ อุบตั ิเหตุตอ่ ดวงตาตอ้ งใส่ แวน่ ทกุ คร้ังอุปกรณ์ป้องกนั ทุกคร้ัง สิ่งท่ีจะสร้างความสวยงามและเสริมสร้างเสน่ห์ใหแ้ ก่ดวงตา คือการตกแตง่ ดว้ ยอายแชโดว์ ดว้ ยเฉดสีตา่ ง ๆ และตอ้ งมีเทคนิคการทาอายแชโดวท์ ่ีเหมาะสมกบั ลกั ษณะของดวงตา 5. การดูแลรักษาควิ้ คิว้ เป็นส่วนประกอบหน่ึงของใบหนา้ ท่ีมีประโยชน์ท้งั ในดา้ นการป้องกนั เหง่ือไม่ใหเ้ ขา้ ตา ป้องกนั ผง ป้องกนั ฝ่ นุ ละออง ไม่ใหเ้ ขา้ ไปทาลายลกู นยั นต์ า และยงั เป็นส่วนท่ีทาใหใ้ บหนา้ มีความ คมเขม้ ข้ึน ยง่ิ ถา้ หากวา่ คิ้วน้นั มีความสมดุลกบั ตา ก็จะยง่ิ เพ่ิมความสวยงามใหแ้ ก่เจา้ ของใบหนา้ น้นั

17 อีกดว้ ย รูปค้วิ ของคนมีลกั ษณะต่างกนั เช่น ค้วิ บาง คิ้วดก ค้วิ ส้นั ค้วิ โก่ง ฯลฯ ซ่ึงหากรูปคิ้วไม่เขา้ กบั หนา้ หรือตา ก็จะสามารถเสริมแตง่ ใหเ้ ขา้ กนั และดูสวยงามไดด้ ว้ ยหลายวิธี ไดแ้ ก่ 5.1. วธิ ีการถอน เพ่ือใหด้ ูเป็นระเบียบ และเขา้ กบั ใบหนา้ ใหม้ ากท่ีสุด แต่การถอนควรทาใหน้ อ้ ย ที่สุด และมีจุดประสงคเ์ พียงเพอื่ ตอ้ งการใหค้ ้ิวดูสะอาด และสวยงามเหมาะสมกบั หนา้ ตาเทา่ น้นั 5.2. วิธีสกั คิ้วหรือเพน้ ทค์ ว้ิ 3 มิติ ซ่ึงตอ้ งใหค้ วามสาคญั กบั การดูแลตามที่ผเู้ ช่ียวชาญแนะนา 5.3. วิธีการเขียนควิ้ ซ่ึงเป็นวิธีการท่ีประหยดั ค่าใชจ้ ่ายและสามารถทาไดง้ า่ ย ดงั น้ี 5.3.1. การเตรียมพร้อม 1. ใชเ้ คร่ืองมือถอนขนคิ้วพร้อมกระจกบานใหญ่ มีคีมคบี และอยใู่ นที่ท่ีมีแสงสวา่ ง 2. ก่อนดึงขนค้ิว ควรเปิ ดรูขมุ ขนก่อนโดยการลา้ งหนา้ ดว้ ยน้าอุน่ และควรดึงหนงั ตาใหต้ ึงก่อนถอน ลา้ งเคร่ืองสาอางออกจากบริเวณรอบดวงตาใหห้ มดเสียก่อน โดยใชโ้ ทนเนอร์ซบั อีกคร้ังเพือ่ ช่วยให้ ผวิ ไม่ระคายเคอื ง ใชด้ ินสอสีขาวทาเครื่องหมายบริเวณท่ีจะถอน จากน้นั ใชถ้ งุ น้าเยน็ ๆ ประคบ 2- 3 นาที 5.3.2. ก่อนแต่งควิ้ 1. ใชพ้ ู่กนั หรือดินสอวางต้งั ฉากระหวา่ งปี กจมูกและหวั ค้ิว จนกระทง่ั ถึงมมุ ตาดา้ นใน ใหป้ ลาย ดินสออยู่ตรงหัวค้วิ 2. หมุนดินสอจากปี กจมูกไปท่ีก่ึงกลางลกู ตาดา ดูวา่ ปลายดินสอไปหยดุ อยทู่ ่ีใด ตรงน้นั คอื จุดสูงสุด ของคิว้ 3. วาดดินสอเป็นเสน้ ทแยงมุมออกไปที่มมุ ดา้ นนอก ตรงน้ีคือเส้นค้ิวที่เรียงเลก็ ลง 4. ทดสอบโดยการเมกอพั หรือแตะแป้งเพ่อื ดูวา่ ควรถอนขนค้ิวส่วนใดออก 5. ใชห้ วั แมม่ ือและนิ้วช้ียดึ หนงั คิ้วไวแ้ ลว้ ใชแ้ หนบถอนขนคิ้วที่ข้ึนระเกะระกะออก 6. การดูแลรักษาหู หูเป็นอวยั วะที่ใชใ้ นการฟังเสียง ประกอบดว้ ย ใบหู ประสาทหู แกว้ หู ฯลฯ นอกจากน้ีแลว้ ลกั ษณะของใบหูท่ีสวยงามยงั ช่วยเสริมใบหนา้ ใหส้ วยงามตามไปดว้ ย ใบหูท่ีจดั วา่ สวยงามคือใบหูท่ี ไม่หนาหรือไมบ่ างเกินไป ไมก่ าง มีต่ิงหูพองาม ซ่ึงตรงกนั ขา้ มกบั ใบหูที่หนาเกินไป กางเกินไป ส้นั หรือเลก็ เกินไป หูลีบ หูกาง ไมม่ ีต่ิงหู เหลา่ น้ีจดั วา่ เป็นใบหูที่ไม่สวยท้งั สิ้นปัจจุบนั พ่อแม่ท่ีพบวา่ ลูก มีใบหูท่ีไม่สวยงามมกั จะพาไปพบแพทยเ์ พื่อผา่ ตดั แกไ้ ขขอ้ บกพร่องซ่ึงควรจะพาลูกไปผา่ ตดั ก่อน เขา้ เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 (ประมาณ 5-6 ขวบ) เดก็ ท่ีหูกางแพทยจ์ ะตดั หนงั บริเวณรอบพบั ท่ีติด กบั หนงั ศีรษะออกทิง้ ไปบางส่วน แลว้ ตดั หรือแกะสลกั เยบ็ กระดูกออ่ นของใบหูใหม้ ว้ นเขา้ หาพงั ผืด ของศีรษะ แลว้ เยบ็ โดยใหร้ อยเยบ็ อยดู่ า้ นหลงั ของใบหูน้นั ๆ จะช่วยใหห้ ูท่ีกางหุบเขา้ หาศีรษะ

18 สาหรับเดก็ ที่หูตูบ หรือหูหงิกงอเขา้ หาศีรษะกส็ ามารถผา่ ตดั คลี่ใบหูออกใหใ้ กลเ้ คยี งกบั หูของคน ปกติได้ บุคคลท่ีมีใบหูปกติไม่ตอ้ งอาศยั การผา่ ตดั แกไ้ ขใด ๆ ควรท่ีจะรักษาความสะอาดและ สุขอนามยั ของหู เพ่ือการฟังเสียงท่ีมีประสิทธิภาพ นายแพทยพ์ ิสิฏฐ์ สุอาชาวรัตน์ แพทยเ์ ฉพาะทาง หู คอ จมูก อาร์เอสยู เฮลทแ์ คร์ คลินิก มหาวทิ ยาลยั รังสิต แนะนาวธิ ีการรักษาสุขภาพของหูอยา่ ง ถกู ตอ้ ง ดงั น้ี 6.1. ดูแลทาความสะอาด โดยเช็ดใบหู รูหู หา้ มแคะหู และหา้ มปั่นในรูหูเด็ดขาด 6.2. ถา้ มีน้าเขา้ หู ใหเ้ อียงหูขา้ งน้นั ลง และทาความสะอาดดว้ ยไมป้ ่ันหู เพ่ือซบั น้าใหแ้ หง้ 6.3. ธรรมชาติของมนุษย์ ร่างกายคนเราจะผลิตข้ีหูออกมาตามความเหมาะสม อาจจะเปี ยกหรือแหง้ ตา่ งกนั ไป ในกรณีท่ีมีข้ีหูเปี ยกมากควรเช็ดทาความสะอาดดว้ ยไมป้ ั่นหูที่มีขนาดเลก็ กวา่ รูหู เช็ดหรือ ป่ันเบา ๆ เพ่ือเอาข้หี ูออกสัปดาหล์ ะคร้ัง ส่วนในกรณีที่ข้ีหูแหง้ และแขง็ ควรหยอดดว้ ยน้ามนั มะกอก คร้ังละ 1-2 หยด หยอดบอ่ ย ๆ ประมาณ 2-3 วนั หลงั จากน้นั ค่อยทาความสะอาด ไมค่ วรแคะหูดว้ ยท่ี แคะหูหรือกิ๊บเสียบผม เพราะอาจทาใหแ้ กว้ หูทะลุ ผนงั รูหูเป็นแผลและอกั เสบติดเช้ือโรคได้ 6.4. ถา้ แมลงเขา้ หู ใหใ้ ชน้ ้ามนั มะกอกหยอดใหเ้ ตม็ รูหู ทิ้งไวส้ กั พกั เพื่อใหแ้ มลงตาย จึงค่อยเข่ียเอา แมลงออก ถา้ ยงั ไมส่ ามารถเขี่ยแมลงออกไดค้ วรรีบไปปรึกษาแพทยท์ นั ที 6.5. กรณีเป็นหวดั คดั จมูกมาก ไมค่ วรสงั่ น้ามูกแรง ๆ เพราะจะทาใหเ้ ช้ือโรคถูกดนั ใหเ้ ขา้ ไปในทอ่ ยสู เตเช่ียน ส่งผลใหเ้ กิดการติดเช้ือบริเวณหูช้นั กลาง และลุกลามจนกลายเป็นโรคหูน้าหนวกได้ 6.6. ควรหลีกเล่ียงการเกิดอุบตั ิเหตหุ รือการกระทบกระแทกแรง ๆ ที่กกหู เพราะอาจทาใหแ้ กว้ หูฉีก ขาด เลือดคง่ั ในหูช้นั กลาง กระดูกหูอาจเคลื่อนจากตาแหน่งเดิม ทาใหค้ วามสามารถในการ ไดย้ นิ ลดลง 6.7. ควรหลีกเล่ียงแหล่งที่มีเสียงดงั อึกทึก เช่น เคร่ืองจกั รในโรงงาน เสียงดนตรีในสถานบนั เทิง ถา้ หากหลีกเลี่ยงไม่ไดค้ วรใส่ท่ีครอบหูหรือที่อุดหู และติดตามตรวจการไดย้ นิ ทุกปี 6.8. ควรหมนั่ สงั เกตอาการผิดปกติของหู และการไดย้ นิ อยเู่ สมอ เช่น หูอ้ือ ปวดหู คนั หู มี น้าหนอง หรือเลือดไหลออกจากหู การไดย้ นิ เสียงลดลงควรรับการตรวจจากแพทยอ์ ยา่ งใกลช้ ิด 7. การดแู ลรักษาจมูก จมกู เป็นอวยั วะที่มีไวส้ าหรับการหายใจแตล่ ะเผา่ พนั ธุ์จะมีจมกู ที่แตกตา่ งกนั หรือแมแ้ ต่บาง ทีเผา่ พนั ธุ์เดียวกนั ยงั มีลกั ษณะจมูกที่แตกต่างกนั บา้ งจมกู โด่ง บา้ งจมกู แฟบ บา้ งจมูกหนา บา้ งจมูก กลมคลา้ ยลกู ชมพผู่ า่ ซีก ฯลฯ แตส่ าหรับปัจจุบนั มนุษยส์ ามารถแกไ้ ขจมูกใหเ้ ป็นไปตามแบบที่ ตอ้ งการดว้ ยการทาศลั ยกรรม เช่น หากจมกู แฟบแบนกส็ ามารถเสริมใหโ้ ด่งข้นึ หรือคนท่ีจมกู ใหญก่ ็ สามารถผา่ ตดั ใหเ้ ลก็ ลง อยา่ งไรกด็ ีการทาศลั ยกรรมบางคร้ังก่อใหเ้ กิดอนั ตรายได้ เช่น การฉีดพารา

19 ฟี น หรือซิลิโคนชนิดเหลวเขา้ ไปบ่อยคร้ังกจ็ ะเป็นการเส่ียงอนั ตรายตอ่ สารเหลวเขา้ ไปในเสน้ เลือด ใหญ่ อุดตนั สมองหรือบางคร้ังสารเหลวน้นั อาจไหลลงมาขา้ งจมกู หรือส่วนท่ี ต่ากวา่ จมูกทาให้ ใบหนา้ ผดิ รูปทรง ดงั น้นั เพ่ือใหจ้ มูกทาหนา้ ที่ไดต้ ามปกติ และปลอดภยั จากอนั ตรายตา่ ง ๆ เราควร ปฏิบตั ิดงั น้ี 7.1. รักษาจมูกใหส้ ะอาดอยเู่ สมอ หลีกเลี่ยงการเขา้ ไปอยูท่ ่ี ๆ มีฝ่นุ ละอองมาก ๆ 7.2. ไมเ่ ขา้ ไปในบริเวณที่มีกล่ินฉุน เหมน็ หรือใส่น้าหอมกล่ินรุนแรง เพราะทาใหป้ ระสาท รับกลิ่นเสื่อมลง 7.3. ไมใ่ ชน้ ิ้วหรือของอื่น ๆ เช่นปากกา ดินสอ กระดาษ แหยจ่ มูกเล่น เพราะอาจทาใหจ้ มกู อกั เสบ หรือเป็นอนั ตรายได้ 7.4. ไมถ่ อนขนจมกู หรือตดั ใหส้ ้นั เพราะขนจมกู มีประโยชน์ในการกรองฝ่นุ ละออง เช้ือโรค และส่ิงอื่น ๆ ท่ีอาจปนเขา้ มากบั ลมหายใจ ไม่ใหเ้ ขา้ สู่ช่องจมูกและปอดได้ 7.5. เวลาจามใหใ้ ชผ้ า้ เชด็ หนา้ หรือกระดาษนุ่ม ๆ ปิ ดปาก 7.6. เวลาสง่ั น้ามูกใหใ้ ชผ้ า้ เช็ดหนา้ หรือกระดาษนุ่ม ๆ รอไวท้ ี่จมกู แลว้ ค่อย ๆ สงั่ น้ามูกโดยสง่ั พร้อม กนั ท้งั สองขา้ งไมค่ วรใชม้ ือบีบจมกู แลว้ จึงส่งั น้ามูก 7.7. เม่ือตอ้ งการดมกล่ินของบางอยา่ ง เพื่อที่จะทราบวา่ เป็นอะไร อยา่ ใชจ้ มกู จ่อจนใกลแ้ ลว้ สูด หายใจ เพราะอาจเป็นอนั ตรายได้ 7.8. เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดข้ึนท่ีจมูก เช่น คดั จมูก เลือดกาเดาไหล ปวดจมูกหรืออื่น ๆ ควรไปให้ แพทยต์ รวจรักษา 8. การดแู ลรักษาริมฝี ปาก ปากเป็นส่วนประกอบหน่ึงของใบหนา้ ท่ีมีส่วนทาใหบ้ คุ คลมีบุคลิกภาพท่ีแตกตา่ งกนั รูป ปากท่ียอมรับวา่ สวยที่สุดคอื ปากที่มีริมฝีปากไมห่ นาหรือบางจนเกินไป มองดูเป็นรูปกระจบั มมุ ปากท้งั สอง ช้ีข้ึน ริมฝีปากคลา้ ยกลีบกหุ ลาบ มองดูเหมือนมีรอยยม้ิ ระบายอยบู่ นใบหนา้ ตลอดเวลา ผทู้ ่ีมีปากหนา ปากยนื่ ปากกวา้ ง จดั วา่ ปากน้นั มีขอ้ บกพร่อง อาจตอ้ งแกไ้ ขดว้ ยการทาศลั ยกรรม หรือใชเ้ ทคนิคการเขียนริมฝี ปากเพอ่ื ปกปิ ดความบกพร่องน้นั โดยส่วนใหญ่สุภาพสตรีจะใหค้ วามสนใจกบั การดูแลรักษาริมฝีปากมากกวา่ สุภาพบุรุษ ส่ิง ที่จะนามาตกแตง่ เพือ่ ใหร้ ิมฝี ปากดูดีข้ึนคอื ลิปสติก ซ่ึงลิปสติกในปัจจุบนั มีการคิดคน้ ส่วนผสมต่าง ๆ ซ่ึงนอกจากจะสร้างสีสันใหเ้ จา้ ของริมฝีปากแลว้ ยงั มีส่วนผสมต่าง ๆ ที่ช่วยบารุงริมฝีปากอีกดว้ ย ดงั น้นั วิธีการที่จะช่วยบารุงรักษาริมฝีปาก ควรปฏิบตั ิดงั น้ี 8.1. ผลดั ผวิ ริมฝีปากอยา่ งอ่อนโยนอากาศแหง้ ทาใหเ้ รียวปากขาดความชุ่มช้ืน เมื่อเผชิญกบั อากาศ แหง้ นาน ๆ ริมฝีปากกเ็ ริ่มแตก วธิ ีที่จะช่วยไดค้ อื กระตุน้ การผลดั ผวิ ที่ริมฝีปาก ซ่ึงจะทาใหผ้ ิวหนงั

20 ช้นั บนท่ีแหง้ เป็นขยุ ค่อย ๆ หลดุ ลอกออกไป พร้อมเผยผิวริมฝีปากท่ีสุขภาพดีกวา่ ข้นึ มา และใชล้ ิป บาลม์ เพอื่ เติมความชุ่มช้ืนให้กบั ริมฝีปากที่เพงิ่ เผยข้นึ มาใหม่ 8.2. ดื่มน้าอยา่ งเพยี งพอ น้าเป็นปัจจยั สาคญั และจาเป็นอยา่ งยงิ่ ท่ีจะเติมความสดช่ืนใหก้ บั ร่างกาย รวมท้งั ริมฝีปาก เพราะฉะน้นั ควรด่ืมน้าอยา่ งพอเพียงเพื่อริมฝีปากท่ีอวบอิ่ม 8.3. บารุงดว้ ยโอเมกา้ 3 และวติ ามินเอ ริมฝีปากท่ีดูเปลง่ ปลง่ั สุขภาพดีมาจากการไดร้ ับวติ ามินและ เกลือแร่จาเป็น โอเมกา้ 3 และวติ ามินเอในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยใหร้ ิมฝีปากชุ่มช้ืนได้ ควร ปรึกษาเภสชั กรเพื่อรับคาแนะนาในการรับประทานวติ ามินเสริม หรือหากไดร้ ับจากการรับประทาน อาหารท่ีมีประโยชน์ไดก้ ็จะดีมาก 8.4. เลือกใชล้ ิปบาลม์ แทนลิปกลอส หลายคนมกั สบั สนในการเลือกใชผ้ ลิตภณั ฑส์ าหรับ ริมฝีปาก ท้งั สองตวั น้ี ลิปบาลม์ ถกู ผลิตข้ึนมาเพ่อื บารุงใหค้ วามชุ่มช้ืน และรักษาอาการริมฝี ปากแหง้ แตก โดยเฉพาะในขณะท่ีลิปกลอสจดั อยใู่ นประเภทเคร่ืองสาอาง และมกั ทาหนา้ ท่ีเคลือบผิวริมฝีปากให้ ดูมนั วาวเทา่ น้นั ท้งั น้ี นอกจากลิปบาลม์ จะใหค้ วามรู้สึกเนียนนุ่มชุ่มชื่นกวา่ เม่ือทาลงไปแลว้ มกั ถกู เติมดว้ ยสารบารุงและวติ ามินท่ีมีประโยชนต์ ่อริมฝีปากมากกวา่ อีกดว้ ย 8.5. ใชล้ ิปสติกท่ีมีคณุ สมบตั ิบารุงริมฝีปาก หากมีริมฝีปากแหง้ แตกอยบู่ ่อยคร้ัง การทาลิปสติกให้ สวยคงเป็นไปไมไ่ ดอ้ ยา่ งใจ ควรเลือกใชล้ ิปสติกที่มีคณุ สมบตั ิบารุงริมฝีปากแบบเขม้ ขน้ หรือจะ ลองใชล้ ิปบาลม์ ที่มีสีกไ็ ด้ เทา่ น้ีริมฝีปากก็จะดูมีสีสัน ท้งั ยงั ดูชุ่มช้ืนอ่ิมเอิบไปพร้อม ๆ กนั 8.6. กินอาหารอยา่ งถกู หลกั อาหารท่ีรับประทานเขา้ ไปเป็นอีกหน่ึงสาเหตสุ าคญั ในการช้ีวา่ จะมีริม ฝีปากท่ีสุขภาพดีไดห้ รือไม่ เมนูท่ีมีซลั เฟอร์สูงอยา่ งไข่ กระเทียม และหน่อไมฝ้ รั่ง จะช่วยให้ ผิวพรรณรวมท้งั ริมฝีปากดูสดชื่น เตง่ ตึง นอกจากน้ีอาหารที่อดุ มไปดว้ ยวติ ามิน เอ บี และ ซี ซ่ึงพบ มากในผลไมต้ ระกลู เบอร์ร่ี แครอท ผกั ใบเขียว โยเกิร์ตรสธรรมชาติ จะช่วยใหร้ ิมฝีปากดูมีสุขภาพดี มากข้ึน 8.7. พบแพทยห์ ากอาการปากแหง้ แตกไม่ดีข้นึ ไม่วา่ จะบารุงท้งั จากภายนอกหรือภายในอยา่ งไร ริม ฝีปากก็ยงั คงแหง้ แตกอยเู่ หมือนเดิม ควรเขา้ พบแพทยเ์ พ่ือรับการตรวจวินิจฉยั ถึงสาเหตรุ วมท้งั รับ การรักษาที่เหมาะสม เพราะอาการริมฝีปากแหง้ แตกน้ี อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเจ็บป่ วย อยา่ งโรคโลหิตจาง หรือ อาการผดิ ปกติทางผิวหนงั 9. การดูแลรักษาฟัน ฟันเป็นอวยั วะสาหรับการเค้ียวหรือบดอาหาร และนอกจากน้ียงั มีประโยชน์ต่อใบหนา้ เช่นเดียวกบั อวยั วะอื่นท่ีกลา่ วมาแลว้ คือหากฟันสวย ขาวสะอาด และเรียงกนั อยา่ งเป็นระเบียบ ก็จะ ช่วยเสริมเสน่หส์ ร้างความประทบั ใจแก่ผพู้ บเห็น เม่ือเป็นเช่นน้ีเราจึงตอ้ งดูแลรักษาฟันใหส้ ะอาด

21 ไร้กล่ินปากอนั เกิดจากฝันผุ หรือเหงือกอกั เสบ ซ่ึงเป็นสาเหตขุ องการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ดงั น้นั วธิ ีการท่ีจะช่วยบารุงรักษาฟัน ควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี 9.1. ควรแปรงฟันดว้ ยยาสีฟันท่ีผสมฟลอู อไรด์ และแปรงฟันอยา่ งถูกวิธีอยา่ งนอ้ ยวนั ละ 2 คร้ัง คอื หลงั ต่ืนนอนตอนเชา้ และก่อนนอน แปรงสีฟันมีใหเ้ ลือกหลายแบบ ยง่ิ ปัจจุบนั ผผู้ ลิตมีการ ออกแบบแปรงสีฟันท่ีเหมาะสมกบั ปากและฟัน ยงิ่ ทาใหเ้ ราไดม้ ีโอกาสเลือกมากข้ึน ขนของแปรงสี ฟันก็มีแบบขนแปรงนิ่ม ขนแปรงแขง็ ปานกลาง และขนแปรงแขง็ ซ่ึงก็เช่นเดียวกนั ผใู้ ชส้ ามารถ เลือกไดต้ ามความชอบและเหมาะสม การแปรงฟันอยา่ งถกู วธิ ีคือการวางแปรงใหข้ นานกบั ฟันปลาย ขนแปรงอยตู่ รงคอฟัน กดแปรงใหข้ ยบั ไปมาเบา ๆ หาเป็นฟันล่างหมนุ มือข้ึน และหากเป็นฟันบน ใหห้ มนุ มือลง 9.2. กินใหถ้ ูกกาลเทศะ การเค้ียวอาหารให้เค้ยี วดว้ ยฟันท้งั สองขา้ ง เลือกกินอาหารท่ีมีความแขง็ พอควร เช่น ผกั สด ผลไมเ้ น้ือแขง็ เช่น แอปเปิ้ ล ชมพู่ มะมว่ งดิบ ฝรั่ง ซ่ึงความแขง็ ของผลไมน้ ้ีจะช่วย ขจดั คราบในปาก บริหารและขดั ฟันไปดว้ ยในตวั 9.3. พบทนั ตแพทยท์ ุก 6 เดือน เพ่ือจะไดม้ ีโอกาสแกไ้ ขสิ่งบกพร่องก่อนท่ีจะสายเกินไป ฟันมีส่วนท่ี จะทาลายความสวยงามของใบหนา้ ได้ เช่น หากฟันเก ฟันยน่ื ก็จะส่งผลไปถึงคาง และทาใหร้ ูปหนา้ ผิดสัดส่วนได้ ฟันที่จดั วา่ สวยคือฟันท่ีไมเ่ ลก็ หรือโตจนเกินไปทุกซี่เรียบติดกนั ขาวและเป็นเงาราว กบั ไขม่ กุ 10. การดูแลรักษาอก อกเป็นส่วนประกอบที่สาคญั ของรูปร่างโดยเฉพาะสุภาพสตรี จะใหค้ วามสาคญั กบั อกมาก เพราะผหู้ ญิงทกุ คนอยากไดช้ ื่อวา่ อกสวย อกจะทรงตวั อยไู่ ดด้ ีจะตอ้ งประกอบดว้ ย กิริยาทา่ ทางดี เส้ือยกทรงดี และจะตอ้ งออกกาลงั กายสม่าเสมอ ดงั น้ี 10.1. กิริยาทา่ ทางดี หมายถึงวา่ จะตอ้ งทาทา่ ทีกิริยาใหส้ วยอยตู่ ลอดเวลา ไม่วา่ จะเป็นทา่ นงั่ ท่ายนื หรือท่าเดิน กิริยาทา่ ทางที่ดีจะตอ้ ง “เชิดคาง ไหล่ต้งั หลงั ตึง ทอ้ งติด และคอไม่ตก” บางคนมีปัญหา เร่ืองอกใหญ่แลว้ ทาใหไ้ หลห่ ่อหรือตวั งอ เพื่อปกปิ ด ซ่ึงจดั วา่ เป็นการกระทาท่ีไมถ่ กู ควรหาวิธีแกไ้ ข ใหถ้ กู ตอ้ งและเหมาะสม 10.2. เส้ือยกทรงดี คือเส้ือยกทรงที่เหมาะสมกบั รูปร่างของเตา้ นม ซ่ึงผผู้ ลิตชุดช้นั ในบางยหี่ อ้ ไดเ้ ปรียบเตา้ นมของสตรีไทยกบั ผลไมต้ ่าง ๆ เช่น มะนาว แอปเปิ้ ล มะละกอ ฯลฯ และไดผ้ ลิตเส้ือ ยกทรงที่เหมาะสมกบั เตน้ นมน้นั ๆ นอกจากน้ีแลว้ ขนาดของเส้ือยกทรงกส็ าคญั เส้ือยกทรงที่ เลือกใชจ้ ะตอ้ งมีขนาดที่เหมาะกบั เตา้ นมและขนาดของลาตวั เส้ือยกทรงที่ขายอยทู่ วั่ ไปนอกจากจะ เป็นขนาดของหนา้ อก เช่น 32 นิ้ว 34 นิ้ว 36 นิ้ว ฯลฯ แลว้ ยงั มีขนาดที่เป็น Cup อีกดว้ ย โดยจะวดั

22 ออ้ มอกจากหลงั มาจรดหวั นมวา่ ไดเ้ ทา่ ไร จากน้นั กจ็ ะวดั ขนาดไดอ้ กออ้ มจากหลงั มายงั ฐานนมได้ เท่าไร แลว้ นาผลมาลบ กนั หากต่างกนั 4-5 นิ้ว ใชเ้ ส้ือช้นั ใน Cup A หากตา่ งกนั 5-6 นิ้ว ใช้ Cup B หากตา่ งกนั มากกวา่ 7 นิ้ว ใช้ Cup C หรือ D เส้ือยกทรงที่เหมาะสมเมื่อสวมแลว้ สายตอ้ งไม่ส้นั จนร้ังหรือส่วน ใตร้ อบทรงไม่พอดี 10.3. การออกกาลงั กายสม่าเสมอ จะส่งผลทาใหก้ ลา้ มเน้ือบริเวณหนา้ อกแขง็ แรง ซ่ึงจะช่วยใหเ้ ตา้ นมไมห่ ยอ่ นคลอ้ ย 11. การดแู ลรักษาเลบ็ มือและเท้า เลบ็ เป็นอวยั วะที่มีส่วนสาคญั ในการปกป้องประสาทส่วนปลายนิ้วมือและนิ้วเทา้ ที่ไวต่อ ความรู้สึก เลบ็ เจริญมาจากเน้ือเยื่อส่วนใตโ้ คนเลบ็ และหลงั หนงั กาพร้า เม่ืองอกมาถึงปลายนิ้วจะ เป็นเซลลต์ าย แต่ที่สามารถยาวออกมาไดเ้ ร่ือย ๆ เพราะเซลลท์ ี่มีชีวติ ดนั ออกมา เลบ็ จะถูกรบกวน ดว้ ยโรคต่าง ๆ ซ่ึงจะมีผลทาใหเ้ ลบ็ เสียและไม่สวยงาม โรคต่าง ๆ น้นั ไดแ้ ก่ โรคราท่ีเล็บซ่ึงจะทาให้ เลบ็ หนา และผุ สีของเลบ็ ก็เปล่ียนไปดว้ ย โรคปอดเร้ือรังทาใหเ้ ลบ็ โคง้ กวา้ งมากกวา่ ปกติและเป็นสี ม่วง โรคโลหิตจางทาใหเ้ ลบ็ ผดิ รูปไป โรคผิวหนงั บางชนิดทาใหเ้ ลบ็ บบุ ลงเป็นจุด ๆ เลบ็ สวยจะตอ้ งเป็นสีชมพเู ร่ือ ๆ หมายถึงวา่ เจา้ ของเลบ็ จะตอ้ งเป็นคนสุขภาพดี ผวิ พรรณ เปลง่ ปลงั่ การตดั เลบ็ มือตอ้ งตดั ใหม้ นเจียนเป็นรูปไข่ ใชต้ ะไบไมข้ ดั อีกคร้ังหน่ึง เลบ็ เทา้ ก็ เช่นเดียวกนั อยา่ ตดั ส้ันกวา่ ปลายนิ้ว และควรตดั ตรง ๆ ใชต้ ะไบไมค้ ่อย ๆ เกลาใหเ้ รียบ ส่วนหนงั กาพร้ารอบเลบ็ ควรปล่อยใหข้ ้นึ อิสระ ไม่ควรตดั หรือดึงทิง้ อาหารที่จะช่วยบารุงเลบ็ ไดด้ ีไดแ้ ก่

23 วติ ามินบี 2 และวติ ามินดี ซ่ึงจะมีอยใู่ นตบั สตั ว์ มนั ฝร่ัง ปลา เนย ขา้ วซอ้ มมือ ยสี ต์ (ขนมปัง) นม พร่องมนั เนย และผกั ใบเขยี วจดั เลบ็ ที่ขาดการดูแล และขาดการเอาใจใส่มานาน จะทาใหเ้ ลบ็ ขาดความเป็นประกายเงางาม แตก เปราะและหกั ง่าย หากตอ้ งออกงานพบปะผคู้ นและจะตอ้ งแตง่ เลบ็ อยา่ งเร่งด่วน ควรเลือกใชย้ า ทาเลบ็ ที่ช่วยใหเ้ ลบ็ แขง็ แรง มีประกายแวววามอยา่ งเลบ็ ที่มีสุขภาพดี ข้นั ตอนการตกแต่งเลบ็ ไดแ้ ก่ 11.1. ลา้ งเลบ็ ใหส้ ะอาดดว้ ยยาลา้ งเลบ็ ก่อนการตกแต่ง 11.2. แตง่ เลบ็ ใหไ้ ดร้ ูปดว้ ยตะไบ ถา้ จะใหด้ ีควรเป็นตะไบคริสตลั 11.3. ขดั เลบ็ เพอ่ื ให้เลบ็ เรียบเนียน (ซ่ึงจะใหด้ ีแลว้ ควรขดั เลบ็ ทกุ ๆ 4 สัปดาห์) 11.4. ใชค้ รีมทาเลบ็ ทีมีส่วนผสมของไบโอตินเพื่อช่วยนวดจมกู เลบ็ 11.5. ทาเลบ็ ดว้ ยผลิตภณั ฑท์ ่ีช่วยบารุงเลบ็ 12. การดแู ลรักษาผิวพรรณ ผทู้ ่ีมีผวิ พรรณท่ีสดใสจะช่วยเสริมสงา่ ราศี แมอ้ ายจุ ะมากแลว้ แตผ่ ิวพรรณยงั ดูเปล่งปลงั่ และนวลเนียนอยกู่ จ็ ะเป็นการเสริมบุคลิกภาพใหด้ ูดี น่ามอง ดงั น้นั เราจึงควรตอ้ งดูแลผวิ พรรณ ต้งั แตย่ งั อยใู่ นวยั หนุ่มสาว ซ่ึงในแตล่ ะวยั จะมีการบารุงผิวพรรณที่แตกตา่ งกนั ดงั น้ี 12.1. ผหู้ ญิงที่มีอายุ 20 ปี ข้นึ ไป ผหู้ ญิงวยั น้ีจะเป็นวยั ที่มีผวิ นุ่มละไม เปล่งปลง่ั สดใสอยา่ งธรรมชาติ เพราะไม่มีปัญหาการไหลเวยี นของเลือดลม เม่ือเขา้ สู่วยั 25 ปี ร่างกายเร่ิมผลิตอีลาสตินคอลลาเจน และไขมนั ชา้ ลง ผิวเร่ิมเสื่อมถอยในการเก็บกกั ความชุ่มช้ืน ผิวแหง้ มากข้นึ ไปตามวยั ที่มากข้ึน เม่ือ อายใุ กล้ 30 ปี จะเห็นริ้วรอยยน่ เลก็ ๆ รอบดวงตา วยั น้ีควรบารุงผิวพรรณดว้ ยน้าแร่และใหค้ วามชุ่ม ช้ืนแก่ผิว เช่น เพิม่ การบารุงดว้ ยวิตามินอีและซี เพื่อลดการรุกรานของอนุมูลอิสระ ซ่ึงเป็นตวั ทาลาย เซลลใ์ หอ้ ยใู่ นความสงบ ผลิตภณั ฑท์ ี่ควรเลือกใชส้ าหรับดวงตาควรเป็นผลิตภณั ฑท์ ่ีมีเน้ือบางเบา เช่น เจลครีม และที่สาคญั ตอ้ งสามารถปกป้องผิวจากรังสียวู ี เพราะแสงแดดเป็นสาเหตทุ าใหผ้ วิ แก่ ก่อนวยั การเมคอพั ไม่ควรใชร้ องพ้นื หนาเพราะจะทาใหผ้ วิ ดูไมเ่ รียบเนียน ควรใชเ้ ดยค์ รีมที่มี ส่วนผสมของสารกนั รังสียวู แี ทนรองพ้ืน หรือหากจะใชร้ องพ้นื ควรเป็นรองพ้นื ท่ีอ่อนบาง หากเป็น สิวเมด็ เลก็ ๆ หรือผิวมีปัญหาใหใ้ ชย้ าแตม้ สิวฆ่าเช้ือปกปิ ดก่อน แลว้ จึงทาแป้งฝ่นุ บริเวณทีโซน เพอ่ื ไมใ่ หเ้ ป็นมนั วาว แลว้ จึงแต่งหนา้ ตามสีสันท่ีตอ้ งการ ซ่ึงวยั น้ีสามารถะเลือกสีไดท้ ุกเทรนด์ 12.2. ผหู้ ญิงที่มีอายุ 30 ปี ข้นึ ไป เม่ือถึงวยั ท่ีมีเลข 3 นาหนา้ เซลลต์ ่าง ๆ ของร่างกายเริ่มเหน่ือยลา้ แลว้ เม่ืออายุ 35 ปี เซลลต์ อ้ งใชเ้ วลาผลดั เปล่ียนเซลลผ์ วิ เป็นเวลา 30 วนั แทนท่ีจะเป็น 28 วนั เหมือน ยงั รุ่น ๆ นอกจากน้ีผวิ ยงั ผลิตไขมนั นอ้ ยลง 30% ขอ้ ดีของผหู้ ญิงวยั น้ีคือสิวท่ีเคยเป็นเร่ิมห่างหายไป แตจ่ ะมีขอ้ เสียคือ ผวิ จะเกบ็ กกั ความช้ืนไดไ้ ม่ดีเทา่ ที่ควร มีอีลาสตินนอ้ ยลง ผิวเริ่มเผยริ้วรอยเลก็ ๆ ใหเ้ ห็นโดยเฉพาะริ้วรอยรอบดวงตา ริมฝีปาก และหนา้ ผาก ผหู้ ญิงวยั น้ีตอ้ งบารุงผิวลดเลือนริ้วรอย

24 และใหพ้ ลงั แก่ผวิ ตอนกลางวนั จึงควรตอ้ งใชม้ อยส์เจอไรเซอร์ท่ีป้องกนั รังสียวู ี และมีวิตามินต่าง ๆ ใหผ้ วิ เช่น วติ ามินเอช่วยกระตนุ้ ใหม้ ีการผลิตเซลลใ์ หม่ ๆ วิตามินซีและอี ช่วยต่อตา้ นอนุมูลอิสระ และกระชบั เซลลผ์ วิ ตอนกลางคนื ควรบารุงผิวโดยใชไ้ นทค์ รีมท่ีมีเอนไซมท์ ่ีช่วยกระตนุ้ ใหผ้ ิว ทางานเพื่อผลดั เปล่ียนเซลล์ และที่สาคญั ตอ้ งนอนหลบั ใหเ้ พียงพอ เพราะตอนกลางคืนเซลลต์ ่าง ๆ จะทางานอยา่ งมีประสิทธิภาพ และถา้ ไม่อยากมีริ้วรอยท่ีเกิดจากการแสดงสีหนา้ ก็ควรใชค้ รีมทา รอบดวงตาและนามานวดริมฝีปากดว้ ย นอกจากน้ีควรใหด้ วงตาไดร้ ับสารอาหารจากแผน่ มาส์กตา สปั ดาหล์ ะ 2 คร้ัง คร้ังละประมาณ 15 นาที การเมคอพั ควรใชร้ องพ้นื ท่ีช่วยสะทอ้ นแสงเมด็ สีเม ลานินเพือ่ กลบเกลื่อนริ้วรอย เลก็ ๆ และยงั ช่วยใหผ้ ิวเนียนเรียบสม่าเสมอดว้ ย 12.3. ผหู้ ญิงท่ีมีอายุ 40 ปี ข้ึนไป ผหู้ ญิงวยั น้ีอะไรกด็ ูลดนอ้ ยลงผดิ กบั วยั ที่เพมิ่ ข้นึ คาลาไมนท์ ี่เป็น ตวั เช่ือมประสานงานระหวา่ งเซลลต์ า่ ง ๆ ลดจานวนลงจนทางานไมไ่ หว นอกจากน้ีพิษภยั รอบดา้ นก็ เป็นตวั เร่งใหผ้ ิวเส่ือมลงเร็วข้ึน เช่น การสูบบหุ รี่ การพกั ผอ่ นไมเ่ พยี งพอ ความเครียด สิ่งเหลา่ น้ีเป็น ตวั ทาลายคอลลาเจน ซ่ึงผลคือทาใหผ้ วิ เปราะบาง แพง้ า่ ย เกิดเสน้ เลือดฝอยข้ึนท่ีแกม้ รูปทรงใบหนา้ หยอ่ นคลอ้ ย ริ้วรอยเลก็ ๆ ขยายใหญ่ข้นึ ผิวเหนื่อยลา้ และซีดเซียวขาดชีวิตชีวา หญิงสาววยั น้ีจึง ตอ้ งการท้งั การบารุงในตอนกลางวนั และกลางคืนดว้ ยผลิตภณั ฑแ์ อนต้ี เอจจิ้ง (Anti Aging) และ เพอ่ื ใหพ้ ลงั กบั ผวิ ควรบารุงดว้ ยการมาส์กผวิ หรือเซรั่มยกระชบั ผวิ เพื่อผอ่ นคลายอาการเมื่อยลา้ ดูแล บริเวณลาคอ และเนินอกให้กระชบั มีความยดื หยนุ่ ดว้ ยการทาครีมบารุงผิวทุกวนั การเมคอพั สาววยั น้ีมกั มีปัญหาเรื่องแกม้ และคางที่หยอ่ นคลอ้ ย ทาให้ดูเป็นคนสูงอายุ วิธีแต่งหนา้ ใหด้ ูออ่ นเยาวค์ อื ใช้ แป้งยกกระชบั หนา้ ดว้ ยการทาแป้งสีทองโทนเขม้ โดยใชพ้ ู่กนั ปัดแป้งท่ีขากรรไกรลา่ งเป็นแนวยาว แลว้ ปัดเบา ๆ ลงไปใตค้ างดา้ นหนา้ ส่วนผวิ หนา้ และริมฝีปากท่ีซีดเซียวใหแ้ ตม้ สีสนั เพยี งเลก็ นอ้ ย และเป็นโทนสีเดียวกนั กบั ตา แกม้ และปาก สีท่ีเหมาะสมคอื โทนสีอบอุ่น เช่น สีเบจแชมเปญ หรือสี ลูกทอ้ 12.4 .ผหู้ ญิงที่มีอายุ 50 ปี ข้นึ ไป ผหู้ ญิงวยั น้ีฮอร์โมนเอสโตรเจนลดนอ้ ยถอยลงไปมากจึงส่งผลให้ ผวิ พรรณขาดความยดื หยนุ่ และความชุ่มช้ืน เสน้ เลือดหดตวั ลง เซลลต์ ่าง ๆ ไดร้ ับออกซิเจนไม่เตม็ ที่ ทาใหร้ ่างกายและผวิ พรรณหยอ่ นยาน ผหู้ ญิงวยั น้ีจานวนมากกวา่ 60% มีรอยยน่ ต้งั แต่จมูกจนถึงริม ฝีปาก กระบวนการผลิตเมด็ สีเมลานินทางานไมส่ ม่าเสมอ ผิวตกกระตามวยั ข้ึนมาเป็นหยอ่ ม ๆ วิธีการทดแทนฮอร์โมนที่หายไปคอื ตอ้ งบารุงดว้ ยผลิตภณั ฑแ์ อนต้ี เอจจ้ิง ท่ีจะช่วยพยงุ คอลลาเจน กระตุน้ การไหลเวยี นของโลหิต เติมความชุ่นช้ืนใหก้ บั ผวิ ผลิตภณั ฑท์ ่ีมีส่วนผสมของสารสกดั จาก พืชธรรมชาติและแร่ธาตตุ า่ ง ๆ จะช่วยบารุงผวิ พรรณไดเ้ ป็นอยา่ งดี การเมกอพั จะตอ้ งพ่ึงพาบลชั ออนเพ่ือเบ่ียงเบนริ้วรอยรอบดวงตาไมใ่ ห้โดดเด่นเกินไป และยงั ช่วยใหใ้ บหนา้ ดูสดใสอยา่ งรวดเร็ว การทาอายแชโดวส์ ีอ่อน เช่น สีงาชา้ ง สีชมพอู อ่ น จะช่วยใหด้ วงตาแจ่มใส

25 13. การดูแลรักษาขา ช่วงขาที่เรียวงามมกั เป็นส่ิงท่ีหญิงสาวส่วนใหญป่ รารถนา ศตั รูตวั ร้ายที่จะทาใหเ้ รียวขาไม่ เรียวงามคือมีเซลลไู ลตเ์ กาะอยู่ เซลลูไลตม์ กั เกิดกบั ผหู้ ญิงมากกวา่ ผชู้ ายเพราะผวิ หนงั ของผหู้ ญิงน้นั มี อีลาสตินมากกวา่ ผชู้ าย และใตผ้ วิ ของผหู้ ญิงก็มีเซลลไ์ ขมนั โครงตาขา่ ยของคอลลาเจนที่ ช่วยค้าจุนเซลลผ์ วิ ดงั น้นั เซลลไ์ ขมนั ท่ีพอกพนู เพมิ่ ข้ึนจึงเบียดแซงตาขา่ ยคอลลาเจนข้ึนมาดา้ นบน จนทาใหผ้ ิวเป็นรอยตะป่ มุ ตะป่ า การปราบเซลลูไลตก์ ระทาได้ ดงั น้ี 13.1. รับประทานอาหารตา้ นเซลลไู ลตไ์ ม่ควรอดอาหาร เพราะการอดอาหารไม่ช่วยตา้ นเซลลูไลต์ ได้ ดงั น้นั จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่พอดี ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ อาหารท่ีทาจากขา้ วไม่ขดั สี ผกั และผลไม้ หรือการรับประทานลกู เดือย ก็จะช่วยขบั น้าออกจากร่างกายได้ หลีกเล่ียงการรับประทาน อาหารท่ีมีไขมนั สูง น้าตาล และแอลกอฮอล์ 13.2. การออกกาลงั กายที่ถูกวธิ ี จะช่วยทาใหก้ ลา้ มเน้ือบริเวณตน้ ขาและสะโพกแขง็ แรงและ ดู เพรียวยงิ่ ข้นึ เพราะไดม้ ีการเผาผลาญไขมนั และคาร์โบไฮเดรตออกไป ควรเลือกออกกาลงั กาย ดว้ ย การเดิน จ๊อกกิ้ง วา่ ยน้า หรือขี่จกั รยาน ซ่ึงเป็นวธิ ีการตา้ นเซลลูไลตไ์ ดด้ ีที่สุด ท้งั ยงั เป็นการทา ใหร้ ่างกายไดข้ บั สารพิษและกรดที่ไม่มีความจาเป็นออกไปดว้ ย 13.3. การนวดเป็นการกระตุน้ ใหเ้ ลือดบริเวณผิวหนงั ไดไ้ หลเวยี น อาจเลือกอาบน้าร้อนและน้าเยน็ สลบั กนั พร้อมกบั นวดผิวดว้ ยถงุ มือสาหรับนวดหรือแปรง หรือจะพนั ดว้ ยสาหร่ายหรือ พอกโคลน สัปดาหล์ ะ 2 คร้ัง ซ่ึงเป็นวิธีท่ีช่วยกระชบั ผวิ ไดเ้ หมือนกนั 13.4. ใชค้ รีมทาผวิ ท่ีแอนต้ีเซลลูไลต์ ซ่ึงมีขายอยมู่ ากมาย เช่น ไบโอเธิร์มเอสเตลอเดอร์ เป็นตน้ ซ่ึงการใชค้ รีมเหลา่ น้ีตอ้ งควบคู่ไปกบั การรับประทานอาหารที่มีประโยชนแ์ ละการออกกาลงั กาย อยา่ งสม่าเสมอ 14. การดูแลรักษาเท้า เทา้ เป็นอวยั วะที่สาคญั ในวนั หน่ึง ๆ เทา้ จะตอ้ งทางานหนกั เพื่อจะช่วยใหเ้ จา้ ของไดเ้ คลื่อน ไปยงั ท่ีต่าง ๆ จึงตอ้ งมีการดูแลรักษาเทา้ อยา่ งถูกวธิ ี คือจะตอ้ งลา้ งเทา้ ทกุ คร้ังที่เขา้ บา้ นดว้ ยน้าสะอาด และสบู่ ใชม้ ือถูเบา ๆ เพือ่ ใหส้ ิ่งสกปรกหลุดออก จากน้นั ซบั ดว้ ยผา้ สะอาดใหแ้ หง้ หากมีปัญหา เกี่ยวกบั เช้ือรา ควรรีบปรึกษาแพทยท์ นั ที หากเทา้ ตอ้ งทางานหนกั ตลอดวนั จนเกิดอาการเมื่อยลา้ เม่ือกลบั ถึงบา้ นแลว้ ควรแช่เทา้ ลงในอา่ งน้าเยน็ ผสมกบั เกลือจากน้นั เช็ดใหแ้ หง้ แลว้ ชโลมดว้ ยครีม ทาผวิ หรือโลชนั่

26 ในช่วงวยั รุ่นขนาดของเทา้ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จึงไมค่ วรเลือกใส่รองเทา้ ปลาย สน้ เลก็ แหลม เพราะนิ้วจะถูกบีบและกดโคง้ ลงสู่พ้นื ขา้ งหนา้ ทาใหเ้ ทา้ บิดเบ้ียวได้ ดงั น้นั ใน สถานศึกษาจึงกาหนดใหน้ กั ศึกษาใส่รองเทา้ ส้นเต้ีย และปลายเทา้ กวา้ ง เมื่อเขา้ สู่วยั ผใู้ หญ่หรือวยั ทางาน ควรเลือกรองเทา้ ใหเ้ ขา้ กบั เทา้ และจะตอ้ งสร้างความ สะดวกสบายใหเ้ ทา้ ดว้ ย ดงั ต่อไปน้ี 14.1. การเลือกรองเทา้ สน้ สูง รองเทา้ ที่ใส่แลว้ ดูดีที่สุดคอื รองเทา้ สน้ สูงยาวเรียว เพราะเมื่อใส่แลว้ จะ ช่วยใหช้ ่วงขาดูยาวข้นึ หุ่นเพรียวข้นึ ระดบั ความสูงของส้นรองเทา้ มาตรฐานควรอยทู่ ่ี 2 นิ้ว ซ่ึงเป็น ความสูงท่ีเหมาะสมกบั หญิงสาวทุกรูปร่าง รองเทา้ ท่ีส้นสูงเกินไปนอกจากจะทาใหเ้ ดินไม่สะดวก เสียการทรงตวั ไดง้ ่าย และทาใหป้ วดหลงั แลว้ ถา้ ใส่นาน ๆ จะทาใหก้ ลา้ มเน้ือน่องหดตวั และทาให้ ขาดูส้นั ลง แพทยจ์ ึงแนะนาวา่ หากใส่รองเทา้ ส้นสูงมาก ๆ ควรใส่คร้ังละประมาณ 3 ชวั่ โมง 14.2. ใส่รองเทา้ ใหส้ วย วิธีการเลือกรองเทา้ ควรปฏิบตั ิดงั น้ี 14.2.1. นอกจากความสูงของรองเทา้ แลว้ การเลือกซ้ือรองเทา้ จะตอ้ งดูรูปแบบของสน้ รองเทา้ ใหเ้ ขา้ กบั รูปร่างของเราดว้ ย เช่น หากเป็นคนรูปร่างใหญ่ ไม่ควรใส่รองเทา้ ส้นแหลมเพราะจะทาให้ ร่างกายดูใหญข่ ้ึน ควรเลือกใส่รองเทา้ ท่ีสน้ หนาจะทาใหบ้ ุคลิกดูดี 14.2.2. ควรเลือกรองเทา้ ที่มีสีโทนเดียวกนั กบั เส้ือผา้ ท่ีใส่ 14.2.3. หากใส่เส้ือผา้ โทนสีสวา่ ง ไมค่ วรใส่รองเทา้ สีดา เพราะจะทาใหด้ ูหนกั เกินไปและยงั ทาให้ ขาส้นั ลงอีกดว้ ย 14.2.4. รองเทา้ สีสวา่ งจะทาใหเ้ ทา้ ดูใหญข่ ้ึนหากเป็นรองเทา้ แบบเปิ ด ควรตดั เลบ็ ใหเ้ รียบร้อยและ ลา้ งเทา้ ใหส้ ะอาดเสียก่อน เพ่อื ไม่ใหค้ นอื่นมองเห็นรอยสกปรกตา่ ง ๆ บนเทา้ และควรเลือกใส่ รองเทา้ สีครีมหรือสีงาชา้ งจะดีกวา่ สีขาว 14.2.5. รองเทา้ ท่ีมีสีสนั สดใสหรือรองเทา้ ท่ีมีการประดบั ตา่ ง ๆ ทาใหด้ ูโดดเด่นก็จริง แตจ่ ะทาให้ เทา้ ดูใหญข่ ้ึน ควรจะเลือกแบบที่เรียบ ๆ และใส่ไดห้ ลายโอกาสจะดีกวา่ 14.2.6. รองเทา้ ผกู ขอ้ ทาใหข้ าดูส้ันลง หากอยากใส่จริง ๆ ตอ้ งเลือกแบบท่ีสายผกู ขอ้ ขนาดเลก็ 14.3. การเลือกรองเทา้ ใหเ้ ขา้ กบั รูปร่าง 14.3.1. ตวั เต้ีย ไมค่ วรใส่รองเทา้ สน้ สูงเกิน 2 นิ้ว เลือกรองเทา้ สีโทนเดียวกบั ถงุ น่องและกระโปรง หรือถุงเทา้ สีเดียวกบั กางเกงที่ใส่ จะช่วยใหด้ ูสูงเพรียว ถา้ ใส่รองเทา้ แตะตอ้ งเลือกแบบท่ีมีสน้ 14.3.2. ขอ้ เทา้ ใหญ่ น่องใหญ่ เหมาะกบั รองเทา้ ส้นสูง หวั แหลม เปิ ดดา้ นหลงั มีสายรัดบริเวณขอ้ เทา้ ความสูงอยา่ งนอ้ ยสุดคอื คร่ึงนิ้ว ไม่ควรใส่รองเทา้ ที่มีสน้ หนาแหลมเกินไปเพราะจะทาใหช้ ่วงขาดู ใหญก่ วา่ เดิม นอกจากน้ียงั ไมเ่ หมาะกบั รองเทา้ หวั เหล่ียม รองเทา้ ส้นแหลม และรองเทา้ แบบ ผกู ขอ้

27 14.3.3. เทา้ ยาว ไม่ควรสวมรองเทา้ หวั แหลม แตค่ วรเปล่ียนไปสวมรองเทา้ หวั มน หรือรองเทา้ หวั เหล่ียม สรุปสาระสาคัญ บคุ ลิกภาพเป็นส่ิงท่ีสาคญั มากและสามารถมองเห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน ไดแ้ ก่ รูปร่าง ใบหนา้ ผม ควิ้ จมูก ริมฝีปาก ฟัน ผิวพรรณ เป็นตน้ ในการพฒั นาบคุ ลิกภาพนอกจากจะดูแลส่วนตา่ ง ๆ ของ ร่างกายใหส้ ะอาด สวยงามแลว้ ควรดูแลเกี่ยวกบั การแต่งกายใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ ไมว่ า่ จะเป็น รูปแบบสีตลอดจนการใชเ้ คร่ืองประดบั การใชเ้ ครื่องสาอางเพอ่ื ปกปิ ดส่วนที่บกพร่องเพ่อื พฒั นาให้ ดีดูยง่ิ ข้ึน อนั จะส่งผลใหป้ ระสบความสาเร็จในอาชีพการงานและชีวติ ส่วนตวั

28 บทที่ 3 การพฒั นาบุคลกิ ภาพภายใน แนวคิดสาคัญ (Main Idea) การมีบคุ ลิกภาพท่ีดี มิใช่เป็นเพยี งคนที่แต่งตวั ดี กิริยาวาจาดี วางตวั เหมาะกบั กาลเทศะและ บุคคลเทา่ น้นั หากมองกนั ลงไปลึก ๆ แลว้ บคุ ลิกภาพท่ีดีของบุคคลเริ่มตน้ ข้ึนจากภายในท้งั สิ้น ภายใน กค็ อื ในใจ ในความคิด ท่ีมีต่อตนเอง และสังคม การพฒั นาบคุ ลิกภาพจากภายในจึงถือวา่ เป็นเรื่องสาคญั ไม่นอ้ ยไปกวา่ การพฒั นา บุคลิกภาพทางดา้ นอ่ืนๆ กล่าวคือ เราจะตอ้ งควบคมุ จิตใจไมใ่ หเ้ กิดอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉาริษยา หรืออารมณ์ใด ๆ กต็ ามท่ีจะส่งผลมายงั กายและวาจาได้ ซ่ึงส่ิงเหลา่ น้ีตอ้ งฝึกฝนหรือใช้ หลกั ธรรมเขา้ มาช่วย เม่ือเราสามารรถควบคุมจิตใจไดแ้ ลว้ การแสดงออกทางกาย และวาจากจ็ ะดี ตามไปดว้ ย ทาใหส้ ามารถสร้างความประทบั ใจแก่ผทู้ ่ีเราติดตอ่ ดว้ ยเป็นอยา่ งดี ความหมายของบุคลกิ ภาพภายใน บุคลิกภาพภายใน (Internal Personality) หมายถึง ส่ิงที่อยภู่ ายในใจ หรืออุปนิสัย ท่ีมองไม่ เห็น สัมผสั ไดย้ าก เป็นเรื่องท่ีตอ้ งอาศยั การสังเกตอยา่ งใกลช้ ิด ใชเ้ วลานาน และเป็นลกั ษณะเฉพาะ บคุ คล ซ่ึงมีความแตกตา่ งกนั เช่น ความคิด จิตใจ ความรู้สึก สติปัญญา ความถนดั ปฏิภาณไหวพริบ อารมณ์ขนั เป็นตน้ บางคนอาจแสดงวา่ เป็นคนที่มีจิตใจดี แต่แทท้ ่ีจริงแลว้ อาจเป็นคนใจร้าย ใจดาก็ ได้ ดงั กลา่ วที่วา่ “จิตมนุษยน์ ้ีไซร้ ยากแทห้ ยงั่ ถึง” การจะทราบถึงบคุ ลิกภาพภายในของบคุ คลที่เราไดร้ ู้จกั น้นั จะตอ้ งใชเ้ วลาในการคบหากนั พอสมควร จึงจะสามารถหยง่ั รู้ได้ บคุ ลิกภาพภายในเป็นเรื่องที่ยงุ่ ยากมาก ไมอ่ าจกาหนดเวลาไดว้ า่ ตอ้ งใชเ้ วลาเท่าใดจึงจะสามารถทราบถึงบุคลิกภาพภายในของบุคคลท่ีเราคบดว้ ยจนหมด ดงั มีโคลง บทหน่ึงไดก้ ล่าวไวว้ า่ มหาสมุทรสุดลึกลน้ คณนา สายด่ิงทิ้งทอดมา หยงั่ ได้ เขาสูงอาจวดั วา กาหนด จิตมนุษยน์ ้ีไซร้ ยากแท้ หยงั่ ถึง หมายถึง ไม่วา่ จะเป็นมหาสมทุ รท่ีมีความลึกแคไ่ หน หรือภูเขาที่มีความสูงเท่าใด เราก็ สามารถที่จะวดั จนทราบถึงความลึกหรือความสูงน้นั ได้ ผิดกบั การหยงั่ รู้ถึงจิตใจของมนุษยท์ ่ีนบั วา่ เป็นสิ่งท่ีกระทาไดย้ าก ยกตวั อยา่ งบางคนท่ีแสดงออกวา่ เป็นคนดี มีน้าใจ พูดจาไพเราะ แตแ่ ทท้ ่ีจริง แลว้ อาจเป็นคนใจร้าย มีความอิจฉาริษยา หรือบางคนมองดูหนา้ ตาไม่ยม้ิ แยม้ ดูเหมือนเป็นคนไม่มี มนุษยสัมพนั ธ์ แตแ่ ทท้ ่ีจริงแลว้ เป็นคนมีน้าใจ ยนิ ดีที่จะช่วยเหลือผทู้ ี่เดือดร้อนเสมอ เป็นตน้

29 ความสาคญั ของการพฒั นาบุคลกิ ภาพภายใน การพฒั นาบุคลิกภาพภายในมีความสาคญั ต่อการดาเนินชีวติ ของมนุษยใ์ นสงั คมปัจจุบนั เป็นอยา่ งมาก เพราะสิ่งที่อยภู่ ายในใจ มกั มีผลต่อพฤติกรรมท่ีแสดงออก ดงั น้นั ถา้ บุคคลมีการ พฒั นาบคุ ลิกภาพภายในมกั จะส่งผลใหเ้ กิดส่ิงต่อไปน้ี 1. การยอมรับความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล การพฒั นาบุคลิกภาพภายในช่วยใหเ้ ราสามารถ จดจาและเขา้ ใจบคุ คลแต่ละคนไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตลอดจนรู้วิธีที่จะปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั คนเหล่าน้นั ได้ ทา ใหเ้ กิดความสมั พนั ธอ์ นั ดีต่อกนั 2. การตระหนกั ในเอกลกั ษณ์ของบุคคล และเป็นแบบอยา่ งท่ีดีใหก้ บั บุคคล เพราะ บุคลิกภาพเป็นลกั ษณะเฉพาะของบุคคลที่ทาใหแ้ ตล่ ะคนมีความแตกตา่ งกนั และเป็นตน้ แบบ บคุ ลิกภาพท่ีดีใหค้ นรุ่นหลงั ไดศ้ ึกษาและเลียนแบบเอกลกั ษณ์ดงั กลา่ ว เช่น บุคลิกภาพของความ ซ่ือสัตย์ ประหยดั อดทน มีวินยั 3. การคาดหมายพฤติกรรม บุคลิกภาพจะช่วยใหเ้ รามีความคดิ รวบยอดเกี่ยวกบั บุคคลน้นั ๆ ทาใหเ้ ราสามารถทานายไดว้ า่ หากมีสถานการณ์บางอยา่ งเกิดข้ึน เขาน่าจะมีการตอบสนองใน ลกั ษณะใด 4. มีความมน่ั ใจ กลา่ วคือ ผทู้ ่ีมีบุคลิกภาพดีจะทาใหบ้ ุคคลน้นั เกิดความมนั่ ใจในการ แสดงออกไดม้ ากข้ึน กลา้ ที่จะแสดงออก และรู้แนวทางในการปฏิบตั ิตนใหเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์ 5. การยอมรับของกล่มุ คนที่มีบคุ ลิกภาพท่ีดีจะเป็นท่ียอมรับของคนทว่ั ไป โอกาสในการ ติดต่อสมั พนั ธก์ บั ผอู้ ื่นมีมากข้ึน ทาใหไ้ ดร้ ับความสะดวกในการกระทากิจกรรมต่าง ๆ ไดป้ ระสบ ความสาเร็จ 6. เกิดความสาเร็จในการทางานและการดาเนินชีวิต คนที่มีบคุ ลิกภาพดีจะไดเ้ ปรียบคนอื่น ๆ เสมอ เพราะการมีบคุ ลิกภาพดีจะทาใหไ้ ดร้ ับความเชื่อมน่ั ศรัทธาจากผพู้ บเห็นและคนท่ีมี ปฏิสมั พนั ธ์ดว้ ย ดงั น้นั การทางานหรือประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ยอ่ มไดร้ ับความร่วมมือจากคนส่วน ใหญ่มากกวา่ คนที่มีบคุ ลิกภาพไม่ดี และสามารถปรับตวั อยใู่ นสังคมอยา่ งมีความสุข ทฤษฎกี ารพฒั นาจติ ลกั ษณะและบคุ ลกิ ภาพของบคุ คล นกั จิตวิทยาหลายทา่ นไดม้ ีการศึกษาเก่ียวกบั บคุ ลิกภาพภายในของบคุ คล แต่ละทฤษฏีได้ ขอ้ สรุปเกี่ยวกบั องคป์ ระกอบของทฤษฏีท่ีคลา้ ยกนั วา่ องคป์ ระกอบของทฤษฎีมกั ประกอบดว้ ยส่วน สาคญั 3 ส่วน ไดแ้ ก่

30 1. โครงสร้าง (Structure) หมายถึง รูปแบบที่เก่ียวกบั ปัจจยั หรือตวั แปรที่ปรากฏใหเ้ ห็นซ่ึง เป็นสาเหตุของความสมั พนั ธ์ในลกั ษณะตา่ ง ๆ 2. กระบวนการ (Process) หมายถึง วธิ ีการท่ีก่อใหเ้ กิดความสมั พนั ธท์ ี่แตกตา่ งกนั 3. เน้ือหา (Content) หมายถึง เป็นเรื่องเก่ียวกบั รายละเอียดหรือสาระท่ีจะตอ้ งศึกษาให้ ลึกซ้ึง ท้งั จากแนวความคิด ทศั นคติ วฒั นธรรม ภาษา และส่ิงที่เก่ียวขอ้ งตา่ ง ๆ ซิกมนั ด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นกั จิตแพทย์ ชาวออสเตรีย เป็นผทู้ ี่ศึกษาเกี่ยวกบั ทฤษฎี จิตวิเคราะห์ โดยแบ่งออกเป็น 3 หลกั ใหญ่ คือ ทฤษฎีจิตวเิ คราะห์ ทฤษฎีโครงสร้าง ทางจิตหรือโครงสร้างบคุ ลิกภาพ พฒั นาการทางบุคลิกภาพของ Freud มีรายละเอียด ดงั น้ี 1. ทฤษฎจี ิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ผตู้ ้งั ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ คือ Freud มีความเช่ือเบ้ืองตน้ วา่ บุคลิกภาพหรือพฤติกรรมของ มนุษยม์ าจากพลงั 4 ชนิด คือ 1.1. พลงั สญั ชาตญาณ (Instinctual Drive) พลงั สญั ชาตญาณหรือแรงขบั สัญชาตญาณ เกิดจากการท่ี ร่างกายของมนุษยถ์ กู กระตนุ้ ใหก้ ระทากิจกรรม เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของร่างกาย เราจึงเรียก พลงั สัญชาตญาณท่ีทาหนา้ ที่ดงั กล่าววา่ เป็นพลงั สัญชาตญาณของความตอ้ งการมีชีวติ (Life Instinct) 1.2. พลงั เพศ (Libido) เป็นพลงั ขบั ทางเพศท่ีเกิดข้นึ เพ่ือรักษาเผา่ พนั ธุ์ (Species preservation) พลงั ขบั ทางเพศน้ี มิไดห้ มายถึงความตอ้ งการทางเพศเท่าน้นั แตย่ งั รวมถึงพฤติกรรมอื่น ๆ ซ่ึง บางคร้ัง ดูเหมือนวา่ จะไม่เกี่ยวขอ้ งกบั เรื่องเพศเลย เช่น การกลวั มีดบาด Freud อธิบายวา่ เป็นความ กลวั อนั เน่ืองมาจากการถูกตดั (Castration) โดยเด็กเกบ็ กด (Repress) วา่ อวยั วะเพศของตนจะ ถูกตดั ความกลวั น้ีจะสะทอ้ นออกมาในลกั ษณะการกลวั บาดเจบ็ ทางกาย เช่น กลวั มีดบาด กลวั ถูก แทง เป็นตน้ พลงั เพศเป็นพลงั ท่ีทาใหบ้ คุ คลมีความรักระหวา่ งเพอ่ื นมนุษย์ (Interpersonal Love) โดยเร่ิมจากรักพอ่ รักแม่ ต่อมาจึงรู้จกั รักผอู้ ื่น และเป็นแรงจูงใจหรือเป็นพ้ืนฐานที่จะทาให้ บุคคลเกิดความรักระหวา่ งเพศ 1.3. พลงั คมุ้ ครองตนเอง (Ego-Instincts) เป็นสญั ชาตญาณที่หลีกหนีความเจ็บปวด ความหิวกระหาย การป้องกนั ตนเองใหพ้ น้ ภยั ซ่ึงสัญชาตญาณน้ีเกิดข้ึนเพ่ือที่จะคุม้ ครองตน (Self-Preservation) 1.4. พลงั ความกา้ วร้าว (Aggression) พลงั ความกา้ วร้าวอาจถือเป็นส่วนหน่ึงของพลงั เพศ หรือเป็น ส่วนหน่ึงของการคุม้ ครองตนก็ได้ Freud กลา่ ววา่ เป็นส่วนหน่ึงของพลงั เพศกค็ อื ความ ไมล่ ง รอยกนั ของสามีภรรยาจนตอ้ งทะเลาะวิวาทถึงขนาดทาร้ายร่างกายกนั ก็ถือวา่ เป็นการแสดงออกทาง เพศอยา่ งหน่ึง ส่วนที่วา่ เป็นส่วนหน่ึงของคุม้ ครองตน ก็คืออาจมีการต่อสู้ เพื่อป้องกนั ตวั เองใหพ้ น้

31 จากภยั อนั ตราย พลงั ความกา้ วร้าวน้ีจะไม่คงอยตู่ ลอดไป แตจ่ ะเกิดข้ึนเพียงระยะหน่ึง เทา่ น้นั Freud ไดอ้ ธิบายเพม่ิ เติมวา่ ความกา้ วร้าวเป็นส่วนหน่ึงที่แยกมาจากสญั ชาตญาณของความ ตาย (Death Instinct) ซ่ึงเป็นรากฐานของความตอ้ งการทาลาย (Destructive Activities) ซ่ึงแสดงออก ได้ 2 ลกั ษณะ คอื ทาลายผอู้ ื่นและทาลายตนเอง เพ่อื จะใหเ้ ขา้ ใจถึงแนวความคิดของทฤษฎีจิต วเิ คราะห์น้ี จาเป็นจะตอ้ งเขา้ ใจทฤษฎียอ่ ย ๆ ท่ีอยใู่ นทฤษฎีของ Freud ซ่ึง Freud ไดร้ วบรวมไว้ ไดแ้ ก่ ทฤษฎีแผนภาพจิตใจ (Topographical Theory) โดย Freud กลา่ ววา่ บุคคลมีระดบั ความคดิ และ ความรู้สึกอยู่ 3 ระดบั โดยเปรียบเทียบจิตใจหรือระดบั ความรู้สึกของบุคคล วา่ เหมือนกบั ภาพ น้าแขง็ ท่ีลอยอยใู่ นน้า จะพบวา่ มีบางส่วนโผลพ่ น้ น้า บางส่วนอยเู่ สมอน้า และบางส่วนอยใู่ ตน้ ้า ดงั น้ี 1.4.1. ระดบั ที่โผลใ่ ตน้ ้า คือ ระดบั Conscious หรือ ระดบั จิตสานึก เป็นระดบั ที่คนสามารถรับรู้ได้ ดว้ ยประสาทสัมผสั ท้งั 5 เป็นส่วนท่ีรู้ตวั มีการใชส้ ติปัญญา ความรู้และประสบการณ์ในการ พิจารณาหรือทาในส่ิงที่ถกู ที่ควรหรือท่ีสงั คมยอมรับ 1.4.2. ระดบั ที่อยปู่ ริ่มน้า คือ ระดบั Preconscious (Subconscious) หรือระดบั ใกลส้ านึก เป็นระดบั ที่ ตอ้ งใชค้ วามจา และสมาธิในการ Recall ประสบการณ์ที่สะสมไวใ้ นลกั ษณะลางเลือน ซ่ึงถา้ ถูก กระตุน้ จากส่ิงเร้าท่ีเหมาะสมก็จะเขา้ มาสู่ระดบั จิตสานึก คือ รู้ไดจ้ าได้ ระดบั Preconscious จึงเป็น ระดบั ท่ีอยใู่ กลเ้ คยี งกบั Conscious มากกวา่ 1.4.3. ระดบั ที่อยใู่ ตน้ ้า คือ ระดบั Unconscious หรือระดบั จิตไร้สานึก เป็นระดบั ท่ีเกบ็ กด (Repress) ส่ิงตา่ ง ๆ ท่ีทาใหร้ ู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายใจ ใหอ้ ยใู่ นระดบั ไม่รู้ตวั แต่ส่ิงเหล่าน้ีจะหลดุ ออกมาในรูปของความฝันหรือการพูดพล้งั ปาก (Slipped Tongue) หรืออาจแฝงออกมาในรูปของ ความสามารถบางอยา่ ง เช่น บางคนสนใจในเร่ืองเพศมาก แต่เกบ็ กดความสนใจน้ีไวใ้ น ระดบั Unconscious ตอ่ มาไปเป็นจิตรกรที่วาดภาพนูด้ ไดส้ วยงาม 2. ทฤษฎีโครงสร้างทางจติ หรือโครงสร้างบคุ ลกิ ภาพ Freud ไดอ้ ธิบายโครงสร้างทางจิตหรือโครงสร้างของบุคลิกภาพวา่ ประกอบไปดว้ ยระบบ ท่ีสาคญั 3 อยา่ ง ไดแ้ ก่ 2.1. Id (อิด) เป็นส่วนหน่ึงของจิตใจท่ียงั ไม่ไดร้ ับการขดั เกลา เป็นสญั ชาตญาณหรือความตอ้ งการ ไดแ้ ก่ ความอยาก ความหิวกระหายตา่ ง ๆ Freud เรียก Id วา่ เป็นสันดานดิบของมนุษยท์ ี่จะสนอง ความตอ้ งการที่เป็นความสุขส่วนตวั ของมนุษยซ์ ่ึงอาจเป็นเร่ือง Basic Need ตา่ ง ๆ ท่ีเป็นปัญหา สาคญั ท่ีทาใหม้ นุษยม์ ีความขดั แยง้ แก่งแยง่ ชิงดีชิงเด่นกนั ทกุ วนั เน่ืองมาจากการขาดเหตผุ ล และมี จุดม่งุ หมายเพอ่ื สนองความอยากเท่าน้นั เราเรียกขบวนการทางานน้ีวา่ เป็น Primary Process Thinking เป็นการตอบสนองความตอ้ งการโดยใชห้ ลกั Pleasure Principle คือ กระบวนการทางจิตที่ ดาเนินไปโดยไมม่ ีการกลนั่ กรองหรือขดั เกลาใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกบั กาลเทศะ

32 2.2. Ego (อีโก)้ เป็นส่วนของจิตใจที่ดาเนินโดยอาศยั เหตุผล และความเป็นจริงของสังคมและ ส่ิงแวดลอ้ ม Ego เป็นตวั กลางท่ีจะตดั สินวา่ จะดาเนินตาม Id ซ่ึงเป็นสญั ชาตญาณความอยาก ความ หิวกระหาย หรือจะทาตามส่ิงท่ีเป็นคุณธรรม มโนธรรม (Superego) Ego จะทาหนา้ ท่ีเป็นตวั กลางที่ คอยประนีประนอมไม่ให้อยภู่ ายใตอ้ ิทธิพลของสิ่งหน่ึงส่ิงใดมากเกินไประหวา่ ง Id และ Ego คอื ไมผ่ ิดมากจนเกินไปหรือมีคุณธรรมสูงจนเกินไป โดยใชห้ ลกั กฎความเป็นจริงในสงั คม (Reality Principle) 2.3. Superego (ซุปเปอร์อีโก)้ เป็นส่วนที่ควบคมุ การดาเนินการของ Ego อีกช้นั หน่ึง ท่ีทาหนา้ ที่ เก่ียวกบั ความรู้สึกผิดชอบชวั่ ดี (Right or Wrong) ตามหลกั ศีลธรรม โดยยดึ หลกั Morality Principle และการอบรมเล้ียงดู Superego ประกอบไปดว้ ยส่วนสาคญั 2 ส่วน คือ 2.3.1. มโนธรรม (Conscience) คอื หิริโอตตปั ปะ คอื ความละอายและความบาป เกิดจากการอบรม สงั่ สอนใหร้ ู้จกั ละอายและเกรงกลวั บาปตามหลกั ธรรมทางศาสนา หรือเป็นผลจากการอบรม เล้ียง ดูวา่ อะไรถกู อะไรผิด ถา้ มีการทาผิดจะถูกลงโทษ จะเป็นการ form การกลวั ผิด กลวั บาป เม่ือโตข้นึ ถา้ ทาอะไรผิดจะเกิดความรู้สึกผิด คือ มี Guilty feeling ข้ึน 2.3.2. อดุ มคติแห่งตน (Ego Ideal) เป็นส่วนที่ประกอบไปดว้ ยความรู้สึกที่ดีงาม ซ่ึงเกิดจากการ อบรมส่งั สอนของพอ่ แม่ และครูอาจารย์ เช่น การสอนวา่ อะไรควรทา ถา้ ทาในสิ่งที่ดีจะไดร้ ับรางวลั หรือไดร้ ับคาชมเชย หรือไดร้ ับผลดีตอบสนอง กจ็ ะสร้างความรู้สึกท่ีดีใหก้ บั เดก็ คือ ความรู้สึก อิ่ม ใจ สุขใจ ภาคภมู ิใจ ทาใหม้ องตวั เองวา่ เป็นคนมีคุณคา่ มีแนวคดิ และอุดมคติของตนเอง Superego น้ีมีส่วนทาใหส้ งั คมเป็นสุข มนุษยจ์ ะตอ้ งมี Superego พอสมควร มิใช่วา่ มีมาก เกินไป จนทาใหบ้ ุคคลไมก่ ลา้ ทาส่ิงใด เพราะผดิ หรือบาป จะทาใหร้ ู้สึกผิดมาก บาปมาก ชีวติ จะไม่ ยดื หยนุ่ มกั เกิดความเครียดบอ่ ย ๆ ซ่ึงตรงกนั ขา้ มกบั คนที่ Weak Superego หรือ Strong Id พวกน้ี จะไมร่ ู้สึกผดิ ไมร่ ู้สึกเดือดร้อนหรือละอายต่อบาป มกั จะทาความเดือดร้อนใหก้ บั สังคมไดโ้ ดยท่ีตวั เขาไม่รู้สึกเดือดร้อน การแสดงออกทางพฤติกรรมของจิตท้งั 3 ภาค เป็นดงั น้ี 1. จิตสานึกอยภู่ ายนอกสุด ปรากฏใหเ้ ห็นง่าย โดยพยายามใหค้ นอ่ืนไดร้ ู้สึกถึงส่วนดีของ ตน 2. จิตใกลส้ านึก เกบ็ ไวล้ ึกเขา้ ไปอีกนิด พยายามซ่อนไม่ให้ใครรู้ 3. จิตไร้สานึก หรือจิตใตส้ านึก จะถกู เกบ็ ไวส้ ่วนในสุด พยายามไมแ่ สดงออกให้ใคร เห็น นอกจากวา่ เกิดขาดสติ หรือควบคมุ ตนเองไม่อยู่

33 3. พฒั นาการทางบุคลกิ ภาพของ Freud Freud กลา่ วถึง ประสบการณ์ในวยั เด็ก โดยเนน้ ความสาคญั ของความรู้สึกแต่ละวยั และการ ตอบสนองของร่างกายตามอวยั วะตา่ ง ๆ ท่ีเรียกวา่ Erogenous Zones ซ่ึง Freud แบง่ พฒั นาการทาง บคุ ลิกภาพของบุคคลออกเป็นดงั น้ี 3.1. ระยะปาก (Oral Stage) อายรุ ะหวา่ งแรกเกิด ถึง 1 ปี เป็นวยั ท่ีทารกยงั ช่วยตวั เองไมไ่ ด้ ระยะน้ี ทารกจะไดร้ ับความสุขจากกิจกรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ปาก เช่น การดูดนม ดูดหัวแม่มืด ดูดนิ้วมืด การกดั เลบ็ การอมสิ่งตา่ ง ๆ หรือการไดร้ ับการสมั ผสั บริเวณปาก Freud เชื่อวา่ การท่ีทารกไดร้ ับการ ตอบสนองทางปากดว้ ยการดูดนม นอกจากจะทาใหท้ ารกอิ่มแลว้ ยงั เกิดความสุขดว้ ย จึงอาจกลา่ วได้ วา่ ปากเป็นส่วนท่ีนาความสุขมาใหแ้ ก่ทารกมากที่สุด ดงั น้นั การใหน้ ม การสัมผสั ทางร่างกายของแม่เป็นสิ่งจาเป็นมากในการเจริญเติบโตของ เดก็ ความรัก ความอบอุน่ ความหิว ความกระหายการไดก้ อดรัดสัมผสั เป็นการตอบสนองความ ตอ้ งการ ของเดก็ จะทาใหเ้ ด็กเจริญเติบโตและพฒั นาบคุ ลิกภาพในทางท่ีดี แตใ่ นทางตรงกนั ขา้ มเด็ก ที่ขาด ความรัก ความอบอุ่น ปลอ่ ยใหห้ ิวนาน ร้องไหน้ าน จะทาใหม้ ีผลต่อพฒั นาการบคุ ลิกภาพ ของเด็กและมองโลกในแง่ร้าย ไมไ่ วว้ างใจต่อโลกและตอ่ บคุ คลแวดลอ้ ม การหยา่ นมก็เป็นสิ่งที่ทา ใหเ้ ดก็ ไม่พอใจ ดงั น้นั พ่อแม่จึงพยายามเขา้ ใจธรรมชาติของเด็กและทาดว้ ยความละมุนละมอ่ ม ไม่ รุนแรง การเล้ียงดูของมารดาที่เคร่งครัดจนเกินไป หรือบกพร่องจะส่งผลใหเ้ สียเวลาต่อมา เด็กอาจ กลายเป็นเด็กด้ือ ร้องไห้ กินยาก นอนซึม เป็นตน้ 3.2. ระยะขบั ถา่ ย (Anal Stage) อายรุ ะหวา่ ง 1-2 ปี เป็นระยะที่ความสุขของเดก็ จะอยทู่ ่ีการขบั ถา่ ย เด็กเรียนรู้เร่ืองการขบั ถา่ ย ผใู้ หญ่จึงควรฝึกหดั ใหเ้ ด็กรู้จกั การขบั ถา่ ย ฝึกใหร้ ู้จกั รักษาความสะอาด และไดร้ ู้จกั ถ่ายในท่ีอนั ควร ถา้ การขบั ถ่ายของเด็กเป็นไปดว้ ยความพอใจ โดยท่ีพ่อแม่ไมเ่ ขม้ งวด กวดขนั หรือเคร่งครัดกบั ระเบียบวนิ ยั จนเกินไป การฝึกฝนเป็นไปดว้ ยความนุ่มนวลละมุนละม่อม ไม่มีความรู้สึกขดั แยง้ กนั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งมารดากบั เด็กเป็นไปดว้ ยดีจะทาใหเ้ ด็กสบาย ผอ่ น คลาย และไม่เกิดความตึงเครียด บางกรณีการท่ีพ่อแมป่ ล่อยปละละเลยในเรื่องการขบั ถา่ ย จะทาให้ เดก็ เป็นคนไมม่ ีระเบียบและไม่ตรงต่อเวลา 3.3. ระยะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3-5 ปี ข้นั น้ีความสุขหรือความพอใจของเด็กจะอยทู่ ่ีอวยั วะ สืบพนั ธุ์ ท้งั เดก็ ผหู้ ญิงและเด็กผชู้ าย มีความสนใจอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกบั สภาพของร่างกายการเกิด ของทารก การเลน่ อวยั วะเพศ ในระยะแรก ความรู้ทางเพศมกั จะเกี่ยวกบั ตวั เอง ต่อไปจะมุ่งไป ท่ี พอ่ แม่ เพศตรงขา้ มและอาจเกิดปมออดิปสุ (Oedipus Complex) คือ เด็กจะเกิดความรู้สึกรักและ ผกู พนั กบั พอ่ หรือแมท่ ่ีเป็นเพศตรงขา้ มกบั ตน เช่น เด็กหญิงจะรักพ่อเกลียดแม่ เด็กชายจะรักแม่ เกลียดพอ่ เดก็ จะผา่ นพน้ ข้นั น้ีไปไดด้ ว้ ยการไดร้ ับความรัก ความอบอุน่ จากบิดามารดา และเรียนรู้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook