๒. เงือ่ นไขคณุ ธรรม ที่จะตอ้ งเสรมิ สร้าง ประกอบดว้ ย มีความตระหนกั ใน คณุ ธรรม มีความซื่อสัตย์สุจรติ และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนนิ ชวี ติ 1) ปฏบิ ตั งิ านทไี่ ด้รบั มอบหมายเสร็จตามกำหนด (ความรับผิดชอบ) 2) ใช้วัสดอุ ุปกรณ์อยา่ งคมุ้ ค่า ประหยัด (ความประหยดั ) 3) มคี วามเพยี รพยายามและกระตอื รือร้นในการเรยี นและการปฏบิ ัตงิ าน (ความขยัน ความอดทน) 4) ให้ความร่วมมือกบั การทำกจิ กรรมของสว่ นรวม อาสาชว่ ยเหลอื งานครูและผอู้ ่นื ( แบง่ ปนั ) กิจกรรมการเรยี นรู้ ๑. แจง้ จุดประสงค์การเรียนรู้ใหน้ ักเรยี นทราบ ๒. ข้ันนำ ครนู ำเขา้ สู่บทเรยี นดว้ ยการสนทนา การซกั ถาม ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั เน้อื หาบทเรยี น ๓. ครซู ักถามนกั เรียนเพอื่ ทบทวนเนอ้ื หา ๔. ขั้นสอน ครูอธบิ าย บรรยาย ซกั ถามตามหวั ขอ้ เร่อื งและสอดแทรกเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง อธิบายเร่อื ง ความพอประมาณ ๕. กลยทุ ธ์ในการพัฒนาผู้เรยี นครูใหน้ กั เรียนทำกจิ กรรมใบงาน ลิขิตภาษาเรียงความ เรื่อง การดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกจิ พอเพยี ง 6. ครใู ห้นกั เรยี นทำกิจกรรมที่ 4 และระดมความคิดเหน็ รว่ มกันทำแบบฝกึ หัดหน่วยที่ 4 7. นักเรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรียนดว้ ยความซื่อสัตย์ 8. ครูและนกั เรียนร่วมกันเฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นและแบบฝึกหัด 9. ขนั้ สรุป ครูและนักเรียนร่วมกนั สรปุ สาระสำคัญของเนื้อหา ส่อื การเรียนการสอน ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรยี น 2. แบบฝกึ หัดหน่วยที่ 4 3. ใบงานกิจกรรมที่ 4 4. สอ่ื การสอน power Point 4. แบบประเมนิ กิจกรรมและแบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม การวดั ผลและประเมินผล การประเมินผล (ไวเ้ ปรียบเทยี บกับคะแนนสอบหลงั เรียน) การวัดผล คะแนนเกณฑผ์ า่ น 50% ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) หนว่ ยท่ี 4 คะแนนเกณฑ์ผ่าน 50% 2. แบบทดสอบหลังเรยี น (Post-test) หน่วยท่ี 4 คะแนนเกณฑ์ผา่ น 50% 3. แบบประเมินผลใบงาน /แบบฝึกหดั คะแนนเกณฑ์ผ่าน 50% 4. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หนว่ ยท่ี 4 5. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ตามสภาพจริง งานทม่ี อบหมาย 4. งานทีม่ อบหมายนอกเหนอื เวลาเรียน ให้นกั เรียนอา่ นเน้ือหาหน่วยที่ 4 5. มอบหมายให้นักเรียนทำกจิ กรรมใบงาน ลิขิตภาษาเรยี งความเรื่อง การดำเนินชวี ิตแบบเศรษฐกจิ พอเพียง
ผลงาน/ชิน้ งาน/ความสำเรจ็ ของผเู้ รยี น ๑. ผลการนำเสนองานกิจกรรมที่ 4 ๒. ผลการทำกิจกรรม และแบบฝกึ หดั หน่วยท่ี 4 ๓. คะแนนแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) หนว่ ยท่ี 4 แหล่งเรยี นรเู้ พม่ิ เติม 1. ห้องสมดุ 2. Internet เอกสารอ้างองิ ๑. หนังสอื เรยี นวชิ าภาษาไทยพ้นื ฐาน รหสั วิชา ๒0000–๑๑o1 บรษิ ทั ศนู ยห์ นงั สอื เมอื งไทย ๒. เวบ็ ไซตแ์ ละสื่อส่งิ พมิ พ์ท่เี กย่ี วข้องกับเนื้อหาบทเรียน
ใบความรู้ เรื่อง การเขยี น การเขียนเป็นการสอื่ สารท่ีจะต้องรู้หลักเกณฑ์ วิธีการเขียน เพ่ือท่ีจะสามารถเลอื กใช้ถ้อยคำในการ ส่ือสารไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม และเป็นผมู้ ีมารยาททด่ี ีในการเขยี น ความหมายและความสำคญั ของการเขยี น การเขยี น หมายถงึ การถา่ ยทอดความรู้ ความรสู้ กึ นกึ คดิ เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ ผู้อ่ืนโดยใช้ตวั อักษรเป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดการเขียนเป็นวธิ ีการสอื่ สารท่ีสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์ เพ่อื ส่อื ไปยังผูร้ ับไดอ้ ยา่ งกวา้ งไกล นอกจากนัน้ การเขียนยงั มคี ุณคา่ ในการบนั ทกึ เปน็ ขอ้ มลู หลกั ฐานให้ศกึ ษาไดย้ าวนาน หลักการเขยี น เนื่องจากหลักการเขยี นเป็นทกั ษะทตี่ อ้ งเอาใจใส่ฝกึ ฝนอย่างจริงจงั เพ่อื ให้เกดิ ความรคู้ วามชำนาญ และป้องกันความผดิ พลาด ดังนั้น ผเู้ ขยี นจงึ จำเป็นต้องใชห้ ลกั ในการเขียน ดังต่อไปนี้ 1. มคี วามถูกตอ้ ง คือ ขอ้ มูลถูกตอ้ ง ใชภ้ าษาได้ถกู ต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ 2. มีความชัดเจน คือ ใชค้ ำท่ีมีความหมายชัดเจน รวมถงึ ประโยคและถ้อยคำสำนวน เพ่ือให้ผู้อ่านเขา้ ใจ ได้ตรงตามจุดประสงค์ 3. มีความกระชับและเรียบง่าย คอื ร้จู กั เลือกใช้ถ้อยคำธรรมดาเข้าใจงา่ ย ไม่ฟมุ่ เฟอื ย เพื่อให้ไดใ้ จความ ชดั เจน กระชับ ไม่ทำใหผ้ ู้อ่านเกดิ ความเบอ่ื หนา่ ย 4. มีความประทับใจ โดยการใช้คำให้เกิดภาพพจน์ อารมณแ์ ละความรู้สกึ ประทบั ใจ มีความหมายลึกซึ้ง กินใจ ชวนติดตามให้อา่ น 5. มีความไพเราะทางภาษา คือ ใชภ้ าษาสุภาพ มีความประณีตท้ังสำนวนภาษาและลักษณะเนื้อหา อา่ นแลว้ ไมร่ ู้สกึ ขดั เขิน 6. มีความรบั ผิดชอบ คอื ตอ้ งแสดงความคิดเห็นอย่างสมเหตุสมผล มงุ่ ใหเ้ กดิ ความร้แู ละทัศนคติอันเปน็ ประโยชน์แกผ่ ้อู ื่น นอกจากหลักการเขยี นท่ีจำเป็นต่อการเขยี นแลว้ สิ่งท่มี ีความจำเป็นอกี ประการหนง่ึ คอื กระบวกการคดิ กบั กระบวนการเขียนท่ีจะต้องดำเนนิ ควบคู่ไปกับหลักการเขียน เพอื่ ท่ีจะทำให้สามารถเขียนไดด้ ยี ่งิ ขน้ึ มารยาทในการเขยี น 1. ไม่ควรเขียนโดยปราศจากความรเู้ กย่ี วกบั เรอื่ งนนั้ ๆ เพราะอาจเกดิ ความผดิ พลาด หากจะเขยี นกค็ วร ศกึ ษาคน้ ควา้ ใหเ้ กดิ ความพร้อมเสยี ก่อน 2. ไม่เขยี นเรอ่ื งท่สี ่งผลกระทบตอ่ ความมั่นคงของชาติหรือสถาบนั เบือ้ งสงู 3. ไม่เขยี นเพอ่ื มงุ่ เนน้ ทำลายผอู้ ่ืน หรือเพ่อื สรา้ งผลประโยชน์ใหแ้ ก่ตน พวกพ้องตน 4. ไมเ่ ขียนโดยใช้อารมณ์สว่ นตัวเปน็ บรรทดั ฐาน 5. ตอ้ งบอกแหลง่ ทมี่ าของข้อมูลเดมิ เสมอ เพ่ือให้เกียรติเจ้าของข้อมูลนัน้ ๆ 6. ไม่คัดลอกบทความหรอื เนอ้ื หาตอนใดตอนหนง่ึ มาโดยเจา้ ของเรอื่ งไม่อนญุ าต
ใบงานกจิ กรรม 4.1 ลิขติ ภาษาเรยี งความ เรื่อง การดำเนินชวี ิตแบบเศรษฐกจิ พอเพยี ง คำสัง่ ให้นักเรียนเขยี นเรียงความ เรอ่ื ง การดำเนนิ ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพยี ง คนละ 1 เรื่อง ............................................................................................................................. ................... ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ............................................................................................................................. ................... .............................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ..................................................................................................................................... ........... ....................................................................................................................... ......................... ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... .............................................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ................... ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ชือ่ -สกลุ .................................................แผนก................................ชั้นปที ่ี....................ว/ด/ป...................
โครงการสอน ชอื่ วิชา ภาษาไทยพื้นฐาน รหัสวิชา 2000-1101 ชอ่ื หนว่ ย การเขยี นรายงานเชิงวชิ าการ จำนวนคาบสอน 2 คาบ : สัปดาห์ หน่วยท่ี 5 การเขยี นรายงานเชิงวชิ าการ แบบบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน : องคป์ ระกอบที่ ๑ การจดั ทำ ปา้ ยชอื่ พรรณไม้ เร่ือง การสำรวจ พรรณไม้ ในพื้นท่ีศึกษา จำนวน 6 ช่วั โมง เรื่อง การเขียนรายงานเชิงวชิ าการแบบบูรณาการงาน สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน : องค์ประกอบที่ ๑ การจดั ทำ ป้ายชื่อพรรณไม้ เร่อื ง การสำรวจ พรรณไม้ ในพ้ืนทศี่ กึ ษา 5.๑ ความหมายของรายงานเชงิ วิชาการ 5.๒ จุดประสงคข์ องรายงานเชงิ วิชาการ 5.๓ วธิ นี ำเสนอรายงาน 5.๔ ขัน้ ตอนการทำรายงานเชิงวชิ าการ 5.๕ สว่ นประกอบของรายงานเชิงวชิ าการ 5.๖ การเขยี นอา้ งอิง 5.7 ความร้คู วามเข้าใจ สืบคน้ ข้อมลู การสำรวจพรรณไม้ในพื้นที่ศกึ ษาการจำแนกชนิดของพรรณไม้ 5.8 การศึกษาประเภท ลกั ษณะวิสัย ชนิด จำนวนของพรรณไม้ จดุ ประสงค์การสอน รายการสอน ๑. บอกความหมายและจุดประสงค์ของรายงาน การเขยี นรายงานเชงิ วิชาการแบบบูรณาการงาน ๒. อธบิ ายวธิ นี ำเสนอรายงาน สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน : องค์ประกอบท่ี ๑ ๓. อธบิ ายข้นั ตอนการทำรายงาน การจัดทำ ปา้ ยชอ่ื พรรณไม้ เรือ่ ง การสำรวจ ๔. อธิบายสว่ นประกอบของรายงาน พรรณไม้ ในพืน้ ที่ศึกษา ๕. เขียนรายงานตามทไี่ ดร้ บั มอบหมาย 5.๑ ความหมายของรายงานเชงิ วชิ าการ ๖. ฝึกทกั ษะการเขยี นรายงานเชิงวิชาการ 5.๒ จุดประสงค์ของรายงานเชงิ วชิ าการ 7. อธบิ าย สืบคน้ ข้อมูล สำรวจพรรณไม้ในพนื้ ทศ่ี กึ ษา 5.๓ วธิ ีนำเสนอรายงาน 5.๔ ขัน้ ตอนการทำรายงานเชงิ วิชาการ การจำแนกชนดิ ของพรรณไม้ ได้ 8. อธิบาย ประเภท ลกั ษณะวิสยั ชนิด จำนวนของ 5.๕ ส่วนประกอบของรายงานเชงิ วชิ าการ พรรณไมไ้ ด้ 5.๖ การเขยี นอา้ งอิง 5.7 ความรู้ความเข้าใจ สบื ค้นข้อมลู การสำรวจ พรรณไมใ้ นพน้ื ทศ่ี ึกษาการจำแนกชนิดของ พรรณไม้ 5.8 การศกึ ษาประเภท ลกั ษณะวสิ ัย ชนดิ จำนวน ของพรรณไม้ วธิ ีการสอน 1. บรรยาย /ถามตอบ/ ชกั ถาม แลกเปล่ียนความคิดเห็น 2. ทำแบบฝึกหัด / ใบงาน และคอยแนะนำนกั เรยี นขณะปฏบิ ตั ิงาน สอื่ การสอน หนังสอื อ้างอิง ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรยี น 1 1.หนงั สือเรยี นวชิ าภาษาไทยพื้นฐาน รหสั วิชา 2. แบบฝึกหัดหน่วยที่ 5 20000–๑๑o1 บรษิ ัทศูนย์หนงั สือเมอื งไทย 3. ใบงานกิจกรรมท่ี 5 ๒. เว็บไซต์และส่ือสงิ่ พมิ พ์ที่เกีย่ วข้องกบั เนื้อหา 4. สอื่ การสอน power Point บทเรยี น 4. แบบประเมินกิจกรรมและแบบประเมินคณุ ธรรม ฯ
โครงการสอน ช่อื วชิ า ภาษาไทยพ้นื ฐาน รหัสวิชา 2000-1101 ชื่อหน่วย การเขยี นรายงานเชิงวิชาการ จำนวนคาบสอน 2 ชั่วโมง /สป. หน่วยที่ 5 การเขียนรายงานเชงิ วิชาการ แบบบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน : องค์ประกอบท่ี ๑ การจดั ทำ ปา้ ยช่อื พรรณไม้ เรอ่ื ง การสำรวจ พรรณไม้ ในพืน้ ท่ีศึกษา จำนวน 6 ชวั่ โมง การประเมิน คะแนนจากการทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น – หลงั เรยี น แบบประเมนิ ผลใบงาน แบบฝกึ หดั แบบประเมิน กิจกรรมและแบบประเมินพฤตกิ รรมระหว่างการเรยี น การปฏบิ ตั งิ าน และคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 5 หน่วยที่ 5 ชื่อวชิ า ภาษาไทยพ้ืนฐาน รหสั ๒๐๐0๐–๑๑๐1 สอนครงั้ ที่ 12-14 ชื่อหนว่ ย การเขยี นรายงานเชิงวชิ าการ จำนวน 6 คาบ ชอื่ เร่อื ง การเขยี นรายงานเชงิ วิชาการ แบบบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน : องคป์ ระกอบท่ี ๑ การจัดทำ ป้ายชื่อพรรณไม้ เร่ือง การสำรวจ พรรณไม้ ในพ้นื ที่ศึกษา หวั ขอ้ เรือ่ ง 5.๑ ความหมายของรายงานเชิงวิชาการ 5.๒ จดุ ประสงค์ของรายงานเชงิ วชิ าการ 5.๓ วธิ นี ำเสนอรายงาน 5.๔ ขั้นตอนการทำรายงานเชิงวิชาการ 5.๕ สว่ นประกอบของรายงานเชิงวชิ าการ 5.๖ การเขยี นอา้ งอิง 5.7 ความรูค้ วามเข้าใจ สืบค้นข้อมูล การสำรวจพรรณไม้ในพื้นท่ีศกึ ษาการจำแนกชนดิ ของพรรณไม้ 5.8 การศกึ ษาประเภท ลกั ษณะวิสัย ชนิด จำนวนของพรรณไม้ แนวคิดสำคัญ การเขียนรายงานเชิงวิชาการ เป็นการนำเสนอผลงานจากการศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกับเรื่องหนง่ึ ที่ได้รับ มอบหมายอย่างเป็นระบบ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอน และนักเรียนสามารถสร้าง องคค์ วามรทู้ ่ียั่งยนื ไดจ้ ากการคน้ คว้า การบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน งานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน ในโครงการอนรุ ักษ์พันธกุ รรมพืชอนั เนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี มีวตั ถุประสงค์ให้เยาวชนไดม้ ีโอกาสใกลช้ ิดกับพืชพรรณไม้ ไดเ้ รยี นรถู้ ึงพืชท้องถ่ินของตน ชว่ ยกันดูแลไม่ให้สูญพันธ์ุ ซงึ่ จะกอ่ ใหเ้ กิดจติ สำนึกในการทีจ่ ะอนุรักษส์ ืบไป การดำเนินงานประกอบด้วย ๕ องคป์ ระกอบ และ ๓ สาระการเรียนรู้ องค์ประกอบท่ี ๑ การจัดทำปา้ ยชอื่ พรรณไม้ โดยมหี ลักการ คอื รชู้ ่อื รู้ลักษณ์ รจู้ ัก และสาระ การเรยี นรู้ท่ีศกึ ษาดงั นี้ การกำหนดขอบเขตพน้ื ทีศ่ กึ ษา สำรวจพรรณไม้ ทำและติดปา้ ยรหัสประจำต้น บันทึกภาพพรรณไม้หรอื วาดภาพทางพฤกษศาสตร์ ตงั้ ชอ่ื หรอื สอบถามข้อมูลพรรณไม้ ทำป้ายชอื่ พรรณไม้ ชั่วคราว ทำผงั แสดงตำแหนง่ พรรณไม้ ศึกษาลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์(ก. ๗-๐๐๓) ทำตวั อย่างพรรณไม้ เปรยี บเทียบข้อมูลกับเอกสาร เรยี นรู้ชื่อท่ีเปน็ สากล ทำทะเบียนพรรณไม้ (ก. ๗-๐๐๕) ตรวจสอบความถูก ต้องของทะเบียนพรรณไม้และจัดทำปา้ ยชือ่ พรรณไมส้ มบรู ณ์ เพ่ือให้รู้จกั รู้ประโยชน์ของพรรณไม้ การกำหนดพ้ืนทีแ่ ละการสำรวจพรรณไม้ คือ การนำพน้ื ท่ที ้งั หมดของโรงเรยี นมาพจิ ารณา และ แบ่งออกเปน็ ส่วน ๆ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี น เดิน ศึกษา สงั เกต พรรณไมใ้ นพ้ืนทีท่ ี่กำหนด แลว้ บันทกึ ข้อมูล เพ่ือให้ ทราบประเภท ลกั ษณะวสิ ยั ชนิด จำนวน ของพรรณไมเ้ บื้องตน้ สมรรถนะยอ่ ย 1. แสดงความร้แู ละปฏบิ ัติเกีย่ วกบั เขียนรายงานเชิงวิชาการตามหลักการ 2. แสดงความรูเ้ กี่ยวกบั การจำแนกชนิด ประเภท ลักษณะวิสยั ชนดิ จำนวน ของพรรณไม้
จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ด้านความรแู้ ละทกั ษะ ๑. บอกความหมายและจดุ ประสงค์ของรายงาน ๒. อธิบายวธิ นี ำเสนอรายงาน ๓. อธิบายขั้นตอนการทำรายงาน ๔. อธิบายส่วนประกอบของรายงาน ๕. เขียนรายงานตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย ๖. ฝึกทกั ษะการเขียนรายงานเชงิ วิชาการ 7. อธิบาย สืบคน้ ข้อมูล สำรวจพรรณไมใ้ นพื้นท่ศี ึกษา การจำแนกชนดิ ของพรรณไม้ ได้ 8. อธบิ าย ประเภท ลกั ษณะวิสยั ชนิด จำนวนของพรรณไมไ้ ด้ เนื้อหาสาระ 5.1 ความหมายของรายงานเชงิ วชิ าการ รายงาน หมายถึง การนำเสนอผลงานจากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ ต่อครูอาจารย์ หรือผู้ที่ มอบหมาย 5.2 จดุ ประสงคข์ องรายงานเชงิ วิชาการ เพื่อพัฒนาความรู้ของผู้เรียนให้กว้างขวางและลึกซึ้ง จนเกินเป็นองค์ความรู้ที่ยั่งยืน ให้ผู้เรียนรู้จัก ทำงานอย่างเปน็ ระบบ ผลงานได้มาตรฐานน่าเช่ือถอื พัฒนาทกั ษะการอา่ นและการค้นคว้าแก่ผู้เรยี นและพัฒนา ทักษะการเขียน 5.๓ วธิ นี ำเสนอรายงาน การนำเสนอสามารถนำเสนอได้ ๒ วิธี คือ ด้วยวาจาและดว้ ยลายลกั ษณ์อกั ษร 5.๔ ข้ันตอนการทำรายงานเชงิ วิชาการ กำหนดหัวข้อเรื่องท่ีจะทำรายงาน การวางโครงเร่ืองรายงาน สำรวจแหล่งข้อมูล ศึกษาค้นคว้าและ รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และคัดเลือกข้อมูล การเขียนรายงาน และการนำเสนอข้อมูลต่อผู้เกี่ยวข้อง หรือ เผยแผต่ ่อสาธารณชน 5.๕ ส่วนประกอบของรายงานเชงิ วชิ าการ สว่ นประกอบตอนตน้ ส่วนเนือ้ เร่ือง หรือส่วนประกอบตอนกลาง และสว่ นประกอบตอนทา้ ย 5.๖ การเขยี นอา้ งอิง การอ้างอิง เป็นการระบุแหล่งท่ีมาของข้อมูลหรือข้อความในตัวเรื่องของรายงาน โดยเป็นข้อความ ท่ีคดั ลอกมาโดยตรง หรือ จากการประมวลความคดิ ประกอบด้วย 1. รูปแบบการอา้ งองิ จากหนงั สือ 1.1 ผู้แตง่ คนเดยี ว และผู้แต่งเป็นหน่วยงาน 1.2 ผู้แตง่ 2 คน 1.3 ผแู้ ต่ง 3 คน 1.4 ผแู้ ตง่ มากกว่า 3 คน ข้ึนไป 1.5 ผแู้ ตง่ หลายคน เอกสารหลายเล่ม และต้องการอา้ งอิงพร้อมๆ กัน 1.6 เอกสารไม่ปรากฏผูแ้ ต่ง 1.7 เอกสารไม่ปรากฏผ้แู ตง่ แต่มผี ทู้ ำหนา้ ท่บี รรณาธิการ หรอื ผรู้ วบรวม 1.8 หนงั สอื แปล
2. รปู แบบการอ้างองิ ทไี่ มเ่ ป็นหนังสือ เอกสารท่ีไมเ่ ป็นหนงั สอื ได้แก่ บทความ (รวมบทความ) วารสาร จุลสาร หนังสือพิมพ์ บทวิจารณ์ แผ่นพับ เอกสารอดั สำเนา ถ้ามีชื่อผู้แต่ง ให้ใชห้ ลักเกณฑ์เดียวกับการอ้างอิง หนงั สือ ถ้าไมม่ ีช่อื ผแู้ ตง่ ใหร้ ะบุช่ือบทความ หรือหัวข้อข่าว ใน เครอ่ื งหมายอัญประกาศ (“ ”) แทนในตำแหน่ง ผแู้ ตง่ การบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน : องค์ประกอบที่ ๑ องคป์ ระกอบท่ี ๑ การจดั ทำป้ายช่อื พรรณไม้ โดยมีหลักการ คือ รชู้ ื่อ รู้ลกั ษณ์ รจู้ ัก และสาระ การเรียนรู้ทีศ่ ึกษาดังน้ี การกำหนดขอบเขตพ้ืนทศ่ี กึ ษา สำรวจพรรณไม้ ทำและติดปา้ ยรหัสประจำตน้ บันทกึ ภาพพรรณไมห้ รือวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ ต้ังชอื่ หรอื สอบถามข้อมลู พรรณไม้ ทำปา้ ยชอื่ พรรณไม้ ช่ัวคราว ทำผงั แสดงตำแหนง่ พรรณไม้ ศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร(์ ก. ๗-๐๐๓) ทำตัวอยา่ งพรรณไม้ เปรยี บเทยี บขอ้ มลู กับเอกสาร เรียนรู้ชือ่ ที่เป็นสากล ทำทะเบยี นพรรณไม้ (ก. ๗-๐๐๕) ตรวจสอบความถูก ต้องของทะเบยี นพรรณไม้และจัดทำป้ายชอ่ื พรรณไม้สมบูรณ์ เพ่ือให้ร้จู กั ร้ปู ระโยชน์ของพรรณไม้ การกำหนดพ้นื ที่และการสำรวจพรรณไม้ คือ การนำพ้ืนที่ทง้ั หมดของโรงเรยี นมาพจิ ารณา และแบ่ง ออกเป็นสว่ น ๆ เพื่อใหผ้ ้เู รยี น เดนิ ศกึ ษา สงั เกต พรรณไมใ้ นพื้นทท่ี ีก่ ำหนด แล้วบันทกึ ข้อมลู เพอื่ ใหท้ ราบ ประเภท ลักษณะวสิ ัย ชนิด จำนวน ของพรรณไมเ้ บือ้ งต้น ๑. การกำหนดพื้นท่ศี กึ ษา คอื การนำพน้ื ท่ีท้งั หมดของโรงเรยี นมาพจิ ารณาและแบ่งออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้เหมาะสมกับการจดั การเรยี นรู้ของผู้เรียน ๒. การสำรวจพรรณไมใ้ นพื้นทีศ่ ึกษา คือ การเดิน ศึกษา สังเกต พรรณไม้ในพ้ืนทที่ ่ีกำหนด แลว้ บันทึกขอ้ มูล เพือ่ ให้ทราบประเภท ลักษณะวิสัย ชนดิ จำนวน ของพรรณไม้เบื้องตน้ กิจกรรมการเรียนรู้ สปั ดาหท์ ี่ 12 - 14 ๑. แจ้งจดุ ประสงค์การเรยี นรใู้ ห้นกั เรียนทราบ ๒. ขั้นนำ ครูนำเขา้ สู่บทเรยี นด้วยการสนทนา การซักถาม ทเี่ กยี่ วขอ้ งกับเนือ้ หาบทเรยี น ๓. ครูซักถามนักเรียนเพื่อทบทวนเนอ้ื หา ๔. ขัน้ สอน ครอู ธิบาย บรรยาย ซกั ถามตามหัวขอ้ เรอ่ื ง ๕. ครูใหน้ กั เรียนทำกิจกรรมท่ี 5 และระดมความคิดเหน็ รว่ มกนั ทำแบบฝึกหดั หน่วยท่ี 5 ๖. นกั เรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี นดว้ ยความซือ่ สตั ย์ ๗. ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั เฉลยแบบทดสอบหลังเรียนและแบบฝกึ หัด ๘. ข้นั สรปุ ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรุปสาระสำคัญของเน้ือหา ในการบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 9. ครูแบง่ นักเรียนออกเปน็ กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน คละกนั ตามความสามารถ และครูอธบิ ายให้นกั เรียน เขา้ ใจว่าสมาชกิ ทกุ คนในกลมุ่ จะตอ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบในงานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย สมาชกิ ทกุ คนจะตอ้ งช่วยเหลือ กัน มบี ทบาทเท่าเทยี มกนั และมีปฏิสมั พันธ์ทดี่ ีตอ่ กนั 10. ใหน้ ักเรียนแต่ละกล่มุ ออกไปสำรวจพรรณไม้ในบริเวณพื้นทศี่ ึกษาของวิทยาลยั การอาชีพ นคิ มคำสร้อย 11. กลยทุ ธ์ในการพัฒนานกั เรียนได้มอบหมายใหน้ ักเรยี นแต่ละคนเขียนช่อื พรรณไม้ในพื้นท่ศี กึ ษา ตามท่รี บั มอบหมายตามใบงาน เรือ่ ง การสำรวจช่ือตน้ ไม้แล้วสง่ ครตู รวจให้คะแนน
12. ครูมอบหมายให้ตวั แทนนักเรยี น ๒-๓ คน นำเสนอแบบสำรวจพรรณไม้ตามทไ่ี ด้รบั มอบหมาย 13. นกั เรยี นร่วมกนั แสดงความคิดเห็นในแบบสำรวจพรรณไมต้ ามท่นี ำเสนอน้นั ได้ข้อมูลครบหรอื ไม่ 14 ครูอธบิ ายเช่ือมโยงให้นกั เรียนเขา้ ใจวา่ ขอ้ มูลทีน่ ำเสนอรายชอ่ื พรรณไม้นั้นมาจากบา้ ยช่อื พรรณไม้ 15. ตัวแทนนักเรียนนำเสนอผลงานหน้าช้นั เรยี น ครูสรุปเพมิ่ เติมพรอ้ มให้คำแนะนำและกลา่ วชน่ื ชม 16. ใหน้ กั เรียนเขียนชื่อพรรณไม้ตามแบบศกึ ษาลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ (ก. ๗-๐๐๓) พร้อมกบั วาดภาพประกอบในรูปแบบสมดุ เล่มจ๋วิ คนละ ๑ เล่ม 17. นกั เรยี นและครรู ่วมกนั สรปุ ความรเู้ ก่ยี วกับเรือ่ ง พรรณไม้ท่ีพบบริเวณพื้นที่ศึกษาและทีพ่ บทว่ั ไป 18 ก่อนหมดเวลาสอดแทรกคุณธรรมและการคิดตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง สือ่ การเรยี นการสอน ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรยี น 2. แบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ 5 3. ใบงานกิจกรรมท่ี 5 4. ส่อื การสอน power Point 4. แบบประเมินกิจกรรมและแบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม 5. บา้ ยช่ือพรรณไม้ 6. พ้ืนทศี่ ึกษางานสวนพฤกษศาสตรว์ ิทยาลยั การอาชีพนคิ มคำสรอ้ ย 7. ใบงานกิจกรรมงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน การวดั ผลและประเมินผล การประเมินผล (ไวเ้ ปรียบเทยี บกบั คะแนนสอบหลงั เรียน) การวดั ผล คะแนนเกณฑ์ผ่าน 50% ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-test) หนว่ ยท่ี 5 คะแนนเกณฑ์ผา่ น 50% 2. แบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) หน่วยที่ 5 คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 3. แบบประเมนิ ผลใบงาน /แบบฝึกหดั คะแนนเกณฑ์ผ่าน 50% 4. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น หน่วยท่ี 5 5. แบบประเมนิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ตามสภาพจริง งานที่มอบหมาย 1. งานที่มอบหมายนอกเหนือเวลาเรียน ใหน้ กั เรียนอ่านเนือ้ หาหนว่ ยที่ 2. สำรวจพรรณไมใ้ นพนื้ ทีศ่ ึกษา การจำแนกชนิด ประเภท ลักษณะวสิ ยั ชนิด จำนวน ของพรรณไม้ ผลงาน/ชนิ้ งาน/ความสำเรจ็ ของผูเ้ รียน ๑. ผลการนำเสนองานกจิ กรรมท่ี 5 ๒. ผลการทำกิจกรรม และแบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ 5 ๓. คะแนนแบบทดสอบหลังเรยี น (Post-test) หนว่ ยที่ 5 แหล่งเรียนรู้เพม่ิ เติม 1. หอ้ งสมดุ 2. Internet 3. สวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี นวิทยาลยั การอาชีพนิคมคำสรอ้ ย
เอกสารอา้ งอิง ๑. หนงั สือเรียนวชิ าภาษาไทยพนื้ ฐาน รหสั วชิ า ๒00000–๑๑o1 บริษัทศูนยห์ นงั สอื เมอื งไทย ๒. เว็บไซตแ์ ละสอ่ื สงิ่ พิมพท์ ่เี กย่ี วขอ้ งกับเนอ้ื หาบทเรียน
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนนิ งาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนนิ งาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนินงาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนนิ งาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนนิ งาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง ลกั ษณะวิสยั และถ่นิ อาศยั
ใบความรู้ เร่อื ง ลกั ษณะวสิ ยั และถ่นิ อาศยั
ใบความรู้ เร่อื ง ลกั ษณะวสิ ยั และถ่นิ อาศยั
ใบงานกจิ กรรมที่ 5.1 เร่อื ง การสำรวจช่ือพรรณไม้ในพื้นท่ศี กึ ษา
ใบงานกิจกรรมที่ 5.2 เร่อื ง การสำรวจช่อื พรรณไมใ้ นพืน้ ทศี่ กึ ษา คำช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นนำช่อื ต้นไม้ที่สำรวจไดจ้ ากใบงานกิจกรรมที่ 2.๑ มาบนั ทกึ ลงในแบบศึกษาลักษณะทาง พฤกษศาสตร์ (ก. ๗-๐๐๓) สมดุ เล่มจ๋วิ อย่างสวยงาม
โครงการสอน ช่อื วิชา ภาษาไทยพน้ื ฐาน รหัสวิชา 20000-1101 ชือ่ หนว่ ย การเขยี นโครงการ จำนวน 2 คาบ : สปั ดาห์ หน่วยท่ี 6 การเขยี นโครงการ แบบบูรณาการโครงงานเป็นฐาน Project-based Learning จำนวน 6 ช่วั โมง เรอื่ ง การเขียนโครงการ แบบบรู ณาการโครงงานเป็นฐาน Project-based Learning 6.1 ความหมายของโครงการ 6.2 จุดประสงค์ของโครงการ 6.3 ประเภทของโครงการ 6.4 ขอ้ ควรคำนึงถงึ ในการ เขยี นโครงการ 6.5 ส่วนประกอบของโครงการ 6.6 การเสนอโครงงานภาษาไทยเร่ือง“การเปรียบเทียบภาษา ท้องถ่นิ กับภาษากลาง ”แบบบรู ณาการโครงงาน เปน็ ฐาน Project-based Learning จุดประสงค์การสอน รายการสอน ๑. บอกความหมายและจุดประสงคข์ องโครงการ การเขียนรายงานเชงิ วชิ าการแบบบรู ณาการ ๒. อธิบายขอ้ ควรคำนึงถึงในการเขียนโครงการ โครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning ๓. เขียนโครงการไดถ้ กู ต้องตามหลักเกณฑ์ ๑๐.๑ ความหมายของโครงการ ๔. ฝึกทักษะการเขียนโครงการ ๑๐.๒ จดุ ประสงคข์ องโครงการ ๕. เขยี นโครงงาน ภาษาไทยเร่ือง“การเปรียบเทียบภาษา ๑๐.๓ ประเภทของโครงการ ท้องถ่ินกบั ภาษากลาง ”แบบบรู ณาการโครงงานเป็นฐาน ๑๐.๔ ขอ้ ควรคำนงึ ถึงในการ เขียนโครงการ Project-based Learning ๑๐.๕ สว่ นประกอบของโครงการ 10.6 เสนอโครงงาน ภาษาไทยเร่อื ง “การเปรียบเทยี บภาษาท้องถน่ิ กบั ภาษากลาง ” แบบบรู ณาการโครงงานเป็นฐาน Project-based Learning วธิ กี ารสอน 1. บรรยาย /ถามตอบ/ ชกั ถาม แลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ 2. ทำแบบฝกึ หดั / ใบงาน และคอยแนะนำนักเรยี นขณะปฏิบตั งิ าน ส่อื การสอน หนงั สอื อา้ งอิง ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลงั เรียน 1.หนังสือเรยี นวชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน รหัสวิชา 2. แบบฝึกหัดหนว่ ยที่ 6 20000–๑๑o1 บรษิ ัทศูนยห์ นงั สอื เมอื งไทย 3. ใบงานกิจกรรมที่ 6 ๒.เว็บไซตแ์ ละสือ่ สิง่ พิมพ์ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั เน้ือหา 4. สือ่ การสอน power Point บทเรียน 4. แบบประเมนิ กิจกรรมและแบบประเมินคณุ ธรรมฯ การประเมิน คะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรยี น แบบประเมนิ ผลใบงาน แบบฝกึ หัด แบบประเมนิ กจิ กรรมและแบบประเมินพฤตกิ รรมระหว่างการเรียน การปฏิบัตงิ าน และคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี น
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6 หนว่ ยท่ี 6 ชื่อวิชา ภาษาไทยพน้ื ฐาน รหสั ๒๐0๐๐–๑๑๐1 สอนครง้ั ที่ 15-17 ชอ่ื หนว่ ย การเขียนโครงการ จำนวน 6 คาบ ชื่อเร่อื ง การเขียนโครงการ แบบบรู ณาการโครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning หัวขอ้ เร่ือง 6.1 ความหมายของโครงการ 6.2 จดุ ประสงค์ของโครงการ 6.3 ประเภทของโครงการ 6.4 ข้อควรคำนึงถึงในการ เขยี นโครงการ 6.5 สว่ นประกอบของโครงการ 6.6 การเสนอโครงงานภาษาไทยเร่อื ง“การเปรียบเทยี บภาษาทอ้ งถนิ่ กับภาษากลาง ”แบบบูรณาการ โครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning แนวคดิ สำคัญ โครงการ เป็นแผนการจดั กิจกรรมหรอื เค้าโครงท่ีกำหนดไว้ว่าจะจัดกิจกรรมในอนาคต โดยอาศัยข้อมูล ตา่ ง ๆ ประกอบการจัดทำโครงการ และจะต้องมีการวางแผนโดยการเรียบเรียงรายละเอียด ขั้นตอนอย่างเป็น ระบบด้วยความรอบคอบ เพอ่ื ให้โครงการนั้นบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเกดิ ประโยชน์ การเรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน การเรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning ) หมายถึง การเรียนรทู้ ี่จดั ประสบการณ์ ในการปฏิบัติงานให้แกผ่ ้เู รียนเหมือนกบั การทำงานในชีวติ จริงอยา่ งมีระบบเพอื่ เปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นไดม้ ี ประสบการณ์ตรง ไดเ้ รยี นรู้วธิ ีการแก้ปญั หา วิธกี ารหาความรคู้ วามจริงอย่างมีเหตุผล ได้ทำการทดลองได้ พสิ จู น์สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง รจู้ ักการวางแผนการทำงาน ฝกึ การเปน็ ผู้นำ ผู้ตาม ตลอดจนได้พฒั นา กระบวนการคดิ โดยเฉพาะการคิดข้นั สูง และการประเมินตนเอง โดยมคี รเู ปน็ ผู้กระตุ้นเพ่อื นำความสนใจทเี่ กิด จากตวั ผ้เู รียนมาใชใ้ นการทำกิจกรรมคน้ คว้าหาความรู้ดว้ ยตวั เอง นำไปสกู่ ารเพ่ิมความร้ทู ไ่ี ด้จากการลงมอื ปฏิบัติ การฟัง และการสงั เกตจากผู้รู้ โดยผู้เรยี นมกี ารเรยี นรูผ้ ่านกระบวนการทำงานเปน็ กลมุ่ ทจี่ ะนำมาสู่ การสรปุ ความรู้ใหม่ มีการเขยี นกระบวนการจัดทำโครงงานและไดผ้ ลการจดั กจิ กรรมเป็นผลงานแบบรปู ธรรม สมรรถนะยอ่ ย ๑. แสดงความรู้เกีย่ วกับการเขยี นโครงการ ๒. เขยี นโครงการตามหลกั การ 3. นำเสนอโครงงานภาษาไทยเร่อื ง“การเปรยี บเทยี บภาษาท้องถ่ินกับภาษากลาง”แบบบรู ณาการ โครงงานเป็นฐาน Project-based Learning
จุดประสงคก์ ารปฏบิ ตั ิ ดา้ นความรู้และทกั ษะ ๑. บอกความหมายและจุดประสงค์ของโครงการ ๒. อธิบายขอ้ ควรคำนึงถึงในการเขยี นโครงการ ๓. เขยี นโครงการได้ถกู ต้องตามหลกั เกณฑ์ ๔. ฝกึ ทักษะการเขยี นโครงการ ๕. เขยี นโครงงาน ภาษาไทยเรอื่ ง“การเปรยี บเทยี บภาษาท้องถิน่ กบั ภาษากลาง ”แบบบูรณาการ โครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning เน้อื หาสาระ 6.1 ความหมายของการเขยี นโครงการ การเขียนโครงการ หมายถึง การกำหนดแผนงานหรือเค้าโครงในการปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ ทางด้านการเรียนรู้ของนักเรียนหรือประโยชน์ทางด้านวิชาการ โดยมีหลักการ เหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ข้นั ตอนดำเนนิ งาน ระยะเวลาดำเนนิ งาน มีการวางแผนการใชง้ บประมาณและคำนงึ ถึงผลประโยชนท์ จ่ี ะได้รับ 6.2 ความสำคัญของแผนปฏิบตั งิ านตามโครงการ ช้ีให้เห็นปัญหาและภูมิหลังของการทำงาน เข้าใจและรับรู้ปัญหาร่วมกัน เป็นการทำงานตาม นโยบายที่เห็นไดช้ ัดเจน มีการวางแผนและปฏบิ ัติงานตามแผนอยา่ งมีประสิทธภิ าพ และช่วยให้บุคคลได้แสดง ความรูค้ วามสามารถ ฯลฯ 6.3 ประเภทและส่วนประกอบของโครงการ 6.๓.๑ ประเภทของโครงการ ๑. โครงการทีก่ ำหนดตามระยะเวลา ๒. โครงการทเี่ สนอโดยลักษณะของผู้ดำเนนิ การ 6.๓.๒ ส่วนประกอบของโครงการ ประกอบด้วยชื่อโครงการ ชื่อผู้เสนอโครงการ/ผู้รับผิดชอบ โครงการ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย สถานท่ีดำเนินโครงการ ระยะเวลา วิธีดำเนินโครงการ งบประมาณ ผลทีค่ าดว่าจะได้รับและการประเมินผล 6.4 การใช้ภาษาในการเขยี นโครงการ (1) เขยี นใหถ้ ูกต้องตามหลกั ภาษาไทย ตัวสะกด ตัวการนั ต์ พยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ต์ (2) เขียนให้ถูกตอ้ งตามความหมายของคำ (3) ใชค้ ำใหต้ รงความหมายทีต่ อ้ งการ (4) ใชภ้ าษาให้กระชับ รัดกุม (5) ใชภ้ าษาใหถ้ ูกต้องชัดเจน ไม่ใชภ้ าษากำกวม คลมุ เครอื (6) ใช้ภาษาใหเ้ หมาะสมกบั เนอื้ หาสาระ (7) ใช้ภาษาใหส้ ภุ าพ ใช้ภาษาเขยี นทีเ่ ปน็ แบบแผน 6.๕ รูปแบบของการเขยี นโครงการ
การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน เน้นการเรียนรูท้ ่ใี หผ้ ู้เรียนได้รับประสบการณ์ชวี ิตขณะท่เี รยี น ได้พัฒนาทกั ษะตา่ งๆ ซ่ึงสอดคล้อง กบั หลักพัฒนาการตามลำดับขัน้ ความรู้ความคดิ ของบลูม ทง้ั 6 ขัน้ คือ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การ ประยกุ ตใ์ ช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมนิ คา่ และการคดิ สร้างสรรค์ การจัดการเรยี นรู้โดยใช้ โครงงานเป็นฐาน ถือไดว้ ่าเปน็ การจัดการเรยี นรู้ท่เี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ เนื่องจากผู้เรียนไดล้ งมอื ปฏบิ ัติเพื่อฝกึ ทักษะตา่ งๆดว้ ยตนเองทุกขน้ั ตอน โดยมีครูเป็นผใู้ ห้การส่งเสรมิ สนบั สนนุ ลกั ษณะสำคัญของจัดการเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน 1.ยึดหลกั การจัดการเรยี นรทู้ ี่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญ ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำงานตามระดับทักษะ ท่ีตนเองมีอยู่ 2. เปน็ รูปแบบหนึ่งของการจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ ีเ่ นน้ บทบาทและการมีสว่ นรว่ มของผู้เรียน (Active Learning) 3. เป็นเรื่องทีผ่ เู้ รยี นสนใจและรูส้ ึกสบายใจท่ีจะทำ 4. ผู้เรยี นได้รับสทิ ธใิ นการเลือกว่าจะตัง้ คำถามอะไร และตอ้ งการผลผลติ อะไรจากการทำโครงงาน 5. ครทู ำหนา้ ทเี่ ป็นผู้สนับสนุนอปุ กรณ์และจัดประสบการณใ์ ห้แก่ผเู้ รยี น สนับสนนุ การแกไ้ ขปญั หา และสร้างแรงจูงใจใหแ้ กผ่ ู้เรียน 6. ผู้เรียนกำหนดการเรยี นรขู้ องตนเอง 7. เชือ่ มโยงกบั ชีวิตจรงิ สิง่ แวดลอ้ มจริง 8. มฐี านจากการวจิ ยั ศกึ ษา คน้ ควา้ หรอื องคค์ วามรู้ท่เี คยมี 9. ใช้แหลง่ ข้อมูล หลายแหล่ง 10. ฝงั ตรึงดว้ ยความรู้และทกั ษะตา่ งๆ 11. สามารถใชเ้ วลามากพอเพยี งในการสร้างผลงาน 12. มผี ลผลิต ประเภทของโครงงาน โครงงานท่เี กี่ยวขอ้ งกับการจดั การเรยี นรู้ของผู้เรียน อาจจำแนกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทหลักๆ คือ โครงงานทแี่ บง่ ตามระดับการให้คำปรกึ ษาของครู และโครงงานท่ีแบง่ ตามลักษณะกจิ กรรมดังน้ี 1. โครงงานทีแ่ บ่งตามระดบั การให้คำปรกึ ษาของครหู รือ ระดับการมบี ทบาทของผูเ้ รียน 1) โครงงานประเภทครนู ำทาง (Guided Project) 2) โครงงานประเภทครูลดการนำทาง - เพ่ิมบทบาทผู้เรยี น (Less – guided Project) 3) โครงงานประเภทผู้เรียนนำเอง ครูไมต่ อ้ งนำทาง (Unguided Project) 2. โครงงานทีแ่ บง่ ตามลักษณะกิจกรรม 1) โครงงานเชิงสำรวจ (Survey Project) 2) โครงงานเชงิ การทดลอง (Experiential Project) 3) โครงงานเชงิ พฒั นา สร้างสิ่งประดิษฐ์ แบบจำลอง (Development Project) 4) โครงงานเชงิ แนวคดิ ทฤษฎี (Theoretical Project) 5) โครงงานด้านบริการสังคมและส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม (Community Service and Social Justice Project) 6) โครงงานด้านศิลปะและการแสดง (Art and Performance Project) 7) โครงงานเชิงบูรณาการการเรยี นรู้
กิจกรรมการเรยี นรู้ ๑. แจง้ จุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ ๒. ขน้ั นำ ครนู ำเข้าสู่บทเรียนดว้ ยการสนทนา การซกั ถาม ท่เี ก่ียวข้องกับเน้อื หาบทเรียน ๓. ครซู ักถามนกั เรยี นเพ่ือทบทวนเนอื้ หา ๔. ขั้นสอน ครอู ธบิ าย บรรยาย ซกั ถามตามหวั ข้อเร่อื ง ๕. ครูใหน้ กั เรียนทำกิจกรรมที่ 6 และระดมความคิดเห็นร่วมกันทำแบบฝกึ หัดหนว่ ยท่ี 6 ๖. นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลังเรียนดว้ ยความซ่ือสตั ย์ ๗. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั เฉลยแบบทดสอบหลังเรียนและแบบฝกึ หัด ๘. ขน้ั สรปุ ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั สรุปสาระสำคัญของเนอื้ หา 9. กลยทุ ธใ์ นการพฒั นานักเรยี มอบหมายใหน้ ักเรยี นแบ่งกลมุ่ และ 3 คน ในการฝึกทักษะการ เขียนรายงานการปฏบิ ตั งิ านโดยมีการเสนอโครงงานภาษาไทยเร่ือง“การเปรียบเทยี บภาษาทอ้ งถ่ินกบั ภาษากลาง”แบบบรู ณาการโครงงานเป็นฐาน Project-based Learning นำสง่ ในสปั ดาหถ์ ดั ไป ส่ือการเรยี นการสอน ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลงั เรียน 2. แบบฝกึ หัดหน่วยท่ี 6 3. ใบงานกิจกรรมที่ 6 4. ส่อื การสอน power Point 4. แบบประเมนิ กจิ กรรมและแบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม การวัดผลและประเมินผล การวดั ผล การประเมนิ ผล ๑. แบบทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) หน่วยที่ 6 (ไวเ้ ปรียบเทียบกับคะแนนสอบหลังเรยี น) 2. แบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) หนว่ ยท่ี 6 คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 3. แบบประเมนิ ผลใบงาน /แบบฝกึ หดั / รายงาน คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หน่วยที่ 6 คะแนนเกณฑ์ผา่ น 50% 5. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ตามสภาพจริง คะแนนเกณฑ์ผ่าน 50% งานที่มอบหมาย มอบหมายใหน้ ักเรียนไปจัดทำรายงานการนำเสนอโครงงาน ภาษาไทยเรอ่ื ง “การเปรยี บเทยี บภาษา ท้องถ่นิ กับภาษากลาง ” ผลงาน/ช้ินงาน/ความสำเรจ็ ของผูเ้ รยี น ๑. ผลการนำเสนองานกจิ กรรมที่ 6 ๒. ผลการทำกจิ กรรม และแบบฝึกหดั หน่วยท่ี 6 ๓. คะแนนแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) หน่วยที่ 6 4. คะแนนรายงานการนำเสนอโครงงาน ภาษาไทยเร่ือง “การเปรียบเทียบภาษาทอ้ งถิน่ กับ ภาษากลาง ”
แหล่งเรียนรเู้ พิ่มเติม 1. หอ้ งสมดุ 2. Internet เอกสารอา้ งอิง ๑. หนังสือเรียนวชิ าภาษาไทยพืน้ ฐาน รหัสวิชา ๒0000–๑๑o1 บริษทั ศนู ยห์ นงั สอื เมืองไทย ๒. เว็บไซต์และส่ือสิ่งพมิ พ์ที่เกยี่ วข้องกับเน้อื หาบทเรยี น
ตัวช้ีวดั ท่ี 1.2.1. ข้อ 3 1.2.1 การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ ข้อ 3 ประเมินผลการใชห้ นว่ ยการเรียนรู้ หรือเนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ และนำผลประเมนิ มาปรับปรุงพฒั นาใหม้ ีคณุ ภาพสูงขน้ึ แผนกสามญั สมั พนั ธ์ วิทยาลยั การอาชีพนิคมคาสรอ้ ย
แบบประเมินดชั นีความสอดคล้อง ( IOC) ของเนอื้ หาหน่วยการเรยี นรู้ รหสั วิชา 20000-1001 วิชา ภาษาไทยพ้ืนฐาน แบบประเมินผลชดุ นี้ เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ ท่ีมีตอ่ แบบประเมนิ เน้ือหาหนว่ ยการเรียนรู้ รหัสวชิ า 20000-1101 วชิ า ภาษาไทยพ้ืนฐาน คำชแ้ี จง แบบประเมนิ ชดุ นีแ้ บ่งออกเป็น 2 ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู เกี่ยวกบั สภาพของผ้ตู อบแบบประเมนิ ตอนท่ี 2 ความคดิ เห็นของผู้เชี่ยวชาญทมี่ ตี ่อข้อคำถามเนอ้ื หาหน่วยการเรียนรู้ ตอนที่ 1 ขอ้ มูลเกีย่ วกบั สภาพของผ้ตู อบแบบประเมนิ คำช้ีแจง โปรดทำเครื่องหมาย / ลงในวงเล็บหน้าข้อความทีต่ รงกับความจรงิ 1. ระดับการศกึ ษา ( ) ปริญญาตรี หรือเทียบเท่า ( ) ปริญญาโท หรอื เทียบเท่า ( ) ปรญิ ญาเอก หรอื เทียบเทา่ ( ) อนื่ ๆ โปรดระบ.ุ ...................................... 2. ตำแหนง่ /หน้าทก่ี ารงาน ( ) คร-ู อาจารย์ ( ) ผบู้ รหิ าร ( ) นักวิจัย ( ) อ่นื ๆ โปรดระบ.ุ ...................... 3. ประสบการณใ์ นการทำงาน ( ) 5 -10 ปี ( ) มากกวา่ 10 ปี แตไ่ มเ่ กิน 15 ปี ( ) มากกว่า 15 ปี ตอนท่ี 2 ความคิดเหน็ ของผู้เชี่ยวชาญทีม่ ีต่อขอ้ คำถามเนื้อหาหนว่ ยการเรยี นรู้ คำชี้แจง โปรดพจิ ารณาประเมนิ คณุ ภาพด้านข้อคำถามเนื้อหาหน่วยการเรียนรรู้ หสั วิชา 20000-1102 วชิ า ภาษาไทยเพื่ออาชีพ โดยพิจารณาขอ้ ความในแต่ละขอ้ แลว้ ทำเครื่องหมาย / ลงในชอ่ งท่ีตรงกับความคิดเหน็ ของท่าน โดยระดับความคิดเห็นมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดังน้ี ระดบั ความคิดเหน็ ระดับคะแนน +1 หมายถึง ดีมาก ระดับคะแนน 0 หมายถึง ดี ระดบั คะแนน +1 หมายถึง ปรับปรุง ขอ้ คำถามความคิดเหน็ ความคดิ เห็นของผู้เชย่ี วชาญ ข้อเสนแนะ +1 0 -1 1.เน้ือหาสอดคล้องหรอื ตรงตามหลักสูตร 2.เนื้อหาตรงตามวตั ถุประสงคข์ องเรือ่ ง 3.เนอ้ื หาครอบคลมุ วัตถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 4.การเรยี งลำดบั เนอื้ หาเหมาะสม 5.เน้ือหามีความยากงา่ ยมีความเหมาะสมกบั ระดบั ผเู้ รยี น 6.เนอ้ื หามีความถูกตอ้ ง 7.การจัดรปู แบบเนอ้ื หามคี วามเหมาะสม 8.มกี ารเช่อื มโยงเนื้อหาอนื่ เพ่ือให้ผเู้ รียนมีโอกาสค้นคว้าเพม่ิ เติม 9.ภาพประกอบมคี วามสมั พนั ธก์ บั เน้อื หา ข้อเสนอแนะ ..................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .............................................ผปู้ ระเมนิ (นางสมถวลิ ประทมุ มาตร.) ตำแหน่ง ครชู ำนาญการ ทำหนา้ ท่ี หัวหน้าฝา่ ยวชิ าการ วันท่ปี ระเมิน............/................./2563
ประเมนิ ผลการใช้หน่วยการเรียนรู้ หรอื เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ โดยประเมนิ จากผล การทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หลงั เรียน ของผูเ้ รยี นหรอื ผ้รู ับบรกิ าร แบบทดสอบกอ่ นเรยี น / หลงั เรยี น หนว่ ยที่ 1 ความรู้ทว่ั ไปเก่ียวกบั การใช้ภาษาไทยเพ่ือการสอ่ื สาร -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสงั่ จงทำเคร่อื งหมายกากบาท (X) หน้าข้อที่ถูกต้องทีส่ ุด ๑. ข้อใดอ่านออกเสียงถูกต้อง ก. กลวิธี อ่านวา่ กน–ว–ิ ที ข. เสวก อ่านวา่ เส–วะ–กะ ค. เจรจา อา่ นว่า เจ–ระ–จา ง. อุปกรณ์ อา่ นว่า อุ–ปะ–กอน ๒. ข้อใดอ่านออกเสียงผิด ก. อปุ โลกน์ อา่ นวา่ อุป–ปะ–โลก ข. สมรรถภาพ อ่านวา่ สะ–มัด–ถะ–พาบ ค. โลกทศั น์ อา่ นวา่ โลก–กะ–ทัด ง. รัฐสภา อา่ นวา่ รดั –ถะ–สะ–พา ๓. ขอ้ ใดอ่านออกเสียงได้มากกว่า ๑ อยา่ ง ก. คุณภาพ ข. คณุ วเิ ศษ ค. คุณโทษ ง. คณุ คา่ ๔. ข้อใดเขยี นถูกตอ้ งทกุ คำ ก. นริ มิต เดยี รดาษ เอก็ ซเรย์ เซ็นช่อื ข. ไอศกรีม เชิต๊ ค. หมายเหตุ โน้ต ปิกนิก ง. โบว์ โชว์ ๕. ขอ้ ใดเขียนถกู ตอ้ งทุกคำ ก. ขมุกขะมอม กระเพรา ข. ขบฎ กระทัดรดั ค. กะทนั หนั ขโมย ง. เกษยี ณอายุ ขะมกั เขม้น ๖. ขอ้ ใดเขยี นผดิ ทกุ คำ ก. ประสีประสา กระตือรือรน้ ข. ชะอ่มุ ชะโลม ค. โลกาภวิ ัตน์ ทลู เกลา้ ฯ ง. ซาบซงึ้ ซาบซา่ น ๗. ข้อใดเปน็ คำที่มคี วามหมายตรงกันขา้ ม ก. จุติ – มรณะ ข. สจุ รติ – ทุจรติ ค. เศรษฐี – เศรษฐกจิ ง. รโหฐาน – มโหฬาร ๘. ขอ้ ใดใช้สำนวนผดิ ก. เหตุการณม์ ันพาไป ทำใหเ้ ขาตอ้ งตกกระไดพลอยโจนไปด้วย ข. จัดงานแบบน้ี เหมือนตำนำ้ พริกละลายแมน่ ำ้ ได้ไมค่ ุ้มเสยี เลย ค. อยา่ ทำเป็นเตย้ี อุม้ คอ่ ม เอาตัวเองใหร้ อดก่อนเถอะ ง. จะพดู อะไรคดิ เสียก่อน อยา่ ทำตัวเป็นกระตา่ ยตืน่ ตูม ๙. ขอ้ ใดไมไ่ ด้สอ่ื ความหมายนยั ประหวดั ก. ทา่ ทางของเขาเหมอื นราชสหี ์ ข. ยงั ไม่ทันนกกระจอกกินน้ำ เขาก็แพ้เสยี แล้ว ค. เดก็ เหมือนผ้าสขี าว ง. เขาเป็นมอื ขวาของหวั หนา้ ๑๐. ขอ้ ใดใชภ้ าษาก่งึ แบบแผน ก. ผ้ปู กครองมาหาอาจารย์ ข. คุณคงไม่สมหวงั อีกเชน่ เคย ค. คุณแมร่ ับประทานอาหารหรือยังคะ ง. ฉันขอเชิญเธอไปงานวนั เกิดทีบ่ ้าน ๑๑. ข้อใดใชค้ ำผดิ ระดบั ก. คุณกนิ ขา้ ว ข. คณุ รับขา้ ว ค. คุณทานข้าว ง. คุณหมำ่ ข้าว
๑๒. ข้อใดใช้คำผิด ก. ขอใหพ้ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงหายจากอาการประชวร ข. หลวงพ่อคณู อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาล ค. ช่วงเข้าพรรษาพระตอ้ งจำวดั อยทู่ ่ีวดั ใดวัดหนึ่ง ง. เด็กวดั ฉนั อาหารพรอ้ มหลวงพ่อ ๑๓. ข้อใดหมายถงึ พระอาทติ ย์ ก. เอราวัณ ข. อาภากร ค. อาชาไนย ง. อศั วะ ๑๔. ข้อใดมีความหมายเชิงอปุ มา ก. ฉนั ชอบปดิ ทองหลงั พระ ข. ฉนั เป็นลูกเปด็ ข้เี หรแ่ ห่งวงการมายา ค. ฉนั เป็นไอดอลของแฟนคลบั ง. ฉนั ไม่ได้เปน็ กกิ๊ กับเขานะ ๑๕. ข้อใดเปน็ ประโยคที่กะทัดรัด ก. วันนขี้ ายขนมหมดไม่เหลอื สกั หอ่ ข. พรุ่งนี้จะทำการสอบปลายภาค ค. ร้านน้ีทำอาหารอรอ่ ยมาก ๆ ง. น้องของฉนั เรยี นเกง่ เล่นกีฬาเกง่ พดู กเ็ กง่
เฉลยแบบประเมนิ ผลการใชห้ นว่ ยการเรยี นรู้ หรือเนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ โดยประเมนิ จากผลการทำ แบบทดสอบกอ่ นเรียน หลังเรยี น ของผเู้ รียนหรอื ผูร้ บั บริการ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น/หลงั เรียน หนว่ ยที่ 1 ความรู้ทัว่ ไปเก่ยี วกบั การใช้ภาษาไทยเพ่ือการส่อื สาร ความรู้ทว่ั ไปเก่ียวกับการใชภ้ าษาไทยเพื่อการสอ่ื สาร -------------------------------------------------------------------------------------------- คำส่ัง จงทำเคร่อื งหมายกากบาท (X) หน้าข้อทถี่ ูกต้องที่สุด ๑. ขอ้ ใดอา่ นออกเสียงถูกต้อง ข. เสวก อ่านวา่ เส–วะ–กะ ๒. ขอ้ ใดอา่ นออกเสียงผดิ ก. อุปโลกน์ อา่ นวา่ อุป–ปะ–โลก ๓. ขอ้ ใดอา่ นออกเสียงไดม้ ากกว่า ๑ อย่าง ง.คุณคา่ ๔. ขอ้ ใดเขยี นถกู ต้องทุกคำ ค. หมายเหตุ โนต้ ปิกนิก ๕. ข้อใดเขียนถกู ต้องทกุ คำ ง. เกษียณอายุ ขะมกั เขมน้ ๖. ขอ้ ใดเขียนผดิ ทุกคำ ข. ชะอุ่ม ชะโลม ๗. ข้อใดเปน็ คำทีม่ คี วามหมายตรงกนั ข้าม ข. สุจริต – ทจุ ริต ๘. ข้อใดใช้สำนวนผดิ ง. จะพูดอะไรคดิ เสียก่อน อยา่ ทำตวั เป็นกระตา่ ยตน่ื ตมู ๙. ขอ้ ใดไมไ่ ด้ส่ือความหมายนัยประหวดั ง. เขาเป็นมือขวาของหวั หน้า ๑๐. ข้อใดใช้ภาษากึง่ แบบแผน ก. ผปู้ กครองมาหาอาจารย์ ๑๑. ข้อใดใชค้ ำผิดระดับ ง. คุณหมำ่ ข้าว ๑๒. ข้อใดใช้คำผิด ง. เดก็ วัดฉนั อาหารพร้อมหลวงพ่อ ๑๓. ขอ้ ใดหมายถึงพระอาทติ ย์ ข. อาภากร ๑๔. ขอ้ ใดมคี วามหมายเชิงอปุ มา ข. ฉนั เปน็ ลกู เป็ดขีเ้ หร่แหง่ วงการมายา ๑๕. ข้อใดเป็นประโยคที่กะทดั รดั ค. รา้ นนีท้ ำอาหารอร่อยมาก ๆ
ประเมนิ ผลการใชห้ น่วยการเรยี นรู้ หรอื เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ โดยประเมินจากผลการทำ แบบทดสอบก่อนเรยี น หลงั เรียน ของผู้เรียนหรอื ผ้รู ับบริการ แบบทดสอบก่อนเรียน / หลงั เรยี น หน่วยท่ี 2 การอ่าน การฟงั การดู สารจากส่อื ส่ิวพิมพ์ และสื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสง่ั จงทำเครอื่ งหมายกากบาท (X) หนา้ ขอ้ ทถ่ี ูกตอ้ งทส่ี ดุ ๑. การประชาสัมพันธ์ข่าวสารเรอ่ื งการระบาดของไข้เลอื ดออก จัดเปน็ สารประเภทใด ก. สารใหค้ วามรู้ ข. สารโนม้ นา้ วใจ ค. สารใหค้ วามบันเทิง ง. สารใหค้ วามจรรโลงใจ ๒. ขอ้ ใดเป็นกระบวนการสุดท้ายของการฟังและการดู ก. ยอมรบั ข. ตีความ ค. เขา้ ใจ ง. นำไปใช้ ๓. ข้อใดเป็นมารยาททคี่ วรแสดงออกในการฟังและการดูเมือ่ มคี วามพงึ พอใจ ก. หวั เราะและโห่รอ้ งอยา่ งสะใจ ข. เป่าปากและตะโกนเชยี รเ์ สียงดัง ค. หัวเราะและปรบมอื ทกุ คร้งั ทีถ่ กู ใจ ง. โหร่ ้องและกระทืบเท้าดว้ ยความมัน ๔. ข้อใดเปน็ หลกั การฟงั และการดูท่ดี ี ก. ฟงั เพราะผู้ส่งสารมีบุคลิกดี ข. ฟงั เพราะผู้สง่ สารเปน็ ผ้มู ชี ่ือเสยี ง นา่ เชือ่ ถือ ค. ฟงั เพราะผู้สง่ สารมคี วามสนทิ สนมเปน็ การสว่ นตวั ง. ฟังเพราะผสู้ ง่ สารสง่ สารไดต้ รงความสนใจของตน ๕. ถ้าฟงั แล้วบอกสาระสำคญั ของเร่ืองได้ แสดงวา่ มคี วามสามารถในการฟงั ระดับใด ก. ขน้ั ได้ยนิ ข. ขั้นเขา้ ใจ ค. ขัน้ ตีความ ง. ขัน้ ยอมรับ ๖. “เครอ่ื งทองจากกรพุ ระปรางค์วัดราชบูรณะและวัดมหาธาตุ เป็นหลกั ฐานท่สี ะท้อนให้เหน็ ถงึ ความเจรญิ มั่งค่งั ของกรงุ ศรีอยธุ ยาและความเปน็ เลิศในด้านฝีมือการช่าง” ข้อความข้างต้นจัดเป็นสารประเภทใด ก. สารใหค้ วามรู้ ข. สารโนม้ น้าวใจ ค. สารให้ความบนั เทิง ง. สารใหค้ วามจรรโลงใจ ๗. สาระสำคญั ของขอ้ ความในข้อ ๖ คอื ข้อใด ก. เครื่องทองแสดงถงึ ฐานะทีด่ ีของวดั สมยั อยุธยา ข. เครอื่ งทองจากกรุวัดราชบรู ณะและวดั มหาธาตุ แสดงถงึ ตามมั่งค่งั ของกรงุ ศรีอยธุ ยา ค. เครือ่ งทองจากกรวุ ัดราชบูรณะและวดั มหาธาตุ แสดงถึงความสามารถของช่างสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ง. ถูกท้งั ขอ้ ข และข้อ ค
๘. “งวิ้ นรกสิบหกองคุลแี หลม ดงั ขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว ใครทำชูค้ ทู่ ่านคร้ันบรรลัย ก็ตอ้ งไปปนี ต้นนา่ ขนพอง” บทกลอนข้างตน้ จดั เป็นสารชนดิ ใด ก. สารใหค้ วามรู้ ข. สารโน้มนา้ วใจ ค. สารใหค้ วามบันเทิง ง. สารให้ความจรรโลงใจ ๙. รายการโทรทัศน์เกี่ยวกบั สารคดชี ีวิตของผู้ตกทุกข์ได้ยาก เชน่ ชีวติ ของคนชราที่ลูกหลานท้งิ ใหอ้ ย่คู นเดยี ว แล้วเชิญชวนใหผ้ ู้ชมส่งเงนิ บริจาคเพื่อช่วยเหลือ จัดเป็นสารประเภทใด ก. สารให้ความรู้ ข. สารโน้มน้าวใจ ค. สารใหค้ วามบนั เทงิ ง. สารใหค้ วามจรรโลงใจ ๑๐. จากโจทย์ข้อ ๙ ผู้ท่สี ง่ เงินไปบริจาค แสดงวา่ ผู้ดูรายการผ่านกระบวนการรับสารขั้นใด ก. ขัน้ ยอมรับ ข. ขั้นตคี วาม ค. ขน้ั เขา้ ใจ ง. ขัน้ นำไปใช้ ๑๑. “เขาจะพดู เร่อื งอะไร ๆ ฉันกไ็ ม่อยากฟัง” คำกลา่ วนแ้ี สดงลักษณะใดของผพู้ ูด ก. ขาดความพรอ้ ม ข. มคี วามรอบรู้ ค. ขาดสมาธใิ นการฟงั ง. มีอคตติ อ่ ผู้สง่ สาร ๑๒. ข้อใดแสดงถงึ การฟงั เพอื่ หาเหตุผล ก. ฟงั หไู ว้หู ข. ฟังความขา้ งเดียว ค. กำแพงมีหู ประตมู ีชอ่ ง ง. ฟังไม่ไดศ้ ัพท์ จับไปกระเดียด ๑๓. ขอ้ ใดเปน็ จุดมงุ่ หมายของการฟังที่ตอบสนองชีวติ ประจำวันมากที่สุด ก. รบั รูเ้ ร่อื งราว ขา่ วสาร ข. สนุกสนาน เพลดิ เพลิน ค. พฒั นาตนเองก้าวไกล ง. ซาบซ้ึง ศรทั ธา จิตใจดีงาม ๑๔. หลกั การฟังและการดูทด่ี ีประการแรกคือข้อใด ก. มสี มาธใิ นการฟัง ข. มมี ารยาทในการฟัง ค. กำหนดจุดมุ่งหมายในการฟัง ง. ฟังอย่างเขา้ ใจ ๑๕. ข้อใดเป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านจติ ใจก่อนการฟังและการดู ก. สวดมนตก์ ่อนเรียน ข. จดจอ่ กบั เรื่องที่ฟัง ค. ทำสมาธิขณะทฟี่ ัง ง. ตัดความกงั วลเร่อื งอน่ื ออกไป
เฉลยแบบประเมินผลการใชห้ น่วยการเรยี นรู้ หรอื เนอื้ หาสาระการเรยี นรู้ โดยประเมนิ จากผลการทำ แบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรยี น ของผู้เรยี นหรอื ผรู้ ับบริการ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น / หลงั เรยี น หน่วยที่ 2 การอา่ น การฟงั การดู สารจากส่อื ส่ิวพิมพ์ และสื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสง่ั จงทำเครือ่ งหมายกากบาท (X) หน้าข้อท่ถี กู ตอ้ งทสี่ ุด ๑. การประชาสมั พันธข์ ่าวสารเร่ืองการระบาดของไขเ้ ลือดออก จดั เปน็ สารประเภทใด ก. สารให้ความรู้ ๒. ข้อใดเป็นกระบวนการสดุ ทา้ ยของการฟังและการดู ง. นำไปใช้ ๓. ข้อใดเป็นมารยาทท่คี วรแสดงออกในการฟังและการดูเมอ่ื มีความพึงพอใจ ค. หัวเราะและปรบมอื ทกุ ครงั้ ทถ่ี ูกใจ ๔. ขอ้ ใดเป็นหลักการฟงั และการดทู ่ดี ี ง. ฟังเพราะผู้ส่งสารส่งสารไดต้ รงความสนใจของตน ๕. ถ้าฟงั แล้วบอกสาระสำคญั ของเร่อื งได้ แสดงว่ามีความสามารถในการฟงั ระดบั ใด ข. ขั้นเขา้ ใจ ๖. “เคร่ืองทองจากกรพุ ระปรางคว์ ดั ราชบรู ณะและวัดมหาธาตุ เป็นหลกั ฐานท่ีสะท้อนให้เหน็ ถึงความเจรญิ มง่ั คั่งของกรงุ ศรีอยุธยาและความเป็นเลิศในดา้ นฝีมือการช่าง” ข้อความขา้ งตน้ จดั เป็นสารประเภทใด ก. สารให้ความรู้ ๗. สาระสำคัญของข้อความในขอ้ ๖ คอื ขอ้ ใด ง. ถูกท้ังขอ้ ข และขอ้ ค ๘. “ง้วิ นรกสบิ หกองคุลแี หลม ดังขวากแซมเสีย้ มแซกแตกไสว ใครทำชคู้ ทู่ ่านครัน้ บรรลยั กต็ ้องไปปนี ต้นนา่ ขนพอง” บทกลอนขา้ งต้นจดั เป็นสารชนิดใด ง. สารใหค้ วามจรรโลงใจ ๙. รายการโทรทศั น์เกีย่ วกับสารคดชี ีวติ ของผตู้ กทุกข์ได้ยาก เช่น ชวี ติ ของคนชราที่ลกู หลานทง้ิ ให้อย่คู นเดียว แล้วเชิญชวนใหผ้ ู้ชมส่งเงนิ บริจาคเพ่ือชว่ ยเหลือ จัดเปน็ สารประเภทใด ข. สารโน้มน้าวใจ ๑๐. จากโจทย์ขอ้ ๙ ผู้ทสี่ ่งเงนิ ไปบรจิ าค แสดงวา่ ผู้ดูรายการผ่านกระบวนการรับสารข้นั ใด ง. ข้นั นำไปใช้ ๑๑. “เขาจะพูดเรอ่ื งอะไร ๆ ฉันกไ็ มอ่ ยากฟัง” คำกลา่ วนีแ้ สดงลกั ษณะใดของผูพ้ ูด ง. มีอคติต่อผสู้ ง่ สาร ๑๒. ขอ้ ใดแสดงถึงการฟังเพือ่ หาเหตผุ ล ก. ฟงั หูไว้หู ๑๓. ขอ้ ใดเป็นจดุ มุง่ หมายของการฟงั ที่ตอบสนองชีวติ ประจำวันมากที่สดุ ก. รับรู้เรอื่ งราว ขา่ วสาร ๑๔. หลกั การฟงั และการดูที่ดีประการแรกคอื ข้อใด ค. กำหนดจุดมงุ่ หมายในการฟงั ๑๕. ข้อใดเปน็ การเตรยี มความพรอ้ มทางด้านจิตใจกอ่ นการฟงั และการดู ง. ตดั ความกังวลเรอ่ื งอ่ืนออกไป
ประเมนิ ผลการใช้หนว่ ยการเรียนรู้ หรอื เนอื้ หาสาระการเรียนรู้ โดยประเมินจากผลการทำ แบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียน ของผูเ้ รยี นหรอื ผรู้ ับบริการ แบบทดสอบก่อนเรยี น / หลังเรยี น หนว่ ยที่ 3 การพูดส่ือสารในชวี ติ ประจำวนั การส่อื สารในสังคม และในงานอาชีพ -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสงั่ จงทำเครอ่ื งหมายกากบาท (X) หน้าขอ้ ทถ่ี ูกต้องท่ีสดุ ๑. ขอ้ ใดเปน็ ปัจจยั สำคญั ในการพูดอย่างมีประสทิ ธภิ าพ ก. มีการวเิ คราะห์ผ้ฟู งั ข. มีบคุ ลกิ ดีน่าเช่อื ถอื ค. มคี วามรู้ในเรื่องทจี่ ะพดู ง. มวี ตั ถปุ ระสงค์ชดั เจน ๒. ขอ้ ใดควรปฏิบัตเิ ป็นสิง่ แรกในการทักทายปราศรยั ก. หน้าตาย้ิมแยม้ แจ่มใส ข. กล่าวคำสวสั ดี พร้อมยกมือไหว้ ค. กลา่ วคำสวสั ดี ง. ยกมอื ไหว้ ๓. ข้อใดเหมาะสมทส่ี ุดในการแนะนำตนเองในทส่ี าธารณะ ก. ผม บญุ มี ประธานนักเรยี นวิทยาลยั เทคนิคพิจติ ร ข. ผม บุญมี ประเสริฐศรี ชอื่ เลน่ หนมุ่ เรยี นอยู่ชนั้ ปวช.๓ แผนกช่างไฟฟ้า วิทยาลัยเทคนคิ พิจิตร ค. ผม บุญมี ประเสริฐศรี ง. ผม บญุ มี ประเสริฐศรี นกั เรียนวิทยาลยั เทคนคิ พิจิตร ๔. ขอ้ ใดไม่ควรใช้เป็นหวั ข้อในการสนทนา ก. ข่าวอาชญากรรม ข. การตายของเพื่อนสนิท ค. เหตกุ ารณ์ทัว่ ไป ง. การจดั งานวันเดก็ ๕. การพูดขอ้ ใดต้องมีการเตรยี มตัวล่วงหนา้ ก. การแนะนำผูพ้ ูด ข. การทักทายปราศรัย ค. การสนทนา ง. การแนะนำตวั ๖. มารยาทข้อใดอาจไมจ่ ำเปน็ ต้องระวังในการสนทนาระหวา่ งบคุ คล ก. หน้าตายิ้มแยม้ แจม่ ใส ข. เคารพในความคดิ เหน็ ของผู้อ่นื ค. แตง่ กายให้สภุ าพเรยี บร้อย ง. ควบคุมอารมณ์ขณะพูด ๗. ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้องตามหลกั การแนะนำบุคคล ก. เอย่ ช่ือผู้ใหญใ่ หผ้ นู้ อ้ ยรจู้ กั กอ่ น ข. เอย่ ชือ่ ใครกอ่ นก็ได้ถา้ มีฐานะเทา่ กัน ค. เอ่ยชอื่ ผหู้ ญงิ ให้ผชู้ ายรู้จกั กอ่ น ง. เอย่ ชือ่ ผู้ชายใหผ้ ้หู ญิงรู้จกั ก่อน
๘. ขอ้ ใดกลา่ วแนะนำผ้พู ูดได้อย่างเหมาะสม ก. กลา่ วถงึ หน้าท่ีการงานในปจั จบุ นั ข. กล่าวถึงอำนาจวาสนาทีน่ ่าทึ่ง ค. กล่าวถึงประวัติสว่ นตวั อย่างละเอยี ด ง. กลา่ วยกย่องความสามารถเปน็ พเิ ศษ ๙. ขอ้ ใดไมต่ อ้ งกล่าวในการแนะนำบคุ คล ก. สถานภาพ ข. ตำแหนง่ หนา้ ที่ ค. นามสกลุ ง. อาชพี ๑๐. ขอ้ ใดไมใ่ ชห่ ลกั การตอบรับและปฏิเสธ ก. เคารพในความร้สู ึกของผตู้ อบและผู้ฟงั ข. ระยะเวลาท่ีใช้พิจารณาหาคำตอบ ค. ตำแหน่งหน้าทแี่ ละสถานภาพทางสงั คมของผูฟ้ งั ง. แสดงความรูส้ กึ ขณะตอบอยา่ งสุภาพ ๑๑. ข้อใดเป็นการปฏิเสธไม่ซอ้ื สนิ ค้าทเ่ี หมาะสมทสี่ ุด ก. สนิ คา้ ของคุณดีเกนิ ไป ฉนั ไม่มีปัญญาซ้อื หรอก ข. สนิ คา้ น้นี ่าสนใจแตข่ อลดสกั 70%ไดไ้ หม ค. สนิ คา้ ย่หี อ้ น้ีฉนั ไมใ่ ช้หรอกคะ่ ง. สนิ ค้าราคาถูก คณุ ภาพกค็ งพอกับราคา ๑๒. ถ้าเพ่ือนชวนโดดเรียน เพ่อื ไปดูภาพยนตร์ ควรตอบปฏิเสธอย่างไร ก. ไมไ่ ปหรอก พอ่ แม่สง่ มาเรียนไมใ่ ช่ให้มาโดดเรียน ข. เราไปกบั เธอไมไ่ ดห้ รอก อย่าชวนเราอกี นะเราไม่ชอบโดดเรียน ค. เธอทำการบา้ นให้ฉนั ก่อนซิ ถ้าเสร็จแลว้ จะไปดู ง. อยากดเู หมือนกนั แตข่ อไปวนั เสาร์ดีกว่า ๑๓. ถ้าเพอื่ นชวนสูบบหุ ร่ี ควรตอบปฏเิ สธอย่างไร ก. ไม่ เราไม่สบู ยังเปน็ เพื่อนกนั อยูห่ รือเปล่า รูว้ ่าบหุ รไ่ี มด่ ยี งั จะมาชวนอีก ข. ขอโทษนะ อยากตายอย่างทรมานกเ็ ชญิ นายสบู ไปคนเดียวเถอะเราไม่ ค. ขอบคณุ ท่ีชวน แต่เราไม่สูบ ง. ขอบคณุ ไว้วันหลงั นะ วันน้ยี งั ไมพ่ ร้อม ๑๔. สงิ่ แรกทค่ี วรทำในการพดู กจิ ธุระคอื อะไร ก. นดั หมาย วัน เวลา สถานท่ีพดู ข. แจ้งใหผ้ ทู้ จ่ี ะพูดกิจธุระด้วยรับทราบ ค. เตรยี มข้อมูลท่ีจะพูดใหพ้ ร้อม ง. แนะนำตัวเองกอ่ นพูดกจิ ธรุ ะ ๑๕. ข้อใดไมค่ วรปฏบิ ตั ใิ นการพดู กจิ ธรุ ะ ก. แต่งตัวให้ทันสมยั ดูดี ข. มาถงึ สถานท่ีนัดหมายช้าไปนิดหน่อย ค. พดู ธรุ ะแบบตรงไปตรงมา ง. แสดงความเคารพนอบนอ้ ม เพ่ือผลสำเรจ็ ของธุระท่ีต้องการ
เฉลยแบบประเมินผลการใช้หน่วยการเรยี นรู้ หรอื เนอ้ื หาสาระการเรียนรู้ โดยประเมินจากผลการทำ แบบทดสอบกอ่ นเรียน หลงั เรยี น ของผ้เู รยี นหรอื ผู้รับบริการ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน / หลงั เรียน หนว่ ยท่ี 3 การพูดส่ือสารในชีวติ ประจำวนั การส่ือสารในสังคม และในงานอาชพี -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสงั่ จงทำเครอื่ งหมายกากบาท (X) หนา้ ขอ้ ท่ถี ูกต้องท่สี ดุ ๑. ข้อใดเป็นปัจจัยสำคัญในการพูดอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ค. มคี วามร้ใู นเรอ่ื งทจี่ ะพดู ๒. ขอ้ ใดควรปฏบิ ัติเป็นสงิ่ แรกในการทักทายปราศรยั ก. หนา้ ตายิม้ แย้มแจม่ ใส ๓. ขอ้ ใดเหมาะสมท่ีสุดในการแนะนำตนเองในทีส่ าธารณะ ง. ผม บุญมี ประเสริฐศรี นกั เรยี นวิทยาลยั เทคนคิ พิจิตร ๔. ข้อใดไม่ควรใชเ้ ปน็ หัวขอ้ ในการสนทนา ข. การตายของเพอ่ื นสนทิ ๕. การพูดขอ้ ใดตอ้ งมกี ารเตรยี มตัวลว่ งหนา้ ก. การแนะนำผพู้ ูด ๖. มารยาทข้อใดอาจไม่จำเป็นตอ้ งระวังในการสนทนาระหวา่ งบุคคล ค. แตง่ กายให้สุภาพเรียบรอ้ ย ๗. ขอ้ ใดกลา่ วถูกตอ้ งตามหลักการแนะนำบุคคล ง. เอ่ยช่ือผชู้ ายใหผ้ ู้หญิงรู้จักก่อน ๘. ข้อใดกลา่ วแนะนำผู้พูดได้อย่างเหมาะสม ก. กล่าวถงึ หน้าทก่ี ารงานในปจั จุบัน ๙. ขอ้ ใดไม่ต้องกล่าวในการแนะนำบุคคล ก. สถานภาพ ๑๐. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หลักการตอบรับและปฏิเสธ ค. ตำแหนง่ หนา้ ท่ีและสถานภาพทางสังคมของผู้ฟงั ๑๑. ข้อใดเป็นการปฏเิ สธไม่ซื้อสนิ ค้าทีเ่ หมาะสมท่สี ดุ ข. สนิ ค้านี้นา่ สนใจแตข่ อลดสกั 70%ไดไ้ หม ๑๒. ถา้ เพอื่ นชวนโดดเรยี น เพือ่ ไปดูภาพยนตร์ ควรตอบปฏิเสธอย่างไร ง. อยากดเู หมอื นกนั แตข่ อไปวันเสารด์ กี ว่า ๑๓. ถ้าเพ่ือนชวนสบู บหุ รี่ ควรตอบปฏิเสธอยา่ งไร ค. ขอบคณุ ทช่ี วน แตเ่ ราไมส่ ูบ ๑๔. ส่งิ แรกท่ีควรทำในการพูดกิจธรุ ะคืออะไร ก. นัดหมาย วัน เวลา สถานท่ีพูด ๑๕. ข้อใดไม่ควรปฏิบัติในการพูดกจิ ธรุ ะ ข. มาถึงสถานท่ีนัดหมายชา้ ไปนิดหนอ่ ย
ประเมินผลการใชห้ นว่ ยการเรยี นรู้ หรือเนื้อหาสาระการเรียนรู้ โดยประเมินจากผลการทำ แบบทดสอบกอ่ นเรียน หลังเรยี น ของผ้เู รียนหรอื ผรู้ ับบริการ แบบทดสอบกอ่ นเรียน / หลังเรยี น หน่วยท่ี 3 การพดู ส่อื สารในชวี ติ ประจำวัน การสอื่ สารในสังคม และในงานอาชีพ -------------------------------------------------------------------------------------------- คำส่งั จงทำเครอ่ื งหมายกากบาท (X) หน้าขอ้ ทถี่ ูกตอ้ งที่สุด ๑. ข้อใดไมใ่ ช่หลกั ทวั่ ไปของการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ ก. ใช้เสยี งใหม้ ีประสิทธภิ าพ ข. ใช้เวลาใหน้ านกว่ากำหนดเลก็ น้อย ค. คำนงึ ถึงโอกาสที่พูด ง. เตรียมเนื้อหาทีพ่ ดู ๒. ขอ้ ใดควรกลา่ วเปน็ อันดับแรกของการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ ก. กลา่ วถงึ ความรู้สกึ ท่ไี ด้รบั เกยี รตใิ ห้เป็นผพู้ ูด ข. กลา่ วถึงความดี ความสามารถของเจ้าของงาน ค. กลา่ วถงึ ความสำคัญของงาน ง. กล่าวถงึ ความสัมพันธ์ระหวา่ งผพู้ ดู กบั เจา้ ของงาน ๓. สถานการณ์ใดไม่ตอ้ งกล่าวอวยพร ก. ไว้อาลัยคนตาย ข. กล่าวแนะนำผพู้ ดู ค. ตอ้ นรับผมู้ าเยอื น ง. ไว้อาลยั คนเป็น ๔. ข้อใดไมค่ วรกลา่ วไวอ้ าลยั เพ่ือนทยี่ า้ ยไปทำงานท่อี ืน่ ก. กล่าวถึงความสัมพนั ธท์ ่มี ีไมตรีจติ ต่อกัน ข. กลา่ วถงึ หลกั การทำงานทีด่ เี พอื่ เปน็ แนวทางในการปฏิบัติงาน ค. กล่าวถงึ ความดีที่เพ่อื นได้กระทำขณะทำงานร่วมกัน ง. กล่าวอวยพรใหม้ ีความสขุ สู่สคุ ติ ๕. ขอ้ ใดกลา่ วแนะนำผู้พดู ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ก. กล่าวถึงหน้าท่กี ารงานในปจั จบุ นั ข. กล่าวถงึ อำนาจวาสนาทนี่ ่าทึง่ ค. กลา่ วถงึ ประวัตสิ ่วนตวั อยา่ งละเอียด ง. กล่าวยกย่องความสามารถเป็นพเิ ศษ ๖. การกล่าวตอบรบั พรข้อใดไมเ่ หมาะสม ก. ขอบคณุ สำหรบั ไมตรีจติ ทไ่ี ด้รบั จากทุกทา่ น ข. ขอบคณุ และขออภัยหากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใด ค. ขอบคณุ ทุกทา่ นท่ใี ห้เกียรตมิ ารว่ มงาน ง. ขอบคุณทุกทา่ นทีน่ ำของขวัญราคาแพงมามอบให้ ๗. การพูดข้อใดควรมกี ารเตรยี มต้นฉบบั ไวล้ ว่ งหนา้ ก. ไวอ้ าลัยผ้เู สยี ชวี ติ ข. ไวอ้ าลัยผมู้ ชี วี ิตอยู่ ค. อวยพรวนั เกิด ง. อวยพรวันสมรส ๘. การกล่าวอวยพรงานมงคลสมรสขอ้ ใดเหมาะสมที่สดุ ก. ขอให้ทั้งคู่มคี วามรกั มคี วามจริงใจ และซอ่ื สัตย์ต่อกนั ตลอดไปอย่าไดเ้ สอื่ มคลาย ข. ขอให้มีลูกเตม็ บ้านหลานเตม็ เมอื ง มลี กู หวั ปีท้ายปีเพอ่ื สรา้ งพลเมอื งดใี ห้กบั สังคม ค. ขอแสดงความยนิ ดีดว้ ยนะทไี่ ดแ้ ต่งงานเสียที รักกันมานานแล้ว ง. ขอแสดงความยนิ ดกี ับเจ้าสาวทีไ่ ด้เจ้าบา่ วรวยมากระดบั เศรษฐีพันล้าน ๙. “ขออาราธนาส่ิงศักดิ์สิทธ์ิในสากลโลก จงอำนวยพรให้มีความสุขความเจริญ อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของ ลูกหลาน อายยุ ืนยาวตลอดไป” ขอ้ ความนค้ี วรใชอ้ วยพรในโอกาสใด ก. อวยพรวันปีใหม่ ข. อวยพรวันข้ึนบ้านใหม่ ค. อวยพรวนั เกิด ง. อวยพรวนั มงคลสมรส
๑๐. ข้อใดไมต่ อ้ งมกี ารกล่าวตอบ ก. แนะนำบุคคล ข. อวยพรวันเกดิ ค. ตอ้ นรบั ง. ไว้อาลัย ๑๑. ขอ้ ใดไมต่ ้องมีการกลา่ วอวยพร ก. แนะนำผูพ้ ูด ข. งานแตง่ งาน ค. ตอ้ นรับ ง. ไวอ้ าลัย ๑๒. ข้อใดไม่ถูกตอ้ ง ก. การพดู แสดงความรู้สกึ ในโอกาสตา่ ง ๆ ต้องเลือกสรรถอ้ ยคำ ภาษาที่ไพเราะสละสลวย ข. การพูดแสดงความรู้สกึ ในโอกาสต่าง ๆ ผูพ้ ดู จะพูดในนามของเจ้าภาพ ค. การพดู แสดงความรู้สึกในโอกาสตา่ ง ๆ ตอ้ งเร่มิ ดว้ ยการทกั ทายผ้ฟู ัง ง. การพูดแสดงความรสู้ กึ ในโอกาสตา่ ง ๆ ไม่ควรใชเ้ วลานาน ๑๓. ขอ้ ใดไมต่ อ้ งกล่าวในการอวยพรวนั เกดิ ผอู้ าวุโส ก. ขอใหส้ ขุ ภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ข. ขอใหม้ คี วามเจรญิ ในหนา้ ทก่ี ารงาน ค. ขอให้สงิ่ ศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ง. ขอให้อายุยนื ยาว ๑๔. การพูดแสดงความรสู้ กึ ในโอกาสตา่ ง ๆ ไม่ควรพูดยาวเพราะอะไร ก. กำหนดการของแต่ละงานมหี ลายรายการ ข. ผ้พู ูดจะได้ไม่ตอ้ งเสยี เวลาในการเตรียมเร่ืองทจี่ ะพูด ค. พดู ยาว คนในงานอาจไมฟ่ ัง ง. เปดิ โอกาสใหแ้ ขกในงานไดพ้ ูดหลายคน ๑๕. ข้อใดไมต่ อ้ งกลา่ วในการตอบรบั งานมงคลสมรส ก. นอ้ มรับข้อแนะนำของผู้มเี กยี รตเิ พ่ือนำไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ ข. นอ้ มรับข้อผดิ พลาดที่อาจเกดิ ขึ้นในการจดั งาน ค. แสดงความตง้ั ใจจรงิ ในการสรา้ งครอบครัวใหเ้ ป็นปึกแผ่น ง. ขอบคุณแขกทกุ คนทเ่ี สยี สละเวลาอนั มคี ่ามาร่วมงาน ๑๖. ข้อใดควรกลา่ วเปน็ อันดับแรกในการกลา่ วต้อนรับผูม้ าเยือน ก. ประโยชนท์ ผ่ี มู้ าเยอื นจะได้รบั ข. ขอบคุณที่ให้เกียรตมิ าเยี่ยมเยอื น ค. แสดงความยนิ ดีทีม่ โี อกาสไดต้ อ้ นรบั ง. กลา่ วถึงความสัมพนั ธอ์ ันดีทมี่ ตี อ่ กนั
เฉลยแบบประเมนิ ผลการใชห้ นว่ ยการเรียนรู้ หรือเนอ้ื หาสาระการเรียนรู้ โดยประเมินจากผลการทำ แบบทดสอบกอ่ นเรียน หลังเรยี น ของผู้เรยี นหรอื ผรู้ บั บรกิ าร เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น / หลงั เรียน หน่วยที่ 3 การพดู สอื่ สารในชวี ิตประจำวัน การสื่อสารในสังคม และในงานอาชพี -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสง่ั จงทำเครอ่ื งหมายกากบาท (X) หน้าขอ้ ทีถ่ ูกตอ้ งท่สี ดุ ๑. ข้อใดไมใ่ ช่หลกั ทวั่ ไปของการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ ข. ใชเ้ วลาให้นานกวา่ กำหนดเล็กนอ้ ย ๒. ข้อใดควรกล่าวเปน็ อนั ดับแรกของการพูดในโอกาสต่าง ๆ ก. กลา่ วถงึ ความรูส้ กึ ทไี่ ด้รับเกยี รตใิ หเ้ ปน็ ผพู้ ดู ๓. สถานการณใ์ ดไม่ต้องกลา่ วอวยพร ข. กล่าวแนะนำผูพ้ ูด ๔. ข้อใดไมค่ วรกลา่ วไวอ้ าลัยเพ่อื นทย่ี ้ายไปทำงานที่อืน่ ง. กล่าวอวยพรใหม้ ีความสุขสูส่ คุ ติ ๕. ข้อใดกล่าวแนะนำผพู้ ูดไดอ้ ย่างเหมาะสม ก. กล่าวถงึ หนา้ ทก่ี ารงานในปัจจบุ นั ๖. การกล่าวตอบรบั พรขอ้ ใดไมเ่ หมาะสม ง. ขอบคุณทกุ ทา่ นทนี่ ำของขวญั ราคาแพงมามอบให้ ๗. การพูดข้อใดควรมกี ารเตรยี มตน้ ฉบบั ไว้ลว่ งหน้า ก. ไวอ้ าลยั ผเู้ สียชวี ิต ๘. การกล่าวอวยพรงานมงคลสมรสขอ้ ใดเหมาะสมทสี่ ดุ ก. ขอให้ทั้งคู่มีความรัก มีความจริงใจ และซ่ือสัตยต์ ่อกันตลอดไปอยา่ ได้เสือ่ มคลาย ๙. “ขออาราธนาส่ิงศักดิ์สิทธ์ิในสากลโลก จงอำนวยพรให้มีความสุขความเจริญ อยู่เป็นร่มโพธ์ิร่มไทรของ ลกู หลาน อายยุ ืนยาวตลอดไป” ข้อความนี้ควรใชอ้ วยพรในโอกาสใด ค. อวยพรวนั เกิด ๑๐. ขอ้ ใดไมต่ อ้ งมกี ารกล่าวตอบ ก. แนะนำบุคคล ๑๑. ข้อใดไม่ตอ้ งมีการกล่าวอวยพร ก. แนะนำผ้พู ูด ๑๒. ข้อใดไม่ถูกต้อง ข. การพูดแสดงความรู้สึกในโอกาสตา่ ง ๆ ผูพ้ ดู จะพดู ในนามของเจา้ ภาพ ๑๓. ข้อใดไม่ต้องกล่าวในการอวยพรวนั เกดิ ผูอ้ าวโุ ส ข. ขอให้มคี วามเจริญในหน้าทีก่ ารงาน ๑๔. การพูดแสดงความรู้สกึ ในโอกาสตา่ ง ๆ ไมค่ วรพูดยาวเพราะอะไร ค. พูดยาว คนในงานอาจไม่ฟัง ๑๕. ขอ้ ใดไม่ตอ้ งกล่าวในการตอบรับงานมงคลสมรส ค. แสดงความต้งั ใจจริงในการสรา้ งครอบครวั ใหเ้ ป็นปกึ แผ่น ๑๖. ข้อใดควรกลา่ วเป็นอันดบั แรกในการกล่าวต้อนรับผมู้ าเยอื น ค. แสดงความยนิ ดีทีม่ โี อกาสไดต้ ้อนรบั
ประเมนิ ผลการใชห้ น่วยการเรยี นรู้ หรอื เน้ือหาสาระการเรียนรู้ โดยประเมินจากผลการทำ แบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียน ของผู้เรียนหรอื ผรู้ ับบริการ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น / หลังเรยี น หนว่ ยที่ 4 การเขยี นในงานอาชพี -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสง่ั จงทำเคร่ืองหมายกากบาท (X) หน้าขอ้ ทถ่ี กู ต้องที่สดุ ๑. ข้อใดหมายถงึ การอธบิ ายความ ก. นำความรูม้ าเรียบเรียงใหม้ คี วามหมายสมบรู ณ์ ข. นำพลความมาขยายใหม้ ีความหมายเท่าใจความ ค. นำใจความสำคญั มาเรยี บเรยี งใหม่ ง. นำใจความเดมิ มาขยายความเพิม่ เตมิ ๒. การเตรยี มเรอ่ื งและเตรียมภาษาใหเ้ หมาะสมกับผ้รู ับสารตรงกบั หลกั การอธบิ ายข้อใด ก. เตรียมข้อมูลท่จี ะอธบิ าย ข. อธบิ ายตามลำดับขั้นตอน ค. กำหนดจดุ ประสงค์ ง. วเิ คราะหผ์ ้รู ับสาร ๓. ถ้าผ้อู ธบิ ายไมแ่ นใ่ จในความร้ทู ีจ่ ะอธบิ ายควรทำอยา่ งไร ก. ทำความเข้าใจเร่ืองน้นั ใหด้ ีกอ่ น ข. อธบิ ายเท่าท่ีทราบ สว่ นท่ไี ม่ทราบใหผ้ ้รู บั สารคน้ ควา้ เพม่ิ เติม ค. ให้ผูม้ ีความรอู้ ธิบายแทน ง. เปล่ียนหัวขอ้ เรอื่ งท่จี ะอธบิ าย ๔. ข้อใดกลา่ วถึงการอธบิ ายความไมถ่ ูกตอ้ ง ก. การอธบิ ายควรตดั ประเด็นท่ไี ม่เกีย่ วข้องออกไป ข. การอธิบายควรใชศ้ พั ท์เฉพาะที่เปน็ ทางการเทา่ น้ัน ค. การอธบิ ายควรใช้วธิ กี ารหลาย ๆ อย่าง ง. การอธบิ ายมงุ่ ให้ความรู้และข้อเท็จจรงิ ทถี่ ูกตอ้ ง ๕. การเสนอแนวคิดของตนเองเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จัดเปน็ การพดู แบบใด ก. เพ่ือแสดงความรู้สึก ข. เพ่ือแสดงความคิดเหน็ ค. เพ่ือใหค้ วามรู้ ง. เพอ่ื ให้ขอ้ มลู ขา่ วสาร ๖. การอธิบายเนื้อหาสาระตามที่ได้รบั มอบหมายหน้าชั้นเรยี น เป็นการอธิบายด้วยจดุ ประสงค์ใด ก. เพ่อื ใหเ้ กิดความเขา้ ใจ ข. เพ่ือแสดงความคดิ เห็น ค. เพอ่ื ใหค้ วามรู้ ง. เพ่ือโนม้ น้าวใจ ๗. การอธบิ ายโดยให้ความหมายหรอื ให้คำนิยาม เปน็ การอธิบายโดยวธิ ใี ด ก. อธิบายดว้ ยการขยายความ ข. อธิบายด้วยการยกตวั อยา่ ง ค. อธบิ ายดว้ ยคำจำกดั ความ ง. อธบิ ายดว้ ยการเปรียบเทียบ ๘. การอธบิ ายวธิ กี ารใช้คอมพิวเตอร์ ควรอธบิ ายดว้ ยวธิ ใี ด ก. อธิบายด้วยการเปรียบเทียบ ข. อธิบายด้วยการขยายความ ค. อธิบายตามลำดับขั้น ง. อธบิ ายด้วยการยกตัวอย่าง ๙. การอธบิ ายถึงส่ิงของหรอื เรอื่ งท่ีผู้รับสารไมเ่ คยเหน็ มาก่อน ควรอธิบายด้วยวธิ ีใด ก. อธบิ ายดว้ ยการชี้แจงเหตแุ ละผล ข. อธบิ ายด้วยการเปรยี บเทยี บกบั ส่งิ ทรี่ จู้ ัก ค. อธบิ ายการใหค้ ำนยิ าม ง. อธิบายดว้ ยการยกตวั อยา่ ง
๑๐. คนท่ีเชื่อเรื่องกรรม…ทำดีต้องได้รับผลดีแน่นอน และทำช่ัวก็จะได้รับผลช่ัวอย่างหนีไม่พ้นกรรม บางอย่างอาจให้ผลในชาติน้ี บางอย่างอาจให้ผลในชาติหน้า หรือชาติต่อ ๆ ไป เช่นเดียวกับการปลูกพืช บางอย่างใหผ้ ลในไมก่ เ่ี ดอื น บางอยา่ งเป็นปี ข้อความน้ีเปน็ การอธิบายดว้ ยวธิ ีใด ก. อธบิ ายด้วยการชแี้ จงเหตุและผล ข. อธิบายด้วยการเปรียบเทยี บความเหมอื นและความตา่ ง ค. อธบิ ายด้วยการใหค้ ำจำกัดความ ง. อธบิ ายด้วยการยกตวั อยา่ ง ๑๑. ขอ้ ใดไม่ควรปฏิบัติในการรายงานหน้าชนั้ เรียน ก. อ่านเนอื้ หาให้ละเอียดชดั เจน ข. ใชเ้ วลาให้เกินกวา่ ที่กำหนดเล็กนอ้ ย ค. ขณะพูดควรกวาดสายตาดผู ู้ฟังให้ทั่วถงึ ง. เปิดโอกาสให้ผูฟ้ ังซกั ถาม ๑๒. ข้อใดสำคัญท่สี ุดในการรายงาน ก. พูดเสียงดังฟังชัด ข. หนา้ ตายมิ้ แย้มแจ่มใส ค. รายงานตามลำดับขน้ั ตอน ง. ทกั ทายผฟู้ งั อยา่ งเปน็ กันเอง ๑๓. ขอ้ ใดไม่ควรปฏิบัติ ก. บรรยายจากหลกั ย่อยไปสหู่ ลักใหญ่ ข. บรรยายขยายความให้ละเอยี ด ค. ต้องอารัมภบทเพอื่ กระตุ้นความสนใจผฟู้ ัง ง. ต้องมกี ารกลา่ วสรปุ เมือ่ บรรยายจบ
เฉลยแบบประเมินผลการใชห้ น่วยการเรียนรู้ หรอื เนอื้ หาสาระการเรยี นรู้ โดยประเมนิ จากผลการทำ แบบทดสอบก่อนเรยี น หลังเรยี น ของผ้เู รยี นหรอื ผู้รับบรกิ าร เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน / หลังเรยี น หนว่ ยที่ 4 การเขียนในงานอาชีพ -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสัง่ จงทำเครื่องหมายกากบาท (X) หนา้ ขอ้ ทีถ่ กู ต้องที่สุด ๑. ข้อใดหมายถึงการอธิบายความ ง. นำใจความเดิมมาขยายความเพม่ิ เตมิ ๒. การเตรียมเรอ่ื งและเตรียมภาษาใหเ้ หมาะสมกับผรู้ ับสารตรงกับหลกั การอธบิ ายขอ้ ใด ง. วิเคราะหผ์ ู้รบั สาร ๓. ถา้ ผอู้ ธบิ ายไม่แนใ่ จในความรู้ท่จี ะอธบิ ายควรทำอย่างไร ก. ทำความเข้าใจเร่อื งนนั้ ใหด้ ีกอ่ น ๔. ข้อใดกล่าวถึงการอธิบายความไมถ่ กู ต้อง ข. การอธบิ ายควรใชศ้ พั ทเ์ ฉพาะท่เี ปน็ ทางการเทา่ นั้น ๕. การเสนอแนวคิดของตนเองเก่ียวกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง จัดเปน็ การพูดแบบใด ข. เพือ่ แสดงความคดิ เหน็ ๖.การอธิบายเนอ้ื หาสาระตามท่ีได้รบั มอบหมายหน้าชั้นเรียน เป็นการอธิบายดว้ ยจุดประสงค์ใด ค. เพอ่ื ใหค้ วามรู้ ง. เพอื่ โน้มน้าวใจ ๗. การอธบิ ายโดยให้ความหมายหรอื ใหค้ ำนิยาม เปน็ การอธิบายโดยวิธใี ด ก. อธบิ ายดว้ ยการขยายความ ๘. การอธบิ ายวธิ กี ารใชค้ อมพวิ เตอร์ ควรอธบิ ายดว้ ยวธิ ใี ด ค. อธิบายตามลำดับข้ัน ๙. การอธิบายถึงส่ิงของหรือเรอื่ งท่ีผรู้ ับสารไมเ่ คยเหน็ มากอ่ น ควรอธิบายด้วยวธิ ีใด ข. อธบิ ายดว้ ยการเปรยี บเทียบกบั ส่ิงท่ีรจู้ ัก ๑๐. คนท่ีเชื่อเร่ืองกรรม…ทำดีต้องได้รับผลดีแน่นอน และทำช่ัวก็จะได้รับผลชั่วอย่างหนีไม่พ้นกรรม บางอย่างอาจให้ผลในชาตินี้ บางอย่างอาจให้ผลในชาติหน้า หรือชาติต่อ ๆ ไป เช่นเดียวกับการปลูกพืช บางอยา่ งให้ผลในไม่ก่ีเดอื น บางอย่างเป็นปี ขอ้ ความน้เี ป็นการอธบิ ายด้วยวธิ ีใด ข. อธบิ ายด้วยการเปรยี บเทยี บความเหมือนและความต่าง ๑๑. ข้อใดไม่ควรปฏบิ ัติในการรายงานหนา้ ชัน้ เรยี น ก. อา่ นเน้อื หาใหล้ ะเอียดชดั เจน ๑๒. ข้อใดสำคญั ทสี่ ดุ ในการรายงาน ค. รายงานตามลำดับข้ันตอน ๑๓. ขอ้ ใดไมค่ วรปฏบิ ัติ ก. บรรยายจากหลกั ยอ่ ยไปสหู่ ลกั ใหญ่
ประเมินผลการใชห้ นว่ ยการเรียนรู้ หรอื เน้อื หาสาระการเรยี นรู้ โดยประเมินจากผลการทำ แบบทดสอบก่อนเรียน หลงั เรียน ของผู้เรยี นหรอื ผรู้ ับบริการ แบบทดสอบก่อนเรยี น / หลงั เรยี น หนว่ ยท่ี 4 การเขียนในงานอาชีพ -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสง่ั จงทำเครอ่ื งหมายกากบาท (X) หนา้ ข้อท่ถี กู ต้องที่สดุ ๑. ขอ้ ใดคอื ส่วนท่สี ำคัญท่ีสุดของการเขยี นบันทกึ รายงานการปฏิบตั ิงาน ก. ส่วนหวั ข. เนื้อหา ค. สว่ นทา้ ย ง. คำลงท้าย ๒. ข้อใดไม่ใชอ่ งค์ประกอบของส่วนหัวของบนั ทกึ ขอ้ ความ ก. ชื่อหน่วยราชการ ข. วนั เดือน ปี ค. คำขึ้นต้น ง. ชอ่ื เร่อื ง ๓. ข้อใดทีไ่ ม่ตอ้ งมใี นบนั ทกึ ข้อความ ก. เรยี น...(ตำแหน่งผู้รบั บันทึก) ข. จึงเรียนมาเพือ่ โปรดทราบ ค. ขอแสดงความนับถือ ง. ชือ่ –สกลุ ผ้บู นั ทกึ ๔. ข้อใดเปน็ ข้อแตกตา่ งระหวา่ งบันทึกข้อความกบั หนังสอื ราชการ ก. เนอ้ื หาของหนังสือราชการ ข. คำขึน้ ต้น ค. คำลงท้าย ง. ชื่อหนว่ ยงาน ๕. การเขยี นบนั ทกึ รายงานทเ่ี ป็นทางการ ผู้เขยี นควรคำนงึ ถึงเรือ่ งใดมากท่สี ดุ ก. คำนึงถึงเรื่องการใชภ้ าษาเป็นสำคญั ข. เขยี นช่ือทอี่ ยู่ให้ถูกต้องชัดเจน ค. เขยี นคำลงท้ายถูกตอ้ งและเหมาะสม ง. ปฏิบตั ิถูกตอ้ งตามระเบยี บงานสารบรรณ ๖. บันทึกทเี่ ขียนสรปุ เฉพาะประเด็นสำคัญจากตน้ เรือ่ งเดิมเป็นบันทกึ ประเภทใด ก. บนั ทึกยอ่ เรอ่ื ง ข. บนั ทกึ รายงาน ค. บนั ทึกความเห็น ง. บันทึกสงั่ การ ๗. บันทกึ ท่ผี ูบ้ งั คบั บัญชาเขียนถงึ ผู้ใตบ้ ังคบั บญั ชาเพื่อมอบหมายหนา้ ที่เปน็ บนั ทึกประเภทใด ก. บันทกึ ยอ่ เรอ่ื ง ข. บันทึกรายงาน ค. บนั ทกึ ความเห็น ง. บนั ทกึ ส่งั การ ๘. หากท่านไดร้ บั มอบหมายใหเ้ ข้าร่วมงานประกวดสงิ่ ประดิษฐข์ องคนรนุ่ ใหมห่ ลงั จากกลับถึงหนว่ ยงาน ข อ ง ทา่ นแล้ว ทา่ นจะเขียนบนั ทึกประเภทใด ก. บนั ทกึ ยอ่ เร่ือง ข. บนั ทกึ รายงาน ค. บันทึกความเห็น ง. บันทึกตดิ ต่อ ๙. จากบันทึกในข้อ ๘ ควรลงท้ายข้อความว่าอย่างไร ก. จงึ เรยี นมาเพื่อโปรดทราบ ข. จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดอนญุ าต ค. จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดพิจารณาส่งั การ ง. จงึ เรยี นมาเพ่ือโปรดใหค้ วามอนุเคราะหด์ ว้ ยจะเปน็ พระคณุ ย่งิ ๑๐. ขอ้ ใดคอื ประเภทของบันทึกข้อความ ก. บนั ทึกติดตาม ข. บันทึกความเห็น ค. บนั ทกึ รายงาน ง. บนั ทึกการประชมุ
๑๑. ข้อใดไมใ่ ช่ประเภทของบันทึกขอ้ ความ ก. บนั ทึกย่อเร่อื ง ข. บันทึกรายงาน ค. บนั ทึกส่ังการ ง. บันทกึ ประจำวนั ๑๒. ขอ้ ใดมสี ่วนประกอบแตกตา่ งจากข้ออนื่ ก. บันทกึ รายงานการประชมุ ข. บนั ทึกรายงาน ค. บนั ทึกตดิ ตอ่ ง. บนั ทึกความเห็น ๑๓. ข้อใดเป็นเรอื่ งท่ีใช้ติดต่อกบั บุคคลได้ทกุ ระดบั ก. เรอ่ื งเสนอความเหน็ ข. เรือ่ งแจง้ เพอื่ ทราบ ค. เรือ่ งขออนุมัติ ง. เร่ืองขอความเหน็ ๑๔. การเขยี นบันทกึ ความเห็นข้อใดไมถ่ กู ตอ้ ง ก. ลงท้ายว่า จงึ เรยี นมาเพื่อโปรดพจิ ารณา ข. การเสนอความคดิ เหน็ อาจอา้ งระเบียบข้อบังคับ ค. เป็นบันทึกทใี่ ชต้ ดิ ตอ่ กับบุคคลระดับสูงกว่า ง. ถ้าเรอ่ื งที่เสนอสามารถสั่งการไดห้ ลายทางให้สรปุ รวมเปน็ ข้อเดยี ว ๑๕. การเขยี นเพอื่ ของบประมาณมาใชใ้ นการดำเนินงานตอ้ งเขียนบนั ทึกเรื่องอะไร ก. บันทกึ ขอความชว่ ยเหลือ ข. บันทึกขออนมุ ัติ ค. บันทึกขอความเหน็ ง. บันทกึ รายงานผลการปฏบิ ตั ิงาน ๑๖. การบันทึกรายงาน งานในหน้าที่ ควรปฏบิ ัตอิ ย่างไร ก. บนั ทึกขอ้ เทจ็ จริงอย่างละเอยี ด ข. บนั ทกึ สัน้ ๆ เอาแตใ่ จความ ค. บันทกึ เฉพาะเร่ืองที่สนใจ ง. บันทึกเฉพาะเรื่องทผี่ ู้บังคบั บัญชาสนใจ ๑๗. ขอ้ ใดเปน็ เหตุผลสำคัญที่หนว่ ยงานตา่ ง ๆ เลือกใช้บันทึกขอ้ ความในการตดิ ตอ่ งาน ก. ประหยัด ข. สะดวก ค. รวดเร็ว ง. อ้างอิงได้ ๑๘. ขอ้ ใดเป็นวธิ บี นั ทึกเรื่องทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเฉพาะ ก. บนั ทกึ เฉพาะเร่อื งที่สนใจ ข. บันทึกสั้น ๆ เอาแตใ่ จความ ค. บนั ทกึ ขอ้ เทจ็ จรงิ อย่างละเอยี ด ง. บันทกึ เฉพาะเรือ่ งทผ่ี ู้บังคบั บัญชาสนใจ ๑๙. ขอ้ ใดเปน็ วิธบี ันทึกเร่ืองท่ีผู้บงั คับบญั ชาต้องตดั สินใจ ก. เสนอทางเลือกหลาย ๆ ทางใหผ้ ู้บังคบั บัญชาตดั สนิ ใจเอง ข. เสนอทางเลอื กหลายทางพร้อมเหตผุ ลเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ค. เสนอทางเลือกทางเดยี วทผี่ ู้บันทกึ คิดว่าปฏบิ ตั ไิ ด้งา่ ยทส่ี ดุ ง. เสนอทางเลอื กพร้อมความเห็นประกอบการพิจารณา ๒๐. ข้อใดเปน็ คำลงท้ายบันทกึ เพ่ือขอความช่วยเหลอื ก. เพ่ือโปรดทราบด้วยจกั ขอบคณุ ยงิ่ ข. เพื่อโปรดพจิ ารณาด้วยจักขอบคณุ ย่งิ ค. เพอ่ื โปรดอนเุ คราะหด์ ว้ ยจักขอบคณุ ยงิ่ ง. เพือ่ โปรดชว่ ยด้วยจักขอบคณุ ยิ่ง
เฉลยแบบประเมนิ ผลการใชห้ น่วยการเรียนรู้ หรอื เนอื้ หาสาระการเรยี นรู้ โดยประเมนิ จากผลการทำ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หลังเรียน ของผู้เรยี นหรอื ผ้รู บั บริการ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น / หลังเรียน หน่วยท่ี 4 การเขยี นในงานอาชพี -------------------------------------------------------------------------------------------- คำส่งั จงทำเครอ่ื งหมายกากบาท (X) หน้าขอ้ ที่ถกู ตอ้ งท่สี ุด ๑. ข้อใดคอื สว่ นท่สี ำคัญทสี่ ดุ ของการเขียนบันทึกรายงานการปฏบิ ตั ิงาน ข. เนอ้ื หา ๒. ข้อใดไม่ใช่องคป์ ระกอบของส่วนหัวของบันทึกขอ้ ความ ค. คำข้นึ ตน้ ๓. ขอ้ ใดทไ่ี มต่ ้องมใี นบันทกึ ข้อความ ค. ขอแสดงความนบั ถอื ๔. ข้อใดเปน็ ข้อแตกต่างระหว่างบันทึกขอ้ ความกบั หนังสือราชการ ค. คำลงท้าย ๕. การเขยี นบนั ทกึ รายงานทเ่ี ป็นทางการ ผู้เขยี นควรคำนึงถึงเรอ่ื งใดมากทีส่ ดุ ง. ปฏบิ ตั ถิ ูกตอ้ งตามระเบยี บงานสารบรรณ ๖. บนั ทกึ ทเี่ ขียนสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญจากตน้ เร่อื งเดมิ เปน็ บนั ทึกประเภทใด ก. บนั ทึกย่อเร่อื ง ๗. บันทึกท่ผี บู้ ังคบั บญั ชาเขียนถึงผู้ใตบ้ ังคับบญั ชาเพือ่ มอบหมายหนา้ ท่เี ป็นบนั ทกึ ประเภทใด ง. บันทึกส่งั การ ๘. หากท่านไดร้ ับมอบหมายใหเ้ ข้ารว่ มงานประกวดส่งิ ประดิษฐข์ องคนรนุ่ ใหมห่ ลงั จากกลบั ถงึ หนว่ ยงาน ข อ ง ทา่ นแล้ว ท่านจะเขียนบนั ทกึ ประเภทใด ข. บนั ทึกรายงาน ๙. จากบนั ทึกในขอ้ ๘ ควรลงท้ายข้อความว่าอย่างไร ก. จงึ เรียนมาเพอ่ื โปรดทราบ ๑๐. ขอ้ ใดคือประเภทของบนั ทกึ ขอ้ ความ ข. บนั ทึกความเหน็ ๑๑. ข้อใดไม่ใช่ประเภทของบันทกึ ขอ้ ความ ง. บันทึกประจำวัน ๑๒. ขอ้ ใดมสี ่วนประกอบแตกต่างจากข้ออ่ืน ก. บนั ทึกรายงานการประชมุ ๑๓. ข้อใดเปน็ เรือ่ งท่ีใช้ตดิ ตอ่ กบั บุคคลได้ทกุ ระดบั ข. เร่ืองแจ้งเพื่อทราบ ๑๔. การเขียนบันทกึ ความเหน็ ขอ้ ใดไม่ถกู ตอ้ ง ง. ถ้าเรือ่ งทเ่ี สนอสามารถสั่งการไดห้ ลายทางใหส้ รปุ รวมเปน็ ข้อเดียว ๑๕. การเขยี นเพ่ือของบประมาณมาใช้ในการดำเนินงานตอ้ งเขยี นบนั ทึกเรอื่ งอะไร ข. บนั ทกึ ขออนุมัติ ๑๖. การบันทกึ รายงาน งานในหนา้ ท่ี ควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ก. บันทกึ ขอ้ เท็จจริงอยา่ งละเอยี ด
๑๗. ขอ้ ใดเป็นเหตุผลสำคัญท่ีหน่วยงานตา่ ง ๆ เลอื กใชบ้ ันทกึ ขอ้ ความในการตดิ ต่องาน ง. อ้างอิงได้ ๑๘. ขอ้ ใดเป็นวิธบี ันทึกเรอื่ งที่ได้รับมอบหมายเฉพาะ ง. บนั ทึกเฉพาะเรอื่ งท่ีผู้บังคับบญั ชาสนใจ ๑๙. ข้อใดเปน็ วิธีบนั ทึกเรือ่ งท่ีผ้บู งั คับบัญชาต้องตดั สนิ ใจ ง. เสนอทางเลอื กพรอ้ มความเหน็ ประกอบการพจิ ารณา ๒๐. ข้อใดเปน็ คำลงท้ายบนั ทกึ เพื่อขอความช่วยเหลอื ค. เพ่ือโปรดอนเุ คราะหด์ ้วยจกั ขอบคณุ ย่ิง
ประเมินผลการใช้หนว่ ยการเรยี นรู้ หรอื เนือ้ หาสาระการเรยี นรู้ โดยประเมนิ จากผลการทำ แบบทดสอบกอ่ นเรียน หลงั เรยี น ของผูเ้ รียนหรอื ผูร้ ับบริการ แบบทดสอบก่อนเรียน / หลงั เรยี น หนว่ ยที่ 5 การกรอกแบบฟอรม์ -------------------------------------------------------------------------------------------- คำสั่ง จงทำเคร่อื งหมายกากบาท (X) หน้าขอ้ ท่ถี ูกตอ้ งที่สดุ ๑. ข้อใดคือความหมายของแบบฟอร์ม ก. แบบฟอรม์ คือ เอกสารท่ีมีผลผกู พันทางกฎหมาย ข. แบบฟอร์ม คอื เอกสารทจ่ี ัดทำขึ้นระหวา่ งบคุ คลสองฝ่าย ค. แบบฟอรม์ คือ คำประสมระหวา่ งคำภาษาไทยกบั ภาษาองั กฤษ ง. แบบฟอรม์ คอื เอกสารทีจ่ ัดทำขึ้นโดยเวน้ ชอ่ งว่างไวใ้ หผ้ ู้ที่เกย่ี วข้องกรอกขอ้ มูล ๒. แบบฟอร์มจดั ทำขนึ้ เพอ่ื ประโยชนใ์ นเร่ืองใด ก. ทำใหไ้ ดข้ อ้ มูลอย่างรวดเรว็ ข. ทำใหไ้ ดข้ ้อมูลประเภทเดยี วกนั ค. ทำให้ไดข้ ้อมูลมากเท่าทตี่ อ้ งการ ง. ทำใหไ้ ด้ขอ้ มูลตรงตามท่ตี อ้ งการ ๓. ขอ้ ใดเปน็ ส่ิงท่คี วรปฏิบัตใิ นการกรอกแบบฟอรม์ เมือ่ เขยี นผิด ก. ตอ้ งลบให้สะอาด ข. ต้องเปลีย่ นแบบฟอรม์ แผน่ ใหม่ ค. ตอ้ งขดี ฆ่าแล้วลงลายมือช่ือไว้ตรงทีข่ ดี ฆา่ ง. ต้องลบให้สะอาดแล้วลงลายมอื ชื่อกำกับ ๔. ข้อใดไมใ่ ช่คุณสมบัตขิ องผ้กู รอกแบบฟอร์ม ก. มกี ารศกึ ษาสงู ข. มีความซ่อื ตรง ค. มีความรอบคอบ ง. มคี วามรบั ผดิ ชอบ ๕. การใหผ้ ูอ้ ่ืนกรอกแบบฟอร์มแทนแล้วไมอ่ า่ นตรวจทาน แสดงวา่ ผนู้ น้ั ขาดคณุ สมบตั ิด้านใด ก. ความรู้ ข. ความซ่ือตรง ค. ความรอบคอบ ง. ความรบั ผิดชอบ ๖. แบบฟอรม์ ท่ใี ชก้ ันอย่ใู นปัจจบุ นั มกี ป่ี ระเภท ก. ๒ ประเภท ข. ๓ ประเภท ค. ๔ ประเภท ง. ๕ ประเภท ๗. แบบฟอร์มงานวจิ ัยเป็นแบบฟอรม์ ประเภทใด ก. แบบฟอรม์ สัญญา ข. แบบฟอรม์ ท่ีใช้ในหน่วยงาน ค. แบบฟอรม์ ทใี่ ช้ติดตอ่ กับหน่วยงาน ง. แบบฟอร์มทผ่ี ู้อ่นื ขอความรว่ มมือใหก้ รอก ๘. แบบฟอรม์ ขอแจง้ ความจำนงเข้าศึกษาตอ่ ในสถานศกึ ษาเปน็ แบบฟอร์มประเภทใด ก. แบบฟอรม์ สัญญา ข. แบบฟอรม์ ที่ใช้ในหน่วยงาน ค. แบบฟอรม์ ทใ่ี ช้ตดิ ตอ่ กับหน่วยงาน ง. แบบฟอรม์ ท่ีผอู้ ่ืนขอความร่วมมือใหก้ รอก ๙. แบบฟอรม์ ประเภทใดท่ีผ้กู รอกต้องรอบคอบใหม้ ากทีส่ ดุ ก. แบบฟอร์มค้ำประกนั ข. แบบฟอรม์ สมคั รเข้าศกึ ษาตอ่ ค. แบบฟอร์มแจ้งความตอ้ งการขอกู้เงนิ ง. แบบฟอรม์ ขออนญุ าตพกพาอาวธุ ๑๐. ในการกรอกแบบฟอร์มถ้าช่องวา่ งทีเ่ ว้นไว้เขยี นไมพ่ อควรแกป้ ัญหาอย่างไร ก. เขียนลงในกระดาษอืน่ ข. เขียนด้วยปากกาต่างสีไวน้ อกช่องว่าง ค. เขยี นตรงท่ีว่างแลว้ โยงให้สมั พนั ธ์กัน ง. เขยี นใหเ้ ตม็ ช่องว่างแล้วโยงข้ึนเหนือข้อความในแบบฟอร์ม
๑๑. การเขียนประวัตยิ อ่ ลงในแบบฟอร์มสมัครงาน จัดเปน็ แบบฟอรม์ ประเภทใด ก. แบบฟอร์มสญั ญา ข. แบบฟอรม์ ท่ีใช้ในหนว่ ยงาน ค. แบบฟอร์มทใ่ี ช้ตดิ ตอ่ กบั หนว่ ยงาน ง. แบบฟอร์มทีผ่ อู้ ืน่ ขอความรว่ มมอื ให้กรอก ๑๒. คุณสมบัตขิ ้อใดไม่จำเป็นตอ้ งระบุลงในการเขียนประวัตยิ ่อ ก. ความดีทเี่ คยทำ ข. ความสามารถพเิ ศษ ค. งานอดิเรกที่ชอบทำ ง. ประสบการณ์การทำงาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187