จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ดา้ นความรู้และทกั ษะ ๑. เขียนสรุปความได้ ๒. เขยี นบรรยายได้ ๓. เขยี นอธิบายได้ 4. ลขิ ิตภาษาดว้ ยเรยี งความ เร่อื ง การดำเนนิ ชีวิตแบบเศรษฐกจิ พอเพียงเร่อื งความพอประมาณได้ 5. การบรู ณาการด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ แสดงออกด้านความสนใจ ใฝ่รู้ โดยจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ในและนอกหอ้ งเรยี นเน้นกิจกรรมการรักการอ่านโดย 1. การมอบหมายงาน/หน้าท่ที ีไ่ ด้รบั มอบหมาย 2. การใชเ้ วลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ 3. การศกึ ษาหาความร้จู ากแหล่งเรยี นรู้ในและนอกห้องเรยี นในรูปแบบทีห่ ลากหลาย 4. การเลอื กใช้ส่อื ทเ่ี หมาะสมกับวัย เชน่ หนงั สือ สือ่ สิง่ ตพี มิ พ์ เอกสาร อินเทอรเ์ น็ต 5. การสรปุ นำเสนอวิเคราะห์สิง่ ทีไ่ ด้จากการเรียนรู้ 6. การแลกเปลี่ยนเรยี นร้รู ะหวา่ งเพื่อน เนือ้ หาสาระ 4.๑ การเขียนสรุปความ 4.๑.๑ ความหมายของการสรปุ ความ 4.๑.๒ ความหมายของการเขยี นสรุปความ 4.๑.๓ หลกั การสรุปความ 4.๑.๔ สำนวนภาษาทใ่ี ช้ในการสรุปความ 4 ๑.๕ ความยาวของการสรุปความ 4.๒ การเขียนบรรยาย 4.๒.๑ ความสำคญั ของการเขียนบรรยาย การเขียนบรรยายใช้แสดงความคิดเห็นได้หลายรูปแบบ เช่น ใช้ในคำประพันธ์แบบเล่าเร่ือง เล่าเหตุการณ์ การเขียนชีวประวัติ การเขียนบันทึก การให้ข้อมูล การรายงานข่าว เป็นต้น การเขียนบรรยาย เป็นการเขียนเล่าขอ้ เทจ็ จรงิ หรือรายละเอยี ดของเรอ่ื งตามท่เี ปน็ อย่โู ดยคำนงึ ถึงความตอ่ เน่อื ง 4.๒.๒ จดุ มุ่งหมายของการเขียนบรรยาย การเขียนบรรยายใช้แสดงความคิดเห็นได้หลายรูปแบบ เชน่ ใช้ในคำประพันธแ์ บบเลา่ เรอื่ งเล่า เหตกุ ารณ์ การเขียนชีวประวัติ การเขยี นบนั ทึก การใหข้ ้อมูล การรายงานข่าว เป็นตน้ 4.๒.๓ ประเภทของเรือ่ งท่ีใชว้ ิธีการเขียนบรรยาย งานเขยี นทใี่ ช้กลวธิ ีการเขียนบรรยาย แบง่ ออกเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ดังต่อไปนี้ ๑. อัตชวี ประวัตหิ รือการเลา่ ประวตั ิชวี ติ บคุ คลต่าง ๆ ๒. ขอ้ เท็จจริงหรอื เหตกุ ารณท์ างประวตั ิศาสตร์ ๓. เรือ่ งท่ีแตง่ ขึน้ หรือเหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ
4.๓ การเขียนอธบิ าย 4.๓.๑ หลกั การเขียนอธิบาย ๑. เมอื่ จะเขยี นอธบิ ายเรื่องอะไรกเ็ ขยี นเฉพาะเร่อื งน้ัน ไมน่ ำเรอ่ื งอื่นมาปะปน ๒. เขียนตามความรู้ ความคดิ ของตนเอง ไม่ยืมความคิดของผู้อ่ืน อาจอ้างความคิดของ ผอู้ ื่นไดบ้ า้ ง แต่ความคดิ นน้ั ไมค่ วรเหนอื ความคิดของตนเอง ๓. รู้เร่ืองน้นั อย่างละเอยี ด และเขา้ ใจเรอื่ งอยา่ งแจ่มแจง้ ๔. เรียบเรียงถอ้ ยคำให้นา่ อา่ น นา่ สนใจ เข้าใจง่าย และลำดับความใหต้ ิดตอ่ กนั 4.๓.๒ ประเภทการเขียนอธบิ าย การอธบิ ายตามลำดับขน้ั คือ การเขยี นอธบิ ายท่ีแสดงข้ันตอนไปตามลำดับ การเขียน อธิบายวิธนี ม้ี กั ใช้กบั การอธิบายกระบวนการ กจิ กรรม หรือการเปลี่ยนแปลงท่ีมขี ้ันตอน เช่น วิธีทำอาหาร การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ การออกกายบรหิ าร และการเจรญิ เตบิ โตของพืช เป็นตน้ การบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง จึงประกอบด้วยคุณสมบตั ิ ดังนี้ ๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดที ไี่ ม่นอ้ ยเกนิ ไปและไมม่ ากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อืน่ เช่น การผลติ และการบรโิ ภคทอี่ ยูใ่ นระดับพอประมาณ 1) ผ้เู รียนจัดสรรเวลาในการทำงานได้อย่างเหมาะสม 2) กำหนดเนื้อหาเหมาะสมกับเกณฑ์การประเมนิ เรือ่ งการเขียนในงานอาชพี แบบบรู ณาการด้าน หลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง เรื่อง การดำเนินชวี ติ แบบเศรษฐกิจพอเพียง 3) ผ้เู รียนรู้จกั ใช้และจัดการวัสดอุ ุปกรณ์ต่างๆอย่างประหยดั และคมุ้ ค่า 4) ผู้เรียนปฏบิ ตั ติ นเป็นผนู้ ำและผู้ตามท่ีดี 5) ผู้เรยี นเปน็ สมาชกิ ที่ดขี องกล่มุ เพอ่ื นและสงั คม ๒. ความมีเหตผุ ล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกบั ระดับความพอเพียงน้ันจะตอ้ งเปน็ ไปอย่างมเี หตผุ ล โดยพจิ ารณาจากเหตุปจั จัยท่ีเก่ยี วข้อง ตลอดจนคำนงึ ถึงผลท่ีคาดว่าจะเกดิ ขึ้นจากการกระทำนนั้ ๆ อยา่ งรอบคอบ 1) เหน็ คุณค่าและความสำคัญของการเขยี นในงานอาชีพแบบบูรณาการด้านหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เรือ่ ง การดำเนินชีวติ แบบเศรษฐกิจพอเพยี งได้อยา่ งชดั เจนและถกู ตอ้ ง 2) มีความคิดวิเคราะหใ์ นการแกป้ ัญหาอย่างเปน็ ระบบ 3) กลา้ แสดงความคิดอย่างมีเหตุผล 4) กล้าทกั ท้วงในสง่ิ ทีไ่ ม่ถูกต้องอย่างถกู กาลเทศะ 5) กล้ายอมรับฟังความคิดเหน็ ของผ้อู น่ื 6) ใช้วัสดุถกู ตอ้ งและเหมาะสมกบั งาน 7) ไมม่ ีเร่อื งทะเลาะวิวาทกับผูอ้ ื่น 8) คิดสงิ่ ใหม่ ๆ ทเ่ี กดิ ประโยชน์ตอ่ ตนเอง และสังคม ๓. ภูมิคมุ้ กัน หมายถงึ การเตรียมตวั ใหพ้ ร้อมรบั ผลกระทบและการเปลยี่ นแปลงดา้ นต่างๆ ท่ีจะเกดิ ขนึ้ โดยคำนึงถึงความเปน็ ไปไดข้ องสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต 1) ผู้เรยี นได้รับความรทู้ ่ีถูกตอ้ ง พรอ้ มทงั้ กำหนดเน้ือหาได้ครบถว้ นถูกตอ้ งหวั ข้อเรือ่ ง 3) มีการเตรยี มความพรอ้ มในการเรียน 4) กลา้ ซักถามปญั หาหรอื ขอ้ สงสยั ตา่ ง ๆ อย่างถูกกาลเทศะ 5) แกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ไดด้ ว้ ยตนเองอยา่ งเป็นเหตุเปน็ ผล
6) ควบคมุ อารมณ์ของตนเองได้ 7) ควบคมุ กริ ิยาอาการในสถานการณ์ต่างๆ ไดเ้ ป็นอย่างดี การตัดสนิ ใจและการดำเนินกจิ กรรมตา่ งๆให้อย่ใู นระดบั พอเพียงหรือตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ต้องอาศยั ทง้ั ความรแู้ ละคุณธรรมเป็นพ้นื ฐาน ดงั น้ี 1. เง่ือนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เก่ียวกบั วชิ าการต่างๆ ที่เกีย่ วขอ้ งรอบด้านความรอบคอบ ท่ีจะนำความรู้เหล่านัน้ มาพิจารณาใหเ้ ชอื่ มโยงกัน เพ่อื ประกอบการวางแผนและความระมัดระวงั ในการปฏบิ ัติ 1) ผเู้ รยี นไดใ้ ชก้ ระบวนการคิดตามการเขียนในงานอาชพี แบบบูรณาการด้านหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง เร่อื ง การดำเนนิ ชีวติ แบบเศรษฐกิจพอเพียง(ความสนใจใฝร่ ู้ ความรอบรู้ รอบคอบ ระมดั ระวัง) 2) มคี วามรู้ ความเข้าใจ ในหวั ข้อต่าง ๆ 3) ใชว้ ัสดอุ ย่างประหยดั และคมุ้ ค่า 4) ปฏิบัติงานดว้ ยความละเอยี ดรอบคอบ 5) มคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ๒. เงอื่ นไขคุณธรรม ทจี่ ะตอ้ งเสรมิ สรา้ ง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คณุ ธรรม มีความซอ่ื สัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชวี ติ 1) ปฏบิ ตั งิ านที่ได้รบั มอบหมายเสร็จตามกำหนด (ความรับผิดชอบ) 2) ใชว้ ัสดุอุปกรณ์อย่างคุ้มค่า ประหยัด (ความประหยดั ) 3) มคี วามเพยี รพยายามและกระตือรอื รน้ ในการเรยี นและการปฏบิ ตั ิงาน (ความขยนั ความอดทน) 4) ให้ความร่วมมือกบั การทำกจิ กรรมของสว่ นรวม อาสาชว่ ยเหลอื งานครแู ละผูอ้ ืน่ ( แบง่ ปนั ) กิจกรรมการเรียนรู้ (สัปดาหท์ ี่ 8-9) ๑. แจง้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ใหน้ กั เรียนทราบ ๒. ขั้นนำ ครูนำเข้าสู่บทเรยี นด้วยการสนทนา การซักถาม ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั เนื้อหาบทเรียน ๓. ครูซกั ถามนักเรียนเพ่อื ทบทวนเนือ้ หา ๔. ขั้นสอน ครูอธบิ าย บรรยาย ซักถามตามหวั ขอ้ เรือ่ งและสอดแทรกเรอ่ื ง เศรษฐกิจพอเพยี ง อธบิ ายเรอ่ื ง ความพอประมาณ ๕. กลยทุ ธใ์ นการพัฒนาผู้เรียนครใู ห้นกั เรยี นทำกิจกรรมใบงาน ลขิ ิตภาษาเรยี งความ เรอื่ ง ความพอประมาณ 6. ครใู หน้ กั เรยี นทำกิจกรรมที่ 4 และระดมความคิดเห็นรว่ มกันทำแบบฝึกหัดหน่วยท่ี 4 7. นักเรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรยี นดว้ ยความซอื่ สัตย์ 8. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นและแบบฝกึ หดั 9. ขน้ั สรุป ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรปุ สาระสำคัญของเนื้อหา สอ่ื การเรยี นการสอน ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน 2. แบบฝึกหัดหนว่ ยที่ 4 3. ใบงานกิจกรรมท่ี 4 4. สื่อการสอน power Point 5. Google Classroom 4. แบบประเมินกจิ กรรมและแบบประเมินคณุ ธรรม จริยธรรม
การวดั ผลและประเมนิ ผล การประเมนิ ผล (ไว้เปรยี บเทียบกบั คะแนนสอบหลังเรยี น) การวดั ผล คะแนนเกณฑ์ผ่าน 50% ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre-test) หน่วยท่ี 4 คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 2. แบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) หนว่ ยท่ี 4 คะแนนเกณฑผ์ า่ น 50% 3. แบบประเมนิ ผลใบงาน /แบบฝกึ หัด คะแนนเกณฑ์ผา่ น 50% 4. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หน่วยที่ 4 5. แบบประเมินคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ตามสภาพจริง งานทมี่ อบหมาย 1. งานท่ีมอบหมายนอกเหนือเวลาเรยี น ใหน้ ักเรียนอ่านเนื้อหาหน่วยท่ี 4 2. มอบหมายใหน้ กั เรยี นทำกิจกรรมใบงาน ลิขติ ภาษาเรยี งความเรอื่ ง ความพอประมาณ ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสำเร็จของผูเ้ รียน ๑. ผลการนำเสนองานกจิ กรรมท่ี 4 ๒. ผลการทำกิจกรรม และแบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี 4 ๓. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) หนว่ ยที่ 4 แหล่งเรียนรเู้ พมิ่ เตมิ 1. ห้องสมดุ 2. Internet เอกสารอ้างอิง ๑. หนงั สอื เรียนวิชาภาษาไทยพน้ื ฐาน รหัสวิชา ๒0000–๑๑o1 บริษทั ศนู ย์หนงั สือเมอื งไทย ๒. เวบ็ ไซตแ์ ละสื่อสง่ิ พิมพ์ท่เี กีย่ วข้องกบั เนื้อหาบทเรียน
ใบความรู้ เรือ่ ง การเขียน การเขียนเป็นการส่อื สารที่จะต้องร้หู ลกั เกณฑ์ วธิ กี ารเขียน เพือ่ ท่จี ะสามารถเลอื กใช้ถ้อยคำในการ ส่ือสารไดอ้ ย่างถูกตอ้ งเหมาะสม และเป็นผมู้ ีมารยาทท่ีดีในการเขยี น ความหมายและความสำคญั ของการเขียน การเขียน หมายถึง การถา่ ยทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ ผู้อ่ืนโดยใช้ตวั อักษรเปน็ เคร่ืองมือในการถ่ายทอดการเขียนเปน็ วธิ ีการส่อื สารที่สำคญั ในการถ่ายทอดความรู้ ความคดิ และประสบการณ์ เพ่อื ส่อื ไปยังผู้รับไดอ้ ย่างกวา้ งไกล นอกจากน้นั การเขียนยังมคี ณุ คา่ ในการบนั ทกึ เปน็ ขอ้ มลู หลกั ฐานให้ศกึ ษาไดย้ าวนาน หลักการเขยี น เนื่องจากหลกั การเขยี นเป็นทกั ษะท่ตี ้องเอาใจใสฝ่ กึ ฝนอยา่ งจรงิ จัง เพือ่ ให้เกดิ ความรคู้ วามชำนาญ และป้องกันความผิดพลาด ดังนั้น ผู้เขียนจงึ จำเป็นตอ้ งใช้หลกั ในการเขยี น ดังตอ่ ไปนี้ 1. มคี วามถูกตอ้ ง คือ ขอ้ มูลถูกตอ้ ง ใช้ภาษาไดถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมตามกาลเทศะ 2. มีความชดั เจน คือ ใชค้ ำทมี่ คี วามหมายชดั เจน รวมถึงประโยคและถอ้ ยคำสำนวน เพ่ือให้ผู้อ่านเขา้ ใจ ได้ตรงตามจุดประสงค์ 3. มีความกระชับและเรียบง่าย คือ รู้จกั เลือกใชถ้ ้อยคำธรรมดาเขา้ ใจง่าย ไมฟ่ มุ่ เฟอื ย เพื่อให้ไดใ้ จความ ชดั เจน กระชับ ไม่ทำให้ผอู้ ่านเกดิ ความเบอ่ื หน่าย 4. มีความประทับใจ โดยการใช้คำให้เกิดภาพพจน์ อารมณแ์ ละความรสู้ ึกประทบั ใจ มีความหมายลกึ ซึ้ง กินใจ ชวนติดตามให้อ่าน 5. มีความไพเราะทางภาษา คือ ใชภ้ าษาสุภาพ มีความประณตี ทงั้ สำนวนภาษาและลักษณะเนื้อหา อา่ นแลว้ ไมร่ ู้สกึ ขัดเขนิ 6. มีความรับผิดชอบ คอื ต้องแสดงความคิดเหน็ อย่างสมเหตุสมผล ม่งุ ใหเ้ กดิ ความรแู้ ละทัศนคติอันเปน็ ประโยชน์แกผ่ ู้อ่ืน นอกจากหลกั การเขียนท่ีจำเป็นตอ่ การเขยี นแลว้ ส่งิ ทีม่ คี วามจำเปน็ อีกประการหนง่ึ คอื กระบวกการคดิ กบั กระบวนการเขยี นท่ีจะต้องดำเนนิ ควบคไู่ ปกบั หลกั การเขยี น เพือ่ ที่จะทำให้สามารถเขียนไดด้ ยี ่งิ ขน้ึ มารยาทในการเขยี น 1. ไม่ควรเขยี นโดยปราศจากความร้เู ก่ยี วกบั เรื่องนนั้ ๆ เพราะอาจเกิดความผิดพลาด หากจะเขยี นกค็ วร ศกึ ษาคน้ ควา้ ใหเ้ กดิ ความพร้อมเสยี ก่อน 2. ไม่เขียนเร่อื งทีส่ ่งผลกระทบตอ่ ความม่ันคงของชาตหิ รอื สถาบันเบ้ืองสงู 3. ไม่เขียนเพอื่ มุ่งเน้นทำลายผู้อ่ืน หรอื เพ่อื สรา้ งผลประโยชน์ให้แก่ตน พวกพอ้ งตน 4. ไมเ่ ขยี นโดยใชอ้ ารมณ์สว่ นตวั เปน็ บรรทัดฐาน 5. ตอ้ งบอกแหลง่ ทมี่ าของขอ้ มูลเดมิ เสมอ เพ่ือให้เกียรติเจา้ ของข้อมูลนั้นๆ 6. ไม่คัดลอกบทความหรอื เนอื้ หาตอนใดตอนหนึง่ มาโดยเจา้ ของเรอื่ งไมอ่ นญุ าต
ใบงานกิจกรรม 4.1 ลิขิตภาษาเรยี งความ เร่ือง การดำเนินชวี ิตแบบเศรษฐกิจพอเพยี ง คำสง่ั ใหน้ กั เรียนเขียนเรียงความ เรอื่ ง การดำเนินชีวติ แบบเศรษฐกิจพอเพยี ง เร่ือง ความพอประมาณ คนละ 1 เรอ่ื ง ............................................................................................................................. ................... ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... .................................................................................................................................... ............ ...................................................................................................................... .......................... ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ............................................................................................................................................. ... ............................................................................................................................. ................... ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ............................................................................................................................. ................... ...................................................................................................... .......................................... ............................................................................................................................. ................... ................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................... ชอื่ -สกลุ .................................................แผนก................................ชั้นปีท่ี....................ว/ด/ป...................
โครงการสอน ช่อื วชิ า ภาษาไทยพ้ืนฐาน รหัสวิชา 2000-1101 ช่ือหนว่ ย การกรอกแบฟอร์มและการเขยี นบันทึกข้อความเพื่อติดตอ่ กิจธรุ ะ จำนวนคาบสอน 2 คาบ : สัปดาห์ หนว่ ยที่ 5 การกรอกแบฟอร์มและการเขยี นบนั ทกึ ขอ้ ความเพื่อตดิ ตอ่ กิจธุระ จำนวน 4 ชว่ั โมง เร่ือง การกรอกแบฟอรม์ และการเขยี นบนั ทกึ ขอ้ ความเพอ่ื ติดตอ่ กิจธรุ ะ 5.1 ความสำคัญของแบบฟอร์ม 5.2 ขอ้ ควรระวังในการกรอกแบบฟอรม์ 5.3 ลักษณะพ้นื ฐานของผูก้ รอกแบบฟอรม์ ท่ีดี 5.4 ความหมายของการเขียนบนั ทึก 5.5 ประเภทของบนั ทกึ จดุ ประสงค์การสอน รายการสอน ๑. ใชภ้ าษาในการกรอกแบบฟอรม์ และเขียนบนั ทึกได้ การกรอกแบฟอรม์ และการเขยี นบันทึกขอ้ ความเพื่อ ๒. กรอกแบบฟอร์มและเขยี นบนั ทกึ ตามแบบทก่ี ำหนดได้ ติดตอ่ กจิ ธุระ 5.1 ความสำคัญของแบบฟอร์ม ๓ .วเิ คราะหแ์ บบฟอร์มได้อยา่ งถกู ตอ้ ง 5.2 ข้อควรระวงั ในการกรอกแบบฟอร์ม 5.3 ลักษณะพนื้ ฐานของผู้กรอกแบบฟอร์มทีด่ ี 5.4 ความหมายของการเขียนบนั ทึก 5.5 ประเภทของบันทึก วธิ กี ารสอน 1. บรรยาย /ถามตอบ/ ชกั ถาม แลกเปล่ยี นความคดิ เห็น 2. ทำแบบฝึกหดั / ใบงาน และคอยแนะนำนกั เรยี นขณะปฏิบตั ิงาน สื่อการสอน หนงั สอื อ้างองิ ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรียน 1 1.หนังสอื เรยี นวชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน รหสั วชิ า 2. แบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี 5 20000–๑๑o1 บรษิ ทั ศูนยห์ นงั สอื เมอื งไทย 3. ใบงานกิจกรรมท่ี 5 ๒.เว็บไซตแ์ ละสอื่ ส่งิ พมิ พ์ทเ่ี กยี่ วข้องกับเนอ้ื หา 4. ส่อื การสอน power Point บทเรียน 5. Google Classroom 4. แบบประเมนิ กิจกรรมและแบบประเมินคณุ ธรรม ฯ การประเมิน คะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรียน แบบประเมินผลใบงาน แบบฝึกหัด แบบประเมิน กิจกรรมและแบบประเมินพฤตกิ รรมระหว่างการเรยี น การปฏบิ ตั งิ าน และคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 5 หนว่ ยที่ 5 ชือ่ วิชา ภาษาไทยพน้ื ฐาน รหสั ๒๐๐0๐–๑๑๐1 ชอ่ื หนว่ ย การกรอกแบฟอร์มและการเขยี นบนั ทึกข้อความเพ่อื ติดตอ่ กิจธุระ สอนครง้ั ท่ี 10-11 ชอ่ื เรอ่ื ง การกรอกแบฟอรม์ และการเขยี นบนั ทึกข้อความเพื่อตดิ ต่อกิจธรุ ะ จำนวน 4 คาบ หวั ข้อเรอ่ื ง 5.1 ความสำคัญของแบบฟอร์ม 5.2 ข้อควรระวงั ในการกรอกแบบฟอร์ม 5.3 ลักษณะพ้นื ฐานของผกู้ รอกแบบฟอรม์ ที่ดี 5.4 ความหมายของการเขียนบนั ทกึ 5.5 ประเภทของบนั ทกึ แนวคดิ สำคัญ การเขยี นเพ่ือตดิ ตอ่ ธรุ กจิ รายงาน จดหมาย บนั ทกึ การกรอกแบบฟอรม์ ถือเปน็ สื่อกลางในการติดต่อสอื่ ความทั้งภายในองคก์ ร และการดำเนนิ ธรุ กจิ กบั ภายนอกองคก์ ร ทีม่ ีความสำคัญตอ่ ความสำเรจ็ และ ผลประโยชน์ทางธรุ กิจ การจัดทำเอกสารงานเขียนเหลา่ น้ันให้เปน็ มาตรฐาน มแี บบแผนเป็นท่ยี อมรับ และสอ่ื สารออกมาไดอ้ ย่างเข้าใจ ครบถ้วน ถือว่ามคี วามสำคญั สำหรบั ผ้ทู ี่จะตอ้ งเป็นผจู้ ัดทำ ตอ้ งเขา้ ใจและ มีทักษะในการเขียน เพอื่ ใหก้ ารตดิ ต่อส่อื สารและการติดต่อลูกคา้ ทางธุรกจิ เป็นไปอย่างราบร่ืนและ มปี ระสิทธิภาพสงู สุด สมรรถนะยอ่ ย ๑.แสดงความรเู้ กยี่ วกับการกรอกแบบฟอร์มและการเขียนบันทึกเพ่ือติดตอ่ กจิ ธุระ 2.. กรอกแบบฟอร์มและเขยี นบันทกึ เพ่อื ตดิ ตอ่ กจิ ธรุ ะตามหลักการ จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ดา้ นความรแู้ ละทักษะ ๑. ใชภ้ าษาในการกรอกแบบฟอรม์ และเขยี นบนั ทึกได้ ๒. กรอกแบบฟอร์มและเขียนบันทกึ ตามแบบที่กำหนดได้ ๓. วเิ คราะห์แบบฟอร์มไดอ้ ย่างถูกต้อง 4. การบรู ณาการดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม คณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ แสดงออกดา้ นความสนใจ ใฝ่รู้ โดยจัดกจิ กรรมการเรยี นรูใ้ นและนอกห้องเรยี นเนน้ กิจกรรมการรักการอ่านโดย 1. การมอบหมายงาน/หนา้ ทท่ี ่ไี ดร้ ับมอบหมาย 2. การใช้เวลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ 3. การศกึ ษาหาความรู้จากแหลง่ เรยี นรู้ในและนอกหอ้ งเรียนในรปู แบบทีห่ ลากหลาย 4. การเลือกใชส้ ื่อท่เี หมาะสมกบั วัย เช่น หนงั สือ สอ่ื สงิ่ ตีพิมพ์ เอกสาร อนิ เทอรเ์ นต็ 5. การสรปุ นำเสนอวิเคราะหส์ ่งิ ทไ่ี ด้จากการเรียนรู้ 6. การแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหวา่ งเพ่อื น
เนือ้ หาสาระ 5.1 ความสำคญั ของแบบฟอรม์ 5.๑.๑ ความหมายของแบบฟอรม์ และการกรอกแบบฟอรม์ แบบ น. ส่ิงที่กำหนดใหถ้ ือเป็นหลกั หรือเป็นแนวดำเนนิ งาน แบบฟอรม์ หมายถงึ เอกสารที่จัดทำขน้ึ โดยเว้นช่องวา่ งไวส้ ำหรบั ให้แต่ละบคุ คลกรอก ขอ้ ความลงไป เพ่ือใหเ้ ปน็ การสะดวกแกผ่ ู้รวบรวมในการนำข้อความน้นั ไปใช้ประโยชนใ์ นดา้ นต่าง ๆ การกรอกแบบฟอร์ม หมายถึง การทำเครื่องหมายหรือการเขยี นลงในเอกสารท่ีจัดทำ ขึ้นทเ่ี วน้ ช่องว่างไวส้ ำหรับให้บุคคลแต่ละคนกรอกข้อความลงไป เพอื่ ใหเ้ ปน็ การสะดวกแกผ่ รู้ วบรวมในการนำ ข้อความนัน้ ไปใชป้ ระโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ 5.๑.๒ ประเภทของแบบฟอรม์ ๑. แบบฟอรม์ สมคั รงาน เปน็ แบบฟอร์มท่ีหน่วยงานหรือองค์กรเป็นผู้จัดทำขึ้น ซงึ่ จะทำ ใหห้ น่วยงานได้รบั ข้อมูลทีค่ รบถ้วนตามตอ้ งการ ๒. แบบฟอร์มเพ่ือสมัครใช้บรกิ าร เปน็ แบบฟอร์มทม่ี ีผลผกู พันทางกฎหมายระหวา่ ง บคุ คล ๒ ฝ่าย เพ่อื ใหค้ ู่สญั ญาเกดิ ความสะดวก โดยลงลายมือชือ่ กำกับไว้เปน็ หลกั ฐาน เช่น สัญญาซอื้ ขาย สัญญากยู้ ืม ๓. แบบฟอรม์ เพอ่ื ตดิ ต่อกับหน่วยงานราชการ เป็นแบบฟอร์มท่ีหน่วยงานหรือองคก์ รเป็น ผูก้ ำหนดข้ึน เพอ่ื ให้ความสะดวกแก่บุคลากรในหนว่ ยงานและไดร้ บั ข้อมลู ที่ถูกตอ้ งตามท่หี นว่ ยงานต้องการ ๔. แบบฟอร์มแสดงความคิดเห็น เป็นแบบฟอร์มท่ีบุคคล องค์กร หน่วยงาน ให้กรอก ข้อความตามความคดิ เห็นของตนเองในเร่อื งราวในแบบฟอรม์ ๕. แบบฟอร์มกรอกแบบสอบถาม เป็นแบบฟอร์มที่บุคคล องค์กร หน่วยงาน ต้องการ ทราบขอ้ มลู ทง้ั ท่ีเปน็ ขอ้ เท็จจรงิ และความคิดของประชาชนกลุ่มตา่ ง ๆ 5.๒ ขอ้ ควรระวงั ในการกรอกแบบฟอรม์ 5.๓ ลักษณะพืน้ ฐานของผกู้ รอกแบบฟอรม์ ท่ดี ี 5.๓.๑ มีความร้คู วามเขา้ ใจ 5.๓.๒ มีความรับผิดชอบ 5.๓.๓ มีความรอบคอบ 5.๓.๔ มีความสามารถทางภาษา 5.๓.๕ มคี วามซือ่ ตรง 5.๔ ความหมายของการเขียนบันทึก 5.๕ ประเภทของบนั ทกึ กจิ กรรมการเรียนรู้ (สัปดาห์ที่ 10-11) ๑. แจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ใหน้ กั เรยี นทราบ ๒. ขนั้ นำ ครนู ำเข้าสู่บทเรียนดว้ ยการสนทนา การซักถาม ที่เกี่ยวข้องกับเนอ้ื หาบทเรียน ๓. ครูซักถามนักเรียนเพอื่ ทบทวนเนอื้ หา ๔. ขน้ั สอน ครอู ธบิ าย บรรยาย ซกั ถามตามหวั ขอ้ เร่ือง ๕. ครูให้นกั เรียนทำกจิ กรรมที่ 5 และระดมความคดิ เห็นร่วมกันทำแบบฝึกหดั หนว่ ยที่ 5 ๖. นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี นดว้ ยความซอื่ สตั ย์ ๗. ครแู ละนักเรียนร่วมกันเฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นและแบบฝึกหัด ๘. ข้นั สรปุ ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรุปสาระสำคัญของเนอื้ หา
9. ก่อนหมดเวลาบูรณาการดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม คุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ แสดงออกด้าน ความสนใจใฝร่ ู้ โดยจดั กจิ กรรมการเรียนรใู้ นและนอกห้องเรียนเนน้ กจิ กรรมการรกั การอา่ นโดย 1. การมอบหมายงาน/หนา้ ทที่ ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย 2. การใชเ้ วลาว่างให้เกิดประโยชน์ 3. การศึกษาหาความรู้จากแหลง่ เรียนร้ใู นและนอกห้องเรยี นในรปู แบบท่หี ลากหลาย 4. การเลอื กใชส้ ื่อทีเ่ หมาะสมกบั วยั เช่น หนังสือ ส่ือ สิง่ ตีพิมพ์ เอกสาร อนิ เทอรเ์ น็ต 5. การสรุป นำเสนอวเิ คราะห์ส่ิงท่ีได้จากการเรยี นรู้ 6. การแลกเปลีย่ นเรยี นรูร้ ะหว่างเพือ่ น ส่อื การเรียนการสอน ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลงั เรียน 2. แบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี 5 3. ใบงานกิจกรรมท่ี 5 4. ส่อื การสอน power Point 5. Google Classroom 4. แบบประเมนิ กจิ กรรมและแบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม การวดั ผลและประเมินผล การวดั ผล การประเมนิ ผล ๑. แบบทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) หน่วยท่ี 5 (ไว้เปรยี บเทียบกบั คะแนนสอบหลังเรยี น) 2. แบบทดสอบหลังเรยี น (Post-test) หน่วยท่ี 5 คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 3. แบบประเมนิ ผลใบงาน /แบบฝึกหัด คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หน่วยท่ี 5 คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 5. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ตามสภาพจริง คะแนนเกณฑผ์ า่ น 50% งานทมี่ อบหมาย งานทมี่ อบหมายนอกเหนอื เวลาเรียน ทำกิจกรรมเสนอแนะในหนว่ ยท่ี 6 ผลงาน/ช้นิ งาน/ความสำเรจ็ ของผู้เรยี น ๑. ผลการนำเสนองานกิจกรรมที่ 5 ๒. ผลการทำกจิ กรรม และแบบฝึกหดั หนว่ ยที่ 5 ๓. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) หน่วยท่ี 5 แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม 1. หอ้ งสมดุ 2. Internet เอกสารอา้ งองิ ๑. หนังสอื เรียนวชิ าภาษาไทยพ้นื ฐาน รหสั วชิ า ๒00000–๑๑o1 บริษทั ศนู ย์หนงั สือเมืองไทย ๒. เว็บไซต์และสือ่ สง่ิ พิมพท์ ่ีเกยี่ วขอ้ งกบั เนือ้ หาบทเรียน
โครงการสอน ชอื่ วชิ า ภาษาไทยพ้นื ฐาน รหัสวิชา 2000-1101 ชื่อหนว่ ย การเขียนรายงานเชงิ วชิ าการ จำนวนคาบสอน 2 คาบ : สปั ดาห์ หน่วยที่ 6 การเขยี นรายงานเชงิ วชิ าการ จำนวน 2 ชวั่ โมง เรอื่ ง การเขียนรายงานเชิงวิชาการ รายการสอน 6.๑ ความหมายของรายงานเชิงวชิ าการ 6.๒ จุดประสงค์ของรายงานเชงิ วิชาการ การเขยี นรายงานเชงิ วชิ าการ 6.๓ วิธนี ำเสนอรายงาน 6.๑ ความหมายของรายงานเชิงวชิ าการ 6.๔ ขัน้ ตอนการทำรายงานเชิงวชิ าการ 6.๒ จุดประสงคข์ องรายงานเชิงวชิ าการ 6.๕ ส่วนประกอบของรายงานเชงิ วชิ าการ 6.๓ วิธนี ำเสนอรายงาน 6.๖ การเขียนอา้ งองิ 6.๔ ข้นั ตอนการทำรายงานเชิงวิชาการ 6.๕ ส่วนประกอบของรายงานเชงิ วชิ าการ จุดประสงค์การสอน 6.๖ การเขยี นอ้างอิง ๑. บอกความหมายและจดุ ประสงคข์ องรายงาน ๒. อธิบายวธิ นี ำเสนอรายงาน ๓. อธบิ ายขนั้ ตอนการทำรายงาน ๔. อธบิ ายสว่ นประกอบของรายงาน ๕. เขยี นรายงานตามทไ่ี ด้รบั มอบหมาย ๖. ฝกึ ทักษะการเขยี นรายงานเชงิ วิชาการ วธิ กี ารสอน 1. บรรยาย /ถามตอบ/ ชักถาม แลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ 2. ทำแบบฝกึ หดั / ใบงาน และคอยแนะนำนกั เรยี นขณะปฏบิ ัตงิ าน สอ่ื การสอน หนงั สอื อา้ งอิง ๑. แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรยี น 1 1.หนงั สือเรียนวชิ าภาษาไทยพนื้ ฐาน รหสั วชิ า 2. แบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี 6 20000–๑๑o1 บริษัทศูนย์หนงั สอื เมอื งไทย 3. ใบงานกิจกรรมท่ี 6 ๒.เว็บไซต์และสอ่ื ส่ิงพมิ พท์ ีเ่ กย่ี วข้องกับเน้ือหา 4. สอื่ การสอน power Point บทเรยี น 5. Google Classroom 6. แบบประเมินกิจกรรมและแบบประเมินคณุ ธรรมฯ การประเมิน คะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรยี น แบบประเมนิ ผลใบงาน แบบฝึกหัด แบบประเมนิ กิจกรรมและแบบประเมนิ พฤติกรรมระหว่างการเรียน การปฏิบตั ิงาน และคะแนนจากแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 6 หน่วยที่ 6 ชื่อวชิ า ภาษาไทยพน้ื ฐาน รหัส ๒๐๐0๐–๑๑๐1 สอนครงั้ ท่ี 12 ช่อื หนว่ ย การเขียนรายงานเชิงวชิ าการ จำนวน 2 คาบ ชอื่ เร่อื ง การเขียนรายงานเชิงวิชาการ หวั ข้อเร่อื ง 6.๑ ความหมายของรายงานเชิงวิชาการ 6.๒ จุดประสงคข์ องรายงานเชิงวิชาการ 6.๓ วิธีนำเสนอรายงาน 6.๔ ขนั้ ตอนการทำรายงานเชงิ วชิ าการ 6.๕ ส่วนประกอบของรายงานเชงิ วชิ าการ 6.๖ การเขยี นอา้ งอิง แนวคิดสำคัญ การเขยี นรายงานเชิงวิชาการ เป็นการนำเสนอผลงานจากการศึกษาค้นควา้ เก่ียวกับเรื่องหนงึ่ ที่ได้รับ มอบหมายอย่างเป็นระบบ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอน และนักเรียนสามารถสร้าง องค์ความร้ทู ่ยี ง่ั ยืนได้จากการค้นคว้า สมรรถนะยอ่ ย แสดงความรู้และปฏิบัติเก่ียวกบั เขียนรายงานเชงิ วชิ าการตามหลักการ จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ดา้ นความรแู้ ละทกั ษะ ๑. บอกความหมายและจดุ ประสงคข์ องรายงาน ๒. อธบิ ายวิธนี ำเสนอรายงาน ๓. อธิบายขน้ั ตอนการทำรายงาน ๔. อธบิ ายส่วนประกอบของรายงาน ๕. เขียนรายงานตามทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ๖. ฝกึ ทกั ษะการเขยี นรายงานเชงิ วชิ าการ 7. การบรู ณาการดา้ นคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม คุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ แสดงออกดา้ นความสนใจ ใฝ่รู้ โดยจัดกิจกรรมการเรยี นรใู้ นและนอกหอ้ งเรียนเน้นกจิ กรรมการรกั การอา่ นโดย 1. การมอบหมายงาน/หนา้ ที่ท่ไี ด้รบั มอบหมาย 2. การใชเ้ วลาว่างใหเ้ กดิ ประโยชน์ 3. การศึกษาหาความรู้จากแหลง่ เรียนรูใ้ นและนอกหอ้ งเรียนในรปู แบบทหี่ ลากหลาย 4. การเลือกใชส้ ่ือทเี่ หมาะสมกบั วัย เชน่ หนังสอื สือ่ สิ่งตีพมิ พ์ เอกสาร อนิ เทอร์เนต็ 5. การสรปุ นำเสนอวเิ คราะห์สิ่งทไี่ ด้จากการเรยี นรู้ 6. การแลกเปล่ียนเรยี นร้รู ะหว่างเพอ่ื น
เนื้อหาสาระ 6.1 ความหมายของรายงานเชงิ วิชาการ รายงาน หมายถึง การนำเสนอผลงานจากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ ต่อครูอาจารย์ หรือผู้ท่ี มอบหมาย 6.2 จดุ ประสงคข์ องรายงานเชงิ วิชาการ เพ่ือพัฒนาความรู้ของผู้เรียนให้กว้างขวางและลึกซึ้ง จนเกินเป็นองค์ความรู้ที่ยั่งยืน ให้ผู้เรียนรู้จัก ทำงานอย่างเป็นระบบ ผลงานได้มาตรฐานน่าเช่อื ถอื พฒั นาทกั ษะการอา่ นและการคน้ คว้าแก่ผ้เู รียนและพฒั นา ทักษะการเขยี น 6.๓ วธิ ีนำเสนอรายงาน การนำเสนอสามารถนำเสนอได้ ๒ วธิ ี คือ ด้วยวาจาและด้วยลายลักษณอ์ กั ษร 6.๔ ข้ันตอนการทำรายงานเชิงวชิ าการ กำหนดหัวข้อเรื่องที่จะทำรายงาน การวางโครงเร่ืองรายงาน สำรวจแหล่งข้อมูล ศึกษาค้นคว้าและ รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และคัดเลือกข้อมูล การเขียนรายงาน และการนำเสนอข้อมูลต่อผู้เก่ียวข้อง หรือ เผยแผ่ต่อสาธารณชน 6.๕ ส่วนประกอบของรายงานเชงิ วิชาการ ส่วนประกอบตอนต้น สว่ นเนอ้ื เรอ่ื ง หรอื ส่วนประกอบตอนกลาง และสว่ นประกอบตอนทา้ ย 6.๖ การเขียนอ้างอิง การอ้างอิง เป็นการระบุแหล่งที่มาของข้อมูลหรือข้อความในตัวเรื่องของรายงาน โดยเป็นข้อความ ทคี่ ัดลอกมาโดยตรง หรอื จากการประมวลความคดิ ประกอบด้วย 1. รปู แบบการอ้างอิงจากหนงั สอื 1.1 ผแู้ ต่งคนเดียว และผูแ้ ต่งเปน็ หน่วยงาน 1.2 ผแู้ ต่ง 2 คน 1.3 ผแู้ ต่ง 3 คน 1.4 ผแู้ ตง่ มากกวา่ 3 คน ขนึ้ ไป 1.5 ผแู้ ตง่ หลายคน เอกสารหลายเลม่ และตอ้ งการอา้ งอิงพร้อมๆ กัน 1.6 เอกสารไม่ปรากฏผู้แต่ง 1.7 เอกสารไม่ปรากฏผู้แตง่ แตม่ ผี ้ทู ำหนา้ ทบ่ี รรณาธกิ าร หรือผู้รวบรวม 1.8 หนังสอื แปล 2. รปู แบบการอ้างอิงท่ไี มเ่ ป็นหนังสอื เอกสารท่ไี มเ่ ป็นหนงั สือ ได้แก่ บทความ (รวมบทความ) วารสาร จุลสาร หนังสือพิมพ์ บทวิจารณ์ แผ่นพับ เอกสารอดั สำเนา ถ้ามีชื่อผู้แต่ง ใหใ้ ชห้ ลักเกณฑ์เดียวกับการอ้างอิง หนงั สือ ถา้ ไมม่ ีชอ่ื ผู้แตง่ ให้ระบชุ ่ือบทความ หรือหัวข้อข่าว ใน เคร่อื งหมายอัญประกาศ (“ ”) แทนในตำแหน่ง ผูแ้ ต่ง
กิจกรรมการเรียนรู้ (สัปดาหท์ ี่ 12) ๑. แจ้งจดุ ประสงค์การเรยี นรูใ้ ห้นกั เรยี นทราบ ๒. ขนั้ นำ ครนู ำเข้าสู่บทเรยี นดว้ ยการสนทนา การซกั ถาม ท่เี กย่ี วข้องกบั เนอื้ หาบทเรียน ๓. ครซู ักถามนักเรียนเพือ่ ทบทวนเนือ้ หา ๔. ข้นั สอน ครูอธิบาย บรรยาย ซักถามตามหัวข้อเรอ่ื ง ๕. ครูใหน้ กั เรียนทำกิจกรรมท่ี 6 และระดมความคิดเห็นร่วมกนั ทำแบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี 6 ๖. นกั เรียนทำแบบทดสอบหลงั เรยี นด้วยความซ่ือสัตย์ ๗. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นและแบบฝึกหัด ๘. ขั้นสรปุ ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ สาระสำคัญของเน้ือหา 9. กลยุทธ์ในการพฒั นานักเรยี นได้มอบหมายให้นักเรยี นเขยี นรายงานเชงิ วิชาการคนละ 1 เรอ่ื ง ตามทรี่ ับมอบหมายตามใบงาน 10. บูรณาการดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม คณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ แสดงออกดา้ นความสนใจ ใฝ่รู้ โดยจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ในและนอกหอ้ งเรียนเนน้ กจิ กรรมการรักการอา่ นโดย 1. การมอบหมายงาน/หนา้ ท่ีที่ไดร้ ับมอบหมาย 2. การใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์ 3. การศึกษาหาความรู้จากแหลง่ เรียนรูใ้ นและนอกห้องเรยี นในรปู แบบท่หี ลากหลาย 4. การเลอื กใช้สอ่ื ที่เหมาะสมกับวยั เชน่ หนงั สือ สือ่ สิง่ ตพี มิ พ์ เอกสาร อนิ เทอรเ์ น็ต 5. การสรปุ นำเสนอวเิ คราะห์สงิ่ ท่ีได้จากการเรียนรู้ 6. การแลกเปลีย่ นเรียนรรู้ ะหว่างเพอื่ น สอื่ การเรยี นการสอน ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลงั เรียน 2. แบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ 6 3. ใบงานกิจกรรมท่ี 6 4. สือ่ การสอน power Point 5. Google Classroom 6. แบบประเมนิ กจิ กรรมและแบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม การวัดผลและประเมินผล การประเมนิ ผล (ไว้เปรียบเทียบกับคะแนนสอบหลงั เรยี น) การวัดผล คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) หนว่ ยที่ 6 คะแนนเกณฑ์ผ่าน 50% 2. แบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) หน่วยที่ 6 คะแนนเกณฑผ์ า่ น 50% 3. แบบประเมนิ ผลใบงาน /แบบฝึกหดั คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 4. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หน่วยที่ 6 5. แบบประเมินคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ตามสภาพจริง งานทม่ี อบหมาย งานทม่ี อบหมายนอกเหนอื เวลาเรียน ให้นักเรียนอา่ นเนื้อหาหน่วยท่ี
ผลงาน/ชนิ้ งาน/ความสำเรจ็ ของผู้เรียน ๑. ผลการนำเสนองานกจิ กรรมที่ 6 ๒. ผลการทำกิจกรรม และแบบฝกึ หัดหน่วยที่ 6 ๓. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) หนว่ ยที่ 6 แหลง่ เรียนรู้เพ่ิมเติม 1. หอ้ งสมดุ 2. Internet 3. สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนวทิ ยาลยั การอาชีพนิคมคำสรอ้ ย เอกสารอา้ งอิง ๑. หนังสอื เรยี นวิชาภาษาไทยพื้นฐาน รหัสวิชา ๒00000–๑๑o1 บรษิ ทั ศนู ย์หนงั สือเมอื งไทย ๒. เวบ็ ไซต์และสอื่ สิ่งพิมพ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกับเน้ือหาบทเรียน
โครงการสอน ชื่อวชิ า ภาษาไทยพ้นื ฐาน รหัสวชิ า 20000-1101 ชือ่ หน่วย การบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น จำนวนคาบสอน 2 คาบ : สปั ดาห์ หนว่ ยท่ี 6 การบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น: องคป์ ระกอบท่ี ๑ การจดั ทำปา้ ยช่อื พรรณไม้ เรื่อง การสำรวจพรรณไม้ในพ้ืนท่ีศกึ ษาและการแตง่ คำประพันธจ์ ากชื่อพรรณไม้ จำนวน 4 ชั่วโมง เรือ่ ง การบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน : องคป์ ระกอบที่ ๑ การจัดทำปา้ ยชือ่ พรรณไม้ เร่ือง การสำรวจพรรณไม้ในพ้นื ท่ศี ึกษาและการแตง่ คำประพันธจ์ ากชื่อพรรณไม้ 6.7 ความรู้ความเข้าใจ สืบค้นข้อมลู การสำรวจพรรณไม้ในพื้นที่ศึกษา การจำแนกชนิดของพรรณไม้ 6.8 การศกึ ษาประเภท ลกั ษณะวสิ ัย ชนิด จำนวน ของพรรณไม้ 6.9 แตง่ คำประพนั ธ์จากชอ่ื พรรณไม้ จดุ ประสงค์การสอน รายการสอน 1. อธิบาย สืบค้นขอ้ มูล สำรวจพรรณไมใ้ นพ้นื ทีศ่ กึ ษา 6.7 ความรคู้ วามเขา้ ใจ สืบค้นข้อมูล การสำรวจพรรณ การจำแนกชนดิ ของพรรณไม้ ได้ ไม้ในพื้นทศ่ี กึ ษา การจำแนกชนิดของพรรณไม้ 6.8 การศึกษาประเภท ลักษณะวิสยั ชนิด จำนวน 2. อธบิ าย ประเภท ลกั ษณะวิสยั ชนดิ จำนวน ของพรรณไม้ ของพรรณไมไ้ ด้ 6.9 แตง่ คำประพนั ธจ์ ากชื่อพรรณไม้ 3. สามารถแตง่ คำประพันธจ์ ากชอื่ พรรณไม้ทกี่ ำหนดได้ วิธกี ารสอน 1. บรรยาย /ถามตอบ/ ชักถาม แลกเปลี่ยนความคดิ เห็น 2. ทำแบบฝกึ หัด / ใบงาน และคอยแนะนำนกั เรียนขณะปฏิบัติงาน สื่อการสอน หนังสืออา้ งอิง 1. บ้ายชอ่ื พรรณไม้ เวบ็ ไซต์ อพ.สธ.และส่ือสงิ่ พมิ พ์ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับเนื้อหา 2. พ้นื ทศ่ี กึ ษางานสวนพฤกษศาสตร์ วก.นคิ มคำสร้อย บทเรยี น 3. ใบงาน 4. สอ่ื การสอน power Point 5. Google Classroom 5. แบบประเมนิ กิจกรรมและแบบประเมินคุณธรรมฯ การประเมนิ คะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรยี น แบบประเมินผลใบงาน แบบฝกึ หัดแบบประเมนิ กจิ กรรม และแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหวา่ งการเรียน การปฏิบัติงาน และคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 6 หน่วยที่ 6 ชื่อวิชา ภาษาไทยพ้ืนฐาน รหสั ๒๐๐๐0–๑๑๐1 ชอื่ หนว่ ย การบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน จำนวน 2 คาบสอน สอนครั้งที่ 13-14 ชอ่ื เรอ่ื ง การบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน : องค์ประกอบ ท่ี ๑ การจดั ทำป้ายช่อื จำนวน 4 คาบ พรรณไม้ เร่อื ง การสำรวจพรรณไม้ในพน้ื ท่ศี กึ ษา หัวข้อเรื่อง 6.7 ความรคู้ วามเข้าใจ สืบค้นขอ้ มูล การสำรวจพรรณไม้ ในพ้ืนท่ีศกึ ษา การจำแนกชนดิ ของพรรณไม้ 6.8 การศกึ ษาประเภท ลกั ษณะวิสยั ชนดิ จำนวนของพรรณไม้ 6.9 แตง่ คำประพนั ธ์จากชอ่ื พรรณไม้ แนวคดิ สำคญั งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น ในโครงการอนุรกั ษ์พันธกุ รรมพืชอนั เน่ืองมาจากพระราชดำริสมเด็จ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี มวี ตั ถุประสงคใ์ หเ้ ยาวชนไดม้ โี อกาสใกลช้ ิดกับพชื พรรณไม้ ไดเ้ รยี นรถู้ งึ พืชทอ้ งถิน่ ของตน ชว่ ยกนั ดูแลไม่ให้สูญพันธุ์ ซง่ึ จะกอ่ ให้เกิดจติ สำนกึ ในการทจี่ ะอนรุ ักษส์ ืบไป การดำเนินงานประกอบด้วย ๕ องค์ประกอบ และ ๓ สาระการเรียนรู้ องคป์ ระกอบท่ี ๑ การจดั ทำปา้ ยชอ่ื พรรณไม้ โดยมหี ลกั การ คอื รู้ช่ือ รู้ลักษณ์ รู้จกั และสาระ การเรยี นรู้ทีศ่ ึกษาดงั น้ี การกำหนดขอบเขตพ้ืนทศ่ี กึ ษา สำรวจพรรณไม้ ทำและติดปา้ ยรหัสประจำตน้ บนั ทกึ ภาพพรรณไมห้ รอื วาดภาพทางพฤกษศาสตร์ ตงั้ ช่อื หรอื สอบถามขอ้ มลู พรรณไม้ ทำปา้ ยช่ือพรรณไม้ ชัว่ คราว ทำผงั แสดงตำแหนง่ พรรณไม้ ศึกษาลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์(ก. ๗-๐๐๓) ทำตัวอยา่ งพรรณไม้ เปรียบเทยี บข้อมูลกบั เอกสารเรียนรู้ชอื่ ท่ีเปน็ สากล ทำทะเบยี นพรรณไม้ (ก. ๗-๐๐๕) ตรวจสอบความ ถกู ตอ้ ง ของทะเบียนพรรณไม้ และจดั ทำป้ายช่อื พรรณไม้สมบูรณ์ เพอ่ื ให้รจู้ ัก รปู้ ระโยชนข์ องพรรณไม้ การกำหนดพ้ืนทีแ่ ละการสำรวจพรรณไม้ คือ การนำพืน้ ทีท่ ้งั หมดของโรงเรยี นมาพจิ ารณา และ แบ่งออกเป็นส่วน ๆ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียน เดนิ ศึกษา สังเกต พรรณไม้ในพื้นที่ที่กำหนด แลว้ บนั ทกึ ข้อมูลเพื่อให้ทราบ ประเภท ลักษณะวิสยั ชนดิ จำนวน ของพรรณไม้เบื้องตน้ สมรรถนะย่อย แสดงความรู้ ความเข้าใจ เกีย่ วกับ สืบค้นขอ้ มลู สำรวจพรรณไมใ้ นพน้ื ทศี่ ึกษา การจำแนกชนิด ของพรรณไม้ ประเภท ลกั ษณะวสิ ัย ชนดิ จำนวน ของพรรณไม้ และแต่งคำประพันธท์ ีก่ ำหนดได้
จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ดา้ นความรู้และทักษะ 1. อธบิ าย สืบค้นข้อมูล สำรวจพรรณไม้ในพนื้ ทศี่ ึกษาการจำแนกชนิดของพรรณไม้ได้ 2. อธบิ าย ประเภท ลักษณะวสิ ยั ชนดิ จำนวน ของพรรณไมไ้ ด้ 3. ปฏบิ ัติงานอยา่ งเปน็ ระเบยี บแบบแผน มีความรอบคอบและถกู ตอ้ ง แสดงออกดา้ นความสนใจใฝ่รู้ 4. ตรงตอ่ เวลา ความซ่ือสัตย์ สุจริต ความมนี ้ำใจและแบ่งบนั ความร่วมมือ 5 การบูรณาการด้านคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม คุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์แสดงออกดา้ นความสนใจ ใฝร่ ู้ โดยจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ในและนอกหอ้ งเรยี นเน้นกิจกรรมการรักการอา่ นโดย 1. การมอบหมายงาน/หน้าท่ีท่ีได้รบั มอบหมาย 2. การใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ 3. การศกึ ษาหาความรูจ้ ากแหล่งเรียนรใู้ นและนอกหอ้ งเรยี นในรูปแบบที่หลากหลาย 4. การเลอื กใช้สอ่ื ทเี่ หมาะสมกบั วยั เช่น หนงั สือ สือ่ ส่ิงตพี มิ พ์ เอกสาร อินเทอร์เนต็ 5. การสรปุ นำเสนอวิเคราะหส์ ่งิ ทีไ่ ดจ้ ากการเรยี นรู้ 6. การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ระหวา่ งเพอื่ น เน้อื หาสาระ การบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน : องคป์ ระกอบที่ ๑ องค์ประกอบที่ ๑ การจัดทำป้ายชื่อพรรณไม้ โดยมีหลักการ คือ รู้ช่ือ รู้ลักษณ์ รู้จักและสาระ การเรียนรู้ท่ีศึกษาดังนี้ การกำหนดขอบเขตพื้นที่ศึกษา สำรวจพรรณไม้ ทำและติดป้ายรหัสประจำต้น บันทึกภาพพรรณไม้หรือวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ ต้ังชื่อหรือสอบถามข้อมูลพรรณไม้ ทำป้ายชื่อพรรณไม้ ช่ัวคราว ทำผังแสดงตำแหน่งพรรณไม้ ศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์(ก. ๗-๐๐๓) ทำตัวอย่างพรรณไม้ เปรียบเทียบข้อมูลกับเอกสาร เรียนรู้ชื่อที่เป็นสากล ทำทะเบียนพรรณไม้ (ก. ๗-๐๐๕) ตรวจสอบความ ถกู ตอ้ งของทะเบยี นพรรณไม้ และจัดทำป้ายชือ่ พรรณไม้สมบูรณ์ เพือ่ ให้รู้จัก รปู้ ระโยชนข์ องพรรณไม้ การกำหนดพื้นท่ีและการสำรวจพรรณไม้ คือ การนำพ้ืนที่ทั้งหมดของโรงเรียนมาพิจารณา และ แบ่งออกเป็นส่วน ๆ เพ่ือให้ผู้เรียน เดิน ศึกษา สังเกต พรรณไม้ในพ้ืนท่ีท่ีกำหนด แล้วบันทึกข้อมูล เพื่อให้ ทราบประเภท ลกั ษณะวิสัย ชนิด จำนวน ของพรรณไมเ้ บื้องตน้ ๑. การกำหนดพนื้ ที่ศึกษา คอื การนำพนื้ ท่ที ัง้ หมดของโรงเรยี นมาพจิ ารณาและแบง่ ออกเป็นส่วนๆ เพ่อื ใหเ้ หมาะสมกบั การจดั การเรยี นรู้ของผูเ้ รียน ๒. การสำรวจพรรณไม้ในพ้ืนท่ีศึกษา คอื การเดิน ศึกษา สงั เกต พรรณไมใ้ นพื้นที่ท่ีกำหนดแลว้ บันทกึ ข้อมลู เพ่ือให้ทราบประเภท ลกั ษณะวสิ ยั ชนิด จำนวน ของพรรณไมเ้ บ้อื งต้น กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ท่ี 13-14) 1. ใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 5 คน โดยให้ตง้ั ช่ือตามพรรณไม้ในสวนภาษาไทยพรอ้ มเลือก ประธาน เลขา สมาชกิ แต่ละคนทำหน้าท่ีแตกต่างกันไป 2 ครนู ำใบความรเู้ รอื่ ง งานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน ให้นักเรยี นศึกษาพร้อมครูอธิบายเพม่ิ เติม 3. ครูแบง่ นักเรยี นออกเปน็ กลมุ่ กล่มุ ละ 5 คน คละกันตามความสามารถ และครูอธิบายให้นักเรยี น เขา้ ใจว่าสมาชิกทกุ คนในกลมุ่ จะต้องมคี วามรบั ผิดชอบในงานท่ไี ด้รบั มอบหมายสมาชกิ ทกุ คนจะต้องชว่ ยเหลอื กัน มบี ทบาทเทา่ เทียมกัน และมีปฏิสมั พันธ์ท่ดี ตี อ่ กัน 4. ให้นักเรียนแต่ละกลุม่ ออกไปสำรวจพรรณไมใ้ นบริเวณพ้นื ทศี่ ึกษาของวทิ ยาลยั การอาชพี นคิ ม คำสรอ้ ย
5. กลยทุ ธ์ในการพฒั นานักเรยี นไดม้ อบหมายใหน้ ักเรยี นแต่ละคนเขียนชอ่ื พรรณไม้ในพืน้ ที่ศึกษา ตามที่รับมอบหมายตามใบงานท่ี 2.1 – 2.2 เร่ือง การสำรวจช่อื ต้นไม้ แล้วสง่ ครูตรวจให้คะแนน 6. ครมู อบหมายให้ตัวแทนนกั เรียน ๒-๓ คน นำเสนอแบบสำรวจพรรณไม้ตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย 7. นกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเหน็ ในแบบสำรวจพรรณไมต้ ามที่นำเสนอน้นั ได้ขอ้ มลู ครบหรือไม่ 8. ครูอธบิ ายเช่ือมโยงใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจวา่ ข้อมลู ทีน่ ำเสนอรายชอ่ื พรรณไม้นั้นมาจากบ้ายช่ือพรรณไม้ 9. ตวั แทนนกั เรียนนำเสนอผลงานหนา้ ชั้นเรยี น ครสู รปุ เพม่ิ เติมพรอ้ มให้คำแนะนำและกลา่ วชืน่ ชม 10. ใหน้ ักเรียนเขียนชอ่ื พรรณไม้ตามแบบศกึ ษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (ก. ๗-๐๐๓) พร้อมกับ วาดภาพประกอบในรปู แบบสมดุ เล่มจิว๋ คนละ ๑ เลม่ 11. นกั เรยี นและครูร่วมกันสรปุ ความรู้เกย่ี วกับเรอ่ื ง พรรณไมท้ ีพ่ บบริเวณพืน้ ท่ีศกึ ษาและท่พี บท่วั ไป 12 กอ่ นหมดเวลาสอดแทรกคุณธรรมและการคิดตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 13 บรู ณาการด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม คณุ ลักษณะทพ่ี ึงประสงค์แสดงออกด้านความสนใจ ใฝร่ ู้ โดยจัดกิจกรรมการเรียนรูใ้ นและนอกหอ้ งเรยี นเนน้ กจิ กรรมการรกั การอ่านโดย 1. การมอบหมายงาน/หนา้ ทท่ี ่ีไดร้ ับมอบหมาย 2. การใชเ้ วลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ 3. การศึกษาหาความรจู้ ากแหล่งเรยี นรใู้ นและนอกหอ้ งเรียนในรปู แบบที่หลากหลาย 4. การเลือกใช้สื่อทีเ่ หมาะสมกับวยั เช่น หนงั สือ สื่อ สิง่ ตพี มิ พ์ เอกสาร อินเทอรเ์ นต็ 5. การสรปุ นำเสนอวิเคราะห์ส่งิ ท่ไี ด้จากการเรียนรู้ 6. การแลกเปล่ียนเรยี นรู้ระหว่างเพ่ือน สอื่ การเรยี นการสอน 1. บ้ายช่ือพรรณไม้ 2. พน้ื ท่ีศึกษางานสวนพฤกษศาสตรว์ ทิ ยาลยั การอาชีพนิคมคำสรอ้ ย 3. ใบความรู้การดำเนินงาน 5 องคป์ ระกอบ 4. สอ่ื การสอน power Point 4. แบบประเมินกิจกรรมและแบบประเมนิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม การวัดผลและประเมินผล การประเมนิ ผล คะแนนเกณฑผ์ า่ น 50% การวดั ผล คะแนนเกณฑ์ผา่ น 50% ๑. แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 2. แบบประเมนิ การสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม คะแนนเกณฑผ์ ่าน 50% 3. แบบประเมินผลใบงาน 5. แบบประเมนิ คณุ ธรรม จริยธรรม ตามสภาพจริง งานทม่ี อบหมาย -
ผลงาน/ชนิ้ งาน/ความสำเร็จของผเู้ รียน ผลการทำกจิ กรรม ใบงานที่ 2.1 – 2.2 แหลง่ การเรียนรู้ 1. ห้องสมุด 2. สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนวิทยาลัยการอาชีพนคิ มคำสรอ้ ย 3. แหลง่ ข้อมลู สารสนเทศ http://jakkrit-geography๑.blogspot.com/๒๐๑๐/๐๗/๒.html http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=๒๑๐๖ http://www.thaigoodview.com/node/๑๖๖๗๐ เอกสารอ้างองิ ๑. เว็บไซต์ อพ.สธ. และสอื่ สง่ิ พมิ พ์ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั เนอื้ หาบทเรียน
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนนิ งาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนนิ งาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนนิ งาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนนิ งาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง งานสวนพฤกษศาสตร์ การดำเนนิ งาน 5 องคป์ ระกอบ
ใบความรู้ เร่อื ง ลกั ษณะวสิ ยั และถ่นิ อาศยั
ใบความรู้ เร่อื ง ลกั ษณะวสิ ยั และถ่นิ อาศยั
ใบความรู้ เร่อื ง ลกั ษณะวสิ ยั และถ่นิ อาศยั
ใบงานกจิ กรรมที่ 6.2 เร่อื ง การสำรวจช่ือพรรณไม้ในพื้นท่ศี กึ ษา
ใบงานกจิ กรรมที่ 6.3 เร่อื ง การสำรวจช่อื พรรณไมใ้ นพืน้ ทศี่ กึ ษา คำช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นนำช่อื ต้นไม้ที่สำรวจไดจ้ ากใบงานกิจกรรมที่ 2.๑ มาบนั ทกึ ลงในแบบศึกษาลักษณะทาง พฤกษศาสตร์ (ก. ๗-๐๐๓) สมดุ เล่มจ๋วิ อย่างสวยงาม
โครงการสอน ชื่อวิชา ภาษาไทยพ้นื ฐาน รหัสวิชา 20000-1101 ช่ือหน่วย การเขยี นโครงการ จำนวน 2 คาบ : สัปดาห์ หน่วยท่ี 7 การเขยี นโครงการ แบบบูรณาการโครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning จำนวน 6 ช่ัวโมง เรอ่ื ง การเขียนโครงการ แบบบรู ณาการโครงงานเป็นฐาน Project-based Learning 7.1 ความหมายของโครงการ 7.2 จุดประสงค์ของโครงการ 7.3 ประเภทของโครงการ 7.4 ข้อควรคำนึงถึงในการ เขยี นโครงการ 7.5 ส่วนประกอบของโครงการ 7.6 การเสนอโครงงานภาษาไทยเร่อื ง“การเปรยี บเทียบภาษา ท้องถ่ินกับภาษากลาง ”แบบบูรณาการโครงงาน เปน็ ฐาน Project-based Learning จุดประสงค์การสอน รายการสอน ๑. บอกความหมายและจุดประสงค์ของโครงการ การเขยี นรายงานเชงิ วิชาการแบบบูรณาการ ๒. อธิบายขอ้ ควรคำนึงถึงในการเขียนโครงการ โครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning ๓. เขียนโครงการได้ถูกตอ้ งตามหลักเกณฑ์ 7.๑ ความหมายของโครงการ ๔. ฝึกทักษะการเขยี นโครงการ 7.๒ จดุ ประสงค์ของโครงการ ๕. เขยี นโครงงาน ภาษาไทยเรื่อง“การเปรยี บเทยี บภาษา 7.๓ ประเภทของโครงการ ท้องถ่ินกบั ภาษากลาง ”แบบบูรณาการโครงงานเปน็ ฐาน 7.๔ ขอ้ ควรคำนึงถึงในการ เขียนโครงการ Project-based Learning 7.๕ สว่ นประกอบของโครงการ 7.6 เสนอโครงงาน ภาษาไทยเรอื่ ง“การเปรยี บเทียบ ภาษาท้องถ่ินกบั ภาษากลาง ”แบบบรู ณาการ โครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning วธิ กี ารสอน 1. บรรยาย /ถามตอบ/ ชกั ถาม แลกเปลยี่ นความคดิ เห็น 2. ทำแบบฝกึ หดั / ใบงาน และคอยแนะนำนกั เรยี นขณะปฏิบัตงิ าน ส่อื การสอน หนังสืออ้างองิ ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลงั เรียน 1.หนังสอื เรยี นวชิ าภาษาไทยพืน้ ฐาน รหัสวชิ า 2. แบบฝึกหัดหน่วยท่ี 7 20000–๑๑o1 บรษิ ทั ศูนย์หนงั สอื เมืองไทย 3. ใบงานกิจกรรมท่ี 7 ๒.เว็บไซต์และส่อื สงิ่ พิมพท์ เี่ กยี่ วข้องกบั เนอ้ื หา 4. สือ่ การสอน power Point บทเรยี น 4. แบบประเมนิ กิจกรรมและแบบประเมนิ คณุ ธรรมฯ การประเมิน คะแนนจากการทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลังเรยี น แบบประเมินผลใบงาน แบบฝกึ หัด แบบประเมนิ กจิ กรรมและแบบประเมนิ พฤตกิ รรมระหว่างการเรียน การปฏบิ ัตงิ าน และคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี น
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 7 หนว่ ยที่ 7 ชื่อวิชา ภาษาไทยพน้ื ฐาน รหสั ๒๐0๐๐–๑๑๐1 สอนคร้ังท่ี 15-17 ชอ่ื หนว่ ย การเขยี นโครงการ จำนวน 6 คาบ ชื่อเร่อื ง การเขียนโครงการ แบบบรู ณาการโครงงานเป็นฐาน Project-based Learning หัวขอ้ เร่ือง 7.1 ความหมายของโครงการ 7.2 จดุ ประสงค์ของโครงการ 7.3 ประเภทของโครงการ 7.4 ข้อควรคำนึงถึงในการ เขียนโครงการ 7.5 สว่ นประกอบของโครงการ 7.6 การเสนอโครงงานภาษาไทยเรอื่ ง“การเปรียบเทียบภาษาทอ้ งถ่ินกบั ภาษากลาง ”แบบบูรณาการ โครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning แนวคดิ สำคัญ โครงการ เป็นแผนการจัดกิจกรรมหรอื เค้าโครงที่กำหนดไวว้ ่าจะจดั กิจกรรมในอนาคต โดยอาศัยข้อมูล ตา่ ง ๆ ประกอบการจัดทำโครงการ และจะต้องมีการวางแผนโดยการเรยี บเรียงรายละเอียด ขั้นตอนอย่างเป็น ระบบด้วยความรอบคอบ เพอ่ื ให้โครงการนั้นบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงค์และเกดิ ประโยชน์ การเรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน การเรยี นรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning ) หมายถงึ การเรียนร้ทู ี่จดั ประสบการณ์ ในการปฏิบัติงานให้แกผ่ เู้ รียนเหมือนกับการทำงานในชวี ิตจริงอย่างมีระบบเพอื่ เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นได้มี ประสบการณ์ตรง ไดเ้ รยี นรู้วิธกี ารแก้ปญั หา วิธกี ารหาความรคู้ วามจรงิ อยา่ งมีเหตุผล ได้ทำการทดลองได้ พสิ จู น์สิ่งต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง รูจ้ ักการวางแผนการทำงาน ฝกึ การเป็นผนู้ ำ ผู้ตาม ตลอดจนไดพ้ ฒั นา กระบวนการคดิ โดยเฉพาะการคิดข้นั สูง และการประเมนิ ตนเอง โดยมีครูเป็นผกู้ ระตุน้ เพื่อนำความสนใจทเี่ กิด จากตวั ผ้เู รียนมาใชใ้ นการทำกิจกรรมค้นคว้าหาความรู้ด้วยตวั เอง นำไปสกู่ ารเพมิ่ ความรทู้ ่ีไดจ้ ากการลงมอื ปฏิบัติ การฟัง และการสงั เกตจากผู้รู้ โดยผู้เรยี นมกี ารเรียนรผู้ ่านกระบวนการทำงานเปน็ กลุ่มทจี่ ะนำมาสู่ การสรปุ ความรู้ใหม่ มีการเขยี นกระบวนการจดั ทำโครงงานและไดผ้ ลการจัดกจิ กรรมเปน็ ผลงานแบบรูปธรรม สมรรถนะยอ่ ย ๑. แสดงความรู้เกีย่ วกับการเขยี นโครงการ ๒. เขยี นโครงการตามหลักการ 3. นำเสนอโครงงานภาษาไทยเร่อื ง“การเปรยี บเทยี บภาษาท้องถิน่ กับภาษากลาง”แบบบรู ณาการ โครงงานเป็นฐาน Project-based Learning
จดุ ประสงค์การปฏบิ ตั ิ ดา้ นความรู้และทกั ษะ ๑. บอกความหมายและจดุ ประสงค์ของโครงการ ๒. อธบิ ายข้อควรคำนงึ ถึงในการเขยี นโครงการ ๓. เขียนโครงการไดถ้ ูกตอ้ งตามหลักเกณฑ์ ๔. ฝึกทักษะการเขียนโครงการ ๕. เขยี นโครงงาน ภาษาไทยเรอ่ื ง“การเปรยี บเทียบภาษาท้องถน่ิ กบั ภาษากลาง ”แบบบูรณาการ โครงงานเป็นฐาน Project-based Learning 6. การบรู ณาการดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม คุณลักษณะที่พงึ ประสงค์แสดงออกด้านความสนใจ ใฝ่รู้ โดยจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ในและนอกหอ้ งเรยี นเน้นกิจกรรมการรกั การอา่ นโดย 1. การมอบหมายงาน/หนา้ ท่ที ีไ่ ดร้ ับมอบหมาย 2. การใชเ้ วลาวา่ งให้เกิดประโยชน์ 3. การศึกษาหาความรจู้ ากแหลง่ เรียนรู้ในและนอกห้องเรียนในรูปแบบที่หลากหลาย 4. การเลือกใช้ส่อื ทเ่ี หมาะสมกบั วยั เช่น หนงั สอื ส่ือ สิง่ ตีพมิ พ์ เอกสาร อินเทอรเ์ น็ต 5. การสรปุ นำเสนอวิเคราะห์สิง่ ท่ไี ด้จากการเรียนรู้ 6. การแลกเปล่ยี นเรยี นรูร้ ะหวา่ งเพอื่ น เนอ้ื หาสาระ 7.1 ความหมายของการเขยี นโครงการ การเขียนโครงการ หมายถึง การกำหนดแผนงานหรือเค้าโครงในการปฏิบัติงานเพ่ือประโยชน์ ทางด้านการเรียนรู้ของนักเรียนหรือประโยชน์ทางด้านวิชาการ โดยมีหลักการ เหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ขั้นตอนดำเนินงาน ระยะเวลาดำเนินงาน มีการวางแผนการใชง้ บประมาณและคำนงึ ถงึ ผลประโยชน์ที่จะได้รับ 7.2 ความสำคัญของแผนปฏิบัติงานตามโครงการ ช้ีให้เห็นปัญหาและภูมิหลังของการทำงาน เข้าใจและรับรู้ปัญหาร่วมกัน เป็นการทำงานตาม นโยบายที่เห็นได้ชัดเจน มีการวางแผนและปฏบิ ัติงานตามแผนอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ และช่วยให้บุคคลได้แสดง ความรู้ความสามารถ ฯลฯ 7.3 ประเภทและสว่ นประกอบของโครงการ 7.๓.๑ ประเภทของโครงการ ๑. โครงการทก่ี ำหนดตามระยะเวลา ๒.โครงการท่เี สนอโดยลกั ษณะของผู้ดำเนินการ 7.๓.๒ ส่วนประกอบของโครงการ ประกอบด้วยชื่อโครงการ ชื่อผู้เสนอโครงการ/ผู้รับผิดชอบ โครงการ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย สถานที่ดำเนินโครงการ ระยะเวลา วธิ ีดำเนินโครงการ งบประมาณ ผลทีค่ าดว่าจะได้รบั และการประเมนิ ผล 7.4 การใช้ภาษาในการเขียนโครงการ (1) เขยี นให้ถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษาไทย ตัวสะกด ตวั การันต์ พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ (2) เขยี นใหถ้ กู ตอ้ งตามความหมายของคำ (3) ใช้คำให้ตรงความหมายทต่ี ้องการ (4) ใชภ้ าษาให้กระชับ รัดกุม (5) ใชภ้ าษาให้ถกู ต้องชัดเจน ไมใ่ ชภ้ าษากำกวม คลมุ เครือ (6) ใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกับเนือ้ หาสาระ (7) ใช้ภาษาให้สภุ าพ ใช้ภาษาเขยี นทเี่ ป็นแบบแผน 7.๕ รูปแบบของการเขียนโครงการ
การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน เน้นการเรียนรูท้ ่ใี หผ้ ู้เรียนไดร้ ับประสบการณ์ชวี ิตขณะท่ีเรยี น ไดพ้ ฒั นาทกั ษะตา่ งๆ ซ่ึงสอดคล้อง กบั หลักพัฒนาการตามลำดับขัน้ ความรู้ความคดิ ของบลูม ทง้ั 6 ขนั้ คือ ความรคู้ วามจำ ความเข้าใจ การ ประยกุ ตใ์ ช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมนิ คา่ และการคดิ สร้างสรรค์ การจัดการเรยี นรู้โดยใช้ โครงงานเป็นฐาน ถือไดว้ ่าเปน็ การจัดการเรยี นรู้ที่เนน้ ผ้เู รียนเปน็ สำคัญ เนอ่ื งจากผู้เรยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ัติเพื่อฝกึ ทักษะตา่ งๆดว้ ยตนเองทกุ ข้นั ตอน โดยมคี รูเป็นผใู้ หก้ ารส่งเสรมิ สนบั สนนุ ลกั ษณะสำคัญของจัดการเรยี นร้โู ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน 1.ยึดหลกั การจัดการเรยี นรทู้ ี่เน้นผ้เู รียนเป็นสำคัญ ท่ีเปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนไดท้ ำงานตามระดับทักษะ ท่ีตนเองมีอยู่ 2. เปน็ รูปแบบหนึ่งของการจดั กิจกรรมการเรยี นร้ทู ี่เนน้ บทบาทและการมสี ่วนร่วมของผู้เรียน (Active Learning) 3. เป็นเรื่องทีผ่ เู้ รยี นสนใจและรสู้ ึกสบายใจทจ่ี ะทำ 4. ผู้เรยี นได้รับสทิ ธใิ นการเลือกว่าจะตัง้ คำถามอะไร และตอ้ งการผลผลิตอะไรจากการทำโครงงาน 5. ครทู ำหนา้ ทเี่ ป็นผู้สนับสนุนอุปกรณ์และจัดประสบการณใ์ ห้แก่ผเู้ รียน สนบั สนนุ การแกไ้ ขปญั หา และสร้างแรงจูงใจใหแ้ กผ่ ู้เรียน 6. ผู้เรียนกำหนดการเรยี นรขู้ องตนเอง 7. เชือ่ มโยงกบั ชีวิตจรงิ สงิ่ แวดล้อมจริง 8. มฐี านจากการวจิ ยั ศกึ ษา ค้นคว้า หรอื องคค์ วามรู้ที่เคยมี 9. ใช้แหลง่ ข้อมูล หลายแหลง่ 10. ฝงั ตรึงดว้ ยความรู้และทกั ษะต่างๆ 11. สามารถใชเ้ วลามากพอเพียงในการสร้างผลงาน 12. มผี ลผลิต ประเภทของโครงงาน โครงงานท่เี กี่ยวข้องกับการจัดการเรยี นรูข้ องผู้เรียน อาจจำแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ โครงงานทแี่ บง่ ตามระดับการให้คำปรึกษาของครู และโครงงานท่ีแบง่ ตามลกั ษณะกจิ กรรมดังน้ี 1. โครงงานทีแ่ บ่งตามระดบั การให้คำปรึกษาของครหู รือ ระดับการมีบทบาทของผูเ้ รียน 1) โครงงานประเภทครนู ำทาง (Guided Project) 2) โครงงานประเภทครูลดการนำทาง - เพิม่ บทบาทผูเ้ รยี น (Less – guided Project) 3) โครงงานประเภทผู้เรียนนำเอง ครูไม่ตอ้ งนำทาง (Unguided Project) 2. โครงงานทีแ่ บง่ ตามลักษณะกิจกรรม 1) โครงงานเชิงสำรวจ (Survey Project) 2) โครงงานเชงิ การทดลอง (Experiential Project) 3) โครงงานเชงิ พฒั นา สร้างสง่ิ ประดษิ ฐ์ แบบจำลอง (Development Project) 4) โครงงานเชงิ แนวคดิ ทฤษฎี (Theoretical Project) 5) โครงงานด้านบริการสังคมและส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม (Community Service and Social Justice Project) 6) โครงงานด้านศิลปะและการแสดง (Art and Performance Project) 7) โครงงานเชิงบูรณาการการเรยี นรู้
กจิ กรรมการเรียนรู้ ๑. แจง้ จุดประสงค์การเรียนรใู้ หน้ กั เรียนทราบ ๒. ขั้นนำ ครูนำเข้าสู่บทเรียนด้วยการสนทนา การซกั ถาม ทีเ่ กี่ยวข้องกับเนอ้ื หาบทเรียน ๓. ครูซักถามนกั เรียนเพื่อทบทวนเนอ้ื หา ๔. ข้นั สอน ครูอธบิ าย บรรยาย ซักถามตามหัวข้อเร่ือง ๕. ครใู หน้ กั เรยี นทำกิจกรรมท่ี 6 และระดมความคิดเหน็ ร่วมกันทำแบบฝึกหัดหน่วยท่ี 6 ๖. นักเรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรียนดว้ ยความซ่อื สตั ย์ ๗. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันเฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี นและแบบฝึกหัด ๘. ข้นั สรุป ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สรปุ สาระสำคัญของเนือ้ หา 9. กลยุทธ์ในการพัฒนานักเรียมอบหมายให้นกั เรยี นแบ่งกลุ่มและ 3 คน ในการฝึกทักษะการเขียน รายงานการปฏิบตั งิ านโดยมกี ารเสนอโครงงานภาษาไทยเรอ่ื ง“การเปรยี บเทยี บภาษาท้องถนิ่ กบั ภาษากลาง” แบบบูรณาการโครงงานเป็นฐาน Project-based Learning นำส่งในสปั ดาหถ์ ดั ไป 10.บรู ณาการดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม คุณลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์แสดงออกด้านความสนใจ ใฝร่ ู้ โดยจัดกิจกรรมการเรยี นรใู้ นและนอกห้องเรยี นเน้นกจิ กรรมการรกั การอ่านโดย 1. การมอบหมายงาน/หนา้ ที่ทไ่ี ด้รับมอบหมาย 2. การใช้เวลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ 3. การศกึ ษาหาความรู้จากแหล่งเรียนรใู้ นและนอกห้องเรยี นในรปู แบบที่หลากหลาย 4. การเลอื กใช้สอ่ื ทเี่ หมาะสมกบั วยั เช่น หนังสือ สอ่ื สงิ่ ตพี ิมพ์ เอกสาร อนิ เทอร์เนต็ 5. การสรุป นำเสนอวเิ คราะห์สง่ิ ทีไ่ ด้จากการเรยี นรู้ 6. การแลกเปล่ียนเรยี นรู้ระหว่างเพ่อื น สอ่ื การเรียนการสอน ๑. แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน 2. แบบฝึกหัดหนว่ ยที่ 6 3. ใบงานกิจกรรมที่ 6 4. สอ่ื การสอน power Point 4. แบบประเมนิ กิจกรรมและแบบประเมนิ คณุ ธรรม จริยธรรม การวัดผลและประเมินผล การวัดผล การประเมนิ ผล ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) หนว่ ยที่ 6 (ไวเ้ ปรียบเทียบกบั คะแนนสอบหลงั เรยี น) 2. แบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) หน่วยที่ 6 คะแนนเกณฑ์ผา่ น 50% 3. แบบประเมนิ ผลใบงาน /แบบฝึกหัด / รายงาน คะแนนเกณฑ์ผ่าน 50% 4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น หน่วยที่ 6 คะแนนเกณฑ์ผา่ น 50% 5. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ตามสภาพจริง คะแนนเกณฑ์ผ่าน 50% งานท่มี อบหมาย มอบหมายให้นักเรยี นไปจดั ทำรายงานการนำเสนอโครงงาน ภาษาไทยเรือ่ ง “การเปรยี บเทยี บภาษา ทอ้ งถิน่ กับภาษากลาง ”
ผลงาน/ชน้ิ งาน/ความสำเร็จของผูเ้ รยี น ๑. ผลการนำเสนองานกิจกรรมที่ 7 ๒. ผลการทำกิจกรรม และแบบฝึกหดั หนว่ ยที่ 7 ๓. คะแนนแบบทดสอบหลังเรยี น (Post-test) หน่วยท่ี 7 4. คะแนนรายงานการนำเสนอโครงงาน ภาษาไทยเรอ่ื ง “การเปรียบเทียบภาษาท้องถน่ิ กบั ภาษากลาง ” แหลง่ เรยี นร้เู พิ่มเติม 1. ห้องสมุด 2. Internet เอกสารอ้างอิง ๑. หนงั สอื เรยี นวชิ าภาษาไทยพื้นฐาน รหสั วิชา ๒0000–๑๑o1 บริษทั ศนู ย์หนังสอื เมอื งไทย ๒. เวบ็ ไซต์และสอ่ื ส่ิงพิมพ์ที่เกีย่ วขอ้ งกบั เนื้อหาบทเรยี น
ตัวชี้วัดท่ี 1.1. ขอ้ 3 1.1 การสรา้ งและพัฒนาหลักสตู ร ขอ้ 3. การประเมนิ ผลการใชห้ ลักสูตร กจิ กรรมหรอื โครงการอย่าง เปน็ ระบบและนำผลประเมินมาปรบั ปรุงพฒั นาให้มี คุณภาพสูงข้นึ แผนกสามญั สมั พนั ธ์ วิทยาลยั การอาชีพนิคมคาสรอ้ ย
แบบประเมินหลกั สตู ร รหสั วชิ า 20000-1101 วิชาภาษาไทยพืน้ ฐาน (2-0-2 ) คำช้ีแจง แบบประเมินหลกั สตู ร จดั ทำขึน้ เพื่อประเมนิ ความคิดเหน็ ของผูเ้ ช่ยี วชาญท่ีมีตอ่ หลกั สูตรรายวิชา ถ้ามีความคิดเหน็ ใดๆ นอกจากหวั ข้อท่มี ใี นประเมินคุณภาพนี้ กรณุ าระบุลงในชอ่ งความคิดเห็นเพ่มิ เติม เพ่อื จะได้เป็นแนวทางในการปรบั ปรุงการออกแบบต่อไป หมายเหตุ โปรดทำเครือ่ งหมาย ( / ) ลงตรงกับชอ่ งว่างความคิดเห็นของทา่ นมากทส่ี ุด ระดบั 5 หมายถึง ดมี าก ระดบั 4 หมายถงึ ดี ระดบั 3 หมายถงึ ปานกลาง ระดับ 2 หมายถงึ น้อย ระดับ 1 หมายถึง นอ้ ยท่ีสุด รายการประเมิน ระดบั การประเมิน 54321 1.เนอ้ื หาวิชาเรียงลำดบั จากง่ายไปหาง่าย 2.การกำหนดวัตถุประสงคต์ รงตามสาระหลกั สูตร 3.กจิ กรรมการเรียนการสอนมคี วามหลากหลาย มีกลยทุ ธ์ในการ แกป้ ัญหาหรอื พัฒนาผู้เรยี น 4.สื่อการเรียนการสอนที่ใช้สามารถเสริมสร้างความรคู้ วามเขา้ ใจ ใหก้ บั ผ้เู รยี นตรงตามจุดประสงค์ 5.การวัดผลและประเมนิ ผลตรงตามจดุ ประสงค์ที่ได้กำหนด ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ลงชื่อ......................................................ผู้ประเมนิ (นางสมถวิล ประทุมมาตร) ตำแหน่ง ครูชำนาญการ ทำหน้าที่ หวั หน้าฝา่ ยวิชาการ
ตารางสรปุ แบบประเมินหลักสตู ร รหัสวชิ า 20000-1101 วิชาภาษาไทยพ้นื ฐาน (2-0-2 ) ระดบั ประกาศนยี บตั รวิชาชีพ ( ปวช.) รายการประเมิน ระดบั การประเมนิ 54321 1.เนอ้ื หาวิชาเรียงลำดับจากง่ายไปหาง่าย คดิ เป็นรอ้ ยละ 2.การกำหนดวตั ถปุ ระสงคต์ รงตามสาระหลกั สตู ร คดิ เปน็ รอ้ ยละ 3.กจิ กรรมการเรียนการสอนมคี วามหลากหลาย มกี ลยุทธ์ในการ แก้ปญั หาหรือพฒั นาผ้เู รียน คดิ เป็นรอ้ ยละ 4.ส่ือการเรยี นการสอนท่ีใช้สามารถเสรมิ สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจ ใหก้ บั ผู้เรยี นตรงตามจดุ ประสงค์ คิดเปน็ ร้อยละ 5.การวัดผลและประเมินผลตรงตามจดุ ประสงคท์ ่ีได้กำหนด คดิ เปน็ รอ้ ยละ ลงชือ่ ......................................................ผู้ประเมิน (นางสมถวลิ ประทุมมาตร) ตำแหน่ง ครูชำนาญการ ทำหน้าที่ หวั หนา้ ฝ่ายวชิ าการ
ตัวชวี้ ดั ที่ 1.2.1. ขอ้ 1 1.2.1 การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ ข้อ 1 ออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ หรือเนอื้ หาสาระการเรียนรู้โดยปรับ ประยุกต์ให้สอดคลอ้ งกบั บรบิ ทของสถานศึกษาหรอื สถานประกอบการหรอื ทอ้ งถน่ิ และเหมาะสมกับผู้เรยี นหรือผู้เข้ารับการฝกึ อบรม แผนกสามญั สมั พนั ธ์ วิทยาลยั การอาชีพนิคมคาสรอ้ ย
รายละเอยี ดของรายวิชา 1. ลกั ษณะรายวชิ า 1.1. รหัสวชิ า 20000-1101 วิชา ภาษาไทยพื้นฐาน 1.2 หลักสูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ พุทธศกั ราช 2562 1.3 จำนวน 2 ช่ัวโมง / สปั ดาห์ รวม 36 ชั่วโมงตลอดการเรียน 1.4 จำนวน 2 หน่วยกติ 2.จุดประสงค์รายวชิ า เพอ่ื ให้ ๑. รู้และความเข้าใจเก่ียวกับหลักการใช้ภาษาไทยในการส่ือสาร ๒. สามารถเลอื กใชภ้ าษาไทยได้ถกู ต้องตามหลกั การใชภ้ าษาเหมาะสมกบั บุคคล กาลเทศะ โอกาส และสถานการณ์ ๓. สามารถนำ ความรแู้ ละทักษะการฟัง การดู การพดู การอา่ น และการเขยี นไปใช้สือ่ สาร ในชีวิตประจำวนั ถูกต้องตามหลกั การ ๔. เหน็ คุณค่าและความสำคญั ของการใชภ้ าษาไทยในชีวติ ประจำวัน 3.สมรรถนะรายวชิ า ๑. แสดงความรเู้ กีย่ วกับหลักการใช้ภาษาไทยในการฟงั การดู การพูด การอา่ น และการเขยี น ๒. วิเคราะห์ ประเมินค่าสารจากการฟงั การดู การอ่านตามหลักการ ๓. พูดติดตอ่ กจิ ธุระ พดู ในโอกาสต่าง ๆ ตามหลักการและมารยาทของสังคม ๔. เขยี นข้อความติดตอ่ กิจธรุ ะ สรปุ อธบิ าย บรรยาย และกรอกข้อมลู ตามหลักการ 5. เขยี นรายงานทางวิชาการ และโครงการตามหลักการ 4.คำอธบิ ายรายวชิ า ศึกษาเกี่ยวกบั การรบั สารและการสง่ สารดว้ ยภาษาไทย เขียนสะกดคำ การใช้ถอ้ ยคำ สำนวน ระดับภาษา การฟัง การดแู ละการอา่ นข่าว บทความ สารคดี โฆษณา บนั เทงิ คดี วรรณกรรมหรือภมู ิปัญญา ทอ้ งถนิ่ ด้านภาษาจากส่อื สิง่ พมิ พ์และสื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ การกล่าวทักทาย แนะนำตนเองและผอู้ นื่ การพูด ในโอกาสตา่ งๆ ตามมารยาทของสงั คม ตอบรับและปฏิเสธ การแสดงความยนิ ดี แสดงความเสียใจ การพูด ติดต่อกิจธุระ พูดสรุปความ พูดแสดงความคิดเหน็ การเขียนข้อความติดตอ่ กิจธุระ สรปุ ความ อธิบาย บรรยาย การกรอกแบบฟอรม์ เขยี นประวัติยอ่ การเขยี นรายงานเชิงวิชาการและเขียนโครงการ 5.คำอธบิ ายรายวิชา : ปรับปรุง แกไ้ ข เพิม่ กิจกรรมการบรู ณาการ ศึกษาเกี่ยวกับการรับสารและการส่งสารด้วยภาษาไทย เขียนสะกดคำ การใช้ถ้อยคำ สำนวน ระดับภาษา การฟังแบบบูรณาการการทุจริตสำหรับนักเรียน นักศึกษา การดูและการอ่านข่าว บทความ สารคดี โฆษณา บันเทิงคดี วรรณกรรมหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านภาษาจากส่ือส่ิงพิมพ์และสอื่ อิเล็กทรอนิกส์ แบบบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง เร่ือง ความพอประมาณ การกล่าวทักทาย แนะนำตนเองและผู้อ่ืน การพูดในโอกาสต่างๆ ตามมารยาทของสังคม ตอบรับและปฏิเสธ การแสดงความยินดี แสดงความเสียใจ การพูดติดต่อกิจธุระ พูดสรุปความ พูดแสดงความคิดเห็น การเขียนข้อความติดต่อกิจธุระ สรุปความ อธิบาย บรรยาย การกรอกแบบฟอร์ม เขียนประวัติย่อ การเขียนรายงานเชิงวิชาการและเขียนโครงการแบบบูรณา การงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น : องค์ประกอบที่ ๑ การจัดทำป้ายชื่อพรรณไม้ เรื่อง การสำรวจพรรณ ไม้ในพื้นท่ีศกึ ษา และการแต่งคำประพันธ์จากช่ือพรรณไม้และบูรณาการแบบโครงงานเป็นฐาน Project- based Learning หมายเหตุ บรู ณาการดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม (ค่านยิ ม 12 ประการ) ทกุ หน่วยการเรยี น
5. แนวทางการจัดทำแผนการจัดการเรยี นรู้ การจัดทำแผนการจัดการเรยี นรูแ้ บบมุ่งเนน้ สมรรถนะอาชพี แบบบรู ณาการด้านคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม คุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ ด้านหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง งานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี นและ โครงงานเป็นฐาน สำหรับรายวชิ าน้มี งุ่ เน้นใหผ้ ้เู รยี นมคี วามรู้ศกึ ษาและปฏิบัติเกย่ี วกบั การรบั สารและการส่งสาร ด้วยภาษาไทย เขยี นสะกดคำ การใช้ถอ้ ยคำ สำนวน ระดับภาษา การฟงั การดูและการอา่ นข่าว บทความ สารคดี โฆษณา บันเทิงคดี วรรณกรรมหรอื ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ ด้านภาษาจากส่อื สิ่งพมิ พ์และส่ืออิเล็กทรอนิกส์ การกลา่ วทกั ทาย แนะนำตนเองและผู้อืน่ การพูด ในโอกาสต่างๆ ตามมารยาทของสงั คม ตอบรบั และปฏิเสธ การแสดงความยินดี แสดงความเสียใจ การพดู ติดต่อกจิ ธุระ พดู สรุปความ พูดแสดงความคดิ เห็น การเขยี น ขอ้ ความตดิ ตอ่ กจิ ธุระ สรุปความ อธบิ าย บรรยาย การกรอกแบบฟอร์ม เขียนประวตั ิย่อ การเขียนรายงานเชิง วชิ าการและเขียนโครงการ โดยจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนทเี่ น้นผูเ้ รยี นเปน็ สำคญั 6. เกณฑ์การประเมนิ ผลรายวิชา 10 คะแนน 1. ดา้ นคุณธรรมจรยิ ธรรม 10 คะแนน 2. เวลาเรียนต้องไมต่ ำ่ กว่า 80 % 40 คะแนน 3. งานทีม่ อบหมาย 20 คะแนน 4. สอบระหวา่ งภาค 20 คะแนน 5. สอบปลายภาค เกณฑ์กาประเมินแบบอิงเกณฑ์ มรี ะดับดงั นี้ ๘๐–๑๐๐ คะแนน ได้ผลการเรียน ๔๐. หมายถงึ ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีเย่ียม ๗๕ – ๗๙ คะแนน ได้ผลการเรยี น ๓.๕ หมายถึง ผลการเรยี นอยู่ในเกณฑด์ ีมาก หมายถงึ ผลการเรียนอยใู่ นเกณฑ์ดี ๗๐ – ๗๔ คะแนน ได้ผลการเรียน ๓.๐ หมายถึง ผลการเรยี นอยู่ในเกณฑ์ดพี อใช้ ๖๕ – ๖๙ คะแนน ได้ผลการเรียน ๒.๕ หมายถงึ ผลการเรียนอย่ใู นเกณฑ์พอใช้ หมายถึง ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์อ่อน ๖๐ – ๖๔ คะแนน ได้ผลการเรยี น ๒.๐ หมายถงึ ผลการเรียนอยู่ในเกณฑอ์ ่อนมาก ๕๕ – ๕๙ คะแนน ได้ผลการเรียน ๑.๕ หมายถึง ผลการเรยี นต่ำกวา่ เกณฑข์ นั้ ต่ำ ๕๐ – ๕๔ คะแนน ไดผ้ ลการเรียน ๑.๐ ต่ำกวา่ ๕๐ คะแนน ได้ผลการเรยี น ๐
หนว่ ยการเรียนรู้ (การออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้ทีส่ อดคลอ้ งกับคำอธิบายของหลกั สตู ร) รหสั วชิ า 20000-1101 ชือ่ วชิ าภาษาไทยพ้ืนฐาน จำนวน 2 หน่วยกิต 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ หลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พทุ ธศกั ราช 2562 ประเภทวิชา สามัญท่ัวไป สัปดาห์ที่ หน่วยที่ ชื่อเรือ่ ง / ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ เวลาจัดการเรยี นรู้ (ชม.) ท. ป. รวม 1 – 2 1 ความรู้ทวั่ ไปเกย่ี วกับการใช้ภาษาไทยเพ่อื การส่ือสารแบบบูรณาการการทุจรติ 1 3 4 สำหรบั นกั เรยี น นกั ศึกษา ๑.๑ การใช้ภาษาส่อื สาร ๑.๒ การใชถ้ อ้ ยคำภาษาในการสื่อสาร ๑.๓ การใช้สำนวนภาษาในการสื่อสาร ๑.๔ ระดับของภาษาในการสือ่ สาร ๑.๕ การเขยี นสะกดคำในภาษาไทย 1.6 ความรู้ความเข้าใจในการสร้างความตระหนกั ร้แู ละมีส่วนรว่ มในการป้องกนั การทจุ รติ สำหรับนกั เรยี น นกั ศกึ ษา 1) การบูรณาการหน่วยที่ 1 ตามรอยพระบุคลบาท กจิ กรรมใบงานท่ี 1.5 เร่อื ง คนดีต้องมที ีย่ นื 2) การบูรณาการหนว่ ยที่ 2 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมใบงานที่ 2.6 ค่านยิ ม : ค่าท่ีไมค่ วรนิยม 3 -4 2 การอา่ น การฟงั และการดสู ารจากสือ่ สิ่งพมิ พ์ และส่อื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 134 ๒.๑ ความหมายของการอา่ น การฟงั และการดูสารจากสอ่ื สง่ิ พิมพ์ และ สื่ออเิ ล็กทรอนกิ ส์ ๒.๒ ประเภทของสารจากส่อื สงิ่ พิมพแ์ ละสอ่ื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ๒.๓ การวิเคราะห์และการประเมนิ ค่าสารจากการอ่าน การฟงั และการดู 5-6 3 การพูดสือ่ สารในชีวิตประจำวนั ทางสงั คมและการพูดสอ่ื สารในงานอาชีพ 134 ๓.๑ การพูดในชีวิตประจำวัน ๓.๒ การพดู ในงานสังคม 3.3 การพูดในงานอาชีพ - การพดู เพอื่ กจิ ธรุ ะ - การพูดแสดงความคิดเหน็ - การใช้โทรศัพทพ์ ูดตดิ ตอ่ กิจธรุ ะ - การตอบรบั และปฏเิ สธ - การพดู สรปุ ความ 7 สอบระหว่างภาค 202
หน่วยการเรยี นรู้ (การออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้ทสี่ อดคลอ้ งกบั คำอธบิ ายของหลักสตู ร) รหัสวชิ า 20000-1101 ช่อื วิชาภาษาไทยพน้ื ฐาน จำนวน 2 หนว่ ยกติ 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ หลกั สตู รประกาศนียบัตรวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศักราช 2562 ประเภทวชิ า สามัญท่วั ไป สปั ดาหท์ ี่ หน่วยท่ี เวลาจัดการเรยี นรู้ (ชม.) ช่ือเรือ่ ง / ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ท. ป. รวม 8-9 4 การเขยี นในงานอาชพี แบบบูรณาการเศรษฐกจิ พอเพยี ง 13 4 เรื่อง ความพอประมาณ 4.1 การเขยี นสรุปความ 4.๒ การเขยี นบรรยาย 4.๓ การเขียนอธบิ าย 4.4 ลขิ ติ ภาษาดว้ ยเรียงความ เรอ่ื ง การดำเนินชีวติ ดว้ ยความพอประมาณ แบบเศรษฐกิจพอเพียง 10-11 5 การกรอกแบบฟอรม์ และการเขียนบนั ทึกข้อความเพ่อื ตดิ ตอ่ กิจธุระ 13 4 5.1 ความสำคัญของแบบฟอร์ม 5.2 ขอ้ ควรระวงั ในการกรอกแบบฟอรม์ 5.3 ลกั ษณะพื้นฐานของผ้กู รอกแบบฟอรม์ ทีด่ ี 5.4 ความหมายของการเขียนบันทึก 5.5 ประเภทของบันทึก 12-14 6 การเขยี นรายงานเชงิ วชิ าการแบบบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น : 2 4 6 องคป์ ระกอบที่ ๑ การจดั ทำปา้ ยช่ือพรรณไม้ เร่ือง การสำรวจพรรณไม้ ในพ้นื ทศ่ี กึ ษา และการแตง่ คำประพันธจ์ ากชอื่ พรรณไม้ 6.1 ความหมายของรายงานเชิงวิชาการ 6.2 จดุ ประสงค์ของรายงานเชงิ วชิ าการ 6.3 วธิ นี ำเสนอรายงาน 6.4 ขนั้ ตอนการทำรายงานเชงิ วิชาการ 6.5 สว่ นประกอบของรายงานเชิงวิชาการ 6.6 การเขยี นอ้างองิ 6.7 ความร้คู วามเข้าใจ สบื คน้ ข้อมลู การสำรวจพรรณไมใ้ นพื้นที่ศึกษา การจำแนกชนิดของพรรณไม้ 6.8 การศกึ ษาประเภท ลกั ษณะวิสยั ชนดิ จำนวน ของพรรณไม้ 6.9 แตง่ คำประพนั ธจ์ ากชอ่ื พรรณไม้
หน่วยการเรียนรู้ (การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ทส่ี อดคล้องกบั คำอธิบายของหลักสูตร) รหัสวชิ า 20000-1101 ชือ่ วิชาภาษาไทยพน้ื ฐาน จำนวน 2 หนว่ ยกิต 2 ช่วั โมง/สปั ดาห์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชพี (ปวช.) พทุ ธศักราช 2562 ประเภทวิชา สามัญท่วั ไป สปั ดาห์ท่ี หนว่ ยท่ี เวลาจัดการเรยี นรู้ (ชม.) ชือ่ เรอ่ื ง / ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ ท. ป. รวม 15-17 7 การเขียนโครงการแบบบรู ณาการโครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning 2 4 6 18 7.1 ความหมายของโครงการ 7.2 จดุ ประสงคข์ องโครงการ 7.3 ประเภทของโครงการ 7.4 ข้อควรคำนงึ ถงึ ในการ เขียนโครงการ 7.5 สว่ นประกอบของโครงการ 7.6 การเสนอโครงงาน ภาษาไทยเร่ือง“การเปรยี บเทยี บภาษาท้องถ่นิ กับ ภาษากลาง ”แบบบรู ณาการโครงงานเปน็ ฐาน Project-based Learning สอบปลายภาค 20 2 หมายเหตุ การบูรณาการดา้ นคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม คุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ ทกุ หน่วยการเรียนแสดงออก ด้านความสนใจใฝร่ ู้ โดยจดั กิจกรรมการเรียนรใู้ นและนอกหอ้ งเรยี น เน้นกจิ กรรมการรกั การอ่าน โดย 1. การมอบหมายงาน/หน้าท่ที ่ไี ด้รับมอบหมาย 2. การใช้เวลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์ 3. การศึกษาหาความรู้จากแหล่งเรยี นรูใ้ นและนอกห้องเรียนในรูปแบบทห่ี ลากหลาย 4. การเลือกใชส้ อ่ื ที่เหมาะสมกับวัย เช่น หนังสอื สื่อ สง่ิ ตีพิมพ์ เอกสาร อินเทอรเ์ น็ต 5. การสรุป นำเสนอวเิ คราะหส์ ิ่งที่ได้จากการเรยี นรู้ 6. การแลกเปลย่ี นเรยี นรรู้ ะหว่างเพอ่ื น
ตวั ชี้วดั ที่ 1.2.1. ข้อ 2 1.2.1 การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ ข้อ 2 มกี ิจกรรมการเรียนรู้ดว้ ยวิธกี ารปฏบิ ัตทิ ส่ี อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ ของเนือ้ หาสาระการเรยี นรู้อย่างหลากหลาย และสามารถนำไปปฏบิ ตั ิได้จรงิ แผนกสามญั สมั พนั ธ์ วทิ ยาลยั การอาชีพนิคมคาสรอ้ ย
โครงการสอน ชือ่ วชิ า ภาษาไทยพืน้ ฐาน รหัสวชิ า 20000-1101 ชอ่ื หน่วย การเขยี นในงานอาชีพ จำนวนคาบสอน 2 คาบ : สัปดาห์ หน่วยท่ี 4 การเขียนในงานอาชีพแบบบูรณาการด้านหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง เร่ือง การดำเนนิ ชีวิตแบบ เศรษฐกจิ พอเพียง จำนวน 6 ชั่วโมง เร่อื ง เขยี นในงานอาชพี แบบบูรณาการด้านหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เร่อื ง ความพอเพียง 4.1 การเขยี นสรปุ ความ 4.๒ การเขียนบรรยาย 4.๓ การเขียนอธบิ าย 4.4 ลขิ ติ ภาษาด้วยเรยี งความ เรื่อง การดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกจิ พอเพียง จดุ ประสงค์การสอน รายการสอน ๑. เขยี นสรปุ ความได้ การเขยี นในงานอาชีพแบบบรู ณาการด้านหลกั ปรัชญา ๒. เขยี นบรรยายได้ เศรษฐกิจพอเพียง เรอ่ื ง ความพอเพียง ๓. เขยี นอธิบายได้ 4.1 การเขยี นสรุปความ 4. ลิขิตภาษาดว้ ยเรยี งความ เร่อื ง การดำเนินชีวติ 4.๒ การเขยี นบรรยาย แบบเศรษฐกจิ พอเพยี งได้ 4.๓ การเขียนอธบิ าย 4.4 ลิขติ ภาษาดว้ ยเรียงความ เร่อื ง การดำเนนิ ชวี ติ แบบเศรษฐกิจพอเพียง วธิ กี ารสอน 1. บรรยาย /ถามตอบ/ ชกั ถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น 2. ทำแบบฝกึ หดั / ใบงาน และคอยแนะนำนักเรยี นขณะปฏิบตั งิ าน ส่ือการสอน หนังสืออา้ งองิ ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรียน 1. หนังสือเรยี นวชิ าภาษาไทยพ้นื ฐาน รหสั วชิ า 2. แบบฝกึ หัดหน่วยที่ 4 2000–๑๑o1 บริษทั ศนู ยห์ นงั สอื เมืองไทย 3. ใบงานกิจกรรมที่ 4 4. สอ่ื การสอน power Point ๒. เวบ็ ไซต์และสื่อส่ิงพิมพ์ท่เี ก่ยี วข้องกับเนื้อหา 4. แบบประเมนิ กิจกรรมและแบบประเมนิ คณุ ธรรม บทเรียน จรยิ ธรรม การประเมนิ คะแนนจากการทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น – หลงั เรียน แบบประเมินผลใบงาน แบบฝกึ หัด แบบประเมิน กิจกรรมและแบบประเมินพฤตกิ รรมระหว่างการเรียน การปฏบิ ัติงาน และคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี น
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 4 หน่วยที่ 4 ช่อื วชิ า ภาษาไทยพ้นื ฐาน รหัส ๒0๐๐๐–๑๑๐1 สอนคร้ังที่ 8-10 ชอ่ื หน่วย การเขยี นในงานอาชพี จำนวน 6 คาบ ช่ือเร่ือง การเขยี นในงานอาชีพแบบบูรณาการด้านหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง เร่ือง การดำเนนิ ชวี ติ แบบเศรษฐกจิ พอเพยี ง หัวข้อเรือ่ ง 4.1 การเขียนสรุปความ 4.๒ การเขียนบรรยาย 4.๓ การเขียนอธบิ าย 4.4 ลิขติ ภาษาดว้ ยเรียงความ เร่ือง การดำเนนิ ชีวติ แบบเศรษฐกิจพอเพียง แนวคดิ สำคัญ การเขียนเป็นระบบการสื่อสารหรอื บันทึกถา่ ยทอดภาษาเพื่อแสดงออกซ่ึงความรู้ ความคิด ความรสู้ ึก และอารมณ์ โดยใช้ตัวหนงั สือและเคร่ืองหมายต่าง ๆ เปน็ สือ่ ดงั น้ัน การเขียนจงึ เปน็ ทกั ษะการใชภ้ าษา แทนคำพดู ที่สามารถสือ่ ความหมายให้เป็นหลกั ฐานปรากฏในงานอาชีพไดน้ านกว่าการพดู การเขียนสรุปความ การเขยี นบรรยาย การเขยี นอธบิ ายความ จงึ เป็นการเขยี นเพ่อื ใหผ้ ูอ้ า่ นเข้าใจตรงตามความมงุ่ หมายของผเู้ ขียน การเขียนจะประสบความสำเรจ็ มากน้อยเพียงใดส่วนสำคญั ข้ึนอยกู่ ับว่าผเู้ ขียนมที ักษะในการใช้ภาษาเขยี นไดด้ ี เพียงใด ทกั ษะการใชภ้ าษาเขยี น ตอ้ งอาศัยพ้ืนฐานความรจู้ ากการฟงั การพูด และการอา่ น เพราะจากพื้นฐาน ดงั กลา่ ว จะทำใหม้ ีความรู้ มขี อ้ มูล และมปี ระสบการณเ์ พียงพอทจ่ี ะให้เกิดความคดิ ความสามารถในการ ถ่ายทอดความคดิ ออกมาไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ\\ การบูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง คือ หลักการดำเนินชีวิตท่ีจริงแท้ที่สุด กรอบแนวคิดของหลักปรัชญามุ่งเน้น ความมั่นคงและความย่ังยืนของการพัฒนา อันมีคุณลักษณะท่ีสำคัญ คือ สามารถประยุกต์ใช้ในทุกระดับ ตลอดจนใหค้ วามสำคัญกับคำว่าความพอเพียง ที่ประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตมุ ีผล มภี ูมิคุ้มกัน ที่ดีในตัวภายใต้เงื่อนไขของการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมที่ต้องอาศัยเง่ือนไขความรู้และเง่ือนไข คณุ ธรรม” สมรรถนะย่อย ๑. แสดงความรเู้ กี่ยวกบั การเขยี นในงานอาชพี ๒. เขียนสรุปความ เขยี นบรรยาย และเขียนอธบิ ายตามหลักการ 3. เขยี นเรยี งความในหวั ขอ้ เรื่อง การดำเนินชวี ติ แบบเศรษฐกจิ พอเพียง จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ดา้ นความรแู้ ละทกั ษะ ๑. เขยี นสรปุ ความได้ ๒. เขียนบรรยายได้ ๓. เขยี นอธบิ ายได้ 4. ลิขติ ภาษาด้วยเรยี งความ เรอื่ ง การดำเนินชวี ิตแบบเศรษฐกจิ พอเพียงได้
เน้ือหาสาระ 4.๑ การเขยี นสรุปความ 4.๑.๑ ความหมายของการสรุปความ 4.๑.๒ ความหมายของการเขยี นสรปุ ความ 4.๑.๓ หลักการสรปุ ความ 4.๑.๔ สำนวนภาษาท่ใี ช้ในการสรุปความ 4 ๑.๕ ความยาวของการสรุปความ 4.๒ การเขยี นบรรยาย 4.๒.๑ ความสำคญั ของการเขียนบรรยาย การเขียนบรรยายใช้แสดงความคิดเห็นได้หลายรูปแบบ เช่น ใช้ในคำประพันธ์แบบเล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ การเขียนชีวประวัติ การเขียนบันทึก การให้ข้อมูล การรายงานข่าว เป็นต้น การเขียนบรรยาย เปน็ การเขียนเลา่ ข้อเทจ็ จรงิ หรือรายละเอียดของเรือ่ งตามทเี่ ป็นอยโู่ ดยคำนึงถงึ ความตอ่ เนื่อง 4.๒.๒ จุดมงุ่ หมายของการเขยี นบรรยาย การเขียนบรรยายใช้แสดงความคิดเห็นไดห้ ลายรูปแบบ เช่น ใชใ้ นคำประพันธแ์ บบเล่าเรื่องเล่า เหตุการณ์ การเขียนชวี ประวัติ การเขยี นบนั ทกึ การให้ข้อมูล การรายงานข่าว เปน็ ต้น 4.๒.๓ ประเภทของเรอ่ื งทใ่ี ชว้ ธิ ีการเขยี นบรรยาย งานเขียนทใ่ี ช้กลวธิ ีการเขยี นบรรยาย แบ่งออกเป็นประเภทตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. อัตชีวประวัตหิ รือการเล่าประวัตชิ วี ิตบุคคลต่าง ๆ ๒. ข้อเท็จจริงหรือเหตกุ ารณ์ทางประวตั ิศาสตร์ ๓. เร่ืองท่แี ตง่ ขน้ึ หรือเหตกุ ารณ์ทเี่ กดิ ขึ้น 4.๓ การเขยี นอธบิ าย 4.๓.๑ หลักการเขียนอธิบาย ๑. เมอ่ื จะเขียนอธิบายเรื่องอะไรกเ็ ขยี นเฉพาะเรอ่ื งนน้ั ไมน่ ำเรอื่ งอน่ื มาปะปน ๒. เขียนตามความรู้ ความคิดของตนเอง ไม่ยมื ความคิดของผอู้ นื่ อาจอ้างความคิดของ ผ้อู ื่นได้บา้ ง แตค่ วามคดิ นัน้ ไม่ควรเหนอื ความคิดของตนเอง ๓. ร้เู รอื่ งนั้นอยา่ งละเอยี ด และเขา้ ใจเร่ืองอยา่ งแจ่มแจง้ ๔. เรียบเรียงถ้อยคำให้น่าอา่ น น่าสนใจ เข้าใจง่าย และลำดบั ความใหต้ ดิ ตอ่ กัน 4.๓.๒ ประเภทการเขียนอธบิ าย การอธบิ ายตามลำดบั ขัน้ คอื การเขียนอธิบายที่แสดงข้ันตอนไปตามลำดับ การเขียน อธิบายวธิ ีนมี้ ักใชก้ บั การอธิบายกระบวนการ กิจกรรม หรือการเปล่ียนแปลงทมี่ ีขัน้ ตอน เชน่ วิธีทำอาหาร การทดลองทางวิทยาศาสตร์ การออกกายบรหิ าร และการเจรญิ เตบิ โตของพชื เปน็ ต้น
การบูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังน้ี ๑. ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดีทไี่ มน่ ้อยเกนิ ไปและไมม่ ากเกินไป โดยไมเ่ บยี ดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคท่ีอย่ใู นระดับพอประมาณ 1) ผู้เรียนจัดสรรเวลาในการทำงานไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2) กำหนดเนอ้ื หาเหมาะสมกับเกณฑ์การประเมินเรื่องการเขยี นในงานอาชีพแบบบูรณาการดา้ น หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เร่ือง การดำเนนิ ชีวิตแบบเศรษฐกจิ พอเพียง 3) ผู้เรียนรจู้ ักใช้และจัดการวัสดุอุปกรณต์ ่างๆอยา่ งประหยัดและค้มุ ค่า 4) ผเู้ รียนปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผ้นู ำและผตู้ ามท่ดี ี 5) ผูเ้ รียนเปน็ สมาชกิ ท่ีดีของกลมุ่ เพอ่ื นและสงั คม ๒. ความมเี หตุผล หมายถงึ การตัดสนิ ใจเกี่ยวกับระดับความพอเพยี งนนั้ จะต้องเป็นไปอย่างมเี หตผุ ล โดยพจิ ารณาจากเหตุปัจจยั ทีเ่ ก่ยี วข้อง ตลอดจนคำนงึ ถงึ ผลทค่ี าดว่าจะเกดิ ข้นึ จากการกระทำนัน้ ๆ อยา่ งรอบคอบ 1) เห็นคุณค่าและความสำคัญของการเขียนในงานอาชพี แบบบรู ณาการด้านหลักปรชั ญาเศรษฐกิจ พอเพยี ง เร่ือง การดำเนนิ ชวี ิตแบบเศรษฐกจิ พอเพยี งไดอ้ ยา่ งชดั เจนและถกู ตอ้ ง 2) มีความคิดวเิ คราะห์ในการแก้ปญั หาอยา่ งเป็นระบบ 3) กลา้ แสดงความคิดอยา่ งมเี หตุผล 4) กลา้ ทักทว้ งในสิ่งท่ไี ม่ถกู ตอ้ งอยา่ งถูกกาลเทศะ 5) กลา้ ยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผู้อืน่ 6) ใช้วสั ดุถกู ต้องและเหมาะสมกับงาน 7) ไม่มเี รอ่ื งทะเลาะวิวาทกับผ้อู ่นื 8) คดิ ส่งิ ใหม่ ๆ ทเี่ กดิ ประโยชนต์ อ่ ตนเอง และสังคม ๓. ภูมิค้มุ กัน หมายถึง การเตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ มรับผลกระทบและการเปล่ยี นแปลงดา้ นต่างๆ ท่ีจะเกดิ ขึ้น โดยคำนึงถงึ ความเปน็ ไปไดข้ องสถานการณ์ต่างๆ ท่คี าดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต 1) ผู้เรียนได้รบั ความรู้ทีถ่ ูกตอ้ ง พรอ้ มทงั้ กำหนดเน้อื หาไดค้ รบถ้วนถูกตอ้ งหัวขอ้ เรอื่ ง 3) มกี ารเตรียมความพรอ้ มในการเรียน 4) กล้าซักถามปญั หาหรือขอ้ สงสยั ตา่ ง ๆ อย่างถกู กาลเทศะ 5) แกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ได้ด้วยตนเองอยา่ งเป็นเหตเุ ปน็ ผล 6) ควบคมุ อารมณข์ องตนเองได้ 7) ควบคุมกิรยิ าอาการในสถานการณ์ต่างๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี การตัดสนิ ใจและการดำเนนิ กจิ กรรมต่างๆใหอ้ ยใู่ นระดับพอเพียงหรือตามปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงนนั้ ต้องอาศยั ทัง้ ความรูแ้ ละคุณธรรมเป็นพืน้ ฐาน ดงั น้ี 2. เงอ่ื นไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบร้เู กี่ยวกับวิชาการตา่ งๆ ที่เก่ียวขอ้ งรอบดา้ นความรอบคอบ ท่จี ะนำความรเู้ หล่านน้ั มาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพอ่ื ประกอบการวางแผนและความระมัดระวงั ในการปฏิบตั ิ 1) ผู้เรยี นไดใ้ ช้กระบวนการคิดตามการเขียนในงานอาชพี แบบบูรณาการดา้ นหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง เรอ่ื ง การดำเนินชวี ิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง(ความสนใจใฝ่รู้ ความรอบรู้ รอบคอบ ระมดั ระวงั ) 2) มคี วามรู้ ความเข้าใจ ในหัวข้อต่าง ๆ 3) ใช้วสั ดอุ ย่างประหยดั และคุ้มคา่ 4) ปฏบิ ัตงิ านดว้ ยความละเอียดรอบคอบ 5) มีความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187