Unit 4 : การสบื พนั ธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์ (Reproduction and Development) จดั ทำโดย นำงสำวสุกฤตำ โสมล (ชวี วทิ ยำ ชัน้ ม.6) 1 กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรียนเบญจมรำชูทศิ จังหวัดจันทบุรี
ประเภทของการสบื พนั ธ์ุ (Reproduction) การสืบพันธุ์เป็นการเพิ่มจานวนของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน ถือเป็นสมบัติสาคัญท่ีสุดในการระบุ ความเป็นสิง่ มีชีวติ และทาให้สงิ่ มีชวี ิตแต่ละชนดิ ดารงเผา่ พันธ์อุ ย่ไู ด้ (Continuity of species) แบง่ เปน็ • กำรสืบพนั ธุแ์ บบไม่อำศัยเพศ (Asexual reproduction) • กำรสืบพนั ธุแ์ บบอำศัยเพศ (Sexual reproduction) ข้อเปรยี บเทยี บ Asexual reproduction Sexual reproduction จานวนของสง่ิ มชี ีวติ ทใ่ี ห้กาเนดิ พ่อ/แมเ่ พียงตวั เดียว ทงั้ พอ่ และแม่ (parents) กระบวนการสรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ มี ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของลกู ไมม่ ี (ยกเวน้ parthenogenesis) มีควำมแปรผนั ทำงพนั ธกุ รรม เหมือนกบั ส่งิ มีชีวิตท่ีใหก้ ำเนิดทกุ ประกำร มี การปฏสิ นธิ (Fertilization) ขอ้ ดี ไม่มี ลกู ท่ีเกิดขนึ้ สำมำรถอย่ใู นสภำพแวดลอ้ ม กำรเพ่ิมจำนวนเกิดขนึ้ ไดอ้ ย่ำงรวดเรว็ ท่ีมีกำรเปล่ยี นแปลงมำกได้ ข้อเสยี สตั วต์ อ้ งอยใู่ นสภำพแวดลอ้ มท่ีมี ตอ้ งใชพ้ ลงั งำนในกำรสบื พนั ธมุ์ ำก จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล กำรเปล่ยี นแปลงเพียงเลก็ นอ้ ย 2
การสบื พันธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศ (Asexual reproduction) 1. การเพมิ่ จานวนออกเปน็ สอง : Binary fission - กำรเพ่ิมจำนวนจำกเซลลท์ ่ีใหก้ ำเนิด 1 เซลลเ์ ป็นเซลลล์ กู สองเซลลท์ ่ีมีขนำด เทำ่ กนั เชน่ กำรแบง่ ตวั ออกเป็นสองใน Amoeba , Paramecium 2. การแตกหนอ่ : Budding - กำรเพ่ิมจำนวนโดยกำรสรำ้ งเซลลล์ กู ออกมำจำกพอ่ หรอื แม่ โดยหน่อ (bud) ท่ีเกิดขนึ้ จะมีขนำดเลก็ กว่ำ เช่น กำรแตกหน่อภำยใน (gemmule) ในฟองนำ้ ซง่ึ มกั จะเกิดในภำวะท่ีไมเ่ หมำะสม กำรแตกหนอ่ ของ Hydra 3. การงอกใหม่ : Regeneration - กำรท่ีชิน้ สว่ นของรำ่ งกำยเกิดกำรขำดออกไปแลว้ มีกำรพัฒนำเป็น ส่งิ มีชีวติ ตวั ใหม่ได้ เชน่ กำรงอกใหม่ใน Planaria ดำวทะเล จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล - กำรงอกใหม่เพ่ือทดแทนสว่ นท่ีชำรุดหรอื หลดุ ไป เชน่ กำรงอกของหำงจิง้ จก ไม่จดั เป็นกำรสบื พนั ธุ์ เพรำะไม่ไดท้ ำใหเ้ กิดส่งิ มีชีวิตตวั ใหม่ขนึ้ มำ เป็นเพียงกำรซอ่ มแซมสว่ นท่ีสึกหรอเท่ำนนั้
4. การเกดิ Parthenogenesis - การเจริญของเซลลไ์ ข่ (egg ;n) เป็นตัวเต็มวัยไดโ้ ดยที่ไม่ต้องได้รับ การปฏิสนธจิ าก ตัวผู้ เชน่ ในผงึ้ โดยถา้ ไข่เจรญิ แบบ parthenogenesis จะไดเ้ ป็นผ้งึ ตัวผู้ (drone) แต่ ถ้าไขไ่ ดร้ บั การผสมกบั sperm กจ็ ะเจรญิ ไปเปน็ ผึง้ งานเพศเมีย (worker) และถ้าผ้ึงเพศ เมยี เหล่าน้ีได้รับฮอรโ์ มนทีเ่ หมาะสมกอ็ าจจะพัฒนาไปเปน็ ราชินีผง้ึ (queen) ได้ตอ่ ไป ❑ สตั วก์ ลมุ่ Hermaphrodite - สัตวไ์ ม่มกี ระดกู สนั หลังหลาย ชนดิ จะมอี วัยวะของทัง้ สองเพศ ในตวั เดียวกัน เรียกว่า กะเทย (Hermaphrodite) สัตว์เหลา่ น้จี ะ มีแนวโนม้ ในการเกดิ การปฏสิ นธิ ขา้ มตวั (cross fertilization) เพ่อื เพ่มิ ความหลากหลายทาง พนั ธุกรรมใหก้ ับลูกทเ่ี กดิ ข้ึน **ยกเวน้ ในกลุ่มของพยาธิตวั ตืดทจี่ ะสามารถ เกิดการปฏสิ นธิในตัวเองได้ (self fertilization) จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
5. การสรา้ งสปอร์ (Spore formation/Sporulation) เซลล์มีการแบ่งหลายๆ คร้ังจนได้เป็นเซลล์จานวนมาก แต่ละเซลล์เรียก สปอร์ (spore) ซึง่ แพรไ่ ปในทีต่ า่ งๆได้โดยง่าย เชน่ เชือ้ รา เห็ด เฟิรน์ มอส จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 5
Life cycle of Rhizopus stolonifer 6.การสรา้ งตวั ออ่ นจากตวั ออ่ น (Paedogenesis) sporangium • เป็นการสืบพันธุ์ที่เกิดข้ึนโดยตัวอ่อนสามารถให้กาเนิดตัวอ่อน Asexual phase ดว้ ยกนั ได้ • พบในหนอนพยาธิใบไม้ระยะที่อยู่ในหอย โดยตัวอ่อนในระยะ Sexual phase Sporocyst จะให้กาเนิดตัวอ่อน Redia หรือ Daughter sporocyst ตอ่ มาตวั ออ่ น Redia จะให้กาเนิดตัวออ่ น Cercaria ไดอ้ กี zygospore จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 6
7. กำรขำดออกเป็ นทอ่ น (Fragmentation) 8. Duplication of Phage เกิดขนึ้ โดยท่ีสว่ นของรำ่ งกำยหลดุ ออกเป็นสว่ นๆ แตล่ ะสว่ นสำมำรถเจรญิ เป็นส่งิ มีชีวติ ตวั ใหม่ได้ พยำธิตัวตดื จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 7
9. การโคลน (Cloning) การโคลนสตั ว์กระทาโดยการนานิวเคลียสจากเซลล์ร่างกาย (somatic cell) ซงึ่ มยี ีนและ โครโมโซมครบถ้วนสมบูรณ์ ไปใสใ่ นเซลลไ์ ข่ (egg) ที่ถูกนานิวเคลียสออกไป โดยเชือ่ ว่า เซลล์ไขม่ ปี ัจจัยต่างๆ ทจ่ี ะกระตุ้นใหเ้ กดิ การแบ่งตวั หลังจากน้ันนาเซลล์ทไ่ี ด้ไปใส่ใน มดลกู แมห่ รือปล่อยให้เจรญิ เตบิ โตต่อไป *การโคลนสตั วท์ าสาเร็จคร้ังแรกในกบ แตท่ ม่ี ชี ือ่ เสียงมากๆ คือการโคลนแกะดอลลี่ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 8
Test About Fertilization : What is this? 1 23 4 5 จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
❑ การสบื พันธแ์ุ บบอาศยั เพศ (Sexual reproduction) 1. conjugation 2. การปฏสิ นธิ (fertilization) การ conjugation ระหว่างนวิ เคลยี สของโปรโตซวั 2 ตัว เป็นกระบวนการรวมกันของเซลลส์ บื พันธ์ุเพศผแู้ ละเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ จะมกี ารแบง่ ตวั แบบไมโอซสิ ต่อจากนน้ั มกี ารแลกเปล่ียน เพศเมยี ซ่ึงมี 2 รปู แบบหลกั คอื นิวเคลียส หลังจากทนี่ ิวเคลียสรวมตวั กันแล้ว โปรโตซวั ทั้งสองตวั จะแยกจากกันและต่างกไ็ ปแบ่งตัวต่อไป 2.1 การปฏสิ นธภิ ายนอกรา่ งกาย : External fertilization - สตั วจ์ ะมีกำรปลอ่ ยเซลลส์ บื พนั ธอุ์ อกมำภำยนอกรำ่ งกำย และ จะมีกำรปฏิสนธิเกิดขนึ้ ภำยนอกรำ่ งกำย - พบไดเ้ ฉพำะในสตั วท์ ่ีอย่ใู นนำ้ โดยสตั วเ์ หลำ่ นีจ้ ะอำศยั นำ้ เป็น ตวั กลำงในกำรปฏิสนธิ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 10
2.2 การปฏสิ นธภิ ายในรา่ งกาย : Internal fertilization ตุ่นปากเปด็ - สตั วเ์ พศผโู้ ดยท่วั ไปจะมีกำรปลอ่ ยเซลลส์ ืบพนั ธเุ์ ขำ้ ไปผสมกบั เซลลส์ ืบพนั ธเุ์ พศเมียในรำ่ งกำย - พบไดใ้ นปลำกระดกู ออ่ นบำงชนิด และสตั วม์ ีกระดกู สนั หลงั ท่ีอย่บู นบกสว่ นใหญ่ ▪ การเจรญิ ของลกู ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในสตั วท์ มี่ กี ารปฏสิ นธภิ ายใน สามารถเกดิ ได้ 3 รปู แบบคอื 1) Oviparity : สตั วท์ ีอ่ อกลกู เป็นไข่ เช่น ปลาบางชนดิ สตั วเ์ ล้ือยคลาน สัตวป์ ีก สตั วเ์ ล้ียงลูกด้วยน้านมบางชนิด (ตุ่นปากเปด็ ) 2) Ovoviviparity : สตั ว์ท่มี ีตัวอ่อนเจรญิ อยู่ในไขท่ ่ีอยู่ ภายในรา่ งกาย ได้รบั อาหารสะสมจากไขแ่ ดง เชน่ แมลงสาบมาดากัสการ,์ garter snake 3) Viviparity : สัตว์ทตี่ ัวอ่อนได้รับอาหารจากเลือดของ แมโ่ ดยตรง ไมไ่ ดผ้ ่านไขแ่ ดง เชน่ ปลาฉลาม และสตั ว์ เล้ียงลูกด้วยนา้ นมทง้ั หมด จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
3.การสบื พนั ธแ์ุ บบสลบั (Metagenesis) ของแมงกะพรนุ และโอบเี ลยี สบื พนั ธแุ์ บบอำศยั เพศโดยกำรปฏิสนธิระหวำ่ งสเปิรม์ กบั ไข่ สลบั กบั แบบไม่อำศยั เพศโดยกำรแตกหนอ่ ▪ การสบื พันธแ์ุ บบอาศยั เพศ เมดูซา (medusa) ตัวเมียปล่อยไข่ สว่ นเมดูซาตวั ผู้ปล่อยสเปริ ์มในน้า เมื่อไข่และสเปริ ม์ มาเจอกนั เกิดการปฏิสนธิ ไขท่ ่ไี ด้รบั การผสมแล้วจะเร่ิมแบง่ เซลล์ (เรยี กวา่ ระยะ cleavage) จากนน้ั ก็ เจรญิ เตบิ โตเปน็ ตวั ออ่ นทเี่ รยี กว่า พลานูลา (planula) มขี นาดเลก็ ประมาณ 0.80 มิลลเิ มตร เคล่อื นที่อยา่ งอิสระอยใู่ ต้นา้ พลานลู าจะพัฒนาไปเปน็ โพลปิ (polyp) อนั เลก็ ๆ แล้วหาทีเ่ กาะติด อยู่กบั วัสดทุ ไ่ี มเ่ คลื่อนที่ จากนั้นก็พฒั นาไปเป็นโพลปิ โตเต็มวัย เมือ่ สภาวะแวดล้อมเหมาะสม ส่วน ปลายของโพลปิ จะค่อย ๆ หลุดออกมาเปน็ เมดซู าตัวเลก็ ๆ ว่ายข้ึนมาเหนือน้าและโตขึ้นจน สามารถสืบพนั ธ์ไุ ดอ้ กี คร้งั ▪ การสบื พนั ธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศ โพลิปทโี่ ตเตม็ วยั แล้วจะแตกหนอ่ ออกมาเปน็ ตัวออ่ นท่ีมีลกั ษณะ เหมือนพลานูลาทกุ ประการ แต่ขนาดโตกว่าเลก็ นอ้ ย (0.95 มิลลิเมตร) ตัวอ่อนที่เกดิ จากการแตกหน่อเรยี กวา่ ฟรสั ทลุ (frustule) จะเคลื่อนไหวอยใู่ ต้ผวิ น้าและพฒั นาไปเปน็ โพลิปอีก ครงั้ หน่ึง - พลานูรา(planula) เป็นตวั อ่อนที่ 12 ไดจ้ ากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ - อไี ฟรา (ephyra) เปน็ ตัวออ่ นทไี่ ด้ จากการสืบพนั ธุ์แบบไมอ่ าศัยเพศ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
โครงสรา้ งของระบบสบื พนั ธเ์ุ พศชาย (Male Reproductive System) ระบบสืบพนั ธเุ์ พศชายประกอบดว้ ยส่วนตา่ งๆ ดังนี้ 1.อัณฑะ (testis) : เปน็ อวยั วะหลกั ในการสรา้ งอสุจิและสร้างฮอร์โมนเพศชาย จัดเปน็ ส่วนของตอ่ มเพศ (gonad) ของผู้ชาย โดยอณั ฑะจะอยู่ ภายในถงุ หุ้มอณั ฑะ (scrotum) ซึง่ ทาหน้าที่ช่วยในการปรับอณุ หภมู ภิ ายในอณั ฑะใหค้ งท่ีเหมาะสมต่อการสร้างอสจุ ิ (อุณหภูมใิ นถงุ อณั ฑะต่า กว่าอณุ หภมู ริ า่ งกายเลก็ น้อย) ภายในอัณฑะประกอบด้วย 1.1 หลอดสรา้ งอสจุ ิ (seminiferous tubule) : ท่อขนาดเลก็ ขดอยู่ ภายในประกอบด้วยเซลลต์ า่ งๆ ดังนี้ - เซลลท์ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั การสรา้ งเซลลอ์ สุจิ - เซลลเ์ ซอร์โทไล (sertoli cell) : เป็นเสมือนเซลลพ์ ี่เล้ยี งในการนาอาหาร แก๊ส และสารทจ่ี าเปน็ ตอ่ อสจุ ิมาเลยี้ งเซลลอ์ สุจิ - เซลลเ์ ลยด์ กิ (Leydig cell) หรือ Interstitial cell : เปน็ เซลลท์ สี่ ร้างฮอร์โมน testosterone 1.2 หลอดเกบ็ อสุจิ (epididymis) : บรเิ วณทเ่ี ก็บพกั อสุจิและกระตนุ้ การทางานของเซลลอ์ สุจิ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
2.ทอ่ นาอสจุ ิ (vas deferens) : ท่อท่ีทาหน้าท่ใี นการนาอสุจิใหเ้ คลอื่ นที่ไปยัง ภายนอกรา่ งกาย 3.ต่อมตา่ งๆ : ภายในระบบสืบพนั ธเุ์ พศชายมีดังนี้ 3.1 ต่อมสรา้ งน้าเลย้ี งอสุจิ (seminal vesicle) : ทาหน้าทส่ี ร้างและหลัง่ ของเหลวท่มี ีสีเหลืองออ่ น ประกอบดว้ ยเมือกต่างๆ วติ ามินซี กรดอะมิโน นา้ ตาล fructose ซง่ึ จดั เปน็ แหล่งพลังงานของเซลลอ์ สจุ ิ 3.2 ตอ่ มลกู หมาก (prostate gland) : ทาหนา้ ที่สรา้ งและหลง่ั ของเหลวท่มี ี สมบตั ิเป็นเบส เพือ่ ทาใหช้ ่องคลอดของเพศหญงิ ซึ่งมีสภาพเป็นกรดเปน็ สภาพ เป็นกลาง เมอื่ อสจุ เิ คลอ่ื นเขา้ สู่ช่องคลอดก็จะสามารถเขา้ ไปปฏิสนธิได้ 3.3 ตอ่ มคาวเปอร์ (Cowper’s gland) หรอื bulbourethral gland : สรา้ งและหลั่งของเหลวใสกอ่ นการหลงั่ จรงิ (pre-ejaculate fluid) สารนี้จะทา หน้าทล่ี ดความเป็นกรดภายในทอ่ ปสั สาวะของผู้ชาย หล่อลนื่ ท่อปสั สาวะ ซึ่ง ของเหลวท่ีหลัง่ ออกมาพร้อมของเหลวจากตอ่ มนอี้ าจจะมีเซลลอ์ สจุ อิ ยดู่ ว้ ย 4.องคชาติ หรือลึงค์ (penis) : อวยั วะหลกั ที่เกยี่ วข้องกับการมเี พศสัมพันธ์ซง่ึ จะ ใช้ในการสอดใสเ่ ขา้ ไปในชอ่ งคลอดเพ่ือใหอ้ สจุ ิสามารถเคล่ือนเข้าไปปฏิสนธไิ ด้ ภายในองคชาติจะประกอบดว้ ยทอ่ รวมระหว่างท่อปัสสาวะและทอ่ อสจุ ิ (urethra) องคชาตจิ ะเกดิ การแขง็ ตวั เมื่อมเี ลือดเข้าไปค่งั สะสมในช้นั กลา้ มเน้ือทม่ี ีลกั ษณะ คล้ายฟองนา้ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
ฮอรโ์ มนกบั ระบบสบื พนั ธเ์ุ พศชาย 15 การทางานของฮอร์โมนในระบบสืบพันธเ์ุ พศชายจะเกดิ ข้นึ เมือ่ ยา่ งเข้าสูว่ ัยรุ่น (puberty) อายุประมาณ 13 ปี โดยสมองสว่ นไฮโพทาลามัสจะสรา้ งและหล่งั ฮอร์โมน GnRH มากระตุน้ ให้ต่อมใตส้ มองส่วนหนา้ ใหห้ ลงั่ ฮอร์โมน FSH (follicle stimulating hormone) ซง่ึ จะไปกระต้นุ ให้เกิดกระบวนการสร้างเซลลอ์ สุจิ และฮอรโ์ มน LH (luteinizing hormone) ซ่ึงจะกระตนุ้ เซลลเ์ ลยด์ กิ (Leydig cell) ใหส้ รา้ งฮอรโ์ มนเพศ ชาย testosterone สาหรบั ควบคุมการทางานของระบบสืบพันธ์ุ และควบคุมลักษณะ ทางเพศทตุ ยิ ภูมิ (secondary sex characteristics) ซ่ึงเป็นลักษณะทแี่ สดงถึงความ เป็นเพศชายนอกเหนอื ไปจากความสามารถในการสรา้ งอสุจิ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
โครงสรา้ งของระบบสบื พนั ธเ์ุ พศหญงิ (Female Reproductive System) ระบบสืบพนั ธ์เุ พศหญิงประกอบดว้ ยสว่ นต่างๆ ดงั นี้ 1.รังไข่ (ovary) : โครงสรา้ งหลักที่เกย่ี วขอ้ งกับ การสร้างไข่และการสรา้ งฮอร์โมนเพศหญงิ (เทียบได้กับอัณฑะ) 2.มดลกู (uterus) : โครงสรา้ งหลกั ในการฝังตัวของ เอม็ บรโิ อ (embryo) โดยเอ็มบริโอจะเข้ามาฝงั ตัวท่ี ผนังมดลกู ช้นั ใน (endometrium) ถา้ หากไม่มี การปฏิสนธิเกิดข้ึนผนังมดลกู ชนั้ ในจะเกิดการหลุด ออกออกเปน็ ประจาเดอื น (menstruation) 3.ท่อนาไข่ (oviduct) หรือปีกมดลกู (uterine tube) : บริเวณทีเ่ กดิ การปฏสิ นธิขึ้นและนาพา ไข/่ เอ็มบรโิ อมาฝงั ตวั ทบี่ รเิ วณมดลูก โดยจะมีเซลล์ท่ีมีซเิ ลียคอยพัดโบก 4.ปากมดลกู (cervix) : บรเิ วณมดลูกตอนล่างที่ติดกบั ชอ่ งคลอด มีลกั ษณะเป็นปากแคบ เข้าหากัน 5.ชอ่ งคลอด (vagina) : สว่ นปลายสดุ ของระบบสบื พนั ธุ์เพศหญงิ เปน็ บรเิ วณที่รองรับ การสอดใส่ขององคชาตแิ ละใช้สาหรับการคลอดลูก จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
ฮอรโ์ มนกบั ระบบสบื พนั ธเ์ุ พศหญงิ การทางานของฮอรโ์ มนในระบบสบื พันธ์ุเพศหญิงจะมคี วามสลบั ซับซอ้ นกวา่ ในเพศชาย เนอื่ งจากในเพศหญิงจะมีรอบเดือน (menstruation) ซงึ่ เกดิ จากการทางานรว่ มกันของฮอร์โมน 5 ชนิด คือ GnRH , FSH , LH , estrogen และ progesterone อยา่ งมีรปู แบบทสี่ ัมพนั ธก์ ัน โดยผู้หญงิ จะเริ่มมปี ระจาเดอื นคร้ังแรก (menarche) เมือ่ อายุประมาณ 11-12 ปี หลงั จากนนั้ จะมี ประจาเดือนไปเรื่อยๆ จนอายุประมาณ 50 ปีประจาเดอื นจะหมดไปแล้วเขา้ สู่ระยะวัยทอง (menopause) จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล รอบเดือนของผู้หญงิ จะเรม่ิ ต้นจากการที่สมองสว่ นไฮโพทาลามัสหลง่ั ฮอรโ์ มน GnRH ออกมากระตุน้ ตอ่ มใต้สมองสว่ นหนา้ ใหส้ รา้ งและหลง่ั ฮอร์โมน FSH ออกมา ซึ่งฮอร์โมน FSH น้ีจะไปกระต้นุ เซลล์ฟอลลิเคลิ (follicle) ทอ่ี ยู่รอบ เซลลไ์ ข่ให้เกิดการพฒั นาขน้ึ เมือ่ เซลล์ฟอลลิเคลิ เจริญมากขน้ึ เซลล์ฟอลลิเคลิ เหลา่ น้กี จ็ ะสรา้ งฮอรโ์ มนเอสโทรเจน (estrogen) ออกมาเพิม่ ขึ้นจนกระทั่งสูง เพียงพอท่ีจะไปกระต้นุ ตอ่ มใต้สมองส่วนหน้าใหห้ ล่ังฮอรโ์ มน LH ออกมา ซึ่ง ปรมิ าณ LH ทีส่ งู มากนีก้ ็จะทาให้เซลล์ secondary oocyte หลดุ ออกจากรังไข่ เกดิ การตกไข่ (ovulation)
การตกไข่ (Ovulation) การตกไข่ คอื การท่ไี ข่สุกและออกจากรงั ไขเ่ ขา้ สู่ท่อนาไข่ การตกไขจ่ ะเกดิ ขน้ึ หลงั จากวนั ทมี่ ีรอบเดือนวนั แรกประมาณ 13-15 วนั การตกไขค่ รัง้ แรกของวัยสาวของคนจะเรม่ิ ข้นึ หลังจากมีประจาเดอื นได้ 2-3 ปี โดยจะเกดิ การตกไข่ต้งั แตอ่ ายุ 14-15 ปี จนถงึ ประมาณ 44-45 ปี ดงั นั้น ตลอด ช่วงอายุของเพศหญงิ จึงมไี ข่ตกไดไ้ มเ่ กนิ 400 ฟอง (ประมาณกนั ว่าต้งั แตเ่ ดก็ จะมโี อโอไซต์ระยะแรกอย่ปู ระมาณ 2 ล้านใบ ซ่งึ ปรากฏอย่แู ล้วตั้งแต่ทารกจน คลอด ตอ่ มาโอโอไซต์ระยะแรกจะลดลงเรอ่ื ยๆ จนถงึ วัยก่อนมปี ระจาเดอื นหรือ อายปุ ระมาณ 12-14 ปี จะเหลอื โอโอไซต์ระยะแรกอยู่ในรังไข่ 2 ข้างประมาณ 400,000 ใบ) วันแรกของการ 13-15 วันตอ่ มา ไขส่ ลายตวั มปี ระจาเดอื น (24 ช่วั โมงต่อมา) รอบประจาเดอื น 26-28 วัน (ระยะทีม่ ี 18 ประจาเดอื น ไขต่ ก (ovulation) (13-15 วันตอ่ มา) 2-5 วัน) จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
กระบวนการสรา้ งเซลลส์ บื พันธข์ุ องสตั วช์ ้นั สงู (Gametogenesis) 1.กระบวนการสรา้ งเซลล์สบื พนั ธ์ุเพศชาย (spermatogenesis) 2.กระบวนการสร้างเซลล์สืบพนั ธ์ุเพศหญงิ (Oogenesis) จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล • อวยั วะสรา้ งอสุจิคืออณั ฑะ (testis) และอวัยวะทส่ี ร้างไข่คือรงั ไข่ (ovary) • ภายในอณั ฑะมเี ซลล์พวกหนึง่ ทเ่ี รยี กว่า spermatogonium และภายใน รงั ไขม่ เี ซลลพ์ วกหน่ึงทเี่ รียกวา่ oogonium • กลุ่มเซลล์ทั้งสองมตี น้ กาเนดิ มาจาก primordial germ cell ซ่งึ เป็นกลุม่ เซลลจ์ ากช่องทอ้ งเคลอ่ื นเข้ามาอยู่ในอวยั วะสืบพนั ธใ์ุ นระหว่างการเกิด อวัยวะสบื พันธุ์ 19
1.กระบวนการสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธเ์ุ พศชาย (spermatogenesis) เกดิ ข้นึ ภายในหลอดสรา้ งอสจุ ิ (seminiferous tubule) ในอณั ฑะ (testis) โดยภายในจะมเี ซลล์ spermatogonium (2n) อยเู่ ปน็ จานวนมาก และมีการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิส (mitosis) เพื่อเพ่ิมจานวนตลอดเวลาตง้ั แต่ตอนท่ีเปน็ ทารกอยู่ในครรภ์ - เมอ่ื เข้าสู่วัยรนุ่ เซลล์ spermatogonium บางส่วนจะพฒั นาเปน็ เซลลท์ ่มี ีขนาดใหญ่ ขึน้ เรียกวา่ primary spermatocyte (2n) ซึง่ เมอื่ ร่างกายได้รับฮอรโ์ มน FSH มา กระตุ้น เซลล์ชนดิ น้กี จ็ ะเกดิ การแบง่ เซลล์ แบบไมโอซิส I (meiosis I) กลายเป็น secondary spermatocyte (n) จานวน 2 เซลลก์ ่อนจะเกดิ การแบ่งเซลลแ์ บบ ไมโอซสิ II(meiosis II)ได้เป็น spermatid (n) จานวน 4 เซลล์ - หลังจากนนั้ spermatid จึงมกี าร เปล่ยี นแปลงรปู รา่ งผา่ นกระบวนการ spermatogenesis เพอื่ สร้างเป็นเซลล์ อสจุ ิ (sperm) ตอ่ ไป จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
- ตัวอสุจปิ ระมาณ 180-500 ลา้ น ตัว/2-7 cm3 มชี ีวติ ในรา่ งกายเพศ หญงิ ไดไ้ มเ่ กนิ 2 วัน(48 ช่วั โมง) - นา้ หลอ่ เลย้ี งได้จากตอ่ มสร้างน้า เลีย้ งอสุจิ 75-80% ของนา้ อสุจิ ทง้ั หมด ไดจ้ ากต่อมลกู หมาก 15-20% และจากหลอดเก็บตวั อสจุ ินอ้ ยท่ีสุด จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
2.กระบวนการสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธเ์ุ พศหญงิ (Oogenesis) - เกดิ ขึ้นภายในรงั ไข่ (ovary) โดยจะมเี ซลลเ์ ร่มิ ต้น คือ oogonium (2n) ซึ่งจะมกี ารแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ (mitosis) เพื่อเพิม่ จานวน โดย oogonium บางส่วนจะเจรญิ พัฒนาไปเปน็ primary oocyte (2n) ต้ังแต่อยใู่ นครรภ์ และจะหยุดแบ่งเซลลอ์ ยทู่ ่ีระยะ prophase I - จนกวา่ จะเขา้ สวู่ ัยรุ่น ซึง่ จะมีฮอรโ์ มนเพศมากระตนุ้ ให้ primary oocyte เกิดการแบง่ เซลลแ์ บบ ไมโอซสิ I (meiosis I) เป็น secondary oocyte (n) 1 เซลล์ และเซลล์ขนาดเลก็ ท่เี รียกวา่ first polar body (n) อกี 1 เซลล์ - จากน้ันจะหยดุ การแบง่ เซลลอ์ ีกครงั้ ในระยะ metaphase II แลว้ เกิดการตกไข่ (ovulation) ในแตล่ ะ รอบเดือน จนกวา่ secondary oocyte จะได้รับการปฏิสนธิ (fertilization) จึงจะเกดิ การแบง่ เซลลต์ อ่ ไป เปน็ ootid (n) และ secondary polar body ซ่ึงท้ายทีส่ ดุ สว่ นของ polar body เหล่านีจ้ ะสลายตวั ไป จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
ข้อแตกตา่ งระหวา่ ง Spermatogenesis กับ Oogenesis Spermatogenesis Oogenesis 23 1. ผลท่ไี ด้ 4 mature spermatozoa 1. ผลทีไ่ ด้ single ovum สว่ น polar body สลายไป 2. เกิดตลอดเวลาในช่วงอายุของสง่ิ มชี ีวติ 2. Potentail ova (primary oocyte) อยู่ใน ovary แลว้ ต้งั แตเ่ กิด 3. Spermatogenesis เกิดต่อไปเรอ่ื ยๆ 3. Oognesis มีช่วงพัก จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
การเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์ (Animal Development) การเจริญของสัตว์ประกอบดว้ ย 4 กระบวนการ คอื 1.การแบง่ เซลล์ (cell division) เป็นการเพ่มิ จานวนเซลล์สาหรับการเจริญของเอม็ บรโิ อ 2.การขยายขนาดของเซลล์ (cell growth) 3.การเปลย่ี นแปลงรปู รา่ งของเซลล์เพ่ือทาหนา้ ทเ่ี ฉพาะ (cell differentiation) 4.การรวมกลมุ่ กนั ของเซลล์เพอ่ื สร้างเป็นเนอื้ เยอ่ื และอวยั วะ (morphogenesis) ขั้นตอนของการเจรญิ ในสตั ว์ ประกอบดว้ ยข้ันตอนย่อย ๆ คอื ▪ การปฏสิ นธิ (fertilization) ▪ การคลเี วจ (cleavage) ▪ การบลาสทูเลชนั (blastulation) ▪ การแกสทรเู ลชนั (gastrulation) ▪ Organogenesis จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
กำรปฏิสนธิและกำรฝังตวั ของเอม็ บริโอทผ่ี นังมดลูก 25 การปฏสิ นธิ (fertilization) : เปน็ กระบวนการรวมกันของ เซลลส์ ืบพนั ธ์ุเพศผู้และเพศ เมีย โดยเซลลไ์ ข่ท่ีไดร้ บั การ ปฏิสนธิ (fertilized egg) จะ เรยี กว่า ไซโกต (zygote) ถา้ ไซโกตเริ่มแบง่ เซลลจ์ ะถอื ว่า ได้เข้าสรู่ ะยะเอม็ บรโิ อ (embryo) จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
❑ การคลเี วจ (cleavage) : เป็นการเพิ่มจานวนเซลล์ของไซโกตจากการแบ่งเซลลแ์ บบ mitosis ทาใหม้ ีจานวนเซลล์มากข้ึน แตข่ นาดของ เซลล์จะลดลง สง่ ผลใหข้ นาดของเอ็มบริโอโดยรวมมีขนาดเทา่ เดมิ เนอื่ งจากเซลล์แต่ละเซลล์ไม่มีการเติบโต (ไม่พบการขยายขนาดของเซลล)์ • เพม่ิ จานวนเซลล์ →เซลล์จานวนมาก,ขนาดเล็กลง→เรยี กแต่ละเซลล์ว่า บลาสโทเมียร์ (blastomere) แบ่งเป็น **สรุปรูปแบบของการคลีเวจจะขน้ึ อยกู่ ับ ชนิดของไข่แดง เช่น -สตั วท์ ม่ี ีไขแ่ ดงนอ้ ย (เมน่ ทะเล = sea urchin สตั ว์เลี้ยงลูกดว้ ยน้านม) : การคลเี วจจะ เกิดขน้ึ ตลอดตัวเอม็ บรโิ อ - สัตวท์ ี่มไี ขแ่ ดงปานกลาง (กบ) : การคลีเวจจะ เกิดขนึ้ ตลอดตัวเอ็มบรโิ อ โดยบรเิ วณดา้ นลา่ งจะ มไี ข่แดงอย่เู ยอะ (vegetal pole) และจะเกิดการ แบ่งเซลลน์ ้อย เซลลจ์ ึงมีขนาดใหญ่กวา่ กลุ่ม เซลลท์ างดา้ นบนของเอม็ บรโิ อ (animal pole) - สัตวท์ ่มี ไี ข่แดงมาก (สตั วเ์ ลอื้ ยคลาน สตั ว์ปกี ) : การคลเี วจจะเกดิ ข้ึนบาง บรเิ วณ ในไก่จะเกดิ ขนึ้ บริเวณผิวด้านบนของไขแ่ ดงซึ่งมไี ซโตพลาสซมึ และนวิ เคลยี สอยู่เท่านั้น เป็นบรเิ วณทเ่ี รยี กว่า germinal disc (a), (b) และ (c) แสดง blastula จากภายนอก คลเี วจเปน็ แบบท่มี กี ารแบ่ง ตลอดไข่ แต่แบ่งไมเ่ ทา่ กนั ดงั นั้น blastomere ทไ่ี ด้จงึ มขี นาดแตกต่างกัน (d) แสดงภาพตดั ตามขวางของ blastula ช่อง blastocoel ทเี่ กดิ ขึ้นอยู่คอ่ น ไปทางด้าน animal pole blastoderm ประกอบด้วยกลมุ่ เซลลท์ ีเ่ รยี งตัว มากกว่า 1 ชนั้ ❑ ในมนษุ ย์เมอื่ เอ็มบริโอเข้าส่รู ะยะคลีเวจจะเกิดการแบง่ เซลล์จานวนมาก เกดิ เปน็ เอ็มบรโิ อท่ีมีลักษณะคลา้ ยลูกนอ้ ยหน่า เรียกวา่ มอรลู า (morula)จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
❑ การบลาสทเู ลชนั (blastulation) : เป็นกระบวนกำรท่ีเซลลข์ องเอ็มบรโิ อมกี ำรจดั เรยี งตวั เป็นชน้ั อยรู่ อบนอก ตรงกลำงมีลกั ษณะเป็น ช่องท่ีมขี องเหลวบรรจอุ ยู่ เรยี กว่ำ blastocoel สำหรบั ใหเ้ ซลลส์ ำมำรถเกิดกำรเคล่ือนท่ไี ด้ ❑ ในมนษุ ย์หรอื สตั วพ์ วกไพรเมตทีอ่ ย่ใู นระยะ blastula เปน็ ระยะทีม่ กี ารฝังตวั ในผนงั มดลูกช้นั ใน (endometrium) โดยระหวา่ งท่ีตวั อ่อน (embryo) เคลอ่ื นท่ีมาสู่ผนังมดลูกจะมีการเคล่ือนท่ีของ กลุม่ เซลล์แยกออกเปน็ 2 กลุ่ม คอื 1) Trophoblast – เปน็ กลมุ่ เซลลท์ ่ีเรยี งตวั ช้ันเดียวอย่รู อบนอก ซ่ึงในการเจริญต่อไปจะเจริญ รว่ มกบั เนือ้ เยื่อของผนงั มดลกู กลายเปน็ รก (placenta) 2) Inner cell mass – รวมกลุ่มอย่ดู า้ นใน เปน็ สว่ นทเี่ จริญต่อไปเปน็ อวยั วะต่างๆ ของ embryo และเนื่องจากembryo มลี ักษณะเป็นถุง ดงั นนั้ จึงเรยี กเอ็มบริโอระยะนี้วา่ blastocyst จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 27
❑ การแกสทรเู ลชนั (gastrulation) : เปน็ กระบวนการท่ีเซลลใ์ นเอม็ บรโิ อมีการจัดเรยี งเป็นชนั้ ต่างๆ (germ layer) 3 ช้ัน คือ ช้นั เอกโตเดริ ม์ (ectoderm) ช้ันมีโซเดริ ม์ (mesoderm) และชัน้ เอนโดเดริ ม์ (endoderm) ตามลาดบั -การเคลื่อนทขี่ องเซลลใ์ นระยะแกสทรลู า จะนาไปสกู่ ารพฒั นาชอ่ งภายในท่ี เรยี กว่า gastrocoel หรือ archenteron (ซงึ่ จะพัฒนาต่อไปเปน็ ทอ่ ของระบบ ทางเดนิ อาหาร) บริเวณช่องเปดิ ของ gastrocoel นีจ้ ะเรยี กวา่ blastopore ซึง่ การพัฒนาของ blastopore น้ีจัดเป็นเกณฑ์หลักในการจดั จาแนกสตั วใ์ น อาณาจกั รสตั วต์ ่อไป • ในสัตว์ บลาสโทพอร์เจรญิ เปล่ยี นแปลงไดด้ งั น้ี 1) ในสัตว์กลุ่ม protostomia ชอ่ ง blastopore จะพฒั นาไปเปน็ ช่องปาก สว่ นช่องเปิดท่ีสองจะพฒั นาไปเป็น anus จะเรยี กสัตว์ กลมุ่ นีว้ ่า โปรโตสโตเมยี (Protostomia) ได้แก่ หนอนพยาธติ วั กลม (Nematode) Annelid Mollusk Arthropod 2) deuterosmomia แปลว่า ปากมาเป็นอันดบั สอง ซงึ่ หมายถงึ ทวารหนกั มาก่อนชอ่ งปาก จะเรียกสัตว์กล่มุ น้ีว่า ดวิ เทอโรสโตม (Deuterostone) ได้แก่ Echynoderm Chordate จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 28
❑ ออรแ์ กนโนเจเนซสี (Organogenesis) : เป็นกระบวนการที่เน้ือเยื่อทั้ง 3 ชั้นของเอ็มบริโอมีการเปล่ียนแปลงเป็นอวัยวะต่างๆ โดยระบบแรกท่ีมีการพัฒนาคือ ระบบประสาท (Nervous system) - ช้ันเนื้อเยื่อแต่ละช้ันนี้จะมีการพัฒนาเปล่ียนเป็นอวัยวะ ตา่ งๆ ในร่างกายดังนี้ ช้ันเนอ้ื เยอื่ อวัยวะและเนื้อเย่อื ทเี่ จรญิ เม่อื เป็นตวั เต็มวยั เอกโตเดริ ม์ ชน้ั หนงั กำพรำ้ ของผิวหนงั เซลลเ์ ย่ือบผุ ิวในปำกและทวำร (ectoderm) หนกั ระบบประสำท สว่ นของกระจกตำและเลนสต์ ำ เซลล์ รบั ควำมรูส้ กึ ในผิวหนงั มโี ซเดริ ม์ (mesoderm) ระบบโครงกระดกู และกลำ้ มเนือ้ ระบบหมนุ เวียนเลือด ระบบขบั ถ่ำย ระบบสืบพนั ธุ์ (ยกเวน้ เซลลท์ ่ีเก่ียวขอ้ งกบั กำร เอนโดเดริ ม์ สรำ้ งเซลลส์ ืบพนั ธุ)์ เย่ือบชุ อ่ งต่ำงๆ ในรำ่ งกำย (endoderm) เซลลบ์ ผุ ิวในระบบทำงเดินอำหำรและระบบทำงเดินหำยใจ ตบั ตบั ออ่ น ตอ่ มไทรอยด์ และตอ่ มพำรำไทรอยด์ ตอ่ ม ไทมสั ทอ่ ปัสสำวะ กระเพำะปัสสำวะ และระบบสืบพนั ธุ์ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 29
ชนดิ ของไขแ่ บง่ ตามปรมิ าณของไขแ่ ดง 30 1.Homolecithal egg : เป็นไขท่ มี่ ีไข่แดงนอ้ ย กระจายปนอย่ใู นไซโทพลาซมึ เช่น ไข่ดาวทะเล 2.Mesolecithal egg : เป็นไขท่ ีม่ ีไขแ่ ดงปานกลาง ไข่จะรวมกันอยู่ด้านใด ด้านหนงึ่ ของไข่ เชน่ ไขก่ บ 3.Polylecithal egg : เป็นไข่ทม่ี ไี ขแ่ ดงมาก เชน่ ไข่ของไก่ นก จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
❑ การเจรญิ ของเอม็ บรโิ อกบ ไขก่ บมี 2 ด้าน คอื 1. คร่งึ บน (Animal pole) มีสเี ขม้ เนอื่ งจากสารสเี มลานิน (melanin) เป็นดา้ นท่ีสเปริ ม์ จะเขา้ ปฏิสนธิ 2. ครงึ่ ลา่ ง (Vegetal pole) มีสีจาง มอี าหารหรอื ไขแ่ ดงสะสมจมอยู่ด้านล่าง การเจริญมี 2 ระยะ คือ 1. ระยะเอม็ บริโอ (2 วนั ) มี 4 ระยะย่อย คือ cleavage , blastulation, gastrulation, Morphogenesis and organogenesis 2. ระยะหลงั เอม็ บริโอ จะมี Metamorphosis จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 31
จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล สตั วก์ ลมุ่ แอมนโิ อต (amniotes) Amniotes คอื สัตว์มกี ระดูกสนั หลงั กลุม่ ท่ีมกี ารสร้างโครงสรา้ งพิเศษสาหรับ หอ่ หมุ้ ตัวออ่ น (extraembryonic membrane) ได้แก่ สตั ว์เล้ือยคลาน สัตว์ปีก สัตว์เลีย้ งลกู ด้วยนา้ นม ซงึ่ มีโครงสรา้ งหลายอยา่ งที่พัฒนาขน้ึ สรุปไดด้ งั นี้ 1.ถงุ ไขแ่ ดง (yolk sac) ภายในบรรจุไขแ่ ดง (yolk) ซึ่งถูกใช้ เป็นอาหารเล้ยี งตวั อ่อนขณะเจริญอยู่ภายในไข่ 2.ถุงนา้ ครา่ (amnion) ภายในมีของเหลวบรรจุเรียกวา่ น้าคร่า (amniotic fluid) ทาหนา้ ทใี่ นการป้องกนั การกระทบกระเทอื น และป้องกนั ไมใ่ ห้เอ็มบรโิ อแห้งจนเกดิ การขาดน้าขน้ึ 3.ถงุ แอลแลนทอยส์ (allantois) เป็นสว่ นทอี่ ย่ชู ดิ ตดิ กบั คอเรยี น พรอ้ มกับมีหลอดเลอื ดฝอยอยู่โดยรอบ ทาหนา้ ท่ใี นการเกบ็ ของ เสยี ประเภทกรดยูริกเอาไว้ จนกว่าเอ็มบริโอจะฟกั ออกจากไข่ รวมถงึ การแลกเปลีย่ นแก๊ส 4.คอเรยี น (chorion) เป็นเมมเบรนสว่ นท่อี ยูน่ อกสดุ และอยตู่ ดิ กับเปลือกไข่ ทาหน้าทใ่ี นการแลกเปล่ยี นแกส๊ 5.เปลอื กไข่ (shell) ช่วยในการปอ้ งกันอนั ตรายและป้องกนั การสญู เสยี นา้ ของเซลลไ์ ข่ 32
สรปุ โครงสรา้ งและการแกป้ ญั หาของเอ็มบรโิ อไก่ • ถงุ แอลแลนทอยส์ (Allantois) ทาหนา้ ท่แี ลกเปลีย่ นแก๊ส O2 และ CO2 รวมท้งั เกบ็ สะสมของเสยี ประเภทกรดยรู ิกหรือ ทาหนา้ ทีข่ ับถ่ายนนั่ เอง • ถงุ น้าครา่ (Amnion) อยูร่ อบเอ็มบรโิ อ บรรจขุ องเหลวเรยี กวา่ นา้ คร่า (Amniotic fluid) มหี น้าที่ป้องกนั การกระทบกระเทอื นใหก้ บั เอม็ บรโิ อ • เปลอื กไข่ (Shell) มหี นา้ ท่ีป้องกันอนั ตราย และลดการสญู เสยี นา้ • ไข่แดง (Yolk) เป็นแหล่งอาหารของตวั อ่อน ❑ การเจรญิ ของเอ็มบรโิ อไก่ • เซลลไ์ ขค่ อื เฉพาะบริเวณท่เี รยี กว่า ไขแ่ ดง ประกอบด้วยนวิ เคลยี สและไซโทพลาสซมึ กำรเจริญของเอม็ บริโอไก่ : cleavage แบบ Meroblastic (ไขแ่ ดงมีมำก จงึ แบง่ เซลลเ์ ฉพำะบรเิ วณ เลก็ ๆ ใกลผ้ ิวเซลล์ ซ่งึ ปลอดจำกไข่แดง→Blastulation →Gastrulation →Organogenesis and Morphogenesis ไก่พันธุ์บรำห์มำ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 33
จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล เสริมเกรด็ ความรู้!! 34
❑ การเจรญิ ของเอม็ บรโิ อมนษุ ย์ ขั้นตอนการปฏสิ นธิ (Fertilization) -การปฏิสนธิของมนษุ ย์เกิดขนึ้ ทีบ่ รเิ วณส่วน ampulla ท่อนาไข่ (oviduct) หรอื ปกี มดลกู ไขท่ ไี่ ดร้ บั การผสมจะแบง่ ตวั ต่อไปและเคลอ่ื นไปฝังตวั ในมดลูกภายใน 7 วนั Sperm (n)+ Ovum (n) ซ่งึ การปฏิสนธเิ กิดที่ตอนตน้ 1/3 ของท่อนาไขห่ รือ 2/3 ตอนปลายของปีกมดลกู ในวนั ที่ 14 ของรอบเดือน →zygote (2n)→เอม็ บรโิ อระยะ Blastocyst (อายุ 7 วัน ฝังตัวทผ่ี นังมดลกู ชัน้ ใน (วันท่ี 21 ของรอบเดือน) →ต้งั ครรภ์ →เอม็ บริโออายุ 8-10 สัปดาห์ (ประมาณ 2 เดอื น) ซงึ่ สนิ้ สดุ ระยะเอ็มบริโอเน่อื งจากมอี วยั วะตา่ งๆ ครบแลว้ →ฟตี สั (fetus) →คลอด -เม่ือเกิดการปฏิสนธิจะเกิดการคลีเวจเพ่ิมจานวนเซลล์เป็น มอรูลา และบลาสทูลาตามลาดบั -ในประมาณวันที่ 7 เอม็ บริโอในระยะ blastocyst จะมกี ารสรา้ งถุงคอเรียนข้นึ ลอ้ มรอบ และเกดิ การฝงั ตวั ทีผ่ นงั มดลกู ช้ันใน โดยส่วนของ trophoblast จะมีการ เจริญต่อไปเป็นรก (placenta) ถ้าเอม็ บริโอไปฝังตวั ทบ่ี รเิ วณอื่นนอกจากมดลกู ถือวา่ เป็นการทอ้ งนอกมดลกู ซงึ่ อาจจะเป็นอันตรายกับแมไ่ ด้ -เมอ่ื เอ็มบริโอมีอายุประมาณ 8 สปั ดาห์จะมกี ารพัฒนาอวัยวะตา่ งๆ จนครบ เรียกเอม็ บริโอตง้ั แต่ระยะ 8 สัปดาหข์ ้นึ ไปว่า ฟีตสั (fetus) ▪ รก (placenta) : เปน็ โครงสรา้ งที่เกดิ ขึ้นจากถงุ คอเรียน (chorion) ของลกู และเนอ้ื เยอื่ ของผนงั มดลูกช้นั ในของแม่ ทาหนา้ ที่ เกย่ี วขอ้ งกับการแลกเปลีย่ นแก๊ส สารอาหาร และของเสยี ตา่ งๆ นอกจากนี้ รกยังทาหน้าท่ใี นการสร้างฮอรโ์ มน HCG (human chorionic gonadotropin) ท่ีจะรักษาสภาพของ corpus luteum ให้คงอย่สู าหรบั การสร้างฮอรโ์ มน progesterone และ estrogen เพ่ือปอ้ งกนั ไม่ให้ผนงั มดลกู ช้นั ในหลดุ ออกไปเม่ือเอ็มบริโอฝงั ตัวแล้ว จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 35
Human fetal development จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 36
เยอื่ หมุ้ ทารก (Fetal membrane) 3. คอเกรยี น (Chorion) เจรญิ เป็นสว่ นหนึ่งของรก 4. แอลแลนทอยส์ (Allantois) เจรญิ เป็นสว่ นหนง่ึ ของรก 1. ถุงหมุ้ ไขแ่ ดง (Yolk sac) ให้อาหารในช่วงแรกๆ ต่อมา 5. รก (Placenta) ทาหน้าที่ใหอ้ าหารแก่ทารก แลกเปลีย่ นแกส๊ ไมท่ าหนา้ ที่ใดๆ ขบั ถา่ ยของเสยี และสร้างฮอรโ์ มน HCG กบั Progesterone 2. ถุงนา้ ครา่ (Amnion) ป้องกันการกระทบกระเทอื น ดงั นั้น รกจึงเปรยี บไดก้ ับลาไสเ้ ลก็ (แหลง่ ดูดซมึ อาหาร) ปอด ให้แก่ทารก ชว่ ยควบคุมอุณหภมู ิ จะแตกกอ่ นคลอด (แลกเปล่ยี นแก๊ส) และไต (ขับถ่ายของเสีย) เรียกวา่ น้าทูนหัว เปรียบเสมือนลิ่มของเหลว (hydrostatic 6. สายสะดอื (Umbilical cord) เปน็ โครงสร้างติดต่อกนั ระหว่าง wedge) ชว่ ยให้คลอดสะดวก หรอื เทยี บได้กับถุงไขแ่ ดง ทารกกบั รก ภายในมีหลอดเลือด 3 เส้น คือ 2 Artery ลาเลยี งเลอื ด (ใหอ้ าหาร)และแอลแลนทอยส์ (แลกเปลย่ี นแกส๊ และ เสียออกจากทารก และ 1 Vein ลาเลยี งเลือดดีจากรกเข้าสู่ทารก ขับถา่ ยของเสีย) ในเอ็มบรโิ อไก่ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 37
❑ เมทามอร์โฟซสิ (Metamorphosis) เมทามอร์โฟซสิ หมายถึง การเจริญเตบิ โตหลงั ระยะเอ็มบริโอของสัตว์ซ่งึ มกี ารเปลย่ี นแปลงทั้ง รูปรา่ งลักษณะ พฤติกรรม และการดารงชีวิตไปจากเดมิ อยา่ งมาก การเปล่ียนแปลงรูปร่างระหวา่ ง การเจรญิ เตบิ โตหลงั ระยะเอม็ บรโิ อของสัตวม์ แี บบต่างๆ : สตั ว์ทีม่ ีเมทามอรโ์ ฟซิส ไดแ้ ก่ กัง้ กงุ้ ปู แมลงส่วนใหญ่ การเจรญิ เตบิ โตหลงั ระยะตวั ออ่ นของแมลง และสัตว์สะเทนิ นา้ สะเทนิ บก (amphibians) 1. อะเมตาโบลสั (Ametabolus) หรอื อะเมทามอรโ์ ฟซสิ (Ametamorphosis) ไม่มีเมทามอรโ์ ฟซสิ เชน่ ตวั สองงา่ ม ตัวสามง่าม แมลงแมลงหางดดี จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 38
2. เมตามอรโ์ ฟซสิ แบบคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป (Gradual 3. เมตามอรโ์ ฟซสิ แบบไมส่ มบรู ณ์ (Incomplete Metamorphosis) Metamorphosis) จาก egg – Nymph - Adult จาก egg – Naiad - Adult เชน่ ตั๊กแตน แมลงสาบ จ้ิงหรดี ปลวก จกั จั่น เช่น แมลงปอ แมลงปอเขม็ ชีปะขาว สโตนฟาย ระยะตัวออ่ นจะแตกตา่ งจากระยะตวั เตม็ วัยในบางระยะ และ ระยะตวั อ่อนจะแตกต่างจากตัวเต็มวยั หลายลกั ษณะและช่วงการเจริญเติบโต ชว่ งการเจรญิ เตบิ โตจากระยะตัวออ่ นไปเปน็ ตวั เต็มวัยจะไม่มี จากระยะตัวออ่ นไปเปน็ ตวั เต็มวยั จะไมม่ ดี กั แด้ (Pupa) ดกั แด้ (Pupa) ▪ Naiad : อยูใ่ นนา้ , ใช้เหงอื กหายใจ , ไมม่ ปี ีก ▪ Nymph : อย่บู นบก , ใชท้ ่อลมหายใจ , ไมม่ ีปีก ▪ Adult : อย่บู นบก , ใช้ท่อลมหายใจ , มีปีก ▪ Adult : อยบู่ นบก , ใช้ท่อลมหายใจ , มปี กี 39 จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
4. เมตามอร์โฟซสิ แบบสมบูรณ์ (Complete Metamorphosis) 40 จาก egg – Larva – Pupa - Adult เชน่ ยุง มด แมลงวนั ผง้ึ ตอ่ แตน ผเี ส้ือ จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล
กราฟแสดงการเตบิ โตของสง่ิ มชี วี ติ 1. กราฟรปู ตวั เอส (S-shaped graph) • พบในสตั ว์ทั่วๆ ไป (ยกเวน้ อาร์โทรพอด) และพบในพชื ล้มลุก โดยแบ่งการเจรญิ เตบิ โตเปน็ 3 ระยะคือ 1) ระยะ I มีอัตราการเติบโตต่า 2) ระยะ II มีอัตราการเตบิ โตสงู สุด 3) ระยะ III มอี ตั ราการเติบโตต่าสุด 2. กราฟรปู ตวั เอสตอ่ เนอ่ื ง (Continuous S-shaped graph) 3. กราฟรปู ขน้ั บนั ได (Step graph) Intermittent growth • พบในไม้ยืนต้นท่มี ีเนือ้ ไม้ (perennial woody plant) • พบในอาร์โทรพอดทุกชนดิ เช่น แมลง ก้งุ กั้ง ปู ซง่ึ มกี ารเจรญิ เติบโตในแตล่ ะฤดูกาลไมเ่ ทา่ กัน ตะขาบ และกิ้งกอื ซึ่งมีการลอกคราบเพอ่ื การเตบิ โต • โดยในฤดนู ้ามากจะมอี ตั ราเติบโตสงู ส่วนฤดูแลง้ จะมี อตั ราเตบิ โตต่า จัดทำโดย ครูสุกฤตำ โสมล 41
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: