เอกสารประกอบการเรยี น การผลิตส่อื สิ่งพิมพ์ ระดับช้นั ปวช.3 ที่มา http://publishing-sicc.blogspot.com/p/5_22.html
หน่วยท่ี 1 ความรู้เก่ียวกบั ส่อื สง่ิ พิมพ์ เริ่มแรกในระบบการพมิ พ์จะใช้ชา่ งศลิ ป์ ช่างทาแมพ่ ิมพ์ท่มี ที ักษะและความชานาญในการผลิตสอ่ื ส่ิงพมิ พ์เปน็ อย่างมาก ซึง่ สงิ่ พมิ พเ์ รม่ิ แรกน้ันเปน็ การแกะสลกั ตวั อักษรลงหนิ จากนนั้ กเ็ ขยี นบนผา้ ไหม หนัง สตั ว์ จากนัน้ พฒั นาการมาเปน็ การเขียนบนกระดาษโดยในปจั จบุ นั ความก้าวหน้าทางดา้ นเทคโนโลยี คอมพิวเตอรใ์ หก้ ารสร้างงานสง่ิ พมิ พง์ ่ายข้ึนกอ่ นท่จี ะเรยี นรถู้ งึ กระบวนการทาจะขอกลา่ วถงึ ความหมายของ สอื่ สิง่ พิมพ์ ประเภทของส่ือส่ิงพมิ พ์ ประเภทของโประแกรมท่ใี ช้ในการผลิตสือ่ สิ่งพมิ พ์ กระบวนการผลิตสื่อ ส่ิงพิมพ์ การเตรียมงานพมิ พ์กอ่ นส่งโรงพมิ พ์ บทบาทของส่ิงพมิ พ์ในปัจจบุ นั ความหมายและความสาคัญของสอื่ ส่งิ พิมพ์ พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถานไดใ้ ห้ความหมายคาที่เก่ยี วกบั “สือ่ ส่ิงพมิ พ”์ ไวด้ ังน้ี “สิง่ พมิ พ”์ หมายถึงสมดุ แผนกระดาษหรือวตั ถใุ ด ๆ ทีพ่ มิ พ์ขึน้ รวมตลอดทั้งบทเพลง แผนท่ี แผนผงั ภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี ใบประกาศ แผ่นเสยี ง หรือสง่ิ อ่นื ใดอนั มลี ักษณะเช่นเดยี วกัน “สง่ิ พิมพ”์ หมายถึง ข้อความ ข้อเขียน หรอื ภาพท่ีเก่ียวกับแนวความคดิ ขอ้ มูล สารคดบี นั เทงิ ซ่งึ ถา่ ยทอดด้วยการพิมพล์ งบนกระดาษ ฟลิ ม์ หรอื วัสดุพื้นเรยี บ “สื่อ” หมายถงึ การติดต่อให้ถึงกันชักนาใหร้ ูจ้ ักกนั หรือตวั กลางที่ทาการตดิ ต่อใหถ้ งึ กนั “พมิ พ”์ หมายถงึ ถา่ ยแบบ ใช้เครอ่ื งจักรกดตัวหนงั สอื หรอื ภาพ ให้ติดบนวตั ถุ เช่นแผน่ กระดาษ ผ้า ทาให้เป็นตัวหนังสือ หรือรูปรอยอยา่ งใด ๆ โดยการกดหรอื การใช้พิมพ์ หินเครื่องกลวธิ เี คมหี รอื วิธีอืน่ ใด อันอาจให้เกิดเป็นสิ่งพิมพ์ข้นึ หลายสาเนา รูปร่าง ร่างกาย แบบ ดงั นน้ั “ ส่อื สิ่งพมิ พ์” จึงมคี วามหมายว่าจะเป็นแผน่ กระดาษหรือวัตถุใด ๆ ด้วยวิธีต่าง ๆ อันเกิด เปน็ ช้นิ งานทีม่ ลี กั ษณะเหมอื นตน้ ฉบับขน้ึ หลายสาเนา ในปริมาณมากเพ่ือเปน็ สงิ่ ทท่ี าการติดตอ่ หรอื ชักนาให้ บุคคลอ่นื ใหเ้ ห็นหรือทราบข้อมลู ตา่ ง ๆ” ส่งิ พิมพม์ ีหลายชนดิ ไดแ้ ก่ เอกสารหนงั สอื่ เรียน หนังสอื พมิ พ์ นิตยสาร วารสาร บนั ทกึ รายงาน ฯลฯ ประวตั ิส่ือส่ิงพิมพ์ หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ศลิ ปะไดป้ รากฏบนผนังถ้าอลั ตามิรา (Altamira) ในสเปนและถ้า ลาสควักซ์ (Lascaux) ในฝร่งั เศส มีผลงานแกะสลักหนิ แกะสลักผนัง ถ้าเปน็ รูปสัตว์ลายเสน้ จึงเป็น หลักฐานในการแกะพมิ พ์ เปน็ ครั้งแรกของมนุษยห์ ลงั จากนนั้ ไดม้ บี ุคคลคดิ วิธีการทากระดาษขนึ้ มาจนมา เปน็ การพิมพ์ในปัจจุบันน่ันคือไชลน่ั ซ่งึ มีเชอ้ื สายจนี ชาวจนี ได้ผลิตทาหมกึ แท่งซงึ่ เรยี กว่า “บก๊ั ”
ประวตั กิ ารพมิ พ์ในประเทศไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายมหาราช กรงุ ศรีอยุธยา ไดเ้ ริม่ แต่ง และพมิ พห์ นงั สอื คาสอนทางศาสนา คริสตข์ น้ึ และหลงั จากนน้ั หมอบรดั เลย์เข้ามาเมืองไทย และไดเ้ รม่ิ ด้านงานพิมพ์จนสนใจเป็นธุรกจิ ด้าน การพมิ พ์ ในเมอื งไทย พ.ศ. 2382 ไดพ้ ิมพเ์ อกสารทางราชการเป็นชิ้นแรกคือหมายประกาศหา้ มสูบฝ่นิ ซงึ่ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจา้ อยู่หัวทรงโปรดให้จา้ งพิมพจ์ านวน 9,000 ฉบับ ตอ่ มาเม่อื วันที่ 4 ก.ค. 2387 ได้ออกหนังส่อื ฉบบั แรกขน้ึ คอื บางกอกรีคอร์ดเดอร์ (Bangkok Recorder) เปน็ จดหมายเหตุอยา่ งสนั้ ออกเดือนละ 2 ฉบับและใน 15 มิ.ย. พ.ศ. 2404 ไดพ้ ิมพห์ นังสอื เลม่ ออกจาหน่ายโดยซือ้ ลิขสิทธ์ิจาก หนังสือนิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัย และไดเ้ ร่ิมต้นการซ้ือขาย ลขิ สิทธ์จิ าหน่ายในเมืองไทย หมอบรัดเลย์ไดถ้ ึงแก้กรรมในเมอื งไทย กิจการการพิมพข์ องไทยจงึ ไดเ้ รงิ่ เปน็ ตน้ ของไทย หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2500 ประเทศไทยจึงนาเคร่ืองพมิ พแ์ บบโรตารี ออฟเซต (Rotary off set) มาใชเ้ ป็นครั้งแรก โรงพิมพไ์ ทยวฒั นาพานิชนาเครอื่ งหล่อเรียงพมิ พ์ (Monotype) มาใชก้ บั ตวั พิมพ์ ภาษาไทยธนาคารแห่งประเทศไทยไดจ้ ดั โรงพมิ พธ์ นบัตรในเมืองไทขน้ึ ใช้เอง
หน่วยที่ 2 การออกแบบและกระบวนการการผลติ สื่อสิง่ พมิ พ์ การออกแบบมีความสาคัญในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ เพราะการออกแบบคอื การวางแผนในการ ทางานซึ่งเป็นข้นั ตอนหนึ่งทสี่ าคญั ของกระบวนการผลิตสอื่ สง่ิ พมิ พ์ใหป้ ระสบผลสาเร็จ การอออกแบบใน ลกั ษณะใดก็ตามตอ้ งอาศยั ส่วนประกอบงานศิลป์อนั ได้แก่ เส้น รูปร่าง สี ลกั ษณะผวิ เพอื่ นามาประกอบ กนั เป็นผลงานที่ดีมีความสวยงาม เหมาะสมกบั วัตถุประสงค์ จึงทาให้เกิดผลงานทมี่ ีรูปแบบท่ีดี สอ่ื สงิ่ พิมพท์ ่ีจะสาเรจ็ บรรลจุ ุดม่งุ หมายไดน้ น้ั นอกจากการออกแบบท่ีมีประสิทธิภาพแล้ว กระบวนการผลิตส่อื สิง่ พิมพ์ก็มคี วามสาคญั อย่างย่ิง ทั้งในด้านการวางแผน การเตรยี มการก่อนพิมพ์ การ ทาตน้ ฉบับ การเลือกประเภทของการพมิ พเ์ พื่อให้เหมาะสมกับส่อื สิง่ พมิ พ์ และส่งผลให้การผลิตสอ่ื สิ่งพิมพส์ าเร็จบรรลุจุดมุง่ หมาย 2.1 การออกแบบสอื่ ส่ิงพมิ พ์ การอออกแบบเป็นการนาองค์การประกอบมูลฐานมาจดั หรือรวบรวมเขา้ ไวด้ ว้ ยกันอยา่ งมรี ะบบ ในงานออกแบบ ไมว่ ่าจะเป็นตวั อกั ษร ภาพ หรือพนื้ ที่ว่างๆเพอื่ ให้การออกแบบสอื่ ส่งิ พมิ พเ์ ปน็ ไปตาม วตั ถปุ ระสงคท์ ตี่ ้องการ 2.1.1 วตั ถุประสงค์ของการออกแบบส่อื สิ่งพิมพ์ 1. ใช้เป็นแนวทางในการผลิตสื่อส่งิ พมิ พ์ เพอื่ รับรรู้ ูปแบบ รปู ร่าง ลักษณะ และ สว่ นประกอบในการพมิ พ์ 2. เพอ่ื สร้างความสวยงามทางศลิ ป์ของส่ือสิ่งพิมพ์ 3. เพื่อดึงดดู ความสนใจของผพู้ บเห็นและผอู้ า่ น 4. เพอ่ื เสนอขา่ วสารและง่ายต่อการจดจาเน้อื หา 5. เพื่อปดิ บังความด้อยตอ่ คณุ ภาพสอ่ื สิง่ พิมพ์ 6. เพื่อเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการสอ่ื สาร 2.1.2 หลักการออกแบบสอ่ื สงิ่ พมิ พ์ การออกแบบสื่อส่งิ พมิ พ์ให้มคี วามนา่ สนใจและสะดดุ ตาแก่ผอู้ ่าน สามารถทาไดต้ ามหลกั การ ออกแบบสอื่ ส่ิงพมิ พด์ งั นี้ 1. ออกแบบให้ดึงดดู ความสนใจของผ้อู า่ นและพบเห็น 2. ออกแบบสอ่ื สิง่ พิมพ์ให้เปน็ ที่สังเกตหรือจดจาไดง้ ่าย
3. นาข่าวสารไปสผู่ อู้ า่ น ด้วยการออกแบบทมี่ ลี กั ษณะของการเสนอเนอ้ื หาในรูปแบบท่ี สวยงาม และสะดวกตอ่ การทาความเขา้ ใจในเนอ้ื หา 4. ใชศ้ ิลปะของการออกแบบปดิ บังความด้อยในคุณภาพของวสั ดุพิมพ์ 5. ให้ผู้อา่ นเข้าใจเนอื้ หาได้ง่ายและสะดวกข้ึน 6. เป็นการออกแบบทมี่ ลี กั ษณะเหมาะสม ตรงกบั ความมุ่งหมายตามประโยชนใ์ ช้สอยมี ความกลมกลนื ตามหลกั เกณฑ์ความงามของสังคม และสามารถปรับปรงุ เปล่ียนแปลงได้ 7. เป็นการออกแบบท่มี ลี กั ษณะง่าย มจี านวนผลิตผลตามความตอ้ งการของสังคมและมี กระบวนการผลติ ไมย่ ่งุ ยากซับซ้อน รปู ที่ 2.1 ส่อื ส่ิงพมิ พ์ที่มลี ักษณะสะดดุ ตาและนา่ สนใจ 8. มสี ัดสว่ นทด่ี ี มคี วามกลมกลืนกันทัง้ ส่วนรวม เชน่ รปู แบบ ลักษณะผิว เสน้ สี เปน็ ตน้ มีสดั ส่วนท่ีเหมาะสมในการใช้งาน 9. มคี วามเหมาะสมกบั วัสดุและวิธีการ มีคณุ ภาพ มีวิธีการใช้งา่ ยสะดวก 10. มลี กั ษณะของการตกแตง่ อยา่ งพอดี ไม่รกรงุ รงั 11. มโี ครงสรา้ งท่ีเหมาะสมกลมกลนื กบั วัฒนธรรมและความตอ้ งการของสังคม 12. ไมค่ วรส้ินเปลอื งเวลามากนัก 2.1.3 หลักในการพจิ ารณาออกแบบสื่อส่งิ พิมพ์ กอ่ นทผ่ี ู้ออกแบบตัดสนิ ใจผลิตส่ือสิง่ พมิ พ์ ผอู้ อกแบบจาเปน็ จะตอ้ งพิจารณาองค์ประกอบของการ พิมพเ์ ปน็ ขอ้ มูลสาคญั ต่อการออกแบบองค์ประกอบในการพมิ พ์ ดังนี้ 1. วัตถปุ ระสงคข์ องการพิมพ์ การกาหนดเปา้ หมายของสอื่ ส่ิงพิมพ์วา่ เป็นส่ือสงิ่ พมิ พ์ สาหรบั บุคคลวยั ใด หนังสือสาหรบั เดก็ หรือผ้ใู หญ่ เพศใด สาหรบั ผหู้ ญิงหรอื ผู้ชาย การศกึ ษาระดับใด ลักษณะของสอื่ สงิ่ พิมพ์ ไดแ้ ก่ หนงั สือทางวิชาการ สารคดี ร้อยแกว้ รอ้ ยกรอง รูปท่ี 2.2 สอื่ สิ่งพิมพ์ทผี่ ลิตจากกระดาษที่ต่างกัน
2. รูปร่างของสอื่ สงิ่ พิมพ์ ตามปกติมีรูปรา่ งมาตรฐานเปน็ รูปสี่เหลย่ี มผนื ผา้ ตามลักษณะ ของกระดาษขนาดมาตรฐาน ดง้ั นนั้ การกาหนดสื่อสิ่งพมิ พใ์ ห้มรี ปู ร่างส่เี หล่ียมผนื ผา้ จึงไมท่ าให้กระดาษ เสยี เศษ ซ่งึ มีท้ังสเ่ี หลย่ี มผืนผา้ แนวตั้งและสเี่ หลยี่ มผืนผ้าแนวนอน รูปท่ี 2.3 รูปรา่ งของหนงั สือสาหรับเด็ก 3.ตาแหน่งจดุ แหง่ ความสนใจในสื่อสิง่ พิมพ์ โดยปกติผอู้ อกแบบสื่อสงิ่ พิมพม์ กั จะให้ ความสาคัญแกป่ กหน้าพิเศษมากกว่าสว่ นอกี ทง้ั นีเ้ พราะเป็นจุดดึงดดู สายตาและสามารถสรา้ งความ นา่ สนใจแกผู้ดใู นกรณีทีม่ ีการแข่งขนั กับสอื่ สง่ิ พมิ พ์อื่นๆสาหรบั การจดั หนา้ ภายในหนังสอื น้นั สมัยก่อนมกั ให้ความสาคญั แก่หน้าขวามอื หรอื หนา้ ค่ี ไดแ้ ก่ 1,3,5,7 ไปตามลาดับ รูปท่ี 2.4 จดุ รวมสายตาอยู่สว่ นบนของร่างกายมากกว่าส่วนล่าง 4.ขนาดของสื่อส่งิ พมิ พ์ ข้ึนอยกู่ ับขนาดของกระดาษเป็นสาคัญจะเห็นไดว้ ่าหนังสือ ขนาด 8 หน้ายก (7.5 นิ้ว*10.25 น้ิว) ท่พี มิ พใ์ นปจั จุบนั มีขนาดรปู เลม่ ทแี่ ท้จริงไม่เทา่ กนั ทง้ั น้เี นื่องจาก ขนาดของกระดาษท่ใี ช้พิมพไ์ มเ่ ท่ากนั ไดแ้ ก่ กระดาษขนาด 31 นิ้ว *43 นวิ้ และกระดาษ ขนาด 24 นวิ้ *35 น้วิ รูปท่ี 2.5 กระดาษชดุ เอ
2.1.4 หลกั การออกแบบสิ่งพมิ พ์ สง่ิ พมิ พ์ที่พบเหน็ โดยท่วั ไปประกอบด้วยองคป์ ระกอบสาคญั หลายอย่าง ไดแ้ ก่ ตัวอักษรหรอื ข้อความภาพประกอบเนือ้ ทีว่ า่ ง และสว่ นประกอบอ่ืน การออกแบบสง่ิ พมิ พ์ที่ตอ้ งคานงึ ถึงการจัดวาง องคป์ ระกอบต่าง ๆ ดงั กล่าวเขา้ ด้วยกนั โดยใชห้ ลักการ ดังนี้ 1. ทิศทางและการเคล่อื นไหว (Direction & Movement) เมือ่ ผรู้ บั สารมองดูสื่อ สิ่งพมิ พ์ การรับรู้เกดิ ขึน้ เป็นลาดับตามการมองเห็น กล่าวคือ เกิดตามการวาดสายตาจากองคป์ ระกอบ หน่งึ ไปยังอีกองค์ประกอบหน่งึ จงึ มคี วามจาเป็นอย่างยิง่ ท่ีจะต้องมกี ารดาเนินการวางแผน กาหนดและ ชักจูงสายตาผู้รับสารให้เคลื่อนไหวในทศิ ทางท่ีถูกตอ้ ง ตามลาดบั ขององคป์ ระกอบทตี่ อ้ งการใหร้ บั รู้ ก่อนหลัง โดยท่วั ไปหากไม่มกี ารสร้างจุดเดน่ ขนึ้ มา สายตาของผ้รู ับสารจะมองดูหนา้ กระดาษทเ่ี ปน็ สอ่ื สง่ิ พมิ พใ์ นทศิ ทางท่ีเปน็ ตวั อักษร (Z) ในภาษาอังกฤษ คอื จะเร่มิ ทีม่ มุ บนด้านขวาตามลาดับการจัด องค์ประกอบทีส่ อดคล้องกับธรรมชาตกิ ารมองนี้ เป็นสว่ นช่วยให้เกดิ การรับร้ตู ามลาดบั ท่ตี ้องการ 2. เอกภาพและความกลมกลืน (Unity & Harmony) เอกภาพคือความเป็นอนั หน่ึง อันเดยี วกนั ซึง่ ในการจดั ทาเลย์เอาต์หมายถงึ การเอาองค์ประกอบท่แี ตกต่างกนั มาวางไว้ในพืน้ ที่ หน้ากระดาษเดยี วกันอย่างกลมกลนื ทาหนา้ ท่สี อดคล้องและสง่ เสรมิ กันและกันในการส่อื สารความคดิ รวบยอด และบุคลกิ ภาพของสื่อสง่ิ พิมพ์นนั้ ๆ การสร้างเอกภาพน้สี ามารถทาได้หลายวิธีเชน่ รปู ท่ี 2.7 การจดั องค์ประกอบตามหลกั การการสร้งความต่อเน่ืองกันใหอ้ งค์ประกอบ
– การเลอื กใช้องคป์ ระกอบอย่างสม่าเสมอ เช่น การเลือกใชแ้ บบตัวอกั ษร เดยี วกนั การเลือกใช้ภาพขาว ดาทงั้ หมด เปน็ ตน้ รูปท่ี 2.8 การจัดองคป์ ระกอบตามหลกั การการเลอื กชอ้ งค์ประกอบอย่างสม่าเสมอ – การสร้างความต่อเน่ืองกันใหอ้ งค์ประกอบ เชน่ การจัดใหพ้ าดหวั วางทับ ลงบนภาพ การใช้ตัวอักษรที่เป็นข้อความ ล้อตามทรวดทรงของภาพ เปน็ ต้น – การเวน้ พื้นท่ีว่างรอบองคป์ ระกอบทง้ั หมด ซง่ึ จาทาใหพ้ น้ื ทวี่ า่ งน้นั ทาหน้าท่ี เหมือน กรอบสขี าวล้อมรอบองค์ประกอบท้งั หมดไว้ภายใน ช่วยให้องค์ประกอบทั้งดเู หมือนว่าอยกู่ ันอย่างเปน็ กลมุ่ เปน็ กอ้ น รูปที่ 2.9 การจดั องค์ประกอบตามหลกั การการเว้นพ้ืนท่วี ่างรอบองค์ประกอบทั้งหมด 3. ความสมดุล (Balance) หลักการเร่อื งความสมดลุ นี้เปน็ การตอบสนองธรรมชาติของ ผ้รู บั สาร ในเรื่องของแรงโน้มถว่ ง โดยการจดั วางองค์ประกอบทงั้ หมดในพื้นท่ีหนา้ กระดาษ จะต้องไมข่ ดั กบั ความรู้สึกน้ี คอื จะตอ้ งไมด่ เู องเอียงหรือหนักไปด้านใดดา้ นหนึ่ง โดยไมม่ อี งค์ประกอบมาถว่ งในอกี ด้าน การจดั องค์ประกอบให้เกดิ ความสมดลุ แงไดเ้ ปน็ 3 ลักษณะคอื – สมดลุ แบบสมมาตร (Symmetrical Balance) เปน็ การจดั วางองคโ์ ดยให้ องคป์ ระกอบในดา้ นซา้ ยและดา้ นขวาพ้ืนที่หน้ากระดาษมีลักษณะเหมือนกันท้งั สองข้าง ซึ่งองค์ประกอบ ท่ีเหมอื นกันในแต่ละด้านนี้จะถว่ งน้าหนักกันและกนั ใหค้ วามรูส้ กึ สมดลุ
– สมดลุ แบบอสมมาตร (Asymmetrical Balance) เป็นการจักวางองคป์ ระกอบโดย ให้องค์ประกอบในด้านซ้ายและดา้ นขวาพื้นทห่ี น้ากระดาษมีลกั ษณะไมเ่ หมือนกันท้งั สองข้าง แม้ องค์ประกอบจะไม่เหมอื นกนั ในแตล่ ะดา้ นแตก่ ็จะถ่วงน้าหนกั กันและกันให้เกดิ ความสมดลุ – สมดุลแบบรัศมี (Radial Balance) เปน็ การจัดวางองค์ประกอบ โดยใหอ้ งค์ประกอบ แผ่ไปทุกทิศทางจากจดุ ศนู ย์กลาง 4. สัดส่วน (Proportion) การกาหนดสดั ส่วนนี้เปน็ การกาหนดความสมั พนั ธใ์ นเรือ่ ง ของขนาดซ่งึ มคี วามสมั พันธโ์ ดยเฉพาะในหน้ากระดาษของส่ือสงิ่ พิมพ์ทตี่ อ้ งการใหม้ ีจุดเดน่ เชน่ หน้าปก หนังสอื เปน็ ต้น เพราะองค์ประกอบทม่ี ีสดั สว่ นแตกต่างกนั จะดงึ ดดู สายตาไดด้ กี วา่ การใช้องค์ประกอบ ทง้ั หมดในสัดสว่ นที่ใกล้เคียงกัน ในการกาหนดสัดสว่ นจะต้องกาหนดองค์ประกอบท้งั หมดในพ้ืนท่ี หนา้ กระดาษไปพรอ้ ม ๆ กันวา่ ควรจะเพิม่ หรือลดองค์ประกอบใดไมใ่ ช่คอ่ ย ๆ ทาไปทีละองค์ประกอบ 5. ความแตกต่าง (Contrast) เปน็ วิธที ี่ง่ายที่สดุ โดยการเนน้ ใหอ้ งคป์ ระกอบใด องค์ประกอบหน่งึ เด่นข้นึ มาด้วยการเพิ่มขนาดใหญ่กว่าองค์ประกอบอน่ื ๆ โดยรอบ เช่น พาดหัวขนาด ใหญ่ เป็นตน้ ซ่งึ โดยธรรมชาติแล้วผ้ดู ูจะเลือกดอู งค์ประกอบใหญก่ อ่ น – ความแตกตา่ งโดยขนาด เป็นวธิ ีการท่ีง่ายทสี่ ด โดยการเนน้ ให้องคป์ ระกอบใด องค์ประกอบหนง่ึ เด่นขน้ึ มาด้วยการเพ่มิ ขนึ้ มาดว้ ยการเพ่ิมขนาดใหญ่กว่าองคป์ ระกอบอ่ืน ๆ โดยรอบ เชน่ พาดหัวขนาดใหญ่ เปน็ ต้น ซง่ึ โดยธรรมชาติแลว้ ผู้ดูจะเลือกดอู งค์ประกอบใหญก่ อ่ น – ความแตกต่างโดยรปู ร่าง เปน็ วิธีท่ีเน้นองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งเด่น ขนึ้ มาด้วยการใชร้ ูปรา่ งทีแ่ ตกตา่ งกันออกไปจากองค์ประกอบอ่นื ในหนา้ กระดาษ เชน่ การไดต้ ดั ภาพคน ตามรปู รา่ งของรา่ งกายแลว้ นาไปวางทห่ี น้ากระดาษทีม่ ภี าพแทรกเลก็ ๆ ที่อยใู่ นกรอบสี่เหล่ียม เปน็ ต้น – ความแตกตา่ งโดยความเขม้ เปน็ วิธีการท่ีเนน้ ให้องค์ประกอบใดองคป์ ระกอบ หนึ่งเด่นขึน้ มาด้วยการใช้เพมิ่ หรือลดความเข้มหรอื น้าหนักขององค์ประกอบน้ันให้เขม้ หรอื ออ่ นกว่า องคป์ ระกอบอ่นื ๆ ทีอ่ ยรู่ วมกันในหน้ากระดาษ เชน่ การใชต้ ัวอกั ษรท่ีเปน็ ตวั หนาในยอ่ หนา้ ทีต่ อ้ งการ เน้นเพียงย่อหน้าเดยี วในหน้ากระดาษ เปน็ ตน้ 6. จังหวะ ลีลา และการซ้า (Rhythm & Repetition) การจัดวางองคป์ ระกอบหลาย ๆ ช้ินโดยกาหนดตาแหน่งใหเ้ กิดมีมีช่องว่าเป็นชว่ ง ๆ ตอน ๆ อยา่ งมีการวางแผนลว่ งหน้า จะทาใหเ้ กดิ ลลี าข้นึ และหากว่าองคป์ ระกอบหลาย ๆ ช้ินนัน้ มลี ักษณะซ้ากนั หรือใกล้เคียงกัน กจ็ ะยิ่งเป็นการเนน้ ให้ เกดิ จังหวะลลี า ได้ชดั เจนยิง่ ข้นึ ลักษณ์ตรงข้ามกับแบบแรก จังหวะและลลี าลักษณะนจี้ ะกอ่ ใหเ้ กิด ความรสู้ ึก ทีต่ ืน่ เต้นดูเคล่อื นไหวและมพี ลงั
2.2 การผลิตส่ือสงิ่ พิมพค์ อมพิวเตอรแ์ บบตงั้ โตะ๊ 2.2.1 ความหมายของการผลิตสอ่ื สง่ิ พิมพด์ ้วยคอมพวิ เตอรแ์ บบตงั้ โตะ๊ “การจัดพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ” เป็นศัพท์บัญญัติตามหนังสือศัพท์คอมพิวเตอร์ ฉบับ ราชบัณฑิตยสาร พ.ศ. 2538 มาจากคาภาษาอังกฤษว่า “Desktop Publishing” หมายถึง การใช้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (คอมพิวเตอรฺแบบตั้งโต๊ะ) ในระบบการผลิตสิ่งพิมพ์ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก เพอื่ การเรียงพิมพ์ขอ้ ความและภาพกราฟกิ กระบวนการของการจัดพมิ พ์ดว้ ย คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะจะ ประกอบด้วยเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมกราฟิกและเครื่องพิมพ์เลเซอร์ เพื่อผลิตส่ืงพิมพ์ นานาประเภทได้อย่างสวยงาม และประหยัด การจัดพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์แบบต้ังโต๊ะน้ีจะมีโปรแกรม เฉพาะในการทางาน เชน่ โปรแกรม PageMaker และโปรแกรม QuarkXPress เพื่อการจัดข้อความและ ภาพกราฟิกใหร้ วมอยู่หน้าเดียวกันได้อย่างสวยงาม โดยการจัดสิ่งต่างๆ บนจอภาพให้เรียบร้อยก่อนที่จะ พิมพ์ลงกระดาษด้วยเครื่องมือพิมพ์เลเซอร์ท่ีมีความคมชัดสูง สามารถใช้โปรแกรมในการจัดทาส่ิงพิมพ์ ตา่ ง ๆ เช่น จลุ สาร จดหมายข่าว แผน่ พบั นามบตั ร หรือการเตรียมต้นฉบับ นิตยสาร หรือหนังสือเพ่ือส่ง โรงพิมพ์ให้ทาฟิล์ม หรือเพลทได้ทันที การใช้การจัดพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะนี้จะได้ส่ิงพิมพ์ที่ ผลิตออกมามีคุณภาพดีประหยัดกาลังคนและสามารถลดขั้นตอนการทางานได้เป็นอย่างมาก ทาให้ ประหยัดเวลาได้เป็นอย่างดี สามารถลดต้นทุนในการผลิต ส่ิงพิมพ์ได้มากถึง 75% โดยเฉพาะอย่างย่ิงใน เรือ่ งของความสามารถในการเปลยี่ นแปลงเนื้อหาท่ีพิมพ์ไว้แล้วได้ทุกโอกาส นับว่า เป็นจุดเด่นสาคัญของ เทคโนโลยีการพิมพ์ประเภทน้ี และยังให้ผู้ใช้โปรแกรมท่ัวไปสามารถผลิตส่ือส่ิงพิมพ์บางประเภทได้ด้วย ตนเอง โดยไม่ต้องจ้างโรงพิมพ์เหมือนเมื่อก่อน ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว จึงทาให้การพิมพ์ด้วย คอมพิวเตอร์แบบตัง้ โตะ๊ เปน็ ที่นิยมใชก้ นั อย่างแฟร่หลายในนปจั จบุ นั 2.2.2 ปจั จัยทาใหก้ ารจัดพิมพด์ ว้ ยคอมพวิ เตอร์แบบต้งั โตะ๊ เป็นท่ีนิยม การจัดพมิ พ์ดว้ ยคอมพวิ เตอรแ์ บบตง้ั โต๊ะได้รับความนยิ มอยา่ งแพร่หลายรวดเร็ว เน่ืองมาจากวตั กรรม สาคญั 4 อย่าง ไดแ้ ก่ 1. เครือ่ งคอมพิวเตอร์มรี าคาถกู ลง และมปี ระสทิ ธิภาพในการใช้งานมากข้นึ โดยเฉพาะ ด้านการพมิ พ์อักษรและภาพกราฟิกไดใ้ นเวลาเดยี วกนั
2. โปรแกรมสาเร็จรูปในการจดั หน้า เช่น PageMaker, QuarkXPressและ Ventura Publisher ไดร้ บั การพฒั นาให้มปี ระสทิ ธภิ าพในการทางานสูงมากขนึ้ เรื่อย ๆ 3. พัฒนาการทางดา้ นการพิมพ์ตวั อักษร เช่น PostScript ทาใหส้ ามารถพมิ พ์ตัวอักษรได้ สวยงามชัดเจน 4. เคร่อื งพิมพเ์ ลเซอรม์ ีราคาถูกลง ทาใหผ้ ูใช้สามารถซอ้ื มาใช้งานไดม้ ากขน้ึ 2.2.3 องคป์ ระกอบของการจัดพมิ พ์ด้วยคอมพิวเตอรแ์ บบต้ังโต๊ะ การจัดพิมพ์ดว้ ยคอมพวิ เตอรแ์ บบตัง้ โต๊ะประกอบด้วยอุปรณ์และวสั ดุดังตอ่ ไปนีค้ ือ 1. เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครอ่ื งคอมพิวเตอรท์ ่ีใช้ในการจัดพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอรแ์ บบตง้ั โตะ๊ สามารถใช้ไดท้ ง้ั เครือ่ ง ในระบบ Macintosh และ PC (Personal Computer) แตเ่ ดมิ น้ัน การจัดพิมพด์ ้วยคอมพวิ เตอรแ์ บบตั้ง โตะ๊ จะนยิ มใชก้ บั เครอ่ื ง Macintosh มากกวา่ PC เนื่องจากเครื่อง Macintosh มกี ารทางานที่งา่ ยและ สะดวกกว่า ประกอบกับมีโปรแกรมการพิมพแ์ ละจัดหน้าใหเ้ ลือกใช้ได้มากกวา่ แต่ในปจั จบุ ันการใช้ เครื่อง PC ในการจดั ดพมิ พ์ด้วยคอมพวิ เตอรแ์ บบต้ังโต๊ะกไ็ ด้รับความนิยมมากข้นึ ทั้งนี้เพราะมกี าร พัฒนาการทางด้านระบบปฏบิ ตั ิการ Windows รวมทง้ั เครอื่ ง PC มีโปรแกรมใหเ้ ลอื กมาก ๆ พอ กับ เคร่อื ง Macintosh 2. โปรแกรมสาเรจ็ รปู ในการจดั หนา้ ในการจดั พิมพด์ ้วยคอมพิวเตอร์แบบตง้ั โต๊ะนน้ั ถ้าจะให้สงิ่ พมิ พ์มคี ณุ ภาพดแี ล้ว จะตอ้ ง อาศยั โปรแกรมสาเรจ็ รูปหลายโปรแกรมประกอบกนั ซงึ่ ในปจั จุบันมีให้เลอื กใช้มากมายหลายโปรแกรม แต่ละโปรแกรมจะมีคุณสมบัตทิ แี่ ตกต่างกนั ไป ไดแ้ ก่ โปรแกรมพิมพข์ อ้ ความและวาดภาพกราฟิกแบบ งา่ ย ๆโปรแกรมวาดภาพ โปรแกรมตกแต่งภาพถา่ ย และโปรแกรมสาหรบั การจดั หนา้ การใชโ้ ปรแกรม สาหรบั เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จะต้องดูว่าเปน็ โปรแกรมสาหรบั เครอื่ ง PC หรือ Macintosh ดว้ ย ท้งั น้ี เพราะโปรแกรมในชื่อหนึง่ อาจจะผลิตออกมาสาหรับเคร่ืองท้งั สองระบบ 3. เคร่ืองพมิ พเ์ ลเซอร์ เครอ่ื งพมิ พ์เลเซอรเ์ ปน็ เคร่ืองพิมพค์ วามเรว็ สงู ทใ่ี ช้ลาแสงเลเซอร์ทาใหต้ วั อกั ษรหรือ ภาพรวมตัวกัน เป็นจดุ ก่อน แลว้ จึงใชก้ ารถ่ายโอนทางไฟฟา้ เพื่อพิมพ์ลงบนกระดาษอกี ทีหนึ่ง อัตรา ความเร็วในการพิมพ์วัดได้จากจานวนหน้าทพ่ี ิมพ์ออกมาในหนง่ึ นาที (Page per minute: ppm) คณุ ภาพของการพิมพด์ ูจากความละเอียดของจานวนจดุ ในหน่ึงนว้ิ (dot per inch: dpi) ตามปกติ แล้ว งานพมิ พท์ ่ีจะมคี ุณภาพจะพมิ พด์ ้วยเครอ่ื งพมิ พ์เลเซอร์ท่ีมีความคมชดั ในการพิมพ์สงู ตั้งแต่ 300- 1200 จุดต่อนิ้ว หรือมากกว่าน้นั ซึ่งจานวนความละเอียดของจดุ จะดไู ดจ้ ากเคร่ืองพมิ พ์แต่ละเคร่ืองทร่ี ะบุ ไว้เช่น 300และ 600 จุดตอ่ จุด เปน็ ต้น
หน่วยที่ 3 การจดั รปู แบบและจดั หน้าสอื่ สง่ิ พมิ พ์ การจดั รูปแบบการจัดหน้าสื่อส่ิงพิมพ์ เปน็ การจดั องคป์ ระกอบตา่ งๆในหน้าที่ส่ือสง่ิ พมิ พใ์ หม้ ี ความสมบรู ณต์ รงกับวัตถุประสงค์ในการผลติ ไดแ้ ก่ การเลือกรูปแบบตัวอักษร สตี วั อักษร ชนดิ ของ กระดาษ ขนาดกระดาษ การตง้ั คา่ หน้ากระดาษ การกาหนดตาแหนง่ ภาพ ตาแหน่งขอ้ ความ และวสั ดใุ น การผลิตส่ือสงิ่ พิมพ์ รูปแบบของสื่อสง่ิ พิมพ์ทีม่ ีความหลากหลายตามลกั ษณะการใชง้ าน ส่งผลให้การ เลือกวัสดทุ ใ่ี ช้ในการผลิตแตกต่างกันออกไป การจดั รปู แบบและจดั หนา้ สอื่ ส่งิ พิมพ์จึงเปน็ ขนั้ ตอนที่ สาคญั ในการผลติ ส่อื สิ่งพมิ พ์ 3.1 รูปแบบของสอื่ สงิ่ พมิ พ์ สอ่ื ส่งิ พมิ พใ์ นปจั จุบันมีหลากหลายรูปแบบ ด้วยเทคโนโลยแี ละเครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการผลิตส่อื สิ่งพิมพท์ ี่ทันสมยั การพมิ พ์จงึ ไมใ่ ช่การพิมพ์บนวตั ถุท่ีเป็นกระดาษเพียงอย่างเดียวแตร่ วมถึงวัตถุอื่นๆ มากมายเพื่อตอบสนองต่อความตอ้ งการของผู้ทีใ่ ช้ต่างกนั ในการผลติ สื่อสงิ่ พมิ พ์ให้ไดต้ ามรปู แบบที่ ตอ้ งการเมาะสมกับการใช้งานจะขึน้ อยกู่ ับข้ันตอนในการผลติ สื่อส่งิ พมิ พ์ให้ไดร้ ปู แบบทต่ี อ้ งการในการ ผลติ ส่อื ส่งิ พมิ พต์ ั้งแต่เริ่มตน้ จนสิ้นสดุ ได้แก่ การกาหนดวัตถุประสงค์ในการผลิตส่อื ส่งิ พิมพว์ ่าจะผลติ เพือ่ อะไรเหมาะสมกบั ใครวยั ใดคานึงถงุ รปู แบบของเลเอาต์ การจดั องคป์ ระกอบในสอ่ื สิง่ พมิ พ์ การจดั ตาแหนง่ ขอ้ ความ ตาแหนง่ รูปภาพ ประเภทการพิมพ์ วัตถทุ ีใ่ ชใ้ นการพมิ พ์เช่น กระดาษ พลาสติก โลหะ เปน็ ต้น ส่ือสงิ่ พมิ พ์จงึ มีรปู แบบทีห่ ลากหลายและแตกตา่ งดงั น้ี 3.1.1 สอ่ื สง่ิ พิมพ์เชิงพาณิชย์ สื่อสง่ิ พมิ พ์เชงิ พาณิชย์เปน็ สื่อสง่ิ พิมพท์ ่นี ิยมใช้ในวงการธุรกิจ ทางดา้ นการตลาด การติดตอ่ ซือ้ ขาย การโฆษณาและประชาสมั พนั ธ์เชน่ หนงั สอื นามบตั ร โบวช์ วั ร์ เปน็ ตน้ รปู ที่ 3.1 สอ่ื ส่ิงพมิ พ์รปู แบบ สอ่ื ส่ิงพมิ พ์เชิงพาณชิ ย์ 3.1.2 ส่อื ส่งิ พิมพร์ ปู แบบบัตรพลาสติก(PlasticCard) บตั รพลาสตกิ เป็นส่อื สิ่งพมิ พ์สาหรบั งานทตี่ ้องการความแตกต่างและป้องกันการปลอมแปลง
รปู ท่ี 3.2 ส่อื ส่งิ พิมพ์รปู แบบบตั รพลาสติก 3.1.3 สื่อส่ิงพิมพ์รปู แบบเคร่อื งเขียน (Stationery) ส่อื ส่งิ พมิ พ์ในรูปแบบของเครอ่ื งเขียนมที ั้งที่เหมาะสมกบั นกั เรยี นคนทางาน และคนทว่ั ไปเครอ่ื งเขยี นที่ ผลติ เพอ่ื จาหนา่ ยเน้นที่การใชป้ ระโยชนค์ วามสวยงาม และความแปลกใหมข่ องสินค้า สมุดโนต้ ออกาไนเซอร์ กระดาษโนต้ แผ่นรองเมาส์ รปู ที่ 3.3 สอื่ สงิ่ พิมพ์รปู แบบเครอ่ื งเขยี น 3.1.4 สอ่ื สิ่งพิมพร์ ปู แบบบรรจภุ ณั ฑ์ (Packaging) บรรจภุ ัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าให้กบั ตวั สนิ ค้าดว้ ยรูปแบบทีห่ ลากหลาย กลอ่ งพลาสตกิ กล่องกระดาษ รปู ท่ี 3.4 ส่ือสงิ่ พมิ พ์รปู แบบของบรรจภุ ณั ฑ์ 3.1.5 สอ่ื ส่งิ พมิ พ์รปู แบปฏทิ ิน(Calender) ปฏิทินมีรูปแบบท่ีเป็นแบบปฏิทนิ ต้ังตัง้ โตะ๊ ปฏทิ ินแขวน ปฏิทินพกพา และตารางเวลารอบปี
ปฏิทินต้ังโตะ๊ ตารางเวลารายปี ปฏทิ นิ พก ปฏทิ ินแขวน รูปที่ 3.5 สอื่ สิง่ พมิ พร์ ูปแบบปฏทิ ิน 3.1.6 ส่อื สิ่งพิมพ์รูปแบบของพรเี ม่ยี ม (Premium) ส่ือส่ิงพมิ พร์ ปู แบบของพรีเม่ียมเปน็ สอ่ื สิ่งพิมพ์ทต่ี ้องใช้เทคนิคพเิ ศษและวสั ดุหลากหลายเพอ่ื สร้าง ความน่าสนใจใชเ้ กบ็ เป็นของสะสมหรือใชใ้ นลกั ษณะส่อื ประชาสมั พนั ธ์ ของเลน่ โฟม กระดานเกม รปู ที่ 3.6 สือ่ สง่ิ พิมพ์รูปแบบของพรเี ม่ยี ม 3.1.7 สอ่ื สง่ิ พิมพ์รปู แบบของเลน่ (Toye) สอื่ ส่ิงพิมพ์รปู แบบของเล่นเป็นสื่อสงิ่ พิมพ์ท่ีใช้ความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบในการสร้าง เกมส์เพอื่ ให้เดก็ เลน่ และเรียนรู้จากสัมผัสซ่ึงใช้วัสดทุ ี่ปลอดภยั สาหรบั เด็ก กระดานเกม สต๊ิกเกอร์แทตทู รปู ที่ 3.7 ส่ือสิ่งพมิ พ์รูปแบบของเลน่
3.1.8 สื่อส่งิ พมิ พร์ ูปแบบป้ายโฆษณา (Display) ปา้ ยโฆษณาเพื่อเผยแพร่ทโฆษณาประชาสมั พันธข์ ่าวสาร สนิ ค้า และบรกิ ารต่างๆปา้ ยโฆษณาท่ี นิยมใชใ้ นปัจจบุ นั ไดแ้ ก่ โปสเตอร์ ธงโฆษณาสนิ คา้ ปา้ ยชนดิ หมุนไปมา โปสเตอร์ ทแี่ ขวนหมุนไปมา รูปที่ 3.8 ส่อื สิ่งพิมพ์แบบปา้ ยโฆษณา 3.2 การจดั หน้าสอ่ื สิ่งพิมพ์ การจดั หนา้ สอ่ื สิง่ พมิ พ์ เป็นการกาหนดจดั วางตาแหน่งของขอ้ ความและรปู ภาพใหอ้ ย่ใู นตาแหนง่ ที่เหมาะสมตามรูปแบบของการจัดหน้าสือ่ สิง่ พิมพ์ 3.2.1 รปู แบบการจัดหนา้ สื่อสง่ิ พิมพ์ 1.รูปแบบการจัดหน้าแบบแบง่ ออกเป็นส่วน คอื การแบ่งหน้าออกเปน็ 4 สว่ นโดยใช้ เส้นตามรอยพับครงึ่ ตามแนวนอนและแนวต้งั แต่ละสว่ นมจี ุดสาคญั ในตวั เอง ให้ด้านซ่งึ อยู่ตรงข้ามกันตาม เส้นทแยงมมุ มีความสมดุล รูปท่ี 3.9 รูปแบบการจัดหน้าแบบแบ่งออกเป็นส่วน 2.รปู แบบการจดั หนา้ แบบสมดุล เปน็ การจัดส่วนประกอบในหน้ากระดาษ เช่น หวั เร่ือง ภาพล้อมกรอบ เนอื้ เรื่องจะให้อยู่ในตาแหนง่ สมดุล เป็นตน้ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้ (1) รูปแบบสมรูป คอื การสมดุลแบบซา้ ยขวาเทา่ กัน รปู ที่3.10 รปู แบบการจดั หน้าแบบสมรูป
(2) รูปแบบอสมรูป คือ การสมดลุ แบบซ้ายและขวาไมเ่ ท่ากนั รูปท่ี 3.11 รปู แบบการจัดหน้าแบบอสมรูป 3. รูปแบบการจัดหนา้ ตามแนวนอน (Horizontal) คือการวางหวั เรือ่ งหลายๆคอลมั น์ตาม ขวางของหนา้ กระดาษเน้ือหาสว่ นใหญจ่ ะจดั เป็นคอลัมนส์ นั้ ๆเขา้ กันภายใต้หวั เร่ือง 4.รปู แบบการจัดหน้าตามแนวติง่ (Vertical) หรือตามความยาวของคอลมั นเ์ น้อื หาเรียงตาม เปน็ ความยาวของคอลัมน์ภายใตห้ วั ขอ้ น้นั ๆ รปู ที่ 3.13 รูปแบบการจัดหน้าตามแนวดงิ่ 5.รปู แบบการจดั หนา้ ตามความนิยม (1) แบบมอนเตรยี น (Mondrian) มีจดุ เดน่ ท่ีมกี ารนารปู ทรงเลขาคณติ มา ประกอบให้เป็นสัดส่วน นิยมใช้รูปทรงเนือ้ ท่แี บบส่ีเหลี่ยมผืนผา้ รูปที่ 3.14 รปู แบบการจัดหนา้ แบบมอนเดรียม (2)แบบการเนน้ ภาพ (Picture window Layout) เป็นแบบทน่ี ิยมใชก้ ันมาก โดยมจี ุดเด่นอย่ทู ภ่ี าพเพราะเป็นการใชภ้ าพท่ีมีขนาดใหญ่เพียงภาพเดียวโดยกินเนื้อท่ีเกอื บทั้งหมดและมี ขอ้ ความเกอื บเล็กนอ้ ยอยู่เบอ้ื งล่างซ่งึ คลา้ ยกับการจ้องมองไปท่หี น้าตา่ งและมองบนภาพ
รูปที่ 3.15 รปู แบบการจดั หนา้ แบบการเน้นภาพ (3) แบบเนือ้ กรอบภาพ เปน็ การนาส่วนประกอบต่างๆวางไว้ภาพใต้กรอบภาพเพื่อใหร้ ู้ วา่ เปน็ เรื่องราวของชนิ้ งาน รปู ท่ี 3.16 รูปแบบการจัดหนา้ แบบเนน้ กรอบภาพ (4) แบบตวั อักษรใหญ่ (Big Type Layout) จัดหน้าโดยนาภาพท่ีผู้อ่านสงสัยเพ่อื จะ ไดแ้ สวงหาคาตอบเกี่ยวกบั สิง่ ทีเ่ สนอ รปู ท่ี 3.17 รปู แบบการจดั หนา้ แบบตวั อกั ษรใหญ่ (5) แบบละครสัตว์ (Circus Layout) เปน็ การจัดวางหน้าสง่ิ พมิ พ์ตามทผ่ี ู้ออกแบบเหน็ ว่ามีความสวยงามด้วยการบรรจสุ ง่ิ ต่างๆเขา้ ดว้ ยกันโดยวางกระจดั กระจายระเกะระกะเหมอื นละครสัตว์ ที่มีสตั ว์หลายชนิดอยดู่ ว้ ยกัน
รปู ที่ 3.18 รูปแบบการจดั หนา้ แบบละครสตั ว์ (6) แบบชอ่ งแถบซอ้ น (Multipanel Layout) เปน็ การวางหนงั สอื การ์ตนู ทแี่ บง่ เป็น ชอ่ งๆ และมขี ้อความแทรกไว้ใต้ภาพหรือแจ้งเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง รปู ที่ 3.19 รูปแบบการจัดหน้าแบบช่องแถบซอ้ น (7) แบบเขา้ โค้งเงาทบึ (Silhouette Layout) การจัดหน้าโดยการคานงึ ถงึ เงาเค้า โครงของภาพวัตถทุ ่ีต้องนามาวางบนงานพมิ พ์โดยมีสว่ นประกอบอน่ื ๆ เปน็ องคป์ ระกอบ รูปท่ี 3.20 รูปแบบการจดั หน้าแบบเค้าโครงเงาทึบ 3.2.2 การเตรียมขอ้ มูลเพื่อจัดหน้าส่อื ส่ิงพมิ พ์ การเตรยี มขอ้ มลู เพ่ือจัดหน้าสอื่ สง่ิ พมิ พ์ประกอบด้วย 4 ขัน้ ตอน ดงั น้ี 1.เตรยี มสว่ นประกอบตา่ งๆ สอื่ สงิ พมิ พ์จะมีส่วนประกอบหลายอยา่ งเพื่อนามาจดั วางใน หนา้ กระดาษในขัน้ ตอนน้จี ึงเป็นการจัดเตรียมข้อมูล เช่น พิมพ์เนอ้ื หาเรอื่ งราวเตรียมภาพและส่วนปรก อบที่หาเพ่มิ เติมหรือจากแฟ้มที่มอี ยู่ วาดประกอบภาพเตรียมแผนภูมหิ รือสถติ ิตอ้ งใช้เป็นต้น สิ่งเหล่าน้ี จะต้องทางานจัดเตรียมให้เรียบร้อยเสียก่อนทจ่ี ะทางานกับโปรแกรม
2. จัดวางขอ้ ความและภาพ จะเป็นการใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรปู ในการผลิตสอ่ื สิ่งพิมพโ์ ปรแกรม สาเร็จรปู ท่ีนิยมใช้ ได้แกโ่ ปรแกรมอะโดบเี พจเมกเกอร์โปนแกรมอะโดบีอนิ ดไี ซต์โดยอาจจะใช้แมแ่ บบ เชน่ แผน่ พับ ปกเทป เปน็ ต้น เพื่อนาส่วนประกอบท่ีเตรยี มไวใ้ ส่ลงในแม่แบบหรือจะสรา้ งหน้ากระดาษ ขนึ้ ขึ้นใหม่โดยจัดขอบว่างตามขนาดทกี่ าหนดไว้ มเี ส้นแนวในการจัดวางข้อความและภาพเมือ่ กาหนด ตาแหน่งหน้าสงิ่ พิมพ์เรียบรอ้ ยแลว้ จึงทาการจัดวางข้อความภาพรวมถึงส่วนประกอบอ่นื ๆท่ีเตรยี มไว้แรว้ ลงในหนา้ ส่ือสง่ิ พมิ มพต์ ามกาหนด 3.ปรับแต่งส่ือสง่ิ พมิ พ์ ไดแ้ ก่ การปรับแตง่ รายละเอียดต่างๆเชน่ ปรับระยะห่างระหว่างไม้บรรทดั จดั ย่อหนา้ ข้อความ จดั แตง่ หวั เร่อื งโดยอาจเปลี่ยนแบบอักษรหรือขนาดใหม่ใหเ้ หมาะสมการตกแต่งสี ข้อความ เป็นตน้ เพ่อื ให้ไดส้ ื่อส่งิ พิมพ์ทส่ี วยงาม 4. จัดทาสารบญั และดชั นี ในกรณที ี่เนือ้ หาจัดการพิมพ์มเี นอื้ หามากควรอานวยสะดวกแกผ่ อู้ า่ น ดว้ ยการทาสารบญั และดัชนเี พือ่ ช่วยในการอ่านและบางครงั้ อาจอาจมรี ายการตารางและรายการ ภาพประกอบเพ่ือความละเอยี ดยิ่งขน้ึ และจากที่จดั แต่งหนา้ กระดาษสอ่ื สง่ิ พมิ พเ์ รยี บร้อยแลว้ ถา้ ผจู้ ดั ทามี เคร่ืองพิมพ์เลเซอร์หรอื เคร่ืองพมิ พ์พ้นหมึกกส็ ามารถผลติ ส่ือสิ่งพมิ พ์นน้ั ได้แตถ่ ้าเปน็ การผลิตจานวนมาก ก็จาเปน็ ต้องสง่ ตน้ ฉบับที่จัดทาไปโรงพิมพ์เพ่ือจัดพมิ พืตอ่ ไป สรุปสาระสาคัญ รูปแบบของสื่อสงิ่ พมิ พใ์ นปัจจุบนั มหี ลากหลายเพ่อื ให้ผู้ใชแ้ ละผอู้ ่านสามารถเลือกไดต้ ามความ ต้องการส่อื สิ่งพมิ พ์แตล่ ะชนิดมคี วามนา่ สนใจดึงดดู ใจทแ่ี ตกตา่ งกนั ขึ้นอยูก่ บั รูปแบบการออกแบบให้ เหมาะสมกบั การใชง้ านบางชนิดมรี ปู แบบเปน็ เล่มขนาดใหญ่ เล่มขนาดเลก็ เปน็ แบบใบเดียวมคี วาม แตกต่างกนั ในการเลือกใช้วัตถใุ นการผลติ เช่น ผลิตจากกระดาษ พลาสติด โลหะ ยางเปน็ ต้น การจัดรปู แบบตวั อกั ษรและการพิมพ์ มคี วามสาคัญต่อการจดั การส่อื ส่งิ พมิ พ์เพราะสือ่ สิง่ พมิ พ์ แต่ละประเภทมีการใช้พมิ พ์และตวั อกั ษรทแ่ี ตกต่างกันไดแ้ ก่ ลกั ษณะตัวอกั ษร ขนาดตัวอกั ษร ตาแหนง่ ตวั อกั ษร การจดั ตาแหนง่ ขอ้ ความ ผู้ผลิตส่อื สิ่งพมิ พ์ควรพจิ ารณาตัวอกั ษรให้มีความเหมาะสม นอกจาก ให้ความสาคญั ตวั อกั ษรและตวั พิมพแ์ ล้วในการจัดหนา้ สือ่ สงิ่ พมิ พ์กเ็ ป็นส่งิ ที่ทาให้สงิ่ พิมพ์มคี วามแตกตา่ ง กัน และดึงดดู ใจผอู้ ่านได้หลากหลายกลุ่ม รูปแบบการจดั หนา้ ส่ือสง่ิ พิมพ์มีหลายรปู แบบเพอื่ ใหผ้ ผู้ ลติ ได้ เลือกใช้เหมาะสมกับงาน ได้แก่ รูปแบบการจัดหนา้ ออกเป็นสว่ นการจัดหน้าแบบสมดุลรปู แบบสมดุล รูปแบบอสมรูปการจัดหน้าตามความนยิ มมอนเดรียน แบบการเน้นภาพ แบบเนน้ กรอบภาพ แบบ ตวั อกั ษรใหญ่ แบบละครสัตว์ แบบช่องแถบซอ้ น แบบเค้าโครงเงาทึบการจดั หน้าตามแนวนอน การจัด หนา้ ตามแนวด่งิ ผู้ผลิตสื่อสง่ิ พมิ พส์ ามารถนาความรู้ ความเขา้ ใจในการจดั รูปแบบและจัดหนา้ สอ่ื ส่งิ พมิ พ์ มาใชผ้ ลติ สือ่ สิง่ พมิ พ์ได้ตรงวตั ถุประสงคแ์ ละคุณภาพ
หนว่ ยท่ี 4 สีในสอ่ื ส่งิ พมิ พ์ สี เปน็ สงิ่ ท่ปี รากฏอย่บู นโลก ทกุ ๆส่ิงท่ีเรามองเหน็ รอบๆตัวน้นั ล้วนแต่มสี ี โลกของเราถูกจรรโลง และแต่งแตม้ ด้วย สสี ันหลายหลาก ทง้ั สีสนั ตามธรรมชาติ และสีท่ีมนุษยร์ ังสรรคข์ ้ึน หากโลกน้ไี ม่มสี ี หรอื มนุษย์ไมส่ ามารถ รับร้เู ก่ยี วกบั สไี ด้ สง่ิ น้นั อาจเปน็ ความพกพรอ่ งท่ียง่ิ ใหญข่ องธรรมชาติ เพราะสมี ี ความสาคญั ตอ่ วัฏจกั รแหง่ โลก และเก่ยี วขอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ มนษุ ย์ จนแยกกนั ไมอ่ อก เพราะมนษุ ยไ์ ด้ ตระหนักแลว้ วา่ สนี ้ันสง่ ผลตอ่ ความรู้สึกนึกคดิ อารมณ์ จนิ ตนาการ การสอ่ื ความหมาย และความสุข สาราญใจในชีวติ ประจาวันมาช้านานแลว้ ดังน้นั จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ สี มีอิทธิพลต่อมนษุ ยเ์ ราเปน็ อยา่ งสูง และมนุษยก์ ็ใช้ประโยชน์ จากสีอย่าง เอนกอนนั ต์ ในการสรา้ งสรรค์ ส่ิงต่างๆอยา่ งไม่มที สี่ น้ิ สุด 4.1 ความรเู้ บอื้ งต้นเกีย่ วกบั สี 1. ความหมายและการเกิดสี คาว่า สี (Colour) ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน หมายถึง ลักษณะของแสง ที่ปรากฏแก่ สายตาเรา ใหเ้ หน็ เป็น สีขาว ดา แดง เขียวฯลฯหรอื การสะทอ้ นรศั มีของแสงมาส่ตู าเรา สี ทปี่ รากฏในธรรมชาติ เกิดจากการสะทอ้ นของแสงสว่าง ตกกระทบ กบั วตั ถุแลว้ เกิดการหกั เหของแสง ( Spectrum ) สเี ปน็ คลนื่ แสงชนิดหน่ึง ซง่ึ ปรากฏใหเ้ ห็น เมื่อแสงผ่านละอองไอน้า ในอากาศ หรอื แทง่ แก้วปริซึม ปรากฏเป็นสีต่างๆ รวม 7 สี ได้แก่ สีแดง ม่วง สม้ เหลือง น้าเงนิ คราม และเขียว เรียกว่า สี รุ้ง ท่ีปรากฏบนทอ้ งฟ้า ตามธรรมชาติในแสงนั้น มีสีตา่ งๆรวมกัน อย่อู ยา่ งสมดลุ ยเ์ ปน็ แสงสีขาวใส เมอ่ื แสงกระทบ กบั สขี องวัตถุ กจ็ ะสะท้อนสวี ตั ถุนั้น ออกมาเขา้ ตาเรา วตั ถุสขี าวจะสะท้อนได้ทกุ สี สว่ นวัตถสุ ีดาน้ัน จะดดู กลนื แสงไว้ ไมส่ ะท้อนสีใด ออกมาเลย ศลิ ปะการใช้สี 2. ประเภทของสี สี มอี ยทู่ ่ัวไปในสงิ่ แวดลอ้ มรอบๆตัวเรา สีทป่ี รากฏอยู่ในโลกสามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท ใหญ่ๆ คือ
2.1 สีทเ่ี กดิ ในธรรมชาติ มีอยู่ 2 ชนดิ คอื ก. สที ่ีเปน็ แสง ( Spectrum ) คอื สีทเี่ กดิ จากการหักเหของแสง เช่น สีรงุ้ สีจากแทง่ แก้ว ปรซิ ึม สีทเ่ี ปน็ แสง ข. สีท่ีอยู่ในวตั ถุ หรอื เน้อื สี ( Pigment ) คอื สที ่ีมอี ยใู่ นวตั ถุธรรมชาติทวั่ ไป เชน่ สขี อง พชื สัตว์ หรอื แรธ่ าตุต่างๆ สที ่ีมนุษยส์ ร้างขึ้น 2.2 สที ม่ี นุษย์สร้างขนึ้ คือ สที ี่ไดจ้ ากการสังเคราะห์ เพือ่ ใชป้ ระโยชน์ในงานต่างๆ เช่น งานศลิ ปะ อตุ สาหกรรม การพาณชิ ย์ และในชีวิตประจาวัน โดยสังเคราะหจ์ ากวัสดธุ รรมชาติ และจากสารเคมี ที่ เรยี กว่า สวี ิทยาศาสตร์ ซึ่งสีท่ีได้จาก การสังเคราะหส์ ามารถนามาผสมกนั ใหเ้ กิดเป็น สีต่างๆอีกมากมาย สที ่ีมนษุ ยส์ ร้างข้ึน 3. การรบั รเู้ ร่ืองสี (Colour Perception) · การรับรู้ตอ่ สีของมนุษย์ เกดิ จากการมองเห็น โดยใชต้ า เป็นอวัยวะรบั สัมผัส ตาจะตอบสนองต่อแสง สตี า่ งๆ โดยเฉพาะแสงสวา่ ง จากดวงอาทิตย์ และจากดวงไฟ ทาให้มองเหน็ โดยเริ่มจากแสงสะท้อนจาก วตั ถุผา่ นเขา้ นัยนต์ า ความเขม้ ของแสงสวา่ ง มีผลต่อ การเห็นสี และความคมชดั ของวัตถุ หากความเข้ม
ของแสงสว่างปรกติ จะทาให้มองเหน็ วัตถุชดั เจน แตห่ ากความเข้มของแสงสว่างมีน้อย หรือ มดื จะทาให้ มองเหน็ วัตถไุ มช่ ดั เจน หรือพรา่ มัว นักวทิ ยาศาสตร์ได้เคยทา การศกึ ษาเก่ียวกับ ความไวในการรับร้ตู ่อสี ต่างๆของมนษุ ย์ ปรากฏว่า ประสาทสมั ผัสของมนษุ ย์ ไวตอ่ การรบั รู้สแี ดง สเี ขียว และสมี ่วงมากกว่าสี อ่นื ๆ ส่วนการรับรูข้ องเด็กเกี่ยวกบั สีนั้น เดก็ สว่ นใหญ่ จะชอบภาพ ทม่ี ีสีสะอาดสดใส มากกว่า ภาพขาว ดา ชอบภาพหลายๆสีมากกวา่ สีเดียว และชอบภาพทเ่ี ป็น กลุม่ สรี อ้ นมากกวา่ สีเยน็ (โกสุม สายใจ, 2540) ตาของคนปกติจะสามารถ แยกแยะสตี า่ งๆได้ถูกต้อง แตห่ ากมองเหน็ สนี ั้นๆเป็นสอี ่นื ทีผ่ ิดเพ้ยี นไป เรียกว่า ตาบอดสี เช่น เห็นวัตถสุ แี ดง เปน็ สีอน่ื ทีม่ ิใชส่ ีแดง กแ็ สดงวา่ ตาบอดสแี ดง หากเห็นสีน้าเงนิ ผดิ เพยี้ น แสดงว่าตาบอดสีน้าเงิน เป็นต้น ซึง่ ตาบอดสีเป็นความบกพร่องทางการมองเหน็ อยา่ งหน่งึ บุคคลใดท่ีตาบอดสีก็จะเป็นอุปสรรคต่อการทางานบางประเภทได้ เช่น งานศลิ ปะ งานออกแบบ การขับ รถ ขบั เคร่อื งบิน งานดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เป็นต้น 4. จิตวทิ ยาสีกบั ความรสู้ กึ ( Psychology of Colour) ในด้านจติ วิทยา สี เปน็ ตัวกระตุน้ ความรูส้ กึ และมผี ลต่อจิตใจของมนษุ ย์ สีตา่ งๆจะใหค้ วามรู้สกึ ท่ี แตกตา่ งกัน ดงั น้นั เราจงึ มักใชส้ ีเพ่อื สอื่ ความรสู้ กึ และความหมายตา่ งๆ ได้แก่ สีแดง ใหค้ วามรู้สกึ เรา่ รอ้ น รนุ แรง อันตราย ตนื่ เต้น สีเหลือง ให้ความร้สู กึ สว่าง อบอ่นุ แจ่มแจง้ ร่าเริง ศรทั ธา ม่ังคั่ง สีเขียว ใหค้ วามรู้สกึ สดใส สดชน่ื เยน็ ปลอดภยั สบายตา ม่งุ หวัง สีฟา้ ใหค้ วามรู้สกึ ปลอดโปล่ง แจม่ ใส กว้าง ปราดเปรอ่ื ง สมี ่วง ใหค้ วามรูส้ ึก เศร้า หม่นหมอง ลกึ ลบั สีดา ใหค้ วามรสู้ ึก มดื มดิ เศรา้ นา่ กลัว หนกั แน่น สีขาว ให้ความรสู้ ึก บริสุทธิ์ ผุดผอ่ ง ว่างเปลา่ จดื ชืด สีแสด ใหค้ วามร้สู กึ สดใส ร้อนแรง เจิดจ้า มพี ลงั อานาจ สเี ทา ให้ความรูส้ ึก เศร้า เงยี บขรมึ สงบ แก่ชรา สนี ้าเงนิ ใหค้ วามรู้สึก เงียบขรมึ สงบสขุ จริงจัง มีสมาธิ สีน้าตาล ให้ความรู้สกึ แห้งแล้ง ไม่สดชื่น นา่ เบอื่ สชี มพู ให้ความรู้สึก ออ่ นหวาน เปน็ ผ้หู ญงิ ประณีต ร่าเรงิ สที อง ให้ความรู้สกึ ม่ังคัง่ อุดมสมบูรณ์ 5. คุณลักษณะของสี (Characteristics of Colours) ในงานศิลปะ สี นับเป็นองค์ประกอบพ้ืนฐานทีม่ ีความสาคญั มาก โดยเฉพาะในงานจติ รกรรม สถี ือเปน็ ปจั จยั สาคัญ ทชี่ ่วยใหศ้ ิลปิน สามารถสรา้ งสรรค์ผลงานไดต้ ามเจตนารมณ์ ซ่งึ คุณลกั ษณะของสใี นงาน ศิลปะทีต่ อ้ งนามาพิจารณามีอยู่ 3 ประการ คือ
5.1 สแี ท้ (Hue) หมายถึง ความเปน็ สนี ั้นๆ ที่มิได้มีการผสมให้เข้มขึ้น หรอื จางลง สแี ท้ เปน็ สใี นวงจรสี เช่น สีแดง นา้ เงิน เหลอื ง ส้ม เขยี ว มว่ ง ฯลฯ สแี ท้ 5.2 นา้ หนักของสี ( Value) หมายถึง คา่ ความอ่อนแก่ หรือ ความสว่างและความมืด ของ สี โดยแบง่ เปน็ 2 ลกั ษณะคือ 5.2.1 สีแทถ้ กู ทาให้อ่อนลงโดยผสมสขี าว เรยี กวา่ สีนวล (Tint) 5.2.2 สีแทถ้ กู ทาให้เขม้ ขึน้ โดยผสมสีดา เรยี กวา่ สคี ล้า (Shade) 5.3 ความจดั หรอื ความเขม้ ของสี (Intensity) หมายถงึ ความสดหรือความบรสิ ุทธขิ์ อง สๆี หนึ่ง ทม่ี ไิ ดถ้ ูกผสมให้สีหม่นหรือออ่ นลง หากสนี ้ันอยูท่ า่ มกลางสีทม่ี นี ้าหนักตา่ งค่ากนั จะเห็นสภาพสี แท้สดใสมากขึ้น เชน่ วงกลมสีแดง บนพน้ื สีน้าเงนิ อมเทา ความจัดหรือความเขม้ ของสี 5.4 ค่าความเปน็ สกี ลาง (Neutral) หมายถึง การทาใหส้ ีแท้ทมี่ ีความเข้มของสีน้นั หมน่ ลง โดย การผสมสีตรงขา้ ม เรียกวา่ การเบรกสี เช่น สีแดงผสมกบั สเี ขียว หรอื ผสมดว้ ยสที เ่ี ป็นกลาง เชน่ สีเทา สี นา้ ตาลออ่ น สีครีม และขาว เพ่ือลดความสดของสีแทล้ ง 6. หน้าทข่ี องสี สีมีคุณประโยชน์ต่อโลก และ มนุษย์เรารู้จกั การใช้สีมาช้านาน 6.1 สีทมี่ อี ยู่ในธรรมชาติ เปน็ ปรากฏการณ์ที่ธรรมชาติสร้างขนึ้ มาเพ่อื แสดงถงึ ความเป็นไป ของ สิง่ ที่มีอย่บู นโลก ซึง่ สีจะเป็นตัวบง่ บอก ส่ิงตา่ งๆ ได้แก่
ความเปล่ียนแปลง หรือววิ ัฒนาการ ของธรรมชาติ หรือวัตถธุ าตุ เม่ือกาลเวลาเปลี่ยนไป สอี าจ กลายสภาพจากสหี นงึ่ ไปเป็นอีกสีหน่งึ เช่น การเปลี่ยนสขี องใบไม้ ความแตกต่างของชนดิ หรอื ประเภทของวตั ถธุ าตุ ได้แก่ สขี องอญั มณี เช่น แร่ไพลนิ มีสีนา้ เงนิ แร่ มรกตมีสเี ขยี ว แรท่ ับทมิ มีสแี ดง เปน็ ต้น แบง่ แยกเผ่าพนั ธุข์ องสง่ิ มีชีวติ ได้แก่ สผี ิวของมนษุ ย์ทตี่ า่ งกัน เชน่ คนยุโรปผิวขาว คนเอเซยี ผิว เหลือง และคนอาฟรกิ นั ผิวดา ดอกไม้ หรือแมลงมสี ีหลากสี ขึ้นอย่กู ับชนดิ และเผา่ พนั ธข์ุ องมนั 6.2 สีในงานศิลปะ ทาหน้าท่ี เป็นองคป์ ระกอบสาคัญทีท่ าให้งานศิลปะช้ินนัน้ มคี ณุ คา่ ทาง สนุ ทรียะ หน้าที่หลกั ของสีในงานศลิ ปะ คอื ใหค้ วามแตกตา่ งระหวา่ งรูปกบั พ้นื หรอื รูปทรงกบั ท่ีว่าง ให้ความรูส้ กึ เคล่ือนไหวดว้ ยการนาสายตาของผู้ดบู ริเวณที่สตี ัดกนั จะดงึ ดดู ความสนใจ ใหค้ วามเป็นมติ ิแกร่ ูปทรง และภาพด้วยน้าหนกั ของสที ีต่ ่างกนั ใหอ้ ารมณค์ วามรู้สกึ ไดด้ ว้ ยตวั มันเอง 6.3 ในดา้ นกายภาพ สีมกั นามาใช้เพอื่ ส่งผลต่ออณุ หภูมิ เช่น สดี า จะดูดความรอ้ นได้มากกว่าสี ขาว และด้านความปลอดภัย สที ่สี ว่างจะช่วยในเรื่องความปลอดภยั ไดด้ ีกว่าสีมืด ทฤษฎสี ี ( Theory of Colour) มนษุ ยเ์ ราได้มกี ารศึกษาค้นควา้ และทดลองเก่ยี วกับสมี านานแลว้ เพื่อค้นหาคุณสมบตั ิที่แทจ้ ริง เพอื่ นาสีมาใช้ให้เกดิ ประโยชน์สูงสุด เร่ิมต้นจาก เม่ือประมาณปี คศ. 1731 เจ ซี ลี โบลน (J.C.Le Blon) ไดท้ าการศึกษาวเิ คราะหธ์ รรมชาตหิ รือคณุ ลักษณะเฉพาะของสี และไดก้ าหนดสีขั้นต้นเป็น แดง เหลอื ง และนา้ เงนิ แลว้ นาสที ง้ั สามมาจบั คู่ผสมซง่ึ กนั และกัน ทาให้เกดิ สีต่างๆอีกมากมาย (โกสุม สายใจ, 2540) การค้นพบคณุ สมบัตเิ ก่ยี วกับสีน้ี ไดถ้ ูกกาหนดเป็น \"ทฤษฎสี ี\" ข้ึนมา และตอ่ มาไดม้ ีผนู้ าหลกั ทฤษฎีสี นไ้ี ปศึกษา ค้นคว้าต่อ และได้คน้ พบคณุ สมบัตขิ องสอี ีกหลายประการด้วยกัน ซง่ึ ความรู้เกีย่ วกับ ทฤษฎีสี สามารถนามาประยุกต์ใช้ให้ เกดิ ประโยชน์ในงานดา้ นตา่ งๆไดอ้ กี มากมายตามมา 1. วงจรสี (Colour Wheel) วงจรสี คือ สที ่ีเกิดจากการผสมกันเป็นคู่ เรมิ่ ต้ังแต่ แม่สี 3 สี แลว้ เกดิ เปน็ สใี หม่ขน้ึ มา จนครบ วงจร จะได้สีท้งั หมด 12 สี ซึ่งแบ่งสีเป็น 3 ขนั้ คือ 1.1 สขี น้ั ท่ี 1 (Primary Colours) คือ แมส่ ี 3สี ได้แก่ สแี ดง เหลอื ง และน้าเงนิ 1.2 สีข้นั ที่ 2 (Secondary Colours) คือ สีที่เกดิ จากการผสมกันเป็นค่ๆู ระหว่างแม่ สี 3 สี จะไดส้ ีเพ่ิมข้นึ อีก 3สี
1.3 สขี นั้ ที่ 3 (Tertiary Colours) คอื สที ี่เกดิ จากการผสมกันเปน็ คู่ๆ ระหว่างแม่สี 3 สี กบั สขี ัน้ ท่ี 2 จะได้สเี พิ่มข้นึ อกี 6 สี วงจรสี 1.4 สกี ลาง (Neutral Colour) คือ สีท่ีเกิดการผสมสีทุกสี ในวงจรสี หรอื แม่สี 3สี ผสม กัน จะได้สเี ทาแก่ สที ้งั 3 ขั้น เมื่อนามาจัดอยู่เป็นวงจรจะได้ลกั ษณะเป็นวงล้อสี 2. วรรณะของสี (Tone of Colour) วรรณะสี คอื ความแตกตา่ งของสแี ตล่ ะกลมุ่ ในวงจรสโี ดยแบ่งตามความร้สู ึกด้านอณุ หภูมิ โดย แบ่งออกเป็น 2 วรรณะ คือ 2.1 สวี รรณะร้อน (Warm Tone) ประกอบดว้ ยสีเหลือง, ส้มเหลือง, ส้ม, สม้ แดง, แดง และม่วง แดง 2.2 สีวรรณะเย็น (Cool Tone) ประกอบดว้ ยสีม่วง, ม่วงน้าเงิน, น้าเงนิ , เขียวนา้ เงนิ , เขยี วและ เขยี วเหลือง 3. สตี รงขา้ ม (Comprementary Colour) สีตรงขา้ ม หมายถึง สที อ่ี ยู่ในตาแหนง่ ตรงข้ามกันในวงจรสี และมีการตดั กันอย่างเดน่ ชัดซ่งึ จะให้ ความรูส้ กึ ที่ขดั แย้งกนั หากนามาผสมกันจะได้สกี ลาง (เทา) ซ่ึงมที ้ังหมด 6คู่ ไดแ้ ก่ - สีเหลอื ง ตรงขา้ มกบั สมี ่วง - สีแดง ตรงขา้ มกับ สีเขยี ว สีนา้ เงนิ ตรงข้ามกบั สีสม้ สเี ขยี วเหลือง ตรงขา้ มกบั สมี ว่ งแดง สีส้มแดง ตรงข้ามกับ สีเขียวน้าเงนิ สมี ว่ งนา้ เงิน ตรงข้ามกับ สสี ม้ เหลอื ง -สตี รงข้าม 4. สีขา้ งเคยี ง ( Analogous Colour) สขี า้ งเคยี ง หมายถึง สีทอี่ ยู่เคียงขา้ งกนั ทงั้ ซา้ ยและขวาในวงจรสี มีความคลา้ ยคลงึ กันหากนามา จดั อยดู่ ้วยกันจะมคี วามกลมกลืนกนั หากอยูห่ ่างกันมากเท่าใดความกลมกลืนก็จะยิ่งนอ้ ยลงความขดั แยง้ กจ็ ะมีมากข้นึ ส่วนใหญจ่ ะเป็นสี ในวรรณะเดยี วกัน (ภาพท่ี 6) สีข้างเคียงไดแ้ ก่
- สแี ดง - ส้มแดง - ส้ม หรือ ม่วงแดง -แดง - สม้ แดง - สีสม้ เหลือง - เหลือง - เขียวเหลือง หรือ ส้มแดง - ส้ม - ส้มเหลอื ง - สีเขียว - เขยี วน้าเงนิ - น้าเงนิ หรอื เขยี วนา้ เงิน - เขียว - เขียวเหลือง - สมี ว่ งนา้ เงิน - มว่ ง - ม่วงแดง หรอื ม่วงน้าเงนิ - นา้ เงนิ - เขียวน้าเงนิ สขี า้ งเคียง 4.2 ทฤษฎสี ี 4.2.1ความหมายของทฤษฎสี ี สี (COLOUR) หมายถงึ ลักษณะกระทบต่อสายตาให้เห็นเป็นสีมีผลถงึ จิตวทิ ยา คอื มอี านาจให้ เกดิ ความเข้มของแสงท่ีอารมณแ์ ละความรู้สึกได้ การที่ไดเ้ ห็นสจี ากสายตาสายตาจะส่งความรู้สึกไปยัง สมองทาให้เกดิ ความรู้สึก ต่างๆตามอิทธิพลของสี เช่น สดชน่ื รอ้ น ตื่นเต้น เศร้า สมี คี วามหมายอย่าง มากเพราะศิลปินตอ้ งการใชส้ ีเป็นสอ่ื สร้างความประทบั ใจในผลงานของศลิ ปะและสะท้อนความ ประทับใจนั้นให้บงั เกิดแก่ผดู้ ูมนษุ ยเ์ กยี่ วข้องกบั สตี ่างๆ อยู่ตลอดเวลาเพราะทุกส่ิงทีอ่ ย่รู อบตวั นัน้ ล้วนแต่ มีสสี ันแตกตา่ งกนั มากมาย สีเป็นส่ิงท่คี วรศกึ ษาเพอ่ื ประโยชน์กับตนเองและ ผสู้ ร้างงานจิตรกรรมเพราะ เรอ่ื งราวองสีน้นั มีหลักวชิ าเปน็ วิทยาศาสตร์จงึ ควรทาความเข้าใจวทิ ยาศาสตร์ ของสจี ะบรรลุผลสาเร็จใน งานมากขน้ึ ถ้าไมเ่ ข้าใจเร่ืองสีดีพอสมควร ถา้ ไดศ้ กึ ษาเร่ืองสีดพี อแลว้ งานศิลปะก็จะประสบความ สมบรู ณ์เปน็ อยา่ งยงิ่ คาจากัดความของสี 1. แสงทม่ี ีความถข่ี องคลื่นในขนาดทตี่ ามนุษยส์ ามารถรบั สัมผัสได้ 2. แม่สที ่ีเปน็ วัตถุ (PIGMENTARY PRIMARY) ประกอบด้วย แดง เหลอื ง น้าเงิน 3. สที ี่เกิดจากการผสมของแม่สี คุณลกั ษณะของสี สแี ท้ (HUE) คือ สที ่ียงั ไมถ่ ูกสีอืน่ เขา้ ผสม เปน็ ลักษณะของสีแท้ที่มีความสะอาดสดใส เช่น แดง เหลือง น้าเงิน สีอ่อนหรือสจี าง (TINT) ใชเ้ รียกสีแท้ทถ่ี กู ผสมด้วยสีขาว เชน่ สเี ทา, สชี มพู สแี ก่ (SHADE) ใชเ้ รียกสีแท้ทีถ่ ูกผสมด้วยสดี า เชน่ สีนา้ ตาล ประวตั คิ วามเปน็ มาของสี
มนุษย์เรม่ิ มีการใชส้ ีต้งั แต่สมัยกอ่ นประวตั ิศาสตร์ มีทั้งการเขยี นสีลงบนผนงั ถา้ ผนังหิน บนพื้นผวิ เครื่องป้ันดนิ เผา และท่อี ่นื ๆภาพเขยี นสบี นผนังถ้า(ROCK PAINTING) เร่มิ ทาตงั้ แต่สมยั กอ่ น ประวัตศิ าสตรใ์ นทวีปยโุ รป โดยคนกอ่ นสมัยประวตั ิศาสตรใ์ นสมัยหินเก่าตอนปลาย ภาพเขยี นสีท่ีมี ชอื่ เสยี งในยุคนี้พบท่ีประเทศฝรงั่ เศสและประเทศสเปนในประเทศ ไทย กรมศิลปากรได้สารวจพบ ภาพเขียนสีสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์บนผนงั ถา้ และ เพิงหินในท่ีตา่ งๆ จะมีอายรุ ะหว่าง 1500-4000 ปี เปน็ สมยั หนิ ใหม่และยคุ โลหะไดค้ ้นพบตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2465 ครั้งแรกพบบนผนงั ถา้ ในอา่ วพังงา ตอ่ มาก็ ค้นพบอีกซง่ึ มอี ยทู่ ว่ั ไป เช่น จังหวัดกาญจนบรุ ี อุทยั ธานี เป็นตน้ สที ี่เขียนบนผนังถา้ สว่ นใหญ่เป็นสีแดง นอกนนั้ จะมีสสี ้ม สีเลอื ดหมู สเี หลือง สีน้าตาล และสดี าสีบนเครื่องป้ันดนิ เผา ได้ค้นพบการเขียนลายครัง้ แรกที่บา้ นเชียงจังหวัดอุดรธานีเม่อื ปี พ.ศ.2510 สที ี่เขยี นเป็นสแี ดงเปน็ รูปลายกา้ นขดจิตกรรมฝาผนัง ตามวดั ตา่ งๆสมัยสุโขทัยและอยุธยามหี ลักฐานว่า ใช้สีในการเขียนภาพหลายสี แต่กอ็ ยใู่ นวงจากดั เพยี ง 4 สี คอื สีดา สีขาว สดี นิ แดง และสเี หลืองในสมัยโบราณน้ัน ชา่ งเขียนจะเอาวัตถตุ า่ งๆในธรรมชาติ มาใช้เปน็ สีสาหรับเขยี นภาพ เช่น ดินหรอื หนิ ขาวใช้ทาสีขาว สดี ากเ็ อามาจากเขมา่ ไฟ หรือจากตวั หมึกจีน เป็นชาตแิ รกที่พยายามคน้ ควา้ เรื่องสีธรรมชาตไิ ด้มากกว่าชาตอิ ื่นๆ คือ ใชห้ ินนามาบดเป็นสีต่างๆ สี เหลืองนามาจากยางไม้ รงหรอื รงทอง สีครามกน็ ามาจากตน้ ไมส้ ว่ นใหญแ่ ลว้ การค้นควา้ เรือ่ งสีก็เพื่อท่ีจะ นามาใช้ ย้อมผ้าต่างๆ ไมน่ ยิ มเขียนภาพเพราะจนี มีคติในการเขียนภาพเพยี งสีเดียว คอื สดี าโดยใช้หมึก จีนเขยี นสีสามารถแยกออกเป็น 2 ประเภทคือ 1). สธี รรมชาติ 2) 2. สีท่มี นุษยส์ ร้างข้ึน สธี รรมชาติ เป็นสีทีเ่ กดิ ขึ้นเองธรรมชาติ เช่น สีของแสงอาทติ ย์ สีของทอ้ งฟา้ ยามเช้า เย็น สขี อง รงุ้ กนิ น้า เหตกุ ารณ์ท่เี กิดข้ึนเองธรรมชาติ ตลอดจนสีของ ดอกไม้ ต้นไม้ พน้ื ดนิ ท้องฟ้า น้าทะเล สที ่ีมนุษย์สรา้ งขึน้ หรือได้สังเคราะห์ขนึ้ เชน่ สวี ิทยาศาสตร์ มนุษย์ไดท้ ดลองจากแสงตา่ งๆ เช่น ไฟฟา้ นามาผสมโดยการทอแสงประสานกัน นามาใช้ประโยชนใ์ นดา้ นการละคร การจัดฉากเวที โทรทศั น์ การตกแต่งสถานที่ แม่สี (PRIMARIES) สีตา่ งๆนน้ั มอี ยมู่ ากมายแหลง่ กาเนิดของสีและวิธีการผสมของสีตลอดจน รสู้ ึกท่ีมีตอ่ สขี องมนุษย์แต่ละกล่มุ ย่อมไมเ่ หมือนกัน สตี ่างๆที่ปรากฎนนั้ ย่อมเกิดขน้ึ จากแมส่ ใี นลักษณะท่ี แตกต่างกนั ตามชนดิ และประเภทของสนี ัน้ แม่สี คือ สีที่นามาผสมกนั แล้วทาให้เกิดสใี หม่ ทม่ี ลี ักษณะแตกตา่ งไปจากสีเดมิ แม่สี มอื ยู่ 2 ชนดิ คอื 1. แม่สีของแสง เกดิ จากการหกั เหของแสงผ่านแท่งแกว้ ปรซิ ึม มี 3 สี คอื สแี ดง สีเหลอื ง และสีนา้ เงิน อยู่ในรปู ของแสงรงั สี ซ่งึ เปน็ พลังงานชนดิ เดยี วท่มี ีสี คณุ สมบัตขิ องแสงสามารถ นามาใช้ ในการถ่ายภาพ ภาพโทรทัศน์ การจัดแสงสีในการแสดงต่าง ๆ เปน็ ต้น (ดูเรือ่ ง แสงสี )
2. แม่สวี ัตถธุ าตุ เปน็ สที ี่ได้มาจากธรรมชาติ และจากการสงั เคราะหโ์ ดยกระบวน ทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง สเี หลือง และสีน้าเงนิ แมส่ วี ตั ถธุ าตุเป็นแม่สีที่นามาใชง้ านกนั อยา่ งกว้างขวาง ในวงการศิลปะ วงการอุตสาหกรรม ฯลฯ แมส่ วี ตั ถุธาตุ เม่ือนามาผสมกนั ตามหลกั เกณฑ์ จะทาใหเ้ กดิ วงจรสี ซง่ึ เปน็ วงสีธรรมชาติ เกิดจาก การผสมกันของแม่สีวัตถธุ าตุ เปน็ สหี ลกั ท่ใี ชง้ านกันทั่วไป ในวงจรสี จะแสดงส่ิงต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ แมส่ วี ัตถธุ าตุ (PIGMENTARY RRIMARIES) แมส่ ีวัตถธุ าตนุ ้นั หมายถึง “วตั ถุท่มี สี ีอยูใ่ นตัว” สามานามาระบาย ทา ย้อม และผสมได้เพราะมี เน้อื สีและสีเหมือนตวั เอง เรียกอีกอยา่ งหนงึ่ วา่ แมส่ ีของช่างเขียนสีตา่ งๆจะเกดิ ขึ้นมาอกี มากมาย ด้วย การผสมของแม่สีซึง่ มอี ยูด่ ้วยกนั 3 สคี อื 1. น้าเงนิ (PRUSSIAN BLUE) สะทอ้ นรังสีของสนี ้าเงนิ ออกมาแล้วดงึ ดูดเอาสแี ดงกับสีเหลอื งเข้า มาแลว้ ผสมกนั กจ็ ะกลายเปน็ สีส้ม ซึ่งเปน็ คูส่ ีของสนี ้าเงิน 2. แดง (CRIMSON LEKE) สะทอ้ นรงั สขี องสแี ดงออกมาแล้วดึงดูดเอาสีนา้ เงินกับสเี หลอื งซง่ึ ต่าง ผสมกนั ในตวั แลว้ กลายเป็นสีเขยี ว อันเป็นค่สู ีของสแี ดง 3. เหลอื ง (GAMBOGE TINT) สะทอ้ นรงั สีของสเี หลืองออกมาแล้วดึงดดู เอาสีแดงกบั สนี ้าเงินซึ่ง ผสมกนั ในตวั แล้วกลายเป็นสมี ว่ ง อันเป็นคสู่ ขี องสีเหลอื ง การผสมสี วัตถุธาตุ แมส่ ีวตั ถธุ าตุ แดง เหลอื ง และสีนา้ เงนิ น้ัน ผสมกันแลว้ เกดิ สีขึ้นอีกหลายสีแม่สีวัตถุธาตุ (PIGMEMPAR Y PRIMARIES) หรอื เรยี กอีกอยา่ งหนึ่งวา่ สขี นั้ ท่ีหนึ่ง ขั้นที่ 1 คือสี 1)น้าเงนิ (PRUSSIAN BLUE) 2) แดง (CRIMSOM LEKE) 3) เหลอื ง (GAMBOGE TINT) แม่สีทง้ั สามถา้ นามาผสมกัน จะไดัเปน็ สีกลาง (NEUTRAL TINT) สีข้ันที่ 2 (SECONTARY HUES) เกิดจากการนาสีแท้ 2 สมี าผสมกนั ในปรมิ าณเท่ากนั จะเกิดสี ใหมข่ ึ้น นา้ เงิน ผสม แดง เป็น มว่ ง (VIOLET) น้าเงิน ” เหลือง ”เปน็ เขยี ว (GREEN) แดง ” เหลอื ง ” เป็น ส้ม (ORANGE) สีขัน้ ที่ 3 (TERTIARY HUES) เกิดจากการผสมสขี นั้ ที่ 2 กบั แม่ (สขี น้ั ที่ 1) ไดส้ เี พิม่ ข้ึนอกี คอื เหลือง ผสม เขียว เป็น เขียวออ่ น (YELLOW – GREEN) นา้ เงิน ” เขียว ” เขียวแก่ (BLUE – GREEN) นา้ เงิน ” มว่ ง ” มว่ งนา้ เงิน (BLUE – VIOLET) แดง ” ม่วง ” ม่วงแก่ (RED – VIOLET)
แดง ” ส้ม ” แดงส้ม (RED – ORANGE) เหลือง ” ส้ม ” สม้ เหลอื ง (YELLOW – ORANGE) แผนภาพสรปุ วงจรสี การผสมกันของแม่สชี ่างเขียนไดส้ ีอยู่ 3 ข้ัน ดงั นี้ สีข้นั ที่ 1 แม่สีปฐมภมู ิ (Primary Color) ได้แก่ สีแดง สีเหลือง สนี า้ เงนิ แม่สปี ฐมภมู ิ สีขัน้ ที่ 2 แม่สีทตุ ยิ ภูมิ (Secondary Hues) เปน็ การนาเอาแม่สมี าผสมกันในปรมิ าณเทา่ ๆ กนั จะ ได้สีใหม่อกี 3 สี ดงั น้ี สีแดง ผสมกับ สเี หลือง เป็น สสี ม้ สแี ดง ผสมกับ สีน้าเงนิ เป็น สีมว่ ง สีเหลืองผสมกบั สนี ้าเงนิ เป็น สีเขยี ว แม่สีทุติยภมู ิ สีขนั้ ที่ 3 สตี ตยิ ภมู ิ (Tertiary Hues) เกิดจากนาเอาแมส่ มี าผสมกับสีข้ันที่ 2 โดยจะได้สใี หม่เพิม่ อกี 6 สี ดงั นี้ สีแดง ผสม สมี ่วง เป็น สีม่วงแดง สีเหลือง ผสม สีเขยี ว เป็น สเี ขยี วเหลือง สแี ดง ผสม สสี ม้ เปน็ สสี ม้ แดง สนี า้ เงนิ ผสม สีม่วง เปน็ สมี ่วงนา้ เงนิ สเี หลอื ง ผสม สสี ้ม เป็น สีส้มเหลอื ง สีนา้ เงิน ผสม สีเขียว เป็น สเี ขยี วน้าเงิน
สีตตยิ ภมู ิ วรรณะของสี วรรณะของสี คือสที ใี่ หค้ วามรูส้ กึ ร้อน-เยน็ ในวงจรสีจะมสี รี อ้ น 7 สี และสีเย็น 7 สี ซึง่ แบ่งที่ สี ม่วงกบั สเี หลอื ง ซึง่ เป็นไดท้ ั้งสองวรรณะ แบ่งออกเป็น 2 วรรณะ 1.วรรณะสีรอ้ น (WARM TONE) ประกอบด้วยสเี หลอื ง สีส้มเหลือง สีส้ม สีส้มแดง สมี ว่ งแดงและ สีม่วง สใี น วรรณะร้อนนี้จะไมใ่ ช่สสี ดๆ ดังทีเ่ ห็นในวงจรสเี สมอไป เพราะสใี นธรรมชาติย่อมมสี ีแตกตา่ ง ไปกว่าสีในวงจรสีธรรมชาติอกี มาก ถ้าหากว่าสีใด ค่อนข้างไปทางสแี ดงหรือสีสม้ เช่น สนี า้ ตาลหรอื สเี ทา อมทอง กถ็ ือว่าเปน็ สีวรรณะรอ้ น 2.วรรณะสีเยน็ (COOL TONE) ประกอบด้วย สเี หลือง สีเขยี วเหลือง สีเขยี ว สีเขียวน้าเงิน สนี ้า เงิน สมี ว่ งน้าเงนิ และสมี ว่ ง สว่ นสอี ่นื ๆ ถ้าหนักไปทางสนี ้าเงนิ และสเี ขยี วก็เป็นสีวรรณะเย็นดงั เช่น สีเทา สีดา สเี ขยี วแก่ เป็นตน้ จะสงั เกตได้วา่ สีเหลืองและสีมว่ งอยูท่ ้ังวรรณะร้อนและวรรณะเยน็ ถา้ อยู่ในกล่มุ สี วรรณะร้อนกใ็ ห้ความรูสกึ ร้อนและถา้ อยู่ในกลุม่ สีวรรณะเย็นกใ็ ห้ความรสู้ ึกเยน็ ไปด้วย สเี หลืองและสมี ว่ ง จงึ เปน็ สไี ด้ทง้ั วรรณะร้อนและวรรณะเยน็ วรรณะร้อนและวรรณะเย็น 4.3 ระบบสี โดยทั่วไปสีในธรรมชาติและสีทีส่ ร้างข้ึน จะมรี ูปแบบการมองเห็นของสีทแี่ ตกตา่ งกัน ซงึ่ รูปแบบ การมองเหน็ สี ท่ีใชใ้ นงานด้านกราฟกิ ทัว่ ไปนนั้ มอี ยดู่ ว้ ยกนั 4 ระบบ คือ 1. ระบบสีแบบ RGB ตามหลกั การแสดงสขี องเครื่องคอมพวิ เตอร์ 2. ระบบสแี บบ CMYK ตามหลกั การแสดงสขี องเครอ่ื งพิมพ์ 3. ระบบสแี บบ HSB ตามหลักการมองเห็นสขี องสายตามนษุ ย์
4. ระบบสีแบบ Lab ตามมาตรฐานของ CIE ซึง่ ไม่ขึ้นอยู่กับอปุ กรณ์ใดๆ 1. ระบบสีแบบ RGB เปน็ ระบบสีที่ประกอบดว้ ยแมส่ ี 3 สคี ือ แดง (Red), เขียว (Green) และ น้าเงิน (Blue) ใน สัดส่วนความเข้มข้นท่แี ตกตา่ งกนั เมื่อนามาผสมกันทาให้เกดิ สตี า่ งๆ บนจอคอมพิวเตอร์ไดม้ าก ถงึ 16.7 ล้านสี ซึง่ ใกลเ้ คียงกบั สที ่ตี าเรามองเห็นไดโ้ ดยปกติ และจุดท่สี ีทัง้ สามสีรวมกันจะกลายเปน็ สีขาว นิยมเรยี กการผสมสีแบบน้ีว่าแบบ “Additive” หรือการผสมสีแบบบวก ซึง่ เป็นการผสมสีขนั้ ที่ 1 หรอื ถ้า นาเอา Red Green Blue มาผสมครง้ั ละ 2 สี กจ็ ะทาใหเ้ กดิ สใี หม่ เช่น Blue + Green = Cyan Red + Blue = Magenta Red + Green = Yellow แสงสี RGB มักจะถกู ใช้สาหรับการสอ่ งสว่างทั้งบนจอทวี แี ละจอคอมพวิ เตอร์ ซง่ึ สร้างจากการให้ กาเนิดแสงสแี ดง สเี ขยี ว และสนี า้ เงิน ทาให้สดี ูสว่างกวา่ ความเปน็ จริง อ้างองิ - ภาพ http://www.urlnextdoor.com 2.ระบบสแี บบ CMYK เป็นระบบสีท่ีใชก้ ับเครอ่ื งพมิ พ์ท่ีพมิ พอ์ อกทางกระดาษ ซงึ่ ประกอบดว้ ยสีพนื้ ฐาน คือ สีฟา้ (Cyan), สี มว่ งแดง (Magenta), สเี หลอื ง (Yellow), และเมอ่ื นาสที ง้ั 3 สมี าผสมกันจะเกิดสเี ปน็ สดี า (Black) แตจ่ ะ ไมด่ าสนทิ เนอื่ งจากหมึกพิมพม์ ีความไม่บริสทุ ธิ์ โดยเรยี กการผสมสีทงั้ 3 สีขา้ งตน้ ว่า “Subtractive Color” หรอื การผสมสแี บบลบ หลักการเกิดสีของระบบน้คี ือ หมกึ สีหน่ึงจะดดู กลืนสจี ากสีหนึ่งแลว้ สะท้อน กลับออกมาเป็นสีต่างๆ เช่น สฟี า้ ดดู กลนื สมี ่วงแล้วสะท้อนออกมาเปน็ สีน้าเงิน ซ่งึ จะสงั เกตได้ว่าสที ่ีสะทอ้ น ออกมาจะเปน็ สหี ลักของระบบ RGB การเกดิ สนี ใี้ นระบบน้ีจงึ ตรงข้ามกับการเกิดสใี นระบบ RGB 3. ระบบสแี บบ HSB เป็นระบบสีพน้ื ฐานในการมองเห็นสีด้วยสายตาของมนษุ ย์ประกอบดว้ ยลักษณะของสี 3 ลกั ษณะ คือ - Hue คือ สตี า่ งๆ ที่สะทอ้ นออกมาจากวตั ถุเข้ามายังตาของเรา ทาให้เราสามารถมองเห็นวัตถุเปน็ สี
ตา่ งๆ ได้ ซง่ึ แต่ละสีจะแตกต่างกันตามความยาวของคล่นื แสงทมี่ ากระทบวตั ถุและสะทอ้ นกลบั ทีต่ าของ เรา Hue ถูกวดั โดยตาแหน่งการแสดงสีบน Standard Color Wheel ซ่ึงถกู แทนด้วยองศา 0 ถงึ 360 องศา แตโ่ ดยทัว่ ๆ ไปแลว้ มักจะเรยี กการแสดงสนี ั้นๆ เปน็ ชื่อของสเี ลย เชน่ สีแดง สีม่วง สเี หลอื ง - Saturation คอื ความสดของสี โดยค่าความสดของสจี ะเรม่ิ ที่ 0 ถึง 100 ถ้ากาหนด Saturation ท่ี 0 สีจะมคี วามสดน้อย แตถ่ ้ากาหนดท่ี 100 สีจะมีความสดมาก ถา้ ถูกวัดโดยตาแหน่งบน Standard Color Wheel ค่า Saturation จะเพม่ิ ขนึ้ จากจดุ ก่งึ กลางจนถงึ เสน้ ขอบ โดยคา่ ที่เสน้ ขอบจะมสี ีที่ชัดเจนและอ่มิ ตวั ท่สี ดุ - Brightness คอื ระดับความสว่างและความมืดของสี โดยค่าความสว่างของสจี ะเร่มิ ที่ 0 ถงึ 100 ถา้ กาหนดที่ 0 ความสว่างจะน้อยซึง่ จะเปน็ สีดา แตถ่ า้ กาหนดท่ี 100 สจี ะมีความสวา่ งมากท่ีสดุ ยิ่งมี ค่า Brightness มากจะทาให้สีนัน้ สวา่ งมากข้ึน อา้ งอิง - ภาพ http://www.tomjewett.com 4. ระบบสีแบบ Lab ระบบสแี บบ Lab เป็นคา่ สที ีถ่ ูกกาหนดขึน้ โดย CIE (Commission Internationale d’ Eclarirage) เพือ่ ใหเ้ ปน็ สีมาตรฐานกลางของการวดั สที ุกรูปแบบ ครอบคลมุ ทกุ สี ใน RGB และ CMYK และใช้ได้กบั สีที่เกิดจากอปุ กรณท์ กุ อยา่ งไมว่ ่าจะเป็นจอคอมพวิ เตอร์ เครอ่ื งพมิ พ์ เคร่อื งสแกน และอน่ื ๆ ส่วนประกอบของโหมดสีนไ้ี ดแ้ ก่ L หรือ Luminance เป็นการกาหนดความสว่างซ่ึงมีคา่ ตง้ั แต่ 0 ถงึ 100 ถ้ากาหนดท่ี 0 จะกลายเปน็ สี ดา แต่ถา้ กาหนดที่ 100 จะกลายเปน็ สขี าว A เปน็ คา่ ของสีท่ไี ล่จากสเี ขยี วไปสแี ดง B เปน็ คา่ ของสีทไ่ี ลจ่ ากสีนา้ เงนิ ไปสีเหลือง ส่งอีเมลข้อมลู น้ีBlogThis!แชรไ์ ปท่ี Twitterแชร์ไปที่ Facebookแชรใ์ น Pinterest
หน่วยท่ี 5 ภาพในส่อื สิง่ พิมพ์ ภาพประกอบในส่อื สงิ่ พมิ พ์ ทง้ั ทเี่ ป็นภาพวาดและภาพถา่ ยต่างก็ใช้เพื่อส่อื ความหมาย เชน่ เดยี วกบั ตวั อักษร แต่มีลักษณะพเิ ศษคอื ใหร้ ายละเอยี ดได้มากกวา่ และยังสามารถทาให้เห็นภาพได้ เหมอื นจรงิ การไดม้ องเห็นภาพจะทาให้เกิดความเข้าใจได้ทันทโี ดยไมต่ ้องใช้เวลาตีความหรือทาความ เข้าใจ นอกจากน้ภี าพถอื ว่าเป็นภาษาสากล แมค่ นทีไ่ มร่ ู้หนงั สอื กส็ ามารถดูรูเ้ รื่องได้ การใชภ้ าพประกอบ จงึ มีความหมายและสาคญั ต่อสิง่ พมิ พไ์ มน่ อ้ ยไปกว่าตัวพมิ พ์ 5.1 ไฟลภ์ าพและคุณสมบตั ขิ องไฟล์ภาพ 5.1.1 ความหมายของภาพ “ภาพ” ในความหมายตามพจนานกุ รมไทย ฉบับราชบัณิตยสถาน พ.ศ. 2542 มายถงึ ความมคี วาม เปน็ มกั ใชป้ ระกอบส่วนท้ายของคาสมาน เชน่ ภาพ มรณภาพ เปน็ ต้น รูปทปี่ รากฏเห็น หรอื นกึ เห็น เชน่ ทวิ ทศั น์ ภาพในฝนั เป็นต้น ส่ิงที่วาดขน้ึ เป็นรูปหรอื ส่งิ ทถ่ี ่ายแบบไว้ เช่น ภาพสีนา้ มนั ภาพถา่ ย เป็นตน้ ภาพประกอบส่อื ส่ิงพิมพ์ หมายถงึ เนื้อหาสว่ นท่เี ปน้ ภาพทีป่ รากฏอยใู่ นเอกสารสือ่ สง่ิ พิมพต์ า่ งๆ นอกจากเน้อื หาและข้อความตัวอักษร ภาพเหล่านอ้ี าจเป็นภาพวาดและภาพถา่ ยก็ได้ และยังรูปถึง ภาพกราฟิกต่างๆ เชน่ จดุ เส้นสี แถบกราฟกิ และภาพเลขาคณติ อ่นื ๆ ทใ่ี ช้ในการตกแต่งสือ่ ส่งิ พมิ พ์ เป็น ต้น 5.1.2 ความละเอียดของภาพ (Resolution) งานสือ่ สง่ิ พิมพส์ ่วนใหญ่แล้วเปน็ งานท่ีดูในระยะใกล้ และเป็นงานที่ผ่านระบบการพมิ พ์คณุ ภาพสูง ดังนนั จึงมีความละเอียดของภาพสงุ กวา่ งานท่นี าเสนอบนจอภาพ สอื่ ส่งิ พิมพ์คุณภาพสงู ส่วนใหญพ่ ิมพ์ ด้วยความละเอยี ด 300 ดพี ีไอ (Dot Per Inch = DPI ) แต่สิ่งพมิ พ์บางประเภทอาจมคี วามละเอยี ดที่ แตกต่างออกไป เชน่ หนังสอื พมิ พ์ หรอื ป้ายโฆษณาแผน่ ใหญอ่ าจใช้ความละเอยี ดภาพทต่ี า่ เพราะไม่ ตอ้ งการคุณมากนกั ส่วนความละเอยี ดของจอภาพน้ันท่วั ไปจะเป็น 72 พพี ไี อ (Pixels Per Inch = PPI) ดังน้ันการทางานเพอื่ แสดงผลบนจอภาพควรใช้คา่ ความชัดเจน 72 พีพไี อ เปน็ ตน้ 5.1.3 คณุ สมบตั ิของไฟลร์ ปู ภาพสาหรบั งานนาเสนอจอภาพ การทางานทกุ ครั้งต้องคานึงถึงคุณสมบัตขิ องไฟลร์ ูปภาพทีต่ อ้ งการใช้ในการนาเสนอ เชน่ ภาพ ทจ่ี ะปรากฏนั้นจะมีขนาดเท่าไร ต้องใชค้ วามละเอยี ด ของภาพเท่าไร ควรใชร้ ะบบสีแทบใด และเลอื ก รูปแบบ (Format) ของรูปภาพใด เพื่อให้เหมาะสมในการนาไปใชง้ าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กบั ประเภทของงาน ที่ จะนาไปใช้ดว้ ย เช่น ภาพท่ใี ชท้ าเว็บกบั ภาพที่ใชท้ าโปสเตอรก์ ็ตอ้ งมคี ุณภาพที่แตกต่างกนั โดยทว่ั ไปจะ แบ่งลกั ษณะงานออกเปน็ สองสายตามรูปแบบของสื่อในการนาเสนอ
ภาพทป่ี รากฏบนจอภาพคอมพวิ เตอร์ เกดิ จากการทางานของโทน สีอาร์จีบี (RGB) ซ่ึง ประกอบดว้ ยสีแดง (RED) สีเขยี ว (GREEN) และสีนา้ เงิน (Blue) โดยใชห้ ลกั การยงิ ประจุไฟฟา้ ให้เกดิ การ เปล่งแสงของสีท้งั 3 สี มาผสมกันทาให้เกิดเป็นจุดเล็กๆ ที่เรียกว่า พกิ เซล (Pixel) โดยในหนึง่ พิกเซล ประกอบดว้ ยหลายสี เมอื่ นามาวางตอ่ กันจะเปน็ รูปภาพ ภาพที่นิยมใชก้ ับเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ มี 2 ประเภทคอื 1.ภาพกราฟกิ แบบบติ แมป (Bitmap Graphics) หรือแบบราสเตอร์ (Raster Graphics) เป็นภาพกราฟกิ ท่ีเกิดจากการเรียงตัวกนั ของสเ่ี หล่ยี มเล็กๆหลายสีคล้ายกับการปูกระเบ้อื ง เรยี กว่า พิก เซล ซึง่ ในแต่ละพิกเซลถกู รบดุ ว้ ยขอ้ มลู สี ข้นึ อยกู่ ับภาพน้ันๆ วา่ ใชโ้ หมดสแี บบใดการสร้างภาพ แตล่ ะ พิกเซลจะมคี า่ ของตาแหน่งและคา่ สขี องตัวเอง ด้วยเหตุท่ีพิกเซลมีขนาดเล็ก จึงเหน็ ว่าภาพมคี วาม ละเอยี ดสวยงามไม่มีลักษณะของกรอบส่เี หล่ียมให้เหน็ แต่ถ้าขยายขนาดภาพก็จะเหน็ กรอบเล็กๆหรือ พิกเซลท่ปี ระกอบกันขึ้นมาเปน็ ภาพ ดงั น้นั เมอ่ื ทางานกบั ภาพแบบมติ แมปหรอื ราสเตอร์เป็นภาพทข่ี น้ึ อยู่ กบั ความละเอยี ด (Resolution) เมอื่ ทางานกบั ภาพแบบมิตแมปหรือแบบราสเตอร์กาหนดจานวนพิกเซล ใหก้ ับภาพทต่ี ้องการสร้าง ถา้ กาหนดจานวนพกิ เซลน้อยเมอื่ ทาการขยายภาพใหใ้ หญ่ขน้ึ จะทาใหม้ องเห็น ภาพเปน็ จดุ สี่เหลี่ยมเล็กๆ หรือถ้ากาหนดจานวนพิกเซลมากกจ็ ะทาใหแ้ ฟ้มภาพมขี นาดใหญ่ ของดขี อง ภาพแบบบิตแมปแบบราสเตอร์ คอื สามารถแก้ไข ปรับแต่งตกแต่งภาพได้งา่ ยและสวยงาม ตารางที่ 5.1 ชนดิ ของกราฟิกไฟล์ประเภทบิตแมปหรอื ราสเตอร์ ชนดิ ของไฟล์ ลักษณะการใช้งาน บเี อ็มพี (Bitmap Senquence = BMP ถกู สร้างข้ึนเพือ่ ใชแ้ สดงผลภาพกราฟกิ บนโปรแกรมวินโดวส์ เป็นไฟล์ทีไ่ ม่มปี ระโยชนใ์ นดา้ นการใช้งานมากนกั จะใช้เพอื่ เก็บ กราฟิกไฟลท์ เ่ี ปน็ ตน้ แบบ และใช้ในการแสดงผลบน จอคอมพิวเตอร์ ทิฟ (Tagged image file format = TIF ) เป็นกราฟกิ ไฟล์ท่สี ร้างมาเพือ่ โปรแกรมประเภท จดั หนา้ หนงั สือ (Desktop Publlshing) สามารถเก็บขอ้ มูลรายละเอียด ของภาพไดค้ ่อนขา้ งมาก ใชไ้ ดท้ ้งั ในอมค (Mac) และพีชีมีหลาย เวอร?ทช่ันแต่ทีน่ ยิ มใชก้ ัน คอื เวอร์ชั่น 4 และ 5 กฟิ (Compuseve Graphic Interchange ถูกสร้างข้นึ มาโดยบรษิ ัทคอมพวิ เชิรฟ์ (Compu Surve) ซึง่ เป็น File = GIF บรษิ ทั ที่ให้บริการด้านเครือข่ายของสหรฐั เหมาะกบั การเกบ็ ไฟลร์ ูปภาพขนาดเลก็ และจานวนสนี ้อย มีขนาดไฟลเ์ ลก็ เพราะ สร้างขึน้ มาเพอ่ื ใชใ้ นระบบเครือขา่ ย
เจเปก (Joint Photographic Expers เป็นไฟล์ท่ีถกู สรา้ งขึน้ มาเพ่ือบีบอัดขอ้ มลู ภาพให้มีขนาด Group = JPG ) กะทดั รดั เพื่อนาไปใชง้ านในระบบอินเตอร์เนต็ นิยมนามาใชใ้ น การแสดงผลปู ภาพบนเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ตเช่นเดยี วกับกฟิ พคิ (Picture = PICT) สามารถเก็บองค์ประกอบของรูปภาพได้ครบ เปน็ ไฟลข์ องแมค โอเอส (OS) และไมส่ ามารถบันทึกในโหมด ซเี อ็มวายเคเพอื่ นามาใช้งานด้านการพิมพ์ พเี อ็นจี (Portable Network Graphics = เปน็ ไฟล์ท่ีเหมาะสมกบั การใชใ้ นเว็บ สามารถบีบอัดขนาดไฟล์ PNG ลงไดโ้ ดยท่ียงั รักษาคณุ ภาพของไฟล์ไว้ได้ และที่สาคัญสามารถ เลือกระดับสีใชง้ านไดถ้ งึ 16 ลา้ นสี อีพีเอส (Encapsulated Postscript = เปน็ ไฟล์นามสกุลท่ีใชเ้ ปิดโปรแกรมในโปรแกรมอลิ ลัสเตรเตอร์ EPS แต่สามารถบันทกึ ไดด้ ว้ ยโปรแกรม โพโตชอ็ ป สนบั สนุนการ สร้างภาพ (Path) บนั ทึกได้ทัง้ แทบเวคเตอร์และราสเตอร์ 2. ภาพกราฟิกแบบเวคเตอร์ (Vector Graphics) มลี ักษณะการสร้างให้แตล่ ะสว่ นเปน็ อสิ ระตอ่ กัน โดยแยกชิ้นส่วนของภาพท้ังหมด ออกเป็นเส้นตรง รปู ทรง สว่ นโคง้ โดยอ้างอิงตามความสมั พนั ธท์ าง คณติ ศาสตร์หรือคานวณเป็นตัวสร้างภาพ เปน็ การรวมเอารูปทรงพน้ื ฐาน ได้แก่ วงกลม เสน้ ตรง ทรง กลม ลกู บาศก์ และ อื่นๆต่างชนดิ มาผสมกนั มีทศิ ทางการลากเสน้ ไปในแนวต่างๆ เพ่อื สร้างภาพท่ี แตกต่างกนั โดยใชค้ าสง่ั ต่างๆ เรยี กภาพประเภทนี้ว่า กราฟกิ แบบเวคเตอร์ การสรา้ งโครงร่างภาพกราฟิก แบบเวคเตอร์ เป็นการคานวณทางคณติ ศาสตรก์ ารกาหนดโครงร่างและจัดเกบ็ ไฟลภ์ าพในลกั ษณะของ ตวั แปรทางคณติ ศาสตร์เป็นผลใหไ้ ฟลม์ ีขนาดเล็กอกี ท้งั โครงร่างประกอบข้ึนจากเส้นตรงและเสน้ โค้งจึง ถกู ขนาดนามวา่ เปน็ ภาพลายเส้น (Draw Type Graphics) และประการสาคัญของไฟล์ภาพประกอบน้ี คือมขี อบภาพท่ีคมชัดเมอ่ื ถูกพิมพ์ออกที่เครือ่ งพิมพ์ดังน้นั จึงนยิ มใชใ้ นการออกแบบโลโก้ ศิลปะตัวอักษร ศลิ ปะการเขยี น ข้อดอี ีกประการหนึง่ คอื คุณภาพของภาพไมข่ นึ้ อยู่กบั อตั ราการขยาย (Resolution – independent) หมายถึงภาพถูกขยายให้ใหญ่แคไ่ หนก็ได้โดยไม่มผี ลกระทบกับคุณภาพของภาพเลย ส่วนขอ้ เสียของไฟลภ์ าพประเภทนี้คอื ภาพทีด่ จู ะเป็นภาพวาดเมื่อเทียบกับไฟลภ์ าพแบบบติ แมปทม่ี ี ลกั ษณะเปน็ ภาพถ่าย สาหรับโปรแกรมท่ใี ชส้ ร้างหรือแกไขภาพเวคเตอร์ ได้แก่ โปรแกรมฟรแี ฮนด์ (Free Hand) คอเรลดรอว์ (CorelDraw) และอลิ สั เตรเตอร์ (lllustator) ซง่ึ พื้นฐานของไฟลป์ ระเภทน้ี จดั เกบ็ ในรปู แบบของโพสตค์ รปิ ต์ไฟล์ (Postscript) โดยโพสต์สครปิ ตไ์ ฟลเ์ ป็นภาษาที่ใชใ้ นการสงั่ การและ ควบคุมการพมิ พ์บนเครอื่ งพิมพ์ โดยเป็นมาตรฐานของอะโดบี ดังนน้ั ผทู้ ใี่ ช้โปรแกรมประเภทนเ้ี ครื่องพิมพ์ สนบั สนนุ โพสตส์ ครปิ ต์ไฟล์ จึงจะพมิ พภ์ าพได้อยา่ งสมบรู ณ์
ตารางท่ี 5.2 ชนดิ ของไฟล์เวคเตอร์ ชนิดของไฟล์ ลักษณะการใช้งาน อพี ี อพี ีเอสเปน็ ไฟล์ทถ่ี กู สรา้ งขึ้นมาเพ่ือใช้ในงานออกแบบสอ่ื สิง่ พมิ พเ์ ปน็ ไฟล์เวคเตอรม์ าตรฐานใช เอส (Encapsulated ทาการแยกสีเพ่ืองานพิมพ์ได้นอกจากนยี้ งั ใชใ้ นการเชพ เวคเตอร์ไฟลจ์ ากโปรแกรมหนึ่งเพื่อนา Postscript = EPS) นีจ้ ะมีโปรแกรมขนาดใหญไ่ ฟล์เวคเตอร์ชนิดอน่ื ๆ เอไอ (Adobe เอไอเป็นไฟลข์ องอะโดบีอิลลัสเตรเตอร์ จงึ ควรแก้ไขไฟล์เอไอบนโปรแกรมอิลสั เตรเตอร์เท่านัน้ lllustrator sequence =Al) เอฟเอช (FreeHand เอฟเอชเปน็ ไฟล์โปรแกรมของเวคเตอร์ของค่ายมาโครมิเดีย(Macromeddia) ท่ีมชี ่อื ว่า ฟรแี ฮน =FH) ดีดับเบิลยจู ี ดีดับเบลิ ยูจเี ปน็ ดรอวอ์ ิงไฟล์ (Drawing file) ของโปรแกรมออโตแคด (Auto CAD) (DrawinG file = DWG) เอฟแอลเอฟ (Flash เป็นไฟลเ์ วคเตอรข์ องโปรแกรมมาโครมิเดียมเฟลซ ใช้ในการสร้างแอนิมิช่ันบนเว็บเพจ =FLA) เอสดับเบิลยู เป็นไฟลเ์ วคเตอร์ของโปรแกรมมาโครมิเนียมเฟลซใช้แสดงผลเฟลซ (Flash) แอนมิ ชิ ั่นบนเว็บ เอฟ (Shock wave flash =SWF ) 5.2 รูปภาพในงานดา้ นสื่อส่ิงพมิ พ์ การทางานกับรูปภาพในส่ือส่ิงพมิ พถ์ อื เปน็ สง่ิ ทสี่ าคัญเพราะสามารถดงึ ดูดความน่าสนใจจาก ผอู้ ่านและใชเ้ ป็นสอ่ื ขยายความหรือขอ้ ความใหเ้ กดิ ความเข้าใจมากย่งิ ข้ึนโดยรปู ภาพจะช่วยให้ผู้อ่าน สามารถตรวจสอบเนือ้ หาและพบส่ิงท่ตี อ้ งการส่ือความหมายของขอ้ ความได้รวดเร็วผอู้ ่านจะไดข้ ้อมูลสรปุ ทร่ี วดเร็วกวา่ ข้อความมีความน่าสนใจพอที่จะอา่ นตอ่ ไปหรือไม่ นอกจากนีย้ งั ช่วยให้ผอู้ า่ นเข้าใจความคิด ท่ีซับซ้อนไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ การขยายความด้วยรปู ภาพ การสร้างหรือเลอื กรปู ภาพสาหรบั ส่อื ส่ิงพิมพค์ วรทาให้รูปภาพมีคณุ สมบัติดงั น้ี 1.มีความเกยี่ วขอ้ งกบั เนื้อหา การใช้รูปภาพเพอ่ื อธิบายแนวคิดหลักและดงึ ดูดความสนใจ เนื่องจากผอู้ ่านจะดเู น้ือหาแบบผ่านๆโดยจะอา่ นเฉพาะหวั เรื่องและอธิบายที่ใช้ประกอบรปู ภาพ ผู้อา่ น สามารถรับทราบใจความทสี่ าคัญที่สดุ ได้ดว้ ยรปู ภาพและคาอธิบายส้นั ๆ
2.ภาพมีความสอดคลอ้ งกัน การจัดทาสื่อสิง่ พิมพ์ให้เป็นเอกภาพดว้ ยการเลอื กหรือแสดงรูปภาพ การทาใหร้ ูปมคี วามสอดคลอ้ งกนั ทาได้หลายวิธี ได้แก่ ใช้ชดุ แถบสหี รอื สีเดน่ สีเดียวสไตลก์ ราฟกิ ท่วั ไป มมุ กล้องเดียวกนั การจดั แสงท่ีสอดคลอ้ งกันและสามารถใช้แอฟเฟ็กต์ของตวั กรองแบบเดียวกันแต่ละรูปภาพ หรอื ใชต้ วั บุคคลเดยี วกันในการดาเนนิ เรอื่ ง 3.เลือกใชภ้ าพบุคคล คนส่วนใหญม่ ักดรู ปู ภาพของบุคคลอ่นื ๆรูปของคนอ่ืนจะมักดึงความสนใจ ของผอู้ า่ น โดยเฉพาะภาพท่ีสอดคล้องหรอื บอกเร่ืองราวได้ การใช้รูปภาพแสดงรูปทใ่ี ช้ผลติ ภณั ฑห์ รือ บรกิ ารทาให้ผอู้ า่ นเห็นวธิ ีทางานและนกึ ภาพตัวเองขณะใช้งานด้วย 5.3 ภาพท่ีใชใ้ นการประกอบสอ่ื สง่ิ พมิ พ์ ภาพประกอบสอ่ื สิง่ พมิ พ์ทั้งภาพวาดและภาพถ่ายตา่ งก็ใช้เพือ่ ส่อื ความหมายเช่นเดยี วกบั ตัวอกั ษร แตม่ ีลกั ษณะพเิ ศษคือใหค้ วามหมายไดม้ ากกว่าและสามารถทาให้เห็นภาพได้เหมือนจริงการได้มองเหน็ ภาพจะทาให้เกิดความเขา้ ใจไดท้ ันที โดยไมต่ ้องใชเ้ วลาตคี วามหรอื ทาความเขา้ ใจ นอกจากน้ภี าพยังถอื ว่าเปน็ ภาษาสากล แม้คนไมร่ ้หู นังสอื ยงั สามารถดรู เู้ ร่ืองได้ การใชภ้ าพประกอบจึงมีความหมายและ สาคัญต่อส่อื สิง่ พิมพไ์ ม่นอ้ ยกว่าตวั พิมพ์ ในอดตี ท่ผี า่ นมาภาพประกอบสื่อสง่ิ พิมพ์จะถกู นามาใชเ้ พ่อื วัตถปุ ระสงคต์ กแตง่ อธิบายและให้เปน็ หลักฐานอา้ งอิงความสาคัญของภาพประกอบคอื แสดงสงิ่ ที่ผเู้ ขยี น ไมส่ ามารถอธิบายออกมาเป็นภาษาเขียนได้ นอกจากนภ้ี าพประกอบสอ่ื ส่งิ พิมพไ์ ด้กลายมาเป็นส่วนหน่งึ ของชวี ติ ประจาวนั ของผู้คน เพราะทกุ สิง่ ทุกอย่างไม่วา่ จะเป็นบรรจภุ ณั ฑ์ ปกเทป แผ่นพบั แผน่ ปลวิ หนงั สอื พิมพ์ นติ ยสาร หนังสือทั่วไป ล้วนตอ้ งใช้ภาพประกอบทง้ั สนิ้ 5.3.1 ความสาคญั ของภาพประกอบส่อื สิ่งพิมพ์ ภาพประกอบมีความสาคัญต่อสอื่ สงิ่ พิมพ์มากโดยเฉพาะในการสอ่ื ความหมายของการถ่ายทอดความรู้ ทางดา้ นวิชาการเพราะภาพประกอบสามารถใหร้ ายละเอยี ด และความเหมอื นจรงิ เหนอื คาบรรยายให้ ความสวยงามและความประทบั ใจหรอื ใช้เปน็ หลกั ฐานอ้างอิง ความสาคญั ของภาพประกอบส่ือสง่ิ พมิ พม์ ี สาระสาคัญสรปุ ได้ดงั นี้ 1. ใชส้ ร้างความเขา้ ใจ ในการอธบิ ายถงึ สิง่ หนึ่งสงิ่ ใดบางคร้ังตวั อักษรก็มขี ้อจากดั ทีจ่ ะบ่ง บอกถึงส่ิงท่ีอธบิ ายน้นั ว่าเป็นอย่างไร ในบางกรณีแม้ผูบ้ รรยายจะมีความสามารถในการใช้ถ้อยคาแตไ่ ม่ อาจทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจไดโ้ ดยง่าย เช่น การอธบิ ายความแตกต่างระหวา่ งมา้ กบั ลาให้แกค่ นท่ไี ม่เคยเห็น สตั วท์ ง้ั สองชนิดนี้ คงเป็นเรื่องท่ีลาบากแตถ่ า้ แสดงดว้ ยรูปภาพจะทาให้เขา้ ใจได้งา่ ยขึ้น 2. ใช้เสริมความเขา้ ใจ การนาภาพประกอบมาใชใ้ นกรณีทข่ี ้อความสามารถสร้างความ เขา้ ใจไดร้ ะดบั หน่งึ แล้วแตไ่ มช่ ดั เจนจงึ จาเปน็ ต้องใช้ภาพประกอบเพ่อื เสริมความเข้าใจใหช้ ัดเจนย่ิงขึ้น เช่น การอธบิ ายพุทธลักษณะพระพทุ ธเจ้าในสมัยตา่ งๆ ถา้ มภี าพประกอบเพื่อเสรมิ ความเขา้ ใจใน รายละเอียดเพิม่ เตมิ กจ็ ะทาให้เข้าใจมากย่งิ ขนึ้ เป็นต้น
3.ใช้เป็นหลกั ฐานเพ่อื บง่ บอกบคุ คล ในการบ่งบอกถงึ บุคคลที่ไมอ่ าจใช้ขอ้ ความอธิบายให้เห็น ภาพหรอื เขา้ ใจไดว้ า่ บุคคลน้มี ลี ักษณะเปน็ อยา่ งไร แต่ถ้าพมิ พภ์ าพแลว้ บอกชื่อ ผทู้ ี่เหน็ และรจู้ กั ก็จะ สามารถจดจาได้ทันที 4.ใช้เปน็ หลักฐานอ้างอิงหรอื แสดงหึตกุ ารณ์ ภาพประกอบสามารถนามาใช้เปน็ หลกั ฐาน ประกอบคาบรรยายในกรณีน้ันสาคัญขนาดต้องบันทกึ เป็นประวัตศิ าสตร์ หรือเหตกุ ารณ์นนั้ ต้องการความ รวดเร็วเพอ่ื นาเสนอเป็นภาพข่าวส่อื สารมวลชนตา่ งๆ เป็นบอกเล่าเหตกุ ารณ์ให้เขา้ ใจโดยงา่ ย 5.ใช้ตกแต่งหน้าหนังสือ ภาพประกอบช่วยให้สวยงามน่าอา่ นมากยงิ่ ขึ้นเทคโนโลยีการถา่ ย การตกแต่ง และการพมิ พใ์ นปัจจบุ นั เอื้ออานวยให้กับงานภาพประกอบสะดวกยิง่ ข้นึ การถา่ ยภาพทาได้ง่ายขึ้น ลด ขนั้ ตอนการตกแตง่ ลง ใชเ้ วลานอ้ ยง การจาลองภาพอยา่ ง เช่น การถา่ ยเอกสารหรือสแกนภาพ ทาใหไ้ ด้ คณุ ภาพดแี ละรวดเรว็ อกี คร้งั เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ยงั ช่วยในการตกแต่ง และดัดแปลงภาพไดห้ ลาย รูปแบบ 5.3.2 ประเภทของภาพประกอบสอื่ สิ่งพิมพ์ การใช้ภาพผลิตส่ือสิ่งพิมพ์น้ันอาจกลา่ วได้ว่าสามารถใชก้ ับภาพไดท้ ุกประเภท เพราะเทคโนโลยี ดา้ นการพิมพท์ าใหส้ ามารถถา่ ยทอดภาพประเภทใดๆก็ได้ลงบนส่อื สงิ่ พมิ พ์ การแบง่ ประเภทของภาพ ประเภทส่ือส่งิ พมิ พ์ตามส่ือทีใ่ ชใ้ นการผลติ สามารถแบง่ ไดด้ ังนี้ 1.ภาพถา่ ย เปน็ ภาพที่เกิดจากกรรมวิธีในการถา่ ยภาพ ใช้ประโยชน์ไดด้ ใี นงานพมิ พ์ เพราะ ภาพถ่ายมลี ักษณะเฉพาะตวั หลายอยา่ ง ทั้งความเหมอื นจรงิ และความละเอยี ด สามารถสร้างสรรคไ์ ด้ตาม ความร้สู ึก การถา่ ยภาพเพื่อนามาประกอบสือ่ ส่ิงพิมพ์ ปัจจุบันนิยมใช้กลอ้ งดจิ ิตอล ผลลพั ธ์ท่ไี ด้ส่วนใหญ่ จึงเป็นภาพสี (Color Print) แตต่ อ้ งการภาพขาวดามกั ใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอรช์ ว่ ยแปลงจากภาพสีให้ เป็นภาพขาวดา 2.ภาพวาดลายเสน้ เป็นภาพทใ่ี ชป้ ระกอบสอื่ ส่ิงพมิ พม์ าตงั้ แต่ยคุ แรกและยงั คงไดร้ บั ความนิยม อยูจ่ นถงึ ปัจจุบนั มีการใชเ้ ทคนิคการวาดภาพผสมผสานกันหลายอย่าง เชน่ การวาดลายเส้นแบบภาพ การ์ตูนโดยการใช้ดินสอ พู่กันปากกาหมึกดา รวมทงั้ การผสมสกรนี หรือการใช้ลวดลายต่างๆร่วมกับภาพ ลายเส้นเปน็ ต้น 3.ภาพวาดน้าหนักสตี อ่ เนื่องและภาพวาดระบายสี ภาพสองชนดิ น้ีมลี ักษณะคลา้ ยคลึงกันคาว่า ภาพวาดน้าหนกั สีตอ่ เนอื่ ง โดยใช้ภาพวาดสีเดียวทีม่ ีน้าหนกั อ่อนแกล่ ดหลัน่ กัน สาหรับภาพระบายสจี ะ ประกอบดว้ ยต่างๆ มากมายหลายสี โดยการเขียนหรือระบายดว้ ยกรรมวิธหี รือเทคนิคต่างกัน ภาพวาด อาจเปน็ ภาพวาดในมุมมองและรายละเอยี ดเหมือนกับภาพถ่ายไดแ้ ละยงั สามารถวาดในมุมท่ีภาพวาดไม่ สามารถวาดไดอ้ ีกด้วย ภาพวาดจงึ เป็นภาพชนิดหน่ึงท่อี าจใช้เป็นถาพประกอบได้อยา่ งดี
4.ภาพพิมพ์ หมายถงึ ภาพทผ่ี า่ นการพิมพ์มาแล้วมีทั้งชนดิ ทีพ่ มิ พเ์ ปน็ ภาพลายเส้นและพิมพ์เปน็ ภาพเม็ดสกรนี ภาพทั้งสองชนิดน้ีสามารถนามาพมิ พ์ซา้ ได้ ถ้าเปน็ ภาพลายเสน้ จะเปน็ ภาพได้คุณภาพ ใกล้เคยี งของเดมิ แตภ่ าพทเ่ี ป็นเม็ดสกรนี ลายละเอียดอาจหายไป 5.ภาพดจิ ิตอล หมายถึง ภาพที่ผ่านกระบวนการจัดการคอมพวิ เตอรด์ ้วยพัฒนาการของ คอมพิวเตอรใ์ นปัจจุบัน ทาให้ภาพทกุ ชนดิ ที่จะเขา้ สู่ระบบการพมิ พ์ต้องผา่ นกระบวนการแปลงรปู ภาพใน เปน็ ภาพดจิ ิตอลก่อน เชน่ การสแกนภาพ การถ่ายภาพดว้ ยกล้องดจิ ติ อลและการสร้างภาพขน้ึ ใหม่ดว้ ย คอมพวิ เตอร์ เป็นต้น 5.3.3 การสร้างจุดเด่นให้ภาพประกอบ การสร้างสรรค์ภาพประกอบให้มีสีสนั ฉดู ฉาด สะดุดตา เปน็ วิธกี ารท่ีดสี าหรับการสร้างความน่าสนใจ ใหก้ ับสื่อส่งิ พมิ พ์ แตส่ งิ่ ท่ีสาคญั ยิ่งไปกว่านั้นคือการสื่อความหมายเร่ืองราวไปยังผูอ้ ่าน 5.3.4 ภาพประกอบของสิง่ พมิ พท์ นี่ า่ สนใจแบบคงทนถาวร การออกแบบภาพออกแบบใหผ้ สมผสานเขา้ ไปในส่ือสิ่งพิมพแ์ ล้วทาใหง้ านพิมพ์มีจดุ เดน่ ทีน่ า่ สนใจแบบ คงทนถาวรมวี ิธกี ารดังน้ี 1.ใช้ภาพบคุ คลทีม่ ีชอื่ เสียง เปน็ ท่ีรจู้ กั นามาเคารพนับถือ มาสร้างจดุ ดึงดดู ใหก้ บั สอื่ สิง่ พมิ พ์พร้อม ทั้งเสนอรายละเอียดความคิดใหอ้ ย่ใู นลักษณะทโี่ ดดเด่น เช่นอัศเจรียต์ ัวใหญๆ่ เครื่องหมายคาพูดทใ่ี หญ่ เกนิ จิง หรือกรอบท่ีมีรปู ร่างแปลกตาเปน็ ตน้ 2.ใช้ภาพที่น่าสะพรึงกลัวและเกนิ จรงิ การใชภ้ าพโครงกระดูกซึ่งเป็นลักษณะของความตาย หรือ ภาพกล้ามเน้ือจนเหน็ ชัดทุกชน้ิ ส่วนให้เกดิ ความร้สู ึกนา่ กลัว 3.ลดรายละเอยี ดของภาพ ตัดรายละเอียดส่วนเกินอืน่ ๆออก เหลอื ไวเ้ ท่าที่จาเปน็ เพ่ือเน้นให้ ผู้อา่ นทุ่มเทความสนใจไปยงั จุดหมายท่ตี ้องการ 4.ใหภ้ าพท่มี ผี ดิ เพ้ียนไปจากความเปน็ จรงิ สื่อสิง่ พมิ พ์ท่ีมีการสอดสี การสรา้ งภาพประกอบใหม้ ี สีสนั ผิดเพีย้ นหรอื แปลกตาออกไปกเ็ ปน็ เร่อื งไมย่ าก คอมพิวเตอร์สามารถช่วยตกแต่งใหม้ สี ีผดิ เพย้ี นไป จากธรรมชาตไิ ด้ เชน่ คนตวั เขยี วๆ หรอื ม้าลายสรี งุ่ เป็นต้น 5.ใหภ้ าพมคี วามแตกต่างกนั อย่างคาดไมถ่ งึ ภาพลอ้ เลียนแปลกแหวกแนว ไรเ้ หตุผลเหนอื จริง มหัศจรรย์ ประหลาดใจ น่าตกใจซึง่ เป็นภาพที่คาดไม่ถึง ภาพต่างๆ ภาพตา่ งๆเหลา่ นีม้ กั จะนามาซ่ึงความ แปลก กอ่ ให้เกิดความสงสัยชวนใหน้ ่าตดิ ตามและหนา้ สนใจทั้งส้ิน 6.สร้างความแตกตา่ งให้ชัดเจน การสร้างความแตกตา่ งใหป้ รากฏในสอื่ สง่ิ พมิ พ์จะตอ้ งแสดงให้ ชัดเจน เช่น ขนาดที่แตกตา่ งกันขององคป์ ระกอบในภาพ เป็นต้น 7.สรา้ งภาพให้นาสายตา พ้ืนทีส่ ขี าวรอบๆ รูปภาพคือ พ้นื ที่ของคนอา่ น สว่ นเน้ือท่ีภายในรปู ภาพ เป็นพืน้ ทขี่ องบคุ คลหรอื วัตถุทีอ่ ยู่ในขณะน้นั จะต้องกาหนดขอบเขตสายตาของผ้อู ่าน โดยทาการตกแต่ง
ส่วนสาคัญของภาพให้ดเู หมอื นย่นื สว่ นหนึ่งสว่ นใดออกมานอกรปู ภาพ เพ่ือเช่ือมโยงพื้นทดี่ า้ นนอกและ ดา้ นในให้เป็นหน่ึงเดยี วกัน 8.สร้างภาพมุมกวา้ งเพ่ือขยายเขตการรบั รู้ นาเสนอภาพมุมกว้างเป็นลกั ษณะของภาพแบบพา โนรามา เพ่ือเปน็ การขยายการรับรู้ใหก้ ว้างขวางยิ่งขึ้น การนาเสนอภาพพาโนราควรจะขยายให้อย่บู น หนา้ สอื่ สิ่งพมิ พ์ทัง้ 2 หนา้ ถ้าจะใหด้ ยี ่งิ ขน้ึ ควรขยายใหเ้ ปน็ ภาพเตม็ หนา้ แลว้ ตดั ตกท้ัง 2 ด้าน หรือจะไม่ น่าสนใจยง่ิ ข้นึ ไปอีกก็สามารถขยายหนา้ เพมิ่ ใหต้ ่อเน่ืองออกไปเปน็ 3 หนา้ ในลักษณะของบานหน้าต่าง เปิก-ปิดได้ 5.3.5 การตกแตง่ ภาพเพื่อใช้กบั ส่ือสิง่ พิมพ์ โดยธรรมชาติแลว้ ตวั อักษรเปน็ วรรณกรรม มีหนา้ ที่สรา้ งจินตนาการใหก้ บั ผูอ้ ่านส่วน ภาพประกอบเป็นตัวสร้างภาพ เพ่ือเสรมิ ใหจ้ ิตนาการนัน้ ปรากฏชัดเจน การตกแตง่ ภาพประกอบให้ แปลกออกไปจากปกติธรรมดา จะทาให้ส่ิงพิมพ์นน้ั น่าดูย่งิ ขึ้นนกั ออกแบบส่ือสง่ิ พมิ พแ์ ละผู้ที่ตกแตง่ ภาพประกอบสื่อสงิ่ พมิ พส์ ามารถทาการตกแต่งภาพดงั ตอ่ ไปนี้ 1.การพลิกภาพ การพลกิ ภาพจากซ้ายไปขวาในลักษณะภาพมายาของกระจกเงาทาให้เกิด ความร้สู ึกต่อเนอ่ื งแบบตรงกันขา้ มหรืออาจกลบั หัวลงล่างแสดงออกคลา้ ยกับภาพที่สะท้อนบนผิวน้า 2.การทาภาพให้แตกกระจาย การทาภาพใหด้ เู หมือนแผน่ กระจกทถี่ กู ทบุ ทาลาย จนแตกเป็นริว้ รอยแหลมคม ทาใหภ้ าพดูดุรา้ ยและน่าแกรงขามมากย่ิงข้นึ 3.การทาภาพเนกาทฟิ ภาพโดยทว่ั ไปเป็นภาพโพสิทิฟ โดยจะตัดสนิ ความงานด้วยแสงสี และ รายละเอยี ดในความเหมอื นจรงิ ของภาพน้ันๆ ในการกลบั กนั ถา้ เปลย่ี นการนาเสนอภาพเปน็ รูปแบบ ภาพเนกาทิฟ ความรสู้ ึกของการพบเห็นก็จะเปล่ียนไปในทนั ที สง่ิ ทีไ่ ดร้ บั คอื ความรสู้ ึกแปลก ลกึ ลบั นา่ สะพรึงกลวั อึดอดั ไม่สบายใจท่ไี ดพ้ บเห็น แต่กเ็ ป็นอีกทางหนึ่งในการนาเสนอให้น่าสนใจดว้ ยความ แตกต่างจากปกติ 4.การแทรกภาพ การแทรกภาพในอีกภาพหนง่ึ ลงไปในภาพหลัก และถา้ เนอ้ื หาของภาพทงั้ สอง นัน้ ทางานรว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งผสมผสานกจ็ ะได้ภาพท่มี ีความหมายสมบูรณ์ขึ้น การใชภ้ าพสปี ะทับไปบนภาพ ขาวดา กจ็ ะทาใหภ้ าพสภี าพนั้นเปน็ จุดรวมความน่าสนใจ 5.การจาลองรปู ภาพ เป็นการตกแต่งภาพใหด้ เู ปน็ ภาพอกี ทีหนง่ึ ซง่ึ ทาได้หลายวิธี โดยทาขอบให้ เปน็ รอยตัดชิกแชกแบบรปู ถา่ ยสมัยโบราณแลว้ รองเงาใตพ้ นื้ ภาพเพื่อใหภ้ าพลอยเดน่ ขนึ้ มา หรอื ฉกี ขอบภาพที่ชารุด พับมุม หรือทามมุ พิเศษ สิง่ ตา่ งๆ เหล่าน้ลี ว้ นแสดงถงึ การทาภาพให้เปน็ รูปภาพไดอ้ ีก ครัง้ หน่งึ 6.การซอ้ นภาพ การซ้อนภาพใหม้ ุมทับเลื่อมกัน แสดงถงึ ความสมั พันธ์ภายในของภาพนัน้ ๆ โดย ทาให้ภาพท่อี ยูด่ า้ นบนใหเ้ ป็นภาพสเี ขม้ ภาพถัดไปสีคอ่ ยๆ หรืออาจเปน็ ภาพลายเสน้ ก็ได้
7.การทาขอบภาพ ขอบภาพแบบตรงๆ สเ่ี หลีย่ มผืนผา้ ทม่ี าแตอ่ ดีตมใี ชก้ นั อยู่มากมายคุ้นตาจนทา ใหค้ ดิ ว่าเปน็ หนทางเดยี วท่ีตกแต่งขอบภาพประกอบ เพอื่ นามาใชเ้ พ่ือสื่อสิ่งพมิ พ์ แตค่ วามจริงการตกแต่ง ขอบภาพยังมีวิธอี กี หลายวิธที ่แี ตกต่างออกไป เชน่ ขอบยอกน่มุ ๆแลว้ คอ่ ยๆจางหายไปใหค้ วามรู้สึก เกีย่ วกับจนิ ตนาการดงั่ ความฝนั เป็นความรสู้ กึ แบบช่ังคราวไมแ่ นน่ อน เปน็ ตน้ ขอบภาพทีม่ ีรูปทรงอสิ ระ สง่ ผลให้เกดิ ความรูส้ กึ หลากหลายบนหน้ากระดาและบริเวณวา่ ง เน้ือหาส่วนใหญอ่ ยู่ในกรอบภาพ ส่วนท่ี ยน่ื ออกมามีลักษณะเป็นภาพเปน็ ส่วนนอ้ ย เพื่อเป็นการเนน้ และนาสายตา ทม่ี า http://publishing-sicc.blogspot.com/p/5_22.html
คู่มือ การใช้งาน Blog ท่ี Wordpress.com สานกั เทคโนโลยเี พื่อการเรียนการสอน สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
คานา ปัจจุบนั Social Media เป็นสื่อท่ีมบี ทบาทเป็นอยา่ งมาก และยงั เขา้ มามบี ทบาทกบั ระบบ การศกึ ษาดว้ ย สานกั เทคโนโลยเี พื่อการเรียนการสอน สงั กดั คณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ จึงไดจ้ ดั โครงการพฒั นาศกั ยภาพและส่งเสริมการใช้ Social Media ใน กระบวนการจดั การเรียนการสอนข้ึน โดยปลกู ฝังใหเ้ กิดการนาเอาเทคโนโลยี Social Media มาเป็น เคร่ืองมอื ในการจดั การเรียนการสอนอยา่ งเป็นรูปธรรม ซ่ึง “Wordpress.com” ก็เป็นหน่ึงในหลาย เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการยกระดบั และพฒั นาศกั ยภาพในการจดั การเรียนการสอนดว้ ย จึงไดจ้ ดั ทา “ค่มู ือ การใชง้ าน Blog ท่ี Wordpress.com” เล่มน้ีข้ึนเพ่ือใชป้ ระกอบการขยายผลโครงการต่อไป อยา่ งไรก็ตาม ค่มู อื เลม่ น้ีอาจมีขอ้ บกพร่องต่างๆ อยบู่ า้ ง ผเู้รียบเรียงพร้อมท่ีจะรับฟัง ขอ้ คิดเห็นและขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ เพ่อื ประโยชนใ์ นการปรับปรุงแกไ้ ขในโอกาสต่อไป คณะผจู้ ดั ทา 23 พฤศจิกายน 2553
สารบัญ รายการ หน้า Wordpress.com คืออะไร 1 การสมคั รเพ่ือขอเขา้ ใชง้ านบลอ็ ก 2 การเขา้ ใชง้ านบลอ็ ก 3 การเปลี่ยนภาษา 4 การจดั การหนา้ หลกั 5 5 - หนา้ หลกั 6 - ในตอนน้ี 6 - เขียนอยา่ งเร็ว 7 - ความคิดเห็นล่าสุด 7 - ลิงกเ์ ขา้ 7 - Your Stuff 7 - ฉบบั ร่างล่าสุด 8 - What’s Hot 9 การจดั การเรื่อง 9 - เร่ือง 9 - Posts 9 - เขียน/เพ่ิมเร่ืองใหม่ 10 12 - การใส่รูปภาพ 13 - การใส่วดี ีโอ 14 - การใส่เพลง 14 - ป้ ายกากบั 15 - Categories 16 - เผยแพร่ 16 การจดั การ Categories 18 - สร้างหมวดหมใู่ หม่ 18 การจดั การ Link - ลิงก์
สารบัญ (ต่อ) หน้า รายการ 18 19 - เพิ่มลงิ กใ์ หม่ 20 - เพ่ิมลงิ กห์ มวดหมู่ 20 การจดั การหนา้ 20 - Pages 21 - เพ่ิมหนา้ ใหม่ 21 การจดั การรูปแบบบลอ็ ก 22 - Themes 23 - ส่วนหวั 23 การจดั การ Widget 23 - Widget 24 - Primary Widget Area 24 - รายการ Widgets 24 24 - คน้ หา 24 - เรื่องลา่ สุด 25 - คลงั เก็บ 25 - หมวดหมู่ 25 - Meta 25 - Akismet 26 - Author Grid 26 - Authors 26 - Box.net file sharing 27 - Custom Menu 28 - Category Cloud 31 - Flickr 32 - Gravatar - Image - Meebo
สารบัญ (ต่อ) หน้า รายการ 32 33 - RSS 33 - RSS Links 33 - Tag Cloud 34 - Top Posts & Pages 34 - Twitter 35 - Vodpod Videos 36 37 - วิธีการสมคั รสมาชิก Vodpod 37 - คลงั เกบ็ 37 - ความคิดเห็นล่าสุด 38 - รายการคลกิ สูงสุด 38 - ปฏิทิน 39 - ลงทะเบียนบลอ็ ก 39 - ลิงก์ 39 - สถติ ิบลอ็ ก 40 - หนา้ 40 - เรื่องลา่ สุด 41 - หมวดหมู่ 42 - ขอ้ ความ 43 การจดั การผใู้ ช้ 45 - การเพ่ิมผใู้ ชใ้ หม่ 45 - My Public Profile 46 การจดั การ Personal Settings 47 - ตวั เลือกส่วนตวั 47 - Account Details 47 การต้งั ค่า - ต้งั ค่าทวั่ ไป - ต้งั ค่าการเขียน
สารบัญ (ต่อ) หน้า รายการ 48 48 - ต้งั ค่าการอ่าน 49 - ต้งั ค่าสนทนา 49 - การต้งั ค่าส่ือ 49 - ต้งั ค่าส่วนตวั 50 - E-mail Post Change 51 - Web Hooks 51 Wordpress.com Plug In / Add On 54 - การนาภาพ Profile จาก Facebook มาใชแ้ ทนภาพ Author/ผเู้ ขียน 57 - การนาภาพในอลั บ้มั ภาพจาก Facebook มาแสดงท่ีบลอ็ ก 59 - การนาสมุดเยยี่ มจาก Slide.com มาใส่ในบลอ็ ก 62 - การนา Chatroll มาใชก้ บั บลอ็ ก 65 - การใชส้ ญั ญาอนุญาตกบั บลอ็ ก - การนา QR Code มาใชก้ บั บลอ็ ก
ค่มู ือการใชง้ าน Blog ท่ี Wordpress.Com Wordpress.com คอื อะไร Wordpress.com เป็นหน่ึงในหลาย ๆ เวบ็ ไซดท์ ่ีใหบ้ ริการ Blog ซ่ึง Blog กค็ ือพ้ืนท่ี สาหรับเขียนขอ้ ความหรือเร่ืองราวต่าง ๆ โดยเจา้ ของ Blog สามารถเขา้ ไปใชง้ านหรืออพั เดทขอ้ มลู ข่าวสารไดต้ ลอดเวลา ไมว่ า่ จะอยทู่ ่ีไหนขอเพยี งสามารถเช่ือมต่ออนิ เตอร์เน็ตไดเ้ ท่าน้นั และผเู้ ขา้ เยย่ี ม ชมหรือผอู้ ่านสามารถแสดงความคิดเห็นไดเ้ ท่าที่เจา้ ของบลอ็ กอนุญาต เหตุผลท่ีเลือก Wordpress.com มาเป็นหน่ึงในเครื่องมือที่ใชใ้ นการยกระดบั และพฒั นา บุคลากร ของโครงการพฒั นาศกั ยภาพบุคลกากรและส่งเสริมการใช้ Social Media ในการจดั การ เรียนรู้ เน่ืองจาก Wordpress.com เป็นเวบ็ ไซดท์ ี่ใหบ้ ริการพ้ืนท่ีสาหรับเขียน Blog ฟรี ถึง 3GB โดย ไม่มีโฆษณา สามารถใชง้ านไดง้ ่าย เนื่องจากไม่จาเป็นตอ้ งใชเ้ ทคนิคและความรู้ในการทาเวบ็ เยอะ มากนกั จริง ๆ แลว้ ไมจ่ าเป็นตอ้ งมีความรู้ในการเขียนเวบ็ เลยกไ็ ด้ สาหรับผทู้ ี่เขียนจนเก่งแลว้ ก็ สามารถปรับแต่งไดต้ ามขีดจากดั ของ Wordpress.com มใี ห้ จึงเหมาะสมกบั ผทู้ ี่ตอ้ งการเพียงพ้นื ท่ี สาหรับการเขียน ไมต่ อ้ งการ Applications อื่น ๆ มากมาย และหากตอ้ งการพ้นื ท่ีเพ่มิ หรือตอ้ งการท่ีจะ ใชโ้ ดเมนของตนเอง Wordpress.com กม็ บี ริการเสริม โดยการซ้ือพ้ืนท่ีและโดเมนเพิม่ ไดด้ ว้ ยเช่นกนั สานกั เทคโนโลยีเพ่อื การเรียนการสอน สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั ้ พนื ้ ฐาน 1
ค่มู อื การใชง้ าน Blog ท่ี Wordpress.Com การสมัครเพอื่ ขอเข้าใช้งานบลอ็ ก เขา้ ไปที่ WWW.WORDPRESS.COM เลอื ก Sign Up! จากน้นั กรอกรายละเอยี ดดงั ภาพ ขา้ งลา่ งน้ีใหค้ รบถว้ น ใส่ URL ของบลอ็ ก ใส่ชื่อผใู้ ช้ ซ่ึงตอ้ งไม่นอ้ ยกวา่ 4 ตวั อกั ษร ใส่รหสั ผา่ น ใส่อีเมล์ เม่อื กรอกรายละเอียดเรียบร้อยแลว้ ใหก้ ด Sign Up จากน้นั wordpress จะส่งขอ้ ความ ไปยงั อเี มลท์ ี่ไดก้ รอกไว้ สานกั เทคโนโลยีเพ่อื การเรียนการสอน สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั ้ พนื ้ ฐาน 2
ค่มู ือการใชง้ าน Blog ท่ี Wordpress.Com กดท่ีลิงกใ์ นอเี มลเ์ พอื่ ยนื ยนั การมีตวั ตน เพื่อตอบรับการเป็นสมาชิก การเข้าใช้งานบลอ็ ก ไปยงั www.wordpress.com แลว้ เลือก log in เพื่อเขา้ ใชง้ านบลอ็ กซ่ึงไดส้ มคั รเป็น สมาชิกเรียบร้อยแลว้ ใส่ชื่อผใู้ ช้ ใส่รหสั ผา่ น เม่อื ลงช่ือเขา้ ใชง้ านบลอ็ กแลว้ จะปรากฏดงั ภาพขา้ งลา่ งน้ี สานกั เทคโนโลยีเพ่ือการเรียนการสอน สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั ้ พนื ้ ฐาน 3
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112