Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอนม.1

เอกสารประกอบการสอนม.1

Published by pattaravadee, 2019-01-19 22:52:02

Description: เอกสารประกอบการสอนม.1

Search

Read the Text Version

ก. วนั นีอ้ ากาศร้อนอบอ้าว ข. โต๊ะตวั นีส้ งู 150 เซนตเิ มตร ค. นา้ ยาขวดนีม้ ีกลิ่นฉนุ ง. ผ้าผืนนีม้ นั วาวกวา่ ผ้าผืนนนั้ 2. ข้อใดเป็นขนั้ ตอนแรกของกระบวนการศกึ ษาทางวิทยาศาสตร์ ก. การสงั เกตเพ่ือระบปุ ัญหา ข. การหาข้อมลู เพ่ือรวบรวมข้อมลู ค. การนาเสนอข้อมลู ให้ผ้อู ่ืนเข้าใจ ง. การคาดคะเนคาตอบของปัญหา 3. ถ้านกั เรียนต้องการทาการวดั ปริมาตรของนา้ ด่ืมขวดหนง่ึ ควรเลือกใช้เคร่ืองมือวดั ใด เพื่อให้ได้คา่ ที่ ถกู ต้องมากท่ีสดุ ก. ขวดนา้ ดม่ื ข. เครื่องชง่ั แบบดจิ ิตอล ค. ถงั นา้ ง. กระบอกตวง 4. ส่ิงของท่ีเห็นในภาพ คือข้อใด ก. ราวตากผ้า ข. รองเท้า ค. ด้าย ง. เชือกฟาง 5. ความหนาแนน่ คือข้อใด ก. อตั ราสว่ นระหว่าง มวล สว่ น ปริมาตร ข. อตั ราสว่ นระหว่าง มวล สว่ น นา้ หนกั ค. อตั ราสว่ นระหวา่ ง ปริมาตร สว่ นมวล ง. อตั ราสว่ นระหวา่ ง ปริมาตร สว่ น นา้ หนกั 6. ทกุ ข้อเป็นลกั ษณะของการเขียนรายงานการทดลองท่ีดี ยกเว้นข้อใด ก. มีสว่ นประกอบครบถ้วน ข. ใช้ภาษาในการเขียนท่ีเข้าใจง่าย ค. จดั ระบบข้อมลู ท่ีได้จากการสารวจ ง. มีข้อมลู ท่ีเกี่ยวข้องเพม่ิ เตมิ มากๆ

7. สมมตฐิ านคืออะไร ก. การระบคุ าถามซง่ึ เกิดขนึ ้ จากการสงั เกต ข. การวางแผนการทางาน ค. การคาดคะเนคาตอบของคาถาม หรือส่ิงท่ีสงสยั ง. การตอบคาถามก่อนทาการทดลอง 8. ข้อใดเป็นลาดบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ก. ระบปุ ัญหา รวบรวมข้อมลู ตงั้ สมมตฐิ าน ทดลอง สรุปผล ข. ระบปุ ัญหา ตงั้ สมมตฐิ าน ทดลอง รวบรวมข้อมลู สรุปผล ค. ตงั้ สมมตฐิ าน สงั เกต ระบปุ ัญหา ทดลอง สรุปผล ง. สงั เกต ระบปุ ัญหา รวบรวมข้อมลู ตงั้ สมมตฐิ าน ทดลอง 9. ข้อใดเป็นเครื่องมือในการวดั ที่เป็นมาตรฐาน ก. กระบอกตวง ตาชงั่ สองแขน แทง่ ไม้ ข. ฝ่ ามือ นวิ ้ เทอร์โมมิเตอร์ ค. ไม้บรรทดั ตาชงั่ สปริง กระบอกตวง ง. เทอร์โมมิเตอร์ ไม้เมตร ขวดนา้ 10. ข้อใดเป็นประโยชน์ของกระบวนการศกึ ษาทางวิทยาศาสตร์ ก. เกิดการคิดอยา่ งเป็นเหตเุ ป็ นผล ข. เกิดการแก้ปัญหาเพ่ือหาคาตอบของส่งิ ที่สงสยั อยา่ งเป็ นระบบ ค. ข้อมลู ท่ีได้รับมีความนา่ เช่ือถือ และเผยแพร่แกผ่ ้อู ่ืนได้ ง. ถกู ทกุ ข้อ

บทท่ี 2 สารรอบตัว 1. การจาแนกสาร ในชีวติ ประจำวนั ของเรำเก่ียวขอ้ งสมั พนั ธ์กบั สำรตำ่ ง ๆ อยำ่ งหลีกฤเล่ียงไม่ได้ ซ่ึงสำรแตล่ ะชนิดมี สมบตั ิแตกต่ำงกนั ไปบำงชนิดเป็นของแขง็ บำงชนิดเป็นของเหลว บำงชนิดมีกล่ิน บำงชนิดระเหยง่ำย ดงั น้นั ทำใหเ้ รำตอ้ งศึกษำเรียนรู้เกี่ยวกบั สมบตั ิและประเภทของสำร กำรจดั จำแนกสำร เพือ่ สำมำรถนำ ควำมรู้ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจำวนั ไดอ้ ยำ่ งถูกตอ้ งเหมำะสม สำร หมำยถึง สิ่งที่มีตวั ตน มีมวล (น้ำหนกั ) ตอ้ งกำรที่อยแู่ ละสำมำรถสัมผสั ได้ เช่น ดิน หิน น้ำ อำกำศ พืช และสัตว์ ทุกส่ิงทุกอยำ่ งที่อยรู่ อบ ๆ ตวั เรำ จดั เป็นสำรท้งั สิ้น ซ่ึงสำรแตล่ ะชนิดมีสมบตั ิ แตกตำ่ งกนั สำรชนิดตำ่ ง ๆ ที่อยรู่ อบตวั เรำมีท้งั ที่มีสมบตั ิเหมือนกนั และมีสมบตั ิตำ่ งกนั จึงทำใหม้ ีกำรจดั จำแนกสำรออกเป็ นหมวดหมู่โดยใชเ้ กณฑต์ ำ่ ง ๆ เพื่อจะไดศ้ ึกษำคน้ ควำ้ เก่ียวกบั สำรไดส้ ะดวกมำกข้ึน แต่ กำรท่ีใชเ้ กณฑต์ ำ่ งกนั อำจทำใหส้ ำรชนิดเดียวกนั ถูกจดั ใหอ้ ยใู่ นพวกที่ตำ่ งกนั กไ็ ด้ 1. จาแนกตามสมบตั ทิ างกายภาพ กำรจำแนกสำรโดยใชส้ มบตั ิทำงกำยภำพเป็นเกณฑ์ แบง่ ยอ่ ยไดด้ งั น้ี 1) ใชเ้ น้ือสำรเป็นเกณฑ์ เป็นวธิ ีท่ีนิยมใชเ้ นื่องจำกสำมำรถแสดงรำยละเอียดเกี่ยวกบั สำรต่ำง ๆ ไดม้ ำกกวำ่ วธิ ีอ่ืน ๆ โดยตำมเกณฑน์ ้ีจะจำแนกสำรออกไดเ้ ป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 2 กลุ่ม คือ 1.1) สำรเน้ือเดียว เป็นสำรที่เห็นเป็นเน้ือเดียวตลอดทุกส่วนและมีสมบตั ิ เหมือนกนั ทุกส่วนดว้ ย 1.2) สำรเน้ือผสม เป็นสำรท่ีมองเห็นไม่เป็ นเน้ือเดียวกนั และมีสมบตั ิของเน้ือสำร ในแต่ละส่วนแตกตำ่ งกนั 2) ใช้ขนาดอนุภาคเป็ นเกณฑ์ ถำ้ ใชข้ นำดอนุภำคของสำรเป็นเกณฑใ์ นกำรจำแนก สำร จะแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ สำรแขวนลอย คอลลอยด์ และสำรละลำย 3)ใช้สถานะของสารเป็ นเกณฑ์ สำรต่ำง ๆ โดยทวั่ ไปจะอยใู่ น 3 สถำนะ คือ ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส

แผนผงั แสดงวธิ ีการจาแนกสารโดยใช้เนือ้ สารเป็ นเกณฑ์ ซ่ึงเป็ นวธิ ีท่ีนิยมใช้กนั สารเนือ้ เดียว สารบริสุทธ์ิ โลหะ สารละลาย ธาตุ อโลหะ ก่ึงโลหะ สารประกอบ ชนิดของสาร สารเนือ้ ผสม สารแขวนลอย คอลลอยด์ 2. จาแนกตามสมบตั ทิ างเคมี สมบตั ิทำงเคมี เป็นสมบตั ิของสำรท่ีพิจำรณำจำกกำรเปล่ียนแปลงทำงเคมีหรือมีกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี เช่น กำรติดไฟ กำรเป็นสนิม ควำมเป็นกรด-เบส ซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั โครงสร้ำงภำยในของสำรเป็ นสำคญั สารเนือ้ เดียว สำรเน้ือเดียว หมำยถึง สำรท่ีอำจมีเพียงชนิดเดียว หรืออำจมีมำกกวำ่ 2 ชนิดข้ึนไปผสมกนั อยู่ อยำ่ งกลมกลืน มองเห็นเป็นเน้ือเดียวกนั ตลอด อำจมีหลำยสถำนะ และจะแสดงสมบตั ิเหมือนกนั ทุก ประกำร สำรเน้ือเดียวแบง่ เป็ น 2 ชนิด คือ 1. สารบริสุทธ์ิ สำรบริสุทธ์ิ หมำยถึง สำรเน้ือเดียวท่ีมีองคป์ ระกอบเพยี งชนิดเดียว มีสมบตั ิเหมือนกนั แบง่ เป็น 1.1ธาตุ (Elements) ธำตุ คือ สำรบริสุทธ์ิท่ีประกอบดว้ ยอะตอมชนิดเดียวไม่สำมำรถแยกหรือสลำย

ออกเป็ นสำรอื่นได้ เช่น เงิน ทอง คำร์บอน ออกซิเจน เหลก็ เป็นตน้ ปัจจุบนั มีกำรคน้ พบธำตุประมำณ 107 ธำตุ เป็นธำตุที่เกิดข้ึนเองตำมธรรมชำติ 92 ธำตุ ท่ีเหลือเป็นธำตุที่สงั เครำะห์ข้ึนในหอ้ งทดลอง ธำตุที่พบในธรรมชำติมีปริมำณแตกต่ำงกนั ธำตุท่ีมีปริมำณมำกท่ีสุด คือ ออกซิเจน รองลงมำ คือ ซิลิคอน อะลูมิเนียม เหลก็ และอื่น ๆ จำกสมบตั ิต่ำงๆ ของธำตุ สำมำรถจำแนกธำตุไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม ดงั น้ี 1) โลหะ มีสถำนะเป็นของแขง็ ท่ีอุณหภมู ิปกติ ยกเวน้ ปรอทที่เป็นของเหลว โลหะจะมีผวิ เป็นมนั วำว มีควำมเหนียว ตีแผใ่ หเ้ ป็นแผน่ หรือเป็นเส้นได้ เคำะมีเสียงดงั กงั วำน มีจุดเดือดสูง นำควำมร้อน และ นำไฟฟ้ ำไดด้ ี โลหะบำงชนิดเป็นสำรแม่เหลก็ ตวั อยำ่ งของธำตุโลหะ เช่น เหล็ก ทองแดง สงั กะสี แมกนีเซียม เป็นตน้ 2) อโลหะ เป็นไดท้ ้งั 3 สถำนะ คือ ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส เช่น กำมะถนั เป็นของแขง็ สี เหลือง โบรมีนเป็นของเหลวสีแดง คลอรีนเป็นแกส๊ สีเขียวออ่ น อโลหะส่วนใหญ่มีสมบตั ิตรงขำ้ มกบั โลหะ เช่น ผวิ ไมเ่ ป็ นมนั วำว เปรำะ ไม่นำไฟฟ้ ำ มีจุดเดือดต่ำ 3) ธาตุกงึ่ โลหะ เป็นธำตุท่ีมีสมบตั ิก่ึงโลหะและอโลหะ เช่น โบรอนเป็นของแขง็ สีดำ เปรำะ ไม่ นำไฟฟ้ ำ มีจุดเดือดสูงถึง 4,000 องศำเซลเซียส ซิลิคอน เป็นของแขง็ สีเงินวำว เปรำะ นำไฟฟ้ ำได้ เลก็ นอ้ ย มีจุดเดือด 3,265 องศำเซลเซียส 1.2 สารประกอบ (Compounds) สารประกอบ คือ สำรท่ีเกิดจำกกำรรวมตวั กนั ของธำตุต้งั แต่ 2 ชนิด ข้ึนไปมำทำปฏิกิริยำเคมีกนั ดว้ ยสดั ส่วนท่ีแน่นอน กลำยเป็นสำรชนิดใหม่ มีสมบตั ิแตกต่ำงไปจำกธำตุท่ีเป็ นองคป์ ระกอบเดิม ตวั อยำ่ ง ของสำรประกอบ เช่น เกลือแกง น้ำ คำร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย เป็นตน้

ใบงานท่ี 1 คาสั่ง จงเติมคำลงในช่องวำ่ ง( ขอ้ ละ 1 คะแนน ) 1. ถำ้ ใชล้ กั ษณะเน้ือสำรเป็นเกณฑ์ สำมำรถแบง่ สำรไดเ้ ป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ......................... 2. สำรเน้ือเดียว หมำยถึง ........................................................................................................... 3. ตวั อยำ่ งของสำรเน้ือเดียว ไดแ้ ก่ 4. สำรเน้ือเดียว แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ .............................................................................. 5. สำรบริสุทธ์ิ หมำยถึง ............................................................................................................. 6. สำรบริสุทธ์ิแบง่ ออกเป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ ................................................................................. 7. เหล็ก ทองแดง สังกะสี เป็ นสำรบริสุทธ์ิ ท่ีเรียกวำ่ ............................................................. 8. กำมะถนั โบรมีน คลอรีน เป็นสำรบริสุทธ์ิ ที่เรียกวำ่ .......................................................... 9. โบรอน ซิลิคอน เป็นสำรบริสุทธ์ิ ท่ีเรียกวำ่ .......................................................................... 10. สมบตั ิของโลหะ คือ .............................................................................................................. 11. สมบตั ิของอโลหะ คือ ........................................................................................................... 12. สมบตั ิของธำตุก่ึงโลหะคือ .................................................................................................... 13. ธำตุที่มีปริมำณมำกท่ีสุดในธรรมชำติไดแ้ ก่ .......................................................................... 14. สำรประกอบหมำยถึง ............................................................................................................ 15. ตวั อยำ่ งของสำรประกอบไดแ้ ก่ .............................................................................................

2.สมบตั ขิ องสาร สมบตั ิของสำร หมำยถึง ลกั ษณะเฉพำะของสำรชนิดน้นั ๆ ซ่ึงสำมำรถบ่งบอกวำ่ สำรน้นั คืออะไร เพรำะสำรแต่ละชนิดมีสมบตั ิไมเ่ หมือนกนั กำรท่ีสำรมีสมบตั ิตำ่ งกนั และมีควำมสำมำรถในกำร เปล่ียนแปลงสถำนะไดแ้ ตกต่ำงกนั น้ี ถือวำ่ เป็ นลกั ษณะเฉพำะของสำรแต่ละชนิด ดงั น้นั จึงมีกำรใชเ้ กณฑ์ กำรพิจำรณำและอธิบำยสมบตั ิของสำรมำจดั จำแนกสำร และมีกำรทดสอบสมบตั ิของสำรเพื่อพิสูจน์วำ่ สำร น้นั เป็นสำรชนิดใด เพรำะหำกอำศยั แต่กำรสังเกตหรือมองเห็นเพียงอยำ่ งเดียวในบำงคร้ังกไ็ ม่สำมำรถจะ ตดั สินไดแ้ น่นอนซ่ึงสมบตั ิของสำรแบง่ ไดเ้ ป็น2 ชนิด 1. สมบัติทางกายภาพของสาร เป็นสมบตั ิเฉพำะตวั ของสำรแตล่ ะชนิด ซ่ึงสำมำรถสังเกตไดง้ ่ำยจำกภำยนอก ไดแ้ ก่ สี กลิ่น รส กำรละลำย ควำมแขง็ ควำมเหนียว ควำมเปรำะ ลกั ษณะผลึก สถำนะ กำรนำควำมร้อน กำรนำไฟฟ้ ำ จุด เดือด จุดหลอมเหลว และควำมหนำแน่น 2. สมบตั ทิ างเคมีของสาร เป็นสมบตั ิของสำรท่ีเก่ียวขอ้ งกบั องคป์ ระกอบภำยในของสำรท่ีแสดงออกมำใหเ้ ห็นเม่ือมีกำร เปลี่ยนแปลงทำงเคมีหรือกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี โดยจะมีสำรใหมเ่ กิดข้ึน มีกำรเปล่ียนแปลงองคป์ ระกอบ ภำยใน และมีผลทำใหเ้ กิดกำรเปล่ียนแปลงสมบตั ิทำงกำยภำพของสำรดว้ ย ซ่ึงสำรใหมท่ ่ีเกิดข้ึนจะมีสมบตั ิ แตกตำ่ งไปจำกสำรเดิม เช่น กำรเกิดสนิมเหลก็ กำรเผำไหมข้ องเช้ือเพลิง กำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสง ควำม เป็นกรด – เบส ของสำร ผลไมท้ ี่เขียวเป็นสุก กำรแยกสลำยของสำร เป็นตน้

ตารางท่ี 1 ตัวอย่างสมบตั ิทางเคมีของสารบางชนิด ช่ือสำมญั สำร สมบตั ิทำง ช่ือเคมี เคมี เกลือแกง (ควำมเป็ น น้ำตำลทรำย กรด-เบส) โซดำซกั ผำ้ โซเดียมคลอ กลาง น้ำปูนใส ไรด์ ปูนขำว ซูโครส กลาง กรดน้ำส้ม โซเดยี มไบ เบส กรดดินประ คาร์บอเนต สิว กรดกำมะถนั แคลเซียมไฮ เบส กรดมด ดรอกไซด์ แคลเซียม เบส ออกไซด์ กรดแอซีตกิ กรด กรดไนตริก กรด กรดซัลฟิ วริก กรด กรดฟอร์มกิ กรด

ใบงานท่ี 2 คาส่ัง จงระบุวำ่ สมบตั ิของสำรท่ีกำหนดให้ เป็นสมบตั ิทำงเคมี หรือ สมบตั ิทำงกำยภำพ (ขอ้ ละ 1 คะแนน ) 1. ทองแดงเป็นโลหะท่ีสำมำรถนำไฟฟ้ ำไดด้ ี 2. เหล็กเม่ือโดนควำมช้ืนจะเกิดเป็นสนิมเหลก็ 3. น้ำบริสุทธ์ิมีจุดเดือด 100 องศำเซลเซียส 4. เมื่อเผำขยะจะไดเ้ ถำ้ ถ่ำนสีดำ 5. เกลือแกงมีสมบตั ิเป็นกลำง 6. น้ำตำลทรำยมีรสหวำนมำก 7. มะมว่ งท่ีเป็นสีเขียว กำลงั สุกมีสีเหลืองอร่ำม 8. กอ้ นหินมีสถำนะเป็นของแขง็ 9. น้ำตำลกลูโคสและแก๊สออกซิเจน เป็นผลิตภณั ฑท์ ่ีไดจ้ ำกกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสง 10. เพชรเป็ นสำรที่มีควำมแขง็ มำกที่สุด

3. การจดั เรียงอนุภาคของสาร แบบจาลองการจัดเรียงอนุภาคของสาร สำรตำ่ ง ๆ ประกอบดว้ ยอนุภำคหรือโมเลกุลท่ีมีขนำดเลก็ มำก จดั เรียงตวั อยดู่ ว้ ยกนั ในลกั ษณะตำ่ ง ๆ กนั ทำใหส้ ำรเหล่ำน้นั ปรำกฏอยใู่ นสถำนะของแขง็ ของเหลว และ แกส๊ ของแข็ง ของเหลว แก๊ส สำรที่อยใู่ นสถำนะของแขง็ สำรท่ีอยใู่ นสถำนะของเหลว สำรที่อยใู่ นสถำนะแกส๊ โมเลกลุ จะอยชู่ ิดติดกนั อยำ่ ง โมเลกุลจะอยหู่ ่ำงกนั มำกกวำ่ โมเลกลุ ของสำรจะอยหู่ ่ำง เป็ นระเบียบเหมือนกนั ของแขง็ และมีแรงยดึ เหน่ียว กนั มำก และเคลื่อนท่ีได้ ท้งั หมดมีแรงยึดเหน่ียว ระหวำ่ งโมเลกลุ นอ้ ยกวำ่ อิสระ จึงทำใหแ้ กส๊ มีรูปร่ำง ระหวำ่ งโมเลกุลมำกจึงทำให้ ของแขง็ จึงทำใหข้ องเหลวมี ไมค่ งที่ จะเปลี่ยนรูปร่ำงไป ของแขง็ มีรูปร่ำงคงที่ รูปร่ำงไม่คงที่ จะเปลี่ยน ตำมภำชนะที่บรรจุ มี แน่นอนและมีปริมำตรคงท่ี รูปร่ำงไปตำมภำชนะท่ีบรรจุ ปริมำตรไม่คงที่โดยมี โดยท่ียงั มีปริมำตรคงท่ีและ ปริมำตรเทำ่ กบั ภำชนะท่ี สำมำรถไหลได้ บรรจุ สถำนะของสำรส่วนใหญ่สำมำรถเปลี่ยนแปลงไดท้ ้งั 3 สถำนะท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ที่มำ กระทำ ไดแ้ ก่ อุณหภูมิ และควำมร้อน

การเปลย่ี นสถานะจากของแข็งกลายเป็ นของเหลว กำรใหพ้ ลงั งำนควำมร้อนแก่ของแขง็ จะทำให้อนุภำคหรือโมเลกลุ ของสำรมีพลงั งำนมำกข้ึน ทำใหส้ นั่ มำกข้ึน จนกระทงั่ แต่ละโมเลกลุ มีพลงั งำนมำกกวำ่ แรงยดึ เหนี่ยวระหวำ่ งโมเลกลุ จึงทำใหแ้ รง ดึงดูดระหวำ่ งโมเลกุลไมส่ ำมำรถยดึ โมเลกุลของสำรไวไ้ ดส้ ำรจึงมีกำรเปล่ียนสถำนะโดยในขณะท่ี ของแขง็ เปลี่ยนสถำนะไปเป็ นของเหลวหรือเกิดการละลายอุณหภมู ิในขณะท่ีเกิดกำรละลำยหรือเปล่ียน สถำนะจะคงที่อยทู่ ี่จุดจุดหน่ึงจุดน้ีเรียกวำ่ จุดหลอมเหลว นอกจำกน้ีในกำรละลำยยงั มีพลงั งำนเขำ้ ไปเก่ียวขอ้ งดว้ ย โดยเมื่อละลำยสำรใน ตวั ทำละลำยแลว้ อุณหภูมิของสำรละลำยจะเปลี่ยนไปจำกเดิมซ่ึงอำจร้อนข้ึนหรือเยน็ ลงก็ได้ การเปลย่ี นสถานะจากของเหลวกลายเป็ นแก๊สหรือไอ เม่ือใหค้ วำมร้อนแก่ของเหลว พลงั งำนควำมร้อนจะไปสะสมในโมเลกลุ ของของเหลว ทำใหอ้ ุณหภมู ิของ ของเหลวสูงข้ึน และแต่ละโมเลกุลของของเหลวจะมีพลงั งำนมำกข้ึน จึงเคล่ือนที่เร็วข้ึน จนถึงอุณหภมู ิหน่ึง ที่โมเลกุลของของเหลวมีพลงั งำนมำกกวำ่ แรงยดึ เหนี่ยวระหวำ่ งโมเลกลุ และหลุดออกไป ทำใหโ้ มเลกลุ เคล่ือนที่เป็ นอิสระจำกกนั ดว้ ยควำมเร็วสูง ของเหลวจึงเปล่ียนสถำนะเป็นแก๊ส และอุณหภมู ิขณะท่ีสำร เปลี่ยนสถำนะจะคงท่ีเรียกวำ่ จุดเดือดซ่ึงกำรเปลี่ยนสถำนะแบบน้ีเรียกวำ่ การระเหย ใบงานที่ 3 คาส่ัง จงตอบคำถำมใหไ้ ดใ้ จควำมชดั เจน(ขอ้ ละ 2 คะแนน ) 1. เพรำะเหตุใดของแขง็ จึงมีรูปร่ำงคงท่ี 2. เพรำะเหตุใดของเหลวจึงมีรูปร่ำงเปลี่ยนไปตำมภำชนะที่บรรจุอยู่ 3. ปัจจยั ท่ีทำใหส้ ำรเกิดกำรเปลี่ยนสถำนะ คือ อะไรบำ้ ง

4. ของแขง็ เปลี่ยนสถำนะเป็นของเหลวไดอ้ ยำ่ งไร 5. ของเหลวเปลี่ยนสถำนะเป็นแก๊สไดอ้ ยำ่ งไร 4. สารละลาย สารละลาย หมำยถึง สำรเน้ือเดียวท่ีประกอบดว้ ยธำตุหรือสำรประกอบต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไปมำ รวมตวั กนั โดยท่ีมีธำตุหรือสำรประกอบตวั หน่ึงเป็นตวั ทำละลำย ส่วนอีกตวั หน่ึงเป็ นตวั ละลำย สำรละลำย อำจอยใู่ นสถำนะของแขง็ ของเหลว หรือแก๊สกไ็ ด้

เกณฑท์ ่ีจะกำหนดวำ่ สำรใดเป็นตวั ทำละลำย และสำรใดเป็นตวั ละลำยใหพ้ จิ ำรณำจำกปริมำณ และ สถำนะขององคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1. ถำ้ ตวั ทำละลำยและตวั ละลำยอยใู่ นสถำนะเดียวกนั เช่น ของแขง็ กบั ของแขง็ ของเหลวกบั ของเหลว หรือ แกส๊ กบั แก๊สจะกำหนดใหส้ ำรท่ีมีปริมำณมำกกวำ่ เป็นตวั ทำละลำย และสำรท่ีมีปริมำณนอ้ ย กวำ่ เป็นตวั ละลำยเช่น สำรละลำยเอทิลแอลกอฮอล์ ( แอลกอฮอลล์ ำ้ งแผล) ประกอบดว้ ย เอทิลแอลกอฮอลซ์ ่ึงเป็นของเหลว70 % และน้ำ ซ่ึงเป็นของเหลวเหมือนกนั 30 % เนื่องจำก เอทิลแอลกอฮอลม์ ีปริมำณมำกกวำ่ จึงจดั เป็ นตวั ทำละลำย และน้ำมีปริมำณนอ้ ยกวำ่ จึงจดั เป็นตวั ละลำย 2. ถำ้ ตวั ทำละลำยและตวั ละลำยอยใู่ นสถำนะต่ำงกนั เช่น ของแขง็ กบั ของเหลว เม่ือผสมกนั แลว้ สำรที่มีสถำนะเหมือนกบั สำรละลำย ใหถ้ ือวำ่ สำรน้นั เป็ นตวั ทำละลำย ส่วนสำรท่ีมีสถำนะต่ำงจำก สำรละลำย จดั เป็นตวั ละลำย เช่น เกลือ เป็นของแขง็ กบั น้ำ ซ่ึงเป็นของเหลว เม่ือรวมกนั แลว้ เป็น สำรละลำยที่เรียกวำ่ น้ำเกลือ ซ่ึงเป็นของเหลว ดงั น้นั น้ำซ่ึงมีสถำนะเป็นของเหลว เหมือนกบั สำรละลำยคือ น้ำเกลือจึงจดั เป็นตวั ทำละลำย ส่วนเกลือซ่ึงเป็นของแขง็ มีสถำนะตำ่ งจำกสำรละลำยจงึ จดั เป็นตวั ละลำย 1. ชนิดของตัวทาละลาย ตวั ทำละลำย แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่  ตวั ทำละลำยอินทรีย์ เป็นตวั ทำละลำยท่ีเป็นสำรประกอบอินทรีย์ (organic compound) เช่น เอทำนอล น้ำมนั สน คลอโรฟอร์ม เฮกเซน  ตวั ทำละลำยอนินทรีย์ เป็ นตวั ทำละลำยที่เป็นสำรประกอบอนินทรีย์(inorganic compound) เช่น น้ำ กรดซลั ฟิ วริก กรดไนตริก สำรประกอบอินทรีย์ หมำยถึง สำรที่มีธำตุคำร์บอนเป็นองคป์ ระกอบหลกั และมีธำตุอ่ืนๆ เป็ น องคป์ ระกอบร่วม เช่น O, N, P, S, Cl, Br เป็นตน้ โดยสร้ำงพนั ธะกบั คำร์บอนดว้ ยพนั ธะโคเวเลนต์ สำรประกอบอนินทรีย์ หมำยถึง สำรประกอบอ่ืน ๆ ท่ีไม่ใช่สำรอินทรีย์ ซ่ึงสำรประกอบบำงพวก ของคำร์บอน เช่น คำร์บอเนต ไซยำไนด์ ออกไซด์ จดั เป็นสำรประกอบอนินทรียด์ ว้ ย ใบงานท่ี 4 คาสั่ง จงระบุส่วนประกอบหรือองคป์ ระกอบในสำรละลำยวำ่ สำรใดเป็นตวั ทำละลำย สำรใดเป็นตวั ละลำย( ขอ้ ละ 2 คะแนน )

สารละลาย ส่ วนประกอบ ตวั ทาละลาย ตัวละลาย ทองเหลือง น้ำโซดำ ทองแดง 60% น้ำยำลำ้ งตำ สงั กะสี 40% ฟิ วส์ไฟฟ้ ำ น้ำ แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ นำก น้ำ ยำลำ้ งตำ เหลก็ กลำ้ ไร้สนิม บิสมทั 50 % ตะกวั่ 25 % น้ำเกลือ ดีบุก 25 % ทองแดง 60% น้ำเช่ือม ทองคำ 35% เงิน 5% เหลก็ 74% โครเมียม 18% นิกเกิล 8% น้ำ เกลือแกง น้ำ น้ำตำล น้ำส้มสำยชู น้ำ 80 % อำกำศ กรดน้ำส้ม 20 % ไนโตรเจน 78% ออกซิเจน 21% แกส๊ อื่น ๆ 1%

5. ความเข้มข้นของสารละลาย ความเข้มข้นของสารละลาย หมำยถึง ปริมำณของตวั ละลำยท่ีละลำยอยใู่ นสำรละลำย สารละลายเข้มข้น หมำยถึง สำรละลำยท่ีมีปริมำณของตวั ละลำย ปนอยมู่ ำกในหน่ึงหน่วยน้ำหนกั หรือ ปริมำตรของสำรละลำย สารละลายเจือจาง หมำยถึง สำรละลำยที่มีปริมำณของตวั ละลำย ปนอยนู่ อ้ ยในหน่ึงหน่วยน้ำหนกั หรือ ปริมำตรของสำรละลำย สารละลายอมิ่ ตวั หมำยถึง สำรละลำยท่ีไมส่ ำมำรถละลำยตวั ละลำยไดอ้ ีกเนื่องจำกมีตวั ละลำยอยมู่ ำกที่สุดท่ี อุณหภูมิหอ้ ง สารละลายอม่ิ ตัวยวดยง่ิ หมำยถึง สำรละลำยท่ีมีตวั ละลำยอยใู่ นปริมำณที่เกินกวำ่ อตั รำท่ีละลำยไดท้ ่ี อุณหภูมิหอ้ ง การบอกความเข้มข้นของสารละลาย กำรบอกควำมเขม้ ขน้ ของสำรลำยสำมำรถบอกไดห้ ลำยวธิ ีดงั น้ี 1. ร้อยละโดยมวล ใชส้ ำหรับสำรละลำยท่ีตวั ละลำยและตวั ทำละลำยเป็นของแขง็ เป็นหน่วย ท่ีบอกมวลของตวั ละลำยเป็นกรัมจำกสำรละลำย 100 กรัม เช่น เหรียญบำททำดว้ ยโลหะผสม ซ่ึงมีทองแดง 75 และ นิกเกิล 25 หมำยควำมวำ่ ในเหรียญหนกั 100 กรัม มีทองแดง 75 กรัม ผสมอยกู่ บั นิกเกิล 25 กรัม 2. ร้อยละโดยมวล / ปริมาตรใชส้ ำหรับสำรละลำยท่ีตวั ละลำยเป็นของแขง็ ละลำยอยใู่ นตวั ทำ ละลำยท่ีเป็นของเหลว เป็นหน่วยท่ีบอกมวลของตวั ละลำยเป็นกรัมจำกสำรละลำย 100 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร เช่น น้ำเกลือเขม้ ขน้ 9 โดยมวล / ปริมำตร หมำยควำมวำ่ น้ำเกลือ 100 ลูกบำศก์ เซนติเมตร มีเกลือแกงละลำยอยู่ 9 กรัม 3. ร้อยละโดยปริมาตรใชส้ ำหรับสำรละลำยท่ีตวั ละลำยและตวั ทำละลำยเป็นของเหลวเป็ น หน่วยที่บอกปริมำณของตวั ละลำยเป็นลูกบำศกเ์ ซนติเมตร จำกสำรละลำย 100 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร เช่น น้ำส้มสำยชูเขม้ ขน้ 5 โดยปริมำตร หมำยควำมวำ่ น้ำส้มสำยชู100 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตรมีกรดแอซิติกหรือกรดน้ำส้มละลำยอยู่ 5 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร

6. การเตรียมสารละลาย ในกำรเตรียมสำรละลำย จำเป็นตอ้ งมีกำรคำนวณปริมำณของตวั ละลำยที่อยใู่ นตวั ทำละลำย ซ่ึง กำรเตรียมสำรละลำยใหม้ ีควำมเขม้ ขน้ ตำมตอ้ งกำร สำมำรถเตรียมไดใ้ นอตั รำส่วนต่ำงๆ คือ 1) ร้อยละโดยมวล เป็ นหน่วยควำมเขม้ ขน้ ท่ีบอกถึงมวลของตวั ละลำยต่อมวลของสำรละลำย ร้อยละโดยมวล= ตัวอย่าง จงหำควำมเขม้ ขน้ ของสำรละลำยน้ำตำลกลูโคส ซ่ึงประกอบดว้ ยน้ำตำล 8.0 กรัม ละลำยในน้ำ 200 กรัม ร้อยละโดยมวล= = = 4% ดงั น้นั สำรละลำยน้ำตำลกลูโคสมีควำมเขม้ ขน้ 4% 2) ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร เป็นควำมเขม้ ขน้ ที่บอกถึงมวลของตวั ละลำยตอ่ ปริมำตรของสำรละลำย ร้อยละโดยมวลต่อปริมำตร = ตัวอย่างจงหำควำมเขม้ ขน้ ของ สำรละลำยเกลือแกง 20 กรัม ในน้ำ 500 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร ร้อยละโดยมวลต่อปริมำตร = =

= 4 กรัมตอ่ ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร ดงั น้นั สำรละลำยเกลือแกงมีควำมเขม้ ขน้ 4 กรัมต่อลูกบำศกเ์ ซนติเมตร 3)ร้อยละโดยปริมาตร เป็นหน่วยควำมเขม้ ขน้ ที่บอกถึงปริมำตรของตวั ละลำยตอ่ ปริมำตรของ สำรละลำย ร้อยละโดยปริมำตรต่อปริมำตร = ตวั อย่างจงหำควำมเขม้ ขน้ ของสำรละลำยเอทิลแอลกอฮอล์ 50 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร ละลำยอยู่ ในน้ำ 200 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร ปริมำตรของสำรละลำยท้งั หมด = 200 + 50 = 250 cm3 ร้อยละโดยปริมำตร = = = 20% ดงั น้นั สำรละลำยเอทิลแอลกอฮอลม์ ีควำมเขม้ ขน้ 20% 4) จานวนส่วนของตวั ละลายในตัวทาละลาย เป็ นหน่วยควำมเขม้ ขน้ ที่บอกถึงปริมำณ ของตวั ละลำยท่ีมีอยใู่ นตวั ทำละลำย ซ่ึงบอกได้ 3 แบบ ดงั น้ี  ส่วนในพนั ส่วน (part per thousand : ppt)หมำยถึง มี ตวั ละลำยอยู่ 1 ส่วนในตวั ทำละลำย 1 พนั ส่วน  ส่วนในลำ้ นส่วน (partper million : ppm) หมำยถึง มี ตวั ละลำยอยู่ 1 ส่วนในตวั ทำละลำย 1 ลำ้ นส่วน  ส่วนในพนั ลำ้ นส่วน (part per billion : ppb) หมำยถึง มี ตวั ละลำยอยู่ 1 ส่วนในตวั ทำละลำย 1 พนั ลำ้ นส่วน 4. การคานวณหาความเข้มข้นของสารละลาย สำมำรถทำได้ 2 วธิ ี คือ คำนวณโดยกำรเทียบบญั ญตั ิไตรยำงศ์และคำนวณโดยใชส้ ูตร

ตัวอย่าง จงหำควำมเขม้ ขน้ ของสำรละลำยแอลกอฮอล์ ซ่ึงประกอบดว้ ยแอลกอฮอล์ 50 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร ละลำยในน้ำ 200 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร วิธีที่ 1 คำนวณโดยกำรเทียบบญั ญตั ิไตรยำงศ์ สำรละลำย 250 cm3มีแอลกอฮอล์ 50 cm3 สำรละลำย 100 cm3มีแอลกอฮอล์ = = 20 สำรละลำยมีควำมเขม้ ขน้ 20 cm3ในน้ำ 100 cm3 วิธีท่ี 2 คำนวณโดยใชส้ ูตร ร้อยละโดยปริมำตร = = x 100 = 20 สำรละลำยมีควำมเขม้ ขน้ 20% ใบงานท่ี คาส่ัง จงตอบคำถำมและคำนวณเกี่ยวกบั ควำมเขม้ ขน้ ของสำรละลำยที่กำหนดให้ 1. สำรละลำยเขม้ ขน้ หมำยควำมวำ่ อยำ่ งไร(1 คะแนน ) 2. สำรละลำยอ่ิมตวั หมำยควำมวำ่ อยำ่ งไร(1 คะแนน )

3.น้ำเกลือมีควำมเขม้ ขน้ 15 %โดยมวล / ปริมำตร หมำยควำมวำ่ อยำ่ งไร (1 คะแนน ) 4. แอลกอฮอลล์ ำ้ งแผล100ลูกบำศกเ์ ซนติเมตรมีเอทิลแอลกอฮอลล์ ะลำยอยู่ 70ลูกบำศก์ เซนติเมตร แอลกอฮอลล์ ำ้ งแผลมีควำมเขม้ ขน้ ร้อยละเท่ำใดโดยปริมำตร (1 คะแนน ) 5. เม่ือนำน้ำตำลทรำย60กรัม มำละลำยในน้ำ400 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร จะเตรียมน้ำเช่ือมไดค้ วำม เขม้ ขน้ ร้อยละเท่ำใดโดยมวล / ปริมำตร( 3 คะแนน ) 6.ถำ้ ตอ้ งกำรเตรียมน้ำเกลือ800ลูกบำศกเ์ ซนติเมตรใหม้ ีควำมเขม้ ขน้ 30 %โดยมวล / ปริมำตร จะตอ้ งใชเ้ กลือแกงจำนวนกี่กรัม ( 3 คะแนน ) 7. การนาความรู้เกยี่ วกบั สารละลายไปใช้ประโยชน์ 1.ดำ้ นกำรเกษตร 1.1 กำรปลูกพชื โดยไม่ใชด้ ิน จะผสมสำรอำหำรท่ีพืชตอ้ งกำรอยใู่ นรูปของสำรละลำย 1.2 กำรนำสำรเคมีกำจดั ศตั รูพืชไปใชต้ อ้ งนำมำเจือจำงดว้ ยน้ำซ่ึงเป็นตวั ทำละลำยใหไ้ ด้

ควำมเขม้ ขน้ ตำมตอ้ งกำรก่อนนำไปฉีดพน่ 2.ดำ้ นอุตสำหกรรม 2.1 ใชแ้ อลกอฮอลแ์ ละทินเนอร์เป็นตวั ทำละลำยในกำรผลิตสี หมึก สียอ้ ม และสีน้ำมนั 3.ดำ้ นอำหำร 3.1 กำรปรุงอำหำร 3.2 กำรทำเคร่ืองดื่ม 4.ดำ้ นกำรแพทย์ 4.1ยำที่มีรสขมไม่ชวนรับประทำน จึงตอ้ งเติมน้ำตำลหรือน้ำเช่ือมเพ่มิ ลงไปเพอ่ื ปรับ รสชำติใหน้ ่ำรับประทำนข้ึน 4.2 กำรใหเ้ กลือแร่หรือธำตุแคลเซียมแก่คนไขต้ อ้ งทำใหเ้ ป็นสำรละลำย 4.3 กำรผลิตยำเพอื่ รักษำคนไขต้ อ้ งทำให้อยใู่ นรูปของสำรละลำย 5.ดำ้ นกำรดำรงชีวติ 5.1กำรลำ้ งจำน กำรชำระร่ำงกำย กำรซกั เส้ือผำ้ กำรทำควำมสะอำดเคร่ืองอุปโภค บริโภค 5.2 กำรลบรอยเป้ื อนเปรอะของสีน้ำมนั ท่ีเส้ือผำ้ หรือพกู่ นั ตอ้ งใชน้ ้ำมนั สนลำ้ งออก แตจ่ ะใชน้ ้ำไม่ไดเ้ นื่องจำกสีน้ำมนั ไมล่ ะลำยในน้ำแตล่ ะลำยในน้ำมนั สน การเปลยี่ นแปลงสมบตั ิ มวล และ พลงั งานของสารเมือ่ สารเปลยี่ นสถานะและเกดิ การละลาย เมื่อสำรเกิดกำรเปลี่ยนสถำนะและเกิดกำรละลำย จะทำใหเ้ กิดกำรเปล่ียนแปลงพลงั งำนแบง่ เป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1.การละลายประเภทคายความร้อน เป็ นกำรละลำยของสำรที่มีกำรคำยพลงั งำนออกมำ

ทำใหส้ ำรละลำยมีอุณหภูมิสูงข้ึนโดยในขณะที่สำรเกิดกำรละลำย ตวั ละลำยท่ีเป็น ของแขง็ จะแยกตวั เป็นอนุภำคเลก็ ๆ แลว้ ยดึ เหนี่ยวกบั อนุภำคของตวั ทำละลำย กระบวนกำรน้ีเกี่ยวขอ้ งกบั พลงั งำนคือ พลงั งำนท่ีใชใ้ นกำรทำใหต้ วั ละลำยแยกตวั เป็นอนุภำคเลก็ ๆจะมีค่ำนอ้ ยกวำ่ พลงั งำนที่คำยออกมำขณะที่ตวั ละลำยยดึ เหน่ียวกบั ตวั ทำละลำย 2. การละลายประเภทดูดความร้อน เป็ นกำรละลำยของสำรที่มีกำรดูดพลงั งำนเขำ้ ไปใช้ ทำใหส้ ำรละลำยมีอุณหภูมิต่ำลง โดยในขณะท่ีสำรเกิดกำรละลำย ตวั ละลำยท่ีเป็น ของแขง็ จะแยกตวั เป็นอนุภำคเล็ก ๆ แลว้ ยดึ เหน่ียวกบั อนุภำคของตวั ทำละลำย กระบวนกำรน้ีเกี่ยวขอ้ งกบั พลงั งำน คือ พลงั งำนท่ีใชใ้ นกำรทำใหต้ วั ละลำยแยกตวั เป็นอนุภำคเลก็ ๆจะมีค่ำมำกกวำ่ พลงั งำนท่ีคำยออกมำขณะท่ีตวั ละลำยยดึ เหนี่ยวกบั ตวั ทำละลำย ปัจจัยทม่ี ีผลต่อการละลายของสาร สำรละลำยตำ่ ง ๆ จะสำมำรถละลำยไดร้ วดเร็วเพยี งใด ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ที่สำคญั ดงั น้ี 1) อุณหภูมิ (temperature) ถำ้ ตวั ละลำยเป็นของแขง็ และตวั ทำละลำยเป็นของเหลว จะสำมำรถ ละลำยไดด้ ีเมื่ออุณหภูมิสูงข้ึน เนื่องจำกควำมร้อนจะทำใหอ้ ะตอมของตวั ถูกละลำยเกิดกำรสั่นสะเทือนอยำ่ ง รวดเร็ว ซ่ึงช่วยใหเ้ กิดกำรแตกตวั ไดด้ ี แต่ถำ้ ตวั ละลำยเป็ นแก๊ส เมื่ออุณหภูมิสูงข้ึนจะละลำยไดน้ อ้ ยลง 2) ชนิดของตวั ทาละลาย นอกจำกน้ำแลว้ ยงั มีสำรอ่ืน ๆ อีกมำกท่ีเป็นตวั ทำละลำย เช่น แอลกอฮอล์ โพรพำนอล ซ่ึงตวั ละลำยแต่ละชนิดจะสำมำรถละลำยไดใ้ นตวั ทำละลำยท่ีต่ำงกนั 3) ขนาดของตวั ละลาย ตวั ละลำยที่มีขนำดใหญ่จะละลำยไดช้ ำ้ กวำ่ ตวั ละลำยที่มีขนำดเลก็ เน่ืองจำกตวั ละลำยขนำดเล็กมีพ้ืนที่สัมผสั มำกสำมำรถจบั กบั อนุภำคตวั ทำละลำยไดม้ ำกกวำ่ จึงแตกตวั และ ละลำยไดด้ ีกวำ่ 4) ความดนั ในกรณีที่ตวั ละลำยเป็นแก๊ส หำกควำมดนั สูงข้ึนจะทำใหแ้ กส๊ ละลำยไดด้ ีข้ึน เช่น กำรละลำยของแก๊สคำร์บอนไดออกไซดใ์ นน้ำอดั ลม 5) การคน การเขย่า หรือการป่ันเหวยี่ ง จะทำใหอ้ นุภำคของตวั ทำละลำยเคล่ือนท่ีเร็วข้ึน อนุภำค ของตวั ละลำยเกิดกำรชนกนั ถ่ีข้ึน จึงทำใหเ้ กิดกำรละลำยไดด้ ีและเร็วข้ึน

ใบงานที่ 6 คาสั่ง จงเติมคำลงในช่องวำ่ ง ( ขอ้ ละ 1 คะแนน ) 1. กำรนำควำมรู้เร่ืองสำรละลำยไปใช้ประโยชนใ์ นเรื่องอำหำรไดแ้ ก่....................................... 2. กำรใหเ้ กลือแร่แก่คนไขต้ อ้ งอยใู่ นรูปของ ............................................................................

3. เมื่อสีน้ำมนั เป้ื อนเส้ือผำ้ ควรใชน้ ้ำมนั สนลำ้ งออกเพรำะ ...................................................... 4. กำรละลำยประเภทคำยควำมร้อน ทำใหอ้ ุณหภมู ิของสำรละลำย .......................................... 5. กำรละลำยประเภทดูดควำมร้อนทำใหอ้ ุณหภมู ิของสำรละลำย............................................. 6. ตวั ละลำยท่ีมีขนำดใหญจ่ ะละลำยไดช้ ำ้ กวำ่ ตวั ละลำยท่ีมีขนำดเลก็ เพรำะ............................. 7. สำรละลำยที่มีตวั ละลำยเป็นแก๊ส ถำ้ อุณหภมู ิสูงข้ึน กำรละลำยจะ ........................................ 8. เม่ือคนสำร จะทำใหเ้ กิดกำรละลำยไดด้ ีข้ึนและเร็วข้ึนเน่ืองจำก ........................................... 9. สำรละลำยท่ีมีตวั ละลำยเป็นแกส๊ ถำ้ ควำมดนั สูงข้ึนกำรละลำยจะ......................................... 10. ถำ้ ตวั ละลำยเป็นของแขง็ และตวั ทำละลำยเป็นของเหลว จะสำมำรถละลำยไดด้ ีเม่ือ.......... 8. สารเนือ้ ผสม สารเนือ้ ผสม หมำยถึง สำรต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไปท่ีนำมำผสมกนั โดยเน้ือสำรไม่กลมกลืนเป็นเน้ือ เดียวกนั สำมำรถมองเห็นไดว้ ำ่ มีสำรมำกกวำ่ 1 ชนิดเป็ นองคป์ ระกอบ อำจเรียกวำ่ ของผสม 1. สารแขวนลอย

สารแขวนลอย คือ ของผสมท่ีเกิดจำกสำร 2 ชนิดรวมกนั โดยที่โมเลกุลของสำรชนิดหน่ึงมีขนำด ใหญก่ วำ่ 100 นำโนเมตร (1 นำโนเมตร เท่ำกบั 10-9 เมตร หรือ 0.000000001) ลอยอยใู่ นสำรอีกชนิด หน่ึง สำรแขวนลอยถำ้ มองดูดว้ ยตำเปล่ำจะมีลกั ษณะข่นุ เน่ืองจำกโมเลกุลของสำรท่ีแขวนลอยมีขนำดใหญ่ หกั เหแสงไดไ้ มเ่ ทำ่ กนั ซ่ึงโมเลกลุ เหล่ำน้ีจะแขวนลอยอยไู่ ดไ้ ม่นำน แลว้ จะจมสู่เบ้ืองล่ำง แยกตวั ออกจำก สำรอีกชนิดหน่ึง อนุภำคของสำรแขวนลอยไม่สำมำรถผำ่ นกระดำษกรองและกระดำษเซลโลเฟนได้ ตวั อยำ่ งเช่น สำรผสมระหวำ่ งดินทรำยกบั น้ำ โคลนกบั น้ำปูนขำวกบั น้ำ 2. สารคอลลอยด์ คอลลอยด์คือ ของผสมที่ประกอบดว้ ยสำร 2 ชนิด โดยจะมีโมเลกุลเล็กกวำ่ สำรแขวนลอย โมเลกุลมีขนำดประมำณ 1-100 นำโนเมตร แต่ใหญ่กวำ่ โมเลกลุ ของสำรละลำย สำมำรถผำ่ นกระดำษ กรองแต่ไมส่ ำมำรถผำ่ นกระดำษเซลโลเฟนได้ เรียกวำ่ อนุภำคคอลลอยด์ ซ่ึงอำจเป็นของแขง็ ของเหลว หรือแก๊ส กระจำยอยใู่ นตวั กลำงท่ีเป็นสำรอีกชนิดหน่ึง รวมท้งั อำจมีสถำนะเป็นของแขง็ ของเหลว หรือ แก๊ส ไดเ้ ช่นกนั บำงอยำ่ งมองดูแลว้ จะมีลกั ษณะคลำ้ ยกบั สำรเน้ือเดียว ตารางท่ี 2 ตัวอย่างคอลลอยด์ในชีวติ ประจาวนั ช่ือคอลลอยด์ สารในตวั กลาง ตัวกลาง หมอก ควนั ไฟ ควนั บุหรี่ ละอองน้ำ (ของเหลว) อำกำศ (แก๊ส) ฝ่ นุ ละอองในอำกำศ สีทำอำคำร ผงถ่ำน (ของแขง็ ) อำกำศ (แก๊ส) ฟองอำกำศในน้ำ ฝ่ นุ ละออง (ของแขง็ ) อำกำศ (แกส๊ ) เมด็ สี (ของแขง็ ) น้ำ (ของเหลว) ฟองอำกำศ (แกส๊ ) น้ำ (ของเหลว) การกระเจิงของแสง หรือ ปรากฏการณ์ทนิ ดอลล์ ( Tyndall phenomenon ) เป็นปรำกฏกำรณ์ท่ีเกิดข้ึนเม่ือลำแสงส่องผำ่ นอนุภำคของคอลลอยดแ์ ลว้ ทำใหม้ องเห็น คอลลอยดข์ นุ่ ในขณะท่ีสำรละลำยจะไมเ่ กิดปรำกฏกำรณ์น้ีและสำรแขวนลอยจะทึบแสง แสงไม่ สำมำรถผำ่ นได้ เน่ืองจำกอนุภำคของคอลลอยดม์ ีขนำดใหญ่พอที่จะทำให้เกิดกำรหกั เหของ

ลำแสงที่ส่องผำ่ น และแสงสะทอ้ นมำเขำ้ ตำ เช่น เม่ือมีลำแสงผำ่ นเขำ้ ไปในหอ้ งท่ีมีฝ่ นุ คลุง้ อยแู่ ลว้ จะเห็นลำแสงไดช้ ดั เจนเพรำะอนุภำคของฝ่ นุ ในห้องจะหกั เหแสง ทำใหแ้ สงสะทอ้ นมำเขำ้ ตำ และกำรกระเจิงของแสงไฟหนำ้ รถยนตใ์ นอำกำศที่มีฝ่ นุ ละอองบำ้ งหรือมีหมอกบำงทำใหแ้ สงไฟ จำกรถยนตม์ ีควำมสวำ่ งมำกข้ึน ตารางเปรียบเทยี บสมบตั ขิ องสาร สมบัตทิ นี่ ามาพจิ ารณา สารละลาย คอลลอยด์ สารแขวนลอย กำรตกตะกอน ไมต่ กตะกอน ไมต่ กตะกอน ตกตะกอน กำรแยกสำรดว้ ยกำร แยกไม่ได้ แยกไม่ได้ แยกได้ กรองกระดำษกรอง กำรแยกสำรดว้ ยกำร แยกไมไ่ ด้ แยกได้ แยกได้ กรองผำ่ นกระดำษ เซลโลเฟน ขนำดของอนุภำค เลก็ ปำนกลำง ใหญ่ กำรกระเจิงของแสง ไมเ่ กิดกำรกระเจิง เกิดกำรกระเจิงของ ไม่เกิดกำรกระเจิง ของแสง แสง ของแสง นอกจำกน้ี ยงั มีคอลลอยดบ์ ำงประเภทที่อนุภำคคอลลอยดจ์ ะไมก่ ระจำยอยใู่ นสำรอีกชนิดหน่ึงไดน้ ำน เช่น น้ำผสมกบั น้ำมนั พืช เมื่อเขยำ่ และต้งั ทิง้ ไว้ สักพกั หน่ึง น้ำกบั น้ำมนั พชื จะแยกจำกกนั เป็น 2 ช้นั โดย น้ำมนั จะอยขู่ ำ้ งบน และน้ำจะอยขู่ ำ้ งล่ำง เรียกสำรผสมน้ีวำ่ อมิ ัลชัน (emulsion) เรำสำมำรถทำสำรอิมลั ชนั ให้เป็นสำรผสมท่ีอยตู่ วั ได้ โดยใชส้ ำรท่ี 3 ผสมลงไป เพอ่ื ช่วยใหก้ ำร ผสมของสำร 2 ชนิดดีข้ึน เรียกสำรที่ 3 น้ีวำ่ อมิ ัลซิไฟเออร์(emulsifier) หรือ อมิ ลั ซิไฟองิ เอเจนต์ (emulsifyingagent) ซ่ึงมีหนำ้ ที่ทำใหอ้ นุภำคของคอลลอยดแ์ ตกตวั มีขนำดเล็กลง จึงอยตู่ วั ไดน้ ำน ตวั อยำ่ งเช่น น้ำกบั น้ำมนั พชื ไมผ่ สมกนั แตถ่ ำ้ เติมน้ำสบู่ลงไปเลก็ นอ้ ยน้ำกบั น้ำมนั พืชจะผสมกนั ได้ แสดง วำ่ น้ำสบูเ่ ป็นอิมลั ซิไฟเออร์

สารคอลลอยด์ในชีวติ ประจาวนั มีสำรคอลลอยดห์ ลำยชนิดท่ีเก่ียวขอ้ งในกำรดำรงชีวติ ประจำวนั ของคนเรำ ท้งั ท่ีเกิดเองตำม ธรรมชำติและเกิดจำกกำรผสมสำร เช่น นม น้ำสลดั น้ำกะทิ ควนั บุหรี่ ฝ่ ุนละอองในอำกำศ น้ำสบู่ ผงซกั ฟอก แชมพสู ระผม ถำ้ สำร 2 ชนิดไมล่ ะลำยซ่ึงกนั และกนั เมื่อทำเป็ นสำรละลำยจะไดค้ อลลอยดท์ ่ีเรียกวำ่ อมิ ลั ชัน ซ่ึงอิมลั ชนั ส่วนใหญจ่ ะไม่อยตู่ วั เม่ือต้งั ทิง้ ไวจ้ ะแยกจำกกนั เป็น 2 ช้นั เห็นไดช้ ดั เจน แตถ่ ำ้ เติมสำรอิมลั ซิ ไฟเออร์ลงไปจะทำใหอ้ นุภำคของสำรแขวนลอยแตกตวั และสำมำรถแทรกอยใู่ นสำรอีกชนิดหน่ึงได้ ซ่ึง นำมำใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจำวนั เช่น สบู่หรือผงซักฟอก ในกำรซกั ผำ้ เรำตอ้ งกำรลำ้ งไขมนั และสิ่งสกปรกท่ีติดอยตู่ ำมเส้ือผำ้ ใหห้ ลุด ออกมำกบั น้ำที่แช่เส้ือผำ้ แต่ไขมนั ไม่ทำปฏิกิริยำกบั น้ำ ถำ้ หำกเรำผสมสบ่หู รือผงซกั ฟอกลงไปในน้ำ สบู่ หรือผงซกั ฟอกจะทำหนำ้ ท่ีเป็นอิมลั ซิไฟเออร์ ไปทำใหไ้ ขมนั ที่ติดกบั เส้ือผำ้ หลุดออกไปกบั น้ำ แชมพสู ระผม ทำหนำ้ ที่เป็ นอิมลั ซิไฟเออร์ ทำใหไ้ ขมนั ที่ติดตำมเส้นผมหลุดออกไปกบั น้ำ นา้ นม เป็นสำรคอลลอยดท์ ่ีประกอบดว้ ยไขมนั สตั วท์ ี่กระจำยอยใู่ นน้ำ กำรที่ไขมนั สัตวล์ ะลำยใน น้ำได้ เพรำะมีโปรตีนชนิดหน่ึงช่ือ เคซีน ที่มีอนู่ในนม ทำหนำ้ ที่เป็นอิมลั ซิไฟเออร์ ใบงานท่ี 7 คาส่ัง จงใส่เคร่ืองหมำย / หนำ้ ขอ้ ควำมที่เห็นวำ่ ถูก และ ใส่เคร่ืองหมำย x หนำ้ ขอ้ ควำมที่เห็นวำ่ ผดิ ( ขอ้ ละ 1 คะแนน )

............ 1. สำรละลำยมีขนำดอนุภำคเลก็ กวำ่ คอลลอยดแ์ ละสำรแขวนลอย ............ 2. น้ำแป้ งและน้ำโคลนจดั เป็นคอลลอยด์ ............ 3. หมอก ควนั ไฟ จดั วำ่ เป็นสำรแขวนลอย ............ 4. คอลลอยดแ์ ละสำรแขวนลอยสำมำรถแยกไดด้ ว้ ยกระดำษเซลโลเฟน ............5.เมื่อต้งั กำว สีทำบำ้ น ไวน้ ำน ๆ จะสำมำรถตกตะกอนได้ ............6. น้ำกบั น้ำมนั พืชเม่ือนำมำผสมกนั จดั เป็นคอลลอยดป์ ระเภทอิมลั ชนั ............ 7. สบู่ แชมพสู ระผม น้ำยำลำ้ งจำน เป็นอิมลั ซิไฟเออร์ช่วยชำระลำ้ งครำบสกปรก ...........8.เม่ือลำแสงผำ่ นสำรละลำยทำใหเ้ กิดปรำกฏกำรณ์ทินดอลล์ ............ 9. สำรอิมลั ซิไฟเออร์ทำใหไ้ ขมนั รวมตวั กบั น้ำไดด้ ี ............10.ในน้ำนม ไขมนั สัตวล์ ะลำยในน้ำได้ เนื่องจำกมีสำรเคซีนทำหนำ้ ท่ีเป็นอิมลั ซิไฟเออร์ 9. สมบตั ิของสารละลายกรด – เบส สำรละลำยตำ่ ง ๆ ท่ีใชใ้ นชีวติ ประจำวนั แต่ละชนิดจะมีสมบตั ิท่ีแตกต่ำงกนั มีท้งั ชนิดที่มีฤทธ์ิกดั กร่อนหรือท่ีเรียกวำ่ มีสมบตั ิเป็นกรด และชนิดท่ีมีสมบตั ิเป็นเบส สำรบำงชนิดเป็นอนั ตรำย แตบ่ ำงชนิด

สำมำรถนำมำใชป้ ระโยชนไ์ ด้ สมบตั ิของสำรละลำยกรด-เบส จึงเป็นเกณฑอ์ ีกประเภทหน่ึงที่ นกั วทิ ยำศำสตร์นำมำใชใ้ นกำรจำแนกประเภทของสำร 1. สารละลายกรด กรด หมำยถึง สำรประกอบที่มีธำตุไฮโดรเจนเป็ นองคป์ ระกอบ เมื่อละลำยน้ำแลว้ สำมำรถแตกตวั ใหไ้ ฮโดรเจนไอออน (H+) ได้ 1. สมบัตขิ องสารละลายกรด 1) มีรสเปร้ียว 2) เปล่ียนสีกระดำษลิตมสั จำกสีน้ำเงินเป็ นสีแดง (มีคำ่ pH < 7) 3) ทำปฏิกิริยำกบั โลหะ เช่น สังกะสี ทองแดง แมกนีเซียม อะลูมิเนียมจะได้ ฟองแกส๊ ไฮโดรเจนออกมำ 4) กรดมีสมบตั ิกดั กร่อนโลหะ หินปูน เน้ือเยอ่ื ของร่ำงกำย 5) กรดทำปฏิกิริยำกบั หินปนู ซ่ึงเป็นสำรประกอบพวกแคลเซียมคำร์บอเนต จะได้ แกส๊ คำร์บอนไดออกไซด์ 6) สำรละลำยกรดทุกชนิดนำไฟฟ้ ำไดด้ ี 7) ทำปฏิกิริยำกบั เบสไดเ้ กลือและน้ำ 2. ประเภทของสารละลายกรด สำรละลำยกรด แบง่ ออกเป็ น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) กรดอนิ ทรีย์ เป็นกรดท่ีไดจ้ ำกส่ิงมีชีวติ เช่น พืช สตั ว์ จุลินทรีย์ หรือจำกกำร สงั เครำะห์สำร เม่ือทดสอบกบั สำรละลำยเจนเชียนไวโอเลตจะไม่เกิดกำรเปล่ียนแปลงตวั อยำ่ งเช่น  กรดแอซีติก(acetic acid) หรือกรดน้ำส้ม ไดจ้ ำกกำรหมกั แป้ งหรือน้ำตำลโดยใช้ จุลินทรีย์ ซ่ึงนิยมใชใ้ นกำรผลิตน้ำส้มสำยชู  กรดซิตริก(citric acid) หรือกรดมะนำว เป็ นกรดที่มีอยใู่ นผลไมท้ ี่มีรสเปร้ียวเช่น ส้ม มะนำว  กรดแอสคอร์บิก(ascorbic acid) หรือวิตำมินซี มีในผลไมท้ ี่มีรสเปร้ียว  กรดอะมิโน (amino acid) เป็นกรดที่ใชส้ ร้ำงสำรประเภทโปรตีน มกั พบอยใู่ น เน้ือสตั ว์ ผลไมเ้ ปลือกแขง็ หรือในพชื ตระกลู ถวั่ 2) กรดอนินทรีย์ เป็นกรดท่ีไดจ้ ำกแร่ธำตุ จึงอำจเรียกวำ่ กรดแร่ (mineral acid) เม่ือทดสอบกบั สำรละลำยเจนเชียนไวโอเลต จะเปล่ียนสีของเจนเชียนไวโอเลต จำกสีมว่ งเป็นสีเขียว กรดอ นินทรียเ์ ป็ นกรดแก่มีควำมสำมำรถในกำรกดั กร่อนสูง ตวั อยำ่ งเช่น  กรดกำมะถนั หรือกรดซลั ฟิ วริก (sulphuric acid)

 กรดเกลือ หรือกรดไฮโดรคลอริก (hydrochloric acid)  กรดดินประสิว หรือกรดไนตริก(nitric acid) 3. สารละลายกรดทใี่ ช้ในชีวติ ประจาวนั สำรละลำยกรดท่ีใชป้ รุงแต่งอำหำรเป็นกรดท่ีไดจ้ ำกพชื เช่น กรดน้ำส้ม หรือกรดท่ี ไดจ้ ำกมะนำว มะขำม ซ่ึงกรดจำกพชื จะไม่เปล่ียนแปลงสีของเจนเชียนไวโอเลต แต่ถำ้ เป็นกรดท่ีไดจ้ ำกแร่ ธำตุจะเปล่ียนสีของเจนเชียนไวโอเลต จำกสีมว่ งเป็นสีเขียว หรือสีน้ำเงิน นอกจำกน้ีสำรที่ใชท้ ำควำมสะอำดบำ้ นส่วนมำกจะเป็นสำรละลำยกรด เช่น สำรประเภทผงขดั จะมีสำรท่ีมีสมบตั ิเป็นกรดปนอยดู่ ว้ ย อีกประเภทหน่ึงเป็ นของเหลว จะมีกรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ) และบำงชนิดมีกรดซลั ฟิ วริก (กรดกำมะถนั ) เป็ นส่วนประกอบ เวลำใชต้ อ้ งระมดั ระวงั อยำ่ ใหถ้ ูกร่ำงกำย เส้ือผำ้ หรือกระเดน็ เขำ้ ตำ และไมค่ วรสูดดมไอระเหยเขำ้ ไป เพรำะจะเป็นอนั ตรำยต่อร่ำงกำยได้ ผลกระทบของสารละลายกรดต่อส่ิงมีชีวติ และสิ่งแวดล้อม สำรละลำยกรดบำงชนิดเป็นอนั ตรำยต่อเน้ือเยอ่ื มนุษย์ สัตวแ์ ละพชื โดยเฉพำะกรดจำกแร่ธำตุ เป็ น กรดเกลือ กรดกำมะถนั กรดไนตริก มกั จะเป็นกรดที่รุนแรง ทำปฏิกิริยำกบั สิ่งตำ่ ง ๆ ไดร้ วดเร็ว และมี ฤทธ์ิกดั กร่อน จึงเป็ นอนั ตรำยถำ้ ถูกเส้ือผำ้ ผวิ หนงั หรือเน้ือเยื่อของร่ำงกำย กรดท่ีไดจ้ ำกพืชถึงแมจ้ ะใช้ ปรุงแต่งอำหำรก็ได้ แตถ่ ำ้ บริโภคเขำ้ ไปมำกก็เป็นอนั ตรำยได้ จึงควรใชแ้ ต่พอเหมำะ นอกจำกน้ียงั มี น้ำส้มสำยชูปลอมบำงชนิดที่ทำมำจำกน้ำผสมกบั กรดกำมะถนั ถำ้ บริโภคเขำ้ ไปจะเป็นอนั ตรำยต่อร่ำงกำย ได้ จึงควรทดสอบดูใหแ้ น่ใจก่อนนำมำบริโภค ส่วนสำรละลำยกรดที่มีผลตอ่ สิ่งแวดลอ้ มน้นั เม่ือนำมำใชล้ ำ้ งพ้นื หรือสุขภณั ฑ์แลว้ หำกปล่อยทิง้ สู่ แหล่งน้ำจะมีผลต่อส่ิงมีชีวิตในแหล่งน้ำน้นั นอกจำกน้ีสำรละลำยกรดจะทำลำยพ้ืนบำ้ นที่เป็นหินปนู ปูน ขำว ทำใหพ้ ้นื บำ้ นชำรุดไดง้ ่ำยข้ึน ดงั น้นั กำรใชส้ ำรละลำยกรดจึงตอ้ งใชใ้ หถ้ ูกวธิ ีและอำ่ นคำแนะนำให้ เขำ้ ใจก่อนใช้ 2. สารละลายเบส เบส คือ สำรประกอบท่ีทำปฏิกิริยำกบั กรดแลว้ ไดเ้ กลือกบั น้ำ เบสที่ละลำยน้ำจะสำมำรถแตกตวั ใหไ้ ฮดรอกไซดไ์ อออน (OH-) เบสทุกชนิดจะมีรสฝำด 1. สมบัตขิ องสารละลายเบส 1) มีรสฝำดหรือเฝื่ อน 2) เปลี่ยนสีกระดำษลิตมสั จำกสีแดงเป็นสีน้ำเงิน (มีค่ำ pH > 7) 3) ทำปฏิกิริยำกบั น้ำมนั พืชหรือน้ำมนั หมู จะไดส้ ำรละลำยมีฟองคลำ้ ยสบู่

4) ทำปฏิกิริยำกบั แอมโมเนียไนเตรต จะไดแ้ ก๊สที่มีกลิ่นฉุนของแอมโมเนีย 5) สำมำรถกดั กร่อนโลหะอะลูมิเนียม และสงั กะสี มฟี องแก๊สเกิดข้ึน 2. สารละลายเบสทใี่ ช้ในชีวติ ประจาวนั ชื่อทางการค้า ช่ือทางเคมี ประโยชน์ โซดำซกั ผำ้ โซเดียมคำร์บอเนต อุตสำหกรรมเคมี อุตสำหกรรมผงซกั ฟอก โซดำแผดเผำ หรือโซดำไฟ โซเดียมไฮดรอกไซด์ อุตสำหกรรมทำสบู่ ผงซกั ฟอก และอุตสำหกรรมฟอกหนงั ด่ำงคลี โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ทำสบู่ ผลิตภณั ฑท์ ำควำมสะอำด ผงฟู โซเดียมไฮโดรเจนคำร์บอเนต อุตสำหกรรมอำหำร ขนมบำงชนิด ผลกระทบของสารละลายเบสต่อส่ิงมชี ีวติ และสิ่งแวดล้อม สำรท่ีใชใ้ นกำรบริโภคหลำยชนิดมีฤทธ์ิเป็นเบส เช่น ผงฟู น้ำปูนใส ซ่ึงนำมำใชใ้ นกำรปรุงแต่ง อำหำรได้ ถำ้ ใชใ้ นปริมำณนอ้ ย ๆ จะไม่เป็นอนั ตรำยตอ่ ร่ำงกำย แตถ่ ำ้ ใชใ้ นปริมำณมำกๆ ก็เป็นอนั ตรำยได้ เบสบำงชนิด เช่น โซดำไฟ โซดำซกั ผำ้ มีฤทธ์ิรุนแรง จึงควรใชด้ ว้ ยควำมระมดั ระวงั และควรเก็บไวใ้ นที่ ๆ ปลอดภยั สำรเคมีทุกชนิดไมว่ ำ่ กรดหรือเบสลว้ นมีผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ ม ถำ้ ทิ้งเบสที่มีฤทธ์ิรุนแรงลงสู่ พ้ืนดินหรือแหล่งน้ำโดยตรง จะทำลำยสิ่งมีชีวติ ในแหล่งน้ำน้นั นอกจำกน้ียงั ทำใหส้ ภำพของดินและน้ำ เส่ือมโทรมไป ดงั น้นั สำรเคมีท่ีเป็นกรดหรือเบสที่เหลือจำกกำรใชแ้ ลว้ ควรจะเก็บบรรจุไวใ้ นภำชนะท่ี ปลอดภยั และทิง้ ในท่ีจดั ไว้ เพ่อื จะไดน้ ำไปทำลำยใหถ้ ูกวธิ ี ก่อนใชต้ อ้ งศึกษำสมบตั ิควำมเป็นเบส วำ่ เป็น อนั ตรำยมำกนอ้ ยแค่ไหน วธิ ีใช้ วธิ ีเกบ็ รักษำ และกำรทำลำยทิง้ เพ่อื ประโยชน์ต่อชีวติ ตนเอง สังคม และ ส่ิงแวดลอ้ ม การตรวจสอบสารละลายกรด-เบส

สำรละลำยกรด-เบส ส่วนมำกจะเป็นสำรละลำยท่ีใส ไมม่ ีสีจึงไมส่ ำมำรถแยกออกจำกกนั ดว้ ยตำได้ ส่วนมำกเป็นสำรที่เป็ นอนั ตรำย เพรำะมีฤทธ์ิกดั กร่อนเน้ือเยอ่ื ของร่ำงกำย จึงไม่สำมำรถทดสอบดว้ ยกำรชิม หรือสัมผสั ได้ แต่เรำมีวธิ ีทดสอบไดห้ ลำยวธิ ี ดงั น้ี 1) สารละลายลติ มสั ทำจำกส่ิงมีชีวติ พวกไลเคนส์ ตวั สำรละลำยมีสีม่วง เม่ือหยดลิตมสั ลงใน สำรละลำยเป็นกรดจะเปล่ียนเป็นสีแดง ถำ้ หยดลงในสำรละลำยท่ีเป็นเบสจะไดส้ ีน้ำเงิน นอกจำกสำรละลำยลิตมสั แลว้ ยงั มีกระดำษลิตมสั ซ่ึงมี 2 สี คือสีแดง กบั สีน้ำเงิน ถำ้ นำ กระดำษลิตมสั สีน้ำเงินจุ่มลงในสำรละลำยกรด เปล่ียนสีจำกน้ำเงินเป็นสีแดงและเมื่อจุม่ กระดำษลิตมสั สี แดงลงในสำรละลำยเบสจะเปลี่ยนสีจำกสีแดงเป็ นสีน้ ำเงิน 2) ยูนิเวอร์ซัลอนิ ดิเคเตอร์อินดิเคเตอร์แบบลิตมสั จะบอกไดแ้ ตเ่ พียงวำ่ สำรละลำยใดเป็ นกรด เบส หรือเป็นกลำงเท่ำน้นั ไมส่ ำมำรถบอกไดว้ ำ่ สำรชนิดใดมีควำมเป็นกรด – เบสมำกกวำ่ กนั ถำ้ เรำตอ้ งกำร ทรำบควำมเป็ นกรด-เบส มำกหรือนอ้ ยตอ้ งใชย้ นู ิเวอร์ซลั อินดิเคเตอร์ซ่ึงจะสำมำรถบอกคำ่ pH ของ สำรละลำยไดโ้ ดยคำ่ pH อยรู่ ะหวำ่ ง 0 – 14 ซ่ึงถำ้ สำรใดมีค่ำpHนอ้ ยกวำ่ 7 แสดงวำ่ สำรน้นั มีสมบตั ิเป็นกรด ถำ้ สำรใดมีคำ่ pHเท่ำกบั 7 แสดงวำ่ สำรน้นั มีสมบตั ิเป็นกลำง และถำ้ สำรใดมีค่ำpHมำกกวำ่ 7 แสดงวำ่ สำร น้นั มีสมบตั ิเป็นเบส 3)อนิ ดเิ คเตอร์สาหรับกรดและเบสอนื่ ๆ เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใชต้ รวจสอบสมบตั ิควำมเป็นกรดและเบส ของสำรละลำยเช่น สำรละลำยเมทิลออเรนจเ์ มทิลเรดบรอมไทมอลบลูฟิ นอลเรด ฟิ นอลฟ์ ทำลีนโดยอินดิเคเตอร์แตล่ ะชนิดในสำรละลำยกรดและเบสจะเปล่ียนสีที่pH แตกต่ำงกนั ตารางแสดงช่วงการเปลยี่ นสีของอนิ ดเิ คเตอร์ อนิ ดเิ คเตอร์ ช่วง pH ของการเปลยี่ นสี สีทเ่ี ปลย่ี น เมทิลออเรนจ์ 3.2-4.4 แดง - เหลือง เมทิลเรด 4.2-6.3 แดง - เหลือง ลิตมสั 5.0-8.0 แดง - น้ำเงิน บรอมไทมอลบลู 6.0-7.6 เหลือง - น้ำเงิน ฟิ นอลเรด 6.8-8.4 เหลือง - แดง ฟิ นอลฟ์ ทำลีน 8.3-10.0 ไมม่ ีสี - ชมพเู ขม้

4) เคร่ืองวดั ค่า pH (pH meter) เป็นเครื่องมือท่ีใชว้ ดั ค่ำ pH ของลำรละลำย ซ่ึงบอกคำ่ ได้ ละเอียดกวำ่ กำรตรวจสอบดว้ ยอินดิเคเตอร์ต่ำง ๆ โดยจะแสดงค่ำเป็นตวั เลขท่ีหนำ้ ปัด และยงั สำมำรถแสดง คำ่ pH ที่เปลี่ยนไปอยำ่ งตอ่ เน่ืองตลอดเวลำท่ีเกิดปฏิกิริยำดว้ ย 5) การทาให้เป็ นกลาง ถำ้ เรำตอ้ งกำรรู้คำ่ ท่ีแน่นอนของกรด เรำสำมำรถทำไดโ้ ดยกำรหยดเบสลง ไปทีละหยด จนสำรละลำยผสมเป็นกลำง โดยดูจำกกำรเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์ ซ่ึงปฏิกิริยำของกรดกบั เบส เม่ือเป็ นกลำงจะไดส้ ำรละลำยเกลือกบั น้ำ เรียกปฏิกิริยำน้ีวำ่ ปฏกิ ิริยาสะเทิน (Neutralization reaction) ใบงานที่ 8

ตอนท่ี 1 คาสั่ง จงนำตวั อกั ษรหนำ้ ขอ้ ควำมทำงขวำมือ มำใส่หนำ้ ตวั เลขขอ้ ควำมทำงซำ้ ยมือโดยให้ สมั พนั ธ์กนั ( ขอ้ ละ1 คะแนน ) .....1. สมบตั ิของกรด ก.ไดจ้ ำกกำรหมกั แป้ งหรือน้ำตำลโดยใช้ จุลินทรีย์ .....2. สมบตั ิของเบส ข.เป็นกรดแก่มีควำมสำมำรถในกำรกดั กร่อนสูง .....3. กรดแอซิติก ( กรดน้ำส้ม ) ค. มีในผลไมท้ ่ีมีรสเปร้ียว หรือเรียกวำ่ วติ ำมินซี .....4.โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ( ต่ำงคลี ) ง.อุตสำหกรรมทำสบู่ ผงซกั ฟอก .....5.กรดซลั ฟิ วริก ( กรดกำมะถนั ) จ.เป็นกรดที่มีอยใู่ นผลไมท้ ี่มีรสเปร้ียว .....6.โซเดียมไฮดรอกไซด์ ( โซดำไฟ ) ฉ.เปล่ียนสีกระดำษลิตมสั จำกน้ำเงินเป็ นแดง .....7. โซเดียมไฮโดรเจนคำร์บอเนต ( ผงฟู ) ช.เป็นกรดที่ใชส้ ร้ำงสำรประเภทโปรตีน มกั พบ อยใู่ นเน้ือสตั ว์ .....8. กรดซิตริก ซ. เปลี่ยนสีกระดำษลิตมสั จำกแดงเป็นน้ำเงิน .....9.กรดแอสคอร์บิก ฌ. ใชใ้ นอุตสำหกรรมอำหำร ขนมบำงชนิด .....10.กรดอะมิโน ญ.ใชใ้ นกำรทำสบู่ ผลิตภณั ฑท์ ำควำมสะอำด ตอนท่ี 2 คาส่ัง จงตอบคาถามให้ได้ใจความชัดเจน( ขอ้ ละ 2 คะแนน ) 1. เรำควรมีวธิ ีกำรอยำ่ งไร ในกำรใชก้ รดท่ีไดจ้ ำกพืชปรุงแต่งอำหำร 2. วธิ ีกำรใชก้ รดหรือเบสที่มีฤทธ์ิกดั กร่อนรุนแรง ควรทำอยำ่ งไร 3. วธิ ีกำรทดสอบน้ำส้มสำยชูปลอม ควรทำอยำ่ งไร 4. ถำ้ ตอ้ งกำรตรวจสอบคำ่ pHของสำรละลำยกรดหรือเบส ควรใชส้ ่ิงใด 5. ถำ้ หยดสำรฟิ นอลฟ์ ทำลีนลงในสำรละลำยชนิดหน่ึงแลว้ เปลี่ยนเป็นสีชมพู แสดงวำ่ สำรละลำยน้นั เป็ นกรดหรื อเบส สรุปทบทวน ประจาหน่วยการเรียนรู้

 สำร หมำยถึง ส่ิงท่ีมีตวั ตน มีมวล (น้ำหนกั ) ตอ้ งกำรท่ีอยแู่ ละสัมผสั ได้ สมบตั ิของสำร คือ ลกั ษณะเฉพำะตวั ของสำรชนิดน้นั ซ่ึงสำมำรถบอกวำ่ สำรน้นั คืออะไร  กำรจำแนกสำรโดยใชเ้ น้ือสำรเป็นเกณฑ์ แบง่ ไดเ้ ป็ น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ  สำรเน้ือเดียว หมำยถึง สำรท่ีมองเห็นเป็นเน้ือเดียวกนั และมีสมบตั ิเหมือนกนั ทุกส่วน ไดแ้ ก่ สำรบริสุทธ์ิ (ธำตุและสำรประกอบ) กบั สำรละลำย  สำรเน้ือผสม หมำยถึง สำรท่ีมองเห็นไม่เป็นเน้ือเดียวกนั มีสมบตั ิไม่เหมือนกนั ทุกส่วน เช่น น้ำโคลน น้ำแกง พริกป่ นกบั เกลือ เป็นตน้  กำรจำแนกสำรโดยใชข้ นำดของอนุภำคเป็นเกณฑ์ แบ่งเป็น  สำรคอลลอยด์ คือ ของผสมที่ประกอบดว้ ยอนุภำคที่มีเส้นผำ่ นศูนยก์ ลำงระหวำ่ ง 10-7 ถึง 10-14 เซนติเมตร เช่น น้ำนม น้ำสลดั ควนั ไฟ เป็ นตน้  สำรละลำย คือ ของผสมท่ีเห็นเป็นเน้ือเดียวกนั ซ่ึงประกอบดว้ ยตวั ทำละลำยและ ตวั ละลำย อนุภำคของตวั ละลำยมีขนำดเส้นผำ่ นศนู ยก์ ลำงนอ้ ยกวำ่ 10-7 เซนติเมตร เช่น น้ำเชื่อม น้ำเกลือ เป็ นตน้  สำรแขวนลอย คือ ของผสมท่ีประกอบดว้ ยอนุภำคที่มีเส้นผำ่ นศนู ยก์ ลำงมำกกวำ่ 10-4เซนติเมตร เม่ือทิ้งไวจ้ ะตกตะกอน เช่น น้ำโคลน น้ำแกง เป็นตน้  กำรจำแนกสำรโดยใชส้ ถำนะของสำรเป็นเกณฑใ์ นกำรจำแนก แบง่ ไดเ้ ป็ น 3 กลุ่มคือ ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส  สำรละลำยกรดมีรสเปร้ียว ซ่ึงไมค่ วรทดสอบกรดโดยกำรชิม เพรำะกรดบำงชนิดเป็ น อนั ตรำยต่อร่ำงกำยมีฤทธ์ิกดั กร่อนเน้ือเยอ่ื ร่ำงกำย  กรดเปล่ียนสีกระดำษลิตมสั จำกสีน้ำเงินเป็นสีแดง ส่วนเบสเปลี่ยนสีกระดำษลิตมสั จำกสีแดงเป็ นสีน้ ำเงิน  อินเดเคเตอร์เป็ นสำรที่ใชท้ ดสอบควำมเป็นกรด-เบสของสำรละลำย เพรำะจะเปล่ียนสี ไปเมื่อถูกกบั กรดหรือเบส มีหลำยอยำ่ ง เช่น ลิตมสั ใชต้ รวจสอบไดแ้ ต่เพยี งวำ่ สำรน้นั เป็นกรด กลำง หรือเบส ส่วนยนู ิเวอร์ซลั อินดิเคเตอร์ ใชต้ รวจหำ pH ของสำรละลำยกรด-เบสได้ แต่ไม่ละเอียดมำกนกั ถำ้ ตอ้ งกำรค่ำท่ีถูกตอ้ งจริง ตอ้ งใชเ้ ครื่องวดั pH(pH meter)  กรดทำปฏิกิริยำกบั เบสจะไดส้ ำรประกอบที่มีฤทธ์ิเป็นกลำงที่เรียกวำ่ เกลือ ซ่ึงเรียก ปฏิกิริยำน้ีวำ่ ปฏิกิริยำสะเทิน  กรดและเบสที่ใชใ้ นชีวติ ประจำวนั มีอยมู่ ำกมำยหลำยชนิด เช่น น้ำส้มสำยชู น้ำมะนำว สบู่ ยำสีฟัน ผงซกั ฟอก ยำลดกรด เป็นตน้ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์

ช้ัน ม.1 เร่ือง สารรอบตัวคะแนนเต็ม 30 คะแนน ********************************************************************* คาส่ัง จงเลอื กคาตอบทถี่ ูกต้องทสี่ ุดเพยี งคาตอบเดียว ( ข้อละ 1 คะแนน ) 1. กำรแบง่ ชนิดของสำรเป็นสำรเน้ือเดียวและสำรเน้ือผสมใชส้ ่ิงใดเป็นเกณฑใ์ นกำรจำแนก ก. อนุภำคของสำร ข. กำรนำไฟฟ้ ำ ค. สมบตั ิทุกส่วนของสำร ง. ควำมสำมำรถในกำรละลำย 2. สมบตั ิของสำรขอ้ ใดตำ่ งไปจำกขอ้ อ่ืน ก. กำรติดไฟ ข. กำรเป็นสนิม ค. กำรนำไฟฟ้ ำ ง. ควำมเป็นกรด - เบส 3. สำรในขอ้ ใดจดั เป็ นสำรเน้ือเดียว ก. น้ำกะทิแป้ งมนั ละลำยน้ำ ข. ทองคำนำก ค. น้ำเช่ือมพริกป่ น ง. คอนกรีตทรำย 4. สำรในขอ้ ใดจดั เป็ นสำรละลำย ก. น้ำเช่ือมนำก ข. เหลก็ น้ำหมึก ค. น้ำเกลือตะกว่ั ง. น้ำอดั ลมทองแดง 5. นกั วทิ ยำศำสตร์ใชส้ ิ่งใดเป็ นเกณฑใ์ นกำรพจิ ำรณำวำ่ สำรใดเป็นตวั ทำละลำยในสำรละลำย ก. มีปริมำณสำรอยมู่ ำกและมีสถำนะเดียวกบั สำรละลำย ข. มีปริมำณสำรอยมู่ ำกและมีสถำนะต่ำงจำกสำรละลำย ค. มีปริมำณสำรอยนู่ อ้ ยและมีสถำนะเดียวกบั สำรละลำย ง. มีปริมำณสำรอยนู่ อ้ ยและมีสถำนะตำ่ งจำกสำรละลำย 6. ขอ้ ใดกล่ำวถูกตอ้ งเก่ียวกบั สำรเน้ือผสม ก.มีสำรผสมมำกกวำ่ 2 ชนิดข้ึนไป ข.มีเน้ือสำรและสมบตั ิตำ่ งกนั ค.น้ำสลดั น้ำเชื่อมเป็นสำรเน้ือผสม ง.เป็นสำรบริสุทธ์ิและมองเห็นเป็นเน้ือเดียวกนั ตลอดทุกส่วน 7.นำของเหลวAจำนวน 20 cm3ผสมกบั ของเหลวB 20 cm3ในหลอดทดลองเขยำ่ แลว้ ทิ้งไว้ สกั ครู่พบวำ่ มีของเหลวBแยกช้นั อยดู่ ำ้ นบน 10 cm3ขอ้ ใดกล่ำวถูกตอ้ ง ก. สำรละลำยที่เกิดข้ึนมีปริมำตร 25 cm3

ข. สำรละลำยท่ีเกิดข้ึนจดั เป็นสำรละลำยไม่อิ่มตวั ค. ของเหลวAและBไม่ละลำยซ่ึงกนั และกนั ง. ของเหลวAเป็นตวั ทำละลำยของเหลวBเป็นตวั ละลำย 8. สำรผสมชนิดหน่ึงมีลกั ษณะมองเห็นเป็นสำร 2 ชนิดแบ่งแยกกนั อยำ่ งชดั เจนเม่ือปล่อยทิง้ ไวจ้ ะ ตกตะกอนนกั เรียนคิดวำ่ สำรดงั กล่ำวคือสำรในขอ้ ใด ก. คอลลอยด์ ข. สำรละลำย ค. สำรบริสุทธ์ิ ง. สำรแขวนลอย 9. สำรในขอ้ ใดเมื่อละลำยน้ำแลว้ จะเปล่ียนสีกระดำษลิตมสั จำกน้ำเงินเป็ นแดง ก. สำรส้มผงซกั ฟอก ข. น้ำข้ีเถำ้ น้ำตำล ค. ดีเกลือน้ำยำลำ้ งหอ้ งน้ำ ง. น้ำมะนำวแก๊สซลั เฟอร์ไดออกไซด์ 10. ขอ้ ใดไมใ่ ช่สมบตั ิของสำรละลำยกรด ก. มีรสเปร้ียว ข. มีคำ่ pH >7 ค. นำไฟฟ้ ำได้ ง. เปล่ียนสีกระดำษลิตมสั จำกสีน้ำเงินเป็ นสีแดง 11. สำรในขอ้ ใดมีสมบตั ิแตกต่ำงไปจำกสำรชนิดอื่น ก. น้ำนม ข. สบ่เู หลว ค. ผงซกั ฟอก ง. แชมพู 12.ขอ้ ใดต่อไปน้ีกล่ำวไดถ้ ูกตอ้ งเก่ียวกบั สำรละลำยเบส ก. มีรสฝำดหรือเฝ่ือน ข. แตกตวั ใหไ้ ฮโดรเจนไอออน ค. มีค่ำ pH = 7 ง. เปลี่ยนสีกระดำษลิตมสั จำกสีน้ำเงินเป็นสีแดง 13. เมื่อใส่สำรกลงไปในสำรขเขยำ่ แลว้ ทิง้ ไวส้ ักครู่ปรำกฏวำ่ สำรกหำยไปดงั น้นั สำรกคือ สำรชนิดใด ก. สำรละลำย ข. ตวั ทำละลำย ค. ตวั ละลำย ง. ตวั หลอมละลำย 14. จำกขอ้ 13สำรขคือสำรชนิดใด ก. สำรละลำย ข. ตวั ทำละลำย

ค. ตวั ถูกละลำย ง. ตวั หลอมละลำย 15. ผลิตภณั ฑท์ ี่ไดจ้ ำกขอ้ 13 เรียกวำ่ อะไร ก. สำรละลำย ข. ตวั ทำละลำย ค. ตวั ถูกละลำย ง. ตวั หลอมละลำย 16. มีสำรอยู่ 3 ชนิดผสมกนั อยสู่ ำรก30% สำรข20% สำรค50% สำรใดเป็นตวั ทำละลำย ก. สำรกอยำ่ งเดียว ข. สำรขอยำ่ งเดียว ค. สำรคอยำ่ งเดียว ง. สำรกและสำรค 17. สำรในขอ้ ใดจดั เป็ นคอลลอยดแ์ ละสำรแขวนลอยตำมลำดบั ก. น้ำแป้ ง น้ำสบู่ ข. น้ำคลอง น้ำเช่ือม ค. น้ำส้มสำยชู ทองเหลือง ง. นมสด น้ำโคลน 18. สำรในขอ้ ใดจดั เป็ นสำรบริสุทธ์ิ ก. วนุ้ กำว ข. หมอกฝ่ นุ ละออง ค. ทองคำ เงิน ง. โคลนน้ำแป้ ง 19. ถำ้ ตอ้ งกำรทดสอบควำมเป็นกรด - เบสของสำรจะใชว้ ธิ ีกำรทดสอบใดจึงจะง่ำยที่สุด ก. ทดสอบสมบตั ิกำรนำไฟฟ้ ำ ข. ทดสอบโดยกำรทำปฏิกิริยำกบั หินปนู ค. ทดสอบโดยทำปฏิกิริยำกบั โลหะหรืออโลหะ ง. ทดสอบดว้ ยกระดำษลิตมสั หรือกระดำษยนู ิเวอร์ซลั อินดิเคเตอร์ 20. สำรในขอ้ ใดนำมำใชใ้ นกำรแช่ผลไมเ้ พอื่ ใหม้ ีควำมแขง็ ก. โซเดียมไฮดรอกไซด์ ข. แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ค. โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ง. แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ 21. ขอ้ ใดเป็นกรดท่ีไดจ้ ำกพืชท้งั หมด ข. น้ำมะนำวกรดแอซีติก ก. น้ำมะนำวกรดไนตริก ง. น้ำมะขำมกรดไฮโดรคลอริก ค. น้ำมะขำมกรดซลั ฟิ วริก ข. มีไดท้ ้งั 3 สถำนะ 22. ขอ้ ใดเป็นสมบตั ิของโลหะ ง. นำไฟฟ้ ำไดด้ ี ก. มีจุดหลอมเหลวต่ำ ค. นำควำมร้อนไม่ดี 23. สำรในขอ้ ใดจดั เป็ นสำรประกอบท้งั หมด

ก. น้ำ เกลือแกง ข. เหล็ก ทองแดง ค. ดีบุก แอมโมเนีย ง. ตะกวั่ ออกซิเจน 24. ขอ้ ใดไมถ่ ูกตอ้ ง ก.เมื่อต้งั ทิ้งไวส้ ำรแขวนลอยจะตกตะกอน ข. คอลลอยดม์ ีขนำดอนุภำคใหญ่กวำ่ สำรแขวนลอย ค. เมื่อลำแสงผำ่ นคอลลอยดจ์ ะเกิดกำรกระเจิงของแสง ง.กำรแยกคอลลอยดแ์ ละสำรแขวนลอยสำมำรถแยกโดยใชก้ ระดำษเซลโลเฟน 25. ชงั่ เกลือแกง 15 กรัม ใส่ลงในบีกเกอร์ จำกน้นั รินน้ำใส่ลงในบีกเกอร์จนมีปริมำตรของ สำรละลำยเป็น 150 ลูกบำศกเ์ ซนติเมตร สำรละลำยเกลือแกงที่เตรียมไดม้ ีควำมเขม้ ขน้ ร้อยละ เท่ำใดโดยมวล / ปริมำตร ก. ร้อยละ 10 ข. ร้อยละ 11 ค. ร้อยละ 12 ง. ร้อยละ 15 26. ของเหลวใส ไมม่ ีสี เม่ือนำไประเหยแหง้ จะมีผงสีขำวเหลืออยู่ ของเหลวน้ีควรจดั เป็ นสำรใด ก. สำรเน้ือเดียว ข. สำรเน้ือผสม ค. สำรละลำย ง. สำรบริสุทธ์ิ 27. เพรำะเหตุใดสบู่ น้ำยำลำ้ งจำน แชมพสู ระผม จึงสำมำรถชำระลำ้ งส่ิงสกปรกตำ่ ง ๆ ไดด้ ี ก. สบู่ น้ำยำลำ้ งจำน แชมพสู ระผม ทำใหไ้ ขมนั รวมตวั กบั น้ำไดด้ ี ข. สบู่ น้ำยำลำ้ งจำน แชมพสู ระผม มีสำรกำจดั สิ่งสกปรกใหห้ ลุดออก ค. สบู่ น้ำยำลำ้ งจำน แชมพสู ระผม มีควำมลื่นจึงทำใหไ้ ขมนั หลุดออก ง. สบู่ น้ำยำลำ้ งจำน แชมพสู ระผมเป็นสำรท่ีมีฟองมำกจึงกำจดั ส่ิงสกปรกได้ 28. ขอ้ ใดไมถ่ ูกตอ้ ง ก. กำรคน กำรเขยำ่ จะทำใหต้ วั ละลำย เกิดกำรละลำยไดด้ ีและเร็วข้ึน ข. ตวั ละลำยท่ีมีขนำดใหญจ่ ะละลำยไดช้ ำ้ กวำ่ ตวั ละลำยท่ีมีขนำดเลก็ ค. ตวั ละลำยแต่ละชนิดจะสำมำรถละลำยไดด้ ีในตวั ทำละลำยท่ีตำ่ งกนั ง. ถำ้ ตวั ละลำยเป็นแกส๊ เมื่อมีควำมดนั สูงข้ึน จะทำใหแ้ กส๊ ละลำยไดด้ ีข้ึน 29. สำรละลำยขวดหน่ึง ฉลำกไดห้ ลุดหำยไป เม่ือนำกระดำษลิตมสั สีน้ำเงินจุม่ ลงไป ปรำกฏวำ่ ยงั คงเป็นสีเดิม สำรละลำยน้ีมีสมบตั ิอยำ่ งไร ก. เป็นกรด ข. เป็นเบส

ค. เป็นกลำง ง. อำจเป็ นเบสหรือเป็ นกลำง 30. บุคคลใดปฏิบตั ิตนไดถ้ ูกตอ้ งในกำรใชส้ ำรละลำยกรดหรือเบส ก.ดำสวมถุงมือ และ รองเทำ้ เม่ือใชส้ ำรละลำยกรดลำ้ งหอ้ งน้ำ ข.นอ้ ยทิ้งภำชนะที่บรรจุเบสที่มีฤทธ์ิรุนแรงลงในแหล่งน้ำ ค. แม่ใชน้ ้ำมะนำวในกำรปรุงแกงส้มดอกแค ปริมำณมำก ง. พอ่ คำ้ ขำยก๋วยเตี๋ยวใชก้ รดกำมะถนั ผสมกบั น้ำทำเป็นน้ำส้มสำยชู

บทที่ 3 สารละลาย สารละลาย 1. ความหมายสารละลายเเละองคป์ ระกอบของสารละลาย สารละลาย (solution) หมายถงึ สารเน้ือเดียวท่ีไมบ่ ริสุทธิ์ เกิดจากสารต้ังแต่ 2 ชนดิ ขึ้นไปมารวมกนั สารละลายแบ่งสว่ น 1. ตวั ทาละลาย (solvent) หมายถึง สารทม่ี ีความสามารถ ในการทาใหส้ ารต่างๆ ละลายได้ โดยไม่ทาปฏิกริ ิยาเคมีกบั สาร 2. ตัวละลาย (solute) หมายถงึ สารทถ่ี กู ตวั ทาละลายละลายใหก้ ระจายออกไปท่วั ในตัวทาละลายโดยไม่ทาปฏกิ ริ ยิ าเคมตี สารละลายมที งั้ 3 สถานะ คือ สารละลายของแข็ง สารละลายของเหลว และสารละลายแก๊ส สารละลายของแขง็ หมายถึง สารละลายที่มตี ัวทาละลายมีสถานะเป็นของแขง็ เช่น ทองเหลอื ง นาก โลหะบัดกรี สัมฤทธ สารละลายของเหลว หมายถึง สารละลายทีม่ ีตวั ทาละลายมีสถานะเป็นของเหลว เชน่ น้าเช่ือม นา้ หวาน น้าเกลอื นา้ ปลา สารละลายแกส๊ หมายถึงสารละลายทีม่ ตี วั ทาละลายมสี ถานะเป็นแกส๊ เชน่ อากาศ แก๊สหงุ ต้ม ลูกเหมน็ ในอากาศ ไอน้าใน ตัวละลายแตล่ ะชนดิ จะใช้ตวั ทาละลายทแ่ี ตกต่างกนั ทัง้ น้ีข้ึนอยกู่ ับความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตัวทาละลายและตวั ถกู ละลาย ซ - เกลือ น้าตาลทราย สผี สมอาหาร จุนสี สารส้ม กรดเกลือ กรดกามะถัน ใช้น้าเป็นตัวทาละลาย - โฟม ยางพารา พลาสตกิ ใช้น้ามนั เบนซนิ เปน็ ตวั ทาละลาย - สนี ้ามนั โฟม พลาสตกิ แลคเกอร์ ใช้ทินเนอรเ์ ป็นตวั ทาละลาย - สนี ้ามันใช้น้ามันสนเปน็ ตัวทาละลาย การละลายของสารในตัวทาละลาย เราสามารถทราบได้วา่ สารละลายแตล่ ะชนดิ น้นั มีสารใดเป็นตัวทาละลายและมสี ารใดเป็นตวั ละลาย โดยมีวธิ กี ารสงั เกตตัว 1. ใชส้ ถานะของสารละลายเปน็ เกณฑ์ ถ้าสารละลายนน้ั เกิดจากสารทมี่ สี ถานะตา่ งกันละลายเป็นเนอื้ เดียวกัน สารใดท่มี ีส - น้าเกลือ ประกอบดว้ ยน้าเป็นตวั ทาละลายและเกลอื เป็นตัวละลาย - นา้ เชอื่ ม ประกอบดว้ ยนา้ เป็นตัวทาละลายและนา้ ตาลทรายเปน็ ตวั ละลาย - นา้ ดา่ งทบั ทมิ ประกอบน้าเปน็ ตัวทาละลายและด่างทับทิมเปน็ ตัวละลาย - นา้ อัดลม ประกอบดว้ ยน้าเป็นตวั ทาละลายและแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์เปน็ ตัวละลาย

รปู แสดงนา้ อดั ลมซง่ึ เปน็ สารละลาย 2. ใชป้ รมิ าณของสารแตล่ ะชนดิ เปน็ เกณฑ์ ถ้าสารละลายนั้นเกิดจากสารท่ีมสี ถานะเดียวกันละลายเป็นเนื้อเดยี วกนั สารใด - ทองเหลือง ประกอบดว้ ยทองแดงเป็นตัวทาละลายและสังกะสเี ป็นตัวละลาย - นโิ ครม ประกอบด้วยนกิ เกิลเป็นตวั ทาละลายและโครเมยี มเป็นตัวละลาย - นาก ประกอบดว้ ยทองแดงเปน็ ตัวทาละลายและทองคาเปน็ ตัวละลาย - สมั ฤทธิ์ ประกอบด้วยทองแดงเป็นตวั ทาละลายและดบี ุกเป็นตัวละลาย รปู แสดงเครือ่ งดนตรที ี่ทาด้วยทองเหลือง ความเขม้ ข้นของสารละลาย

ความเข้มขน้ ของสารละลาย คอื ปรมิ าณของสารทเี่ ป็นตัวละลายซงึ่ ละลายอยูใ่ นสารละลาย 1. ร้อยละ (percent) แบง่ ออกเป็นดงั นี้ 1) ร้อยละโดยมวล (w/w) บอกถึงมวลของตวั ละลายทลี่ ะลายในสารละลาย 100 หน่วยมวล เชน่ สารละลายน้าเช่อื มเข้มข 2) ร้อยละโดยปริมาตร (v/v) บอกถึงปริมาตรของตวั ละลายทีล่ ะลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตร เช่น สารละลายเอ ประกอบด้วยเอทานอล 15 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร 3) รอ้ ยละโดยมวลต่อปริมาตร (w/v) บอกถึงมวลของตวั ละลายในสารละลาย 100 หนว่ ยปรมิ าตร เช่น สารละลายเกลือแ 2. สว่ นในพันสว่ น (part per thousand ; ppt) เป็นหน่วยทบ่ี อกมวลของตัวละลายทมี่ ปี รมิ าณน้อย ละลายในสารละลาย 3. สว่ นในล้านส่วน (part per million ; ppm) เปน็ หน่วยท่บี อกมวลของตวั ละลายทมี่ ปี รมิ าณนอ้ ยมาก ละลายในสารละ หมายความว่า ในเน้ือปลา 1 ล้านกรมั จะมีปรอทอยู่ 0.2 กรมั 4. การบอกความเข้มข้น โดยดจู ากปรมิ าณตวั ละลายในสารละลาย แบ่งได้เปน็ ดงั น้ี 1) สารละลายเขม้ ข้น คอื สารละลายทมี่ ปี รมิ าณตัวละลาย ละลายในสารละลายมาก เมื่อเทยี บกบั ตัวทาละลาย 2) สารละลายเจอื จาง คอื สารละลายท่ีมปี รมิ าณตวั ละลาย ละลายในสารละลายนอ้ ย เมื่อเทยี บกับตวั ทาละลาย ตวั อยา่ งการหาความเข้มขน้ ของสารละลาย เช่น ตัวอยา่ งท่ี 1 มีโซเดยี มไฮดรอดไซด์ (NaOH) 20 กรัม เติมน้าจนมปี รมิ าตรเปน็ 200 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร สารละลายนเี้ ขม้ วธิ ีทา ในสารละลาย 200 ลกู บาศก์เซนติเมตร มี NaOH 2 กรมั ในสารละลาย 100 ลูกบาศก์เซนติเมตรมี NaOH (2x100)/200 = 1 กรมั (ต้องเทยี บกบั 100 เพอื่ หาร้อยละของตวั ละลาย) ดงั นน้ั สารละลาย NaOH เข้มขน้ รอ้ ยละ 1 โดยมวลต่อปรมิ าตร ตวั อย่างที่ 2 มเี อทานอล 20 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร เติมนา้ ไป 15 ลูกบาศก์เซนติเมตร สารละลายเข้มขน้ ร้อยละเท่าใดโดยป วิธที า ในสารละลาย 35 ลูกบาศก์เซนติเมตร มเี อทานอล 20 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร ในสารละลาย 100 ลกู บาศก์เซนติเมตร มีเอทานอล (20x100)/300 = 57.14 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร ดังนั้น สารละลายเอทานอลเข้มขน้ ร้อยละ 57.14 การเตรยี มสารละลาย ในการเตรียมสารละลายนัน้ จะตอ้ งใชป้ ริมาณของตัวทาละลายและตัวละลายให้สอดคล้องกับปริมาณของสารละลายท่ตี อ้ ง ตวั อย่างการเตรยี มสารละลาย + การนาสารบรสิ ทุ ธ์ิมาทาใหเ้ ป็นสารละลาย เชน่ การเตรียมสารละลายจุนสที ่ีมีความเข้มขน้ 7 กรมั ต่อ 100 ลูกบาศกเ์ ซน วธิ กี ารเตรยี มคอื นาจุนสี 7 กรัม ใส่ลงในบกี เกอรข์ นาด 200 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร แลว้ เติมนา้ กล่นั 100 ลูกบาศกเ์ ซนติเมต + การนาสารละลายทีม่ ีอยู่แล้วมาทาใหเ้ จอื จาง เช่น การเตรยี มสารละลายจุนสที ม่ี ีความเข้มขน้ 5 กรมั ตอ่ 100 ลูกบาศก์เ วิธกี ารเตรยี มคอื นาสารละลายจนุ สีทม่ี คี วามเข้มข้น 10 กรัมต่อ 100 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร เทลงในบีกเกอร์ขนาด 200 ลกู เขม้ ข้น 10 กรัมต่อ 200 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือ 5 กรัมต่อ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร + การทาให้เป็นสารละลายที่มีความเข้มขน้ หน่ึงในพนั สว่ น (part per thousand หรือ ppt) -----วธิ กี ารเตรยี มคอื 1. เตรียมสารละลายท่ีมีความเขม้ ขน้ 10 กรัมต่อ 100 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร แล้วใส่ไวใ้ นบีกเกอรใ์ บที่ 1 2. นาบกี เกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตรมาอีก 3 ใบ ใสน่ ้าไว้ใบละ 9 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร 3. นาสารละลายในข้อ 1 มา 1 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร ใส่ลงในบกี เกอรใ์ บท่ี 2 ใชแ้ ทง่ แก้วคนให้เขา้ กนั 4. นาสารละลายในข้อ 3 มา 1 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร ใส่ลงในบีกเกอรใ์ บท่ี 3 ใช้แทง่ แกว้ คนใหเ้ ข้ากัน 5. นาสารละลายในข้อ 4 มา 1 ลกู บาศก์เซนติเมตร ใสล่ งในบีกเกอรใ์ บที่ 4ใชแ้ ทง่ แกว้ คนใหเ้ ขา้ กนั จะได้สารละลายท่ีมีคว

สารละลายอม่ิ ตัวและสารละลายไม่อ่ิมตวั ในการเตรียมสารละลายโดยการนาตวั ทาละลายและตวั ละลายมารวมกนั เราอา จากรูป สารละลายนา้ ตาลประกอบด้วยนา้ เปน็ ตวั ทาละลายและน้าตาลเปน็ ตวั ละลาย เม่อื เราค่อยๆ เติมนา้ ตาลครง้ั ละ 1 ละลายได้ไมห่ มด น้าตาลยังละลายในสารละลายไดอ้ ีกกต็ ่อเม่ือสารละลายไม่อมิ่ ตวั หรอื ตวั ทาละลายสามารถละลายตัวละลายไดอ้ ีก การท่นี า้ ตาลไมส่ ามารถละลายต่อได้อกี กเ็ พราะวา่ สารละลายอ่มิ ตัวหรอื ตัวทาละลายไมส่ ามารถละลายตัวละลายได้อีก สารละลายเข้มขน้ และสารละลายเจือจาง สารละลายเกิดจากการรวมตัวกันระหวา่ งตัวทาละลายและตวั ละลาย อตั ราส่วน 1. สารละลายเข้มข้น เปน็ สารละลายทม่ี ปี ริมาณของตัวละลายอยูม่ ากในสารละลาย 2. สารละลายเจือจาง เปน็ สารละลายท่ีมีปรมิ าณของตวั ละลายอยู่นอ้ ยในสารละลาย ตัวอย่างการเปรยี บเทียบความเข้มข้นของสาร - สารละลายน้าเกลอื A ประกอบด้วยน้า 90 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร และเกลอื 10 กรัม - สารละลายน้าเกลอื B ประกอบด้วยน้า 80 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร และเกลือ 20 กรัม - สารละลายน้าเกลอื C ประกอบดว้ ยนา้ 70 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร และเกลอื 30 กรมั จากตัวอยา่ งจะเหน็ ได้วา่ สารละลายน้าเกลือ C มีความเขม้ ข้นมากกว่าสารละลายนา้ เกลือ A และ B และสารละลายนา้ เกล 2. ความเข้มขน้ ของสารละลาย ความเข้มข้นของสารละลาย ความเขม้ ข้นของสารละลายเป็นคา่ ที่บอกให้ทราบว่าในสารละลายหนง่ึ ๆ มีปริมาณตัวถูกละลายจานวนเท่าไหร่ และการบ 1. ร้อยละ แบง่ ออกได้เปน็ 3 ลักษณะ คอื 1.1 ร้อยละโดยมวลตอ่ มวล(%W/W) หรือเรยี กสนั้ ๆ ว่ารอ้ ยละโดยมวล เป็นหน่วยทบี่ อกมวลของตวั ถูกละลายที่มอี ยใู่ นส มวล หมายความว่า ในสารละลายยูเรีย 100 กรัม มียเู รียละลายอยู่ 25 กรมั หรือในสารละลายยูเรีย 100 กิโลกรัม มียูเรยี

1.2 รอ้ ยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร(%V/V) หรือเรยี กส้ันๆ วา่ รอ้ ยละโดยปรมิ าตร เป็นหนว่ ยท่บี อกปริมาตรของตวั ถูกละ เดซเิ มตร (dm3) หรอื ลติ ร) เช่น สารละลายเอทานอลในน้าเขม้ ข้นร้อยละ 20 โดยปรมิ าตร หมายความว่าในสารละลาย 1 1.3 ร้อยละโดยมวลตอ่ ปริมาตร(%W/V) เปน็ หน่วยทบ่ี อกมวลของตัวถูกละลายที่มอี ยู่ในสารละลาย 100 หน่วยปรมิ าตร ( กโิ ลกรมั ตอ่ ลูกบาศกเ์ ดซเิ มตร (kg/dm3) เป็นตน้ ) เชน่ สารละลายกลโู คสเข้มข้นร้อยละ 30 โดยมวลต่อปรมิ าตร หมายคว กลโู คสละลายอยู่ 30 กิโลกรมั 2. โมลต่อลูกบาศกเ์ ดซเิ มตร หรอื โมลารติ ี (mol/dm3 or Molarity) เนือ่ งจาก 1 ลูกบาศก์เดซิเมตรมีค่าเท่ากบั 1 ลติ ร จงึ อนุโลมให้ใช้โมลตอ่ ลติ ร (mol/l) หรือเรียกวา่ โมลาร์ (Molar) ใชส้ ัญ สารละลายโซเดียมคลอไรตเ์ ข้มขน้ 0.5 mol/dm3 (0.5 M) หมายความวา่ ในสารละลาย 1 dm3 มโี ซเดียมคลอไรต์ละลา 3. โมลตอ่ กิโลกรัมหรือโมแลลิตี (mol/kg molality) หนว่ ยนอี้ าจเรยี กวา่ โมแลล (Molal) ใช้สญั ลักษณ์ “m” เปน็ หนว่ ยค เช่น สารละลายกลโู คสเขม้ ข้น 2 mol/kg หรอื 2 m หมายความวา่ มกี ลูโคส 2 mol ละลายในน้า 1 kg หมายเหตุ สารละลายหน่ึงๆ ถ้าไม่ระบุชนดิ ของตวั ทาละลาย แสดงว่ามนี ้าเป็นตัวทาละลาย 4. ส่วนในลา้ นส่วน (ppm) เป็นหน่วยความเขม้ ข้นที่บอกให้ทรายวา่ ในสารละลาย 1 ลา้ นส่วนมตี ัวถกู ละลาย ละลายอยู่ก่ีส ลา้ นส่วน มี CO อยู่ 0.1 ส่วน (เช่น อากาศ 1 ลา้ นลกู บาศก์เซ็นตเิ มตร มี CO 0.1 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร) 5. เศษส่วนโมล (mole fraction) เป็นหนว่ ยทแี่ สดงสัดส่วนโดยจานวนโมลของสารทเ่ี ป็นองค์ประกอบในสารละลายตอ่ จา 3. สมบตั กิ ารเปน็ กรด-เบสของสารละลาย สารละลายกรด - เบส สมบตั ิของสารละลายกรด - เบส สารละลายกรด (Acid) หมายถงึ สารประกอบท่มี ีธาตุไฮโดรเจนเปน็ องค์ประกอบ เมื่อละลายนา้ สามารถแตกตวั ให้ไฮโ สารละลายเบส (Base) หมายถงึ สารประกอบที่ละลายนา้ แล้วแตกตวั ใหไ้ ฮดรอกไซด์ไอออน (OH-) สมบัตขิ องสารละลายกรด สารละลายกรดมสี มบตั ิทั่วไป ดังนี้ 1. กรดทุกชนิดจะมรี สเปร้ยี ว กรดชนิดใดมีรสเปรี้ยวมากแสดงวา่ มีความเปน็ กรดมาก เชน่ กรดแอซีติกทเี่ ข้มขน้ มากจ ต่อปริมาตร (กรดแอซีติก 5 กรัม ละลายในนา้ 100 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร) เพ่ือให้มรี สเปรยี้ วน้อยพอเหมาะกับการปรุงอาห

2. เปล่ยี นสขี องกระดาษลติ มัสจากสีน้าเงินเป็นสีแดง สาหรับกระดาษลติ มสั เป็นอนิ ดเิ คเตอร์ชนดิ หนึ่งที่ใช้ทดสอบคว 3. กรดทาปฏิกริ กิ ับโลหะบางชนดิ เชน่ ทองแดง สงั กะสี แมกนเี ซยี ม ดบี ุก และอลูมิเนียม ได้แกส๊ ไฮโดรเจน (H2) เม ข้ึนมาจากสารละลายกรดอยา่ งต่อเน่ือง ซง่ึ จะสังเกตเห็นไดง้ ่าย และเนอ่ื งจากแก๊สไฮโดรเจนเปน็ แก๊สท่เี บากวา่ อากาศ จึงม นอกจากนีก้ รดจะทาปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด เช่น ทองคา ทองคาขาว เงนิ ปรอท ได้ชา้ มากหรืออาจไม่เกิดปฏิกิรยิ า 4. กรดทาปฏิกิริยากบั เบสได้เกลือและน้า เชน่ กรดเกลอื ทาปฏิกริ ยิ ากบั โซเดียมไฮดรอกไซดซ์ งึ่ เปน็ เบส ไดเ้ กลือโซเด 5. กรดสามารถเกดิ ปฏกิ ิริยากับหินปนู ซ่งึ เป็นสารประกอบแคลเซียมคารบ์ อเนต ทาให้เกดิ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ โด ของแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในน้า) ซง่ึ จะทาใหน้ ้าปนู ใสข่นุ ทันที เนอ่ื งจากแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ะทาปฏกิ ิริยากบั แคลเซยี 6. สารละลายกรดทกุ ชนิดนาไฟฟ้าได้ดี เพราะกรดสามารถแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H+) 7. กรดทุกชนดิ มคี ่า pH นอ้ ยกวา่ 7 8. กรดมีฤทธ์ิกดั กรอ่ นสารต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะเน้ือเยื่อของสิง่ มีชวี ติ ถ้ากรดถกู ผวิ หนังจะทาให้ผิวหนงั ไหม้ ปวดแสบ เน้ือไม้ กระดาษ และพลาสติกบางชนิดไดด้ ว้ ย สมบัตขิ องสารละลายเบส สารละลายเบสมีสมบตั ทิ ั่วไป ดงั นี้ 1. เปลยี่ นสีของกระดาษลิตมัสจากสีแดงเปน็ สีน้าเงนิ 2. เบสทาปฏิกริ ยิ ากบั กรดจะได้เกลอื และนา้ ตวั อย่างเช่น สารละลายโซดาไฟ (โซเดียมไฮดรอกไซด์) ทาปฏิกริ ิยากับก ทาปฎิกริ ิยากับกรดไขมนั ไดเ้ กลอื โซเดียมของกรดไขมนั หรอื ทเี่ ราเรยี กวา่ สบู่ (Soap) 3. เบสทาปฏิกิริยากบั สารละลายแอมโมเนียมไนเดรตไดแ้ กส๊ แอมโมเนีย ซึง่ เรานามาใชด้ มเมอื่ เปน็ ลม 4. เบสทุกชนดิ มีค่า pH มากกวา่ 7 สามารถกดั กร่อนโลหะอลูมเิ นียม และสังกะสี ทาใหม้ ีฟองแก๊สเกิดขน้ึ 4. สารท่ใี ช้ในการทาความสะอาด สารทาความสะอาด ความหมายของสารทาความสะอาด หมายถงึ คณุ สมบัติในการกาจดั ความสกปรกต่างๆ ตลอดจนฆา่ เช้อื โรค ประเภทของสารทาความสะอาด แบ่งตามการเกิด ได้ 2 ประเภท คือ

1. ไดจ้ ากการสงั เคราะห์ เช่น น้ายาล้างจาน สบูก่ อ้ น สบ่เู หลว แชมพสู ระผม ผงซกั ฟอก สารทาความสะอาดพื้น เปน็ ตน้ 2. ไดจ้ ากธรรมชาติ เชน่ นา้ มะกรูด มะขามเปยี ก เกลือ เป็นต้น แบ่งตามวตั ถุประสงค์ในการใช้งานเป็นเกณฑ์ แบ่งออกได้เปน็ 4 ประเภท คอื 1. สารประเภททาความสะอาดร่างกาย ได้แก่ สบู่ แชมพสู ระผม เป็นต้น 2. สารประเภททาความสะอาดเสอ้ื ผา้ ไดแ้ ก่ สารซกั ฟอกชนดิ ต่างๆ 3. สารประเภททาความสะอาดภาชนะ ไดแ้ ก่ นา้ ยาล้างจาน เป็นต้น 4. สารประเภททาความสะอาดหอ้ งนา้ ได้แก่ สารทาความสะอาดห้องน้าท้ังชนิดผงและชนิดเหลว สมบตั ขิ องสารทาความสะอาด สารทาความสะอาด เช่น สบู่ แชมพูสระผม สารลา้ งจาน สารทาความสะอาดห้องน้า สารซักฟอก บางชนิดมสี มบ สารทาความสะอาดห้องนา้ และเคร่ืองสุขภณั ฑ์บางชนิดมสี มบัติเป็นกรด สามารถกัดกร่อนหินปูนทยี่ าไวร้ ะหว่าง ออกมาด้วย ถ้าใชส้ ารชนิดนไี้ ปนานๆ พน้ื และฝาหอ้ งนา้ จะสึกกรอ่ นไปด้วย นอกจากนี้ ยังทาให้ผ้ใู ช้เกิดความระคายเคืองข คาแนะนาการใช้อย่างเคร่งครัดและต้องใช้ในปริมาณท่เี หมาะสม การใช้ในปริมาณมากเกินไป ไม่ไดห้ มายความว่าจะช่วยท สารทาความสะอาดห้องน้าและเครื่องสุขภัณฑ์ 5. ความปลอดภัยในการใชส้ ารในชีวติ ประจาวัน ในปัจจบุ ันปัญหาทางด้านความปลอดภัยมบี ทบาทและความสาคญั กับวยั รนุ่ เปน็ อย่างมากเนอ่ื งจากวัยรนุ่ เป็นวัยท่ีชอบเข้า รูปแบบ ท้งั ในเร่ืองเก่ียวกับการใช้ยา สารเสพติด ความปลอดภัยในการเดินทาง อบุ ตั ิเหตจุ ากกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งภัย เหลา่ น้ีมีผลกระทบต่อสุขภาพท้งั ส้ิน เราจึงควรตระหนักและเหน็ คุณคา่ ของการมีพฤติกรรมสขุ ภาพท่ดี ี โดยการสร้างเสรมิ สารเคมใี นชวี ิตประจาวัน ในชีวิตประจาวัน เราจะตอ้ งเก่ยี วขอ้ งกบั สารหลายชนดิ ซงึ่ มลี กั ษณะแตกต่างกนั สารทใี่ ช้ในชวี ติ ประจาวันจะมีสารเคมีเป สารแตง่ สอี าหาร สารทาความสะอาด สารกาจดั แมลงและสารกาจดั ศตั รูพืช เป็นตน้ ในการจาแนกสารเคมเี ปน็ พวกๆ นั้นเ วัตถปุ ระสงค์ในการใช้เปน็ เกณฑ์การจาแนก ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้ 1. สารปรุงแตง่ อาหารู้ 1.1 ความหมายสารปรงุ แต่งอาหาร สารปรงุ แต่งอาหาร หมายถึง สารปรุงรสอาหารใชใ้ สใ่ นอาหารเพอื่ ทาให้อาหารมีรสดีขึ้น เช่น นา้ ตาล น้าปลา น้าส้มสายช - นา้ ตาล ให้รสหวาน - เกลือ นา้ ปลา ใหร้ สเค็ม - น้าส้มสายชู น้ามะนาว ซอสมะเขือเทศ ใหร้ สเปรยี้ ว 1.2 ประเภทของสารปรุงแต่งอาหาร แบ่งเปน็ 2 ประเภท คอื 1. ไดจ้ ากการสงั เคราะห์ เช่น น้าส้มสายชู น้าปลา ซีอวิ๊ ซอสมะเขือเทศ เปน็ ต้น 2. ไดจ้ ากธรรมชาติ เช่น เกลอื น้ามะนาว น้ามะขามเปียก อญั ชนั เป็นต้น 1.3 การทดสอบสมบตั ขิ องสาร นอกจากสารปรุงรสอาหารจะช่วยใหอ้ าหารมีรสดขี น้ึ แล้วยงั มีสมบัตคิ วามเปน็ กรด เป็นเบสต่างกัน สามารถทดสอบได้โดย เปลี่ยนเป็นสีแดง สารบางชนิดทาให้กระดาษลิตมัสสีแดงเปลีย่ นเปน็ สีนา้ เงิน แต่บางชนิดไม่ทาให้เกิดการเปลย่ี นแปลงสาร สามารถเปลยี่ นสกี ระดาษลติ มัสจากสนี ้าเงินเปน็ สีแดงจัดว่าเป็นสารทมี่ สี มบตั เิ ป็นกรด และสารท่ีไม่เปล่ียนสกี ระดาษลิตมัส เม่ือนาสารปรงุ รสอาหารมาทดสอบหาสมบตั ิความเปน็ กรด เปน็ เบสสามารถจาแนกได้ว่า - น้ามะนาว นา้ มะขามเปียก นา้ ส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ มีสมบัตเิ ปน็ กรด - นา้ ปลา เกลอื น้าตาล มสี มบตั ิเปน็ กลาง - สารปรุงรสอาหารสว่ นใหญไ่ ม่มีสมบตั คิ วามเปน็ เบส

ในการจาแนกสมบตั คิ วามเป็นกรด เปน็ เบสของสารต่าง ๆ นิยมใชก้ ระดาษลิตมสั แต่ถา้ ไม่มีกระดาษลติ มสั สแี ดงและสนี า้ เ ออก เอาน้าสีท่ไี ด้มาใช้ทดสอบกรด-เบส แล้วสงั เกตการเปลยี่ นแปลงของสี นอกจากพืชดงั กล่าวแลว้ ในท้องถิ่นยงั อาจมีพชื ชนดิ อืน่ ๆ อีกท่ใี ช้ทดสอบความเป็นกรด-เบสได้ ในการนาพืชมาใชท้ ดสอบค เป็นเบส เช่น ใช้น้ามะนาวซง่ึ เปน็ กรด และสารละลายผงฟซู ่ึงเปน็ เบสก่อนท่จี ะนาไปใช้ โดยทว่ั ไปการทดสอบกรด-เบส ไมค่ วรใชภ้ าชนะที่เปน็ พลาสตกิ ควรใช้ภาชนะทเี่ ป็นแกว้ เน่อื งจากอาจทาใหเ้ กิดปฏกิ ริ ิยาท ใช้จานหลมุ พลาสติกได้ 1.4 ตัวอยา่ งของสารปรุงแต่งอาหาร 1) นา้ สม้ สายชู เป็นสารเคมที ่ีใช้ปรงุ อาหาร ทาใหส้ ารอาหารมรี สเปร้ียว มี 2 ชนิด คือ อาจจาแนกได้ดงั น้ี 1. นา้ ส้มสายชแู ท้ ไดจ้ ากการหมักธญั พืชหรือผลไม้ มที ั้งชนิดกลนั่ และชนดิ ไม่กล่ันสารที่เปน็ กรดน้ัน จะทาปฏกิ ริ ยิ ากับโลห และในการใชน้ ้าส้มสายชูแท้หรอื น้าส้มสายชูเทียมท่มี คี วามเข้มขน้ มาก ปรงุ รสอาหารก็จะเปน็ อนั ตรายแก่ร่างกายไดเ้ ช่นเด มะขามเปยี กซ่ึงไดจ้ ากธรรมชาตแิ ทนจะปลอดภยั กวา่ 2. นา้ สม้ สายชูเทยี ม ไดจ้ ากการนากรดน้าสม้ มาผสมนา้ เพื่อทาใหเ้ จอื จาง (ส่วนนา้ ส้มสายชปู ลอม ทามาจากกรดกามะถันห อันตรายต่อร่างกาย ทาใหก้ ระเพาะอาหารเป็นแผล) การเลือกซื้อน้าส้มสายชู 1. ศกึ ษาฉลาก ช่ือสามัญทางการค้า เคร่ืองหมายการค้า เลขทะเบยี นอาหาร เคร่อื งหมายมาตรฐานการค้า ผผู้ ลติ ผ้แู ทนจ 2. สังเกตความใสไมม่ ีตะกอนขวดและฝาขวดของนา้ สมสายชูไมส่ กึ กร่อน ผลกึ สขี าวรูปร่างคล้ายกระดกู ของผงชรู ส วธิ กี ารทดสอบน้าส้มสายชู 1) นาน้าสมสายชทู ่ีสงสัยใสภ่ าชนะ หยดนา้ ยาเยนเชยี นไวโอเลตสีม่วงลงไปในน้าส้มสายชู ถ้าไม่เปลยี่ นสเี ปน็ นา้ ส้มสายชแู การเปลย่ี นสี ถ้านา้ ส้มสายชูปลอมผกั ชีจะเปลยี่ นสเี ป็นสีเหลือและจะไหม้อยา่ งรวดเร็ว 2) นา้ ปลา เปน็ สารเคมีที่ใช้ปรุงอาหาร ทาให้อาหารมรี สเค็ม มี 2 ชนดิ คือ 1. น้าปลาแท้ ไดจ้ ากการหมักปลากับเกลือเป็นเวลานาน จนได้นา้ ปลาใส สนี า้ ตาลแดง มีกล่นิ คาว ของปลามาก ใหโ้ ปรตนี 2. น้าปลาผสม ทาจากกากปลาท่ีเหลอื จากการหมักนา้ ปลาแทผ้ สมกับนา้ เกลอื แตง่ สดี ้วยน้าตาล เค่ยี วไหม้ หรือของเหลวท การเลือกซื้อนา้ ปลา ควรศึกษารายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ 1. ต้องมีตราสนิ ค้าและทีอ่ ยู่ของผผู้ ลติ ชดั เจน 2. ผา่ นการตรวจสอบจากสานกั งานอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข หรอื มาตรฐาน มอก. 3. ระบุวธิ เี กบ็ รักษา 4. ระบุวันทผี่ ลติ และหมดอายุ 3) ผงชรู ส มชี ือ่ ทางเคมีว่า โมโนโซเดยี มกลูตาเมท (Monosodium glutamate) หรือ เรยี กย่อว่า MSG. มีพลึกสขี าวเป็นแทง่ คล้ายก ปลอมวางขายตามท้องตลาด ซ่งึ ผงชรู สปลอมจะเป็นอันตรายตอ่ สุขภาพได้ ดงั นัน้ จงึ ควรเลือกซื้ออยา่ งระมัดระวงั ผงชรู สจะมลี ักษณะรูปร่างดังน้ี • เป็นผลึกสขี าวคอ่ นข้างใส ไมม่ คี วามวาว • เป็นแทง่ สเี หลี่ยม ไมเ่ รยี บ ปลาข้างใดขา้ งหนึ่งเล็กคล้ายรูปกระบอง • เป็นแทง่ สีเหลี่ยม ไม่เรยี บ แต่ปลายทงั้ สองขา้ งใหญ่คอดตรงกลางคล้ายรูปกระดูก

ผงชรู สมคี ณุ สมบตั ิละลายไดด้ ีในน้า ทัง้ ยังชว่ ยละลายไขมนั ให้ผสมกลมกลืนกับน้า มรี สเหมอื นนา้ ต้มเนอ้ื สามารถกระตุ้นปมุ่ ปลายประสาทโคนลิน้ กับลาคอ ทาใหร้ สู้ ึกอร่อยขึ้นได้ การทดสอบสารปลอมปน 1) บอแรกซ์ บอแรกซ์ เป็นผลกึ ค่อนข้างกลม สขี าวข่นุ คล้ายผงชรู สหัก บอแรกซ์มีพิษสะสม ี่กรวยไต และเปน็ อนั ตรายถึงตายถ้าบริโภค การตรวจสอบหาบอแรกซ์ในผงชูรส ทสี่ งสัยประมาณเม็ดถั่วเขยี วละลายนา้ 1 ช้อนกาแฟ แล้วนากระดาษขม้ินจุม่ ลงไป ถ้า สนี า้ ตาลแดง หรือสีคลา้ ทนั ที ( วธิ ที ากระดาษขมิน้ ใชผ้ งขม้ินประมาณ 1 ชอ้ นกาแฟ ผสมอลั กอฮอลห์ รอื สุราขาวประมาณ เหลอื งอ่อน) 2) โซเดียมเมตาฟอสเฟต โซเดียมเมตาฟอสเฟต เปน็ ผลกึ แทง่ เหลย่ี มยาวคล้ายผงชูรสมาก แต่มลี ักษณะใสและเรียบกว่า ถา้ บริโภคเข้าไปแล้วจะ เกิด การตรวจหาโซเดยี มเมตาฟอสเฟตในผงชูรส นาผงชรู สที่สงสัยประมาณ 1 ชอ้ นชา ละลายในน้าสะอาดประมาณครงึ่ แก้ว แ เกดิ ขึน้ แต่ถา้ เป็นผงชูรสท่มี ีโซเดียมเมตาฟอสเฟตผสมอยูจ่ ะเกดิ ตะกอนขุ่นขาวทนั ที ( วธิ ที าน้ายาปูนขาวผสมกรดนา้ ส้ม ใ - 3 นาที แล้วท้ิงไว้ใหต้ ะกอนนอนกน้ รินเอานา้ ยาใสข้างบนออกมาใช้ น้ายาใสน้ีคอื \"นา้ ปูนขาวผสมกรดน้าส้ม\" ข้อแนะนาในการเลอื กซ้ือและใชผ้ งชูรส ควรศกึ ษารายละเอียดตอ่ ไปนี้ 1) ผงชูรสแท้ มี MSG ไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 99 ของนา้ หนักก่อนซ้อื โปรดสังเกตภาชนะบรรจุต้องเรยี บรอ้ ยไม่มีรอยตาหนฉิ ล 1. ผงชูรสแท้ ช่อื (ย่หี อ้ ) 2. ชอ่ื และทีต่ ้ังผ้ผู ลิต 3. น้าหนักสทุ ธิ 4. ผ่านการตรวจสอบจากสานกั งานอาหารและยา กระทรวงสาธารณสขุ 5. วันเดือนปที ี่ผลิต หรือวนั เดอื นปที ี่หมดอายุ 2) สงั เกตลักษณะของเกล็ดผงชรู ส 3) ละลายน้าไดด้ ี ชิมดมู รี สคล้ายน้าต้มเน้อื 4) สีผสมอาหาร เปน็ สารเคมที ี่ใชป้ รุงอาหารให้มสี ีน่ารบั ประทาน สผี สมอาหาร แบง่ เป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1. สที ีไ่ ดจ้ ากธรรมชาติ สว่ นใหญไ่ ดจ้ ากสว่ นต่าง ๆ ของพชื และไมเ่ ป็นอันตราย ตอ่ รา่ งกาย ไดแ้ ก่ เปลือกไม้ ใบไม้ ดอกไมแ้ ละรากไม้ เปน็ ต้น และยงั อาจได้จากสตั ว์และแรธ่ าตุ - สีเขียว ไดจ้ าก ใบเตย ใบย่านาง - สเี หลือง ไดจ้ าก เหงา้ ขม้นิ ชัน ดอกกรรณกิ าร์ ดอกคาฝอย ยอดเกสร ตัวเมยี ของหญ้าฝรั่ง ผลฟักทอง ดอกโสน - สแี ดง ไดจ้ าก ดอกกระเจ๊ียบ ครัง่ ข้าวแดง เมล็ดคาแสด หัวผักกาดแดง พรกิ แดง มะเขือเทศ - สีนา้ เงิน ได้จาก ดอกอัญชนั - สีดา ได้จาก กาบมะพรา้ ว ดอกดิน ขี้เถ้า - สีม่วง ไดจ้ าก ดอกอญั ชัน (โดยเติมน้ามะนาวลงในนา้ ดอกอัญชัน) ผลผกั ปลงั สกุ หวั มนั เลือดนก

2. สีท่ไี ดจ้ ากการสังเคราะห์ สาหรบั ผสมอาหารมหี ลายสหี ลายชนิด สามารถใช้ ผสมอาหารบรโิ ภคไดอ้ ย่างปลอดภยั แต่มกั เมอ่ื รบั ประทานแล้วจะเป็นอันตรายตอ่ ร่างกาย ทาใหผ้ ิวหนงั เป็นผ่ืนแดง หน้าบวม อาเจียน ท้องเดิน ชา อ่อนเพลยี เม่อื ส โลหติ จาง และโรคเน้อื งอกในสว่ นตา่ งๆ ของ รา่ งกาย ผูท้ ีข่ าดความรคู้ วามเข้าใจในเร่ืองสี จะนาเอาสีย้อมผ้ามาผสมอาหาร การเลอื กซอ้ื สีผสมอาหาร 1. มคี าวา่ สผี สมอาหร 2. ผา่ นการตรวจสอบจากสานกั งานอาหารและยา กระทรวงสาธารณสขุ 3. วนั เดอื นปีทผี่ ลิต หรอื วนั เดือนปที หี่ มดอายุ 4. ชอื่ และทตี่ ั้งของผู้ผลิต 5. วธิ ใี ช้ 6. ส่วนประกอบสาคัญโดยประมาณ เป็นร้อยละของน้าหนักเรยี งจากน้อยไปมาก 2. เครอื่ งด่มื เครอ่ื งดื่ม หมายถึง ส่ิงทม่ี นุษย์จดั เตรียมสาหรับดื่ม และมักจะมี นา้ เปน็ ส่วนประกอบหลัก บางประเภทได้คุณคา่ ทางโภชนาการ บางประเภทดม่ื แลว้ ไปกระตนุ้ ระบบประสาท และบาง ประเภทดืม่ เพอ่ื ดบั กระหาย แบง่ ออกเปน็ 7 ประเภท ไดแ้ ก่ น้าด่มื สะอาด นา้ ผลไม้ นม น้าอดั ลม เครื่องดื่มบารุงกาลงั ชาและกาแฟ และเครอื่ งด่ืมแอลกอฮอล์ 1) น้าดม่ื สะอาด นา้ ดื่มสะอาด เป็นเคร่ืองด่ืมท่ีไมส่ ่ิงอ่นื เจอื ปน เปน็ ประโยชน์ตอ่ กระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ปจั จบุ ันน้าดื่มสะอาดได้รับค รา้ นอาหาร หรอื ในงานเลีย้ งต่าง ๆ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ผู้ทค่ี วบคุมนา้ หนกั สว่ นใหญม่ ักจะเลือกเคร่ืองด่ืมชนิดนีแ้ ทนเครือ่ งด่ืมทีม่ 2) นา้ ผลไม้ นา้ ผลไม้เป็นเคร่ืองดมื่ ที่มปี ระโยชน์มากอยา่ งหนง่ึ และต้องเป็นน้าผลไม้ที่สดๆ จึงจะได้คุณค่ามาก ผผู้ ลติ มักจะนาผลไมท้ ่มี นา้ เชอื่ ม จะได้รสชาตแิ ปลกๆ หลายอยา่ ง

แบบฝกึ หดั 1.จงพิจารณาอาหารต่อไปน้ี 1. มันฝรั่ง 2. นา้ ตาลทราย 3. ถว่ั ลิสงบด 4. น้ามันหมู 5. นมผงละลายน้า อาหารในข้อใด เม่อื ทดสอบกับสารละลายคอปเปอร์ซลั เฟตและโซเดยี มไฮดรอกไซด์ แลว้ เปล่ยี นสีสารละลาย เปน็ สีมว่ ง ก. 1 และ 2 ข. 2 และ 4 ค. 3 และ 5 ง. 4 และ 5 2. ใหน้ กั เรียนพิจารณาข้อมลู ตารางแสดงปรมิ าณของแร่ธาตแุ ละวติ ามินบางชนดิ ในอาหาร อาหาร ปริมาณสารอาหาร/มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม เหลก็ แคลเซียม วติ ามนิ ซี วติ ามินดี A 0.1 28 0.5 0.002 B 7.6 3.9 0 0 C 0.4 7 10 0 D 0.4 120 0 6.38 จากข้อมลู ในตาราง ผู้ที่เปน็ โรคโลหิตจางและกระดูกอ่อนควรรับประทานอาหารค่ใู ดต่อไปนี้ ก. A และ B ข. C และ D ค. A และ C ง. B และ D 3. จงพจิ ารณาข้อมลู จากตารางการทดสอบสารอาหาร การเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ข้นึ หลังทดสอบอาหาร อาหาร สารละลาย สารละลาย สารละลายคอปเปอร์ซลั เฟตและ ถกู ับกระดาษ ไอโอดนี เบเนดิกต์ สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์ A สนี า้ เงิน - - - B - สีส้ม - - C- - สีมว่ ง - D- - - โปร่งแสง อาหารในข้อใด เมอื่ นามาทดสอบจะเกดิ ผลเหมือนกบั อาหาร C ก. นา้ ขา้ วโพด ข. นมสดรสจืด ค. นา้ มันพชื ง. ลูกตาลเช่อื ม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook