Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือนิเทศโรงเรียนสบลี

คู่มือนิเทศโรงเรียนสบลี

Published by ongardbankong, 2021-01-13 08:58:58

Description: คู่มือนิเทศโรงเรียนสบลี

Search

Read the Text Version

ก คำนำ โรงเรยี นบ้านสบลี สังกดั สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 ได้จัดทำแผนการ นิเทศภายในโรงเรียน ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้โรงเรียนในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 ได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการนิเทศภายในโรงเรียน เพื่อสร้างรูปแบบและกระบวนการนิเทศ ติดตามและประเมินผล ภายในโรงเรียน ตามบริบทของแต่ละโรงเรียน ให้ดำเนินการได้อย่างเป็นระบบและมีความแข็งแรง และเกิดการ เปลย่ี นแปลงในทางทดี่ ขี ้ึน เพือ่ พัฒนาครใู ห้มีความรู้ทันต่อการเปลยี่ นแปลงต่างๆ ใชท้ ักษะในการปฏิบัติการ และมีเจต คติที่ดีต่อการปฏิบัติงาน อีกทั้งยังเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ สร้างความมั่นใจในการปฏิบัติงานให้ครู ซึ่งจะส่งผล โดยตรงตอ่ การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู ให้มปี ระสิทธภิ าพส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี นสูงขน้ึ และคุณภาพของนกั เรยี นได้ตามมาตรฐานท่ีโรงเรยี นกำหนด และหวงั เปน็ อยา่ งยิง่ ว่า แผนการนเิ ทศภายใน โรงเรียน จะเปน็ ประโยชนต์ ่อการนิเทศภายในโรงเรยี นเป็นอยา่ งดี นายโชคอนนั ต์ อนันตสทิ ธโิ ชติ ผู้อำนวยการโรงเรยี นบ้านสบลี

สารบญั ข คำนำ หนา้ สารบญั บทที่ 1 บทนำ ก ข ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา 1 หลักการและแนวคิดในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา 1 วัตถุประสงค์ 5 เป้าหมาย 5 ประโยชน์ท่ีไดร้ บั 5 บทท่ี 2 การนิเทศภายในโรงเรียน 5 ความหมายของการนิเทศ 6 การนิเทศภายในโรงเรยี น 6 จดุ มุ่งหมายของการนเิ ทศภายในโรงเรยี น 8 หลกั การนเิ ทศภายในโรงเรยี น 8 ยทุ ธศาสตร์การนิเทศ 10 ขอบข่ายของการนิเทศภายในโรงเรยี น 12 บทบาทของบุคลากรในการนิเทศ 15 บทบาทของผู้รับการนิเทศ 17 บทท่ี 3 แนวทางการดำเนนิ การนิเทศภายในโรงเรียน 18 กระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน 20 เทคนคิ วธิ กี ารนเิ ทศภายในโรงเรยี น 20 กิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียน 30 มาตรฐานการนเิ ทศภายในโรงเรยี น 40 บทที่ 4 แนวทางการประเมนิ ผลการนิเทศ 71 การประเมินผลการนเิ ทศภายในโรงเรียน 77 การประเมินผลการนเิ ทศตามมาตรฐานการนเิ ทศภายในโรงเรยี น 78 บทท่ี 5 การรายงานผลการนิเทศ 85 การรายงานการนิเทศ 99 การรายงานการประเมนิ ผลโครงการ 99 101 ภาคผนวก คณะผจู้ ัดทำ 103

1 บทท่ี 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที่แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 47 กำหนดให้มีระบบการประกันคุณภาพ เพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การศึกษาทุกระดับ แนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการปฏิบัติ อย่างหลากหลาย ซึ่งประกอบด้วย กระบวนการที่สำคัญ คือ กระบวนการบริหารจัดการ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และกระบวนการนิเทศ ติดตาม ประเมินผล และการนิเทศภายในมี กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา พ.ศ. 2542 ซง่ึ กำหนดการกำกับ ตดิ ตาม การจัดการศึกษาของผบู้ รหิ ารไว้อยา่ งชัดเจน นอกจากนี้ เกณฑ์การประเมินคุณภาพภายนอก ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประกันคุณภาพ การศึกษา (สมศ.) ได้กำหนดให้การนิเทศภายใน เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การประเมินเพื่อให้ ผู้บริหารสถานศึกษาได้ตระหนักถึงความสำคัญ และนำไปปฏิบัติ ในโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพ และได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม การนิเทศการศึกษา เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหน่วยงานทุกระดับ ดังนั้น ภารกิจที่สำคัญ ประการหน่ึง ของผบู้ ริหารก็คือ การนเิ ทศ โดยเฉพาะการนเิ ทศการสอนของครใู หม้ ีการพัฒนาและ ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ การนิเทศมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนเป็น อย่างยิ่งในบางครั้งแม้ครูจะได้ใช้ความสามารถ ในการจัดกิจกรรมตามที่วางแผนไว้แล้วก็ตาม อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างขาดตกบกพร่องทำให้ การสอน!ขาดความสมบูรณ์ ดังนั้น หากมีบุคคล อื่นได้ชี้แนะ แนะนำ ให้ความช่วยเหลือ ก็ย่อมเกิดผลดี การนิเทศจึงเปรียบเหมือนกระจกเงา ที่คอยส่องให้เห็นภาพการสอนของครูและเป็นกระบวนการที่เสริมสร้างการสอนของครูให้มี ประสิทธิภาพ เพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนในการพัฒนาการศึกษา การสร้างสื่อและนวัตกรรม การเรียนรู้ให้เหมาะสม ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้ถูกต้องตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร สถานศึกษาโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และยังเป็นการสร้างความตระหนักให้กับครูถึงปัญหา เกี่ยวกับการจัดประสบการณ์เรียนรู้ให้สามารถแกไขปัญหาได้ และสร้างขวัญกำลังใจให้กับ ครูผู้สอนอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมุ่งให้เกิดความร่วมมือและประสานงานกันเป็นอย่างดี ภายใต้ ระบบการบริหารงานของโรงเรียน เพื่อควบคุมมาตรฐานและพัฒนางานด้านการสอนให้มี ประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการก้าวสู่ระบบการประกันคุณภาพการศึกษารอบที่ 3 กล่าว โดยรวมกค็ ือ การจัดการนเิ ทศ การศกึ ษา กเ็ พ่อื หาแนวทางปรบั ปรุงพัฒนาการปฏิบัติงานด้านการ สอนของครู การทำงานเป็นทีม การสร้างเจตคติที่ดีในการทำงาน ความร่วมมือในการแก้ปัญหา (สุรศกั ดิ์ ปาเฮ. 2545: 25 - 27) การนิเทศการศึกษานับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาครูให้สามารถจัดกิจกรรมและ กระบวนการเรยี นรู้ ให้บรรลุผลตามจุดหมายของหลักสูตรได้ แต่ในสภาพปัจจุบนั มีข้อจำกัดหลาย

2 ประการที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติ การนิเทศการศึกษาได้ครบถ้วน จึงทำให้ไม่สะดวกในการ ปฏิบัติงานนิเทศ และบุคลากรศึกษานิเทศก์มีน้อย นอกจากนี้ในสภาพปัจจุบันสถานศึกษาบาง แห่ง มบี คุ ลากรสว่ นหนึ่งทมี่ คี วามรคู้ วามสามารถในการจัดการเรียนรู้ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี รวมทง้ั เป็นผรู้ ู้ และเข้าใจสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการของสถานศึกษาและชุมชน และมีความใกล้ชิด ครู รู้จุดเด่นจุดด้อยได้ดีกว่า ดังนั้น ระบบการนิเทศการศึกษาที่เหมาะสมก็คือ การนิเทศ ภายใน โรงเรยี น และสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเน่ือง ซ่ึงสงัด อทุ รานันท์ (2530: 116) กล่าวถึง ความ จำเป็นของการนิเทศภายในโรงเรียนวา่ เดิมการนิเทศการศึกษาเป็นหนา้ ทีข่ องศึกษานิเทศก์ และ ผู้บริหารการศึกษา ครูเป็นผู้ได้รับการนิเทศ แต่ปัจจุบันงานนิเทศการศึกษามีความสำคัญมากข้ึน บุคลากรในโรงเรียนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเรียนการสอนให้ สูงขึ้น อันเนื่องมาจากศึกษานิเทศก์มีจำนวนจำกัด จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางการ นิเทศการศึกษา ของโรงเรียนต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังไม่รู้สภาพปัญหาและความต้องการท่ี แท้จริงของโรงเรียน การสนองตอบความต้องการจึงเป็นไปได้ยาก และจากสภาพปัจจุบัน บุคลากรในโรงเรียนส่วนใหญ่มีความรู้ ความสามารถ มีความชำนาญเฉพาะสาขา จึงควรใช้ ทรัพยากรเหล่านีใ้ ห้ตรงความสามารถและเกดิ ประโยชน์ สูงสุด อีกทั้งยังเป็นการสร้างการยอมรบั ซึ่งกันและกัน ส่วนศึกษานิเทศก์จะเป็นเพียงผู้นิเทศติดตาม การดำเนินงานของผู้บริหาร และ คณะกรรมการนิเทศของโรงเรียน โดยให้ความชว่ ยเหลือทางด้านวิชาการ ตามที่โรงเรียนขอความ รว่ มมือ จากการทเสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติ (National Test (NT) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสบลี ปีการศึกษา 2563 พบว่ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 45.32 คะแนน เฉลีย่ ตำกว่าระดบั เขตพื้นที่และระดับประเทศ (ระดับเขตพน้ื ท่ี ������̅ =45.81 ระดบั ประเทศ ������̅ =45.70) และเมื่อจำแนกเป็นรายด้านพบว่าคณิตศาสตร์ (Mathmetics) มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า ระดับเขตพื้นที่ และระดับประเทศ (ระดับโรงเรียน ������̅ =47.51 และระดับประเทศ ������̅ =44.94) ส่วนด้านภาษาไทย (Thai Language) พบว่ามีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าระดับประเทศเขตพื้นที่ และ ระดับประเทศ (ระดับโรงเรียน ������̅ =41.35 ระดับเขตพื้นที่ ������̅ =44.12 และ ระดับประเทศ ������̅ =46.4

3 จากผลการทดสอบของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (O-Net) ประจำปี การศึกษา 2562 ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่าโรงเรียนบ้านสบลี มีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียน รวมทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ มีคะแนนเฉลี่ย ������̅ =51.41 สูงกว่าระดับเขตพื้นท่ี ������̅ =38.35 และระดบั ประเทศ ������̅ =37.99 เมือ่ จำแนกเปน็ รายกลุ่มสาระการเรยี นรู้ พบวา่ มี คะแนนเฉลย่ี สูง กว่าระดบั เขตพนื้ ท่ีและระดบั ประเทศทกุ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ จากการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาของสำนักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมิน คุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) รอบที่สาม พบว่ามีโรงเรียนมีระบบ การนิเทศ ภายในโรงเรียนที่ไม่ชัดเจน ทำให้การขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในภาพรวม ไม่ประสบความสำเรจ็ เทา่ ทคี่ วร การนิเทศภายในโรงเรียน เป็นวิธีการสำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารการศึกษาที่มีผลต่อ การพัฒนา คุณภาพนักเรียนให้สูงขึ้น เพราะเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานภายในโรงเรียน สามารถปฏิบัติงาน ในขอบเขตที่ตนเองรับผิดชอบประสบผลสำเร็จเป็นไปตามมาตรฐานและ สอดคล้องกับระเบียบ วิธีการดำเนินงานที่กำหนดไว้ การนิเทศภายในโรงเรียนจึงเป็นยุทธวิธีท่ี ผูเ้ กี่ยวข้องควรหาแนวทาง ดำเนนิ การให้เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ดังนั้น การนิเทศภายในโรงเรียนจึงจำเป็นต้องพัฒนากระบวนการทำงานของผู้บริหาร โรงเรียน หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายในฐานะผู้นิเทศ ในการพัฒนาคุณภาพและเปลี่ยนแปลงการ ทำงานของครู และบุคลากรภายในโรงเรียน เพื่อให้ได้มาซึ่งสัมฤทธิ์ผลสูงสุดในด้านการเรียนของ ผเู้ รียน หากโรงเรียน มีระบบการนิเทศภายใน ทีเ่ ข้มแขง็ มกี ารดำเนนิ การอยา่ งเป็นรูปธรรม อย่าง ตอ่ เนือ่ ง และสมา่ํ เสมอ จนกลายเปน็ วฒั นธรรมองค์กรอันจะสง่ ผลให้คุณภาพของโรงเรียน ผลการ เรียนรู้ของผู้เรียนพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารโรงเรียน และ บุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียน ที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันดำเนินการพัฒนางานทุกด้านในโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การนำ หลักสูตรไปใชใ้ ห้บรรลุตามจุดประสงค์ของหลักสูตร ตลอดจนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และมี สมรรถนะสำคัญตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ดังนั้น เพื่อให้การพัฒนาสถานศึกษาให้ได้มาตรฐาน และคุณภาพ ผู้บริหารจะต้องมีความตระหนัก ในความเป็นผู้นำ ทันเหตุการณ์ ปรับเปลี่ยน พฤติกรรมได้ตลอดเวลา มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดวิธีการทำงานที่เน้นกระบวนการกลุ่ม มีการ บรหิ ารงานแบบเป็นทีม มศี ักยภาพ ครูจะเปน็ ผสู้ ง่ เสรมิ และให้โอกาสผเู้ รียนในการแสวงหาความรู้ คอยให้ความช่วยเหลือ แนะนำ แกไขปัญหา และให้กำลังใจ รวมถึงการจัดบรรยากาศแห่งการ เรียนรู้ แก,ผู้เรียน เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาตนเองได้อยา่ งเตม็ ศักยภาพ

4 โรงเรียนบ้านสบลี ตระหนักถึงความสำคัญของการนิเทศภายใน จึงได้ดำเนินการพัฒนา รูปแบบและระบบการนิเทศภายในโรงเรียน เพื่อสร้างความรู้ให้แก่ผู้บริหาร และผู้นิเทศของ โรงเรยี น โดยไดร้ ะดมความคิดจาก ผ้บู รหิ ารโรงเรยี น คณะครู จัดทำเอกสารคมู่ ือการนิเทศภายใน โรงเรียน ฉบับนี้ขึ้นเพื่อให้โรงเรียนนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทาง ในการดำเนินการนิเทศภายใน โรงเรียน อันจะทำให้โรงเรียนมีรูปแบบและกระบวนการนิเทศภายใน ที่เป็นระบบ ซัดเจน เกิด การเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน ครูสามารถจัดการ เรยี นการสอนไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ และผเู้ รียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นเพมิ่ ขึน้

5 หลกั การและแนวคดิ ในการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา กระบวนการนิเทศเป็นกระบวนการหนงึ่ ทีส่ ง่ ผลต,อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ดังนี้ กระบวนการพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ให้โรงเรยี นมรี ปู แบบและกระบวนการนเิ ทศ ติดตามและประเมินผลภายใน โรงเรยี น อยา่ งเป็นระบบ มีความเข้มแขง็ และเกดิ การเปล่ียนแปลงในทางทีด่ ีข้นึ 2. เพอื่ ปรับปรุงและพฒั นาการจดั การเรยี นการสอนของครใู ห้มีคณุ ภาพ 3. เพ่ือยกระดับผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นให้สูงขึน้ เปา้ หมาย 1. นกั เรียนชัน้ อนบุ าล 2-ประถมศกึ ษาปีที่ 6 2. ครูทกุ คนในโรงเรยี นได้รบั การนิเทศภายใน 3. ปกี ารศกึ ษา 2563 ผเู้ รยี นมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นสงู ขึ้นทุกกลมุ่ สาระการเรียนรู้ อย่างน้อยร้อยละ 5 ประโยชน์ทไ่ี ด้รบั 1. โรงเรยี นมีระบบการนเิ ทศภายในอยา่ งเขม้ แขง็ 2. โรงเรยี นมีความพร้อมท่จี ะพัฒนาไปส่กู ารเป็นประชาคมอาเช่ยี น 3. ครไู ดร้ บั การพัฒนาการจดั การเรียนการสอนอย่างมปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผล 4. นกั เรยี นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสูงขน้ึ

6 บทที่ 2 การนเิ ทศภายในโรงเรียน ความหมายของการนิเทศ การนิเทศ (Supervision) คือ การช่วยเหลือ แนะนำ ปรับปรุง บริการ การให้ความ รว่ มมือ และการประสานงานใหบ้ ุคคลท่ปี ฏิบัตงิ านของแตล่ ะหน่วยงานทำงานได้ดีขน้ึ การนิเทศสามารถนำไปใช้กับงานที่ต้องอาศัยผู้ดูแล ตรวจตรา ให้คำแนะนำ คอย ชว่ ยเหลอื บรกิ ารและบรหิ ารงานเพื่อให้งานสำเรจ็ ลลุ ว่ งไปตามวตั ถุประสงค์ทวี่ างไว้ หากมองตาม รูปศพั ท์ SUPERVISION ชารี มณีศรี (2538, 14 - 15) สรุปจากศพั ท์ภาษาอังกฤษไว้นา่ สนใจวา่ Support การสนับสนุน S Share การมสี ่วนรว่ ม Service การบริการ Unity ความสามคั คี U Understanding ความเชา้ ใจ การ Upgrade ยกฐานะ Planning การวางแผน P Promotion การเลอื่ นขัน้ การ Problem-Solving แกป้ ัญหา Education การศกึ ษาหา Experiment ความรู้ การ E Evaluation ทดลองการวดั ผล Research การวิจยั R Report การรายงาน Record การบันทึก Visiting การเย่ียมเยียน V Value การรคู้ ณุ ค่า การมี I Virtue คุณธรรม

7 Improvement การปรบั ปรงุ การ V Information ใหข้ า่ วสาร การ Inservice-trainning ฟกิ อบรม Objective จุดประสงค์ O Observation การสงั เกต Organization การจดั รปู งาน Needs ความตอ้ งการ N Negotiation การประนปี ระนอม Necessity ความจำเป็น I

8 จากความหมายที่ใช้คำภาษาอังกฤษเรียบเรียงคำศัพท์ที่มีความหมายคล้ายคลึงใกล้เคียงกัน ลักษณะงานการนิเทศที่ใช้ทั่วๆ ไป ผู้ทำหน้าที่นิเทศจะต้องมีความรู้ ประสบการณ์และเช้าใจงานของ งานดี จงึ จะทำหนา้ ทีน่ ิเทศผ้อู ่ืนได้ คำศัพท์ดังกลา่ วช้างตน้ จึงบอกถึงลักษณะงานของการนเิ ทศได้อย่างดี ชารี มณีศรี (2538, 15) ได้สรุปความหมายตามท่ี Plundelt ไดใ้ ห้ไว้ ดังนี้ Supervise แนะนำการใช้ทรัพยากรมนุษยใ์ หเ้ กิดประโยชน์สูงสุด Utilize ใชม้ วลทรัพยากรทัง้ ที่มชี วี ิตและไม่มีชีวติ โดยประหยดั Plan วางแผนการทำงานโดยตง้ั วตั ถุประสงคแ์ ละการสือ่ ความหมายท่ีมีประสิทธภิ าพ Enforce ควบคมุ นโยบาย กฎระเบียบ และมาตรฐานการทำงาน Relate สรา้ งความสมั พันธ์กับเพือ่ นร่วมงานทัง้ กลุ่มและบคุ คล Validate ดูแลใหค้ วามเปน็ ธรรมตอ่ ผู้ใต้บังคับบัญชา Instruct สอนกลวธิ แี ละทกั ษะประสบการณ์ Show แสดงลกั ษณะความเปน็ ผูน้ ำ Organize จัดระบบงานและประสานการทำงาน Regulate วางหลกั ปฏบิ ตั ใิ นการทำงาน การนิเทศภายในโรงเรียน ในอดีตทผ่ี ่านมา การดำเนนิ การนิเทศการศึกษาเปน็ หนา้ ท่ขี องบคุ ลากรภายนอกโรงเรยี น ได้แก่ ศกึ ษานเิ ทศก์ ทเี่ ชา้ มาดำเนินการในโรงเรียนแต่เพยี งฝ่ายเดียว แตใ่ นปจั จุบนั สภาพสังคมเปลย่ี นแปลงไป จำนวนโรงเรียนมีมากขึ้น ครู และนักเรียนมีมากขึ้น ทำให้ศึกษานิเทศก์ ไม่เพียงพอในการปฏิบัติงาน ได้อย่างทั่วถึง และไม่สามารถให้บริการการนิเทศการศึกษาได้อย่างครอบคลุมในภายหลังจึงต้องมี การนิเทศการศึกษาอีกรปู แบบเกิดขึ้นคือ การนิเทศภายในโรงเรียน นักการศึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านได้ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษาไว้หลาย ลักษณะ แตกตา่ งกันไปตามววิ ฒั นาการดา้ นการศึกษา จุดมุ่งหมายและแนวทางการจดั การศึกษาในสมัย น้ันๆ ซงึ่ จะนำเสนอพอเปน็ สังเขป ดงั ตอ่ ไปน้ี ดุสติ ทิวถนอม (2540: 4) กลา่ วไว้ในหนังสือประกอบด้วยกจิ กรรมการบริหารและวิธีการต่างๆ ที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบของผู้เกี่ยวช้องกับการจัดการศึกษาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการ เรยี นการสอน และการทำงานของครูใหม้ ีประสิทธภิ าพ สุเทพ เมฆ (2540: 47) ไดก้ ล่าววา่ การนเิ ทศการศึกษา หมายถงึ การชว่ ยเหลือแนะนำ ให้การ สนับสนุน ให้ความร่วมมือในการดำเนินการนิเทศ และสนับสนุนภาคปฏิบัติ ทั้งนี้ เพื่อให้การจัด การศึกษา ดำเนินไปอยา่ งมคี ุณภาพ กิติมา ปรีดิลก (2541: 262) ซึ่งกล่าวว่า การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการชี้แนะ แนะนำ และให้ความร่วมมือต่อกิจกรรมของครูในการปรับปรุงการเรียนการสอน เพื่อให้บรรลุผลตามจุดหมาย ที่วางไว้

9 สำนักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ (2541: 51) ไดใ้ หค้ วามหมายของการนิเทศ ภายในโรงเรียน หมายถึง การส่งเสริม สนับสนุน หรือให้ความช่วยเหลือครูในโรงเรียนให้ประสบ ความสำเร็จ ในการปฏิบัติงานตามภารกิจ คือ การสอน หรือการสร้างเสริมพัฒนาการของนักเรียนทุก ด้าน ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคม ให้เต็มตามวัยและตามศักยภาพ โดยความ ร่วมมอื ของบคุ ลากร ในโรงเรียน ชารี มณีศรี (2542: 22) ไดก้ ลา่ วไว้วา่ การนิเทศการศกึ ษาเป็นกระบวนการพฒั นาการเรียนการ สอน ใหด้ ขี ้ึน และเปน็ การร่วมมือกนั ระหวา่ งผนู้ เิ ทศและผู้รบั การนิเทศ นริศรา อุปกรณ์คิริการ (2542: 16) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษาเป็นความร่วมมือและ ประสานงาน ของบุคลากรทางการศึกษาในการพัฒนาเพ่ือปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ของครู อันจะทำให้ ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธภิ าพ เยาวพา เดชะคุปต์ (2542: 86) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการ เป็นการ ปฏิบัติงาน ร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายใหผ้ ู้รับการนิเทศเกิดการพฒั นา มผี ลใหผ้ เู้ รยี น เกิดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสูงข้นึ วัชรา เล่าเรียนดี (2550: 120) กล่าวถึง การนิเทศภายในโรงเรียนว่าเป็นกระบวนการนิเทศ การศึกษา และกิจกรรมต่างๆ ที่มุ่งพัฒนาการเรยี นการสอนที่จัดดำเนนิ การในโรงเรียนโดยบุคลากร ใน โรงเรียนเปน็ หลัก ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน คณะครู และบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ในโรงเรยี น โดยมีวัตถปุ ระสงคเ์ พือ่ พัฒนาคณุ ภาพการศึกษาในโรงเรียนโดยตรง ฉวีวรรณ พันวัน (2552: 9) สรุปไว้ว่าการนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการร่วมกันทาง การศึกษา ของผู้บริหารโรงเรียน และบุคลากรทางการศกึ ษา เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้มีคณุ ภาพ และเกิดผลสัมถุทธ์ิสูงสุดแก่ผูเ้ รยี น ทำให้ผูเ้ รยี นไดพ้ ัฒนาเต็มตามศกั ยภาพตามจดุ หมายของหลักสตู ร จากความหมายของการนิเทศภายในโรงเรียนดังกล่าว สรุปได้ว่า การนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึง กระบวนการดำเนินงานร่วมกัน ระหว่างบุคลากรทุกคนในโรงเรียน เพื่อการแก่ไข ปรับปรุง และพัฒนางานในวิชาชีพครูให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ส่งผลให้นักเรียนได้รับการพัฒนา ให้มี คณุ ภาพตามเปา้ หมายการศกึ ษาทีก่ ำหนดและมี ผลสัมถุทธิ์ทางการเรียนสูงข้นึ จดุ มุง่ หมายของการนิเทศภายในโรงเรียน ในการดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียนจำเป็นต้องมีจุดมุ่งหมายในการดำเนินงาน เพราะ จุดมุ่งหมายจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถมองเห็นแนวทางในการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้การนิเทศ บรรลุผล มีนกั การศกึ ษาได้กำหนดจุดมุง่ หมายของการนิเทศภายในโรงเรยี นไว้ ดงั นี้ จำรัส นองมาก (2532: 8) กล่าวว่า การนิเทศภายในโรงเรียนมีความมุ่งหมายเพื่อให้ ประสิทธิภาพ การสอนของครูเพิ่มขึ้น ผลสัมถุทธ์ิของนักเรียนซึ่งเป็นผลจากการสั่งสอนของครูใน โรงเรียนก็สูงขึ้นด้วย ครูมีทัศนคติที่ดีต่อหน่วยงาน มีความพึงพอใจที่จะกระทำหน้าที่ของตนให้ดียิ่งๆ ขนึ้ ไป

10 สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2534: 9) ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของ การ นิเทศภายในโรงเรยี นไว้ ดังน้ี 1. เปน็ การช่วยให้ครผู ู้สอนสามารถปรับปรุงตนเองและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 2. สามารถพัฒนาพฤติกรรม บุคลกิ ภาพการสอนของครใู ห้ดีขึ้น 3. สนับสนุนความรคู้ วามสามารถของครใู นการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน 4. กำกับ ควบคุม ติดตามผลการปฏบิ ตั งิ านของครูในการปฏิบัติงานอย่างต,อเนื่อง 5. สง่ เสรมิ ความคิดสร้างสรรค์และการทำงานร่วมกนั เปน็ คณะ ปริยาพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2535: 264 - 265) กล่าวถงึ จุดมงุ่ หมายของการนิเทศการศกึ ษาไว้ ดงั น้ี 1. เพื่อพัฒนาและสง่ เสริมการบริหารและงานวิชาการของสถานศกึ ษา 2. เพื่อการบริหารงานวิชาการในสถานศกึ ษาใหม้ ปี ระสิทธภิ าพยิง่ ขึ้น 3. เพ่อื สำรวจ วิเคราะห์ วิจัย และประเมินผล เพื่อปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐาน การศึกษา 4. เพอื่ พฒั นาหลกั การและสื่อการเรียนการสอนให้ไดม้ าตรฐาน และเอกสาร ทาง วิชาการใหม้ ีประสิทธภิ าพสอดคล้องกบั ความต้องการและจำเป็นของสถานศึกษาและครู 5. เพื่อพัฒนาบคุ ลากรโดยเฉพาะครูให้มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์อนั จำเป็น ท่ีนำไปใชใ้ นการเรียนการสอน การจดั การศึกษา อีกทั้งให้ครสู ามารถแลป้ ัญหาได้ วไลรตั น์ บญุ สวสั ดี้ (2538: 64) ได้กำหนดความมุง่ หมายของการนิเทศภายในโรงเรียนไว้ ดังนี้ 1. เพอ่ื ชว่ ยเหลอื ครูในการพัฒนาและปรับปรงุ ตนเอง 2. เพือ่ ส่งเสรมิ ให้มีการปรบั ปรุงหลกั สตู ร 3. เพื่อชว่ ยเหลือครูในการปรบั ปรงุ การสอนของตนให้ดขี ึน้ 4. เพอื่ เปิดโอกาสให้ผ้เู ช่ียวชาญในสาขาทีม่ ีอยใู่ นโรงเรียนได้ชว่ ยเหลือเพ่ือนครู 5. เพือ่ สง่ เสรมิ ให้คณะครูมีความสนใจในวสั ดอุ ปุ กรณ์การสอน 6. เพอื่ ส่งเสริมให้คณะครูมคี วามเข้าใจเก่ียวกับเด็กนักเรยี นให้ดีขนึ้ 7. เพอ่ื ชว่ ยเหลือครูในการประเมินผลนกั เรยี น 8. เพื่อสง่ เสรมิ ยัว่ ยุให้ครรู จู้ กั ประเมินผลโครงการการปฏบิ ตั งิ าน และความก้าวหนา้ ในวิชาชีพของตน 9. เพอื่ ช่วยให้ครปู ระสบความสำเรจ็ และรู้สึกมน่ั คง สรุปได้ว่า การนิเทศภายในโรงเรียนมีจุดมุ่งหมาย ที่จะช่วยเหลือ ประสานงานให้บุคลากร ในโรงเรียนได้ปรบั ปรุงตนเอง ทั้งด้านการสอน บุคลิกภาพ สร้างขวญั และกำลังใจ ความพึงพอใจในการ ทำงาน ซ่ึงจะส่งผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน และการรักษาคุณภาพการศึกษา ของโรงเรียน ตลอดจนการพัฒนาวิชาชีพครูให้มคี วามกา้ วหนา้ มากย่ิงขึ้น หลักการนเิ ทศภายในโรงเรยี น หลักการและแนวคิดที่สำคัญของการนิเทศภายในโรงเรียน มีนักวิชาการและนักการศึกษา หลายทา่ นไดท้ ำการศึกษา ไว้ดังนี้

11 สงัด อุทรานันท์(2538: 23 -24) ได้กล่าวถึงหลักการนิเทศภายในโรงเรียนว่าการนิเทศ การศึกษา เป็นงานในความรับผิดชอบของผู้บริหารโดยตรง ทั้งนี้ ผู้บริหารอาจดำเนินการด้วยตนเอง หรือมอบหมาย ให้ผู้อื่นดำเนินการแทน ซึ่งการนิเทศภายในโรงเรียนจะสำเร็จลงได้จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือ จาก 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิเทศ และผู้รับการนเิ ทศ หากขาดความร่วมมอื จากฝา่ ย ใดฝ่ายหนึ่ง การนิเทศจะไม,มีโอกาสประสบความสำเร็จ ซึ่งบุคลากรในโรงเรียนจะต้องตระหนักและ เข้าใจว่าการนิเทศ ภายในโรงเรียนเป็นการทำงานร่วมกันเพื่อช่วยพัฒนาเพื่อนร่วมงานให้มีความรู้ ความสามารถ ในการปฏบิ ัตงิ านสงู ขน้ึ ท้งั นี้ ต้องมกี ารยอมรับและให้เกียรติซ่ึงกันและกนั ในสภาพความ เป็นจรงิ แลว้ ไม่มใี ครทจ่ี ะมีความเชย่ี วชาญในทุกๆ ด้าน ดงั นน้ั จึงควรจะไดแ้ ลกเปลีย่ นและถา่ ยเทความ เชี่ยวชาญ ให้แก่ผู้ร่วมงานให้มีความรู้สูงขึ้น จะต้องเกิดจากความจำเป็นในการแก้ปัญหา หรือสนอง ความตอ้ งการ ในการยกระดับคณุ ภาพการศึกษาของโรงเรยี น รวมทั้งการสรา้ งขวัญกำลังใจของผู้บรหิ าร จะมีผลโดยตรง ตอ่ การเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมของผ้ปู ฏบิ ัตงิ าน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2541: 52 - 53) กล่าวถึงหลักการนิเทศไว้ คล้ายกัน แต่เพิ่มเติมก็คือ การนิเทศภายในโรงเรียน ผู้นิเทศประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วย ผู้บริหาร หัวหน้าหมวดวิชา ครูผู้ร่วมนิเทศ ครูแกนนำ ดำเนินการโดยใช้ภาวะผู้นำ ทำให้เกิดความ ร่วมมอื ผถู้ ูกนเิ ทศ ให้ความไวว้ างใจ เตม็ ใจในการพฒั นาหรือการเปล่ียนแปลง ลงมือปฏบิ ัติจริง ทดลอง ใช้เครื่องมือ และวิธีการที่ร่วมกันคิด ทั้งนี้ การดำเนินการต้องเป็นไปอย่างมีระบบ คือ ต้องกำหนด เป้าหมาย จุดมุ่งหมาย การวางแผน การลงมือปฏิบัติตามแผน และประเมินผล กระบวนการนิเทศต้อง ยืดหยุ่น ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และใช้หลักการปฏิบัติ เน้นการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ รับผิดชอบ มกี ารควบคมุ กำกบั ติดตามผลการดำเนนิ งานอยา่ งใกลช้ ิด เยาวภา เดชะคุปต์ (2542: 134 - 135) ได้กล่าวถึง หลักการนิเทศภายในโรงเรยี นที่ผู้เกี่ยวขอ้ ง นา่ จะต้องยืดเป็นแนวปฏบิ ัติ ซงึ่ สรปุ ได้เปน็ ข้อๆ ดงั น้ี 1. การนิเทศภายในโรงเรียน เป็นภารกิจที่ผู้บริหารโรงเรียนจะต้องรับผิดชอบ และมี สว่ นร่วมรับรู้ต่อความก้าวหน้าของครู่ในโรงเรยี นทมี่ ผี ลสืบเนือ่ งมาจากโรงเรยี น 2. โรงเรยี นต้องทำงานร่วมกนั และใช้วธิ ีการประชาธิปไตยกับการดำเนินงาน กล่าวคือ มีความเคารพในเหตผุ ลซง่ึ กันและกนั เป็นความร่วมมือร่วมใจและใชว้ ธิ กี ารแกป้ ัญหาแบบวิทยาศาสตร์ 3. โรงเรียนต้องเริ่มต้นด้วยการรู้สภาพปัญหาที่แท้จริงเสียก่อน แล้วจึงกำหนดแผน หรอื แนวทางในการแก้ปญั หานน้ั ๆ 4. โรงเรียนมุ่งเพื่อปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนไมใช่การจบั ผิด จึงต้องพยายาม ให้บุคลากรทกุ ฝ่ายเข้าใจและดำเนนิ งานให้เป็นไปตามอดุ มการณ์ 5. บุคลากรในโรงเรียนต้องยอมรบั ความจริงในแง่ทวี่ ่าไม่มใี ครจะมีความสามารถ หรือ เชี่ยวชาญไปทุกเร่อื ง 6. โรงเรียนมุ่งเน้นการสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกัน ทำใหง้ านบรรลวุ ตั ถุประสงค์

12 มงคล สภุ กรรม (2546: 13) ไดส้ รุปหลักการนิเทศภายในโรงเรียนไวว้ ่า ตอ้ งมีวธิ ีการดำเนินการ ที่ชัดเจนและเป็นขั้นตอน โดยวิธีการดำเนินการนั้น ต้องสามารถสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นร่วมกันทุก ฝ่าย เพื่อจะได้พัฒนาความก้าวหน้าและเป็นการส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ตลอดจนความเป็น ประชาธิปไตย เพอื่ ให้โรงเรียนมคี ุณภาพอย่างชดั เจน ธีรศักดิ์ เลอ่ื ยไธสง (2550: 2) ไดน้ ำเสนอหลักการของการนิเทศภายใน ดังนี้ 1. ดำเนนิ การตามกระบวนการอยา่ งเปน็ ระบบและต่อเน่ือง 2. ส่งเสริมใหค้ รูทกุ คนมสี ่วนรว่ มและรบั ผิดชอบ 3. กิจกรรมการนิเทศตรงกับความตอ้ งการจำเป็นในการพัฒนาครู 4. จัดสภาพแวดล้อมและแหล่งวิทยาการใหเ้ อ้ือตอ่ การดำเนนิ งาน 5. สรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์ทดี่ ี และเสริมสร้างขวญั กำลงั ใจแกค่ รู สรุปได้ว่า หลักการของการนิเทศภายในโรงเรียนก็คือ ผู้นิเทศต้องมีความรู้ความเข้าใจใน หลักการ นิเทศอย่างถูกต้อง ตรงประเด็น มีระบบและขั้นตอนที่ชัดเจนในกระบวนการนิเทศ กระบวนการนิเทศ ที่เกิดขึ้นต้องเกิดจากความร่วมมือของคณะครูทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในโรงเรียน และการนเิ ทศ ต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนของครู และการนิเทศการศกึ ษาควรมีการ บริหาร เป็นกระบวนการเชิงระบบ มีการวางแผนการดำเนินงาน มีขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ถือหลักการมีส่วนร่วม ในการทำงานมีความเป็นประชาธิปไตย มีการดำเนินงานอย่างสร้างสรรค์ มีการ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจาก การเรียนการสอน สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้น สร้างความผูกพัน และความมั่นคงต่อ งานอาชีพ รวมทั้งพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพครูให้มีความรู้สึกภาคภูมิใจในวิชาชีพ ของตนเองพร้อมทจี่ ะรบั การพฒั นาอยา่ งต่อเนอื่ ง ยทุ ธศาสตร์การนิเทศ การจัดการศึกษาในสถานศึกษามุ่งพัฒนานักเรียนให้เป็นคนดี เก่ง มีความสุข ทำประโยชน์ ให้ส่วนรวม มีคุณภาพตามเป้าหมายการจัดการศึกษาของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพและบริหารจัดการศึกษาของสถานศึกษา และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำเป็นต้องมีการนิเทศซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในกระบวนการ ดำเนินงานโดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญเป็นหลักการในการดำเนินงานการนิเทศ คือ การมีส่วนร่วม และ ทำงานอยา่ งเป็นระบบ รายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี

13 ยทุ ธศาสตร์การนิเทศ 1. การมีสว่ นรว่ ม การนิเทศเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศที่มีทั้งผู้ร่วมคิด ร่วมทำ การชว่ ยเหลือพง่ึ พากนั ด้วยปฏสิ ัมพันธ์อนั ดีต่อกนั ใหเ้ กียรตแิ ละจริงใจต่อกนั ซึง่ การทำงานดว้ ยหลักการ มีส่วนร่วม มีคุณลักษณะสำคัญ 5 ประการ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการนิเทศการศึกษา ซึ่งมี แนวทาง ดงั ต่อไปน้ี การมสี ่วนร่วม แนวทางการนเิ ทศแบบมสี ่วนรว่ ม 1. การสร้างความสม้ พันธอ์ นั ดตี อ่ กัน ลกั ษณะการนเิ ทศแบบมีส่วนร่วม 2. การสรา้ งภาพพจน์การทำงานท่ดี เี ลศิ 3. การสรา้ งปัจจยั แหง่ ความสำเร็จ ในการทำงาน ♦ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง ผนู้ เิ ทศกบั ผู้รบั การ 4. การสรา้ งศนู ย์รวมการปอ้ งกนั การแกไ้ ข และ นเิ ทศ การพฒั นางาน ♦ การสรา้ งเจตคตทิ ีด่ ตี อ่ การนเิ ทศ ♦ การกำหนดเป้าหมาย/ผลสำเร็จร่วมกัน 5. การสรา้ งเครอื ข่ายการร่วมคดิ ร่วมทำ รบั ♦ การพจิ ารณาบคุ ลากร/คณะบุคลากร ร่วมรบั ผดิ ชอบ ♦ การพิจารณา/หาวิธีการดำเนินงาน การกำหนดแนว ผลประโยชน์ และรว่ มเผยแพร่งาน ทางการดำเนินงานการกำหนดแนวทางทำงานร่วมกัน เพ่อื สเู่ ปา้ หมายท่ตี อ้ งการ ♦ การหาวธิ ีทางเสรมิ แรงจูงใจใหร้ างวลั แก่ผทู้ ำงาน ♦ การกำหนดแนวทางการนิเทศภายในติดตาม ประเมนิ ผลการทำงานร่วมกนั

14 2. การทำงานอยา่ งเป็นระบบ มีข้นั ตอนการทำงานทส่ี ำคัญ 5 ขั้นตอน คือ 2.1 วิเคราะห์ปัญหาตามตอ้ งการจำเปน็ 2.2 วิเคราะหท์ างเลือกในการแกป้ ัญหา/พฒั นา 2.3 เลอื กทางเลือกทเ่ี หมาะสมและวางแผน 2.4 ดำเนนิ การตามแผน 2.5 ประเมนิ ผลการดำเนนิ งาน แนวทางการนเิ ทศภายในอย่างเปน็ ระบบ

15 ยทุ ธศาสตร์การนิเทศภายในโรงเรยี น การนเิ ทศภายในโรงเรียน มียุทธศาสตรใ์ นการดำเนนิ งาน ดังน้ี 1. สร้างภาพปลายทางให้ชัดเจน ภาพปลายทาง หมายถึง สภาพความสำเร็จที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา ซึ่ง ต้องกำหนดให้ซัดเจน และให้ครูทุกคนมองเห็นสภาพความสำเร็จนี้ให้ตรงกัน มีความเข้าใจตรงกัน เพือ่ ทจ่ี ะได้ร่วมมือกันพัฒนาใหม้ ุ่งไปสู่สภาพความสำเร็จที่กำหนดนน้ั 2. สรา้ งภาพงานทซ่ี ัดเจนตลอดแนว ภาพงาน หมายถึง การกำหนดภาระงานที่จะต้องวางแผนการดำเนินการให้มุ่งสู่ สภาพ ความสำเร็จทกี่ ำหนดไวว้ ่าจะตอ้ งพัฒนาใคร ในเร่อื งใด และพัฒนาอย่างไร ขอบข่ายของการนเิ ทศภายในโรงเรียน การนิเทศภายในโรงเรียน เป็นการนิเทศการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา ตาม ขอบข่ายและภารกิจการบริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่เป็นนิติ บุคคล ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของผู้บริหารโรงเรียน เพื่อให้บรรลุภารกิจของโรงเรียน อย่างมี ประสิทธภิ าพ ประกอบดว้ ยงาน 4 ด้าน ไดแ้ ก่ 1. ด้านวิชาการ งานด้านวิชาการ เป็นงานที่เกี่ยวกับการนำหลักสูตรไปใช้ให้บรรลุตามจุดหมายของ หลกั สตู ร สถานศึกษา ตลอดจนคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ตามทกี่ ำหนดไวใ้ นหลักสตู ร ได้แก่ 1.1 การพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษา 1.2 การนำหลกั สตู รสถานศึกษาไปใชแ้ ละการออกแบบการจัดการเรยี นรู้ 1.3 การส่งเสรมิ และสนบั สนนุ ให้ครจู ัดทำและใช้แผนการจดั การเรยี นรู้ 1.4 การจัดการเรียนการสอนตามแนวปฏริ ปู การเรียนร้แู บบบูรณาการและเน้นทักษะการคดิ 1.5 การจดั หาพฒั นาสอ่ื และเทคโนโลยที างการศกึ ษา 1.6 การสนบั สนนุ ใหค้ รูผลติ และใชส้ ่ือการเรยี นรู้ 1.7 การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร 1.8 การจัดมมุ หนังสือ หอ้ งสมดุ และแหล่งเรยี นรใู้ นสถานศกึ ษา 1.9 การวดั และประเมินผลตามสภาพจริง 1.10 การสอนซ่อมเสรมิ 1.11 การวิจยั เพื่อพฒั นาการศึกษา 1.12 การประกนั คณุ ภาพการศึกษา 1.13 การสง่ เสรมิ และสนบั สมุนให้ครจู ัดทำแฟม้ ข้อมูลนักเรยี นเปน็ รายบุคคล 1.14 การประเมินคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา 1.15 การจดั ศนู ย์โสตทัศนปู กรณ์ 1.16 การจดั บรกิ ารแนะแนว

16 2. ด้านบรหิ ารบุคคล งานดา้ นบริหารบคุ คล เป็นการจดั ดำเนนิ การ เพอื่ ให้บุคลากรในสถานศึกษาได้รู้และเข้าใจ หนา้ ท่ี และความรับผดิ ชอบของตน การติดตามดูแลช่วยเหลือให้ปฏบิ ัตงิ านที่ไดร้ ับมอบหมายให้ประสบ ความสำเร็จ อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างบรรยากาศในการทำงานให้ผู้ร่วมงานทุกคนเกิดความสำนึกใน หน้าที่ที่รับผิดชอบสร้างความรว่ มมือร่วมใจในการปฏบิ ัติงาน ส่งเสริมให้บุคลากรในสถานศึกษาพัฒนา ตนเองให้มีความสามารถ ในการปฏิบัตงิ านสูงข้ึน ได้แก่ 2.1 การวางแผนอตั รากำลังและกำหนดตำแหนง่ 2.2 การกำหนดความต้องการ หน้าที่และความรับผิดชอบของ 2.3 บกาคุ รลมาอกบรหมายหนา้ ท่ีและความรับผิดชอบ 2.4 การปฐมนิเทศบุคลากรใหม่ 2.5 การจัดสวัสดิการ 2.6 การนเิ ทศ ตดิ ตามผลการปฏิบัตงิ าน 2.7 การพฒั นาบุคลากร 2.8 การสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นไดศ้ ึกษาต่อ 2.9 การประเมินผลปฏบิ ตั ิงาน 2.10 การพจิ ารณาความดีความชอบ 2.11 การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัตงิ านของบคุ ลากร 2.12 งานวนิ ัยและนติ กิ ร 3. ด้านบรหิ ารทั่วไป งานดา้ นบริหารท่วั ไปเปน็ งานท่ีเกยี่ วข้องกบั ระบบสำนักงาน ช่ีงมขี อ้ กำหนดกฎเกณฑ์ และ วิธีการที่แน่นอน ไดแ้ ก่ 3.1 งานธรุ การและสารบรรณ 3.2 งานทะเบยี นและรายงาน 3.3 งานข้อมลู และสารสนเทศ 3.4 งานจัดทำแผนปฏบิ ัติการและการจัดระบบการศึกษา 3.5 งานอาคารสถานที่ ส่งิ แวดล้อม และความปลอดภยั 3.6 งานประชาสมั พันธ์ 3.7 งานสวัสดกิ าร 3.8 งานพระราชบญั ญัตกิ ารศึกษา 3.9 งานระเบียบ กฎหมาย กฎกระทรวง และขอ้ ปฏบิ ตั ติ า่ งๆ 3.10 กิจกรรม 5 ส.

17 4. ดา้ นงบประมาณ งานด้านงบประมาณ เปน็ งานทเ่ี กย่ี วข้องกบั ระบบการเงินและพัสดุ ได้แก่ 4.1 งานงบประมาณ 4.2 งานจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี 4.3 งานจัดตงั้ และการของบประมาณประจำปี 4.4 งานเบิกจา่ ยงบประมาณ 4.5 งานรายงานการใช้จา่ ยเงินงบประมาณประจำปี 4.6 การตรวจสอบ ตดิ ตาม และประเมนิ ประสิทธภิ าพการบรหิ ารงบประมาณ 4.7 การบรหิ ารการเงิน 4.8 การบรหิ ารการบัญชี 4.9 การบรหิ ารงานพสั ดุ 4.10 ระบบทรัพยากรและการลงทุนเพ่อื การศึกษา บทบาทของบุคลากรในการนเิ ทศ การสง่ เสริมให้กระบวนการนิเทศภายในโรงเรยี นดำเนินไปตามวัตถปุ ระสงค์และมีประสิทธิภาพ บทบาทของบุคลากรในการนิเทศนับว่ามีความสำคัญในการที่ใช้บทบาทที่เหมาะสมกับพฤติกรรมการ นเิ ทศ แบบใด มวี ธิ กี ารนิเทศตามข้ันตอนของแตล่ ะกิจกรรมอย่างไรที่จะนเิ ทศ บุคลากรการนิเทศ หมายถึง ผู้บริหารและคณะกรรมการนิเทศของสถานศึกษาแต่ละแห่ง มี บทบาทและภารกจิ สำคญั ดังน้ี 1. บทบาทในการส่งเสริมและจัดให้มีการนิเทศภายในโรงเรียน เพื่อให้เกิดการพัฒนา ตนเอง สามารถดำเนนิ งานตามนโยบายไดถ้ ูกตอ้ ง ทำหนา้ ทีน่ เิ ทศภายในโรงเรยี นได้อย่างสมบรู ณ์ 2. บทบาทในการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพครู โดยเฉพาะ การจัดการเรียนรู้ให้ดีขึ้น ส่งเสริมให้มีการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ นำมา ปรับใช้ ให้เหมาะสมกับครใู นโรงเรียน 3. บทบาทในการจัดประชุมอบรม มีการจัดประชุมอบรมในรูปแบบต่างๆ เช่น การ ประชุมปฏิบัติการ การสัมมนา อภิปรายกลุ่ม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องส่งเสริมให้ครูมีโอกาส เช้ารับ การอบรมในการพฒั นาวิชาชพี นำทักษะความรู้มาปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ 4. บทบาทในการติดตามประเมินผล ซึ่งจะช่วยให้ครูพัฒนาศักยภาพได้ดีขึ้น การ ประเมินเพื่อนำผลทไี่ ด้มาปรบั ปรุงแก้ไข ให้เกิดการพัฒนาเชงิ สร้างสรรค์ 5. บทบาทในการใช้กลุ่มโรงเรียน สมาคมวิชาชีพหรือเครือข่ายเป็นแนวทางเพื่อ ก่อให้เกิด ประโยชน์แก่ครูในโรงเรียน โดยใช่กลุ่มหรือเครือข่ายช่วยเหลือดว้ ยวิธีการต่างๆ เข่น การจัด ประชุม ทางวชิ าการ การศกึ ษาเอกสาร การศกึ ษาดงู าน ฯลฯ 6. บทบาทในการสร้างครูต้นแบบในสาขาวิชาต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลในการพัฒนา และเป็นแบบอยา่ งแกค่ รทู ่วั ไปได้

18 คณะกรรมการดำเนินการนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึง บุคลากรที่อยู่ในโรงเรียน เข่น ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ครูหัวหน้ากลุ่มงาน ครูหัวหน้าระดับชั้น หรือครูหัวหน้ากลุ่มสาระการ เรียนรู้ รวมไปถึงครูที่มีความรู้ความสามารถ มีความชำนาญ/เชีย่ วชาญ และประสบการณ์ด้านวิชาการ มีความรับผิดชอบสูงมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นที่ยอมรับของเพื่อนครู ดังนั้น คณะกรรมการดำเนินการ นิเทศ ภายในโรงเรยี นควรประกอบดว้ ย 1. โรงเรยี นขนาดใหญ่พิเศษ ขนาดใหญ่ และขนาดกลาง 1.1ผู้อำนวยการ ประธาน 1.2รองผูอ้ ำนวยการ รองประธาน 1.3ครูหวั <หบนร้าก>ลุม่1สาระการเรียนรร>ู้ กรรมการ 1.4ครูหัวHหJนรา้ >ระดtuบั ชHั้นJ กรรมการ 1.5ครูท่ไี ด้รับคัดเลอื กจากเพ่ือนครู กรรมการ 2. โรงเรยี นขนาดเล็ก 1.1ผอู้ ำนวยการ ประธาน 1.2หวั หนา้ งานวชิ าการ รองประธาน 1.3ครทู ่ีไดร้ ับคดั เลอื กจากเพ่ือนครู กรรมการ บทบาทของผู้นิเทศ ซ่งึ ประกอบดว้ ย ผบู้ รหิ าร หรอื ผทู้ ไ่ี ดร้ ับมอบหมาย ต้องมบี ทบาทหน้าท่ี ทแ่ี ตกต่างกนั เพอื่ ให้การนิเทศภายในโรงเรียนบรรลวุ ัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. กำหนดนโยบายของการนิเทศภายในโรงเรียน เช่น ส่งเสริมให้ใช้กระบวนการกลุ่ม ในการทำงานเพ่ือใหเ้ กิดความสามัคคีในหมู่คณะ เปน็ ตน้ 2. ส่งเสริมให้ครูมีความรู้ความเช้าใจเกี่ยวกับการนิเทศภายใน และหลักสูตรหรือ เรื่อง ส้นั ๆ ที่ครูสว่ นใหญ่ มีความต้องการในการพฒั นา ซงึ่ จะเป็นประโยชน์ตอ่ การปรับปรงุ การปฏิบตั ิงาน ใน หน้าทคี่ รู ตลอดจนมีเจตคติทีด่ ีตอ่ การนเิ ทศภายในโรงเรยี น 3. รว่ มประชุมวางแผนกบั คณะครูในโรงเรียนเพ่ือพฒั นาคุณภาพการเรยี นการสอน 4. สนับสนนุ ด้านงบประมาณ วสั ดุอุปกรณ์ ตลอดจนขวญั และกำลงั ใจ 5. กระตุ้นใหค้ รูเกดิ การต่ืนตัวอยเู่ สมอในด้านวชิ าการ 6. ปฏิบตั ิการนิเทศภายในโรงเรียนตามแผนการนเิ ทศของสถานศึกษา 7. เปิดโอกาสให้คณะครูมีส่วนร่วมในการดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียน และมี การ ประเมนิ ตนเอง 8. สร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ยกย,องชมเชยในท่ี ประชุม นำผลสำเร็จของการปฏิบัติงานมาแสดงให้ปรากฏแก,บุคคลอื่น แต่งตั้งคณะทำงานตามความ ถนดั และเปิดโอกาสใหแ้ สดงความสามารถอยา่ งเตม็ ท่ี 9. ตดิ ตามประเมนิ ผล และพัฒนาการดำเนินการนิเทศภายในโรงเรยี น แนวคดิ ในการปฏบิ ตั งิ านของผนู้ ิเทศ

19 ผู้บริหารสถานศึกษา และคณะกรรมการนิเทศภายในโรงเรียนควรเช้าใจและตระหนัก เกย่ี วกบั การนเิ ทศภายในโรงเรียน ดังน้ี 1. การเริ่มต้นจัดกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียนในระยะแรกควรหลีกเลี่ยงกิจกรรม ที่ต้องเผชิญหน้ากัน เช่น การสังเกตการสอน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเกิดความขัดแย้งได้ง่าย ควรเลือกกิจกรรมที่สร้างความคุ้นเคย เช่น การให้คำปรึกษาหารือ การศึกษาเอกสารทางวิชาการ หรือ การศึกษาดูงาน เมื่อครูคุ้นเคยกับการนิเทศภายในโรงเรียน และมีความพร้อมจึงใช้กิจกรรมสังเกตการ สอน 2. ความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การนิเทศภายใน โรงเรยี นประสบความสำเรจ็ การใชก้ ระบวนการกลุ่มดำเนินงานจะทำให้ได้ผลดเี ปน็ อยา่ งมาก 3. กิจกรรมที่ใช้ในการนิเทศ ควรตอบสนองต่อปัญหา ซึ่งต้องร่วมกันพิจารณา อย่าง รอบคอบ โดยผลทเ่ี กดิ จากการแกป้ ัญหา ให้เน้นการพัฒนาบุคลากรและพฒั นางาน 4. คณะกรรมการนิเทศ ควรศึกษาหาความรู้และประสบการณ์ เพื่อนำมาใช้ในการ นเิ ทศ ครูในสถานศึกษา 5. สรา้ งศรัทธาและความเชา้ ใจอนั ดกี บั ผรู้ ับการนเิ ทศ บทบาทของผรู้ บั การนิเทศ การนเิ ทศภายในโรงเรียนจะประสบผลสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อผู้รับการนเิ ทศ จะต้องให้ความร่วมมอื ในการดำเนนิ การนเิ ทศ ดังนี้ 1. ร่วมกิจกรรมในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และการจดั ทำแผนการนิเทศภายในโรงเรยี น 2. นำแนวทางท่ีไดร้ ับจากการนเิ ทศไปแก้ไขปัญหาหรือพฒั นางาน 3. เสนอปญั หาต่อผูน้ ิเทศ เม่ือพบปัญหาระหว่างการปฏบิ ตั งิ านเพ่อื ร่วมกันหาแนวทางแก้ไข 4. ให้ความร่วมมือในการประเมินผลการนิเทศ

20 บทที่ 3 แนวทางการดำเนินการนิเทศภายในโรงเรยี น การนิเทศภายในโรงเรียน เป็นงานที่ช่วยพัฒนาครูในด้านต่างๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์สูงสุดจาก ทรัพยากร บุคลากรภายในโรงเรียน รวมทั้งการสร้างความร่วมมือและการแกไขปัญหาการทำงาน ร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านวิชาการเกี่ยวกับการเรียนการสอน เพื่อให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของ การศึกษา บุคลากรภายในโรงเรียน ที่สามารถนิเทศได้นอกจากผู้บริหารแล้วคือ ครูที่มีประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย จำนวนผู้รับการนิเทศ เวลา และทรัพยากรอื่นๆ ในการ จัดทำโครงการนิเทศนั้น ควรจะได้ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการนิเทศ จัดทำ แผนการนิเทศ แล้วจึงนำแผนไปสู่การปฏิบัติตามจุดมุ่งหมาย ที่วางไว้ ควรมีการประเมินผลการนิเทศ เพื่อนำไปปรับปรุง และพัฒนาการเรยี นการสอน ในการดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียนเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ต้องอาศัยกระบวนการนิเทศ และ การนิเทศการศึกษา รวมถึงกิจกรรมการนิเทศหรือเทคนิควิธีการในการนิเทศ ซึ่งได้สรุปและรวบรวมไว้ เพ่ือเป็นประโยชนก์ ับผูน้ เิ ทศ 4 เร่ือง ดงั นี้ 1. กระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน 2. เทคนคิ วิธกี ารนิเทศภายในโรงเรียน 3. กิจกรรมการนเิ ทศ 4. มาตรฐานการนเิ ทศภายในโรงเรยี น กระบวนการนิเทศภายในโรงเรยี น กระบวนการนิเทศ มีความเชื่อมโยงและเป็นกระบวนการที่เกี่ยวพันกันกับกระบวนการนิเทศ การศึกษา ซึ่งการดำเนินการในการนิเทศให้ได้รับความสำเร็จ สิ่งสำคัญในการจัดการนิเทศการศึกษาก็ คอื จะดำเนินการอยา่ งไรจึงจะทำใหป้ ระสบผลสำเรจ็ ตามเป้าหมายที่ไดว้ างไว้ ขน้ั ตอนในการปฏิบัติงาน ทางการนิเทศการศึกษาเรยี กได้อกี อยา่ งหนึง่ วา่ “กระบวนการนิเทศ” เนอื่ งจากกระบวนการเปน็ เทคนิค วิธี ในการทำงาน ดังน้นั กระบวนการทำงานของแต่ละบคุ คลย่อมจะมีความแตกตา่ งกนั ไปบา้ ง นักการศึกษาได้กำหนดกระบวนการนิเทศการศึกษาไว้หลายรูปแบบให้ยึดเป็นหลักในการ ปฏบิ ตั ิ เช่น 1. กระบวนการนิเทศของแฮริส (Harris) แฮริส ได้กำหนดขั้นตอนของกระบวนการนิเทศ การศกึ ษาไว้ 5 ขั้นตอน ดงั นี้ 1.1 ขั้นวางแผน (Planning) ได้แก่ การคิด การตั้งวัตถุประสงค์ การคาดการณ์ล่วงหน้า การกำหนดตารางงาน การด้นหาวธิ ีปฏบิ ตั ิงาน และการวางโปรแกรมงาน 1.2 ขั้นการจัดโครงการ (Organizing) ได้แก่ การตั้งเกณฑ์มาตรฐาน การรวบรวม ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งคนและวัสดุอุปกรณ์ ความสัมพันธ์แต่ละขั้น การมอบหมายงาน การประสานงาน การกระจายอำนาจตามหนา้ ที่ โครงสรา้ งขององค์การ และการพัฒนานโยบาย 1.3 ขั้นการนำเช้าสู่การปฏิบัติ (Leading) ได้แก่ การตัดสินใจ การเลือกสรรบุคคล การ เร้าจูงใจให้มีกำลังใจคิดริเร่ิมอะไรใหม่ๆ การสาธิต การจูงใจ และให้คำแนะนำ การสื่อสาร การกระตุ้น สง่ เสรมิ กำลงั ใจ การแนะนำนวัตกรรมใหมๆ่ และให้ความสะดวกในการทำงาน

21 1.4 ขั้นการควบคุม (Controlling) ได้แก่ การสั่งการ การให้รางวัล การลงโทษ การให้ โอกาส การตำหนิ การไล่ออก และการบังคบั ให้กระทำตาม 1.5 ข้นั ประเมินผล (Appraising) ไดแ้ ก่ การตัดสินการปฏิบตั ิงาน การวจิ ยั และการวัดผล การปฏิบัติงาน กิจกรรมที่สำคัญ คือ พิจารณาผลงานในเชิงปฏิบัติว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด และวัดผล ดว้ ยการประเมนิ อยา่ งมีแบบแผน มิความเทยี่ งตรง ทง้ั นี้ ควรจะมกี ารวจิ ยั ด้วย ต่อมาแฮริสได้พัฒนาให้มิความสมบูรณ์เหมะสมกับการนิเทศมากขึ้น โดยเน้นการวางแผน ปฏบิ ตั ิงานมากกว่าการควบคุมงาน ทำใหม้ ขี นั้ ตอนเพ่ิมขึน้ เป็น 6 ขน้ั ตอน ดังนี้ 1. ประเมินสภาพการทำงาน (Assessing) เป็นกระบวนการศึกษาถึงสถานภาพต่างๆ รวมทั้งข้อมูลที่จำเป็นเพื่อจะนำมาเป็นตัวกำหนดถึงความต้องการจำเป็นเพื่อก่อให้เกิดความ เปลี่ยนแปลง ซ่งึ ประกอบดว้ ยงานตอ่ ไปน้ี คอื 1.1 วิเคราะหข์ ้อมูลโดยการศกึ ษาหรอื พิจารณาธรรมชาติ และความสมั พนั ธ์ ของสง่ิ ต่างๆ 1.2 สงั เกตสิง่ ตา่ งๆ ด้วยความรอบคอบลถี่ ว้ น 1.3 ทบทวนและตรวจสอบสงิ่ ต่างๆ ดว้ ยความระมัดระวงั 1.4 วดั พฤตกิ รรมการทำงาน 1.5 เปรยี บเทยี บพฤตกิ รรมการทำงาน 2.จัดลำดับความสำคัญของงาน (Prioritizing) เป็นกระบวนการกำหนดเป้าหมาย จุดประสงค์ และกิจกรรมต่างๆ ตามลำดบั ความสำคญั จะประกอบดว้ ยงานตอ่ ไปน้ี คอื 1.6 กำหนดเปา้ หมาย 1.7 ระบุจุดประสงค์ในการทำงาน 1.8 กำหนดทางเลือก 1.9 จดั ลำดับความสำคัญ 3.ออกแบบการทำงาน (Designing) เป็นกระบวนการวางแผนหรือกำหนดโครงการต่างๆ เพอื่ ก่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงโดยประกอบด้วยงานต่อไปน้ี คือ 1.10 จดั สายงานใหส้ ว่ นประกอบต่างๆ มิความสัมพนั ธก์ ัน 1.11 หาวธิ ีการนำเอาทฤษฎีหรือ แนวคิดไปสกู่ ารปฏิบัติ 1.12 เตรียมการต่างๆ ให้พร้อมท่จี ะทำงาน 1.13 จัดระบบการทำงาน 1.14 กำหนดแผนในการทำงาน 4.จัดสรรทรัพยากร (Allocating Resources) เป็นกระบวนการกำหนดทรัพยากรต่างๆ ใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ ในการทำงาน ซึ่งประกอบดว้ ยงานต่อไปนี้ คอื 1.15 กำหนดทรัพยากรท่ีต้องใชต้ ามความต้องการของหน่วยงานต่างๆ 1.16 จัดสรรทรัพยากรไปให้หน่วยงานตา่ งๆ 1.17 กำหนดทรัพยากรทจี่ ำเปน็ จะต้องใชส้ ำหรับจุดมุ่งหมายบางประการ 1.18 มอบหมายบุคลากรใหท้ ำงานในแต่ละโครงการหรือแตล่ ะเป้าหมาย

22 5.ประสานงาน (Coordinating) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับคน เวลา วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกทุกๆ อย่าง เพื่อจะให้การเปลี่ยนแปลงบรรลุผลสำเร็จงานใน กระบวนการ ประสานงาน ไดแ้ ก่ 1.19 ประสานการปฏิบัติงานในฝ่ายตา่ งๆ ให้ดำเนนิ งานไปดว้ ยกันดว้ ยความราบร่ืน 1.20 สร้างความกลมกลืนและความพร้อมเพยี งกนั 1.21 ปรับการทำงานในส่วนตา่ งๆ ให้มีประสิทธิภาพให้มากท่ีสดุ 1.22 กำหนดเวลาในการทำงานในแต่ละชว่ ง 1.23 สร้างความสมั พันธใ์ หเ้ กิดข้ึน 6. นำการทำงาน (Directing) เป็นกระบวนการทีมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิด สภาพท่เี หมาะสมอนั จะสามารถบรรลุผลแหง่ การเปล่ียนแปลงให้มากท่ีสุด ซงึ่ ไดแ้ ก่ 1.24 การแต่งตง้ั บคุ ลากร 1.25 กำหนดแนวทางหรือกฎเกณฑ็ในการทำงาน 1.26 กำหนดระเบียบแบบแผนเกีย่ วกับเวลา ปรมิ าณหรืออัตราเรว็ ในการทำงาน 1.27 แนะนำและปฏิบัตงิ าน 1.28 ข้แึ จงกระบวนการทำงาน 1.29 ตดั สนิ ใจเกี่ยวกบั ทางเลือกในการปฏิบตั งิ าน (ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2548: 41 - 43) 2. กระบวนการนเิ ทศการศึกษาของแอลเลน (Allen) (อา้ งถงึ ใน สงดั อทุ รานันท์ 2530: 76 - 79) ประกอบด้วยกระบวนการหลกั 5 กระบวนการ ท่ีเรียกว่า “POLCA” คือ 2.1 กระบวนการวางแผน (Planning Processes) เป็นกระบวนการในวางแผนโดยคิดถึง ลิ่งที่จะทำว่ามีอะไรบ้าง กำหนดแผนงานว่าจะทำสิ่งไหน เมื่อไหร่ กำหนดจุดประสงค์ในการทำงาน คาดคะเนผลทจ่ี ะเกิดจากการทำงาน พฒั นากระบวนการทำงาน และวางแผนในการทำงาน 2.2 กระบวนการจัดสายงาน (Organizing Processes) เป็นกระบวนการจัดสายงานหรือ จัดบุคลากรต่างๆ เพื่อทำงานตามแผนงานที่วางไว้โดยกำหนดเกณฑ์มาตรฐานในการทำงาน ประสานงาน กับบุคลากรต่างๆ ที่จะปฏิบัติงาน จัดสรรทรัพยากรต่างๆ สำหรับการดำเนินงาน มอบหมายงานให้ บุคลากรฝ่ายต่างๆ จัดให้มีการประสานงานสัมพันธ์กันระหว่างผู้ทำงาน จัดทำ โครงสรา้ งในการปฏิบัตงิ าน จัดทำภาระหน้าทขี่ องบุคลากร และพัฒนานโยบายในการทำงาน 2.3 กระบวนการนำ (Leading Processes) เปน็ กระบวนการนำบุคลากรต่างๆ ให้ทำงาน นั้น ประกอบด้วยการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ให้คำปรึกษาแนะนำ สร้างนวัตกรรมในการทำงาน ทำ การสื่อสาร เพื่อความเข้าใจในคณะทำงาน สร้างแรงจูงใจในการทำงาน เร้าความสนใจในการทำงาน อำนวยความสะดวก ในการทำงาน ริเริ่มการทำงาน แนะนำการทำงาน แสดงตัวอย่างในการทำงาน บอกข้ันตอนการทำงาน และสาธติ การทำงาน 2.4 กระบวนการควบคุม (Controlling Processes) เป็นกระบวนการในการควบคุม ประกอบดว้ ย การช่วยแกไ่ ขการทำงานท่ีไม่ถูกต้อง การว่ากลา่ วตกั เตือนในสิง่ ทผี่ ดิ พลาด การกระตุ้นให้ ทำงาน การปลดคนที่ไม่มีคุณภาพให้ออกจากงาน การสร้างกฎเกณฑ์ในการทำงาน และการลงโทษ ผกู้ ระทำผดิ

23 2.5 กระบวนการประเมินผลการทำงาน (Assessing Processes) ประกอบด้วย การ พิจารณา ตัดสินเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน การวัดและประเมินพฤติกรรมในการทำงาน และ การวิจัยผลการปฏิบตั งิ าน 3. กระบวนการนเิ ทศแบบ PIDRE ของสงดั อุทรานนั ท์ (อา้ งใน วัชรา เล่าเรยี นดี 2550: 25 - 26) ดร.สงัด อุทรานันท์ ได้กล่าวสรุปไว้ว่ากระบวนการนิเทศการศึกษา มี 5ขั้นตอน ในการ ดำเนินการ คือ ขั้นที่ 1 วางแผนการนิเทศ (Planning-P) ขั้นที่ 2 ให้ความรู้ ความเข้าใจในการทำงาน (lnforming-1) ขั้นที่ 3 ลงมือปฏิบัติงาน (Doing-D) ขั้นที่ 4 สร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing-R) ขั้นที่ 5 ประเมินการนเิ ทศ (Evaluating-E) กระบวนการนิเทศการศึกษา ในกรณีที่ทำแลว้ ไดผ้ ลดี จากรูปแบบกระบวนการนิเทศ มีรายละเอียดในการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและ ตอ่ เนอ่ื งกนั ดังนี้ คือ ขัน้ ที่ 1 วางแผนการนิเทศ (Planning-P) เป็นขั้นที่ผูบ้ ริหารผ้นู เิ ทศและผ้รู ับการนิเทศจะทำ การประชุมปรึกษาหารือเพื่อให้ได้มาซึ่งปัญหาและความต้องการจำเป็นที่จะต้องมีการนิเทศ รวมท้ัง วางแผนถึงขนั้ ตอนการปฏิบตั ิงานเกยี่ วกบั การนิเทศที่จะจัดขน้ึ อกี ด้วย ขั้นที่ 2 ให้ความรูใ้ นสิ่งที่จะทำ (Informing-I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้ความเขา้ ใจถึง สิ่งที่จะดำเนินงานว่าจะต้องอาศัยความรู้ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขั้นตอนในการดำเนินการ อย่างไร และจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ได้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ขั้นนี้จำเป็นทุกครั้งสำหรับการ

24 เรมิ่ การนเิ ทศ ที่จดั ข้นึ ใหม่ไม,ว่าจะเป็นเร่ืองใดก็ตาม และก็มีความจำเป็นสำหรับงานนิเทศท่ียังไม,ได้ผล หรอื ไดผ้ ล ไม,ถงึ ขนั้ ทพ่ี อใจซง่ึ จำเป็นจะต้องทำการทบทวนใหค้ วามรู้ในการปฏิบตั ิงานทถ่ี กู ต้องอีกคร้ังหน่ึง ขนั้ ที่ 3 การปฏิบัติงาน (Doing -D) ประกอบดว้ ยงานใน 3 ลักษณะ คอื 3.1 การปฏบิ ัตงิ านของผู้รับนเิ ทศเป็นขนั้ ทผ่ี รู้ ับการนิเทศลงมือปฏบิ ตั ิงานตาม ความรู้ความสามารถที่ได้รบั มาจากดำเนินการในขั้นท่ี 2 3.2 การปฏิบัติงานของผูใ้ ห้การนเิ ทศ ข้นั นผี้ ูใ้ หก้ ารนเิ ทศจะทำการนิเทศและ ควบคุมคุณภาพให้งานสำเร็จออกมาทนั ตามกำหนดเวลาและมีคุณภาพสูง 3.3 การปฏิบตั ิงานของผู้สนบั สนุนการนเิ ทศ ผบู้ ริหารก็จะให้บริการสนับสนนุ ใน เร่อื งวสั ดุ อปุ กรณ์ ตลอดจนเคร่อื งใชต้ า่ งๆ ท่ีจะชว่ ยให้การปฏบิ ัติงานเป็นไปอย่างไดผ้ ล ขน้ั ที่ 4 การสรา้ งขวญั และกำลังใจ (Reinforcing-R) ข้ันน้ีเป็นขั้นของการเสริมกำลงั ใจ ของ ผู้บริหารเพื่อให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจและบังเกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงานขั้นนี้ อาจจะ ดำเนนิ การไปพรอ้ มๆ กันกับผูท้ ่ีรับการนเิ ทศกำลังปฏิบตั งิ านหรอื การปฏิบตั งิ านไดเ้ สรจ็ สน้ิ ลงไปแล้วก็ได้ ขั้นที่ 5 ประเมินผลผลิตของการดำเนินงาน (Evaluating-E) เป็นขั้นที่ผู้นิเทศทำการ ประเมินผล การดำเนนิ การซึ่งผา่ นไปแล้วว่าเปน็ อย่างไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศ หากพบว่ามี ปัญหาหรือ อุปสรรคอย่างหนึ่งอย่างใดที่ทำให้การดำเนินงานไม่ได้ผลก็สมควรจะต้องทำการปรับปรุง แก้ไข ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขอาจจะทำได้โดยการให้ความรู้ในสิ่งที่ทำใหม่อีกครั้งหนึ่ง สำหรับก รณีท่ี ผลงานออกมา ยังไม่ถึงขั้นที่พอใจ หรือดำเนินการปรับปรุงการดำเนินงานทั้งหมด สำหรับกรณีการ ดำเนินงานไม,ได้ผล และล้าหากการประเมินผล พบว่าประสบผลสำเร็จตามที่ได้ตั้งไว้หากจะได้ ดำเนินการนเิ ทศต่อไปกส็ ามารถ ทำไปไดเ้ ลยโดยไม,ตอ้ งให้ความรู้ในเร่ืองนน้ั อีก การดำเนินการนิเทศตามวัฏจักรนจี้ ะเป็นไปอยา่ งต่อเน่ืองและไม,หยุดนงึ่ จนกวา่ จะบรรลุผล ตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ หรือพัฒนาผู้รับการนิเทศให้เป็นไปตามต้องการหากบรรลุสำเร็จตาม จุดมุ่งหมาย แล้ว ต้องการจะหยุดกระบวนการทำงานก็ถือว่าการนิเทศได้สิ้นสุดลง หากต้องการเริ่ม นเิ ทศในสิง่ ใหม่ หรือตงั้ เป้าหมายใหม่ ก็จะตอ้ งดำเนินการต้งั แตเ่ รม่ิ แรกอีก ดังแสดงใหเ้ หน็ ความตอ่ เน่ือง ของกระบวนการ นเิ ทศการศกึ ษาในภาพดงั ต่อไปน้ี เรื่องที่ 1 ความต่อเนื่องของกระบวนการนิเทศการศึกษาในเรื่องตา่ งๆ เร่ืองท่ี 2

25 4. กระบวนการนเิ ทศแบบ PDCA กระบวนการนเิ ทศการศึกษาของหน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศกึ ษา (หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา จังหวัดสุราษฎร์ธานี, 2545: 15 - 16) ได้ใช้กระบวนการ PDCA ในการดำเนินการ มี ขน้ั ตอนของการวางแผนการนิเทศที่สำคญั ดงั น้ี ขั้นตอนที่ 1 ดำเนินการวางแผน เป็นขั้นเตรียมการนิเทศโดยศึกษาข้อมูลสารสนเทศ ประมวลสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาการศึกษา กำหนดจุดมุ่งหมายการนิเทศ จัดทำ แผน การนิเทศ กำหนดเน้อื หาการนเิ ทศ ออกแบบการนเิ ทศ สอื่ นิเทศ จดั เตรยี มเคร่ืองมอื นิเทศ กำหนด กรอบ การประเมิน วิธกี ารติดตามและการรายงานผลการนเิ ทศ และขออนมุ ัตโิ ครงการ งบประมาณ ขั้นตอนที่ 2 ดำเนินการตามแผนนิเทศ โดยประชุมเพื่อทบทวนจุดมุ่งหมายการนิเทศ แบ่ง หน้าที่ ภารงานในการนิเทศ ประสานงานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และนิเทศตามแผนด้วยรูปแบบ เทคนิค วิธกี าร ทกี่ ำหนด ขั้นตอนท่ี 3 ดำเนนิ การตรวจสอบและประเมินผล เพอ่ื ประเมินผลการปฏิบัตงิ านว่าเป็นไป ตามจุดมุ่งหมายหรือไม, และมีสภาพการจัดการเรียนการสอนที่ครูปฏิบัติจริง ปัญหา อุปสรรค ที่เป็น ขอ้ มูล สารสนเทศท่ตี อ้ งตรวจสอบดูใหม่ ขั้นตอนที่ 4 การนำผลการประเมินมาปรับปรุง เมื่อสิ้นสุดผลการนิเทศแต่ละครั้ง ควร รายงานผล ให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยทำเป็นบันทึกข้อความ หรือแบบรายงานที่กำหนดไว้ในหัวข้อ ประเด็นต่างๆ เช่น ผู้นิเทศ ผู้รับการนิเทศ วันเดือนปที ี่นเิ ทศ กิจกรรมที่นิเทศ เนื้อหาสาระทีน่ ิเทศ การ ประเมินผลของ ผ้รู ับการนเิ ทศ และข้อควรพัฒนา

26 กระบวนการนิเทศการศึกษา ได้ใช้กระบวนการ PDCA ในการดำเนินการมีขั้นตอนของ การวางแผนการนเิ ทศเปน็ ส่วนสำคัญ ดงั นี้ จากกรอบแนวคิดการดำเนินงานในการวางแผนการนิเทศการศึกษา กำหนดเป็นขั้นตอน ท่ีนำไปใชใ้ นการดำเนนิ งานนเิ ทศภายในโรงเรียน 5. กระบวนการนิเทศเซงิ ระบบ (System Approach) สำนกั งานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั (2555: 6 - 17) ไดใ้ ช้ กระบวนการเชิงระบบที่ทำให้การนิเทศบรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อผลลัพธ์ ที่กำหนดอยู่บนพื้นฐานหลักการความต้องการเป็นรูปแบบหนึ่งของการแก้ปัญหาเชิงตรรถวิทยา ซ่ึง ประกอบด้วย สิ่งที่ป้อนเข้าไป (Input) กระบวนการหรือการดำเนินงาน (Process) ผลผลิตหรือการ ประเมินผล (Output) ในการดำเนินงานนิเทศภายใน ดงั นี้ 5.1 สิ่งที่ป้อนเข้าไป (Input) เป็นขั้นตอนการเตรียมการสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ใน กระบวนการนเิ ทศภายใน ดังน้ี

27 5.1.1 กำหนดเกณฑ์ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน โดยวิธีวิเคราะห์ ตีความตามนโยบายของหน่วยงานต้นสังกัดตามลำดับ กำหนดเกณฑ์ (ระดับ) ของพฤติกรรมข้ันต่ำที่ บรรลเุ ป้าหมาย 5.1.2 สภาพปัจจบุ นั อาจสรุปจากข้อมลู ที่มีอยู่ เช่น ผลการเรียน หรือโดยการสร้าง เครื่องมือวัดตามประเด็นและนำมากำหนดเป็นเกณฑ์ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างต่างๆ ที่ เหมาะสม 5.1.3 ประเมินสภาพความต้องการจำเป็นของสถานศึกษา โดยเปรียบเทียบข้อมูล สถานศึกษากบั เกณฑ์จดั ลำดับความสำคัญของปัญหาและวิเคราะห์สาเหตขุ องปัญหา 5.1.4 กำหนดเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาโดยศึกษาจากแหล่งวิทยาการต่างๆ ศึกษา ข้อจำกัดต่างๆ เพื่อกำหนดเปน็ เป้าหมาย (นโยบายระดับสถานศกึ ษา)ท้ังดา้ นคณุ ภาพ/ดา้ นปรมิ าณ 5.1.5 วางแผนการแก้ปัญหา (หาทางเลือก) ศึกษาสภาพปัญหาและศึกษาวิธีการ แก้ปัญหาจากแหล่งต่างๆ เช่น จากเอกสารการศึกษาดูงาน การเชิญวิทยากร การเชิญผู้เชี่ยวชาญ หรือ การระดมพลังสมอง เพื่อหาทางเลือกและประเมินทางเลือกโดยพิจารณาจากทรัพยากรและข้อจำกัด ต่างๆ และเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เช่น การวิจัย ผลิตสื่อการจัดอบรมให้กำหนดกิจกรรม และ ทำแผนปฏบิ ตั ิการ (เขยี นโครงการ) 5.2 กระบวนการหรือการดำเนินงาน (Process) เป็นการนำเอาสิ่งที่ป้อนเข้าไปมาจัดกระทำ เพื่อให้เกิดผลบรรลุตามวัตถุประสงค์ ที่ต้องการและดำเนนิ การตามแผน โดยการประชุมคณะทำงาน ดำเนินการนิเทศตามแผน ติดตาม และ ประเมินตามแผนท่ีได้ดำเนนิ การ 5.3 ผลผลติ หรือการประเมินผล (Output) เป็นผลที่ได้จากการกระทำในขั้นที่สอง เป็นสภาพการดำเนินงานของสถานศึกษา ทัง้ เชงิ ปริมาณ เชงิ คณุ ภาพ สภาพปญั หา และแนวทางการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพ การติดตามและประเมินผลได้กำหนดเครื่องมือในการติดตามและประเมินผลตาม เกณฑ์เครื่องมือในการติดตามและประเมินผลกระบวนการและกำหนดกระบวนการในการติดตามและ ประเมนิ ผล นอกจากนี้กศน.ได้แบ่งการนิเทศเป็น2ลักษณะคือการนิเทศภายนอก (External Supervision) และการนิเทศภายใน (Internal Supervision) ซึ่งเป็นการนิเทศโดยบุคลากรที่อยู่ใน หน่วยงานเดียวกัน เป็นการมองงานและพัฒนางานโดยผู้ร่วมปฏิบัติงานด้วยกัน ซึ่งสามารถช่วย แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้ทันทีวงที และสามารถพัฒนางานให้ดีขึ้น เพราะได้รับความช่วยเหลือจาก ผบู้ ริหาร ลดช่องวา่ งระหวา่ ง ผบู้ ริหารและผู้ปฏบิ ัตงิ านได้ กระบวนการนิเทศ มีขน้ั ตอนที่สำคัญ ดังนี้ 1. ศึกษาสภาพปญั หาหรือศึกษาหาความจำเปน็ ของการนิเทศ 2. วางแผนการนเิ ทศ 3. เตรยี มการนิเทศ 4. ปฏบิ ัตกิ ารนิเทศ 5. ประเมินผลและปรับปรงุ การนิเทศ 6. รายงานผลการนเิ ทศ

28 1. การหาความต้องการและความจำเป็นของการนิเทศ ผู้บริหารหรือผู้นิเทศภายในมักจะถามตนเองว่าทำไมจึงต้องนิเทศงานนั้นๆ เรามักจะ ได้ คำตอบวา่ เพราะงานน้นั ยงั มีปัญหาอุปสรรคในการดำเนนิ งาน หรือการจัดการเรียนการสอนยังไม,มี ประสิทธิภาพ ผู้นิเทศอาจศึกษาจากรายงานการปฏิบัติงาน หรือผลการเรียนของนักศึกษา หรือจาก การสำรวจ ตดิ ตาม สัมภาษณ์ ทำใหเ้ ราสามารถทราบวา่ จะวางแผนแกป้ ญั หาหรอื พฒั นางานไดอ้ ยา่ งไร 2. การวางแผนการนเิ ทศ ผลจากการศึกษาปัญหาข้างต้น ทำให้เราต้องวางแผนแก้ปัญหาหรือพัฒนางานนั้นๆ โดยการวางแผนการนิเทศร่วมกับผู้บริหารและผู้นิเทศภายในโดยมีจุดประสงค์การกำหนดแผนการ ทำงาน วิธีการ เครื่องมือ สื่อ การประสานงานบุคคลที่เกี่ยวข้อง การจัดสรรงบประมาณ และการ ประเมินผล การวางแผนการนิเทศเป็นการเตรียมการเพื่อปฏิบัติการนิเทศอย่างมีระบบ แผนการ นิเทศเป็นแผนพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะแผนนิเทศด้วยการเรียนการสอน ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนา คุณภาพการจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย แผนนิเทศที่ดีต้อง ประกอบดว้ ย 2.1 การสำรวจสภาพปญั หาและความตอ้ งการของการนเิ ทศ 2.2 การวางแผนการนิเทศ 2.3 สร้าง/เลือกเครื่องมือและเทคนคิ การนิเทศ 2.4 การปฏิบตั ิตามแผน 2.5 การสรปุ รายงานผลการนิเทศ 3. การเตรยี มการนิเทศ การเตรียมการนิเทศเพื่อสามารถปฏิบัติการนิเทศให้บรรลุเป้าหมายโดยเตรียมการ อนุมัติโครงการ งบประมาณ การประสานงานบุคคลที่เกี่ยวข้อง กำหนดเนื้อหาในการนิเทศ จัดเตรียม เคร่ืองมอื /สอ่ื นิเทศ วธิ ีการนเิ ทศ วิธกี ารตดิ ตามผลและการรายงานผลการนเิ ทศ 4. การปฏิบัตกิ ารนิเทศ ในการนิเทศเราสามารถใชห้ ลายๆ วิธีตามความเหมาะสม แต่เราก็ควรวางแผนวิธกี าร นิเทศใหส้ อดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์ทวี่ างไว้ 5. การประเมนิ ผลและปรับปรงุ การนเิ ทศ เมื่อปฏิบัติการนิเทศแล้วควรจะมีการประเมินผลการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตาม วัตถุประสงค์หรือไม่ผลการนิเทศเป็นอย่างไร หากมีปัญหาคงต้องตรวจสอบดูใหม่ แล้วปรับปรุงการ นเิ ทศ และประเมินผลอีกครง้ั เม่ือพอใจแล้วจงึ ถือว่าการนเิ ทศนน้ั ประสบผลสำเรจ็ 6. การรายงานผลการนเิ ทศ เมื่อสิ้นสุดผลการนิเทศแต่ละครั้ง ควรรายงานผลให้ผู้บังคับบัญชาทราบ โดยทำเป็น บันทึกข้อความ หรอื แบบรายงาน ท่กี ำหนดไว้ในหัวข้อประเดน็ ต่างๆ เชน่ - ผนู้ ิเทศ (ใครคือผู้นเิ ทศ) - ผรู้ ับการนิเทศ - วนั เดอื นปีทีน่ ิเทศ - กจิ กรรมท่นี ิเทศ

29 - เนื้อหาสาระท่ีนิเทศ - การประเมินผลของผู้รับการนเิ ทศ 6. กระบวนการนเิ ทศภายในโรงเรยี น ของ ดร.วัชรา เลา่ เรยี นดี ดร.วัชรา เล่าเรียนดี (2550: 27 - 28) ได้เสนอกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนในการ ปรับปรงุ และพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนในช้ันเรียนโดยตรง ดังนี้ 6.1 วางแผนร่วมกันระหวา่ งผู้นิเทศและผู้รบั การนิเทศ (ครูหรือคณะครู) 6.2 เลอื กประเดน็ หรอื เรื่องทสี่ นใจจะปรับปรงุ พฒั นา 6.3 นำเสนอโครงการพัฒนาและขั้นตอนการปฏิบัติใหผ้ ู้บรหิ ารโรงเรยี นได้รับทราบ และ ขออนมุ ตั ิการดำเนนิ การ 6.4 ให้ความรู้หรือแสวงหาความรู้จากเอกสารต่างๆ และการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เกี่ยวกับเทคนิคการสังเกตการณ์สอนในชั้นเรียน และความรู้เกี่ยวกับวิธีสอนและนวัตกรรมใหม่ๆ ท่ีน่าสนใจ 6.5 จัดทำแผนการนิเทศ กำหนด วัน เวลา ที่จะสังเกตการสอน ประชุมปรึกษาหารือ เพื่อการแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ และประสบการณ์ 6.6 ดำเนินการตามแผนโดยครแู ละผู้นิเทศ (แผนการจัดการเรียนร้แู ละแผนการนเิ ทศ) 6.7 สรุปและประเมินผลการปรบั ปรงุ และพัฒนารายงานผลสำเร็จ สรุปไดว้ า่ กระบวนการนิเทศภายในต้องดำเนินการอยา่ งเป็นระบบ มีชน้ั ตอนในการดำเนินการ ทช่ี ัดเจนและต่อเนือ่ งสมั พนั ธ์กนั โดยมขี น้ั ตอนทสี่ ำคัญอยู่ 4 ช้ันตอน ได้แก่ 1. การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการนิเทศ สภาพที่เป็นจริงตามตัว บ่งชี้ ด้านต่างๆ ของโรงเรียนขณะนั้น มีการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลตัวบ่งชี้คุณภาพต่างๆ ตามเกณฑ์ มาตรฐานต่ำ ที่สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติกำหนด มีการสำรวจและประเมิน ความตอ้ งการ ของครู จัดลำดบั ความสำคัญของปัญหาและความต้องการ ตลอดจนวิเคราะห์สาเหตุของ ปัญหาและ จัดลำดับความสำคัญของสาเหตุ กำหนดทางเลือกในการแกป้ ัญหา และการดำเนินการตาม ความต้องการ 2. การวางแผนการนเิ ทศ เป็นการนำข้อมูลผลการวิเคราะห์สภาพปัจจบุ ัน ปัญหา สาเหตุของ ปัญหา และความต้องการ มากำหนดกิจกรรมและแนวทางการปฏิบัติงานนิเทศ การวางแผนนิเทศ ภายในโรงเรียน เป็นชั้นตอนที่นำเอาทางเลือกที่จะดำเนินการมารวมกันกำหนดรายละเอียดกิจกรรม และจดั ลำดบั ชั้นตอน การปฏิบตั ิ เขียนเป็นโครงการนเิ ทศภายในโรงเรยี น 3. การปฏิบัติการนิเทศ เป็นการดำเนินการนิเทศตามกิจกรรมที่กำหนดในโครงการนิเทศ ภายใน โรงเรียนในการปฏิบัตกิ ารนเิ ทศภายในโรงเรยี น ผ้บู ริหารโรงเรียนหรอื ผนู้ เิ ทศจะต้องนำหลักการ นิเทศ เทคนิค ทักษะ สื่อ กิจกรรม และเครื่องมือนิเทศไปไข้ไห้เหมาะสมกับสถานการณ์และบุคลากร ผู้รับการนิเทศ เพื่อให้การปฏิบัติกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียนดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อย ผู้บริหาร และผู้นิเทศ ควรเตรียมความพร้อมก่อนการนิเทศแล้ว จึงปฏิบัติการนิเทศเพื่อเสริมแรงให้ กำลังใจ รับทราบปัญหา ความต้องการของผู้รับการนิเทศแล้วนำปัญหาความต้องการนั้นมาพิจารณา หาทางช่วยเหลือสนับสนนุ

30 4. การประเมินผล เป็นการตรวจสอบความสำเร็จของโครงการกับวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ท่ีวางไว้ มีการประเมินผลสัมฤทธ์ิของโครงการ ประเมินความคิดเพื่อทราบความพึงพอใจของผู้รับการ นิเทศ ประเมินกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน สรุปรวมผลการประเมินเพื่อใช้เปน็ ข้อมูลสำหรับการ ปรบั ปรุง การปฏิบัตงิ านในโอกาสต่อไป ดังนั้น กระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน จะต้องประกอบด้วย การวางแผนร่วมกัน การจัดทำ โครงการ ตามประเด็นปัญหา และความสนใจที่จะพัฒนาการดำเนินงานตามแผน การติดตามผล หรือ แนะนำ และการตรวจสอบประเมนิ ผลการนิเทศโดยไม่ได้มุ่งเน้นการประเมินผลท่ีเกดิ กับผู้เรียนโดยตรง แต่ให้ความสำคัญ ต่อผลการนิเทศที่เกิดขึ้นกับครูเป็นสำคัญ แต่ในการนิเทศการสอนในโรงเรียนท่ีเป็น การนิเทศที่มีเป้าหมาย เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนในชั้นเรียนนั้น มีความซับช้อน มากกว่า เพราะต้องวิเคราะห์การ สอนของครูและการเรียนของนักเรียน มีการสังเกตการณ์สอนในช้ัน เรียนเพื่อมุ่งปรับปรุงพัฒนา ประสิทธิภาพการสอนของครูและผลการเรียนของนักเรียนเป็นสำคัญด้วย จึงควรต้องมีการประเมินผลการ เรียนรูข้ องนกั เรยี น เพราะเปน็ ตัวบง่ ชีห้ น่ึงของสมรรถภาพการสอนของ ครูที่มกี ารพัฒนาข้นึ เทคนคิ วธิ กี ารนเิ ทศภายในโรงเรยี น เทคนิคและวิธีการนิเทศเป็นแบบแผนของการดำเนินงาน มีหลายรูปแบบที่สามารถนำไปปรับ ใช้ ใชใ้ นโรงเรยี น ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี 1. การวิจยั เซิงปฏบิ ัติการแบบมีสว่ นรว่ ม (Participatory Action Research-PAR) การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เป็นรูปแบบของการวิจัยแบบใหม่ที่ประยุกต์และ เป็นการรวมเอาแนวความคิดของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) กับการวิจัยแบบมีส่วน ร่วม (Participatory Research) มาผสมผสานเช้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาโดยให้ผู้ที่เกี่ยวช้อง จะตอ้ งมี ส่วนรว่ มในการพฒั นาทุกช้นั ตอน (นิตยา เงินประเสริฐศร,ี 2544: 61) ทวิทอง หงส์วิวฒั น์ (2527: 8) ไดส้ รปุ รปู แบบของการมสี ว่ นรว่ มต่อการดำเนินกิจกรรมหรือ โครงการพฒั นา สามารถจำแนกออกไดเ้ ป็นมติ ติ า่ งๆ ประกอบด้วย มิติแรก ร่วมศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา ซึ่งเป็นการที่ประชาชนเช้ามามีส่วนร่วมใน การศึกษา ชุมชน วิเคราะห์ชุมชน ค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาภายในชุมชนร่วมกัน และมีส่วน รว่ มในการจัดลำดบั ความสำคัญของความต้องการดว้ ย เปน็ การกระต้นุ ให้ประชาชนได้เรยี นร้สู ภาพของ ชมุ ชนวิถีชวี ติ สังคม ทรพั ยากร และสง่ิ แวดลอ้ ม เพ่ือใช้เปน็ ขอ้ มลู เบื้องต้นในการจัดทำและประกอบการ พิจารณาวางแผน งานวจิ ัย มิติที่สอง ร่วมวางแผน เป็นการวางแผนการพัฒนาหลังจากได้ข้อมูลเบื้องต้นของชุมชน แล้ว และนำข้อมูลมาวิเคราะหร์ ว่ มกนั หาปัญหา สาเหตุของปัญหาเรยี บร้อยแล้ว ก็นำมาอภิปรายแสดง ความคิดเห็น ร่วมกัน เพื่อกำหนดนโยบายและวัตถุประสงค์ของโครงการ การกำหนดวิธีการ และแนะ แนวการดำเนินงาน ตลอดจนกำหนดทรพั ยากรและแหล่งทรพั ยากรทีจ่ ะใชเ้ พ่ือการวิจัย มิติที่สาม ร่วมดำเนินการเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินการพัฒนาหรือ เป็นชั้นตอนปฏิบัติการตามแผนการวิจัยที่ได้วางไว้ ขั้นตอนนี้เป็นชั้นตอนที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการ สร้างประโยชน์ ให้กับชุมชน โดยการสนับสนุนด้านเงินทุน วัสดุ อุปกรณ์ และแรงงาน รวมทั้งการเช้า ร่วมในการบรหิ ารงาน การประสานขอความชว่ ยเหลือจากภายนอก ในกรณีทม่ี ีความจำเปน็

31 มิติที่สี่ ร่วมรับผลประโยชน์ โดยประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดการแจกจ่าย ผลประโยชน์จากกจิ กรรมการวจิ ยั ในชุมชน ในพ้นื ฐานท่ีเทา่ เทียมเสมอภาคกัน มิติที่ห้า เป็นการมีส่วนร่วมติดตามประเมินผลการดำเนินงานวิจัยและผลของการพัฒนา จากการดำเนินการไปแล้วว่า สำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือไม, มีปัญหาอุปสรรคและข้อจำกัดอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไดท้ ันที และนำข้อผิดพลาดไปเป็นบทเรียนในการดำเนนิ การต่อไป การ เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือชาวบ้านที่เกี่ยวข้องได้มีโอกาสเข้าร่วมกระบวนการวิจัยนั้น นับได้ว่า เป็น คุณค่าโดยแทข้ องการวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั ิการแบบนซี้ ่ึงก่อให้เกดิ รากฐานแห่งความยั่งยืนของการพัฒนา สุภางค์ จันทวานิช (2531: 24) กล่าวไว้ว่า การวิจัยเชิงปฏบิ ตั ิการแบบมีส่วนรว่ ม เป็นการ วิจัย ท่ีนำแนวคดิ 2 ประการ มาผสมผสานกัน คือ การปฏิบัตกิ าร (Action Research) กับการวจิ ยั แบบ มีส่วนร่วม (Participation) ซึ่งหมายถึง กิจกรรมที่โครงการวิจัยจะต้องดำเนินการและคำว่าการมีส่วน ร่วม(Participation) อันเป็นการมีส่วนเกี่ยวข้องของทุกฝ่ายที่เข้าร่วมกิจกรรม ในการวิเคราะห์สภาพ ปัญหา หรือสถานการณ์อันใดอันหนึ่งแล้วร่วมในกระบวนการตัดสินใจและการดำเนินการ จนกระท่ัง สิ้นสดุ การวิจัย โดยมคี วามหมายถึงวธิ ีการท่ใี ช้ถูกวจิ ัยหรือชาวบ้านเข้ามามสี ว่ นรว่ มในการวิจัย เป็นการ เรียนรู้ จากประสบการณ์ โดยอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมวิจัย นับต้งั แต่ การระบปุ ัญหาของการดำเนินการ การช่วยใหข้ อ้ มูลและการวิเคราะหข์ ้อมูล ตลอดจนช่วยหา วธิ แี ก้ไข ปญั หาหรอื สง่ เสริมกจิ กรรมนั้นๆ กมล สุดประเสริฐ (2537: 36) ไดให้ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมี ส่วนร่วมไว้ ว่า เป็นการวิจัยที่จัดทำโดยผู้ปฏิบัติการ เพื่อนำผลการวิจัยมาใช้ในการแก้ปัญหาโดย ทนั ที และตอ้ งทำเปน็ หมคู่ ณะร่วมกนั การใช้เทคนิคการนิเทศโดยการวิจัยแบบมีส่วนร่วม เป็นการให้ครูมีส่วนร่วมในการ ปรับปรงุ พัฒนาการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยมีสว่ นร่วมในการพฒั นาทุกขน้ั ตอนในกิจกรรมการ วิจัย ตั้งแต่ การวิเคราะห์สภาพปัญหา ร่วมในการตัดสินใจในการดำเนนิ การจนกระทั่งสิ้นสุดการ วจิ ัย จากแนวคิด เกี่ยวกบั การวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการ แกป้ ญั หาและพฒั นา การจดั กิจกรรมการเรยี นร้โู ดยให้ครูผ้สู อนมีสว่ นรว่ มในการพฒั นา ดงั นี้ 1.1 ร่วมศึกษาและวเิ คราะหป์ ญั หาการนิเทศ 1.2 ร่วมวางแผนการนเิ ทศ 1.3 ร่วมดำเนนิ การนิเทศ 1.4 รว่ มรบั ผลประโยชน์ 1.5 ร่วมตดิ ตามประเมินผลการนิเทศ 2. COACHING TECHNIQUE Coaching ให้ความหมายเป็นภาษาไทยได้หลายคำ บางคนใช้ทับศัพท์ไปเลยก็มีแต่ คำที่งา่ ย คอื “การชแี้ นะ” เพราะการชเ้ี ป็นการบอกทิศทางให้ การแนะก็เป็นการเสนอแนวทางให้ เดินไปสู่ทศิ นน้ั ส่วนการจะเดินไปทศิ นนั้ หรอื จะเลอื กเดนิ อย่างใดก็ขึ้นอยู่กบั การตัดสนิ ใจเลือกของ ผู้รับการชี้แนะเปน็ หลักการชี้แนะ คือ วิธีการในการพัฒนาสมรรถภาพการทำงานของบุคคลโดย เนน้ ไปทีก่ ารทำงานให้ได้ตาม เปา้ หมายของงานน้นั หรือการชว่ ยใหส้ ามารถนำความรู้ความเข้าใจ ทีม่ อี ยู่และ/หรอื ได้รบั การฝกึ อบรมมา ไปสู่การปฏบิ ตั ิได้

32 2.1 ความหมายของการชีแ้ นะ สรุปได้ 5 องคป์ ระกอบ ดงั นี้ 2.1.1 มีลักษณะเป็นกระบวนการ คือ ประกอบด้วยวิธีการหรือเทคนิคต่างๆ ที่วางแผนไว้อยา่ งดี ดำเนินการตามข้ันตอนจนกระทั่งบรรลเุ ปา้ หมาย 2.1.2 มีเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึง 3 ประการ คือ การแก้ปัญหาในการ ทำงาน พัฒนาความรู้ทักษะหรือความสามารถในการทำงาน และการประยุกตํใช้ทักษะหรือ ความร้ใู นการทำงาน 2.1.3 มีลักษณะปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้ชี้แนะกับผู้รับการชี้แนะ คือ เป็นกลุ่ม เล็กหรือ รายบุคคล (one-on-one relationship and personal support) และใช้เวลาในการ พัฒนาอย่าง ต่อเนือ่ ง 2.1.4 มีหลักการพน้ื ฐานในการทำงาน ไดแ้ ก่ 2.1.4.1 การเรียนรรู้ ่วมกนั (Co - construction) คอื ไม,มใี ครรูม้ ากกวา่ ใคร จึงต้องเรียนไปพร้อมกนั 2.1.4.2 การใหค้ ้นพบวธิ ีการแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง 2.1.4.3 การเสรมิ พลังอำนาจ (Empowerment) เป็นการชว่ ยค้นหา พลงั ในตวั บุคคล เมื่อคน้ เจอก็คืนพลงั น้ันให้เขาไป 2.1.5 เป็นกระบวนการที่เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาวิชาชีพ กล่าวคือ ใน การพัฒนา วชิ าชพี ต้องมคี วามสัมพนั ธ์กับวธิ ีการพฒั นาอ่ืนๆ ลำพงั การช้ีแนะอย่างเดียวไม,อาจทำ ให้การดำเนนิ งาน สำเร็จได้ 2.2 ความสำคญั ของการชแ้ี นะ (Coaching Significant) กระบวนการ วิธีการในการพัฒนาครู/ศึกษานิเทศก์ผู้เข้ารับการฝึกประจำการ นั้น มีหลากหลายมาก ซึ่งต่างมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการสอนของผู้เข้ารับการฟิก แตกต่างกันไป วิธีการท่ีถือว่ามีประสิทธภิ าพและชว่ ยให้ผูเ้ ขา้ รับการฝึกได้พัฒนาการสอนได้อย่าง ยั่งยืนวิธีหนึ่ง คือ การชี้แนะ เนื่องจากสามารถทำให้ผู้เข้ารับการฟิกเกิดความตระหนัก มีความรู้ ความเข้าใจ มีทกั ษะและ สามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดผลในทางปฏบิ ัติได้ซ่ึงเป็นเป้าหมายปลาย ท่ีมุง่ หวังใหเ้ กดิ จากการช้ีแนะ

33 2.3 หลักการของการชแ้ี นะ (Coaching Principles) 8 ประการสำคัญ ที่มา: Coaching Principles (เฉลิมชยั พนั ธเุ ลิศ. 2550, มนตรี ภู่ม,ี 2549, Moon. 2004) ซึ่งรายละเอยี ดการดำเนินการแตล่ ะข้นั ตอนมีดังน้ี 2.3.1 การสร้างความสัมพนั ธ์และความไว้วางใจ (Trust and rapport) การชี้แนะเป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ชี้แนะกับผู้เข้ารับการฟิก รายบุคคลหรือกลุ่มผู้เข้ารับการฟิก ความเชื่อถือและความไว้วางใจของผู้เข้ารับการฟิกที่มีต่อผู้ ช้ีแนะ มสี ่วนสำคญั ท่ีทำให้การดำเนนิ การชีแ้ นะเป็นไปอย่างราบร่นื และมีประสิทธภิ าพ 2.3.2 การเสรมิ พลังอำนาจ (Empowerment) การช้แี นะเปน็ กระบวนการทชี่ ่วยให้ผู้เขา้ รับการฟิกได้คน้ พบพลัง หรือ วิธีการ ทำงานของตนเองเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดความยั่งยืนและผู้เข้ารับการฟิกสามารถพึ่งพา ความสามารถ ของตนเองได้เป้าหมายปลายทางของการชี้แนะ คือ การทำให้ผู้เข้ารับการฟิก สามารถพัฒนาการเรียนการสอน ได้ด้วยตนเอง สามารถกำกับตนเอง (Self- director) ได้ใน ระยะแรกที่ผู้เข้ารับการฟิกยังไม่สามารถทำด้วยตนเองได้ เพราะยังขาดเครื่องมือ ขาดวิธีการคิด และกระบวนการทำงาน ผู้ชี้แนะจึงเข้าไปช่วยเหลือในระยะแรก จนกระทั่งผู้เข้ารับการฟิกได้ พบว่าตนเองสามารถทำได้ด้วยตนเอง เป็นการช่วยค้นหาพลังที่ซ่อนอยู่ ในตัวผู้เข้ารับการฟิก ออกมา แล้วผู้ชี้แนะก็คือพลังนั้นให้แก,ผู้เข้ารับการฟิกไปให้ผู้เข้ารับการฟิกได้ไซ้พลังนั้น ในการ พฒั นางานของตนเองต่อไป

34 2.3.3 การทำงานอย่างเปน็ ระบบ (Systematic approach) การดำเนินการชี้อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนของกระบวนการที่ชัดเจน ช่วยให้ ผู้เข้ารับการฟิกได้จัดระบบการคิด การทำงาน สามารถเรียนรู้และพัฒนางานได้ดียิ่งขึ้น เน่อื งจากการชี้แนะ เป็นกระบวนการพัฒนาวิชาชีพท่ีต่อเนื่อง ในระยะแรกผู้เข้ารบั การฟิกอาจไม, คนุ้ เคยกับวิธีการเหลา่ นีม้ าก นักทำใหผ้ ู้ชแ้ี นะจำเป็นต้องออกแบบกระบวนการอยา่ งเป็นระบบ ที่ ชว่ ยใหผ้ เู้ ขา้ รบั การฟิกไดเ้ รยี นร้ไู ด้ด้วย ตนเอง 2.3.4 การพัฒนาทตี่ ่อเนื่อง (On-going development) การชี้แนะเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และพัฒนาการเรียนการสอนได้ ใช้ เวลานาน ในการทำความเข้าใจและฟิกปฏิบัติให้เกิดเผลตามเป้าหมาย การดำเนินการชี้แน ะจึง เป็นการพัฒนาที่มี ความต่อเนื่องยาวนาน ตราบเท่าที่มีความรู้ใหม่ทางการสอนเกิดขึ้นมากมาย และมีประเด็นทางการสอน ที่ต้องทำความเข้าใจและนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน การ ดำเนินการชี้แนะก็ยังคงดำเนินการ คู่ขนานไปกับการจัดการเรยี นการสอน จนดูเหมือนเป็นงานที่ ไม,อาจเร่งรอ้ นให้เกดิ ผลในเวลาอนั สัน้ ได้ จงึ เป็นงานท่ตี ้องคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป 2.3.5 การชแ้ี นะแบบมเี ป้าหมายหรือจุดเนน้ ร่วมกนั (Focusing) ในโลกของการพัฒนาบุคลากรผู้เข้ารับการฟิกให้สมารถจัดการเรียน การสอน ไดน้ ั้น มเี รื่องราวที่ต้องปรับปรุงและพัฒนามากมายหลายจุด ดังนั้น หลักวิชาการพี่เลี้ยง จึงต้องตกลง ร่วมกันกับคุณผู้เข้ารับการฟิกว่าเป้าหมายสุดท้ายที่ต้องการให้เกิด คืออะไร แล้ว ร่วมกันวางแผน วางเป้าหมายย่อยๆ เพื่อไปสู่จุดหมายนั้น กล่าวคือ การกำหนดประเด็นชี้แนะ รว่ มกันการกำหนดบทบาท ใครคือผูช้ ้ีแนะใคร 2.3.6 การชแ้ี นะในบรบิ ทในโรงเรยี น (Onsite coaching) การปฏิบัติการชี้แนะมีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยให้ผู้เข้ารับการฟิก สามารถ นำความรู้ ทกั ษะการสอนที่มีอยู่ไปใช้ในการจดั การเรียนการสอน การประยุกต์ใช้ความรู้ และทักษะท่ีดี เกิดข้นึ ในสภาพการทำงานจรงิ การดำเนินการช้แี นะจึงควรเกิดขึ้นในการทำงานใน บริบทของโรงเรียน การดำเนินการชี้แนะเป็นการทำงานเชิงลึก เข้มข้น เป็นการช่วยให้ผู้เข้ารับ การฟิกเคลื่อนจากความรู้ ความเข้าใจในการสอนแบบผิวเผิน (Surface approach) เป็นการทำ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขนึ้ (Deepapproach) (Moon, 2004) โดยอาศัยกระบวนการลงมือปฏิบัติ ลงมือทำงาน การชี้แนะ จงึ หลกี เลี่ยงไม่ไดท้ ่ีต้องเข้าไปทำงานรว่ มกบั ผู้เขา้ รับการฟิกในโรงเรยี น 2.3.7 การซแี นะที่นำไปใช้ไดจ้ ริง (Work on real content) การชี้แนะในประเด็นหรือเนื้อหาสาระที่เป็นรูปธรรม (being concrete) มีลักษณะเป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ ปฏิบัติได้จริง ช่วยให้ผู้เข้ารับการฟิก สามารถปรับปรุงหรือ พัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การที่ผู้ชี้แนะเป็น บุคคลภายนอกโรงเรียน จึงมีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถอยู่กับผู้เข้ารับการฟิกได้ตลอดเวลา การ พบปะผู้เข้ารับการฟิกในแต่ละครั้ง จึงมีคุณค่ามาก ดังนั้น จึงควรไซ้เวลาที่มีจำกัดนั้นให้เกิด ประโยชน์สูงสุด การชี้แนะแต่ละครั้งจึงเน้นไปที่ การนำความรู้หรือทักษะไปใช้ได้จริง ได้แนว ปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและเป็นขั้นตอน ไม,เสียเวลาไปกับ การอภิปรายหรือพูดคุยกันเชิงทฤษฎี (Kninght, 2004)

35 2.3.8 การทบทวนและสะท้อนผลการดำเนินงาน (After action review and reflection) การสะท้อนผลการทำงาน (Reflection) เป็นวิธกี ารท่ีชว่ ยใหผ้ ู้เขา้ รบั การฟกิ ไดค้ ดิ ทบทวนการทำงานทีผ่ ่านมา สรปุ เป็นแนวปฏบิ ตั ิในการจัดการเรียนการสอนครง้ั ต่อไป การชแี้ นะ จงึ ใช้การสะท้อนผลการทำงานนเี้ ปน็ เคร่ืองมอื สำคัญในการเรยี นรจู้ นได้อีกชือ่ หนึ่งว่า “การชแี้ นะแบบ มอง ย้อนสะท้อนผลการทำงาน” (Reflective coaching) การชีแ้ นะช่วยใหบ้ คุ คลได้สะทอ้ น ความสามารถ ของตนเพื่อหาจดุ ท่ตี ้องการความช่วยเหลือ เปน็ การชว่ ยเหลอื รายบคุ คลในการนา ความรไู้ ปใชใ้ น การทำงานและพฒั นาความสามารถของตน ไมใช่การสอนส่งิ ใหม่ จดุ พื้นฐานของการ ชแ้ี นะอยู่บนพน้ื ฐาน ของความรู้หรอื ทักษะทมี่ ีอยู่แล้ว (เฉลิมชัย พนั ธเุ ลศิ . 2550, มนตรี ภูม่ ี, 2549, Moon. 2004) 2.4 กระบวนการชแี้ นะ (Coaching Process) กระบวนการชีแ้ นะเป็นกระบวนการทชี่ ่วยใหบ้ คุ คลได้รู้จักชว่ ยเหลอื ตนเอง (Coaching is a process of helping people to help themselves) มีนักการศึกษานำเสนอ กระบวนการชีแนะ ที่หลากหลาย เนื่องจากการชี้แนะมีกระบวนการเฉพาะ ได้แก่ การชี้แนะทาง ปัญญา (Cognitive coaching) การชี้แนะการสอน (Instructional coaching) เพื่อนชี้แนะ (Peer coaching) ซึ่งการชี้แนะต่างๆ มีรายละเอียดค่อนมากไม่อาจนำเสนอในบทความนี้ได้ ทง้ั หมด อยา่ งไรก็ตามกระบวนการชี้แนะโดยทัว่ ไป มีขั้นตอนของกระบวนการ ดังน้ี 2.4.1 ขนั้ กอ่ นการชแี้ นะ (Pre - coaching) ก่อนดำเนินการชี้แนะ มีการตกลงร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นหรือจดุ เน้น ทตี่ ้องการช้แี นะรว่ มกนั เนือ่ งจากการดำเนนิ การชี้แนะเน้นไปที่การเชื่อมโยงความรู้ไปสู่การปฏิบัติ จริง เป็นการทำงานเชิงลึก (Deep approach) ดังนั้นประเด็นที่ชี้แนะจึงเป็นจุดเล็กๆ แต่เข้มข้น ช่วยให้เข้าใจ อย่างลึกซึ้งแจ่มแจ้ง ช่วยคลี่ปมบางประการให้เกิดผลในการปฏิบัติได้จริง ในกรณี การสอนกระบวนการคดิ มีประเดน็ มากมายทต่ี อ้ งชว่ ยกนั ขยับขับเคลอ่ื นไปทลี ะประเด็น เชน่ การ ใชค้ ำถามกระต้นุ คิด การใช้กจิ กรรม ที่ช่วยให้คดิ ได้อยา่ งหลากหลาย การใชผ้ งั กราฟฟกิ (Graphic Organizer) การใช้ผังมโนทัศน์ (Mind Mapping) มาใช้ในการนำเสนอความคิด การช่วยให้ นกั เรียนอธบิ ายกระบวนการคิดกระบวนการทำงานของตนเอง ซง่ึ ในประเดน็ เหลา่ นกี้ ็ยังมีประเด็น ย่อยๆ ที่ซ่อนอยู่มากมาย ทั้งผู้ชี้แนะและคุณผู้เข้ารับการฟิกแต่ละคน ก็ต้องวางแผนร่วมกันว่าใน แต่ละครัง้ ทดี่ ำเนนิ การช้ีแนะน้ัน จะช้ีแนะลงลึกเฉพาะในเร่ืองใดเรื่องหน่งึ เป็นพิเศษ 2.4.2 ขนั้ การชีแ้ นะ (Coaching) ในขน้ั ของการชี้แนะประกอบดว้ ยข้นั ตอนย่อย 3 ขน้ั คอื 2.4.2.1 การศกึ ษาต้นทุนเดมิ เปน็ ขัน้ ทผ่ี ู้ชแ้ี นะพยายามทำความเข้าใจ วิธีคิด วิธีการทำงานและผลท่ีเกิดขึ้นจากการทำงานของคุณผู้เขา้ รับการฟิกวา่ อยู่ในระดับใด เพื่อ เปน็ ข้อมูล ในการตอ่ ยอดประสบการณ์ในระดับทเ่ี หมาะสมกบั ผู้เข้ารับการฟกิ แตล่ ะคน ซ่ึงในข้ันนี้ อาจใชว้ ิธกี ารต่างๆ กันไปตามสถานการณ์ ไดแ้ ก่ 1) การให้ผู้เขา้ รับการฟกิ บอกเลา่ อธบิ ายวิธีการทำงานและผลที่ เกิดขึน้ 2) การพิจารณาร่อยรอยการทำงานรว่ มกนั เช่น แผนการสอน ข้นึ งานของนักเรียน

36 3) การสังเกตการสอนในขั้นเรยี น 2.4.2.2 การให้คณุ ผูเ้ ข้ารับการฟิกประเมนิ การทำงานของตนเอง เป็น ขั้นที่ ช่วยให้ผู้เข้ารับการฟิกได้ทบทวนการทำงานที่ผ่านมาของตนเอง โดยใช้ตัวอย่างที่เ ป็น รูปธรรมที่ผ่านมา ได้แก่การสอนที่เพิ่งจบไปแล้ว ขึ้นงานที่นักเรียนเพิ่งทำเสร็จเมื่อสักครู่มาใช้ ประกอบการประเมิน ขัน้ ตอนน้ี เปน็ ขัน้ หนง่ึ ท่พี บวา่ ผู้เขา้ รับการฟิกไม,ได้ตระหนกั รู่ในสิ่งท่ีตนเอง สอนหรอื กระทำลงไปนัก แต่การทีจ่ ัดให้มี โอกาสได้ “นกึ ยอ้ นและสะท้อนผลการทำงาน” ช่วยให้ ผู้เข้ารับการฟกิ ได้ทบทวนและไตร่ตรองวา่ ตนเองได้ ใช้ความรู่ ความเข้าใจไปสูก่ ารปฏิบัติอย่างไร มีอุปสรรคปัญหาใดเกิดขึ้นบ้าง คำถามที่มักใช้กันในขั้นนี้มี คำถามหลัก คือ อะไรที่ทำได้ดี มี วธิ กี ารอื่นอกี หรอื ไม,/กระทำอย่างเต็มทห่ี รอื ยังจะให้ดิกว่านลี้ า้ มีจุดอ่อน อะไรทพ่ี บเห็นครอบคลุม เนอื้ หา และวตั ถปุ ระสงคก์ ารสอนหรอื ไม่เพียงใด มมี ติ อิ ่นื อีกหรอื ไม, ฯลฯ 2.4.2.3 ขั้นต่อยอดประสบการณ์ เป็นขั้นที่ผู้ช้ีแนะมีข้อมูลจากการ สังเกตการณ์ทำงานและฟ้งผู้เข้ารับการฟิกอธิบายความคิดของตนเอง แล้วจึงลงมือต่อยอด ประสบการณ์ไน เรื่องเฉพาะนั้นเพิ่มเติมซึ่งผู้ชี้แนะต้องอาศัยปฏิภาณในการวินิจฉัยให้ได้ว่าคุณผู้ เข้ารับการฟิกต้องการความ ช่วยเหลือในเรื่องใด หากไม่แน่ใจก็อาจใช้วิธีการสอบถามขอข้อมูล เพ่มิ เติมในขัน้ ต่อยอดประสบการณม์ ักมี การดำเนินการใน 2 ลกั ษณะ คอื 1) เมื่อพบว่าคุณผู้เข้ารับการฟิกมีความเข้าใจที่ผิดพลาด บาง ประการ หรือมีปัญหาก็จำเป็น ต้องแกไข ปรับความรู่ความเข้าใจใหถ้ ูกต้องและชว่ ยเหลือใน การแกไ้ ข ปญั หา 2) เมื่อพบว่าคุณผู้เข้ารับการฟิกเข้าใจหลักการสอนดีแตย่ ัง ขาด ประสบการณ์ไนการออกแบบการเรียนการสอน ก็จำเป็นต้องเพิ่มเติมความรู่แบ่งปัน ประสบการณ์ 2.4.3 ขั้นสรุปผลการชีแ้ นะ (Post - coaching) เป็นขัน้ ตอนที่ผชู้ ้ีแนะเปิดโอกาสใหค้ ณุ ผ้เู ขา้ รบั การฟิกไดส้ รปุ ผลการช้แี นะ เพื่อให้ได้หลักการสำคัญไปปรับการเรียนการสอนของตนเองต่อไป มีการวางแผนที่จะกลับมา ชี้แนะรว่ มกัน อกี ครง้ั ว่าความรู่ ความเขา้ ใจอนั ใหม่ที่ไดร้ ับการช้แี นะคร้ังนี้ จะเกิดผลในทางปฏิบัติ เพียงใด รวมไปถึงการ ตกลงร่วมกันเรื่องให้ความช่วยเหลืออื่นๆ เช่น หาเอกสารมาให้ศึกษา ประสานงานกับบคุ คลอ่ืนๆ แนะนำ แหล่งเรยี นรู่เพิ่มเตมิ การใช้เครื่องมือหรือรูปแบบการใช้ภาษาในการชี้แนะมี 2 มิติ คือ มิติ ของ การผลกั ดนั (Push) และมิตขิ องการฉุดดึง (Pull) การมรี ะดับของการผลักดันอย่างสุดข้ัว คือ การบอก ความรู่ (Telling) ไปจนถงึ ระดับการฉดุ ดึงสูงสุด คอื การรับฟ้ง ( Listening) ท้งั น้ี วธิ กี าร เหล่านี้เป็นการ ช่วยให้ผู้เข้ารับการฟิกได้พัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้ทั้งสิ้น แต่ หากมีจุดเด่นและจุดด้อย ของแต่ละวิธีแตกต่างกันไป ศึกษานิเทศก์ผู้มีบทบาทและภารกิจเป็นผู้ ช้ีแนะจึงเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ และผู้เข้ารับการฟิกแต่ละคน มีข้อเตือนใจว่า หากใช้มิติของการผลักดันได้แก่ การบอก การอธิบาย การสอน การสาธิต การแนะนา เพียงด้าน เดยี ว ไม่ถอื วา่ เป็นการชแี้ นะท่แี ทจ้ ริง

37 ท่ีมา: เครอ่ื งมอื /วิธกี ารช้ีแนะ (Costa&Garmstoก, 2002) 2.5 กลวธิ กี ารชีแ้ นะ (Coaching Techniques) กลวิธีในการชี้แนะเป็นความรู้เชิงปฏิบัติ (Practical knowledge) ที่ผู้ชี้แนะได้ ด้นพบ ในการลงมอื ปฏบิ ตั กิ ารชแ้ี นะกับผเู้ ชา้ รบั การฟิกในสถานการณ์การทำงานจริง แล้วเกบ็ เป็น กลวิธีเฉพาะของ ตนไว้ใช้ในการดำเนินการชี้แนะของตนเอง หากผู้ชี้แนะได้มีเวทีแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ การใช้กลวิธีใน การชี้แนะเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยขยายประสบการณ์การ ชีแ้ นะใหก้ ว้างขวางเพ่มิ มากข้ึน ซึ่งสามารถ สรปุ กลวธิ ีการชีแ้ นะได้ ดงั นี้ 2.5.1 กลวิธีจับถกู ไม่จับผดิ การชี้แนะเน้นไปที่การช่วย ผู้เข้ารับการฟิกมองหาว่าทำสิ่งใดได้ดี ถกู ตอ้ ง เหมาะสมแล้วแม้จะเปน็ เรื่องเลก็ น้อยกต็ าม เป็นวธิ กี ารทีช่ ่วยให้ผู้เขา้ รับการฟิกไม,รู้สึกอึด อัด เวลามีผู้ชี้แนะ มาทำงานด้วยการจับถูก ทำให้ผู้เข้ารับการฟิกได้เห็นคุณค่าในตนเอง และฮึก เหมิ ท่จี ะพัฒนางานการเรียน การสอนของตนเองตอ่ ไป 2.5.2 กลวธิ ปี ัญหาของใคร คนนน้ั ก็ตอ้ งแก้ ผู้เข้ารับการฟิกมีแนวโน้มพึ่งพาผู้ชี้แนะให้แก่ไขปัญหาให้ ซึ่งหากผู้ ชี้แนะตก หลุมพรางอันนี้ก็ต้องคอยแก่ปัญหาให้ผู้เข้ารับการฟิกอยู่รํ่าไป การชี้แนะที่ดีจึงไม ่รับ ปัญหาของผู้เข้ารับการ ฝึกเข้ามาแก้ไขเสียเอง แต่พยายามช่วยเหลือให้ผู้เข้ารับการฟิกค้นพบ วธิ กี ารแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง 2.5.3 กลวิธชี มสองอย่าง ชีจ้ ดุ บกพรอ่ งหนึ่งอย่าง หากจำเป็นต้องช้ีให้เห็นจุดบกพร่องในการทำงานก็ต้องใช้ต่อเมื่อผู้เข้ารับการ ฟิกและผู้ ชี้แนะคุ้นเคย ไว้วางใจกันพอสมควร ทั้งผู้เข้ารับการฟิกยินดีรับฟ้งข้อบกพร่องของ ตนเอง อยา่ งไรกด็ ี ผู้ชแี้ นะตอ้ งยดึ หลักไม, “ต”ิ มากกว่า “ชม” จึงต้องยึดหลักวา่ ให้ชมในประเด็น ที่ทำไดด้ ีอยา่ งน้อย 2 เรอื่ ง และชี้ข้อบกพร่องเพอ่ื ใหป้ รับปรงุ เพยี งประเดน็ เดียวเท่านน้ั 2.5.4 กลวิธกี ารถามไมต่ อ้ งหวังคำตอบ การถามคำถามของผู้ช้ีแนะ ช่วยใหผ้ รู้ บั การฟกิ พิจารณาอยา่ งรอบด้าน มาก ข้ึน แบบอย่างของคำถามเหล่าน้ีชว่ ยใหค้ ุณผู้เข้ารับการฟิกเกบ็ ไว้ถามตนเองได้ ดังน้ันในบาง คำถามต้อง อาศัยเวลาในการคดิ พิจารณาก็อาจเปน็ “คำถามฝากใหค้ ิด” ไม,จำเปน็ ต้องบังคับ ให้ ตอ้ งตอบให้ได้ใน ขณะนั้น

38 2.5.5 กลวิธีใหก้ ารบ้าน ตอ้ งตามมาตรวจ หลังจากเสร็จสิ้นการชี้แนะในแต่ละครั้ง จำเป็นที่จะต้องวางแผน ร่วมกัน สำหรับการชี้แนะในครั้งต่อไป ผู้เข้ารับการฟิกต้องนำบทเรียนที่ได้ครั้งนี้ไปปรับปรุงการ สอนของตนเองเป็น เหมือนการให้การบ้านไว้ แล้วก็กลับมาตรวจดูว่าสามารถปรับปรุงได้ดี เพียงใด เพื่อหาทางชี้แนะต่อไป ไมให้การบ้านแต่ให้การทำงานในชั้นเรียน/โรงเรียน (Seatwork/Authentic Performance) ที่ผู้เข้ารับ การฟิกมีโอกาสได้พบเห็นพฤติกรรมการ ทำงานความตั้งใจมุ่งม่นั (AQ) ตามศกั ยภาพและการบรหิ าร อารมณ์ของนกั เรียน (EQ) 2.5.6 กลวธิ ถี ้าจะบอก ตอ้ งมีทางเลือก การบอกวิธีการแก้ปัญหาให้แก่ผู้เข้ารับการฟิกใช้ในสถานการณ์ที่มี เวลาจำกัด หรือในกรณีที่ผู้เข้ารับการฟิกมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนบางประการ ผู้ชี้แนะอาจ เลือกใช้วิธีการบอกหรือสั่ง ให้ทำ อย่างไรก็ตามในวิธีที่บอกหรือสั่งนั้น ควรมีอย่างน้อย 2 ทางเลือก เพอื่ ให้ผเู้ ข้ารบั การฟิกสามารถตัดสินใจเลือกปฏิบัติให้เหมาะสมกบั สภาพทเี่ หมาะสมกับ ตนเองมากท่สี ุด 2.5.7 กลวิธีแกล้งทำเปน็ ไม่รู้ ผู้ชี้แนะอาจทำบทบาทของผู้ที่ไม,รู้ ไม,เข้าใจ ให้ผู้เข้ารับการฟิกช่วย อธิบาย หรอื ใหค้ ำแนะนำ กจ็ ะชว่ ยพัฒนาความสามารถของผ้เู ขา้ รบั การฟิกได้ดีทเี ดียว 2.5.8 กลวธิ อี ดทนพิงให้ถงึ ที่สดุ ในบางกรณีที่ผู้เข้ารับการฟิก อาจมีเรื่องมากมายที่อยากบอกเล่าให้ผู้ ชี้แนะ พิงหลายเรื่องอาจไม่เข้าท่า หากแต่ผู้ชี้แนะสามารถอดทนพิง โดยไม่ตัดบทหรือแทรกแซง กจ็ ะไดเ้ ข้าใจ ความคิดของผ้เู ขา้ รับการฟิกมากขึ้น บางทีผู้เข้ารบั การฟกิ ก็อาจได้คิดทบทวนในส่ิงท่ี ตนเองพูดมาได้บา้ ง 2.5.9 กลวธิ เี ราเรียนรรู้ ่วมกนั ผู้ชี้แนะไม่จำเป็นต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง ผู้ชี้แนะไม,จำเป็นต้องเก่งกว่าผู้ เขา้ รบั การฟิกแตถ่ อื วา่ ทงั้ ผู้ช้ีแนะและผู้เข้ารบั การฟิกสามารถเรียนรจู้ ากกนั และกันไดเ้ สมอปัญหา บางเรื่องที่ตา่ ง ไมเ่ ขา้ ใจกต็ อ้ งมาชว่ ยกันหาแนวทางแก้ไขร่วมกนั 3. เทคนคิ การนิเทศการสอน 4 แบบ การนิเทศการสอนมีหลายวิธีการ และมีการพัฒนาวิธีการนิเทศเพื่อให้เหมาะสมกับ สภาพของ โรงเรียน ซึ่งวิธกี าร 4 แบบมดี งั ตอ่ ไปน้ี 3.1 การนิเทศแบบตรวจสอบ (Inspection Supervision) การนิเทศแบบนี้เป็น แบบ เก่าแก่ที่มีใช้มานาน ผู้นิเทศจะตรวจสอบเพื่อให้ครูได้แก้ไข ปรับปรุงหรือพัฒนางาน เป็น การตรวจสอบ เพอ่ื ใหก้ ารทำงานใหเ้ ป็นไปตามกฎเกณฑ์ระเบยี บของหลักสตู รท่กี ำหนดไว้ เช่น 3.1.1 การตรวจแผนการสอน จะตรวจสอบหรือตรวจตั้งแต่การวิเคราะห์ หลกั สูตร การวิเคราะห์ผ้เู รยี น การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ การใช้สื่อนวตั กรรมในการจัดการเรียนรู้ การวัดผล ประเมนิ ผล 3.1.2 การตรวจสอบการเข้าชน้ั เรียน 3.1.3 การตรวจสอบการเข้าร่วมกิจกรรม เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วชี้แจงให้ครู แก้ไขขอ้ บกพรอ่ ง

39 3.2 การนิเทศแบบเน้นผลผลิต (Supervision as Production) การนเิ ทศแบบน้ี จะดู ผลงานของสถานศึกษาว่าสามารถผลิตผู้เรียนออกสู่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม,มาก น้อยเพียงใด บางคนเรียกการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ เพราะมีการวางแผนการทำงานอย่างเป็น ระบบระเบียบตรวจสอบ ย้อนกลับได้อย่างเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลท่ี เกี่ยวข้องกับผู้เรียน วิจัยและพัฒนาเพื่อ ให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน เช่นการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน คะแนน NT คะแนน O-NET มาตรฐานดา้ นผูเ้ รยี น 3.3 การนิเทศแบบคลนิ กิ (Clinical Supervision) การนิเทศแบบคลนิ ิก หมายถึง กระบวนการสำหรบั การสงั เกตการสอนในขน้ั เรียนท่ีมีการดำเนินการอยา่ งมรี ะเบียบ เพื่อปรับปรุง ประสิทธภิ าพ การจัดการเรยี นการสอนของครู โดยครแู ละผู้นเิ ทศจะรว่ มมือกนั อย่างใกลช้ ดิ ในการ วาง แผนการสอน การสังเกตการสอน และการประเมินการจัดการเรียนการสอน เพื่อหาทาง ปรับปรุงแกไข ร่วมกันและขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ครู สามารถนิเทศตนเองได้ในที่สุด และใน การดำเนินงานนั้นครู และผู้นิเทศจะร่วมกันสร้างความสัมพันธ์ ความเชื่อมั่น ความจริงใจ และ ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน นอกจากนี้การนิเทศแบบคลินิก ยังมีลักษณะเป็นประชาธิปไตยและ เป็นการนิเทศที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง แต่ขณะเดียวกัน ก็จะประสานผลประโยชน์ของครู และ สถานศึกษาเข้าด้วยกัน ซึ่งหมายความว่าขณะที่ การนิเทศมุ่งจะพัฒนาวิชาชีพของครูเป็น รายบุคคลน้ัน การนเิ ทศจะสอดคล้องกบั เป้าหมายและ ความตอ้ งการของสถานศึกษาดว้ ย การนิเทศแบบนี้เน้นที่การปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนในลักษณะที่ พิจารณา และแกไขตามความเหมาะสมของผู้ไดร้ ับการนเิ ทศ จงึ คลา้ ยกบั การรักษาอาการเจ็บป่วย ของคนไข้ ให้มีการพื้นฟูสภาพได้ดีขึ้น แต่การนิเทศการศึกษาจะมุ่งให้ผู้ได้รับการนิเทศ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การเรียนการสอนให้มีความเหมาะสม เป็นการนิเทศท่ีได้ข้อมูลโดยตรง เปน็ ความรว่ มมือของครูกับผ้นู เิ ทศ โดยผนู้ ิเทศและผู้ไดร้ ับการนเิ ทศจะได้พบปะเผชิญหน้ากันและ รับคำแนะนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสม และความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงการ เรียนการสอน เช่น การสังเกตการสอนตามสภาพจริง เพือ่ นำไปปรบั ปรุงการสอน 3.4 การนิเทศเพื่อการพัฒนา (Developmental Supervision) การนิเทศแบบ นี้ เน้นพัฒนาผู้ได้รับการนิเทศ ให้มีความรู้ความสามารถในการแกไขปัญหาของตนเองได้ ตาม สถานการณท์ ี่ เกดิ ข้ึนใน จากวธิ ีการการนเิ ทศขา้ งตน้ พบว่าการนิเทศจะต้องเปิดใจกว้างและเรียนร้รู ว่ มกัน ทุก ฝ่าย ทุกคน เพื่อแล้ปัญหาในห้องเรียนและสถานศึกษาให้อยู่ในระดับมาตรฐานที่สงั คมยอมรับได้ การมี ปฏิสัมพันธ์อันดีจะก่อให้เกิดมิตรภาพที่งดงาม สานต่อในการนิเทศครั้งถัดไปด้วยจึงควรใช้ ถอ้ ยคำและ ทา่ ทางท่เี ปน็ มติ รในการแนะนำชว่ ยเหลอื การนเิ ทศภายในโรงเรยี น สามารถทำไดห้ ลายรูปแบบ และสามารถผสมผสานแต่ละรูปแบบ เขา้ ดว้ ยกัน ซ่งึ การจะใชร้ ปู แบบใดเมื่อใดนน้ั ควรคำนึงถงึ ความเหมาะสมกับ สภาพของโรงเรยี นเปน็ สำคัญ

40 กิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียน แนวทางการจัดกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรยี น มตี ัวอย่างดังตอ่ ไปนี้ 1. การเย่ียมนิเทศชน้ั เรียน การเย่ยี มนิเทศช้ันเรียน หมายถงึ การทผี่ นู้ ิเทศไปพบและสังเกตการทำงานของครูในช้นั เรยี น เพื่อรว่ มกันพฒั นาการทำงานให้มคี ุณภาพ ซึ่งมวี ัตถุประสงค์ ดงั ต่อไปน้ี 1.1. เพือ่ สำรวจความต้องการของครู 1.2. เพือ่ ศกึ ษาปญั หาของครใู นสถานศึกษา 1.3. เพอ่ื ประเมินผลการสอนของครู 1.4. เพื่อกระต้นุ ให้ครูปรบั ปรงุ การจดั การเรียนรู้ 1.5. เพ่ือให้คำปรึกษาแนะนำแกค่ รู ชั้นตอนการนเิ ทศแบบเยีย่ มนิเทศชนั้ เรยี น มีช้ันตอนดังน้ี ข้ันที่ 1 สรา้ งขอ้ ตกลงในการ เยี่ยมนิเทศชัน้ เรยี น มีช้นั ตอนดังน้ี 1.1 พบปะสนทนา สรา้ งความคุ้นเคย และสรา้ งเจตคตทิ ีด่ ีในการนิเทศแก,ครู 1.2 วางแผนการเย่ียมนิเทศช้นั เรียน ร่วมกับครูในเร่ืองต่างๆ ดังน้ี 1.2.1 กำหนดการเยยี่ มนิเทศช้ันเรยี น 1.2.2 กำหนดจดุ มุ่งหมายในการเยย่ี มนเิ ทศขนั้ เรียน 1.2.3 กำหนดเรื่องที่จะนิเทศตามความต้องการ/จำเป็น เช่น การ จัดทำ เอกสารและงานธุรการประจำห้องเรยี น การจัดห้องเรียนและบรรยากาศในห้องเรียน การ จัดกจิ กรรมการ เรยี นรู้ ฯลฯ 1.2.4 กำหนดวิธีการนิเทศ เช่น สำรวจปัญหาและความตอ้ งการของ ครู สอบถามการปฏบิ ัตงิ านของครู ให้คำปรึกษาแนะนำ สังเกตการสอน ฯลฯ ขน้ั ที่ 2 ปฏบิ ตั ิการเยี่ยมนเิ ทศช้ันเรยี น ตามขอ้ ตกลงท่ีกำหนดรว่ มกันกบั ครู ดังนี้ 2.1 เขา้ เย่ยี มนเิ ทศชนั้ เรยี น ตรงตามเวลาที่กำหนด 2.2 ใหค้ วามเปน็ กันเอง เพอ่ื สรา้ งเจตคตทิ ่ดี ีแก,ครู ขน้ั ที่ 3 วเิ คราะห์ผล การเยย่ี มนิเทศข้นั เรียน ซึ่งมชี น้ั ตอนดงั นี้ 3.1 วเิ คราะห์ผลการเยย่ี มนเิ ทศขั้นเรยี นรว่ มกบั ครู 3.2 สรุปผลการเย่ียมนิเทศขั้นเรยี น 3.3 ใหค้ ำปรึกษาแนะนำ ขั้นท่ี 4 ปรบั ปรงุ การทำงาน ครนู ำผลการเยี่ยมนเิ ทศชน้ั เรียน มาปรับปรุงแก้ไข

41 (ตวั อย่าง) แบบบนั ทึกการเยี่ยมนิเทศชนั้ เรียน ชอ่ื ผรู้ บั การนเิ ทศ..............................................................(ครูทปี่ รกึ ษา/ครปู ระจำช้ัน/หวั หน้าระดบั ) วันท่ี........ เดือน ...................................พ.ศ .................... คำช้แี จง ให้กาเครอื่ งหมาย 'ร ในช่องทางขวามือตามเกณฑก์ ารประเมนิ ดังนี้ รายการประเมิน 5 ระดบั การปฏบิ ตั ิ 1 หมายเหตุ 432 เกณฑ์ สภาพห้องเรียน 5 = ดีมาก 1. มปี ้ายนิเทศเพ่ือแสดงขา่ วสารและความรตู้ ่างๆ 4 = ดี 2. มปี ้ายแสดงข้อมลู สถติ ิของห้องเรียนที่เป็นปจั จุบัน 3 = ปานกลาง 3. มีสญั ลักษณช์ าติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ 2 = น้อย 4. มกี ารแสดงผลงานนักเรียน 1 = แกไข 5. บรรยากาศในห้องเรยี นเอ้ือต่อการเรียนรู้ การบริหารจดั การห้องเรียน 6. ใช้การเสรมิ แรงเชงิ บวกในการจดั การเรยี นรู้ (Positive Reinforcement) 7. ใชว้ ธิ ีการทำงานเปน็ กลุ่ม (Working เท Groups) 8. นักเรียนทกุ คนมีสว่ นรว่ มในการจดั การเรยี นรู้ (Involve Everyone) ครผู ้สู อน 9. มีการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ 10. จดั กิจกรรมการเรยี นรู้เน้นผเู้ รียนเปน็ สำคญั 11. ใชส้ ่อื เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ 12. มขี ้อมลู นกั เรียนเป็นรายบุคคล 13. มวี ิจัยในชั้นเรยี นเพื่อการพัฒนาการเรยี นรู้ 14. ดูแลเอาใจใสน่ ักเรยี นอย่างทัว่ ถงึ 15. แต่งกายเหมาะสมกบั ความเป็นครู นักเรยี น 16. ตั้งใจปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการเรียนท่ีไดร้ ับมอบหมาย 17. นกั เรียนร่าเริงแจ่มใส 18. นักเรียนกระตอื รือรน้ และกล้าซกั ถามครู 19. นักเรยี นมรี ะเบยี บวนิ ยั 20. นกั เรยี นแตง่ กายสะอาดถูกตอ้ งตามระเบยี บ รวม เฉลีย่

42 ข้อคิดและขอ้ เสนอแนะของผู้นเิ ทศ ............................................................................................................................. ................................ ................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ................................ ลงชือ่ ......................................................... ผู้นิเทศ ( ........................................................ ) รบั ทราบ/ปรับปรุง/ดำเนนิ การตามคำแนะนำ ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ ลงช่อื ......................................................... ผู้รับการนิเทศ ( ........................................................ )

43 (ตัวอยา่ ง) แบบบันทกึ การเยยี่ มนเิ ทศชั้นเรยี น โรงเรยี น .............................................................. อำเภอ............................................. จังหวัด .......................................................... ชื่อผู้รับการนิเทศ ...................................................................(ครูท่ปี รกึ ษา/ครปู ระจำช้นั /หัวหนา้ ระดับ) ช้นั ................................... วนั เดอื น ปี วิเคราะห์ผล การเยยี่ มนิเทศช้ันเรียน สรปุ ผล ให้คำปรกึ ษาแนะนำ การเย่ียมนเิ ทศชั้นเรยี น ลงชือ่ ......................................................... ผู้นเิ ทศ ( ........................................................ ) รบั ทราบ/ปรบั ปรุง/ดำเนนิ การตามคำแนะนำ ............................................................................................................................. ................................ ................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ................................ ลงชอื่ ......................................................... ผู้รบั การนิเทศ ( ........................................................ )

44 2. การสังเกตการสอนในช้ันเรียน การสังเกตการสอน หมายถึง การจัดใหบ้ ุคคลหน่ึง (ผู้นิเทศ) ที่มีความรู้ความเขา้ ใจในเร่อื ง การจัดการเรียนรู้ มาสังเกตพฤติกรรมการสอนของครู (ผู้รับการนิเทศ) ในขณะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถพัฒนาหรือปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพโดยใช้ข้อมูล ยอ้ นกลับ จากการสังเกตการสอนของผูน้ เิ ทศ ขั้นตอนการสงั เกตการสอน มีขั้นตอนดงั น้ี ขนั้ ท่ี 1 สร้างความสมั พันธร์ ะหว่างครกู ับผูน้ ิเทศ มีขั้นตอนดงั นี้ 1.1 ปฏบิ ัติตนใหเ้ ปน็ เพื่อนร่วมวชิ าชพี กับครู 1.2 เปน็ เพ่อื นรว่ มงานกบั ครู 1.3 ให้ขอ้ มูลตา่ งๆ แก,ครู 1.4 แกไขข้อขัดแย้งตา่ งๆ ของครู 1.5 รับฟง้ ข้อแนะนำต่างๆ ของครู 1.6 ใหค้ วามสนใจตอ่ ครูในการปฏิบัติงาน 1.7 ใหค้ วามจรงิ ใจต่อครูท้ังต่อหน้าและลับหลงั 1.8 ให้เกยี รตแิ ละยกย,องครดู ว้ ยความจริงใจ 1.9 หาทางสร้างความกา้ วหน้าให้แก,ครูอยู่เสมอ 1.10 ให้ความรูแ้ ละสนับสนนุ การทำงานของครู ขัน้ ที่ 2 ปรึกษาหารอื และการเตรยี มแผนการจดั การเรียนรู้ มีข้นั ตอนดังนี้ 2.1 ปรึกษาหารือกับครูในเรือ่ งการจัดการเรียนรู้ 2.2 วางแผนการสงั เกตการจดั การเรียนรู้รว่ มกนั 2.3 สร้างขอ้ ตกลงในการสงั เกตการจดั การเรียนรู้ 2.4 พจิ ารณาแผนการจัดการเรยี นรู้ร่วมกัน ขั้นท่ี 3 การสังเกตการสอน มขี ั้นตอนดงั นี้ 3.1 ผู้นิเทศเขา้ ไปสงั เกตการสอน โดยอาจนั่งเงียบๆ รวมกับนักเรียน 3.2 ขณะสงั เกตการสอน ผนู้ ิเทศต้องบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้และบรรยากาศ ในหอ้ งเรียนอย่างละเอียด 3.3 บนั ทึกพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู (อาจใชเ้ ทปบันทึกเสยี ง) 3.4 ต้องสงั เกตการจัดการเรียนร้จู นจบการสอนในแตล่ ะคร้ัง ขั้นท่ี 4 วเิ คราะห์พฤติกรรมการจดั การเรยี นรู้ร่วมกัน มีข้นั ตอนดังน้ี 4.1 ครกู บั ผู้นเิ ทศร่วมกนั วเิ คราะห์พฤติกรรมการจดั การเรียนรู้ 4.2 นำขอ้ มูลจากการบันทกึ พฤติกรรมการจดั การเรยี นรู้ มาพจิ ารณาร่วมกนั 4.3 พจิ ารณาพฤติกรรมการจดั การเรยี นรวู้ า่ มีจดุ เด,นหรอื จุดด้อยอย่างไร พฤติกรรมใดเปน็ ปัญหา

45 4.4 ครูกับผูน้ เิ ทศร่วมกันหาทางปรบั ปรุง หรือพัฒนาการจัดการเรียนร้ใู ห้ดขี ้นึ ข้นั ที่ 5 ปรับปรงุ การสอน มขี นั้ ตอนดังนี้ 5.1 ครูจะต้องยอมรับพฤตกิ รรมการจัดการเรยี นรขู้ องตน 5.2 นำผลการวเิ คราะห์พฤติกรรมทัง้ ทางดา้ นดีและไม,ดี มาเปน็ ขอ้ มูล ประกอบการเตรียมแผนการจัดการเรียนรู้ครั้งต่อไป 5.3 ปรบั ปรุงแกไขพฤติกรรมทีเ่ ป็นปญั หา

46 (ตัวอยา่ ง) แบบบันทกึ การสังเกตการสอนในชัน้ เรยี น ช่อื ผู้สอน.................................................. วชิ า.............................................ระดบั ชั้น.................. ชื่อผนู้ ิเทศ ................................................ ตำแหนง่ ..................................................................... ครงั้ ทน่ี เิ ทศ............................................... วนั /เดือน/พ.ศ............................................................. คำชี้แจง ใหก้ าเคร่อื งหมาย 'ร ในชอ่ งทางขวามอื ตามเกณฑ์การประเมิน ดงั น้ี เกณฑ์ 5 = ดมี าก 4 = ดี 3 = ปานกลาง 2 = นอ้ ย 1 = แก้ไข รายการประเมิน ระดบั การปฏิบัติ ข้อค้นพบและ 54321 ขอ้ เสนอแนะ 1. ชัน้ เตรียมความพร้อม (ชน้ั นำ) 1.1 มีกิจกรรมเตรียมความพร้อมที่กระตุ้นสมอง โดยใช้เวลา เหมาะสม (ไม่ยาวเกินไป) และน่าสนใจ 2. ชน้ั สอน 2.1 จดั กระบวนการเรยี นรู้สอดคล้องกับการ ทำงานของสมอง 2.2จัดกระบวนการเรยี นรสู้ ะท้อนมาตรฐาน ตวั ชวี้ ัดของ หลกั สตู ร 2.3 มีลำดับชน้ั ตอนจากง่ายไปหายาก 2.4เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมการ เรยี นการ สอน นักเรียนไดล้ งมือปฏิบัติ 2.5มกี ารใช้คำถามสง่ เสรมิ กระบวนการคิด ระดบั สงู แก่ ผเู้ รยี นอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง 2.6มีการใชส้ ่อื อปุ กรณก์ ารเรียนรู้ และ เทคโนโลยี ที่ เหมาะสมกบั มาตรฐาน ตวั ชวี้ ัดใน หลักสตู ร 2.7มีการใชค้ ำพดู เชิงบวก เสรมิ แรง สร้าง ความภาคภมู ใิ จ และความม่ันใจแกผ่ เู้ รยี น 2.8 มคี วามแมน่ ยำในเน้ือหา 2.9 เอาใจใสแ่ ละชว่ ยเหลอื ผเู้ รียนไดอ้ ยา่ งทั่วถงึ ทุก กลุ่ม 2.10จัดบรรยากาศสภาพแวดล้อมส่งเสริมการ เรียนรู้ 2.11สร้างวนิ ัยในชั้นเรียนดว้ ยความเป็น กัลยาณมิตร 2.12จัดกจิ กรรมการเรียนการสอนไดค้ รบถ้วน ตามแผน

47 รายการประเมนิ ระดับการปฏิบตั ิ ขอ้ ค้นพบและ 54321 ข้อเสนอแนะ 3. ข้ันสรปุ 3.1 มีการทบทวนและสรุปความรู้หรือทักษะ ที่สอน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจและแม่นยำในสิ่งที่เรียนรู้ มากขึ้นโดย ให้ผเู้ รียนช่วยกนั สรปุ บทเรียน 3.2มีวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน อย่าง หลากหลายและเหมาะสม 4. ด้านบคุ ลิกภาพ 4.1 เสียงดงั ชดั เจน 4.2 ใชภ้ าษาถกู ตอ้ ง 4.3 วางตนเหมาะสมกับความเปน็ ครู 4.4 ควบคุมอารมณ์ 4.5 แต่งกายสภุ าพ รวม เฉล่ีย ผูน้ เิ ทศใหข้ ้อมูลย้อนกลับเพื่อเปน็ แนวทางในการพฒั นาต่อยอดการเรยี นรู้ ดงั นี้ 1. จุดเด่นของการสอนในคาบนี้ 2. สิง่ ทีค่ วรปรบั ปรงุ / พฒั นาต่อยอด 3. ความคดิ เหน็ ของผู้รบั การนเิ ทศตอ่ การจัดการเรยี นรู้ของตน ลงช่อื ................................................ ผรู้ บั การนิเทศ (........................................... ) ลงช่อื ................................................ ผนู้ ิเทศ (........................................... ) หมายเหตุ ใหโ้ รงเรยี นศกึ ษาสภาพและบรบิ ทของโรงเรียนจัดทำเกณฑ์ระดับคุณภาพที่เหมาะสม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook