บทที 2 แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทีเกยี วข้อง การวิจยั เรือง ผลการใช้กิจกรรมการเล่าเรืองจากหนงั สือเพือส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน และความเขา้ ใจในการอ่านของนกั เรียนช\"นั อนุบาล 3 โรงเรียนประภามนตรี 2 ซึงการวจิ ยั ในคร\"ังน\"ี ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาแนวคิด ทฤษฎี ตามรายละเอียดดงั ต่อไปน\"ี 1. เอกสาร แนวคิดเกียวกบั การอ่าน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏธนบรุ ี1.1 ความหมายของการอ่าน 1.2 ความสาํ คญั ของการอ่าน 1.3 ความจาํ เป็นของการอ่าน 1.4 องคป์ ระกอบของการอ่าน 1.5 วตั ถุประสงคข์ องการอ่าน 1.6 พฒั นาการทางการอ่านของเด็กปฐมวยั 1.7 ประโยชนข์ องการอ่าน 2. เอกสาร แนวคิดเกียวกบั นิสัยรักการอ่าน 2.1 ความหมายของนิสยั รักการอ่าน 2.2 ความหมายของนิสยั รักการอ่านเดก็ ปฐมวยั 2.3 ความสาํ คญั ของนิสัยรักการอ่าน 3. เอกสาร แนวคิดเกียวกบั การจดั กิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน 3.1 ความหมายของกิจกรรมส่งเสริมนิสยั รักการอ่าน 3.2 ลกั ษณะของกิจกรรมส่งเสริมนิสยั รักการอ่าน 3.3 กิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน 3.4 เป้าหมายของการจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน 3.5 รูปแบบของกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน 3.6 สาเหตุทีคนไทยขาดนิสยั รักการอ่าน 3.7 การปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน 3.8 การสร้างนิสยั ในการอ่าน 3.9 วธิ ีการส่งเสริมการอ่านในโรงเรียน 11
4. แนวคิดเกียวกบั ความเขา้ ใจในการอ่าน 5. เอกสาร แนวคิดการเล่าเรืองจากหนงั สือ 5.1 ความหมายของการเล่าเรืองจากหนงั สือ 6. เอกสาร แนวคิด เกียวกบั เดก็ ปฐมวยั 6.1 ธรรมชาติของเดก็ ปฐมวยั 6.2 พฒั นาการของเดก็ ปฐมวยั 7. งานวจิ ยั ทีเกียวขอ้ ง 7.1 งานวจิ ยั ในประเทศ 7.2 งานวจิ ยั ในต่างประเทศ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบุรีเอกสารแนวคดิ เกยี วกบั การอ่าน 1. ความหมายของการอ่าน การอ่านเป็นทกั ษะทีจาํ เป็นในการดาํ รงชีวติ ในปัจจุบนั ของมนุษยท์ ีจะช่วยใหผ้ ูอ้ ่านมี ความเขา้ ใจในขอ้ มูลต่างๆ ทีผูเ้ ขียนสือความหมาย และทาํ ใหไ้ ดร้ ับความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ มาก ข\"ึน นกั ศึกษาและผเู้ ชียวชาญทางดา้ นการอ่านไดท้ าํ การศึกษาคน้ ควา้ และใหค้ วามหมายของการอ่าน ไวห้ ลายทศั นะท\"งั แนวภาษาศาสตร์และแนวจิตวทิ ยา ดงั น\"ี บนั ลือ พฤกตะวนั (2543, หนา้ 44-45) ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่านไวห้ ลายนยั ดงั น\"ี (1) การอ่าน เป็ นการแปลสัญลกั ษณ์ออกมาเป็ นคาํ พูดโดยการผสมเสียง เพือใช้ ในการออกเสียงให้ตรงกบั คาํ พูด การอ่านแบบน\"ีมุ่งให้สะกดตวั ผสมคาํ อ่านเป็ นคาํ ๆ ไม่สามารถใช้ สือความหมายโดยการฟังไดท้ นั ที เป็ นการอ่านเพือการอ่านออก มุ่งให้อ่านหนังสือได้แตกฉาน เท่าน\"นั (2) การอ่าน เป็ นการใช้ความสามารถในการผสมผสานของตวั อกั ษร ออกเสียง เป็นคาํ หรือเป็นประโยค ทาํ ใหเ้ ขา้ ใจความหมายในการสือความโดยการอ่านหรือฟังผูอ้ ืนอ่านแลว้ รู้ เรือง เรียกวา่ อ่านได้ ซึงมุ่งใหอ้ ่านแลว้ รู้เรืองของสิงทีอ่าน (3) การอ่าน เป็ นการสือความหมายทีจะถ่ายโยงความคิด ความรู้จากผูเ้ ขียน (ผสู้ ือ) ถึงผอู้ า่ น การอา่ นลกั ษณะน\"ี เรียกวา่ อ่านเป็ น ผูอ้ ่านยอ่ มเขา้ ใจถึงความรู้สึกนึกคิดของผูเ้ ขียน โดยอ่านแลว้ สามารถประเมินผลของสิงทีอ่านดว้ ย 12
(4) การอ่าน เป็นการพฒั นาความคิด โดยผอู้ ่านตอ้ งใชค้ วามสามารถหลายๆ ดา้ น เช่น การสังเกต การจาํ รูปคาํ ใชส้ ติปัญญาและประสบการณ์เดิมในการแปลความหรือถอดความให้ เกิดความเขา้ ใจเรืองราวทีอ่านได้ดี โดยวิธีอ่านแบบน\"ีจะตอ้ งดาํ เนินการเป็ นข\"นั ตอนและต่อเนือง (กระบวนการ) อาจตอ้ งใชค้ วามหมายของการอ่านจากขอ้ 1, 2, 3 (หรือไม่จาํ เป็ นตอ้ งครบ 3 ความหมายก็ได)้ แลว้ สามารถเขา้ ใจความหมายของสิงทีอ่านและนาํ ผลของสิงทีไดจ้ ากการอ่านมา เป็นแนวคิด แนวปฏิบตั ิได้ เราเรียกวา่ อ่านเป็น ซึงเป็นเป้าหมายสาํ คญั ของการอ่าน ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2545, หน้า 1) ได้ให้ไว้ คือ ความเข้าใจในสัญลักษณ์ เครืองหมาย รูปภาพ ตวั อกั ษร คาํ และขอ้ ความทีพิมพห์ รือเขียนข\"ึนมา สุนนั ทา มนั เศรษฐวทิ ย์ (2545, หนา้ 2) ไดใ้ หค้ าํ จาํ กดั ความของการอ่านวา่ เป็ นลาํ ดบั ข\"นั ทีเกียวขอ้ งกบั การทาํ ความเขา้ ใจความหมายของคาํ กลุ่มคาํ ประโยค ขอ้ ความ และเรืองราวของ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีสารทีผอู้ ่านสามารถบอกความหมายได้ มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์ (2547, หนา้ 18) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการทีผอู้ ่านรับรู้สารซึงเป็ นความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความคิดเห็นทีผูเ้ ขียน ออกมาเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร การทีผูอ้ ่านจะเขา้ ใจสารไดม้ ากนอ้ ยเพียงไร ข\"ึนอยูก่ บั ประสบการณ์ และความสามารถในการใชค้ วามคิด Tinker (1985, p. 712) ไดอ้ ธิบายถึงการอ่านวา่ การอ่านเป็ นกระบวนการทางสมอง ผูอ้ ่านจะสร้างความหมายจากตวั อกั ษรทีไดอ้ ่านดว้ ยการใชป้ ระสบการณ์เดิม จุดหมายของการอ่าน คือ การทาํ ความเข้าใจในสิงทีได้อ่าน ความเขา้ ใจในความหมายของการอ่านเป็ นการรวบรวม ความคิดทีเกิดข\"ึน Goodman (1990, p. 12) กล่าววา่ การอ่านเป็ นกระบวนการภาษาดา้ นรับสารและเป็ น กระบวนการภาษาศาสตร์เชิงวทิ ยา ซึงเริมจากการทีผเู้ ขียนความหมายทีตอ้ งการสือ โดยใชต้ วั อกั ษร และจบลงดว้ ยความหมายทีผูอ้ ่านเป็ นผูส้ ร้างข\"ึนมา มีการปฏิสัมพนั ธ์กนั ระหวา่ งภาษาและความคิด ในกระบวนการอ่าน ผเู้ ขียนถ่ายทดความคิดออกมาในรูปของภาษา และผูอ้ ่านก็ถอดความหมายน\"นั ออกมาเป็ นความคิด Hermann (1990, pp. 81-83) กล่าวไวห้ มายถึง การบวนการในการแปลความหมาย ผูอ้ ่านใช้ความรู้เดิมในการคาดคะเนเรืองราวและทาํ ความเข้าใจในเรืองทีได้อ่านด้วยการเดา ความหมายของคาํ ศพั ทจ์ ากบริบทแวดลอ้ ม Leu and Kinzer (1993, p. 12) กล่าววา่ การอ่านเป็นการตอบสนองต่อตวั อกั ษร ทาํ ให้ เกิดกระบวนการของการเรียนรู้ ความสามารถในการเขา้ ใจขอ้ ความทีอ่านจะข\"ึนอยกู่ บั ความสามารถ ของแต่ละบุคคล 13
จากการใหค้ วามหมายของนกั การศึกษาและผูเ้ ชียวชาญดา้ นการอ่านดงั กล่าวพอสรุป ไดว้ ่า การอ่านคือ การแปลความสัญลกั ษณ์หรือตวั อกั ษรหรือสิงทีผูเ้ ขียนสือไวใ้ นงานเขียนโดย ผูอ้ ่านต้องมีความรู้ทางไวยากรณ์ มีทกั ษะในการเดาและการตีความ มีความสามารถในการใช้ ความคิดอยา่ งมีเหตุผล พร้อมท\"งั รู้จกั นาํ ความรู้เดิมมาทาํ ความเขา้ ใจกบั งานเขียนน\"นั จากน\"นั ผูอ้ ่าน เกิดความคิด ความเขา้ ใจแลว้ สามารถนาํ ความคิด ความเขา้ ใจน\"นั ไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ได้ ดงั น\"นั การอ่านจึงเป็นเรืองของกระบวนการสือสารระหวา่ งผูเ้ ขียนและผูอ้ ่านโดยใชภ้ าษาเป็ นสือซึงตอ้ งใช้ กระบวนการทางความคิดทีสัมพนั ธ์กบั ภาษา และความสามารถทางดา้ นภาษาของผอู้ ่านอีกดว้ ย 2. ความสําคัญของการอ่าน การอ่านมีความสําคญั ต่อมนุษยเ์ พราะการอ่านเป็ นการเพิมพูนความรู้ เป็ นการเปิ ด โลกทัศน์ให้กวา้ ง เป็ นการพฒั นาความคิดความอ่านทาํ ให้มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบรุ ีสามารถนําความรู้ทีได้มาพฒั นาตวั เองให้มีความก้าวหน้านักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึง ความสาํ คญั ของการอ่านไว้ ดงั น\"ี วรรณี โสมประยรู (2539, หนา้ 9) กล่าววา่ การอ่านมีความสําคญั ต่อคนทุกเพศทุกวยั และทุกสาขาอาชีพ ดังน\"ี การอ่านเป็ นเครืองมือทีสําคัญยิงในการศึกษาเล่าเรียนทุกระดับ ใช้ การติดต่อสือสารเพอื ทาํ ความเขา้ ใจกบั บุคคลอืน ช่วยให้บุคคลสามารถนาํ ความรู้และประสบการณ์ จากสิงทีอ่านไปปรับปรุงและพฒั นาอาชีพ การอ่านสามารถสนองความตอ้ งการพ\"ืนฐานของบุคคล ในดา้ นต่างๆ ไดเ้ ป็ นอย่างดี ส่งเสริมให้บุคคลไดข้ ยายความรู้และประสบการณ์เพิมข\"ึนอยา่ งลึกซ\"ึง และกวา้ งขวาง ฉววี รรณ คูหาภินนั ท์ (2545, หนา้ 2) กล่าวไวว้ า่ การอ่านมีความสาํ คญั ต่อชีวิตมนุษย์ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต และช่วยสนองความอยากรู้อยากเห็นอนั เป็ นธรรมชาติของมนุษย์ ไดท้ ุกเรือง ซึงมีอยใู่ นทรัพยากรสารนเทศทุกประเภท สุนันทา มนั เศรษฐวิทย์ (2540, หน้า 20) ได้ให้ความสําคญั ของการอ่านไวว้ ่า การเสาะแสวงหาความรู้นอกเหนือจากการสอนในห้องเรียนทีครูให้และตวั ของผูอ้ ่านน\"ันได้มี การจดจาํ ในเรืองราวทีอ่านและนาํ มาคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ ออกมาตามความเขา้ ใจของผูอ้ ่าน ถา้ พิจารณาในลักษณะของกระบวนการ การอ่านคือลําดับข\"ันทีเกียวข้องกับการทาํ ความเข้าใจ ความหมายของ กลุ่มคาํ ประโยค ขอ้ ความและเรืองราวของสารทีผูอ้ ่านสามารถบอกความหมายได้ แต่ถา้ พิจารณาในลกั ษณะของกระบวนการทีซบั ซ้อนแลว้ ก็จะเกียวขอ้ งกบั องคป์ ระกอบหลายอยา่ ง ไดแ้ ก่จิตวิทยาพฒั นากร ภาษาศาสตร์ จิตวิทยาการศึกษา และวิชาการศึกษา ส่วนทีเกียวขอ้ งกับ จิตวทิ ยาน\"นั หมายความวา่ ครูสอนอ่านจะตอ้ งเขา้ ใจหลกั จิตวทิ ยา 14
ไพพรรณ อินทนิล (2546, หนา้ 7-9) กล่าวถึง ความสาํ คญั ของการอ่านวา่ การอ่าน เป็ นทกั ษะพ\"ืนฐานทีจาํ เป็ นในการดาํ รงชีวิตในปัจจุบนั เป็ นเครืองมือสําคญั ในการเรียนรู้ เป็ นสือ สาํ คญั ในการพฒั นาและแกป้ ัญหาสงั คม และช่วยผอ่ นคลายความเครียด มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์ (2547, หน้า 18) กล่าวโดยสรุปว่า ถา้ จะถามว่าทกั ษะใดที สําคญั ทีสุดทีเป็ นพ\"ืนฐานแห่งความสําเร็จท\"งั ปวง คาํ ตอบทีมีเพียงคาํ ตอบเดียว คือ ทกั ษะการอ่าน การอ่านช่วยเพิมพูนความรู้ความสามารถของผูอ้ ่าน ทีสําคญั ช่วยให้มีความคิดกวา้ งไกลและมี วสิ ยั ทศั น์ Rivers (1981, p. 260) กล่าววา่ เมือนกั เรียนไดพ้ ฒั นาทกั ษะการอ่านจนอยูใ่ นระดบั ใชก้ ารไดแ้ ลว้ ทกั ษะน\"ีจะอยกู่ บั นกั เรียนคนน\"นั ตลอดไป และยงั ทาํ ใหน้ กั เรียนสามารถเพิมความรู้ได้ ดว้ ยตนเอง มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบุรีThomas (1986, p. 321) กล่าวไวว้ า่ การอ่านมีความสาํ คญั มากสําหรับผูท้ ีกาํ ลงั ศึกษา เล่าเรียน แมใ้ นปัจจุบนั มีเทคโนโลยแี ละสือต่างๆมากมาย แต่ผทู้ ีมีความสามารถในการอ่านยอ่ มจะมี ผลดีและประสบความสําเร็จมากกว่า เนืองจากในชีวิตประจาํ วนั ของคนเราน\"ันจะเกียวขอ้ งกับ การอ่านเอกสารหนงั สือและอืนๆ ท\"งั ดา้ นวชิ าการ ดา้ นอาชีพ ดา้ นการคน้ ควา้ หาความรู้ และการอ่าน เพือความเพลิดเพลิน Finochiaro (1974, p. 143) กล่าวโดยสรุปวา่ การอ่านเป็ นทกั ษะทีคงอยูก่ บั ผูอ้ ่านได้ นานทีสุด หรืออาจกล่าวไดว้ า่ เป็ นทกั ษะเดียวทีอยูก่ บั ผูอ้ ่านไปตลอดชีวิต และผูอ้ ่านสามารถศึกษา ความรู้เพิมเติมด้วยตนเองได้ตลอดเวลา นอกจากน\"ันการอ่านยงั เป็ นทกั ษะทีเป็ นประโยชน์ต่อ การเรียนในระดบั สูง อีกท\"งั ยงั เป็ นกระบวนการปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างผูอ้ ่านกบั ผูเ้ ขียน ในการให้ ความรู้ โดยใช้ภาษาเป็ นเครืองมือสือความหมาย ทกั ษะการอ่านเป็ นทกั ษะทีสามารถเชือมโยง บูรณาการทกั ษะทางภาษาอืนๆ ไดง้ ่ายกวา่ ดา้ นการฟัง การพูดและการเขียน เพราะผูอ้ ่านยอ่ มดึงเอา ขอ้ มูลของสิงทีอ่านเพือประโยชนใ์ นการสือสารกบั ผเู้ ขียนได้ จากความหมายดงั กล่าวสรุปไดว้ ่า การอ่าน หมายถึงกระบวนการตีความหมายของ ลายลกั ษณ์อกั ษรจาการทีผูเ้ ขียนไดถ้ ่ายทอดมาให้แลว้ ผูอ้ ่านนาํ มาแปลเป็ นความคิด ทาํ ให้มีความ เขา้ ใจ มีความรู้จากการอ่านและสามารถนาํ ประโยชน์ทีไดจ้ ากการอ่านมาใชใ้ นการดาํ เนินชีวิตของ มนุษยใ์ นทุกๆ ดา้ น ท\"งั ในดา้ นการพฒั นาตนเอง พฒั นาการศึกษา พฒั นาอาชีพ พฒั นาคุณภาพชีวิต ทาํ ใหเ้ ป็นคนทนั สมยั ทนั ต่อเหตุการณ์ เพราะการอ่านเป็ นเครืองมือสําคญั ทีจะนาํ ไปสู่ความรู้ท\"งั ปวง อีกท\"งั ช่วยเสริมสร้างพฒั นาสติปัญญา และสามารถนาํ ความรู้ทีไดจ้ ากาการอ่านมาใช้ประโยชน์ใน การดาํ เนินชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบนั อยู่มีความสุขซึงความสมารถในการเข้าใจของผูอ้ ่านน\"ันจะ 15
แตกต่างกนั ข\"ึนอยู่กบั ประสบการณ์เดิมของผูอ้ ่านทีจะเป็ นพ\"ืนฐานให้เกิดความเขา้ ใจในเรืองทีอ่าน น\"นั 3. ความจําเป็ นของการอ่าน การอ่านเป็ นทกั ษะทีจาํ เป็ นสําหรับการศึกษาหาความรู้ควบคู่กับทักษะอืนเพือ การสือสารใหไ้ ดม้ าและแสดงออกซึงความรู้ ทกั ษะเพือความรู้และความสามารถทางภาษา คือ อ่าน - ฟัง จาํ - จด ถาม - พดู แต่ง - เขียน ทาํ กิจกรรม นกั ปราชญใ์ นสมยั โบราณก่อน มีหนงั สืออ่านเพือความรู้- ท่านกาํ หนดวิธีนาํ ไปสู่ความเป็ นนกั ปราชญไ์ ว้ 4 ประการ คือ สุ (สุต – ฟัง) จิ (จิต – จาํ ระลึกได้ – คิด) ปุ (ปุจฉา – ถาม) ลิ (ลิขิต – เขียน รวมการทาํ กิจกรรม) การอ่านเป็ นทกั ษะทีจาํ เป็ นต่อชีวิตมนุษยต์ \"งั แต่เกิดจนโต และจนกระทงั ถึงวยั ชรา การอ่านทาํ ใหร้ ู้ข่าวสารขอ้ มูลต่างๆ ทวั โลก ซึงปัจจุบนั เป็ นโลกของขอ้ มูลข่าวสารต่างๆ ทวั โลก ทาํ มหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบุรีใหผ้ อู้ า่ นมีความสุข มีความหวงั และมีความอยากรู้อยากเห็น อนั เป็นความตอ้ งการของมนุษยท์ ุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพฒั นาตนเอง คือ พฒั นาการศึกษา พฒั นาอาชีพ พฒั นาคุณภาพชีวติ ทาํ ให้เป็ นคนทันสมยั ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้อยากเห็น การทีจะพฒั นาประเทศให้ เจริญรุ่งเรืองกา้ วหน้าไดต้ อ้ งอาศยั ประชาชนทีมีความรู้ความสามารถ ซึงความรู้ต่างๆ ก็ไดม้ าจาก การอ่านนนั เองเพราะฉะน\"นั การอ่านเป็นทกั ษะทีตอ้ งเรียนรู้และฝึกฝนใหเ้ กิดเป็นนิสยั 4. องค์ประกอบของการอ่าน การอ่านเป็ นกระบวนการสําคญั ในการแสวงหาความรู้ของมนุษย์อย่างหนึงทีมี องคป์ ระกอบสาํ คญั ต่อการอ่าน ซึงมีผกู้ ล่าวถึงองคป์ ระกอบของการอ่านไวด้ งั น\"ี สุนนั ทา มนั เศรษฐวทิ ย์ (2540, หนา้ 5-8) กล่าววา่ องคป์ ระกอบของการอ่านมีดงั น\"ี (1) องค์ประกอบทางดา้ นสังคม หมายถึง สิงแวดลอ้ มทีอยู่รอบตวั นักเรียนใน การสอนครูจาํ เป็ นตอ้ งคาํ นึงถึงสภาพทางสังคมพ\"ืนฐานและทีมาทางดา้ นครอบครัวของนกั เรียน วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนาทีนบั ถือ การจดั อุปกรณ์การสอนและวิธีการสอนที สอดคลอ้ งกบั พ\"ืนฐานทางสงั คม เป็นสิงจาํ เป็นทีจะช่วยใหน้ กั เรียนเขา้ ใจและมีพฒั นาการในการอ่าน อยา่ งรวดเร็ว (2) องค์ประกอบทางด้านความพร้อม หมายถึง ความพร้อมทางด้านร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญา ทีสามารถเริมตน้ อ่านได้ Edmund B. Hney นกั การศึกษาทีมีชือทางการอ่าน และเป็ นทียอมรับทวั โลกไดแ้ สดงทรรศนะไวว้ ่า ความพร้อมในการอ่านมิไดอ้ ยู่ทีการฝึ กหัด แต่ ข\"ึนอยกู่ บั ความพร้อมของอวยั วะทีเกียวขอ้ งกบั การอ่าน ไดแ้ ก่ ตา หู ปาก และสมอง ส่วนความรู้และ ความเข้าใจในเรื องทีอ่านก็จะเป็ นแรงจูงใจทีนําไปสู่การอ่านในเรื องอืนๆ เพือให้ผูอ้ ่านมี ประสบการณ์ทางภาษาทีกวา้ งขวางออกไป 16
(3) องคป์ ระกอบทางดา้ นโรงเรียน ไดแ้ ก่ การจดั บรรยากาศ การจดั กิจกรรมให้ ตอบสนองกบั ความตอ้ งการของนักเรียน การปลูกฝังทศั นคติทีดีต่อการอ่านและรักการอ่านเห็น ความสําคญั ของการอ่าน เกิดความภาคภูมิใจในความสําเร็จ เห็นพฒั นาการในอ่านของตนเอง ผบู้ ริหารใหก้ ารสนบั สนุน จดั หางบประมาณตลอดจนสือการสอน ใหค้ าํ แนะนาํ หรือหาทางส่งเสริม ใหค้ รูไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ หาวิธีใหม่ๆ ทีจะนาํ ไปใชใ้ หไ้ ดผ้ ล ครูร่วมมือกบั บรรณารักษจ์ ดั กิจกรรมการ อ่านและโครงการรักการอ่าน เป็นตน้ สนิท ต\"งั ทวี (2545, หนา้ 280-282) กล่าวถึงองคป์ ระกอบของการอ่านไวว้ า่ การอ่าน เป็นกระบวนการเรียนรู้ ซึงมีองคป์ ระกอบสาํ คญั 5 ส่วน คือ (1) ผอู้ า่ น การอ่านจะเกิดข\"ึนไม่ไดถ้ า้ ไม่มีผอู้ ่าน (2) ตวั อกั ษร ถา้ ผูอ้ ่านมองเห็นตวั อกั ษรแลว้ อ่านไดแ้ ต่ไม่เขา้ ใจความหมายของ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ีตวั อกั ษรก็จะไม่ถือวา่ เป็นการอ่านในทีน\"ี (3) ความหมายถา้ ผูอ้ ่านมองเห็นตวั อกั ษรชดั เจนสามารถเขา้ ใจความหมายของ ตวั อกั ษรก็ถือเป็นการอ่าน แต่ยงั ไม่สมบูรณ์เพราะมีเพยี งทกั ษะทางดา้ นความเขา้ ใจศพั ท์ (4) เลือกความหมาย ถา้ ผูอ้ ่านมองเห็นตวั อกั ษรเขา้ ใจความหมายของตวั อกั ษร และสามารถเลือกความหมายทีดีทีสุดในหลายๆ ความหมายของคาํ ทีถูกห้อมล้อมด้วยบริบท (Context) ได้อย่างถูกตอ้ ง โดยอาศยั การพิจารณาดว้ ยเหตุผลและผลเช่นน\"ีจะถือวา่ เป็ นการอ่านที สมบูรณ์เพราะมีทกั ษะทางดา้ นความเขา้ ใจเน\"ือเรืองและความคิดเชิงวจิ ารณ์เพิมข\"ึน (5) การนําไปใช้ การอ่านทีจะมีความสมบูรณ์ทีสุ ดได้ก็ต่อเมือผู้อ่านมี กระบวนการทีต่อเนือง คือ ผอู้ ่านมองเห็นตวั อกั ษร เขา้ ใจความหมายของตวั อกั ษร สามารถเลือกหา ความหมายทีดีหรือถูกตอ้ งทีสุด และสามารถนาํ ไปใช้ในชีวิตประจาํ วนั ของผูอ้ ่านจนกระท\"งั เกิด ประโยชนแ์ ก่ตนเองและต่อสงั คมต่อไป การอ่านเช่นน\"ีถือวา่ เป็ นการอ่านทีสมบูรณ์ทีสุด หรืออาจจะ เรียกวา่ “อา่ นเป็น” เพราะมีความคิดเชิงสร้างสรรคเ์ พมิ เติม Chapman (1987 อา้ งถึงใน Grellet, 1994) ไดแ้ บ่งองคป์ ระกอบของการอ่านออกเป็ น 3 ส่วน ประกอบดว้ ย (1) ประสบการณ์เดิมหรือความรู้เดิมของผูอ้ ่าน ทาํ ให้ผูอ้ ่านมีความสามารถใน การอ่านแตกต่างกนั เนืองจากความคิดรวบยอดของผทู้ ีมีประสบการณ์เดิมเกียวกบั เรืองทีอ่านจะช่วย ใหเ้ ขา้ ใจเรืองทีอ่านไดง้ ่ายและรวดเร็วข\"ึน (2) อภิปรัชญา (meta-cognition) ความสามารถของผู้อ่านในการเข้าใจ กระบวนการคิดของตนในการตีความและแกป้ ัญหาต่างๆ จะช่วยให้ความเขา้ ใจในการอ่านดีข\"ึน 17
เนืองจากสามารถใชค้ วามคิดและขยายความได้ กลวิธีของการใชป้ ัญญามีหลายอยา่ ง เช่น การเดา เป็ นตน้ (3) โครงสร้างของเน\"ือความ ผเู้ ขียนทุกคนยอ่ มมีแนวทางในการสือความของตน โดยเฉพาะการร่างโครงการเขียนของเขา ซึงย่อมมีจุดประสงคใ์ นการสือความต่างกนั โครงสร้าง ของเน\"ือความเป็ นสิงทีสําคัญทีจะช่วยให้เราเข้าใจเน\"ือความในการอ่านได้ดี หากเราเข้าใจ การวเิ คราะห์โครงสร้างและทราบจุดมุ่งหมายของการเขียน ขณะที สมบตั ิ จาํ ปาเงิน สาํ เนียง มณีกาญจน์ (2531 อา้ งถึงใน ธนุภรณ์ ทองใหญ่, 2548, หนา้ 94-95) กล่าววา่ การอ่านเป็นกระบวนการต่อเนือง ดุจลูกโซ่เพือนาํ ไปสู่การเรียนรู้ มีองคป์ ระกอบ 5 ส่วน ดงั น\"ี (1) ผอู้ า่ น ถา้ ไม่มีผอู้ ่าน การอ่านจะเกิดข\"ึนไม่ได้ (2) หนงั สือหรือตวั อกั ษร ผอู้ ่านตอ้ งสามารถอ่านหนงั สือ และเขา้ ใจความคิดของ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ีหนงั สือน\"นั (3) ความหมาย ผอู้ ่านตอ้ งเขา้ ใจความหมายของสิงทีอ่าน (4) การเลือกความหมาย ความหมายทีปรากฏในหนงั สืออาจมีหลายนยั ผูอ้ ่าน ตอ้ งพิจารณาความหมายใหต้ รงตามจุดประสงคข์ องผแู้ ตง่ (5) การนาํ ไปใช้ เป็นกระบวนการข\"นั สุดทา้ ยทีจะทาํ ใหก้ ารอ่านไดผ้ ลสมบูรณ์ จากองค์ประกอบของการอ่านดงั กล่าวขา้ งตน้ สามารถสรุปไดว้ ่า การอ่านจะตอ้ ง ประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบสําคญั คือ ผูอ้ ่าน เน\"ือความซึงมีโครงสร้างแตกต่างกนั ความสามารถ ในการคิดและประสบการณ์เดิมของผอู้ ่านทีจะตอ้ งใชใ้ นการทาํ ความเขา้ ใจความหมายทีปรากฏหรือ ความหมายทีแฝงอยู่ จึงจะทาํ ใหก้ ารอ่านสมั ฤทธoิผลตามทีตอ้ งการไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ 5. วตั ถุประสงค์ของการอ่าน 5.1 วตั ถุประสงคข์ องการอ่าน หมายถึง ระดบั ของการพฒั นาการอ่านทีประสงคจ์ ะ ใหบ้ รรลุ เช่น จูงใจใหร้ ักการอ่าน ใหพ้ ยายามอ่านใหอ้ อก ใหเ้ ห็นคุณประโยชน์ของการอ่าน กระตุน้ ให้พยายามอ่านให้แตกฉาน อ่านให้เป็ น เห็นความจาํ เป็ นว่าวรพยายามอ่านอย่างวิเคราะห์วิจารณ์ ประเมินค่าของสิงทีอ่านและสามารถนาํ ความรู้จากการอ่านใชป้ ระโยชน์ได้ ให้สามารถมีส่วนสร้าง สังคมการอ่านได้ เป็นตน้ 5.2 การกาํ หนดเป้าหมายของการอ่าน ตอ้ งพจิ ารณาพ\"นื ฐานความรู้ ทกั ษะในการอ่าน และวยั ของบุคคลหรือกลุ่มเป้าหมายว่าเป็ นอย่างไรขณะน\"นั ควรกาํ หนดระดบั การพฒั นา บุคคลที เป็ นเป้าหมายจึงจะสามารถพฒั นาการอ่านของเขาได้ สําหรับเด็กเพิงอ่าน เพิงเรียนรู้คาํ เป้าหมาย ของการพฒั นาก็ควรเป็ นเพียงสร้างความเพลิดเพลินในถอ้ ยคาํ ไพเราะใหร้ ู้วา่ คาํ ในหนงั สือมีความ เชือมโยงกบั คาํ พดู ในหนงั สือมีเรืองสนุกและอาจอ่านไดไ้ ม่ยากนกั 18
5.3 บนั ไดแห่งการอ่าน ซึงผูเ้ ชียวชาญในการอ่านไดก้ าํ หนดไว้ มี 2 ขอ้ คือ อ่านออก และอ่านเป็ น อาจแยกออกไปให้ละเอียดกว่าน\"ันก็ได้ คือ อ่านออก ผสมสระ พยญั ชนะได้ พอรู้ ความหมายของคาํ ในหนงั สือ ผสมอกั ษรเป็นคาํ ได้ อ่านแตกฉานหรืออ่านเป็น เมือเห็นคาํ ในหนงั สือ ก็อ่านไดค้ ล่องแคล่ว รู้ความหมายของคาํ และขอ้ ความส\"ันๆ บางคาํ อาจไม่เขา้ ใจความหมาย แต่อ่าน วิเคราะห์วิจารณ์ รู้จกั แยกแยะเรืองราวทีอ่าน รู้จกั ประเมินวา่ ความคิดเห็นของผูเ้ ขียนผิดถูกอยา่ งไร ขอ้ มูลในหนงั สือถูกตอ้ งหรือคลาดเคลือน อ่านสงั เคราะห์ สามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากการอ่านได้ 6. พฒั นาการทางการอ่านของเด็กปฐมวยั พฒั นาการทางการอ่านของเด็กอนุบาล ไดม้ ีนกั การศึกษาต่างๆ กล่าวไวด้ งั น\"ี ประเทิน มหาขนั ธ์ (2536, หนา้ 6) ไดก้ ล่าวถึงข\"นั ตอนการพฒั นาการอ่านไวด้ งั น\"ี (1) ข\"นั ก่อนการอ่าน เด็กมีพฒั นาการทางภาษาทีต่อเนืองกนั มีการฟังเสียง เลียน มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเสียง เรียนรู้คาํ ต่างๆ ตลอดจนใชป้ ระโยคส\"ันๆ เมืออายุประมาณ 3-4 ปี เด็กไดม้ ีโอกาสฟังผูอ้ ืนพูด เห็นผใู้ หญอ่ ่านหนงั สือ จบั หนงั สือ ทาํ ใหเ้ ดก็ มีความรู้เกียวกบั ศพั ทต์ ่างๆ ตลอดจนความคิดรวบยอด ในดา้ นต่างๆ กวา้ งข\"ึน (2) ข\"นั เริมอ่าน เป็ นข\"นั การเริมอ่านอยา่ งมีแบบแผน ในช่วงระยะเวลาเดียวกบั ที เด็กเรียนอ่านน\"นั เดก็ จะเรียนเขียนควบคู่กนั ไปดว้ ย เพือช่วยให้สามารถจาํ คาํ ทีอ่านไดด้ ีข\"ึน กิจกรรม ท\"งั 2 อยา่ งน\"ีเกิดข\"ึนในช่วงระยะเวลาเดียวกนั และเป็นประสบการณ์เบ\"ืองตน้ ของการเรียนอ่าน (3) ข\"นั เริมการอ่านอยา่ งมีอิสระ เป็ นข\"นั ตอนของหารอ่านโดยไม่ตอ้ งอาศยั ความ ช่วยเหลือ เริมตน้ จากการศึกษาคาํ ทีเด็กไม่ได้เรียนรู้มาก่อน การอ่านในข\"นั น\"ีเด็กจะเรียนรู้ความ แตกต่าง ความเหมือน และความหมายของคาํ การศึกษาหนา้ ทีของคาํ ในประโยค การฝึ กฝนโดยตรง ดว้ ยการอ่านหนงั สือแบบฝึกหดั และหนงั สืออืนๆ จึงมีความจาํ เป็นอยา่ งยงิ สาํ หรับการอ่านในข\"นั น\"ี สุนนั ทา มนั เศรษฐวทิ ย์ (2537, หนา้ 56) ไดแ้ บ่งลาํ ดบั ข\"นั พฒั นาการทางการอ่านไว้ ดงั น\"ี (1) ข\"นั ก่อนเริมอ่าน เป็ นข\"นั ต\"งั แต่ทารกจนกระทงั ถึงวยั ก่อนเขา้ โรงเรียนอนุบาล เป็นช่วงเวลาทีเดก็ จะไดเ้ ตรียมตวั เพอื รับกบั พฒั นาการในข\"นั ต่อไป เตรียมตวั เพือรับกบั ความสับสน และความยงุ่ ยากในการรับรู้สภาพแวดลอ้ มทางภาษาทีเดก็ จะไดพ้ บเห็น เด็กจะเรียนแบบถอ้ ยคาํ จาก ผใู้ หญ่ การจบั หนงั สือมกั จะกลบั ทิศทาง จะดูความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรูปภาพกบั คาํ (2) ข\"นั เริมตน้ อ่าน จะเริมต\"งั แต่ช\"นั อนุบาลจนกระทงั ช\"นั ประถมศึกษาปี ที 2 เด็ก จะคุน้ เคยกบั คาํ ง่ายๆ รอบตวั และพูดประโยคส\"ันๆ เด็กบางคนมีความพร้อมเมืออยูช่ \"นั อนุบาล แต่ บางคนมีความพร้อมเมืออยู่ช\"ันประถม อย่างไรก็ตามเด็กควรได้รับการสอนอ่านอย่างเป็ นทาง 19
การเมืออายุ 5 ปี ข\"ึนไป โดยใหเ้ ด็กรูจกั คาํ และความหมาย เริมจากการใชภ้ าพเป็ นสือ เขียนคาํ อธิบาย ใตภ้ าพส\"ันๆ เมือเด็กไดพ้ บคาํ และภาพบ่อยๆ กจ็ ะคุน้ เคยและจดจาํ ไดเ้ ร็ว (3) ข\"ันเริ มต้นอ่านอย่างอิสระ เริ มต\"ังแต่ช\"ันประถมศึกษาปี ที 1 ถึงช\"ัน ประถมศึกษาปี ที 3 จะตอ้ งพจิ ารณาและตดั สินวา่ เด็กคนใดมีความพร้อมสมควรทีจะอ่านอยา่ งอิสระ หรืออา่ นไดด้ ว้ ยตนเอง พิจารณาจากจาํ นวนคาํ ทีเดก็ รู้จกั วา่ มีมากพอและรู้จกั โครงสร้างของประโยค ดี (4) ข\"นั ถ่ายโยงความรู้ เริมตน้ ต\"งั แต่ช\"นั ประถมศึกษาปี ที 2 ถึงช\"นั ประถมศึกษาปี ที 4 เด็กจะพบหนงั สือประเภทตา่ งๆ ทีมีเน\"ือเรืองแตกต่างจากหนงั สือแบบเรียน เด็กตอ้ งการคาํ แนะนาํ ในการเลือกหนงั สือใหเ้ หมาะสมกบั วยั การอ่านในใจจะเริมตน้ ในระดบั น\"ี (5) ข\"นั วุฒิภาวะระดบั กลาง เริมต\"งั แต่ช\"นั ประถมศึกษาปี ที 4 ถึงช\"นั ประถมศึกษา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ีปีที 6 เด็กจะมีทกั ษะในการอ่านมากข\"ึน ควรเริมสอนการอ่านแบบมีวจิ ารณญาณ Bush (1991, p. 126) ไดก้ ล่าวถึงข\"นั ตอนการพฒั นาการอ่านไวด้ งั น\"ี ข\"นั ที 1 ข\"นั ก่อนการอ่าน (Pre-reading) ข\"นั น\"ีเป็ นข\"นั ตอนทีสําคญั ในการทีเด็กจะ เรียนรู้ทีจะอ่าน ซึงแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ (1) ช่วงก่อนการอ่าน (Early emergent) ในข\"นั น\"ีเด็กเรียนรู้การอ่านโดยใช้ หนงั สือเป็ นแนวทางในการอ่านตามระดบั ความสามารถ โดยจาํ เรืองราว รูปภาพในแต่ละบทการ เปิ ดหนงั สือจากซา้ ยไปขวา (2) ช่วงเริมการอ่าน (Emergent reading) ในข\"นั น\"ีเด็กเริมเรียนรู้ในการแยกแยะ เดก็ ๆไดย้ นิ เรืองราว โคลงกลอน และร้องเพลง เด็กเริมเรียนรู้ในการอ่านและตอบสนองต่อเรืองราว ในหนงั สือ ข\"นั ที 2 ข\"นั เริมการอ่าน (Early reading) เด็กๆ ในข\"ันน\"ีเริ มเรี ยนการอ่านต้องมีสือ และหนังสือหลากหลายในการ สนบั สนุนทกั ษะการอ่านอยา่ งเป็ นระบบ เด็กเรียนรู้เรืองราวในหนงั สือ และเรืองราวทีตอ้ งใชเ้ ป็ น เรืองราวในชีวิตประจาํ วนั เรียนรู้และเขา้ ใจถ้อยคาํ ทีเป็ นประโยคและประเด็นสําคญั หรือเรืองที สาํ คญั สามารถโยงภาพเขา้ กบั คาํ หรือตวั หนงั สือ และเริมใส่ใจกบั การออกเสียงตามคาํ ข\"นั ที 3 ข\"นั การอ่าน (Fluency reading) เด็กในข\"นั น\"ีจะเริมเรียนอ่าน และเพิมพูนคาํ ศพั ท์ เด็กตอ้ งการเวลาในการทีจะอ่าน อย่างมีอิสระ การฝึ กหัดและการจดั ระบบด้วยตนเองเด็กอาจจะไม่มนั ใจ แต่พยายามทีจะจาํ คาํ การสังเกตและการใช้ตัวบ่งช\"ี เช่น ในการอ่านออกเสียงจะเริมปรับปรุงในการอ่านอย่างมี 20
ประสิทธิภาพมากข\"ึน การพฒั นาทกั ษะทางภาษาและผลสาํ เร็จของเด็กจะข\"ึนอยกู่ บั พฒั นาการข\"นั ที 1 เป็นสาํ คญั Cochrane (1984 อา้ งถึงใน บงั อร พานทอง, 2541, หน้า 35) ไดก้ ล่าวถึงข\"นั ตอน พฒั นาการทางการอ่าน ไวด้ งั น\"ี (1) ข\"นั ก่อนทีจะสามารถอ่านไดด้ ว้ ยตนเองอยา่ งอิสระ การเรียนรู้ภาษาการอ่าน ในข\"นั น\"ี เป็ นการเรียนรู้เบ\"ืองตน้ ถึงความสัมพนั ธ์จองตนเองกบั หนงั สือคืออะไร และควรปฏิบตั ิต่อ หนงั สือน\"นั ๆอยา่ งไร ในข\"นั น\"ีเด็กจะไม่สามารถอ่านหนงั สือหรือหรือทาํ ความเขา้ ใจหนงั สือไดด้ ว้ ย ตนเอง จะตอ้ งมีผอู้ ืนเขา้ มาช่วย แบ่งเป็น 3 ระยะ ดงั น\"ี (1.1) ระยะเริมการเรียนรู้ เป็ นข\"นั เริมต\"งั แต่เกิดซึงเด็กคือผูอ้ ่านจะยงั ไม่รู้จกั หนงั สือหรือสิงพมิ พต์ า่ งๆ วา่ คืออะไร แต่จะเรียนข\"ึนทีละนอ้ ยจากประสบการณ์และสภาพแวดลอ้ ม มหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบุรี(1.2) ระยะทีเด็กเริมมีความรู้สึกเหมือนตนเองเป็นผู้อ่าน ในข\"ันน\"ีเด็ก โดยทวั ไปอายปุ ระมาณ 2 ขวบ จะสามารถถือหนงั สือไดถ้ ูกทิศทาง ทราบวา่ ควรอ่านจากซา้ ยไปขวา จากบนลงล่าง เปิ ดหนงั สือจากหนา้ แรกไปหนา้ สุดทา้ ย เด็กเริมใหค้ วามสนใจรูปภาพ และเกิดความ สนใจความหมายของภาพต่างๆ (1.3) ช่วงทีเด็กเริมเรียนรู้เกียวกับตวั อกั ษร เด็กจะเริมมีความสามารถใน การทาํ ความเขา้ ใจเกียวกบั ตวั อกั ษรและเสียงต่างๆ ตลอดจนการนาํ ไปใชใ้ นการอ่านเริมรู้จกั คาํ และ นาํ ไปใช้ได้ จาํ คาํ บางคาํ เป็ นพิเศษ เช่น ชือตวั เองและคาํ ทีพบบ่อยๆเด็กจะเริมเรียนรู้ และทราบ ความหมาย ตลอดจนสามารถนาํ ไปใชไ้ ดถ้ ูกตอ้ งก่อนคาํ อืนๆ (2) ข\"ันสามารถอ่านได้ด้วยตนเองอย่างอิสระ ในข\"ันตอนน\"ีเด็กจะมีความรู้ เกียวกบั ตวั อกั ษร เสียง และระบบภาษามากข\"ึน ทราบความหมายของคาํ และสามารถอ่านคาํ ง่ายๆ ในหนงั สือทีไมเ่ คยอา่ นมาก่อน เริมเกิดความเชือมนั ในการทีจะนาํ ความสามารถท\"งั หมดในการอ่าน มาใช้ เพืออา่ นในสิงทีตนตอ้ งการอ่าน ในข\"นั น\"ีแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ระยะ ดงั น\"ี (2.1) ระยะทีมีความมนั ใจในการนําตัวบ่งช\"ีในระบบภาษาต่างๆ มาใช้ ร่วมกนั ในกระบวนการอ่าน เริมมีความอยากอ่านมากข\"ึน อยากอ่านให้ผูอ้ ืนฟังทุกคร\"ังทีมีโอกาส มี ความสามารถเขา้ ใจคาํ ๆ หนึงในสถานการณ์ต่างๆ ได้ ระยะน\"ีจะเกิดข\"ึนในช่วงส\"ันๆ จากน\"นั เด็กก็ สามารถอ่านไดอ้ ยา่ งธรรมชาติ (2.2) ระยะทีเด็กมีความสามารถในการอ่านได้อย่างเป็ นอิสระมากข\"ึน สามารถอ่านไดด้ ว้ ยตนเอง และสนใจทีจะอ่านเพือความพอใจของตนเอง มากกวา่ ทีจะอ่านให้ผูอ้ ืน ฟังเสมือนในระยะทีผา่ นมา 21
(2.3) ระยะทีมีทักษะการอ่าน เด็กทีมีการพัฒนาถึงระยะน\"ีเป็ นผู้มี ความสามารถในการอ่าน ระดับทีเลือกทีต้องการอ่านได้ด้วยตนเอง โดยมีพ\"ืนฐานมาจาก ประสบการณ์ส่วนตวั ทีตอ้ งการจะคน้ ควา้ หาความรู้เพมิ เติมในสิงทีสนใจ ข\"นั ตอนความสามารถในการอ่านของเด็กมกั จะผา่ นเป็ นลาดบั ข\"นั ดงั ทีกล่าวขา้ งตน้ บางคนอาจจะพฒั นาไปตามลาํ ดบั อย่างราบรืน แต่บางคนอาจจะใช้เวลายาวนานในบางข\"นั ตอน หรือใชเ้ วลาส\"นั กวา่ ผอู้ ืนในบางข\"นั ตอน แต่สามารถผา่ นไปไดด้ ว้ ยดีตามลาํ ดบั แต่บางคนอาจจะเกิด ปัญหาไม่สามารถผ่านข\"นั ตอนการพฒั นาการอ่านไปได้ จะตอ้ งได้รับการช่วยปรับปรุงช\"ีแนะ จึง สามารถประสบความสาํ เร็จ ขอ้ บกพร่องของผอู้ ่านกลุ่มน\"ีมกั เกิดจาก (1) ไม่สามารถทาํ ความเขา้ ใจเน\"ือเรืองตามตวั อกั ษรทีปรากฏ จะตอ้ งไดร้ ับความ สนใจรูปภาพประกอบมากกวา่ และเล่าเรืองตามจินตนาการภาพ มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบรุ ี(2) มีพฤติกรรมตรงข้ามกับกลุ่มแรก จะเป็นผู้เน้นด้านการออกเสียงของ พยญั ชนะหรือคาํ ตา่ งๆ ใหถ้ ูกตอ้ งสมบูรณ์ทีสุด ท\"งั ทีบางคร\"ังก็ไม่ทราบความหมาย (3) ไม่เกิดความสนใจ ไม่เห็นความสําคญั ของการอ่านว่าเป็ นบนั ไดสู่ความรู้ ต่างๆ ของตนในอนาคต จะพยายามหลีกเลียงกิจกรรมต่างๆ ทีเกียวขอ้ งกบั การอ่านน\"นั ๆ พฒั นาการทางการอ่านดงั กล่าวขา้ งตน้ สรุปว่า พฒั นาการทางการอ่านของเด็กจะ เป็ นไปตามลาํ ดบั ข\"นั เริมต\"งั แต่ระดบั แรกๆ เด็กใช้การจดจาํ การดูรูปภาพ ไปถึงการเริมอ่านเริม เขา้ ใจความหมายของคาํ เรียนรู้เรืองราวต่างๆ ในหนังสือ จนกระทงั สามารถเขา้ ใจเรืองราวที ซบั ซอ้ นมากข\"ึนไดจ้ ะเห็นวา่ ความสนใจในการอ่านของเด็กมีอิทธิพลสูงต่อความสําเร็จในการอ่าน ผูใ้ หญ่หรือครูควรให้ความสําคญั ในการสร้างแรงจูงใจให้เด็กสนใจในการอ่านท\"งั ทีบา้ นและที โรงเรียน การให้อิสระในการเลือกหนงั สืออ่านเอง การจดั กิจกรรมให้เด็กมีส่วนร่วม ซึงในระยะที เด็กอยใู่ นโรงเรียน ครูมีบทบาทมากในการส่งเสริมกิจกรรมและการจดั สภาพแวดลอ้ มให้เด็กสนใจ ในการอ่าน 7. ประโยชน์ของการอ่าน การอ่านมีประโยชนต์ ่อชีวติ มนุษยม์ ากมาย ต\"งั แต่เกิดมามนุษยต์ อ้ งพบกบั การอ่านไม่ วา่ จะเป็นการอ่านดว้ ยตนเองหรือคนอืนอ่านใหฟ้ ังเพราะอ่านไม่ออก มนุษยจ์ ะตอ้ งอ่านไปจนถึงอายุ มากจนไม่สามารถอ่านดว้ ยตนเอง จึงตอ้ งฟังทีคนอืนอ่านใหฟ้ ัง หรือฟังสืออืนๆ (ในสมยั โบราณไม่ มีสืออืนๆ นอกเหนือจากหนงั สือ เดก็ ๆ มกั จะอ่านหนงั สือใหค้ นอืนฟังเพือใหเ้ กิดความเพลิดเพลิน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบรรยายถึงความสําคญั ของ การอ่านหนงั สือในการประชุมใหญ่สามญั ประจาปี พุทธศกั ราช 2530 ของสมาคมห้องสมุดแห่ง ประเทศไทยฯ (แม้นมาส ชวลิต, 2544, หน้า 2 อ้างอิงจาก การประชุมใหญ่สามญั ประจาํ ปี 22
พทุ ธศกั ราช 2530 ของสมาคมหอ้ งสมุดแห่งประเทศไทยฯ) โดยทรงกล่าวถึงคุณประโยชน์ทีไดจ้ าก การอ่านหนงั สือ สรุปไดด้ งั น\"ี (1) การอ่านหนงั สือทาํ ใหไ้ ดเ้ น\"ือหาสาระความรู้มากกวา่ การศึกษาหาความรู้ดว้ ย วธิ ีอืนๆ เช่น การฟัง (2) ผูอ้ ่านสามารถอ่านหนังสือได้โดยไม่จากัดเวลาและสถานที สามารถนา หนงั สือไปไหนมาไหนได้ (3) หนงั สือเกบ็ ไวไ้ ดน้ านกวา่ สืออยา่ งอืน ซึงมกั มีอายกุ ารใชง้ านโดยจาํ กดั (4) ผอู้ า่ นสามารถฝึกการคิดและสร้างจินตนาการไดเ้ องในขณะอา่ น (5) การอ่านส่งเสริมให้สมองดี มีสมาธินานกวา่ และมากกว่าสืออยา่ งอืน ท\"งั น\"ี เพราะขณะอ่านจิตใจจะตอ้ งมุ่งอยกู่ บั ขอ้ ความ พนิ ิจพิเคราะห์ขอ้ ความ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี(6) ผูอ้ ่านเป็นผูก้ าํ หนดการอ่านไดด้ ว้ ยตนเอง จะอ่านคร่าวๆ อ่านละเอียด อ่าน ขา้ มหรืออา่ นทุกๆ ตวั อกั ษร เป็นไปตามใจของผอู้ ่าน หรือจะเลือกอา่ นเล่มไหนก็ได้ เพราะหนงั สือมี มากสามารถเลือกอ่านไดเ้ อง (7) หนงั สือมีหลากหลายรูปแบบและราคาถูกกวา่ สืออยา่ งอืน ทาํ ให้สมองผูอ้ ่าน เปิ ดกวา้ ง สร้างแนวคิดใดๆ โดยเฉพาะได้ (8) ผูอ้ ่านเกิดความคิดเห็นได้ด้วยตนเอง วินิจฉัยเน\"ือหาสาระได้ด้วยตนเอง หนงั สือบางเล่มมีขอ้ ความทีสามารถนาไปปฏิบตั ิไดด้ ว้ ย เมือปฏิบตั ิแลว้ ก็เกิดผลดี จุไรรัตน์ ลกั ษณะศิริ (2540, หนา้ 30) มีความเห็นวา่ การอา่ นมีประโยชนด์ งั ต่อไปน\"ี (1) การอ่านหนงั สือทาํ ให้ผูอ้ ่านไดร้ ับสาระความรู้ต่างๆ ซึงจะทาํ ให้ผูอ้ ่านเป็ น ผทู้ ีทนั ต่อเหตุการณ์ ทนั ความคิด ความกา้ วหนา้ ของโลกไดเ้ ช่นเดียวกบั การรับสารจากสือชนิดต่างๆ เช่น วทิ ยุ โทรทศั นแ์ ละสืออิเลก็ ทรอนิกส์อืนๆ (2) หนงั สือเป็นสือทีดีทีสุด ใชง้ ่ายทีสุดและมีราคาถูกทีสุด ทีบุคคลทวั ไปใชเ้ พือ ศึกษาหาความรู้และความเพลิดเพลิน (3) การอ่านหนงั สือเป็ นการฝึ กให้สมองไดค้ ิด และเกิดสมาธิดว้ ย ฉะน\"นั หากมี การฝึกอยา่ งต่อเนือง จะทาํ ใหท้ กั ษะดา้ นน\"ีพฒั นาและเกิดผลสัมฤทธoิสูง (4) ผอู้ ่านหนงั สือสามารถสร้างความคิดและจินตนาการไดเ้ อง ในขณะทีสืออยา่ ง อืน เช่น วิทยุ โทรทศั น์ ฯลฯ จะจากดั ความคิดของผูอ้ ่านมากกว่า ฉะน\"นั การอ่านหนงั สือ จึงทาํ ให้ ผอู้ า่ นมีอิสระทางความคิดไดด้ ีกวา่ การใชส้ ือชนิดอืนๆ จากประโยชน์ของการอ่านทีได้ศึกษาข้างต้นสรุปได้ว่า ประโยชน์ของการอ่าน หนงั สือจะไม่เกิดข\"ึนเฉาพะผูใ้ หญ่เท่าน\"นั เด็กทีอ่านหนงั สือเป็ นประจาํ การอ่านจะช่วยให้เด็กรับรู้ 23
ทางภาษท\"งั ด้านทีเพิมพูนคาํ ศพั ท์และสํานวนภาษา ยิงอ่านมากยิงช่วยให้แตกฉานในการอ่าน มี ความคล่องแคล่วในการใชภ้ าษาท\"งั ดา้ นการพูด ซึงสามารถสรุปไดว้ า่ การอ่านมีประโยชน์ต่อผูอ้ ่าน คือเป็ นสิงจําเป็ นและความต้องการของมนุษย์ในการแก้ปัญหา เพิมพูนความรู้เกิดความคิด สร้างสรรค์และความเพลิดเพลิน การอ่านเป็ นทกั ษะทีต้องการรับการฝึ กจนเกิดความชํานาญ โดยเฉพาะกบั เดก็ ซึงจะเป็นแนวทางในการใชภ้ าษาเพอื พฒั นาเด็กใหเ้ จริญงอกงาม แนวคดิ เกยี วกบั นิสัยรักการอ่าน 1. ความหมายของนิสัยรักการอ่าน นิสัยรักการอ่านเป็ นสิงทีมีคุณค่าต่อเด็กเป็ นอย่างยิง นอกจากการอ่านเพือแสวงหา มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบุรีความรู้แลว้ เด็กควรอ่านเพือความเพลิดเพลินทางอารมณ์ เพราะการอ่านหนงั สือจะช่วยให้เด็กมี ประสบการณ์กวา้ งขวาง มีความเขา้ ใจตนเองและผูอ้ ืน มีความคิดลึกซ\"ึงและไดร้ ับความบนั เทิงใจ จากการอ่าน นิสยั รักการอ่านจะติดตวั เด็กตลอดไปจนเมือโตเป็ นผูใ้ หญ่ก็ยงั สนใจอ่านหนงั สือหลาย ประเภท ช่วยเพิมพูนความและประสบการณ์ ช่วยให้มีความเขา้ ใจและวเิ คราะห์เรืองราวต่างๆ ไดด้ ี ผูท้ ีมีนิสัยรักการอ่านจะมีความพึงพอใจทีไดใ้ ช้เวลาว่างอ่านอยา่ งสงบ ไดผ้ อ่ นคลายอารมณ์ และ ไดร้ ับความบนั เทิงจากการอ่าน (ผสุ ดี กุฎอินทร์, 2529, หน้า 408-470) นอกจากน\"ีความหมายของ นิสยั รักการอ่าน ยงั มีผกู้ ล่าวถึงไวด้ งั น\"ี สุขมุ เฉลยทรัพย์ (2530, หนา้ 26-32) กล่าววา่ นิสัยรักการอ่าน หมายถึง พฤติกรรมที ชอบอ่านหนงั สือทีกระทาํ เป็ นประจาํ แสดงใหเ้ ห็นทางพฤติกรรม ไดแ้ ก่ การใชเ้ วลาวา่ งในการอ่าน หนงั สือ มีรสนิยมการอ่าน การใหห้ นงั สือเป็นของขวญั สนทนาเรืองหนงั สือ และจดั สภาพแวดลอ้ ม ทีบา้ นโดยการจดั หิ\"งหนงั สือ เป็นตน้ สมใจ ทองเรือง (2537, หนา้ 18-24) กล่าววา่ นิสัยรักการอ่าน หมายถึง พฤติกรรมที ชอบอ่านหนงั สือทีกระทาํ เป็ นประจาํ แสดงใหเ้ ห็นทางพฤติกรรม ไดแ้ ก่ การใชเ้ วลาวา่ งในการอ่าน หนงั สือ มีรสนิยมการอ่าน การใหห้ นงั สือเป็นของขวญั สนทนาเรืองหนงั สือ และจดั สภาพแวดลอ้ ม ทีบา้ นโดยการจดั หิ\"งหนงั สือ เป็นตน้ ศรีรัตน์ เจิงกลินจนั ทร์ (2537, หนา้ 18-24) กล่าววา่ นิสัยรักการอ่าน หมายถึง การใฝ่ มุ่งมนั แต่การอ่านและอ่านจนเคยชิน อ่านจนเป็ นนิสัย แม้บางคร\"ังจะมีปัญหาและอุปสรรคต่อ การอ่านก็ไม่ย่อทอ้ คนทีมีนิสัยรักการอ่านย่อมอ่านทุกอย่างทีเป็ นวสั ดุสําหรับอ่าน ไม่ว่าจะเป็ น หนงั สือ สิงพิมพ์อืนๆ ป้ายโฆษณาประชาสัมพนั ธ์ต่างๆ หรือแมแ้ ต่กระดาษห่อของ อ่านได้ทุก สถานทีทุกโอกาสแมแ้ ต่อยใู่ นหอ้ งสุขา และไม่ปล่อยเวลาวา่ งไปกบั กิจกรรมอืนใดนอกจากการอ่าน 24
ดวงพร พวงเพช็ ร (2541, หนา้ 14) กล่าววา่ นิสัยรักการอ่าน หมายถึง การแสดงออก ถึงการชอบอ่านหนงั สือ หรือสิงพิมพต์ ่างๆ โดยเป็ นการอ่านทีกระทาํ อยา่ งสมาํ เสมอและตอ่ เนือ ถึงแมจ้ ะมีอุปสรรคในการอ่านบา้ งก็ไม่ยอ่ ทอ้ ยงั คงอ่านอยู่ พฤติกรรมทีบ่งบอกให้ทราบวา่ บุคคลมี นิสัยรักการอ่านตวั อย่างเช่น การใชเ้ วลาวา่ งโดยการอ่านหนงั สือ การยืมหรือซ\"ือหนงั สือมาอ่านหา โอกาสเพือการอ่าน การใช้บริการห้องสมุด การแสดงความคิดเห็นเกียวกับสิงทีอ่าน และ การกาํ หนดจุดประสงคใ์ นการอ่าน ฉววี รรณ คูหาภินนั ท์ (2542, หนา้ 86) กล่าววา่ นิสัยรักการอ่าน คือ การชอบอ่านจน เป็ นนิสัย สนใจการอ่านตลอดเวลา ชอบอ่านหนงั สือและเอกสารทุกชนิด ทุกประเภท อาจจะเรียก คนมีนิสัยรักการอ่านวา่ หนอนหนงั สือ (Bookeoorm) จากความหมายของนิสัยรักการอ่านข้างต้น สรุปได้ว่า หมายถึง การอ่านอย่าง มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบรุ ีสมาํ เสมอดว้ ยความพงึ พอใจและการเห็นความสําคญั ของการอ่าน ซึงประกอบดว้ ย พฤติกรรมที บ่งช\"ีถึงการอ่านอย่างสมาํ เสมอดว้ ยความพงึ พอใจ ไดแ้ ก่ อ่านหนงั สือหลากหลายประเภท อ่า หนงั สือยามวา่ ง คน้ ควา้ หาความรู้จากการอ่านและอ่านหนงั สือในหอ้ งสมุด เลือกอ่านหนงั สือทีชอบ และสนใจด้วยความเพลิดเพลินเป็ นประจาํ พฤติกรรมทีบ่งช\"ีถึงการเห็นความสําคญั ของการอ่าน ไดแ้ ก่ นาํ เรืองทีอ่านมาเล่าให้เพือนฟัง ชกั ชวนและโนม้ นา้ วใหผ้ ูอ้ ่านใหเ้ ห็นประโยชน์ของการอ่าน ติดตามสถานการณ์ปัจจุบนั ดว้ ยการอ่าน และเลือกอ่านหนงั สือทีมีคุณค่า 2. ความหมายของนิสัยรักการอ่านของเดก็ ปฐมวยั นกั การศึกษาต่างเห็นตรงกนั วา่ ประสบการณ์คร\"ังแรกในการอ่านน\"นั มีความสําคญั อย่างยิงต่อการปรับตวั ของเด็ก ความสําเร็จในการเรียนตลอดจนทศั นคติของเด็กทีมีต่อการอ่าน หนงั สือจะเป็ นหนทางนาํ ไปสู่ความสําเร็จทางการศึกษาสืบไป (รัตนา ศิริพานิช, 2522, หน้า 139- 140) การสร้างนิสัยรักการอ่านจึงเป็ นสิงจาํ เป็ นทีบุคคลควรไดร้ ับการฝึ กฝนเพือให้เป็ นนกั อ่านทีดี (กรมวชิ าการ, 2546, หนา้ 11) คนทีไม่ชอบอ่านหนงั สือหรือไม่มีนิสัยรักการอ่านจะเป็ นสิงบนั ทอน ความกา้ วหน้าทางดา้ นวตั ถุและจิตใจ (จารุดี ผโลประการ, 2538, หน้า 6) โดยเฉพาะในวยั เด็ก การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เด็ก จะส่งเสริมให้เด็กเป็ นคนดีพร้อมท\"งั ทางกาย วาจา ใจ และ สติปัญญา อนั ประกอบดว้ ยมีความรู้ดี ความประพฤติดี มีพลานามยั สมบูรณ์ดี สามารถแกป้ ัญหา ต่างๆ ได้ดว้ ยตนเอง และนาความรู้น\"นั ไปใช้ประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ ตลอดจนมนุษยชาติท\"งั มวล (สวสั ดoิ เรืองวเิ ศษ, 2523, หนา้ 5) การสร้างเสริมนิสัยรักการอ่านควรเริม ต\"งั แต่วยั เด็ก เพราะเมือเด็กรักการอ่านต\"งั แต่เล็กๆ แลว้ เวลาทีเติบโตข\"ึนนิสัยรักการอ่านจะติดตวั ต่อไปเรือยๆ เป็ นผลดีต่อการเรียนและการปรับปรุงตวั ให้เขา้ กบั สังคมและสิงแวดลอ้ มของเด็กได้ เป็นอยา่ งดี (ฉววี รรณ คูหาภินนั ท,์ 2527, หนา้ 19) 25
ความหมายของนิสัยรักการอ่านของเด็กอนุบาล ไดม้ ีนกั การศึกษาหลายท่านไดใ้ ห้ ความหมายไว้ ดงั น\"ี สกุณี เกรียงชยั พร (2548, หนา้ 9) ให้ความหมายของนิสัยรักการอ่านไวว้ า่ หมายถึง พฤติกรรมของนกั เรียนทีแสดงออกถึงความชอบอ่านหนงั สือ ความต\"งั ใจและตอ้ งการทีจะอ่านเป็ น พฤติกรรมทีไดร้ ับการฝึ กฝนเป็ นเวลานานจนกลายเป็ นพฤติกรรมทีแสดงออกถึงความสนใจ หรือ ชอบทีจะอ่าน ไดแ้ ก่ การอ่านหนงั สือทุกทีเมือมีเวลาและโอกาส มีความตอ้ งการจะอ่านเองโดยไม่มี ความจาเป็ นมาบงั คบั มีความรู้สึกพอใจทีจะอ่านอยา่ งไม่มีทีสิ\"นสุด และมีทศั นคติทางบวกเกียวกบั การอ่าน ปราณี รัตนงั (2541, หน้า 10) ไดใ้ ห้ความหมายนิสัยรักการอ่านว่า คือการแสดง พฤติกรรมเกียวกบั การอ่าน ทีไดร้ ับการฝึ กฝนเป็ นเวลานานจนกระทงั สภาพจิตใจเกิดความสนใจที มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบรุ ีจะอ่าน จิตใจถูกกระตุน้ ให้อยากอ่าน ชอบทีจะอ่าน และแสดงออกให้เห็นทางพฤติกรรม เช่น การใชเ้ วลาวา่ งในการอ่าน ลกั ษณะการอ่าน รู้จกั เลือกหนงั สืออ่าน มีสมาธิในการอ่าน มีทศั นคติทีดี ต่อการอ่าน เหล่าน\"ีคือสิงทีแสดงใหเ้ ห็นถึงนิสัยรักการอ่าน ศรีรัตน์ เจิงกลินจนั ทร์ (2542, หนา้ 34) ไดใ้ หค้ วามหมายนิสัยรักการอ่านวา่ นิสัยรัก การอ่านหมายถึง การใฝ่ มุ่งมนั แต่การอ่าน และอ่านจนเคยชิน อ่านจนเป็ นนิสัย แมบ้ างคร\"ังจะมี ปัญหาและอุปสรรคต่อการอ่านบา้ ง ก็ไม่ยอ่ ทอ้ คนทีมีนิสัยรักการอ่านยอ่ มอ่านทุกอยา่ งทีเป็ นวสั ดุ สาหรับการอ่านไม่วา่ จะเป็นหนงั สือพมิ พ์ ป้ายโฆษณา ประชาสัมพนั ธ์ต่างๆ หรือแมแ้ ต่กระดาษห่อ ของ สามารถอ่านได้ทุกสถานที ทุกโอกาส แมแ้ ต่อยู่ในห้องสุขา และไม่ปล่อยเวลาว่างไปกบั กิจกรรมอืนใดนอกจากการอ่าน ถาวร บุบผาวงษ์ (2546, หนา้ 4) ไดใ้ หค้ วามหมายของนิสัยรักการอ่านไวว้ า่ นิสัยรัก การอ่าน หมายถึง ลักษณะนิสัยทีแสดงออกถึงความชอบอ่านหนังสือ เป็ นคุณลกั ษณะทีได้รับ การฝึ กฝนเป็ นเวลานานจนกลายเป็ นพฤติกรรมทีแสดงออกถึงความสนใจหรือชอบทีจะอ่านไดแ้ ก่ การใชเ้ วลาวา่ งอ่านหนงั สือ การใชบ้ ริการหอ้ งสมุดเป็ นประจา การแสดงความคิดเห็นเกียวกบั สิงที ไดอ้ ่าน มีทศั นคติทีดีต่อการอ่าน เกสสุรางค์ สักกะบูชา (2540, หน้า 7) กล่าวว่านิสัยรักการอ่านว่า หมายถึง การแสดงออกของนกั เรียนเกียวกบั ความสนใจ การชอบอ่าน การมีความพร้อม และความพยายาม ในการอ่าน ได้แก่ การดูหนังสือ การดูรูปภาพจากหนังสือ การอ่านหนังสือเรียน หนังสืออ่าน สําหรับเด็ก หนังสือพิมพ์ สิงพิมพ์ทีเป็ นประโยชน์ รู้จกั ใช้เวลาว่างเพือการอ่าน ซึงมีการแสดง พฤติกรรมดงั กล่าวเป็ นประจาํ โดยสามารถอ่านหนังสือได้ทุกสถานทีและทุกโอกาสตามความ เหมาะสม 26
จากความหมายดงั กล่าวขา้ งตน้ สรุปได้ว่า นิสัยรักการอ่าน หมายถึง พฤติกรรมที แสดงออกถึงความชอบอ่านและความสนใจทีจะอ่าน การมุ่งมนั ใฝ่ การอ่าน อ่านจนเคยชินและอ่าน จนติดเป็ นนิสัย ซึงเป็ นพฤติกรรมทีฝึ กฝนมาเป็ นเวลานาน เกิดเป็ นความสุข ความพอใจทีไดอ้ ่าน ตอ้ งการอ่านหนงั สือเองโดยไม่มีสิงใดมาบงั คบั อ่านหนังสือได้ทุกประเภท ทุกโอกาส และทุก สถานที (ธีริศรา ภูมิคง, 2555, หนา้ 13-15) 3. ความสําคัญของนิสัยรักการอ่าน การอ่านยงั มีส่วนช่วยสร้างความสําเร็จในชีวิต ดงั ที สุขุม เฉลยทรัพย์ (2531, หน้า 15) กล่าวถึงความสําคญั ของการอ่านหนงั สือว่ามีส่วนช่วยสร้างความสําเร็จในการดาเนินชีวิตได้ อยา่ งมากผูใ้ ดมีความสามารถพิเศษในการอ่าน มกั จะไดร้ ับความเจริญกา้ วหนา้ รวดเร็ว และรุ่งเรือง กวา่ ผทู้ ีไม่ค่อยมีนิสยั รักการอ่าน ซึงสอดคลอ้ งกบั ทีหนงั สือของกรมการศึกษานอกโรงเรียน (2533, มหาวทิ ยาลัยราชภัฏธนบรุ ีหนา้ 3-4)ไดก้ ล่าวสรุปความสาํ คญั ของการอ่านไวด้ งั น\"ี (1) การอ่านช่วยใหผ้ อู้ ่านเกิดปัญญามีความรู้กวา้ งขวาง (2) การอ่านช่วยให้ผูอ้ ่านไดร้ ับขอ้ มูลข่าวสารทนั ต่อเหตุการณ์ และกา้ วตามทนั โลก (3) การอ่านช่วยให้ผูอ้ ่านสามารถนความรู้จากการอ่านไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั เพอื การพฒั นาคุณภาพชีวติ (4) การอ่านช่วยใหผ้ อู้ ่านไดเ้ พิมพนู ความรู้ในการประกอบอาชีพ (5) การอ่านช่วยใหผ้ อู้ ่านไดร้ ู้เรืองราวต่างๆ ท\"งั ในอดีตและปัจจุบนั (6) การอ่านช่วยให้ผู้อ่านได้เพิมพูนประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิง ประสบการณ์ทีไม่อาจจะพบในชีวติ จริงได้ เนืองจากขาดโอกาส ขาดเงิน และขาดความสามารถ (7) การอ่านช่วยใหผ้ อู้ ่านตดั สินใจอยา่ งใดอยา่ งหนึงไดด้ ียงิ ข\"ึน (8) การอ่านช่วยให้ผูอ้ ่านสามารถวินิจฉัยความถูกผิดของเรืองต่างๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ (9) การอ่านช่วยให้ผูอ้ ่านเขา้ ใจสถานการณ์ต่างๆ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว เมือประสบ ปัญหากส็ ามารถนามาแกไ้ ขเหตุการณ์ของสิงต่างๆ (10) การอ่านช่วยใหผ้ อู้ ่านรู้คุณค่าของสิงต่างๆ (11) การอ่านช่วยใหผ้ อู้ ่านเกิดความเพลิดเพลิน ช่วยผอ่ นคลายความเครียด ความ วติ กกงั วล (12) การอ่านช่วยให้ผูอ้ ่านไดพ้ ฒั นาทกั ษะการอ่าน ใหอ้ ่านได้ อ่านเป็ น อ่านเร็ว และอา่ นเก่ง 27
(13) การอ่านช่วยให้ผูอ้ ่านไดพ้ ฒั นาความเขา้ ใจอนั ดีงามทางสังคม และช่วยทาํ ใหม้ ีมนุษยส์ มั พนั ธ์อนั ดีต่อกนั (14) การอ่านช่วยปูองกนั มิให้เกิดการลืมหนงั สือ การอ่านหนงั สือออกเป็ นปัจจยั หนึงทีใชใ้ นการวดั ความเจริญกา้ วหนา้ ของประเทศ (15) การอ่านเป็ นปัจจัยสําคัญทีจะช่วยส่งเสริ มความเจริ ญก้าวหน้าของ ประเทศชาติท\"งั ทางดา้ นสังคม วฒั นธรรม และเศรษฐกิจ นิสัยรักการอ่านเป็ นสิงทีมีคุณค่าต่อเด็กเป็ นอยา่ งยิง นอกเหนือจากการอ่านแสวงหา ความรู้แลว้ เด็กควรอ่านเพือความเพลิดเพลินทางอารมณ์ เพราะการอ่านหนังสือจะช่วยให้เด็กมี ประสบการณ์กวา้ งขวาง มีความเขา้ ใจตนเองและผูอ้ ืน มีความลึกซ\"ึงและไดร้ ับความบนั เทิงใจจาก การอ่าน นิสัยรักการอ่านจะติดตวั เด็กตลอดไปจนเมือเติบใหญ่ก็ยงั สนใจอ่านหนงั สือหลายประเภท มหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบรุ ีซึงช่วยเพมิ พูนความรู้และประสบการณ์ ช่วยใหม้ ีความเขา้ ใจและวิเคราะห์เรืองราวต่างๆ ไดด้ ี ผูท้ ีมี นิสัยรักการอ่านก็จะมีความพึงพอใจทีจะไดใ้ ชเ้ วลาว่างอ่านอย่างสงบ ไดผ้ ่อนคลายอารมณ์ และ ไดร้ ับความบนั เทิงจากการอ่าน (ผุสดี กุฎอินทร์, 2529, หนา้ 457) การอ่านมีความสาํ คญั ในแง่ทีใช้ เป็ นเครืองมือในการพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ ซึงเป็ นการจาลองประสบการณ์ให้กบั ผูอ้ ่านไดศ้ ึกษา เรียนรู้ไดเ้ อง โดยไม่ตอ้ งรับจากประสบการณ์ตรงจากการฟัง เพราะในความเป็ นจริงน\"นั โอกาสทีเรา จะไดร้ ับประสบการณ์ตรงในเรืองต่างๆ น\"นั เป็ นไปไดน้ อ้ ยมาก (องั คณา กล่อมฤทธoิ, 2532, หนา้ 12 อา้ งถึงใน ทวปี อภิสิทธoิ, 2526, หนา้ 53-54) การอ่านจึงช่วยใหม้ นุษยไ์ ดร้ ับประสบการณ์ต่างๆ และ ใช้เป็ นรากฐานช่วยพฒั นาให้เจริญข\"ึนมีการตดั สินใจทีถูกตอ้ ง ความสําคญั อีกประการหนึงก็คือ การอ่านเป็ นรากฐานทีสําคญั ของการศึกษาทุกระดับ ผู้ทีอ่านมากกว่าคนอืน ก็ย่อมจะได้รับ ประโยชน์มากกว่า และการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพทาํ ให้ประสบความสําเร็จในการเรียนทุก สาขาวชิ า ประเทศต่างๆ ไดเ้ ล็งเห็นถึงความสําคญั ของการอ่านเป็ นสิงทีจะช่วยในการพฒั นา ประชากรของชนในชาติให้เป็ นคนทีมีคุณภาพและพฒั นาประเทศไปในทางเจริญกา้ วหนา้ หลาย ประเทศจึงไดร้ วมตวั กนั จดั ต\"งั สมาคมทีเกียวกบั การอ่านข\"ึนมีชือวา่ สมาคมสากลเพือการอ่าน หรือ International reading association สมาคมน\"ีต\"งั อยูใ่ นประเทศสหรัฐอเมริกาต\"งั ข\"ึนโดยนกั ศึกษาชาว อเมริกนั ซึงสมาคมการอ่านแห่งประเทศไทยก็เป็ นสมาชิกอยูใ่ นสมาคมแห่งน\"ีดว้ ยวตั ถุประสงคค์ ือ ส่งเสริมพฒั นาการอ่าน ศึกษาวิจยั ปัญหาเกียวกบั การอ่าน เช่น อ่านชา้ อ่านไม่ได้ อ่านไม่เขา้ ใจ ไม่ ชอบอ่าน ตลอดจนดาํ เนินการเฟ้นหาผูท้ ีมีผลงานดีเด่นในดา้ นการส่งเสริมการอ่านให้กบั เด็กหรือ ผใู้ หญ่ (กรมวชิ าการ, 2546, หนา้ 16-17) 28
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2542, หน้า 2-3) ไดก้ ล่าวถึงการสร้างนิสัยรักการอ่านมี ความสาํ คญั มากต่อการพฒั นาคุณภาพของมนุษย์ ซึงจะตอ้ งเริมจากการสร้างความสนใจในการอ่าน ของเด็กและส่งเสริมการอ่านต\"งั แต่ก่อนเขา้ โรงเรียนในปัจจุบนั วิทยาการต่างๆ เจริญกา้ วหนา้ ไป อยา่ งรวดเร็ว มีนกั วทิ ยาศาสตร์ นกั จิตวทิ ยา นกั การศึกษา และนายแพทยผ์ ูเ้ ชียวชาญเรืองเด็กท\"งั ชาว ไทยและชาวต่างประเทศหลายคน ไดค้ น้ พบวา่ การสร้างความสนใจในการอ่านมีความสําคญั มาก ควรเริมต\"งั แต่ขณะทีเป็ นทารกอยูใ่ นครรภ์ของมารดาจึงจะมีผลดีต่อสมองของเด็กทารก และเมือ เติบโตข\"ึนมาก็ตอ้ งปลูกฝังและสร้างความสนใจในการอ่าน จนกระท\"งั มีนิสัยรักการอ่านเมือเติบโต เป็นผใู้ หญจ่ ะทาํ ใหป้ ระสบความสาํ เร็จในการศึกษาเล่าเรียน จากทีกล่าวมาขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ นิสัยรักการอ่านมีความสําคญั มากต่อเด็กปฐมวยั นอกจากเดก็ จะไดร้ ับพฒั นาการทางดา้ นสติปัญญา อารมณ์ สังคม และจิตใจ เด็กปฐมวยั ทีมีนิสัยรัก มหาวทิ ยาลัยราชภัฏธนบรุ ีการอ่านย่อมได้รับประสบการณ์ความรู้อย่างกวา้ งขวาง ช่วยในการพฒั นาคุณภาพของมนุษยใ์ ห้ ประสบความสาํ เร็จไดร้ วดเร็วยงิ ข\"ึน แนวคดิ เกยี วกบั การจดั กจิ กรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน 1. ความหมายของกจิ กรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน แมน้ มาส ชวลิต (2529, หนา้ 218-224) กล่าววา่ กิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน หมายถึง การกระทาํ ใดๆ ก็ตามทีมุ่งหวงั ให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจหนงั สือเห็นความสําคญั และความจาํ เป็ นของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลินในการอ่าน กระหายใคร่อ่านอยู่ตลอดเวลาจน กลายเป็ นนิสัยรักการอ่านในทีสุด 2. ลกั ษณะของกจิ กรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน แมน้ มาส ชวลิต (2543, หนา้ 72-82) ไดก้ ล่าวถึงลกั ษณะของกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรัก การอ่านไวด้ งั น\"ี (1) เร้าใจ หมายความวา่ กิจกรรมน\"นั สามารถทาํ ใหบ้ ุคคลทีเป็ นเป้าหมายอาจเป็ น คนเดียวหรือกลุ่มคน หรือทวั ไป ใหเ้ กิดความอยากอ่านหนงั สือ โดยเฉพาะหนงั สือทีมีคุณภาพตามที ประสงคห์ รือผจู้ ดั กิจกรรมเห็นควรอ่าน กิจกรรมจะช\"ีใหเ้ ห็นวา่ การอ่านเป็ นสิงจาํ เป็ น มีความสาํ คญั มีประโยชนต์ ่อบุคคลและสังคมนานาประการ (2) จูงใจ หมายความว่า กิจกรรมน\"นั สามารถจูงใจให้บุคคลทีเป็ นเป้าหมายเกิด ความพยายามทีจะอ่านให้แตกฉาน เพือจะไดร้ ู้เรืองราวทีน่ารู้ น่าสนุกทีมีอยู่ในหนงั สือตามทีผูจ้ ดั กิจกรรมนํามากล่าว นอกจากจะเห็นประโยชน์แล้ว ยงั เกิดความรู้สึกว่าความพยายามให้เขา้ ใจ 29
ถ่องแทน้ \"นั คุม้ ค่าใหเ้ กิดความรู้สึกเป็ นอิสระ เสรี ไม่ตอ้ งพึงพาผูอ้ ืนใหช้ ่วยอ่าน ช่วยดีความบางคร\"ัง อาจคลาดเคลือนก็ได้ นอกจากน\"ียงั สามารถจูงใจให้เห็นความจาํ เป็ นทีจะตอ้ งฝึ กฝนการอ่านและ การใชค้ ู่มือช่วยการอ่าน เช่น พจนานุกรม ศพั ท์ วิชาเฉพาะ เป็ นตน้ ตลอดจนจูงใจไม่ให้เกิดความ เบือหน่าย ทอ้ แทท้ ีจะตอ้ งต่อสู้เอาชนะตนเองใหเ้ อาชนะหนงั สือใหไ้ ด้ (3) กระตุน้ แนะนาํ ให้อยากรู้อยากเห็น หมายความว่า กิจกรรมจะตอ้ งกระตุน้ หรือแนะนาํ ให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเรืองราวต่างๆ ทีมีอยู่ในหนงั สือมากมายหลาย อยา่ ง อยากอ่านดูใหร้ ู้รอบและลึกซ\"ึง เปิ ดความความคิดให้กวา้ ง เมืออ่านเรืองหนึงแลว้ อยากอ่านอีก เรืองหนึงต่อไป มีความรู้สึกว่าการอ่านเป็ นกิจกรรมประจาํ วนั ทีขาดเสียไม่ได้ ให้พิจารณา ให้ ประเมินค่า ใหอ้ ยากนาํ เอาความรู้ทีไดอ้ ่านไปใช้ อยากเขียนหนงั สือทาํ นองเดียวกนั น\"ีใหด้ ีกวา่ เล่มที อ่าน เหล่าน\"ี เป็นตน้ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี(4) สร้างบรรยากาศการอ่าน หมายความวา่ นอกจากกิจกรรมจะเร้าใจ จูงใจให้ อ่าน และกระตุน้ ให้เกิดความคิดใหก้ วา้ งแลว้ ยงั สามารถสร้างบรรยากาศการอ่านให้เกิดข\"ึนในบา้ น ในโรงเรียนและในสังคม กล่าวคือ กิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านน\"นั เกียวขอ้ งกบั การผลิตวสั ดุ การอ่านทีเหมาะสมด้วย ดงั น\"ัน ผูผ้ ลิตวสั ดุการอ่านจึงตอ้ งสร้างและปรับปรุงวสั ดุการอ่านให้ เพียงพอ เหมาะสมแล้ปกครอง ครู ตลอดจนคนทวั ไปสามารถจดั หาอ่านได้สะดวก นอกจากน\"ี กิจกรรมสามารถบูรณการเขา้ กบั การเรียนการสอนในโรงเรียนได้ ตลอดจนสามารถนาํ ไปใช้กบั การดาํ เนินชีวติ ประจาํ วนั ของคนในสังคมในการตดั สินใจเพือดาํ เนินการต่างๆ เป็นตน้ 3. กจิ กรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน การส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน คือ การนาํ วิธีการต่างๆ มาใช้เพือสร้าง กระตุน้ และ ส่งเสริมเพอื ใหเ้ ดก็ เกิดความสนใจหนงั สือ มีความตอ้ งการอ่านอยตู่ ลอดเวลา รู้จกั เลือกทีจะอ่านสิงที มีประโยชน์ในเรืองต่างๆ มีความเพลิดเพลินในการอ่าน เห็นความสําคญั และความจาํ เป็ นของ การอ่าน และแสดงพฤติกรรมการอ่านออกมาเสมอๆ จนกลายเป็ นนิสัยรักการอ่านในทีสุด (ศรีรัตน์ เจิงกลินจนั ทร์, 2538, หนา้ 5-6) สําหรับกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ผูว้ จิ ยั ไดค้ น้ ควา้ ขอ้ มูลที เกียวขอ้ ง ดงั ต่อไปน\"ี (1) แนวคิดและทฤษฎีเกียวกับการเรียนรู้ เช่น ระบบประสาท ระบบสมอง สมั ผสั ความพงึ พอใจ และไม่พึงพอใจเกิดข\"ึนไดอ้ ยา่ งไร แนวคิดทีเชือวา่ การเรียนตอ้ งประกอบดว้ ย สุ จิ ปุ ลิ ฟัง คิด ถาม เขียน ใหไ้ ดย้ นิ ไดฟ้ ัง (รวมท\"งั การอ่าน) ใหร้ ู้จกั คิดและจาํ รู้จกั ถาม และรู้จกั จด บนั ทึกและเขียน ช\"ีใหเ้ ห็นความสาํ คญั ของการใชห้ ู (รวมท\"งั ตา) สมองและมือ กิจกรรมทีจดั ข\"ึนอยา่ ง ง่ายแก่การดู การฟัง เร้าใหเ้ กิดความคิด สร้างความประทบั ใจใหจ้ าํ ก่อให้เกิดความสงสัยใคร่รู้ อยาก ถามอยากรู้ต่อไป สิงทีไดย้ ินไดเ้ ห็นน\"นั น่าสนใจตอ้ งจดจา ก่อให้เกิดความสนใจใคร่รู้ อยากถาม 30
อยากรู้ต่อไป สิงทีไดย้ ินได้เห็นน่าสนใจ ตอ้ งจาํ แล้วนาํ ไปเขียนเป็ นเรืองราวสัตวส์ ังคม คนเรา ตอ้ งการอยู่ในหมู่เหล่าความคิดใหม่ ๆ จะเกิดข\"ึนเมืออยู่เป็ นหมู่เหล่า กิจกรรมส่งเสริมนิสัยรัก การอ่าน ซึงมีผูเ้ กียวข้องอย่างน้อยสองคน คือผูจ้ ดั กิจกรรมและเป้าหมายบุคคล คนแรกตอ้ งมี การพฒั นาตนเองของแต่ละคน การเน้นประโยชน์ ทีแต่ละคนจะไดร้ ับจากกิจกรรม มีส่วนทาํ ให้ กิจกรรมประสบผลสาํ เร็จ (2) แนวคิดว่ามนุษยม์ ีการเคลือนไหว มีวิวฒั นาการไปสู่สิงทีใหม่กวา่ แปลว่า ใหผ้ ลดีกว่า การจดั กิจกรรมแต่ละคร\"ังตอ้ งคาํ นึงวา่ มีอะไรใหม่และแปลกกวา่ คนทวั ไป หรือคนใน ชุมชนน\"นั สถานศึกษาน\"นั เคยเห็น เคยไดย้ นิ แลว้ หรือไม่ การดดั แปลง แต่งเติม เปลียนรูปแบบทาํ ให้ สิงทีคุน้ เคยแลว้ มองดูแปลกและใหมไ่ ดเ้ หมือนกนั (3) แนวคิดและทฤษฎีเกียวกบั สุนทรียภาพ การจดั กิจกรรมเป็ นท\"งั ศาสตร์และ มหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบุรีศิลป์ ตอ้ งอาศยั ความรู้ความงาม (ท\"งั ในดา้ นภาพ เสียง และความคิด) ช่วยทาํ ให้น่าดู น่าฟัง เป็นที ประทบั ใจ ดึงดูดให้ชม ให้ฟัง และจดจาํ ไวไ้ ดน้ าน ก่อให้เกิดจินตนาการและจรรโลงใจทีจะอ่าน และทาสิงหนึงสิงใดทีดีงาม กจิ กรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คือ การกระทาํ ต่างๆ เพือให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจ ในการอ่าน เห็นความสําคญั และความจาํ เป็ นของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลินในการอ่าน พยายาม พฒั นากาอ่านของตนเองใหถ้ ึงระดบั การอ่านเป็นและอ่านจนเป็นนิสัย กิจกรรมส่งเสริมการอ่านจะมี ลกั ษณะสาํ คญั ดงั น\"ี (1) เร้าใจ บุคคลทีเป็ นเป้าหมาย อาจเป็ นคนเดียวหรือกลุ่มหรือคนทวั ไปให้เกิด ความอยากอ่านหนงั สือ โดยเฉพาะหนงั สือทีมีคุณภาพตามทีประสงคห์ รือทีผูจ้ ดั กิจกรรมเห็นวา่ ควร อ่าน กิจกรรมจะช\"ีให้เห็นว่าการอ่านเป็ นสิงจาํ เป็ น มีความสําคญั มีประโยชน์ต่อบุคคลและสังคม นานาประการ (2) จูงใจ ใหบ้ ุคลทีเป็นเป้าหมายเกิดความพยายามทีจะอ่านใหแ้ ตกฉานเพือให้ได้ รู้เรืองราวอันน่ารู้ น่าสนุก ทีมีอยู่ในหนังสือตามทีผู้จดั กิจกรรมนํามากล่าว นอกจากจะเห็น ประโยชนแ์ ลว้ ยงั เกิดความรู้สึกวา่ ความพยายามอ่านให้เขา้ ใจถ่องแทน้ \"นั คุม้ ค่า ให้ความรู้สึกอนั เป็ น อิสระเสรี ไม่ตอ้ งพึงผูอ้ ืนให้ช่วยอ่าน ช่วยตีความหมาย ซึงบางคร\"ังอาจคลาดเคลือนก็ได้ เห็นความ จาํ เป็นทีจะตอ้ งฝึกฝนการอ่านและการใชค้ ู่มือช่วยต่อสู้เอาชนะตนเองใหเ้ อาชนะหนงั สือใหไ้ ด้ (3) กระตุน้ แนะนาํ ใหอ้ ยากรู้อยากเห็น เรืองราวต่างๆ ทีมีอยใู่ นหนงั สือมากมาย หลายอย่าง อยากมองดูให้รู้รอบและลึกซ\"ึง เปิ ดความคิดให้กวา้ ง เมืออ่านเรืองหนึงแลว้ ก็อยากอ่าน เรืองหนึงต่อไป มีความรู้สึกว่าการอ่านเป็ นกิจกรรมประจาํ วนั ทีขาดเสียมิได้ เกิดความรู้สึกว่า 31
หนงั สือทา้ ทายใหอ้ า่ น ใหว้ จิ ารณ์ ใหป้ ระเมินค่า ใหอ้ ยากนาํ ความรู้ทีไดร้ ับไปใช้ อยากเขียนหนงั สือ ทาํ นองเดียวกนั น\"ีใหด้ ีกวา่ เล่มทีอ่าน เหล่าน\"ีเป็นตน้ (4) สร้างบรรยากาศการอ่านข\"ึนในบา้ น ในโรงเรียนและในสังคม นอกจาก กิจกรรมจะเร้าใจจูงใจใหอ้ ่านและกระตุน้ ใหเ้ กิดความคิดใหก้ วา้ งแลว้ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านจะ เกียวขอ้ งกบั การผลิตวสั ดุการอ่านเขา้ ไปไวใ้ นการเรียนการสอนและในการตดั สินใจเพือดาํ เนินการ ต่างๆ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านจะเกิดผลสําเร็จได้มากน้อยเพียงใดน\"ัน ต้องคาํ นึงถึง รูปแบบวิธีการของกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน และปัจจยั ต่างๆ ทีมีผลต่อการสร้างความสนใจใน การอ่านใหแ้ ก่เด็ก ไดแ้ ก่ ความเหมาะสมกบั วยั ความตอ้ งการ ความสนใจและพฒั นาการดา้ นต่างๆ ของเด็ก ผลของกิจกรรมน\"นั เด็กจะไดร้ ับความรู้ และความสนุกสนานทีไดร้ ่วมกิจกรรม กิจกรรม มหาวทิ ยาลัยราชภัฏธนบรุ ีส่งเสริมการอ่านสามารถพจิ ารณาเลือกจดั ไดต้ ามสถานการณ์และโอกาส ซึงมีมากมายหลายรูปแบบ ดงั ที ฉวีวรรณ คูหาภินนั ทน์ (2542, หนา้ 105-108) ไดก้ ล่าวถึง รูปแบบการจดั กิจกรรมส่งเสริม การอ่านทีเหมาะกบั เด็กไวด้ งั น\"ี (1) การเล่านิทาน คือ การเล่าเรืองทีมีผูเ้ ล่าสืบกนั มา หรือเล่าเรืองจากหนังสือ นิทานทีมีผแู้ ต่งข\"ึนมา ไดแ้ ก่ (1.1) การเล่านิทานในหอ้ งสมุด (1.2) การแข่งขนั การเล่านิทาน (2) การเสนอหนงั สือหรือวสั ดุการอ่าน และสือการอ่านต่างๆ คือ การแนะนาํ ทรัพยากร สารนิเทศทีน่าสนใจใหก้ บั ผอู้ ่านเพอื ดึงดูดความสนใจใหอ้ ยากอ่าน ไดแ้ ก่ (2.1) การเล่าเรืองหนงั สือ (2.2) การแนะนาํ หนงั สือ (2.3) การอา่ นหนงั สือใหฟ้ ัง (2.4) การสนทนาเกียวกบั หนงั สือ (3) การแสดงนาฏกรรมและอืนๆ (3.1) การแสดงละคร (3.2) การแสดงละครหุ่น (4) การเล่นเกมทีนาํ ไปสู่การอา่ น ไดแ้ ก่ (4.1) เกมของเล่นต่างๆ และเกมคอมพิวเตอร์ (4.2) เกมการวาดภาพ (4.3) เกมเติมคาํ ศพั ท์ 32
(4.4) เกมคน้ หาคาํ (4.5) เกมทายปัญหา (4.6) เกมตอ่ คาํ พงั เพย (4.7) เกมการละเล่นต่างๆ (4.8) เกมพบั กระดาษ (4.9) เกมประดิษฐส์ ิงของตา่ งๆ เอกสารจากกรมวิชาการ (2544, หน้า 15-16) ไดเ้ สนอแนะรูปแบบการจดั กิจกรรม ส่งเสริมการอ่านไวห้ ลายรูปแบบดงั น\"ี (1) การเล่านิทาน เป็ นกิจกรรมทีเหมาะสมสาหรับเด็กเล็ก ซึงสามารถจดั ใน ห้องเรียนได้ตลอดเวลา ครูผูเ้ ล่าตอ้ งคาํ นึงถึงความสนใจของเด็กวยั ต่างๆ และมีศิลปะในการเล่า มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบุรีนิทาน ขอ้ สาํ คญั ตอ้ งมีหนงั สือเล่มทีเล่ามาใหด้ ูดว้ ย เพือเร้าใจใหเ้ ดก็ อยากอ่านหนงั สือน\"นั (2) การแนะนาํ หนังสือ ครูจะเลือกหนังสือทีดีและเหมาะสมกบั เด็กแนะนาํ ว่า หนงั สือเล่มน\"นั ๆ ดีอยา่ งไร สนุกตรงไหน และเลือกอ่านขอ้ ความบางตอนทีน่าสนใจใหเ้ ดก็ ฟัง (3) การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เป็ นกิจกรรมทีครูนาหนังสือทีเห็นว่าดีและ เหมาะสมกบั เดก็ มาอา่ นใหเ้ ดก็ ฟัง การอ่านไม่จาํ เป็นตอ้ งอ่านวนั เดียวจบเล่ม อาจอ่านวนั ละตอนก็ได้ ขอ้ สาํ คญั คือ เรืองทีอ่านตอ้ งสนุก เดก็ จึงจะสนใจฟัง (4) การเล่นทายปัญหา การทายปัญหาควรเป็ นปัญหาทีสามารถอ่านคน้ ควา้ ได้ จากหนงั สือ เช่น ทายชือตวั ละคร ทายชือเมือง ทายคาํ พูดตวั ละคร เป็ นตน้ การทายปัญหาจะทาํ ให้ เด็กตืนเตน้ และอ่านหนงั สือ กิจกรรมน\"ีควรมีรางวลั ใหค้ นเก่งดว้ ย (5) การใหเ้ ดก็ เล่าเรืองในหนงั สือ กระทาํ โดยให้เด็กไปอ่านหนงั สือมาคนละเล่ม แลว้ ผลดั กนั ออกมาเล่าเรือง (6) การสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เด็กอยากอ่านหนงั สือ โดยครูหาหนงั สือ ทีคิดว่าเหมาะสม หรือเป็ นประโยชน์กบั เด็กนามาจดั เป็ นมุมหนงั สือข\"ึนภายในห้องเรียน การจดั กิจกรรมน\"ีทางหอ้ งสมุดโรงเรียนอาจนาไปดว้ ยโดยการตกแต่งหอ้ งสมุดใหน้ ่าเขา้ ไปอ่านหนงั สือ (7) การจดั นิทรรศการหนงั สือเด็ก เป็ นกิจกรรมของโรงเรียน โดยการติดต่อกบั สานกั พิมพห์ รือหา้ งร้านต่างๆ ใหม้ าร่วมจดั นิทรรศการหนงั สือเด็กในโรงเรียน หรือโรงเรียนอาจยืม หนงั สือมาแสดงหรือจะจดั แสดงหนงั สือเป็นคร\"ังคราวในหอ้ งสมุด เพือเป็ นการแนะนาให้เด็กไดเ้ ขา้ มาอา่ นหนงั สือกไ็ ด้ (8) การอภิปรายเรืองในหนังสือ เป็ นการสนทนาให้ความเห็นเกียวกบั หนังสือ เพือใหเ้ ดก็ ไดเ้ ห็นขอ้ ดีขอ้ เสียของหนงั สือ 33
จากทีกล่าวมาจะเห็นได้ว่ากิจกรรมส่งเสริมการอ่านมีหลายรูปแบบ แต่กิจกรรมที เหมาะสมกบั เด็กปฐมวยั ทีผวู้ จิ ยั นามาจดั เป็ นกิจกรรมส่งเสริมการอ่านมี 2 รูปแบบ คือ กิจกรรมอ่าน ร่วมกนั และกิจกรรมเล่านิทาน เนืองจากเด็กวยั น\"ียงั ไม่มีความสามารถในระดบั ทีอ่านเองไดด้ ี แต่ สามารถเรียนรู้พฤติกรรมการอ่าน การหยิบจับหนังสือ การใช้สายตา การบรรยายภาพตาม จินตนาการ การฝึ กให้เด็กอ่าน ควรเริมจากการแนะนาหนงั สือทีน่าสนใจ กิจกรรมการอ่านหนงั สือ ร่วมกนั และกิจกรรมการเล่านิทานให้เด็กฟัง เพือให้เด็กคุน้ เคยกบั สภาพการอ่าน จากตวั แบบครู และพอ่ แม่ ซึงแต่ละกิจกรรมมีรายละเอียดดงั ต่อไปน\"ี (1) กิจกรรมอ่านหนงั สือร่วมกนั การอ่านหนงั สือร่วมกนั เป็นกิจกรรมทีทาํ ไดง้ ่าย และสะดวก ท\"งั ยงั ช่วยจูงใจใหเ้ ด็กเกิดความรักหนงั สือ อยากติดตามอ่านเรืองราวทีไดฟ้ ังดว้ ยตนเอง การจะอ่านหนงั สือร่วมกนั ในช่วงกิจกรรมกลุ่ม ครูอ่านให้ฟังตามคาร้องขอของเด็กเป็ นกลุ่มเล็กๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบรุ ี4-5 คน เด็กและครูช่วยกันอ่านหนังสือร่วมกัน และเด็กอ่านหนังสือนิทานร่วมกับเพือนๆ นอกจากน\"ีเดก็ ๆ ยงั สามารถขอยมื หนงั สือนิทานไปอ่านร่วมกบั พอ่ แม่ผปู้ กครองได้ (2) กิจกรรมเล่านิทาน เป็ นกิจกรรมสําคัญหรือกิจกรรมหลักทีใช้ถ่ายทอด ศิลปวฒั นธรรมประสบการณ์ ความคิด และการปลูกฝังค่านิยม ครูเลือกเรืองทีน่าสนใจ สนุกสนาน และคาํ นึงถึงระยะเวลา ทีใชใ้ นการเล่าตอ้ งเหมาะสมกบั ความสนใจของเด็ก โดยครูเตรียมตวั ก่อน การเล่าดว้ ยการหาความรู้เพิมเติมเกียวกบั เรืองน\"นั ๆ เพือให้เด็กเกิดความสนุกสนาน และเพิมความ สนใจ ครูเลือกวธิ ีการเล่า ไดแ้ ก่ การเล่าปากเปล่า โดยการใชเ้ สียงใหส้ อดคลอ้ งกบั ตวั ละครในเรือง การเวน้ จงั หวะคา ประโยค หรือการใชเ้ สียงสูง-ตาํ เพือทาํ ใหน้ ิทานมีชีวติ ชีวาเป็นการเร้าความสนใจ ของเด็กด้วยน้าเสียง การเล่าประกอบภาพ โดยใช้ภาพในนิทานทีนํามาเล่า เลือกหนังสือทีมี ภาพประกอบชัดเจน สีสดใส สวยงาม การเล่านิทานประกอบสือ เช่น หุ่นนิ\"ว การพบั กระดาษ การป\"ันดินน้ามนั เป็ นการช่วยให้เด็กต\"งั ใจฟัง ตืนเตน้ สนุกสนานเพลิดเพลิน เร้าความสนใจและ สร้างความเขา้ ใจในเน\"ือเรืองของนิทานใหเ้ ป็นรูปธรรมชดั เจนยงิ ข\"ึน ทาํ ไมต้องมีกจิ กรรมส่งเสริมการอ่าน (1) การอ่าน มิใช่ทักษะทีเกิดข\"ึนเองตามธรรมชาติ เป็ นสิงทีมนุษย์สร้างข\"ึน เพือใหส้ ามารถเรียนรู้สิงต่างๆ ทีมีการบนั ทึกไวด้ ว้ ยตวั หนงั สือในภาษาแต่ละภาษา (บางภาษาก็ไม่มี ตวั หนงั สือ ตอ้ งอาศยั ตวั หนงั สือของชนชาติอืน) ตอ้ งเรียนรู้จะรู้จกั ตวั อกั ษรและตอ้ งอ่านคาํ เขียน หรือคาํ ทีตีพิมพ์ สําหรับบางคนการเรียนเป็ นเรืองยาก ตอ้ งอาศยั การแนะนําสังสอน ฝึ กฝนด้วย ตนเองและมีโอกาสไดอ้ ่าน การทีจะรู้ว่าหนงั สือให้ความรู้และความเพลิดเพลินอยา่ งไร ก็ตอ้ งหัด อ่านให้แตกฉานก่อนถึงเวลาน\"นั จะตอ้ งมีผูบ้ อกให้รู้ว่าหนงั สือจะเป็ นประโยชน์แก่ผูอ้ ่านอย่างไร 34
บา้ ง ในระยะแหลรกเริมการเรียนการอ่านจะตอ้ งมีการแนะนาํ ให้รู้จกั หนงั สือ เร้าให้เกิดความอยาก อา่ น (2) การอ่านเป็ นพฤติกรรมการสือสารและรับสารอยา่ งหนึง พฤติกรรมเช่นน\"ีจะ เจริญงอกงามเมือมีผกู้ ระทาํ มากกวา่ หนึงคน เพอื สือสาร รับสาร ยอ่ ยสาร สนองตอบสาร พฒั นาสาร และกระจายออกหรือส่งสารต่อไป เป็ นวงจรดงั น\"ี กิจกรรมส่งเสริมการอ่านเป็ นการกระทาํ ทีมี ผเู้ กียวขอ้ งอยา่ งนอ้ ยสองคน คือ ผจู้ ดั กิจกรรมคนหนึงและเป้าหมายคนหนึง หนึงคนทีเป็ นเป้าหมาย อาจมีการรับสาร พฒั นาสารและกระจายไปสู่กลุ่มคนก็ได้ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านส่วนใหญ่จดั โดยหน่วยราชการ สมาคม องค์กรเอกชน จะเป็ นการจดั โดยกลุ่มคน มีบุคคลเป้าหมาย ดงั น\"นั จึงมี ความรู้สึกร่วมหรือรู้สึกวา่ จะตอ้ งแข่งขนั กนั เพือใหไ้ ดด้ ีทีสุด (3) ผูท้ ีอ่านหนังสือแตกฉานแลว้ และสังคมทีประกอบด้วยผูอ้ ่านทีพฒั นาการ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบรุ ีอ่านไปมากแลว้ ก็ยงั มีความอยากรู้เรืองราวต่างๆให้มาก หลากหลายข\"ึนไปอีก ยงั ตอ้ งการกระตุน้ หรือแนะนาํ ใหท้ ราบถึงแหล่งวสั ดุการอา่ นทีมีหนงั สือมากๆ อยากรู้วา่ มีหนงั สือใหม่ในเรืองน\"นั เรือง น\"ีอีกหรือไม่ บางคร\"ังถา้ เกิดความพอใจวา่ ไดอ้ ่านมากแลว้ รู้มากแลว้ ความพอใจเช่นน\"ีเป็ นอนั ตราย เพราะจะปิ ดก\"นั ความเจริญทางสติปัญญา ความรู้ของตนเอง ปิ ดตวั เองให้อยูแ่ ต่ในสมองของตนเอง เท่าน\"นั จึงจาํ เป็ นตอ้ งจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านเพือรักษาความสนใจในการอ่านให้ต่อเนือง เป็ น การเปิ ดทางเพือพฒั นาตนเองจนตลอดชีวติ 4. เป้าหมายของการจัดกจิ กรรมส่งเสริมการอ่าน เป็ นเป้าหมายของการจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านอาจแบ่งได้ 2 เป้าหมาย คือ เป้าหมายบุคคลและเป้าหมายระดบั พฒั นาการอ่าน (1) เป้าหมายบุคคล (1.1) บุคคลในทีน\"ีจะเป็นคนหนึงหรือกลุ่มคนหรือประชนทุกเพศ ทุกวยั ทุก ระดบั ความรู้และระดบั ความสามารถในการอ่าน การกาํ หนดเป้าหมายบุคคลอาจกาํ หนดให้ท\"งั ใน วงกวา้ งและวงแคบ ถา้ กาํ หนดในวงกวา้ ง เช่น ประชาชนทวั ประเทศ ก็ตอ้ งเลือกกิจกรรมทีคนทวั ไป เขา้ ใจได้ง่าย รับสารได้และตอ้ งรับสารทางไกล เช่น วิทยุกระจายเสียง โทรทศั น์ ฯลฯ ตวั อย่าง กิจกรรมทีกาํ หนดกลุ่มเป้าหมายในวงกวา้ งและใชว้ ิทยุกระจายเสียงของวิทยุศึกษามุ่งกลุ่มเป้าหมาย ในวงกวา้ ง แต่จาํ กดั เฉพาะนกั เรียน ดงั น\"ีเป็นตน้ (1.2) เพือให้กิจกรรมทีจดั ข\"ึนเหมาะสมกบั เป้าหมายและเกิดประโยชน์แก่ เป้าหมายอยา่ งแทจ้ ริง ก่อนกาํ หนดลกั ษณะประเภทกิจกรรม ควรศึกษาเป้าหมายบุคคลใหถ้ ่องแท้ เสียก่อน รวมข้อมูลเกียวกับอายุ เพศ ความสามารถในการอ่าน อาชีพความสนใจ ถินทีอาศัย วฒั นธรรมประจาํ ถิน หน่วยราชการ จดั ทาํ แฟ้มไวโ้ ดยเฉพาะ เพิมเติมขอ้ มูลทีไดร้ ับมาใหม่จาก 35
เอกสารทางราชการ จากข่าวในหนงั สือพิมพ์ วิทยกุ ระจายเสียงและโทรทศั น์ ถา้ มีการวิจยั เกียวกบั การอ่าน การใชส้ ือมวลชนหรือเรืองคลา้ ยคลึงกนั น\"ีก็เก็บรวบรวมไวส้ าํ หรับเป้าหมายทีเป็ นคนเดียว หรือกลุ่มคนก็ควรจดั ทาํ แฟ้มขอ้ มูลไวเ้ ช่นเดียวกนั (1.3) นอกจากศึกษาขอ้ มูลในเอกสารสิงพิมพต์ ่างๆ เกียวกบั บุคลากรทีเป็ น เป้าหมายแลว้ การศึกษาดว้ ยตนเองใหร้ ู้จกั บุคคลก็จะช่วยใหก้ ารจดั กิจกรรมไดผ้ ลดี สถิติและขอ้ มูล ต่างๆในเอกสารเป็ นเพียงตวั เลขและตวั หนงั สือซึงผูอ้ ืนรวบรวมไว้ แมค้ วามคิดเห็นเกียวกบั บุคคล แต่ละกลุ่มซึงไดร้ ับจากผูอ้ ืน ก็ไม่ทาํ ให้เกิดความรู้สึกวา่ ไดเ้ ขา้ ใจความตอ้ งการของคนเหล่าน\"นั ไดด้ ี ดงั น\"นั ควรพยายามทาํ ความรู้จกั ดว้ ยตนเองดว้ ยการพูดจาปราศรัย การเขา้ ร่วมในกิจกรรมของกลุ่ม จะเป็นโอกาสให้รู้จกั บุคคลเป้าหมายดียิงข\"ึน สามารถจะจดั กิจกรรมไดต้ ามความตอ้ งการและความ สนใจ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบรุ ี(1.4) ความต้องการและความสนใจของแต่ละเพศ แต่ละวยั แต่ละระดับ การศึกษาและพ\"ืนฐานความรู้ แมจ้ ะมีความคลา้ ยคลึงกนั บางส่วนก็ยงั มีความแตกต่างกนั การอ่าน หนงั สือจิตวิทยาเกียวกบั คนเหล่าน\"ีจะช่วยเป็ นแนวทางในการจดั กิจกรรม การออกแบสอบถาม ความตอ้ งการเป็นคร\"ังคราวก็จะทาํ ใหร้ ู้ความตอ้ งการและความสนใจไดด้ ี ผ้จู ัดกจิ กรรมส่งเสริมการอ่าน (1) ผจู้ ดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน ไดแ้ ก่ ผูท้ ีเกียวขอ้ งในการสอนอ่าน สอนภาษา และสอนวิชาต่างๆ ในสถานศึกษาทุกระดบั บรรณารักษแ์ ละครูบรรณารักษ์ในห้องสมุดประเภท ต่างๆ หน่วยงานราชการซึงเกียวขอ้ งกบั การเรียนการสอนในถานศึกษาและการศึกษานอกโรงเรียน หรือการศึกษาต่อเนือง สมาคมวิชาชีพเกียวกบั การอ่าน อาทิ สมาคมนกั เขียนฯ สมาคมผูจ้ ดั พิมพ์ และผูจ้ าํ หน่ายหนงั สือฯ สมาคมการอ่านฯ สมาคมห้องสมุดฯ สมาคมภาษาและหนงั สือ สมาคม การพมิ พ์ (2) กิจกรรมจะตอ้ งได้รับการมอบหมายหน้าทีและได้รับการสนับสนุนจาก ผูบ้ ริหารในด้านการเงิน บุคลากรและความสะดวกต่างๆเท่าทีจาํ เป็ นสําหรับกิจกรรมแต่ละอย่าง ความร่วมมือจากเพือนร่วมงานก็มีส่วนสาํ คญั ทีจะใหด้ าํ เนินการไดโ้ ดยมีประสิทธิภาพ (3) ในประเทศไทย หน่วยราชการและองค์กรซึงสนับสนุนการดาํ เนินการจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านในระดบั ชาติมีหลายแห่ง เช่น กรมการศึกษานอกโรงเรียนจดั การรณรงค์ เพือการรู้หนงั สือ กรมวชิ าการจดั การรณรงคเ์ พือส่งเสริมการอ่าน คณะกรรมการการพฒั นาหนงั สือ ของคณะกรรมการแห่งชาติวา่ ดว้ ยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติเป็ น ผปู้ ระสานกิจกรรมของสมาคมทีเกียวกบั การอ่าน จดั งานสัปดาห์หนงั สือแห่งชาติต่อเนืองมาต\"งั แต่ปี พ.ศ. 2515 ซึงเป็ นปี หนงั สือสากล นอกจากการจดั การหนงั สือแลว้ ยงั ไดจ้ ดั การหนงั สือแลว้ ยงั ได้ 36
จดั การประกวดหนงั สือคดั เลือกหนังสือดีสําหรับห้องสมุด สนบั สนุนสมาคมต่างๆ จดั กิจกรรม ส่งเสริมการอ่านในระหวา่ งงานสปั ดาห์หนงั สือแห่งชาติ (4) องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ เป็ นองค์การ ระหว่างประเทศ ซึงรณรงคแ์ ละสนบั สนุนให้รัฐสมาชิกดาํ เนินการเพือการรู้หนงั สือและส่งเสริม การอ่านของประชาชน องค์การศึกษาฯ ไดต้ \"งั เป้าหมายไวว้ า่ ในปี ค.ศ. 2000 ทุกคนในโลกจะอ่าน หนังสือออก หนังสือและการพฒั นาการอ่านน\"ันเป็ นหน้าทีสําคญั อย่างหนึงขององค์การศึกษาฯ ปรากฏชดั ในตราสารแห่งองคก์ ารน\"นั มีดาํ เนินการเกียวกบั เรืองน\"ีต\"งั แต่แรกเริมการก่อต\"งั องคก์ ร ได้ กาํ หนดให้ พ.ศ. 2515 เป็ นปี หนงั สือสากล มีการสํารวจสภาพการพฒั นาหนงั สือทวั โลกและเชิญ ชวนรัฐสมาชิกให้เร่งรัดพฒั นากิจการหนงั สือซึงรวมท\"งั การอ่าน เมือ พ.ศ. 2525 ไดม้ ีการประชุม ระดบั โลกวา่ ดว้ ยหนงั สือ World Congress on Book ทีประชุมไดป้ ระกาศปฏิญญาสากลวา่ ดว้ ย มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏธนบรุ ีการสร้างสงั คมการอ่านหนงั สือเป็นการตกลงกนั ระหวา่ งรัฐสมาชิกวา่ จะใชก้ ารพยายามทุกวถิ ีทางที จะให้ “มีหนงั สือสาํ หรับทุกคนและทีคนทุกคนซึงอ่านหนงั สือยอมรับวา่ หนงั สือและการอ่านเป็ น ส่วนหนึงทีจาํ เป็นและเป็นทีพงึ ประสงคใ์ นชีวติ ประจาํ วนั ” ลกั ษณะกจิ กรรมเพือส่งเสริมการอ่าน ลกั ษณะกิจกรรมเพอื ส่งเสริมการอ่านมีหลายแบบในทีน\"ีจะรวมกลุ่มตามลกั ษณะและ กิจกรรมดึงดูดความสนใจโดยทางประสาทสัมผสั อยา่ งใดอยา่ งหนึงหรือหลายอยา่ งรวมกนั (1) กิจกรรมซึงเร้าโสตประสาท ชวนใหฟ้ ัง ใชเ้ สียงและคาํ พูดเป็ นหลกั กิจกรรม ประเภทน\"ี ไดแ้ ก่การเล่านิทานให้ฟัง การเล่าเรืองจากหนงั สือ การอ่านหนังสือให้ฟัง การแนะนาํ หนงั สือดว้ ยปากเปล่า การบรรยาย การอภิปราย การโตว้ าทีเกียวกบั หนงั สือ การบรรเลงดนตรีและ ร้องเพลงจากบทละครร้อง ทาํ ใหเ้ กิดความเพลิดเพลินในอรรถรส ถอ้ ยคาํ น\"นั นอกจากฟังเพราะแลว้ ยงั ทาํ ให้มองเห็นภาพ ไดก้ ลิน ทาํ ให้รู้สึกอร่อย ไดร้ ู้สึกสัมผสั ความร้อนหนาว ให้รู้สึกดีใจ เสียใจ เกลียดชงั รัก แช่มชืน สงบ ฯลฯ ในการจดั กิจกรรมใหร้ ู้จกั เพลิดเพลินในอรรถรส ไม่ควรใชอ้ ุปกรณ์ ทีเบียงเบนความสนใจไปทางอืน เช่น ภาพ การใช้ท่าทาง ฯลฯ ยกเวน้ แต่เมือจาํ เป็ นทีจะตอ้ งใช้ เพอื ใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจสิงทีกาํ ลงั พดู ถึงเท่าน\"นั หลักสู ตรการศึกษาในระดับประถมและมัธยมทีบังคับใช้ในปัจจุบัน กาํ หนดให้ฝึ กฝนเด็กให้รู้จกั ฟัง ให้รู้ความหมายของคาํ มีสมาธิในการฟังและมีมารยาทในการถาม กิจกรรมประเภทน\"ีจึงเหมาะสมอยา่ งยงิ ทีจะจดั ข\"ึนในโอกาสต่างๆ นอกจากใชใ้ นชวั โมงเรียนและใน หอ้ งเรียน ช่วยใหเ้ ดก็ เรียนวธิ ีฟังและเรียนรู้ดว้ ยการฟังไดด้ ียงิ ข\"ึน (2) กิจกรรมทีเร้าจกั ษุประสาท ชวนให้ดู เพ่งพินิจและอ่านความหมายของสิงที เห็น กิจกรรมประเภทน\"ี ไดแ้ ก่ การจดั แสดงภาพชนิดต่างๆ อาทิ ภาพถ่าย ภาพทีตดั เก็บรวบรวมจาก 37
วารสารหรือปฏิทิน เป็ นเรือง เป็ นชุด ภาพเขียน ภาพประกอบหนงั สือ นิทรรศการหนงั สือ สิงของ ต่างๆในการแสดงภาพ หนังสือ และสิงของ จะมีคาํ บรรยายอธิบายสิงทีแสดง สรุปข้อคิดเห็น เกียวกบั การแสดงประวตั ิ (ตามความจาํ เป็น) มุ่งใหผ้ ชู้ มมีสมาธิในการชม เช่นเดียวกบั เสียง ภาพ สิง ทีแสดง ตลอดจนคาํ เขียนอธิบายภาพ นอกจากเร้าจกั ษุสมั ผสั ก็จะใหเ้ กิดความรู้สึกต่างๆ ดว้ ย หลักสู ตรการศึกษาในระดับประถมและมัธยมทีบังคับใช้ในปัจจุบัน กาํ หนดให้ฝึ กฝนเด็กให้รู้เรืองโดยตลอด รู้จกั บนั ทึกการดู เพือหาคาํ ตอบในสิงทีอยากรู้อนั เกิดจาก การดู เดก็ ควรไดร้ ับการแนะนาํ ใหอ้ ่าน (3) กิจกรรมซ\"ึงเร้าโสตและจกั ษุประสารทในขณะเดียวกนั ไดแ้ ก่ กิจกรรมซึง ชวนให้ฟังและดูไปพร้อมๆ กนั ประสานสัมผสั ท\"งั สองให้ทาํ งานร่วมกนั อาทิ เล่าทานโดยให้ดู ภาพประกอบซึงจดั เตรียมไวโ้ ดยเฉพาะ เล่านิทานและใหด้ ูภาพประกอบในหนงั สือ เล่านิทานโดย มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ีใช้โสตทศั นวสั ดุประกอบ ฉายภาพนิงซึงมีคาํ บรรยาย ฉายแถบเสียงและภาพ สาธิตเทคนิควิธีการ บางอยา่ งจากหนงั สือทีนาํ มาจดั นิทรรศการ การจดั สปั ดาห์หอ้ งสมุด (4) กิจกรรมซึงใหผ้ ูเ้ ป็ นเป้าหมายไดร้ ่วมดว้ ย กิจกรรมทาํ นองน\"ีจะช่วยให้ผูเ้ ป็ น เป้าหมายเกิดความสนุกและภาคภูมิใจ รู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ ตวั อยา่ ง เมือเล่านิทานแลว้ ก็ ใหผ้ ฟู้ ังวาดภาพประกอบ ใหแ้ สดงเพลงตามตวั ละครในนิทาน ใหแ้ ข่งขนั กนั เล่าเรืองทีไดฟ้ ังไปแลว้ ใหแ้ ข่งขนั เรียบเรียงเรืองทีไดฟ้ ังหรือใหเ้ ขียนนิทานข\"ึนใหม่ตามแก่นนิทานทีไดฟ้ ังไปแลว้ ใหแ้ สดง ความคิดเห็นเกียวกบั ตวั ละครหรือเหตุการณ์ตอนใดตอนหนึงในนิทาน ให้ร่วมในวงสนทนาหรือ โตว้ าทีเกียวกบั หนงั สือ กิจกรรมบางอย่างซึงตอ้ งเตรียมการล่วงหน้าพอสมควร จะเป็ นกิจกรรมทีมุ่งให้ บุคคลเป้าหมายดาํ เนินงานเอง ผูจ้ ดั เพียงอาํ นวยความสะดวก กาํ หนดข\"นั ตอนการดาํ เนินการวาง เกณฑแ์ ละกติกา จดั การประชาสัมพนั ธ์และหารางวลั ให้สําหรับบางกิจกรรม แนะนาํ วธิ ีดาํ เนินการ กิจกรรมทาํ นองน\"ีไดแ้ ก่ การจดั โครงการยอดนกั อ่านสาํ หรับหนงั สือบางประเภท อาทิ หนงั สือนอก เวลา หนังสือทีชนะการประกวดต่างๆ การจดั ค่ายฤดูร้อนเพือการอ่านและการเขียน การประชุม ปฏิบตั ิการ การจดั สัปดาห์การอ่าน การจดั ชมรมนกั อ่าน วตั ถุประสงค์ของการจัดกจิ กรรมส่งเสริมการอ่าน ความมุ่งหมายของการจดั กิจกรรมการอ่านตามที จินดา จาํ เริญ (2530, หน้า 15) กล่าวถึง มีดงั น\"ี (1) เพือให้เด็กรักการอ่านหนงั สือ และเป็ นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านหนงั สือ ใหก้ บั เด็ก 38
(2) เพือให้เด็กรู้จกั เสาะแสวงหาความรู้และความเพลิดเพลินตามความตอ้ งการ และความสนใจของตนเองยามวา่ ง (3) เพือใหเ้ ด็กรู้จกั การศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตนเองเมือเติบโตเป็นผใู้ หญ่ บนั ลือ พฤกตะวนั (2543, หน้า 23) ได้กล่าวถึง วตั ถุประสงค์ในการจดั กิจกรรม ส่งเสริมการอ่านไว้ 4 ประการ คือ เพือส่งเสริมทกั ษะทางภาษาเพือตอบสนองความสนใจของ นกั เรียนเพือฝึกลกั ษณะนิสัยรักการอ่านใหแ้ ก่นกั เรียน และเพือส่งเสริมให้นกั เรียนอ่านหนงั สือตาม ลาํ พงั ได้ แมน้ มาศ ชวลิต (2544, หนา้ 40) อธิบายถึง วตั ถุประสงคใ์ นการจดั กิจกรรมส่งเสริม การอ่านไว้ 4 ประการ ดงั น\"ี (1) ใหน้ กั เรียนเห็นความจาํ เป็นและความสาํ คญั ของการอ่าน มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบรุ ี(2) เพือแนะนาํ และชกั ชวนให้นกั เรียนเกิดความพยายามทีจะอ่านให้แตกฉาน สามารถนาํ ความรู้จากการอ่านไปใชป้ ระโยชน์ และเกิดความเขา้ ใจในเรืองต่างๆ ดีข\"ึน (3) เพอื กระตุน้ ใหเ้ กิดความอยากรู้ อยากอ่าน หนงั สือหลายๆ อยา่ ง เปิ ดความคิด ใหก้ วา้ ง ใหม้ ีการอ่านหนงั สืออยา่ งต่อเนืองจนเป็ นนิสัย สามารถพฒั นาการอ่านจนถึงข\"นั วิเคราะห์ สังเคราะห์เรืองทีอ่านได้ (4) เพอื สร้างบรรยากาศทีดีและจูงใจใหน้ กั เรียนอ่านหนงั สือ 5. กจิ กรรมพฒั นานิสัยรักการอ่านและพฤติกรรมรักการอ่านให้แก่เด็ก นฤมล ตนั ธสุรเศรษฐ์ (2555, หนา้ 30-32) กล่าวถึง กิจกรรมพฒั นานิสัยรักการอ่าน และพฤติกรรมรักการอ่านให้แก่เด็กสามารถจดั ได้ 2 ลกั ษณะไดแ้ ก่กิจกรรมทีบา้ นและกิจกรรมที โรงเรียน ซึงมีรายละเอียดดงั น\"ี (1) กิจกรรมทีบา้ น การจดั กิจกรรมเพอื พฒั นานิสัยรักการอ่านให้ไดผ้ ลดีน\"นั ตอ้ ง คาํ นึงถึงแนวคิด ทฤษฎี และหลกั เกณฑท์ ีเกียวขอ้ ง ซึงจะช่วยใหก้ ิจกรรมสามารถจูงใจ สร้างความ ประทบั ใจใหเ้ ด็กเกิดความกระตือรือร้น เปลียนแปลงทศั นคติและพฤติกรรมไปในทางทีกาํ หนดไว้ ดงั น\"นั ผูป้ กครองจึงควรพิจารณาและศึกษากิจกรรมในการพฒั นานิสัยรักการอ่านเพือนามาใชก้ บั เด็ก ทาํ ให้เด็กมีเจตคติทีดีต่อการอ่าน และเป็ นเด็กทีมีนิสัยรักการอ่านต่อไปในอนาคตกิจกรรม พฒั นานิสัยรักการอ่าน ควรมีลกั ษณะ (กรมวชิ าการ, 2544, หนา้ 20-21) ดงั น\"ี (1.1) การอา่ นหนงั สือใหเ้ ด็กฟัง การอ่านหนงั สือใหเ้ ด็กฟังควรจะอ่านให้ฟัง ทุกวนั แลว้ เพิมเวลาอ่านไปเรือยๆ จนถึง 15 นาทีต่อวนั เวลาทีควรอ่านเช่น เวลานอนพกั หรือก่อน นอนตอนกลางคืน เป็นตน้ 39
(1.2) เล่านิทานให้เด็กฟังโดยการสอดแทรกบทกวีเขา้ ไปในนิทาน นิทาน เป็ นสิงทีเด็กชอบ โดยเฉพาะเด็กเล็กหรือเด็กก่อนวยั เรียน การเล่านิทานช่วยสร้างความเพลิดเพลิน สร้างสรรคจ์ ินตนาการ สร้างความสมั พนั ธ์ใกลช้ ิดสนิทสนมระหวา่ งเด็กกบั ผูป้ กครอง เป็ นศิลปะใน การสืบทอดมรดกทางวรรณกรรมอนั เก่าแก่ และทีสาํ คญั ช่วยปลูกฝังนิสยั รักการอ่านไดเ้ ป็นอยา่ งดี (1.3) สอนบทกลอนทางเสียงเพลง ปัจจุบนั น\"ี ความสะดวกในเรืองเสียงเพลง เทปเพลง เครืองเล่นเทป มีราคาถูก มีหลายรูปแบบ พกพาสะดวก ลว้ นเอ\"ืออานวยให้มีเสียงเพลง แทบทุกครัวเรือน เด็กเองก็จะมีเพลงทีชืนชอบเป็ นส่วนตวั ซึงอาจจะเกิดความเคยชินทีไดย้ ินบ่อยๆ จากวิทยุ หรือเกิดจากได้ยินพีร้องให้ฟัง ทาํ ให้เด็กสามารถร้องไปดว้ ยไดอ้ ย่างคล่องแคล่วแบบ นกแกว้ นกขนุ ทอง จึงเป็ นหนา้ ทีของพ่อแม่ทีจะช่วยกนั ร้องเพลงพร้อมกบั ลูก พร้อมท\"งั นาเน\"ือเพลง และความหมายของบทเพลงจากเน\"ือร้อง เล่าสู่ลูกฟัง มหาวทิ ยาลัยราชภัฏธนบุรีพ่อแม่สามารถเล่าเรืองเพลงให้เด็กฟังได้ เมือเด็กเขา้ ใจเน\"ือหาเด็กก็จะ ร้องไดอ้ ยา่ งสนุกสนาน อยา่ งผูท้ ีรู้ เน\"ือเพลงบางเพลงก็เป็ นเพลงการเล่าเรือง เช่น “ดาวลูกไก่” หรือ “ลิงทะโมน” บางเพลงก็สะทอ้ นชีวติ ผูค้ นในสังคม เช่น “กรรมกรโรงงาน” “ยุคหินเก่ายุคหินใหม่” บางเพลงก็ชวนให้เกิดอารมณ์ขนั เช่นเพลง “ปุปปัป” ทีแปลวา่ แป๊ บเดียว แมแ้ ต่เพลง “เทิดเทิงทิง นองนอย” กส็ ามารถเล่าเรืองประเพณีใหเ้ ด็กฟังได้ ชวนเดก็ ฟังเสียงกลองยาว พาไปดูกลองยาว และ เล่าประเพณี การทอดกฐินคืออะไร ออกพรรษา – เขา้ พรรษาเป็ นยงั ไง ลอยกระทงสนุกเพียงไหน เมือเด็กไดร้ ู้คุณค่าของบทกลอน ในเสียงเพลงแลว้ ต่อไปเด็กก็จะคอยบอกให้พ่อแม่เล่าเรืองเพลง ต่างๆ ให้ฟังอีก เห็นได้ว่า การสอนบทกลอนให้กบั เด็กน\"ัน จะนาเด็กไปสู่โลกแห่งจินตนาการ นาํ ไปสู่ผูใ้ ฝ่ รู้ นาไปสู่ความสนใจทีต่อเนือง นาไปสู่การมีสมาธิ และนาไปสู่ผูม้ ีหวั ใจรักในบทกวี และยงั ช่วยให้เด็กได้ฝึ กพูดหรืออ่านคากลอน ซึงมีความสนุกสนาน สอดคล้อง อีกท\"งั ยงั มีความ ไพเราะ ทาํ ให้เด็กสนุกและเพลิดเพลินไม่เบือหน่ายทีจะฟังหรือหัดพูด การสอนบทกลอนด้วย เสียงเพลงจึงเป็นการสร้างเสริมนิสัยรักการอ่านทีดีอยา่ งหนึง (1.4) การอ่านหนงั สือดว้ ยกนั สิงสําคญั ทีสุดทีคนเป็ นพ่อแม่สามารถทาํ ได้ เพือสนบั สนุนเด็กให้กลายเป็ นนกั อ่าน ก็คือ การดู การอ่าน และการสนุกกบั หนังสือร่วมกนั ถ้า เด็กๆ เห็นวา่ หนงั สือเป็นเสมือนแหล่งทีใหค้ วามรืนรมย์ ความสบายใจ ความสนุกสนาน และความรู้ ก็แสดงวา่ เด็กมีแรงกระตุน้ ทีสาํ คญั ในการเรียนรู้ทีจะอ่าน การทีเดก็ ไดด้ ูหนงั สือกบั พ่อแม่ไม่เพียงแต่ จะไดเ้ ห็นรูปภาพและฟังเรืองราวเท่าน\"นั แต่ก็ยงั ทาํ ใหเ้ ด็กรู้สึกถึงความอบอุ่น ปลอดภยั ซึงเป็ นส่วน ช่วยสนบั สนุนความรู้สึกของเด็กเกียวกบั หนงั สือ อยา่ งไรก็ตาม พ่อแม่ไม่ควรบงั คบั เด็กๆ ทีกาํ ลงั สนุกสนานกบั การทาสิงอืนอยใู่ หม้ าอ่านหนงั สือในตอนน\"นั 40
การอ่านหนงั สือกบั เดก็ เป็นวธิ ีทีดีมากทีจะช่วยพฒั นาความสามารถใน การเขา้ ใจการพูด การฟังสมาธิ รวมท\"งั การสังเกต ซึงท\"งั หมดน\"ีจะมีความสาํ คญั ในตวั เองในข\"นั ตอน ของการเรียนการอ่าน นอกจากน\"นั ยงั ช่วยสร้างสายสัมพนั ธ์ระหวา่ งครอบครัว ช่วยกระตุน้ ให้เด็ก เกิดจินตนาการ และมีพฒั นาการทางอารมณ์ ขณะทีเด็กเริมจะรู้ว่าผูอ้ ืนรู้สึกอย่างไร หนงั สือจะให้ ความรู้เกียวกบั โลก โดยการนาเดก็ ไปสู่สถานการณ์ใหม่ๆ และใหค้ วามเขา้ ใจทีลึกซ\"ึงยิงข\"ึนเกียวกบั สิงตา่ งๆ ทีเคยมีประสบการณ์มาก่อน (1.5) พาไปร้านหนังสือ สนบั สนุนให้เด็กมีหนงั สือเป็ นของตนเอง พ่อแม่ ควรซ\"ือหนังสือให้เด็กอ่าน หรือให้เป็ นเจ้าของในวาระต่างๆ ในลักษณะของขวญั ตามความ เหมาะสมกบั เพศ วยั ความตอ้ งการ ธรรมชาติ ความสนใจ และความแตกต่างระหวา่ งบุคคล (1.6) พาไปสถานทีต่างๆ การพาเด็กไปในสถานทีต่างๆ เช่น พาไปเทียวตาม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ีสถานีรถไฟ พาไปเทียวชมสวนสัตว์ พาไปซ\"ือของดว้ ย การพาไปเทียวตามสถานทีต่างๆ ยอ่ มทาํ ให้ เด็กพบเห็นสิงแปลกๆ ใหม่ๆ ช่วยทาํ ให้มีความรู้ความคิดกวา้ งขวาง พอ่ แม่สามารถพูดถึงสิงทีเด็ก พบเห็นใหฟ้ ัง หรืออาจสอนใหเ้ ดก็ อ่านป้ายต่างๆ ไดด้ ว้ ย สิงเหล่าน\"ีจะทาํ ใหเ้ ด็กรู้สึกสนุกสนาน และ เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง จากการทีผูป้ กครองสอนให้อ่านป้ายต่างๆ ทีพบเห็น ทาํ ให้เด็ก มีความสุขและรักการอ่าน ซึงเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านทีดีทีสุดอยา่ งหนึง (1.7) หาสัตวเ์ ล\"ียงใหแ้ ก่บุตรหลาน การหาสัตวเ์ ล\"ียงใหแ้ ก่บุตรหลานอาจเป็ น แมว นก ปลา สุนขั หรือกระต่าย สัตวเ์ หล่าน\"ีจะช่วยให้เด็กรู้สึกสนุกสนาน และสนใจอยากทราบ เรืองราวเกียวกบั สัตวท์ ีตนไดม้ ีโอกาสเล\"ียงดู และเมือเด็กพูดถึงหรือไต่ถามพ่อแม่สามารถอธิบาย และแนะนาให้ดูรูปเกียวกบั สัตวน์ \"นั ๆ จากหนงั สือ หรืออ่านเรืองราวเกียวกบั สัตวน์ \"นั ให้เด็กฟัง ซึง การทีเด็กไดเ้ ห็นและได้ฟังไปพร้อมๆ กนั จะทาํ ให้เด็กเขา้ ใจ และสนุกสนานมากข\"ึน ทาํ ให้เด็กมี ความสุขและเป็นการสร้างเสริมนิสัยรักการอ่านทีดีใหก้ บั เดก็ ต่อไปในอนาคตดว้ ย กล่าวโดยสรุป เด็กควรจะได้รับการพฒั นานิสัยรักการอ่านจากครอบครัว เพราะเป็ นวยั ทีมีความอยากรู้อยากเห็นในสิงต่างๆ รอบตวั ความรู้และประสบการณ์ทีได้รับจะ ประทบั ใจอยใู่ นความทรงจาและจะติดตวั ไปจนกระทงั เติบโตเป็ นผูใ้ หญ่ ผูป้ กครองจึงมีส่วนสําคญั ทีจะช่วยใหเ้ ด็กเป็ นผูท้ ีมีความสนใจในการอ่าน รักการอ่าน โดยการจดั กิจกรรมต่างๆ เพือช่วยให้ เด็กไดพ้ บกบั หนงั สือหรือการอ่านใหม้ ากทีสุด โดยผูป้ กครองจะตอ้ งรับฟังและตอบสนองความคิด หรือคาพูดของเด็ก เพราะเด็กวยั น\"ีเป็ นวยั ทีเหมาะสมทีสุดทีจะไดร้ ับการเตรียมความพร้อมในการ อ่านและปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ให้มีนิสัยรักการอ่านและเป็ นนกั อ่านทีดีจนประสบความสําเร็จใน การพฒั นาการอ่านของตนเองในอนาคตต่อไป 41
(2) กิจกรรมทีโรงเรียน การจดั กิจกรรมเพือพฒั นานิสัยรักการอ่านทีโรงเรียนน\"นั สามารถทาํ ได้โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน ซึงเป็ นวิธีการทีจะช่วยให้นักเรียนมีความ สนุกสนานเพลิดเพลิน และเป็ นแรงจูงใจให้นักเรียนได้อ่านอย่างมีความสุข ในการจดั กิจกรรม ส่งเสริมการอ่านน\"นั มกั มีกิจกรรมทีคลา้ ยกนั หรือซ\"าํ กนั อาจสรุปประเภทของกิจกรรมส่งเสริมการ อา่ นไดด้ งั น\"ี (2.1) กิจกรรมส่งเสริมการอ่านเน้นทกั ษะการอ่านไดแ้ ก่ เล่านิทาน เชิดหุ่น Reading Rally ว่างจากงาน อ่านทุกคน แข่งขนั ตอบปัญหา ห้องสมุดเคลือนที ค่ายรักการอ่าน แข่งขนั ตอบคาถามในสารานุกรม ยอดนกั อ่าน เป็นตน้ (2.2) กิจกรรมส่งเสริมการอ่านทีเน้นการเผยแพร่ข่าวสาร ได้แก่ เสียงตาม สาย วนั สาํ คญั ยา่ นหนงั สือสู่ชุมชน แหล่งความรู้ในทอ้ งถิน นิทรรศการ เป็นตน้ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏธนบรุ ี(2.3) กิจกรรมส่งเสริมการอ่านทีเน้นการแก้ไขและพฒั นา ได้แก่ คลินิก หมอนอ้ ย พีช่วยนอ้ ง ใหค้ วามรู้การใชห้ อ้ งสมุด แข่งขนั เปิ ดพจนานุกรม เป็นตน้ (2.4) กิจกรรมส่งเสริมการอ่านทีเน้นพฒั นาทกั ษะอนั ต่อเนือง ได้แก่ หนู นอ้ ยนกั ล่า เล่าเรืองจากภาพ จากบทเพลงสู่งานเขียน โตว้ าที เรียงความยวุ ทูตความดี นอกจากกิจกรรมดงั กล่าว ยงั มีกิจกรรมอืนทีสามารถส่งเสริมใหเ้ กิดนิสัยรักการอ่าน โดยอ่านหนงั สือในช่วงเวลาว่าง ไม่นานก็จะพฒั นานิสัยให้เป็ นคนรักการอ่านในทีสุด (นวรัตน์ พวงนาค, 2555, หนา้ 13) 6. สาเหตุทที าํ ให้คนไทยขาดนิสัยรักการอ่าน ในปัจจุบนั คนไทยยงั ขาดนิสัยรักการอ่าน มีนกั วิชาการไดก้ ล่าวถึงสาเหตุทีทาํ ใหค้ น ไทยขาดนิสัยรักการอ่าน ไวด้ งั น\"ี ฉวีวรรณ คูหาภินนั ท์ (2527, หน้า 22) กล่าวถึง สาเหตุทีเด็กไม่รักการอ่าน โดยให้ เหตุผลวา่ (1) ผปู้ กครองไม่รักการอ่าน จึงไม่เห็นคุณค่าของการอ่านหรืออาจจะเนืองมาจาก เศรษฐกิจ แต่ก็มีขอ้ ขดั แยง้ วา่ ของบางอยา่ งซึงไม่สาํ คญั และไม่จาํ เป็ น ผูป้ กครองยงั ซ\"ือได้ เช่น เหลา้ บุหรี เป็นตน้ แต่ไม่อาจลงทุนซ\"ือหนงั สือใหเ้ ด็กได้ (2) ผูป้ กครองเห็นคุณค่าของอยา่ งอืนมากกวา่ เช่น ของเล่นราคาแพงๆ เป็ นตน้ แต่ไม่ซ\"ือหนงั สือใหก้ บั เดก็ (3) ผปู้ กครองไม่มีเวลาฝึกใหเ้ ดก็ รักการอ่านอาจเป็นเพราะข\"ีเกียจหรือไม่มีเวลา (4) โรงเรียนไม่มีห้องสมุดหรือมีแต่ไม่ดีไม่มีบรรณารักษ์ ครูใหญ่ ผูอ้ าํ นวยการ ไมส่ นบั สนุนหอ้ งสมุดแต่สนบั สนุนอยา่ งอืนมากกวา่ 42
(5) วิธีการสอนของครู มุ่งการอ่านแบบเรียนอยา่ งเดียว ครูไม่มีโอกาสสอนให้ นกั เรียนคน้ ควา้ ในหอ้ งสมุด มีกิจกรรมเกียวกบั การอ่าน (6) บรรณารักษไ์ ม่มีกิจกรรมสนบั สนุนแนะนาํ การอ่าน อาจจะเนืองจากตอ้ งไป สอนหนงั สือดว้ ยก็ไดห้ รือโรงเรียนไม่สนบั สนุนห้องสมุดใหซ้ \"ือหนงั สือใหม่ๆ และไม่มีชวั โมงให้ นกั เรียนมาใชห้ อ้ งสมุด (7) มีหนงั สือเด็กทีไม่มีคุณภาพออกมามาก เช่น เรืองผี เรืองหวาดเสียว เรืองไม่ สมเหตุสมผล รูปเล่มไม่ดี กระดาษไม่ดี รูปภาพไม่สวย ตวั พิมพไ์ ม่ชดั เจน ไม่ดึงดูดความสนใจเด็กก็ ไมอ่ ยากอา่ น (8) เน\"ือเรืองของหนงั สือสาํ หรับเด็กมีนอ้ ย มกั จะเป็ นพวกนิทานต่างๆ ซึงไดย้ ิน ไดฟ้ ังมาก่อน และเคยพิมพอ์ อกเป็นเล่มแลว้ ซ\"าํ ซากเป็นส่วนมาก มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบุรี(9) ขาดแหล่งซ\"ือ สําหรับเด็กชนบท ไม่มีร้านขายหนังสือ มีแต่เมืองใหญ่ๆ เท่าน\"นั เช่น เชียงใหม่ โคราช เป็นตน้ (10) ขาดห้องสมุดประชาชน ถึงมีห้องสมุดประชาชนก็มีหนงั สือทีไม่เหมาะกบั เด็ก สาํ หรับสาเหตุทีคนไทยไม่มีนิสัยรักการอ่าน สุขมุ เฉลยทรัพย์ (2531, หน้า 54) ได้ กล่าวไวด้ งั น\"ี (1) หนงั สือและเอกสารต่างๆ มีอยไู่ ม่เพียงพอกบั การคน้ ควา้ หาความรู้ (2) กิจกรรมการเรียนการสอนของครูไม่เอ\"ืออาํ นวยต่อการฝึ กนิสัยรักการอ่าน เช่น ไม่มีการส่งเสริมใหใ้ ชห้ อ้ งสมุด (3) หนงั สืออ่านสําหรับเด็กเป็ นเอกสารทีสําคญั ทีจะปลูกฝังนิสัยรักการอ่านยงั ไมส่ ามารถผลิตออกมาเพยี งพอกบั ความตอ้ งการของเดก็ และยงั มีราคาแพงอยู่ (4) พ\"ืนฐานการศึกษาของคนไทยทัวไปยงั อยู่เกณฑ์ตาํ ทาํ ใหไ้ มเ่ กิดนิสัยรัก การอ่าน (5) สถานทีสาํ หรับส่งเสริมการอ่านมีอยจู่ าํ นวนนอ้ ย (6) ผูผ้ ลิตหนงั สือยงั เล็งเห็นเรืองธุรกิจการคา้ ทาํ ให้ราคาหนงั สือสูง ผูม้ ีรายได้ นอ้ ยจึงไมส่ ามารถจดั หาใหล้ ูกหลานของตนอ่านได้ ศรีรัตน์ เจิงกลินจนั ทร์ (2536, หนา้ 47) ไดก้ ล่าวถึงสาเหตุทีทาํ ให้คนไทยขาดนิสัยรัก การอ่าน สรุปไดด้ งั น\"ี (1) ไม่เห็นความสาํ คญั ของการอ่าน (2) ปัญหาการอา่ น 43
(3) วสั ดุสาํ หรับการอ่าน (4) ขาดการกระตุน้ และส่งเสริมใหม้ ีนิสัยรักการอ่าน (5) ความบกพร่องทางร่างกาย (6) ความสามารถทางสมอง (7) ความพร้อมทีจะเรียนอ่าน (8) สภาพอารมณ์ (9) สภาพเศรษฐกิจ (10) อิทธิพลจากสืออืนๆ จากปัญหาการอ่านข้างตน้ สะทอ้ นได้ถึงปัจจยั ทีมีอิทธิพลต่อการอ่านซึงแบ่งเป็ น ปัจจยั ส่วนบุคคล เช่น ความพร้อมทางดา้ นร่างกาย จิตใจ ความรู้ ความสามารถดา้ นภาษา สติปัญญา มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบรุ ีปัจจยั ดา้ นจิตวิทยา เช่น ทศั นคติ แรงจูงใจทีมีผลต่อการอ่าน และปัจจยั ด้านสภาพแวดลอ้ มท\"งั ใน ครอบครัว โรงเรียน และชุมชนจะเห็นไดว้ ่าสาเหตุทีเด็กไทยไม่รักการอ่านน\"นั มีอยู่หลายประการ ผทู้ ีเกียวขอ้ งควรไดศ้ ึกษาและหาทางแกไ้ ขเพอื ส่งเสริมใหเ้ ด็กมีนิสัยรักการอ่านต่อไป 7. การปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน นิสัยรักการอ่านเป็ นสิงทีไม่สามารถเกิดข\"ึนเองได้ ผูท้ ีเกียวขอ้ งควรหาแนวทางใน การปลูกฝังจึงจะทาํ ใหน้ กั เรียนเกิดนิสยั รักการอ่านได้ นกั วิชาการหลายท่านไดแ้ สดงทศั นะเกียวกบั การปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ไวด้ งั น\"ี สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2536, หนา้ 42-43) ไดเ้ สนอแนะเกียวกบั หลกั การสอนและการปลูกฝังนิสัยในการอ่านไว้ ดงั น\"ี (1) ครูควรคาํ นึงถึงความพร้อมของนกั เรียน (2) ครูควรคาํ นึงถึงความสนใจในการอ่านและความแตกต่างในการอ่านของ นกั เรียน (3) ครูควรคาํ นึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล (4) ครูควรมุ่งส่งเสริมให้นักเรียนมีทศั นคติทีดี มองเห็นประโยชน์ทีไดร้ ับจาก การอ่าน (5) ครูควรคาํ นึงถึงสายตาของนักเรียนดว้ ย เพราะเป็ นปัจจยั ทีทาํ ให้การอ่านมี ประสิทธิภาพ (6) ครูควรคาํ นึงถึงบุคลิกภาพของนกั เรียนในขณะอ่านดว้ ย โดยเฉพาะท่านงั และ การจบั หนงั สือ 44
(7) ครูควรคาํ นึงถึงอตั ราเร็วในการอ่านของนักเรียนและจะต้องหมนั ฝึ กฝน นกั เรียนอยเู่ สมอ (8) ครูควรเพ่งเล็งถึงการจบั ใจความสําคญั ของขอ้ ความทีนกั เรียนอ่านและตอ้ ง ฝึกฝนใหน้ กั เรียนสามารถจบั ใจความสาํ คญั ไดถ้ ูกตอ้ ง (9) ครูควรส่งเสริมใหน้ กั เรียนรู้จกั จดบนั ทึกขอ้ ความสําคญั รู้จกั เก็บรวบรวมให้ เป็ นหมวดหมู่ (10) ครูควรส่งเสริมใหน้ กั เรียนเป็ นคนใชเ้ หตุผล ความคิด และวิจารณญาณ โดย จดั กิจกรรมเสริมใหแ้ ก่นกั เรียนขณะทีเรียนในช\"นั (11) ครูควรใชว้ ิธีสอนหลายๆ วธิ ี เช่น อภิปราย สอนรายบุคคล เพือให้การเรียน การสอนทกั ษะการอ่านน่าสนใจและมีประสิทธิภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบรุ ี(12) ครูควรส่งเสริมให้นกั เรียนรู้จกั อ่านหนงั สือหลายๆประเภทเพือนกั เรียนจะ ไดม้ ีประสบการณ์การอ่านอยา่ งกวา้ งขวาง (13) ครูควรส่งเสริมใหน้ กั เรียนรู้จกั คน้ ควา้ จากหอ้ งสมุด (14) ครูควรส่งเสริมใหน้ กั เรียนใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ดว้ ยการอ่าน ส่งเสริม ใหน้ กั เรียนอ่านแลว้ คิดอยา่ งมีเหตุผล มีวจิ ารณญาณ รู้จกั วเิ คราะห์เรืองราว (15) ครูควรส่งเสริมให้นกั เรียน แสวงหาความรู้จากการอ่านโดยการแนะนาํ ให้ นกั เรียนเขียนบทความ เรียงความ สารคดี (16) ครูควรปลูกฝังให้นกั เรียนมีรสนิยมทีดีในการอ่าน โดยการจดั หาหนังสือ เสนอรายชือหนงั สือ จดั นิทรรศการเกียวกบั หนงั สือ หรือจดั อภิปรายเกียวกบั หนงั สือ ศรีรัตน์ เจิงกลินจนั ทร์ (2536, หน้า 32) ได้แสดงทัศนะในการปลูกฝังนิสัยรัก การอ่าน สรุปได้ว่า นิสัยรักการอ่านไม่อาจเกิดข\"ึนเองโดยธรรมชาติ จาํ เป็ นจะตอ้ งสร้างข\"ึนมา การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านตอ้ งเริมตน้ ต\"งั แต่เด็กอายยุ งั นอ้ ยๆ โดยการเตรียมความพร้อมดา้ นต่างๆ และความพร้อมในการอ่านให้แก่เด็กเสียก่อน พร้อมกบั การจดั กิจกรรมทีทาํ ให้เด็กมีความสนใจ กระหายใคร่อ่าน และเมือเด็กพร้อมทีจะเรียนอ่านจึงสอนอ่านจนสามารถอ่านเองได้ หลงั จากทีเด็ก สามารถอ่านหนงั สือเองได้ ผทู้ ีเกียวขอ้ งกบั การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านจะตอ้ งดูแลเอาใจใส่ส่งเสริม สนบั สนุนทุกวิถีทางอยา่ งสมาํ เสมอ เพือใหเ้ ดก็ สนใจการอ่านมากยิงๆข\"ึน และเมือพบสิงกีดขวา ความสามารถและความสนใจการอ่านของเด็กจะตอ้ งกาํ จดั ใหห้ มดไปพร้อมกบั ให้กาํ ลงั ใจจนนิสัย รักการอ่านเกิดข\"ึนแก่เด็ก หลงั จากเด็กไดผ้ ลเป็นทีพอใจแลว้ ควรจะสนบั สนุนรักษานิสัยรักการอ่าน ใหค้ งอยใู่ นนิสัยของคนตลอดไป 45
การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านตามที ขวญั ดี อตั วาวุฒิชยั และคณะ (2539, หน้า 61) อธิบายไวว้ ่า จาํ เป็ นต้องทาํ กนั ต\"งั แต่ยงั เด็ก โดยผูป้ กครอง ผูใ้ หญ่ในบา้ น ครู-อาจารย์ ตลอดจน สือมวลชนต่างๆช่วยกนั ส่งเสริม เมือเจริญวยั ข\"ึนแลว้ ก็ยงั ตอ้ งพยายามรักษานิสัยทีดีน\"ีไว้ เพือจะได้ เป็นนกั อ่านทีมีความสามารถต่อไป ในวยั แรกเริมอ่าน ผูใ้ หญ่อาจเร้าความสนใจเรืองราวในหนงั สือดว้ ยภาพ เล่าเรือง ประกอบภาพอ่านนิทานแลว้ นาํ มาเล่า ชวนสนทนาถึงหนงั สือเล่มหนึงเล่มใด สิงเหล่าน\"ีจะช่วยเด็ก ให้สนุกทีจะไดช้ มภาพ ไดฟ้ ังเรืองเล่า ได้สนทนากนั ถึงเรืองทีได้อ่านแลว้ และการกระตุน้ ให้เกิด ความรู้สึกปรารถนาทีจะอ่านหนงั สือต่อไป นอกจากน\"นั ในระยะแรกควรอ่านหนงั สือทีเหมาะกบั วยั และรสนิยมของตนเอง เพือจะไดเ้ กิดความรู้สึกรักและพอใจทีจะอ่านหนงั สือทีชอบเสียก่อน แลว้ ค่อยขยายวงกวา้ งออกไปอา่ นหนงั สือประเภทอืนๆ ดว้ ย มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบุรีศิริอร อินทร์ตลาดชุม (2545, หนา้ 67) ไดใ้ ห้ขอ้ เสนอเกียวกบั บทบาทของครูกบั การ ส่งเสริมการอ่านไวด้ งั น\"ี (1) การจดั ต\"งั ชมรมหรือชุมชนนักอ่าน โดยรับสมัครสมาชิกทีสนใจเข้าร่วม กิจกรรม (2) รณรงค์ส่ งเสริ มการอ่าน ด้วยการจัดให้ครู จัดหานิ ทานเรื องส\"ันๆ หนงั สือพิมพท์ ีตีพิมพบ์ ทละคร โทรทศั น์ซึงกาํ ลงั อยใู่ นความนิยมของเด็กๆ ก็จะช่วยไดม้ าก เพราะ เป็นการกระตุน้ ใหอ้ ยากอ่าน (3) การใชน้ าฏกการประกอบการสอน ตามปกตินกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษาจะมี ความสามารถในงานประดิษฐแ์ ละกิจกรรมการแสดง มีความคิดสร้างสรรค์ มีพลงั และจินตนาการ (4) การจดั นิทรรศการหนังสือหรือการปริทศั น์หนงั สือ จะมีคุณค่าให้นกั เรียน สนใจการอ่าน อยากอ่านหนงั สือ หรือทราบความเคลือนไหวต่างๆ ในวงการหนงั สือ (5) หมวดวชิ าหอ้ งสมุดและมุมหนงั สือของหมวดวชิ า (6) ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างหนังสือเพือส่งเสริมการอ่าน โดยอาจให้ศึกษา คน้ ควา้ แลว้ จดั ทาํ เป็นรายงานวชิ าการ เช่น เรืองภูมิปัญญาทอ้ งถิน สิงแวดลอ้ ม สารคดีทอ่ งเทียว (7) การจดั กิจกรรมประกวดการอ่าน ท\"งั การอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ (8) การจดั กิจกรรมทศั นศึกษา (9) การจดั ค่ายเยาวชนเพือการอ่าน ไพพรรณ อินทนิล (2546, หน้า 70) ได้ช\"ีแจงว่า ในการส่งเสริมให้เด็กมีนิสัยรัก การอ่านน\"นั เมือเด็กอ่านหนังสือออกแลว้ ควรจะมีข\"นั ตอนการส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนืองไป 46
เพือให้เด็กมีนิสัยรักการอ่านตลอดชีวิต ผูท้ ีมีบทบาทในการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ไดแ้ ก่ พ่อแม่ ผปู้ กครอง ครู บรรณารักษ์ ซึงไดบ้ อกกล่าวข\"นั ตอนการส่งเสริมโดยรวมๆ ดงั น\"ี ข\"นั ตอนที 1 มุ่งมนั ต\"งั ใจ ข\"นั ตอนน\"ีเป็ นข\"นั เตรียมการ เป็ นข\"นั ตอนทีเริมต\"งั แต่ก่อนที จะมีผูท้ ีเราจะตอ้ งส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้ นนั คือความต\"งั ใจทีจะเป็ นพ่อแม่ทีดี เป็ นครูทีดี และ เป็นบรรณารักษท์ ีขยนั ขนั แขง็ วธิ ีการปฏิบตั ิทีเป็นรูปธรรม คือ องคป์ ระกอบของการเป็นครูและเป็นบรรณารักษท์ ีดี (1) ศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ให้สาํ เร็จ และต\"งั ใจเตรียมใจทีจะนาํ ความรู้ทีดีไปใช้ ใหเ้ ป็นประโยชน์ (2) สร้างสรรคก์ ิจกรรมเพมิ พนู ความรู้ ความรักการอ่าน (3) มีความขยนั มีความต่อเนือง ไมท่ อ้ แท้ มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบุรีข\"นั ตอนที 2 เตรียมลูกให้อ่านหนงั สือ ข\"นั ตอนน\"ีเป็นข\"นั ตอนของผูท้ ีเป็นพ่อเป็นแม่ เวลาทีเหมาะทีสุดคือเวลาฝึกหดั นงั กระโถนในตอนเชา้ ทีจะพูดอธิบายรูปภาพในหนงั สือใหเ้ ด็กฟัง ข\"นั ตอนที 3 สถานทีอ่านหนังสือ สําหรับครู ทาํ มุมอ่านหนังสือไวใ้ นห้องเรียน บรรณารักษท์ าํ ทีอ่านหนงั สือสาํ หรับเดก็ ใหม้ ีบรรยากาศสวยงามสบายๆ เหมือนอยบู่ า้ น ใหส้ ามารถ นอนอา่ นได้ ทาํ ใหเ้ ดก็ ไม่เคร่งเครียด ข\"นั ตอนที 4 ซ\"ือหนงั สือสมาํ เสมอ บรรณารักษค์ วรซ\"ือหนงั สือใหมส่ มาํ เสมอ เพือ กระตุน้ ความสนใจของเดก็ ข\"นั ตอนที 5 อธิบายความรู้ บรรณารักษค์ วรนาํ สิงทีเห็นวา่ น่าสนใจมาจดั แสดงพร้อม คาํ อธิบาย เช่น มะเขือพนั ธุ์ต่างๆ ซึงมีรูปร่างแปลกๆ สีสันต่างๆ การทาํ เช่นน\"ีเป็ นการกระตุน้ ใหเ้ ด็ก เป็นคนใฝ่ รู้ ข\"นั ตอนที 6 ทบทวนสานฝัน ครูและบรรณารักษอ์ าจจะคดั เลือกรูปภาพจากหนงั สือ ต่างๆมาถ่ายเอกสาร มาติดไวใ้ หเ้ ดก็ เขียนคาํ บรรยายสนุกๆ แลว้ นาํ มาอ่านกนั หรือให้เด็กทายวา่ เป็ น ภาพจากหนงั สืออะไร แข่งขนั กนั ทาํ ใหเ้ ดก็ สนุกทีจะหยบิ หนงั สือมาเปิ ดอ่าน ข\"นั ตอนที 7 ใหร้ างวลั เป็ นหนงั สือ พอ่ แม่ ครู และบรรณารักษ์ ควรให้รางวลั เด็กๆ เป็นหนงั สือดีกวา่ ขนม เช่น วนั เกิด รางวลั ชนะการประกวด รางวลั เรียนดี ฯลฯ ทาํ ใหเ้ ด็กรักหนงั สือ รักการอ่าน สรุปได้ว่า “นิสัยรักการอ่าน ไม่ใช่พนั ธุกรรม ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เกิดจากการ ปลูกฝัง” โลกของการอ่านกาํ ลงั เปลียนแปลงคร\"ังสําคญั ท\"งั ในรูปลกั ษณ์ของสิงทีอ่าน รสนิยมของ คนอ่าน เทคโนโลยที ีเกียวกบั สิงพิมพ์ รวมไปถึงขนาดของสิงพิมพ์ แต่ไม่วา่ จะมีการเปลียนแปลง อยา่ งไร การอ่านก็ยงั มีความสาํ คญั อยา่ งไม่มีวนั ลดเลือนหายไปอยา่ งแน่นอน ด\"งั น\"นั การปลูกฝังนิสัย 47
รักการอ่านน\"ันมีอยู่หลายวิธีทีสามารถนํามาปรับใช้ให้เหมาะกบั เด็กเพือพฒั นานิสัยรักการอ่าน ต่อไป 8. การสร้างนิสัยในการอ่าน การสร้างเสริมนิสัยรักการอ่านเป็ นหน้าทีของทุกคนโดยทุกคนตอ้ งพยายามฝึ กตน เป็ นนักอ่านทีดีและช่วยสนับสนุนส่งเสริมชักชวนให้ผูอ้ ่านเห็นความสําคญั ของการอ่านให้เกิด ความเพลิดเพลินในการอ่าน (กรมวิชาการ, 2529, หนา้ 11) แต่นิสัยรักการอ่านของคนแต่ละชาติมี ความแตกตา่ งกนั มากหากจะสังเกตการณ์อ่านของคนในยโุ รปและอเมริกาแลว้ เห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ คนยุโรปและอเมริกาอ่านหนงั สือมากกวา่ คนเอเชียโดยเฉพาะเมือนาํ มาเปรียบเทียบกบั คนไทยแลว้ จะเห็นไดช้ ดั เจนมากคือคนยโุ รปหรืออเมริกาไม่วา่ จะเดินทางไปพกั ผอ่ นทีใดมกั จะนาํ หนงั สือติดตวั ไปดว้ ยส่วนคนไทยน\"ันมกั จะใช้เวลาไปกบั การรับประทานอาหาร เจริญผล สุวรรณโชติ (2542, มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบรุ ีหนา้ 1) ซึงในเรืองน\"ี สุขมุ เฉลยทรัพย์ (2531, หนา้ 195-196) ไดอ้ ธิบายถึงสาเหตุทีคนไทยไม่มีนิสัย รักการอ่านมีสาเหตุดงั ต่อไปน\"ี (1) หนงั สือตาํ ราและเอกสารต่างๆมีอยู่ไม่เพียงพอกบั การคน้ ควา้ หาความรู้เด็ก ถูกบงั คบั ใหอ้ ่านหนงั สือเพยี งเล่มเดียวคือหนงั สือเรียนเช่นสมยั ก่อนอ่าน \"หนงั สือนิทานอีสป\" เรือง เดียวหรือแมก้ ารซ\"ือหามาอ่านเองก็มีราคาแพงเกินกาํ ลงั ซ\"ือของประชาชนทีอยใู่ นระดบั เศรษฐกิจตาํ และในระดบั กลาง (2) กิจกรรมการเรียนการสอนของครูไม่เอ\"ืออาํ นวยต่อการฝึ กนิสัยในการอ่าน เช่นไม่มีการส่งเสริมใหใ้ ชห้ อ้ งสมุดเมือจบการศึกษาภาคบงั คบั ไปแลว้ จึงไม่มีนิสัยทีจะศึกษาคน้ ควา้ จากหอ้ งสมุดประชาชนหรือแหล่งคน้ ควา้ อืนๆ (3) หนงั สืออ่านสาํ หรับเด็กเป็ นเอกสารทีสาํ คญั ทีจะปลูกฝังเด็กใหม้ ีนิสัยรักการ อ่านยงั ไม่สามารถผลิตออกมาเพียงพอกบั ความตอ้ งการของเด็กเท่าทีควรจะมีในโลกบรรณพิภพ และยงั มีราคาแพงอยูเ่ ป็ นอนั มากเด็กทีมาจากครอบครัวระดบั ตาํ และระดบั กลางไม่สามารถทีจะซ\"ือ หามาอา่ นได้ (4) พ\"ืนฐานการศึกษาของคนไทยทัวไปยังอยู่ในเกณฑ์ตําคืออยูใ่ นระดบั ประถมศึกษาเป็นส่วนใหญ่การรักการอ่านจึงยงั ไม่เกิดข\"ึน (5) สถานทีสาํ หรับการส่งเสริมการอ่านมีอยูจ่ าํ นวนนอ้ ยเช่นห้องสมุดประชาชน ทีเริมดาํ เนินการมาต\"งั แต่ พ.ศ. 2459 ยงั มีอยทู่ วั ประเทศประมาณ 300 แห่งต่อประชากร 50 ลา้ นคน หอ้ งสมุดประชาชนจึงไม่มีทีท่าวา่ จะเพยี งพอกบั คนอ่าน 48
(6) ผูผ้ ลิตหนงั สือยงั เล็งเห็นเรืองของธุรกิจการคา้ ขายหนงั สือและไม่กลา้ ทีจะ ลงทุนสูงทีจะผลิตหนงั สือเด็กจึงให้ราคาหนงั สือเด็กยงั คงมีตน้ ทุนสูงผูม้ ีรายไดน้ อ้ ยจึงไม่สามารถ จดั หาใหล้ ูกหลานของตนได้ จากสาเหตุ 6 ประการเห็นไดว้ า่ การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านเป็ นสิงทีควรกระทาํ และ ทาํ ไดอ้ ยา่ งมีข\"นั ตอนโดยเริมตน้ จากทางบา้ นซึงมีพ่อแม่ผปู้ กครองตอ้ งเป็ นตวั อยา่ งทีดีแก่เด็กมีความ สนใจในการอ่านอยูเ่ สมอจดั หาหนงั สือทีเหมาะสมกบั เด็กมาไวใ้ นบา้ นพยายามสนทนากบั เด็กใน เรืองทีเขาอ่านสอนและกระตุน้ ให้สมาชิกในบา้ นรู้จกั หาคาํ ตอบและแกป้ ัญหาจากหนงั สือหรือให้ หนงั สือเป็นของขวญั แก่สมาชิกในครอบครัวเป็นตน้ (กรมวชิ าการ, 2529, หนา้ 11) นอกจากน\"ีสถาบนั ทีจะช่วยเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านคือโรงเรียนซึงโรงเรียนจะเป็ น สถาบนั ทีสองรองจากสถาบนั ครอบครัวทีมีอิทธิพลต่อการเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กและ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบุรียงั มีสถาบนั อืนๆเช่นองคก์ ารและสมาคมต่างๆ ทีจดั ต\"งั ข\"ึนมาเพือส่งเสริมการอ่านโดยเฉพาะเป็นอนั มากแมว้ ่าการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านแก่เด็กจะตอ้ งใช้ระยะเวลาก็จริงแต่ไดผ้ ลคุม้ ค่าเพราะพ่อแม่ ผูป้ กครองตลอดจนครูผูส้ อนจะมิไดส้ อนลูกหลานหรือลูกศิษยไ์ ปตลอดชีวิตในอนาคตเมือเด็กโต ข\"ึนจะตอ้ งพบกบั เหตุการณ์และปัญหาต่างๆถา้ เด็กมีนิสัยรักการอ่านก็อาจหาทางแกป้ ัญหาโดยอาศยั หนงั สือเป็นเครืองมือได้ (จุฑามาศ สุวรรณโครธ, 2519, หนา้ 30) 9. วธิ ีการส่งเสริมการอ่านในโรงเรียน วิธี การทีจะส่ งเสริ มให้เด็กมีนิ สัยรักการอ่านมีหลายวิธี ด้วยกันแต่วิธี หนึ งทีทาง หอ้ งสมุดทาํ ไดค้ ือการจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านข\"ึนภายในหอ้ งสมุดในเรืองน\"ีไดผ้ ูท้ ีใหค้ วามหมาย ของกิจกรรมเสริมการอ่านไวด้ งั ต่อไปน\"ี แมน้ มาส ชวลิต (2529, หนา้ 218) อธิบายวา่ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านคือการกระทาํ ต่างๆเพือให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจในการอ่านพยายามพฒั นาการอ่านของตนจนถึงระดบั อ่านเป็ นและอ่านจนเป็ นนิสัยส่วน อกั ษร รุ่งมณี (2520, หนา้ 51) ให้ความเห็นวา่ กิจกรรมส่งเสริม การอ่านหมายถึงสภาพการเรียนรู้ทีเด็กไดใ้ ชท้ \"งั ร่างกายและสมองในการประกอบกิจกรรมเกียวกบั การอ่านเช่นการเล่านิทานการอ่านนิทานการแสดงละครเป็ นตน้ เพือส่งเสริมใหเ้ ด็กมีพฒั นาการใน การอ่านท\"งั ทางดา้ นความเขา้ ใจในการอ่านและทศั นคติทีดีต่อการอ่าน จากคาํ นิยามขา้ งตน้ พอสรุปได้ว่ากิจกรรมส่งเสริมการอ่านคือการกระทาํ ทีจดั ข\"ึน กระตุน้ และชกั จูงใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมกิจกรรมเกิดความสนใจในการอา่ นซึงจะมีผลไปถึงการพฒั นาการอ่าน ในดา้ นต่างๆ การจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านถือว่าเป็ นหน้าทีโดยตรงของบรรณารักษ์ จินดา จาํ เริญ (2530, หนา้ 29) ไดก้ ล่าวถึงความมุ่งหมายของการจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านไวด้ งั น\"ี 49
(1) เพือให้เด็กรักการอ่านหนงั สือและเป็ นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านหนังสือ ใหแ้ ก่เดก็ (2) เพือให้เด็กรู้จกั เสาะแสวงหาความรู้และความเพลิดเพลินตามความตอ้ งการ และความสนใจของตนเองในยามวา่ ง (3) เพือให้เด็กรู้จกั การศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ด้วยตนเองเมือเติบโตเป็ นผูใ้ หญ่ การทีหอ้ งสมุดจะจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านอยา่ งไรน\"นั ข\"ึนอยกู่ บั ความตอ้ งการของหอ้ งสมุดโดยมี ครูบรรณารักษเ์ ป็นผดู้ าํ เนินการตลอดจนดูแลรับผดิ ชอบในกิจกรรมน\"นั ๆ ให้เป็ นไปตามจุดมุ่งหมาย ทีต\"งั ไว้ วาณี ฐาปนวงศศ์ านต์ (2521, หนา้ 7-8) และธาดาศกั ดoิ วชิรปรีชาพงษ์ (2520, หนา้ 19) ไดก้ ล่าวไวค้ ลา้ ยคลึงกนั วา่ ในการจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านครูบรรณารักษจ์ ะตอ้ งคาํ นึงถึง มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบุรี(1) วตั ถุประสงค์ในการจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านมีหลายชนิดผูจ้ ดั ควรมี วตั ถุประสงค์ในการจดั กิจกรรมว่าเพือมุ่งหวงั อะไรเช่นเพือให้รักการอ่านเพือให้ใชห้ ้องสมุดเป็ น หรือเพือใหร้ ู้จกั วิธีการศึกษาคน้ ควา้ ฉะน\"นั จึงจาํ เป็ นอยา่ งยิงทีบรรณารักษจ์ ะตอ้ งวางจุดมุ่งหมายใน การจดั กิจกรรมทุกคร\"ัง (2) จดั เพือใครในทีน\"ีหมายถึงผูท้ ีจะไดร้ ับประโยชน์จากกิจกรรมน\"ันๆ ถ้าเป็ น หอ้ งสมุดโรงเรียนนกั เรียนจะเป็ นผูไ้ ดร้ ับผลในการจดั กิจกรรมแทบทุกชนิดส่วนทีผูส้ อนไดร้ ับน\"นั เป็ นผลพลอยได้ (3) จดั อะไรเมือกาํ หนดวตั ถุประสงค์และทราบว่าผูท้ ีเขา้ ร่วมกิจกรรมเป็ นใคร แล้วบรรณารักษ์จะต้องพิจารณาทนั ทีว่าควรจดั กิจกรรมประเภทใดจึงจะเหมาะสมดีทีสุดเช่น กิจกรรมทีชวนใหส้ นใจหนงั สือหรือทายปัญหา (4) การเตรียมตวั เป็ นสิงทีสําคญั ทีสุดทีจะตอ้ งมีการจดั เตรียมวางแผนการจดั อยา่ งรอบคอบเพือใหเ้ กิดผลสําเร็จถา้ บรรณารักษข์ าดการเตรียมตวั ในการจดั กิจกรรมก็จะเสียเวลา และแรงงานทาํ ใหผ้ ลทีออกมาไม่น่าพอใจ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านทีจดั ข\"ึนในห้องสมุดมีหลายแบบ แมน้ มาส ชวลิต (2529, หนา้ 223-224) ไดร้ วมกลุ่มของกิจกรรมตามลกั ษณะกิจกรรมดึงดูดความสนใจโดยทางประสาท สัมผสั อยา่ งใดอยา่ งหนึงหรือหลายอยา่ งรวมกนั ไว้ 4 ประเภทคือ (1) กิจกรรมซึงเร้าโสตประสาทหมายถึงกิจกรรมทีใช้เสียงและคาํ พูดเป็ นหลกั กิจกรรมประเภทน\"ีไดแ้ ก่การเล่านิทานให้ฟังการเล่าเรืองหนงั สือการอ่านหนงั สือให้ฟังการแนะนาํ หนงั สือดว้ ยปากเปล่าการบรรยายการอภิปรายการโตว้ าทีทีเกียวกบั หนงั สือการบรรเลงดนตรีและ การร้องเพลงจากบทละครร้องกิจกรรมประเภทน\"ีทาํ ใหเ้ กิดความเพลิดเพลิน 50
(2) กิจกรรมทีเร้าจกั ษุประสาทหมายถึงกิจกรรมทีชวนให้ดูเพ่งพินิจและอ่าน ความหมายของสิงทีเห็นกิจกรรมประเภทน\"ีไดแ้ ก่การจดั แสดงภาพชนิดต่างๆ การจดั นิทรรศการ หนงั สือและสิงของโดยมีคาํ บรรยายอธิบายสิงทีแสดงกิจกรรมประเภทน\"ีมุ่งให้ผูช้ มใช้สมาชิกใน การชม (3) กิจกรรมซึงเร้าโสตและจกั ษุประสาทในขณะเดียวกนั เป็ นกิจกรรมซึงชวนให้ ฟังและดูไปพร้อมๆ กันประสานประสาทท\"ังสองให้ทํางานร่วมกันเช่นเล่านิทานโดยให้ดู ภาพประกอบซึงจดั เตรียมไวโ้ ดยเฉพาะเล่านิทานและให้ดูภาพประกอบในหนงั สือเล่านิทานโดยใช้ ทศั นวสั ดุประกอบฉากภาพนิงซึงมีคาํ บรรยาย (4) กิจกรรมซึงให้ผูเ้ ป็ นเป้าหมายได้ร่วมกนั กิจกรรมทาํ นองน\"ีช่วยให้ผูเ้ ป็ น เป้าหมายเกิดความสนุกและภาคภูมิใจรู้สึกวา่ ตนเองมีความสามารถเช่นเมือเล่านิทานแลว้ ก็ใหผ้ ูฟ้ ัง มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบรุ ีวาดภาพประกอบใหแ้ สดงท่าทางประกอบใหร้ ้องเพลงตามตวั ละครในนิทานทีแข่งขนั เล่าเรืองทีได้ ฟังไปแลว้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขAันพืนA ฐานเกยี วกบั การส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน 1. การจดั การเรียนรู้ตามหลกั สูตรการศึกษาข\"นั พ\"นื ฐาน พ.ศ. 2544 ทีเกียวกบั การอา่ น สาํ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข\"นั พ\"ืนฐาน (2552) ไดน้ าํ เสนอขอ้ มูล การจดั การ เรียนรู้ตามหลกั สูตรการศึกษาข\"นั พ\"ืนฐาน พุทธศกั ราช 2544 มาตรา 23 ไดน้ าํ พระราชบญั ญตั ิ การศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 มาใชใ้ นการจดั การศึกษา ไดก้ ล่าวไวด้ งั น\"ี มาตรา 23 การจดั การศึกษาตอ้ งเนน้ ความสําคญั ท\"งั ความรู้ คุณธรรม กระบวนการ เรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดบั การศึกษา จดั กิจกรรมให้ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้ ขากประสบการณ์จริง ฝึ กการปฏิบตั ิให้ทาํ ได้ คิดได้ ทาํ เป็ น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่ รู้อย่าง ต่อเนือง ผสมผสานความรู้สาระดา้ นต่างๆอยา่ งไดส้ ดั ส่วนสมดุลกนั 2. นโยบายการส่งเสริมนิสยั รักการอ่าน สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข\"นั พ\"ืนฐาน (2549) ไดน้ าํ เสนอขอ้ มูลเกียวกบั นโยบายการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านไวว้ า่ การอ่านเป็ นวฒั นธรรมในการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ ปัจจุบนั สังคมโลกเป็ นสังคมแห่งการเรียนรู้และแข่งขนั การอ่านจึงเป็ นวิธีทีช่วยให้มนุษยไ์ ดร้ ับ ความรู้ ขอ้ มูลข่าวสาร และแนวคิดใหม่ๆ อนั จะพฒั นาตนเอง และรู้จกั ปรับตวั ให้อยู่ในสังคมได้ อยา่ งมีความสุข ใชก้ ารอ่านเป็ นวิถีแห่งการเรียนรู้ ซึงจะเป็ นการสร้างสรรคส์ ังคมไทยใหเ้ ป็ นสังคม แห่งการเรียนรู้ จึงกาํ หนดนโยบายเพอื พฒั นานิสยั รักการอ่านไว้ ดงั น\"ี 51
นโยบายที 1 สร้างจิตสาํ นึก และแรงจูงใจใหน้ กั เรียน ครู ผูบ้ ริหาร สถานศึกษา และ บุคลากรทางการศึกษา เห็นความสาํ คญั ของการอ่าน นโยบายที 2 ส่งเสริมและสนบั สนุนใหม้ ีการจดั กิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ท\"งั ในระดบั เขตพ\"นื ทีการศึกษา และในโรงเรียนอยา่ งต่อเนือง หลากหลายและสมาํ เสมอ นโยบายที 3 ส่งเสริมและสนบั สนุนใหห้ อ้ งสมุดเป็นแหล่งเรียนรู้ทีมีคุณภาพ นโยบายที 4 ส่งเสริมและสนบั สนุนให้ใช้การอ่านในกระบวนการเรียนรู้ทุกกลุ่ม สาระการเรียนรู้ และทุกระดบั ช\"นั 3. มาตรการการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข\"นั พ\"ืนฐาน (2549) ไดน้ าํ เสนอขอ้ มูลเกียวกบั มาตรการการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านไวว้ ่า เพือให้บรรลุตามนโยบายส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏธนบรุ ีสาํ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข\"นั พ\"ืนฐาน จึงกาํ หนดมาตรการสําคญั เพือให้สาํ นกั งานเขตพ\"ืนที การศึกษา โรงเรียน และหน่วยงานทีเกียวขอ้ งนาํ ไปเป็ นแนวทางในการดาํ เนินการอย่างต่อเนือง ดงั น\"ี มาตรการที 1 สร้างความตระหนกั ให้นกั เรียน ครู บริหาร สถานศึกษา และบุคลากร ทางการศึกษาเห็นความสาํ คญั ของการอ่าน มาตรการที 2 กระตุน้ และปลูกฝังใหน้ กั เรียน ครู ผูบ้ ริหาร สถานศึกษา และบุคลากร ทางการศึกษาอ่านอยา่ งต่อเนือง มาตรการที 3 จดั สถานทีสภาพแวดลอ้ ม และบรรยากาศใหเ้ อ\"ือต่อการอ่าน มาตรการที 4 ประสานความร่วมมือในทุกภาคส่วนใหม้ ีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริม นิสยั รักการอ่าน มาตรการที 5 กาํ หนดแผนกิจกรรมการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านไวใ้ นแผนปฏิบตั ิการ ประจาํ ปี มาตรการที 6 จดั กิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านในระดบั เขตพ\"ืนทีการศึกษา และ ระดบั โรงเรียนอยา่ งต่อเนือง หลากหลายและสมาํ เสมอ มาตรการที 7 พฒั นาบุคลากรใหม้ ีความรู้และทกั ษะในการบริหารจดั การหอ้ งสมุดที มีคุณภาพ มาตรการที 8 พฒั นาหอ้ งสมุดใหเ้ ป็นหอ้ งสมุดมีชีวติ มาตรการที 9 ปรับแนวคิด ใหค้ วามรู้ และพฒั นาทกั ษะการจดั การเรียนการสอนที เนน้ ความสาํ คญั ของการอ่าน 52
มาตรการที 10 บูรณาการการอ่านในการจดั การเรียนการสอน การวดั และประเมินทุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ และทุกระดบั ช\"นั ความเข้าใจในการอ่าน ความเข้าใจในการอ่านตามแนวคิด ของนักการศึกษาทางด้านจิตวิทยา และด้าน ภาษาศาสตร์ใหค้ วามหมายเกียวกบั ความเขา้ ใจในการอ่านไวด้ งั น\"ี ธงชยั พรหมปก (2540, หน้า 40) อธิบายว่า ความเขา้ ใจในการอ่าน คือ ความสามารถ แปลสัญลักษณ์ของตวั หนังสือเป็ นความคิดได้ ผูอ้ ่านทาความเขา้ ใจหนังสือในรูปของความคิด ตลอดเวลาทีอ่านในความหมายของเขาเอง มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบุรีกรมวชิ าการ (2540, หนา้ 1) อธิบายวา่ ความเขา้ ใจในการอา่ นคือ การอ่านออกเสียง อ่าน จบั ใจความ เพอื ใหเ้ ขา้ ใจสามารถสือสารดว้ ยการฟัง พูด อ่าน และเขียนไดอ้ ยา่ งชดั เจน Strang (1969, p. 4 อา้ งถึงใน พรเพญ็ พุ่มสะอาด, 2543, หนา้ 8) อธิบายวา่ ความเขา้ ใจ ในการอ่านเป็นความสามารถในการจบั ใจความสาํ คญั และรายละเอียดปลีกยอ่ ยได้ ผูท้ ีมีความเขา้ ใจ ในการอ่านจะสามารถย่อใจความสําคญั หรือสรุปโครงเรืองของสิงทีอ่าน หรือสามารถเข้าใจ ความสมั พนั ธ์ต่างๆ ของสิงทีอ่านได้ สรุปไดว้ า่ ผูท้ ีมีความสามารถในการทีจะเขา้ ใจในสิงทีตนไดอ้ ่านน\"นั ตอ้ งมีพฤติกรรมที แสดงออกหลายประการ ไดแ้ ก่ การจบั ใจความ สามารถยอ่ ใจความสําคญั หรือสรุปโครงเรืองของ สิงทีอา่ น และผสมผสานความรู้ ความคิดใหม่ใหเ้ ขา้ กบั ความรู้เดิม และสามารถสรุปและประเมินค่า ในสิงทีอา่ นได้ 1. องค์ประกอบของความเข้าใจในการอ่าน มีนกั การศึกษาไดก้ ล่าวถึงองคป์ ระกอบของความเขา้ ใจในการอ่านไวด้ งั น\"ี Adams and Bruce (1980, p. 37) และ Wittrock (1981, p. 230) มีความเห็นสอดคลอ้ ง กนั ว่าพ\"ืนความรู้เดิม (schema) เป็ นองค์ประกอบทีสําคญั ต่อการอ่านเพือความเขา้ ใจ ถ้าผูอ้ ่านมี ความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิมเกียวกบั สิงทีอ่านมาบา้ งแลว้ จะเกิดการประสานความรู้เชือมโยง ระหวา่ งพ\"นื ความรู้เดิมกบั สิงทีอา่ น ทาํ ใหเ้ ขา้ ใจเรืองทีอ่านไดง้ ่ายและรวดเร็วยงิ ข\"ึน Finocchiaro and Brumfit (1983, p. 144) ให้ทศั นะวา่ องคป์ ระกอบทีสําคญั ทีส่งผล ต่อการอ่านเพอื ความเขา้ ใจ ไดแ้ ก่ ความสามารถในการเดาหรือคาดคะเนความหมาย ความรู้ ในเรือง โครงสร้างทางภาษา ความรู้และความคุน้ เคยดา้ นคาํ ศพั ทแ์ ละวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา ความรู้ใน เรืองกลวธิ ีในการอ่านแบบต่างๆและพฒั นาการดา้ นอตั ราเร็วในการอ่าน 53
สุนนั ทา มนั เศรษฐวทิ ย์ (2540, หนา้ 98) กล่าวถึงองคป์ ระกอบของการอ่านทีสําคญั มี 3 ประการ ซึงสรุปไดค้ ือประการแรก คือ สารทีใช้อ่านควรมีความยากง่ายเหมาะสมกบั วยั และ ความสามารถในการอ่านของผูอ้ ่านในระดบั ช\"นั เรียนน\"นั ๆ นอกจากน\"นั เรืองของสารทีใชอ้ ่านควรมี เน\"ือหาตรงกบั ความสนใจของนกั เรียนดว้ ย ประการทีสอง ครูควรคาํ นึงถึงความพร้อมในการอ่าน ของผูอ้ ่านท\"งั ในดา้ นร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และประสบการณ์ทางภาษาทีไดร้ ับจากทาง บา้ นและทางโรงเรียนท\"งั ดา้ นการฟัง การพดู การอ่าน การเขียน และการเห็นดว้ ยตา ประการสุดทา้ ย กระบวนการในการอ่านซึงเกียวขอ้ งกบั ข\"นั ตอนการอ่านเริมต\"งั แต่ท่าทางในการอ่าน การจดั หนงั สือ การวางระยะห่างระหวา่ งสายตากบั ตวั อกั ษร การเคลือนตา การกวาดสายตา โดยสมองจะทาํ หนา้ ที รับรู้ และแปลสัญลกั ษณ์ของตวั อกั ษร ถา้ เป็ นการอ่านในใจจะใชก้ ระบวนการ “See and Think” กล่าวคือ เมือสายตารับรู้สญั ลกั ษณ์ทีเป็ นอกั ษรก็จะส่งไปให้สมองคิดเพือแปลความ ถา้ เป็ นการอ่าน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ีออกเสียงจะใชก้ ระบวนการ “See, Say and Think” เมือสายตารับรู้ตวั อกั ษรก็จะเปล่งเสียงและให้ สมองแปลความ คาํ และขอ้ ความทีอ่านน\"นั อีกคร\"ังหนึง ในการอ่านออกเสียงยงั ตอ้ งคาํ นึงถึงนา้ เสียง ทีเปล่งออกมา การเวน้ วรรคตอนและความถูกตอ้ งในการออกเสียงอีกดว้ ย สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการอ่านเกียวขอ้ งกบั วยั และความสามารถของผูอ้ ่าน สิงแวดลอ้ ม อารมณ์ แรงจูงใจ บุคลิกภาพ ความหมายของสาร การเลือกความหมาย และการนาไป ใช้ รวมไปถึงสารทีนามาใช้อ่าน กระบวนการในการอ่าน โดยผูอ้ ่านควรมีความพร้อมท\"งั ด้าน ร่างกาย สมอง อารมณ์ และสังคม มีความสามารถในการอ่านเหมาะกบั ระดบั ของสารทีนามาใชเ้ ป็ น สือและไดร้ ับการฝึ กฝนใหอ้ ่านตามลาดบั ข\"นั ของกระบวนการอ่านจึงจะช่วยให้ประสบความสาํ เร็จ ในการอ่าน 2. ปัจจัยทสี ่งผลต่อความเข้าใจในการอ่าน มีนกั การศึกษาไดท้ าํ การศึกษาหาสาเหตุปัจจยั ทีส่งผลต่อความเขา้ ใจในการอ่านซึงมี แนวคิดทีน่าสนใจหลายแนวคิดทีเป็ นองคป์ ระกอบสําคญั ของความเขา้ ใจในการอ่านดงั เช่น แชป แมน (เสาวลกั ษณ์ รัตนวชิ ช์, 2545, หนา้ 24-25 อา้ งอิงจาก Chapman, 1987) กล่าวถึง องคป์ ระกอบ ทีสาํ คญั ในการทาํ ความเขา้ ใจเรือทีอ่าน 3 ประการ ดงั น\"ี คือ (1) ความรู้หรือประสบการณ์เดิม (Schema) เป็ นส่วนสําคญั ทีทาํ ให้ผูอ้ ่านมี ความสามารถทางการอ่านแตกต่างกนั หมายถึงว่า ผูท้ ีมีความรู้หรือประสบการเดิมเกียวกบั เรืองที อ่านจะสามารถเขา้ ใจเรืองไดเ้ ร็วและดีกวา่ (2) อภิปัญญา (Metacognition) หมายถึง ความสามารถของผูอ้ ่านในการเขา้ ใจ กระบวนการคิดของตนในการตีความ การเดาความหมายของบริบทให้เกิดความเขา้ ใจในสิงทีอ่าน ซึงข\"ึนอยกู่ บั ประสบการณ์ของแต่ละคน 54
(3) โครงสร้างขอ้ ความ (Text structure) โครงสร้างของขอ้ ความเป็ นส่วนสาํ คญั ในการช่วยใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจเน\"ือหาของเรืองทีอ่านไดเ้ ป็ นอย่างดี โครงสร้างขอ้ ความแต่ละประเภทมี ลกั ษณะเฉพาะตวั หากผูอ้ ่านสามารถวิเคราะห์ และเขา้ ใจโครงสร้างของบทอ่านจะทาํ ใหอ้ ่านเรือง ไดง้ ่ายข\"ึนเขา้ ใจจุดประสงคใ์ นการอ่านชดั เจนข\"ึน Williams (1986, pp. 3-12) ไดก้ ล่าวถึง องคป์ ระกอบของความเขา้ ใจในการอ่าน ซึง ผอู้ า่ นจะตอ้ งมีความรู้ในเรืองต่างๆ ดงั น\"ี (1) ความรู้ในระบบการเขียน (Knowledge of the writing-system) คือความรู้ เกียวกบั การประสมตวั อกั ษร การสะกดคาํ และรู้การจดจาํ คาํ เหล่าน\"นั ได้ (2) ความรู้ในเรืองของตวั ภาษา (Knowledge of the language) หมายถึงการที ผูอ้ ่านจาํ เป็ นตอ้ งมีความรู้ในดา้ น รูปแบบของคาํ การเรียบเรียงคาํ โครงสร้างและไวยากรณ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบรุ ีภาษาทีใชเ้ขียน (3) ความสามารถในการตีความ (Ability to interpret) การอ่านมิไดห้ มายถึง เฉพาะการทาํ ความเขา้ ใจในแต่ละประโยคเท่าน\"นั แต่ผูอ้ ่านตอ้ งสามารถมองภาพรวมและพิจารณา ความสมั พนั ธ์ของแต่ละประโยคเพือใชใ้ นการตีความของเรืองทีอา่ นไดเ้ ขา้ ใจและถูกตอ้ ง (4) ความรู้รอบตวั (Knowledge of the word) หมายถึง ความรู้และประสบการณ์ ของผอู้ า่ นทีจะนาํ มาใชใ้ นการอ่าน ถา้ หากผูอ้ ่านมีความรู้หรือประสบการณ์ในการอ่านมากเท่าใด ก็ ยงิ สามารถเลือกความรู้หรือประสบการณ์ของตนมาเชือมโยงกบั ความรู้ในบทอา่ นของผูเ้ ขียนไดต้ รง ตามจุดประสงคข์ องผเู้ ขียนทีตอ้ งการสือและสามารถทาํ ใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจเรืองทีอ่านไดง้ ่ายและดียงิ ข\"ึน (5) เหตุผลในการอ่านและวธิ ีการอ่าน (Reason for reading and styles) เหตุผล หรือจุดประสงค์ในการอ่านจะมีผลต่อการเลือกวิธีอ่าน ดงั น\"นั ในการอ่านแต่ละคร\"ังผูอ้ ่านจะตอ้ ง ทราบวา่ ตนจะอ่านอะไร อ่านเพอื สิงใด และจะเลือกวธิ ีใดในการอ่านจึงจะเหมาะสม สรุปไดว้ ่า ความเขา้ ใจในการอ่านนอกจากผูอ้ ่านจะตอ้ งอาศยั ความรู้ทางภาษาและ ความรู้ทางดา้ นคาํ ศพั ท์ ความรู้เกียวกบั โครงสร้างขอ้ ความ ความรู้เดิม ความรู้รอบตวั เพือช่วยให้ ผูอ้ ่านสรุป และตีความเรืองทีอ่านไดแ้ ลว้ ผูอ้ ่านยงั จะตอ้ งอาศยั ระดบั ความเขา้ ใจเพือช่วยในการ เลือกทกั ษะการอ่านใหเ้ หมาะสมกบั การอ่านในแต่ละระดบั น\"นั ๆ 3. ระดบั ความเข้าใจในการอ่าน ระดบั ความเขา้ ใจในการอ่านเกียวขอ้ งกบั ความสามารถในการพฒั นาการเรียนรู้ของ นกั เรียนในดา้ นต่างๆ ดงั ทีมีผใู้ หค้ าอธิบายไว้ ไดแ้ ก่ 55
Smith (1973, p. 160) ไดแ้ บ่งระดบั ความเขา้ ใจในการอ่านเป็น 3 ระดบั คือ (1) ระดับความเข้าใจตามตวั อักษร ถือเป็ นความเข้าใจข\"ันพ\"ืนฐาน คือ เป็ น การแปลความหมายตวั อกั ษรทีปรากฏ ผูอ้ ่านสามารถเขา้ ใจเรืองราวได้ เพราะผูเ้ ขียนไดเ้ ขียนแสดง ไวอ้ ยา่ งชดั เจน (2) ระดบั ความเขา้ ใจข\"นั ตีความเป็ นการอ่านทีสูงกว่าระดบั ที 1 ผูอ้ ่านจะตอ้ ง เขา้ ใจความหมายของขอ้ ความทีอ่านไดล้ ึกซ\"ึงกวา่ ระดบั ที 1 ผูอ้ ่านตอ้ งใชก้ ารแปลความหรือตีความ ซึงผเู้ ขียนไดก้ ล่าวไวโ้ ดยตรง หากแต่เป็นความหมายทีแฝงในเรือง (3) ระดบั ความเขา้ ใจข\"นั วิเคราะห์ วิจารณ์เป็ นระดบั การอ่านทีผูอ้ ่านทีตอ้ งมี พ\"ืนฐานความสามารถเขา้ ใจความหมายระดบั ที 1 และที 2 อยู่ก่อนแล้ว ในระดบั ความเขา้ ใจข\"นั วเิ คราะห์ในข\"นั น\"ีผูอ้ ่านจะตอ้ งใชค้ วามคิดของตนมาช่วยวเิ คราะห์ตดั สิน และประเมินค่า สิงทีอ่าน มหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบรุ ีดา้ นคุณภาพคุณคา่ และความถูกตอ้ ง Burmister (1974, pp. 147-149) ไดแ้ บ่งระดบั ทีความเขา้ ใจในการอ่านโดยอาศยั แนวคิดพ\"นื ฐานจาก แซนดสั (Sandas) ซึงดดั แปลงมาจาก Bloom’s Texonomy ออกเป็น 7 ระดบั คือ (1) ระดบั ความจาคือ การจา หรือเขา้ ใจเกียวกบั ขอ้ เท็จจริงวนั ทีคาจากดั ความ ใจความสาํ คญั ของเรือง และลาดบั เหตุการณ์ของเรือง (2) ระดบั การแปลความทีจะเป็ นการนาขอ้ ความหรือสิงทีเขา้ ใจไปแปลเป็ นรูป อืนๆเช่น การแปลภาษาหนึงเป็นอีกภาษาหนึง การถอดความ การนาใจความสําคญั ของเรืองไปแปล เป็นแผนภูมิหรือแผนที และในทานองเดียวกนั อาจแปลแผนทีหรือแผนภูมิเป็นขอ้ ความ การนาเรือง ส\"นั ไปทาเป็นละคร หรือการนาละครไปทาเป็นเรืองส\"นั รวมท\"งั การปฏิบตั ิตามคาสงั ดว้ ย (3) ระดบั การตีความหมายคือ การเขา้ ใจและมองเห็นความสัมพนั ธ์ของสิงที ผูเ้ ขียนไม่ได้บอกไว้ เช่น หาเหตุเมือกาํ หนดผลออกมา ให้คาดการณ์ว่าอะไรจะเกิดข\"ึน ต่อไป ขา้ งหนา้ และการจบั ใจความของเรืองทีผเู้ ขียนมิไดบ้ อกไว้ (4) ระดบั การประยกุ ตใ์ ช้ เป็นการเขา้ ใจหรือมองเห็นหลกั การแลว้ จะนาหลกั การ ไปประยกุ ตใ์ ชจ้ นประสบผลสาํ เร็จ (5) ระดบั การวิเคราะห์ คือ การเขา้ ใจ และรู้ในแง่ของการตรวจตราส่วนย่อยที ประกอบเขา้ ในส่วนเต็ม เช่น การวิเคราะห์โฆษณาชวนเชือ และการแยกแยะ การวิเคราะห์ บท ประพนั ธ์ การรู้ถึงการใหเ้ หตุผลทีผดิ ๆ ของนกั เรียนมีจุดมุ่งหมายใดในการเขียนและใชเ้ ทคนิคการ เขียนอยา่ งไร เป็นตน้ (6) ระดบั การสังเคราะห์ คือความสามารถในการนาความคิดทีเห็นไดจ้ ากแหล่ง ต่างๆ มาผสมผสานเรียบเรียงข\"ึนใหม่ 56
(7) ระดับการประเมินผล เป็ นการวางเกณฑ์แล้วตดั สินสิงทีอ่านโดยอาศัย หลักเกณฑ์ทีต\"ังไวเ้ ป็ นบรรทดั ฐาน เช่น เรืองราวทีอ่านมีลักษณะอย่างไร แสดงความคิดเห็น จินตนาการและความเชือในเรืองทีอ่าน เป็นตน้ จะเห็นได้ว่า ผูเ้ ชียวชาญท\"งั สองท่านได้แบ่งระดับความเขา้ ใจในการอ่านไปใน แนวทางทีสอดคลอ้ งกนั เมือนามาเปรียบเทียบกนั จะไดด้ งั น\"ี ตารางที 2.1 เปรียบเทียบระดบั ความเขา้ ใจในการอ่านระหวา่ งเบอร์มิสเตอร์ (Burmister) กบั สมิธ (Smith) มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบุรีเบอร์มสิ เตอร์ (Burmister)ระดบั ความเข้าใจในการอ่าน สมธิ (Smith) 1. ระดบั ความเขา้ ใจ ระดบั ความเขา้ ใจตามตวั อกั ษร 2. ระดบั การแปลความ 3. ระดบั การตีความ ระดบั ความเขา้ ใจข\"นั ตีความ 4. ระดบั การประยกุ ตใ์ ช้ 5. ระดบั การวิเคราะห์ ระดบั ความเขา้ ใจข\"นั วิเคราะห์วจิ ารณ์ 6. ระดบั การสงั เคราะห์ 7. ระดบั การประเมินผล จากตารางที 2.1 ผลการเปรียบเทียบจะเห็นไดว้ ่า การแบ่งระดบั เบอร์มิสเตอร์และ ของ สมิธสอดคลอ้ งกนั โดยของเบอร์มิสเตอร์ แบ่งละเอียดเป็ น 7 ระดบั ส่วน ของสมิธ แบ่งเป็ น 3 ระดบั ใหญๆ่ เท่าน\"นั สรุปแลว้ ความเขา้ ใจในการอ่านในแต่ละลกั ษณะลว้ นมีความสัมพนั ธ์กนั เช่น ผูอ้ ่าน ตอ้ งอาศยั ความเขา้ ใจระดบั ตรงตามตวั อกั ษร เพือเป็ นพ\"ืนฐานความเขา้ ใจในระดบั อืนๆ เมือเกิด ความเขา้ ใจแลว้ ผูอ้ ่านจะตอ้ งรู้จกั การอ่านข\"นั ตีความ จบั ใจความ เรียงลาดบั เหตุการณ์ รู้จกั เหตุผล สรุปความ เป็นตน้ 57
แนวคดิ การเล่าเรืองจากหนังสือ 1. ความหมายการเล่าเรืองจากหนังสือ จินดา จาํ เริญ (2534, หน้า 120) กล่าวว่า การเล่าเรืองจากหนงั สือ หมายถึง การพูด เกียวกบั หนงั สือ ไดแ้ ก่ (1) การบรรยายเรืองราวในหนงั สือใหฟ้ ัง โดยหยิบยกประเด็นทีน่าสนใจ จะเป็ น เน\"ือเรือง ขอ้ คิดเห็นของผแู้ ต่ง ภาพพจน์ซึงผูแ้ ต่งบรรยายอยา่ งแจ่มชดั ลกั ษณะนิสัยของตวั ละคร จะ เป็ นเรืองราวจากหนงั สือประเภทใดก็ได้ เรืองจากการเล่าเรืองมีวตั ถุประสงคจ์ ะใหผ้ ูฟ้ ังสนใจอยาก อ่านหนงั สือดว้ ยตนเอง บางคร\"ังผเู้ ล่าเรืองอาจจะไม่กล่าวถึงตอนจบของเรือง ปล่อยใหผ้ ฟู้ ังอ่านเอง (2) การนาํ หนงั สือมาพูดให้ผูฟ้ ังเกิดความสนใจ โดยเลือกจุดเด่นของหนงั สือมา มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบรุ ีเล่า พร้อมท\"งั มีหนงั สือมาแสดงในขณะทีกาํ ลงั เล่าดว้ ย เป็นวธิ ีชกั ชวนใหผ้ ฟู้ ังสนใจหนงั สือเล่มน\"นั ๆ ดว้ ย เพอื จะไดอ้ ยากอ่านเอง (3) การนาํ เรืองเกียวกบั หนงั สือมาเล่าให้ฟัง มีความมุ่งหมายเป็ นการเชิญชวนให้ อ่านหนงั สือน\"นั ขอ้ สําคญั ทีสุดคือ เลือกเรืองทีดีมาพูดและไม่วิจารณ์เรือง อาจไดแ้ ก่เรืองทีไดร้ ับ รางวลั เรืองทีมีเน\"ือเรืองดี เรืองอ่านสนุก เรืองทีมีความงามในเชิงภาษา เรืองแปลก เรืองทีคิดคน้ มา อยา่ งดี เป็นตน้ นอกจากน\"ี การเล่าเรืองจากหนงั สือ จดั วา่ เป็ นการแนะแนวการอ่านหรือการเสนอวธิ ี หนึง เพือเร้าใจและจูงใจใหเ้ กิดความสนใจในหนงั สือทีผเู้ สนอเห็นวา่ มีคุณค่าควรแก่การอ่าน สรุปไดว้ ่าการเล่าเรืองจากหนงั สือ หมายถึง การนาํ เรืองเกียวกบั หนงั สือเล่าให้ฟัง โดยเลือกประเด็นทีน่าสนใจ เช่น เน\"ือเรือง ขอ้ คิดของผูแ้ ต่งทีทาํ ให้เกิดภาพพจน์อย่างแจ่มชัด ลกั ษณะนิสัยของตวั ละครในเรือง ฯลฯ เป็ นวิธีการเร้าและจูงใจให้ผูฟ้ ังเกิดความสนใจอยากอ่าน หนงั สือเล่มน\"นั ๆ ดว้ ยตนเอง เรืองทีนาํ มาเล่าอาจจะเป็ นเรืองทีไดร้ ับรางวลั เรืองทีมีเน\"ือเรืองดี เรือง อา่ นสนุก เรืองทีมีความงามในเชิงภาษา เรืองแปลก และเรืองทีน่าสนใจอืนๆ จุดประสงค์ การเล่าเรืองจากหนังสือน\"ัน แบ่งเป็ น 2 ลกั ษณะคือ การทีบรรณารักษ์หรือครูพูด ช\"ีแจง เรืองหนงั สือทีน่าอ่านใหเ้ ด็กฟังอยา่ งหนึง ซึงบรรณารักษเ์ ป็ นผูพ้ ูดเป็ นส่วนมาก เด็กเป็ นผูฟ้ ัง อีกลกั ษณะหนึงคือ การทีบรรณารักษ์จดั ให้เด็กๆ สนทนากันเองเกียวกบั หนังสือ ซึงบางคร\"ังก็ เรียกวา่ อภิปรายเรืองหนงั สือ มีวตั ถุประสงคเ์ พือสร้างความสนใจ และความอยากรู้อยากเห็นในเรือง หนงั สือ เสนอแนะหนงั สือทีเด็กจะไดร้ ับประโยชน์ และช่วยทาํ ใหเ้ ด็กเขา้ ใจดียงิ ข\"ึนวา่ หนงั สือทีดี ควรจะเป็นอยา่ งไร 58
การเล่าเรืองจากหนงั สือมีจุดประสงคเ์ พือจูงใจให้เด็กทีเป็ นกลุ่มเป้าหมายสนใจใน การอ่าน รู้จกั หนังสือ รู้จกั หนงั สือ รู้จกั อ่านอย่างมีวิจารณญาณ หรือจะหยิบหนงั สือเรืองใดเรือง หนึงมาสนทนาเชิงวิจารณ์ เพือให้ผูฟ้ ังเกิดความสามารถในการวินิจฉัยคุณค่าของหนงั สือ สุดแต่ จุดประสงคข์ องการจดั แต่ละคราว การเล่าเรืองจากหนังสือ รัญจวน อินทรกาํ แหง ได้กล่าวไวว้ ่า การเล่าเรืองจาก หนังสือ มีประโยชน์ในด้านการจูงใจให้สนใจหนังสือ รู้จักหนังสือ นักเขียน และจูงใจให้รัก การอ่าน นอกจากน\"ี ยงั เป็ นการสร้างความสนใจ และความอยากรู้อยากเห็นในเรืองหนงั สือ เป็ นการเสนอแนะหนงั สือทีเด็กทีจะไดร้ ับประโยชน์ และช่วยทาํ ให้เด็กเขา้ ใจดียงิ ข\"ึนวา่ หนงั สือทีดี ควรจะเป็นอยา่ งไร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรีการเล่าเรืองจากหนงั สือทีมีประสิทธิภาพน\"นั ผูส้ นทนาหรือผูบ้ รรยายจะตอ้ งเตรียม ตวั มาเป็นอยา่ งดี เตรียมรู้จกั ผฟู้ ัง เตรียมหนงั สือ เพอื ต\"งั จุดประสงคใ์ นการจดั กิจกรรมน\"ีแต่ละคร\"ัง การเตรียม 1. การเตรียมรู้จักผู้ฟัง คือ ผูเ้ ล่าจะตอ้ งรู้ว่าผูฟ้ ังเป็ นนกั เรียนระดบั ใด มีความสนใจ หรือความตอ้ งการอยา่ งใด หรือนกั เรียนมีปัญหาในดา้ นการอา่ น ไมร่ ู้จกั หนงั สือในสาขาวิชาต่างๆ ที น่าสนใจ หรืออ่านแต่นวนิยายอย่างเดียว การเล่าเรืองจากหนงั สือสําหรับเด็กทีอยูใ่ นวยั เริมสนใจ การอ่าน มีดงั ต่อไปน\"ี 1.1 เด็กวยั 8-12 ปี เป็ นวยั ทีเริมสนใจสิงแปลกใหม่ ดังน\"ัน การเล่าเรืองจาก หนงั สือควรมีหนงั สือหลายๆ ประเภท 1.2 การเลือกหนังสือไม่ควรกําหนดลงไปตายตัว แม้ว่าจะเลือกโดยดูจาก ระดบั ช\"นั เรียนหรือระดบั ความสามารถในการอ่าน 1.3 เด็กจะมีความกระตือรือร้นอยากอ่านเรืองประเภทต่างๆ เด็กบางคนจะชอบ เรืองเพอ้ ฝัน มหศั จรรย์ หรือนวนิยาย ดงั น\"นั จึงควรจดั หาหนงั สือทุกประเภทไว้ 1.4 ควรคาํ นึงวา่ หนงั สือดีมีประโยชน์สามารถกระตุน้ ใหเ้ กิดความสนใจได้ เมือรู้จกั กลุ่มผูฟ้ ังหรือไดข้ อ้ มูลเกียวกบั ผูฟ้ ังแลว้ ผูเ้ ล่าจะไดก้ าํ หนดจุดประสงค์ ของการเล่าเรืองจากหนงั สือในคร\"ังน\"นั และจะไดจ้ ดั เตรียมหนงั สือเพอื ใชใ้ นการเล่าเรืองต่อไป 2. การเตรียมหนังสือ เมือไดข้ อ้ มูลต่างๆ เกียวกบั ผูฟ้ ังแลว้ ผูเ้ ล่าควรเตรียมหนงั สือ ตามจุดประสงคท์ ีกาํ หนดไว้ โดยพจิ ารณาความยากง่าย เหมาะกบั ความรู้ความเขา้ ใจของผสู้ ่งดว้ ย การเลือกหนงั สือตอ้ งใหพ้ อเหมาะกบั ระยะเวลาในการเล่าแต่ละคร\"ังประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชวั โมง ข\"ึนอยกู่ บั ความสนใจของกลุ่มผูฟ้ ัง และข\"ึนอยูก่ บั ความสามารถของผูเ้ ล่าเองดว้ ย 59
บางเรืองมีสาระสําคญั มาก บางเรืองนอ้ ย บางเล่มกล่าวถึงเพียง 2-3 ประโยค หรือบางเล่มบอกเพียง ชือเทา่ น\"นั 3. การเตรียมตัวของผู้เล่า เมือเลือกหนังสือได้ครบตามความต้องการแล้ว ควร ดาํ เนินการตามลาํ ดบั ดงั น\"ี 3.1 อา่ นหนงั สือทุกเรือง 3.2 กาํ หนดวา่ จะพดู เรืองใดมากทีสุด และพดู เรืองใดมากเป็นลาํ ดบั ตอ่ ไป 3.3 จะพดู เรืองใดเป็นหลกั และใชเ้ รืองใดเป็นเรืองประกอบ 3.4 จะใช้คาํ พูดย่างไรจึงจะเห็นความกระจ่างชดั ไม่ตอ้ งพูดยาวเยินเยอ้ และใช้ ภาษาทีผฟู้ ังเขา้ ใจไดโ้ ดยง่าย 3.5 จดั เรียงลาํ ดบั เรืองทีจะพูด และกาํ หนดวธิ ีพูดต\"งั แต่เริมตน้ เรืองจนจบรายการ มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบุรี3.6 เมือถึงเวลาเล่าเรืองจากหนงั สือ จดั เตรียมโตะ๊ สาํ หรับวางหนงั สือใหเ้ พียงพอ และพอเหมาะแก่หนงั สือ เพอื ใหส้ ะดวกแก่การหยบิ ยกมาประกอบการเล่า ไม่ใหเ้ กิดความรําคาญแก่ ผฟู้ ัง 3.7 ให้น\"าํ เสียงทีดงั พอเหมาะ ไม่ค่อยทิ\"งทา้ ย ชวนใหเ้ กิดความสนใจไปหาอ่าน ต่อดว้ ยตนเอง 3.8 ไม่เล่าเรืองจนหมด แต่ควรทิ\"งทา้ ย ชวนให้เกิดความสนใจไปหาอ่านต่อดว้ ย ตนเอง 3.9 รักษาเวลา การเล่าเรืองจากหนังสือสําหรับเดก็ มีวธิ ีการดงั น\"ี 1. ตอ้ งเตรียมอุปกรณ์ทีใชป้ ระกอบเล่าเรือง อาจเป็ นหนงั สือใบหุ้มปกทุกเรืองทีจะ เล่า 2. จะตอ้ งมีความกระตือรือร้นขณะเล่าเรืองจากหนงั สือ 3. ควรจดบนั ทึกและทาํ เครืองหมายเพอื ความสะดวกแก่ตนเอง 4. ควรเป็นตวั ของตวั เอง ไม่จาํ เป็นตอ้ งจาํ ใหไ้ ดห้ มด แต่มีวธิ ีการดาํ เนินเรือง 5. ควรออกเสียงชือเรือง ชือผูแ้ ต่งให้ชดั เจน พยายามยกหนงั สือหรือใบหุ้มปกให้ ทุกๆ คนเห็น 6. ให้เด็กเขียนรายชือหนงั สือทีตนตอ้ งการอ่าน และผูเ้ ล่าจะนาํ รายการชือหนงั สือ ไปใหห้ อ้ งสมุด 7. ผเู้ ล่าควรมีการทบทวนหนงั สือในแต่ละสาขาวชิ าทีไม่ประสบความสําเร็จในการ เล่าเรืองจากหนงั สือ 60
Search