Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Digestive system

Digestive system

Description: อธิบายเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

Search

Read the Text Version

บทที 10 ระบบย่อยอาหาร (The Digestive System) ระบบยอ่ ยอาหารมหี น้าทเี กยี วกบั การยอ่ ยอาหาร การดดู ซมึ อาหาร และช่วยระบายกากอาหาร ออกจากร่างกายดว้ ย ทงั นีเพราะอาหารทเี รารบั ประทานเขา้ ไปนันตอ้ งถกู เปลยี นใหอ้ ยใู่ นรปู ทเี หมาะสม ก่อนทเี ซลลข์ องร่างกายจะใชเ้ ป็นประโยชน์ได้ ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวยั วะต่างๆ คอื 1. อวยั วะทที าํ หน้าทเี ป็นทางผ่านของอาหาร เรมิ ตน้ จากปาก (Mouth) หลอดคอหรอื ลาํ คอ (Pharynx) หลอดอาหาร (Esophagus) กระเพาะอาหาร (Stomach) ลาํ ไสเ้ ลก็ (small intestine) ลาํ ไส้ ใหญ่ (Large intestine) และทวารหนกั (Anus) 2. อวยั วะทชี ่วยยอ่ ยอาหาร ไดแ้ ก่ต่อมต่างๆ ซงึ ทาํ หน้าทสี รา้ งนํายอ่ ยมาช่วยในการยอ่ ยอาหาร คอื ต่อมนําลาย (Salivary gland) ตบั (Liver) และตบั อ่อน (Pancreas) ทางผ่านของอาหารนีถา้ นบั จากปากจนถงึ ทวารหนกั เรยี ก Alimentary tract ถา้ หากนบั จาก กระเพาะอาหารลงไปจนถงึ ทวารหนกั เรยี ก Gastro-intestinal tract (G.I. tract) Alimentary tract นีจะ ยาว ประมาณ 9 เมตร หรอื 30 ฟุต

196 อวยั วะทีทาํ หน้าทีเป็ นทางผา่ นของอาหาร ปาก (Mouth) เป็นส่วนแรกของทางเดนิ อาหารซงึ ทาํ หน้าทเี กยี วกบั การรบั ประทาน (Ingestion) และการยอ่ ยอาหาร (Digestion) ช่องปาก (Oral cavity) เรมิ ตงั แต่ส่วนทอี ยถู่ ดั จากรมิ ฝีปาก (Lips) เขา้ ไปจนถงึ บรเิ วณทตี ดิ ต่อกบั หลอดคอ โดยมขี ากรรไกรบน (Maxilla) และขากรรไกรลา่ ง (Mandible) ชว่ ย คาํ จุนใหค้ งรปู อยไู่ ด้ ผวิ ดา้ นในชอ่ งปากทงั หมดบดุ ว้ ย Mucous membrane ซงึ สรา้ งเมอื กหลอ่ ลนื ใหม้ ี ความชุ่มชนื ขอบเขตของช่องปากประกอบดว้ ยสว่ นต่างๆ ดงั นี คอื 1. ด้านบนเป็นเพดานปาก (Palate) ซงึ กนั ระหว่างช่องปากกบั โพรงจมกู (Nasal cavity) แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ส่วน คอื 1.1 ส่วนหน้าเรยี กเพดานแขง็ (Hard palate) เนืองจากมแี ผน่ กระดกู เป็นแกนอยตู่ รงกลาง 1.2 ส่วนหลงั เรยี กเพดานอ่อน (Soft palate) โคง้ ตามรปู ของโคนลนิ ประกอบดว้ ยกลา้ มเนือ สาํ หรบั ทาํ หน้าทเี คลอื นไหวเพอื ช่วยในการออกเสยี งพดู ไดอ้ ยา่ งชดั เจน และยกตวั สูงขนึ เพอื ป้องกนั อาหารไมใ่ หผ้ า่ นเขา้ ไปในโพรงจมกู ขณะกําลงั กลนื ปลายสุดของเพดานอ่อนเป็นดงิ หอ้ ยลงมาใน ช่องปาก เรยี กวา่ ลนิ ไก่ (Uvula) 2.ด้านล่างเป็นฐานของช่องปาก ซงึ มกี ลา้ มเนือสาํ หรบั การกลนื อยหู่ ลายมดั และเป็นสว่ นทอี ยู่ ของลนิ (Tongue) ซงึ วางอย่เู หนอื กลา้ มเนือดงั กล่าว โดยเยอื Mucous ทหี ุม้ ลนิ จะรวมตดิ กนั ทาง ตอนลา่ งเป็นส่วนทเี รยี กว่า Frenulum llngualสาํ หรบั ยดึ ลนิ ใหต้ ดิ กบั ฐานของชอ่ งปาก ถา้ มี Frenulum lingual สนั เกนิ ไป จะทาํ ใหไ้ มส่ ามารถเคลอื นทไี หวสนิ ไดส้ ะดวกเท่าทคี วร โดยเฉพาะอยา่ งยงิ การแลบ ลนิ ออกมาทางดา้ นหน้าใหพ้ น้ รมิ ฝีปาก 3. ด้านข้างและด้านหน้าเป็นทีอย่ขู องฟัน (Teeth) ซงึ งอกตดิ อยบู่ นขากรรไกร โดยมเี หงอื ก (Gum or Gingiva) ปกคลุมบางสว่ นของฟนั แต่ละซเี อาไว้ และมแี กม้ (Cheeks) ทาํ หน้าทเี ป็นผนงั ทาง ดา้ นขา้ งชอ่ งปากทงั 2 ดา้ น การยอ่ ยอาหารภายในปากตอ้ งอาศยั การทาํ งานประสานกนั ระหวา่ ง 1. ฟนั 2. ลนิ 3. ต่อมนําลาย 4. กลา้ มเนือสาํ หรบั การเคยี วอาหาร (Muscle of mastication) ซงึ มหี ลายมดั มายดึ ตดิ กบั กระดกู ขากรรไกรล่าง ฟัน (Teeth) หน้าทหี ลกั คอื บดและฉกี กอ้ นอาหารภายในช่องปากใหเ้ ป็นชนิ ขนาดเลก็ ลงดว้ ย การเคยี ว ซงึ อาศยั การหดตวั ของกลา้ มเนือสาํ หรบั เคยี วอาหาร คอื ใหข้ ากรรไกรล่างทุบเขา้ หากนั สลบั กบั การกางออกจากขากรรไกรบน ฟนั เป็นของแขง็ ทเี กดิ ขนึ ในบรเิ วณปากก่อนกระดกู อนื ในรา่ งกาย ฟนั ไมม่ ี สว่ นทเี กยี วขอ้ งกบั กระดกู เลย แต่เป็นอวยั วะส่วนหนึงของทางเดนิ อาหาร ถงึ แมว้ ่าในตอนหลงั จะมา ตดิ อยกู่ บั กระดกู ขากรรไกรกต็ าม โครงสรา้ งของฟนั อาจแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ส่วน คอื 1. ตวั ฟัน (Crown) เป็นสว่ นทอี ยพู่ น้ ขนึ มาจากเหงอื ก สามารถมองเหน็ ไดจ้ ากภายนอก

197 2. คอฟัน (Neck) เป็นส่วนทอี ยตู่ ําลงไป ถูกลอ้ มรอบดว้ ยเหงอื ก 3. รากฟัน (Root) เป็นส่วนทฝี งั อยใู่ นชอ่ ง (Sockets) ของกระดกู ขากรรไกร สว่ นประกอบฟนั (ผา่ ดโู ครงสรา้ งตามยาว) มหี ลายชนั คอื 1. Enamel เป็นชนั นอกสดุ ทหี ุม้ เฉพาะตวั ฟนั และตอนบนของคอฟนั เท่านัน ชนั นีมคี วาม แขง็ แรงมากจนถอื ไดว้ ่าเป็นเนือเยอื ทแี ขง็ ทสี ดุ ในรา่ งกาย เนืองจากมอี นินทรยี สารพวกเกลอื แรเ่ ป็น องคป์ ระกอบถงึ ประมาณ 96 เปอรเ์ ซน็ ต์ มนี ําเพยี ง 1 เปอรเ์ ซน็ ต์ สว่ นทเี หลอื เป็นอนิ ทรยี สาร 2. Dentine อยถู่ ดั จากชนั Enamel ทาํ หน้าทเี ป็นมวลของฟนั เกอื บทงั หมด มคี วามแขง็ และ คุณสมบตั ทิ างเคมคี ลา้ ยกระดกู โดยมนี ําเป็นองคป์ ระกอบประมาณ 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ อนิ ทรยี สาร 20 เปอรเ์ ซน็ ต์ และอนินทรยี สารพวกเกลอื แร่ แคลเซยี ม ฟอสเฟต 70 เปอรเ์ ซน็ ต์ 3. Pulp cavityเป็นโพรงทอี ยตู่ รงกลางของ Dentine เป็นทอี ยขู่ องเนือเยอื เกยี วพนั เสน้ เลอื ด ฝอยและปลายเสน้ ประสาท ซงึ ทงั หมดนีรวมเรยี กกนั ว่า Pulp ทผี วิ นอกของ Dentine บรเิ วณรากฟนั จะมเี ยอื แขง็ ชนิ บาง ๆ หุม้ รอบ เรยี กว่า Cementum ทาํ หน้าทยี ดึ ฟนั ใหต้ ดิ แน่นกบั เยอื Periodontal membrane ของกระดกู ขากรรไกร ชนิดของฟนั แบ่งตามรปู รา่ งทเี หน็ จากภายนอก แบง่ ไดเ้ ป็น 4 ชนิด คอื 1. ฟันตดั หรอื ฟันหน้า (Incisor) มรี ปู รา่ งคลา้ ยปรายสวิ หรอื ลมิ ทาํ หน้าทกี ดั กอ้ นอาหารให้ ขาด

198 2. ฟันเขียว (Canine) มรี ปู รา่ งคลา้ ยกรวย ผวิ ดา้ นบนเอยี งเขา้ หากนั เป็นปลายแหลม ทาํ หน้าที ตดั และฉกี กอ้ นอาหารใหแ้ ยกออกจากกนั 3. ฟันกรามหน้า (Premolar) มรี ปู รา่ งคลา้ ยสเี หลยี ม ผวิ ดา้ นบนมรี อ่ งตรงกลาง โดยมขี อบนูน เป็นสนั อย่ทู างดา้ ยขา้ ง 2 อนั ทาํ หน้าทบี ดและฉกี อาหาร 4. ฟันกราม (Molar) มรี ปู รา่ งคลา้ ย Premolar แต่ขนาดใหญ่กว่า และผดิ ดา้ นบนมสี นั นูนตงั แต่ 3 – 5 อนั ทาํ หน้าทบี ดอาหารใหล้ ะเอยี ด ฟนั ของคนเรามี 2 ชดุ ชดุ แรก เรยี ก ฟนั นํานม (Milk teeth or Temporal teeth or Deciduous teeth) เป็นฟนั ซเี ลก็ เรมิ งอกใหเ้ หน็ เมอื อายปุ ระมาณ 6 เดอื น จากนันจะงอกเพมิ ขนึ ประมาณเดอื นละ 1 ซี จนครบทงั หมด 20 ซี โดยแบง่ ออกเป็นฟนั ตดั 8 ซี ฟนั เขยี ว 4 ซี และฟนั กรามหน้า 8 ซี เนืองจากฟนั บนและฟนั ล่างตลอดจนการเรยี งตวั ของฟนั ซกี ซา้ ยและซกี ขวาเหมอื นกนั ตงั นันจงึ นิยมเขยี นเป็นสตู ร (Dental formula)เพอื แสดงจาํ นวนและชนดิ ของฟนั ในแต่ละซกี ไดเ้ ป็น $.#.$ $.#.$ (ฟนั ตดั 2 ฟนั เขยี ว 1 ฟนั กราม 2 ตวั เลขทอี ยเู่ หนือเสน้ หมายถงึ ฟนั บน และทอี ยใู่ ตเ้ สน้ หมาย$ถ.#งึ ฟ.$นั $ล.่า#ง.$) ฟนั นํานมจะเรมิ หลดุ เมอื อายไุ ดป้ ระมาณ 6 ปี และหลุดหมดทุกซเี มอื อายุประมาณ 13 ปี โดยมี ฟนั ชุดที 2 คอื ฟนั แท้ (Permanent teeth) งอกขนึ แทนในช่วงเวลาดงั กลา่ วนี ฟนั แทม้ ที งั หมด 32 ซี เขยี นเป็นสตู รของฟนั ไดเ้ ป็น %.$.#.$ $.#.$.% %.$.#.$ (ฟนั ตดั 2 ฟนั เขยี ว 1 ฟนั กรามหน้า 2 ฟนั กราม $.#.$.% 3) ส่วนใหญ่แลว้ ฟนั กรามซใี นสุด (3rd Molar) จะยงั ไมง่ อกขนึ มาจากเหงอื กจนกว่าจะมอี ายรุ ะหว่าง 17 – 25 ปี หรอื เป็นผใู้ หญ่แลว้ จงึ เรยี กฟนั ซสี ดุ ทา้ ยนีวา่ Wisdom teeth ลิน (Tongue) เป็นอวยั วะทปี ระกอบดว้ ยกลา้ มเนือลายหลายมดั เรยี งตวั ในระนาบต่าง ๆ กนั ทาํ ใหส้ ามารถเคลอื นไหวไดท้ กุ ทศิ ทาง หน้าทสี ําคญั ของลนิ ไดแ้ ก่ 1. ชว่ ยในการเคยี วอาหาร และทาํ ใหอ้ าหารรวมตวั เป็นกอ้ นกลม เรยี กวา่ Bolus เพอื สะดวกใน การกลนื ดว้ ยการเคลอื นไหวของลนิ 2. กลนื อาหาร โดยการหดตวั ถอยหลงั ของลนิ ใหก้ อ้ นอาหารเคลอื นทเี ขา้ ส่ตู ลอดจากช่องปากซงึ เป็นขนั ตอนสาํ คญั อนั ดบั แรกของการกลนื 3. รบั รสอาหาร โดยอาศยั ต่อมรบั รส (Taste bud) อยทู่ เี ยอื บุผวิ ของลนิ ซงึ ถูกกระตุน้ ดว้ ยสารที อยใู่ นสภาพของสารละลาย การรบั รสมคี วามสาํ คญั ต่อการเลอื กรบั ประทานชนดิ ของอาหาร 4. ช่วยในการออกเสยี งพดู ต่อมนําลาย (Savilary gland) เป็นต่อมมที ่อ มหี น้าทสี รา้ งนําลาย (Savila) มที งั หมด 3 คู่ คอื 1. ต่อมนําลายใต้หู (Parotid gland) เป็นต่อมขนาดใหญ่ทสี ดุ อยตู่ รงกกหู มที อ่ นําลาย เรยี กว่า Stensen’s or Parotid duct มาเปิดเขา้ ช่องแกม้ บรเิ วณกรามหลงั ซลี างบน (Molar ซที ี 2) ต่อม นําลายชนดิ นีประกอบดว้ ยเซลลท์ มี หี น้าทสี รา้ งนําลายซงึ มลี กั ษณะเป็นนําใส ๆ (Serous) ถา้ ต่อมนี อกั เสบจะมขี นาดใหญ่มาก กลายเป็นโรคคางทมู (Mump)

199 2. ต่อมนําลายใต้ขากรรไกรล่าง (Submaxililary of Submandibular gland) เป็นต่อม นําลายทมี รี ปู ไข่ อยตู่ รงมมุ กระดกู ขากรรไกรล่างค่อนมาทางดา้ นหน้า มที ่อเรยี กว่า Wharton’s ductไป เปิดเขา้ ชอ่ งปากทปี ุ่มโคน Frenulum lingual มหี น้าทสี รา้ งนําลายใส ๆ (serous) และส่วนน้อยเป็น นําลายประเภทเมอื กขน้ และเหนียว (Mucus) ซงึ เป็นทงั นํายอ่ ยและช่วยในการหล่อลนื 3. ต่อมนําลายใต้ลิน (Sublingual gland) เป็นต่อมนําลายอยทู่ ใี ตล้ นิ ระหว่างดา้ นในของกา้ น กระดกู ขากรรไกรล่าง และ Wharton’s duct มที ่อเรยี กว่า Duct of Rivinus ปลายท่อไปเปิดเขา้ ช่องปาก ทสี นั ของ Sublingual ridge เป็นต่อมทปี ระกอบดว้ ย Mucous cell เป็นส่วนใหญ่ มี Scrous cell เป็น ส่วนน้อย ทาํ หน้าทสี รา้ งนําลายชนิดใสและชนิดขน้ เชน่ กนั นําลาย (Saliva)จะประกอบดว้ ยนํา 99 เปอรเ์ ซน็ ต์ เพอื ทาํ ใหอ้ าหารขนึ สะดวกต่อการกลนื เกลอื แรแ่ ละนํายอ่ ย Ptyalin ซงึ ชว่ ยยอ่ ยแป้งใหเ้ ป็นนําตาล การหลงั ของนําลายนีเป็น Reflex ซงึ เกดิ จาก การมองเหน็ ไดก้ ลนิ ไดย้ นิ นกึ ถงึ อาหารทชี อบ หรอื มขี องแขง็ ๆ อยใู่ นปาก ซงึ จะ Reflex ส่งไปสมอง แลว้ สมองจะส่งกระแสประสาทมาตาม Parasympathetic nerve เสน้ ประสาทสมองค่ทู ี 5 ค่ทู ี 7 ไปยงั ต่อมนําลาย ยงั ผลใหม้ กี ารบบี ตวั ทาํ ใหน้ ําลายถูกปลอ่ ยออกมาตามทอ่ เขา้ สชู่ ่องปาก โดยปกตนิ ําลายจะ ถกู ปลอ่ ยออกมาประมาณ 1,000 – 1,500 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร ในเวลา 24 ชวั โมง หลอดคอ (Pharynx) เป็นทอี ยรู่ ะหว่างดา้ นหลงั ของช่องปากและหลอดอาหาร และลมหายใจ พบกนั ตรงนี มรี ปู ร่างคลา้ ยกรวย ยาวประมาณ 5 นิว จากฐานของกะโหลกศรี ษะไปจนถงึ ระดบั กระดกู คอชนิ ที 6 ทาํ หน้าทเี ป็นทางผา่ นของอากาศจากจมกู และปากไปยงั กลอ่ งเสยี ง เป็นทางผา่ นของอาหาร จากปากไปยงั หลอดอาหาร (Esophagus) และเป็นทชี ่วยในการใหเ้ กดิ เสยี ง ช่องของคอหอยแบ่ง ออกเป็น 3 ตอน คอื Nasopharynx ,Oropharynx และ Laryngopharynx ดงั ไดก้ ล่าวไวแ้ ลว้ ในระบบการ หายใจ หลอดอาหาร (Esophagus) เป็นส่วนทตี ่อจาก Laryngopharynx โดยตงั ตน้ จากกระดูกสนั หลงั ตอนคอทา่ นที 6 ไปสนิ สุดทรี ะดบั กระดกู สนั หลงั ตอนอกทอ่ นที 13 ยาวประมาณ 25 – 30 เซนตเิ มตร โดยจะผา่ นลงมาดา้ นหลงั ของหลอดลม (Trachea) ปลายลา่ งของหลอดอาหาร ผ่านกะบงั ลม ไปเปิดเขา้ กระเพราะอาหาร หลอดอาหารมหี น้าทรี บั อาหารจากหลอดคอใหผ้ า่ นลงไปสกู่ ระเพราะอาหาร โดยการ บบี รดั ตวั ของผนงั กลา้ มเนือดว้ ยวธิ ี Peristalsis movement

200 กระเพาะอาหาร (Stomach) อยทู่ างดา้ นซา้ ยของร่างกายใตก้ ะบงั ลม ขณะกระเพาะวา่ งจะมี ลกั ษณะเป็นถุงเลก็ ๆ ขอบดา้ นขวาของกระเพาะอาหารเป็นสว่ นเวา้ สนั ๆ เรยี กวา่ Lesser curvature ส่วนขอบดา้ นซา้ ยเป็นรอยนูนยาว เรยี ก Greater curvature กระเพาะอาหารแบง่ เป็น 3 สว่ น คอื 1. Fundus คอื ส่วนทเี ป็นรปู โดมใตก้ ะบงั ลมดา้ นซา้ ย และนูนขนึ เหนือชอ่ งเปิดของหลอด อาหารมลี กั ษณะเป็นกระพุง้ 2. Body คอื สว่ นกลาง 3. Pylorus คอื สว่ นปลายสดุ ของกระเพาะทตี ่อกบั ลาํ ไสเ้ ลก็ ส่วนตน้ เป็นชอ่ งเปิดแคบ ๆ บรเิ วณทหี ลอดอาหารเปิดเขา้ สกู่ ระเพาะอาหาร เรยี ก Cardia มกี ลา้ มเนือหรู ดู เรยี ก Cardiac sphincter และบรเิ วณ Pylorus ทตี ่อกบั ลาํ ไสเ้ ลก็ สว่ นตน้ มกี ลา้ มเนือหรู ดู เรยี ก Pyloric sphincter ช่องว่างจาก Body เปิดสู่ Pylorusเรยี ก Antrum ผนงั กระเพาะอาหารคลา้ ยกบั ผนงั ของหลอดอาหาร เพยี งแต่ชนั กลา้ มเนือประกอบดว้ ยกลา้ มเนือ เรยี บ 3 ชนั คอื 1. ชนั นอกเป็นกลา้ มเนือเรยี บทเี รยี งตวั ตามยาว (Longitudinal fibers) 2. ชนั กลางเป็นกลา้ มเนือวงตามขวาง (Circular fibers) 3. ชนั ในสดุ เป็นกลา้ มเนือทวี งิ ทแยงหรอื เฉยี ง (Obligue fibers) ความหนาของกลา้ มเนือวงตามขวางเป็นสว่ นจองกลา้ มเนือหรู ดู ของ Cardiac และ Pyloric sphincter ผนงั ชนั ในสดุ ของกระเพราะอาหารมลี กั ษณะเป็นลกู คลนื หรอื รอยยน่ (Rugae)

201 หน้าทีของกระเพาะอาหาร 1. ชว่ ยยอ่ ยอาหารใหเ้ ลก็ ลงและเป็นทพี กั ของอาหาร 2. สรา้ งกรดเกลอื (HCK) และ Pepsinogen 3. สรา้ งสารบางอยา่ ง เรยี ก Gastrin เพอื การดดู ซมึ วติ ามนิ B12 Gastrin จะถกู ปล่อยออกมา เมอื อาหารลงไปถงึ กระเพาะอาหาร แลว้ จะซมึ เขา้ เสน้ เลอื ดเพอื ไปกระตุน้ Gastric gland ใหห้ ลงั Gastric juice ออกมา โดยปกตอิ าหารจะอยใู่ นกระเพาะอาหารประมาณ # − 4ชวั โมง ซงึ ขนั อยกู่ บั ชนิดของอาหาร $ นนั ๆ ไดแ้ ก่ นําชา ขนมปงั ขนมเคก้ จะอยใู่ น อาหารทมี คี ารโ์ บไฮเดรตมากแต่มโี ปรตนี น้อย เช่น กระเพาะประมาณ # ชวั โมง ถา้ เป็นอาหารประเภทเนือจะอยใู่ นกระเพาะประมาณ 2 # − 3 ชวั โมง แต่ $$ อาหารประเภทไขมนั จะอยใู่ นกระเพาะนานทสี ุด เมอื กระเพาะอาหารปล่อย HCI ออกมาปนกบั อาหาร ดงั นนั อาหารนนั จงึ มสี ภาวะเป็นกรดจาก การเป็นกรดนีเองจะกระตุน้ ให้ Pyloric sphincter ปิด และกระเพาะอาหารมกี ารหดตวั ขนั – ลงมากขนึ เพอื ทาํ ใหอ้ าหารคลุกเคา้ กนั ดยี งิ ขนั จากนนั เมอื ความเป็นด่างใน Duodenum หรอื อาหารในกระเพาะ เป็นกรดสงู ถงึ ขนาดแลว้ จะทาํ ให้ Pyloric sphincter เปิด อาหารกส็ ามารถผ่านไปยงั Duodenum ได้ Gastric juice ทถี ูกขบั ออกมาจะมปี รมิ าณ 2 ลติ รต่อวนั

202 ลาํ ไส้เลก็ (Small Intestine) เป็นส่วนทอี ยรู่ ะหว่างกระเพาะอาหารกบั ลําไสใ้ หญ่ มคี วาม ยาวเฉลยี ประมาณ 20 ฟุต ขดไปมาอยกู่ บั เกอื บเตม็ ชอ่ งทอ้ งส่วนล่าง การทลี าํ ไสเ้ ลก็ มดั ขดตวั ไปมานี เนืองจากขวั ลาํ ไส้ (Mesentery) ทยี ดึ มนั ไวม้ ขี นาดสนั ประมาณ 6 นิว ลาํ ไสเ้ ลก็ แบ่งออกเป็น 3 สว่ น คอื 1. Duodenum เป็นสว่ นตน้ ของลาํ ไสเ้ ลก็ ทตี ่อจากกระเพาะอาหาร มคี วามยาวประมาณ 10 นิว วางตวั อยหู่ ลงั Peritoneum มลี กั ษณะโคง้ เป็นรปู ตวั C ไมม่ ขี วั ลาํ ไสย้ ดึ และเป็นส่วนทมี ที อ่ นําดี (Common bile duct) มาเปิดรวมกบั ทอ่ จากตบั อ่อน (Pancreas) เรยี กวา่ Hepato – pancreatic duct และตรงรอยเปิดจะ มกี ลา้ มเนือหรู ดู เปิด – ปิด เพอื ทาํ หน้าทกี นั นําดแี ละนํายอ่ ยเขา้ สู่ Duodenum เมอื ยงั ไมม่ อี าหารผา่ นลงไป 2. Jejunum เป็นลาํ ไสเ้ ลก็ ส่วนที 2 ยาวประมาณ 2.5 เมตร หรอื 8 ฟุต มขี นาดเสน้ ผ่าน ศนู ยก์ ลางโตกวา่ lieum mesentery ของ Jejunum จะพบวา่ โปรง่ แสงกวา่ เพราะมไี ขมนั น้อย ลาํ ไสเ้ ลก็ สว่ นนีแปลว่าว่างเปล่า ในคนทตี ายแลว้ จะพบว่าว่างเสมอ จงึ เรยี กว่า Empty intestine 3. Ileum เป็นลาํ ไสส้ ่วนที 3 เป็นสว่ นทขี ดไปมา (Twisted intestine)มคี วามยาวประมาณ 4 เมตร หรอื 13.5 ฟุต มขี นาดเลก็ กวา่ Jejunum ที Ileum นีจะมเี สน้ เลอื ดมาเลยี งมากกว่า Jejunum และ เป็นลาํ ไสเ้ ลก็ สว่ นทมี กี ารยอ่ ยและการดดู ซมึ อาหารมากทสี ุด

203 ลกั ษณะสาํ คญั ของลาํ ไสเ้ ลก็ เมอื ผ่าดภู ายในจะมสี ่วนผนงั ลาํ ไสย้ นื ขนึ ไปเป็นสนั ตามขาวงเรยี ก Circular fold มากมาย สว่ น Duodenum และ Jejunum จะมี Circular fold ค่อนขา้ งสงู ทงั นีเพอื เพมิ พนื ทผี วิ ใหม้ ากขนึ และยงั มปี มุ่ เลก็ ๆ เรยี ก VIIII ยนื ออกมาจากพนื ผนงั ของลาํ ไสเ้ ลก็ อยา่ งแน่นหนา เหมอื นกบั เสน้ ขนบนพรมประมาณ 20 – 40 อนั ต่อเนือที 1 ตารางมลิ ลเิ มตร ทแี กนกลางของ VIIII จะมี ทอ่ นําเหลอื ง เรยี ก Lacteal ดงั นนั ViIIi และ Lacteal จงึ ทาํ หน้าทเี พอื การยอ่ ยและดดู ซมึ อาหารทยี อ่ ย แลว้ เขา้ ส่เู สน้ เลอื ด

204 ลาํ ไสเ้ ลก็ มหี น้าทยี อ่ ยอาหารและดดู ซมึ อาหารทยี อ่ ยแลว้ เพอื นําไปใชต้ ่อไปในการยอ่ ยอาหาร ลาํ ไสเ้ ลก็ ไดร้ บั นํายอ่ ยมาจาก 3 แหลง่ คอื Pancreatic juice จากตบั อ่อน Bile (นําด)ี จากตบั และ Intestinal juice จากผนงั ลําไสเ้ ลก็ ซงึ ในลาํ ไสเ้ ลก็ มนี ํายอ่ ยต่างๆ จะทาํ งานไดด้ จี ะต้องมสี ภาวะเป็นด่าง ลาํ ไส้ใหญ่ (Large Intestine) เป็นสว่ นตดิ ต่อระหวา่ ง Ileum กบั Anus ยาวประมาณ 5 ฟุต จะอยทู่ างดา้ นขา้ งของลําไสเ้ ลก็ ลกั ษณะทสี าํ คญั ของลาํ ไสใ้ หญ่คอื 1. มลี กั ษณะเป็นกระพุง้ เรยี ก Haustra of sacculationการทลี าํ ไสใ้ หญ่มลี กั ษณะเป็นกระพุง้ เพราะทผี นงั ลําไสใ้ หญ่ภายนอกมแี ถบกลา้ มเนือเรยี บ 3 แถบ กวา้ งประมาณ # เซนตเิ มตร เรยี ก Taenia $ Coli วงิ ตามความยาวของลาํ ไสใ้ หญ่แต่มไี มร่ อบผนงั ลาํ ไสใ้ หญ่ จงึ ทาํ ใหล้ าํ ไสใ้ หญ่หดสนั เป็นกระพุง้ และ สนั กวา่ ปกติ 2. ลกั ษณะผนงั ภายในลําไสใ้ หญ่จะเหมอื นกนั เกอื บทุกตอน คอื มี Epithelium ปกคลุมเป็น Simple columnar epithelium ยกเวน้ ที anus จะเป็น Stratified Squamous epithelium ลกั ษณะอนื ๆ คลา้ ยกบั ทพี บในลาํ ไสเ้ ลก็ ลาํ ไสใ้ หญ่ไมม่ ี ViIIi คงมแี ต่ Intestinal gland แต่ในส่วนล่างของ Anal canal จะไมม่ ี Intestinal gland ลาํ ไสใ้ หญ่แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ส่วน คอื 1. Caecum เป็นสว่ นลําไสใ้ หญ่ตอนตน้ ยาวประมาณ 1 - 2 นิว ตรงที Caecum ต่อกบั Ileum จะมลี กั ษณะคลา้ ยหูรดู คอยปิด – เปิดเพอื ป้องกนั ไมใ่ หอ้ าหารทยี งั ยอ่ ยและดดู ซมึ ไมเ่ รยี บรอ้ ยผ่านเขา้ Caecum ส่วนปลายของ Caceum จะมไี สต้ งิ (appendix) ปรากฏอยู่ ไสต้ งิ ไมม่ ปี ระโยชน์เกยี วกบั การดดู ซมึ หรอื การยอ่ ยอาหารใดๆ ทงั สนิ หากตดั ออกกไ็ มม่ ผี ลเสยี หายอะไร กากอาหารทอี ยใู่ น Caecum จะ อยใู่ นลกั ษณะ เป็นของเหลว เมอื กากาอาหารผ่านลาํ ไสใ้ หญ่ไปนําจะถูกดดู ออกจากกากอาหารไปเรอื ยๆ 2. Colon เป็นส่วนทตี ่อจาก Caecum และแบ่งออกเป็นตอน ส่วนทตี ่อจาก Caecum คอื Ascending colon ยาวประมาณ 5 – 8 นิว เมอื ตาม Ascending colon ขนึ ไปจะสมั พนั ธก์ บั ตบั จากนนั ลาํ ไสใ้ หญ่จงึ หกั มมุ ไปทางซา้ ย เรยี กบรเิ วณมมุ ทหี กั วา่ Hepatic flexure or Right colic flexure สว่ น ต่อไปคอื Transverse colon ยาวประมาณ 18 นิว ทอดขวางช่องทอ้ งไปจนถงึ มา้ ม (Spleen) แลว้ จะมี การหกั ลงลา่ งเรยี กจดุ ทหี กั ลงวา่ Splenic flexure or Left colic flexure ส่วนทที อดลงลา่ ง คอื Descending colon ยาวประมาณ 9 – 12 นิว แลว้ ทอดขา้ ม External iliac artery จะกลายเป็น Sigmoid colon ยาวประมาณ 15 นิว สว่ นของ Sigmoid colon นีทอดลงไปสนิ สดุ ทรี ะดบั กระดกู สนั หลงั สว่ น Sacrum ชนิ ที 3 ต่อจากนันกจ็ ะเป็น Rectum 3. Rectum เป็นสว่ นทตี ่อมากจากSigmoid colon เป็นลาํ ไสส้ ว่ นปลาย มคี วามยาวประมาณ 4 – 5 นิว สว่ นลา่ งของ Rectum เรยี ก Anal canal ซงึ จะตดิ ต่อกบั ทวารหนกั (Anus) ลกั ษณะภายในของ Rectum จะมี Mucous membrane ยนื ขนึ ไป มลี กั ษณะเป็นสนั หรอื ลนิ 3 อนั ทาํ ใหอ้ ุจจาระทถี ่ายออกมา มลี กั ษณะเป็นกอ้ นๆได้ ทRี ectum จะไมม่ ี Taenia colic แต่มี Goblet cell มาก

205

206 ทวารหนัก (Anus) ยาวประมาณ ½ นิว เป็นสว่ นสุดทา้ ยของทางเดนิ อาหารก่อนทจี ะผ่าน ออกส่ภู ายนอก ทปี ลายของAnus จะพบกลา้ มเนือหรู ดู 2 หรู ดู อนั ใน เรยี ก Internal sphincter เป็น กลา้ มเนือเรยี บอยนู่ อกอํานาจจติ แต่ถกู กระตุน้ โดยกากอาหารทลี งไปในRectum ทาํ ใหห้ ดตวั ได้ (ปกติ Rectum จะวา่ งเสมอ) สว่ นหรู ดู อนั นอก เรกี External sphincter เป็นกลา้ มเนือลาย สามมารถควบคมุ ได้ หากยงั ไมถ่ งึ เวลาอนั สมควารทจี ะปล่อยอุจจาระออกมากส็ ามารถกลนั อุจจาระไวไ้ ด้ เมอื กากอาหารลงไป ในRectum กากอาหารกจ็ ะกระตุน้ Rectum ใหข้ ยายตวั ขนึ และเป็นผลไปกระตุ้น Receptor ทผี นงั ลาํ ไส้ ใหญ่กลายเป็นกระแสประสาทสง่ ไปยงั สมอง แลว้ สมองกจ็ ะสง่ คาํ สงั ทางระบบANS ทาํ ใหล้ าํ ไสใ้ หญ่หด ตวั กากอาหารกจ็ ะผา่ นหรู ดู ออกมาได้ ดงั นั เราสามารถฝึกหดั ใหเ้ ดก็ ถ่ายเป็นเวลาไดโ้ ดยการดมื นําตอน ตนื นอนหรอื หลงั อาหารเชา้ เพอื กากอาหารจะไมค่ า้ งอย่ใู นลาํ ไสใ้ หญ่นาน ถา้ กากอาหารยงิ คา้ งอย่นู าน เทา่ ใด ลาํ ไสใ้ หญ่กจ็ ะดูดนําออกจากกากอาหารมากขนึ เทา่ นัน ทาํ ใหก้ ากอาหารเป้นกอ้ นแขง็ ขนึ เรอื ยๆ ยากแก่การขบั ถ่ายออก อาการเหลา่ นีพบกบั คนทอ้ งผกู บ่อยและนาน2 -3 วนั หน้าทสี าํ คญั ของลาํ ไสใ้ หญ่ คอื ดดู นําและเกลอื แร่ Na+ K+ ออกจากกากอาหาร และเป็น ทางผ่านของกากอาหารออกส่ภู ายนอก อาหารทผี า่ นมาจากIleocecal valve จะมลี กั ษณะเหลวๆ เมอื กากอาหารผา่ นไปตามลาํ ไสส้ ว่ นต่างๆ นํากจ็ ะถูกดดู กลบั เขา้ ผนงั ลาํ ไส้ ทาํ ใหก้ ากอาหารมลี กั ษณะแขง็ ขนึ เรอื ยๆ กากอาหารนีส่วนมากเป็น Cellulose ทรี ่างกายไมส่ ามารถยอ่ ยได้ ภายในลาํ ไสใ้ หญ่จะมี แบคทเี รยี ดว้ ย เมอื ผนงั ลาํ ไสใ้ หญ่ดดู นําออกไปแลว้ แบคทเี รยี สว่ นมากจะตาย และถกู ขบั ออกมาพรอ้ ม กากอาหาร ปกตกิ ากอาหารจะผา่ นไปตามลาํ ไสใ้ หญ่กนิ เวลานานประมาณ 24 ชวั โมง อวยั วะทีช่วยย่อยอาหาร ตบั (Liver) จะตดิ อยใู่ ตก้ ะบงั ลมดา้ นขวาและผนงั ทางดา้ นหน้าของหน้าทอ้ งโดยเยอื เกยี วพนั (Ligament) หนกั ประมาณ 1,500 กรมั ตบั แบง่ ออกเป็น 2 กลบี (Lobe) กลบี ใหญ่อยทู่ างขวา กลบี เลก็ อยทู่ างซา้ ย แต่ละกลบี ประกอบดว้ ยกลบี เลก็ ๆ (Lobule) เป็นจาํ นวนมาก และยดึ ตดิ กนั ไวด้ ว้ ยเยอื เกยี วพนั ในแต่ละ Lobule จะมเี ซลลข์ องตบั ซงึ เป็นเซลลต์ ่อมเรยี งกนั เป็น Cord และเซลลเ์ บยี ดกนั มาก จงึ มลี กั ษณะเป็น รปู หลายเหลยี ม มนี ิวเคลยี สเหน็ ไดช้ ดั ระหวา่ งเซลลจ์ ะมชี อ่ งวา่ งทาํ หน้าทเี หมอื นเสน้ เลอื ดฝอย เรยี กว่า Sinusoid or Hepatic capillary แทรกอยทู่ วั ไป Sinusoid จะบดุ ว้ ย Kupffer cells เซลลเ์ หลา่ นีกนิ สงิ แปลกปลอมต่าง ๆ ได้ และขจดั ออกจากกระแสเลอื ด โดยความสามารถอนั นี ตบั จะมี หน้าทใี นการกรองเลอื ด Sinusoid รบั เลอื ดจากแขนงของเสน้ เลอื ดดาํ Hepatic portal vein แลว้ ไป รวมกนั ตรงกลาง Lobule เป็น intralobular vein (Central vein) ซงึ เป็นแขนงหนึงของ Hepatic vein ที ออกจากตบั เลอื ดทมี าสตู่ บั มี 2 ชนดิ คอื เลอื ดแดงมาทาง Hepatic artery นําอาหารและอากาศมาเลยี ง เซลลใ์ นตบั และเลอื ดดาํ มาทาง Hepatic portal vein นําอาหารทไี ดจ้ ากการดดู ซมึ ทลี าํ ไสเ้ ลก็ เขา้ มาทาง ตบั เพอื ใหม้ กี ารเปลยี นแปลงปรบั ปรงุ ใหเ้ หมาะสม แลว้ เสน้ เลอื ดทงั สองจะไหลรวมเป็นเสน้ เดยี ว ผา่ น Hepatic vein เขา้ สู่ Inferior vena cava เพอื เขา้ สหู่ วั ใจหอ้ งบนขวา ตบั เป็นอวยั วะทสี าํ คญั มากของรา่ งกาย ทาํ หน้าทมี ากกว่าอวยั วะอนื ๆ หลายอวยั วะ นอกจากมี หน้าทเี กยี วขอ้ งกบั การยอ่ ยอาหารแลว้ ตบั ยงั มหี น้าทอี นื อกี ดงั นี

207 1. สรา้ งนําดี (Bile) ซงึ ทาํ หน้าทเี ป็นนํายอ่ ยอาหาร และเป็นตวั ขบั ถ่ายของสารจาํ พวก Cholesterol 2. สรา้ งโปรตนี ทพี บในพลาสมา เชน่ Albumin และ Fibrinogen ซงึ จาํ เป็นสาํ หรบั ทําใหเ้ ลอื ด แขง็ ตวั 3. สรา้ ง Heparin ซงึ ป้องกนั การแขง็ ตวั ของเลอื ด 4. สะสมคารโ์ บไฮเดรตไวใ้ นรปู ของ Glycogen และเมอื รา่ งกายตอ้ งการ จะปล่อยเขา้ สกู่ ระแส เลอื ดในรปู ของ Glucose 5. สงั เคราะห์ Prothrombinโดยอาศยั วติ ามนิ K ช่วย 6. สงั เคราะห์ Amino acid จากสารประกอบง่าย ๆ 7. เป็นแหลง่ สรา้ งเมด็ เลอื ดแดงในทารกขณะอยใู่ นครรภ์ หน้าทนี ีจะหยดุ ไปเมอื ทารกคลอด 8. สลาย Hemoglobin ของเมด็ เลอื ดแดง เมด็ เลอื ดแดงทแี ก่แลว้ จะถกู ทาํ ลายโดยมา้ ม ใหเ้ ป็น Globin และ Heine จากนนั Kup ออกเป็น Billirubin และธาตุเลก็ (Fe) 9. เป็นทเี กบ็ สะสมวติ ามนิ B12 ซงึ จาํ เป็นอย่างยงิ ในการสรา้ งเมด็ เลอื ดแดงเพอื ป้องกนั โรค เลอื ดจาง (Anemia) 10. เกบ็ สะสมวติ ามนิ A และวติ ามนิ D 11. เกบ็ สะสมธาตุเหลก็ และทองแดง 12. เป็นทสี ะสมและทาํ ลาย Uric acid 13. ทาํ ลายสงิ ทเี ป็นพษิ (Detoxification) ต่อรา่ งกาย กําจดั Amoniaในเลอื ด โดยเปลยี นให้ เป็น Urea ซงึ มพี ษิ น้อยกว่า 14. เป็นศูนยก์ ลาง Metabolismของคารโ์ บไฮเดรตและไขมนั มสี ่วนประกอบของนํายอ่ ยหลาย ชนิด เช่น Trypsinogen จะถกู เปลยี นเป็น Trypsin (โดยการชว่ ยของนํายอ่ ยจาํ ลาํ ไสเ้ ลก็ ) Typsinจะช่วย ยอ่ ย Peptone ใหเ้ ป็น Amino acid Amylase ยอ่ ยแป้งหรอื Carbohydrate ใหเ้ ป็นนําตาล (Glucose) สว่ น Lipase ใชใ้ นการยอ่ ยไขมนั ใหเ้ ป็น Patty acid และ Glycerol

208 นําดี (Bile) สว่ นประกอบของนําดไี มม่ ี Enzyme มี pH 5 – 6 ตบั สรา้ งนําดี วนั ละ 400 – 800 มลิ ลลิ ติ ร มสี ว่ นประกอบ 2 ชนิด คอื Bile salt (เกลอื นําด)ี มหี น้าทที าํ ใหไ้ ขมนั แตกตวั เลก็ ลง (Emulsification) และเพอื ใหน้ ํายอ่ ย Lipase จาก Pancreatic juice ยอ่ ยต่อไปกลายเป็น Glycerol และ โ Fatty acid อกี พวกหนึง คอื Bile pigment (สขี องนําด)ี ไดแ้ ก่ Bilirubin และ Biliverdin เป็นผลทเี กดิ จาก Hemoglobin ถูกทาํ ลาย Bilirubin มสี นี ําตาล ส่วน Biliverdin มสี เี หลอื งจนถงึ เขยี ว สขี องนําดจี ะถูก ขบั ออกมาทางอุจจาระ โดยทาํ ใหอ้ ุจจาระมมี เี หลอื งแกมนําตาลในคนปกติ แต่ถา้ ขาดนําดแี ลว้ ไขมนั ไม่ ถกู ยอ่ ย อุจจาระทอี อกมาจะมสี ขี าว ถงุ นําดี (Gall bladder) ตงั อยทู่ พี นื ล่างของตบั ทางดา้ น Lobe ขวา และมเี นือเยอื เกยี วพนั ยดึ ใหอ้ ยกู่ บั ที ถงึ นําดมี หี น้าทเี กบ็ และทาํ ใหน้ ําดเี ขม้ ขน้ สามารถเกบ็ นําดไี ดป้ ระมาณ 30 – 50 มลิ ลเิ มตร เมอื ตบั สรา้ งนําดี (Bile) แลว้ ส่งออกจากตบั โดยผ่าน Hepatic duct ซา้ ยและขวา รวมกนั เป็น Common hepatic duct จากนันกจ็ ะถูกส่งไปเกบ็ ทถี ุงนําดมี าตามทอ่ Cystic duct มารวมกบั Common hepatic duct กลายเป็น Common bile duct หรอื Bile duct และเปิดเขา้ Duodenum รว่ มกบั Pancreatic duct (ทอ่ จากตบั อ่อน) เนืองจากถงึ นําดมี หี น้าทที าํ ใหน้ ําดเี ขม้ ขน้ โดยการดดู นําออก ดงั นนั Bile pigment ต่าง ๆ และ Choiesterolกจ็ ะถกู สะสมอย่ใู นถงึ นําดมี ากขนั จนกลายเป็นกอ้ น เรยี ก นิวในถงึ นําดี (Gall - stone) และ อาจไปอุด Cystic duct ทาํ ใหน้ ําดไี หลออกสู่ Duodenum ไมไ่ ด้ ผลทตี ามมา คอื ไขมนั ไมถ่ กู ยอ่ ย นําดไี ม่ สามารถนําไปใชไ้ ดเ้ พราะเกดิ การอุดตนั นําดกี จ็ ะไหลเขา้ เสน้ เลอื ดดาํ กลบั เขา้ สหู่ วั ใจ แลว้ กระจายไปยงั ส่วนต่างๆโดยจะออกสที ผี วิ หนงั และตาขาว (Sclera) มองเหน็ เป็นสเี หลอื ง ๆ ซงึ เป็นอาการหนึงของโรค ดซี ่าน (jaundice)

209 ตบั อ่อน (Pancreas) เป็นอวยั วะสาํ คญั อยา่ งหนึงของรา่ งกาย ตงั ขวางอยบู่ นผนงั ดา้ นหลงั ของชอ่ งทอ้ ง อยชู่ ดิ กบั duodenum และ Spleen อยหู่ ลงั Stomach มขี นาด 1× 6 × 0.5 นิว แบง่ ออกเป็น 4 ส่วน คอื Head, Neck, Body และ Tail โดย Head จะอยใู่ นสว่ นโคง้ ของ duodenum Body อยกู่ ลาง Tail อยชู่ ดิ กบั ขวั ของมา้ ม (Spleen) ส่วน Neck อยรู่ ะหวา่ ง head และ Body ตบั อ่อนทาํ งานได้ 2 ส่วน คอื 1. สว่ นทที าํ หน้าทสี รา้ งนํายอ่ ย โดยอาศยั วา่ เป็นต่อมมที อ่ (Exocrine part) สรา้ งนํายอ่ ย Pancreatic juice ส่งออกมาตามท่อ Pancreatic duct ซงึ ทอดอยตู่ ลอดความยาวของตบั อ่อน ไปเปิดเขา้ สู่ Duodenum 2. สว่ นทเี ป็น Endocrine gland ทาํ หน้าทสี รา้ งฮอรโ์ มน Insulin และ Glucagon ดงั กล่าวต่อไป ในเรอื งต่อมไรท้ ่อ นํายอ่ ยจากตบั อ่อน (Pancreatic juice) ถูกขบั ออกมาประมาณวนั ละ 800 มลิ ลลิ ติ ร ลกั ษณะทวั ๆ ไปของทางเดินอาหาร ทางเดนิ อาหารตงั แต่ลาํ คอ (Pharynx) ลงไปจนถงึ Rectum จะมลี กั ษณะเป็นทอ่ กลวงเพอื ให้ อาหารผ่าน ประกอบดว้ ยชนั ต่างๆ 4 ชนั คอื 1. Mueosa (ชนั ในสดุ )เป็นMucous membrane เป็นชนั ทมี เี ยอื บุผดชดิ กบั ช่องของทางเดนิ อาหารและมเี นือเยอื เกยี วพนั หุม้ อยหู่ ลาว ๆ ในกระเพาะยงั มตี ่อมสรา้ งนํายอ่ ยฝงั อยู่ 2. Submucosa(ชนั ที 2)เป็นชนั เนือเยอื เกยี วพนั ชนิดหลวม ๆ มเี สน้ เลอื ด ท่อนําเหลอื ง และ ปลายประสาท อาจพบต่อมนําเหลอื ง (Lymphoid lisste) สว่ นใน Duodenum จะพบต่อมอยใู่ นชนั นีดว้ ย 3. Atuscular(ชนั ที 3) เป็นชนั ของกลา้ มเนือเรยี บทมี คี วามหนามากน้อยต่างกนั ขนึ อยกู่ บั อวยั วะ เช่น ที Exophaguxและ Stomach จะหนา แต่ใน Trachea ไมม่ เี ลย โดยปกตชิ นั นีจะ ประกอบดว้ ยกลา้ มเนือ 2 ชนั คอื 3.1 Outer longlundinal muscle (ชนั นอก) เป็นกลา้ มเนือเรยี งตามยาว เหน็ ไดช้ ดั ใน ลาํ ไสใ้ หญ่แต่หุม้ ไมร่ อบ จงึ มองเหน็ เป็นเพยี ง 3 แถบยาว ๆ ทเี รยี กว่า Tacnia coil กลา้ มเนือทเี รยี ง ตามยาวนี เวลาหดตวั กจ็ ะมผี ลทาํ ใหท้ างเดนิ อาหารนนั ๆ สนั ลง ซงึ เป็นการเพมิ ความดนั ในท่อใหเ้ พมิ มากขนึ ผนงั ของอวยั วะนนั กข็ ยายออก จงึ ทาํ ใหก้ ารเคลอื นทขี องอาหารเป็นการรดี อาหารลงแบบลกู คลนื เรยี กว่า Peristalsis 3.2 Inner circular muscle (ชนั ใน) เป็นกลา้ มเนือเรยี งเป็นวงรอบทางเดนิ อาหาร จะมี ผลทาํ ใหท้ ่อทางเดนิ อาหารแคบลง และช่วยในการขบั ใหอ้ าหารทอี ยใู่ นทอ่ มกี ารเคลอื นทไี ปขา้ งหน้าได้ 4. Serosa (ชนั ที 4) เป็นชนั นอกสุดของผนงั ทางเดนิ อาหาร อวยั วะทางเดนิ อาหารทอี ยใู่ นชอ่ ง ทอ้ งจะมเี ยอื บุชอ่ งทอ้ ง (Peritoneum) หุม้ อยู่ แต่ถา้ ส่วนของทางเดนิ อาหารอยใู่ นบรเิ วณชอ่ งอกหรอื คอ จะเรยี กวา่ Tunica adventitia ผนงั ชนั นีอาจมไี ขมนั และเสน้ เลอื ดจาํ นวนมา โดยเฉพาะทลี ําไสเ้ ลก้ เยอื บชุ อ่ งทอ้ ง (Peritoneum) เป็น Serous membrane ทกี วา้ งทสี ุดซงึ คาดอย่ภู ายใน Abdominal cavity และตลบกลบั ไปคลมุ อวยั วะต่าง ๆ เนืองจาก Abdominal wall กบั Peritoneum อยู่

210 ตดิ กนั อวยั วะใจช่องทอ้ งจงึ ดนั Peritoneum ใหบ้ มุ๋ ตวั เขา้ ไป จน Peritoneum คลมุ ไวโ้ ดยรอบอวยั วะนัน ๆ ดงั นนั Peritoneum ทอี ย่รู อบกจ็ ะเป็นตวั ยดึ อวยั วะเหลา่ นนั ใหอ้ ยกู่ บั ที มชี อื เรยี กต่าง ๆ กนั คอื 1. Ligament เป็น 2 ชนั ของ Peritoneum มี 2 พวก คอื พวกหนึงไมม่ ที ่อ และเสน้ เลอื ดยดึ ตบั ใหต้ ดิ กบั กะบงั ลม อกี พวกหนึงภายในมที อ่ และเสน้ เลอื ด เช่น Broad ligament ยดึ มดลกู ใหต้ ดิ กบั ดา้ นขา้ งของลาํ ตวั 2. mesentery เป็น 2 ชนั ของ Peritoneum ทยี ดึ ลาํ ไสเ้ ลก็ ใหต้ ดิ กบั ผนงั ดา้ นหลงั ของชอ่ ง ระหว่างชนั ทงั สองจะมเี สน้ เลอื ดทสี ่งไปเลยี งอวยั วะนนั ๆ 3. Omentum เป็น 2 ชนั ของ Peritoneum ทยี ดึ ลาํ ไสเ้ ลก็ ใหต้ ดิ กบั ผนงั ดา้ นหลงั ของชอ่ งระหว่าง ชนั ทงั สองจะมเี สน้ เลอื ดปรากฏอยเู่ ชน่ กนั แบ่งออกเป็น 2 พวก 3.1 Greater omentum คอื มา่ นแขวนกระเพาะ ยดึ ระหวา่ งโคง้ ใหญ่ของกระเพาะ อาหารกบั ลาํ ไสใ้ หญ่ขวาง (Transverse colon) ทาํ หน้าทกี าํ จดั สงิ แปลกปลอมทเี ขา้ ไปในรา่ งกาย 3.2 Lesser omentum จะยดึ ตบั กบั โคง้ เลก็ ของกระเพาะอาหาร Omentumนียงั มหี น้าที เกบ็ ไขมนั ไวใ้ นร่างกายดว้ ย 4. Mesocolon เป็น 2 ชนั ของ Peritoneum ทคี ลา้ ย Mesentery (ขวั ยดึ ลาํ ไส)้ แต่ปิดลาํ ไสใ้ หญ่ ตดิ กบั ผนงั ดา้ นหลงั ของชอ่ งทอ้ ง กระบวนการย่อยอาหาร (Digestive process) การยอ่ ยอาหาร (Digestion) อาหารทเี ขา้ ไปในทางเดนิ อาหารจะถูกยอ่ ยใหม้ ขี นาดเลก็ พอทจี ะ ดดู ซมึ เขา้ ในรา่ งกายได้ การยอ่ ยอาหารตอ้ งอาศยั 1. กลไกของการยอ่ ยอาหาร (Mechanical process) 2. การยอ่ ยอาหารทตี อ้ งใชป้ ฏกิ ริ ยิ าทางเคมี (Chemical process) กลไกของการยอ่ ยอาหารประกอบดว้ ย 1. การเคยี ว (Mastication) อาหารจะถูกเคยี วในปากโดยฟนั ลนิ และแกม้ ทาํ ใหอ้ าหารแตกตวั เป็นชนิ เลก็ ๆ เพอื จะไดค้ ลุกเคลา้ กบั นําลาย ทาํ ใหอ้ าหารอ่อนลง เรยี กวา่ Bolus เพอื สะดวกต่อการกลนื การเคยี วอย่ภู ายใตอ้ ํานาจจติ 2. การกลนื (Deglutition) แบ่งไดเ้ ป็นระยะ ๆ ตามทางทอี าหารผา่ นจากปากถงึ กระเพาะ อาหาร ไดแ้ ก่ ปาก หลอดคอ และหลอดอาหาร 2.1 ระยะการกลนื ทอี ยใู่ นปาก ระยะนีอยภู่ ายใตอ้ ํานาจจติ อาหารถกู ปนั เป็นคาํ ๆ (Bolus) โดยเพดานอ่อนของปากรว่ มกบั สว่ นหลงั ของหลอดคอ การกลนื ระยะนีจะต้องหยดุ หายใจชวั ครู่ ลนิ ไก่จะกระดกลงปิดหลอดลมไวเ้ พอื ไมใ่ หอ้ าหารตกลงไปในหลอดลม หากเกดิ ความผดิ ปกตขิ นึ กจ็ ะ สาํ ลกั ได้ 2.2 ระยะการกลนื ทอี ยบู่ รเิ วณหลอดคอ ระยะนีอยนู่ อกอํานาจจติ เมอื อาหารเป็นคาํ ๆ ตกถงึ หลอดคอ กลา้ มเนือรอบหลอดคอจะหดตวั ผลกั อาหารใหล้ งไปส่หู ลอดอาหาร เพดานอ่อนจะถูก

211 ยกขนึ หยดุ หายใจชวั ครู่ หากมอี าหารพลดั เขา้ ไปในจมกู จะถกู กําจดั โดยการจาม สว่ นทตี กลงส่หู ลอดลม จะถกู กาํ จดั โดยการไป 2.3 ระยะการกลนื ทอี ยบู่ รเิ วณหลอดอาหาร ระยะนีอย่นู อกอํานาจจติ การกลนื จะมี ลกั ษณะเป็นลกู คลนื รดี อาหารใหล้ งสกู่ ระเพาะอาหาร (Peristalsis) ศูนยค์ วบคมุ การกลนื อยทู่ ี Medulla oblongata การกลนื จะลําบากหรอื กลนื ไมไ่ ดเ้ มอื มบี าดแผล หรอื เกดิ โคที Medulla oblongata 3. การเคลอื นไหวของกระเพาะอาหาร เมอื อาหารตกถงึ กระเพาะ จะถกู ผลกั เขา้ ไปยดึ ผนงั ส่วนทเี ป็นส่วนโคง้ นอก (Greater curvature) (แมจ้ ะมอี าหารในกระเพาะมาก แต่ความดนั ในกระเพาะก็ ไมส่ งู เพราะผนงั กระเพาะเป็นกลา้ มเนือเรยี บ มกี ารยดึ หดไดด้ )ี กระเพาะจะคลายตวั เป็นระยะสนั ๆ แลว้ จงึ มกี ารเคลอื นไหวเพมิ ขนึ คอื 3.1 การคลกุ เคลา้ (Mixing wave) เป็นการเคลอื นไหวแบบ Tonic contraction มี ลกั ษณะเป็นคลนื คลุกเคลา้ อาหารซงึ จะเกดิ ไลก่ นั ไปทุก 20 วนิ าที อาหารจะคลกุ เคลา้ กบั นํายอ่ ยทหี ลงั จากกระเพาะอาหารไดด้ ี 3.2 การบบี ไลอ่ าหาร (Peristallic wave) มหี น้าทชี ว่ ยไลอ่ าหารจากกระเพาะไปยงั ลาํ ไส้ โดยมคี วามแรงมากกว่าคลนื คลุกเคลา้ จงึ มโี อกาสผลกั อาหารเขา้ ส่สู ่วน Pylorus ไดเ้ รว็ กว่าสว่ นอนื 3.3 การหดตวั (Hunger contraction) เกดิ เมอื กระเพาะวา่ ง เป็นการหดตวั ทรี นุ แรง กว่าแบบอนื การหดตวั แบบนีคลา้ ย Peristalsis คอื เรมิ จาก Cardia ไปยงั Pylorus หรอื ทเี รยี กว่า ปวด ทอ้ งแบบหวิ อาหารจะอยทู่ กี ระเพาะอาหารประมาณ 3 – 4 ชวั โมง กระเพาะจงึ จะว่างใหม่ ซงึ ขนึ อยกู่ บั ปจั จยั ต่อไปนี คอื 1. ความหนกั ของอาหาร 2. ปรมิ าณของอาหาร 3. ชนดิ ของอาหาร เช่น คารโ์ บไฮเดรตผา่ นกระเพาะอาหารไดเ้ รว็ กว่าโปรตนี และ โปรตนี เรว็ กวา่ ไขมนั ดงั นัน ไขมนั จะอย่ทู กี ระเพาะอาหารนานทสี ุด อาหารทอี ยใู่ นกระเพาะอาหาร เรยี กว่า Chyme 4. การเคลอื นไหวของลาํ ไสเ้ ลก็ อาหารทถี ูกยอ่ ยบา้ งแลว้ จากกระเพาะซงึ มลี กั ษณะเหลว ๆ จะ เคลอื นผา่ นมายงั ลําไสเ้ ลก็ เพอื จะไดท้ าํ การยอ่ ยใหเ้ ป็นโมเลกุลทเี ลก็ ทสี ุด และเป็นบรเิ วณทมี กี ารดดู ซมึ เขา้ สรู่ า่ งกาย สว่ นทเี หลอื จะถกู ่งต่อไปยงั ลาํ ไสใ้ หญ่ อาหารจะอยทู่ ลี าํ ไสเ้ ลก็ ประมาณ 3 – 4 ชวั โมง การ เคลอื นไหวในลาํ ไสเ้ ลก็ นีแบ่งเป็น 4 แบบดว้ ยกนั คอื 4.1 การบบี ตวั แบบ Tonus โดยการเปลยี นแปลงของอตั ราการหดตวั เกดิ ขนึ เฉพาะ แหง่ และสามารถเกดิ อย่างชา้ ๆ ในทกุ สว่ นของระบบยอ่ ยอาหาร โดยไมข่ นั อยกู่ บั ประมาตรหรอื ชนดิ ของ อาหารทอี ยภู่ ายในลาํ ไสเ้ ลก็ 4.2 การเคลอื นทแี บบลกู ตุม้ นาฬกิ า (Pendular movement) เกดิ จากการหดตวั ของ กลา้ มเนือเรยี บตามยาว คลนื การหดตวั จะเป็นระยะสนั ทาํ ใหเ้ กดิ การแกรง่ ของลกู ตุม้ นาฬกิ าประมาณ 10 – 12 ครงั /นาที เพอื ให้ Chyme คลุกเคลา้ กบั นํายอ่ ยไดด้ ขี นึ แต่ไมส่ ามารถใส่อาหารทยี อ่ ยแลว้ ลงไปยงั ลาํ ไสใ้ หญ่ได้

212 4.3 การเคลอื นทแี บบบบี ตวั เขา้ หากนั เป็นปลอ้ งๆ (Segmentation contraction or Rhythmic segmentation) เป็นการบบี ตวั เพอื คลกุ เคลา้ โดยทผี นงั ลาํ ไสบ้ บี ตวั เขา้ หากนั เป็นปลอ้ ง ๆ ทาํ ใหอ้ าหารทอี ยใู่ กลเ้ คยี งเคลอื นทเี ขา้ หากนั การหดตวั แบบนีเกดิ ขนึ ตลอดลาํ ไสเ้ ลก็ จะมอี ตั ราเรว็ ที Duodenum และชา้ ลงเรอื ย ๆ เมอื ถงึ ลาํ ไสส้ ่วน Ileum การหดตวั แบบนีมปี ระโยชน์สาํ หรบั คลกุ เคลา้ อาหาร แต่ไมส่ ามารถไลอ่ าหารไปยงั ลาํ ไสใ้ หญ่ได้ 4.4 การหดตวั แบบลกู คลนื (Peristalsis) การหดตวั แบบนีจะบบี ไล่อาหารใหเ้ คลอื นที ต่อไปเป็นคลนื ซงึ มที งั เคลอื นทชี า้ และเรว็ 5. การเคลอื นไหวของลาํ ไสใ้ หญ่ มกี ารหดตวั แบบต่าง ๆ เหมอื นลาํ ไสเ้ ลก็ เมอื อาหารถกู กนิ เขา้ ไป จะทําใหเ้ กดิ การบบี ไสพ้ รอ้ มกนั ตลอดชว่ งของลาํ ไสใ้ หญ่ เรยี ก Mass peristalsis ซงึ เกดิ ใน Ascending colonและ Transverse colon เป็นการบบี กากอาหารทเี ป็นอุจจาระเขา้ ไปใน Descending colon เพอื ปลอ่ ยออกนอกรา่ งกาย กากอาหารจะอยบู่ รเิ วณลาํ ไสใ้ หญ่นาน 6 – 8 ชวั โมง และถกู เกบ็ อยู่ ในลาํ ไสใ้ หญ่จนกว่าจะมกี ารขบั ถ่าย ซงึ อาจใชเ้ วลาประมาณ 24 ชวั โมงหรอื นานกว่านนั การยอ่ ยทตี อ้ งใชป้ ฏกิ ริ ยิ าทางเคมี ประกอบดว้ ยนํายอ่ ยซงึ เกดิ จากต่อมต่าง ๆ ในทางเดนิ อาหาร เพอื ทาํ การยอ่ ยอาหารใหเ้ ป็นโมเลกุลทเี ลก็ ทสี ุดจนรา่ งกายสามารถดดู ซมึ ไปใชไ้ ด้ ประกอบดว้ ย 1. นําลาย (Saliva) สรา้ งจากต่อมนําลาย 3 คทู่ บี รเิ วณปาก ในนําลายมี Ptyalin enzymeหรอื Salivary amylase ทาํ หน้าทยี อ่ ยแป้งสุกใหเ้ ป็นนําตาล Maltose 2. นํายอ่ ยจากกระเพาะอาหาร (Gastric juice) มสี ว่ นประกอบ เช่น 2.1 Pepsin ทาํ หน้าทยี อ่ ยโปรตนี (Pepsinogen จะเปลยี นเป็น Pepsin ได้ ตอ้ งรบั การ ชว่ ยเหลอื จากกรดเกลอื – HCI) 2.2 Rennin ชว่ ยยอ่ ยนม โดยทาํ ใหน้ มขน้ และแขง็ ตวั เนืองจากโปรตนี Cuscinทอี ยใู่ น นมตกตะกอน นํายอ่ ยนีพบมากในทารก Rennin เกอื บไมม่ ปี ระโยชน์เลยในผใู้ หญ่ เพราะกรดเกลอื สามารถทําใหน้ มจบั กนั เป็นกอ้ นแขง็ ได้ และป้องกนั มใิ หไ้ หลผ่านกระเพาะอาหารรวดเรว็ เกนิ ไป จะไดม้ ี โอกาสถูกยอ่ ย Pepsin ไดด้ ขี นึ 2.3 กรดเกลอื (HCI) สรา้ งจาก Parietal cells ในต่อมกระเพาะอาหาร เซลลช์ นิดนี มี อยจู่ าํ นวนมากบรเิ วณกงึ กลางของกระเพาะ มฤี ทธเิ ป็นกรด มหี น้าที (1) ทาํ ใหส้ ารอาหารโปรตนี ผดิ ลกั ษณะไปจากเดมิ เหมาะสาํ หรบั ที Pepsin จะ ออกฤทธยิ อ่ ยได้ (2) ทาํ ใหเ้ หลก็ จากอาหารอยใู่ นรปู ของเกลอื Ferrous ซงึ รา่ งกายสามารถดดู ซมึ ไปใชไ้ ด้ (3) ฆา่ แบคทเี รยี ทปี นมากบั อาหาร ทาํ ใหอ้ าหารไมบ่ ดู เน่าและไมเ่ กดิ การตดิ เชอื 2.4 Mucous จะช่วยในการป้องกนั การยอ่ ยตวั เองของกระเพาะอาหาร โดยนํายอ่ ย Pepsin 3. นํายอ่ ยจากตบั อ่อน

213 3.1 Trypsin, Chymotrypsin และ Carboxy peptidase ยอ่ ยโปรตนี 3.2 Pancreatic amylase ยอ่ ยคารโ์ บไฮเดรต 3.3 Pancreatic lipase or Steapsin Chotesterol esterase ยอ่ ยไขมนั 4. นํายอ่ ยจากตบั และถงึ นําดี เอนไซมท์ ยี อ่ ยไขมนั อาหารเหลวจากกระเพาะ ไดแ้ ก่ Bile เป็น เกลอื ของนําดแี ละด่าง (Bicarbonate) 5. นํายอ่ ยจากลาํ ไสเ้ ลก็ เรยี ก Intestinal juice ถูกสรา้ งจากผนงั ของลาํ ไสเ้ ลก็ ภายใน Intestinal juice จะมพี วกนํายอ่ ยต่าง ๆ ไดแ้ ก่ 5.1 Enterokinase ทาํ หน้าทเี ปลยี น Trypsinogen ใหเ้ ป็น Trypsin ยอ่ ย Protein 5.2 Peptidase ยอ่ ย Peptone ใหเ้ ป็น Amino acid 5.3 Maltase ยอ่ ย Maltose ใหเ้ ป็น Glucose 5.4 Lipase ยอ่ ย Fat ใหเ้ ป็น Fatty acid และ Glycerol นํายอ่ ยจากลาํ ไสเ้ ลก็ จะทาํ งานไดด้ จี ะตอ้ งมสี ภาวะเป็นด่าง 6. นํายอ่ ยจากลาํ ไสใ้ หญ่ บรเิ วณลาํ ไสใ้ หญ่ไมม่ กี ารสรา้ ง Enzyme เลย แต่เซลลเ์ ยอื เมอื กที ผนงั ลาํ ไสใ้ หญ่สรา้ งนําเมอื กออกมาจาํ นวนมาก มลี กั ษณะขน้ มฤี ทธเิ ป็นด่าง ทาํ หน้าทหี ล่อลนื เพอื ให้ กากอาหารเคลอื นผ่านไปไดส้ ะดวก อาหารทผี ่านมาถงึ ลาํ ไสใ้ หญ่นนั สว่ นเป็นกากอาหารทไี มย่ อ่ ยแลว้ แต่ยงั มสี ่วนทเี ป็นนําและเกลอื แรม่ าก การดดู ซึม (Absorption) การดดู ซมึ หมายถงึ อาหารทผี า่ นการยอ่ ยจนมอี ณูเลก็ ลงแลว้ ไดแ้ ก่ Glucose, Amino acid, Fatty acid จะผ่านผนงั ทางเดนิ อาหารเขา้ สกู่ ระแสเลอื ด เพอื ถูกนําไปส่สู ่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย ปจั จยั ที มผี ลต่อการดดู ซมึ ของอาหารจะมากหรอื น้อย คอื 1. พนื ทสี าํ หรบั การดดู ซมึ เชน่ การขดตวั ของลาํ ไสเ้ ลก็ มี Villi ยนื ออกมาจากผนงั ลาํ ไสเ้ ลก็ 2. การไหลเวยี นของเลอื ด ถา้ การไหลเวยี นเลอื ดดี การดดู ซมึ กด็ ดี ว้ ย 3. การเคลอื นไหวของ Villi ถา้ Villi เคลอื นไหวดี กถ็ ูกซมึ ไดม้ าก 4. ความเขม้ ขน้ ของสารอาหาร ถา้ ทงั 2 ขา้ งของผนงั เยอื เมอื กของลาํ ไสเ้ ลก็ มคี วามเขม้ ขน้ ต่างกนั มาก การดดู ซมึ กเ็ ป็นไปไดด้ ี 5. ขนาดของสารทถี ูกดดู ซมึ ถา้ โมเลกุลใหญ่ กจ็ ะดดู ซมึ ไดช้ า้ กว่าโมเลกุลเลก็ 6. ความสามารถในการแผ่ซ่าน (Premcability) คอื ความยากง่ายของผนงั เยอื เมอื กทจี ะใหส้ าร นนั ผ่านไป เช่น สารทลี ะลายไดด้ ใี นไขมนั จะผา่ นเยอื เมอื กไปไดง้ า่ ยกวา่ เพราะผนงั เป็น Lipoprotein 7. Metabolism อตั ราการดดู ซมึ จะแปรตาม Metabolism เพราะตอ้ งอาศยั ATP ในการเคลอื นที

214 ตาํ แหน่งทีมกี ารดดู ซึม 1. การดดู ซมึ จากบรเิ วณปาก หลอดคอ และหลอดอาหารมนี ้อยมากจนไมค่ าํ นึงถงึ ได้ 2. ในกระเพาะอาหารจะมกี ารดดู ซมึ แต่แอลกอฮอลเ์ ท่านนั ประมาณ 30 – 40 เปอรเ์ ซน็ ตข์ อง แอลกอฮอลท์ ดี มื เขา้ ไปจะถูกดดู ซมึ ทกี ระเพาะอาหาร ทเี หลอื จะถูกดดู ซมึ ในสาํ ไสเ้ ลก็ ดว้ ยเหตุนีคนทดี มื เหลา้ ขณะทกี ระเพาะอาหารยงั วา่ งอยู่ จงึ เมาเรว็ กว่าคนทกี นิ อาหารมาก่อนแลว้ 3. ในลาํ ไสส้ ่วนปลาย Ileum ทาํ หน้าทดี ดู ซมึ อาหารทยี อ่ ยแลว้ ผา่ นผนงั ของลาํ ไสท้ าง Villi โดย Amino acid และ Glucose จะดดู ซมึ เขา้ Capillaries รอบ Villi แลว้ จงึ ผา่ นเขา้ สู่ Portal vein ไปยงั ตบั จากนนั ตบั จะเกบ็ บางสว่ นไว้ เชน่ Glucose ถูกเปลยี นเกบ็ ไวใ้ นรปู ของ Glycogen ซงึ ถกู ควบคุมโดย Insulin สาํ หรบั Amino acid เมอื ผา่ นมาถงึ ตบั กจ็ ะมกี ารเปลยี นแปลง บางสว่ นถูกสงั เคราะหก์ ลบั มาเป็น โปรตนี (Albumin, Globulin และ Fibrinogen) สว่ นทเี หลอื กจ็ ะถกู สง่ เขา้ Inferior vena cava ไปทหี วั ใจ เพอื สง่ ไปเลยี งรา่ งกายต่อไป ไขมนั นนั ถูกดดู ซมึ ผ่านไปทอ่ นําเหลอื งเลก็ ๆ ทอี ยภู่ ายใน Villi ทเี รยี กว่า Lacteal แลว้ รวมเป็นทอ่ ใหญ่ขนึ ไหลไปเขา้ Thoracic duct ซงึ เป็นทอ่ นําเหลอื งใหญ่อยแู่ ถวกลางตวั เปิดเขา้ สู่ Left Internal jugular vein เขา้ สกู่ ารไหลเวยี นของรา่ งกาย ไขมนั บางสว่ นจะถูกเกบ็ ไวท้ ตี บั และ กลา้ มเนือโดยอทิ ธพิ ลของ Insulin เชน่ กนั และถา้ ร่างกายเหลอื ใชก้ จ็ ะถกู เปลยี นมาเป็นไขมนั สะสมไวไ้ ด้ ผวิ หนงั โดยเฉพาะบรเิ วณหน้าทอ้ ง เรยี กวา่ ลงพงุ (Abdominous) 4. ลาํ ไสใ้ หญ่ ทาํ หน้าทดี ดู นําและเกลอื แร่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook