Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนจิตรกรรมสร้างสรรค์ รวมเล่ม

แผนจิตรกรรมสร้างสรรค์ รวมเล่ม

Published by Karuna Panumes, 2021-04-02 07:14:21

Description: แผนจิตรกรรมสร้างสรรค์ รวมเล่ม

Search

Read the Text Version

แผนการจดั การเรยี นรู้ แบบบรู ณาการคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ มและคณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ แบบบรู ณาการแนวคดิ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง และแบบเนน้ สมรรถนะ รหสั วชิ า 2301-2105 ชอ่ื วชิ า จติ รกรรมสรา้ งสรรค์ ตามหลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี พุทธศกั ราช 2556 ประเภทวชิ า ศลิ ปกรรม สาขาวชิ า คอมพวิ เตอรก์ ราฟิก จดั ทาโดย นางกรณุ า บญุ ธรรม ตาแหนง่ ครู อนั ดบั คศ.2 แผนกวชิ าวจิ ติ รศลิ ป์ ฝ่ ายวชิ าการ วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษารอ้ ยเอ็ด สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

2 คำนำ แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ มุ่งเน้นสรรถนะอำชีพ วิชำจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ (2301–2105)ซ่ึงเป็ นวิชำชีพพ้ืนฐำน ของคณะศิลปกรรม ดงั น้นั แผนกำรสอนน้ีจึงเป็นแผนกำรสอนที่ใชป้ ระกอบกำรเรียน กำรสอนของครูผูส้ อน ซ่ึง จดั ทำข้นึ ตรงตำมจุดประสงคร์ ำยวิชำ มำตรฐำนรำยวิชำ และคำอธิบำยรำยวิชำหลกั สูตรพทุ ธศกั รำช 2545 ปรับปรุง พุทธศกั รำช 2556 ของสำนกั งำนคณะกรรมกำรกำร ผูจ้ ัดทำ ได้จดั ทำแผนกำรสอนน้ีข้ึนมำเพื่อใช้ประกอบกำรเรียนกำรสอนในรำยวิชำดงั กลำ่ ว และเพื่อให้ กำรเรียนกำรสอนเป็นไปตำมแผนท่ีวำงไวแ้ ละสร้ำงผูเ้ รียนที่มีคุณภำพตรงตำมที่หลกั สูตรกำหนดไวใ้ นมำตรฐำน รำยวิชำผูจ้ ัดทำหวงั ว่ำนอกจำกจะสร้ำงประโยชน์ให้กบั ตัวผูส้ อนและกระบวนกำรเรียนกำรสอนแล้วคงจะเป็ น ประโยชนส์ ำหรับผอู้ ่นื ที่สนใจและอยำกทดลองนำไปใช้ นำงกรุณำ บญุ ธรรม ครูอนั ดบั คศ.2

3 สารบญั เร่ือง หน้า แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ 1 ตำรำงวิเครำะหค์ ำอธิบำยรำยวิชำ 2 กำรวิเครำะห์หลกั สูตร 3 ตำรำงวิเครำะห์หน่วยกำรเรียนรู้ 4 ตำรำงวิเครำะหจ์ ดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ 5 กำรวดั ผลประเมนิ ผล 6 แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 1 14 แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 2 27 แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 3 30 แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ที่ 4 34 แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 5 40 แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ที่ 6 55 เอกสำรตอ่ ทำ้ ยแผนกำรจดั กำรเรียนรู้ 79

4 แผนการจัดการเรียนรู้ รหัสวชิ า 2301 – 2126 ชื่อวชิ า จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ (นก.-ชม.) ( 3-6 ) หลักสูตร ประกำศนียบตั รวิชำชีพ (ปวช.) พุทธศกั รำช 2546 ประเภทวชิ า ศลิ ปกรรม สาขาวชิ า/กล่มุ วชิ า วจิ ิตรศิลป์ จดุ ประสงค์รายวิชา 1. เขำ้ ใจกระบวนกำรสร้ำงสรรคง์ ำนจิตรกรรม 2. เขำ้ ใจกระบวนกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ยเทคนิคตำ่ งๆ เช่น เทคนิคสีน้ำ เทคนิคสี โปสเตอร์ เทคนิคดินสอดี เทคนิคปำกกำลูกลนื่ 3. สำมำรถสร้ำงงำนจิตรกรรมจำดเทคนิคตำ่ งๆและงำนจิตรกรรมสื่อประสม มาตรฐานรายวชิ า 1. มคี วำมรู้เกี่ยวกบั เทคนิคกำรสร้ำงงำนจิตรกรรม 2. สำมำรถสร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ยเทคนิคต่ำงๆ ต้งั แต่ 2 อยำ่ งข้นึ ไป รวมท้งั กำรสร้ำงงำน จิตรกรรมส่ือประสม คาอธิบายรายวิชา ศกึ ษำกระบวนกำรสร้ำงสรรคง์ ำนจิตรกรรมดว้ ยเทคนิคตำ่ งๆ กำรสร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ยกำร ผสมเทคนิคต้งั แต่ 2 อยำ่ งข้ึนไป รวมถึงกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมส่ือประสม ศึกษำดูงำนจำกสถำนประกอบกำรพร้อมท้งั ทำรำยงำน

5 ลักษณะรายวชิ า รหัสวิชำ 2301-2126 ชื่อวชิ า จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ หน่วยกิต (ชงั่ โมง) 3(6) เวลำเรียนตอ่ ภำค 108 ช่ัวโมง รำยวิชำตำมหลกั สูตร ปรับหน่วยกำรเรี ยนเป็ นสมรรถนะ ชว่ั โมง จุดประสงค์รายวชิ า 36 1. เขำ้ ใจกระบวนกำรสร้ำงสรรคง์ ำนจิตรกรรม 1. นกั เรียนมคี วำมเขำ้ ใจกระบวนกำรสร้ำงสรรค์ 36 2. เขำ้ ใจกระบวนกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ยเทคนิค งำนจิตรกรรม ต่ำงๆ เช่น เทคนิคสีน้ำ เทคนิคสี 2. นกั เรียนมคี วำมเขำ้ ใจกระบวนกำรสร้ำงงำน 36 โปสเตอร์ เทคนิคดินสอดี เทคนิคปำกกำลกู ลืน่ จิตรกรรมดว้ ยเทคนิคต่ำงๆ เช่น เทคนิคสีน้ำ 3. สำมำรถสร้ำงงำนจิตรกรรมจำดเทคนิคต่ำงๆและ เทคนิคสี งำนจิตรกรรมสื่อประสม โปสเตอร์ เทคนิคดินสอดี เทคนิคปำกกำลกู ล่นื 3. นกั เรียนมคี วำมสำมำรถสร้ำงงำนจิตรกรรมจำก มาตรฐานรายวิชา เทคนิคต่ำงๆและงำนจิตรกรรมสื่อประสม 1. มคี วำมรู้เกี่ยวกบั เทคนิคกำรสร้ำงงำนจิตรกรรม 2. สำมำรถสร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ยเทคนิคตำ่ งๆ ต้งั แต่ 2 อยำ่ งข้ึนไป รวมท้งั กำรสร้ำงงำน จิตรกรรมสื่อประสม คาอธบิ ายรายวิชา ศกึ ษำกระบวนกำรสร้ำงสรรคง์ ำนจิตรกรรมดว้ ย เทคนิคตำ่ งๆ กำรสร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ยกำร ผสมเทคนิคต้งั แต่ 2 อยำ่ งข้นึ ไป รวมถึงกำรสร้ำงงำน จิตรกรรมส่ือประสม ศกึ ษำดูงำนจำกสถำนประกอบกำรพร้อมท้งั ทำรำยงำน 108

6 ตารางวิเคราะห์คาอธิบายรายวชิ า รหสั วิชำ 2301-2126 ช่ือวิชา จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ หน่วยกิต (ชง่ั โมง) 3(6) เวลำเรียนตอ่ ภำค 108 ชวั่ โมง คำอธิบำยรำยวิชำ หวั ขอ้ เน้ือหำ คาอธิบายรายวิชา 1. กระบวนกำรสร้ำงสรรคง์ ำนจิตรกรรม ศกึ ษำกระบวนกำรสร้ำงสรรคง์ ำนจิตรกรรมดว้ ย 2. กระบวนกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ยเทคนิคตำ่ งๆ เทคนิคตำ่ งๆ กำรสร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ยกำร เช่น เทคนิคสีน้ำ เทคนิคสี ผสมเทคนิคต้งั แต่ 2 อยำ่ งข้นึ ไป รวมถงึ กำรสร้ำงงำน โปสเตอร์ เทคนิคดินสอดี เทคนิคปำกกำลกู ล่นื จิตรกรรมส่ือประสม 3. กำรสร้ำงงำนจิตรกรรมจำกเทคนิคตำ่ งๆและงำน ศึกษำดงู ำนจำกสถำนประกอบกำรพร้อมท้งั ทำ จิตรกรรมสื่อประสม รำยงำน

7 การวิเคราะห์หลกั สูตร รหสั วิชำ 2301-2126 ช่ือวชิ า จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ หน่วยกิต (ชง่ั โมง) 3(6) เวลำเรียนต่อภำค 108 ช่ัวโมง มำตรฐำนรำยวิชำ ควำมรู้(Knowledge) ทกั ษะ(Skill) เจตคติ(Attitude) มาตรฐานรายวิชา - มคี วำมรู้เร่ือง - ปฏิบตั งิ ำน - เขำ้ ใจในแนวทำงกำร 1. มีควำมรู้เก่ียวกบั เทคนิคกำรสร้ำงงำน สร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ย สร้ำงงำนจิตรกรรมดว้ ย เทคนิคกำรสร้ำงงำน จิตรกรรม เทคนิคตำ่ งๆ ต้งั แต่ 2 เทคนิคตำ่ งๆ ต้งั แต่ 2 อยำ่ งข้ึนไป รวมท้งั กำร อยำ่ งข้ึนไป รวมท้งั กำร จิตรกรรม สร้ำงงำน สร้ำงงำน จิตรกรรมสื่อประสม จิตรกรรมส่ือประสม 2. สำมำรถสร้ำงงำน - เห็นคุณค่ำในงำน จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จิตรกรรมดว้ ยเทคนิค ต่ำงๆ ต้งั แต่ 2 อยำ่ งข้ึนไป รวมท้งั กำรสร้ำงงำน จิตรกรรมสื่อประสม

8 ตารางวิเคราะห์หน่วยการเรยี นรู้ รหสั วิชำ 2301-2126 ชื่อวชิ า จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ หน่วยกิต (ชง่ั โมง) 3(6) เวลำเรียนต่อภำค 108 ช่ัวโมง สัปดำห์ หน่วย ช่ือหน่วย/หวั ขอ้ เน้ือหำ จำนวน ที่ ที่ ชวั่ โมง 1 1 1. ควำมหมำยของจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 6 24 2-5 2 2. วสั ดุในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 24 24 6-9 3 3. กำรแสดงออกในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 24 6 10-13 4 4. คณุ คำ่ ในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 14-17 5 5. รูปแบบในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 18 6 6. อิทธิพลต่อกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ รวม 108

9 ตารางวิเคราะห์จดุ ประสงค์การเรียนรู้ รหสั วิชำ 2301-2126 ช่ือวชิ า จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ หน่วยกิต (ชง่ั โมง) 3(6) เวลำเรียนต่อภำค 108 ชว่ั โมง หน่วย ช่ือหน่วยหัวขอ้ เน้ือหำ ระดบั พฤตกิ รรมทพี่ ึงประสงค์ เวลำ ที่ พทุ ธนิสยั (ชม.) 1 1. ควำมหมำยของจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ทกั ษะ จิต 2 2. วสั ดุในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 3 3. กำรแสดงออกในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 1 2 3 4 5 6 พิสยั พิสัย 4 4. คุณค่ำในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 5 5. รูปแบบในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 1 11111 3 16 6 6. อทิ ธิพลตอ่ กำรสร้ำงงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 2 22222 6 2 24 2 22222 6 2 24 2 22222 6 2 24 2 22222 6 2 24 1 11111 3 16 10 10 10 10 10 10 30 10 100 108 หมายเหตุ 2 = ควำมเขำ้ ใจ 3 = กำรนำไปใช้ ระดบั พุทธพสิ ยั 1 = ควำมจำ 5 = สังเครำะห์ 6 = ประเมนิ ค่ำ 4 = วเิ ครำะห์

10 การวัดผลประเมนิ ผล รหสั วิชำ 2301-2126 ช่ือวชิ า จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ หน่วยกิต (ชง่ั โมง) 3(6) เวลำเรียนตอ่ ภำค 108 ชว่ั โมง กิจกรรมกำรวดั ผลและประเมนิ ผล คะแนนเต็ม หมำยเหตุ 1. กำรวดั ผลระหว่ำงเรียน 1.1 ทดสอบ.................................................................. ............-.................. ................................. 1.2 ประเมนิ ตำมสภำพจริง ............................40 .................................. 1.2.1 ผลงำน/ช้ินงำน 5 ชิ้น..................................... ..............................- ................................. 1.2.2 รำยงำน............................................................. .............................20 .................................. 1.2.3 โครงงำน.......................................................... .............................10 ................................. 1.2.4 แฟ้มสะสมงำน................................................. ...............................- ................................. 1.2.5 อน่ื ๆ (ระบ)ุ ..................................................... 2. กำรวดั ผลปลำยภำคเรียน 2.1 ทดสอบภำคทฤษฎี................................................. ..............................- .................................. 2.2 ทดสอบภำคปฏบิ ตั .ิ ............................................... .............................10 .................................. 3. บรู ณำกำรคุณธรรม จริยธรรม คำ่ นิยมและ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (20 คะแนน) ..............................5 ................................ 3.1 ควำมรบั ผดิ ชอบ..................................................... ..............................5 ................................. 3.2 ควำมมวี ินยั ............................................................ ..............................5 .................................. 3.3 ควำมสนใจใฝ่รู้...................................................... 3.4 มคี วำมคดิ สร้ำง......................................................

11 รายการหน่วย ชื่อหน่วย และสมรรถนะประจาหน่วย ชื่อเรื่อง สมรรถนะและจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม หน่วยท่ี 1. สมรรถนะ ควำมหมำยของจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เพอื่ ให้มีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจควำมหมำยของ จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ด้านความรู้ 1. ผเู้ รียนมคี วำมรู้ควำมเขำ้ ใจควำมหมำยของ จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ด้านทกั ษะ 1. ผเู้ รียนสำมำรถบอกควำมหมำยของจิตรกรรม สร้ำงสรรคไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง ด้านคุณธรรม จริยธรรม .1 มีควำมตรงตอ่ เวลำ มีควำมรับผิดชอบต่องำนท่ี ไดร้ บั มอบหมำย .2 นกั เรียนนกั ศกึ ษำแบง่ บนั ควำมรู้และแนะนำ แนวทำงท่ดี ีแกผ่ ูอ้ ืน่ ได้

12 รายการหน่วย ช่ือหน่วย และสมรรถนะประจาหน่วย ช่ือเรื่อง สมรรถนะและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หน่วยที่ 2. สมรรถนะ เทคนิคในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เพอื่ ให้มีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจเทคนิคในงำนจิตรกรรม สร้ำงสรรค์ สำมำรถนำเทคนิคต่ำงๆ ไปใชส้ ร้ำงงำนจิตรกรรม สร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม ด้านความรู้ 1. ผเู้ รียนมีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจเทคนิคในงำน จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ด้านทกั ษะ 1. ผเู้ รียน สำมำรถนำเทคนิคตำ่ งๆ ไปใชส้ ร้ำง งำนจิตรกรรมสร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม ด้านคุณธรรม จริยธรรม 1. มีควำมตรงตอ่ เวลำ มีควำมรับผดิ ชอบตอ่ งำนท่ี ไดร้ ับมอบหมำย 2. นกั เรียนนกั ศกึ ษำแบ่งบนั ควำมรู้และแนะนำ แนวทำงทดี่ ีแก่ผูอ้ นื่ ได้

13 รายการหน่วย ช่ือหน่วย และสมรรถนะประจาหน่วย ชื่อเรื่อง สมรรถนะและจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม หน่วยที่ 3. สมรรถนะ กำรแสดงออกในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เพื่อให้มคี วำมรู้ควำมเขำ้ ใจเทคนิคในงำนจิตรกรรม สร้ำงสรรค์ สำมำรถนำเทคนิคตำ่ งๆ ไปใชส้ ร้ำงงำนจิตรกรรม สร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ด้านความรู้ 1. ผเู้ รียนมคี วำมรู้ควำมเขำ้ ใจเทคนิคในงำน จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ด้านทักษะ 1. ผเู้ รียน สำมำรถนำเทคนิคต่ำงๆ ไปใชส้ ร้ำง งำนจิตรกรรมสร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม ด้านคุณธรรม จริยธรรม 1. มคี วำมตรงต่อเวลำ มคี วำมรบั ผิดชอบต่องำนที่ ไดร้ บั มอบหมำย 2. นกั เรียนนกั ศึกษำแบ่งบนั ควำมรู้และแนะนำ แนวทำงทดี่ ีแก่ผูอ้ ืน่ ได้

14 รายการหน่วย ชื่อหน่วย และสมรรถนะประจาหน่วย ช่ือเร่ือง สมรรถนะและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หน่วยที4่ . สมรรถนะ คณุ คำ่ ในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เพอื่ ให้มีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจคุณคำ่ ในงำนจิตรกรรม สร้ำงสรรค์ สำมำรถนำเทคนิคต่ำงๆ ไปใชส้ ร้ำงงำนจิตรกรรม สร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม ด้านความรู้ 1. ผเู้ รียนมีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจคุณคำ่ ในงำน จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ด้านทกั ษะ 1. ผเู้ รียน สำมำรถนำเทคนิคตำ่ งๆ ไปใชส้ ร้ำง งำนจิตรกรรมสร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม ด้านคุณธรรม จริยธรรม 1. มีควำมตรงตอ่ เวลำ มีควำมรบั ผดิ ชอบต่องำนท่ี ไดร้ ับมอบหมำย 2. นกั เรียนนกั ศกึ ษำแบ่งบนั ควำมรู้และแนะนำ แนวทำงทดี่ ีแก่ผูอ้ นื่ ได้

15 รายการหน่วย ชื่อหน่วย และสมรรถนะประจาหน่วย ช่ือเร่ือง สมรรถนะและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หน่วยที5่ . สมรรถนะ รูปแบบในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เพอื่ ให้มีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจรูปแบบในงำน จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ สำมำรถนำเทคนิคต่ำงๆ ไปใชส้ ร้ำงงำนจิตรกรรม สร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ด้านความรู้ 1. ผเู้ รียนมคี วำมรู้ควำมเขำ้ ใจรูปแบบในงำน จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ด้านทกั ษะ 1. ผเู้ รียน สำมำรถนำรูปแบบตำ่ งๆ ไปใชส้ ร้ำง งำนจิตรกรรมสร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม 1. มีควำมตรงต่อเวลำ มคี วำมรบั ผดิ ชอบต่องำนท่ี ไดร้ ับมอบหมำย 2. นกั เรียนนกั ศึกษำแบง่ บนั ควำมรู้และแนะนำ แนวทำงทีด่ ีแกผ่ ูอ้ ื่นได้

16 รายการหน่วย ชื่อหน่วย และสมรรถนะประจาหน่วย ชื่อเรื่อง สมรรถนะและจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม หน่วยท่6ี . สมรรถนะ อทิ ธิพลต่อกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เพอื่ ให้มคี วำมรู้ควำมเขำ้ ใจรูปแบบในงำน จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ สำมำรถนำเทคนิคตำ่ งๆ ไปใชส้ ร้ำงงำนจิตรกรรม สร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ด้านความรู้ 1. ผเู้ รียนมีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจรูปแบบในงำน จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ด้านทกั ษะ 1. ผเู้ รียน สำมำรถนำรูปแบบต่ำงๆ ไปใชส้ ร้ำง งำนจิตรกรรมสร้ำงสรรคไ์ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม ด้านคุณธรรม จริยธรรม 1. มีควำมตรงต่อเวลำ มีควำมรับผิดชอบตอ่ งำนท่ี ไดร้ ับมอบหมำย 2. นกั เรียนนกั ศกึ ษำแบง่ บนั ควำมรู้และแนะนำ แนวทำงที่ดีแกผ่ ูอ้ นื่ ได้

17 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 รหัสวิชำ 2301-2126 ชื่อวชิ า จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ( หน่วยกิต ) ช่วั โมง (3)6 ช่ือหน่วย ควำมหมำยของจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชวั่ โมง 6 ช่ัวโมง ชื่อเร่ือง ควำมหมำยของจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชวั่ โมง 6 ชว่ั โมง ................................................................................................................................................................................. สาระสาคญั มีหลกั ฐำนแน่นอนแลว้ ว่ำ งำนศลิ ปะมกี ำรพฒั นำกำรมำแลว้ ในอดีต ซ่ึงเป็นกำรยำกท่เี รำจะคน้ ใหพ้ บว่ำ มี กำรเริ่มสร้ำงงำนศลิ ปะกนั ข้ึนเม่อื ใด และเกิดข้นึ ไดอ้ ยำ่ งไร แตก่ พ็ อจะสนั นิษฐำนไดว้ ำ่ ผลงำนศลิ ปะเกิดข้ึนหลงั จำกท่ี มนุษยเ์ กิดข้นึ ในโลกแลว้ เพรำะงำนศลิ ปะทุกชนิด ทุกประเภท ตอ้ งเกิดจำกมนั สมอง ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ และทกั ษะ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ผูเ้ รียนมีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจ ควำมหมำยของจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 2. เขำ้ ใจหลกั กำรและข้นั ตอนของควำมหมำยของจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เนือ้ หาสาระ จิตรกรรม หมำยถงึ กำรสร้ำงสรรคผ์ ลงำนศลิ ปะ ซ่ึงส่วนให้คณุ ค่ำทำงสุนทรียโ์ ดยกำรระบำยสรลงบนพ้นื ผิว ของวตั ถอุ ยำ่ งชำนำญ วสั ดุที่ใชใ้ นงำนจิตรกรรม ตอ้ งเป็นวสั ดทุ เ่ี หมำะสมกบั กลวธิ ีกำรสร้ำงงำนท่ีคงทนถำวร เช่น สี น้ำมนั สีฝ่ นุ สีน้ำ สีน้ำทบึ สีพำสเตล สีพอลเิ มอร์ สีข้ผี ้ึงร้อน และสีน้ำสำหรบั กำรวำดภำพผนงั ปูนเปี ยก จิตรกร เลือกใชก้ ลวิธี วสั ดุและวิธีกำรในกำรแสดงออกที่เหมำะสมกบั ผลงำนทสี่ ร้ำงสรรคแ์ ละรสนิยม... กจิ กรรมการเรียนการสอน อธิบำย บรรยำย นำเขำ้ สู่บทเรียน ซกั ถำมรำยบุคคล ส่ือและแหล่งการเรยี นรู้ - เอกสำรประกอบกำรสอน ใบควำมรู้ ใบงำน - ตวั อยำ่ งภำพสำเร็จ การวัดผลและประเมินผล - พฤตกิ รรมกำรเรียน , ควำมสนใจ ซกั ถำม ขณะปฏิบตั งิ ำนทมี่ อบหมำย - พฤติกรรมหลงั เลิกเรียน ในคำบเรียน ควำมสะอำดบริเวณโตะ๊ เรียนและในช้นั เรียน บันทึกหลังการสอน นกั เรียนสำมำรถรู้เขำ้ ใจหลกั กำรและข้นั ตอนของของจิตรกรรมสร้ำงสรรค์

18 เนือ้ หาสาระ จติ รกรรมพืน้ ฐาน ควำมรู้ทวั่ ไปเก่ียวกบั จิตรกรรม มหี ลกั ฐำนแน่นอนแลว้ ว่ำ งำนศิลปะมกี ำรพฒั นำกำรมำแลว้ ในอดีต ซ่ึงเป็นกำรยำกทเ่ี รำจะคน้ ใหพ้ บว่ำ มี กำรเริ่มสร้ำงงำนศิลปะกนั ข้ึนเมือ่ ใด และเกิดข้นึ ไดอ้ ยำ่ งไร แต่กพ็ อจะสันนิษฐำนไดว้ ่ำ ผลงำนศลิ ปะเกิดข้ึนหลงั จำกท่ี มนุษยเ์ กิดข้ึนในโลกแลว้ เพรำะงำนศิลปะทกุ ชนิด ทกุ ประเภท ตอ้ งเกิดจำกมนั สมอง ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ และทกั ษะ ฝีมือของมนุษยแ์ มว้ ำ่ งำนศลิ ปะแตล่ ะประเภท จะมีจุดมุ่งหมำยหรือมีคุณค่ำแตกต่ำงกนั ก็ตำม งำนศิลปะส่วนใหญจ่ ะ สะทอ้ นควำมคิด สภำพของสังคมในขณะน้นั มมุ ของศิลปิ น กอ่ ใหเ้ กิดอำรมณ์สะเทือนใจ อำรมณส์ ุนทรีย์ ซ่ึงมผี ล สะทอ้ นต่อผสู้ ร้ำงสรรคแ์ ละผเู้ สพในแนวทำงเดียวกนั คอื ช่วยให้เกดิ ความเพลิดเพลนิ ความปิ ตสิ ุข จติ ใจละเอียดอ่อน ประณีต สุขุม ดงั ท่ี เนำวรัตน์ พงษไ์ พบลู ย์ ไดเ้ คยกล่ำวไวใ้ นกำรอภปิ รำยเร่ือง คณุ ค่ำของศลิ ปะที่อยไู่ หน ณ ห้อง ประชุมมหำวทิ ยำลยั ศิลปำกรว่ำ “ในศำสนำพทุ ธนิกำยเซ็น ไดก้ ล่ำวถงึ คุณค่ำของศิลปะ โดยเขียนเป็นรูปคนกำลงั จดั ดอกไม้ แต่เขียนช่ือ ...... ภำพว่ำดอกไม้จดั คน ซ่ึงมคี วำมหมำยว่ำเรำสร้ำงงำนศิลปะโดยกำรจดั ดอกไมใ้ หเ้ ป็นระเบยี บ สวยงำม หรือวำดภำพ อยำ่ งปรำณีบรรจงแลว้ สมำธิและสุนทรีจำกกำรสร้ำงสรรคศ์ ิลปะน้นั จะกลบั มำช่วยขดั เกลำจิตใจของผสู้ ร้ำงให้ ละเอียดออ่ น นุ่มนวล และมจี ิตใจรกั ควำมดี ควำมสวยงำม เขำ้ ใจมนุษยด์ ว้ ยกนั .....” ศิลปะส่งเสรมิ สันติสุขในสังคม ศิลปะทแ่ี ปลก มีผลกระทบไดท้ ้งั ผูส้ ร้ำงสรรคแ์ ละผูด้ ู อยำ่ งนอ้ ยทีส่ ุดกเ็ ป็นสิ่งกระตนุ้ ให้เกิดควำมคดิ ควำมรู้สึก จินตนำกำรในส่ิงที่ดีงำมไดใ้ นระดบั หน่ึง ช่วยให้จิตใจเป็นสุขไดช้ ว่ั ระยะเวลำหน่ึง และยงั ช่วยเสริมให้เกิด คุณธรรมแกต่ นเอง แกค่ นใกลเ้ คยี งอนั มผี ลดีตอ่ สงั คมดว้ ย ดงั ท่ี G.T.W. Pastric กล่ำววำ่ (อำ้ งในวริ ุณ ต้งั เจริญ)“ งำน ศิลปะมีส่วนสำคญั ในกำรกอ่ ใหเ้ กิดควำมกลมกลนื สันตภิ ำพ และกำรบรรเทำทกุ ข์ ศิลปะช่วยกำรบรรเทำควำมตึง เครียดของสงั คม อนั เป็นทำงนำไปสู่สนั ติภำพและเจตนำท่ีดี...” โดยมคี วำมงำมของรูปร่ำงรูปทรง สีสนั และคณุ ค่ำ ของเรื่ องรำวเป็ นสิ่งสำคญั จิตรกรรมเป็ นแขนงหน่ึงของศิลปะ ศลิ ปะเป็นศำสตร์ท่มี ีขอบเขตกวำ้ งขวำงมำก ยำกท่จี ะตดั สิน หรือช้ีเฉพำะเจำะจงไปไดว้ ำ่ เป็นอยำ่ งไร ศลิ ปะบำงช้ินไม่สำมรถจดั กลุ่ม จดั ประเภทได้ ในขณะทผี่ ลงำนศลิ ปะบำงช้ินเป็นผลรวมของศลิ ปะอีกหลำยเภท รวมกนั แต่เพ่อื ให้งำ่ ยต่อกำรศกึ ษำ โดยทว่ั ไปแลว้ มกั จะจดั แบง่ ศลิ ปะออกเป็นประเภทตำ่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี 1. จิตรกรรม ภำพพิมพ์ )Painting and Printing( 2. ประตมิ ำกรรม )Sculpture( 3. สถำปัตยกรรม )Architecture( 4. วรรณกรรม )Literature( 5. ดนตรี )Music( 6. นำฏศลิ ป์ )Drama(

19 งำนศิลปะประเภทตำ่ งๆ ท่กี ลำ่ วมำน้ี ยงั จดั แบง่ ยอ่ ยไดอ้ ีกตำมกำรรับรู้คำ่ สุนทรียเ์ ช่น ศลิ ปะทร่ี ับรู้ดว้ ยกำร มองเห็น เรียกวำ่ ทัศนศิลป์ )Visual Art( เช่น จิตรกรรมภำพพมิ พ์ ภำพถ่ำย ประติมำกรรม และสถำปัตยกรรม ในขณะ ทศ่ี ลิ ปะที่รับรู้ดว้ ยกำรไดย้ นิ เรำเรียกว่ำ โสตศิลป์ )Audio Art( เช่น วรรณกรรม ดนตรี ส่วนนำฏศิลป์ ศลิ ปะกำรแสดง และภำพยนตร์ รับรู้ไดท้ ้งั กำรมองและไดย้ ิน เรียกวำ่ ศิลปะผสม )Audio Visual Art( จิตรกรรมเป็ นงานทง่ี ่ายต่อการแสดงออก ในบรรดำงำนทศั นศิลป์ ท้งั ประเภท คือ 3จิตรกรรม ประติกรรม และสถำปัตยกรรม จิตรกรรมหรือกำรเขียน ภำพ เป็นงำนทีม่ ีกระบวนกำรสร้ำงสรรคง์ ่ำยกวำ่ งำนท้งั สองประเภท ท้งั ยงั เป็นท่นี ิยมเขียนกนั โดยทวั่ ไป โดยเฉพำะ เดก็ จะไดร้ บั กำรฝึกฝนใหม้ ปี ระสบกำรณม์ ำต้งั แตร่ ะดบั ประถม เช่น วิชำวำดเขียน ศิลปศกึ ษำท้งั น้ีอำจเป็นเพรำะอุป กำรณก์ ำรเขยี นหำไดส้ ะดวกเพียงแต่มีกระดำษ ดินสอ สีต่ำงๆ ก็สำมำรถเขียนเป็นภำพไดแ้ สดงรูปแบบ เรื่องรำว ตำมที่ติองกำรแสดงออกได้ เห็นผลสำเร็จเร็วชื่นชมไดไ้ ดท้ นั ใจนบั เป็นกำรแสดงออกทต่ี รงไปตรงมำ ตำม ประสบกำรณ์ของแตล่ ะคน นอกจำกน้ี รูปแบบและเร่ืองรำวในงำนจิตรกรรมก็สำมำรถแสดงออกไดอ้ ยำ่ งกวำ้ งขวำง ท้งั ในลกั ษณะ รูปธรรมและนำมธรรม ท้งั เร่ืองรำวทเี่ ป็นอดีต ปัจจบุ นั และอนำคตตลอดจนเร่ืองรำวเก่ียวกบั ศำสนำและเทพนิยำย สิ่ง ล้ลี บั ตำ่ งๆ โดยไมม่ ขี อ้ จำกดั เกี่ยวกบั วตั ถเุ หมอื นงำนประตมิ ำกรรมและสถำปัตยกรรมดว้ ย ความหมายของจิตรกรรม มีผรู้ ู้หลำยท่ำนไดก้ ล่ำวถึงควำมหมำยของงำนจิตรกรรม เพ่อื เป็ นคำจำกดั ควำมและเป็นกำรสร้ำงควำมเขำ้ ใจ ร่วมกนั ตลอดจนเป็นกำรกำหนดขอบเขตกำรศึกษำของงำนจิตรกรรมดว้ ย ดงั จะกลำ่ วตอ่ ไปน้ี จติ รกรรม หมำยถงึ ภำพท่ศี ลิ ปิ นแตล่ ะคนสร้ำงข้นึ ดว้ ยประสบกำรณท์ ำงสุนทรียภำพและควำมชำนำญ โดยใช้ สีชนิดตำ่ งๆ เช่น สีน้ำ สีน้ำมนั สีฝ่ ุน ฯลฯ เป็นสื่อกลำงในกำรแสดงออกถึงจินตนำกำรโดยสร้ำงงำนบนพ้ืนระนำบ... เป็นส่วนใหญ่ เช่น กระดำษ ผำ้ ผนงั แผน่ ไม้ เพดำน ซ่ึงศิลปิ นอำจเลอื กรูปแบบในกำรสร้ำงสรรค์ เช่น แบบสัจนิยม )Realism( แบบอดุ มคติ )Idealistic( หรือแบบนำมธรรม )Abstract 2530 รำชบณั ฑติ ยสถำน) (:134 ) จิตรกรรม หมำยถึง กำรสร้ำงสรรคผ์ ลงำนศลิ ปะ ซ่ึงส่วนให้คณุ ค่ำทำงสุนทรียโ์ ดยกำรระบำยสรลงบนพ้ืนผวิ ของวตั ถุอยำ่ งชำนำญ วสั ดทุ ีใ่ ชใ้ นงำนจิตรกรรม ตอ้ งเป็นวสั ดทุ เี่ หมำะสมกบั กลวธิ ีกำรสร้ำงงำนที่คงทนถำวร เช่น สี น้ำมนั สีฝ่ นุ สีน้ำ สีน้ำทึบ สีพำสเตล สีพอลิเมอร์ สีข้ผี ้งึ ร้อน และสีน้ำสำหรับกำรวำดภำพผนงั ปนู เปี ยก จิตรกร เลอื กใชก้ ลวธิ ี วสั ดุและวธิ ีกำรในกำรแสดงออก กรมวชิ ำกำร) ...ท่เี หมำะสมกบั ผลงำนท่ีสร้ำงสรรคแ์ ละรสนิยม... 2540:633 ) จิตรกรรม หมำยถึง กำรขดี เขยี นใหป้ รำกฏเป็นรูปร่ำงรูปทรง และไม.่ ..แตไ่ ม่ไดห้ มำยถงึ เขียนอยำ่ งภำพถ่ำย... อำจจะกำหนดข้นึ เป็นแบบสัญลกั ษณ์ หรือ..จำเป็นตอ้ งเขยี นเหมอื นกบั ตำเห็น เป็นจริงเป็นจงั ไปเสียท้งั หมดทเี ดียว เขยี นประดิษฐ์เพอ่ื ควำมสวยงำมเขียนกำหนดข้นึ จำกควำมจดจำ หรือควำมคิดสร้ำงสรรคส์ ่ิงท่ีไมม่ ี ใหม้ ขี ้นึ ได้ หรือ เขียนข้นึ ตรงไปตรงมำจำกรูปทเ่ี ห็นดว้ ยนยั น์์ตำหรือเขยี นข้นึ จำกควำมทรงจำทปี่ ระทบั ใจ2536 ศลิ ปะปำกร)... : 107 ( จิตรกรรม หมำยถึง “…หมำยถึงกำรเขียนภำพระบำยสี สีจึงมีควำมสำคญั ในงำนจิตรกรรมำก สีสำมำรถสร้ำง ลกั ษณะพิเศษของภำพ ให้ควำมรู้สึก ควำมหมำยหรือใชเ้ ป็นสัญลกั ษณ์จิตรกรรมโดยทวั่ ไปจะถ่ำยทอดล...งบน

20 ระนำบรองรบั ที่เป็น ) เป็นมติ ลิ วง 3 มติ ิที่...มิติ คอื พ้นื ผวิ ทีม่ ีควำมกวำ้ ง และควำมยำว 2Pictoral spaceเป็น... ( 2536 สุชำติ เถำทอง) ไกลทีร่ บั รู้จำกกำรมองเห็นมิใช่ควำมลึกหรือระยะจริง-ควำมรู้สึกใกล้ :110 ) จิตรกรรม หมำยถึง ภำพสี กำรระบำยสี หรือภำพท่ีมสี ี ที่มนุษยเ์ ขียนข้ึน ซ่ึงอำจพบเห็นบนผนงั บนระนำบ บนแผน่ ผำ้ ใบ สีฝุ่น ฯลฯ และเป็นกำรใช้สีแบบ ระบำยสีเดียวน้ำหนกั อ่อนแก่ ระบำยสีตำมทต่ี อ้ งกำรของผเู้ ขยี นหรือ ระบำยหลำยสีผสมกนั โดยมีวิธีดงั ต่อไปน้ี ระบำยเป็นแผน่ เรียบ ระบำยใหม้ เี น้ือสีหนำๆ แสดงลกั ษณะผวิ สลดั ให้ เป็นรูปดุเปรอะๆ ปล่อยให้หยดไหลแนวยำว หรือเกลยี่ ใหเ้ รียบกลมกลืน หรือมขี อบรูปเด่นชดั ฯลฯ อำรี สุทธิพนั ธ์) 2518: 42 ( จิตรกรรม หมำยถงึ กำรเขียนภำพระบำยสีมีลกั ษณะเป็น คือ 3 มิติ คือ ควำมกวำ้ งและควำมยำว ส่วนมิตทิ ่ี 2 ควำมลกึ ซ่ึงเป็นควำมร์ู์้สึกของผดู้ ู วำ่ บำงส่วนของภำพต้นื บำงส่วนลึก ท้งั น้ีเน่ืองจำกศิลปิ นมวี ิธีกำรต่ำงๆ เช่น ใช้ น้ำหนกั ของของสีท่ีแตกต่ำงกนั ใชว้ ิธีกำรวำ่ งรูปร่ำง รูปทรงใหท้ บั ซ้อนกนั หรือใชว้ ิธีกำรทำงทศั นียวยิ ำ- )Perspective( สรุปได้ว่า จิตรกรรม หมายถงึ การวาดภาพ การเขียนภาพ ซง่ึ เกิดขึ้นจากการนาเอาวตั ถตุ ่างๆ เช่น ดินสอ สี ปากกา และวัตถอุ น่ื ๆ มาขดู ขดี ลากเขียน ระบาย สลดั ป้าย ทา ฯลฯ ให้เกดิ เป็ นรูปร่าง รูปทรง บนระนาบรองรับ เป็ น เร่ืองราวตามความคดิ ของศลิ ปิ นทตี่ ้องการแสดงออก ซ่ึงอาจเป็ นเร่ืองจริงท่ีพบเหน็ ได้ หรือเร่ืองราวจากจินตนาการ อันเป็ นการสร้างส่ิงท่ีไม่เห็น ให้มองเห็นได้ ในปัจจบุ นั จิตรกรรมมคี วำมหมำยทกี่ วำ้ งขวำงข้นึ ไม่จำกดั อยเู่ ฉพำะกำรระบำย ป้ำยทำ ดว้ ยสี บนกระดำษ บนผืนผำ้ หรือระนำบรองรับ ) มติ ิ เทำ่ น้นั ศิลปิ นบำงคน เช่น มำร์เชล ดูแชมป์ 2Maecel Duchamp ( ปฏิเสธกรสร้ำงงำนศิลปะแบบเดิมในอดีต ดแู ชมป์ สร้ำงงำนจิตรกรรมโดยกำรนำวสั ดุตำ่ งๆ มำประกอบในงำนของ เขำ เพอื่ ให้เกิดควำมรู้สึกอสิ ระ และขยำยอำณำจกั รกำรสร้ำงสรรคท์ ำงจิตรกรรมให้สร้ำงสรรคข์ ้ึน เปิ ดโอกำสให้ ศิลปิ นไดศ้ กึ ษำ คน้ ควำ้ ทดลอง อนั เป็นแนวทำงไปสู่กำรสร้ำงสรรคง์ ำนท่ีมีลีกษณะเฉพำะตวั ของแตล่ ะบุคคลตอ่ ไป จำกกำรศึกษำควำมหมำยดงั กลำ่ ว สำมำรถวิเครำะห์ไดว้ ำ่ งำนจิตรกรรมจะประกอบไปดว้ ยไปดว้ ยตวั บคุ คล ศิลปิ นหรือจิตรกร กระบวนกำรสร้ำงงำน เน้ือหำเร่ืองรำว วสั ดุอปุ กรณ์ รูปแบบ เทคนิคในงำนจิตรกรรม ซ่ึงเป็น เน้ือหำทจ่ี ะไดศ้ กึ ษำกนั ในเอกสำรฉบบั น้ี กระบวนการสร้างงานจติ รกรรม เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนกำรสร้ำงสรรคศ์ ิลปกรรม กำรสร้ำงสรรคง์ ำนจิตรกรรม ถอื ว่ำเป็นกิจกรรมหรือพฤตกิ รรมกำรแสดงออกท่ดี ีอยำ่ งหน่ึงของมนุษย์ โดย เฉพำะงำนจิตกรรมนบั เป็นงำนทศั นศิลป์ ที่เกำ่ แก่ที่สุด ท้งั น้ีไดพ้ บภำพเขยี นเกำ่ แก่ท่ีผงั ถ้ำอลั ตำมลิ ำ่ ) Altamila( ถ้ำ ลำสโคช)์ Lascaux (ถ้ำเกำ่ แก่ท้งั สองบริเวณเขตต่อระหวำ่ งประเทศฝร่ังเศสและสเปน ข้นั ตอนกำสร้ำงงำนแต่ละ ส่วนของกระบวนกำรสร้ำงลว้ นเป็นส่ิงที่ดีท้งั สิ้น อยำ่ งนอ้ ยก็ไมส่ ร้ำงควำมทกุ ขใ์ หก้ บั ผอู้ ่ืน ในทำงต)รงกนั ขำ้ มกบั สร้ำงควำมสุขใหก้ บั ตนเองและผอู้ ื่นอีกดว้ ยเริ่มตน้ ต้งั แต่ตวั ศิลปิ นผสู้ ร้ำงผลงำนซ่ึงมีอำรมณ์สุนทรีย์ ( มี จดุ ม่งุ หมำยทีด่ ี ท่จี ะสร้ำงสรรคง์ ำนท่สี วยงำม ส่งเสริมศลี ธรรมมคี ณุ ค่ำทำงสงั คม เป็นดอกไมป้ ระดบั โลก เป็นส่วน หน่ึงของสิ่งแวดลอ้ ม สังคมใดใหค้ วำมสนใจต่อเรื่องรำวของควำมงำมและสิ่งท่ีสวยงำม สงั คมน้นั มกั จะไดร้ บั กำรยก ยอ่ งว่ำมีควำมเจริญ มีวฒั นธรรมสูงหรือเป็นประเทศท่พี ฒั นำแลว้ ดงั ท่ีพระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั รชั กำร ที่ ...ทรงพระรำชนิพนธว์ ่ำ 6อนั ชาตใิ ดไร้ช่างชานาญศิลป์ เหมอื นนารินไร้โฉมบรรโลมสง่า ใครๆเหน็ กไ็ ม่เป็ นที่จาเริญ

21 ตา เขาจะพากันเย้ยให้ได้อาย ศิลปกรรมนาใจให้ ส่างโศก ช่วยบรรเทาให้ทกุ ข์โศกให้สลาย จาเรญิ ตาพาใจให้สบาย อีก ร่างกายก็จะพลอยสุขสราญ... งำนจิตรกรรม เป็นผลมำจำกประสบกำรณ์ของศิลปิ นอนั เนื่องมำจำกกำรรับรู้และกำรสัมผสั กบั โลกภำยนอก คลกุ เคลำ้ กบั โลกภำยในของศิลปิ น กลน่ั กรองดว้ ยจิต สตปิ ัญญำ ถำ่ ยทอดออกมำเป็นงำนท่สี วยงำม มีคณุ ค่ำ ปรำกฏ ให้เรำเห็นกนั อยใู่ นปัจจบุ นั จึงสมควรแก่กำรศึกษำข้นั ตอนกำรสร้ำงงำนโดยละเอยี ดดงั น้ี 1 . จิตรกรหรือศิลปิ นผ้สู ร้างงาน )Artist (ในกระบวนกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมน้ี ตวั ศลิ ปิ นนบั วำ่ เป็นส่ิงทส่ี ำคญั ทสี่ ุดเพรำะเป็นจุดเร่ิมตน้ ของกำรสร้ำงท้งั มวล โดยศลิ ปิ นอยทู่ ำ่ มกลำงสิ่งแวดลอ้ ม ท้งั สิ่งแวดลอ้ มท่ีเกิดข้ึนเอ)งตำม ธรรมชำติและ ส่ิงแวดลอ้ มทีม่ นุษยส์ ร้ำงข้ึนสิ่งเหลำ่ น้ีกระตุน้ ปลกุ เร้ำให้ศลิ ปิ นอยำ (กสร้ำงงำนศิลปะตำมทตี่ นเอง ถนดั ศิลปิ นต่างจากคนธรรมดาอย่างไร ศลิ ปิ นหรือผสู้ ร้ำงสรรคส์ ิ่งท่ีมีควำมงำม ต่ำงกบั สำมญั ชนทว่ั ไปท่ีศิลปิ นมปี ระสำทสัมผสั ทไ่ี วตอ่ กำรรับรู้ คุณคำ่ ด้านความงำมมำกกวำ่ ) Sensibility( สำมำรถเกบ็ สัง่ สมไวใ้ นระบบสมองและแสดงออกโดยกำรสร้ำงสรรค์ เป็นผลงำน เป็นส่ิงสุนทรีย์ หรือสิ่งทม่ี คี วำมงำม ผรู้ ู้หลำยท่ำนกล่ำวว่ำศลิ ปิ นมีควำมเป็นเลิศทำงควำมคิด สำมำรถใชจ้ ินตนำกำรแรงบนั ดำลใจ ที่แตกต่ำงไป) ( จำกสำนึกของสำมญั ชนทว่ั ไป มำเป็นตวั กระตนุ้ เพื่อกำรสร้ำงสรรคอ์ ยำ่ งบริสุทธ์ ดงั ทพ่ี ิเชษฐ์ สุนทรโชติ กลำ่ วว่ำ ศิลปิ นมีกำรรบั รู้ มีกำรมองเห็นแตกต่ำงไปจำกคนทว่ั ไป เช่น ผลมะมว่ ง ศิลปิ นจะมองเห็น แลว้ ถ่ำยทอดออกมำเป็น ภำพมะมว่ งดว้ ยเสน้ รูปร่ำงรูปทรง สี น้ำหนกั อ่อนแก่ โดยมีกำรวเิ ครำะห์ สงั เครำะห์ วำงแผนระบบกำรคดิ ทแ่ี ตกต่ำง จำกคนทวั่ ไป ทำใหเ้ กิดผลงำนศิลปกรรมท่มี ีคุณค่ำแก่มวลมนุษย์ ต่อเนื่องกนั มำหลำยศตวรรษ แมว้ ่ำที่ศิลปิ นเสียชีวติ ไปแลว้ กต็ ำม คุณสมบตั ขิ องศิลปิ น ในขณะน้ีเรำยงั ไมส่ ำมำรถจะกล่ำวเฉพำะเจำะจงไปไดว้ ่ำ ศลิ ปิ นน้นั เป็นไดเ้ ฉพำะบุคคลท่มี พี รสวรรคเ์ ทำ่ น้นั หรือใครกไ็ ดท้ ่ีใจรกั และฝึกฝน ก็สำมำรถจะเป็นศลิ ปิ นท่ปี ระสบผลสำเร็จได้ อยำ่ งไรก็ตำมพอจะสรุปคณุ สมบตั ิ ทวั่ ไปของศลิ ปิ นไดด้ งั น้ี 1 . มคี วามรู้ทางศิลปะในสาขาทีถ่ นดั ซ่ึงอำจจะมำจำกำรศกึ ษำในสถำบนั หรืออำจจะมำจำกกำรศกึ ษำดว้ ยตนเอง จำกเอกสำนตำรำ หรือจำกประสบกำรณ์ตรงก็ไดใ้ นประเทศไทยท่มี ศี ลิ ปิ นทป่ี ระสบควำมสำเร็จหลำยคน ท่มี ิไดผ้ ่ำน กำรศึกษำจำกสถำบนั ทำงศลิ ปะ 2 . มีความไวต่อการรับรู้ด้านความดีความงาม )Sensitive (เพอื่ กำรส่ังสมในสมองให้มำกทสี่ ุด และถำ่ ยทอด ออกมำเป็นผลงำนตำ่ งๆตำมทีต่ นถนดั 3 . มใี จรักหรือมศี รัทธาในอาชีพศิลปิ น มคี วำมเป็นตวั ของตวั เอง มีควำมจริงใจในกำรทำงำน ท่มุ เท มีจดุ ยืนที่ แน่นอนและพฒั นำงำนของตวั เองตอ่ ไปอยำ่ งไมม่ ที สี่ ิ้นสุดมีควำมมนั่ ใจในตวั เองสูง จนผลงำนทีส่ ร้ำงข้นึ มำม)ี (เอกลกั ษณเ์ ฉพำะตวั ทแี่ ตกต่ำงไปจำกผอู้ ่ืน 4 . เป็ นบคุ คลอัจฉริยะ มพี รสวรรคใ์ นตวั เอง มองธรรมชำตติ ำมกฎของธรรมชำติคอื ปลอ่ ยใหม้ นั เป็นไปตำม กฎทมี่ นั ควรจะเป็น จึงไมเ่ กิดเป็นภำระทำงจิต มีแต่กำรประสำนกลมกลืนของจิตกบั ธรรมชำติจนเป็นเอกภำพศิลปิ น) และมรี ูปแบบเน้ือหำใกลเ้ คียงธรรมชำตทิ ีม่ องเห็น ( ประเภทน้ีจะถำ่ ยทอดธรรมชำติออกมำในลกั ษณะทเ่ี รียบงำ่ ย

22 5 . เป็ นผู้ดทู ่ีชื่นชมงานศิลปะ และธรรมชำติ ในแงข่ องควำมงำมจนเป็นควำมพงึ พอใจในคณุ คำ่ หรือท่เี รียกวำ่ คุณคำ่ ทำงสุนทรียศำสตร์ จนบำงคร้ังหันหลงั ให้กบั เร่ืองรำวหรือเหตกุ ำรณ์ตำ่ งๆ ที่เกิดข้นึ ในสังคม จนคนทวั่ ไปคงคิด ว่ำคงจะปรบั ตวั เขำ้ กบั สังคมไม่ได้ 6 . มคี วามสามารถพิเศษ หยง่ั รู้ลกั ษณะตำ่ งๆ ในโลกแห่งมโนภำพ โลกแห่งจินตภำพ ซ่ึงนอกเหนือไปจำก จิตสำนึกของสำมญั ชน และสำมำรถถำ่ ยทอดออกมำเป็นงำนศลิ ปกรรม และศิลปวตั ถุเหลำ่ น้นั สะทอ้ นออกมำซ่ึง คุณค่ำดำ้ นสุนทรีภำพ 7 . เป็ นผ้มู คี วามคิดสร้างสรรค์ติดตัวอย่เู สมอ ในขณะเดียวกนั ก็ยอมรบั กำรเปลี่ยนแปลงของสงั คมทเ่ี กิดข้นึ ตลอดเวลำ มีกำรสร้ำงผลงำนที่มลี กั ษณะเฉพำะตวั ไม่ลอกเลียนแบบใคร สร้ำงผลงำนจิตรกรรมในแบบ และมี ลกั ษณะเฉพำะเป็นของตนเอง ศลิ ปิ นถำ่ ยทอดควำมเป็นตวั เองลงในผลงำน ดงั เช่น ปิ คสั โซ่ เขำ้ มำในประเทศฝรั่งเศส เมื่อเร่ิมสร้ำงงำน ใหม่ๆ ในระยะ 2-ปี แรกน้นั ยงั ไม่มใี ครรู้จกั เขำเป็นคนยำกจนและไร้เพื่อนฝงู สภำพจิตใจของปิ คสั โซ่ในขณะน้นั 3 แสดงออกมำอยำ่ งชดั เจน ในภำพThe old guitarist เป็นภำพของชำยชรำทีน่ ่ำสงสำร ทำ่ มกลำงบรรยำกำศของสีน้ำ เงนิ ภำพใหค้ วำมรู้สึกเศร้ำ สิ้นหวงั เดียวดำยและน่ำสงสำร หน้าที่ของศิลปิ น สรุปหนำ้ ที่ของศลิ ปิ นไดด้ งั น้ี 1 . ศลิ ปิ นมหี นำ้ ที่ สร้ำงสรรคค์ วำมงำมและส่ิงท่มี ีควำมงำมในรูปแบบต่ำงๆ ตำมทตี่ นถนดั มนั เป็นอำชีพของ เขำ ซ่ึงส่ิงทสี่ ร้ำงข้ึนน้นั เป็นส่ิงทดี่ ีเปิ ดโอกำสให้คนในสงั คมไดเ้ ลือกชมสิ่งที่สวยงำม) Aesthetic objectมตี ้งั แต่ ( ส่ิงของเล็กนอ้ ย เช่น ของระลกึ ขนำดเลก็ ไปจนกระทงั่ วจิ ิตรศิลป์ ขนำดใหญ่ ท่ีมีพลงั ชกั นำจิตวิญญำณของมนุษย์ ให้มองเห็นหรือสมั ผสั กบั สิ่งที่ดีงำม พฒั นำจิตใจให้สูงข้ึน พน้ จำกกระแสธำรแห่งกิเลสตณั หำทีว่ นเวยี นอยู่ แมว้ ำ่ ใน ชีวิตปกติของศลิ ปิ นจะพบกบั ส่ิงแวดลอ้ มท้งั ดีและไมด่ ี แตเ่ ม่อื เขำลงมอื ทำงำนส่ิงท่ปี รำกฏออกมำก็จะเป็นเรื่องของ ควำมงำม ควำมดี แมว้ ำ่ บำงคร้ังรูปแบบจะไม่งำม แตค่ ดิ ใหล้ ึกก็เพอ่ื คุณงำมควำมดี เช่น เขยี นเป็นภำพสงครำมท่ี โหดร้ำยน่ำกลวั ก็เพือ่ ให้ผูด้ ตู ระหนกั ถึงภยั แห่งสงครำม เพอ่ื จะได้ หันมำสร้ำงแต่สิ่งทดี่ ี สร้ำงควำมเขำ้ ใจกนั ไม่ รุกรำน ไมส่ ร้ำงควำมเดือดร้อนซ่ึงกนั และกนั ซ่ึงคลำ้ ยกบั แนวควำมคดิ ของอริสโตเตลิ )Aristotel( ทว่ี ำ่ โศกนาฏกรรม ช่วยชาระจิตใจมนุษย์ได้ 2. ศิลปิ นควรสร้ำงงำนสร้ำงศิลปะทแ่ี ปลกใหมใ่ หแ้ กส่ งั คม โดยกำรนำเสนอเร่ืองรำวต่ำงๆ ท้งั เกิดข้ึนใน สงั คม และในโลกแห่งจินตนำกำร “...ศลิ ปิ นบำงคนไดส้ ร้ำงสรรคผ์ ลงำนประหน่ึงหลุดออกไปจำกสังคมโลกน้ีแลว้ เช่น ภำพเก่ียวกบั ฟำกฟ้ำ ดวงดำว จกั รวำล อนั ไกลโพน้ แต่ในควำมจริงทำงจิตวเิ ครำะห์กค็ อื ผลงำนเหล่ำน้นั เกิดข้นึ เพรำะศิลปิ นไดร้ ับควำมบบี ค้นั หรือแรงผลกั ดนั จำกสังคมท่เี ขำสังกดั อยู่ ...” 2530 อำนำจ เยน็ สบำย): 25) ศิลปิ นในทศั นะของนักปรัชญา นกั ปรชั ญำเป็นผทู้ ี่มองปัญหำต่ำงๆ อยำ่ งลึกซ่ึงเพรำะเช่ือว่ำกำรศึกษำหำควำมรู้อยำกเห็นของตนเอง ศลิ ปิ นและกำรทำงำนของศิลปิ นเองก็เป็นอีกสิ่งหน่ึงท่ีนกั ปรัชญำกลำ่ วถึงเสมอ สรุปไดด้ งั น้ี 1 . ศิลปิ นสร้ำงงำนจำกแรงบนั ดำลใจ สติปัญญำ และอำรมณ์ และอำรมณค์ วำมรู้สึก ผลงำนศิลปกรรมท่ี สวยงำม มไิ ดส้ ร้ำงจำกกฎเกณฑ์ เพรำะเมอ่ื ศิลปินสร้ำงสิ่งทม่ี คี วำมงำมข้นึ แลว้ นกั วจิ ำรณ์นกั กำรศึกษำ ไดศ้ กึ ษำ วิเครำะห์และต้งั เป็นหลกั เกณฑข์ ้ึนมำภำยหลงั

23 2 . ศิลปิ นผสู้ ร้ำงสิ่งทีม่ คี วำมงำม ไดส้ อดใส่จิตวิญญำณใหป้ รำกฏในสุนทรียวตั ถตุ ำ่ งๆ น้นั ถือวำ่ เป็น อจั ฉริยะบุคคล แต่สำยตำของคนทวั่ ไป กลบั มองวำ่ ศลิ ปิ นเป็นคนทค่ี อ่ นขำ้ งจะขำดๆ เกินๆ เช่น กำรแตง่ ตวั ลกั ษณะ นิสยั ทชี่ อบแสดงออกอยำ่ งเตม็ ท่บี ริสุทธ์ิใจท่ีเป็นเช่นน้ีเพรำะชำวบำ้ นมองสิ่งต่ำงๆ ดว้ ยสำยตำธรรมดำ ในขณะที่ อจั ฉริยะบคุ คลเหลำ่ น้นั จะมองลกึ เขำ้ ไปถงึ สภำวะแห่งวญิ ญำณของธรรมชำติ ซ่ึงอยนู่ อกเหนือไปจำกกำรมองเห็นของ คนธรรมดำไปแลว้ 3 . ศลิ ปิ นเป็นผทู้ ี่แสวงหำควำมเหมำะสม ควำมงำมและสจั ธรรมในสิ่งแวดลอ้ มแลว้ นำมำสะสมไวใ้ นจิต รอโอกำสทถ่ี ำ่ ยทอดสิ่งทีส่ ะสมไว้ ให้แกส่ ังคม ใหแ้ ก่คนรุ่นหลงั ๆไดร้ บั คณุ ค่ำของส่ิงน้นั อยำ่ งนอ้ ยท่สี ุดผลงำนน้นั ก็ เป็นส่วนหน่ึงท่สี ร้ำงบรรยำกำศในทำงทด่ี ีใหแ้ ก่สงั คม ศิลปิ นจึงเป็นท้งั ผสู้ ะแสวงหำ หรือช่ำงฝีมอื ผมู้ คี วำมชำนำญ เป็นเลิศ กำรสัง่ สมควำมรูสึกนึกคดิ ท่ไี ดจ้ ำกธรรมชำติ และสงั คม ทำให้เกิดเป็นควำมเช่ือ )Belive (และนำไปสู่กำร แสดงออกทำงศิลปะทสี่ อดคลอ้ งกบั ควำมเชื่อน้นั )Manifestoเช่น พเิ ชษฐ์ สุนทรโชติ ไดส้ ร้ำงงำนจิตรกรรมชุด กำร ( แสดงออกทำงอำรมณแ์ ละควำมรู้สึกสะเทือนใจท่ีไดร้ บั ขำ่ วสำรจำกขอ้ มูล โดยกลำ่ วว่ำ “ งำนจิตรกรรมของขำ้ พเจำ้ ชุดน้ีสร้ำงข้ึนจำกอำรมณ์สะเทอื นใจตำมขอ้ มลู ในหนำ้ หนงั สือพมิ พแ์ ละส่ือ ตำ่ งๆ ท่ีถูกบดิ เบยี นหรือเนน้ เน้ือหำ หรือภำพอุจำดกำ้ วร้ำว รุนแรง เพ่อื มงุ่ เพียงกำรขำยขำ่ ว เช่น ขำ่ วอำชญำกรรม ข่ำว ปลน้ ฆ่ำ ข่มขนื กำรทำรุณกรรมทำงเพศ จำกแรงสะเทือนใจน้ีขำ้ พเจำ้ ไดส้ ร้ำงงำนตำมจินตนำกำร ควำมคิด อำรมณ์ ควำมรู้สึกภำยในส่วนตวั ออกมำดว้ ยกระบวนกำรทำงเทคนิค ทีข่ ำ้ พเจำ้ คน้ ควำ้ และพฒั นำมำจนเหมำะสมสอดคลอ้ ง กบั กำรถ่ำยทอดสะภำวะ อำรมณ์ ควำมรู้สึกในขณะทำงำนน้นั ออกมำโดยตรงอยำ่ งฉบั พลนั มีกำรตอบโตแ้ ละ ตอ่ เน่ือง จนเป็นงำนทีม่ คี วำมสมั พนั ธ์เป็นเอกภำพท้งั เน้ือหำ รูปแบบและเทคนิคทเ่ี ป็นปัจเจกลกั ษณะเฉพำะตวั ของ ขำ้ พเจำ้ ” 4 . ศลิ ปิ นเหนือกวำ่ บคุ คลธรรมดำทว่ั ไป เมื่อเขำไดพ้ บกบั ส่ิงตำ่ งๆ ไมว่ ่ำจะเป็นธรรมชำตหิ รือสภำพ ส่ิงแวดลอ้ มในสงั คม จนเกิดควำมรู้สึกอยำกจะถำ่ ยทอดออกมำในรูปแบบทถ่ี นดั เพ่อื ให้คนอ่นื ไดร้ ู้ ไดเ้ ห็น หรือได้ รับรู้วำ่ เขำคดิ อยำ่ งไรตอ่ สภำพแวดลอ้ มน้นั 5 . ศิลปิ น คือ ผลู้ อกแบบของแบบ เพลโต กลำ่ วว่ำมีรูปแบบควำมงำมอยแู่ ลว้ ในสำกลจกั รวำล ธรรมชำติ และสรรพส่ิงโลกน้ีลอกแบบมำจำกแบบทีอ่ ยใู่ นสำกลจกั รวำล กำรทศ่ี ลิ ปิ นสร้ำงศลิ ปะ โดยเลียนแบบส่ิงต่ำงๆ ใน โลก จึงเป็นกำรลอกแบบจำกแบบอีกทหี น่ึง ประเภทของศิลปิ น ศิลปิ นมหี ลายประเภท ขอสรุปเพื่อการจดั กล่มุ ได้ ประเภทใหญ่ๆ คือ 3 1 . ศลิ ปิ นประเภทสร้ำงสรรคส์ ิ่งทส่ี วยงำมอยำ่ งเดียว เรียกวำ่ ศิลปิ นอดุ มคตภิ ำพจะขำยไดห้ รือไม่ จะไดร้ ับ กำรยกยอ่ งจำกสงั คมหรือไม่ ไมส่ ำคญั ขอเพียงไดแ้ สดงออกถงึ ควำมดีควำมงำมกพ็ อใจแลว้ จดั เป็นศลิ ปิ นอิสระ ท่มี ี ลกั ษณะเป็นตวั ของตวั เองสูง 2 . ศิลปิ นประเภทสร้ำงสรรคค์ วำมงำมตำมควำมตอ้ งกำรของสงั คม โดยศึกษำหำควำมรู้ ควำมตอ้ งกำรของ สงั คม แลว้ สร้ำงงำนใหส้ อดคลอ้ งกบั ควำมตอ้ งกำรน้นั ฟังดแู ลว้ อำจจะรู้สึกวำ่ น้ีเห็นแก่ค่ำตอบแทนอยำ่ งเดียว ควำม จริงมใิ ช่เป็นเช่นน้นั เพรำะกำรกระทำของมนุษยม์ ี อยำ่ งคอื กำรกระทำเพือ่ ตนเอง และกำรกระทำเพ่ือคนอนื่ หรือ 2 บำงคร้งั เรำกระทำเพอื่ คนอน่ื ๆ แต์่มผี ลกระทบถึงเรำดว้ ย เช่น กำรปลกู สร้ำงทีพ่ กั อำศยั ให้คนอ่ืนเช่ำ นอกจำกมี รำยไดค้ ่ำเช่ำแลว้ ยงั ช่วยใหค้ นอื่นมที อี่ ยอู่ ำศยั ดว้ ย หรือบำงคนกระทำเพ่อื ส่วนร่วมแลว้ มผี ลประโยชนม์ ำถึงตวั เอง

24 ดว้ ย เช่น กำรร่วมกนั พฒั นำชนบท จะมีผลกระทบใหม้ ีควำมเป็นอยทู่ ่ดี ีข้ึน ทำใหส้ ังคมดีข้ึน และเรำกไ็ ดอ้ ยใู่ นสังคมท่ี ดีข้นึ ดว้ ย กำรสร้ำงผลงำนศิลปะกเ็ หมือนกนั ศลิ ปิ นไดส้ ร้ำงสิ่งทตี่ นถนดั ดว้ ย ไดส้ ่ิงตอบแทนดว้ ยในขณะท่ีสิ่งที่มี ควำมงำม ก็เพมิ่ มำกข้นึ ในสงั คมดว้ ย 3 . ศิลปิ นประเภทสร้ำงงำนศลิ ปะเป็นงำนอดิเรก ศลิ ปิ นพวกน้ีมกั จะใชเ้ วลำว่ำงจำกภำรกิจกำรงำน สร้ำงสรรคส์ ่ิงทีส่ วยงำม เพอื่ กำรผอ่ นคลำย เพ่อื ควำมพอใจ ซ้ึงถำ้ ประสบผลสำเร็จก็อำจจะยดึ เป็นอำชีพท่ีสองเลยก็ได้ มนุษยท์ กุ คนสำมมำรถทจ่ี ะเป็นศิลปินได้ ในสงั คมไทยยงั มที ่วี ำ่ งสำหรับศิลปิ นอกี มำกโดยตอ้ งถำมตวั เอง ก่อนว่ำชอบไหม สนใจไหม ถำ้ รกั และชอบจริงๆ ก็จะเร่ิมศึกษำคน้ ควำ้ ซ่ึงอำจจะผ่ำนจำกสถำบนั กำรศกึ ษำ หรือจะ ฝึกดว้ ยตนเองกไ็ ด้ เช่น คุณประเทือง เอมเจริญ คุณสุชำติ วงษท์ อง เม่อื ฝึกฝนจนเกิดทกั ษะควำมชำนำญก็สร้ำงงำนได้ นอกจำกน้ียง่ิ สร้ำงผลงำนมำกๆ ก็จะมองเห็นแนวทำงสร้ำงสรรคท์ ีเ่ ป็นของตนเอง แลว้ ยดึ เป็นหลกั และสร้ำงสรรค์ งำนต่อไปเรื่อยๆ แมว้ ำ่ สังคมจะมองไมเ่ ห็นคุณคำ่ กต็ ำม ข้นั ตอนตรงน้ีจะทำใหศ้ ิลปิ น แตล่ ะคนแตกตำ่ งกนั บำงคนมี ฝีมือ มที กั ษะแลว้ เร่ิมทจี่ ะหำรูปแบบกำรสร้ำงสรรคค์ วำมงำมเป็นของตนเอง ซ่ึงระยะแรกๆ อำจจะไมไ่ ดรบั ควำมสำเร็จเท่ำใดนกั เช่น ขำยก็ไม่ได้ ส่งไปประกวดไปแสดงทีใ่ ดก็ไมไ่ ดร้ บั รำงวลั ดีๆ จึงทำใหเ้ กิดกำรท้อถอย และ ห้นั ไปสร้ำงงำนศิลปะตำมทีต่ ลำดตอ้ งกำร ในทำงตรงกนั ขำ้ ม ถำ้ ศิลปิ นอดทนมำนะบำกบนั่ ต่อไปจนคน้ พบรูปแบบ แนวทำงของตนเองแลว้ เพียรพยำยำมสร้ำงสรรคผ์ ลงำนอยำ่ สม่ำเสมอแรกๆ อำจจะไมไ่ ดรบั ควำมสำเร็จเท่ำใดนกั แต่ เมือ่ มีผลงำนออกมำมำกๆ จนเป็นที่ยอมรบั แลว้ กจ็ ะทำให้ประสบผลสำเร็จ และไดร้ ับเกียรติยศมำกๆ จนเป็นท่ียอมรบั แลว้ กจ็ ะทำให้ประสบผลสำเร็จ และไดร้ ับเกียรติยศมำกกว่ำศลิ ปิ นท่ผี ลิตงำนเพื่อสนองควำมตอ้ งกำรของทอ้ งตลำด หรือผวู้ ำ่ จำ้ ง อีกดว้ ย คณุ กมล ทศั นำญชลี ศลิ ปิ นไทยทไ่ี ปโดง่ ดงั อยทู่ อี่ เมริกำขณะน้ี นบั ว่ำเป็นตวั อยำ่ งของศลิ ปิ นท่แี ทจ้ ริง ศิลปิ นมีควำมอตุ สำหพยำยำม มคี วำมคดิ สร้ำงสรรคแ์ ละฝีมือทคี่ วรแก่กำรเป็นแบบอยำ่ งของศิลปิ นท่ีแทจ้ ริง ศลิ ปิ นมี ควำมอตุ สำหพยำยำม มคี วำมคดิ สร้ำงสรรคแ์ ละฝีมือที่ควรแก่กำรเป็นแบบอยำ่ งของศลิ ปิ นรุ่นใหมต่ อ่ ไป ศิลปิ นที่แทจ้ ริง จะมองเห็นควำมจริงในธรรมชำติอยำ่ งทะลุปรุโปร่ง มองเห็นในลกั ษณะของควำมเขำ้ ใจ จนไมต่ ดิ อยกู่ บั ควำมงำม และควำมอปั ลกั ษณ์ แตส่ ำมำรถท่จี ะประสำนส่ิงท้งั สองดงั กล่ำวเขำ้ ดว้ ยกนั จนไมม่ คี วำม แตกต่ำงกนั ระหวำ่ งสองส่ิงน้ี และสำมำรถสะทอ้ นควำมจริงท้งั สองอยำ่ งน้ี ออกมำเป็นงำนศลิ ปะ ทำส่ิงทไ่ี ม่งำมให้) ซ่ึงสำมำรถจะโนม้ นำ้ วใหผ้ ดู้ ู ผชู้ ม มองเห็นควำมจริงน้ีดว้ ย เขำก็มกั จะทำตวั แปลกๆ โยศลิ ปิ นที่แทจ้ ริงน้นั (งำมได้ มกั จะภำคภมู ใิ จควำมคิดของเขำ มีควำมมนั่ ใจ มีจดุ ยืนทแี่ น่นอนและเช่ือมนั่ ในส่ิงทเี่ ขำทำ จนบำงคร้งั ทำใหด้ ูหยง่ิ หรือทำตวั เองแปลกไปจำกคนอนื่ ๆ เช่น กำรแต่งกำยทดี่ ูแปลกไม่เหมือนใคร รวมท้งั ภำษำท่ีใชพ้ ูด ใชส้ ่ือสำรดว้ ย ในขณะท่ีเขำเกิดแรงบนั ดำลใจ เขำอำจคิด หรือไม่คดิ หรืออำจจะคดิ คลอ้ ยตำมไปดว้ ยหรือคดั คำ้ น เพ่อื ที่จะไดเ้ ลอื กผลจำกแนวคิดน้นั มำสร้ำงเป็นผลงำนศิลปะ ศิลปิ นท่แี ทจ้ ริงจะเขำ้ ใจและเห็นแจง้ ในสรรพสิ่ง ท้งั หลำย โดยมิไดเ้ อำทฤษฎีเป็นหลกั หรือยดึ ตดิ อยกู่ บั ควำมเป็นเหตเุ ป็นผลมำกนัก ควำมเขำ้ ใจและควำมสำมำรถน้ี ทำใหศ้ ิลปิ นพร้อมท่ีจะถำ่ ยทอดออกมำเป็นงำนศิลปะท่มี ีควำมงำม มีคณุ ค่ำ อนั เป็นส่วนหน่ึงของกำรแสดงออกทดี่ ี

25 ศิลปิ นกบั สังคม ศิลปิ น เป็นคนธรรมดำคนหน่ึง ที่อำศยั อยใู่ นสงั คม มีอำชีพสร้ำงสรรคค์ วำมดีควำมวำมเป็นผลงำนทำง ศิลปะให้แกส่ ังคม ในขณะเดียวกนั ก็มคี วำมรับผดิ ชอบตอ่ สภำพสงั คมควำมเป็นไปของสงั คมเหมือนประชำชนทว่ั ไป ศลิ ปิ นตอ้ งมคี วำมรู้ มีทกั ษะ ในส่ิงท่ีสร้ำงสรรคจ์ ึงจะสำมรถถ่ำยทอดอำรมณ์สุนทรียล์ งสู่ผลงำนของตนเองได้ ผลงำน จิตรกรรม อำจจะอยดู่ ว้ ยมนั เอง หรือประดบั ตกแต่สิ่งอ่ืนกไ็ ด้ เช่น ประกอบสถำปัตยกรรม ตกแตง่ ผลิตภณั ฑ์ และเป็น ส่วนหน่ึงของกำรออกแบบต่ำงๆ ในสภำพสังคมในปัจจบุ นั มสี ่ิงทซี่ ่อนเร้นอยทู่ ้งั ส่ิงท่ดี ีและไม่ดีคลุกเคลำ้ กนั ปะปน กนั ซ่ึงคนส่วนใหญย่ งั มองไม่เห็น หรือเห็นยงั ไม่ทวั่ ถงึ จึงตกเป็นหนำ้ ที่ของศลิ ปิ นทตี่ อ้ งนำเสนอสิ่งทซ่ี ่อนเร้นแก่ ประชำชนให้ไดเ้ ห็นในรูปแบบของศิลปะแบใดแบบหน่ึง ดงั ท่ี ทีปกร )2519 : 42-43 ไดก้ ลำ่ วไวว้ ำ่ (“….. เป็นควำม จำเป็นและเป็นหนำ้ ท่ขี องศลิ ปิ นเดียวทเี ดียว ในกำรทีจ่ ะช้ีแจงควำมดี ควำมเลว น้ำทิพย์ และยำพษิ ให้แกส่ ำธำรณชน ไดร้ ู้และเขำ้ ใจ .....” ในเรื่องควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ ศิลปิ นกบั สงั คมน้ี กมล ทศั ำญชลี ศลิ ปิ นไทยที่ไปใชช้ ีวติ ในประเทศ สหรฐั อเมริกำ ไดก้ ลำ่ ววำ่ “ ศิลปิ นควรเสนอควำมคิดตนเองออกสู่สังคมหรือเอำสภำพและควำมเป็นไปของโลก ของ สงั คมมำสะทอ้ นลงในผลงำนศลิ ปะ ” ดงั น้นั ศิลปิ นจึงมหี นำ้ ที่ ทีจ่ ะตอ้ งปฏิบตั ติ อ่ สงั คมเป็นแนวทำงใหญ่ๆ ดงั น้ี 1 . ศิลปิ นควรทางานด้วยใจรัก และจริงใจในผลงำนทต่ี นเองสร้ำงข้ึนโดยมจี ดุ มงุ่ หมำยที่แน่นอน และมกี ำร พฒั นำ คลคี่ ลำยผลงำนน้นั ตอ่ ไปเรื่อยๆ อยำ่ งตอ่ เน่ือง ดงั ทม่ี กิ เคลนั เจโล อจั ฉริยะศลิ ปิ นในยคุ ฟ้ื นฟศู ิลปะวทิ ยำกลำ่ ว ว่ำไวว้ ่ำ ศิลปะน้นั มแี ตห่ วั ไมม่ ีหำง ซ่ึงหมำยควำมว่ำ เม่อื เร่ิมตน้ ทำแลว้ มนั จะคลคี่ ลำยทุกรูปแบบต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีจุด จบ ไมมที สี่ ิ้นสุด 2 . ศิลปิ นควรเสนอความแปลกใหม่ให้แก่สังคม เป็นผลงำนศิลปะท้งั รูปแบบทีแ่ สดงควำมคิดแปลกใหม่ เรื่องรำวใหมๆ่ หรือกระบวนกำรและเทคนิคใหม่ๆ ซ่ึงเป็นประโยชนแ์ กส่ ังคม รวมท้งั เอำเรื่องรำวจำกสงั คมมำสร้ำง เป็นงำนศลิ ปะดว้ ย 3 . ศิลปิ นต้องมีความเป็ นตวั ของตวั เอง มีรูปแบบ เทคนิควิธีกำรสร้ำงงำนศลิ ปะทเี่ ป็นลกั ษณะเฉพำะของ ตนเอง ไมล่ อกเลียนหรือสร้ำงผลงำนเพ่อื รับใชบ้ ุคคล หรือกลุ่มบคุ คลใด ในทำงที่ไมเ่ หมำะสม ดงั เช่น เมื่อเดือน พฤษภำคม จิตรกรรมบำงคนรบั ค่ำจำ้ งเพอ่ื จะเขียนภำพนำยกรฐั มลตรี ในขณะน้นั บ 2543นทำงเทำ้ และเขยี น ขอ้ ควำมว่ำ มึงตอ้ งตำย ลกั ษณะเฉพำะของศลิ ปิ นเป็นที่ช่ืนชอบของคนทวั่ ไป เรมบรนั ต์ เป็นจิตรกรอจั ฉริยะของชำวดตั ช์ ในยคุ บำโรก คหบดีผมู้ อี นั จะกินนิยมท่จี ะมีภำพเหมือนของตน ที่เขียนโดยเรมบรนั ต์ ภำพกำรสอนวิชำกำยวภิ ำคโดยหมอ ทลู พ์ เป็นภำพเขยี นสีน้ำมนั ท่เี ขยี นข้ึนเม่ือปี ค.ศ.1639 .ศ.พ)2175เป็นภำพเขียนดว้ ยสีน้ำมนั แพทยฝ์ ึกหัดกำลงั สนใจ ( คน ขอให้เขียนเพ่ิมเขำ้ มำใหม่ตำมควำม 2 กำรสอนของหมอทลู พ์ และมีภำพสมำชิกแห่งสมำคมศลั ยแพทยช์ ำย ตอ้ งกำรกำรของลกู คำ้ ผวู้ ่ำจำ้ ง 4 . ศิลปิ นควรจะเป็ นผู้เปิ ดเผยเรื่องราวต่างๆ ในสังคม ดว้ ยรูปแบบใหมๆ่ ที่กระตนุ้ ใหม้ วลชนมคี วำมสำนึก ร่วมกนั รบั ผดิ ชอบต่อสงั คม แมว้ ่ำจิตรกรรมสำมำรถแสดงท่ีกระตนุ้ ให้มวลชนมคี วำมสำนึกร่วมกนั รบั ผิดชอบต่อ สังคม แมว้ ำ่ จิตรกรรมสำมำรถแสดงเน้ือหำเรื่องรำวไดอ้ ยำ่ งกวำ้ งขวำง แต่จำกหนำ้ ทตี่ อ้ งสงั คมดงั กล่ำวศิลปิ นจึงควร จะนำเอำเรื่องรำวต่ำงๆ ทีเ่ กิดข้นึ ในสังคมมำแสดงออกเป็นงำนศิลปะ เพื่อจะไดส้ ่งผลสะทอ้ นในทำงทด่ี ีกลบั ไปสู่

26 สังคม ศลิ ปิ นบำงกลมุ่ จึงไดศ้ กึ ษำเร่ืองรำวและเหตกุ ำรณ์ตำ่ งๆ ทเี่ กิดข้นึ ในสงั คมแลว้ นำเอำเหตกุ ำรณ์หรือเรื่องรำวน้นั มำถำ่ ยทอด หรือแสดงออกในงำนจิตรกรรม ศลิ ปิ นสร้ำงงำนศลิ ปกรรมมำกเท่ำใดก็ยงั ไมเ่ พยี งพอ ผลงำนศิลปิ นเป็นส่ิงท่แี สดงออกถงึ ลกั ษณะเดน่ ของ ศิลปิ น และควำมเป็นปัจเจกลกั ษณะ จึงทำใหศ้ ลิ ปิ นสร้ำงสรรคผ์ ลงำนออกมำแตกต่ำงกนั ท้งั รูปแบบเน้ือหำเร่ืองรำว เพือ่ สนองต่อควำมตอ้ งกำรของคนในสงั คม และควำมตอ้ งกำรของตนเองท่ีมีจำนวนมำกและแต่ละคนกม็ คี วำม ตอ้ งกำรสิ่งทม่ี คี วำมงำมแตกต่ำงกนั หรือไมม่ ีรสนิยมตำ่ งกนั ดว้ ย จึงทำศลิ ปิ นตอ้ งพยำยำมศึกษำคน้ ควำ้ หำรูปแบบ ควำมงำมท่เี หมำะสมตอ่ ไปเรื่อยๆ ดงั ทโ่ี กสุม สำยใจ )2540 :18 ) ควำมงำมเป็นควำมรู้สึกของผดู้ ู ผชู้ ม ที่เกิดจำกไดส้ ัมผสั กบั สิ่งท่ีมีควำมงำมผคู้ นในสังคมมีจำนวนมำกนบั พนั ลำ้ น มคี วำมคดิ ควำมชอบ มรี สนิยมต่ำงกนั ทำใหศ้ ลิ ปิ นตอ้ งสร้ำงส่ิงทมี่ คี วำมงำมหลำกหลำยรูปแบบ หรือหลำย สไตล์ )Style( ตำมควำมถนดั หรือลกั ษณะเฉพำะของศลิ ปิ นแตล่ ะคน เพ่ือสนองควำมตอ้ งกำรของคนในสงั คมซ่ึง นบั วนั จะทวีมำกข้ึนทกุ วนั 2 . แรงบันดาลใจ )Inspiration( หรือแรงบดดลใจให้คดิ เป็นควำมรู้สึกอนั เน่ืองมำจำกกำรสัมผสั กบั ส่ิงแวดลอ้ มทีม่ ีควำมงำม ท้งั สิ่งทเ่ี ป็นนำมธรรมและรูปธรรม ดลใจให้คดิ อยำกจะสร้ำงงำนศิลปกรรมข้ึน เช่น ไดพ้ บ เห็นทะเล อยำกวำดภำพทะเล ในเรื่องของแรงบนั ดำลใจน้ี อนุมำนรำชธน )2500 : 132-133) กลำ่ ววำ่ ในยคุ โบรำณ และยคุ กลำงศิลปิ นไดห้ ำยใจเอำพลงั แห่งควำมสำมรถ พลงั แห่งควำมคิดสร้ำงสรรคท์ ี่พระเจำ้ ประทำนให้มำเขำ้ มำอยู่ ในจิตขงิ ศิลปิ น ซ่ึงมำในรูปของแรรงบนั ดำลใจ เป็นผลให้เกิดพลงั ในกำรสร้ำงสรรคง์ ำนศิลปะประจกั ษแ์ ก่มวลมนุษย์ แรงบันดาลใจมอี ยู่ ลกั ษณะ คือ 2 2 .แรงบันดาลใจภายนอก 1 เป็นผลมำจำกกำรไดร้ บั รู้เรื่องรำวจำกโลกภำยนอก และสังคม กระตนุ้ ใหศ้ ลิ ปิ น ให้เกิดควำมรู้สึกอยำกจะสร้ำงงำนศิลปกรรม แรงบนั ดำลใจภำยนอกมดี งั น้ี กแรง .บันดาลใจจากธรรมชาติ ธรรมชำติ คือแหล่งทรัพยำกรที่ยิง่ ใหญ่ทส่ี ุด เป็นโลกภำยนอกท่ีเกิดข้นึ เอง ตำมวิถที ำงของมนั มกี ำรเปลีย่ นแปลงตำมกระบวนกำรของมนั เอง ธรรมชำตเิ ป็นจดุ เร่ิมตน้ ของสรรพสิ่งท้งั มวล รวมท้งั ศลิ ปะดว้ ย รูปร่ำง –รูปทรงสีสนั ของธรรมชำตไิ ดใ้ ห้ควำมรู้สึกประทบั ใจแก่ศิลปิ นจนอยำกบนั ทึกไว้ เลยี นแบบไว้ เพอ่ื ใหไ้ ดช้ ื่นชมควำมงำมของธรรมชำติ ผลงำนของศลิ ปะประเภทน้ีปรำกฏออกมำเป็นควำมงำมแบบ เหมือนจริงหรือเหมอื นธรรมชำติ รับรู้ไดงำ่ ย ศิลปิ นบำงคนมองเลยไปกว่ำรูปร่ำงรูปทรงตำมธรรมชำติ กลบั ไปประทบั ใจในควำมรู้สึก เช่น ควำมสง่ำ- งำมหรือควำมสูงตระหง่ำน ควำมแข็งแกร่งของภูผำหิน ทำให้ศิลปิ นสร้ำงงำนสถำปัตยกรรมให้สูงเดน่ เป็นสง่ำ คลำ้ ย กบั ธรรมชำติท่เี คยเห็นมำแตเ่ ป็นรูปทรงท่ีมนุษยค์ ิดสร้ำงข้ึนใหม่ ซ่ึงอำจจะเรียนแบบธรรมชำตดิ ดั แปลงจำกธรรมชำติ ก็ได้ ศิลปิ นบำงคนสนใจในควำมลึกลบั น่ำพรึงกลวั จึงสร้ำงเป็นงำ่ นจิตรกรรมที่ไมแ่ สดงควำมเป็นรูป แต่แสดง ควำมรู้สึก ดว้ ยรูปทรงสีสนั ท่ีสร้ำงสรรคข์ ้ึนใหม่ดว้ ยเทคนิควธิ ีกำรทำงศลิ ปะ ข .แรงบนั ดาลใจจากสังคม สังคม เป็นกลมุ่ คนขนำดใหญ่ มีกำรจดั ระบบต่ำงๆ เพื่อให้คนในสังคมอยู่ ดว้ ยกนั อยำ่ มีควำมสุข สิ่งตำ่ งๆ ท่ีเกิดข้นึ ในสงั คมเป็นแรงกระตนุ้ อยำ่ งดีทที่ ำใหศ้ ิลปิ นเกิดแรงบนั ดำลใจท่จี ะนำมำ สร้ำงเป็นงำนศลิ ปะ เช่น เกียรตยิ ศ ช่ือเสียงและสิ่งตอบแทนตำ่ งๆ เป็นแรงกระตุน้ ทนี่ ่ำสนใจในปัจจบุ นั ผลงำนท่ี ปรำกฏจะเป็นแบบทท่ีกำลงั นิยมกนั ในสงั คมขณะน้นั หรือตรงตำมรสนิยมของผวู้ ่ำจำ้ ง ศลิ ปิ นจะไมค่ ่อยมีควำมเป็นตวั ของตวั เองมำกนกั นอกจำกน้ีเหตกุ ำรณห์ รือเรื่องรำวต่ำงๆ ทเี่ กิดข้นึ ในสงั คมยงั เป็นแรงกระตุน้ ท่ีทำให้ศิลปิ นอยำก

27 ช่วยเหลือหรือแสดงควำมคิดเห็นเกี่ยวกบั เหตุกำรณน์ ้นั ดว้ ยวธิ ีกำรทำงศิลปะ ผลงำนน้ีจะแสดงคณุ ค่ำทำงเร่ืองรำวที่ ช้ีให้เห็นทำงแกป้ ัญหำ หรือส่งเสริมสิ่งท่ีดี ให้เผยแพร่ออกไปเป็นตวั อยำ่ งแกส่ งั คม คแรงบันดาลใจจากผลงานศิลปะในอดีต . ผลงำนศลิ ปกรรมทสี่ ร้ำงข้นึ ท้งั ในอดีตและปัจจุบนั ยงั เป็น ตวั กระตุน้ หรือแรงบนั ดำลใจใหแ้ ก่ศลิ ปิ นรุ่นหลงั ท่ีจะสร้ำงงำนศลิ ปะตำมแบบรุ่นกอ่ น หรืออำจจะดดั แปลง ปรับแต่ง ให้แตกต่ำงออกไปกไ็ ด้ เช่น ผลงำนของปรีชำ เถำทอง เอำรูปแบบของจิตรกรรมไทยประเพณีมำสร้ำงใหม่ตำมวธิ ีทำง ตะวนั ตกปัญญำ วิจินทนสำร เอำควำมรู้สึกท่อี ่อนหวำนของจิตรกรรมไทยมำสร้ำงเป็นรูปทรงใหม่ อเล็กซำนเดอร์ )Alexander Calder) ศึกษำงำนของมองเดรียน (Piet Cornelis Mondrianแลว้ ทำให้งำนจิตรกรรมของมองเดรียน ( ) เคล่อื นไหวไดจ้ ริง กลำยเป็นงำนโมบำยข้นึ มำMobile ( วินเซนต์ แวนก๊อก ตอ้ งกำรทีจ่ ะทำตำมจิตรกรเอกรุ่นเกำ่ ท่ีวำดภำพตำมธรรมชำติเขำชื่นชมและรับมำเป็น แบบอยำ่ ง โดยกำรศกึ ษำจำกงำนจิตรกรรมของ เดอลำกวั และแรมบรำนท์ กำรนำเอำแบบอยำ่ งศลิ ปิ นรุ่นกอ่ นมำสร้ำง ผลงำนของตนเอง เรียกวำ่ รบั อทิ ธิพลหรือมอี ิทธิพลของศลิ ปิ นรุ่นกอ่ นอยใู่ นผลงำนน้นั 2 .แรงบนั ดาลใจภายใน 2 เป็นกำรฉุดคดิ ข้นึ มำเองในใจ อยำกทีจ่ ะสร้ำงงำนอยำกท่ีจะหำรูปแบบควำมงำมท่ี แปลก ใหม่ อยำกทดลอง อยำกทำ เพ่ือแสวงหำรูปแบบควำมงำมทเี่ หมำะสมกบั ยคุ สมยั และควำมตอ้ งกำรของตนเอง กำรฉุกคิดข้นึ มำน้ีถอื เป็นแรงบนั ดำลใจดว้ ย ปำโปล ปิ กสั โซ่ )Pablo Picasso( เคยกลำ่ วไวว้ ่ำบำงคร้ังผมวำดภำพ... โดยไม่ไดต้ ระเตรียมอะไรไวล้ ่วงหนำ้ มนั เป็นควำมตอ้ งกำรทีจ่ ะเขียนภำพ โดยใชด้ ินสอ ปำกกำเขยี นบนกระดำษ 3 . จนิ ตนาการ )Imagination( เป็นข้นั ตอนตอ่ เน่ืองทเี่ กิดจำกแรงบนั ดำลใจเป็นส่วนของควำมคิดสร้ำงสรรค์ ผูร้ ู้ บำ้ งทำ่ นรวมเป็นข้นั ตอนเดียวกบั แรงบนั ดำลใจ แต่ถำ้ พิจำรณำใหล้ ึกแลว้ จะเห็นว่ำแรงบนั ดำลใจเป็นเพยี งตวั กระตุน้ ให้อยำกทำงำน ตอ่ จำกน้นั จินตนำกำรซ้ึงเป็นโลกภำยในของศลิ ปิ นจะปรำกฏข้ึน คดิ ฝันเป็นรูปแบบ เน้ือหำทจ่ี ะทำ กำรจดั ภำพ กำรใชส้ ี เทคนิค รวมท้งั วสั ดดุ ว้ ย ข้นั ตอนจินตนำกำรน้ีนกั วำ่ เป็นข้นั ตอนสำคญั เพรำะจะปรำกฏเป็น ภำพพจน์ กอ่ นท่จี ะถ่ำยทอดออกมำเป็นผลงำนจริง ลีโอนำโด ดำวินชี ไดเ้ คยพดู ถงึ เรื่องน้ีไวว้ ่ำส่ิงตำ่ งๆ ท่ีปรำกฏใน... จกั รวำล จะปรำกฏในจิตของศิลปิ นเป็นจินตนำกำรและถ่ำยทอดไปสู่มอื ท้งั สองขำ้ ง และจินตนำกำรกบั มอื จะทำงำน ประสำนกนั เป็นอยำ่ งดี จินตนำกำรเป็นเร่ืองสำคญั ในกำรสร้ำงงำนศิลปกรรม ถำ้ ศิลปิ นปรำศจำกจินตนำกำรแลว้ จะสร้ำงงำนไมม่ ี รสชำติ ทำงำนไปเร่ือยๆ ไมม่ ชี ีวิตชีวำ และไม่กระตนุ้ ใหผ้ ูด้ เู กิดจินตนำกำรดว้ ย จินตนำกำรเป็นเรื่องเฉพำะของแตล่ ะ บคุ คล เรื่องของเหตุผลสำมำรถสั่งสอนกนั ได้ ท้งั ในระบบสถำบนั และกำรศกึ ษำดว้ ยตวั เอง แต่เร่ืองของจินตนำกำรยงั ไม่ปรำกฏวำ่ มกี ำรวำ่ ถ่ำยทอดกนั ได้ กำรอบรมส่ังสอนช่วยไดเ้ พียงเลก็ นอ้ ย จินตนำกำรเป็นกำรนึกเห็นมโนภำพ ซ่ึงถอื ว่ำเป็นคุณสมบตั ิทีส่ ำคญั ย่ิงของศลิ ปิ น จินตนำกำรไมเ่ กิด กไ็ ม่รู้จะ ทำงำนไดอ้ ยำ่ งไร มนั มืด ตนั ไปหมด นอกจำกน้ีเรื่องรำวจำกจินตนำกำร ก็ยงั ไดร้ ับควำมนิยมอยเู่ สมอ เช่น ผลงำน ของจิตรกรรมไทยประยกุ ตข์ อง ช่วงมูลพนิ ิจ จกั รพนั ธ์ โปษยำกฤต เฉลิมชยั โฆษิพิพฒั น์ และภำพจำกควำมฝันของ ชำกำลและอองรี รุสโซ เป็นตน้ 4 . การลงมือทา )Man made( กำรลงมอื ทำ เป็นกำรถ่ำยทอดจินตนำกำรจำกข้นั ท่ี ให้ปรำกฏออกมำเป็นสิ่งท่ี 3 กล่มุ ดงั น้ี 2 มองเห็นได้ กำรลงมอื ทำ หรือกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมของศลิ ปิ นแต่ละคนจะแตกต่ำงกนั แบ่งออกเป็น

28 4 .สร้างงานแบบมแี ผน 1 โดยมกี ำรวำงแผนไวล้ ว่ งหนำ้ โดยกำหนดเป็นภำพไวใ้ นใจ แลว้ ถ่ำยทอด จินตนำกำรเป็นภำพร่ำงกอ่ นหลำยๆ ภำพ มีกำรปรับแต่ใหไ้ ดต้ ำมควำมตอ้ งกำรแลว้ เลอื กภำพเหมำะสมทส่ี ุดมำเป็น แบบในกำรเขยี นภำพ บำงคร้ังอำจจะเป็นภำพร่ำงท่ียงั ไม่สมบรูณ์ครบถว้ น แตพ่ อจะรู้ว่ำโครงร่ำงส่วนใหญ่เป็น อยำ่ งไร 4 .สร้างงานโดยก 2ารลองผดิ ลองถกู กล่มุ น้ีจะลงมือสร้ำงงำนดว้ ยวสั ดจุ ริงเลยไม่มกี ำรร่ำงไวก้ ่อน คดิ ตดั สินใจในขณะที่ทำ มกี ำรปรับแตง่ ในขณะน้นั ถำ้ พลำดไมไ่ ดด้ งั ท่จี ินตนำกำรคดิ ไวก้ ็เขยี นใหม่ แต่ถำ้ ทำได้ ผลงำน ทีส่ ำเร็จจะดมู ชี ีวิตชิ ีวำ ไดจ้ งั หวะลงตวั ศิลปิ นมีควำมสุขมอี ิสระในขณะทเ่ี ขยี น ศลิ ปิ นสมยั ใหมน่ ิยมสร้ำงงำนแบบน้ี เพรำะทำ้ ทำยและตน่ื เตน้ ดี กำรลงมือทำ เป็นข้นั ตอนทศี่ ิลปินทมุ้ เทควำมรู้ควำมสำมรถ ทกั ษะควำมชำนำญอยำ่ งเต็มที่ บรรจงสร้ำง เพื่อใหไ้ ดส้ ุนทรียป์ ระดบั ไวใ้ นโลก แตศ่ ิลปิ นบำ้ งคนไม่คิดอยำ่ งน้นั กลบั ไปถงึ ค่ำจำ้ ง ค่ำตอบแทน ชยั ชนะ เกียรติยศ ชื่อเสียง ถือว่ำยงั มรกิเลสอยแู่ ต่มไิ ดห้ มำยควำมว่ำศลิ ปิ นช้นั เยี่ยมจะหลุดพน้ จำกส่ิงเหล่ำน้ีไปแลว้ แตเ่ ขำคิดถงึ มนั ใน ลกั ษณะของผลพลอยได้ มใิ ช่จุดมงุ่ หมำยนกั คิดถึงกำรสร้ำงสรรคส์ ่ิงที่สวยงำมใหเ้ กิดข้ึนเป็นส่ิงสำคญั มำกกวำ่ 5 . ผลงานสาเร็จ )Work of Art (ผลงำนศลิ ปะทส่ี ำเร็จแลว้ อำจจะเหมือนกบั ที่จินตนำกำรไวห้ รือไม่เป็นเร่ือง ของศลิ ปิ น เพรำะขณะทีน่ ำผลงำนออกมำแสดง นำเสนอต่อสำธำรชน บำงคร้ังเรำไม่พบตวั ศลิ ปิ นจึงไม่ทรำบวำ่ ผลงำนจิตรกรรมชิ้นน้ีมีแรงบนั ดำลใจมำจำกอะไร เรำเห็นเฉพำะงำนทสี่ ำเร็จแลว้ กำรไม่พบตวั ศลิ ปิ นทำใหไ้ ม่ทรำบวำ่ งำนชิ้นน้ีมีทม่ี ำทไี่ ปอยำ่ งไร เรำเห็นเฉพำะผลงำนท่สี ำเร็จแลว้ เทำ่ น้นั อำจจะมบี ำงคนทีเ่ ขยี นแนวคิดและแรงบนั ดำลใจไวใ้ นสูจิบตั ร แตจ่ ะแน่ใจไดอ้ ยำ่ งไรวำ่ ถกู ตอ้ ง เพรำะบำงคร้งั เขำ เขยี นข้ึนหลงั จำกท่ีสร้ำงงำนเสร็จแลว้ จะเขียนให้น่ำสนใจอยำ่ งไรกไ็ ด้ ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ ผลงำนสำเร็จและจิตนำกำร ยงั มตี วั แปรอน่ื อกี เช่น ขอ้ จำกดั จองวสั ดุอุปกรณ์ เทคนิควธิ ี สร้ำง เวลำ ฯลฯ ทำผลงำนสำเร็จเป็นผลงำนท่ียงั ไม่สมบรูณ์ 100% จึงยงั ไม่เคยมีศิลปิ นคนไหนบอกว่ำ นีเ่ ป็ นผลงาน สูงสุดของเรา แต่บอกวำ่ เป็นเพยี งงำนส่วนหน่ึงทตี่ อ้ งพฒั นำต่อไปอกี ท้งั น้ีเพรำะควำมงำมท่ีอยใู่ นจิต ในห้วงสำนึก ยงั ถำ่ ยทอดออกมำไมห่ มด ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั แนวคิดท่วี ำ่ ผ้สู ร้างสรรค์สาคญั กว่าสิ่งทส่ี ร้าง 6 . การนาเสนอผลงสู่สังคม )Presentation (หนงั สือดีๆ ถำ้ เก็บไวเ้ ฉยๆไม่มีคนอำ่ นมนั กไ็ ร้คำ่ ผลงำนของ ศิลปะกเ็ หมอื นกนั เม่ือศิลปิ นสร้ำงเสร็จแลว้ มกั จะนำออกสู่สำยตำประชำชน โดยกำรจดั แสดงภำพแสดงผลงำนใน โอกำสต่ำงๆ )Exhibition (ท้งั แสดงเด่ียวและแสดงเป็นกล่มุ อนั เป็นกำรนพำสิ่งที่ดีงำมมำสู่สังคม ยิ่งถำ้ มีผดู้ ูผชู้ มคนใด ซ้ือหำยไปประดบั ตกแต่งอำคำรบำ้ นเรือน ผลงำนเหลำ่ น้นั กจ็ ะกลำยเป็นดอกไมป้ ระดบั ส่ิงแวดลอ้ มในอีกลกั ษณะ หน่ึง กำรแสดงผลงำนศลิ ปกรรมในประเทศไทย ไดเ้ คยจดั กำรแสดงมำหลำยคร้ังแลว้ เช่น ประมำณปี พ .ศ.2487- 88 มกี ำรแสดงภำพเขียนในสมยั รัชกำลที่ 6“…ภำพส่วยใหญเ่ ป็น ลำยเสน้ ฝีพระหตั ถพ์ ระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยหู่ ัว... มกี ำรขำยภำพเพ่ือหำเงินช่วยกำรกุศล บำรุงกิจกำรของกองทพั ไทย...”2540 ประยรู อุลุชำฏะ) :4) ประมำณ พ .ศ.2487 ไดม้ ีกำรจดั แสดงผลงำนศิลปะของกลมุ่ จกั รวรรดิศิลปิ นโดยจดั แสดงข้นึ คร้ังแลกทชี่ ้นั บนของโรงภำพยนตร์ศำลำเฉลิมกรุง กรุงเทพฯ กำรแสดงคร้ังน้ีเป็นกำรร่มกนั ระหวำ่ งศิลปิ นทกุ สำขำ ส่งมำเทำ่ ใดก็ จดั แสดงหมดไมม่ ีกำรคดั เลือก

29 ประมำณ .ศ.พฤศจิกำยน พ 152488 มีกำรจดั แสดงภำพเขียนของกลมุ่ จกั รวรรดิคร้ังท่ี ณ ศำลำเฉลิมกรุง 2 เช่นเดิม “ภำพ จำหน่ำย 162 มีผลงำนศิลปะท้งั วจิ ิตรศลิ ป์ พำนิชยศิลป์ มีภำพถำ่ ยเขำ้ ร่วมแสดงดว้ ย มีผลงำนท้งั สิ้น... 10 ผลงำนไดป้ ระมำณ% ในกำรแสดงคร้ังน้ีสมเดจ็ เจำ้ ฟ้ำกรมพระยำนริศรำนุวตั ติวงศ์ ทรงประทำนภำพฝีพระหตั ถ์ เขำ้ ร่วมแสดงดว้ ยน้ีมีอุบตั ิเหตุเกิดเพล 2 ในกำรแสดงท่ี...์ิงไหมข้ ้ึนในโรงภำพยนตร์เฉลิมกรุง และไฟไดล้ กุ ลำม มำยงั หอ้ งแสดงภำพ ทำใหส้ ูญเสียภำพไปหลำยชิ้น ตอ้ งหยดุ กำรแสดงชว่ั ครำว และมำเปิ ดแสดงต่อในวนั ท่ี 29 2488 ธนั วำคม(วิโชค มุกดำมณี เอกสำรประกอบกำรสมั มนำ( กำรแสดงผลงำนศิลปกรรม ไดร้ ับควำมสนใจมำกข้นึ มกี ำรแสดงงำนภำพเขียนของศนู ยว์ ฒั นธรรมญ่ปี ่ ุน ท่ี ใกลส้ ี่แยกคอกววั ถนนรำชดำเนิน กทม .ศ.มีกำรตดั สินใหร้ ำงวลั ดว้ ยจนถึงปี พ .2492 อำจำรย์ พีระศรี จึงจดั งาน แสดงศิลปกรรมแห่งชาตขิ นึ้ เพ่อื เป็นท่ีแสดงผลงำนศิลปกรรมของศิลปิ นไทย และดำเนินงำนยต่อเน่ืองมำจนถึง ปัจจบุ นั

30 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 รหสั วิชำ 2301-2126 ช่ือวิชา จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ( หน่วยกิต ) ชัว่ โมง (3)6 ชื่อหน่วย วสั ดุในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชว่ั โมง 24 ชว่ั โมง ชื่อเรื่อง วสั ดุในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชวั่ โมง 24 ชวั่ โมง ................................................................................................................................................................................. สาระสาคญั วสั ดุ หรือ สีท่ีใช้ในงำนจิตรกรรม กำรเลอื กใชว้ สั ดุ เป็นเร่ืองทกั ษะของศลิ ปิ นแตล่ ะคน สีท่มี นุษยม์ องเห็นอนั เนื่องมำจำก แสงตกกระทบบนผวิ ของวตั ถุ แลว้ สะทอ้ นมำสู่ดวงตำ เกิดกำรรบั รู้สี ค่ำของสีและควำมรู้สึกของสีไปในขณะเดียวกนั สีในงำนจิตรกรรม จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. ผูเ้ รียนมีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจ วสั ดใุ นงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 2. ผูเ้ รียนสำมำรถสร้ำงใชว้ สั ดุในกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เนื้อหาสาระ สีท่มี นุษยม์ องเห็นอนั เนื่องมำจำก แสงตกกระทบบนผวิ ของวตั ถุ แลว้ สะทอ้ นมำสู่ดวงตำ เกิดกำรรบั รู้สี ค่ำ ของสีและควำมรู้สึกของสีไปในขณะเดียวกนั สีในงำนจิตรกรรมประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ส่วนคือ เน้ือสี 2 )Pigmeat( และตวั ผสมสี )Medium( ในปัจจบุ นั น้ีมีกำรนำสีต่ำงๆ มำใชใ้ นงำนจิตรกรรมมำกมำย กิจกรรมการเรียนการสอน อธิบำย บรรยำย นำเขำ้ สู่บทเรียน ซกั ถำมรำยบคุ คล ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ - เอกสำรประกอบกำรสอน ใบควำมรู้ ใบงำน - ตวั อยำ่ งภำพสำเร็จ การวัดผลและประเมนิ ผล - พฤตกิ รรมกำรเรียน , ควำมสนใจ ซกั ถำม ขณะปฏิบตั ิงำนทีม่ อบหมำย - พฤตกิ รรมหลงั เลกิ เรียน ในคำบเรียน ควำมสะอำดบริเวณโต๊ะเรียนและในช้นั เรียน บันทึกหลงั การสอน นกั เรียนสำมำรถรู้เขำ้ ใจหลกั กำรและข้นั ตอนของกำรใชว้ สั ดุในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์

31 เนือ้ หาสาระ วัสดุ หรือ สีทใ่ี ช้ในงานจิตรกรรม กำรเลอื กใชว้ สั ดุ เป็นเรื่องทกั ษะของศิลปิ นแตล่ ะคน สีทมี่ นุษยม์ องเห็นอนั เนื่องมำจำก แสงตกกระทบบนผวิ ของ วตั ถุ แลว้ สะทอ้ นมำสู่ดวงตำ เกิดกำรรบั รู้สี คำ่ ของสีและควำมรู้สึกของสีไปในขณะเดียวกนั สีในงำนจิตรกรรม ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ) ส่วนคอื เน้ือสี 2 Pigmeat( และตวั ผสมสี )Medium( ในปัจจุบนั น้ีมกี ำรนำสีต่ำงๆ มำใช้ ในงำนจิตรกรรมมำกมำย จะขอกลำ่ วโดยสรุป ดงั น้ี 1 . สีฝ่ นุ )Tempera Color( เป็นสีท่ใี ชใ้ นจิตรกรรมทเี่ ก่ำแกทส่ี ุด มลี กั ษณะเป็นผงคลำ้ ยแป้ง มีคณุ สมบตั ทิ บึ แสง )Opaqueเวลำระบำยสีตอ้ งผสมกำวหรือตวั เกำะยดึ อืน่ ๆ เช่น ไขข่ ำว ไขแ่ ดง กำวกฐิน เป็นตน้ ปัจจบุ นั มีกำร( ทำกำวสำเร็จ บรรจุขวดเพอ่ื สะดวกแกก่ ำรใชง้ ำน สีฝ่ ุนเป็นสีทช่ี ่ำงเขียนไทยใชเ้ ขยี นภำพจิตรกรรมฝำผนงั มำต้งั แต่ ลกั ษณะใหญๆ่ ดงั น้ี 2 สมยั สุโขทยั สีฝ่นุ มวี ธิ ีกำรเขียนอยู่ 1 .) ระบายสีฝ่ นุ บนพื้นแห้ง 1Secco( ใชเ้ ขยี นไดท้ ้งั บนพ้นื ไม้ พ้นื ปูน ผำ้ กระดำษ หรือผนงั อำคำรทแี่ หง้ สนิทแลว้ มกี ำรปรบั พ้ืนใหเ้ รียนร้อย หรือเตรียมพ้นื ก่อนระบำยสีฝ่ นุ ยึดติดกบั พ้ืนดว้ ยกำว จิตรกรรมฝำผนงั แบบไทย ประเพณี ใชว้ ธิ ีกำรเขียนแบบน้ีเพรำะภำพไทย ลำยไทย เนน้ ควำมละเอยี ดออ่ น ควำมประณีตบรรจง แสดงควำมงำม ดว้ ยเส้น จึงตอ้ งใชเ้ วลำเขียนนำน เพื่อใหไ้ ดเ้ ส้นท่ีสวยงำมอ่อนชอ้ ย มชี ีวิตชีวำ (ท้งั เส้นรอบนอกและรำยละเอยี ด) 1 .) ระบายสีฝ่ นุ บนพนื้ ทีย่ ังเปี ยกชื่นอยู่ 2Fresco( ใชเ้ ขยี นผนงั ปูนที่ยงั เปี ยกชื่นหรือใกลจ้ ะแหง้ ส่วนใหญ่ เป็นงำนจิตรกรรมฝำผนงั ของชำวตะวนั ตก ซ่ึงเร่ิมเขียนมำต้งั แต่สมยั อยี ปิ ต์ กรีกและโรมนั โบรำณ กำรเขียนตอ้ งแข่ง กบั เวลำเพรำะตอ้ งเขียนให้เสร็จกอ่ นปนู แหง้ เมือ่ แหง้ สนิทแลว้ ปูนจะดูดสีเป็นเน้ือเดียวกนั กบั ปูน ทำใหภ้ ำพคงอยไู่ ด้ นำนกว่ำแบบแรก และมกั จะเรียกชื่อทบั ศพั ทว์ ำ่ ภำพเฟรมโก )Fresco (เป็นภำพเขยี นขนำดใหญม่ ีวธิ ีกำรยงุ่ ยำก ซบั ซ้อน เช่น ภำพกำเนิดมนุษย์ บนผนงั เพดำนโบสถซ์ ิสติน กรุงว่ำติกนั อติ ำลี ผลงำนของมกิ เคลนั เจโล ในประเทศ ไทยมภี ำพเขยี นเทคนิคน้ีที่โบสถว์ ดั รำชำธิวำช กทมโยกรมพระยำนริศรำนุวตั ติวงศ .์์ และศิลปิ นชำวอิตำลี 2 . สีน้ามนั )Oil Color( เป็นสีทไี่ ดร้ บั ควำมนิยมมำกท้งั ผดู้ ูและช่ำงเขยี นเพรำะเขยี นงำ่ ย ระบำยสีทบั กนั ไปมำ ได้ ทนทำน ทิง้ ไวน้ ำน กลบั มำเขยี นทบั อกี กี่คร้งั ก็ไดแ้ ละมเี ทคนิควิธีกำรเขยี นหลำยแบบภำพทีส่ ำเร็จจะดูสมจริง เหมือนธรรมชำติ มคี วำมเป็นเน้ือ )Massมำกกว่ำสีชนิดอน่ื ผลงำนสำเร็จเก็บไวไ้ ดน้ ำนกวำ่ ร้อยปี สีน้ำมนั ไดเ้ ร่ิมผลิต ( .ศ.เชิงกำรคำ้ มีกำรบรรจุหลอดเหมอื นอยำ่ งท่ีเห็นในน้ีในปี พ2328 ภำพสีน้ำมนั มีกำรซ้ือขำยรำคำดี เช่น ภำพดอก ไอริส และภำพของดอกทำนตะวนั ของวินเซนต์ แวนโก๊ะ สีน้ำมนั แมว้ ำ่ จะมีคณุ สมบตั ิทึบแสงเหมอื นสีฝ่นุ แต่ฝ่ นุ ก็สำมมำรถเขียนใหใ้ สได้ ท้งั น้ียงั ข้นึ อยกู่ บั เทคนิค ละวธิ ีกำรเขียน และทกั ษะของศิลปิ นแตล่ ะคน เวลำเขยี นตอ้ งผสมน้ำมนั ลนิ สีด )Linseed (และเขยี นบนผำ้ ใบขงึ ตงึ ท่ี เรียกว่ำ แคนวำส )Canvas( หรือเฟรม ซ่ึงมสี ีลองพ้ืนทบั กนั เป็นช้นั ถำ้ นำสีฝ่ ุนมำผสมกบั น้ำมนั ลนิ สีด จะเหมือนสี น้ำมนั แต่คณุ ภำพและควำมคล่องตวั ในกำรเขยี นจะดอ้ ยวำ่ จนทำให้เกินกำรนำมำเขียนผสมกนั เช่น เขยี นสีฝ่ ุนเป็น พ้นื แลว้ ทบั บนหรือทบั ผิวหนำ้ ดว้ ยสีฝ่ นุ ผสมน้ำมนั ซ่ึงต่อมำเรียกวำ่ กำรเขียนสีซอ้ น ภำพอำหำรม้อื สุดทำ้ ย เป็นภำเขียนสีน้ำมนั บนผนงั ที่เกำ่ แกร่ ูปหน่ึง เป็นฝีมือของลโี อนำโด ดำวินชี ท่ีมกี ำร ซ้อมแซมมำหลำยคร้ัง สีน้ำมนั มีเทคนิควธิ ีกำรเรียนภำพหลำยแบบ ทีค่ วรรู้ไดแ้ ก่ กำรระบำยสีเป็นช้นั เริ่มจำกสีหม่น หรือสีกลำง แลว้ คอ่ ยๆ ระบำยสี แท้ สดใส เนน้ หรือทบั ช้นั บนสุด และกำรระบำยสีโดยตรง )Alla Primaเป็นกำร (

32 ระบำยสีตำมทต่ี อ้ งกำร เม่ือระบำยสีใดสีหน่ึงลงไปภำพที่เสร็จก็จะปรำกฏสีน้นั ในภำพไม่ตอ้ งระบำยทบั เป็นข้นั ๆ เหมือนวิธีแรก 3 . สีน้า )Water Color( มีคุณสมบตั ิโปร่งใส )Transparent (ตอ้ งระบำยลงบนพ้ืนกระดำษขำว เน่ืองจำกเป็น สีทแ่ี หง้ เร็ว เขยี นทบั กนั หลำยท้งั ไม่ได้ และไมค่ วรจะผสมสีขำว เพรำะจะทำให้สีขนุ่ เสียควำมโปร่งใส ผูเ้ ขยี นจะตอ้ ง มีควำมชำนำญ แมน่ ยำ ภำพท่ีสำเร็จจึงจะสวยงำม สีน้ำใชไ้ ดท้ ้งั ระดบั นกั ศึกษำละศิลปิ น ใชไ้ ดท้ ้งั ฝึกหดั และเขยี นเป็น อำชีพ ปัจจุบนั มีศิลปิ นทเี่ ขยี นเฉพำะสีน้ำอยำ่ งเดียวประสบผลสำเร็จหลำยท่ำน ในวงกำรศลิ ปะ กำรเขียนสีน้ำจดั เป็นรำยวิชำหน่ึงโดยเฉพำะในทกุ หลกั สูตรสีน้ำใชเ้ ขียนภำพตำ่ งๆ ได้ อยำ่ งกวำ้ งขวำง เช่น ภำพหุ่นนิ่ง ภำพทิวทศั น์ รวมไปถงึ ภำพประกอบหนงั สือตำ่ งๆ ดว้ ย ปัจจบุ นั ภำพเขียนสีน้ำได้ ควำมนิยมมำก มกี ำรแสดงภำพผลงำนสีน้ำท้งั ทเ่ี ป็นกำรแสดงเดี่ยวและกำรแสดงกลุ่ม กำรเขยี นสีน้ำมหี ลำยวิธี ซ่ึงจะ กล่ำวถงึ เทคนิคกำรเขยี นสีน้ำในบทต่อไป 4 . สีโปสเตอร์ )Poster Color( เป็นสีทึบแสง บรรจุขวดแกว้ พลำสตกิ หรือเป็นหลุม สีสดใส มใี ห้เลอื กหลำย สี เวลำใชต้ อ้ งผสมน้ำ ทำให้อ่อนลงดว้ ยกำรผสมสีขำว ระบำยบนกระดำษที่หนำ ดูดซบั สีไดด้ ี ใช้เป็นสีสำหรบั งำน เขยี นภำพประกอบ งำนออกแบบภำยใน หรืองำนทมี่ ีขนำดเล็ก มำกกวำ่ งำนกลำงแจง้ ท่มี ีขนำดใหญ่ รำคำไมแ่ พงมำก นกั จึงเหมำะสำหรับงำนทวั่ ไป ในอดีตใช้สีโปสเตอร์ในกำรเขยี นภำพประกอบเรื่อง เขียนใบปิ ดโฆษณำภำพยนตร์ ไทย เรียกกนั โดยทวั่ ไปว่ำ เขียนโปสเตอร์ เวลำเขยี นควรผสมน้ำให้เหมำะสม อยำ่ ใชข้ น้ หรือเหลวจนเกินไป ถำ้ จะ ระบำยบริเวณกวำ้ ง ควรผสมสีขำวเลก็ นอ้ ย เพอ่ื ใหส้ ีแน่นข้ึน และระบำยให้สีเรียบงำ่ ยข้ึน ถำ้ ตอ้ งกำรให้สีนูน หนำข้นึ อำจจะใชผ้ สมกบั ปนู ปลำสเตอร์หรือซีเมนตข์ ำวก็ได้ 5 . สีอะครีลกิ )Acrylic Color( เป็นสีใหมล่ ำ่ สุด ท่ีไดร้ ับควำมนิยมในวงกำรจิตรกรรมมำกเพรำะสำมำรถใช้ เรียนแบบสีน้ำมนั และแบบสีน้ำกไ็ ด้ สีน้ีเป็นผลพลอดไดม้ ำจำก กำรกลน่ั น้ำมนั ปิ โตรเลยี ม จึงมีรำคำแพงพอสมควร แต่มีคุณภำพดี สีสวยสดใส มีสีให้เลอื กมำกกว่ำสีน้ำมนั มีตวั กลำง หรือตวั ผสมหลำยชนิดท่ีช่วยทำให้สีมคี วำมหนำ บำง เกำะตวั กนั แน่นหรือตวั ผสมทีท่ ำใหเ้ กิดพ้ืนผิวต่ำงกนั เช่น ควำมเรียบดำ้ น ควำมมนั วำว กำรแห้งชำ้ แห้งเร็ว เป็น ตน้ สีอะครีลิก กลน่ิ ไม่แลว้ เหมือนสีน้ำมนั เขยี นงำ่ ย เมือ่ แห้งแลว้ มคี วำมคงทนติดแน่นอยนู่ ำน เทำ่ กบั สีน้ำมนั 6 . สีจากโมเสก )Mosaic( เป็นสีจำกหินขนำดเล็ก ใชเ้ รียงติดกนั เป็นภำพเรียกวำ่ ภำพประดบั โมเสก นิยม สร้ำงเป็นงำนจิตรกรรมมำต้งั แตส่ มยั โรมนั สมยั กลำงของยโุ รป ศลิ ปินตอ้ งกำรจะใหภ้ ำพอยนู่ ำน มีสีสดใส (กอธิก) เหมือนสีของผิวหินออ่ น จึงนำหินมำตดั เป็นรูปส่ีเหลยี่ มช้ินเล็กๆ ประดบั ฝำผนงั แทนกำรระบำยสีแทนกำรระบำยสี บนผนงั เช่น ภำพ จูดำห์ 7 . สีพาสเทล )Pastel( เป็นสีแทง่ มีท้งั แทง่ กลม และแทง่ เหลยี่ ม เน้ือสีมีควำมสดใส เร่ิมผลติ ข้ึนในประเทศ ฝรงั่ เศสมี แบบไดแ้ ก่ 2 7 .พาสเทลแบบนุ่ม 1 เรียกกนั ทว่ั ไปว่ำสีชอร์ค )Sofe pastelเหมำะสำหรับเขียนภำพคนเหมือน เกลย่ี ( เรียบดว้ ยนิ้วมือ เขียนเสร็จแลว้ ควรเคลือบดว้ ยน้ำมนั เคลือบผวิ หรือใส่กรอบภำพโดยใชก้ ระดำษกำร์ดหนำๆ ก้นั ไว้ เพอื่ มิให้สีติดกระจก 7 .พาสเทลนา้ มัน 2 เรียกกนั วำ่ สีน้ำมนั แทง่ )Oil pastelเหมำะสำหรบั เขยี นภำพทว่ั ไป โดยเฉพำะภำพ ( หุ้นนิ่ง ทิวทศั น์ หรือภำพทไ่ี มต่ อ้ งกำรแสดงรำยละเอยี ดมำกนกั ควรเขียนบนกระดำษหนำ ทง้ิ ไวร้ ะยะหน่ึง สีก็จะ แห้ง ไม่ตอ้ งเคลือบผวิ

33 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 รหสั วิชำ 2301-2126 ช่ือวิชา จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ( หน่วยกิต ) ชั่วโมง (3)6 ช่ือหน่วย กำรแสดงออกในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชวั่ โมง 24 ชวั่ โมง ช่ือเร่ือง กำรแสดงออกในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชวั่ โมง 24 ชวั่ โมง ................................................................................................................................................................................. สาระสาคญั จิตรกรรมเป็นผลงำนศิลปะแขนงหน่ึง ทเ่ี ป็นผลงำนมำจำกกำรแสดงออกถึงควำมรู้สึกนึกคดิ ของศลิ ปิ นทม่ี ี ตอ่ โลกภำยนอก ธรรมชำติ สภำพสังคม สิ่งแวดลอ้ ม ร่วมกนั กบั โลกภำยในของศลิ ปิ น (ควำมคิด ควำมรู้สึก) แสดงออกในลกั ษณะของงำนศลิ ปะที์่ลกึ ซ้ึง กินใจ มำกกว่ำภำษำทง่ั ไป กำรแสดงออกของจิตรกร (ภำษำทำงศิลปะ) จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ผูเ้ รียนมีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจ กำรแสดงออกในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 2. ผูเ้ รียนสำมำรถสร้ำงงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เนื้อหาสาระ ศลิ ปิ นเป็นหน่วยหน่ึงในสงั คม มีควำมรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม จึงมกี ำรแสดงควำมรู้สึกนึกคดิ ตอ่ สิ่งตำ่ งๆ ใน สังคมปัจจุบนั โดยกำรสะทอ้ นอำรม ควำมรู้สึกกำร ลงในงำนจิตรกรรม ดงั เช่น วเิ ซนต์ แวนโก๊ะ เมส์ เอนเซอร์ แจ็ค สนั พอลลอค วสนั ต์ สิทธิเขต และพิเศษ โพพศิ ศิลปิ นเหล่ำน้ีเขยี นภำพเพ่ือแสดงควำมรู้สึกนึกคดิ ของตนต่อ เหตุกำรณท์ ่ีเกิดข้ึนในสังคม มำกกว่ำทจี่ ะแสดงควำมงำมของรูปทรง กจิ กรรมการเรียนการสอน อธิบำย บรรยำย นำเขำ้ สู่บทเรียน ซกั ถำมรำยบุคคล ส่ือและแหล่งการเรยี นรู้ - เอกสำรประกอบกำรสอน ใบควำมรู้ ใบงำน - ตวั อยำ่ งภำพสำเร็จ การวัดผลและประเมนิ ผล - พฤตกิ รรมกำรเรียน , ควำมสนใจ ซกั ถำม ขณะปฏบิ ตั ิงำนท่มี อบหมำย - พฤตกิ รรมหลงั เลกิ เรียน ในคำบเรียน ควำมสะอำดบริเวณโตะ๊ เรียนและในช้นั เรียน บนั ทกึ หลังการสอน นกั เรียนสำมำรถรู้เขำ้ ใจหลกั กำรกำรในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์

34 เนือ้ หาสาระ การแสดงออกในงานจติ รกรรม จิตรกรรมเป็นผลงำนศลิ ปะแขนงหน่ึง ท่ีเป็นผลงำนมำจำกกำรแสดงออกถงึ ควำมรู้สึกนึกคิดของศลิ ปิ นทม่ี ี ต่อโลกภำยนอก ธรรมชำติ สภำพสังคม สิ่งแวดลอ้ ม ร่วมกนั กบั โลกภำยในของศลิ ปิ น (ควำมคิด ควำมรู้สึก) ภำษำทำงศิลป) แสดงออกในลกั ษณะของงำนศลิ ปะทลี่ กึ ซ้ึง กินใจะ มำกกว่ำภำษำทง่ั ไป กำรแสดงออกของจิตรกร ( สรุปไดด้ งั น้ี 1 . เขยี นตามท่ีรู้ เป็นกำรเขียนภำพเพ่อื ถ่ำยทอดส่ิงที่เคยรู้ สิ่งที่เคยเห็นจำกประสบกำรณ์ตรง แลว้ นำมำ แสดงออกถึงสิ่งท่เี ห็นมำ ทเ่ี คยมีประสบกำรณ์ มกั จะเป็นภำพเขียนในลกั ษณะเหมือนจริงตำมตำเห็น ท่ีแสดงถึงทกั ษะ ฝีมอื ควำมแมน่ ยำ ซ่ึงเร่ิมตน้ เขยี นกนั มำต้งั แต่สมยั โรมนั พฒั นำมำสู่สมยั เรอเนสของ และเดน่ ชดั มำกในสมยั บำโรก และรอคโกโก ปัจจบุ นั กน็ ิยมเขยี นกนั อยู่ 2 . เขียนตามท่ีเชื่อถือ เป็นกำรเขียนเพอื่ ถำ่ ยทอดควำมเช่ือถอื ของสังคมหรือของตนเองลงในงำนจิตรกรรม เพ่ือใหค้ วำมเช่ือถือน้นั เด่นชดั ข้นึ เช่น ภำพเขียนของอินเดียแดง ภำพสญั ลกั ษณต์ ่ำงๆ ภำพเขยี นบนพ้ืนทรำยเผ่ำนำวำ โฮ ภำพโมเสกสมยั กอธิก สมยั ไบเซนตไ์ ทร สมยั เรอเนสซอง ซ่ึงแสดงถึงควำมศรทั รำเชื่อถอื ในคริสตศ์ ำสนำ 3 . เขียนตามทีค่ ิด หรือตำม่ตี อ้ งกำรแสดงออก เพอ่ื เป็นกำรสร้ำงสรรคร์ ูปร่ำงรูปทรง หรือรูปแบบใหมๆ่ ให้แกส่ งั คม แสดงควำมคดิ เห็นของตนทม่ี ตี ่อธรรมชำติ ต่อส่ิงแวดลอ้ มลงมำในงำนจิตรกรรม ศลิ ปิ นเป็นหน่วยหน่ึงในสังคม มีควำมรบั ผิดชอบตอ่ สังคม จึงมีกำรแสดงควำมรู้สึกนึกคดิ ต่อสิ่งต่ำงๆ ใน สังคมปัจจุบนั โดยกำรสะทอ้ นอำรม ควำมรู้สึกกำร ลงในงำนจิตรกรรม ดงั เช่น วเิ ซนต์ แวนโก๊ะ เมส์ เอนเซอร์ แจค็ สนั พอลลอค วสันต์ สิทธิเขต และพิเศษ โพพศิ ศลิ ปิ นเหล่ำน้ีเขยี นภำพเพ่ือแสดงควำมรู้สึกนึกคดิ ของตนต่อ เหตุกำรณ์ท่เี กิดข้ึนในสังคม มำกกวำ่ ทจี่ ะแสดงควำมงำมของรูปทรง ในขณะทศี่ ิลปิ นบำงกลุ่ม แสดงทกั ษะฝี มือกำร ดดั แปลงรูปร่ำงรูปทรงตำมธรรมชำติท่ไี ม่เหมำะสม ให้เหมำะสมสวยงำมดีข้ึน เช่น รูปมคิ ก้ีเมำ้ ส์ ดดั แปลงมำจำกหนู รูปโดรำเอมอน ดดั แปลงมำจำกแมว เป็นตน้ ศิลปิ นแตล่ ะคน จะมแี นวทำงกำรแสดงออก ในลกั ษณะที่แตกต่ำงกนั จนมลี กั ษณะเดน่ ชดั เป็นแนวทำง กำรแสดงออกดว้ ยตนเอง พ้ืนผิวในงานจิตรกรรม )Texture( พ้นื ผิวเป็นลกั ษณะภำยนอกของวตั ถทุ แี่ ตกต่ำงกนั ให้ควำมรู้สึกจำกกำรมองเห็นกำรสมั ผสั ตำ่ งกนั เช่น ผิว ของผลไมแ้ ตล่ ะชนิดแตกตำ่ งกนั ประตมิ ำกรรมภำพคนท่แี กะสลกั ดว้ ยหินออ่ นจะมผี วิ ทแ่ี ตกตำ่ งจำกปติมำกรรมที่ หลอ่ ดว้ ยโลหะ เป็นตน้ ผวิ ของส่ิงท่ีเกิดข้นึ เองตำมธรรมชำติท่เี ปลีย่ นแปลงไดต้ ำมกำรเวลำ ผวิ (ผวิ เต่งตึง ผิวเหี่ยวยน่ ) มีผลต่อกำรรบั รู้ค่ำควำมงำม ทำให้เกิดควำมพยำยำมทีจ่ ะรกั ษำไว้ หรือชะลอไวใ้ ห้นำนทีส่ ุด พ้ืนผวิ ในสิ่งทมี่ นุษย์ สร้ำงข้ึน มกี ำรเปลี่ยนแปลงชำ้ และสำมำรถซ่อมแซมได้ พ้ืนผิวในงำนศลิ ปะมี ลกั ษณะไดแ้ ก่ 3 1 . พนื้ ผิวจริง )Real Texture( เป็นผิวของวตั ถตุ ำมทีเ่ รำมองเห็นกนั ท้งั ไปจบั ตอ้ งได้ มนุษยม์ ีควำมรู้สึก ทำงดำ้ นควำมงำมกบั พ้นื ผวิ จริงมำก ผิวจริงปรำกฏในงำนประตมิ ำกรรมและสถำปัตยกรรมซ่ึงเป็นกำรเลือกเอำวสั ดุท่ี มีผิวสวยงำมมำสร้ำงเป็นงำนศิลปะส่วนในงำนจิตรกรรมปรำกฏเป็นควำมหนำ ควำมบำง ควำมนูน สูงต่ำ ของเน้ือสีที่ ป้ำยหรือระบำยลงไปในงำน )Physical space(

35 2 . พื้นผิวล่วงตา )Illusion Texture( ปรำกฏเฉพำะในงำนจิตรกรรม ซ่ึงเป็นงำนทใี่ ชส้ ีระบำยลงบนพ้นื ท่ี เป็นกระดำษ กระดำน ผนงั ปูน ศลิ ปิ นใชส้ ีเขียนเป็นรูปร่ำงรูปทรงต่ำงๆ เพอ่ื ใหด้ ู ใหม้ องเห็นเป็นผิวทีเ่ หมอื นจริงตำม เน้ือหำของภำพน้นั เช่น ภำพคน จะเขียนใหด้ ูเป็ นเน้ือ เป็นหนงั จริง มเี ลอื ดฝำด มีชีวติ เขียนใหด้ เู ป็นเส้ือผำ้ ผิวของ ตน้ ไม้ กอ้ นหิน หรือ ผิวของโลหะ ฯลฯ 3 . พ้ืนผิวผสม )Mixed Texture( ในหำรสร้ำงงำนศลิ ปะสมยั ใหม่ เนน้ เสรีภำพ ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ จึงมี กำรแสวงกำรเทคนิควิธีกำรสร้ำงงำนใหม่ๆ ข้นึ งำนสื่อผสม )Mixed Media( และจดั กำรแสดง )Installation( เนน้ ควำมคิดสร้ำงสรรคแ์ ละเสรีภำพ จึงมีกำรใชพ้ ้นื ผิวจำกกำรเขยี นข้นึ เอง และผิวจำกวสั ดจุ ริงๆ เขำ้ มำ (ผิวลวงตำ) ประกอบเป็นงำน ให้เกิดควำมตืน่ เตน้ น่ำสนใจ และดูสมจริงยง่ิ ข้นึ เริ่มนิยมสร้ำงสรรคก์ นั มำต้งั แต่ยคุ ควิ บสิ ซ่ึม )Cubism( ปัจจุบนั กำลงั เป็นทีน่ ิยมในประเทศไทย ระยะในงานจติ รกรรม กำรสร้ำงงำนจิตรกรรมมี ลกั ษณะใหญๆ่ คือสร้ำงเป็นจิตรกรรมแบนๆ โดยใชร้ ูปร่ำงเป็นส่วนใหญ่ เช่น งำน 2 ปริญญำ ตนั ตสิ ุข งำนของพีท มองเดรียนและงำนท่ีใชร้ ูปทรงเพอ่ื ให้ดูกลมกลงึ มีระยะใกลไ้ กล มนี ้ำหนกั ออ่ นแก่ เหมือนของจริง มีกำรกำหนดระยะในงำนจิตรกรรมไว้ ระยะดงั น้ี 3 1. ระยะหนำ้ )Fore Ground( 2. ระยะกลำง) Middle Ground( 3. ระยะหลงั )Back Ground ( ระยะท้งั น้ี ศลิ ปิ นมกั จะเขียนข้นึ โดยเนน้ ระ 3ยะกลำงใหเ้ ด่นชดั กวำ่ ระยะอ่นื จนกลำยเป็นหลกั ปฏิบตั ิกนั ทว่ี ำ่ จดุ สนใจควรอยตู่ รงกลำงของภำพ (แตม่ ใิ ช่ก่ึงกลำงภำพ) จำกควำมสำคญั ดงั กลำ่ วทำให้เกิดกำรศกึ ษำเรื่องกำรสร้ำงระยะในจิตรกรรมซ่ึงสรุปไดด้ งั น้ี 1 . สร้ำงระยะในภำพดว้ ยขนำดท่ีต่ำงกนั สิ่งทมี่ ีขนำดใหญ่จะอยรู่ ะยะหนำ้ สิ่งทมี่ ขี นำดเลก็ กว่ำจะอยรู่ ะยะ หลงั 2 . สร้ำงระยะใหภ้ ำพดว้ ยรำยละเอยี ดที่แตกต่ำงกนั สิ่งทมี่ รี ำยละเอียดชดั เจนจะอยรู่ ะยะหนำ้ สิ่งท่ีมีรำยระ เอียดไม่ชดั เจนจะอยรู่ ะยะหลงั 3 . สร้ำงระยะในภำพดว้ ยกำรทบั ซอ้ นกนั หรือสร้ำงใหบ้ งั คบั ทบั กนั รูปร่ำง รูปทรงที่อยู่บนจะอยรู่ ะยะหนำ้ รูปร่ำง รูปทรงทีถ่ กู ทบั จะอยรู่ ะยะหลงั 4 . สร้ำงระยะในภำพดว้ ยน้ำหนกั ที่แตกต่ำงกนั กำรทำให้มนี ้ำหนกั ตำ่ งกนั ทำได้ กรณี คอื น้ำ 2หนกั อ่อนอยู่ หนำ้ หรือน้ำหนกั เขม้ อยหู่ นำ้ ก็ได้ 5 . สร้ำงระยะในภำพดว้ ยทศั นียวิทยำเชิงสี (เทคนิคมำ่ นหมอก) 6 . สร้ำงระยะในภำพดว้ ยทศั นียวทิ ยำเชิงเส้น การสร้างระยะใกล้ไกลในงานจติ รกรรม 1 . ทศั นียวิทยาเชิงบรรยากาศ )Aerial Perspective( เป็นหลกั กำรท่เี ช่ือมโยงมำจำกำรมองเห็นจริงที่ว่ำ ส่ิง ที่อยใู่ กลจ้ ะมคี วำมชดั เจน ควำมคมชดั มำกกวำ่ ส่ิงทอี่ ยไู่ กลออกไปในทำงปฏบิ ตั ิจึงมกี ำรเขยี นภำพโดยแสดง

36 รำยละเอียดของวตั ถทุ ี่อยดู่ ำ้ นหนำ้ แลว้ คอ่ ยๆ ลงลำยละเอียดลง จนเหลือเพียงภำพรวมในระยะหลงั หรือระยะไกล ออกไป ในกำรระบำยสีจะใชส้ ีแทใ้ นระยะหนำ้ แลว้ ค่อยๆ ใชส้ ีผสมในระยะไกล 2 . ทัศนยี วิทยาเชิงเส้น )Linear Perspective( เป็นหลงั กำรทีเ่ ช่ือมโยงมำจำกกำรมองเห็นจริง เหมือนทศั นีย วิทยำเชิงบรรยำกำศ มปี ระโยชนก์ บั กำรเขียนภำพแบบเหมอื นจริงมำก เพรำะตำมสภำพเป็นจริงน้นั วตั ถมุ คี วำมต้นื ลึก หนำบำง แต่พอมำเป็นภำพเขียนจะเขียนบนแผน่ กระดำษหรือบนระนำบเรียบ ดงั น้นั จึงตอ้ งหำวิธีกำรเขียนเพอื่ ให้เกิด กำรลวงตำ ที่จะทำให้มคี วำมต้ืนลกึ หนำบำง เหมือนสภำพเป็นจริง เช่ือกนั วำ่ วิธีน้ีคิดข้ึนโดย บรูเนลลีชชิ ชำวอติ ำ เลยี น )Brunelleschi( ทศั นียวทิ ยำเชิงเส้น มีหลกั เกณฑม์ ำจำกควำมจริงของกำรมองเห็นทวี่ ่ำ ถำ้ วตั ถุมีขนำดเท่ำกนั หลำยๆ อนั ต้งั เรียงกนั อยู่ เมื่อมองดจู ะสงั เกตเห็นวำ่ วตั ถอุ นั ทีอ่ ยใู่ กลต้ ำมำกท่สี ุดจะมีขนำดใหญก่ ว่ำวตั ถุทย่ี ไู่ กลออกไปตำมลำดบั ทศั นียเชิงเสน้ ช่วยใหเ้ รำกำหนดขนำดท่ีอยไู่ กลออกไปได้ โดยวธิ ีกำรใชก้ ำรเดินของเส้น อนั เนื่องมำจำก มุมมอง และจดุ ต่ำงๆ เช่น จุดรวมสำยตำ )Vanishing Pointเป็นหลกั มกี ำรกำหนดตำแหน่งของวตั ถดุ ว้ ยเส้นระดบั ( ) สำยตำ Eye levelว่ำส่วนที่อยตู่ ่ำกวำ่ ระดบั สำยตำเส้นเดิมข้นึ ส่วนทอ่ี ยสู่ (์ูงกว่ำระดบั เส้นสำยตำเสน้ เดิมลง ขนำด สดั ส่วน ของวตั ถทุ ี่ลึกเขำ้ ไป ข้นึ อยกู่ บั เสน้ เดินหรือเสน้ โยง )Transition (ที่เดินไปสู่จุดรวมสำยตำ กำรทำให้ดตู ้นื ลกึ ใกลไ้ กลเหมอื นสภำพจริงในธรรมชำติน้ี เป็นเรื่องของเทคนิคและสติปัญญำ ซ่ึงแต่ละ คนจะมวี ธิ ีกำรทีแ่ ตกตำ่ งกนั ศลิ ปิ นบำงคนมคี วำมเขำ้ ใจเรื่องทศั นียภำพอยำ่ งดี จนสำมมำรถสร้ำงระยะข้นึ มำใหม่โดย ไมเ่ ป็นไปตำมแบบเดิมซ่ึงกท็ ำใหไ้ ดส้ วยงำมทีแ่ ปลกดี เช่น ทำภำพระยะหนำ้ ใหม้ องดรู ำงๆ ในขณะท่ีทำใหภ้ ำพระยะ กลำงชดั เจนท่ีสุดไปใช้ การเคลือ่ นไหวในงานจิตรกรรม กำรเคลอื่ นไหวเป็นคุณสมบตั อิ ยำ่ งหน่ึงของส่ิงมชี ีวิต จนกลำ่ วกนั วำ่ ส่ิงมีชีวติ ตอ้ งเคลอื่ นไหวได้ เจริญเตบิ โตได้ เปลี่ยนแปลงได้ นอกจำกน้ีส่ิงที่เคล่ือนไหว มกั จะไดร้ บั ควำมสนใจมำกว่ำสิ่งท่หี ยดุ น่ิง กำร เคลื่อนไหวในงำนศิลปกรรมมี ลกั ษณะใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ 2 1 . กำรเคลอื่ นไหวจริง เช่น )Real Movement( กำรเคลอื่ นไหวในงำนนำฏศลิ ป์ ในศลิ ปะกำรแสดง ในงำน โมบำย )Mobile( เครื่องแขวน และงำนไคเนติอำร์ต )Kinatic art( 2 . กำรเคลอื่ นไหวในควำมรู้สึก )Virtual Movement( หรือรู้สึกว่ำมนั เคลอ่ื นไหวไดซ้ ่ึงมกั จะปรำกฏใน งำนจิตรกรรม ซ่ึงมี แบบ คือ 2 2 .แนวเคลอ่ื น เป็นแนวหรือเส้น ท่ีเคล่อื นเฉพำะบริเวณใด บริเวณหน่ึงของภำพ ตำมท่ีศลิ ปิ นกำหนด 1 ) ไว้ บำงคร้งั เรียกวำ่ เส้นเชิงในX-sis line (บำงคร้ังเรียกว่ำเสน้ นำสำยตำ 2 . กำรเคลอ่ื นท้งั ภำพ กำรสร้ำงงำนจิตรกรรมใหด้ ูเคลื่อนไหวไปท้งั ภำพ ไดร้ บั ควำมนิยมมำก 2 ศลิ ปิ นบำงกลมุ่ นำมำเป็นแนวคดิ ของลทั ธิทำงศลิ ปะ เช่น ศิลปะสมยั ใหม่ไม่ควรจะแสดงเรื่องรำว หรือรูปทรงที่ ซบั ซ้อนมำกเกินไป ผดู้ ผู ชู้ ม ไมม่ ีเวลำท่ีจะพินิจพิจำรณำมำกนกั เพยี งทำให้ดูเคล่อื นไหวได้ หรือใหร้ ับรู้ทำงตำก็ เพยี งพอแลว้ ไมจ่ ำเป็นตอ้ งมเี น้ือหำอะไรแฝงเร้นมำกนกั ส่วนหน่ึงของแนวคดิ จองลทั ธิศลิ ปะลวงตำ หรือ)Optical art (

37 อกี ตวั อยำ่ งหน่ึงคอื แนวคดิ ของศิลปะลทั ธิอนำคตนิยม )Futurism (ทว่ี ่ำ โลกในอนำคตเป็นเร่ืองของ กำรแขง่ ขนั โดยมกี ำรเคล่อื นไหวทรี่ วดเร็วเป็นเรื่องสำคญั ศลิ ปะควรแสดงถงึ ควำมเร็ว กำรเคลอ่ื นไหว เพื่อให้ ประชำชนตระหนกั ถึงคุณค่ำของกำรเคลอ่ื นไหวท่ีรวดเร็วซ่ึงเป็นปัจจยั สำคญั ในอนำคต แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 4 รหสั วิชำ 2301-2126 ชื่อวิชา จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ( หน่วยกิต ) ช่วั โมง (3)6 ช่ือหน่วย คุณคำ่ ในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชว่ั โมง 24 ชว่ั โมง ช่ือเรื่อง คณุ คำ่ ในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชว่ั โมง 24 ชว่ั โมง ................................................................................................................................................................................. สาระสาคญั คณุ ค่ำในงำนจิตรกรรมก็เหมอื นคุณค่ำในงำนศิลปะ คือมคี ุณค่ำทำงดำ้ นเน้ือหำเรื่องรำว ละคุณคำ่ ทำงดำ้ น ควำมสวยงำมของรูปร่ำงรูปทรง สีสันและเทคนิควธิ ีกำรสร้ำงสรรค์ ทีล่ กึ ซ้ึงไปมำกวำ่ น้นั งำนศลิ ปกรรมยงั ทำให้เรำ เขำ้ ใจควำมเป็นมนุษยแ์ ละเขำ้ ใจตวั เองดว้ ย ท้งั น้ีเป็นเพรำะนอกจำกคุณคำ่ ทำงดำ้ นเน้ือหำ รูปแบบดงั กล่ำวแลว้ งำน ศลิ ปกรรมยงั มีผลกระทบตอ่ อำรมณค์ วำมรู้สึกของมนุษยไ์ ปในทำงทด่ี ีอกี ดว้ ย จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. ผูเ้ รียนมีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจ คุณค่ำนงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 2. ผูเ้ รียนสำมำรถสร้ำงคุณค่ำในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เนื้อหาสาระ ผลงำนจิตรกรรมทีแ่ สดงคุณคำ่ ทำงดำ้ นเน้ือหำเรื่องรำว เป็นส่วนของควำมคิดสร้ำงสรรคข์ องศลิ ปิ น ในกำรเลอื ก เน้ือหำมำแสดงออกตำมทสี่ นใจ เห็นวำ่ มีประโยชนต์ อ่ สังคม ในขณะเดียวกนั เน้ือหำกเ็ ป็นส่ิงทผ่ี ูด้ อู ยำกจะรู้ หรือ ตอ้ งกำรจะทรำบว่ำ งำนชิ้นน้นั เป็นภำพอะไร แสดงเน้ือหำเก่ียวกบั เรื่องอะไร โดยทว่ั ไปแลว้ เน้ือหำในงำนจิตรกรรม จะข้นึ อยกู่ บั ควำมนิยมของสังคม ซ่ึงศลิ ปิ นมกั จะคลอ้ ยตำมควำมตอ้ งกำรของสังคม หรือแสดงเร่ืองรำวตำมที่กำลงั อยู่ ในควำมนิยมของสงั คม กจิ กรรมการเรยี นการสอน อธิบำย บรรยำย นำเขำ้ สู่บทเรียน ซกั ถำมรำยบุคคล ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ - เอกสำรประกอบกำรสอน ใบควำมรู้ ใบงำน - ตวั อยำ่ งภำพสำเร็จ

38 การวัดผลและประเมินผล - พฤตกิ รรมกำรเรียน , ควำมสนใจ ซกั ถำม ขณะปฏบิ ตั ิงำนท่ีมอบหมำย - พฤติกรรมหลงั เลกิ เรียน ในคำบเรียน ควำมสะอำดบริเวณโต๊ะเรียนและในช้นั เรียน บนั ทึกหลังการสอน นกั เรียนสำมำรถรู้เขำ้ ใจหลกั กำรกำรในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ เนือ้ หาสาระ คณุ ค่าในงานจติ รกรรม เป็นผลให้ศลิ ปะอยทู่ กุ วนั น้ี งำนจิตรกรรมมคี ณุ ค่ำ ดำ้ น ดงั น้ี 2 1 . คุณค่าทางด้านเนื้อหาเรื่องราว )Content value( ผลงำนจิตรกรรมที่แสดงคณุ ค่ำทำงดำ้ นเน้ือหำเร่ืองรำว เป็นส่วนของควำมคดิ สร้ำงสรรคข์ องศิลปิ น ในกำรเลอื ก เน้ือหำมำแสดงออกตำมทส่ี นใจ เห็นวำ่ มปี ระโยชนต์ อ่ สังคม ในขณะเดียวกนั เน้ือหำกเ็ ป็นสิ่งท่ผี ูด้ อู ยำกจะรู้ หรือ ตอ้ งกำรจะทรำบวำ่ งำนชิ้นน้นั เป็นภำพอะไร แสดงเน้ือหำเกี่ยวกบั เรื่องอะไร โดยทว่ั ไปแลว้ เน้ือหำในงำนจิตรกรรม จะข้ึนอยกู่ บั ควำมนิยมของสังคม ซ่ึงศิลปิ นมกั จะคลอ้ ยตำมควำมตอ้ งกำรของสงั คม หรือแสดงเร่ืองรำวตำมทก่ี ำลงั อยู่ ในควำมนิยมของสังคม เน้ือหำทีแ่ สดงออกในงำนจิตรกรรม มีท้งั เน้ือหำเรื่องรำวที่เป็นควำมรู้สึกส่วนตวั ของศิลปิ น (โลกภำยใน) เช่นเน้ือหำเร่ืองรำวทำงดำ้ นกำรเมอื งกำรปกครองซ่ึงเป (โลกภำยนอก) และเน้ือหำทเ่ี ก่ียวกบั สังคม์น็ เร่ืองของคน กลุ่มใหญ่ ดงั ทีก่ ำจร สุนพงษศ์ รี )2523:117 ไดก้ ล่ำวถงึ จิตรกรรมทแี่ สดงเรื่องรำวทำงกำรเมืองวำ่ (“เมอ่ื ... สงบลง ควำมทุกขอ์ ยำกระบำดไปทวั่ ประเทศ ศิลปิ นต่ำงทุมเทกำรทำงำนไปแนวรณรงคท์ ำง 1 สงครำมโลกคร้ังที่ ปัญหำฉอ้ รำษฎ์บงั หลวง กำรกดข่ี ขูดรีด และควำมฟอนเฟะของศิลธรรม ดงั เช่นภำพนำยทหำรรสั เซีย และพรรคนำซี ผกู้ ระหำยเลอื ด เป็นตน้ 2 . คุณค่าทางด้านรูปทรง )Form value( ผลงำนทำงจิตรกรรมทีแ่ สดงคณุ คำ่ ทำงดำ้ นรูปทรง จะให้ ควำมสำคญั กบั รู้แบบกำรถำ่ ยทอด ปรำกฏเป็นรูปร่ำงรูปทรง สีสนั เทคนิควธิ ีกำรเขยี นภำพ กำรจดั คุณค่ำทำงรูปทรง เป็นกำรนำเอำส่วนประกอบทำงศิลปะมำสร้ำงเป็นภำพ )Element of art( เช่น เสน้ รูปร่ำงรูปทรง ทิศทำง ตำแหน่ง แสง ขนำด ระยะ น้ำหนกั ลกั ษณะผวิ และกำรใชส้ ี มำจดั วำ่ งใหไ้ ดจ้ งั หวะลงตวั มีควำมพอดีเป็นเร่ืองเดียวกนั )Unity ( ) มคี วำมสมดุลBalance) เป็นกำรแสดงถึงควำมสำมำรถในกำรจดั ภำพ (Compositionใหไ้ ดจ้ งั หวะ ลีลำที่ลงตวั ( ) พอดี มำกกวำ่ เน้ือหำเรื่องรำว ดงั ท่ีอำรีย์ สุพธิพนั ธ์2528:61 กลำ่ ววำ่ (“…คุณค่ำดำ้ นรูปทรง จะแฝงอยภู่ ำยในภำพ... ) เช่น กำรใชส้ ี กำรแสดงลลี ำของรูปทรง จงั หวะของบริเวณว่ำSpace...น้ำหนกั ในภำพ และควำมสมดุล (” ตวั อยำ่ งงำนจิตรกรรมทีแ่ สดงคุณคำ่ ดำ้ นรูปทรงมำกกวำ่ เน้ือหำ ไดแ้ ก่ จิตรกรรมแบบนำมธรรม ซ่ึงเป็น ศิลปะที่เร่ิมข้นึ โดยวำซิลี คนั เดนสก้ี )Wassily Kandinsky( ในประเทศไทยงำนจิตรกรรมท่ีแสดงควำมงำมของ รูปแบบโดยเฉพำะเริ่มมที บบำทมำกข้ึนในกำรแสดงศลิ ปะแห่งชำติ คร้งั ท่ี 18(พ .ศ.2511จิตรกรรมประเภทน้ีสำมมำ ( รถจะอยไู่ ดห้ ลำยมมุ มอง เช่น

39 1 . ควำมงำมของสี ควำมสมั พนั ธร์ ะหว่ำงสีสนั สดใสกบั สีมืดคร้ึม ควำมเคลือ่ นไหวดว้ ยพลงั ของสี กำร สะทอ้ นของน้ำหนกั สี น้ำหนกั อ่อนแกข่ องแสงเงำ ควำมสมั พนั ธ์ของสัดส่วน ขนำดทีแ่ ตกต่ำงกนั และจงั หวะ ลีลำ เคลือ่ นไหวอยำ่ งตอ่ เน่ือง รวมท้งั ปฏิกิริยำ ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งเส้น สี กำรเปลยี่ นแปลงและกำรแปรสภำพของ รูปทรง เป็นตน้ 2 . อำรมณ์ และควำมรู้สึก ที่ศลิ ปิ นถำ่ ยทอด ประสบกำรณ์ จินตนำกำรให้ปรำกฏเป็นรูปร่ำรูปทรง คุณค่ำดำ้ นรูปทรง เป็นเรื่องรำวของกำรคดิ สร้ำงสรรค์ ศลิ ปิ นจะคดิ คน้ แบบหรือรูปทรงทแี่ ปลกใหมอ่ ยู่ เสมอ เป็นแรงผลกั ดนั ทท่ี ำให้เกิดกำรเปลีย่ นแปลงทำงดำ้ นรูปแบบของศลิ ปะตลอดมำ มีศลิ ปิ นจำนวนมำกทม่ี องเห็น เน้ือหำเร่ืองรำวสำคญั มำกว่ำรูปแบบ แต่กม็ ศี ลิ ปิ นอีกไม่นอ้ ยทีเ่ ห็นว่ำรูปแบบสำคญั กวำ่ เน้ือเร่ือง และก็เป็นศิลปิ นอกี ส่วนหน่ึงท่ีเห็นวำ่ ท้งั เน้ือหำเรื่องรำวและรูปทรง ต่ำงก็เป็นส่ิงสำคญั ในงำนจิตรกรรมดว้ ยท้งั คู่ เปรียบเทยี บให้เขำ้ ใจง่ำยข้ึน เช่น ตวั มนุษย์ ควำมดี ตำแหน่งฐำนะ เปรียบเป็นเน้ือหำเรื่องรำว ในขณะท่ี สดั ส่วน สูง ต่ำ ผวิ ดำขำว เรือนร่ำง เป็นควำมงำมดำ้ นรูปแบบรูปทรง ในเรื่องควำมสมั พนั ธข์ องคุณคำ่ ทำงดำ้ นเน้ือหำเร่ืองรำวและรูปทรงน้ี อำรีย์ สุทธิพนั ธ์ )2538:64กลำ่ ว ( วำ่ “…รูปทรงและเน้ือหำจะตอ้ งสอดคลอ้ งกนั ศิลปะเป็นผลรวมของคณุ คำ่ ทำงดำ้ นเน้ือหำเรื่องรำวและคุณค่ำ... ทำงดำ้ นรูปทรง คณุ คำ่ ท้งั สองอยำ่ งน้ีประกอบกนั อยำ่ งกลมกลืน สุดแทแ้ ต่ว่ำสมนั ใด สงั คมใด จะนิยมอนั ไหนเป็น อนั ดบั แรก อนั ไหนเป็นอนั ดบั รองแตจ่ ะขำดอยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึงเสียมไิ ด้” สอดคลอ้ งกบั แนวคิดของอำนำจ เยน็ สบำย )2522:5) ที่วำ่ “…รูปแบบเน้ือหำมคี วำมสำคญั ไมย่ ิ่งหยอ่ นไปกวำ่ น้ี และจะตอ้ งสร้ำงสองสิ่งน้ีให้เกิดข้นึ มำอยำ่ งเป็น เอกภำพให้ได้ แมจ้ ะเป็นเรื่องท่ีไม่งำ่ ยนกั ผลงงำนของโดเมียร์ ในส่วนทเ่ี ป็นส่วนผลงำนของ 3 ภำพรถไฟช้นั ท่ี... ศลิ ปิ นไทย ไดแ้ ก่ ภำพจนั ทร์เอ๋ยจนั ทร์เจำ้ ผลงำนของประเทือง เอมเจริญ ภำพแดงและเพอ่ื นของเธอ ผลงำนของนนท ... ศกั ด์ิ ปำณะศำรทลู ” และสนั ติ ทองสุก เป็นตน้ ในเรื่องของควำมสัมพนั ธเ์ น้ือหำและรูปทรงดงั กลำ่ ว ชะลูด น่ิมเสมอ )2537:109) กลำ่ ววำ่ “เน้ือหำกบั ... เป็นควำมดี... จะเขม้ ขน้ รุนแรง ต่อเนื่องให้เกิดควำมปี ตฝิ ่ังในเนินนำนเป็นวนั ๆ...ถำ้ เป็นศลิ ปะท่ียิ่งใหญ่... รูปทรง ควำมงำม ควำมประสำนกลมกลืนไปหมด ถำ้ งำนไมเ้ ป็นศลิ ปะ เพรำะรูปทรงไมท่ ำงำน ไมเ่ ป็น Aesthetic form เน้ือหำทำงศิลปะจึงไม่มีหรือใหก้ ำรรบั รู้แกเ่ รำไดเ้ พียงต้ืนๆ รู้วำ่ เป็นอะไรเท่ำน้นั เช่น รู้ว่ำเป็นภำพแมก่ บั ลกู แตเ่ รำ... จะไม่ไดร้ ับไมไ่ ดส้ มั ผสั กบั ควำมรัก ควำมผูกพนั ระหว่ำแมก่ บั ลกู ทีย่ ่งิ ใหญ่ที่สุดในงำนน้นั เลย... ” เนือ้ หาเรื่องราวในงานจิตรกรรม คุณค่ำในงำนจิตรกรรมก็เหมือนคณุ คำ่ ในงำนศิลปะ คือมคี ณุ คำ่ ทำงดำ้ นเน้ือหำเรื่องรำว ละคุณคำ่ ทำงดำ้ น ควำมสวยงำมของรูปร่ำงรูปทรง สีสนั และเทคนิควธิ ีกำรสร้ำงสรรค์ ท่ลี ึกซ้ึงไปมำกว่ำน้นั งำนศลิ ปกรรมยงั ทำให้เรำ เขำ้ ใจควำมเป็นมนุษยแ์ ละเขำ้ ใจตวั เองดว้ ย ท้งั น้ีเป็นเพรำะนอกจำกคุณคำ่ ทำงดำ้ นเน้ือหำ รูปแบบดงั กล่ำวแลว้ งำน ศิลปกรรมยงั มีผลกระทบตอ่ อำรมณ์ควำมรู้สึกของมนุษยไ์ ปในทำงทดี่ ีอีกดว้ ย เน้ือหำเรื่องรำวท่ศี ลิ ปิ นนำเสนอในงำนจิตรกรรมมีมำกมำย มีท้งั เร่ืองรำวทเ่ี กี่ยวกบั สิ่งที่มองเห็นได้ จบั ตอ้ ง ไดเ้ ป็นรูปธรรม และเป็นเร่ืองรำวทีม่ องไมเ่ ห็นเรื่องรำวที่เป็นนำมประธรรมเป็นควำมรู้สึกต่ำงๆ ควำมเชื่อถอื หรือ

40 ศำสนำ ศลิ ปิ นเป็นผูน้ ำเน้ือหำเรื่องรำวมำประสำนกนั รูปร่ำงรูปทรง สีสัน อยำ่ งเป็นเอกภำพ จนปรำกฏเป็นจิตรกรรม ท่ีดี เน้ือหำเร่ืองรำวทแี่ สดงออกในงำนจิตรกรรมมีอยมู่ ำก จำแนกเพือ่ กำรศึกษำเป็น กลมุ่ ใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ 5 1 . เร่ืองราวเกี่ยวกับธรรมชาติ เป็นกำรแสดงควำมประทบั ใจในควำมงำมของธรรมชำติ แลว้ อยำกใหค้ นอน่ื ไดเ้ ห็นดว้ ย จึงสร้ำงเป็นงำนจิตรกรรมข้นึ โดยเขยี นใหม้ ีรูปร่ำง รูปทรงสีสันสวยงำมตำมท่เี ป็นจริง เช่น ภำพทวิ ทศั น์ หรือภมู ิศำสตร์ ภำพคนเหมอื น ภำพหุ่นนิ่ง เป็นตน้ ภำพที่มีเน้ือหำในกลุม่ น้ีจะไดก้ ำรยอมรับจำกสังคมเร็ว เพรำะดูงำ่ ย เขำ้ ใจง่ำยผูด้ เู คยเห็นธรรมชำติมำกอ่ นแลว้ ดงั เช่น ภำพหุ่นนิ่งของ ทวี (มนุษยเ์ องกเ็ ป็นส่วยหน่ึงของธรรมชำติ) นนั ทขวำ้ ง และ พอล เซซำนน์ เป็นตน้ 2 . เรื่องราวเกย่ี วกับความเชื่อ ศาสนา และวรรณคดี ภำพเขียนเก่ำแก่ท่คี น้ พบทีถ่ ้ำอนั ตำมนิ ่ำและถ้ำลำสโคช์ เชื่อว่ำมีกำรใชภ้ ำพเขียนเป็นสัญลกั ษณข์ องควำมล้ลี บั เหนือธรรมชำติ เป็นส่วนหน่ึงของควำมเช่ือ ควำมอภนิ ิหำร เช่น เช่ือว่ำในธรรมชำตมิ สี ิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิแฝงอยู่ และมีอำนำจบนั ดำลใหค้ ุณ ใหโ้ ทษได้ มนุษยต์ อ้ งเคำรพ บูชำ ซ่ึงทกุ ชำติทกุ ภำษำจะมงี ำนจิตรกรรมแบบน้ี แต่จะมรี ูปแบบ รูปทรง สีสัน ท่ีตำ่ งกนั ตำมควำมเชื่อถอื ตำมศำสนำ ประจำชำติ และ วตั ถุทนี่ ำมำสร้ำงสรรค์ ในประเทศไทยมศี ิลปะเพือ่ ศำสนำเป็นศิลปะประจำชำติหรือศิลปะไทยประเพณี เช่น ภำพเขียนตำมฝำผนงั โบสถ์ วิหำรเจดีย์ และศำสนำในวดั อำรำมต่ำงๆ ปัจจุบนั มีกำรเขียนภำพแสดงเน้ือหำกลุม่ น้ีโดน ศลิ ปิ นรุ่นใหม่ ใชส้ ี และเทคนิควิธีกำรเขียนแบบใหม่ ทำใหไ้ ดง้ ำนทมี่ คี วำมงำมแปลกตำไปอกี แบบหน่ึง ซ่ึงถอื ว่ำเป็น กำ้ วใหม่ของกำรพฒั นำในงำนจิตรกรรมไทย 3 . เร่ืองราวเกย่ี วกบั พระมหากษตั ริย์และประวตั ิศาสตร์ เป็นกำรแสดงเร่ืองรำวเกี่ยวกบั พระรำชนิกรณียก์ ิจ ของพระมหำกษตั ริย์ รำชวงศ์ และบุคคลสำคญั ปัจจบุ นั ถือเป็นเร่ืองรำวทำงประวตั ิศำสตร์ท่มี ีคณุ คำ่ ยิง่ เช่น ภำพ จิตรกรรมฝำผนงั ที่วดั สุวรรณดำรำม จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยำ เป็นภำพยทุ ธหัตถรี ะหวำ่ งสมเด็จพระนเรศวรมหำรำช กบั พระมหำอุปรำชำและเหตุกำรณ์ต่ำงๆ ในสมยั ของพระองคโ์ ดยฝีมือของพระยำอนุศำสตร์จิตรกร (จนั ทร์ จิตรกร) ภำพเฉลิมพระเกรียรติของพระมหำกษตั ริยร์ ัชกำลตำ่ งๆ ภำพวีรกรรมชำวบำ้ นบำงระจนั เป็นตน้ ในอำรยธรรม คลำสสิค-ตะวนั ตกแสดงเน้ือเร่ืองแบบน้ีกนั มำกในภำพเขียนสมยั เรอเนสซองค์ และนีโอ 4 . เร่ืองราวท่ีเกิดขนึ้ ในสังคม เป็นกำรนำเอำเหตกุ ำรณ์ตำ่ งๆ ทเ่ี กิดข้นึ จริงในสังคมมำนำเสนอในรูปงำนของ จิตรกรรม นิยมกนั มำกในประเทศจีน และโซเวียโดยเฉพำะงำนจิตรกรรมสำมำรถแสดงออกไดล้ ึกซ้ึงมำกว่ำงำน) ทศั นศลิ ป์ แขนงอ่ืน โดยถอื เป็นหนำ้ ทีห่ น่ึงของศลิ ปิ นท่ีตอ้ งนำเสนอเร่ืองรำวเหล่ำน้ีต่อสงั คมโดยใชผ้ ลงำนศลิ ปะ เป็นสื่อ เช่น ผลงำนของริเวร่ำ มิลเลย์ โดมิเย่ ควั เบท์ วริ ุณ ต้งั เจริญ พิเศษ โพพิศ เมธี บุรีภกั ดี และภำพกำร์ตนู ที่เขียน ลอ้ กำรเมืองหรือสะทอ้ งสังคมอยตู่ ำมหนำ้ หนงั สือพมิ พใ์ นปัจจุบนั เร่ืองรำวประเภทน้ีเคยไดร้ ับควำมนิยมมำก จน องคก์ ำร UNESCO กำหนดวำ่ ศิลปิ นควรสร้ำงศลิ ปะเพ่ือชีวิต เพ่อื สังคม 5 . เรื่องราวเก่ียวกบั ความรู้สึกต่างๆ เป็นกำรเขียนภำพโดยใชส้ ่วนประกอบทำงศิลปะ เสน้ สี รูปร่ำง) ให้ผดู้ ูเกิดควำมรู้สึกตำมที่ศิลปิ นถำ่ ยทอ (รูปทรง น้ำหนกั ออ่ นแก่ ผวิ บริเวณว่ำงดหรือกำหนดไว้ ควำมรู้สึกของ มนุษยย์ งั ไมม่ ีรูปแบทแี่ น่นอน แต่รบั รู้ไดจ้ ึงตกเป็นหนำ้ ทีข่ องศลิ ปิ นทคี่ น้ คดิ สร้ำงสรรคร์ ูปร่ำงรูปทรงแบบใหม่ ข้นึ ดว้ ยเทคนิควธิ ีกำรตำมแนวทำงของตนเอง จนบำงคร้ังทำให้ผูด้ ไู มค่ ่อยเขำ้ ใจ หรือดไู มร่ ู้เรื่อง เพรำะศลิ ปิ นไมแ่ สดง ควำมเป็นรูป และผดู้ ูก็ไมเ่ คยเห็นมำกอ่ น แตพ่ อไดร้ บั กำรช้ีนำ ไดด้ แู นวคดิ ไดด้ ูชื่อภำพ จะช่วยให้เขำ้ ใจมำกข้นึ เช่น

41 ภำพควำมล้ีลบั ของ ธีระวฒั น์ คะมะนะ ภำพควำมสัมพนั ธ์ของสีและรูปทรง ของวิทยำ สุดประเสริฐ และภำพ สมั พนั ธภำพแห่งจิตใจ โดยสำครินทร์ เครืออ่อน งำนจิตรกรรมที่แสดงเน้ือหำเรื่องรำวจำกควำมรู้สึกน้ี สร้ำงควำมแปลกตำใจใหแ้ ก่ผดู้ ูพอสมควร บำงคร้งั ผดู้ ูไปอ่ำนช่ือภำพเพื่อตอ้ งกำรทรำบว่ำเป็นภำพอะไรกนั แน่ กลบั ทำให้ย่งิ สับสนไปกนั ใหญ่ จึงขอกล่ำวกำรจ้งั ชื่อภำพไวพ้ อสงั เขปดงั น้ี 5 .ต้งั 1ชื่อภำพเพ่อื ให้ผดู้ ูเกิดควำมรู้สึกคลอ้ ยตำม หรือมีส่วนร่วมกบั กำรรับรู้ดว้ ย เช่น ควำมลกึ ลบั ควำมสงบ ควำมรัก ควำมสับสนวนุ่ วำยของสงั คม โดยมรี ูปแบบ เทคนิควิธีกำรสร้ำงท่หี ลำกหลำยตำมจิตนำกำรของ ผสู้ ร้ำง แต่เมอ่ื มองโดยภำพรวมแลว้ จะกระตนุ้ ให้เกิดควำมรู้สึกตำมช่ือภำพท่เี ป็นศิลปิ นต้งั ข้ึน 5 .ต้งั ชื่อภำพเพ่อื กระตุน้ ให้ผดู้ ูเกิดจินตนำกำร ตำมประสบกำรณ์ของแตล่ ะคนไดอ้ ยำ่ งเตม็ ท่ี มกั จะ 2 เป็นภำพท่มี รี ูปร่ำงรูปทรงอสิ ระ เปิ ดโอกำสให้ผูด้ ตู ำมประสบกำรณ์ ของแตล่ ะคน เช่น ชื่อภำพกำรจดั ภำพหมำยเลข )1Composition No.1( ภำพควำมสัมพนั ธข์ องสีและบริเวณวำ่ ภำพควำมงำมของสีแดงกบั สีม่วง ภำพไม่มขี อบจำกดั )Ulimited( หรือไม่มชี ่ือภำพ เปิ ดโอกำสให้ผดู้ ใู ช้ประสบกำรณข์ องตนเอง วเิ ครำะหค์ น้ หำควำมหมำยโดยอสิ ระ ภาพเขยี นแต่ละเนื้อหา จะมชี ่ือเรียกเฉพาะ ซึ่งสิ่งท่เี ป็ นศิลปิ นนยิ มสร้างสรรค์เป็ นงานจติ รกรรมกล่มุ ได้ ดังน้ี 1 . ภาพทวิ ทศั น์ )View( เป็นภำพเขยี นเก่ียวกบั ภมู ิประเทศสิ่งแวดลอ้ ม บำงกลมุ่ เรียกว่ำ ภำพภมู ิศำสตร์ เพรำะแสดงควำมงำมของบรรยำกำศ ตำมธรรมชำตทิ มี่ องเห็น แบ่งออกเป็น แบบไดแ้ ก่ 3 1 . 1ภาพทิวทัศน์บก )Landscape Painting( เป็นภำพเขียนทเี่ กี่ยวกบั บรรยำกำศพ้ืนดิน ประกอบไปดว้ ย ตน้ ไม้ ทุ่งนำ ภูเขำ ลำธำร น้ำตก เป็นตน้ 1 . 2ภาพทิวทัศน์ทะเล )Seascape Painting( เป็นภำพเขียนทเ่ี ก่ียวกบั ทะเลโดยเฉพำะแสดงบรรยำกำศ ของทะเล ประกอบไปดว้ ย ทอ้ งฟ้ำ น้ำทะเล เรือ หำดทรำย โขดหิน เป็นตน้ 1 .) ภาพทิวทัศน์ส่ิงก่อสร้าง 3Architectural Painting( เป็นภำพเขียนทวิ ทศั น์บก แต่ควำมสวยงำมของ สิ่งกอ่ สร้ำงอำคำรบำ้ นเรือน ควำมหนกั แนน่ เขม้ แข็งควำมสงำ่ งำมและน้ำหนกั ออ่ นแกข่ องแสงและเงำทีต่ กกระทบ ส่ิงกอ่ สร้ำงในแงม่ ุมต่ำงๆ (นบั เป็นงำนจิตรกรรมทีไ่ ดแ้ รงบนั ดำลใจมำจำกสถำปัตยกรรม) 2 . ภาพคนครึ่งตวั )Portrait Painting( เป็นกำรเขียนภำพเกี่ยวกบั คน เขยี นต้งั แตศ่ ีรษะถงึ เอว ถำ้ มี จุดมงุ่ หมำยให้เหมือนคนคนหน่ึงเรียกวำ่ ภำพคนเหมอื นหรือภำพเหมือน เช่น ภำพโมนำ ลซิ ำ ถำ้ ศิลปะมที กั ษะฝีมือดี มคี วำมแม่นยำ สำมำรถยึดเป็นอำชีพได้ เช่น จิตรกรที่รบั เขียนรูปตำมศนู ยก์ ำรคำ้ ทวั่ ไป มที ้งั ภำพสีและขำวดำ ซ่ึงให้ ควำมมีชีวิตมำกกวำ่ ภำพถำ่ ย ภำพเขียนท่ีถือว่ำเป็นภำพเหมือนภำพแรก คอื ภำพเหมอื นใบหนำ้ เด็กชำย )Portrair of boy( เป็นภำพเขียนข้นึ ประมำณคริสตศ์ ตวรรษท่ี ในช่วงที่ประเทศอียปิ ตถ์ ูกปกครองดว้ ยชำวโรมนั 3 3 . ภาพคน )Figure Painting( เป็นกำรเขยี นภำพคน เขยี นเตม็ ตวั แสดงควำมงำมของเรือนร่ำงสดั ส่วนท่ี ถูกตอ้ งเหมำะสม และอำรมณ์ ควำมรู้สึก มีกำรจดั ท่ำทำงเพอื่ สร้ำงอำรมณใ์ นกำรเขยี นของศิลปิ น ให้ไดภ้ ำพทมี่ ี ชีวติ ชีวำ ถำ้ เป็นภำพหญงิ เปลือยจะมีชื่อ ภำพเปลือยหรือภำพนูด้ )Nudeแสดงควำมงำมของ (เรือนร่ำงและผิวพรรณ (เป็นกำรใหค้ วำมสำคญั แกเ่ รือนร่ำงมนุษยม์ ำกกวำ่ อำภรณ์) ในกำรเขียนภำพคนของศลิ ปิ นแตล่ ะคนจะมรี ูปแบบท่แี ตกตำ่ งกนั แมว้ ำ่ จะเขียนเรื่องเดียวกนั จึงเป็นสิ่ง ที่หนำ้ ศึกษำเจำะลกึ ไปอีก เช่น ภำพคนของลีโอนำร์โด ดำวินชี จะแตกตำ่ งจำกภำพคนของมิกเคลนั เจโล และรำฟำ

42 เอล ศลิ ปิ นแต่ละท่ำนจะมคี วำมชำนำญจนบำงคร้งั เกิดเป็นเอกลกั ษณเ์ ฉพำะข้ึน เช่น รำฟำเอล ได้ (ยคุ เรอเนสซองค)์ เป็นผทู้ ี่ (ยคุ อิมเพรสชน่ั นิสซ่ึม) ช่ือว่ำเป็นจิตรกรที่เขียนภำพใบหนำ้ สตรีไดอ้ อ่ นหวำน น่ำรัก และ ออสกำ้ เรอนวั ส์ เขียนภำพสตร์ไี ดอ้ ำรมณ์ และควำมรู้สึกของสตรี ส่วนใหญ่ในประเทศไทย จกั พนั ธโ์ ปษยกฤต เขยี นภำพคนใน วรรณคดีไดอ้ ่อนหวำน ตำมลกั ษณะของภำพในจินตนำกำร 4 . ภาพสัตว์)Animal Painting( เป็นภำพสัตวท์ แ่ี สดงควำมงำมของเรือนร่ำง กลำ้ มเน้ือ ขน ผิว และควำมมี ชีวติ ซ่ึงมกั จะแสดงออกมำดว้ ยแววตำทเี่ ป็นประกำยสดใสสัตวบ์ ำงชนิดเป็นที่เคำรพของมนุษยท์ ำให้มีกำรนิยมเขียน มำก เช่น ภำพววั ภำพสิงห์โต ชำ้ ง ภำพนกยงู เป็นตน้ 5 . ภาพประกอบเรื่อง )Illustration Painting( เป็นภำพเขียนตำมเน้ือเร่ืองต่ำงๆ เพอ่ื ขยำย หรือช่วยให้ เขำ้ ใจไดง้ ำยข้ึนเนน้ กำรส่ือสำร ภำพช่วยใหน้ ่ำสนใจยิง่ ข้นึ หนงั สือนิตยสำรใน (หน่ึงภำพมีคำ่ มำกกว่ำหน่ึงพนั คำ) ปัจจบุ นั ใหค้ วำมสัมพนั ธ์ตอ่ ภำพประกอบมำกบำงเลม่ ลงทุนพิมพส์ อดสี ท้งั น้ีเพรำะภำพประกอบท่สี วยงำมเป็นท่ี พกั ผอ่ นสำยตำของผอู้ ่ำนไดเ้ ป็นอยำ่ งดีและบำงคนซ้ือหนงั สือเพรำะชอบภำพที่สวยงำมกม็ ี 6 . ภาพส่ิงของ ภาพห่นุ นิ่ง ภาพดอกไม้ )Still – Life Painting( เป็นภำพเขยี นสิ่งของเคร่ืองใชต้ ่ำงๆ ที่ เคลื่อนไหวไมไ่ ด้ โดยตอ้ งกำรแสดงควำมงำมของสิ่งตำ่ งๆ เม่ือถูกแสงและเงำตกกระทบ ภำพหุ่นน่ิงน้ีจึงเหมำะ สำหรับกำรเริ่มฝึกเขียนภำพใหมๆ่ เพรำะเขียนไม่อยำกนกั ภำพดอกทำนตะวนั และภำพดอกไอริส ของวินเซนต์ แวน โกะ๊ )Vincent Van Gogh( เป็นภำพท่มี ีรำคำสูงนบั พนั ลำ้ นบำทไทย 7 . จติ รกรรมฝาผนงั )Mural Painting( เป็นภำพเขยี นทม่ี ีขนำดใหญเ่ ขยี นไวต้ ำมผนงั อำคำร โบสถ์ วิหำร ต่ำงๆ ใชเ้ วลำและช่ำงเขียนมำก จิตจรกรรมฝำผนงั ในสมยั โบรำณจะมีจดุ มุ่งหมำยตำ่ งกนั แตส่ ่วนใหญ่จะแสดง เรื่องรำวทำงศำสนำ ประวตั ขิ องพระศำสดำ และ กิจกรรมของพระมหำกษตั ริย์ บำงแห่งเขยี นไวเ้ พ่ือประดบั ตกแต่ง และกำรสง่ั สอนสำหรบั คนท่ีอำ่ นหนงั สือไมอ่ อก เช่น ภำพจิตรกรรมฝำผนงั ของไทย ภำพเฟรสโกของชำวตะวนั ตก กำรกำหนดเน้ือหำท้งั ลกั ษณะน้ี เป็นกำรจดั กลมุ่ เพอื่ กำรศกึ ษำภำพหลำยภำพมเี น้ือหำเรื่องรำว 7 รวมกนั อยู่ เช่น ภำพทวิ ทศั น์จะมที ้งั ภำพสัตว์ ภำพคน ภำพดอกไม้ ตน้ ไม้ ภำพสิ่งกอ่ สร้ำง รถ เกวียน ฯลฯ แต่ศลิ ปิ น บำงคนอำจจะสนใจเฉพำะเรื่องเดียว เช่น เรอนวั ส์ ชอบเขยี นภำพผูห้ ญงิ ในอริ ิยำบถหรือในกิจกรรมตำ่ งๆ จกั รพนั ธ์ โปษยกฤต ชอบเขยี นภำพฝันๆ เก่ียวกบั นำงในวรรณคดี จอร์ส สตบั ส์ ชอบเขียนภำพมำ้ ปกิต บวั บุศย์ ชอบเขยี นภำพ ทิวทศั น์ เป็นตน้ เน้ือหำเรื่องรำวเหลำ่ น้ี ผดู้ จู ะรบั รู้ไดร้ วดเร็วกว่ำกำรรบั รู้ควำมงำมในดำ้ นรูปแบบรูปทรง เทคนิค วธิ ีกำร กำรมีเน้ือหำเรื่องรำวหลำกหลำย เป็นกำรเปิ ดโอกำสให้ผูด้ ู เลอื กชมไดต้ ำมรสนิยมต้งั แตเ่ ร่ืองรำวท่ี มองเห็นได้ เรื่องรำวทีผ่ ดู้ ูเคยมีประสบกำรณม์ ำกอ่ น จนถึงเร่ืองรำวทเ่ี กี่ยวกบั นำมธรรม ควำมคดิ ควำมฝัน ซ่ึงไมม่ ี รูปแบบที่แน่นอน ยงั มเี ร่ืองรำวอ่ืนๆ อีกเช่นเรื่องรำวเกี่ยวกบั สงครำม

43 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 รหสั วิชำ 2301-2126 ชื่อวชิ า จิตรกรรมสร้ำงสรรค์ ( หน่วยกิต ) ชว่ั โมง (3)6 ช่ือหน่วย รูปแบบในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชว่ั โมง 24 ชวั่ โมง ชื่อเรื่อง รูปแบบ ในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ จำนวนชวั่ โมง 24 ชว่ั โมง ................................................................................................................................................................................. สาระสาคญั รูปแบบ หมำยถึง รูปลกั ษณะของงำนจิตรกรรม ท่ศี ิลปิ นแสดงออก รูปแบบเป็นผลมำจำกกำรถำ่ ยทอด ประสบกำรณข์ องศิลปิ น ผรู้ ู้บำงท่ำนเรียกวำ่ รูปลกั ษณ์ ศลิ ปิ นจะพิจำรณำ ตดั สินใจ คดั เลอื กรูปแบบทเ่ี หมำะกบั เน้ือหำ ท่ตี อ้ งกำรนำเสนอในงำนจิตรกรรมบำงคร้งั ศลิ ปิ นสร้ำงงำนไปตำมควำมถนดั ของตน โดยนกั ศกึ ษำ นกั วิจำรณศ์ ลิ ปะ เป็นผจู้ ดั กลมุ่ ว่ำอยแู่ บบใด จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ผูเ้ รียนมีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจ รูปแบบงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์ 2. ผูเ้ รียนสำมำรถสร้ำงงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรคใ์ นรูปแบบตำ่ งๆได้ เนือ้ หาสาระ รูปแบบทำงจิตรกรรม แตกตำ่ งกนั ในหลำยประเด็น เช่น ช่วงเวลำหรือยคุ สมยั เขตภมู ิศำสตร์ เทคนิควธิ ีกำร สร้ำงงำน เน้ือหำเรื่องรำว ฯลฯ (อิมเพรสชนั่ นิสซ่ึมเขียนภำพเร็วให้ทนั เวลำของแสง เขยี นหยำบๆ คลำ้ ยไมเ่ สร็จ) รูปแบบเป็นสิ่งท่ีจิตรกรตอ้ งศึกษำสงั เกต ฝึกปฏิบตั จิ ำกงำนในอดีต จะไดไ้ มต่ อ้ งเริ่มตน้ ใหม่ กิจกรรมการเรยี นการสอน อธิบำย บรรยำย นำเขำ้ สู่บทเรียน ซกั ถำมรำยบุคคล ส่ือและแหล่งการเรยี นรู้ - เอกสำรประกอบกำรสอน ใบควำมรู้ ใบงำน - ตวั อยำ่ งภำพสำเร็จ การวัดผลและประเมนิ ผล - พฤตกิ รรมกำรเรียน , ควำมสนใจ ซกั ถำม ขณะปฏิบตั งิ ำนทีม่ อบหมำย - พฤติกรรมหลงั เลกิ เรียน ในคำบเรียน ควำมสะอำดบริเวณโตะ๊ เรียนและในช้นั เรียน บนั ทึกหลงั การสอน นกั เรียนสำมำรถรู้เขำ้ ใจรูปแบบในงำนจิตรกรรมสร้ำงสรรค์

44 เนือ้ หาสาระ รูปแบบในงานจติ รกรรม เป็ นควำมงำมเชิงรูปแบบ รูปแบบ หมำยถงึ รูปลกั ษณะของงำนจิตรกรรม ทศี่ ิลปิ นแสดงออก รูปแบบเป็นผลมำจำกกำรถำ่ ยทอด ประสบกำรณข์ องศิลปิ น ผูร้ ู้บำงท่ำนเรียกวำ่ รูปลกั ษณ์ ศลิ ปิ นจะพิจำรณำ ตดั สินใจ คดั เลือกรูปแบบที่เหมำะกบั เน้ือหำ ทต่ี อ้ งกำรนำเสนอในงำนจิตรกรรมบำงคร้ังศิลปิ นสร้ำงงำนไปตำมควำมถนดั ของตน โดยนกั ศกึ ษำ นกั วิจำรณศ์ ลิ ปะ เป็นผจู้ ดั กลุ่มวำ่ อยแู่ บบใด รูปแบบทำงจิตรกรรม แตกต่ำงกนั ในหลำยประเด็น เช่น ช่วงเวลำหรือยคุ สมยั เขตภมู ิศำสตร์ เทคนิควธิ ีกำร สร้ำงงำน อมิ เพรสชนั่ นิสซ่ึมเขยี นภำพเร็วให้ทนั เวลำของแสง เขียนหยำบๆ คลำ้ ยไม)์่เสร็จ เน้ือหำเร่ืองรำว ฯลฯ ( รูปแบบเป็นส่ิงท่ีจิตรกรตอ้ งศกึ ษำสงั เกต ฝึกปฏบิ ตั จิ ำกงำนในอดีต จะไดไ้ มต่ อ้ งเริ่มตน้ ใหม่ รูปแบบของงำน จิตรกรรมเป็นผลงำนมำจำกกำรถ่ำยทอดประสบกำรณ์ของจิตรกร ซ่ึงประกอบไปดว้ ยควำมประทบั ใจ มมุ มอง จิตนำ กำรและประสบกำรณท์ ำงควำมงำมของแตล่ ะคน รวมถงึ สภำพแวดลอ้ มและอทิ ธิพลทำงศิลปะ ซ่ึงมสี ่วนผลกั ดนั ให้ ศิลปิ นสร้ำงงำนทร่ี ูปแบบแตกตำ่ งกนั ออกไป กำรมีรูปแบบงำนจิตรกรรมมำกนบั วำ่ เป็นสิ่งทดี่ ีทำให้ประชำชนผู้ สำมำรถทจ่ี ะเลอื กชมงำนจิตรกรรมไดม้ ำกข้นึ อยำ่ งไรก็ตำมเพอื่ ใหง้ ่ำยแก่กำรศึกษำจึงจะจดั รูปแบบของจิตรกรรม เป็น กลุ่มใหญๆ่ ดงั น้ี 3 1 . แบบเหมือนจริงหรือเหมือนธรรมชาติ )Realistic style( ศลิ ปิ นกลุ่มน้ี เชื่อว่ำ ในธรรมชำตมิ ีควำมสมบรู ณ์ พอเหมำะพอดี มคี วำมงำม ที่สอดคลอ้ งประสำนสมั พนั ธ์ กนั ดีอยแู่ ลว้ ศิลปิ นเห็นควำมงำมในธรรมชำติและรูปร่ำงรูปทรงสีสัน บรรยำกำศ จึงอยำกทจี่ ะบนั ทกึ ควำมงำมน้นั ไว้ ดว้ ยวิธีกำรทำงศิลปกรรม เพอื่ นำมำไวใ้ กลต้ วั มนุษย์ หรืออยำกจะสร้ำงส่ิงต่ำงๆ ให้มคี วำมงำมตำมธรรมชำติ จึงเกิด กำรสร้ำงงำนโดยกำรเลยี นแบบ รูปร่ำง รูปทรง สีสันใหเ้ หมือนธรรมชำตมิ ำกท่ีสุดเทำ่ ท่ีจะทำได้ บำงท่ำนเรียกวำ่ แบบรูปธรรม )Concrete) หรือจิตรกรรมที่เนน้ ควำมเป็นรูป (Figurativeธรรมชำตเิ ป็นส่ิงทด่ี ำ (รงอยไู่ ดด้ ว้ ยตวั มนั เอง มีควำมงำมในรูปทรง สัดส่วน สีสัน ผวิ พรรณ เป็นควำมงำมทเี่ ปล่ียนแปลงไดต้ ำมกำลเวลำ เช่น ทะเลยำมเชำ้ กบั ทะเลยำมเยน็ จะมีควำมงำมต่ำงกนั ดอกไมแ้ รกผลิ กบั ดอกไมท้ ่ีบำนเตม็ ที่ เหี่ยวเฉำ มคี วำมงำมตำ่ งกนั กำรจำลอง หรือเลียนแบบธรรมชำติ เป็นกำรบนั ทกึ ควำมงำมของส่ิงน้นั ไว้ ควำมเหมือนเป็นรูปแบบควำมงำมอยำ่ งหน่ึง ท่รี บั รู้ไดง้ ่ำย พอเห็นแลว้ รบั รู้ไดท้ นั ทวี ำ่ เป็นภำพอะไรแสดง เน้ือหำเก่ียวกบั อะไร เช่น ภำพคนเหมือน ภำพสตั ว์ ภำพหุ่นน่ิง ภำพทวิ ทศั น์ ศิลปิ นตอ้ งใชท้ กั ษะฝี มอื สูง ในกำรสังเกต จดจำ กำรเขยี นภำพใหเ้ หมือนหรือใกลเ้ คยี งธรรมชำติท่สี ุดท้งั รูปร่ำง รูปทรง สีสนั และบรรยำกำศเป็นส่ิงทไี่ มง่ ำ่ ยนกั จนบำงคร้งั ตอ้ งนำของจริงมำเป็นแบบ หรืออำจจะยกอปุ กรณ์ไปเขยี นสถำนทจ่ี ริง เพอ่ื ให้ไดค้ วำมรู้สึกและบรรยำกำศ ทเี่ หมอื นธรรมชำติ เขียนตอ่ หนำ้ ธรรมชำติ สอดคลอ้ งกบั แนวคิดของคูร์เบต์ ทวี่ ่ำ “กำรวำดภำพน้นั จะตอ้ งวำดจำก... ...สิ่งทเ่ี ห็นจริง และบนั ทึกควำมงำมตำมทต่ี ำเห็นให้ละเอยี ด” ในเรื่องน้ีวิโชค มุกดำมณี .ศ.กลำ่ ว ในช่วงหลงั พ (เอกสำรกำรสมั มนำ)2486 ยงั มีรูปแบบทเี่ นน้ เขำ้ หำ ลกั ษณะเหมอื นจริง ผูส้ ร้ำงสรรคจ์ ะถ่ำยทอดขอ้ มลู ท้งั หมดจำกธรรมชำตไิ ดอ้ ยำ่ งสมบูรณ์ผลงำนเหมอื นจริงแสดง... ใหเ้ ห็นถงึ ทกั ษะควำมสำมำรถของศลิ ปิ นทอี่ ยใู่ นระดบั สูง

45 วิรุณ ต้งั เจริญ )2527:96-97) กลำ่ วว่ำ “นบั ว่ำเป็นรูแบบที่ประทบั ใจง่ำยตอ่ กำรมองเห็นทว่ั ๆ ไป เพรำะ... คนเรำมีประสบกำรณต์ อ่ สภำพแวดลอ้ มดว้ ยทกุ คน เมื่อพบงำนศิลปะที่แสดงสภำพแวดลอ้ มอยำ่ งชดั เจนจึงเป็นเร่ือง ปกตธิ รรมดำท่ีจะทรำบซ่ึงไดเ้ ร็ว...” ผลงำนต่ำงๆ ท่ีมง่ เขำ้ มำร่วมแสดงในงำนศิลปกรรมในโอกำสต่ำงๆ ท่ผี ่ำนมำ ส่วนมำกจะเป็นผลงำนจิตรกรรมแบบเหมือนจริง เนน้ กำรบอกเลำ่ เร่ืองรำว ควำมเหมอื น เป็นที่สนใจของคนทว่ั ไป แต่มิใช่คณุ ค่าท่ีแท้จริงของศิลปะ “…ภำพเขียนขยำยจำกภำพถำ่ ย ดว้ ยสีถ่ำน เห็นว่ำเขียนละเอยี ด เหมอื นโดยแท้ น่ำยกยอ่ ง ผคู้ นกไ็ ปหลงยกยอ่ งชมเชย หรือภำพสีน้ำมนั ขนำยจำกรูป... ...มุ่งแตจ่ ะใหร้ ำยละเอียดและเหมอื น” นบั วำ่ เป็นกำรจูงผคู้ นให้หลงผดิ เขำ้ ใจผิดในศิลปะ 2540 ประยรู อุลุชำฏะ):5( ไพโรจน์ ชมุณี ไดก้ ล่ำวรูปแบบเหมือนจริงว่ำเร่ิมข้นึ ประมำณคริสตศ์ ตวรรษท่ี ในสมยั เรเนสซองค์ 15 ) บนคำบสมุทรอิตำลีRenaissance( เรื่องรำวของศิลปะแบบน้ีเนน้ เร่ืองรำวเก่ียวกบั ศำสนำคริสต์จิตรกรรม... จิตรกรรมกย็ งั เป็น 17 ต่อมำศตวรรษท่ี...ประตมิ ำกรรมเรเนสซองค์ จะตอ้ งทำให้มีรูปร่ำงสัดส่วนเหมอื นคนจริง เกิดในฝร่งั เศส ...มกี ำรแสดงเรื่องรำวทวั่ ไปพอๆ กบั เร่ืองรำวทำงศำสนำ เกิดภำพทวิ ทศั น์และหุ่นน่ิง...แบบเหมือนจริง ) เรียกว่ำศลิ ปะบำโรกBaroque( เกิดนอกฝรัง่ เศส เช่น ในฮอลแลนด์ เรียกวำ่ ร็อคโคโค )Roccoc( ในประเทศไทยถือว่ำ รูปแบบเหมือนจริงนีเ้ ป็ นรูปแบบแรกทไ่ี ทยประเพณีคลค่ี ลายมาสู่ความเป็ นสากล ในช่วงแรกทอ่ี ทิ ธิพลตะวนั ตกเขำ้ มำในประเทศไทย โดยเขียนภำพคนให้ดกู ลมกลนึ เป็นสำมมิติท่ีเห็นจริง กำรเขยี นภำพเหมือนเป็นหลกั เบ้ืองตน้ ในกำนฝึกฝีมือ กำรรับรู้ กำรฝึกทกั ษะกำรเขยี นภำพ ควำมเหมอื น เป็นมำจำกควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงมือและตำ ควำมเหมือนมตี ้งั แต่มำกสุด จนถึงนอ้ ยสุด ปัจจุบนั มเี ทคโนโลยีเขำ้ มำช่วย ใหเ้ กิดควำมเหมือน เช่น กำรลอกภำพ )Stone rubbingกำรตสี เกล กำรถำ่ นภำพ กำรถ่ำยเอกสำร กำรใชเ้ ครื่องโปเจ๊ก ( เตอร์ สไลด์ เป็นตน้ 2 . รูปแบบดดั แปลงจากธรรมชาติ )Moduration style( ศลิ ปิ นกลมุ่ น้ีเชื่อวำ่ สิ่งต่ำงๆ ทเ่ี กิดข้ึนเองตำมธรรมชำติ บำงอยำ่ งยงั ไม่เหมำะสม ยงั ไม่ลงตวั มำกไป บำ้ ง นอ้ ยไปบำ้ ง ควรมกี ำรปรบั แต่ง ให้สวยงำม น่ำรักข้นึ ตำมรสนิยมของมนุษย์ เช่น สตั วพ์ วกหนู แมว กบ ในควำม จริงบำงคนอำจจะกลวั ไม่กลำ้ จบั แตถ่ ำ้ ไดด้ ดั แปลงรูปร่ำง รูปทรงเป็น มกิ ก้ีเมำส์ โดรำเอมอน เคโระ เป็นกำร์ตูนทอม กบั เจอรี่ ทำใหด้ นู ่ำรกั ข้นึ น่ำจบั ตอ้ ง น่ำกอดมำกกวำ่ สตั วจ์ ริงในธรรมชำติ ประกอบกบั ศิลปิ นบำงกลุ่มเชื่อวำ่ ภำพเขียนมิใช่กำรบนั ทึก กำรจำลอง หรือกำรลอกเลยี นแบบจำกของจริงแต่งเพียงอยำ่ งเดียว ศลิ ปิ นควรจะมีกำร สอดแทรกควำมคิด ควำมรู้สึกลงในงำนจิตรกรรมดว้ ย กำรดดั แปลงปรุงแต่รูปร่ำงรูปทรงจำกธรรมชำติ บำงภำพก็ดดั แปลงให้สอดคลอ้ งกบั เร่ืองรำวท่ตี อ้ งกำร แสดงออก เช่น เร่ืองรำวเก่ียวกบั วรรณคดี นรก สวรรค์ รูปแบบเหมือนจริงไมส่ ำมำรถจะนำมำประกอบได้ จึงตอ้ งทำ กำรดดั แปลงปรงแต่งข้ึนใหม่ เช่น ภำพพญำยกั ษ์ ทศกรรณฐ์ หนุมำน พญำครุฑ เป็นตน้ จิตรกรรมแบบร้ีเห็นแลว้ ตอ้ ง ใชค้ วำมคิด แตย่ งั พอดูออกวำ่ เป็นภำพอะไร หรือมีแรงบนั ดำลใจมำจำกอะไร ศลิ ปิ นตอ้ งใชค้ วำมคอดสร้ำงสรรคแ์ ละ ทกั ษะฝีมอื ทำกำรดดั แปลงรูปร่ำงรูปทรง โดยกำรเพิม่ เขำ้ กำรลดตดั ทอน และบิดพลว้ิ เพ่ือใหร้ ูปร่ำงรูปทรงเหมำะสม ตำมที่ตอ้ งกำร ผูร้ ู้บำงทำ่ นเรียกจิตรกรรมแบบน้ีว่ำ ภำพก่ึงนำมธรรม )Semi-Abstract( ในเรื่องน้ีกรมวชิ ำกำร )2540 :2) กล่ำววำ่ เป็นกำรถ่ำยทอดรูปแบบวตั ถจุ ริงตำมธรรมชำติเพียงบำงส่วน หรืออำจจะละท้ิงแบบจริงท้งั หมด สุนทรียรสของงำนอยทู่ โี่ ครงสร้ำงของรูปร่ำงรูปทรง เส้น สีซ่ึงบำงคร้งั อำจทำใหพ้ ร่ำมวั หรือใช้รูปทรงซ้ำๆ กนั ... ...

46 กำรดดั แปลงปรุงแต่งรูปร่ำงรูปทรง เป็นกำรทำงำนร่วมกนั ระหวำ่ ธรรมสร้ำงสรรค์ของศิลปิ น หรือนกั ออกแบบ กำรดดั แปลงข้นึ ใหม่โดยกำรพฒั นำ หรือคล่ีคลำยจำกรูปทรงตำมธรรมชำตทิ ีซ่ บั ซ้อน ให้ดเู รียบงำ่ ยข้ึน แต่ ยงั ดรู ู้ว่ำเป็นภำพอะไร ดดั แปลงมำจำกอะไร ถงึ แมว้ ่ำรูปร่ำงรูปทรง จะผิดเพ้ียนไปจำกควำมจริงบำ้ งก็ตำม ศิลปิ น ตอ้ งรู้จกั กำรสร้ำงสรรคร์ ูปแบบข้ึนใหม่ ดงั ที่ โรเจอร์ฟรำย 2526 อำ้ งในกำจร สุนพงษศ์ รี):47) “…ปฏิเสธกำรวำดทีต่ อ้ งให้มีรำยละเอียด หรือกำรเลียนแบบจำกของจริง แต่ควรพยำยำมสร้ำงรูปทรงข้ึนใหม่ โดยที่ รูปทรงใหม่น้นั จะตอ้ งมีควำมสัมพนั ธ์ตอ่ ชีวิตจริงของมนั ไดม้ ีกำรลดทอนรูปทรงให้งำ่ เขำ้ เพม่ิ ลกั ษณะผวิ และ ส่วนประกอบอ่นื ๆ เขำ้ ไปเพ่ือให้เหมำะสมสวยงำมข้ึน ...” โกสุม สำยใจ )2539:73-75ไดก้ ล่ำวถึงสำเหตุของกำรตดั แปลงรูปร่ำงรูปทรง ( 1 . เป็นกำรดดั แปลงเพ่อื ให้สอดคลอ้ งกบั เน้ือหำเรื่องรำวทีต่ อ้ งกำรแสดงออก ซ่ึงบำงคร้งั รูปร่ำงรูปทรง เหมอื นจริง ไมเ่ หมำะสมกบั เน้ือเรื่อง เช่น เน้ือหำเร่ืองรำวเกี่ยวกบั สวรรค์ นรก หรือเรื่องที่เกี่ยวกบั จินตนำกำร และ ควำมรู้สึกต่ำงๆ ภำพกินนร กินรี หนุมำน ทศกรรณฐ์ ควิ ปิ ส เทพเจำ้ เป็นกำรดดั แปลงเพื่อใหไ้ ดร้ ูปทรงทีส่ อดคลอ้ ง กบั เน้ือหำเรื่องรำว 2 . เป็นกำรดดั แปลงเพือ่ แสวงหำรูปแบบทเ่ี หมำะสมสวยงำมตำมทศั นะของศิลปิ นและควำมนิยมของ สงั คม ดงั ที่ อำรย์ สุทธิ .ป.ป.ม): 20 กลำ่ วว่ำ (“…เป็นกำรคนหำรูปทรงใหม่ เพอ่ื เป็นส่ือกลำงหรือเป็นสัญลกั ษณ์ของ สงั คม เช่น ภำพคน จะมกี ำรสลบั ดำ้ น เพื่อทจ่ี ะแสวงหำดำ้ นท่ีเหมำะสม สวยงำมมำแสดงออก...” ภำพชำ้ งไชโย เป็ด โดนลั ดดั๊ เป็นกำรดดั แปลงจำกสัตว์ เพอ่ื ใหไ้ ดร้ ูปทรงทีน่ ่ำรัก ไดค้ วำมรู้สึกทแี่ ตกตำ่ งไปจำกภำพเหมอื นจริง ในการดดั แปลงรูปร่างรูปทรงมีวิธกี ารดงั นี้ 1 . การเพิ่มเข้า )Addition( ศลิ ปิ นเห็นวำ่ รูปร่ำงรูปทรงตำมท่มี องเห็น ยงั มีลกั ษณะทไี่ ม่เหมำะสมเพยี งพอ กบั สิ่งท่ีศลิ ปิ นตอ้ งกำรแสดงออก เป็นกำรเอำส่วนทต่ี อ้ งกำรเพ่ิมเขำ้ ไป ให้สอดคลอ้ งกบั เน้ือหำเร่ืองรำวทีต่ อ้ งกำร แสดงออก เช่น ภำพคิวปิ ส เป็นภำพคนที่เพม่ิ เข้ยี ว และเขยี นใหต้ วั ใหญ่) ภำพยกั ษ์ (เป็นภำพเด็กทเ่ี พมิ่ ปี กเขำ้ ไป) ข์ึ์้น( 2 . การลดตดั ทอน )Distortion( ศิลปิ นเห็นวำ่ รูปร่ำง รูปทรงตำมที่มองเห็น มีบำงส่วนมำกเกินไป มีควำม ยงุ่ ยำกซบั ซ้อน ควรลดทอนใหเ้ หลือเฉพำะแกน่ แท้ หรือรูปทรงสำคญั นบั เป็นกำรกลนั่ กรอง ใหเ้ หลือเพียงรูปทรงที่ แทจ้ ริง เพื่อจะไดน้ ำเสนอสิ่งที่เป็นเน้ือหำสำระ เป็นรูปทรงสำคญั )Significant formเป็นก (ำรสร้ำงรูปทรงข้ึนใหม่ โดยตดั ทอนส่วนท่ไี มจ่ ำเป็น ไมต่ อ้ งกำรออก แสดงแตส่ ่วนท่สี ำคญั เป็นกำรแสดงถงึ ควำมคิดมนุษยท์ ี่มตี ่อธรรมชำติ เป็นควำมคดิ สร้ำงสรรคข์ องจิตรกร ศิลปิ นตอ้ งมีสำยตำยแหลมคม เป็นคนช่ำงสงั เกตรู้จกั นำสิ่งท่ีซ้อนเร้นของ ธรรมชำติ ส่ิงแวดลอ้ ม มำแสดงออกเป็นผลงำนงำนศิลปะ อยำ่ งน่ำประทบั ใจ 3 . การบิดพลวิ้ )Adjustment( ศิลปิ นเห็นวำ่ รูปร่ำงรูปทรงตำมธรรมชำติ ดุแข็งเกินไป ไมแ่ สดงอำรมณ์ หรือกระตนุ้ อำรมณผ์ ดู้ มู ำกนกั จึงมคี วำมคดิ ทจ่ี ะนำมำบิดพล้วิ ใหด้ อู ่อนไหว เร่งเร้ำควำมรู้สึกของผดู้ มู ำกข้ึน ใชว้ ิธีน้ี กนั มำกในงำนนำฏศลิ ป์ ในงำนจิตรกรรมพบมำในงำนของ มกิ (บำงคร้ังมกี ำรฝึกดดั ร่ำงกำยก่อนที่จะเริ่มเรียนท่ำรำ) เคลนั เจโล ผลงำนจิตรกรรมทีใ่ นยคุ บำโรกและรอคโกโก กำรบิดพล้ิวนบั เป็นกำรเปลี่ยนแปลงวตั ถุดว้ ยกำรบดิ งอ เพอ่ื ให้มุมมองใหมท่ สี่ วยงำม เกิดรูปร่ำงรูปทรงใหม่ท่แี ตกต่ำงไปจำกรูปจริง 4 . รูปแบบอสิ ระ )Free style (

47 ศลิ ปิ นกลุม่ น้ีเช่ือวำ่ ควำมงำมเป็นควำมรู้สึกทเี่ กิดข้ึนกบั มนุษย์ มนุษยเ์ ป็นผูร้ บั รู้ค่ำควำมงำมจึงควรจะเป็น สิ่งทีม่ นุษยส์ ร้ำงข้ึน เพ่อื สังคมมนุษย์ ไม่จำเป็นท่ีจะตอ้ งลอกแบบหรือดดั แปลงจำกธรรมชำติ ควำมเชื่อน้ีนบั เป็น ควำมคิดสร้ำงสรรคข์ องมนุษยม์ ำกกวำ่ รูปแบบทีผ่ ่ำนมำ จึงเป็นแรงส่งเริมใหศ้ ิลปิ นมเี สรีภำพในกำรแสวงหำควำม 2 รูปใหม่วสั ดุ เทคนิคใหม่มำสร้ำงงำนจิตรกรรม เพอื่ ให้ไดง้ ำนจิตรกรรมทมี่ คี วำมแปลกตำ น่ำสนใจขยำย สุนทรียภำพกำรรับรู้คณุ คำ่ ของควำมงำมของมนุษยใ์ ห้กวำ้ งขวำงย่ิงข้นึ รูปแบบอสิ ระ ไม่แสดงความเป็ นรูป แต่แสดงความรู้สึก ควำมรัก ควำมสนุกสนำนควำมลกึ ลบั ยงั ไมม่ ี รูปแบบท่แี น่นอน ตำยตวั เหมือนรูปคน สตั ว์ สิ่งของ ศลิ ปิ นมีสิทธ์ิท่ีจะสรรคส์ ร้ำงรูปแบบ จำกควำมรู้สึกเหลำ่ น้นั ได้ ตำมประสบกำรณ์ของศลิ ปินแตล่ ะคน รูปแบบอิสระน้ี สุชำติ เถำทอง )2536:64-96) กลำ่ วำ่ เป็นกำรแยกจำกกนั ระหวำ่ ควำมรู้สึกกบั รูปทรงท่ี เป็นจริง ผูด้ จู ะรบั รู้และซำบซ้ึงไดต้ ำมประสบกำรณ์ของแต่ละคน โดยไม่จำเป็นตอ้ งเขำ้ ใจตรงกบั สร้ำงกบั ผู้ สร้ำงสรรค์ผลงงำนผสมผสำนกบั ควำมรู้... เป็นกำรสกดั ควำมรู้สึก จำกโลกภำยนอกจำกสิ่งแวดลอ้ มต่ำงๆ... เรียกว่ำกลุ่มสร้ำงสรรคท์ ำง...ควำมสำมำรถและบคุ ลกิ ภำพของผสู้ ร้ำงสรรคแ์ ละถ่ำยทอดออกมำเป็นผลงำนศลิ ปะ นำมธรรม และกำรถำ่ ยทอด ศิลปินจะไมต่ ิดอยกู่ บั รูปร่ำงรูปทรงสีสันของส่ิงท่ีเห็น แต่จะให้ถ่ำยทอดโดยใชท้ ศั นะธำตุ หรือส่วนประกอบของศลิ ปะมำแสดงออก ควำมรู้สึกเป็นเร่ืองเฉพำะของมนุษยแ์ ตล่ ะคน ซ่ึงไมเ่ หมือนกนั ฝำแฝดแมจ้ ะมีรูปร่ำงหนำ้ ตำเหมือนกนั แต่ ควำมรู้สึกในงำนจิตรกรรมจะเร่ิมจำกควำมรู้ศกึ ของศิลปิ น อนั เน่ืองมำจำกมีประสบกำรณ์ตรงกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ถำ่ ยทอดมำเป็นงำนจิตรกรรม ควำมรู้สึกของผดู้ ู อนั เน่ืองมำจำกกำรไดส้ มั ผสั กบั ผลงำนน้นั อำจมคี วำมรู้สึก เหมือนกนั หรือแตกต่ำงกนั ตอ่ เน่ือง หรือรู้สึกเป็นคนละเรื่องกนั เลยกไ็ ด้ ท้งั น้ีเพรำะผลงำนจิตรกรรมแบบอสิ ระเป็น ตวั กระตนุ้ ใหผ้ ดู้ ูเกอดควำมรู้สึกตำมประสบกำรณ์ของแตล่ ะบคุ คลหรือรู้สึกไปตำมภำพทีศ่ ลิ ปิ นตอ้ งกำรแสดงออก มนุษยค์ วรเป็นผูก้ ำหนดรูปแบบควำมงำมข้นึ เอง แนวควำมงำมของกำรจดั เส้นรูปร่ำงรูปทรง สี ผิว อยำ่ ง อสิ ระ ไม่ติดอยกู่ บั กำรเลียนแบบ หรือดดั แปลงจำกธรรมชำติ ท้งั น้ีเป็นเพรำะบำงคร้งั เรำไม่ตอ้ งกำรแสดงควำมเป็นรูป ของวตั ถุ แต่แสดงอำรมณ์ ควำมรูปสึกต่อวตั ถุ จึงทำให้ (นกั กำรศกึ ษำบอกวำ่ เป็นกำรมองธรรมชำติอกี แง่มมุ หน่ึง) ภำพเขยี นบำงภำพไมแ่ สดงเน้ือหำเรื่องรำวหรือรูปร่ำงรูปทรงตำมทพ่ี บเห็นกนั ทว่ั ไป ผูด้ ูตอ้ งดอู ยำ่ งพนิ ิจพเิ ครำะห์ เนื่องเป็นกำรสร้ำงข้นึ ใหม์่จำกประสบกำรณท์ ำงควำมงำมของศลิ ปิ นท่แี สดงออกไดอ้ ยำ่ งเตม็ ทบ่ี ำงทำ่ นเรียกวำ่ เรียกวำ่ ศิลปะไมเ่ นน้ รูป )Non- Figurative art( หรือศิลปะนำมธรรม )Abstract art( ศรณั โรจนพนสั )2540:67-69) ไดก้ ลำ่ วถึงรูปแบบนำมธรรมวำ่ เป็นกำรคน้ หำรูปแบบควำมงำม กำร ประสำนกนั ของเสน้ กำรลงตวั ขององคป์ ระกอบควำมสมดลุ ระหวำ่ งรูปทรงกบั ทีว่ ่ำง เป็นควำมงำมของพ้นื ผิวกบั ... ...รูปทรง” ศลิ ปิ นสำมำรถใชค้ วำมคดิ สร้ำงสรรค์อยำ่ งมีอสิ ระ โดยกำรนำส่วนประกอบทำงศลิ ปะมำจดั วำงเป็น รูปแบบใหมข่ ้นึ ทำให้มีโอกำสคิดคน้ ไดอ้ ยำ่ งเตม็ ท่ี ในขณะเดียวกนั กนั ผดู้ ูอำจจะเห็นไมต่ รงกบั ผเู้ ขยี นก็ได้ เป็น เสรีภำพท้งั ผดู้ แู ละผูเ้ ขยี น ผเู้ ขยี นใชจ้ ินตนำกำรในกำรสร้ำงงำนไดม้ ำก กวำ้ งขวำ ในขณะทีผ่ ดู้ กู ส็ ำมำรถจะดูไดต้ ำม) กล่ำว (อำ้ งแลว้ ) อำรีย์ สุทธิพนั ์ (จินตนำกำรของตนเอง“ศิลปิ นบำงกลมุ่ มคี วำมเช่ือวำ่ ... กำรเขียนภำพตำมควำมรู้สึก มคี ำ่ มำกกวำ่ ท่ีจะเขียนตำมทต่ี ำมองเห็นถำ้ มนุษยม์ องไม่เห็นควำมสำคญั ของ... นบั เป็นกำรแสวงหำควำมรู้ใหมๆ่ ... รูปแบบน้ี มนุษยก์ ค็ งไมม่ สี ิ่งใดใหมๆ่ เกิดข้ึน และควำมเป็นอยทู่ ผี่ ่ำนมำคงไมไ่ ดร้ ับกำรพฒั นำเหมอื นดงั รูปที่เป็นอยู่

48 เป็นไปได้ ท้งั น้ีเพรำะผูส้ ร้ำงสรรคจ์ ะมที ศั นะในวงกำรกวำ้ ง มสี ิทธิทีจ่ ะแสวงหำท้งั เน้ือหำและรูปแบบมำนำเสนอ สำเหตหุ น่ึงท่ีทำใหศ้ ลิ ปิ นตอ้ งแสวงหำรูปแบบควำมงำมใหม่ พบว่ำ “ศลิ ปิ น 25 ในพุทธศตวรรษที่... ) รู้สึกเบอ่ื หน่ำยศิลปกรรมตำมหลกั วิชำกำรAcademic art) และศลิ ปะสจั นิยม (Realistic artศลิ ปิ นจึงเร่ิมสนใจ ( นำมธรรมมำกข้นึ และพฒั นำเรื่อยมำจนถึงปัจจุบนั ” 2530 รำชบณั ฑิตยสถำน):3) รูปแบบอสิ ระ เป็นกำรแสดงควำมรู้สึกของศิลปิ นท่ตี อ่ สภำพสิ่งแวดลอ้ มรูปทรงท่เี ห็นมใิ ช่รูปร่ำงรูปทรง ตำมลกั ษณะทเ่ี ห็นจริง เป็นรูปจำกกำรนึกคิด เป็นสภำวะในช่วงเวลำหน่ึงของควำมรู้สึกทเ่ี กิดข้นึ เป็นจินตนำกำร นกั เป็นรูปแบบของจิตรกรรมทใ่ี ห้เสรีภำพในกำรสร้ำงสรรคก์ บั ศลิ ปิ น และเสรีภำพในกำรดมู ำก ดงั ทีล่ ีโอ ตอลสตอย 2522 อำ้ งในววิ ุณ ต้งั เจิรญ):65 ไดก้ ลำ่ วถงึ ควำมสำคญั ของกำรแสดงออกทำงศิลปะอยำ่ งอิสระวำ่ (“แรงผลกั ดนั ... สำหรับผูซ้ ่ึงปรำรถนำทจ่ี ะให้สังคมของเรำกำ้ วไปขำ้ งหนำ้ น้นั ควรจะไดส้ ร้ำงอสิ ระภำพให้กบั ตนเองให์้ไดก้ ่อน” “ ที่ตำ่ งกระตอื รือร้นและแสวงหำกำรคน้ ควำ้ ส่ือ 2520 ซ่ึงเป็นลกั ษณะเด่นของศิลปิ นในทศวรรษ... ...เทคนิคใหม่ๆ และเน้ือหำทเี่ หมำะกบั ยคุ สมยั อนั เป็นกำรเปิ ดมิติใหม่ให้แกต่ นเองและศลิ ปิ นรุ่นตอ่ มำ” 2540 มหำวทิ ยำลยั ศิลปำกร):63) นอกจำกน้ี รำชบณั ฑิตยสถำน )2530:3) ยงั ไดก้ ลำ่ วถึงกำรแสดงออกอยำ่ งอสิ ระและกำรรบั รู้เกี่ยวกบั รูปแบบนำมธรรมไวว้ ำ่ “…มีกำรแสดงออกผมผสำนกนั ระหว่ำรูปทรงและกำรรบั รู้เก่ียวกบั อำรมณส์ ะเทอื นใจที่พวย พุ่งออกมำอยำ่ งปรำศจำกกำรควบคุมของจิตรกร ผลงำนแสดงให้เห็นถึงควำมกลำ้ หำญ เด็ดขำด แน่นอน ฉลบั พลนั เตม็ ไปดว้ ยพลงั รุนแรง ขนำดของภำพมีขำดใหญ่ กำรใชส้ ีไมว่ ่ำจะเป็นวรรณะอุ่นหรือวรรณะเยน็ จะระบำย ดว้ ยควำม ฉลบั พลนั แสดงร่องรอยกำรวำดระบำยน้นั ๆ จิตรกรในลทั ธิน้ีจึงมกั ...รูปทรงจะมแี นวโนม้ ไปทำงรูปทรงอสิ ระ... แสดงออกมำอยำ่ งชดั เจนถงึ ควำมกำ้ วร้ำว รุนแรง มีลกั ษณะของนกั เสรีนิยมอยำ่ งเตม็ เปี่ ยมแสดงควำมเป็นปัจเจก นิยมอยำ่ งเด่นชดั โดยมวี ิธีแสดงออกแตกต่ำงหลำกหลำยกนั ไปเป็นศลิ ปะซ่ึงมแี บบอยำ่ งที่แยกควำมรู้สึกหรือ... เป็นศลิ ปะที่รับรู้และซำบซ้ึงไดต้ ำมเอกกตั ภำพ โดยไม่จำ...อำรมณอ์ อกจำกรูปทรงทเี่ ป็นจริงเป็นตอ้ งเป็นอยำ่ ง เดียวกบั ผสู้ ร้ำงสรรค์ ...” ในดำ้ นกำรรับรู้หรือกำรสื่อสำรของงำนจิตรกรรมรูปแบบนำมธรรมน้ี ชะลูด นิ่มเสมอ )2537:107( กลำ่ ว ว่ำ “…เป็นกำรลำบำกของผูท้ ่จี ะเขำ้ ถึงหรือบุคคลทง่ั ไปทจี่ ะทำใจให้เป็นกลำงต่อส่ิงเหล่ำน้นั ได้ แต่สำหรบั ผูท้ ี่พอจะ เขำ้ ถึงไดบ้ ำ้ งแลว้ เร่ืองรำวจะไม่เขำ้ มำรบกวนมำกนกั เพรำะรูปทรงทเ่ี รียกว่ำ Aesthetic form จะมอี านาจมากกว่า มี พลงั มำกว่ำ แทรกตวั เขำ้ ในใจและยดึ ครองบริเวณของกำรรบั รู้ไวไ้ ดก้ อ่ นเกือบสิ้นเชิง...” ทำงดำ้ นกำรรบั รู้ของสังคม วิโชค มกุ ดำมณี กลำ่ วว่ำ (เอกสำรสมั มนำ) “…มีผลงำนจิตรกรรมจำนวนมำก ซ่ึงเขยี นแบบใหมๆ่ ที่ประชำชนดุแลว้ ส่ำยหนำ้ บอกว่ำดแู ลว้ ไมร่ ู้เรื่องเพรำะวธิ ีวำดงำนจิตรกรรมจะมีรูปแบบสไตล์ แตกต่ำงกนั กนั ไป แตล่ ะคนไม่เหมือนกนั บำงคร้งั กป็ ้ำยสีตำมพกู่ นั ตำมใจโดยอสิ ระจึงทำให้กำรสร้ำงงำนแนว... อิสระของจิตรกรหลำยคน ยงั ไม่เป็นทยี่ อมรบั เท่ำท่ีควร...”(เป็นของใหม่สำหรับสังคมในขณะน้ี) ในพระรำชนิพนธไ์ กลบำ้ นของพระบำทสมเด็จพระจลุ จอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั เม่ือคร้ังเสดจ็ ประพำสยโุ รป คร้ังที่ 2(อำ้ งในอำนำจ เยน็ สบำย 2525:523) มีขอ้ ควำมหลำยตอนท่ีเก่ียวกบั ควำมรู้สึกของประองคเ์ มอ่ื ไดส้ มั ผสั กบั ศิลปะใหม่ วำ่ “แต่รูภำพน้นั เตม็ ทีที่เป็นรูปเขียนอยำ่ งเก่ำมีอยไู่ ม่เทำ่ ใด นอกน้นั เป็นอยำ่ งโมเดิร์น ซ่ึงเหลอื ทเี่ ลำ่ ว่ำรูป...

49 บำงแผ่นเหมอื นรูปหอยแครง หยอดเกำะๆ กนั ไปเป็นรูปพร่ำๆ บำงแห่งเหมอื นเอำ...อะไร เป็นอยำ่ งไรเส้นแมกกำ โรนียอ้ มสีแดง สีเขียว สีเหลอื งกองไว้ ตำมแต่จะนึกว่ำเป็นรูปอะไรถงึ เขียน สีก็เลอื กเอำสับเยกตท์ ี่เลวท่ีสุด ทไี่ มด่ ี สี... ... กใ็ ชแ้ ป๋ ปร๋ำ เงำก็ไม่ตอ้ งมี ระบำยกไ็ ม่ตอ้ งระบำย ป้ำยลงไปเฉยๆ” ในเรื่องรูปแบบของงำนจิตรกรรมน้ี โกสุม สำยใจ 2542)) ไดท้ ำกำรวจิ ยั เรื่อง กำรศกึ ษำแบบและเทคนิค ของงำนจิตรกรรม ศึกษำเฉพำะกรณีงำนจิตรกรรมท่ีไดร้ บั กำรพิจำรณำรบั รำงวลั ท่ี 1-ในกำรแสดงงำนศิลปกรรม 3 34 แห่งชำตคิ ร้งั ท่ี/43 ถงึ 2531/ในส่วนทเี่ ก่ียวกบั รูปแบบสรุปไดด้ งั น้ี 2540 ผลงำนจิตรกรรมท่ีไดร้ บั กำรพิจำรณำรับรำงวลั ในกำรแสดงศิลปกรรมแห่งชำตคิ ร้ังท่ี 34/ ถงึ 2531 43/ในรูปแบบก่ึงนำมธรรม ไดร้ ับกำร 1 รูปแบบนำมธรรมไดร้ บั กำรพจิ ำรณำรบั รำงวลั มำกทส่ี ุดเป็นอนั ดบั ที่ 2540 พิจำรณำรบั รำงวลั รองลงมำ และรูปแบบเหมือนจริงไดร้ ับกำรพจิ ำรณำรับรำงวลั นอ้ ยที่สุด แต่เม์ื์่อพจิ ำรณำใน ส่วนละเอียดพบวำ่ งำนจิตรกรรมที่ไดร้ บั กำรพิจำรณำรับรำงวลั เกียรตินิยม อนั ดบั ท่ี ชิ้น เป็นรูปแบบ 4 เหรียญทอง 1 34 คร้งั ท)่ี ชิ้น 3 ก่ึงนำมธรรม/38 คร้ังท่ี 2531/41 และคร้งั ที่ 2535/2538) เป็นรูปแบบนำมธรรม คร้ังที่) ช้ิน 1 34/2531) ในกำรสร้ำงงำนจิตรกรรมบำงคร้ังศิลปิ นก็มไิ ดค้ ำนึงถึงรูปแบบ วิธีกำรถำ่ ยทอดมำกนกั ส่วนใหญ่จะใช้ ควำมรู้สึกของตวั เองเป็นตวั กำหนดมำกกว่ำ เม่ือสร้ำงภำพตำมท่ตี ้งั ใจไวต้ ำมทีจ่ ิตนำกำรไว้ ก็พอใจแลว้ ซ่ึงจะอยู่ใน กลุ่มของรูปแบบใด แบบหน่ึง หรือผสมกนั ก็ได้ กำรกำหนดรูปแบบเป็นเร่ืองของนกั ศึกษำ และนกั วจิ ำรณ์

50 เทคนคิ ในงานจติ รกรรม เทคนิค วธิ ีกำรสร้ำงงำน เป็นควำมงำมหน่ึงในจิตรกรรม เทคนิค หมำยถึงวธิ ีกำรสร้ำงภำพ วิธีกำรเขียนภำพ ตำมทศ่ี ลิ ปิ นถนดั หรือตอ้ งกำรจะศกึ ษำคน้ ควำ้ เทคนิคใน กำรสร้ำงงำนจิตรกรรม ถอื วำ่ เป็นกำรเสำะแสวงหำเป็นเรื่องของควำมคิดสร้ำงสรรค์ ทีท่ ำให้ศิลปิ นไมห่ ยดุ น่ิง ตอ้ ง ศึกษำคน้ ควำ้ ตลอดเวลำเพอื่ ใหไ้ ดเ้ ทคนิควธิ ีกำรเขยี นภำพทเี่ หมำะสมกบั เน้ือหำ และรูปแบบที่ตอ้ งกำรแสดงออก แบ่งเป็นเทคนิคจำกวิธีกำรเขียนภำพ เช่น กำรเขยี นใหส้ ีเรียบขอบคม กำรเขยี นภำพแสดงรอยแปรงและเทคนิคจำก วสั ดุทีใ่ ชใ้ นกำรเขยี นภำพ เช่น เทคนิคสีน้ำ สีน้ำมนั สีฝ่นุ และทองคำเปลวสีอะคริลิก และเทคนิคผสม เป็นตน้ ในเรื่องเทคนิคน้ี สุชำติ เถำทอง )2536 : 96ฝีมอื กำรใชว้ สั ดุ ควำม... ให้ควำมหมำยไวว้ ่ำ เทคนิคหมำยถงึ ( คงทนและควำมเหมำะสมกบั เจตนำในกำรแสดงออก เป็นกำรเลอื กใชว้ สั ดุที่สอดคลอ้ งไปกบั แนวควำมคดิ ในกำร ถำ่ ยทอดของศิลปินแต่ละคน เทคนิคในกำรสร้ำงจิตรกรรม เป็นกลวิธีสร้ำงสรรคง์ ำนต่ำงๆ เป็นควำมสำมำรถในกำรเลอื กใชว้ สั ดุ ให้เกิด... เป็น...ควำมเหมำะสมกบั เจตนำในกำรแสดงออกสอดคลอ้ งไปกบั แนวควำมคดิ ในกำรถำ่ ยทอดของศลิ ปินแตล่ ะคน ควำมเช่ียวชำญเฉพำะงำนทจ่ี ะเลอื กเคร่ืองมือ วสั ดุ และกระบวนกำรทำงำนทีแ่ ตกตำ่ งกนั ศลิ ปิ นหรือช่ำงจำเป็นตอ้ ง เช่ียวชำญรู้เทคนิคกำรทำงำนในแขนงใดแขนงหน่ึงโดยเฉพำะ จึงจะสำมำรถสร้ำงสรรคง์ ำนไดด้ ีช่ำงจำเป็นตอ้ ง... ตอ้ งรู้ เขำ้ ... เลอื กเทคนิค และมกั จะตอ้ งข้นึ อยกู่ บั ควำมถนดั ควำมสนใจ และโอกำสทจี่ ะทำงำนในดำ้ นน้นั ไดด้ ี ใจควำมถนดั ของตนเอง ปัจจบุ นั น้ี วงกำรศลิ ปะบำ้ นเรำไดพ้ ฒั นำกำ้ วหนำ้ มำกข้นึ ตำมลำดบั และมีสถำบนั กำรศึกษำท้งั ภำครัฐบำล และภำคเอกชน เปิ ดสอนวิธีกำรทำงศิลปะเพิ่มมำกข้นึ ท้งั ดำ้ นวจิ ิตรศิลป์ โดยตรง )Fine Art( และประยกุ ตศ์ ลิ ป์ )Applied Art( เช่น มณั ฑนศลิ ป์ พำณิชยศ์ ลิ ป์ ศลิ ปะอตุ สำหกรรมและนิเทศศิลป์ เป็นตน้ ในงำนจิตรกรรม ไมว่ ำ่ จะเป็นวจิ ิตรศิลป์ หรือจิตรกรรมประยกุ ต์ จำเป็นตอ้ งเรียนรู้เรื่องของเทคนิคจำกวสั ดุ และเทคนิคกำรระบำยสี เป้นอยำ่ งดี ดงั จะกลำ่ วตอ้ ไปน้ี ผูเ้ ร่ิมในวิชำกำรตำ่ งๆ ทำงศลิ ปกรรม ส่วนมำกจะประสบปัญหำว่ำ จะระบายสีอย่างไร เพรำะสีแต่ละชนิดมี คุณสมบตั ิเฉพำะแตกตำ่ งกนั มวี ิธีเขียนต่ำงกนั อีกท้งั ใหอ้ ำรมณ์ควำมรู้สึกท่แี ตกตำ่ งกนั ดว้ ย กำรระบำยสีเป็นวธิ ีกำรท่ี สำคญั ยงิ่ ในงำนจิตรกรรมและงำนออกแบบ กำรระบำยสีดว้ ยพกู่ นั ถอื ว่ำเป็นอุปกรณแ์ ละวธิ ีกำรทีเ่ ก่ำแกม่ ำก ซ่ึง ปัจจบุ นั ไดม้ ีกำรพฒั นำอุปกรณ์ และวิธีกำรข้ึนอกี มำกมำย เช่น กำรพ่นสี กำรหยดสี กำรเท กำรรำด กำร (พกู่ นั ลม) สลดั สี กำรระบำยสีดว้ ยส่วนใดส่วนหน่ึงของร่ำงกำย หรือท้งั ตวั เป็นตน้ ประกอบกบั ปัจจบุ นั มกี ำรผลติ สีประเภท ต่ำงๆ ข้นึ อกี มำกมำยรวมท้งั อุปกรณแ์ ละระนำบรองรับโดยเฉพำะซ่ึงเรียกกนั วำ่ เฟรม หรือ แคนวสั สีแตล่ ะชนิด จะตอ้ งใชว้ สั ดุรองรบั ต่ำงกนั สีมำร์คเกอร์ควรเขียนบนกระดำษบำงๆ ทมี่ ีเน้ือระเอยี ด สีปลำสเทลควรเขยี นบน กระดำษสีหม่นๆ มผี วิ หยำบ เป็นตน้ อยำ่ งไรก็ตำม กำรระบำยสีในงำนต่ำงๆ ส่วนใหญจ่ ะมีลกั ษณะร่วมกนั ดงั ต่อไปน้ี เทคนคิ การระบายสี 1 . การระบายสีให้เรียบ )Flat Coloring( เป็นกำรระบำยสีเพื่อแสดงควำมประณีต เรียบร้อย มีขอบเขตท่แี น่นอน ถำ้ ตอ้ งกำรจะแสดงพ้นื ผิวก็จะใชล้ วดลำยเขำ้ มำประกอบ กำรระบำยสีใหเ้ รียบ ยงั แยกยอ่ ยออกไปอกี ไดแ้ ก่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook