วจิ ยั ในช้ันเรียน ผลการพัฒนาทักษะการอ่านและเขยี นคาศพั ท์ภาษาไทยของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 2 โดยใช้ชดุ ฝึกการอา่ นและเขยี นคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 ผวู้ ิจยั นางสาวฐติ ริ ัตน์ โป่อนิ ทนะ ตาแหนง่ พนักงานราชการ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ สานักบรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ
ผลการพัฒนาทกั ษะการอ่านและเขยี นคาศัพท์ภาษาไทยของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โดยใช้ชุดฝึกการอ่านและเขียนคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 นางสาวฐติ ิรตั น์ โป่อนิ ทนะ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแม่แจม่ จังหวดั เชยี งใหม่ สานกั งานบรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ งานวจิ ัยนี้เปน็ สว่ นหน่ึงของการจดั การเรียนการสอนวชิ า ภาษาไทย ประจาปกี ารศกึ ษา 2563
ก ชอ่ื งานวจิ ัย : ผลการพฒั นาทักษะการอา่ นและเขยี นคาศพั ทภ์ าษาไทยของนกั เรยี นช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ชดุ ฝกึ การอ่านและเขยี นคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 ช่ือผู้วิจัย : นางสาวฐิติรตั น์ โป่อินทนะ ชื่อโรงเรียน : โรงเรยี นราชประชานุเคราห์ 31 ปีทท่ี าการวจิ ยั : 2563 บทคัดย่อ การศกึ ษาวจิ ยั คร้ังนีม้ วี ัตถปุ ระสงคเ์ พือ่ 1. เพ่ือให้นักเรียนสามารถอ่านและเขียนคาศัพท์หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 เร่ือง ความหมายของคาจดจาไว้ วิชาภาษาไทยพ้ืนฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยได้ 2. เพอ่ื ศกึ ษาผลการใช้ชดุ ฝึกการอา่ นและเขียนคาตามรปู แบบการสอน RPK 31 การดาเนินการ 1. ทดสอบก่อนเรียนกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 3 คน เก่ียวกับ ความสามารถในการอ่านและเขียนคาคาศัพท์ในหน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 เรื่อง ความหมายของ คาจดจาไว้ วิชาภาษาไทยพ้ืนฐาน กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย จานวน 20 คา 2. ทาการสอน อ่านและเขียนคา 20 คา โดยใช้ชุดฝึกการอ่านและเขียนคาตาม รูปแบบการสอน RPK 31 3. ทดสอบหลังเรียนกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 3 คนเก่ียวกับความ สามารถในการอ่านและเขียนคาคาศัพท์ในหน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 เร่ือง ความหมายของคา จดจาไว้ วิชาภาษาไทยพนื้ ฐาน กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย จานวน 20 คา 4. นาขอ้ มลู มาวิเคราะหแ์ ละหาข้อสรปุ ผลการศึกษาพบวา่ การใชช้ ดุ ฝกึ การอ่านและเขยี นคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 ภายหลัง การทดลอง นักเรยี นสามารถอา่ นและเขียนคาศัพท์หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 7 เรื่อง ความหมายของคา จดจาไว้ เพิม่ ข้นึ จากเดิม ร้อยละ 59.44
ข กิตตกิ รรมประกาศ ผวู้ ิจยั ขอกราบขอบพระคุณ นายอดิศร แดงเรือน ผอู้ านวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ท่ีอนุญาตให้ดาเนินงานวิจัยคร้ังน้ี และสนับสนุนการปฏิบัติการสอนในช้ันเรียน จนทาให้งานวิจัย สาเร็จลลุ ่วงไปได้ด้วยดี ขอกราบขอบพระคุณเป็นอยา่ งสูง งานวิจัยนี้เสร็จสมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี ด้วยได้รับความกรุณาชว่ ยเหลือ เอาใจใส่อย่างดียิ่งจาก นายวิเศษ ฟองตา รองผู้อานวยการโรงเรียนท่ีได้ให้แนวทางคาปรกึ ษาและข้อเสนอแนะในการทาวจิ ยั ด้วยความเมตตามาโดยตลอดรวมท้ังเป็นแบบอย่างที่ดีในความพยายาม อดทน มุ่งม่ัน และต้ังใจใน การทางาน ผู้วิจัยขอขอบพระคุณคุณครูอมลสิริ คาฟู ที่ให้คาแนะนาในการปรึกษาการทาวิจัยและเป็นที่ ปรกึ ษาแผนการจดั การเรยี นรู้และจดั กจิ กรรมตลอดหน่วยการเรียนรู้ และให้คาแนะนามาโดยตลอด ผู้วิจัยขอขอบพระคุณผู้บริหาร คณะครู และนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ท่ีให้ ความร่วมมือในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ในช้นั เรยี น รวมท้งั ให้ข้อมลู ในการทาวิจยั คร้ังน้ี อกี ทง้ั บุคคล ท่เี กีย่ วข้องอนั ผูเ้ ขียนมิได้เอ่ยนาม ท่ีไดอ้ บรมส่ังสอนให้ความรู้ทางด้านวิชาการแก่ผ้วู จิ ัย รวมทั้งได้แต่ง ตาราให้ผู้วิจัยได้ใชค้ ้นคว้า อ้างอิง จนทาให้งานวิจัยฉบับนี้สาเร็จลงได้ ข้อค้นพบท่ีก่อให้เกิดประโยชน์ ของงานวิจัยนี้ จะเป็นแนวทางสาหรับครูผู้สอน ผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้สนใจ สามารถนาแนวคิดใน การนานวัตกรรมการศึกษาชั้นเรียนและชุดฝึกการอ่านและเขียนคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 ไป ใชใ้ นการพัฒนาการจัดการเรยี นร้ขู องผู้เรียน นางสาวฐติ ิรัตน์ โปอ่ ินทนะ
ค สารบญั หนา้ บทคดั ย่อ ก กิตตกิ รรมประกาศ ข สารบญั ค สารบัญตาราง ง สารบัญภาพ จ บทท่ี 1 บทนา 1 1.1 ที่มาและความสาคัญของการวิจยั 1 1.2 ทางเลอื กทค่ี าดวา่ จะแกป้ ัญหา 1 1.3 วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั 1 1.4 สมมติฐานของการวิจัย 1 1.5 กรอบแนวคิดในการวิจยั 2 1.6 ขอบเขตของการวิจัย 3 1.7 คาจากัดความท่ใี ช้ในการวจิ ัย 3 1.8 ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วข้อง 5 บทท่ี 3 วิธีดาเนินการวิจัย 20 3.1 ระยะเวลาในการวิจยั 20 3.2 เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย 21 3.3 ผู้เช่ยี วชาญตรวจเครื่องมือ 21 3.4 ข้นั ตอนการดาเนนิ งาน 21 บทที่ 4 การวเิ คราะหข์ ้อมูล 23 4.1 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 23 บทที่ 5 สรปุ ผลการวิจัย และขอ้ เสนอแนะ 24 5.1 สรุปผลการวจิ ัย 24 5.2 ขอ้ เสนอแนะ 41 บรรณานกุ รม ภาคผนวก ภาคผนวก ก แผนการจดั การเรียนรู้หน่วยท่ี 7 เร่อื ง ความหมายของคาจดจาไว้ ภาคผนวก ข แบบประเมนิ กอ่ นเรยี นและหลังเรยี น ภาคผนวก ค ตัวอย่างชดุ ฝกึ อ่านและเขยี นคาศัพท์หนว่ ยท่ี 7 เร่ือง ความหมายของคา จดจาไว้
ง สารบัญตาราง หน้า ตารางท่ี 1 แสดงระยะเวลาในการดาเนินการวจิ ัย 37 ตารางท่ี 2 แสดงการเปรยี บเทยี บพัฒนาการของนกั เรียนเม่อื ทาแบบทดสอบก่อนและหลังเรยี น 40
สารบญั รปู ภาพ จ ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ ( Conceptual Framework ) หน้า 2
บทที่ 1 บทนา 1.1 ท่มี าและความสาคญั ของการวจิ ยั ปีการศึกษา 2563 ภาคเรียนที่ 2 ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย วิชาภาษาไทยพื้นฐาน ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนจานวนท้ังสิ้น 15 คน จาก การจัดการเรียนการสอนแผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง คาและความหมายของคา หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 7 เรื่อง ความหมายของคาจดจาไว้ ผู้วิจัยได้พยายามหาวิธีการสอนหลาย ๆ รูปแบบ อาทิ ฝึกอ่านสะกด คา พบว่านักเรียนมีพัฒนาการเรียนรู้ดีขึ้นสามารถอ่านและเขียนสะกดคาท่ีมีความหมายเหมือนกัน และตรงข้ามกันได้ แต่ก็ยังคงมีนักเรียนอีกประมาณ 3 คน มีปัญหาด้านการอ่านและเขียนคาศัพท์ ของหนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 7 เรื่อง ความหมายของคาจดจาไว้ และได้พยายามใช้วธิ ีการสอนหลาย ๆ แบบ แต่นักเรียนกลุ่มนี้ก็ยงั ไม่มีการพัฒนาขึ้น ผู้วิจัยจึงได้จัดทาวิจัยเร่ือง ผลการพัฒนาทักษะการอ่านและ เขียนคาศัพท์ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้ชุดฝึกการอ่านและเขียนคาตาม รูปแบบการสอน RPK 31 ข้ึน 1.2 ทางเลือกทคี่ าดวา่ จะแก้ปญั หา 1) ให้นักเรยี นฝึกอา่ นคาศัพท์โดยการดูบัตรภาพในหนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 7 เร่อื ง ความหมาย ของคาจดจาไว้ 2) ฝึกหาความหมายของคาในหน่วยการเรยี นรู้ท่ี 7 เรื่อง ความหมายของคาจดจาไว้ 3) สนทนา ซักถาม พูดคยุ เก่ียวกบั เร่ืองราวของนกั เรียน 4) ซักถามเก่ยี วกับคาศัพทใ์ นหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 7 เรอื่ ง ความหมายของคาจดจาไว้ 1.3 วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั 1) เพ่อื ใหน้ ักเรยี นสามารถอา่ นและเขียนคาศพั ทห์ น่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 เร่ือง ความหมายของ คาจดจาไว้ วชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทยได้ 2) เพือ่ ศึกษาผลการใชช้ ุดฝกึ การอ่านและเขียนคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 1.4 สมมตฐิ านของการวจิ ยั ชุดฝึกการอ่านและเขียนคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 ทาให้นักเรียนอ่านและเขียนคาได้ ดขี ึ้น
2 1.5 กรอบแนวคิดในการวิจยั กรอบแนวคิด ( Conceptual Framework ) เหตุ / สาเหตุ (Causes) ผล (Effects) ผลกระทบ (Impacts) ครูมีกิจกรรมใหน้ กั เรียน นกั เรียนมีทกั ษะการอ่าน - นกั เรียนนาทกั ษะการ ไดฝ้ ึกทกั ษะนอ้ ย ภาษาไทยเพ่มิ ข้ึน อ่านภาษาไทยไปใชใ้ น ชีวติ ประจาวนั ได้ นวตั กรรม คล่องแคล่วยง่ิ ข้ึน ชุดฝึกอา่ นและเขียนคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 - นกั เรียนมีเจตคติท่ีดีต่อ (ตวั แปรตน้ ) การเรียนวชิ าภาษาไทย
3 1.6 ขอบเขตของการวจิ ัย ในการศึกษาวิจัยคร้งั น้ี เป็นการสรา้ งชดุ ฝึกการอา่ นและเขียนคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความหมายของคาจดจาไว้ วิชาภาษาไทยพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยและได้กาหนดขอบเขตของการวิจยั ไว้ดงั นี้ 1) กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ ชั้น ประถมศึกษาปที ี่ 2 ประจาปีการศึกษา 2563 จานวน 3 คน 2) เน้ือหา คาศัพท์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความหมายของคาจดจาไว้ วิชาภาษาไทย พื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวดั เชยี งใหม่ คอื นกขนุ ทอง อุ้งมือ น้ิวนาง มะเขอื เปราะ สตรี อาทติ ย์ ศรี ษะ สขุ เศร้า ปลอ่ ย จม ขา้ วสาร ขา้ วเปลอื ก ต๊กุ ตา เบ้ีย เห่ียว ดงึ ละเอียด รอ้ น รบั ประทาน 1.7 คาจากดั ความทใ่ี ช้ในการวิจยั 1) ชุดฝึกการอ่านและเขียนคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 หมายถึง การฝึกปฏิบัติตาม กิจกรรมการอ่านคาท่ีครูสร้างข้ึน โดยแบ่งการอ่านคาศัพท์ในหน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 เรื่อง ความหมาย ของคาจดจาไว้ วิชาภาษาไทยพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย จานวน 20 ชดุ 2) ความสามารถด้านทักษะการอ่านภาษาไทย หมายถึง คะแนนท่ีนักเรียนสามารถทาได้จาก แบบวดั ปฏิบัตทิ กั ษะการอ่านและเขียนคาศัพท์ภาษาไทยที่ครผู สู้ อนสร้างข้ึนใช้ ทง้ั กอ่ นและหลังการใช้ ชดุ ฝึกการอ่านและเขียนคาตามรปู แบบการสอน RPK 31 1.7 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 1.7.1 ชดุ ฝกึ การอา่ นและเขียนคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 หมายถึง แบบฝึกอา่ นและ เขียนสะกดคาจากภาพ โดยแบ่งการอ่านและเขียนคาศัพท์ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความหมาย ของคาจดจาไว้ กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย วชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน จานวน 20 ชุด 1.7.2 ความสามารถด้านทักษะการอ่านภาษาไทย หมายถึง คะแนนท่ีนักเรียนสามารถทา ไดจ้ ากแบบวดั ปฏบิ ตั ทิ ักษะการอ่านและเขียนคาศัพท์ภาษาไทยที่ครผู ู้สอนสร้างขึ้นใช้ ทั้งกอ่ นและหลัง การใช้ชดุ ฝึกอ่านและเขียนคาตามรปู แบบการสอน RPK 31 1.7.3 แบบทดสอบ หมายถึง แบบทดสอบวัดพัฒนาการของนักเรียน เม่ือทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
4 1.8 ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับ 1.8.1 นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 จานวน 3 คน พัฒนาความสามารถการอ่านและเขียน คาศัพท์ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 เร่ือง ความหมายของคาจดจาไว้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย วิชา ภาษาไทยพื้นฐาน ไดด้ ขี น้ึ 1.8.2 โรงเรียนมีรูปแบบพัฒนาทักษะการอ่านละการเขียนภาษาไทยของนักเรียนระดับ ประถมศึกษา
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้อง การดาเนินการศึกษาคร้ังนี้ เพ่ือพัฒนาทักษะการอ่าน โดยใช้แบบฝึกอ่านสะกดคา กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ผู้รายงานได้ศึกษา เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ดงั ต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 2. การเรียนการสอนภาษาไทย 2.1 แนวการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนภาษาไทย 2.2 หลักในการเลอื กกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย 2.3 สอื่ การเรยี นการสอนภาษาไทย 3. การอา่ น 3.1 ความหมายของการอ่าน 3.2 ความสาคัญของการอา่ น 3.3 การอา่ นแจกลูกสะกดคา 1. หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ทาไมตอ้ งเรยี นภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสรมิ สร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครอ่ื งมือในการติดต่อส่ือสารเพ่ือสร้าง ความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดตี ่อกัน ทาให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดารงชีวิตร่วมกัน ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก แหลง่ ข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆเพื่อพัฒนาความรู้ พฒั นากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ใหท้ นั ต่อการเปล่ยี นแปลงทางสังคม และความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนาไปใช้ ในการพฒั นาอาชีพใหม้ คี วามมั่นคงทางเศรษฐกจิ นอกจากนยี้ ังเป็นสอ่ื แสดง
6 ภมู ปิ ัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัตลิ ้าคา่ ควรแกก่ ารเรียนรู้ อนรุ ักษ์ และสบื สานใหค้ งอย่คู ูช่ าตไิ ทยตลอดไป เรยี นรอู้ ะไรในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นทักษะท่ีต้องฝึกฝนจนเกิดความชานาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การ เรยี นรู้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ และเพื่อนาไปใชใ้ นชวี ิตจริง การอ่าน การอ่านออกเสียงคา ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คาประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากส่ิงที่อ่าน เพ่ือนาไป ปรับใช้ในชีวติ ประจาวนั การเขียน การเขียนสะกดคาตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคาและรูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน ซ่ึงรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชงิ สร้างสรรค์ การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความร้สู กึ พดู ลาดบั เรอ่ื งราวต่าง ๆอยา่ งเป็นเหตุเป็นผล การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ทั้งเปน็ ทางการและไม่ เป็นทางการ และการพดู เพือ่ โนม้ นา้ วใจ หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้อง เหมาะสมกบั โอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธพิ ลของภาษาต่างประเทศ ในภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะหว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมเพื่อศกึ ษาขอ้ มูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทาความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของ เด็ก เพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาท่ีมีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซ้ึง และภูมใิ จในบรรพบรุ ุษที่ได้ส่ังสมสืบทอดมาจนถึงปจั จบุ ัน
7 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระท่ี 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคดิ เพอ่ื นาไปใชต้ ดั สนิ ใจ แก้ปญั หา ในการดาเนินชวี ติ และมีนสิ ัยรกั การอ่าน สาระที่ 2 การเขยี น มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้า อย่างมปี ระสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพดู มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สกึ ในโอกาสตา่ ง ๆ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและสร้างสรรค์ สาระท่ี 4 หลกั การใชภ้ าษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลัง ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบัตขิ องชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนามาประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตจริง 2. การเรยี นการสอนภาษาไทย 2.1 แนวการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย อมั พร อังศรีพวง (อ้างในวิมลรัตน์ สุนทรโรจน.์ 2549 : 94-95) ไดใ้ ห้แนวการจัด กิจกรรมการเรยี นการสอนภาษาไทยไวด้ งั น้ี 1) ฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนให้ถูกต้อง คล่องแคล่ว โดยการฝึกทักษะแต่ ละอย่างให้แม่นยาแล้วจึงฝึกทักษะทั้ง 5 ให้สัมพันธ์กันและส่งเสริมการคิด ตลอดจนความคิด สรา้ งสรรค์ 2) ฝึกทักษะทางภาษาซ้า ๆ และบ่อย ๆ จนเกิดความชานาญ และหมั่นฝึกฝน ทบทวนอยูเ่ สมอ ครผู ู้สอนตอ้ งส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นฝกึ ทกั ษะเป็นรายบคุ คลอย่างทั่วถงึ
8 3) ฝึกให้ผู้เรียนรู้หลักเกณฑ์ทางภาษาควบคู่ไปกับการใช้ภาษาและรู้จักวัฒนธรรม ทางภาษา 4) ส่งเสริมให้ผู้เรียนนาความรู้ และทักษะท่ีได้จากการเรียนภาษาไทยไปใช้เป็น เครือ่ งมือสอ่ื สารในชวี ิตประจาวัน และใชเ้ ป็นพนื้ ฐานในการเรียนกลุม่ ประสบการณ์อืน่ ๆ 5) ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย โดยสอนให้เห็นคุณค่าและตระหนักใน ความสาคัญของภาษาไทย ท้ังในสว่ นที่จาเป็นต้องใช้เพ่ือการส่ือสาร และในดา้ นการอนุรักษ์มรดกทาง วฒั นธรรมที่สาคญั ของชาติ 6) สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนเกิดความพงึ พอใจความงดงามของภาษาเพื่อให้เกิดความจรรโลง ใจ โดยใชธ้ รรมชาติ บทรอ้ ยแก้ว และรอ้ ยกรองที่เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นมาเป็นส่ือการเรียนการ สอน 7) ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่หาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เพ่ือประโยชน์ ในการดารงชีวิต 8) สอดแทรกคุณธรรมต่าง ๆ เช่น ความมีระเบียบวินัย ความขยัน ความอดทน ความรับผดิ ชอบ 9) ฝกึ ให้ผู้เรยี นเป็นคนชา่ งสังเกต จดจา และจดบันทึกสงิ่ ต่าง ๆ เพอื่ เสรมิ สร้าง ประสบการณ์ทางภาษา ไดร้ บั ความรู้ ความเพลิดเพลิน และเปน็ การใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์ 10) นาภาษาทีใ่ ช้ในสงั คมแวดล้อมมาเป็นสอื่ ประกอบการเรียนการสอนเพ่ือให้ สัมพันธ์กบั การเรยี นและสามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้จรงิ ในชีวติ ประจาวนั 11) ใหแ้ บบอยา่ งท่ีดแี ก่นักเรยี น โดยเฉพาะเรอ่ื งการใชภ้ าษาและการสื่อสารของ ครูผู้สอน 12) วดั และประเมินผล โดยคานงึ ถึงวัย ระดบั ชนั้ และพัฒนาการทางภาษาของ นกั เรียน 13) ส่งเสรมิ ใหน้ กั เรียนประเมินผลการเรียนภาษาของตน เพื่อให้นักเรียนพัฒนาให้ ดยี ง่ิ ขน้ึ ตามลาดบั 14) ศกึ ษา ติดตามและแกไ้ ขขอ้ บกพร่องทางภาษาของนักเรยี นอย่างสม่าเสมอและ ต่อเนื่อง
9 15) จัดการเรยี นการสอนให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนภาษาไทยดว้ ยความสนกุ สนาน นา่ สนใจ โดยใช้โปรแกรม เพลง รปู แบบการสอนอ่ืน ๆ และสื่อการสอนท่หี ลากหลาย เพอ่ื ให้นักเรียนเกิดความ รักในการเรียนภาษาไทย 16) จัดทาหนังสือท่ีเหมาะสมให้ผู้เรียนอ่านมาก ๆ หรือส่งเสริมการอ่านหนังสือใน หอ้ งสมดุ เพ่อื ให้นักเรียนมีความร้กู วา้ งขวางขนึ้ 2.2 หลกั ในการเลือกกจิ กรรมการเรียนการสอนภาษาไทย กิจกรรมการเรียนการสอนมีมากมาย เราสามารถจัดได้ทุกระยะของการเรียนการ สอนต้ังแต่ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน ข้ันสอน ข้ันสรุป และข้ันประเมินผล ครูเป็นผู้เลือกกิจกรรมให้ เหมาะสมกบั บทเรยี น โดยยดึ หลกั ดังนี้ 1) เลือกให้เหมาะสมกับจุดประสงคข์ องบทเรยี น 2) เลือกให้เหมาะสมกับผ้เู รยี น เชน่ ความยงุ่ ยาก ระดับความรู้ 3) เลือกโดยพิจารณาความสามารถของผู้สอนด้วย เช่น ครูท่ีร้องเพลงไม่เก่งก็จะ ใชเ้ ครือ่ งบันทึกเสียงแทน 4) เลือกโดยพิจารณาสภาพแวดล้อมในการเรียนการสอน เช่น ถ้าห้องเรียนแคบ การจัดให้เล่นเกมแข่งขันก็อาจจะเกิดเสียงดังไปรบกวนห้องอื่น และการเคล่ือนไหวก็ไม่สะดวก ครูใช้ กจิ กรรมอ่ืนแทน หรอื พานกั เรียนไปสนามหญา้ แทน 5) เลือกกจิ กรรมให้ความสนกุ สนาน ปฏบิ ตั งิ ่าย ไมซ่ ับซ้อน และยืดหย่นุ ได้ 6) เลือกกจิ กรรมท่ีใหแ้ นวคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรคแ์ ละทุกคนมีสว่ นรว่ ม วรรณี โสมประยูร (2544 : 193-194) ไดอ้ ธิบายถึงการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษาควรคานึงถึงจุดประสงค์ความ พร้อมของผู้เรียนควรให้ผู้เรียนมีพัฒนาการท้ัง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน และมีการฝึกฝนทาง ภาษา มีการบูรณาการสอนกับวิชาอ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรมการ เรียนการสอนมากท่ีสุด เน้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดตัดสินใจเอง รู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเองอยู่เสมอ ควรใช้ การสอนหลายๆ วิธี นอกจากนี้ครูควรสอดแทรกคุณธรรม และให้รู้จักการทางานร่วมกับคนอื่นได้ อย่างมีประสิทธภิ าพ การเรียนการสอนนอกจากจะมีความสาคัญในตัวมันเองแล้วยังเปน็ ปัจจยั สาคัญ ท่ีช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนวิชาอ่ืน ๆ ได้อีก ดังน้ันการเรียนการสอนภาษาไทยจึงไม่น่าจากัดอยู่ เฉพาะในชัว่ โมงภาษาไทยเท่านัน้ ซง่ึ การสอนภาษาไทยควรยึดหลักดงั นี้
10 ด้านตัวผู้สอน ควรสอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียน ผู้สอนควรเป็น แบบอย่างท่ีดีในการใช้ภาษาในการทากิจกรรมการเรียนการสอนควรสอนเรื่องใกล้ตัวผเู้ รียนและสอน ให้สัมพันธ์กับวิชาอื่น ๆ นอกจากนี้แล้วควรมีการประเมินผลเป็นระยะ เพ่ือผู้เรียนจะได้ทราบ ความกา้ วหน้าทางการเรียนของตัวเอง ดา้ นผูเ้ รียน ควรมีความพร้อมในการเรียนมกี ารศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง มกี ารฝึกฝน อยเู่ สมอ ดา้ นสื่อการเรียนการสอน ควรมีการใช้ส่อื การเรยี นการสอนเพือ่ ให้ผูเ้ รยี นรู้คา 2.3 ส่ือการเรียนการสอนภาษาไทย สื่อการเรยี นการสอนภาษาไทยมคี วามสาคัญต่อการเรยี นการสอนมาก เพราะสอื่ เป็น ตัวกลางท่ีจะชว่ ยใหก้ ารสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนใหเ้ ข้าใจตรงกัน และนกั เรยี นก็สามารถทาความ เข้าใจกบั บทเรยี นไดง้ า่ ยขน้ึ ทาใหน้ กั เรียนมคี วามสนใจบทเรยี นมากกว่าการสอนที่มีแต่ครูอธบิ ายเพียง อย่างเดียว ส่ือการเรียนการสอนจะช่วยนาความมีประสิทธิภาพมาสู่การเรียนการสอนและนา ความสาเรจ็ มาสูว่ ัตถปุ ระสงคท์ ตี่ ั้งไว้ ส่อื การสอน หมายถึง วสั ดุ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื วธิ ีการ และกจิ กรรมตา่ ง ๆ ท่ีครผู สู้ อน ใช้ถ่ายทอดความรู้และประมวลประสบการณ์ไปสู่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้บรรลุตาม จดุ ประสงค์ท่ตี ัง้ ไว้ พอจาแนกสื่อการสอนออกเปน็ 3 ประเภทดังนี้ 1) ส่ือประเภทวัสดุ (Materials) หรือบางทีเรียกว่าสื่อประเภทเบา (Software) หมายถึง สอ่ื ทเ่ี กบ็ ความรูอ้ ยูใ่ นตวั เอง ซ่งึ จาแนกย่อยออกเป็น 2 ลกั ษณะ คอื ก. ส่ือประเภทท่ีสามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองไม่จาเป็นต้องอาศัย อปุ กรณอ์ น่ื ช่วย เช่น แผนท่ี ลกู โลก รูปภาพ หุ่นจาลอง ฯลฯ ข. วัสดุท่ีไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้โดยตัวเองจาเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ อนื่ ชว่ ย เช่น แผ่นเสยี ง ฟลิ ม์ ภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ 2) ส่ือประเภทอุปกรณ์หรือเคร่ืองมือ (Equipment) หมายถึง ส่วนท่ีเป็นตัวกลาง หรือตัวผ่านทาให้ข้อมูลหรือความรู้ที่บันทึกไว้ในวัสดุ สามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือได้ยิน เช่น เครื่องฉายแผ่นภาพโปร่งใส เคร่ืองฉายสไลด์ เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเล่น แผน่ เสยี ง เปน็ ต้น
11 3) ส่ือประเภทเทคนิคหรือวิธีการ (Techniques or methods) หมายถึง ส่ือท่ีมี ลักษณะเป็นแนวคิดหรือรูปแบบข้ันตอนในการเรียนการสอน โดยสามารถนาสื่อวัสดุและอุปกรณ์มา ช่วยในการสอนได้ เชน่ เกมและสถานการณจ์ าลอง การสอนแบบจุลภาค การสาธิต เปน็ ต้น ส่ือการเรียนการสอนภาษาไทยมีหลายชนิด ซึง่ จะขอกลา่ วดังน้ี 1) เกมตา่ ง ๆ การเล่นเปน็ ส่ิงทีเ่ ด็ก ๆ ชอบเป็นชวี ิตจติ ใจอยู่แลว้ ผสู้ อนสามารถพลิก แพลงการเล่นแบบต่าง ๆ ของเด็กมาใช้เสริมทักษะทางภาษาของเด็กได้มากมาย เช่นการเล่นเกม กระซิบฝึกทักษะการฟัง การเล่นทักทายฝึกทักษะการพูด นอกจากน้ียังมีเกมอีกมากมายที่ผู้สอนจะ ประยุกต์ให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะสอน เกมต่าง ๆ สามารถใช้ได้ทุกข้ันตอนของการสอน ไม่ว่าจะ เป็นขัน้ นาเขา้ สูบ่ ทเรียน ข้นั สอน ข้ันสรุปบทเรียน การเลน่ เกมในแตล่ ะครงั้ ผู้สอนควรบอกจดุ ม่งุ หมาย ใหผ้ ู้เรยี นทราบแน่ชดั วา่ ฝึกทักษะใด กาหนดกติกา และเวลาในการเลน่ ใหแ้ นน่ อน การเลน่ เกมทั้งที่ไม่ ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์และต้องใช้ เกมท่ีต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ ผู้สอนต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า หรือให้ผู้เรียน เตรยี ม และเก็บให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเม่ือเลน่ เสรจ็ ตัวอย่างเกมตา่ ง ๆ เชน่ เกมปิงโก แขง่ เครื่องบิน ตกปลา ต่อบตั รคา จ่ายตลาด เกมกระซบิ เรยี งคา ย่สี ิบคาถาม ฯลฯ 2) บัตรคา เป็นสื่อการเรียนการสอนท่ีใช้ฝึกทักษะด้านการอ่านและการเขียนได้ดี เป็นส่ือท่ีผู้สอนนิยมใช้กันมาก เพราะใช้ประกอบการเรียนการสอนได้หลายลักษณะ เช่น สอนคัด ลายมือ สอนคาใหม่ สอนคายาก สอนอ่านออกเสยี ง สอนอ่านในใจ เล่นเกมเสริมทกั ษะต่าง ๆ 3) ปริศนาคาทาย เป็นการเล่นของคนไทยมาแต่โบราณนิยมเล่นกันในหมู่เด็กและ ผู้ใหญ่ การทายปัญหานั้นฝึกทักษะหลายด้าน ท้ังการฟัง การพูด การคิด ไหวพริบในการแก้ปัญหา จินตนาการ การแสดงออกทางภาษา ปริศนาคาทาย มีการจัดหมวดหมู่ไว้หลายหมวดหมู่ เช่น ประเภทสตั ว์ ของใช้ พืชเป็นต้น 4) เทปบันทึกเสียง เป็นสื่อการเรียนการสอนที่โรงเรียนจัดหามาไว้ให้ครูผู้สอน เพราะใชง้ ่าย เคลือ่ นยา้ ยไดส้ ะดวก ราคาไมแ่ พง ครูใช้เทปบนั ทึกเสยี งประกอบการสอนภาษาไทย โดย ใช้สอนอา่ นทานองเสนาะ สมั ภาษณ์ บันทกึ ขา่ ว นิทาน เปน็ ตน้ 5) แผ่นป้ายสาลี เหมาะสาหรับใช้เป็นสื่อการสอนในระดับช้ันเด็กเล็ก ช้ัน ประถมศึกษา แต่ก็อาจนาไปใช้ในระดับช้ันมัธยมหรืออุดมศึกษาก็ได้ แผ่นป้ายสาลีสามารถใช้ติดบัตร คา บัตรภาพหรอื รปู ภาพได้ แต่เราตอ้ งยอมรบั ว่าบัตรคา หรอื บตั รภาพที่ติดบนป้ายสาลีนั้น อาจจะไม่ ม่ันคง อาจรว่ งหลน่ ได้
12 6) สไลด์ประกอบเสียง นามาใช้ง่ายและสามารถนามาเรียนแบบเอกัตบุคคลหรือ ประกอบการเรียนการสอนเป็นกลุ่ม สไลด์ประกอบเสียงชุดใดที่จัดทาอย่างดีก็จะให้คุณค่าต่อ กระบวนการเรียนรูอ้ ยา่ งมาก 7) กระเป๋าผนัง เป็นแผ่นไม้บาง ๆ ท่ีเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดเท่ากับแผ่นป้าย ผา้ สาลีใช้กระดาษแขง็ ทาเป็นร่องหรือกระเป๋าขนาดใหญ่พอท่จี ะเสียบบัตรคาได้ วธิ ใี ช้กระเป๋าผนงั ก็จะ ใช้คล้ายกบั แผ่นป้ายผนงั สาลี คอื ใช้กบั บตั รคา บตั รข้อความ บตั รภาพ 8) สถานการณ์จาลอง เปรียบเหมือนนามธรรมของชีวิตจริง หรือการทาให้ สภาพแวดล้อมหรือกระบวนการของชีวิตจริงให้ง่ายขึ้น โดยทั่วไปสถานการณ์จาลองจะเป็นการแสดง บทบาทที่เก่ยี วข้องกับบุคคลหรอื สง่ิ แวดล้อมที่สมมตุ ิข้นึ เช่น อาชีพต่าง ๆ ความเป็นอยู่ ฯลฯ 3. การอา่ น การอ่านเป็นทักษะทางภาษาท่ีสาคัญและจาเป็นมากในการดารงชีวิตของมนุษย์ใน ชวี ติ ประจาวนั ต้องอาศยั การอา่ นจึงจะสามารถเข้าใจและส่อื ความหมายได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 3.1 ความหมายของการอ่าน นิรันดร์ สุขปรีดี (2540 : 1) ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านคือ การเข้าใจ ความหมายของตัวละคร หรือสัญลักษณ์ ซ่ึงจะต้องอาศัยความสามารถในการแปลความ การตีความ การขยายความ การจับใจความสาคัญและการสรุปความ เรวดี อาษานาม (2537 : 77-78) ได้ให้ความหมายของการอ่าน ดังนี้ การอ่าน หมายถึง กระบวนการในการแบ่งความหมายของตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ ท่ีมีการจดบันทึกอย่างมีเหตุผลและเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน ตลอดจนการพิจารณาเลือก ความหมายท่ีดีท่ีสุดขึ้นไปใช้เป็นประโยชน์ด้วย จะเห็นได้ว่าการอ่านไม่ใช่การรับเอาความคิดจาก หนังสือท่ีอ่านเฉยๆ ผู้อ่านไม่ใช่ผู้รับแต่เป็นผู้กระทา สรุปได้ว่าเป็นผู้ใช้ความคิดไตร่ตรองเร่ืองราวที่ ตนเองอ่านเสียก่อน แล้วจึงรับเอาใจความของเร่ืองที่ตนอ่านไปเก็บไว้หรือนาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ต่อไป ดังนัน้ หัวใจของการอา่ นจึงอยู่ที่การเขา้ ใจความหมายของคา การอ่านในโรงเรียนประถมที่ปรากฏก็คือการท่ีครูให้นักเรียนคนหน่ึงอ่านประโยค หรือข้อความนาแล้วให้คนอื่น ๆ อ่านตาม ผู้อ่านนาต้ังใจอ่านให้เสียงดังได้ยินท่ัวท้ังชั้นเพ่ือเพื่อนจะ อ่านตามไดถ้ ูก ผอู้ า่ นตามมีหนา้ ทอี่ า่ นอย่างเดียว ตาอาจจะมองส่ิงต่าง รอบตวั หูฟังเพ่ือนคุย ฯลฯ อ่าน
13 แล้วจาไม่ได้และไม่รู้ความหมายของข้อความที่อ่าน ถ้าวิเคราะห์ตามความหมายข้างต้นแล้ว ลักษณะ แบบนยี้ ังไมเ่ รียกว่าอา่ นไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ การท่ีคนเราจะอ่านหนังสือได้เร็วหรือช้านนั้ องค์ประกอบอย่างหนึ่งของการอ่านคือ การเคลื่อนไหวสายตาในการอ่านและความเข้าใจความหมายอยา่ งถ่องแท้ ในการอ่านจะต้องมีการฝกึ อยู่เสมอและถูกต้องตามวิธีการด้วยความเข้าใจความหมายของการอ่านมีความหมายต่าง ๆ กัน เม่ือ เอ่ยถงึ การอา่ นต้องมคี วามเขา้ ใจมาเก่ยี วข้องคือ เข้าใจในถ้อยคาท่ีอ่าน เช่น ถา้ มีเด็กเหน็ คาว่า กา แลว้ เปล่งเสียงว่ากา ก็เข้าใจว่าเป็นการอ่าน เช่นน้ีเป็นการเข้าใจท่ีไม่ถูกต้อง เพราะเด็กอาจไม่เข้าใจ กา ที่ เปลง่ เสยี งออกมานั้น หมายถงึ นกชนิดหนง่ึ ทม่ี สี ดี า รอ้ ง กา กา กา หรอื อาจหมายถึง กาทใี่ ช้ในการต้ม น้า หรืออาจไม่เข้าใจท้ังสองความหมายก็ได้ เม่ือเป็นเช่นน้ี จึงยังไม่เรียกว่าการอ่าน แต่เป็นเพียงการ เปลง่ เสยี งเทา่ น้ัน ดงั นั้นสง่ิ ท่ีนักเรยี นควรเข้าใจกับความหมายของการอา่ น ถา้ เป็นการอา่ นท่ตี ้องเข้าใจ ความหมายของคา ซงึ่ จะทาให้นักเรียนสามารถอ่านเรอื่ งและสรปุ เรอ่ื งให้ถกู ต้อง ประทีป วาทกิ ทินกร (2542 : 2) ไดใ้ หค้ วามหมายของการอ่าน คอื การรบั รู้ขอ้ ความ ในข้อเขียนของตนเอง และของผอู้ ืน่ รวมทง้ั การรบั รเู้ ครือ่ งหมายส่อื สารตา่ ง ๆ เชน่ เคร่ืองหมายจราจร และเคร่อื งหมายทีแ่ สดงในแผนภมู ิต่าง ๆ สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2543 : 2) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็น ลาดับข้ันท่ีเก่ียวข้องกับการทาความเข้าใจความหมายของคา กลุ่มคา ประโยค ข้อความและเร่ืองราว ของสารทีผ่ ูอ้ ื่นสามารถบอกความหมายได้ วรรณี โสมประยูร (2544 : 121) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็น กระบวนการทางสมองท่ีใช้สายตาสัมผัสตวั อักษรหรือส่ิงพิมพ์อ่ืน ๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของคา หรือสัญลักษณ์โดยแปลออกเป็นความหมายที่ใช้สื่อความคิดและความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้ เข้าใจตรงกันและผู้อ่านสามารถนาความหมายนัน้ ๆ ไปใช้ประโยชน์ได้ ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2545 : 1) ได้ให้ความหมายของการอ่านคือความเข้าใจใน สัญลักษณ์ เครอื่ งหมาย รปู ภาพ ตัวอกั ษร คาและข้อความที่พมิ พห์ รอื เขยี นขึ้นมา ราชบณั ฑิตยสถาน (2546 : 1) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้วา่ หมายถงึ การอา่ น ตามตัวหนังสือ การออกเสียงตามตัวหนังสือ การดูหรือเข้าใจความจากหนังสือ สังเกตหรือพิจารณาดู เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจ การคดิ การนบั ฉวีลักษณ์ บุญกาญจน (2547 : 3) ได้ให้ความหมายของการอ่าน คือ การบริโภคคา ที่ถูกเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ โดยมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เร่ิมจาก “แสง”
14 ท่ีถูกสะท้อนมาจากตัวหนังสือ ผ่านเลนส์นัยน์ตาและประสาทตา เข้าสู่เซลล์สมองไปเป็นความคิด (Idea) ความรบั รู้ (Perception) และความจา ทง้ั ระยะส้ันและระยะยาว วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 95-96) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้หลายส่วน ดงั น้ี - ส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับลักษณะของกระบวนการ หมายถึง ลาดับขั้นท่ี เก่ียวข้องกับการทาความเข้าใจความหมายของคา กลุ่มคา ประโยค ข้อความและเรื่องราวข่าวสารที่ ผอู้ า่ นสามารถบอกความหมายได้ - ส่วนที่เก่ียวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ หมายถึง การสอนอ่านจะต้อง เข้าใจหลักจิตวิทยาพัฒนาการทางภาษาของเด็กแต่ละวัย จัดส่ือการสอนให้สอดคล้องกับความ ต้องการและความสนใจของเดก็ - ส่วนที่เก่ียวข้องกับภาษาศาสตร์ หมายถึง การสอนอ่านจะต้องเข้าใจเสียง ฐานที่เกิดเสียงของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เข้าใจหลักภาษาและการใช้ภาษา เพื่อนาหลักการ เหลา่ น้ันมาสอนอ่านและเขา้ ใจความหมายได้ถูกตอ้ ง - ส่วนท่ีเก่ียวข้องกับจิตวิทยาทางการศึกษา หมายถึง การนาหลักจิตวิทยา มาใช้ทางการศึกษา เช่น ความพร้อมของการอ่าน ความสนใจ แรงจูงใจ การเสริมแรง และทฤษฎีท่ี เกีย่ วข้อง เพอื่ ใช้เปน็ พืน้ ฐานในการพจิ ารณาการจัดกจิ กรรมการอ่าน - ส่วนท่ีเก่ียวข้องกับวิชาการศึกษา หมายถึง การรู้จักเลือกวิธีสอนอ่านท่ี เหมาะสมกับวัย และระดับความสามารถในการอ่านของนักเรียน ท้ังน้ีให้เป็นไปตามขั้นพัฒนาการ เพอ่ื ใหน้ กั เรียนประสบความสาเร็จในการอ่าน - ส่วนที่เก่ียวข้องกับจิตวิทยาด้านการจาและการลืม หมายถึง การที่ผู้อ่าน สามารถจาเรือ่ งและเก็บไว้ในสมอง ถ้ามโี อกาสเลา่ ใหผ้ ู้อ่ืนฟงั กส็ ามารถเล่าได้ถูกต้อง แต่การท่ผี ้อู ่านจะ จาข้อความที่อ่านได้ก็จะต้องเข้าใจความหมายของคา รู้หน้าท่ีของคา อีกท้ังสามารถแยกพยัญชนะ สระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์ ออกจากกันได้ อีกประการหน่ึงการที่ผู้อ่านจะจาเร่ืองได้มากหรือน้อย น้ันยังข้ึนอยกู่ ับความสนใจของผู้อา่ นทม่ี ตี ่อเร่ืองนัน้ อีกด้วย สรุปความหมายของการอ่าน หมายถึง การเข้าใจความหมายของคา ประโยค ขอ้ ความ และเรอ่ื งทอี่ ่าน และเรื่องท่อี ่านมคี วามสาคัญต่อประเทศชาติและพัฒนาตนเองให้กา้ วหน้า ผู้ ท่ีอ่านมากนอกจากได้รับความรู้อย่างกวางขว้างแล้ว ยงั ทาให้ผ่อนคลายความเครียด ซึง่ เป็นประโยชน์ ท่ีได้รับจากการอ่านนน่ั เอง
15 สรุปได้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการทางสมองท่ีต้องใช้สายตาสัมผัสตัวหนังสือหรือ สิ่งพิมพ์อ่ืน ๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของคา ท่ีใช้สื่อความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ระหว่างผู้เขียน กับผู้อ่าน ใหเ้ ข้าใจตรงกันและผอู้ ่านสามารถนาเอาความหมายน้ัน ๆ ไปใช้ประโยชนไ์ ด้ 3.2 ความสาคญั ของการอ่าน วรรณี โสมประยูร (2544 : 121-123) ได้อธิบายถึงความสาคัญของการอ่านหนังสือ มผี ลต่อผู้อ่าน 2 ประการ คือ ประการแรก อา่ นแล้วได้ “อรรถ” ประการทีส่ อง อ่านแล้วได้ “รส” ถ้า ผู้อ่านสานึกอยู่ตลอดเวลาถึงผลสาคัญของสองประการนี้ ย่อมจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มท่ีจาก หนังสือตรงตามเจตนารมณ์ของผู้เขียนเสมอ การอ่านมีความสาคัญต่อทุกคนทุกเพศทุกวัยและทุก สาขาอาชีพ ซึ่งพอสรุปไดด้ งั นี้ 3.2.1 การอ่านเป็นเครื่องมือที่สาคัญยิ่งในการศึกษาเล่าเรียนทุกระดับ ผู้เรียน จาเป็นต้องอาศัยทักษะการอ่านทาความเข้าใจเน้ือหาสาระของวิชาการต่าง ๆ เพ่ือให้ตนเองได้รับ ความรแู้ ละประสบการณ์ตามท่ีตอ้ งการ 3.2.2 ในชีวิตประจาวันโดยท่ัวไป คนเราต้องอาศัยการอ่านติดต่อสื่อสาร เพื่อทา ความเข้าใจกับบุคคลอื่นร่วมไปกับทักษะการฟัง การพูด การเขียน ทั้งในด้านภารกิจส่วนตัวและการ ประกอบอาชีพการงานตา่ ง ๆ ในสังคม 3.2.3 การอ่านสามารถช่วยให้บุคคลสามารถนาความรู้และประสบการณ์จากส่ิงท่ี อ่านไปปรับปรุง และพัฒนาอาชีพหรือธุรกิจการงานที่ตัวเองกระทาอยู่ให้เจริญก้าวหน้าและประสบ ความสาเรจ็ ได้ในที่สุด 3.2.4 การอ่านสามารถสนองความต้องการพ้ืนฐานของบุคคลในด้านต่าง ๆ ได้เป็น อย่างดี เช่น ช่วยให้ความม่ันคงปลอดภัย ช่วยให้ได้รับประสบการณ์ใหม่ ช่วยให้เป็นท่ียอมรับของ สงั คม ชว่ ยให้มีเกยี รตยิ ศและชอ่ื เสยี ง ฯลฯ 3.2.5 การอา่ นทง้ั หลายจะส่งเสริมให้บุคคลได้ขยายความรู้และประสบการณเ์ พ่ิมข้ึน อย่างลึกซ้ึงและกว้างขวาง ทาให้เป็นผู้รอบรู้ เกิดความม่ันใจในการพูดปราศรัย การบรรยายหรือ อภิปรายปัญหาต่าง ๆ นับว่าเปน็ การเพิ่มบุคลกิ ภาพและความนา่ เชอื่ ถือให้แกต่ ัวเอง 3.2.6 การอ่านหนังสือหรือสิ่งพิมพ์หลายชนิดนับว่าเป็นกิจกรรมนันทนาการที่ น่าสนใจมาก เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร นวนิยาย การ์ตูน ฯลฯ เป็นการช่วยให้บุคคล รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และเกิดความเพลดิ เพลนิ สนกุ สนานได้เป็นอยา่ งดี
16 3.2.7 การอ่านเร่ืองราวต่าง ๆ ในอดีต เช่น อ่านศิลาจารึก ประวัติศาสตร์เอกสาร สาคัญ วรรณคดี ฯลฯ จะช่วยให้อนุชนรุ่นหลังรู้จักอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยเอาไว้และ สามารถพัฒนาใหเ้ จริญร่งุ เรืองตอ่ ไปได้ สรุปความสาคัญของการอ่านว่าเป็นเครื่องมือท่ีสาคัญย่ิงในการแสวงหาความรู้ การ เรยี นรู้ และพัฒนาสตปิ ัญญาของคนในสงั คม พฒั นาไปสสู่ ่งิ ที่ดีทสี่ ุดในชวี ติ องค์ประกอบในการอา่ น อาจจะสรปุ ได้ดงั น้ี 1) องค์ประกอบทางดา้ นรา่ งกาย 1.1) สายตา 1.2) ปาก 1.3) หู 2) องค์ประกอบทางด้านจติ ใจ 2.1) ความต้องการ 2.2) ความสนใจ 2.3) ความศรทั ธา 3) องค์ประกอบทางด้านสตปิ ญั ญา 3.1) ความสามารถในการรบั รู้ 3.2) ความสามารถในการนาประสบการณ์เดมิ ไปใช้ 3.3) ความสามารถในการใช้ภาษาใหถ้ กู ตอ้ ง 3.4) ความสามารถในการเรียน 4) องค์ประกอบทางประสบการณ์พ้ืนฐาน 5) องค์ประกอบทางวุฒิภาวะ อารมณ์ แรงจงู ใจและบคุ ลิกภาพ 6) องค์ประกอบทางส่งิ แวดล้อม
17 มผี ใู้ หค้ วามสาคญั ของการอ่านไวห้ ลายทา่ น ดงั น้ี สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2543 : 2) ได้อธิบายความสาคัญของการอ่านว่าการอ่าน เปน็ เครอื่ งมือสาคญั ในการแสวงหาความรู้ การรูแ้ ละใช้วธิ ีอ่านที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับผู้อ่าน ทุกคน การรู้จักฝึกฝนอ่านอย่างสม่าเสมอ จะช่วยให้ผู้อ่านมีพื้นฐานในการอ่านที่ดี ท้ังจะช่วยให้เกิด ความชานาญและความรู้กว้างขวางด้วย ดังน้ันการท่ีนักเรียนจะเป็นผู้อ่านที่ดีจึงข้ึนอยู่กับ สภาพแวดล้อมท่ีครูเป็นผู้จัดเตรียมให้ อีกท้ังยังต้องผสมผสานกับความสนใจของผู้อ่าน เพ่ือเป็น แรงจงู ใจที่ช่วยให้นกั เรยี นไดอ้ ่านอย่างสม่าเสมอ ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2545 : 2) ได้อธิบายความสาคัญของการอ่านว่า การอ่านมี ความสาคัญต่อชีวิตมนุษย์ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและช่วยสนองความอยากรู้อยากเห็นอัน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ได้ทุกเร่ือง ซึ่งมีอยู่ในทรัพยากรสารนิเทศทุกประการโดยเฉพาะความอยากรู้ ขอ้ มลู ข่าวสารต่าง ๆ 3.3 การอ่านแจกลูกสะกดคา วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 97-99) ได้อธิบายความหมายของการแจกลูกมี ความหมาย 2 นัย คอื นัยแรก หมายถึง การแจกลูกในมาตราตัวสะกดแม่ ก กา กง กน กม เกย เกอว กก กด และกบ การแจกลกู จะเรมิ่ ต้นการสอนใหจ้ า และออกเสียงพยัญชนะและสระให้ได้ก่อน จากนน้ั จะ เริ่มแจกลูกในมาตราแม่ ก กา จะใช้การสะกดคาไปทีละคาไล่ไปตามลาดับของสระ แล้วจึงอ่านโดยไม่ สะกดคา จงึ เรยี กว่าแจกลูกสะกดคา แลว้ อ่านคาในมาตราตวั สะกดทกุ มาตราจนคล่อง จากน้ันจะอ่าน เปน็ เรอ่ื งเพอื่ ประยุกต์หลกั การอา่ นนาไปสูก่ ารอ่านคาที่เป็นเรือ่ งอย่างหลากหลาย นัยสอง หมายถึง การเทียบเสียง เป็นการแจกลูกวิธีหน่ึง เมื่อนักเรียนอ่านคาได้แล้ว ให้นารูปคามาแจกลูกโดยการเปลี่ยนพยัญชนะต้นหรือพยัญชนะท้าย เช่น บ้าน สูตรของคา คือ ให้ เปลีย่ นพยัญชนะตน้ เชน่ กา้ น ปา้ น รา้ น ล้าน คา้ น เปน็ ตน้ หลักการเทยี บเสยี ง มีดังน้ี 1. อ่านสระเสยี งยาวกอ่ นสระเสยี งส้ัน 2. นาคาทมี่ ีความหมายมาสอนกอ่ น 3. เปลี่ยนพยญั ชนะทีเ่ ปน็ พยัญชนะตน้ และพยญั ชนะเสียงทา้ ย 4. นาคาท่อี ่านมาจดั ทาแผนภูมิการอา่ น เช่น
18 กา มา พา ลา ยา ค้า มา้ ช้า ลา้ น้า บ้าน กา้ น ป้าน ร้าน ค้าน วิธอี า่ นจะไมส่ ะกดคาให้อ่านเป็นคาตามสูตรของคา เชน่ อ่าน กา สตู รของคา คือ -า นาพยัญชนะมาเตมิ และอา่ นเปน็ คา เช่น ยา ทา หา นา ตา อา การสอนแบบการแจกลูกสาหรับนักเรียนแรกอ่าน (ชั้น ป.1 และ ป. 2) มีหลักการ สอนดังนี้ 1. เรม่ิ จากสระทงี่ า่ ยทส่ี ุดคอื สระ -า 2. ใชแ้ ผนผงั ความคิดแจกลูก โดยเลือกคาท่ีมคี วามหมายก่อน 3. ผเู้ รยี นอ่านออกเสยี งคาและทาความเข้าใจความหมาย 4. นาคาจากแผนผังความคดิ มาแตง่ ประโยค 5. อ่านประโยคท่ีแต่ง 6. เขียนประโยคทีแ่ ต่ง สรุป การแจกลกู ในรูปแบบเชน่ นี้ สามารถที่จะแจกตอ่ ไปได้อีก เช่น แจกสระ เ- แ- โ- ไ- ใ- เ-า ฯลฯ และนามาแต่งประโยคโดยการบูรณาการกับคาที่ประสมกับสระอื่น ซ่ึงจะช่วยให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และสามารถนาไปแต่งประโยคที่ยากและซับซ้อนขึ้นได้ เพราะเป็นการเรียน จากเรือ่ งทงี่ า่ ยไปสู่เร่อื งทีย่ าก และยงั ได้ให้ความหมายของการสะกดคา ดงั น้ี การสะกดคา หมายถึง การอา่ นโดย นาเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดมาประสมเป็นคาอ่าน การอ่านสะกดมาประสม เป็นคาอ่าน การอ่านสะกดคาจะต้องให้นักเรียนสังเกตรูปคาพร้อมกับการอ่าน การสอนอ่านสะกดคา พรอ้ มกบั การเขยี น ครูต้องให้อา่ นสะกดคาแล้วเขียนคาไปพรอ้ มกัน การสอนสะกดคาโดยการนาคาท่ีมี ความหมายมาสอนก่อน เมื่อสะกดคาจนจาได้แล้วจึงแจกคา เพราะการสะกดคาจะเป็นเคร่ืองมือการ อา่ นคาใหม่โดยเร่มิ จากคาง่ายๆ แล้วบอกทิศทางการออกเสียงแลว้ แจกคาโดยเปลีย่ นพยัญชนะตน้ เรวดี อาษานาม (2537 : 83 - 84 ) ได้อธิบายถึงการอ่านสาหรับเด็กที่ยังไม่เรียน หนังสือ ให้สามารถอ่านและถ่ายทอดความรสู้ ึกนึกคิดหรอื คาพูดออกมาเป็นตัวหนังสือ นับต้ังแต่เร่ิมมี การสอนหนังสอื ไทยจนถึงปัจจุบัน ได้กล่าวถึง การอ่านแบบแจกลูกสะกดคา ดังนี้ คือการสอนที่ถือว่า คาประกอบด้วยรูปและเสียงของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ฯลฯ เวลาสอนอ่านแทนที่จะ
19 อ่านเป็นคา ๆ มีความหมายเลยท่ีเดียว ก็ต้องไล่พยัญชนะสระ ฯลฯ ให้ออกเสียงได้ถูกต้องเป็นคา ๆ อีกทหี นึง่ เปน็ การชว่ ยใหอ้ ่านคาได้ เพราะผู้อา่ นรจู้ ัก พยัญชนะ สระ ตัวสะกด แล้วช่วยพาไป เช่น บา้ น นกั เรยี นสะกดคาว่า บ -า - บา บา - น - บาน หรอื บาน - ้ - บ้าน วิธีนีช้ ว่ ยใหเ้ ด็กรจู้ ักหลกั เกณฑข์ องการเรยี งลาดับตวั อกั ษรภายในคาหนึง่ ๆ เพ่อื จะได้ ออกเสียงไดช้ ัดเจน และเขียนคานัน้ ได้ถูกตอ้ ง กรมวิชาการ (2546 : 133 - 134) ได้อธิบายการอ่านแจกลูกและการสะกดคาเป็น กระบวนการข้นั พ้ืนฐานของการนาเสียงพยญั ชนะต้น สระ วรรณยุกตแ์ ละตัวสะกด มาประสมเสียงกัน ทาใหอ้ อกเสียงคาต่าง ๆ ท่ีมคี วามหมายในภาษาไทย การแจกลกู และสะกดคาบางครัง้ รวมเรยี กว่าการ แจกลูกสะกดคาจะดาเนินไปด้วยกันอย่างประสมกลมกลืน เพ่ือให้นักเรียนได้หลักเกณฑ์ทางภาษาทั้ง การอ่านและการเขียนไปพร้อมกัน และยังได้กล่าวถึงความสาคัญของการแจกลูกสะกดคา เป็นเรื่องที่ จาเป็นมากสาหรับผู้เริ่มเรียน หากครูไม่ได้สอนการแจกลูกสะกดคาแก่นักเรียนในระยะเร่ิมเรียนการ อ่าน นักเรียนจะขาดหลักเกณฑ์การประสมคา ทาให้เม่ืออ่านหนังสือมากขึ้นจะสับสน อ่านหนังสือไม่ ออก เขียนหนังสือผิดซ่ึงเป็นปัญหามากของเด็กนักเรียนไทยในปัจจุบัน ผลจากการอ่านไม่ออกเขียน ไม่ได้ ยอ่ มสง่ ผลกระทบตอ่ การเรยี นวชิ าอ่ืน ๆ ดว้ ย การอ่านเป็นส่ิงท่ีมีความสาคัญต่อทุกคนท่ีจาเป็นอย่างยิ่งท่ีต้ องนาไปใช้ใน ชีวติ ประจาวัน สมควร นอ้ ยเสนา (2549 : 21 - 22) ได้สรุปความสาคญั ของการอา่ น ดงั น้ี ความสาคญั ของการอ่านจะเป็นสงิ่ ท่ีชว่ ยมนุษยด์ ารงชีวติ อยใู่ นสงั คมได้อยา่ งมีความสุขน้ัน มี 4 ประการ คอื 1) ช่วยในการเรยี นรู้ 2) เสริมสรา้ งประสบการณ์ใหมๆ่ 3) ช่วยให้เกดิ ความเพลิดเพลิน 4) องคป์ ระกอบพน้ื ฐาน ผู้อ่านจะประสบความสาเร็จทางการอ่านมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับส่ิงต่อไปน้ี วุฒิภาวะ อายุ เพศ ประสบการณ์ สมรรถวสิ ยั ความบกพรอ่ งทางร่างกาย และการจงู ใจ
20 บทท่ี 3 วิธดี าเนนิ การวิจยั 3.1 ระยะเวลา วนั ที่ 15 เดอื น กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 ถึงวนั ท่ี 4 เดอื น มีนาคม พ.ศ. 2564 ( 7 ชั่วโมง / สัปดาห)์ 3.2 กจิ กรรม สัปดาห์ที่ กิจกรรม วัน เดอื น ปี 1 วเิ คราะหผ์ เู้ รยี น/เนือ้ หา 1 ศึกษาเอกสาร/ทฤษฏีทีเ่ กี่ยวข้อง 15 กมุ ภาพันธ์ 2564 1 ออกแบบสร้างเครอ่ื งมือวจิ ยั 16 กุมภาพันธ์ 2564 1 ชดุ ฝกึ 17 กมุ ภาพันธ์ 2564 2 แบบทดสอบกอ่ นและหลงั การวิจยั 18-19 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 2 ทดสอบก่อนเรยี น 21 กมุ ภาพันธ์ 2564 2 จดั การเรยี นการสอน 22 กมุ ภาพันธ์ 2564 2 - ชดุ ท่ี 1 คาวา่ นกขุนทอง 22 กุมภาพันธ์ 2564 2 - ชุดท่ี 2 คาวา่ อ้งุ มือ 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 2 - ชดุ ท่ี 3 คาวา่ นิ้วนาง 22 กมุ ภาพันธ์ 2564 2 - ชดุ ที่ 4 คาว่า มะเขอื เปราะ 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 2 - ชดุ ท่ี 5 คาวา่ สตรี 23 กมุ ภาพันธ์ 2564 2 - ชุดท่ี 6 คาว่า อาทติ ย์ 23 กมุ ภาพันธ์ 2564 2 - ชุดท่ี 7 คาวา่ ศีรษะ 23 กุมภาพนั ธ์ 2564 2 - ชดุ ที่ 8 คาวา่ สขุ 24 กุมภาพันธ์ 2564 2 - ชดุ ที่ 9 คาว่า เศร้า 24 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 2 - ชุดที่ 10 คาวา่ ปล่อย 24 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 2 - ชุดท่ี 11 คาวา่ จม 25 กุมภาพนั ธ์ 2564 2 - ชุดที่ 12 คาว่า ข้าวสาร 25 กุมภาพนั ธ์ 2564 2 - ชดุ ท่ี 13 คาวา่ ข้าวเปลือก 25 กมุ ภาพันธ์ 2564 2 - ชุดท่ี 14 คาว่า ตุก๊ ตา 26 กมุ ภาพันธ์ 2564 2 - ชุดท่ี 15 คาว่า เบ้ีย 26 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 3 - ชดุ ท่ี 16 คาวา่ เหย่ี ว 26 กุมภาพันธ์ 2564 3 - ชุดที่ 17 คาวา่ ดึง 1 มนี าคม 2564 3 - ชดุ ท่ี 18 คาว่า ละเอยี ด 1 มนี าคม 2564 3 - ชุดท่ี 19 คาวา่ รอ้ น 1 มีนาคม 2564 2 มนี าคม 2564
21 วนั เดอื น ปี สปั ดาหท์ ี่ กิจกรรม 2 มีนาคม 2564 3 - ชดุ ที่ 20 คาวา่ รับประทาน 2 มนี าคม 2564 3 ทดสอบหลงั เรียน 3 มนี าคม 2564 3 วเิ คราะห์ข้อมลู 4 มนี าคม 2564 3 สรุปรายงาน ตารางที่ 1 แสดงระยะเวลาในการดาเนินการวจิ ยั 3.2 เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั 3.3.1 แบบทดสอบวัดความร้กู ่อนเรียน 3.3.2 ชุดฝึกการอ่านและเขยี นคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 3.3.3 แบบทดสอบวัดความรหู้ ลังเรยี น 3.3.4 หลักการ,แนวคิด ดงั น้ี ฝึกการอ่านและเขยี นคาตามรูปแบบการสอนจากภาพ และฝึกแตง่ ประโยคจาก คาศัพท์ 3.3 ผ้เู ชยี่ วชาญตรวจเคร่อื งมอื 3.4.1 นายวิเศษ ฟองตา ตาแหนง่ 3.4.2 นางสาววรรณภรณ์ ทพิ ยส์ อน 3.4.3 นางอมลสริ ิ คาฟู ตาแหนง่ 3.4 ขน้ั ตอนการดาเนนิ งานดังน้ี การดาเนนิ การศกึ ษาวจิ ัยครั้งนม้ี วี ัตถปุ ระสงค์เพอื่ พฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขยี น คาศัพท์หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความหมายของคาจดจาไว้ วิชาภาษาไทยพื้นฐาน กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 และศึกษาผลการใช้ชุดฝึกการอ่านและเขียนคา ตามรูปแบบการสอน RPK 31 โดยที่ผู้วิจัยได้วางแผนการดาเนินงาน และจัดเตรียมเคร่ืองมือที่ใช้ใน การศึกษาทดลองครั้งนี้ โดยมีลาดบั ข้ันตอนดังนี้ 3.4.1 ขนั้ วเิ คราะห์ 1) วเิ คราะหผ์ ู้เรียน คือ นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 จานวน 15 คน 2) วเิ คราะห์เน้ือหา ขั้นตอนดาเนนิ การ มีดังน้ี
22 - เน้ือหา คาศัพท์ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความหมายของคาจดจาไว้ วิชาภาษาไทย พ้ืนฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตรสถานศึกษา ข้ันพ้ืนฐานสถานศึกษา โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงใหม่ คือ นกขุนทอง อุ้งมือ น้ิวนาง มะเขือเปราะ สตรี อาทิตย์ ศีรษะ สุข เศร้า ปล่อย จม ข้าวสาร ข้าวเปลือก ตุ๊กตา เบี้ย เห่ียว ดึง ละเอยี ด รอ้ น รับประทาน 3.4.2 ข้นั ออกแบบ - แบบทดสอบการอา่ นและเขยี นคาก่อนเรยี น - ชุดฝึกการอ่านและเขยี นคา - แบบทดสอบการอ่านและเขยี นคาหลงั เรียน 3.4.3 ข้ันดาเนนิ การ มดี งั น้ี 1) ทดสอบกอ่ นเรียนกับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 จานวน 3 คน เกย่ี วกับ ความสามารถในการอ่านและเขียนคาคาศัพทใ์ นหนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 7 เรอื่ ง ความหมายของคาจดจาไว้ วิชาภาษาไทยพ้ืนฐาน กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสตู รสถานศกึ ษาขนั้ พื้นฐานสถานศึกษา โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวัดเชียงใหม่ จานวน 20 คา คือ นกขุนทอง อุ้งมือ น้ิวนาง มะเขือเปราะ สตรี อาทิตย์ ศีรษะ สุข เศร้า ปล่อย จม ข้าวสาร ข้าวเปลือก ตุ๊กตา เบี้ย เหี่ยว ดึง ละเอยี ด ร้อน รบั ประทาน 2) ทาการสอน อ่านและเขยี นคา 20 คา โดยใชช้ ดุ ฝกึ การอ่านและเขยี นคาตาม รปู แบบการสอน RPK 31 3) ทดสอบหลังเรยี นกบั นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 2 จานวน 3 คนเก่ยี วกบั ความ สามารถในการอ่านและเขียนคาคาศัพท์ในหนว่ ยการเรียนรู้ที่ 7 เร่ือง ความหมายของคาจดจาไว้ วิชา ภาษาไทยพ้ืนฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรสถานศึกษาข้ันพื้นฐานสถานศึกษา โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 จังหวดั เชยี งใหม่ จานวน 20 คา 3.4.4 ขน้ั วเิ คราะหข์ ้อมูล - วิเคราะหผ์ ลจากคะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรยี น - วิเคราะห์ผลจากคะแนนท่ีได้จากแบบทดสอบหลังเรียน - นาคะแนนทั้งหมด มาเปรียบเทยี บการพัฒนาการหาคา่ ร้อยละ
บทท่ี 4 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การวจิ ัยในคร้งั น้ีมวี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อใหน้ ักเรียนสามารถอ่านและเขียนคาศัพท์หนว่ ยการเรียนรู้ ท่ี 7 เรอ่ื ง ความหมายของคาจดจาไว้ วิชาภาษาไทยพนื้ ฐาน กล่มุ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย และศึกษา ผลการใช้ชุดฝึกการอ่านและเขียนคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 กลุ่มเป้าหมาย คือนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ จานวน 3 คน ใช้แผนการจดั การเรยี นรู้หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 7 เร่ือง ความหมายของคาจดจาไว้จานวน 4.1 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลเกยี่ วกบั การการอา่ นและเขยี นคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 4.1 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล จากการทาการวิจัยในคร้งั นี้ มวี ัตถุประสงค์เพ่ือใหน้ ักเรียนสามารถอา่ นและเขียนคาศัพท์ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 7 เรือ่ ง ความหมายของคาจดจาไว้ วชิ าภาษาไทยพ้นื ฐาน กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทยได้ โดยใช้ชุดฝึกการอ่านและเขยี นคาตามรปู แบบการสอน RPK 31 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 7 เร่ือง ความหมายของคาจดจาไว้ วิชาภาษาไทยพนื้ ฐาน กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 2 เพ่ือชว่ ยให้นักเรียนมคี วามสามารถในการอ่านและเขียนคาภาษาไทยดขี นึ้ โดย ได้มีการทดสอบก่อนเรียน และทดสอบหลงั เรียน มีผลการวเิ คราะห์ข้อมูลดังนี้ ตารางที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบพฒั นาการของนกั เรยี นเม่ือทาแบบทดสอบก่อนและหลังเรยี น ชอื่ - นามสกลุ Pre-test ( % ) Post - test ( % ) 1. เด็กชายวรวิช เรืองกิจหลา้ 41.67 96.67 2. เดก็ ชายจิรพฒั น์ พงษ์บรสิ ทุ ธ์ิ 38.33 96.67 3. เดก็ ชายจริ เมธ ชุตกิ รรงั สี 33.33 98.33 จากตารางท่ี 2 พบวา่ คะแนนความสามารถในการอา่ นและเขยี นคาพ้นื ฐานภาษาไทยของ เด็กชายวรวิช เรืองกจิ หลา้ มีผลการทดสอบกอ่ นเรยี น คิดเป็นร้อยละ 41.67 ทดสอบหลังเรยี น คดิ เป็นรอ้ ยละ 96.67 เดก็ ชายจริ พฒั น์ พงษ์บริสุทธ์ิ มีผลการทดสอบก่อนเรยี น คดิ เป็นร้อยละ 38.33 ทดสอบหลังเรยี น คิดเปน็ ร้อยละ 96.67 และเดก็ ชายจิรเมธ ชตุ ิกรรังสี มผี ลการทดสอบก่อนเรียน คดิ เปน็ ร้อยละ 33.33 ทดสอบหลงั เรียน คิดเปน็ ร้อยละ 98.33 แสดงใหเ้ ห็นว่านักเรียนมีความก้าวหน้าใน การอ่านการเขยี นคาในภาษาไทยสูงข้ึน
บทท่ี 5 สรปุ ผลการวจิ ยั และข้อเสนอแนะ 5.1 สรปุ ผลการวจิ ัย จากผลการวิจัย นักเรียนท่ีมีปัญหาดา้ นการอ่านและเขยี นคาศัพทข์ องหน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรือ่ ง ความหมายของคาจดจาไว้ ไมไ่ ด้จานวน 3 คน เม่ือได้ทาจดั การเรียนการสอนโดยใชช้ ดุ ฝึกการ อ่านและเขยี นคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 7 เร่อื ง ความหมายของคาจดจาไว้ วชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน ระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปที่ 2 ระยะเวลาเวลา 3 สปั ดาห์ ปรากฏว่า นักเรยี น 3 คน มีพฒั นาการทกั ษะดา้ นการอ่านและเขยี นคาศัพท์ดีขึน้ กวา่ เดมิ จากผลการวิจยั ในครัง้ นี้ แสดงให้ เหน็ ว่าโดยภาพรวมนกั เรยี นมีคะแนนเฉลย่ี รอ้ ยละของผลพัฒนาการเรยี นรทู้ กั ษะด้านการอา่ นและ เขียนคาศัพท์ ร้อยละ 97.22 สูงกวา่ ก่อนการใชช้ ดุ ฝกึ การอ่านและเขยี นคาตามรูปแบบการสอน RPK 31 ร้อยละ 59.44 5.2 ข้อเสนอแนะเกย่ี วกับงานวิจยั 5.2.1 การปฏบิ ตั ิการวจิ ยั ครั้งตอ่ ไปควรพัฒนารูปแบบการสอนเชงิ ปฏบิ ัติ 5.2.2 การดาเนนิ การจดั กจิ กรรม ครคู วรสังเกตพฤติกรรมนักเรียนที่มีความสามารถในการ เรียนต่า อาจจะไมเ่ ขา้ ใจหรือเกดิ การเรียนรู้ช้า หรอื ต้องการความช่วยเหลอื ครคู วรใชเ้ ทคนิคเสรมิ แรง กระตนุ้ ให้นักเรียนสนใจ หรืออธิบายให้เข้าใจชดั เจนอกี คร้ัง
บรรณานกุ รม กรมวิชาการ. ค่มู ือการจดั การเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย. กรงุ เทพฯ : องค์การรบั สง่ สินคา้ และพัสดุภณั ฑ์. 2544. ----------. คู่มือแนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตร การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2544. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพค์ ุรุสภาลาดพรา้ ว, 2546. กรรณิการ์ พวงเกษม. ปัญหาและกลวิธีการสอนภาษาไทยในโรงเรียนประถม. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, 2533. กระทรวงศึกษาธิการ. กรมวิชาการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 2551. คมขา แสนกล้า. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียน คาควบ กล้า วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2547. ฉวลี กั ษณ์ บุญกาญจน. จิตวิทยาการอา่ น. กรุงเทพฯ : บรษิ ัท 21 เซ็นจูรจี่ ากัด, 2547. ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ : โสภณการพิมพ์, 2545. ฐานิยา อมรพลัง. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้หลักภาษาไทย เร่ือง ไตรยางศ์ ด้วยแบบฝึกเกม และเพลงสาหรบั นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4. การศกึ ษาค้นควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2548. ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ. แบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ผู้เรียนและการจัดทา ผลงานวิชาการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ธารอกั ษร, 2550. ทองคูณ หนองพร้าว. การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และบทเรียนสาเร็จรูป เร่ือง จังหวัด ของเรา (บุรีรมั ย)์ กลุ่มสาระการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษาศาสนาและวฒั นธรรม ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4. การศกึ ษาคน้ ควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2547.
นงเยาว์ เลี่ยมขุนทด. การพัฒนาแผนการเรียนรภู้ าษาไทย เร่ืองการอ่านและการเขียนสะกดคาโดยใช้ แผนผังความคิด ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2547. นิรันดร์ สุขปรีดี. การศึกษาอัตราความเร็วและความเข้าใจในการอ่านของนักเรยี น ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 4 ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย มหาสารคาม, 2540. นิลวรรณ อัคติ. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การผัน วรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2548. บรรจง จันทรพ์ นั ธ.์ การพฒั นาแผนการเรยี นรู้และแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรือ่ ง การเขียนสะกดคาไม่ ตรงตามมาตราตัวสะกด ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2548. บุญชม ศรีสะอาด. การวจิ ยั เบื้องต้น. พิมพค์ รงั้ ที่ 7. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสน์ , 2545. ประทีป วาทกิ ทนิ กร. ร้อยกรอง. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, 2542. ประวีณา เอ็นดู. การพัฒนาแผนการจดั การเรียนรู้ภาษาไทย เรอ่ื ง การอา่ นและการเขยี นสะกดคา โดย ใช้แบบฝึกทักษะ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2547. เผชิญ กิจระการ และ สมนึก ภัทยธนี. “ดัชนีประสิทธิผล” วารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. 12 (8) : 30-36 กรกฎาคม, 2545. พนมวัน วรดลย์. การสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. สงขลา : มหาวิทยาลยั ทักษิณ, 2542. พนิ จิ จนั ทร์ซ้าย. การสร้างหนงั สือและแบบฝึกทักษะประกอบการเรยี นกลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย แบบมุ่งประสบการณ์ภาษา ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 เร่ือง บุญผะเหวดร้อยเอ็ด. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2546. พวงผกา โสคาแก้ว. การสอนซ่อมเสริมความเข้าใจการอ่านกลุ่มทักษะภาษาไทยด้วยหนังสือส่งเสริม การอา่ น ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4. ขอนแกน่ , 2540.
พวงรตั น์ ทวรี ัตน.์ วธิ ีการวิจัยทางพฤตกิ รรมศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 7 ฉบับปรับปรุงใหม่. กรงุ เทพฯ : สานกั ทดสอบทางการศกึ ษาและจติ วทิ ยา มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒประสาน มิตร, 2540. ไพทูลย์ มูลดี. การพัฒนาแผนและแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2546. มนทิรา ภักดีณรงค์. การศึกษาแบบฝึกเสริมทักษะกิจกรรมขั้นตอนที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพและความ คงทนในการเรยี นรู้ เรื่อง ยังไม่สายเกินไปวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการสอน แบบมุ่งประสบการณ์ภาษา. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2540. มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. ประมวลสาระชุดวิชาทฤษฏีและแนวปฏบิ ัติในการบริหารการศึกษา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, 2540. มะลิ อาจวิชัย. การพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง การพัฒนาสะกดคาที่ไม่ตรงตามมาตรา ตวั สะกดแมก่ น แม่กด และแมก่ บ สาหรับนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2540. ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2531. พมิ พค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : อกั ษร เจริญทัศน,์ 2546. เรวดี อาษานาม. พฤติกรรมการสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. ภาควิชาหลักสูตรและการสอน. มหาสารคาม : สถาบันราชภัฏมหาสารคาม, 2537. วงเดือน มีทรัพย์. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรูแ้ ละแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ครั้งหน่ึงยังจาได้. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2547. วรรณภา ไชยวรรณ. การพัฒนาแผนการอ่านภาษาไทย เรื่อง อักษรควบและอักษรนา ช้ั น ประถมศกึ ษาปที ่ี 3. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2549. วรรณี โสมประยูร. การสอนภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา. พิมพ์ครั้งที่ 4 กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, 2544.
วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน.์ นวตั กรรมตามแนวคดิ Backward Design. ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2549. วิเศษ แปวไธสง. การพัฒนาแผนการจดั การเรียนรู้และแบบฝึกทักษะประกอบการเรยี น กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา เรื่อง ลูกอ๊อดหาแม่ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2. การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2547. สมควร น้อยเสนา. การพัฒนาการอ่านและการเขียนภาษาไทยสาหรับนักเรียนที่มีปัญหาการเรียนรู้ โดยใช้แผนผังความคิดและแบบฝึกทักษะ. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2549. สมใจ นาคศรีสังข์. การสร้างแบบฝึกการอ่านและเขียนสะกดคาจากแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ช้ัน ประถมศกึ ษาปีที่ 4. การศกึ ษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2549. สมนึก ภัททิยธนี. การวัดผลการศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549. สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. สรุปผลการประชุมสัมมนาประสานแผนและแลกเปลี่ยนองค์ ความรู้การดาเนินงานพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา. กรุงเทพฯ : สานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน, 2550. สนุ นั ทา ม่นั เศรษฐวิทย์. หลกั และวิธีสอนอ่านภาษาไทย. พิมพ์ครงั้ ท่ี 5. กรุงเทพฯ : บริษัทโรงพิมพ์ไทย วฒั นาพานชิ จากัด, 2543.
ภาคผนวก ก - แผนการจัดการเรียนรู้
แผนการจัดการ ช่อื หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 เรือ่ ง คว แผนการสอนท่ี 1 เรอ่ื ง ก รายวิชาภาษาไทย ชัน้ ประถมศึกษา ครผู ูส้ อน นางสาวฐติ ริ ตั น์ โป่อินทนะ ตาแหนง่ ตวั ชี้วัดผลการเรียนรู้ เน้อื หาสาระ ภาระงาน / กา ชิน้ งาน ปร ท 1.1 ป 2/1 อา่ นออกเสียง - การอา่ นออกเสยี ง คา คาคล้องจอง ข้อความ วรรณกรรมเรื่อง เลน่ กับ - แบบฝึกหัด - บนั ทกึ และบทร้อยกรองง่ายๆ ได้ เพ่อื น จะตอ้ งอ่านออก - แบบประเมิน - ตรวจแ ถกู ต้อง เสยี งใหถ้ กู ต้อง และ การอ่านออกเสียง ท 4.1 ป.2/2 เขยี นสะกดคา ชดั เจน และบอกความหมายของคา อา่ นออกเสยี งคา คาคล้องจอง ข้อความ และบทร้อยกรอง ง่ายๆ ไดถ้ ูกต้อง
รเรยี นรู้ วามหมายของคาจดจาไว้ การอา่ นออกเสียง าปีท่ี 2 รหสั วิชา ท 12101 ง พนักงานราชการ เวลาทีใ่ ช้ 2 ชั่วโมง ารวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือแหลง่ เรยี นรู้ ระเมินผล กแบบประเมิน - ขนั้ นาเขา้ สู่บทเรยี น 1. หนังสือเรยี น แบบฝกึ หดั 1. ครูสนทนากบั นกั เรียนเร่ือง การละเล่นแบบไทย 2. แบบฝกึ หัด ว่านกั เรียนเคยเลน่ การละเลน่ ใดบ้าง 3. แบบประเมิน 2. นักเรยี นที่เคยเลน่ การละเล่นแบบเดียวกันรวมกล่มุ กนั แลว้ สง่ ตวั แทนออกมาสาธิตการละเลน่ ถ้าเปน็ การละเล่นทมี่ ีบทเพลงประกอบก็ใหร้ อ้ งเพลง ประกอบดว้ ย - ขั้นตัง้ คาถาม 3. ครแู บง่ นักเรียนเปน็ กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน คละกนั ตามความ สามารถ คือ เกง่ ปานกลางค่อนข้างเกง่ ปานกลางค่อนขา้ งอ่อน และอ่อน แลว้ ให้แตล่ ะกลุ่ม ฝกึ อ่านออกเสยี งคาและข้อความจากวรรณกรรมเรอื่ ง เล่นกบั เพ่ือน
ตวั ชี้วดั ผลการเรยี นรู้ เนื้อหาสาระ ภาระงาน / กา ช้นิ งาน ปร
ารวดั และ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื แหล่งเรียนรู้ ระเมินผล - ขนั้ เตรียมการคน้ หาคาตอบ 4. ครสู มุ่ นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ อ่านออกเสียง วรรณกรรมเรอ่ื ง เลน่ กับเพื่อน ในวรรคตอนทคี่ รู กาหนดพร้อมกนั หนา้ ชัน้ เรียน 5. ครูและเพ่ือนกลุ่มอืน่ ร่วมกันตรวจสอบความ ถกู ต้องของการอ่านออกเสยี งและแสดงความคิดเหน็ 6. ครูให้นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ จับค่กู บั เพ่อื นผลดั กนั อ่าน ออกเสียงวรรณกรรมเร่ือง เล่นกับเพ่ือน ให้คู่ของ ตนเองฟัง แล้วให้สงั เกต และตรวจสอบวา่ อ่านออก เสยี งได้ถูกต้องหรอื ไม่ ถ้าเพ่ือนอา่ นไมถ่ กู ต้องก็ให้ ข้อเสนอแนะ หรือคาแนะนาปรับปรุงแก้ไขในการ อ่านใหถ้ ูกต้อง 7. นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั สรุปหลักการอ่านออกเสยี ง วรรณกรรมเร่ือง เล่นกบั เพ่ือน - ขั้นการสรปุ และการดาเนินผลการค้นคว้า 8. นักเรียนและครูรว่ มกันสรปุ หลกั การอ่านออกเสียง วรรณกรรมเรือ่ ง เล่นกับเพื่อน จากน้ันอภปิ รายถึง ประโยชน์ของการอ่านออกเสียงทถี่ ูกต้อง และชัดเจน 9. นักเรยี นอา่ นออกเสียงวรรณกรรมเรื่อง เล่นกับ เพอ่ื น กับครู เป็นรายกลุ่ม
แผนการจัดการ ชื่อหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 7 เรือ่ ง คว แผนการสอนท่ี 2 เรื่อง การบอ รายวิชาภาษาไทย ชน้ั ประถมศกึ ษา ครูผสู้ อน นางสาวฐติ ริ ัตน์ โป่อินทนะ ตาแหนง่ ตัวชี้วัดผลการเรยี นรู้ เน้ือหาสาระ ภาระงาน / กา ช้นิ งาน ปร ท 1.1 ป 2/2 อธิบายความื - การอ่านออกเสยี ง หมายของคาและข้อความท่ี วรรณกรรมเรื่อง เลน่ กบั - แบบฝกึ หัด - ตรวจแ อ่าน เพือ่ น จะต้องอธิบาย - ใบงานเรือ่ ง - ตรวจใ ความหมายของคาได้ ความหมายของ คาศัพท์
รเรียนรู้ วามหมายของคาจดจาไว้ อกความหมายของคา าปีท่ี 2 รหัสวิชา ท 12101 ง พนักงานราชการ เวลาทใี่ ช้ 2 ชว่ั โมง ารวดั และ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อแหล่งเรยี นรู้ ระเมนิ ผล - ข้ันนาเขา้ สบู่ ทเรยี น 1.หนงั สือเรยี น แบบฝกึ หดั ใบงาน 1. นักเรยี นและครรู ว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั 2. แบบฝกึ หดั ความสาคัญ ของการอา่ นออกเสียงคาทถ่ี ูกต้อง และ 3. ใบงาน การร้จู กั ความหมายของคา - ขน้ั ตง้ั คาถาม 2. ครูเขยี นคาศัพท์จากวรรณกรรมเรอื่ ง เลน่ กับเพื่อน บนกระดาน แลว้ ให้นักเรยี นอ่านออกเสียงคาศพั ท์ให้ ถูกต้อง ชัดเจน พร้อมชว่ ยกนั บอกความหมายของคา เชน่ - มะเขือเปราะ ตน้ ก้ามปู บทร้องเลน่ 3. ครแู บง่ นักเรียนเปน็ กลุ่ม กล่มุ ละ 4 คน คละกัน ตามความ สามารถ คือ เกง่ ปานกลางค่อนข้างเกง่
ตวั ชี้วดั ผลการเรยี นรู้ เนื้อหาสาระ ภาระงาน / กา ช้นิ งาน ปร
ารวดั และ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื แหล่งเรยี นรู้ ระเมินผล ปานกลางค่อนขา้ งอ่อน และอ่อน แล้วใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ฝึกอา่ นออกเสียงคาและข้อความจากวรรณกรรม เรื่อง เลน่ กับเพือ่ น 4. นักเรยี นแต่ละกลุ่ม ร่วมกนั อ่านออกเสียง วรรณกรรมเรอื่ ง เลน่ กับเพ่ือน จากหนังสอื เรียน เพื่อ ทบทวนความรู้ 5. ครใู ห้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ช่วยกันรวบรวมคาหรือ ข้อความท่ตี ้องการรู้ความหมายลงในกระดาษจากนน้ั ชว่ ยกันอธิบายและคน้ หาความหมายของคา - ขัน้ เตรียมการคน้ หาคาตอบ 6. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกนั ทาใบงาน เรื่อง ความ หมายของคาศัพท์ โดยใหส้ มาชกิ แตล่ ะคนเขียน คาศัพทใ์ นใบงานดว้ ยตนเองจนครบท้ัง 2 ตอน จากนัน้ จบั คู่กบั เพ่ือนในกลมุ่ ผลดั กันอ่านออกเสียง คาศัพทใ์ ห้คู่ของตนเอง 7. นกั เรียนรวมกลุ่ม 4 คน ผลดั กนั อ่านออกเสียง คาศัพทใ์ ห้เพ่ือนอกี คู่หนงึ่ ภายในกลุ่มฟัง เพื่อหา ขอ้ สรปุ ของกลุ่ม และบันทึกลงในใบงาน จากนั้นให้ ตรวจสอบความเรียบร้อย 8. ตวั แทนนกั เรยี นแต่ละกล่มุ นาเสนอคาศพั ท์ในใบ
ตวั ชี้วดั ผลการเรยี นรู้ เนื้อหาสาระ ภาระงาน / กา ช้นิ งาน ปร
ารวดั และ กิจกรรมการเรยี นรู้ สื่อแหล่งเรยี นรู้ ระเมนิ ผล งาน ให้เพื่อนฟงั หน้าชัน้ เรียน ครูตรวจสอบความ ถกู ต้อง พร้อมกลา่ วชมเชยกลุ่มท่นี าเสนอคาศัพท์ได้ อยา่ งถูกต้องแสดงความคิดเห็น -ข้นั การสรปุ และการดาเนนิ ผลการคน้ ควา้ 9. นกั เรียนและครูร่วมกนั บอกความสาคัญและ ประโยชนข์ องการร้แู ละเขา้ ใจความหมายของคาและ ขอ้ ความจากวรรณกรรมเร่อื ง เลน่ กบั เพื่อน
แผนการจดั การ ชื่อหน่วยการเรียนรทู้ ี่ 7 เรอ่ื ง คว แผนการสอนที่ 3 เรือ่ ง การ รายวิชาภาษาไทย ชน้ั ประถมศึกษา ครผู ู้สอน นางสาวฐิติรตั น์ โป่อนิ ทนะ ตาแหนง่ ตวั ชวี้ ัดผลการเรยี นรู้ เนอื้ หาสาระ ภาระงาน / ชนิ้ งาน ท 1.1 ป.2/3 ตัง้ คาถามและ - การอ่านวรรณกรรม -ต ตอบคาถามเกีย่ วกบั เร่ืองท่ี เรอ่ื ง เล่นกับเพื่อน - แบบฝึกหดั -แ อา่ น จะต้องต้ังคาถามและ - แบบประเมิน นา ท 1.1 ป.2/4 ระบุใจความ ตอบคาถาม พร้อมระบุ การนาเสนอ สาคญั และรายละเอยี ดจาก ใจความสาคัญและ ผลงาน เร่อื งท่ีอา่ นตง้ั คาถามและตอบ รายละเอยี ดของเร่อื งท่ี คาถามเกี่ยวกับเรื่องท่ีอา่ น อา่ น ท 1.1 ป.2/4 ระบุใจความ สาคัญแลรายละเอียดจาก เรื่องท่ีอ่าน
รเรยี นรู้ วามหมายของคาจดจาไว้ รระบุใจความสาคัญ าปที ่ี 2 รหสั วิชา ท 12101 ง พนักงานราชการ เวลาทีใ่ ช้ 2 ชัว่ โมง การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื แหลง่ เรยี นรู้ ประเมินผล - ขน้ั นาเข้าสู่บทเรยี น 1. หนงั สอื เรยี น ตรวจแบบฝึกหดั แบบประเมนิ การ 1. ครใู หน้ ักเรียนอ่านทบทวนเนื้อหาวรรณกรรมเร่ือง 2. แบบฝึกหดั าเสนอผลงาน เลน่ กับเพ่ือน จากหนงั สือเรียน 3. แบบประเมิน - ขน้ั ตัง้ คาถาม 2. นกั เรียนร่วมกนั สนทนาเก่ยี วกบั หลักการตั้ง คาถามและการตอบคาถาม 3. นักเรียนแตล่ ะกลุ่ม (กล่มุ เดมิ จากแผนการจัดการ เรียนร้ทู ี่ 1) ร่วมกันตงั้ ประเด็นคาถามจาก วรรณกรรมเรอ่ื ง เล่นกบั เพ่ือน แล้วหาคาตอบรว่ มกนั - ขน้ั เตรยี มการคน้ หาคาตอบ 4. สมาชกิ แตล่ ะกลุ่มคดั เลือกคาถามทีด่ แี ละ ครอบคลุมเน้ือหา กลุม่ ละ 5 คาถามจากน้นั ผลัดกนั
ตวั ชี้วดั ผลการเรยี นรู้ เนื้อหาสาระ ภาระงาน / กา ช้นิ งาน ปร
ารวดั และ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื แหลง่ เรียนรู้ ระเมินผล อธิบายและหาคาตอบ พร้อมสรปุ คาตอบในแต่ละข้อ 5. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มสง่ ตวั แทนนาเสนอคาถาม เพื่อใหเ้ พ่ือนกล่มุ อนื่ ตอบ จากน้นั ตรวจสอบความ ถกู ต้องและอธิบายเพม่ิ เติม ถ้าคาตอบของกลุ่มเพื่อน มีขอ้ บกพร่อง 6. ครชู ่วยตรวจสอบความถกู ต้องและอธบิ ายความรู้ เพิ่มเติม 7. นักเรียนแต่ละกลุ่มรว่ มกนั สรุปใจความสาคัญของ วรรณกรรมเรอ่ื ง เลน่ กับเพื่อน 8. สมาชกิ แต่ละคนในกลุ่มเขียนสรปุ ใจความสาคญั ลงในสมดุ ดว้ ยตนเอง เสรจ็ แล้วให้ผลดั กนั ตรวจสอบ ความถูกต้องกับสมาชิกในกลุ่ม 9. ตัวแทนแตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอใจความสาคัญ หนา้ ชั้นเรียน แล้วใหแ้ ต่ละกลุ่มผลัดกนั ตรวจสอบ ความถกู ต้อง ดงั น้ี - กลุ่มหมายเลข 1 นาเสนอใจความสาคัญ - กลมุ่ หมายเลข 2 ตรวจสอบ แลว้ นาเสนอใจความ สาคัญ - กลมุ่ หมายเลข 3 ตรวจสอบ ให้ผลดั กันไปเร่อื ย ๆ จนกลมุ่ สดุ ท้ายให้กลมุ่ หมายเลข 1 ตรวจสอบ 10. นกั เรียนตอบคาถามกระตุ้นความคิด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123