Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สัตว์ป่าสงวน

สัตว์ป่าสงวน

Published by petcharat charitsue, 2020-01-18 03:30:16

Description: งานนำเสนอ1 อรดา

Search

Read the Text Version

แมวลายหนิ ลกั ษณะ : แมวลายหินอ่อนเป็นแมวป่ าขนาดกลาง น้าหนกั ตวั เมื่อโตเตม็ ท่ี ๔-๕ กิโลกรัม ใบหูเลก็ มนกลมมีจุดดา้ นหลงั ใบหู หางยาวมีขนหนาเป็นพวงเด่นชดั สีขนโดยทวั่ ไปเป็นสีน้าตาลอมเหลือง มีลายบนลาตวั คลา้ ยลายหินอ่อน ดา้ นใตท้ อ้ งจะออกสีเหลืองมากกวา่ ดา้ นหลงั ขาและหางมีจุดดา เทา้ มีพงั ผดื ยดื ระหวา่ งนิ้ว นิ้วมีปลอก เลบ็ สองช้นั และเลบ็ พบั เกบ็ ไดใ้ นปลอกเลบ็ ท้งั หมด อุปนิสยั : ออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนใหญ่มกั อยบู่ นตน้ ไม้ อาหารไดแ้ ก่สตั วข์ นาดเลก็ แทบทุกชนิดต้งั แต่แมลง จิ้งจก ตุ๊กแก งู นก หนู กระรอก จนถึงลิงขนาดเลก็ นิสยั ค่อนขา้ ดุร้าย ท่ีอยอู่ าศยั : ในประเทศไทยพบอยตู่ ามป่ าดงดิบเทือกเขาตะนาวศรีและป่ าดงดิบช้ืน ในภาคใต้ เขตแพร่กระจาย : แมวป่ าชนิดน้ีมีเขตแพร่กระจายต้งั แต่ประเทศเนปาล สิกขิม แควน้ อสั สมั ประเทศอินเดีย ผา่ นทางตอนเหนือของพม่า ไทย อินโดจีน ลงไปตลอดแหลม มลายู สุมาตราและบอร์เนียว สถานภาพ : แมวลายหินอ่อนจดั เป็นสตั วป์ ่ าชนิดหน่ึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสญั ญา CITES จดั อยใู่ น Appendix I สาเหตุของการใกลจ้ ะสูญพนั ธุ์: เน่ืองจากแมวลายหินอ่อนเป็นสตั วท์ ี่หาไดย้ าก และมีปริมาณในธรรมชาติคอ่ นขา้ งต่า เม่ือเทียบกบั แมวป่ าชนิดอ่ืนๆ จานวนจึงนอ้ ยมาก และ เน่ืองจากถิ่นท่ีอยอู่ าศยั ถูกทาลาย และถูกล่าหรือจบั มาเป็นสตั วเ์ ล้ียงท่ีมีราคาสูง จานวนแมวลายหินอ่อนจึงนอ้ ยลง ดา้ นชีววิทยาของแมวป่ าชนิดน้ียงั รู้กนั นอ้ ยมาก

ละอง/ละม่งั ลกั ษณะ : เป็นกวางท่ีมีขนาดโตกวา่ เน้ือทราย แต่เลก็ กวา่ กวางป่ า เมื่อโตเตม็ วยั มีความสูงที่ไหล่ ๑.๒-๑.๓ เมตร น้าหนกั ๑๐๐-๑๕๐ กิโลกรัม ขนตามตวั ทว่ั ไปมีสีน้าตาลแดง ตวั อายนุ อ้ ยจะมีจุดสีขาวตามตวั ซ่ึงจะเลือน กลายเป็นจุดจางๆ เมื่อโตเตม็ ท่ีในตวั เมีย แต่จุดขาวเหล่าน้ีจะหายไปจนหมด ในตวั ผตู้ วั ผจู้ ะมีขนที่บริเวณคอ ยาว และมีเขาและเขาของละอง จะมีลกั ษณะต่างจากเขากวางชนิดอ่ืนๆ ในประเทศไทย ซ่ึงที่กิ่งรับหมาที่ยนื่ อุปนิสยั : ชอบอยรู่ วมกนั เป็นฝงู เลก็ ตวั ผทู้ ่ีโตเตม็ วยั จะเขา้ ฝงู เม่ือถึงฤดูผสมพนั ธุ์ ออกหากินใบหญา้ ใบไม้ และ ผลไมท้ ้งั เวลากลางวนั และกลางคืน แต่เวลาแดดจดั จะเขา้ หลบพกั ในท่ีร่ม ละอง ละมงั่ ผสมพนั ธุ์ในเดือน กมุ ภาพนั ธ์จนถึงเดือนเมษายน ต้งั ทอ้ งนาน ๘ เดือน ออกลูกคร้ังละ ๑ ตวั ท่ีอยอู่ าศยั : ละองชอบอยตู่ ามป่ าโปร่ง และป่ าทุ่ง โดยเฉพาะป่ าท่ีมีแหล่งน้าขงั เขตแพร่กระจาย : ละองแพร่กระจายในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กมั พูชา เวยี ดนาม และเกาะไหหลา ใน ประเทศไทยอาศยั อยใู่ นบริเวณเหนือจากคอคอดกระข้ึนมา สถานภาพ : มีรายงานพบเพียง ๓ ตวั ที่เขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ จงั หวดั อุทยั ธานี ละอง ละมงั่ จดั เป็น ป่ าสงวนชนิดหน่ึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสญั ญา CITES จดั อยใู่ น Appendix สาเหตุของการใกลจ้ ะสูญพนั ธุ์ : ปัจจุบนั ละอง ละมงั่ กาลงั ใกลจ้ ะสูญพนั ธุ์หมดไปจากประเทศไทย เน่ืองจาก สภาพป่ าโปร่ง ซ่ึงเป็นท่ีอยอู่ าศยั ถูกบุกรุกทาลายเป็นไร่นา และท่ีอยอู่ าศยั ของมนุษย์ ท้งั ยงั ถูกล่าอยา่ งหนกั นบั ต้งั แต่หลงั สงครามโลกคร้ังที่สองเป็นตน้ มา

ลกั ษณะ : พะยนู จดั เป็นสตั วเ์ ลีย้ งลกู ดว้ ยนมชนิดหน่ึง ท่ีอาศยั อยใู่ นนา้ มีลาตวั เพรยี วรูปกระสวย หางแยกเป็นสองแฉก วางตวั ขนานกบั พืน้ ในแนวราบ ไมม่ คี รบี หลงั ปากอย่ตู อนลา่ ง ของสว่ นหนา้ รมิ ฝีปากบนเป็นกอ้ นเนือ้ หนา ลกั ษณะเป็นเหล่ียมคลา้ ยจมกู หมู ตวั อายนุ อ้ ยมลี าตวั ออกขาว สว่ นตวั เตม็ วยั มสี ีชมพแู ดง เม่อื โตเตม็ วยั จะมีนา้ หนกั ตวั ประมาณ ๓๐๐ กิโลกรมั อปุ นิสยั : พะยนู อย่รู ว่ มกนั เป็นครอบครวั หลายครอบครัวจะหากินเป็นฝงู ใหญ่ ออกลูกคร้ังละ ๑ ตวั ใชเ้ วลาต้งั ทอ้ งนาน ๑๓ เดือน และจะ โตเตม็ ที่เมื่อมีอายุ ๙ ปี ท่ียอู่ าศยั : ชอบอาศยั หากินพืชจาพวกหญา้ ทะเลตามพ้นื ทอ้ งทะเลชายฝ่ัง ท้งั ในเวลากลางวนั และกลางคืน เขตแพร่กระจาย : พะยนู มีเขตแพร่กระจาย ต้งั แต่บริเวณชายฝั่งตะวนั ออกของทวีปอาฟริกา ทะเลแดง ตลอดแนวชายฝ่ังมหาสมุทรอินเดียไป จนถึงประเทศฟิ ลิปปิ นส์ ไตห้ วนั และตอนเหนือของออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบไม่บ่อยนกั ท้งั ในบริเวณอ่าวไทยแถบจงั หวดั ระยอง และ ชายฝั่งทะเลอนั ดามนั แถบจงั หวดั ภูเกต็ พงั งา กระบี่ ตรัง สตูล สถานภาพ : ปัจจุบนั พบพะยนู นอ้ ยมาก พยนู ท่ียงั เหลืออยจู่ ะเป็นกลุ่มเลก็ หรืออยโู่ ดดเดี่ยว บางคร้ังอาจจะเขา้ มาจากน่านน้าของประเทศ ใกลเ้ คียง พะยนู จดั เป็นสตั วป์ ่ าสงวนชนิดหน่ึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจดั โดยอนุสญั ญา CITES ไวใ้ น Appendix I สาเหตุของการใกลจ้ ะสูญพนั ธุ์ : เน่ืองจากพะยนู ถูกล่าเพ่ือเป็นอาหาร ติดเคร่ืองประมงตาย และเอาน้ามนั เพื่อเอาเป็นเช้ือเพลิง ประกอบกบั พะยนู แพร่พนั ธุไ์ ดช้ า้ มาก นอกจากน้ีมลพิษที่ก่อใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงสภาพแวดลอ้ มตามชายฝั่งทะเล ไดท้ าลายแหล่งหญา้ ทะเล ท่ีเป็น อาหารของพยนู เป็นจานวนมาก จึงน่าเป็นห่วงวา่ พะยนู จะสูญสิ้นไปจากประเทศในอนาคตอนั ใกลน้ ้ี

สมเสร็จมลายเู ป็นสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนมในอนั ดบั สตั วก์ ีบค่ี นบั เป็นสมเสร็จชนิดที่มีขนาด ใหญ่ที่สุดและเป็นชนิดเดียวที่พบในทวีปเอเชียเป็นสตั วม์ ีหนา้ ตาประหลาด คือ มีลกั ษณะ ของสตั วห์ ลายชนิดผสมอยใู่ นตวั เดียวกนั มีจมูกท่ียน่ื ยาวออกมาคลา้ ยงวงของชา้ ง รูปร่าง หนา้ ตาคลา้ ยหมูท่ีมีขายาว หางส้นั คลา้ ยหมีและมีกีบเทา้ คลา้ ยแรด ลกั ษณะเด่น คือ บริเวณ ส่วนหวั ไหล่และขาท้งั ส่ีขา้ งมีสีดา ส่วนกลางลาตวั เป็นสีขาว ใบหูกลม ขนปลายหูและริม ฝีปากมีสีขาว มีแผน่ หนงั หนาบริเวณสนั กา้ นคอเพื่อป้องกนั การโจมตีของเสือโคร่ง ที่จะ ตะปบกดั บริเวณกา้ นคอ ลูกที่เกิดใหม่จะมีลวดลายคลา้ ยแตงไทยและขนยาว และลายน้ีจะ คอ่ ย ๆ จางลงเม่ืออายไุ ด้ 6-8 เดือน ตวั ผจู้ ะมีขนาดเลก็ กวา่ ตวั เมีย โตเตม็ ที่ความยาวลาตวั และหวั 220-240 เซนติเมตร ความยาวหาง 5-10 เซนติเมตร ความสูงจากพ้ืนดินถึงหวั ไหล่ 100 เซนติเมตร มีน้าหนกั 250-300 กิโลกรัม แหล่งอาศยั มีการกระจายพนั ธุอ์ ยใู่ นภาคใตข้ องพม่า, ภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ตกของไทย, มาเลเซีย และเกาะสุมาตรา อาศยั และหากินอยตู่ ามลาพงั มกั อาศยั ในป่ าที่มีความช้ืนสูงและอยไู่ ม่ไกลจากแหล่งน้า เน่ืองจากชอบแช่น้า เม่ือหลบภยั กจ็ ะหลบไปหนีแช่ในน้าจนกวา่ แน่ใจวา่ ปลอดภยั แลว้ จึง ข้ึนมา รวมท้งั ผสมพนั ธุใ์ นน้าดว้ ย มีความสามารถวา่ ยน้าไดเ้ ก่ง อาหารของสมเสร็จไดแ้ ก่ ยอดไมอ้ ่อน, ยอดหวาย, หน่อไม้ นอกจากน้ียงั กินดินโป่ งเพ่ือเพิ่มแร่ธาตุใหแ้ ก่ร่างกาย ออก หากินในเวลากลางคืน มีนิสยั ชอบถ่ายมูลซ้าในท่ีเดิมจนเป็นกองใหญ่ มีสายตาไม่ดีนกั แต่มี ระบบประสาทดมกลิ่นและฟังเสียงที่ดีมาก มกั ใชจ้ มูกที่ยาวเหมือนงวงชา้ งช่วยในการดม กลิ่นหาอาหาร และใชค้ อท่ีหนาดนั ตวั เองเขา้ พุ่มไม้ มีการเคล่ือนไหวตวั ที่เงียบมาก ปัจจุบนั เป็นสตั วป์ ่ าสงวนตามพระราชบญั ญตั ิสงวนและคุม้ ครองสตั วป์ ่ า พุทธศกั ราช 2535

เป็นกวางขนาดกลาง ขนตามลาตวั สีน้าตาลเขม้ ทอ้ งมีสีอ่อนกวา่ ริมฝีปากล่าง และดา้ นล่างของหางเป็นสีขาว มีลกั ษณะเด่นคือ ตวั ผจู้ ะมีเขาแตกแขนงออกไปมากมาย เหมือนกิ่งไม้ ดูสวยงาม จึงไดช้ ื่อวา่ เป็นกวางที่มีเขาสวยที่สุดในโลก มีก่ิงรับหมาหรือกิ่งเขาท่ี ยน่ื ออกไปขา้ งหนา้ ยาวกวา่ กิ่งรับหมาของกวางชนิดอื่น ๆ สมนั มีความยาวลาตวั 180 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร มีความสูงจากพ้ืนดินถึงหวั ไหล่ 100-110 เซนติเมตร น้าหนกั ประมาณ 100-120 กิโลกรัม[4]สมนั น้นั วิ่งเร็วประมาณ 100 กิโลเมตร ต่อชว่ั โมง มีการกระจายพนั ธุเ์ ฉพาะในท่ีราบลมุ่ ภาคกลางของไทยเทา่ นนั้ รวมถึงในบรเิ วณ กรุงเทพมหานครปัจจบุ นั ดว้ ย โดยอาศยั อยใู่ นท่ีทงุ่ โลง่ กวา้ ง ไมส่ ามารถหลบหนีเขา้ ป่าทบึ ได้ เน่ืองจากก่ิงกา้ นของเขาจะไปตดิ พนั กบั ก่ิงไม้ จงึ เป็นจดุ ออ่ นใหถ้ กู ลา่ ไดอ้ ย่างง่ายดาย ใน สมยั อดีต ชาวบา้ นจะลา่ สมนั ดว้ ยการสวมเขาปลอมเป็นตวั ผเู้ พ่ือลอ่ ตวั เมียออกมา จากนน้ั จงึ ใชป้ ืนหรอื หอกพ่งุ ยิง [5] ปัจจบุ นั สมนั สญู พนั ธุแ์ ลว้ [4] สมนั ในธรรมชาตติ วั สดุ ทา้ ยถกู นายตารวจคนหน่งึ ยิงตายเม่อื พ.ศ. 2475 ท่ีจงั หวดั กาญจนบรุ ี[4] สมนั ตวั สดุ ทา้ ยในท่ีเลยี้ งถกู ชายขีเ้ มาตีตายท่ีวดั แห่งหน่งึ ในตาบลมหาชยั จงั หวดั สมทุ รสาคร เม่อื พ.ศ. 2481[4]

นกกระเรียนไทยเป็นนกขนาดใหญ่ มีลาตวั และปี กสีเทา คอตอนบนและหวั เป็นหนงั เปลือยสีแดงไม่มีขน ตรงกระหม่อมเป็นสีเทาหรือเขียว คอยาวเวลาบินคอจะเหยยี ด ตรงไม่เหมือนกบั นกกระสาซ่ึงจะงอพบั ไปดา้ นหลงั ขนปลายปี กและขนคลุมขน ปลายปี กสีดา ขนคลุมขนปี กดา้ นล่างสีเทา ขนโคนปี กสีขาว ขายาวเป็นสีชมพู มีแผน่ ขนหูสีเทา ม่านตาสีสม้ แดง ปากแหลมสีดาแกมเทา นกั วยั อ่อนมีปากสีค่อนขา้ งเหลือง ท่ีฐาน หวั สีน้าตาลเทาหรือสีเน้ือปกคลุมดว้ ยขนนก[5] หนงั เปลือยสีแดงบริเวณหวั จะแดงสดใสในช่วงฤดูผสมพนั ธุ์ หนงั บริเวณน้ีจะหยาบ เป็นตะป่ ุมตะป่ า มีขนสีดาตรงขา้ งแกม้ และทา้ ยทอยบริเวณแคบ ๆ ท้งั สองเพศมี ลกั ษณะและสีคลา้ ยกนั เพศผใู้ หญ่กวา่ เพศเมียเลก็ นอ้ ย ไม่มีความแตกต่างทางเพศอื่น ที่ชดั เจนอีก นกกระเรียนไทยเพศผใู้ นอินเดียมีขนาดสูงที่สุดคือประมาณ 200 เซนติเมตร ช่วงปี กยาว 250 เซนติเมตร ทาใหน้ กกระเรียนไทยเป็นนกที่บินไดท้ ่ีสูง ท่ีสุดในโลก ในชนิดยอ่ ย antigone มีน้าหนกั 6.8–7.8 กิโลกรัม ขณะท่ี sharpii มีน้าหนกั ประมาณ 8.4 กิโลกรัม โดยทวั่ ไปแลว้ จะมีน้าหนกั 5–12 กิโลกรัม สูง 115–167 เซนติเมตร ช่วงปี กยาว 220–280 เซนติเมตร[6] นกจากประเทศ ออสเตรเลียจะมีขนาดเลก็ กวา่ นกจากเขตทางเหนือ[7]

มีลกั ษณะคลา้ ยควายบา้ น ท่ีอยใู่ นสกลุ เดียวกนั แต่ควายป่ าแต่มีลาตวั ขนาด ลาตวั ใหญ่กวา่ มีนิสยั วอ่ งไวและดุร้ายกวา่ ควายบา้ นมาก สีลาตวั โดยทวั่ ไปเป็นสีเทาหรือ สีน้าตาลดา ขาท้งั 4 สีขาวแก่หรือสีเทาคลา้ ยใส่ถุงเทา้ สีขาว ดา้ นล่างของลาตวั เป็นลายสี ขาวรูปตวั วี ควายป่ ามีเขาท้งั 2 เพศ เขามีขนาดใหญ่กวา่ ควายบา้ นมาก วงเขากางออก กวา้ งโคง้ ไปทางดา้ นหลงั ดา้ นตดั ขวางเป็นรูปสามเหล่ียม ปลายเขาเรียวแหลม ตวั โตเตม็ วยั มีความสูงท่ีไหล่เกือบ 2 เมตร ความยาวหาง 60–85 เซนติเมตร น้าหนกั มากกวา่ 1,000 กิโลกรัม มีการกระจายพนั ธุ์จากประเทศเนปาลและอินเดีย ไปสิ้นสุดทางดา้ นทิศตะวนั ออกที่ ประเทศเวยี ดนาม ในประเทศไทยในอดีตเคยมีอยมู่ ากและกระจดั กระจายออกไป โดยพบ มากท่ีบา้ นลานควาย หรือบา้ นลานกระบือ (ปัจจุบนั คือ อาเภอลานกระบือ จงั หวดั กาแพงเพชร[2]) แต่สถานะในปัจจุบนั เหลืออยแู่ ค่ในเขตรักษาพนั ธุส์ ตั วป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ จงั หวดั อุทยั ธานี เท่าน้นั โดยจานวนประชากรท่ีมีมากท่ีสุดในธรรมชาติในปัจจุบนั คือ ท่ี อุทยานแห่งชาติกาจิรังคา ในรัฐอสั สมั ของอินเดีย ประมาณ 1,700 ตวั [3] หากินในเวลาเชา้ และเวลาเยน็ หรือนอนแช่ปลกั โคลนตอนช่วงกลางวนั ควายป่ าจะอยู่ ร่วมกนั เป็นฝงู ฤดูผสมพนั ธุอ์ ยรู่ าว ๆ เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ตกลูกคร้ังละ 1 ตวั ต้งั ทอ้ งนาน 10 เดือน ควายป่ ามีนิสยั ดุร้ายโดยเฉพาะตวั ผแู้ ละตวั เมียท่ีมีลูกอ่อน เมื่อพบศตั รู จะตีวงเขา้ ป้องกนั ลูกอ่อนเอาไว้ มีอายยุ นื ประมาณ 20–25 ปี โดยควายป่ ามกั ตกเป็น อาหารของสตั วก์ ินเน้ือ โดยเฉพาะเสือโคร่ง ในอินเดีย ควายป่ ามกั อาศยั อยรู่ ่วมในพ้ืนที่ เดียวกบั แรดอินเดีย ซ่ึงเป็นสตั วด์ ุร้าย แมจ้ ะเป็นสตั วก์ ินพืชเหมือนกนั แต่กม็ กั ถูกแรด อินเดียทาร้ายอยเู่ สมอ ๆ จนเป็นบาดแผลปรากฏตามร่างกาย[4]

เลียงผามีลกั ษณะคลา้ ยกบั กวางผา ซ่ึงเดิมกเ็ คยถูกจดั ใหอ้ ยสู่ กลุ เดียวกนั มา (ซ่ึงบางขอ้ มูลยงั จดั ใหอ้ ยสู่ กลุ เดียวกนั [2]) แต่เลียงผามีขนาดใหญ่กวา่ มีลกั ษณะคลา้ ยแพะแต่มีรูปหนา้ ยาวกวา่ มี ลาตวั ส้นั แต่ขายาว ตวั เมียมีขนาดเลก็ กวา่ ตวั ผู้ มีเขาท้งั ตวั ผแู้ ละตวั เมีย เขางอกยาวต่อเนื่องทุกปี ลกั ษณะของกะโหลกเมื่อเปรียบเทียบกบั กวางผาที่มีกะโหลกโคง้ เวา้ แลว้ เลียงผามีกะโหลก แบน ขนตามลาตวั จะแปรเปลี่ยนไปตามอาย,ุ สภาพแวดลอ้ มที่อยอู่ าศยั และชนิดพนั ธุ์ มีขน หยาบและไม่เป็น 2 ช้นั เหมือนกวางผา ใตต้ ามีต่อมน้ามนั ใชส้ าหรับถูตามตน้ ไมห้ รือโขดหิน เพ่ือประกาศอาณาเขต พบกระจายพนั ธุ์อยา่ งกวา้ งขวางต้งั แต่เอเชียใต,้ เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ , อินโดนีเซีย จนถึงเอเชียตะวนั ออก เช่น จีน, ไตห้ วนั , ญี่ป่ ุน โดยมกั อยตู่ ามหนา้ ผาหรือภูเขา สูง หรือตามเกาะต่าง ๆ กลางทะเล[3] มีความสามารถในการปี นป่ ายท่ีสูงชนั ไดอ้ ยา่ ง คล่องแคล่ว โดยสามารถทาความเร็วในการข้ึนที่สูงไดถ้ ึง 1,000 เมตร ดว้ ยเวลาเพียง 15 นาที[4 เลียงผา ถือเป็นสตั วท์ ี่มีความเก่าแก่ที่สุดในวงศย์ อ่ ยน้ี โดยปรากฏมาต้งั แต่ยคุ ไพลโอซีนราว 2- 7 ลา้ นปี มาแลว้ [5]

แรดชวาเป็นแรดเอเชียที่มีการกระจายพนั ธุก์ วา้ งที่สุดต้งั แต่เกาะ ในอินโดนีเซีย ตลอดเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ อินเดีย และจีน ปัจจุบนั แรดชวาถูกคุกคามจนอยใู่ นข้นั วกิ ฤติ มีเพียงสองแห่ง เท่าน้นั ท่ียงั มีประชากรหลงเหลืออยใู่ นป่ า ไม่มีแรดชวาจดั แสดง ในสวนสตั ว์ แรดชวาอาจเป็นสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนมขนาดใหญท่ ่ีพบ ไดย้ ากที่สุดในโลก[5] มีประชากรแรดนอ้ ยกวา่ 40-50 ตวั ใน อุทยานแห่งชาติอูจุงกลู นบนเกาะชวาในประเทศอินโดนีเซีย และ ประชากรจานวนเลก็ นอ้ ย (ประเมินเมื่อปี พ.ศ. 2550) ไม่เกิน 8 ตวั ในอุทยานแห่งชาติก๊าตเตียนในประเทศเวยี ดนาม แต่ใน ปัจจุบนั มีการยนื ยนั วา่ สูญพนั ธุไ์ ปแลว้ [6] การลดลงของแรดชวา เกิดจากการล่าเอานอซ่ึงเป็นสิ่งมีค่าในการแพทยแ์ ผนจีนซ่ึงมีราคา ถึง $30,000 ต่อกก.ในตลาดมืด[5] การสูญเสียถิ่นอาศยั โดยเฉพาะ ผลของสงครามอยา่ งสงครามเวยี ดนาม มีส่วนในการลดลงและ ขดั ขวางการฟ้ื นฟขู องจานวนประชากร[7] แมพ้ ้ืนที่ถิ่นอาศยั ที่ เหลือจะไดร้ ับการปกป้องแต่แรดชวายงั คงเส่ียงต่อการถูกล่า โรคภยั ไขเ้ จบ็ และการสูญเสียความหลากหลายทางพนั ธุกรรมซ่ึง จะนาไปสู่การผสมพนั ธุใ์ นสายเลือดเดียวกนั

นกแตว้ แร้วทอ้ งดาถูกคน้ พบคร้ังแรกในปี ค.ศ. 1875 ในเขตตะนาว ศรี ประเทศพม่า โดยช่ือสามญั ในภาษาองั กฤษและช่ือวทิ ยาศาสตร์ ต้งั ข้ึนเป็นเพ่อื เป็นเกียรติแก่ จอห์น เฮนรี เกอนีย์ นายธนาคารและนกั ปักษีวทิ ยาสมคั รเล่นชาวองั กฤษ[2] มีรายงานการพบคร้ังสุดทา้ ย ใน ประเทศพม่าปี ค.ศ. 1914 และไม่พบอีกเลยติดต่อกนั นานถึง 50 ปี ทา ให้ CITES ข้ึนบญั ชีเป็นสตั วท์ ่ีสูญพนั ธุ์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1986 ถูก คน้ พบในประเทศไทยโดย ฟิ ลิป ดี. ราวด์ และ อุทยั ตรีสุคนธ์ [3] โดย พบ 44-45 คู่ แต่ในปี ค.ศ. 1997 เหลือเพียง 9 คู่เท่าน้นั ปัจจุบนั คาดวา่ มีอยปู่ ระมาณ 13-20 คู่เท่าน้นั จึงถูกใหเ้ ป็นสตั วป์ ่ าสงวน 19 ชนิดของ ไทย ตามพระราชบญั ญตั ิสงวนและคุม้ ครองสตั วป์ ่ า พ.ศ. 2535 ซ่ึง IUCN เคยประเมินสถานภาพใหอ้ ยใู่ นระดบั ใกลส้ ูญพนั ธุ์อยา่ งยงิ่ (CE) แต่จากการท่ีการสารวจพบประชากรของนกชนิดน้ีในประเทศ พม่ามากข้ึน ในปี ค.ศ. 2008 จึงปรับสถานภาพใหด้ ีข้ึนเลก็ นอ้ ยเป็น ใกลส้ ูญพนั ธุ์

กระซู่อาศยั อยใู่ นป่ าดิบช้ืน ป่ าพรุ และ ป่ าเมฆในประเทศอินเดีย ภูฏาน บงั กลาเทศ พม่า ลาว ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในมณฑลเสฉวน[7][8] ปัจจุบนั กระซู่ถูกคุกคาม จนอยใู่ นข้นั วกิ ฤติ เหลือสงั คมประชากรเพียงหกแหล่งในป่ า มีส่ี แหล่งในสุมาตรา หน่ึงแหล่งในบอร์เนียว และอีกหน่ึงแหล่งใน มาเลเซียตะวนั ตก จานวนกระซู่ในปัจจุบนั ยากท่ีจะประมาณการ ไดเ้ พราะเป็นสตั วส์ นั โดษที่มีพสิ ยั กระจดั กระจายเป็ นวงกวา้ ง แต่ คาดวา่ เหลืออยไู่ ม่ถึง 100 ตวั สาเหตุอนั ดบั แรกของการลดลงของ จานวนประชากรคือการล่าเอานอซ่ึงมีค่ามากในการแพทยแ์ ผนจีน ขายไดถ้ ึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัมในตลาดมืด[9] นอกจากน้ียงั ถูกคุกคามถิ่นอาศยั จากอุตสาหกรรมป่ าไมแ้ ละ เกษตรกรรม

ตวั ผู้ มีขนสดี า ขนาดความสงู 1.71 - 1.90 เมตร ขนาด ลาตวั 2.10 - 2.22 เมตร นา้ หนกั ตวั ประมาณ 700 - 900 กิโลกรมั เขาตวั ผจู้ ะโคง้ เป็นวงกวา้ ง แลว้ ตีวงโคง้ ไป ขา้ งหนา้ ปลายเขาแตกออกเป็นพคู่ ลา้ ยเสน้ ไมก้ วาดแขง็ ขาทงั้ 4 มีถงุ เทา้ สขี าวเชน่ เดียวกบั กระทงิ (B. gaurus) ในตวั ผทู้ ่ีมีอายมุ าก จะมีเหนียงใตค้ อยาว หอ้ ยลงมาจนเกือบจะถงึ ดนิ เช่ือวา่ ใชใ้ นการระบายความ รอ้ น ตวั เมีย มีขนสเี ทา มีเขาตวี งแคบแลว้ มว้ นขนึ้ ดา้ นบน ไมม่ ี พทู่ ่ีปลายเขา มีเขากลวงแบบ Horns ขนาดเทา่ กนั โคนเขาใหญ่ ปลายเขาแหลม ไมม่ ีการแตกก่ิง ยาว ประมาณ 1 เมตร

นกเจา้ ฟา้ หญิงสิรนิ ธรเป็นนกนางแอน่ ขนาดกลาง มีสีดา ออกเขียวเหลือบ ตะโพกขาว หางมีขนคกู่ ลางมีแกนย่ืน ออกมาเป็นเสน้ เรยี วแผต่ รงปลาย วงรอบตาสขี าวหนา ปาก สเี หลืองสดออกเขียว ทงั้ สองเพศมีลกั ษณะคลา้ ยกนั แตน่ ก วยั ออ่ นไมข่ นหางคกู่ ลางมีแกนย่ืนออกมา สีขนออกสี นา้ ตาลมากกวา่ นกโตเต็มวยั พฤตกิ รรมเป็นท่ีทราบนอ้ ย มากรวมถงึ แหลง่ ผสมพนั ธุว์ างไข่ คาดวา่ เหมือนนก นางแอน่ ชนิดอ่ืนท่ีบินจบั แมลงกินกลางอากาศ และเกาะ คอนนอนตามพืชนา้ ในฤดหู นาว

เกง้ หมอ้ จะมีขนบริเวณลาตวั ท่ีเขม้ กวา่ ใบหนา้ มีสีน้าตาลเขม้ บริเวณกระหม่อม และโคนขามีสีเหลืองสด ดา้ นล่างของลาตวั มีสีน้าตาลอ่อน ขาท้งั 4 ขา้ งมีสีดา จึง เป็นท่ีมาของอีกชื่อสามญั ท่ีเรียก ดา้ นหนา้ ดา้ นหลงั มีสีขาวเห็นไดช้ ดั เจน หางส้นั หางดา้ นบนมีสีเขม้ แต่ดา้ นล่างมีสีขาว มีเขาเฉพาะตวั ผู้ เขาของเกง้ หมอ้ ส้นั กวา่ เกง้ ธรรมดา ผลดั เขาปี ละ 1 คร้ัง มีความยาวลาตวั และหวั 88 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร น้าหนกั 22 กิโลกรัม มีการกระจายพนั ธุ์ในภาคใตข้ องพม่า, มาเลเซีย, ภาคตะวนั ตกและภาคใตข้ องไทย เป็นเกง้ ที่หายากท่ีสุดชนิดหน่ึงของโลก คร้ังหน่ึงเคยเชื่อวา่ เหลือเพียงตวั เดียวใน โลก ที่สวนสตั วด์ ุสิต[3] แต่ปัจจุบนั ยงั พอหาไดต้ ามป่ าธรรมชาติและวดั ใน พรมแดนไทยพม่า ท่ีพระสงฆเ์ ล้ียงอยู่ เกง้ หมอ้ อาศยั อยใู่ นป่ าที่มีความช้ืนสูง เช่น บริเวณหุบเขาหรือป่ าดิบช้ืนใกลแ้ หล่งน้า อดน้าไดไ้ ม่เก่งเท่าเกง้ ธรรมดา ออกหา อาหารตามลาพงั ในช่วงเยน็ หรือพลบค่า แต่ในบางคร้ังอาจพบอยเู่ ป็นคู่หรือเป็นฝงู เลก็ ๆ ในฤดูผสมพนั ธุ์ จะผสมพนั ธุใ์ นช่วงฤดูหนาว ต้งั ทอ้ งนาน 6 เดือน ออกลูก คร้ังละ 1 ตวั ปัจจุบนั เป็นสตั วป์ ่ าสงวนตามพระราชบญั ญตั ิสงวนและคุม้ ครองสตั ว์ ป่ าแห่งชาติ พ.ศ. 2535

มีรูปร่างหนา้ ตาคลา้ ยแพะ มีหูยาว ขนตามลาตวั หยาบและหนา มีสีเทาหรือน้าตาลเทา มีแถบสีดาพาดอยกู่ ลางหลงั ตวั เมียจะมีสีขนอ่อน กวา่ ตวั ผู้ บริเวณลาคอดา้ นในมีขนสีอ่อน ริมฝีปากและรอบ ๆ ตาสีขาว เขา ส้นั มีสีดา ตวั ผจู้ ะมีเขาที่หนาและยาวกวา่ ตวั เมีย มีความยาวลาตวั และหวั 82–120 เซนติเมตร ความยาวหาง 7.5–20 เซนติเมตร ความสูงจากพ้ืนดิน ถึงหวั ไหล่ 50–60 เซนติเมตร น้าหนกั 22–32 กิโลกรัม ผสมพนั ธุ์ในเดือน ตุลาคม–ธนั วาคม ใชเ้ วลาต้งั ทอ้ งนาน 6–7 เดือน ออกลูกคร้ังละ 1–2 ตวั เป็นสตั วท์ ี่ต่ืนตกใจง่าย เมื่อตกใจจะส่งเสียงร้องส้นั และสูงเป็นสญั ญาน เตือนภยั ถึงตวั อื่น ๆ ในฝงู ใชป้ ระสาทการมองมากกวา่ การดมกล่ินหรือฟัง เสียง ซ่ึงต่างจากสตั วก์ ินพชื ทว่ั ไป มกั ออกหากินตามทุ่งหญา้ โล่งในเวลา ก่อนพระอาทิตยต์ กดินจนถึงเวลาเชา้ ตรู่ กินอาหารไดแ้ ก่ หญา้ , ยอดอ่อน ของใบไม,้ รากไม้ และลูกไมเ้ ปลือกแขง็ จาพวกก่อเป็นอาหารหลกั แมจ้ ะ อยใู่ นเทือกเขาสูง แต่สามารถวา่ ยน้าไดด้ ีเหมือนเลียงผา และเคยมีรายงาน วา่ เคยลงมากินน้าและวา่ ยขา้ มแม่น้า มีอายเุ ตม็ ที่ 11 ปี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook