Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโขน

เล่ม 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโขน

Published by เกณิกา วงศ์นรินทร์, 2022-07-11 07:27:14

Description: เล่ม 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโขน

Search

Read the Text Version

ชุดฝึกทกั ษะการปฏิบัตทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรทู้ ่วั ไปเกี่ยวกบั โขน โดย นายสุทธิเขต ขุนเณร ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะชานาญการ วิทยาลยั นาฏศลิ ปรอ้ ยเอ็ด สถาบันบัณฑิตพัฒนศลิ ป์ กระทรวงวัฒนธรรม

ชดุ ฝึกทักษะการปฏบิ ตั ิท่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรทู้ ว่ั ไปเกยี่ วกับโขน โดย นายสุทธิเขต ขนุ เณร ตาแหน่งครู วิทยฐานะชานาญการ วทิ ยาลัยนาฏศลิ ปรอ้ ยเอ็ด สถาบันบณั ฑติ พฒั นศลิ ป์ กระทรวงวัฒนธรรม

คานา ชุดฝึกทักษะการปฏิบัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอนใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ รายวิชานาฏศิลป์ไทยโขนพระ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาชีพนาฏศิลป์ไทยโขน จัดทาข้ึนโดยมีวัตถุประสงค์เพอ่ื ใชใ้ นการพฒั นาทักษะการปฏบิ ัตทิ ่าราเพลงชา้ ของนักเรียนโขนพระ โดยเน้น ผู้เรียนเป็นสาคัญ มุ่งพัฒนาผลสัมฤทธแ์ิ ละสมรรถภาพการปฏิบัตทิ ่าราเพลงชา้ ของนักเรียนให้สอดคล้องกับ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะทางวิชาชีพ และสามารนาไปใช้ได้ อยา่ งถกู ต้องตามแบบแผน ซ่งึ ชดุ แบบฝกึ ทกั ษะน้นี กั เรยี นสามารถนาไปใช้ในเวลาเรียน หรอื ใช้ในการแสวงหา ความรู้นอกเวลาเรยี นได้ตามความตอ้ งการของนักเรียน ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏิบตั ิท่าราเพลงช้า (โขนพระ) ประกอบด้วยชุดฝึกจานวน ๔ เลม่ ดงั น้ี เล่มท่ี ๑ ความรูท้ ่ัวไปเกยี่ วกบั โขน เลม่ ที่ ๒ การฝกึ หัดเบ้ืองต้น เลม่ ท่ี ๓ ประวัติความเป็นมาเพลงชา้ และนาฏยศพั ท์ เลม่ ท่ี ๔ กระบวนท่าราเพลงช้า สาหรับชุดฝึกทักษะการปฏิบัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงเพ่ือให้ง่ายต่อ การจดจา และสะดวกในการเรียนการสอน จึงหวังเปน็ อย่างย่ิงวา่ ชดุ แบบฝึกทักษะชุดนี้ จะสามารถทา ให้นักเรียนได้ฝึกฝนตนเองได้อย่างเต็มความสามารถ ตลอดจนได้ประโยชน์ในการเรียนรู้เพ่ือพัฒนา ทกั ษะการปฏบิ ตั ิทา่ ราของตนเอง และสามารถนาไปต่อยอดในการเรียนทางวิชาชพี ข้นั สูงได้ตอ่ ไป สุทธเิ ขต ขุนเณร

สารบัญ เรอ่ื ง หนา้ คาช้ีแจง (ก) คาแนะนาสาหรับครผู ู้สอน ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏิบตั ทิ า่ ราเพลงช้า (โขนพระ) (ข) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ท่ัวไปเกี่ยวกบั โขน คาแนะนาสาหรบั นกั เรยี น ชุดฝกึ ทักษะการปฏบิ ัตทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) (ค) เล่มที่ ๑ ความรทู้ วั่ ไปเก่ยี วกบั โขน มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ สาระท่ี 1 การฝกึ หดั เบอ้ื งตน้ และนาฏยศัพทข์ ั้นพน้ื ฐาน (ง) สาระท่ี 2 ราพื้นฐานแม่ทา่ (จ) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ (ก่อนเรียน) ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ัติทา่ ราเพลงช้า (โขนพระ) ๑ ตอนที่ ๑ ชดุ ฝึกทักษะการปฏิบตั ิทา่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความร้ทู ัว่ ไปเกย่ี วกบั โขน ๑ ตอนที่ ๒ ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ัตทิ า่ รา (โขนพระ) เลม่ ที่ ๒ การฝึกหัดเบอื้ งต้น ๓ ตอนท่ี ๓ ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ัตทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) ๕ เลม่ ที่ ๓ ประวตั คิ วามเปน็ มาเพลงช้า และนาฎยศัพท์ ตอนท่ี ๔ ชดุ การฝกึ ทักษะการปฏิบัตทิ ่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ๔ กระบวนทา่ ราเพลงช้า ๗ กระดาษคาตอบ ๑๐ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ (กอ่ นเรียน) ชดุ ฝกึ ทักษะการปฏิบัตทิ ่าราเพลงช้า(โขนพระ) แบบทดสอบกอ่ นบทเรียน ๑๑ ชดุ ฝึกทักษะการปฏิบตั ทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรทู้ ัว่ ไปเกีย่ วกบั โขน กระดาษคาตอบ แบบทดสอบก่อนบทเรยี น ๑๓ ชุดฝึกทักษะการปฏบิ ัตทิ ่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความร้ทู ัว่ ไปเกีย่ วกบั โขน ชดุ ฝกึ ทักษะการฝกึ ปฏิบตั ิท่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรทู้ ัว่ ไปเก่ยี วกบั โขน ๑๔ ๑. ที่มาของคาว่าโขน ๑๔ ๒. กาเนิดโขน ๑๖ ๓. พัฒนาการโขน ๒๐ ๔. ยุคสมยั ของโขน ๒๔ ๕. เร่ืองทใี่ ช้แสดง “โขน” ๒๙ ๖. ตัวแสดงโขน ๓๒ ๗. เคร่อื งแตง่ กายโขน ๓๖

สารบญั (ตอ่ ) เร่อื ง หน้า ๘. วงดนตรที ีใ่ ชบ้ รรเลงประกอบการแสดงโขน ๔๒ ๙. การพากย-์ เจรจา ๔๓ เกร็ดความรูเ้ พ่ิมเติม เรื่องศรี ษะโขน (โขนพระ) ๔๕ ชดุ ฝกึ ทักษะการฝกึ ปฏบิ ตั ทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรทู้ ่วั ไปเกยี่ วกบั โขน ชุดที่ ๑ ๕๐ ชุดฝึกทักษะการฝกึ ปฏบิ ัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ทว่ั ไปเก่ียวกับโขน ชดุ ที่ ๒ ๕๒ แบบทดสอบหลงั บทเรียน ๕๓ ชดุ ฝกึ ทกั ษะการฝึกปฏบิ ตั ิทา่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรูท้ ่วั ไปเกีย่ วกบั โขน กระดาษคาตอบ ๕๕ แบบทดสอบหลังเรียน ชดุ ฝึกทักษะการปฏิบัตทิ ่าราเพลงช้า โขนพระ เล่มที่ ๑ ความรทู้ ่วั ไปเก่ยี วกับโขน ๕๖ เฉลยชุดฝึกทักษะ การฝึกปฏิบตั ทิ า่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทวั่ ไปเก่ียวกบั โขน ชดุ ที่ ๑ ๕๘ เฉลยชุดฝกึ ทักษะการฝกึ ปฏิบัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรทู้ ัว่ ไปเกย่ี วกบั โขน ชุดที่ ๒ ๕๙ เฉลยคาตอบ แบบทดสอบ – หลงั เรียน ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ ่าราเพลงชา้ โขนพระ เล่มท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเก่ยี วกบั โขน ๖๐ บรรณานุกรม ๖๒ ประวตั ผิ ูจ้ ัดทา

สารบญั ตาราง หนา้ ๔๒ ตารางที่ ๑. เครื่องดนตรใี นวงปพี่ าทย์

สารบญั แผนผงั หนา้ แผนผงั ที่ ๒๔ ๑. ยุคสมัยของโขน ๒๘ ๒. ววิ ฒั นาการการจัดตัง้ โรงเรยี นสอนโขน-ละคร

สารบัญภาพ หนา้ ภาพที่ ๑๔ ๑๖ ๑. นาฏกรรมโขน ๑๖ ๒. หนังสอื บทละครเรอ่ื งรามเกียรติ์ ๑๗ ๓. การเลน่ หนงั ใหญ่ ๑๘ ๔. ลายหนงั ใหญ่ ๑๙ ๕. การเล่นกระบ่ีกระบอง ๒๐ ๖. การเลน่ ชักนาคดกึ ดาบรรพ์ ๒๑ ๗. โขนกลางแปลง ๒๒ ๘. โขนนั่งราว หรอื โขนโรงนอก ๒๓ ๙. โขนโรงใน ๒๔ ๑๐. โขนหน้าจอ ๒๙ ๑๑. โขนฉาก ๓๐ ๑๒. บทละครเรอื่ งรามเกียรต์ิ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้านภาลัย ๓๐ ๑๓. ภาพจิตรกรรมฝาผนังระเบยี งคตวัดพระศรรี ัตศาสดาราม ๓๒ ๑๔. การแสดงโขน เรอื่ ง รามเกยี รต์ิ ๓๓ ๑๕. พระราม (ขวา) พระลักษมณ์ (ซ้าย) ๓๓ ๑๖. นางสดี า (ซา้ ย) นางเบญกาย (ขวา) ๓๔ ๑๗. นางพิรากวน ๓๔ ๑๘. ทศกณั ฐ์ ๓๕ ๑๙. อินทรชติ ๓๕ ๒๐. สุครพี ๓๘ ๒๑. หนมุ าน ๓๙ ๒๒. เครอ่ื งแตง่ กายและเคร่อื งประดบั ตวั พระ (พระราม) ๔๐ ๒๓. เครอื่ งแตง่ กายและเครื่องประดับตวั นาง (นางสดี า) ๔๑ ๒๔. เครอ่ื งแตง่ กายและเครอื่ งประดับตวั ยกั ษ์ (ทศกัณฐ์) ๔๔ ๒๕. เครอื่ งแตง่ กายและเครื่องประดบั ตวั ลงิ (หนมุ าน) ๒๖. การพากย์ เจรจาในการแสดงโขน

ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๑ ความรู้ทัว่ ไปเก่ยี วกบั โขน (ก) คาช้ีแจง ชุดฝกึ ทักษะการปฏิบัติท่าราเพลงชา้ (โขนพระ) ระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ เล่มที่ ๑ ความรู้ท่ัวไป เกี่ยวกับโขน เป็นเอกสารประกอบการสอนในการนาเสนอเน้ือหาอันเป็นความรู้พื้นฐานท่ีนักเรียน จาเป็นต้องทราบเกี่ยวกับโขน โดยมุ่งหวังให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะทางวิชาชีพนาฏศิลป์ไทย (โขน) ด้านทฤษฎีให้เกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ สามารถคดิ วเิ คราะห์ และนาไปใช้ได้อย่างถูกต้องตามแบบแผน สาหรับเอกสารประกอบการสอนเล่มท่ี ๑ น้ี มีจุดประสงค์การสร้างชุดแบบฝึกทักษะ คือ ใช้เป็นส่ือประกอบการเรียนการสอนในรายวิชานาฏศิลป์ไทยโขน และเป็นแนวทางในการวัด ประเมนิ ผลตรงตามหลักสูตรของวิทยาลยั นาฏศิลป สถาบนั บัณฑิตพฒั นศิลป์ ในสาระท่ี ๑ (การฝกึ หัด เบ้ืองต้น และนาฏยศัพท์ขั้นพ้ืนฐาน) สาระท่ี ๒ (ราพื้นฐาน แม่ท่า) โดยมีการประเมินผลจาก แบบทดสอบ ก่อนเรียน – หลังเรียน และชุดกิจกรรมเสริมทักษะท่ีปรากฏท้ายเล่ม ท้ังน้ีได้มี คาแนะนาสาหรับครูผสู้ อน และคาแนะนาสาหรบั นกั เรียนในการใช้เอกสารประกอบการสอนน้ี

ชุดฝกึ ทักษะการปฏิบตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโขน (ข) คาแนะนาสาหรบั ครูผูส้ อน ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๑ ความร้ทู ั่วไปเกย่ี วกบั โขน ๑. ครผู ู้สอนศึกษาสาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ของ หลักสตู รสถานศกึ ษา ในรายวิชานาฏศลิ ปไ์ ทยโขนพระ ๑ รหัส ศ ๒๑๒๐๑ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑ ๒. ครูผสู้ อนศกึ ษาชุดฝกึ ทักษะการฝึกปฏบิ ัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) และจัดเตรียมการเรียนการสอนตาม แผนการจดั การเรียนรู้ ๓. ครูผู้สอนอธิบายรายละเอียดรายวิชา มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ สาระการเรียนรู้ และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้เพื่อใหน้ ักเรียนทราบแนวทางของการเรยี นการสอน ๔. ครูผสู้ อนใหน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียนจานวน 10 ข้อ (10 คะแนน) ใช้เวลา ๑๕ นาที ๕. ครูผู้สอนนาความรู้จากชุดฝึกทักษะการปฏิบัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ท่ัวไป เกี่ยวกับโขนมาทาการอธิบายด้วยการแจกเอกสารเป็นใบความรู้ด้วยไฟล์ Word และให้นักเรียน ศึกษาความรู้ตามแผนการจดั การเรียนรู้ ๖. ชุดฝกึ ทักษะการฝึกปฏิบัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) ในเลม่ ท่ี ๑ ความรู้ท่ัวไปเกี่ยวกับโขน มีชุดกิจกรรม เสริมทักษะ จานวน ๒ ชดุ โดยครผู ้สู อนเน้นใหน้ ักเรยี นทากิจกรรมเสริมทกั ษะชดุ ท่ี ๑ และ ชุดท่ี ๒ ท้าย เล่มใหเ้ รยี บร้อย จากน้นั ใหค้ รูผสู้ อนเฉลยชุดกจิ กรรมเสริมทักษะพร้อมทงั้ อธบิ ายประกอบ ๗. ครูผสู้ อนให้นกั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียนจานวน 10 ข้อ ลงในกระดาษคาตอบ โดยครูผู้สอนสังเกต พฤติกรรมของนักเรียนในการทาแบบทดสอบ เม่ือครบเวลา ๑๕ นาทีให้ครูผู้สอนเฉลยแบบทดสอบ จากนน้ั ครูผู้สอนและนกั เรยี นสรุปความรใู้ นหอ้ งเรียนพร้อมกนั ๘. ครูผู้สอนบันทึกผลคะแนนจากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน เพ่ือดูความก้าวหน้า และพฒั นาการของนักเรียน ๙. ในกรณีท่ีนักเรียนมีผลคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินให้ครูผู้สอนทาการสอนซ่อมเสริมโดยให้ นักเรยี นทาแบบทดสอบจนกว่านักเรยี นจะมผี ลคะแนนผ่านเกณฑ์การประเมนิ ๑๐. หลังจากจบการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีจัดไว้ ครูผ้สู อนให้นักเรียนเสนอแนะเก่ียวกับ เน้ือหา กิจกรรมเสริมทักษะ และแบบทดสอบ เพ่ือเป็นข้อมูลในการนาไปปรับปรุงและพัฒนาให้ เหมาะสมยิ่งขน้ึ ๑๑. ชุดฝึกทักษะการปฏิบัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับโขน สามารถให้ นักเรียนศึกษาเนอ้ื หานอกเวลาเรียนได้ เพอ่ื สะดวกต่อการจัดการเรยี นการสอนในห้องเรียนที่มเี วลา จากัด

ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏิบัตทิ า่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ท่วั ไปเกีย่ วกับโขน (ค) คาแนะนาสาหรบั นกั เรียน ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ทัว่ ไปเกย่ี วกับโขน ๑. นักเรยี นฟังคาอธิบายรายวชิ า มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ สาระการเรยี นรู้ และ จุดประสงค์การเรยี นรเู้ พ่ือให้ทราบแนวทางของการเรียนการสอน ๒. ใหน้ ักเรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน จานวน 10 ขอ้ (10 คะแนน) ภายในเวลา ๑๕ นาที ๓. ให้นกั เรยี นศกึ ษาใบความรู้จากเอกสารท่ไี ดร้ ับจากครผู สู้ อนตามแผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ครผู ้สู อน กาหนดไว้ ๔. ใหน้ กั เรยี นทาชดุ กิจกรรมเสริมทักษะ ชุดที่ ๑ และชดุ ที่ ๒ ตามกาหนดการสอนในแผนการจัดการ เรยี นรู้ จากนั้นฟงั คาเฉลยและคาอธบิ ายจากครูผู้สอน ๕. เมอื่ นักเรียนทาชุดกิจกรรมเสริมทกั ษะทงั้ ๒ ชดุ เรียบร้อยแลว้ ให้นกั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียน จานวน ๑๐ ขอ้ (๑๐ คะแนน) ภายในเวลา ๑๕ นาที จากน้ันฟงั คาเฉลยจากครผู ู้สอน ๖. นกั เรียนและครูผ้สู อนสรปุ ความรู้ทไี่ ดร้ ับจากชุดฝึกทกั ษะฯ เลม่ ที่ ๑ ความรูท้ วั่ ไปเกย่ี วกบั โขน ๗. ในกรณีทน่ี กั เรยี นมีผลคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ใหน้ ักเรยี นมาซอ่ มเสรมิ ตามเวลานดั หมาย กบั ครูผู้สอน จนกว่าจะมีผลคะแนนผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ๘. นกั เรยี นสามารถศกึ ษาชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏิบตั ทิ า่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรทู้ วั่ ไป เก่ียวกบั โขนมากอ่ นล่วงหน้าหรอื ศกึ ษานอกเวลาได้ด้วยตนเองเพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจและจดจา เน้อื หาได้ดยี งิ่ ขนึ้

มาตรฐานการเรียนรู้ ชดุ ฝึกทกั ษะการปฏบิ ัตทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับโขน (ง) ผลการเรยี นรู้ สาระที่ ๑ การฝกึ หดั เบอื้ งตน้ และนาฏยศัพท์ขัน้ พน้ื ฐาน  ศ ๑.๑ มคี วามรูค้ วามเข้าใจเกย่ี วกับทมี่ า ความหมาย หลกั การปฏิบัติ รวมทั้งเหน็ คุณค่าของการ ฝึกหดั เบ้ืองตน้ และนาฏยศพั ท์ขนั้ พื้นฐาน ม.๑/๑ อธบิ ายทม่ี า ความหมาย ประโยชน์ของการฝกึ หัดเบอื้ งต้นและนาฏยศพั ท์เบ้อื งตน้ ได้ ม.๑/๒ ศกึ ษาหลักการปฏบิ ัติการฝกึ หัด เบอื้ งตน้ และนาฏยศพั ท์เบ้ืองตน้ ได้  ศ ๑.๒ มีทักษะปฏบิ ัตกิ ารฝึกหัดเบือ้ งตน้ และนาฏยศัพทข์ ้นั พน้ื ฐานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งตามแบบแผน ม.๑/๑ ปฏิบัตทิ า่ ฝึกหดั เบื้องต้นไดถ้ ูกต้องตามแบบแผน ม.๑/๒ ปฏบิ ัตินาฏยศัพทเ์ บอ้ื งต้น  ได้ถูกต้องตามแบบแผน สาระการเรยี นรู้ หลักการฝึกหัดเบื้องตน้ การน่ัง การทรงตวั การตบเขา่ การถองสะเอว การเต้นเสา การถบี เหล่ยี ม การดดั มือ ดัดแขน ฯลฯ ทม่ี าความหมาย หลกั การวิธีฝึกปฏิบตั ิทา่ นาฏยศพั ทพ์ ้นื ฐาน ถดั เท้า ต้งั วง วง ประเทา้ กระดกเท้า ขยั่น เกบ็ ยดื กระทบ ยกเทา้ กระทุ้งเท้า ฯลฯ

ชดุ ฝึกทักษะการปฏิบตั ทิ ่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๑ ความรู้ทวั่ ไปเก่ียวกบั โขน (จ) มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระที่ ๒ ราพน้ื ฐาน แม่ท่า  ศ ๒.๑ ความรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายประวตั คิ วามเป็นมาองคป์ ระกอบและประโยชน์ของการ ฝึกปฏิบัตริ าพ้นื ฐาน/แมท่ ่า ม.๑/๑ อธบิ ายประวัติความเป็นมาของการราเพลงช้า ม.๑/๒ ระบุองค์ประกอบของการ ราเพลงชา้ ม.๑/๓ อธิบายประโยชน์ของการฝึกปฏิบัติการราเพลงชา้  ศ ๒.๒ มที ักษะในการปฏิบตั ิราพืน้ ฐาน/แมท่ ่าได้อยา่ งถกู ต้อง ตามแบบแผน ม.๑/๑ ออกเสยี งตามจังหวะหนา้ ทบั ปรบไก่ ม.๑/๒ รอ้ งทานองเพลงสร้อยสนไดถ้ กู ต้อง ม.๑/๓ ปฏิบัตทิ ่าราเพลงช้าได้ถูกต้องตามแบบแผน สาระการเรียนรู้ ศ.๒.๑ ศ.๒.๒ (ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓) (ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓) • ประวตั คิ วามเป็นมาของการราเพลงช้า • จังหวะหนา้ ทับปรบไก่ • องคป์ ระกอบของการราเพลงชา้ • ทานองเพลงสร้อยสน • ประโยชนข์ องการฝึกปฏิบัติการราเพลงช้า • ทา่ ราเพลงช้า

ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ัติทา่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ท่ัวไปเก่ยี วกับโขน หนา้ ๑ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (ก่อนเรียน) ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) คาช้ีแจง ๑. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ชุดน้เี ปน็ แบบปรนยั ๔ ตวั เลือก จานวน ๔๐ ขอ้ คดิ เปน็ ๔๐ คะแนน ๒. เนื้อหาของแบบทดสอบแบง่ ออกเป็น ๔ ตอน โดยครอบคลุมการเรียนการสอนจานวน ๔ เรอ่ื ง ได้แก่ ชุดท่ี ๑ ความร้ทู ว่ั ไปเกย่ี วกบั โขน ๑๐ ข้อ ชดุ ที่ ๒ การฝกึ หัดเบื้องตน้ ๑๐ ข้อ ชดุ ท่ี ๓ ประวตั ิความเปน็ มาเพลงช้าและนาฏยศัพท์ ๑๐ ข้อ ชุดที่ ๔ กระบวนท่าราเพลงชา้ ๑๐ ข้อ ๓. ใหน้ กั เรียนเลอื กคาตอบท่ีถกู ต้องทส่ี ดุ เพียงคาตอบเดียวโดยทาเคร่ืองหมาย X ลงในกระดาษคาตอบ (ใช้เวลาในการทา ๖๐ นาที) *************************************************** ตอนท่ี ๑ ชดุ ฝึกทกั ษะการปฏิบตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ท่วั ไปเกย่ี วกบั โขน ดา้ นความรู้ ๑. อิทธิพลของคาว่า “โขน” ในแต่ละภาษามาจากประเทศใด ก. อิหรา่ น ข. อนิ เดีย ค. กมั พูชา ง. ฝร่งั เศส ๒. ข้อใดไมใ่ ชค่ วามหมายของคาวา่ “โขน” ตามพจนานกุ รมราชบัณฑิตยสถาน ก. ชือ่ เรอื พระราชพธิ ี ข. ส่วนปลายสดุ ท้งั ๒ ขา้ งของรางระนาดและฆ้องวง ค. ไม้ท่ตี อ่ เสรมิ หวั เรอื ทา้ ยเรอื ใหง้ อนเชิดขน้ึ ไปเรียกว่า โขนเรือ ง. การเลน่ อย่างหนึง่ คล้ายละครรา แตเ่ ลน่ เฉพาะในเรอ่ื งรามเกียรติ์ โดยผแู้ สดงสวมหัวจาลอง ตา่ งๆ ทเ่ี รียกว่า หัวโขน”

ชุดฝกึ ทักษะการปฏบิ ัติท่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ท่วั ไปเกยี่ วกบั โขน หนา้ ๒ ด้านความจา ๓. พฒั นาการของโขนมี ๕ ประเภทไดแ้ กอ่ ะไรบ้าง ก. โขนกลางแปลง โขนนัง่ ราว โขนโรงใน โขนหนา้ จอ โขนฉาก ข. โขนกลางแปลง โขนนง่ั ราว โขนโรงนอก โขนหนา้ จอ โขนฉาก ค. โขนกลางแปลง โขนนอนโรง โขนโรงนอก โขนหน้าจอ โขนฉาก ง. โขนกลางแปลง โขนน่งั ราว โขนนอนโรง โขนโรงใน โขนหน้าจอ ๔. พระมหากษัตริย์ของไทยพระองคใ์ ดทท่ี รงพระราชนพิ นธ์บทโขนเรอ่ื งธรรมาธรรมะสงคราม ก. พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกลา้ เจา้ อย่หู วั ข. พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ค. พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ง. พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัว ด้านความเขา้ ใจ ๕. ขอ้ ใดไมใ่ ชว่ ิธกี ารแบบละครในท่ีเขา้ มาผสมกับการแสดงโขนโรงใน ก. การขบั ร้องรับส่ง ข. การเปดิ หนา้ ผู้แสดงตวั พระและตวั นาง ค. การนาระบาเขา้ มาแทรกอยใู่ นการแสดง ง. การนาเตียงเข้ามาเปน็ อุปกรณ์ประกอบการแสดงโขน ๖. ข้อใดกลา่ วถกู ต้องเก่ยี วกบั การเรยี กว่า “แตง่ กายยนื เคร่ือง” ก. การแต่งชุดเครือ่ งยืนราเป็นระยะเวลานาน ข. การแต่งกายเลยี นแบบเครื่องตน้ เครือ่ งทรงของพระมหากษตั รยิ ์ ค. ตัวเอกจะแต่งกายเลยี นแบบเครอื่ งต้นเครอ่ื งทรงของพระมหากษตั รยิ ์เพยี งผเู้ ดียวในโรง ง. ตัวเอกจะแต่งกายเลยี นแบบเครื่องต้นเครื่องทรงของพระมหากษัตริยย์ นื ราคนเดียว ส่วนตวั นางและตวั จาอวดจะน่ังรา ดา้ นการนาไปใช้ ๗. หากนักเรียนตอ้ งแต่งกายยืนเคร่ืองพระ นกั เรยี นต้องทดั อุบะดอกไม้ดา้ นไหน ก. ทดั อุบะ ดอกไมข้ า้ งขวา ข. ทดั อบุ ะ ดอกไมข้ า้ งซ้าย ค. ทัดอบุ ะขา้ งขวา ดอกไมข้ า้ งซ้าย ง. ทัดอุบะ ดอกไม้ขา้ งไหนก็ไดแ้ ล้วแต่ความสะดวก

ชดุ ฝกึ ทักษะการปฏบิ ตั ทิ ่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ทว่ั ไปเก่ยี วกบั โขน หนา้ ๓ ๘. หากนักเรยี นมโี อกาสชว่ ยจดั การแสดงโขนหน้าจอ นักเรยี นต้องใชเ้ ตียงวางบนเวทตี รงจุดไหนบ้าง ก. วางเตยี งไว้ทก่ี ลางเวที ๑ ตวั ข. วางเตยี งไว้ทด่ี า้ นหนา้ เวที ๑ ตวั ค. วางเตยี งไวท้ ี่หนา้ ประตูทางออกฝง่ั ละ ๑ ตวั ง. วางเตียงไว้ทหี่ น้าภาพเขียนฝ่ายพลับพลา ๑ ตัว และภาพเขยี นฝ่ายลงกา ๑ ตัว ด้านการคดิ วเิ คราะห์ ๙. ตัวละครโขนพระมีการแต่งกายที่คล้ายคลึงกันแต่นักเรียนจะเห็นความแตกต่างของตัวละครตาม บรรดาศักดิ์ โดยสงั เกตไดจ้ ากการส่ิงใด ก. ลายของฉลององค์ ข. ยอดทส่ี วมใส่กบั ชฏา ค. สีของเคร่อื งแต่งกาย ง. การใสเ่ ครื่องประดับแหวนหรอื กาไล ๑๐. สถานการณ์ใดใช้บทพากย์ไม่ตรงตามประเภท ก. สุดใจเสยี ใจทไี่ ม่ได้ไปเทย่ี วกับครอบครวั : พากย์โอ้ ข. ศริ ไิ ปเท่ียวอทุ ยานแห่งชาตหิ ้วยขาแขง้ : พากย์ชมดง ค. ตุด๊ ตูใ่ ชเ้ วลาสนทนากับครอบครัวอยูใ่ นหอ้ งรบั แขกทบ่ี ้าน : พากย์เมือง ง. หนดู นี งั่ รถไปเท่ียวกับหนูแดงทนี่ า้ ตกเจด็ สาวนอ้ ย : พากยบ์ รรยาย ตอนที่ ๒ ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๒ การฝึกหดั เบอ้ื งตน้ ดา้ นความรู้ ๑. การฝึกหดั เบือ้ งต้นคอื อะไร ก. การฝึกหดั ขน้ั ตน้ ในการเคลอ่ื นไหวรา่ งกาย ข. การฝึกอิริยาบถของตวั ละครเพอื่ นาไปใช้ในการแสดง ค. การฝกึ หดั ขนั้ พื้นฐานเพือ่ เตรียมความพร้อมไปส่กู ารฝกึ หดั ขนั้ สงู ง. การฝกึ ขน้ั พื้นฐานของตัวละครพระที่ต้องนาไปใชใ้ นการแสดงโขน – ละคร ๒. ข้อใดไม่ใชน่ าฏยศพั ทท์ ี่แทรกอย่ใู นการเต้นเสา ก. เก็บ ข. ขยัน่ ค. ตะลึกตึก ง. ลงเหล่ียม

ชดุ ฝึกทกั ษะการปฏิบตั ิทา่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ท่ัวไปเกี่ยวกับโขน หน้า ๔ ด้านความจา ๓. การปรบั สรีระผูเ้ รยี นดว้ ยการสอนองค์ ๕ คาท่ขี ดี เส้นใตข้ อ้ ใดกล่าวถกู ต้องที่สุด ก. ตึงตัว ตึงไหล่ ตงึ เอว ตึงคอ และตงึ มือ ข. ตึงตัว ตงึ หลัง ตงึ ไหล่ ตึงเอว และตงึ มือ ค. ตงึ ตัว ตงึ ไหล่ ตึงเอว ตงึ มือ และเปิดปลายคาง ง. ตงึ หลัง ตงึ ไหล่ ตงึ เอว ตงึ มอื และเปดิ ปลายคาง ๔. ขอ้ ใดไมจ่ ดั อยู่ในขอ้ หา้ มระหว่างทีค่ รูผู้สอนกาลังถบี เหลย่ี มใหก้ บั ผเู้ รียน ก. ห้ามผ้เู รียนเอามอื ยันขาตนเอง ข. หา้ มผเู้ รียนพดู คยุ หรือสนทนากับครผู ู้สอน ค. หา้ มผเู้ รียนควา่ หรอื โนม้ ตัวมาดา้ นหนา้ ง. หา้ มผเู้ รียนยดื ตัวข้ึนในขณะกาลังถบี เหล่ยี ม ดา้ นความเขา้ ใจ ๕. สัญจรได้รบั คัดเลือกให้ฝกึ หดั บทบาทพระนอ้ ย แสดงว่าสญั จรไดร้ ับบทบาทตัวละครใด ก. พระอศิ วร ข. พระราม ค. พระพรต ง. พระลักษมณ์ ๖. หากกาลงั ฝึกหัดการตบเข่า และได้ยินเสยี งสญั ญาณเคาะไม้ ๒ ครง้ั แสดงว่าผ้เู รียนต้องทาสง่ิ ใด ก. หยุดปฏิบตั ิแลว้ เอามอื ลง ข. หยดุ ปฏิบัติแลว้ คา้ งท่านิง่ ไว้ ค. ปฏิบตั ิการตบเขา่ แบบเปิดจงั หวะ ง. ปฏิบตั ิตอ่ ไปแต่เร่ิมนบั จงั หวะท่ี ๑ ด้านการนาไปใช้ ๗. เม่ือนักเรยี นตอ้ งการดดั แขนและนิว้ มอื ด้วยตนเอง นกั เรียนจะปฏบิ ัติตามขอ้ ใดจงึ จะถกู ตอ้ ง ก. น่งั คุกเขา่ ยน่ื แขนให้ครูผสู้ อนจับที่ข้อศอกและปลายนว้ิ มอื จากน้ันครูจะโนม้ ขอ้ มอื ของนกั เรยี น ไปทางด้านลาแขน ข. นั่งพับเพยี บทางขวา ใช้แขนซ้ายวางบนเข่าซา้ ย ใช้มือขวาจบั ฝ่ามอื และรวบนว้ิ มือให้หงาย ไปทางลาแขนใหไ้ ดม้ ากทส่ี ดุ ค. น่งั คุกเข่า ยน่ื แขนใหค้ รูผู้สอนจับทข่ี ้อศอกและปลายน้ิวมือของนกั เรียน จากนั้นครจู ะโนม้ ขอ้ ปลายนว้ิ มือของนกั เรยี นไปทางดา้ นลาแขน ง. น่งั ชันเข่าสองขา้ งใหส้ ้นเทา้ ชดิ กนั จากน้นั ประสานมือพลกิ ให้ฝ่ามอื หนั ออกไปดา้ นนอก ลาตัวแลว้ ใชเ้ ขา่ ทั้งสองขา้ งบีบข้อศอกใหข้ ้อพบั แขนชดิ กนั ใหม้ ากทสี่ ดุ

ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏิบตั ทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ท่ัวไปเกีย่ วกบั โขน หนา้ ๕ ๘. เมื่อครใู ห้นักเรียนเตรยี มพรอ้ มโดยการยนื ท่าพระ นกั เรยี นจะปฏิบตั แิ บบใดจึงจะถกู ต้อง ก. ยืนนา้ หนกั อยทู่ เ่ี ท้าขวา ส่วนเท้าซา้ ยใชจ้ มกู เท้าแตะพ้ืนย่ืนไปดา้ นหน้าเฉยี งทางซ้าย ใชม้ ือขวา เทา้ สะเอว สว่ นมอื ซา้ ยทอดแขนตึงใชฝ้ า่ มอื วางบนหนา้ ขาซ้าย เอียงศีรษะทางขวา ข. ยนื นา้ หนกั อย่ทู ีเ่ ท้าซ้าย สว่ นเท้าขวาใช้จมูกเทา้ แตะพ้นื ย่ืนไปดา้ นหนา้ เฉียงทางขวา ใชม้ ือซ้าย เท้าสะเอว สว่ นมอื ขวาทอดแขนตึงใชฝ้ า่ มอื วางบนหนา้ ขาขวา เอียงศรี ษะทางซา้ ย ค. ยนื น้าหนกั อยู่ที่เทา้ ขวา สว่ นเท้าซ้ายใช้จมูกเท้าแตะพืน้ ย่นื ไปดา้ นหนา้ เฉยี งทางซา้ ย ใชม้ อื ขวา เท้าสะเอว สว่ นมือซา้ ยทอดแขนตงึ ใชฝ้ ่ามอื วางบนหนา้ ขาซ้าย เอยี งศรี ษะทางซา้ ย ง. ยนื น้าหนักอย่ทู เ่ี ทา้ ซ้าย สว่ นเทา้ ขวาใชจ้ มูกเทา้ แตะพนื้ ยน่ื ไปดา้ นหนา้ เฉียงทางขวา ใช้มือซ้าย เทา้ สะเอว สว่ นมอื ขวาทอดแขนตึงใชฝ้ ่ามอื วางบนหนา้ ขาขวา เอียงศีรษะทางขวา ด้านการคิดวิเคราะห์ ๙. การฝกึ เดิน , ขึ้นเตยี ง , นงั่ , ลงเตียง และ เดนิ เป็นการฝึกอริ ิยาบถของตวั พระสถานภาพใด ก. เขน ข. เสนา ค. กดิ าหยนั ง. เจ้านาย หรอื กษตั ริย์ ๑๐. สถานการณ์ใดเปน็ การฝึกหดั ทา่ เบอื้ งตน้ แล้วได้ประโยชนต์ รงตามท่ีต้องการมากที่สดุ ก. สงิ หาต้องการสร้างบุคลกิ ภาพที่ดจี งึ ฝึกการเต้นเสาทุกๆ เช้า ข. กมุ ภาอยากสร้างพละกาลังในการฝึกจึงใหธ้ ันวาถีบเหลี่ยมให้ ค. ตลุ าต้องการฝกึ จงั หวะพื้นฐานการหดั โขนจงึ ใหก้ ันยาชว่ ยดัดมอื ดดั แขน ง. เมษาอยากมกี ารเคลอื่ นไหวอวัยวะให้เกิดความสมั พนั ธ์กนั จึงฝกึ ถองสะเอวบอ่ ยๆ ตอนท่ี ๓ ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏิบตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๓ ประวตั คิ วามเป็นมาเพลงชา้ และ นาฏยศัพท์ ด้านความรู้ ๑. สมยั โบราณเรียกการราเพลงช้าว่าอกี ชื่อหนึ่งว่าอยา่ งไร ก. เพลงรา ข. ราเพลง ค. ราใช้บท ง. เพลงแม่ลูกออ่ น ๒. การร้องจังหวะ “จะ โจ้ง จะ ทงิ โจ้ง ทิง” มตี ้นกาเนดิ มาจากเสียงรอ้ งของลกู คใู่ นการร้องเพลง พ้นื เมือง คอื เพลงอะไร ก. เพลงฉา่ ข. เพลงฉอ่ ย ค. เพลงเทพทอง ง. เพลงปรบไก่

ชุดฝกึ ทักษะการปฏิบัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ทวั่ ไปเกย่ี วกบั โขน หน้า ๖ ดา้ นความจา ๓. ข้อใดไมใ่ ชป่ ระโยชน์เฉพาะทไ่ี ดร้ ับจากการฝึกราเพลงช้า ก. มที ักษะในการราอยา่ งคลอ่ งแคลว่ ว่องไว ข. เปน็ แม่แบบของผู้รักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติ ค. รู้จกั วธิ ีการเช่ือมทา่ ราตา่ งๆ ให้ตดิ ตอ่ กนั อย่างสนิทสนม ง. จดั รูปทรง สดั สว่ น ให้ไดม้ าตรฐานถงึ ความงดงามตามรูปแบบนาฏศิลป์ ๔. ใครเป็นผไู้ ด้รับการฝึกหดั และนาท่าราเพลงช้า (โขนพระ) มาถา่ ยทอดใหก้ บั โรงเรยี นศิลปากร แผนกนาฏดุรยิ างคศิลป์ ซง่ึ ปจั จบุ นั คอื วทิ ยาลยั นาฏศลิ ป ก. นายธนติ อย่โู พธิ์ ข. นายอาคม สายาคม ค. พลตรีหลวงวจิ ิตรวาทการ ง. พระยานฏั ภานรุ กั ษ์ (ทองดี สวุ รรณภารต) ดา้ นความเขา้ ใจ ๕. เหตใุ ดในการฝึกหัดราเพลงช้าจงึ ต้องมกี ารหัดราด้วยการรอ้ งจงั หวะ “จะ โจ้ง จะ ทิง โจ้ง ทิง” ก. รอ้ งจังหวะเพอ่ื แทนสัญญาณการเคาะไม้ ข. ฝกึ ใหน้ ักเรยี นสามารถร้องเพลงตรงจงั หวะ ค. เปน็ ธรรมเนยี มในการฝกึ ปฏิบัตทิ ่ีมีมาแต่โบราณ ง. เพอ่ื ให้ไดร้ จู้ กั จงั หวะหน้าทบั ปรบไก่ และเปน็ สัญญาณใหจ้ งั หวะในการรา ๖. ข้อใดคอื นาฏยศัพท์ท่ใี ช้สาหรบั การแสดงโขนของตัวพระ ก. หยอ่ ง ข. แจกไม้ ค. จบั สามเส้า ง. กระทบื ฟัน ด้านการนาไปใช้ ๗. หากวิชาตอ้ งการฝึกการเปล่ียนถา่ ยน้าหนักตวั ในลักษณะก้าวขา้ ง วิชาต้องปฏบิ ตั ินาฏยศัพท์ใด ก. ใช้ตวั ข. โยต้ ัว ค. ยกั ตัว ง. ยอ้ นตวั ๘. การยืนด้วยเท้าข้างใดขา้ งหนงึ่ ส่วนอีกข้างหน่งึ เปดิ ปลายเทา้ เฉียงออกไปดา้ นขา้ งวางใหส้ ้นเท้าอยู่ ระดับเดียวกนั กับฝา่ เท้าของขาขา้ งทีย่ ืน ตึงนวิ้ เทา้ ทงั้ หา้ น้ิว ย่อเขา่ ทงั้ สองลง เปน็ การปฏบิ ตั นิ าฏย ศัพทท์ า่ ใด ก. ประเทา้ ข. จรดเทา้ ค. ประสมเทา้ ง. เหลอื่ มเทา้

ชดุ ฝึกทักษะการปฏิบัตทิ า่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโขน หนา้ ๗ ด้านการคิดวิเคราะห์ ๙. ตัง้ วง เป็นช่อื นาฏยศัพท์ที่ถกู เรียกตามลกั ษณะอวยั วะส่วนใด ก. นว้ิ มอื ข. ฝ่ามอื ค. ข้อศอก ง. ลาแขน ๑๐. นาฏยศพั ทข์ อ้ ใดไม่ใชน่ าฏยศัพทใ์ นการเคลื่อนไหว ก. หม่ เขา่ ข. วาดแขน ค. แทงมอื ง. เหลอ่ื มเท้า ตอนท่ี ๔ ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๔ กระบวนทา่ ราเพลงชา้ ด้านความรู้ ๑. การราเพลงช้าเริม่ ตน้ ด้วยการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยทา่ ใด ก. นั่งคุกเขา่ มือทั้งสองพนมทอี่ ก ข. น่ังคุกเขา่ มอื ท้ังสองวางบนหนา้ ขา ค. ยืนประสมเทา้ มือทงั้ สองตั้งวงกลาง ง. ต้งั เข่าซา้ ย มือขวาตั้งวงบน มือซ้ายจีบสง่ หลงั ๒. จากภาพทา่ รามีการในาฏยศพั ทส์ ว่ นมือและแขนทเ่ี รียกว่า อะไร ก. วงบน ข. วงกลาง ค. วงล่าง ง. วงหน้า ด้านความจา ๓. การราเพลงช้าปฏบิ ตั ิทา่ ถวายบังคมกีค่ ร้งั ก. ๑ ครั้ง ข. ๒ ครั้ง ค. ๓ ครั้ง ง. ๔ ครั้ง ๔. ลักษณะมอื ทใี่ ช้ในภาพทา่ รา เรยี กว่าอะไร ก. ถูมือ ข. บดมอื ค. พลิกมอื ง. กลบั มอื

ชุดฝกึ ทักษะการปฏบิ ัตทิ า่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ทวั่ ไปเก่ยี วกับโขน หน้า ๘ ด้านความเขา้ ใจ ๕. จากภาพทา่ รา มีช่อื เรียกว่าทา่ อะไร ก. ท่าเทพนม ข. ทา่ แผลงศร ค. ทา่ ร้อยดอกไม้ ง. ทา่ แขกเต้าเข้ารงั ๖. การเรยี กทา่ แผลงศร คอื ภาพท่าราใด ก. ข. ค. ง. ด้านการนาไปใช้ ๗. จากภาพท่ารามีการเคลือ่ นไหวเทา้ ท่ี เรียกวา่ อะไร ก. จรดเท้า ข. แตะเทา้ ค. สูดเทา้ ง. วางสน้ เท้า ๘. ทา่ ราทม่ี กี ารฉายเท้า ใช้อวยั วะสว่ นใดของเทา้ ในการเคล่อื นไหว ก. จมกู เทา้ ข. สน้ เท้า ค. ปลายน้วิ เทา้ ง. ฝ่าเท้า

ชดุ ฝึกทกั ษะการปฏิบตั ิทา่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกบั โขน หนา้ ๙ ดา้ นการคดิ วิเคราะห์ ๙. จากภาพท่าราด้านลา่ ง ภาพทา่ ราทห่ี ายไปต้องปฏบิ ัตทิ ่าราใด ? ก. ข. ค. ง. ๑๐. “ยนื ประสมเทา้ มือซ้ายต้ังวงบน มือขวาจบี หงายแขนตึงระดบั ไหล่ออกไปด้านข้างลาตวั ศีรษะ ตรง” จากการอธิบายทา่ ราข้างต้น ตรงกบั การปฏิบตั ิท่าราภาพใด ก. ข. ค. ง.

ชดุ ฝึกทักษะการปฏิบตั ทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเกีย่ วกบั โขน หนา้ ๑๐ กระดาษคาตอบ ๔๐ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ (กอ่ นเรียน) ชุดฝึกทกั ษะการปฏิบตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลขท่ี ชือ่ สกุล ชัน้ ขอ้ ก ข ค ง ข้อ ก ข ค ง ขอ้ ก ข ค ง ขอ้ ก ข ค ง 1 11 21 31 2 12 22 32 3 13 23 33 4 14 24 34 5 15 25 35 6 16 26 36 7 17 27 37 8 18 28 38 9 19 29 39 10 20 30 40

ชดุ ฝกึ ทักษะการปฏบิ ัติท่าราเพลงช้า (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ท่วั ไปเกยี่ วกบั โขน หนา้ ๑๑ แบบทดสอบก่อนเรยี น ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏิบตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรทู้ ่วั ไปเก่ยี วกบั โขน ช่อื สกุล ชน้ั เลขท่ี คาชีแ้ จง ๑. แบบทดสอบชดุ นเ้ี ป็นแบบปรนัย ๔ ตัวเลอื ก จานวน ๑๐ ข้อ (ขอ้ ละ ๑ คะแนน) ๒. จงเลือกคาตอบท่ีถกู ต้องทส่ี ดุ เพียงคาตอบเดียวแล้ว X ลงในกระดาษคาตอบ ๑. ข้อใดคือความหมายของ “โขน” ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ก. ชอ่ื เรอื พระราชพิธี ข. ช่ือการละเล่นอยา่ งหนง่ึ ค. การเรียกรางระนาดและฆอ้ งวง ง. ไมท้ ต่ี ่อเสริมหวั เรือทา้ ยเรือใหง้ อนเชดิ ขน้ึ ไปเรยี กว่า โขนเรอื ๒. ขอ้ ใดไม่ใช้กาเนิดของโขน ก. หนงั ใหญ่ ข. กลุ าตไี ม้ ค. กระบีก่ ระบอง ง. ชักนาคดกึ ดาบรรพ์ ๓. อทิ ธิพลของหนงั ใหญ่ท่ีนามาใช้ในการแสดงโขนคอื ขอ้ ใด ก. การเต้น และการต่อสู้ ข. การเต้น และการพากย์ เจรจา ค. การเตน้ การแตง่ กาย และการต่อสู้ ง. การเตน้ การตอ่ สู้ การแต่งกาย และการพากย์ เจรจา ๔. พัฒนาการของโขนมี ๕ ประเภทไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ก. โขนกลางแปลง โขนนัง่ ราว โขนโรงใน โขนหนา้ จอ โขนฉาก ข. โขนกลางแปลง โขนนัง่ ราว โขนโรงนอก โขนหนา้ จอ โขนฉาก ค. โขนกลางแปลง โขนนอนโรง โขนโรงนอก โขนหน้าจอ โขนฉาก ง. โขนกลางแปลง โขนน่งั ราว โขนนอนโรง โขนโรงใน โขนหน้าจอ ๕. ในสมยั อยุธยาได้ปรากฏคาว่า “โขน” อยใู่ นจดหมายเหตขุ องเดอลาลูแบร์ ราชทูตชาวฝรั่งเศส ตรง กับรชั สมยั ของพระมหากษตั ริย์พระองค์ใด ก. สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ข. สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ค. สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวบรมโกศ ง. สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ ๑ (พระเจ้าอูท่ อง)

ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏิบตั ิท่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเกย่ี วกับโขน หน้า ๑๒ ๖. ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มวี ิวฒั นาการในเรื่องของฉาก ประกอบการแสดงและบทรอ้ งตามแบบอยา่ งละครประเภทใด ก. ละครใน ข. ละครนอก ค. ละครพันทาง ง. ละครดึกดาบรรพ์ ๗. รามเกยี รต์ิ มีเค้าเรื่องมาจากมหากาพย์เร่ืองใด ก. โอดิสซีย์ ข. กิลกาเมซ ค. รามายณะ ง. มหาภารตะ ๘. ฝ่ายพลับพลา เปน็ คาทใ่ี ชเ้ รียกฝ่ายใด ก. ฝ่ายธรรมะ ข. ฝ่ายอธรรม ค. ฝ่ายทศกณั ฐ์ ง. ฝา่ ยพระราม ๙. การพากย์โขนแบ่งออกเปน็ ๖ ประเภท ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง ก. พากยเ์ มือง พากย์รถ พากย์โอ้ พากย์ชมดง พากยบ์ รรยาย และพากยท์ ัว่ ไป ข. พากย์เมอื ง พากย์รถ พากย์โอ้ พากยช์ มดง พากย์บรรยาย และพากย์เบ็ดเตลด็ ค. พากยเ์ มอื ง พากยร์ ถ พากยช์ มดง พากยช์ มเมือง พากย์บรรยาย และพากย์ท่วั ไป ง. พากย์เมอื ง พากย์รถ พากย์ชมดง พากย์ชมเมอื ง พากยบ์ รรยาย และพากย์เบ็ดเตล็ด ๑๐. ขอ้ ใดจัดเปน็ เครอื่ งแตง่ กายในสว่ นพัสตราภรณใ์ นการแต่งกายยืนเครอ่ื ง ก. สนับเพลา , ภษู า , สังวาล , ทบั ทรวง , แหวนรอบ , ปะวะหล่า , กรองคอ ข. สนับเพลา , ภษู า , ห้อยขา้ ง , หอ้ ยหน้า , ฉลององค์ , รดั สะเอว , กรองคอ ค. สนบั เพลา , ภษู า , หอ้ ยขา้ ง , ห้อยหน้า , แหวนรอบ , ปะวะหลา่ , กรองคอ ง. สนบั เพลา , ภษู า , สงั วาล , ทบั ทรวง , แหวนรอบ, ฉลององค์ , รัดสะเอว , กรองคอ

ชดุ ฝกึ ทักษะการปฏิบัตทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเกีย่ วกบั โขน หน้า ๑๓ กระดาษคาตอบ ๑๐ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ชดุ ฝกึ ทกั ษะการฝกึ ปฏบิ ตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรทู้ ว่ั ไปเก่ยี วกบั โขน ช่อื สกลุ ช้ัน เลขที่ ข้อ ก ข ค ง ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐

ชุดฝึกทักษะการปฏิบตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเก่ยี วกับโขน หนา้ ๑๔ ชุดฝกึ ทักษะการฝกึ ปฏบิ ตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๑ ความรูท้ ่วั ไปเกีย่ วกบั โขน โขน เป็นนาฏกรรมช้ันสูงท่ีมีมาแต่โบราณ อันสามารถบง่ บอกถึงเอกลักษณ์ประจาชาติไทย ได้เป็นอย่างดี โดยโขนเป็นศิลปวัฒนธรรมทางการแสดงท่ีรวมศิลปะหลายแขนงเข้าด้วยกัน เช่น วรรณศิลป์ วรรณกรรม หตั ถศิลป์ คีตศลิ ป์ นาฏศลิ ป์ ทาใหโ้ ขนเป็นท่ีนิยมในสังคมท้ังอดตี และปจั จุบนั เอกสารประกอบการเรียนการสอนชุดนี้ จึงได้นาเสนอเน้ือหาท่ีเป็นความรู้ทั่วไปเก่ียวกับโขน เพ่ือให้ ทราบถงึ ขอ้ มูลเบอื้ งต้น และความเปน็ มาในศิลปะของไทยท่ีเรยี กว่า “โขน” ตามหัวขอ้ ต่อไปน้ี ๑. ที่มาของคาว่า “โขน” ๒. กาเนิดโขน ๓. พัฒนาการโขน ๔. ยคุ สมัยของโขน ๕. เรอื่ งทใ่ี ช้แสดงโขน ๖. ตวั แสดงโขน ๗. เคร่ืองแต่งกายโขน ๘. วงดนตรที ใ่ี ชบ้ รรเลงประกอบการแสดงโขน ๙. การพากย์ – เจรจา ๑. ท่ีมาของคาวา่ “โขน” ภาพที่ ๑ นาฏกรรมโขน ทมี่ า: Facebook biggy sombuundee โขน คอื มหานาฏกรรมของไทยทแ่ี สดงความเปน็ เอกลักษณข์ องตนเองและมีวิวัฒนาการมา อย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่พบหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรจารึกหรือหลักฐานทางโบราณคดีมาก่อน จนกระท่ังพบคาว่า โขน จากบันทึกในจดหมายเหตุของชาวต่างชาติท่ีเคยเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี ทางการทูตกบั ประเทศสยามในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไดม้ ีการกล่าวถึงโขน และอธิบาย รูปแบบลักษณะของวิธีการเล่นไว้ค่อนข้างละเอียด จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า โขนน่าจะเป็นนาฏกรรม ทมี่ ากอ่ นสมยั อยธุ ยา (วีระศิลป์ ชา้ งขนนุ , ๒๕๕๖, น. ๓๑)

ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ ่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ทวั่ ไปเกย่ี วกับโขน หนา้ ๑๕ คาว่า “โขน” ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นคาศัพท์ภาษาไทย หรือนามาจากภาษาอ่ืน นายธนิต อยู่โพธ์ิ (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร) ได้ทาการสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับท่ีมาของคาว่า “โขน” พบว่า โขน มีที่มาจากหลายภาษา โดยสันนิษฐานจากการออกเสียงที่มสี าเนยี งคล้ายคลึงกบั คาว่า โขน และให้ความหมายทส่ี ัมพนั ธก์ บั นาฏกรรมโขน ไดแ้ ก่ ๑. ภาษาเบงคาลี คาวา่ “โขล” หรือ “โขละ” (โขฬะ) เป็นคาหนึ่งทม่ี ีวิธีการออกเสยี ง ทค่ี ล้ายคลึงกับคาวา่ “โขน” ในภาษาไทย โดยในความหมายของภาษาเบงคาลี “โขล” เป็นช่ือเครือ่ ง ดนตรีชนิดหนงึ่ ของฮนิ ดทู ข่ี งึ ดว้ ยหนงั และใช้ตีมรี ูปรา่ งเหมือนมฤทังคะ หรอื ทเ่ี ราเรียกวา่ “ตะโพน” ๒. ภาษาทมฬิ คาว่า “โกล” หรือ “โกลมั ” มีความหมายถงึ เพศ หรือ การแตง่ ตัวทบี่ ่ง บอกใหร้ ู้ถงึ เพศ ๓. ภาษาอิหร่าน คาว่า “ควาน” หรือ “โขน” มีความหมายว่า ผู้อ่านหรือผู้ขับร้อง แทนตวั ตุ๊กตาหรอื หุน่ ถา้ เปรยี บกับโขนของไทย หมายถึง ผพู้ ากยเ์ จรจา ๔. ภาษาเขมร คาว่า “ละโขน” มีความหมายว่า การเล่นอย่างหนึ่งเล่นเรื่องตา่ งๆ ท้ังนี้ ยงั มคี าว่า”โขล” ท่เี หมือนกบั ภาษาเบงคาลี โดยมีความหมายวา่ ละครชาย เลน่ เรอ่ื งรามเกียรต์ิ จากที่มาของคาว่า “โขน” ท่ีสืบเนื่องมาจาก ๔ ภาษาท่ีกล่าวมาข้างต้น แม้จะยังขาด ความหมายท่ีแสดงให้เห็นถึงผู้เต้นรา แต่จากหลักฐานที่ได้สืบค้นแสดงให้เห็นว่า แต่เดิมมีท่ีมาจาก อินเดียด้วยกันทั้งสิ้น เพราะแม้ท่ีว่าเป็นคาอิหร่าน ท่านอานันทกุมารสวาม์ิก็ว่าได้รับอิทธิพลมาจาก อนิ เดียเช่นกนั (ธนิต อยูโ่ พธ,์ิ ๒๕๑๑, น. ๒๐-๒๓) ส่วนคาว่า “โขน” ในภาษาไทย ตามพจนานุกรมนักเรียนฉบับปรับปรุงได้ให้ความหมาย ดงั น้ี ๑. ช่ือการแสดงอย่างหนึ่งใช้การเต้นเป็นหลัก ผู้แสดงสวมหัวจาลองต่างๆ เรียกว่า หวั โขน เล่นเฉพาะเร่ืองรามเกียรต์ิ ๒. ไมท้ ่ตี ่อเสรมิ หัวเรอื ทา้ ยเรือใหง้ อนเชดิ ขึน้ ไปและมกั ทาเป็นรูปตา่ งๆ เรยี กวา่ โขนเรือ ๓. ข้างของรางระนาดและฆ้องวงที่งอนข้ึนไป (พจนานุกรมนักเรียนฉบับปรับปรุง, ๒๕๕๘, น. ๘๖) นอกจากนี้ ยังมีผู้ให้ความหมายของคาว่า “โขน” คือ นาฏกรรมช้ันสูงอย่างหนึ่งของไทย ที่มีมาต้ังแต่สมัยโบราณและได้มีวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน ความเป็นมาของโขน ธนิต อยู่โพธิ์ ได้ กล่าวไว้ในหนังสือ “โขน” ว่า คนไทยเรามีศิลปะแห่งการเล่นหลายอย่างสืบมาแตโ่ บราณและการเล่น ท่ีปรากฏเป็นมหรสพสาคัญในภายหลังน้ี น่าจะได้แก่การเล่นท่ีเรียกกันรวมๆ ว่า ระบา รา เต้น ซ่ึงมี ความหมายต่อมาว่าโขน (ธีรภัทร์ ทองนิม่ , ๒๕๕๕, น. ๑ – ๓) ดงั น้ัน คาวา่ “โขน” สันนิษฐานวา่ มีอิทธพิ ลมาจากอินเดยี โดยมีคาทอี่ อกเสยี งคล้ายคลึงกัน ๔ คา ไดแ้ ก่ โขล (ภาษาเบงคาลี) หมายถึง เครื่องดนตรี โกล (ภาษาทมฬิ ) หมายถงึ เพศ โขน (ภาษา อหิ รา่ น) หมายถงึ ผอู้ า่ นหรอื ผู้ขบั รอ้ ง และ “ละโขน” กับ “โขล” (ภาษาเขมร) หมายถึง การเล่นอย่าง หนึ่งเป็นละครชายเร่ืองรามเกียรติ์ ส่วนคาว่า “โขน” ในภาษาไทย มีความหมายหลายประการ แต่ ในทางนาฏศิลป์ โขน หมายถึง นาฏกรรมชั้นสูงที่เป็นการเล่นอย่างหนึ่งโดยผู้แสดงสวมหัวโขน และ เล่นเฉพาะเรือ่ งรามเกียรต์ิ

ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ท่วั ไปเก่ียวกับโขน หนา้ ๑๖ ภาพที่ ๒ หนงั สือบทละครเรอ่ื งรามเกยี รติ์ ทีม่ า: https://www.rimkhobfabooks.com/ ๒. กาเนิดโขน โขน เป็นศิลปะท่ีมีมาแต่โบราณที่รวมเอาการเล่นตา่ งๆ เข้ามารวมอยู่ในการแสดงโขน โดย สันนษิ ฐานว่ามีกาเนดิ มาจากการเลน่ ๓ ประเภท คอื ภาพที่ ๓ การเล่นหนงั ใหญ่ https://www.thailandtopvote.com ๑. หนังใหญ่ เปน็ มหรสพหนงึ่ ท่ีอาจเปน็ เค้าโครงของโขน หนงั ใหญ่จะมีลกั ษณะตัวหนัง ใหญ่กว่าหนังตะลุง และใช้แผ่นหนังวัวฉลุสลักเป็นรูปตัวละครหรือตัวโขนในเร่ืองรามเกียรติ์ มีไม้ผูก ทาบตวั หนังไวท้ ั้งสองข้างเพ่ือให้ตัวหนังต้ังตรงไม่งอหรือคด และทาเป็นคันย่ืนยาวลงมาใต้ตัวหนังสอง ข้างใหม้ อื ทง้ั สองสามารถจับและยกได้ถนดั

ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ัตทิ ่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๑ ความรู้ทวั่ ไปเกยี่ วกับโขน หนา้ ๑๗ ภาพที่ ๔ ลายหนงั ใหญ่ ที่มา: https://sites.google.com/ โดยวิธีการเชิดหนังใหญ่ จะใชค้ นเชิด ๑ คน ต่อตัวหนัง ๑ ตวั โดยคนเชิดจับไม้ทาบตัว หนังชูตัวหนังขึ้นพ้นศีรษะของตน ให้เงาตัวหนังไปติดอยู่ที่จอผ้าขาวเพื่อให้คนดูได้เห็นรูป และ ลวดลายของตวั หนัง จากนน้ั ผู้เชดิ เตน้ ไปตามจังหวะดนตรี โดยมคี นพากย์ คนเจรจาตามเรอ่ื งที่กาหนด ไว้ คนพากย์จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เร่ืองราวท่ีจะแสดงเป็นอย่างดี และต้องเป็นกวีท่ีมีความสามารถ เพราะคาพากย์เป็นฉันท์ กาพย์ ร่ายยาว อีกท้ังคนพากย์-เจรจาต้องเป็นผู้บอกเพลงหน้าพาทย์ให้กับ นักดนตรบี รรเลงประกอบการเลน่ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งด้วย สาหรับวงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงหนังใหญ่ ใช้วงป่ีพาทย์เครื่องห้า เคร่ือง คู่ หรือเคร่ืองใหญ่ แล้วแต่ความเหมาะสมของสถานท่ีแสดง นอกจากน้ีมีเครื่องดนตรีพิเศษท่ีเพิ่ม ข้ึนมาในวงดนตรีอกี ๓ ชนิ้ คือ ปก่ี ลาง กลองตง๋ิ และโกรง่ (วรี ะชัย มบี อ่ ทรัพย์, ม.ป.ป., น. ๓) จากที่กล่าวข้างตน้ ว่า การแสดงหนังใหญ่มีการเต้นของคนไปตามจังหวะดนตรีของวงปี่ พาทย์พร้อมกับการเชิดหนัง อีกท้ังยังมีคนพากย์เจรจา ขับร้องประกอบการแสดง ดังนั้นการแสดง โขนจงึ ไดร้ ับอทิ ธิพลของการแสดงหนงั ใหญท่ ง้ั ทางตรงและทางออ้ ม กลา่ วคอื ๑.๑ การเตน้ โขน มวี วิ ัฒนาการมาจากท่าเต้นของคนเชิดหนงั ใหญ่ ๑.๒ คาพากยเ์ จรจาของหนังใหญ่ มลี กั ษณะเดยี วกนั กับการแสดงโขนทว่ั ไป ๑.๓ หน้าพาทย์ เพลง ดนตรีต่างๆ ที่มีอยู่ในการแสดงหนังใหญ่ ถูกนามาใชใ้ นการ แสดงโขน เช่น เพลงเชิดนอกใช้บรรเลงด้วยป่ี และศัพท์ท่ีเรียกวา่ “สามจับ” มีต้นกาเนิดมาจากการ เล่นหนงั ใหญ่ ๑.๔ โกร่งเป็นเครื่องดนตรีสาคัญท่ีใช้กับการแสดงหนังใหญ่ ถูกนามาใช้กับการ แสดงโขนกลางแปลง ๑.๕ การแสดงหนังใหญ่ และการแสดงโขนหน้าจอ มีลักษณะจอเป็นแบบเดยี วกัน แตแ่ ตกต่างทโ่ี ขนหน้าจอมกี ารยกพน้ื เวทีให้สูงขึน้

ชุดฝึกทักษะการปฏบิ ัตทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ทว่ั ไปเกย่ี วกบั โขน หนา้ ๑๘ ๑.๖ การนาตัวโขน และระบาเป็นชุดแทรกระหว่างการแสดงหนัง ทาให้คนดูชอบ เพราะมีชีวิตชีวา การแสดงหนังจับระบาหน้าจอจึงมีบทบาทมากและในท่ีสุดเข้ามาแทนที่หนังใหญ่ กลายเป็นโขนหนา้ จอไปในทีส่ ดุ ๑.๗ เหตทุ ่ีเรียกการแสดงโขนว่า “ชดุ ” แทนคาว่า “ตอน” เป็นการเรียกตามแบบ หนังใหญ่ท่ีได้จัดตัวหนังไว้แต่ละชุดสาหรับการแสดงแต่ละคร้ัง เช่น การแสดงโขน ชุด หนุมานอาสา ชดุ ศกึ วริ ญุ จาบัง (ฐาปนยี ์ สังสทิ ธิวงศ,์ ๒๕๕๖, น. ๖๑) ภาพท่ี ๕ การเลน่ กระบก่ี ระบอง ท่ีมา: Facebook การะเกด นงนภสั ๒. กระบี่กระบอง เป็นศิลปะการต่อสู้ในสมัยโบราณท่ีผู้ชายไทยต้องมีการฝึกหัด วิชาการใช้อาวุธในการป้องกันตัว โดยมีทั้งอาวุธยาว และอาวุธส้ัน ซึ่งอาวุธแต่ละชนิดล้วนมีระเบียบ แบบแผนของการใช้อาวุธ เรียกวา่ “เพลง” เช่น เพลงทวน เพลงกระบี่ เป็นต้น .สาหรับในการแสดง กระบ่ีกระบอง จะเป็นการราและต่อสู้ประกอบเข้ากับปี่ และกลอง เป็นการแข่งขันไหวพริบการต่อสู้ ในการหลีกหลบ หลอกลอ่ ซึ่งลีลาทว่ งทา่ ตา่ งๆ เกดิ จากการประดษิ ฐเ์ ป็นทา่ ทาง เช่น ท่ากรายดาบเข้า หาคู่ต่อสู้ การสืบเท้าเพื่อหลบหลีก เป็นต้น จึงสันนิษฐานว่า ผู้เชิดหนังใหญ่ในสมัยโบราณได้นา กระบวนการเต้น และกระบวนการร่ายราในการต่อสู้มาใช้ในการแสดงหนังใหญ่ และนาไปสู่การแสดง โขนดว้ ย

ชดุ ฝึกทกั ษะการปฏิบตั ิทา่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ทวั่ ไปเก่ยี วกบั โขน หนา้ ๑๙ ภาพท่ี ๖ การเลน่ ชกั นาคดึกดาบรรพ์ ท่มี า: www.youtybe.com/Refuse kamikaze ๓. ชักนาคดึกดาบรรพ์ เป็นพิธีกวนเกษียรสมุทรของราชสานักขอมกัมพูชา อันเป็น ต้นแบบให้กับราชสานักไทยในสมัยอยุธยา คาวา่ “ชกั นาค” มีท่ีมาจากการกวนน้าอมฤต ที่ปรากฏใน กฎมณเฑียรบาล ในการพระราชพิธีอินทราภิเษก และพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยารัชสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ “เมื่อ พ.ศ. ๒๐๓๙ ท่านประพฤติการเบญจาพิธพระองค์ท่าน และให้เล่น การดึกดาบรรพ์” (วีระชัย มีบ่อทรัพย์ ๑-๒ อ้างจาก นิตยา จามรมาน ๒๕๒๔ หน้า ๗) โดยการ ชักนาค เกิดจากพระนารายณ์ได้ยกเขาพระสุเมรุมาต้ังอยู่ในเกษียรสมุทร หรือเรียกอีกอย่างว่า ทะเล น้านม แล้วมีการกวนน้าอมฤตในเกษียรสมุทร กระทาโดยการนานาคมาพันไว้ให้รอบเขาพระสุเมรุ จากนั้นให้เหล่าเทวดาอยู่หางนาค และเหล่ายักษ์อยู่หัวนาคผลัดกันดึงชักนาคกันไปมาฝ่ายละทีให้ เขาพระสเุ มรุหมุนไปมากลางเกษียรสมทุ รจนทะเลน้านมเกิดเปน็ น้าอมฤตในทีส่ ุด ส่วนคาว่า “ดึกดาบรรพ์” มีการสันนิษฐานว่าเป็นคาที่มาจากภาษาเขมร กล่าวคือ คาว่า “ดึก” มาจาก “ต๊ึก” แปลว่า น้า ส่วนคาว่า “ดาบรรพ์” มาจาก “ตะบัล” แปลว่า ตา หรือ กวนเม่ือนาท้ังสองคามารวมกัน จึงให้ความหมายว่า กวนน้า แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานปรากฏ ชัดเจนว่า ดึกดาบรรพ์ มีความหมายว่าอย่างไร แต่ตามความเข้าใจของคนไทยส่วนใหญ่ คาว่า “ดึกดาบรรพ์” หมายถึง เร่ืองโบราณ ดังน้ัน การเล่นชักนาคดึกดาบรรพ์ จึงเป็นการแสดงพิธีกวนน้า อมฤตทมี่ ีมาแตโ่ บราณ จากการเล่นชักนาคดึกดาบรรพ์ ทาให้มีอิทธิพลที่ถ่ายทอดมาสู่การแสดงโขนในช่วง ระยะแรก คือ เรื่องของการแต่งกาย แต่งหน้า และการสร้างหัวโขน รวมถึงการเป็นต้นแบบของการ เกิดโขนกลางแปลงในเวลาตอ่ มา

ชดุ ฝึกทักษะการปฏิบตั ิทา่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๑ ความรู้ท่ัวไปเก่ยี วกับโขน หนา้ ๒๐ ๓. พฒั นาการโขน โขน เป็นนาฏกรรมท่ไี ม่ปรากฏหลักฐานว่าเกดิ ข้ึนในสมัยใด แต่การแสดงโขนในแรกเรม่ิ ไดม้ ี การจัดแสดงกลางสนามคล้ายกับการเล่นชกั นาคดึกดาบรรพ์ ต่อมาจึงมีการปลูกโรงโขน ทาพื้นเวที มี การจัดฉาก โดยพัฒนาขึ้นตามสภาพสังคม ทาให้การแสดงโขนเกิดข้ึนหลายประเภท และทาให้เกิด การจาแนกประเภทของโขนตามลาดบั พฒั นาการ ดงั น้ี ภาพที่ ๗ โขนกลางแปลง ทมี่ า: https://www.khaosod.co.th/pr-news/news ๑. โขนกลางแปลง จากหลักฐานตามพระราชพงศาวดารปรากฏว่า พ.ศ. ๒๓๓๙ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในรัชกาลท่ี ๑ ได้มีการจัดแสดงโขน กลางแปลงและการเล่นชักรอกเนื่องในงานฉลองพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมชนกาธิราช (วรี ะศลิ ป์ ช้างขนุน, ๒๕๕๖, น. ๔๕) โขนกลางแปลงเป็นการแสดงโขนบนสนามท่ีเป็นพื้นท่ีกว้างไม่มีเวที ผู้ชมสามารถ ชมการแสดงได้โดยรอบ และใช้บรรยากาศธรรมชาติเป็นฉากประกอบการแสดง ส่วนใหญ่จึงนิยม แสดงเก่ียวกับการสู้รบระหว่างฝ่ายพระรามและเหล่าวานร กับฝ่ายยักษ์ เนื่องจากการยกทัพในแต่ละ ชุดจะมีการใช้กองทัพวานร และกองทัพยักษ์เป็นจานวนมาก ทาให้เหมาะสมกับสถานท่ีแสดง ส่วนวงดนตรีประกอบการแสดงโขนกลางแปลง ในสมัยกรุงศรีอยุธยานิยมใชว้ งป่ีพาทย์เคร่ืองห้า และ ไม่มีการขับร้อง แต่มีการพากย์เจรจาเป็นการบรรยายเร่ืองราวแทน ซึ่งปัจจุบันการแสดงโขน กลางแปลงหาชมได้ยาก แต่ยังมีจัดแสดงเป็นประจาทุกปีเน่ืองในงานวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย ที่พระราชอทุ ยานรัชกาลท่ี ๒ จงั หวดั สมุทรสงคราม

ชุดฝึกทกั ษะการปฏบิ ัตทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเก่ียวกบั โขน หน้า ๒๑ ภาพที่ ๘ โขนนั่งราว หรือโขนโรงนอก ทีม่ า: http://changrum.com/wp-content/uploads/2011/10/bmp ๒. โขนน่ังราว หรือโขนโรงนอก เป็นโขนที่มพี ัฒนาการมาจากการนาโขนกลางแปลงมา ยกเวทีขึ้นสูงขนาดยืนดรู ะดับสายตา เหตขุ องการเกิดโขนนัง่ ราวนี้ สนั นิษฐานว่ามาจากการจากัดพน้ื ท่ี ในการแสดงทาให้ต้องมกี ารปรับโขนกลางแปลงให้เหมาะสมกับสถานท่ี สาหรับฉากหลังนยิ มทาศลิ ปะ แบบนูนเป็นภาพป่าเขา ภาพพลับพลา และกรุงลงกา โดยมีประตูเข้าออกสองทาง เสมือนมาจากสอง เมือง แต่ปัจจุบันศิลปะแบบนูนท่ีทาเปน็ ฉากหลังเปล่ียนเป็นการวาดภาพเขียนทั้งหมด หรือภาพเขียน ผสมกับการทาภาพนูนเป็นโขดหิน ส่วนบนเวทีมีราวไม้กระบอกพาดตามความยาวของโรงโขนจาก ประตูด้านหน่ึงจรดขอบประตูอีกด้านหนึ่ง และวางตัง้ ห่างจากฉากหลังประมาณ ๑ วา ผู้แสดงตัวเอก จะนั่งแสดงบนราวไม้กระบอกแทนการน่ังเตียง ส่วนพวกเสนาและเขนน่ังลงบนพื้นเวทีตามปกติ โดยผู้แสดงจะสวมศีรษะโขนปิดหน้าทุกตัว ยกเว้นตัวนางที่เปิดหน้า ส่วนหัวโรงท้ายโรงจะมีร้านสูง ยกระดับข้ึนเหนือพ้ืนเวทีใช้สาหรับต้ังวงป่ีพาทย์สองข้าง บรรเลงเพลงสลับกันวงละเพลง และมีการ พากย์เจรจา ไม่มกี ารขบั ร้องเชน่ เดยี วกันกับโขนกลางแปลง นอกจากน้ี ประเพณีของการแสดงโขนนั่งราว จะมีการโหมโรง และการแสดงชุด พระพิราพก่อนถึงวันแสดงจริง ๑ วัน โดยจะบรรเลงในช่วงเวลาบ่าย พอถึงการบรรเลงเพลงกราวใน ผู้แสดงท่ีแต่งกายเป็นรากษส หรือเสนายักษ์ อันเป็นบริวารของพระพิราพ จะถือไม้พลองยาวออกมา ยืนเรียงแถวหลังราวไม้กระบอกแล้วกระทุ้งลงพื้นตามจังหวะ เรียกว่า กระทุ้งเส้า จนจบการโหมโรง ต่อมาจึงทาการปล่อยตัวนักแสดงเพ่ือแสดงตอนพระพิราพเที่ยวป่าไปจนถึงพระราม สีดา และ พระลักษมณ์เข้าสวนพะวาทองของพระพิราพ จากน้ันผู้แสดงท้ังหมดพักค้างท่ีโรงโขนเพ่ือทาการ แสดงโขนตามชุดกาหนดในวันรุ่งเช้า จึงทาให้เกิดการเรียกช่ือโขนประเภทน้ีข้ึนมาอีกชื่อหน่ึงคือ “โขนนอนโรง” (ไพฑูรย์ เขม้ แข็ง, สัมภาษณ์, ๒๕๖๐)

ชุดฝกึ ทักษะการปฏบิ ัติท่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ทว่ั ไปเกี่ยวกบั โขน หน้า ๒๒ ภาพท่ี ๙ โขนโรงใน ท่มี า: https://sites.google.com/site/kartaengkaykhon/laksna-bth-khon/bthrxng ๓. โขนโรงใน มีการสืบทอดมาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เข้าสู่กรุงธนบุรี และ ได้รับความนิยมอย่างมากในกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลท่ี ๓ (วิมลศรี อุปรมัย, ๒๕๕๕, น. ๑๘๙) ลกั ษณะของโขนโรงในเป็นการนาวิธกี ารของโขนกับละครในมาผสมกัน ทาให้การแสดงโขนโรงในมีท้ัง ลักษณะการเต้น และการพากย์เจรจาแบบโขน มีท่าฟ้อนรากับระบา รวมถึงการขับร้องรับส่งแบบ ละครในแทรกอยู่ในการแสดง ส่วนสถานที่ๆ ใช้แสดงปรับร้านท่ีตั้งสูงทั้งสองข้างของเวทีสาหรับวง ป่พี าทย์ให้เสมอกับพ้ืนเวทีท่ีใช้แสดง เปล่ียนจากไม้กระบอกของโขนนั่งราวเป็นการวางเตียงตามแนว ขวางท้ังหัวโรง และท้ายโรง ซึ่งละครในใช้เตียงประกอบการแสดงเพียง ๑ เตียง วางตรงกลางเวทีติด กับฉากหลัง นอกจากนี้ วิวฒั นาการของผู้แสดงจากที่เคยใช้ผชู้ ายแสดงลว้ น สามารถใช้ผู้หญิงที่ เป็นละครของหลวงมาแสดงในบทบาทของพระราม พระลักษณ์แทนผู้ชายได้ และจากตัวพระท่ีเคย สวมศีรษะโขน ก็นิยมเปิดหน้าเช่นเดียวกับตวั นาง ทาให้ตัวพระในเรื่องรามเกียรต์ิ และเทวดา ไม่ต้อง สวมศีรษะในการแสดงโขนนบั จากน้ัน ส่วนวงดนตรพี บว่าในสมัยรชั กาลที่ ๔ มีววิ ฒั นาการในเร่ืองของ ดนตรีจากแต่เดิมใช้วงปี่พาทย์เคร่ืองห้า ได้ปรับใช้เป็นวงป่ีพาทย์เคร่ืองใหญ่ โดยน่ังบรรเลงบนร้านฝั่ง ซ้ายและฝั่งขวาของเวที ต่อมาจึงได้มีการลดวงลงมาเหลือเพียง ๑ วง และใช้วงป่ีพาทย์คู่ หรือเครื่อง ใหญ่แล้วแต่ความเหมาะสมของสถานที่ๆ แสดง จากการเกิดโขนโรงในขึ้นทาให้โขนน่ังราวซ่ึงมีอยู่ ก่อนหนา้ นถี้ กู เรยี กโขนโรงนอก แทนโขนนัง่ ราว

ชดุ ฝกึ ทักษะการปฏิบัตทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทัว่ ไปเก่ยี วกับโขน หน้า ๒๓ ภาพที่ ๑๐ โขนหน้าจอ ที่มา: https://song198.wordpress.com/2016/01/20 ๔. โขนหน้าจอ เกิดจากเวทีแสดงหนังใหญ่ที่มีผู้คิดการปล่อยตัวโขนออกมาแสดง หน้าจอสลับกับการเล่นหนังใหญ่ท่ีอยู่หลังจอ เรียกว่า หนังติดตัวโขน ซ่ึงการแสดงในลักษณะนี้ได้รับ ความนิยมเป็นอย่างมากทาให้เกิดการแสดงโขนสลับหน้าจอมากย่ิงขึ้น และเกิดเป็นความคิดการทา ประตูออก ๒ ฝั่ง เรียกว่า “จอแขวะ” (วีระชัย มีบ่อทรัพย์, ม.ป.ป., น. ๔) ใช้สาหรับตัวโขนออก จนในยุคหลังเหลือเพียงแต่การแสดงโขนอยู่หน้าจอหนัง จึงเป็นที่มาของการเรียกโขนประเภทนี้ว่า “โขนหน้าจอ” การแสดงโขนหน้าจอมีการปรับเปลี่ยนลักษณะของโรงโขนจากที่มีฉากหลังให้มีจอ หนังอยู่ตรงด้านหลังเวที มีประตูออก ๒ ฝั่ง ส่วนที่ถัดจากประตูทั้งสองฝ่ังมีการเขียนรูปพลับพลาของ ฝ่ายพระรามไว้ที่ฝั่งประตูขวาและมีเตียงตั้งไว้สาหรับตัวเอก ส่วนประตูฝ่ังซ้ายเขียนเป็นรูปปราสาท กรุงลงกาฝ่ายทศกัณฐ์และมีเตียงต้ังไว้เช่นเดียวกัน ส่วนวิธกี ารแสดงยังคงเป็นแบบโขนโรงใน มีท้ังการ พากย์ เจรจา และร้องประกอบวงปี่พาทย์ซ่ึงตั้งอยู่ด้านหน้าโรงหันไปทางผู้แสดง แต่ปัจจุบันได้มีการ ปรับวงดนตรีให้อยู่หลังจอเพื่อความสะดวกในการบอกบทหรือบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ รวมถึงความ งดงามของรูปแบบการแสดง

ชดุ ฝึกทกั ษะการปฏิบตั ทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทว่ั ไปเกยี่ วกบั โขน หน้า ๒๔ ภาพท่ี ๑๑ โขนฉาก ท่มี า: Facebook สานกั การสงั คีต กรมศิลปากร ๕. โขนฉาก เป็นโขนประเภทสุดท้ายท่ีปัจจุบันหาชมได้ง่ายและนิยมแสดงกัน สันนิษฐานว่า โขนฉาก เกิดข้ึนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ โดย เข้าใจว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้คิดสร้างฉาก ประกอบการแสดงโขนบนเวที ให้คล้ายกับการแสดงละครดึกดาบรรพ์ ที่มีการสมมติฉากให้เข้ากับ เหตุการณ์และสถานที่ในเน้ือเรื่องท่ีปรากฏอยู่ในบทโขนให้เกิดความสมจริง ส่วนวธิ ีการแสดงและการ บรรเลงยังคงแบบโขนโรงในไว้เหมอื นเดิม ๔. ยุคสมยั ของโขน ยุคสมัยของโขน สุโขทยั อยธุ ยา กรุงธนบรุ ี กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ รัตนโกสนิ ทรต์ อนต้น รัตนโกสนิ ทร์ตอนกลาง (รัชกาลท่ี ๑ – ๓ (รชั กาลท่ี ๔ – ๖ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ยุคปจั จุบนั (รัชกาลท่ี ๗ – ๘) (รัชกาลที่ ๙ – ๑๐) แผนผงั ท่ี ๑ ยคุ สมยั ของโขน ท่มี า : สทุ ธเิ ขต ขนุ เณร (๒๕๖๒)

ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏิบตั ิทา่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ท่วั ไปเกี่ยวกบั โขน หนา้ ๒๕ ๑. ยุคสมัยสโุ ขทัย มหี ลกั ฐานของคาว่า “เต้น” ปรากฏอยู่ในหลกั ศริ าจารึกหลักที่ ๘ ในสมยั พระมหาธรรมราชา (ลิไท) กล่าวถึงมหรสพสมโภชในงานเทศกาลไหว้พระพุทธบาทบนเขาสูมนกูฎ พ.ศ. ๑๙๐๓ ว่า “มีระบา ( ) เต้นเล่นทุกฉัน...ด้วยเสียงอันสาธุการบูชา อีกด้วยดุริยพาทย์ พิณ ฆ้อง กลอง เสียงดังสีพอันดินจักหล่มอนั ใส...” (สุรพล วิรุฬหรักษ์,๒๕๔๗, น. ๑๗ อ้างถึงใน กรมศิลปากร, ศิลาจารกึ พ่อขนุ รามคาแหง, พระนคร คุรสุ ภา ๒๕๑๕ น. ๒๘) แต่ยังไม่ชัดเจนว่า โขน เกิดข้ึนในสมัยนี้ เพียงแต่ทราบว่าในยุคสุโขทัยได้มีคาว่า “ระบา” และ “เตน้ ” ปรากฏให้เห็นถึงความสนกุ สนานอนั น่าจะเป็นยุคแรกเริม่ ของนาฏศลิ ป์ ๒. ยคุ สมยั อยธุ ยา ได้มปี รากฏคาวา่ “โขน” อย่ใู นกลอนสวด และในบนั ทกึ ของเดอลาลแู บร์ ราชทตู ชาวฝร่ังเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ตรงกบั รัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดที ี่ ๓ หรือ สมเด็จ พระนารายณ์มหาราช โดยบันทึกรูปแบบการแสดงโขน ละคร ระบา ไว้ในจดหมายเหตุ ซ่ึงพระบรม วงศ์เธอกรมพระนราธปิ ประพันธ์พงศท์ รงแปล วา่ “โขน เป็นรูปคนเต้นราตามเสียงจังหวะพิณพาทย์ ตัวผู้เต้นราน้ันสวมหน้าโขน และ ถือศัสตราวุธ (ทาเทียม) เปน็ ตัวแทนทหารออกต่อยุทธมากกว่าเป็นตวั ละคร และมาตรว่าตวั โขนทุกๆ ตัวโลดเต้นเผ่นโผนอย่างแข็งแรง และออกท่าทางพิลึกพิลั่นเกินจริง ก็ต้องเป็นใบ้จะพูดอะไรก็มิได้ ดว้ ยหน้าโขนปดิ ปากบนเสีย” (สุรพล วริ ุฬหรักษ์,๒๕๔๗, น. ๓๑ อ้างถึงใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม พระนราธิปประพันธพ์ งศ์ ทรงแปล อา้ งใน ศิลปวฒั นธรรมฉบบั พเิ ศษ หน้า ๑๙๙) นอกจากน้ี ในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ได้ทรงโปรดฯให้พระมหานาค วัดท่าทรายใน กรุงศรีอยุธยาแต่งหนังสือท่ีมีชื่อว่า ปุณโณวาทคาฉันท์ เพ่ือแจกเป็นท่ีระลึกในงานฉลองสมโภช พระพุทธบาททีเ่ มอื งสระบุรี โดยได้กลา่ วถงึ การเลน่ โขน วา่ “บัดการมโหศพ หนุ่ กโ็ หข่ นึ้ ประนงั กลองโขนตระโพนดงั ก็ตง้ั ตระดาเนริ ครู ฤาษเี สมอลา กรบลิ พาลสองสู เสวตรานิลาดู สบั ประยุทธถัณฑนา ฯลฯ (วรี ะศิลป์ ชา้ งขนุน,๒๕๕๖, น. ๓๗) จากหลักฐานท่ีกล่าวข้างต้น ทาให้เข้าใจได้ว่า โขน ไม่ทราบท่ีมาชัดเจนว่าเกิดข้ึนในสมัยใด แต่ในสมัยอยุธยาการแสดงโขนไดม้ ปี รากฏอยู่ในจดหมายเหตุ และในหนังสอื ปุณโณวาทคาฉนั ท์ ทาให้ ทราบวา่ โขน มมี านบั ต้ังแต่สมัยอยุธยา ๓. ยุคสมัยธนบุรี เป็นยุคหน่ึงที่มีความเจริญรุ่งเรืองในเรื่องนาฏศิลป์ สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงพยายามปฏิสงั ขรณ์ฟ้นื ฟบู ้านเมืองทีถ่ ูกทาลายจากการเสียงกรงุ ฯ คร้ังท่ี ๒ โดยทรงพระราชนพิ นธ์ บทละครเร่ืองรามเกียรติ์ข้ึนมาหลายตอนและนาออกแสดงจนเป็นท่ีนิยม อีกทั้งในงานพระราชพิธี ต่างๆ หรืองานสมโภชสาคัญยังปรากฏให้มีการแสดงละครนอก ละครผู้ชาย ละครใน ละครผู้หญิง และโปรดให้มโี ขนเล่นในงานฉลองพระแก้วมรกต ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดแจ้ง

ชดุ ฝึกทักษะการปฏบิ ตั ทิ ่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทวั่ ไปเก่ยี วกบั โขน หน้า ๒๖ เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ดังความในบันทึกจดหมายเหตุความทรงจาของกรมหลวงนรินทรเทวี ว่า “สองฟากแม่น้าเจ้าพระยามีการปลูกโรงโขนระหว่างระทา ฟากตะวันออกมีโขน ๓ โรง ฟากตะวันตก มีโขน ๖ โรง” นอกจากน้ี บทบาทของ “โขน” ที่นอกเหนือจากใช้แสดงในงานต่างๆ แล้ว บรรดา ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างก็มีโขนเป็นของตนเอง ทาให้โขนในสมัยธนบุรีน้ีมีความสมบูรณ์เช่นเดียวกับ สมัยอยธุ ยา ๔. ยุคสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นยุคที่ ๔ แห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่มีการปกครองต้ังแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ จนถงึ ปัจจุบัน ดงั น้นั โขนทป่ี รากฏอยูใ่ นยคุ นีจ้ งึ แบง่ ออกเปน็ ๔ ช่วง คือ ๔.๑ ยุคสมัยรัตนโกสินทรต์ อนตน้ (รชั กาลที่ ๑ – รัชกาลท่ี ๓) ๑) สมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นยุคที่ต่อ เน่ืองมาจากกรุงธนบุรี ในรัชกาลน้ีพระองค์ทรงโปรดให้มีการหัดโขน ละคร ของหลวงท้ังฝ่ายวังหลวง และวังหน้า รวมถึงมีพระราชานุญาตให้เจ้านายขุนนางต่างๆ ไดฝ้ ึกหัดและแสดงโขนเป็นของตนเองได้ จึงทาให้โขนเกิดการแพร่หลายมากขึ้น นอกจากน้ีทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรต์ิเพ่ือใช้ สาหรับแสดงโขน ซึ่งต่อมาบทพระราชนิพนธ์นี้ได้ช่ือว่าเปน็ บทละครเรื่องรามเกียรติ์ที่มีความสมบูรณ์ มากทีส่ ดุ ๒) สมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ถือเป็นยุคทองของ วรรณคดีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เน่ืองจากในรัชสมัยนี้มีกวีที่มีความสามารถหลายท่าน ทาให้วรรณคดี ไทยได้รับการปรับปรุงและพัฒนาไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง โดยพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละครไว้ ๒ เร่ือง ได้แก่ รามเกียรติ์ และอิเหนา โดยทรงแก้ไขจากบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี ๑ ให้มีการ เรียงลาดับเร่ืองราวและคากลอนให้กระชับขึ้น เพ่ือเหมาะสาหรับการแสดงโขน – ละคร นอกจากน้ี ยังทรงพระราชนิพนธ์บทพากย์ในเรื่องรามเกียรต์ิไว้อีก ๓ ตอน ได้แก่ นางลอย นาคบาศ และ พรหมาสตร์ ๓) สมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้มีการ ยกเลิกการฝึกหัดและการแสดงโขน – ละคร ตลอดรัชกาล พวกโขน พวกละครท่ีเคยรับราชการใน ราชสานักจึงกระจัดกระจายไปอาศัยอยู่ตามบ้านหรือวังของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และได้ฝึกหัดละครเป็น ของตนเอง เนื่องจากเห็นว่าพระมหากษัตริย์ทรงยกเลิกการแสดงของหลวงไปแล้ว ทาให้มีโขนเกิด ขึ้นมาในการประดับเกียรติของเจ้านายหลายสานัก เช่น โขนกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ฯ โขนกรม พระพิพิธโภคภูเบนศ์ โขนเจ้าพระยาบดินทรเดชา โขนเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นต้น (วีระศิลป์ ช้างขนนุ , ๒๕๕๖, น. ๓๙) ๔.๒ ยุคสมยั รัตนโกสินทรต์ อนกลาง (รัชกาลที่ ๔ – รัชกาลท่ี ๖) ๑) สมัยรัชกาลท่ี ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ให้สิทธิ เสรีภาพแก่สตรีมากข้ึนในด้านการศึกษา การออกเรือน และนาฏศิลป์ ได้ทรงอนุญาตให้พระบรม ราชานุวงศ์มีละครผู้หญิงเป็นของตนเอง การแสดงโขนจึงได้รับความนิยมน้อยลงจากแต่เดิมจนเหลือ เพียงโขนหลวงในพระราชปู ถัมภ์

ชุดฝึกทกั ษะการปฏบิ ัติท่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเกยี่ วกับโขน หนา้ ๒๗ ๒) สมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โขนมีวิวัฒนาการ ในเร่ืองของฉากประกอบการแสดง และบทร้องตามแบบอย่างละคร โดยได้รับอิทธิพลสิ่งเหล่านี้จาก การเล่นละครดึกดาบรรพ์ท่ีมีวิธีการแสดงแบบโขนปนละคร จึงเป็นท่ีมาของโขนฉากที่มีแสดงอยู่ใน ปจั จบุ ัน ในรัชสมัยนี้สมเดจ็ เจ้าฟา้ มหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกมุ าร (รัชกาลที่ ๖) ไดท้ าการกอ่ ตง้ั โขน สมัครเล่นขึ้น โดยโปรดให้มหาดเล็กรุ่นเด็กฝึกหัดโขน และจัดแสดงเพ่ือเป็นการอนุรักษ์นาฏศิลป์ใน ปลายรัชกาลที่ ๕ อยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังมีละครใหม่ๆ เกิดข้ึนหลายชนิด เชน่ ละครพันทาง ละคร ดกึ ดาบรรพ์ ละครพูดสลบั ลา เปน็ ตน้ ซ่ึงละครต่างๆ เหล่าน้ีล้วนเป็นท่ีนิยมของคนดูเป็นอย่างมาก แต่ อย่างไรก็ตามการแสดงโขนยังคงเป็นมหรสพที่แพร่หลายทาหน้าท่ีในงานพระราชพิธีสาคัญต่างๆ ไป พร้อมๆ กบั การแสดงละครจนหมดรชั สมยั ๓) สมัยรัชกาลท่ี ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดตั้งกรม มหรสพ โดยให้รวมกรมโขนและพิณพาทย์มหาดเล็กมาเข้ากับกรมมหรสพและโปรดให้เรียกว่า “กรม โขนหลวง” นอกจากน้ีพระองค์ทรงได้ก่อต้ังโรงเรียนพรานหลวงท่ีจัดการศึกษาในวิชาสามัญและวิชา นาฏศิลปด์ นตรีควบคกู่ นั และทรงโปรดให้นักเรยี นในโรงเรียนฯ ไดเ้ รียนโขนอย่างถูกต้องตามแบบแผน อกี ท้ังพระองค์ทรงโปรดในการพระราชนพิ นธบ์ ทโขน – ละคร ไว้หลายตอน ทาให้มีบทโขนเร่ืองใหม่ท่ี นอกเหนือจากเรื่องรามเกียรติ์ ช่ือเรื่องว่า ธรรมาธรรมะสงคราม ส่งผลให้โขนในสมัยรัชกาลท่ี ๖ น้ีมี ความกา้ วหน้าและเจรญิ ร่งุ เรอื งเป็นอย่างมากในวงการนาฏศิลป์ ๔.๓ ยุคสมัยเปล่ยี นแปลงการปกครอง (รัชกาลท่ี ๗ – รชั กาลที่ ๘) ๑. ยุครัชกาลท่ี ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นการเปล่ียนแปลง ระบบการปกครองครั้งใหญ่สบื เนือ่ งมาจากสภาวะเศรษฐกิจตกตา่ ทาให้เกดิ การปฏวิ ัตกิ ารปกครองมา เป็นระบอบประชาธปิ ไตย สง่ ผลใหม้ กี ารตดั งบประมาณตา่ งๆ กรมมหรสพจึงถูกยุบไปในรชั กาลที่ ๗ นี้ ซ่ึงกระทบต่อกรมโขนโดยตรง ภายหลังพระองค์ทรงเห็นว่าโขน – ละคร ของหลวงอาจมีการสูญหาย ประกอบกับเห็นความจาเป็นท่ีต้องมีศิลปินของหลวงในการรับใช้ราชการ จึงจัดต้ัง “กองมหรสพ” โดยให้พระยานัฏกานุรักษ์กลับมารับตาแหน่งหัวหน้ากอง และให้มีการฝึกหัดโขน – ละคร ขึ้นใหม่อีก ครง้ั หน่ึงจนสามารถแสดงในงานสาคญั ต่างๆ ต่อมารฐั บาลไดโ้ อนกองมหรสพจากกระทรวงวังใหไ้ ปขึ้น ตรงกบั กรมศลิ ปากร ศลิ ปินทางดา้ นนาฏศิลปด์ นตรีจงึ ถกู โอนย้ายมาอยู่ท่กี รมศลิ ปากรใน พ.ศ.๒๔๗๘ ๒. ยุคสมยั รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั อานันทมหิดล โขนในยคุ นี้ตอ่ เน่ืองมาจากรัชกาลที่ ๗ เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ ๖ กรมศิลปากรได้มีการก่อตั้งข้ึนแล้ว พอเข้าสู่ พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้จัดต้ัง “โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์” โดยมีพลตรีหลวงวจิ ิตรวาทการเป็นผู้ก่อต้ัง และเปิด ทาการสอนในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๗๗ การจัดการเรียนการสอนได้นาต้นแบบมาจากโรงเรียน พรานหลวงท่ีทาการสอนวิชาสามัญควบคู่กับไปกับวิชาศิลปะ เม่ือมีการโอนศิลปินทางนาฏศิลป์ดนตรี มารวมในสังกัดเดียวกันจึงมีคาส่ังให้ตั้งโรงเรียนศิลปากร และให้โรงเรียนนาฏดุริยางคศิลป์ไปเป็น แผนกหนงึ่ ของโรงเรยี นศิลปากร และให้ใชช้ ือ่ ว่า “โรงเรียนศิลปากรแผนกนาฏดุรยิ างค์” จากนั้นเมื่อมี การปรับเปล่ียนไปเป็นกองการสังคีต จึงได้เปล่ียนชื่อโรงเรียนให้เป็น “โรงเรียนสังคีตศิลป\" แต่

ชุดฝึกทักษะการปฏบิ ตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ทัว่ ไปเกย่ี วกบั โขน หน้า ๒๘ เน่ืองจากภัยจากสงครามโลกคร้ังที่ ๒ ทาให้การศึกษาของโรงเรียนหยุดชะงักไประยะหน่ึง และได้มี การฟ้ืนฟูการเรียนการสอนอีกครั้งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยเปลี่ยนช่ือเป็น “โรงเรียนนาฏ ศลิ ป\" ซงึ่ มวี ตั ถุประสงคข์ องการจัดตั้ง ๓ ประการ คือ ๑) เพอื่ เปน็ สถานศึกษานาฏศลิ ปและดรุ ิยางคศิลป์ของทางราชการ ๒) เพื่อบารงุ รักษาและเผยแพร่นาฏศิลปะและดรุ ยิ างคศลิ ป์ประจาชาติไทย ๓) เพ่ือให้ศลิ ปะทางดนตรีและโขน – ละครภายในประเทศมีฐานะเป็นที่ยก ยอ่ ง (วทิ ยาลัยนาฏศิลป, ม.ป.ป..) จากการจัดตั้งโรงเรียนนาฏศิลป ได้มีการฟ้ืนฟูการฝึกหัดโขนอย่างจริงจังจน สามารถออกแสดงตอ้ นรับพระราชอาคันตกุ ะในงานต่างๆ หลายครั้ง จนกระทัง่ พ.ศ. ๒๕๑๕ จึงได้ยก ฐานะขน้ึ เปน็ “วิทยาลยั นาฏศิลป\" และดาเนินการสอนอยา่ งต่อเนอ่ื งมาจนถงึ ปัจจุบนั โรงเรยี นนาฏดุรยิ างคศลิ ป์ โรงเรียนศลิ ปากรแผนกนาฏดุริยางค์ โรงเรียนสังคีตศิลป โรงเรยี นนาฏศิลป วิทยาลัยนาฏศิลป แผนผงั ท่ี ๒ วิวฒั นาการการจดั ตงั้ โรงเรยี นสอนโขน – ละคร ทีม่ า: สทุ ธเิ ขต ขุนเณร (๒๕๖๐) ๔.๔ ยคุ ปัจจบุ ัน (รชั กาลที่ ๙ – รชั กาลท่ี ๑๐) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ถึงสมัยพระบาทสมเด็จ พระวชิรเกล้าเจา้ อย่หู ัว โขนได้รบั การอุปถมั ภ์จากสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยพระราชดาริของสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการฟื้นฟูและสืบสานการแสดง โขน และมีพระราชเสาวนีย์ให้ส่งเสริมจัดสร้างเคร่ืองแต่งกาย วิธีการแต่งหน้า รวมถึงโปรดเกล้าฯ ให้ จัดแสดงโขนที่มีช่ือว่า “โขนพระราชทาน” โดยมอบหมายให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ดาเนินการจัด แสดง (Linetoday, ๒๕๖๓.) จากการจัดแสดงโขนพระราชทาน ส่งผลให้ประชาชนหันมาสนใจโขนกันเป็น จานวนมาก เน่ืองจากแต่เดิมโขนถูกจัดแสดงในพระราชฐาน โรงละครแห่งชาติ ดังน้ันผู้ชมจึงมีเฉพาะ กลุ่ม แต่เมื่อมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้จัดแสดง ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และมีการ ประชาสัมพันธ์ด้วยเทคโนโลยี ทาให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้รับรู้ข่าวสารอย่างท่ัวถึงและ สนใจในศิลปะท่ีเรียกว่า “โขน” มากย่ิงขึ้น ประกอบกับทางมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชพี ฯ ไดเ้ ปดิ โอกาสให้ เยาวชนที่นอกเหนือจากนักเรียนนักศึกษาของวทิ ยาลัยนาฏศิลป และสถาบันบณั ฑิตพัฒนศิลป์ ได้เข้า มาคัดเลือกเพือ่ เปน็ ส่วนหนึ่งของการแสดงโขนพระราชทานนี้ ยง่ิ ทาให้เด็กและเยาวชนเกิดความสนใจ

ชดุ ฝึกทกั ษะการปฏิบตั ิทา่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ท่ี ๑ ความรู้ทว่ั ไปเก่ียวกบั โขน หน้า ๒๙ จนทาให้โขนกลับมาเป็นท่ีนิยมในสังคม นอกจากนี้ สถาบันการศึกษาต่างๆ ได้ส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาได้เรียนรู้และฝึกหัดโขนมากข้ึน ส่งผลให้โขนเป็นที่แพร่หลายสามารถนาออกแสดงทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ ที่สาคัญองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศให้การแสดงโขนได้รับการข้ึนทะเบียนเป็นมรดกโลกในหมวดวัฒนธรรมที่จับ ตอ้ งไม่ได้ ในวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ นับเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยที่ศิลปะทางการ แสดง “โขน” ไดถ้ ูกอนุรกั ษ์และได้รับการยกย่องทว่ั โลก ๕. เรอื่ งที่ใชแ้ สดง “โขน” สาหรับวรรณคดีที่ใช้ในการแสดงโขน ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีเร่ืองใดบ้าง แต่เท่าที่ทราบ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันได้ยินช่ือโขนเรื่องรามเกียรต์ิที่มีมาแต่สมัยอยุธยา และโขนเรื่องธรรมาธรรมะ สงคราม บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ แตเ่ ร่ืองทน่ี ิยมฝกึ หัดและนาออกแสดงจนเป็นท่ีรจู้ ักกนั อย่าง แพร่หลาย คือ เร่ืองรามเกียรต์ิ ทาให้ปัจจุบันเรื่องท่ีใช้แสดงโขนมีเพียงเร่ืองเดียว คือ รามเกียรติ์ ซ่ึงมีต้นเค้าเรื่องมาจากมหากาพย์รามายณะของอินเดีย โดยเป็นนิทานท่ีแพร่หลายมากับพ่อค้าชาว อินเดียท่ีได้นาอารยธรรมและศาสนาเข้ามาเผยแพร่พร้อมๆ กัน จนกลายเป็นนิทานที่รู้จักกันไปทั่ว ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้ปรับเปล่ียนเน้ือหาข้างในให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมจน กลายเปน็ วรรณคดีประจาชาติ (atiwid, ๒๕๕๗) ภาพที่ ๑๒ บทละครเรื่องรามเกียรต์ิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย ทีม่ า: https://vajirayana.org/ เร่ืองรามเกียรต์ิ แต่งข้ึนเพ่ือสรรเสริญเทพเจ้าโดยเฉพาะพระนารายณ์ ได้เผยแพร่เข้ามาใน เอเชียอาคเนย์เช่ือกันว่าเข้ามาทางขอมแพร่กระจายในดินแดนท่ีเป็นประเทศไทยปัจจุบัน เนื่องด้วย คนไทยมีคตินิยมว่าพระมหากษัตริย์คือพระนารายณ์อวตารลงมาจึงมีความเช่ือเร่ืองเทพเจ้าตรงกัน รามเกยี รติ์จงึ นิยมแสดงเป็นมหรสพตา่ งๆ แต่รามเกยี รติฉ์ บบั ทเ่ี ป็นของไทยได้รับเค้าเรอ่ื งมาแล้วมกี าร ปรับเปล่ียนเพ่ิมเติมตัดทอน ทาให้ลักษณะการแสดงโขนของไทยมีความแตกต่างจากต้นฉบับคือ

ชุดฝึกทกั ษะการปฏิบตั ิทา่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับโขน หนา้ ๓๐ อินเดยี โดยการแสดงโขนของไทยแต่เดิมใช้บทละครมาเป็นการแสดงโขน โดยใชบ้ ทพระราชนิพนธใ์ น สมัยรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ มาเป็นหลักในการแสดง ส่วนบทโขนในสมัยรัชกาลท่ี ๖ ใช้ฉบับ วาลมิกิจะแตกต่างการดาเนินเรื่อง ในการแสดงเร่ืองรามเกียรติ์ปัจจุบันมีการผสมผสานหลายฉบับ เพอ่ื ให้การแสดงมีความงดงามมีเทคนิควิธีการต่างๆ ไม่ได้เน้นการสรรเสริญพระเป็นเจา้ เหมือนศาสนา พราหมณ์ แต่อย่างไรก็ตามท่ตี รงกันกับพุทธศาสนาคอื “ธรรมะยอ่ มชนะอธรรม” มีการสอนคณุ ธรรม ให้กับคนในระดับต่างๆ รามเกียรต์ิจึงฝ่ังแน่นอยู่ในคตินิยมของชาวไทยตราบจนปัจจุบัน (ประเมษฐ์ บณุ ยะชยั , ๒๕๖๑) ภาพท่ี ๑๓ จิตรกรรมฝาผนังระเบียงคดวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทีม่ า: https://www.bloggang.com/ ภาพท่ี ๑๔ การแสดงโขน เรอื่ งรามเกียรต์ิ ที่มา: https://sootinclaimon.com/2017/05/12

ชดุ ฝึกทักษะการปฏบิ ตั ิท่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับโขน หนา้ ๓๑ รามเกียรต์ิ เป็นเร่ืองราวการทาสงครามระหว่างฝ่ายธรรมะ คือ ฝ่ายพลับพลา ซ่ึงเป็นฝ่าย ของพระราม กบั ฝา่ ยอธรรม คือ ฝา่ ยลงกาของทศกัณฐ์ โดยมีเน้อื เร่ืองยอ่ โดยสงั เขป ดังนี้ เหตุเกิดจากนนทกซ่ึงทาหน้าที่เป็นผู้ล้างเท้าให้กับเหล่าเทพเทวดาที่จะข้ึนเข้าเฝ้าพระ อศิ วร แต่ดว้ ยโดนข่มเหงรังแกทาให้เกิดความคับแค้นใจจึงขอประทานพรจากพระอศิ วรเป็นน้วิ เพชรที่ ชไ้ี ปท่ีใครผู้น้ันตอ้ งถึงแก่ความตาย เมื่อนนทกไดน้ ้ิวเพชรจึงใชก้ ับเทวดานางฟา้ จนถึงแก่ความตายเป็น จานวนมาก พระอิศวรจึงได้ให้พระนารายณ์อวตารเป็นนางฟ้าช่ือสุวรรณอัปสรไปปราบนนทก ก่อนตายนนทุกได้ต่อว่าพระนารายณ์ว่าเอาเปรียบตนเพราะมีถึงส่ีมือ แต่ตนมีเพียงสองมือจะสู้พระ นารายณ์ได้อย่างไร พระนารายณ์จึงสาปให้นนทุกไปเกิดใหม่มีสิบหน้ายี่สิบมือมีช่ือว่า ทศกัณฐ์ ส่วน พระองคจ์ ะลงไปเกดิ เป็นมนษุ ยส์ องมอื สองเทา้ ชอื่ วา่ พระราม ลงไปสังหาร พระรามลงไปเกิดเป็นพระราชโอรสของท้าวทศรถ และไดท้ าการออกเดินปา่ ไปบาเพ็ญ พรตเป็นเวลา ๑๔ ปี พร้อมพระลักษณ์ และนางสีดา จนวันหน่ึงนางสามนักขาซึ่งเป็นน้องสาวของ ทศกัณฐ์ได้เดินทางมาในป่าเน่ืองจากโศกเศร้าเสียใจกับการตายของชิวหาผู้เป็นสามี ได้เกิดหลงรัก พระราม จึงเข้ารังแกนางสีดา แต่โดยพระลักษณ์เชือดหูจมูกขาด จึงกลับไปฟ้องทูษณ์ ขรณ์ และตรี เศียรให้มาแก้แค้นแต่ถูกพระรามฆ่าตาย นางสามนักขาจึงไปเล่าความงามของนางสีดาให้กับทศกัณฐ์ ฟัง ทศกัณฐ์จึงออกอุบายด้วยการให้มารีศแปลงเป็นกวางทองไปล่อให้พระรามจับและตนเองแปลง เปน็ ฤาษีลกั พาตวั นางสดี ามาไวท้ ี่สวนขวญั ในเมืองลงกา ฝ่ายพระราม และพระลักษณอ์ อกติดตามนางสีดา จนไดพ้ บกับสุครีพกบั หนมุ านและได้ กองทัพวานรมาช่วยในการติดตามนางสีดา ฝ่ายทศกัณฐ์เกิดฝันร้ายแล้วให้พิเภกซ่ึงเป็นน้องชาย ทานายฝันให้ พิเภกทานายว่าให้จะเสียเมือง เสียวงศ์วานแล้วแนะนาทศกัณฐ์ส่งนางสีดาคืนให้กับ พระราม ทศกัณฐ์ได้ฟังรู้สึกโกรธจึงทาการขับไล่พิเภกออกจากกรุงลงกา พิเภกจึงได้มาขอสวามิภักดิ์ กับพระรามและทาพิธีถือน้าถวายสัตย์ เม่ือฝ่ายพระรามได้พิเภกซ่ึงมีความรู้ความสามารถด้าน โหราศาสตร์ และไพร่พลวานรมาเป็นกองทัพ จึงให้จองถนนโดยการขนก้อนหินนามาท้ิงไว้ใน มหาสมุทรเพื่อทาเป็นถนนขา้ มไปยงั กรุงลงกา เมอ่ื ทศกัณฐท์ ราบวา่ พระรามข้ามมายังกรุงลงกากไ็ ดใ้ ห้ ญาตมิ ิตรจานวนมากออกมาสู้รบกับฝ่ายพระรามจนพ่ายแพไ้ ปหลายคร้ัง โดยศึกที่สาคญั ได้แก่ ศึกภุม กรรณ ศึกอินทรชิต ศึกไมยราพ ศึกวิรุญจาบัง ศึกแสงอาทิตย์ เป็นต้น แต่ท้ังหมดนี้ต่างพ่ายแพ้ให้กับ พระราม ทศกัณฐ์จึงต้องออกมาสู้รบกับพระรามด้วยตนเองและพ่ายแพ้กลับไปแต่เน่ืองจากทศกัณฐ์ ได้ถอดดวงใจจึงทาให้ฆ่าไม่ตาย หนุมานจึงรับอาสาไปนากล่องดวงใจของทศกัณฐ์มา เมื่อพระราม แผลงศรใสท่ ศกัณฐ์หนมุ านจึงขยีก้ ลอ่ งดวงใจทาใหท้ ศกณั ฐถ์ งึ แก่ความตาย หลังจากทศกัณฐ์ได้ส้ินไปแล้ว พระรามได้ให้พิเภกได้ครองกรุงลงกา และให้หนุมานไป ครองเมืองอโยธยา แตห่ นุมานเห็นว่าตนเองไม่เหมาะสมท่ีครองเมืองนี้ พระรามจึงสร้างเมืองลพบุรีให้ หนุมานได้ครอบครอง ส่วนพระรามนั้นได้กลับคืนสู่อโยธยา ต่อมานางอดูลปีศาจมาล่อลวงให้นาง สีดาวาดภาพทศกัณฐ์และเข้าสิงภาพวาดนั้น พระรามเห็นเข้าเกิดความเข้าใจผิดจึงให้พระลักษณ์นา นางสีดาไปฆ่า แต่พระลักษณ์ได้ปล่อยนางสีดาไปและนาหัวใจกวางมาให้พระรามแทน ส่วนนางสีดา

ชุดฝึกทักษะการปฏิบัติทา่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ท่ัวไปเกย่ี วกับโขน หน้า ๓๒ หลังจากเกดิ เรือ่ งราวได้ให้กาเนดิ โอรสชื่อ พระมงกุฎ กบั พระลบ โดยพระลบเปน็ บุตรที่ฤาษีวัชมฤคชุบ ข้ึนมาให้ จนวันหนึ่งพระมงกุฎและพระลบได้ลองศรกันในป่าเกิดเสียงกึกก้องไปท่ัวฟ้า พระรามได้ยิน และอยากทราบวา่ เป็นฝีมือของใครจึงทาการปล่อยม้าอุปการ พระมงกฎุ และพระลบเห็นม้ากเ็ ข้าจบั ข่ี เล่น หนุมานจึงเข้าจับกุมกุมารทั้งสองแตก่ ็พ่ายแพ้ จนในที่สุดพระรามจึงยกกองทัพออกไปทาให้ทราบ วา่ สองกุมารคอื ลกู ของตน จึงไดเ้ ชญิ นางสีดา และสองกมุ ารกลบั เข้าเมือง แต่นางสดี าไมย่ อมกลบั และ หนีไป ตอ่ มาพระอิศวรทราบวา่ พระรามและนางสีดายังไม่เข้าใจกันจึงตรัสให้ท้ังคู่ข้ึนไปบนสวรรค์และ ทาการอภเิ ษกใหใ้ หมแ่ ละมีความสขุ รว่ มกันตลอดไป ๖. ตวั แสดงโขน การคัดเลือกผู้ฝึกหัด และตวั ละครในการแสดงโขนจาแนกออกเป็น ๔ ประเภท ไดแ้ ก่ พระ นาง ยักษ์ และลงิ แตเ่ ดิมท้ัง ๔ ประเภทนใ้ี ชผ้ ู้ชายแสดงท้งั หมด แต่ปจั จบุ ันนยิ มใช้ผู้แสดงเปน็ ชายจริง หญิงแท้ ทาให้ตัวนางในโขนใช้ผู้หญิงท่ีฝึกหัดละครแสดงแทนผู้ชาย ซ่ึงตัวละครแต่ละประเภทมีลีลา การแสดง และการแต่งกายท่ีแตกตา่ งกัน ดงั นี้ ๑. ตัวพระ ในสมัยโบราณตัวละครที่แสดงโขนจะต้องสวมศีรษะทุกตัว ดังนั้นตัวละครที่แสดง เปน็ ตวั พระทั้งหลายจึงตอ้ งสวมศรี ษะเหมือนกับตัวยักษ์ และลิง ต่อมาภายหลังได้เกดิ ข้อยกเว้นในการ เปิดหน้าแสดงให้กับผูแ้ สดงท่เี ป็นเทวดากบั มนุษย์ทงั้ ผชู้ ายและผ้หู ญงิ จงึ มีการปรับเปล่ยี นใหม้ ีการสวม ชฎาแทนศีรษะโขน แตช่ ฎาท่สี วมใสน่ ้ันให้มยี อดทแี่ ตกตา่ งกันตามสถานภาพของตัวละคร ภาพท่ี ๑๕ พระราม (ขวา) พระลกั ษมณ์ (ซา้ ย) ทม่ี า: Facebook biggy sombuundee

ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏิบัตทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เลม่ ที่ ๑ ความรู้ทั่วไปเก่ยี วกับโขน หนา้ ๓๓ ๒. ตัวนาง การแสดงโขนเร่ืองรามเกียรติ์ในสมัยก่อนบทบาทของตัวนางต่างๆ ใช้ผู้ชายแสดง เช่นเดียวกันกับตัวพระ แต่ต่อมาได้มีการนาผู้แสดงละครท่ีเป็นผู้หญิงเข้ามาร่วมแสดงโขน จึงทาให้มี การรับเปลี่ยนให้ตวั นางสวมมงกุฎท่ีมียอดต่างๆ ตามฐานะ นอกจากน้ีในการแสดงยังมีการแบ่งตัวนาง ออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ตัวนางกษัตริย์ เป็นตัวละครท่ีมีลีลาอ่อนช้อย กิริยานุ่มนวล กับตัวนาง ตลาด ซึ่งมีลีลาแตต่ รงกันขา้ มกบั นางกษัตรยิ ์ กล่าวคอื กระฉบั กระเฉงคล่องแคล่ววอ่ งไว ภาพท่ี ๑๖ นางสดี า (ซา้ ย) นางเบญกาย (ขวา) ท่มี า: https://www.pinterest.com ภาพที่ ๑๗ นางพิรากวน ทม่ี า: https://www.pinterest.com

ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏิบตั ทิ ่าราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ทว่ั ไปเกย่ี วกบั โขน หนา้ ๓๔ ๓. ตวั ยักษ์ เมื่อเอ่ยถึงการแสดงโขนเร่ืองรามเกียรต์ิ จานวนตัวละครท่ีมีมากกว่าตัวละคร ประเภทอ่ืนๆ ได้แก่ ตวั ยกั ษ์ ซง่ึ สามารถแบ่งออกเปน็ ประเภทย่อยลงไปไดอ้ กี คอื ๑) ยักษใ์ หญ่ ตัวละครท่สี าคัญ ได้แก่ ทศกณั ฐ์ ๒) ยักษน์ อ้ ย ตัวละครทีส่ าคัญ ได้แก่ อินทรชติ กมุ ภกรรณ ๓) ยักษ์ต่างเมือง ตวั ละครท่สี าคญั ได้แก่ มงั กรกัณฐ์ แสงอาทติ ย์ ๔) ยกั ษเ์ สนา ตวั ละครทีส่ าคญั ได้แก่ มโหธร เปาวนาสรู ภาพท่ี ๑๘ ทศกณั ฐ์ ทม่ี า: Facebook สานกั การสงั คีต กรมศลิ ปากร ภาพที่ ๑๙ อนิ ทรชิต ทม่ี า: https://www.pinterest.com

ชุดฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ิทา่ ราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทั่วไปเกย่ี วกบั โขน หน้า ๓๕ ๔. ตวั ลงิ เป็นตัวละครประเภทสุดท้ายของการแสดงโขน ซ่ึงผู้แสดงจะสวมศีรษะตามฐานะ ของตัวละคร ไดแ้ ก่ ๑) ลิงยอด มตี ัวละครที่สาคัญ ไดแ้ ก่ สคุ รีพ ชมพูพาน องคต ๒) ลงิ โล้น มีตัวละครทสี่ าคญั ได้แก่ หนุมาน นิลพทั นลิ นนท์ ๓) เสนาวานร มีตัวละครท่ีสาคัญ คือ ลิงในสิบแปดมงกุฎ เช่น ไชยามพวาน นิลเอก นลิ ปานนั (ธรี ภัทร ทองนมิ่ , ๒๕๕๕, น. ๕๖ – ๕๘) ภาพท่ี ๒๐ สุครพี ทีม่ า: Facebook biggy sombuundee ภาพท่ี ๒๑ หนมุ าน ท่มี า: https://www.pinterest.com

ชุดฝึกทักษะการปฏิบัตทิ ่าราเพลงช้า (โขนพระ) เล่มที่ ๑ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโขน หนา้ ๓๖ สรุปได้ว่า การแสดงโขนมีตัวละคร ๔ ประเภท คือ พระ นาง ยักษ์ ลิง โดยใช้ผู้แสดงแบบ ชายจริงหญิงแท้ ตัวละครโขนส่วนใหญ่ต้องสวมศีรษะแสดง ยกเว้นตัวละครที่แสดงเป็นมนุษย์ และ เทวดา ทีเ่ ปิดหน้าสวมชฎาและมงกฎุ แทนการสวมศรี ษะโขน ๗. เครอื่ งแตง่ กายโขน ๑. ความเปน็ มาของการแต่งกายยนื เครอ่ื ง การแต่งกายโขน – ละคร ได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลายาวนานโดยได้รับอิทธิพลจาก พื้นที่ใกล้เคียงเอเชียอาคเนย์และจากมหาประเทศในเอเชียซ่ึงเป็นต้นฉบับของนาฏศิลป์และ วรรณกรรมการละคอนคอื อนิ เดยี และจนี ในเฉพาะบางด้าน (ธนาคารกรุงเทพ, ๒๕๔๑) โดยการแต่งกายโขน – ละคร สันนิษฐานว่ามาจากละครราพ้ืนบ้านหรือละครนอกท่ี เล่นกันมาต้ังแต่สมัยอยุธยา เดิมทีการแต่งกายคงเป็นการแต่งแบบพื้นบ้านธรรมดา ต่อมาเกิดความ นิยมกันอยา่ งแพรห่ ลายจงึ มีการคิดประดษิ ฐเ์ คร่ืองแต่งกายให้ดูสวยงามมากข้นึ ซ่ึงละครท่ใี ช้แสดงสว่ น ใหญ่เปน็ เร่อื งราวเกี่ยวกับกษัตรยิ ์หรอื เทพเทวดา จึงมีการคิดสร้างเคร่อื งแตง่ กายโดยเลยี นแบบมาจาก เครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ ซ่ึงในสมัยนั้นละครแตล่ ะโรงจะใช้ผู้แสดงเพียง ๓ ตวั ตอ่ ละคร ๑ เรื่อง ได้แก่ ตัวนายโรง ตัวนาง และจาอวด โดยที่ตัวนายโรงรับบทเป็นตัวเอกจะแต่งกายเลียนแบบเครื่อง ต้นเครื่องทรงของพระมหากษตั ริย์เพียงผู้เดียว ทาให้เป็นทม่ี าของคาว่า “ตวั ยืนเครื่อง” ทาใหก้ ารแต่ง กายถูกเรียกว่า “ยืนเครื่อง” ตามตัวละครท่ีใส่ ดังปรากฏข้อความท่ีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม พระยาดารงราชานภุ าพ กล่าววา่ “ในละครโรงหน่ึงก็เห็นจะแต่งแต่คนเดียว เพราะฉะน้ันจึงเรียกว่าตัวยืนเคร่ือง ความบ่งว่าละครตัวอ่ืนมิได้แต่งเคร่ือง หรือถ้ามีแต่งเครื่องเป็นหลายอย่าง ก็คงเรียกให้ต่างกันว่า ยืน เคร่ืองพระและยืนเคร่ืองนางจะหาเรียกแต่ว่ายืนเคร่ืองเท่านั้นไม่” (ดารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอกรมพระยา, ๒๕๐๗: น. ๒๒) เมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นาอารยธรรม จากชาติตะวันตกมาเป็นแนวคิดในการปรับเปล่ียนและพัฒนาการแต่งกายแบบยืนเครื่อง จึงเกิด ววิ ฒั นาการการแตง่ กายยนื เคร่อื งใหเ้ ป็นไปตามยุคสมยั ดงั น้ี ๑. การแต่งกายยืนเครื่องแบบดงั้ เดิม ๒. การแต่งกายยืนเครอ่ื งแบบราชประดิษฐ์ ๓. การแตง่ กายยืนเครื่องแบบลกั ษณะพระราชนยิ ม (ประวทิ ย์ ฤทธิบลู ย,์ ๒๕๖๑, น.๑๓๖ – ๑๓๗) จากข้างต้นที่ได้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพได้กล่าวถึงการ แต่งกายแบบยืนเคร่ือง ปรากฏ ๒ ลักษณะ คือ ยืนเคร่ืองพระ และยืนเคร่ืองนาง ต่อมาจึงได้มีการ ดัดแปลงเครื่องแต่งกายยืนเครื่องเพื่อให้สอดคล้องกับตัวละครจึงเกิดเป็นการแต่งกายยืนเครื่องยักษ์ และการแต่งกายยนื เคร่ืองลิง รวมถงึ ชุดสตั ว์ตา่ งๆ ทปี่ รากฏเปน็ ตัวละครในการแสดงโขน

ชุดฝึกทักษะการปฏบิ ตั ทิ า่ ราเพลงชา้ (โขนพระ) เล่มท่ี ๑ ความรู้ทว่ั ไปเกย่ี วกบั โขน หน้า ๓๗ ๒. สว่ นประกอบเครอ่ื งแต่งกายโขน การแต่งกายยืนเครื่องเป็นการแต่งกายท่ีถูกสร้างขึ้นด้วยความประณีต วิจิตรงดงาม ตามแบบเคร่อื งต้นหรอื เคร่ืองทรงของพระมหากษตั รยิ ์ โดยแบ่งออกเป็น ๓ สว่ น ดงั น้ี ๒.๑ ส่วนท่ี ๑ ศิราภรณ์ คือ เครื่องประดับศีรษะ สาหรับการแสดงโขน สามารถ แบง่ เครอื่ งประดบั ศรี ษะออกเป็น ๔ ลักษณะ ตามประเภทของตวั ละคร ดงั นี้ - ตวั พระ เปิดหน้าสวมชฎา ความแตกตา่ งของตวั ละครตามบรรดาศักด์สิ ังเกต ไดจ้ ากการใชย้ อดมงกฎุ ชัย มงกฎุ เดนิ หน มงกฎุ สามกลีบ เป็นต้น - ตวั นาง เปดิ หนา้ สวมมงกุฎ แต่ตวั ละครบางตวั สวมรัดเกลา้ ตามฐานนั ดร - ตวั ยักษ์ สวมศีรษะยักษ์ โดยแบ่งเปน็ ศีรษะยักษย์ อด และศีรษะยกั ษ์โลน้ - ตัวลงิ สวมศรี ษะลงิ โดยแบง่ เป็นศรี ษะลิงยอด และศีรษะลงิ โล้น ๒.๒ พสั ตราภรณ์ คอื เคร่ืองนงุ่ ห่ม ได้แก่ - สนับเพลา (กางเกง) - ภษู า (ผ้านุ่ง) - ห้อยข้าง หรอื เจียรบาด หรือชายแครง - ห้อยหน้า หรอื ชายไหว (รวมสวุ รรณกระถอบซ่ึงปกั เป็นชนิ้ เดยี วกัน) - ฉลององค์ (เสอื้ ) - รัดองค์ หรอื รดั สะเอว - กรองคอ หรือนวมคอ หรือกรองศอ ๒.๓ ถนมิ พิมพาภรณ์ คอื เครอ่ื งประดับร่างกาย ไดแ้ ก่ - กาไลเทา้ หรอื ขอ้ เทา้ - ปนั้ เหน่ง หรอื เขม็ ขดั - สังวาล (รวมตาบทศิ และตาบหลงั ) - ทบั ทรวง - ทองกร หรอื กาไลแผง - ธามรงค์ หรอื แหวน - แหวนรอบ - ปะวะหลา่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook