Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เมธีวชิราภิรัตกถา

เมธีวชิราภิรัตกถา

Published by Thanakarn khumphai, 2023-07-24 10:16:28

Description: เมธีวชิราภิรัตกถา

Search

Read the Text Version

แล้วมนุษย์เราไม่รู้หรอกหรือว่า เวลาที่เรามาอยู่ในโลกนี้เพียงไม่นานนัก แล้วจะมัวเสียเวลาอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระอยู่ทำไม ทำไม่ไม่รีบแสวงหาสิ่งที่ควรแสวงหา ไม่รีบกระทำสิ่งที่สมควรกระทำ เพราะเมื่อเวลาวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง ท่านจะเหลียวมองไปข้างหน้าก็รู้สึกว่ามีความหวัง ท่านมองย้อนกลับไปข้างหลัง ก็จะรู้สึกภาคภูมิใจแต่ถ้าปล่อยวันเวลาให้ผ่านไป อยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ ไร้แก่นสาร มองไปข้างหน้าก็รู้สึกว่าหมดหวัง พอหันย้อนมองดูข้างหลัง ก็มีแต่ความหดหู่เศร้าหมองของจิตใจ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

องค์ประกอบของ วาจาสุภาษิต ๑.ต้องเป็ นคำจริง ๒.ต้องมีประโยชน์ ๓.ต้องพูดด้วยวาจาอ่อนหวาน ๔.ต้องพูดด้วยเจตนาดีต่อผู้ฟั ง ๕.สำคัญมาก คือ ต้องพูดให้ถูกกาละเทศะ ถูกกาล ถูกเวลา วาจาใดประกอบพร้อมด้วยองค์ประกอบนี้ วาจานั้นควรพูด ควรกล่าว ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

เห็นพระกราบพระครั้งใด ทำใจให้ถูกด้วยหนา ชาวพุทธกราบด้วยปั ญญา ใช่กว่ากราบอย่างงมงาย เห็นพระ กราบพระ ครั้งใด น้อมกาย น้อมจิต ชิดใกล้ หัวแหลม คือ ปั ญญาไว ทุกข์มา ดับได้ ทันที หูยาน คือความ หนักแน่น ไม่แล่น รับเสียง เร็วรี่ ใครว่า ใครด่า ท้าตี ไม่มี โมโห วู่วาม มองต่ำ คือตา สติ ไม่ดำริ ในสิ่งทั้งสาม คือความดำริในกาม พยาบาทและความเบียดเบียน เห็นพระกราบพระทุกครั้ง ระวังอย่ากราบให้เพี้ยน พระพักตร์ยิ้มแย้มไม่เปลี่ยน จิตใจโล่งเตียนเบิกบาน นิ้วมือสั้นยาวเท่ากัน สิ่งนั้นคือรักแผ่ซ่าน เมตตากรุณาตลอดกาล สงสารสรรพสัตว์เสมอกัน กราบองค์พระพุทธรูปครั้งใด ตั้งใจดำรงคงมั่น น้อมเอาคุณธรรมอนันต์ เหล่านั้นมาไว้ในตน ๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

จงระวัง จงระวัง ความคิด ของท่าน เพราะมันจะกลายเป็ นการกระทำของท่าน จงระวัง การกระทำ ของท่าน เพราะมันจะกลายเป็ นนิสัยของท่าน จงระวัง นิสัย ของท่าน เพราะมันจะกลายเป็ นสันดาน ที่จะกำหนดชะตากรรมของท่านตลอดชีวีต จนถึงข้ามภพข้ามชาติ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

สวัสดียามเช้า หลังจากตื่นนอนทุกเช้าให้พยายาม รักษาจิตให้ผ่องใส รักษาใจให้เบิกบาน ไหว้พระ บูชาพระ อัญเชิญพระรัตนตรัย มาประดิษฐานที่ใจ แล้วตั้งใจอธิษฐานสมาทานศีล จะเป็ นศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ได้ อธิษฐานสั้น ๆ ว่า \"วันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจจะสมาทาน รักษาศีลห้า ศีลแปด ให้บริสุทธิ์\" แล้วกำหนดสติ ทำจิตให้สงบสักครู่ หลังจากนั้นก็ไปทำภารกิจตามปกติ แล้ววันทั้งวันเราจะพบแต่สิ่งที่เป็ นสิริมงคล ได้บุญกุศล เป็ นการไม่ประมาทในชีวิต ถึงแม้จะพบกับอุปสรรคขัดขวาง บ้าง แต่จะสามารถแก้ไขผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะจิตใจเราดี ลองทำดูทุก ๆ วันนะ แล้วท่านจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของท่านอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

ก่อนนอน อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระ เจริญจิตตภาวนา แผ่เมตตา และ ให้ปิ ดบัญชีงบดุลชีวิตประจำวัน ว่า. . . การดำเนินชีวิตของเราวันนี้ ขาดทุน (บาป) หรือได้กำไร (บุญ) สิ่งไหนมากกว่ากัน หรือว่าเสมอตัว เพื่อว่าวันรุ่งพรุ่งนี้ จะได้สามารถปรับปรุงแก้ไขใหม่ ให้อย่างน้อย ๆ เสมอตัว หรือได้กำไร ระมัดระวัง อย่าให้มันขาดทุน ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

เดินนับเท้า นั่งนับท้อง จ้องลมหายใจ เคลื่อนไหวดูความรู้สึก การได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้พิจารณาตัวเอง ตรวจสอบตัวเอง ก็ทำให้ได้ทราบถึงความผิดพลาด ความบกพร่องของตัวเองและพัฒนาตัวเอง ให้ก้าวหน้าขึ้นไป ในกุศลธรรมที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า อตฺตนา โจทยตฺตานํ จงโจทย์ตนด้วยตน พยายามมีสติอยู่กับตัวเองทุกอิริยาบถ คือก้าวย่างแห่งการประพฤติธรรม ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

อันที่จริงแล้ว ชีวิตเราไม่ได้ต้องการสิ่งใดมากมายเลย แต่ทำไมเราจึงต้องดิ้นรนขวนขวาย อย่างไม่หยุดไม่หย่อน เพียงเพื่อแสวงหา สิ่งที่นำมาบำรุงบำเรอกิเลสเท่านั้นเอง เพราะความจำเป็ นของชีวิตจริง ๆ นั้น กินเพียงเพื่ออิ่ม มีที่อยู่อาศัยแค่เพียงหลับนอน ไม่จำเป็ นต้องมีอะไรมากมายกว่านี้ ก็อยู่อย่างเป็ นสุข การได้ย้อนกลับไปอยู่กับธรรมชาติ นอนใต้โคนต้นไม้ มีฟ้ าเป็ นมุ้ง มียุงเป็ นเพื่อน มันทำให้เราคิดอะไรได้ตั้งเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะแก่นสารแท้จริงของชีวิต ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

การบิณฑบาต เป็ นทั้งศาสตร์และเป็ นทั้งศิลป์ พระพุทธเจ้าทรงให้พระสงฆ์ออกบิณฑบาต ไม่ใช่เพียงเพื่อต้องการหาอาหารมาเลี้ยงชีพเท่านั้น แต่เพื่อเป็ นการออกโปรดประชาชนให้ได้มีโอกาสทำบุญ ประชาชนเหล่านี้เมื่อได้เห็นพระสงฆ์มาโปรด ก็จะมีความปลาบปลื้มปิ ติยินดีในใจ ที่ได้มีโอกาสทำบุญ ยิ่งการบิณฑบาตตามชนบท ที่ชาวบ้านอยู่กันอย่างเรียบง่าย แต่จิตใจแสนจะยิ่งใหญ่ มีความบริสุทธิ์ ทำให้จิตใจเอิบอิ่มไปด้วยบุญ ยิ่งออกบิณฑบาตหลังจากนั่งภาวนาใหม่ ๆ จิตใจมีแต่ความอิ่มเอิบ แผ่เมตตาจิตให้กับผู้ทำบุญใส่บาตร ให้มีแต่ความสุขความเจริญ ชีวิตแบบนี้หาได้ค่อนข้างยากอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเมือง การออกไปปลีกวิเวก ปลดปล่อยภาระลงบ้าง จึงเป็ นเสมือนเป็ นการเพิ่มพลัง ให้กับชีวิตที่พร้อมจะต่อสู้ กับทุกสิ่งทุกอย่างมากยิ่งขึ้น ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

ตัวเราเองประมาทมามากแล้ว ทำงานเยอะแยะมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็ นงานภายนอกกายทั้งสิ้น ทำแล้วกิเลสไม่ได้ลดลง กลับยิ่งเพิ่มกิเลสให้มากยิ่งขึ้น เป็ นเรื่องเกี่ยวกับโลก ส่วนงานภายใน คือการดูแลจิตใจของตนเอง กลับมีเวลาทำค่อนข้างน้อย การภาวนา การฝึ กฝนอบรมจิตใจของตน เป็ นภาระงานโดยตรงของพระที่พระพุทธเจ้ามอบให้ทำ แต่เรากลับไม่ค่อยมีเวลาให้เท่าที่ควร ทั้งที่เวลาของชีวิตมีไม่มาก ถ้ามัวประมาทอยู่อย่างนี้ จะเสียทีที่ได้เกิดมาเป็ นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา เตือนตัวเองว่า ต่อแต่นี้ไปจะให้เวลากับการทำงานภายใน คือฝึ กฝนอบรมใจของตนให้มากยิ่งขึ้น จะได้ไม่ต้องเสียใจ เมื่อถึงวันสิ้นลม ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

ครูดี จะไม่ฆ่าศิษย์ด้วยการตามใจ เห็นศิษย์ผิดพลาดบกพร่องแล้วไม่ตักเตือน ถือว่าทำลายศิษย์ ก็เป็ นข้อคิดสำหรับคนที่เป็ นครู ๖ มีนาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

สัตว์โลก ย่อมเป็ นไปตามกรรม เรามีกรรมเป็ นที่พึ่ง เรามีกรรมเป็ นกำเนิด เรามีกรรมเป็ นเผ่าพันธ์ เรามีกรรมเป็ นที่พีึ่งอาศัย เราทำดีจักได้ดี เราทำชั่วจักได้ชั่ว ทำกรรมอะไรไว้ ย่อมต้องได้รับผลกรรมนั้น ทำดีก็เป็ นทรัพย์ ทำชั่วก็เป็ นทรัพย์ จะทำในที่แจ้งที่ลับ ล้วนแล้วแต่เป็ นทรัพย์ ของตนเองทั้งสิ้น ๓ มีนาคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

ขอให้ทุกท่าน จงมีสุคติ จงมีโชค และจงรุ่งเรือง เมื่อเทวดาหมดบุญ จะเคลื่อนจากโลกสวรรค์ ไปจุติตามภพภูมิต่าง ๆ เหล่าเทวดาก็จะอวยพรให้ว่า. . . เมธีวชิราภิรัตกถา

๑.ขอให้ไปสุคติ คือ ขอให้ได้ไปเกิดเป็ นมนุษย์ เพราะการเกิดเป็ นมนุษย์ถือว่า เป็ นสุคติ ที่ได้เห็น ได้เรียนรู้ ทั้งทุกข์ ทั้งสุข เมื่อเกิดเป็ นมนุษย์แล้ว สามารถที่จะเลือกได้ว่า ชาติต่อไปจะเกิดเป็ นอะไร เกิดเป็ นเทวดาเสวยแต่สุขอย่างเดียว ทำให้มัวเมาหลงใหลได้ เกิดเป็ นสัตว์นรก เสวยแต่ทุกข์อย่างเดียว ไม่สามารถพัฒนาตนได้ แต่มนุษย์พบทั้งสุขและทุกข์ ทำให้ไม่ประมาทในชีวิต สามารถพัฒนาตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้ ๒.ขอให้มีโชค คือ ขอให้ได้พบกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็ นศาสนาอันประเสริฐ มีสัจธรรมคำสอนอันล้ำค่่ายิ่ง การเกิดมาพบพระพุทธศาสนา จึงเป็ นเรื่องของคนที่มีบุญอันสั่งสมไว้ดีัแล้ว ๓. ขอให้รุ่งเรือง คือ ขอให้มีความรู้ความเข้าใจ ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างถูกต้องถ่องแท้ ขอให้พระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า สว่างรุ่งเรืองอยู่ในจิตใจ อย่าได้มืดบอดทางสติปั ญญา เมธีวชิราภิรัตกถา

นี้คือพรที่เทวดาต่างอวยพรให้กัน เราทุกท่านที่ได้เกิดเป็ นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาแล้ว จงรู้ตัวเถิดว่า เราเป็ นผู้มีบุญมากมายมหาศาล เมื่อบุญเก่าดี อย่าประมาท จงเร่งสร้างบุญใหม่ไว้สม่ำเสมอ จงช่วยกันทำให้รุ่งเรืองไปด้วยพระธรรม นำพระธรรมคำสอน ให้รุ่งเรืองสว่างในจิตใจกันเถิด จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดเป็ นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖ เมธีวชิราภิรัตกถา

หลักธรรม ทางศาสนากับการสร้างความสมานฉันท์ร่วมกับผู้นำศาสนา อิสลาม และผู้นำศาสนาคริสต์ ณ โรงแรมราวดี ตำบลปากพูน ซื่งจัดโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด โดยนำเยาวชน ทั้ง ๓ ศาสนา มาทำกิจกรรมร่วมกัน ความสมานฉันท์ คือ ความพอใจร่วมกัน อันจะนำไปสู่ความปรองดอง ความสามัคคี ความแตกต่างไม่ใช่ความแตกแยก ความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ เมธีวชิราภิรัตกถา

ท่านอาจารย์พุทธทาส ได้ตั้งปณิธานไว้ ๓ ประการ คือ ๑.ให้ชาวพุทธ หรือ ศาสนิก ของแต่ละศาสนาเข้าถึงแก่นศาสนา ของตนอย่างแท้จริง ๒.ต้องทำความเข้าใจเรียนรู้ระหว่างศาสนา ๓.ช่วยกันดึงเพื่อนมนุษย์ออกจากวัตถุนิยม หลัก ๓ ประการนี้ จะทำให้แต่ละศาสนาอยูร่วมกัน ด้วยความปรองดองสามัคคีกันได้ หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา เน้นในการส่งเสริมความรัก ความสามัคคี และสันติภาพ ทั้งจากภายในและภายนอก แต่ท่านเน้นให้เริ่มจากสันติจากภายใน ปลูกความรัก ความเมตตา ปรารถนาดีต่อกันแล้ว การอยู่ร่วมกัน ก็ให้ใช้หลักธรรม เช่น สาราณียธรรม คิด พูด ทำต่อกัน ด้วยเมตตา เอื้อเฟื่้ อแบ่งปั น มีความประพฤติแบบเดียวกัน มีความคิดเห็นแบบเดียวกัน ไม่แตกแยกทางความคิด เมื่อปฏิบัติดังนี้ ความเป็ นเอกภาพ ความกลมเกลียว ความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จะเกิดขึ้น ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ เมธีวชิราภิรัตกถา

วันนี้ วันพระ ขอให้หยุดทำร้ายตัวเอง มนุษย์เรามีอารมณ์และความรู้สึก อันหลากหลายแต่ละอารมณ์ จะสนองตอบตามความเคยชิน ของสิ่งที่กระทบ โกรธ เมื่อมีคนมาด่าว่า หรือ นินทา ชื่นชอบ พอใจ เมื่อคำเยินยอ หรือ สรรเสริญ เอ่ยถึงชื่อตน แต่สิ่งเหล่านี้ก็มิได้อยู่กับเรา คงทนหรือถาวร มีเกิดขึ้น. . .แล้วหายไป เกิดขึ้น. . .แล้วดับไป เป็ นเช่นนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกสิ่งอย่าง เป็ นไปตามกฏแห่งธรรมชาติ (ธรรมะ) มิได้เป็ นไปตามความต้องการของใจ เราโกรธเขา เกลียดเขา ว่าร้ายเขา ด้วยคิดว่าได้ความสะใจ สาสมใจ ที่ได้โกรธ ได้เกลียดและคิดว่าตนเองอยู่เหนือเขา ชนะเขา แต่หารู้ไม่ว่า ความรู้สึกและอารมณ์นั้น ๆ กำลังข่มขี่ และทำร้ายตัวเราเอง ให้เราเป็ น ผู้แพ้ เมธีวชิราภิรัตกถา

เมื่อใดก็ตาม ที่เราโกรธ เกลียด เพ่งโทษ มุ่งร้าย ใครสักคน ตอนนั้นเองเราหาได้ทำร้ายคนที่เราโกรธหรือเกลียดไม่ แต่เรากำลังทำร้ายและข่มเหงตัวเราเองโดยไม่รู้ตัวความรู้สึก อารมณ์นั้น ๆ ก็มิได้เป็ นความสุขสงบเย็น ทำให้ผู้ถือมั่นในอารมณ์ และความรู้สึกเช่นนี้ก็จะสะสมพอกพูน เมธีวชิราภิรัตกถา

ความน่ารังเกียจให้กับตนเอง การอภัย และ อโหสิกรรมให้กับเขาผู้ล่วงละเมิดเรา แม้คน ๆ นั้นจะเคยเป็ นศรัตรู หรือเคยทำร้ายเราก็ตามที เพื่อจะได้ปลดปล่อยตัวเราเองจาก “ตนนั่นแหล่ะที่ทำร้ายตนเอง” นี่คือ ผลบุญที่เห็นทันตาของการให้อภัยไม่ถือสา แต่เป็ น “อุเบกขา” ด้วยความเข้าใจทั้งทางโลกและทางธรรม ศัตรูก็คือใจของเรานั้นเอง อยากชนะสื่งใดจงชนะใจตนเองให้ได้ก่อน เป็ นนายของใจให้ได้ก่อน ชีวิตจะพบความสำเร็จได้ไม่ยากเลย ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ เมธีวชิราภิรัตกถา

สิ่งที่ควรทำและควรเลือกให้กับชีวิตนี้ ของจริงแท้ที่ควรไขว่คว้าแสวงหา คือความดี และ บุญกุศล อัตภาพร่างกายนี้ เราได้มาด้วยบุญ และ ความดี ที่ได้กระทำไว้ก่อนแล้ว และเมื่อได้มาแล้วก็ต้องใช้เพื่อเพิ่มความดี เพิ่มบุญบารมีให้มากขึ้น ใช้มันเพื่อสร้างความดีและบุญกุศล พัฒนากรรมของตนให้ก้าวหน้าขึ้นไป ในกุศลธรรมที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้น เมธีวชิราภิรัตกถา

อย่านำอัตภาพร่างกายนี้ที่ได้มาด้วยความยากลำบาก ไปใช้สร้างบาปกรรม มิฉะนั้นจะเป็ นการขาดทุน เป็ นการทำลายต้นทุนชีวิตของตนเอง อย่านำต้นทุนอันสูงค่าไปแลกกับสิ่งไร้ราคา คือนำอัตภาพร่างกายนี้ไปทำความชั่ว เพื่อแลกกับความสนุกสนาน เพลิดเพลิน หรือ ของปลอม ๆ ที่สุดท้ายต้องทิ้งไว้กับโลกนี้ เพราะกว่าจะได้อัตภาพ กลับมาเป็ นมนุษย์อีกครั้ง ยากแสนยากนักหนา สิ่งทั้งปวงนี้ จะดีจะชั่ว จะสูงจะต่ำ อยู่ที่ทำตัวเอง เพราะตัวเราเองเป็ นผู้เลือกและลิขิตเอง ไม่มีเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์ที่ไหนมาดลบันดาล ข้อคิดประจำวันนี้ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ เมธีวชิราภิรัตกถา

ชีวิตคือการเดินทางไกล ในระหว่างเดินทางจะต้องแวะที่นั่นที่นี่ จนกว่าจะถึงเป้ าหมาย แต่ในระหว่างเดินทางนั้น เราจะต้องรีบสั่งสมเสบียงและสิ่งที่จะนำติดตัวไปให้พร้อม ถ้าเสบียงหมดหรือไม่นำสิ่งที่ควรนำไป หรือไปแบกหามเอาสิ่งที่ไม่ควรนำไปด้วย ความเข้าใจผิดชีวิตจะลำบาก เสบียงหรือสิ่งที่ควรนำไปในที่นี้ คือ บุญ ซึ่งจัดเป็ นอริยทรัพย์ที่จะสามารถนำติดตัวไปได้ ถ้าไม่รีบสั่งสมบุญไว้ เกิดบุญหมดชีวิตจะลำบาก คนที่มีบุญที่ป่ วยก็หาย ที่หน่ายก็กลับมารัก แต่คนที่บุญหมดกลับตรงกันข้าม ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ เมธีวชิราภิรัตกถา

คือ ที่ป่ วยก็หนัก ที่เคยรักก็กลับหน่าย ไปเลี้ยงหมู หมูก็ตาย ไปค้าขายก็ขาดทุน ไปเล่นหุ้นก็ถูกโกง มีเมียเมียก็มีชู้ มีลูกก็ไม่ได้อย่างตัว มีผัวก็ไม่ได้ดั่งใจ มีพ่อแม่ก็กลับใจร้าย มีสหายก็กลายเป็ นคนใจคด มีลูกศิษย์ก็คิดทรยศ ทำอะไรก็ขาด ๆ เกิน ๆ นี้แหละ อำนาจของการขาดบุญอันเป็ นต้นทุนของชีวิต สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมบุญนำสุขมาให้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ๒๐ เมษายน ๒๕๕๗ เมธีวชิราภิรัตกถา

ธุดงค์ขึ้นดอยกับหลวงพ่อวิริยังค์ คณะพระภิกษุที่ธุดงค์ขึ้นดอยอินทนนท์กับหลวงพ่อวิริยังค์ จำนวน ๒๓ รูป หลวงพ่ออายุ ๙๕ ปี แล้วแต่ยังสามารถเดินขึ้นดอยอินทนนท์ได้ แม้บางช่วง จะมีคนแบกก็ตาม แต่ตามวิสัยปกติแล้ว คนที่มีอายุเก้าสิบกว่า ๆ จะแข็งแรง ขนาดนี้หาได้ยากมาก หลวงพ่อท่านบอกเคล็ดลับไว้ว่า \"ใครอยากอายุยืน สุขภาพแข็งแรงเหมือนหลวงพ่อให้ฝึ กสมาธิ สร้างพลังจิต เมื่อมีพลังจิต อะไรมากระทบใจก็ไม่กระเทือน เมื่อเป็ นดังนี้จะมีอายุยืนตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ฝึ กสมาธิ ไม่มีพลังจิต อะไรกระทบจิตใจนิดหน่อยก็หวั่นไหว เป็ นทุกข์ แบบนี้อายุจะสั้น\" ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๗ เมธีวชิราภิรัตกถา

อากาศร้อน เดินทางเหนื่อย ๆ หวังจะพึ่งต้นไม้ ผต่ก็ไม่มีใบให้พึ่งเมื่อต้นไม้ผลัดใบ แล้วคนจะพึ่งอะไร เหมือนกับชาวพุทธเราในทุกวันนี้ กำลังเหนื่อย กำลังร้อน กับการ ดำเนินชีวิต ถูกไฟกิเลสแผดเผา ให้เร่าร้อนตลอดเวลา หวังเข้าไป พึ่งศาสนาเพื่อคลายร้อน แต่ศาสนา ก็อ่อนแรงเต็มที เหมือนต้นไม้ที่ผลัด ใบในขณะนี้ ดีไม่ดีอาจจะร้อนยิ่งกว่า เดิมเสียอีก เพราะปั จจุบันนี้ แทบจะแยกไม่ได้ว่า สิ่งใดเป็ นพุทธศาสนา สิ่งใหนไม่ใช่ ผสมปนเปกันจนแยกไม่ค่อยจะได้ต้องอาศัยสติปั ญญาของแต่ละคน เลือกเฟ้ นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดับร้อนให้กับตัวเองและต้องรีบทำอย่าง เร่งด่วนเพราะชีวิตนี้น้อยนักแต่สำคัญยิ้งนัก ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๗

เมธีวชิราภิรัตกถา วันนี้ เป็ นวันพระ ข้อปฏิบัติสำหรับชาวพุทธ ตื่นเช้าขึ้นมาขอให้ท่านตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งสัจจปฏิญาณด้วยตนเอง ว่าดังนี้่ ๑.ข้าพเจ้าจะไม่มีที่พึ่งอื่นใด นอกเหนือจากพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ๒.ข้าพเจ้าจะขอสมาทานรักษา สิกขาบทห้าประการ คือ เจตนางดเว้น จากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ และการดื่มสุรายาเสพย์ติด ๓.ข้าพเจ้าจะพยายามงดเว้นจากบาปทั้งปวง ทำความดี ให้ถึงพร้อม และจะพยายามรักษาจิตใจให้สะอาด ผ่องใสตลอดเวลา สรรพสัตว์เหล่าใดที่เป็ นทุกข์ ข้อให้พ้นทุกข์ สรรพสัตว์เหล่าใดเป็ นสุขก็ขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร ปราศจากภัย ปราศจากอุปสรรค อันตรายทั้งปวง สามารถรักษาตนให้มีความสุขอยู่ทุกเมื่อเถิด. ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เมธีวชิราภิรัตกถา

แจกคาถา มหาเศรษฐี อุ อา กะ สะ (คาถาหัวใจมหาเศรษฐี) เมื่อท่องคาถานี้ แล้วต้องกินยาให้ครบ ๔ ขนาน ประกอบกับคาถาด้วย คือ ต้องขยันหา รู้จักเก็บรักษาให้ดี มีกัลยาณมิตร เลี้ยงชีวิตอย่างพอเพียง ท่องให้จำ ทำให้ได้ รับรองรวยแน่นอน ๑๒ มกราคม ๒๕๕๗ เมธีวชิราภิรัตกถา

เปลี่ยน พ.ศ.ใหม่ เปลี่ยนใจแล้วหรือยัง กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์ พร้อมทั้งตัวมันเอง หนึ่งปี ที่ผ่านไป สิ่งที่ควรจะได้ คือ ประสบการณ์ชีวิต บทเรียนชีวิตที่มีทั้งได้และเสีย ทั้งชื่นชมและขมขื่น ทั้งสุขและโศก ทั้งหัวเราะและร้องให้ ต้องรู้จักแปรเปลี่ยนสูญเสียให้เป็ นสร้างสรรค์ เปลี่ยนอุปสรรคให้เป็ นอุปกรณ์ เปลี่ยนวิกฤติให้เป็ นโอกาส แปรความทุกข์ให้เป็ นสติปั ญญา จนเกิดความรอบคอบ (ระวังสังวร) รอบรู้ (ปั ญญา ประสบการณ์) และรอบจัด (เชี่ยวชาญ- เจนจัด) ในการดำเนินชีวิต ในกิจที่ทำ ในคำที่พูด ในอารมณ์ที่คิด ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เมธีวชิราภิรัตกถา

พอมีข่าวเสียหาย เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น จะเป็ นจริงเป็ นเท็จประการใด ยังไม่ชัดเจน ชาวพุทธบางกลุ่มต่างก็พากันโจมตีด่าว่าสถาบันสงฆ์ และสถาบันพุทธศาสนา อย่างเสีย ๆ หาย ๆ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็ น เจ้าของศาสนา นั้นเอง ถ้าเรารู้สึกตัวว่า เราชาวพุทธทุกคน คือ เจ้าของพระพุทธศาสนา เราทุกคนจะต้องรับผิดชอบต่อความเจริญ หรือ ความเสื่อมของ พระพุทธศาสนา แทนที่จะมุ่งโจมตีซึ่งกันและกันก็น่าจะหันมาร่วม มือกัน มุ่งกันกำจัดภัยอันตรายของพุทธศาสนา ทั้งภัยภายในและ ภัยภายนอกร่วมกัน แบ่งพวก จะเสียรัก แบ่งพรรค จะเสียสามัคคี แบ่งทั้งพวก แบ่งทั้งพรรค จะเสียทั้งรัก และ เสียทั้งสามัคคี รวมพวกได้รัก รวมพรรค ได้สามัคคี รวมทั้งพวก รวมทั้งพรรค จะได้ทั้งรักและได้สามัคคี ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ เมธีวชิราภิรัตกถา

ปาฏิหาริย์ใน พระพุทธศาสนา มี ๓ อย่าง คือ ๑.อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ที่เหนือคนธรรมดา สามัญได้ เช่น คนเดียวเป็ นหลายคนก็ได้ เป็ นต้น ไม่ทรงยกย่อง สรรเสริญ และห้ามพระสงฆ์แสดง ๒.อาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ การดักใจหรือ สามารถรู้ใจผู้อื่นได้ว่าผู้ นั้นคิดอย่างไร ก็ไม่ทรงยกย่องสรรเสริญ ๓.อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนที่เป็ นอัศจรรย์ คำสอนของ พระพุทธเจ้าที่สอนสาวกให้รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดควรเจริญ ไม่ควรเจริญ สิ่งนี้เป็ นกุศล สิ่งนี้เป็ นอกุศล เมธีวชิราภิรัตกถา

หนทางนี้ คือ ทางดับกิเลส คือ อริยมรรค การสอนด้วยพระธรรมที่เป็ นสัจจะนี้เอง ที่สามารถให้สาวก หรือ ผู้ที่ได้ฟั ง ละ สละ ขัดเกลากิเลส และมีปั ญญาถึงการดับกิเลสได้ นี่คือ ปาฏิหาริย์สูงสุด เพราะว่ากิเลสเป็ นสิ่งที่ละยาก การละกิเลส ได้จนหมดสิ้นด้วยพระธรรม จึงเป็ นสิ่งที่เป็ นปาฏิหาริย์สูงสุด พระพุทธเจ้าทรงยกย่องสรรเสริญ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนที่เป็ นอัศจรรย์ สามารถดับทุกข์ให้แก่ผู้ปฏิบัติได้อย่าง แท้จริง ๒๑ กันยายน ๒๕๕๘ เมธีวชิราภิรัตกถา

โลก ไม่ได้แยกกับ ธรรม และ ธรรม ก็ไม่ได้แยกจาก โลก วันนี้ได้ไปเป็ นกรรมการสอบดุษฎีนิพนธ์ของท่านพระครูโกศลอรรถกิจ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดสงขลา (ธรรมยุต)ที่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วิทยาลัย ศาลายา จังหวัดนครปฐม ในสาขาพุทธศาสนาและปรัชญา โดยมี รองศาสตราจารย์วิรัตน์ กางทอง เป็ นประธานในการสอบ ก็ขอ แสดงความยินดีกับ ดร.สาขาพุทธศาสนาและปรัชญา รูปใหม่ของจังหวัด สงขลาด้วย สำเร็จแล้วจะได้มาช่วยกันทำงานพระพุทธศาสนา เมธีวชิราภิรัตกถา

อาจจะมีคำถามว่า. . . พระทำไมต้องเรียนทางโลก เพราะกระแสข่าวเรื่องห้ามพระเรียนทางโลก กำลังโด่งดังในสื่อต่าง ๆ ในขณะนี้ แล้วตามหลักของพระพุทธศาสนาเป็ นอย่างไร แยกโลกออกจากธรรมเด็ดขาดหรือไม่ ตอบว่า. .. หลักของพระพุทธศาสนาไม่ได้แยกสิ่งที่เรียกว่า \"โลก\" กับ \"ธรรม\" ออกจากกันอย่างชัดเจน หลักธรรมในพุทธ ศาสนาไม่ได้มีแต่เรื่องทำจิตให้พ้นทุกข์อย่างเดียว หากยังครอบคลุม ถึงเรื่องทางโลก การปฏิบัติธรรมต้องอาศัยปั จจัยทางโลก เช่น อาหาร ที่อยู่อันสงบวิเวก ในขณะเดียวกัน. . . การทำมาหากินซึ่งถือว่าเป็ นเรื่องทางโลก ก็จำเป็ นต้องมีธรรมเข้าไป กำกับเพื่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตและสังคมด้วย ดังนั้น . . . พระพุทธเจ้าจึงต้องให้พระออกบิณฑบาต เพื่อจะได้มีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับประชาชน ซึ่งถือว่าเป็ นเรื่องของทางโลก เมธีวชิราภิรัตกถา

การแยกโลกแยกธรรม ออกจากกันชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อมี การแยกการศึกษาออกจากวัด เดิมทีวัดเป็ นผู้ดำเนินการจัดการศึกษา ต่อมารัฐมาเอาหน้าที่นี้ไป ทำแทน พระเลยถูกตีกรอบว่าต้องเรียนแต่เรื่องธรรมล้วน ๆ วิชาสมัยใหม่ซึ่งถือว่าเป็ นวิชาการทางโลก แม้แต่ภาษาอังกฤษ พิมพ์ดีด ก็ห้ามเรียน พระถูกจำกัดให้อยู่แต่ในฝ่ ายธรรม ห้ามยุ่ง เกี่ยวทางโลกโดยสิ้นเชิง ใครเจ็บไข้ได้ป่ วย ชาวบ้านเดือดร้อน ทุกข์ยากประการใด พระไม่เกี่ยวข้อง เพราะเป็ นเรื่องทางโลก ห้ามเรียนวิชาการทางโลก ปรากฏว่า. . เวลาพระพูดกับชาวบ้าน พูดกันไม่รู้เรื่อง เหมือนพูดกันคนละภาษา อย่างที่ชาวบ้านโจมตีพระ ว่าพูดแต่ภาษาบาลี ฟั งไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถประยุกต์หลักธรรมมาสอน ให้เหมาะสมกับโลกได้ เมธีวชิราภิรัตกถา

ฝ่ ายญาติโยม ก็มองตนเองว่าอยู่ ฝ่ ายโลก มีหน้าที่ทำมาหากินไม่ต้องปฏิบัติธรรม จะเอารัดเอาเปรียบใครฉ้อโกง ทุจริตอย่างไร ไม่เกี่ยวกับธรรมะ เพราะเป็ นเรื่องของการทำมาหากิน เป็ นเรื่องทางโลก มองธรรมะเป็ นเรื่องคร่ำครึ เป็ นเรื่องของคนแก่เฒ่า เรื่องของพระ ของเณร จะยุ่งเกี่ยวกับธรรมะก็ต่อเมื่อทำพิธีกรรม มาทำกิจกรรม ทางศาสนาในวัด มีธรรมะเฉพาะตอนอยู่ในวัดหรือในโบสถ์ พอออกจากวัดออกจากโบสถ์ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับธรรมะอีกต่อไป แม้สถาบันการศึกษาทุกระดับชั้นก็ถอดวิชาธรรมะออกจากหลักสูตร แทบหมดสิ้น เพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวกับโลก ไม่เกี่ยวกับการทำมาหากิน เป็ นต้น เมธีวชิราภิรัตกถา

ผลจาก การแยกโลก แยกธรรม ออกจากกันเด็ดขาดอย่างนี้ ทำให้ธรรมะ กับ โลก แยกกันอยู่ ชาวโลก เลยไม่จำเป็ นต้องมีธรรม ไม่จำเป็ นต้องปฏิบัติธรรม เพราะถ้าปฏิบัติ ธรรม หรือมีธรรมแล้ว จะขัดขวางความเจริญทางโลก ส่วนชาวธรรม ก็ไม่จำเป็ นต้องมีความเกี่ยวข้องกับโลกไม่ต้องเรียนรู้โลก เมื่อโลกกับธรรมขาดการเกื้อกูลอาศัยซึ่งกันและกันอย่างนี้ แล้วผลตาม มาจะเป็ นอย่างไร ฝากท่านทั้งหลายผู้เป็ นนักปราชญ์ ไปคิดต่อเองเถิด ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ เมธีวชิราภิรัตกถา

ทำดีก็เป็ นทรัพย์ ทำชั่วก็เป็ นทรัพย์ จะทำในที่แจ้งหรือที่ลับ ล้วนแล้วแต่เป็ นทรัพย์สมบัติ ของตนทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกคำที่เราพูด ทุกอารมณ์ที่เราคิด เราเป็ นเจ้าของลิขสิทธิ์ ที่จะต้องรับผลนั้น ๆ ตามกฎแห่งกรรม พระพุทธเจ้า เพียงแต่บอกให้พวกเรา รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ แต่ไม่ทรงบังคับให้เราเชื่อ เมธีวชิราภิรัตกถา

เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระพุทธองค์ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับ พวกเราและไม่เป็ นประเด็นสำคัญอะไร แต่ขอให้รับรู้กฎความจริง ของธรรมชาติที่ว่า มนุษย์ทุกคนจะต้องรับผิดชอบ ในสิ่งที่ตนเองได้กระทำไว้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเป็ นดังนี้ท่านจงตัดสินใจ เอาเองว่า จะเชื่อพระพุทธเจ้าดีหรือไม่ เมธีวชิราภิรัตกถา

ปั จฉิมโอวาท ที่ตรัสสั่งไว้ครั้งสุดท้ายก่อนปรินิพพานว่าอย่าประมาท เป็ นสิ่งที่พวกเรา ควรนำมาไตร่ตรองใคร่ครวญให้มาก อย่าประมาทในวัย อย่าประมาทในชีวิต (อย่าคิดว่าอายุน้อย โรคภัยไข้เจ็บไม่มี ความตายไม่เคยเลือกเพศ ว้ย) อย่าประมาทในจิตตสังขาร (ความคิดปรุ่งแต่ง อย่าคิดว่าแค่คิดในใจ ไม่เป็ นไร เพราะคิดอะไรบ่อย ๆ ก็จะกลายเป็ นพื้นฐานของจิต พื้นฐานของพฤติกรรม พื้นฐานของนิสัยและ จะกลายเป็ นสันดานในที่สุด) อย่าประมาทในการตอบแทนคุณ (รีบกตัญญูและตอบแทนคุณผู้มีพระคุณตอนที่มีโอกาส) อย่าประมาทในเรื่องบุญกุศล (อย่าคิดว่าบุญเล็กน้อย แล้วไม่ทำ อย่าคิดว่าบาปเล็กน้อย แล้วไปทำ) อย่าประมาทในการประคับประคองจิตของตนเองก่อนที่จะตาย (เพราะจิตก่อนตายจะเป็ นตัวนำจิตเราไปปฏิสนธิในภพใหม่ ถ้าจิตเศร้า หมอง ทุคติหวังได้ แต่จะไปประคองจิตก่อนตายทีเดียว คงไม่ทันกาล เหมือนไปหัดว่ายน้ำตอนเรือจะล่ม ต้องรีบทำเสียตอนนี้) ไม่ได้เตื่อนใคร แต่เตือนใจตัวเองก่อนนอนในคืนนี้ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ เมธีวชิราภิรัตกถา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook