คำนำ สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขัน้ พ้ืนฐำน โดยหน่วยศึกษำนเิ ทศก์ ได้จัดสรรงบประมำณ เพื่อ พัฒนำคณุ ภำพกำรนเิ ทศกำรศึกษำระดับเขตพ้นื ท่ีกำรศึกษำ กิจกรรมกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำระดับ เขตพนื้ ทกี่ ำรศึกษำ ประจำปี 2563 กลุ่มนิเทศ ตดิ ตำมและประเมินผลกำรจัดกำรศึกษำ สำนกั งำนเขตพ้ืนท่ีกำรศกึ ษำมัธยมศึกษำ เขต 42 จงึ ไดจ้ ดั ทำแผนพฒั นำคณุ ภำพกำรศึกษำ เพ่อื พัฒนำสถำนศึกษำในสังกดั ให้บรรลุเปำ้ หมำยและ วตั ถุประสงค์ของกำรจัดกำรศึกษำต่อไป กล่มุ นิเทศ ติดตำมและประเมินผลกำรจดั กำรศึกษำ สำนกั งำนเขตพืน้ ที่กำรศึกษำมัธยมศกึ ษำ เขต 42
สำรบัญ หน้ำ เร่ือง 1 25 สว่ นที่ 1 บทนำ 49 สว่ นท่ี 2 ฐำนขอ้ มูล 76 สว่ นที่ 3 วธิ ีดำเนนิ กำร 81 ส่วนท่ี 4 โครงกำรกจิ กรรม ปีงบประมำณ พ.ศ.2563 ส่วนท่ี 5 ปฏิทินกำรนิเทศ คณะนิเทศ ภำคผนวก - คำส่งั สำนักงำนเขตพน้ื ท่กี ำรศึกษำมธั ยมศกึ ษำ เขต 42 ที่ 104/2563
1 แผนกำรพัฒนำคุณภำพกำรนเิ ทศกำรศกึ ษำ ระดับเขตพ้ืนทีก่ ำรศกึ ษำ ประจำปีงบประมำณ 2563 สำนักงำนเขตพนื้ ที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 42 สว่ นที่ 1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคัญ กำรศึกษำเป็นกระบวนกำรสำคัญในกำรพัฒนำผู้เรียนให้มีคุณภำพในศตวรรษที่ 21 ผู้เรียนต้อง ปรับตัวให้เท่ำทันกับกำรเปล่ียนแปลงต่ำง ๆท้ังทำงด้ำนเศรษฐกิจ สังคม กำรเมืองและวัฒนธรรม เสริมสร้ำงผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะต่ำง ๆได้ตำมหลักสูตร ในผู้เรียนน้ันจะต้อง ดำเนินกำรจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับควำมสนใจและควำมถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงควำมแตกต่ำง ระหวำ่ งบุคคลฝึกทกั ษะกระบวนกำรคิดกำรจัดกำรกำรเผชญิ สถำนกำรณ์และกำรประยกุ ต์ควำมรมู้ ำใช้เพื่อ ป้องกันและแก้ไขปัญหำในชีวิตประจำวันของผู้เรียนจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จำกประสบกำรณ์จริง กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้แบบ Active Learning ฝึกปฏิบัติให้นักเรยี นคิดได้ คิดเป็น ทำเป็น รักกำรอ่ำน และเกิดกำรใฝ่รู้อย่ำงต่อเน่ือง จัดกำรเรียนกำรสอนโดยผสมผสำนสำระควำมรู้ด้ำนต่ำงๆนั้นจะทำให้ ผู้เรียนได้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่ำงมีควำมสุขตำมพระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 และ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2545 มำตรำ 10 เรื่องสิทธิและหน้ำท่ีทำงกำรศึกษำระบุว่ำกำรจัด กำรศึกษำน้นั ต้องจัดให้บุคคลมีสทิ ธิและโอกำสเสมอภำคกนั ในกำรรับกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำนไมน่ ้อยกว่ำ 12 ปีท่ีรัฐต้องจัดให้อย่ำงทั่วถึงและมีคุณภำพ โดยไม่เก็บค่ำใช้จ่ำยกำรจัดกำรศึกษำ ปัจจุบันครูและบุคลำกร ทำงกำรศึกษำจำเป็นต้องเป็นผู้ท่ีมีคุณภำพและมำตรฐำนผสมกับวิชำชีพชั้นสูงมีควำมสำมำรถในกำร ขับเคลื่อนกระบวนกำรจัดกำรศึกษำ ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสำมำรถจัดบรรยำกำศสภำพแวดล้อมสู่ นวัตกรรมกำรเรียนกำรสอน เพ่ือกำรเรียนรู้ของผู้เรียนอำนวยควำมสะดวก เพ่ือให้เกิดกำรเรียนรู้และมี ควำมรอบรู้พ้ืนฐำนสำมำรถใช้กำรวิจัยในกำรเรียนกำรสอนในกำรปรับปรุงพัฒนำกระบวนกำรจัดกำร เรียนรู้พัฒนำคุณภำพผู้เรียนพัฒนำคุณภำพกำรจัดกำรเรียนกำรสอนของครู ให้ครูและผู้เรียนเรียนรู้ไป พร้อมๆกับจัดกำรเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลำทุกสถำนท่ี มีกำรประสำนควำมร่วมมือจำกแหล่งกำรเรียนรู้ ชุมชนต่ำงๆผู้ปกครองชุมชนแห่งกำรเรียนรู้เพ่ือร่วมกันพัฒนำผู้เรียนตำมศักยภำพกำรส่งเสริมให้ผู้เรียน เกิดกำรเรียนรู้ในทักษะในศตวรรษท่ี 21 นั้น จะช่วยเปิดโอกำสให้นักเรียนได้มีประสบกำรณ์เรียนรู้ท่ีมี ควำมหมำยช่วยส่งเสริมศักยภำพที่มีอยู่แล้วของนักเรียนให้ได้พัฒนำอย่ำงเต็มที่ ซ่ึงสอดคล้องกับทฤษฎี กำรเรียนรู้ของนักกำรศึกษำท่ีเช่ือว่ำกำรเรียนรู้ท่ีดีกว่ำไม่ได้เกิดมำจำกกำรท่ีครูค้นพบวิธีกำรสอนท่ีดีกว่ำ จะเกิดมำจำกกำรท่ีครูได้ให้โอกำสท่ีดีกว่ำแก่ผู้เรียนให้สำมำรถสร้ำงองค์ควำมรู้ได้ด้วยตนเองกำรเรียนรู้นี้ เรียกว่ำกำรเรียนรู้เพ่ือสร้ำงสรรค์ด้วยปัญญำกำรศึกษำในศตวรรษที่ 21 น้ีครูจะต้องปรับกำรเรียนเปล่ียน
2 กำรสอนโดยครูจะต้องทำให้ผู้เรียนรักท่ีจะเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่มีเป้ำหมำยในกำรสอนที่จะทำให้ผู้เรียนมี ทักษะชีวิตทักษะกำรคิดทกั ษะด้ำนดิจิตอลในโลกปัจจบุ ันนท้ี ี่จะตอ้ งสร้ำงภูมคิ ุ้มกันให้กบั ผู้เรียนในกำรทจ่ี ะ แนะนำมุมมองดำ้ นบวกและดำ้ นลบในสงั คมแห่งกำรเปล่ยี นแปลง ทศิ ทำงในกำรขับเคล่ือนคุณภำพกำรศึกษำ ของหน่วยงำนในสังกดั สำนักงำนเขตพ้ืนที่กำรศึกษำ มัธยมศึกษำ เขต 42 คือ กำรส่งเสรมิ สนับสนุน กำรจัดกำรศึกษำของโรงเรียนในสังกัด ใหม้ ีควำมเข้มแข็ง สำมำรถนำนโยบำยไปสูก่ ำรปฏิบัตอิ ย่ำงเป็นรูปธรรมและมปี ระสิทธภิ ำพเกิดประสิทธิผล ทำให้ผู้เรยี นได้รับ กำรพัฒนำเต็มตำมศักยภำพบรรลุเป้ำหมำยตำมตัวช้ีวัดควำมสำเร็จท่ีกำหนด เน้นกำรขับเคล่ือนพัฒนำ หอ้ งเรียนคุณภำพ 4 มิติ โดยเฉพำะกำรพัฒนำครูผู้สอนท่ีมุ่งเน้นกำรพัฒนำคุณภำพและมำตรฐำนวิชำชีพ ครู เพ่ิมโอกำสทำงกำรศึกษำให้แก่ผู้เรียนและกำรส่งเสริมกำรมีส่วนร่วมในกำรจัดกำรศึกษำของทุกภำค สว่ นทุกหนว่ ยงำน เพ่ือให้ผู้เรียนได้เรยี นรู้ตลอดชีวิตอย่ำงมีคุณภำพ กำรนิเทศติดตำมและประเมินผลกำร จัดกำรศึกษำเป็นกระบวนกำรสำคัญในกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำประกำรหนึ่ง ที่จะร่วมประสำนกำร ขับเคลื่อนนโยบำยไปพร้อมกับกระบวนกำรบริหำรและกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ จึงจะสร้ำงกำรรับรู้ ควำมเข้ำใจและทัศนคติท่ีถูกต้องให้แก่ผู้ปฏิบัติ โดยเฉพำะผู้บริหำรโรงเรียนและครู ให้สำมำรถร่วมกัน พฒั นำงำนไปบนฐำนสภำพควำมเป็นจริงตำมบรบิ ทของตนเองไดอ้ ย่ำงมปี ระสิทธภิ ำพจนกำ้ วสูค่ วำมสำเร็จ ตำมเป้ำหมำยที่ทุกฝ่ำยคำดหวัง กลุ่มนิเทศติดตำมและประเมินผลกำรจัดกำรศึกษำ มีบทบำทภำระ กิจกำรนิเทศที่มุ่งส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือให้ผู้บริหำรโรงเรียนพัฒนำกระบวนกำรบริหำรจัดกำรทุก ด้ำน ให้เป็นไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ และเกิดประสิทธิผล อีกทั้งช่วยเหลือครูในกำรพัฒนำคุณภำพกำร จดั กำรเรียนรู้ ด้วยกำรนิเทศแบบกลั ยำณมติ รเพ่ือให้ครูสำมำรถนำหลักสูตรไปใช้ให้เกิดประสทิ ธิภำพโดย จัดกำรเรียนรู้ ที่เน้นกำรพัฒนำทักษะกระบวนกำร คิดและ สำมำรถประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยี สำรสนเทศท่ีทันสมัย มำเพิ่มประสิทธิภำพกำรจัดกำรเรียนรู้ รวมถึงพัฒนำกำรวัดผลประเมินผลและกำร ศึกษำวิจัยเพ่ือพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำ นอกจำกนี้ยัง ส่งเสริม สนับสนุนให้ครู สร้ำงเครือข่ำยหรือชุมชน กำรเรียนรู้เพ่ือพัฒนำวิชำชีพครูด้วยจิตวิญญำณของควำมเป็นครู โดยมุ่งประโยชน์ที่จะเกิดแก่ผู้เรียนเป็น สำคัญ กำรนิเทศดังกล่ำวย่อมส่งผลให้กำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำ เป็นไปตำมนโยบำย ท่ีสำนักงำน คณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน กลุ่มนิเทศติดตำมและประเมินผลกำรจัดกำรศึกษำ สำนักงำนเขต พื้นท่ีกำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 42 จึงได้จัดทำแผนปฏบิ ัติกำรนิเทศ ปีงบประมำณ 2563 ขึ้น เพื่อใช้เป็น เครื่องมือในกำรปฏิบัติกำรนิเทศ ในปีงบประมำณ 2563 ซึ่งเป็นกำรขับเคล่อื นกำรดำเนินงำนตำมนโยบำย ของสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้นั พื้นฐำนและนโยบำยของสำนักงำนเขตพื้นที่
3 กำรนิเทศแบบบูรณกำร กำรนิเทศสอนงำน (Coaching) กำรพัฒนำสถำนศึกษำให้เป็นองค์กรแห่งกำรเรยี นรู้ (Learning Organization) บคุ ลำกรในสถำนศึกษำต้องมีกำรเรียนรู้อยู่ตลอดเวลำ และเรียนร้อู ย่ำงต่อเนอ่ื ง ซ่ึงกำร นเิ ทศสอนงำน เปน็ เทคนิคหนึ่งท่ีสำคัญทจ่ี ะชว่ ยสง่ เสรมิ กำรเรยี นรูใ้ ห้กับครู อนั จะเป็นตัวจกั รสำคญั ท่ีจะ นำไปส่คู วำมสำเร็จ โดยมุ่งเน้นให้ครูมคี วำมสำมำรถ มีผลกำรปฏบิ ตั ิงำนท่ีดีข้นึ และสถำนศกึ ษำท่ีมีควำม พรอ้ มทจ่ี ะรบั กำรเปล่ยี นแปลง เทคนคิ กำรนิเทศสอนงำน (Coaching) เปน็ กำรสอนงำนครู โดยผู้สอนงำน (Coach) อำจเป็น ผู้บรหิ ำรสถำนศกึ ษำ ผ้นู เิ ทศภำยในที่สำมำรถเป็นผู้สอนงำนได้ ผถู้ กู สอนงำน (Coachee) ส่วนใหญเ่ ป็นครู ท่ีอยู่ในสถำนศกึ ษำเดยี วกัน กำรนเิ ทศสอนงำนจะเน้นไปที่กำรพฒั นำผลกำรปฏิบตั ิงำน (Individual Performance) และพัฒนำศักยภำพ (Potential) ของครู Coaching เป็นกำรสอ่ื สำรอย่ำงหนง่ึ ท่ีเปน็ ทำงกำรและไมเ่ ป็นทำงกำร ระหว่ำงผบู้ รหิ ำรสถำนศึกษำ และครู เปน็ กำรส่ือสำรแบบสองทำง (Two way Communication) ทำใหผ้ ู้บริหำรสถำนศึกษำ และครูไดร้ ่วมกันแก้ไขปัญหำตำ่ ง ๆ ทเ่ี กิดขนึ้ ในกำรจัด กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ เช่น ปญั หำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี นของผเู้ รยี นต่ำ ผูเ้ รยี นออกกลำงคัน สอ่ื ท่ใี ชใ้ นกำร จดั กิจกรรมกำรเรียนรู้ไมม่ ีคุณภำพ ซงึ่ กำรร่วมกันแก้ไขปัญหำดงั กล่ำว กอ่ ใหเ้ กิดควำมสัมพันธอ์ นั ดี ระหวำ่ งผ้สู อนงำน (Coach) และผถู้ กู สอนงำน (Coachee) อยำ่ งไรก็ตำมกำรท่จี ะ Coaching ไดด้ นี ้นั ตอ้ งมีควำมพร้อมทงั้ ผู้สอนงำนและผู้ถกู สอนงำน กล่ำวโดยสรปุ Coaching คือ กำรที่ผบู้ ริหำรสถำนศึกษำ หรือผ้นู เิ ทศภำยใน เปน็ ผ้สู อนงำน (Coach) ในเรื่องเกย่ี วกับกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ให้กับครู ซ่ึงเปน็ ผู้ถกู สอน ซ่ึงผูท้ ่ีทำหนำ้ ทีน่ เิ ทศสอน งำนจะต้องเปน็ ผทู้ ่มี ีควำมรู้ ควำมสำมำรถ และมผี ลงำนอยู่ในระดับมำตรฐำน ควำมหมำยของกำรนิเทศสอนงำน Coaching หมำยถึง กำรสอนงำนครู ในสถำนศึกษำ ซงึ่ เป็นเทคนคิ หนึง่ ในกำรพฒั นำบุคลำกร หรือครู ทงั้ นี้ ผูน้ ิเทศสอนงำน Coach โดยปกติ Coach สำมำรถเป็นได้ทัง้ ผู้บรหิ ำรสถำนศึกษำ ผู้นิเทศ ภำยใน ส่วนผถู้ กู สอนงำนโดยปกตจิ ะเปน็ ครทู ี่อยู่ในสถำนศึกษำ เรียกผู้ถูกสอนวำ่ “Coachee” กำรสอนงำนจดั ได้ว่ำเปน็ กระบวนกำรหนึ่งที่ผนู้ เิ ทศใชเ้ พื่อเสรมิ สร้ำงและพัฒนำครู ให้มคี วำมรู้ (Knowledge) ทกั ษะ (Skills) และคุณลักษณะเฉพำะตัว (Personal Attributes) ในกำรจัดกจิ กรรมกำร เรียนรใู้ หป้ ระสบผลสำเรจ็ ตำมเปำ้ หมำยที่กำหนดไว้ (Result Oriented) โดยจะตอ้ งตกลงยอมรับร่วมกัน (Collaborative) ระหว่ำงผนู้ ิเทศและครู ทั้งนี้กำรนิเทศกำรสอนงำนจะมุ่งเน้นไปท่ีกำรพัฒนำผลกำร ปฏบิ ตั ิงำนของครู (Individual Performance) ในปัจจบุ ันแมก้ ำรสอนงำนยังมุ่งเน้นไปที่กำรพฒั นำ ศักยภำพ (Potential) ของครู เพื่อให้ครมู ีพัฒนำกำรของควำมรู้ ทักษะ และควำมสำมำรถเฉพำะตวั
4 และมีศักยภำพในกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ ให้สงู ขนึ้ ต่อไป เพอ่ื ควำมกำ้ วหน้ำในหน้ำทก่ี ำรงำน อันนำมำ ซง่ึ ตำแหนง่ ทส่ี งู ขน้ึ ต่อไปในอนำคต นอกจำกนัน้ กำรนิเทศสอนงำน ยงั ถือไดว้ ำ่ เป็นรูปแบบของกำรส่ือสำรอย่ำงหนึง่ ท่เี ปน็ ทำงกำร และไม่เปน็ ทำงกำรระหวำ่ งผู้นเิ ทศ และครู หรอื เรยี กว่ำ กำรส่อื สำรแบบสองทำง (Two Way Communication) ทผ่ี ู้นิเทศใช้ในกำรชแ้ี จง ทำควำมเข้ำใจ และปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรมของครู ใหเ้ ตรยี ม ควำมพร้อมต่อกำรเปลยี่ นแปลงในดำ้ นต่ำง ๆ ที่อำจจะเกิดข้ึนได้อยู่ตลอดเวลำ และเปน็ ช่องทำงใน กำรศึกษำสภำพปัญหำ และอุปสรรคต่ำง ๆ ในกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ รวมท้ังเป็นโอกำสอนั ดีทผ่ี ู้นเิ ทศ จะไดร้ บั รู้ถึงเปำ้ หมำย และกลยทุ ธใ์ นกำรดำเนนิ งำนของสถำนศึกษำ จำกกำรเข้ำร่วมประชมุ กับผบู้ รหิ ำร และครูในสถำนศึกษำ แนวคิดเก่ยี วกบั กำรนเิ ทศสอนงำน กำรนเิ ทศสอนงำน มีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือชว่ ยใหค้ รสู ำมำรถจดั กจิ กรรมกำรเรยี นร้ใู ห้กับผเู้ รียนได้ อยำ่ งมปี ระสิทธภิ ำพ ซงึ่ ผนู้ เิ ทศจะคอยแนะนำให้คำปรกึ ษำช่วยเหลอื ให้ครสู ำมำรถจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ อยำ่ งต่อเน่อื ง นอกจำกผนู้ เิ ทศจะสอนงำนแล้ว ยังจะช่วยใหค้ รูได้วเิ ครำะห์ตนเองให้สำมำรถจัดกจิ กรรม กำรเรยี นรไู้ ด้อย่ำงมีคณุ ภำพ ในสภำวะแวดล้อมต่ำง ๆ และสำมำรถแก้ปัญหำอุปสรรคในกำรจดั กิจกรรม กำรเรยี นรู้ใหห้ มดไป กำรนิเทศสอนงำนจะชว่ ยให้ครูสำมำรถสะท้อนภำพกำรปฏบิ ตั ิงำนของครเู พอื่ ใหค้ รู ตระหนกั ว่ำ กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรูน้ ัน้ จะตอ้ งใช้วิธกี ำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นร้อู ย่ำงไร เพ่อื ที่จะให้ ผู้เรียนไดเ้ รยี นรอู้ ยำ่ งมีคุณภำพ จำกกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ของครู ขณะเดยี วกันผูน้ ิเทศสอนงำนจะให้ ขอ้ มูล ควำมรู้ทจี่ ำเปน็ ซึ่งครูยงั ขำดอยู่ ดังนั้น กำรนเิ ทศสอนงำนที่มีประสิทธิภำพ ไม่เพียงขึ้นอยู่กบั ทักษะ ของผ้นู ิเทศ และควำม สำมำรถในกำรรับ (Receptiveness) ของครเู ทำ่ นั้น แต่ยังขนึ้ อยูก่ ับองคป์ ระกอบ แวดลอ้ มของกำรนเิ ทศสอนงำนดว้ ย เชน่ ควำมชดั เจนของตัวช้ีวดั ควำมสำเรจ็ (KPI : Key Performance Index) ควำมชดั เจนในเกณฑ์กำรประเมนิ ตัวช้ีวัดควำมสำเรจ็ ประสิทธิภำพของกำรใหข้ ้อมูลย้อนกลับดว้ ย กำรนเิ ทศสอนงำนที่มีประสิทธภิ ำพ จะช่วยใหส้ ภำพแวดล้อมกำรทำงำนดีด้วย กำรพูดคุยระหวำ่ งกำร นิเทศสอนงำน จะชว่ ยให้ครเู ข้ำใจดขี ึน้ วำ่ ผนู้ ิเทศมีควำมคำดหวังจำกกำรนเิ ทศอย่ำงไร ทำใหม้ กี ำรให้ ขอ้ มูลย้อนกลับอย่ำงสมำ่ เสมอ และเปดิ โอกำสให้ต้องคดิ ถงึ มำตรฐำนและเกณฑ์ในกำรนำไปสคู่ วำมสำเร็จ ในขณะปฏิบตั งิ ำน กำรนเิ ทศสอนงำนทม่ี ปี ระสิทธภิ ำพ จะสมั พันธก์ บั บรรยำกำศของกำรเรยี นรู้ ซ่ึงทั้งสอง ประกำรนจี้ ะสนบั สนุนซง่ึ กันและกนั บทบำทหน้ำทขี่ องผู้นิเทศสอนงำน ผนู้ ิเทศสอนงำน (Coach) ควรเปน็ ผู้รกั กำรอ่ำน รักกำรแสวงหำควำมรู้ และเป็นผูข้ วนขวำยหำ ข้อมูลควำมรใู้ หม่อยู่ตลอดเวลำ รวมทง้ั แสวงหำประสบกำรณใ์ หมเ่ กย่ี วกับกำรจดั กำรศึกษำ เพื่อที่จะไดน้ ำ
5 ควำมรูแ้ ละประสบกำรณ์ทไี่ ด้รบั มำทำหน้ำที่ ให้กำรฝึกอบรม พัฒนำครู และเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ของครู เปน็ ผใู้ ห้คำปรึกษำ แก้ไขปญั หำกำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรู้ บทบำทดงั กล่ำวของผู้นิเทศสอนงำน จะแสดงบทบำทใดน้ัน ขน้ึ อยู่กับสถำนกำรณ์หรอื สภำพปญั หำและควำมต้องกำรในกำรจัดกำรศึกษำ ซงึ่ บำงครงั้ ผู้นเิ ทศสอนงำน อำจแสดงบทบำทใดบทบำทหนึ่ง หรือแสดงมำกกว่ำหนง่ึ บทบำท เรียกวำ่ บทบำทผสมผสำน (Mixed Roles ) คุณลักษณะของผนู้ เิ ทศสอนงำน ผู้นเิ ทศสอนงำน (Coach) แสดงบทบำทนเิ ทศสอนงำน ควรมีพ้นื ฐำนลกั ษณะนสิ ยั ทีด่ ี ดังต่อไปนี้ 1. กำรยอมรบั ควำมจรงิ 2. เหน็ อกเห็นใจ 3. มองโลกในแง่ดี 4. กระตือรือร้น 5. ให้โอกำส 6. ยดื หยุ่น 7. มนั่ ใจในตนเอง 8. กล้ำรบั ผดิ และรับชอบ 9. มีวิสัยทศั น์ ผู้นิเทศสอนงำน ควรหลีกเลีย่ งลกั ษณะนิสัยทีไ่ ม่ดี คือ กำรไม่วำงใจ ขี้รำคำญ เอำแต่ใจ ถอื ตัว ชอบเปรยี บเทียบ รอไม่ได้ ไม่มั่นใจในตนเอง ไม่หวังดี และไม่รีบร้อน แนวปฏิบตั ิกำรนิเทศสอนงำน กำรนเิ ทศสอนงำน จะประสบผลสำเร็จได้ มีแนวปฏิบตั สิ ำหรบั ผูน้ ิเทศสอนงำน ดังตอ่ ไปน้ี 1. กำหนดเวลำให้เหมำะสมกับเนอ้ื หำทีต่ ้องกำรสอนงำน 2. สภำพอำรมณป์ กติ พรอ้ มท่จี ะสอนงำน 3. สขุ ภำพรำ่ งกำยดี 4. วิธีกำรสอนงำนมีควำมเหมำะสมกับเน้ือหำสำระ และผรู้ ับกำรนิเทศ 5. ศกึ ษำข้อมลู เก่ียวกับ 5.1 เนือ้ หำ/ขอบเขตของของงำนทนี่ ิเทศ 5.2 ผังโครงสรำ้ งสถำนศึกษำ วิสัยทศั น์ นโยบำยต่ำง ๆ ของสถำนศึกษำ 5.3 ขอ้ มลู เก่ียวกับผรู้ ับกำรนเิ ทศ
6 6. เตรยี มควำมพร้อม สือ่ อุปกรณ์ เคร่ืองมือที่ใช้ในกำรนเิ ทศสอนงำน 7. เข้ำใจจติ วทิ ยำกำรเรียนร้ขู องครูทีเ่ ปน็ ผูใ้ หญ่ รูปแบบของกำรเรียนรู้ และกำรรบั รูข้ องผ้รู ับกำรนเิ ทศ กำรรับรู้ของครูแตล่ ะคนจะมีขดี จำกัดตำมระยะเวลำท่กี ำหนด ควรกำหนดระยะเวลำทเ่ี หมำะสม ไม่มำก หรือน้อยเกนิ ไป ย่อมจะทำให้ครสู ำมำรถรบั รู้และเรียนรูใ้ นสงิ่ ที่ผ้นู เิ ทศสอนงำน หรือถำ่ ยทอดได้ ดกี วำ่ และทเี่ หมำะสมคอื ประมำณหนงึ่ ช่วั โมงถงึ หนงึ่ ชว่ั โมงคร่งึ หำกจำเป็นต้องใช้ระยะเวลำมำกกว่ำน้ี ควรจัดให้มเี วลำพกั (Break) เพื่อให้ครมู ีโอกำสหยุดทบทวนควำมคดิ และข้อมลู ท่ผี นู้ ิเทศได้สอนงำนไปแล้ว กำรศึกษำวเิ ครำะห์และเลือกวธิ ีกำรหรือเทคนิคในกำรนิเทศสอนงำนให้เหมำะสม โดยมี วัตถปุ ระสงค์หลัก เพื่อใหก้ ำรทำงำนบรรลุผลสำเรจ็ ตำมเปำ้ หมำยท่กี ำหนด ตลอดจนกำรใหค้ ำแนะนำถงึ แหล่งข้อมูลทน่ี ำใช้ในกำรจัดกิจกรรมกำรเรยี นรู้ และกำรเปิดใจและเต็มใจทจ่ี ะตอบข้อซักถำมต่ำง ๆ ใหแ้ ก่ครู ไม่แสดงสีหน้ำรำคำญ หรือต่อว่ำครู เมอื่ ครพู ยำยำมคิดหำทำงพัฒนำ และปรับปรุงระบบ หรือ กระบวนกำรทำงำนใหร้ วดเร็ว สะดวก และมปี ระสิทธภิ ำพมำกยงิ่ ขนึ้ และร่วมกันรับผลลัพธท์ ่อี อกมำไมว่ ่ำ ผลลพั ธน์ นั้ จะออกมำดี หรือไม่ดเี พียงใด ปัจจัยท่ีทำใหก้ ำรนเิ ทศสอนงำนไม่บรรลุผลสำเรจ็ ปจั จัยทท่ี ำใหก้ ำรนิเทศสอนงำนไม่บรรลผุ ลสำเร็จ มดี ังน้ี 1. กำรจัดสภำพแวดลอ้ ม สถำนที่ทใ่ี ช้สำหรับสอนงำน ครู ไมเ่ หมำะสม เช่น กว้ำงหรือแคบเกนิ ไป บรรยำกำศในห้องประชุมดเู ป็นทำงกำรหรือเปน็ กนั เองเกนิ ไป ห้องประชุมมีอำกำศร้อน มีกลิ่นหรือเสยี ง รบกวน ทำลำยสมำธขิ องผนู้ ิเทศและครู 2. กำรจดั หำอุปกรณ์เคร่อื งมือ กำรจัดหำและกำรจัดเตรยี มอปุ กรณ์ เครื่องมือตำ่ ง ๆ ไมค่ รบถ้วน ไม่มีคุณภำพ ในกำรนำไปใชส้ อนงำน หรือไม่สำมำรถสำธติ วิธีกำรใช้อุปกรณ/์ เครอ่ื งมือ ท่ีเกีย่ วข้องกับกำร สอนงำนได้ 3. งบประมำณ สถำนศึกษำไม่ได้ต้ังงบประมำณเพ่ือกำรนเิ ทศสอนงำนไดโ้ ดยเฉพำะ 4. บุคลำกร คือ ปัญหำทเี่ กิดจำกผูท้ ำหน้ำที่นเิ ทศสอนงำน โดยมสี ำเหตุจำกผูท้ ำหนำ้ ทน่ี เิ ทศสอน งำน ดังนี้ 4.1 ขำดควำมรูแ้ ละไม่เข้ำใจในเนื้อหำทจ่ี ะสอนงำน 4.2 ขำดทักษะในกำรควบคุมเวลำในกำรสอนงำน 4.3 ขำดทักษะของกำรสื่อสำร และวิธีกำรถ่ำยทอดให้ครูเข้ำใจ 4.4 ผนู้ เิ ทศสอนงำนไมม่ ีควำมรู้ และประสบกำรณ์ หรือมไี ม่ตรงกับสง่ิ ท่ีครูต้องกำร 4.5 ไมเ่ ห็นควำมสำคัญและควำมจำเป็นของกำรสอนงำน
7 4.6 ทำตนไม่เป็นแบบอยำ่ งทด่ี ีต่อครู 4.7 อำรมณห์ งุดหงดิ หรอื แสดงควำมไม่พอใจ เม่ือครูมคี ำถำมหรือมีข้อสงสัย 4.8 ขำดควำมพร้อมในดำ้ นสุขภำพกำยหรือสุขภำพจติ ในขณะท่ีเขยี นสอนงำน 5. ครผู ู้รับกำรนิเทศสอนงำน พบวำ่ เป็นสำเหตหุ น่ึงทีท่ ำให้กำรนิเทศสอนงำนประสบ ควำมลม้ เหลว คอื ครูมักจะหลกี เลย่ี งหรือปฏิเสธ ไมย่ อมทำตำมทีผ่ ู้นิเทศสอนงำนได้ให้กำรนิเทศไว้ ทง้ั นี้ สบื เนอ่ื งจำกไม่มีเป้ำหมำยในกำรทำงำน หรือไมส่ นใจทีจ่ ะพัฒนำตนเอง กลวั กำรเปลีย่ นแปลง ไม่พรอ้ ม ทจ่ี ะรบั ฟัง หรอื ขำดควำมเคำรพศรัทธำผูน้ ิเทศ และอำจมผี ู้นเิ ทศ (Coach) มำกเกินไป ทำใหม้ ีหลำย แนวทำงทำให้ครเู กดิ ควำมสบั สน 6. วัฒนธรรมองคก์ รของสถำนศึกษำ ไม่เอื้อและไม่ไดร้ บั กำรส่งเสรมิ จำกผูบ้ รหิ ำรสถำนศึกษำ แนวทำงกำรจดั ระบบ Coaching ในสถำนศึกษำ กำรจดั ระบบ Coaching ในสถำนศกึ ษำให้เปน็ รปู ธรรมมดี ังน้ี 1. กำหนดระบบ Coaching เปน็ นโยบำยของสถำนศึกษำ 2. สรำ้ งสภำพแวดลอ้ ม และบรรยำกำศของสถำนศึกษำให้มีควำมไว้เน้อื เชื่อใจ (Trust) โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงผทู้ ำหนำ้ ท่ีนิเทศสอนงำน และครูผ้รู บั กำรนเิ ทศสอนงำน 3. กำหนดใน Job Description ของผบู้ ริหำรสถำนศกึ ษำ และผนู้ เิ ทศภำยในให้ทำหนำ้ ที่เปน็ Coach 4. กำหนดเรือ่ งกำร Coaching เป็นหนง่ึ ในเป้ำหมำยประจำปขี องสถำนศึกษำ โดยมกี ำรกำหนด และวดั ตัวช้วี ัดควำมสำเร็จ (KPI : Key Performance Index) 5. เชอื่ มโยงผลกำรทำ Coaching สูร่ ะบบ Performance Management และระบบจำ่ ย ค่ำตอบแทน 6. สร้ำงวัฒนธรรมองคก์ รใหเ้ ปน็ วฒั นธรรมของกำรเรียนรู้ (Learning Culture) ดงั น้ี 6.1 เรยี นรู้โดยกำรลงมือทำ (Learning by Doing) 6.2 เรียนรโู้ ดยกำรถำ่ ยทอด (Learning by Teaching) 6.3 เรียนรู้โดยกำรแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ (Learning by Sharing) ประโยชนก์ ำรนิเทศสอนงำน (Coaching) ประโยชนก์ ำรนเิ ทศสอนงำน ท่สี ่งผลโดยตรงต่อ ครู สถำนศึกษำ และผู้นิเทศมีดังต่อไปน้ี 1. ประโยชน์ตอ่ ผู้นิเทศสอนงำน (Coach) 1.1 ผู้นเิ ทศสำมำรถปรบั ปรุงและพัฒนำระบบกำรจัดกำรเรียนร้ใู หม้ ีประสทิ ธภิ ำพยิ่งข้ึน 1.2 ผ้นู ิเทศสำมำรถชว่ ยเหลอื ครู ในกำรสะท้อนจุดเดน่ และจุดทีย่ ังมปี ัญหำของกำรจดั
8 กิจกรรมกำรเรยี นร้ขู องครูได้อยำ่ งแท้จริง และครูสำมำรถนำขอ้ มลู ต่ำง ๆ จำกผูน้ เิ ทศไปใช้ในกำรปรับปรุง และพฒั นำกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรใู้ ห้มคี ณุ ภำพ 1.3 ผู้นเิ ทศสำมำรถทำควำมเขำ้ ใจเกี่ยวกับวิสัยทศั น์ พนั ธกจิ กลยุทธ์ และปัญหำ กำร เปลีย่ นแปลง กำรเตรยี มควำมพร้อมในดำ้ นตำ่ ง ๆ ของสถำนศกึ ษำใหค้ รูไดเ้ ข้ำใจตรงกนั และมีทิศทำงใน กำรทำงำนเปน็ ไปในทศิ ทำงเดียวกนั 1.4 ผู้นเิ ทศสำมำรถรบั รู้ควำมคำดหวัง สภำพและปัญหำ อปุ สรรค ในกำรจัดกิจกรรม กำรเรยี นรขู้ องครู ซ่งึ จะนำไปสูข่ ้อมูลเกยี่ วกบั ควำมต้องกำรในกำรนเิ ทศอย่ำงแทจ้ ริง 1.5 เป็นกำรสร้ำงสัมพันธภำพที่ดีในกำรทำงำนระหว่ำงผนู้ ิเทศและผรู้ บั กำรนเิ ทศ 2. ประโยชน์ตอ่ ครูผู้รับกำรสอนงำน (Coachee) 2.1 กำรสอนงำนจะชว่ ยให้ครูสำมำรถจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ให้กบั ผ้เู รยี นได้อยำ่ งมี คณุ ภำพ 2.2 Coaching เปน็ กระบวนกำรหนง่ึ ที่จะช่วยผลกั ดันและสนบั สนุนให้ครูทำงำน ให้ บรรลุเป้ำหมำย (Performance Goal) ตำมแผนงำนที่กำหนด 2.3 เข้ำใจขอบเขต เป้ำหมำยของงำน และควำมต้องกำรทผี่ ู้นิเทศคำดหวงั 2.4 ได้รบั รสู้ ถำนกำรณ์ กำรเปลย่ี นแปลง ปัญหำ อปุ สรรค ของกำรจัดกำรศกึ ษำใน สถำนศกึ ษำ และภำรกิจทีส่ ถำนศกึ ษำกำลังดำเนินกำรในปัจจุบนั และจะดำเนนิ กำรต่อไปในอนำคต 2.5 ได้รับรู้ถึงปัญหำ หรืออปุ สรรคทเ่ี กิดข้ึน ในกำรจดั กำรเรียนร้รู ว่ มกับผนู้ ิเทศ และมี สว่ นรว่ มกบั ผ้นู ิเทศ ในกำรพิจำรณำ แก้ไขปญั หำทเี่ กิดข้ึน 2.6 มโี อกำสร้ถู งึ จดุ แข็ง จุดอ่อนของตน เพือ่ สำมำรถนำไปพัฒนำ และปรับปรุงกำรจดั กิจกรรมกำรเรยี นรู้ ได้อยำ่ งมีประสทิ ธิภำพ 3. ประโยชนต์ อ่ สถำนศกึ ษำ 3.1 สถำนศึกษำมีผลกำรปฏบิ ตั ิงำน (Organization Performance) เปน็ ไปตำม เปำ้ หมำยท่กี ำหนดไว้ 3.2 สถำนศึกษำมีควำมพร้อมกับกำรเปลี่ยนแปลงต่ำง ๆ ท่เี กิดขน้ึ ในยุคโลกำภิวตั น์ เนือ่ งจำกกำรสอนงำนทำให้ครูมีควำมพร้อมต่อกำรเปล่ียนแปลงตำ่ ง ๆ ท้ังด้ำนกำรทำงำนตำมนโยบำย กล ยุทธ์ วธิ ีกำรทำงำน และกำรนำเอำเทคโนโลยสี ำรสนเทศมำใช้ เป็นต้น 3.3 เป็นกำรสง่ เสริมกำรสร้ำงบรรยำกำศกำรทำงำนเป็นทีมในสถำนศึกษำ จุดเนน้ ในกำรนเิ ทศตำมนโยบำย 1. กำรประกนั คณุ ภำพกำรศึกษำ
9 สืบเนอื่ งจำกนโยบำยปฏริ ปู ระบบประเมนิ และกำรประกนั คุณภำพกำรศกึ ษำ และกำรประกำศ ใหใ้ ช้กฎกระทรวงกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ พ.ศ. 2561 โดยมีประกำศเรอื่ งใหใ้ ชม้ ำตรฐำนกำรศกึ ษำ ระดบั กำรศกึ ษำขน้ั พื้นฐำน และระดบั กำรศึกษำขนั้ พนื้ ฐำน ศูนย์กำรศึกษำพเิ ศษ ตลอดจนแนวทำงกำร ประเมินคุณภำพตำมมำตรฐำนกำรศกึ ษำ กลมุ่ งำนประกนั คุณภำพกำรศึกษำ สำนกั งำนเขตพ้ืนที่ กำรศกึ ษำมธั ยมศึกษำ เขต 42 จึงมีประเด็นส่ือสำรเพ่ือสรำ้ งควำมเข้ำใจเบ้ืองตน้ เกี่ยวกับกำรประกัน คุณภำพกำรศึกษำแนวใหม่ ดังน้ี 1) ศึกษำระบบหลักเกณฑ์ วิธีกำร กำรประกันคุณภำพภำยในสถำนศึกษำตลอดจน กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้องประกำศกระทรวงศึกษำธิกำร เร่ือง ให้ใช้มำตรฐำนกำรศึกษำข้ันพื้นฐำน เพ่ือกำรประกนั คุณภำพภำยในของสถำนศึกษำ ฉบบั ลงวนั ท่ี 6 สิงหำคม พ.ศ. 2561 และกฎกระทรวงกำร ประกันคุณภำพกำรศกึ ษำ พ.ศ. 2561 2) สง่ เสริมและสนับสนนุ ให้สถำนศกึ ษำสร้ำงควำมตระหนัก ควำมรู้ ควำมเข้ำใจเก่ียวกับ กำรพัฒนำคุณภำพและกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำแนวใหม่, มำตรฐำนกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน เพื่อกำร ประกันคุณภำพภำยในของสถำนศึกษำ ฉบับลงวันที่ 6 สิงหำคม พ.ศ. 2561 และกฎกระทรวงกำรประกัน คณุ ภำพกำรศกึ ษำ พ.ศ. 2561 3) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ข้อเสนอแนะแก่สถำนศึกษำในกำรกำหนดมำตรฐำนระดับ สถำนศึกษำ จัดทำประกำศค่ำเป้ำหมำย ให้สอดคล้องกับสภำพแวดล้อมและควำมต้องกำรของชุมชน / ท้องถ่ิน รวมทั้งกำรกำหนด ตัวบ่งช้ีและเกณฑ์ในกำรแปลผลและตัดสินกำรผ่ำนมำตรฐำนและจัดทำ รำยงำนกำรประเมินตนเองของสถำนศึกษำ รำยงำนผลกำรประเมินคุณภำพภำยในสถำนศึกษำแก่ คณะกรรมกำรสถำนศึกษำ และหน่วยงำนต้นสังกัด รวมถึงกำรเผยแพร่ผลกำรประเมินคุณภำพภำยใน สถำนศึกษำตอ่ สำธำรณชนอย่ำงเปน็ ระบบ 4) ให้ข้อเสนอแนะกับสถำนศึกษำ ในกำรจัดทำรำยงำนกำรประเมินตนเองของ สถำนศึกษำ ส่งเสริมใหส้ ถำนศึกษำจัด สร้ำง ระบบประกนั คุณภำพภำยในสถำนศึกษำ โดยมีหลักกำรและ แนวคิด อย่บู นพนื้ ฐำนกำรปรับปรงุ พฒั นำ 5) นเิ ทศ ติดตำม กำรดำเนินงำนระบบกำรประกันคุณภำพภำยในสถำนศึกษำ ให้ควำมรู้ ผำ่ นทำงกลุ่มไลน์ ครงู ำนประกนั QAMS สพม. 42 เป็นระบบต่อเนือ่ งสมำ่ เสมอ เครื่องมือทีใ่ ช้ในกำรปฏิบตั ิกำรนเิ ทศ 1) นิเทศ ติดตำม กำรดำเนินงำนระบบกำรประกนั คุณภำพภำยในสถำนศึกษำ เป็นระบบ ต่อเนือ่ งสมำ่ เสมอ ผ่ำนทำงกลมุ่ ไลน์ ครงู ำนประกัน QAMS สพม. 42 2) แจ้งเป็นหนังสือรำชกำรให้โรงเรียนดำเนินกำรตำมขั้นตอน และ ระบบประกัน คณุ ภำพภำยในสถำนศกึ ษำ
10 3) จัดทำ เพจ Facebook กลุ่มงำนประกันคุณภำพกำรศึกษำ สพม. 42 เพื่อสื่อสำรทำ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับงำนประกันคุณภำพกำรศึกษำ และเผยแพร่ ผลงำนของโรงเรียนท่ีดำเนินงำนด้ำน ระบบประกนั คณุ ภำพกำรศกึ ษำอย่ำงเข้มแขง็ 4) จัดทำเว็บไซต์ กลุ่มงำนส่งเสริมพัฒนำระบบประกันคุณภำพกำรศึกษำ เพื่อเป็น คลังข้อมูล ด้ำนกำรประกันคุณภำพกำรศึกษำ ให้โรงเรียนสำมำรถดำวโหลดข้อมูล หลักเกณฑ์ วิธีกำร หนังสือรำชกำร กฎกระทรวง แนวทำงกำรประเมินมำตรฐำนกำรศึกษำระดับกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน ได้ ตลอดเวลำ 2. กำรพัฒนำหลกั สตู รสถำนศึกษำ กำรใช้หลักสตู รสถำนศกึ ษำ ตำมหลักสตู รแกนกลำงกำรศึกษำขนั้ พน้ื ฐำน พุทธศักรำช 2551 และมำตรฐำนกำรเรยี นรแู้ ละตัวชี้วัดกลุ่มสำระกำรเรียนรู้คณติ ศำสตร์ วิทยำศำสตร์ และสำระภูมิศำสตรใ์ นกลุ่ม สำระกำรเรียนรู้สังคมศึกษำ ศำสนำ และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สำนักงำนเขตพ้ืนที่ กำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 42 มีโรงเรียนในสังกัดท้ังหมด 58 โรงเรียน ได้ดำเนินกำรส่งเสริมกำรพัฒนำ หลักสูตรสถำนศึกษำให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน พุทธศักรำช 2551 และ คำนึงถึงท่ี สพฐ. กระทรวงศึกษำธิกำร ปรับมำตรฐำนกำรเรียนรู้และตัวชี้วัดกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ คณิตศำสตร์ วทิ ยำศำสตร์ และสำระภูมิศำสตร์ในกล่มุ สำระกำรเรียนรู้สังคมศึกษำ ศำสนำ และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ข้ึนมำใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภำพและต้องสนองตอบควำมต้องกำรของผู้เรียน และท้องถิ่นและให้ครูผู้สอน นำไปใช้เป็นแนวทำงในกำรจัดกำรเรียนกำรสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ครู และผู้เกี่ยวข้องรวมถึงเจ้ำหน้ำท่ีผู้เก่ียวข้องทำงด้ำนหลักสูตรทุก ๆด้ำน กับกำรพัฒนำหลักสูตร จึง จำเป็นต้องมีควำมรู้ ควำมเข้ำใจในเป้ำหมำยของกำรพัฒนำ กำรพัฒนำหลักสูตรและกระบวนกำรเรียนรู้ เป็นเครื่องมือสำคัญในกำรเปล่ียนแปลงพฤติกรรมผู้เรียน สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 42 ดำเนินโครงกำรพัฒนำบุคลำกรหลักเพ่ือสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจในกำรปรับปรุงหลักสูตรสถำนศึกษำ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ใน 3 กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ คือ กล่มุ สำระกำรเรียนร้วู ิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ และสังคมศึกษำ ศำสนำ และวัฒนธรรม สำระภูมิศำสตร์ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและเพื่อกำรทำงำนมี ควำมเขม้ แขง็ ระดับเขตพน้ื ท่ีกำรศึกษำ ตำมนโยบำย สพฐ. กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร ดำเนินกำร ดังนี้ 1) ประชุมวำงแผนกำรดำเนินงำนกำรปรับปรุงพัฒนำหลักสูตรและกระบวนกำรเรียนรู้ ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขน้ั พืน้ ฐำน พทุ ธศักรำช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 2) ทำคู่มืออบรมและเอกสำรประกอบเร่ืองหลักสูตรสถำนศึกษำตำมหลักสูตรแกนกลำง กำรศกึ ษำข้นั พื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) 3) อบรมเชิงปฏิบัติกำรเพื่อเสริมสร้ำงสร้ำงควำมรู้ ควำมเข้ำใจเรื่องกระบวนกำรพัฒนำ หลักสูตรสถำนศึกษำ และกำรปรับมำตรฐำนกำรเรียนรู้ และตัวช้ีวัดตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้น พื้นฐำนพุทธศักรำช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) แก่ผู้อำนวยกำรโรงเรียน รองผู้อำนวยกำรฝ่ำย
11 วชิ ำกำร หรอื หัวหนำ้ วิชำกำร หัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ และสำระภูมศิ ำสตร์ ทุกโรงเรียนในสงั กัด 4) อบรมให้ควำมรู้เร่ืองกำรปรับมำตรฐำนกำรเรียนรู้และตัวช้ีวัด สำระท่ี 4 เทคโนโลยี แกห่ วั หนำ้ กลมุ่ สำระกำรเรียนร้วู ิทยำศำสตรแ์ ละครคู อมพิวเตอร์เทคโนโลยที ุกโรงเรียนในสังกดั 5) ประชุมเชิงปฏิบัติกำรพัฒนำบุคลำกรหลักสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจในกำรจั ดทำ โครงสร้ำงหลักสูตรสถำนศึกษำ ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2560) แก่ผู้อำนวยกำรโรงเรียน รองผู้อำนวยกำรโรงเรียนฝ่ำยวิชำกำร หัวหน้ำกลุ่มงำน พัฒนำหลักสตู รและกระบวนกำรเรยี นรู้ 6) นเิ ทศ ติดตำม กำกับ ประเมนิ ผลกำรใชห้ ลักสตู รสถำนศกึ ษำฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560 7) สำนกั งำนเขตพื้นทกี่ ำรศกึ ษำดำเนินกำรเก็บข้อมูล/วิเครำะห์ข้อมลู 8) รำยงำนข้อมูลเพื่อปรบั ปรงุ แกไ้ ข 9) สรุปผลกำรดำเนนิ กำรพัฒนำปรบั ปรงุ หลกั สตู ร เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในกำรปฏบิ ตั ิกำรนเิ ทศ 1) แบบตรวจสอบกำรพัฒนำหลักสูตรสถำนศึกษำ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตำม หลักสูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพื้นฐำน พุทธศกั รำช 2551 2) แบบนิเทศ ติดตำมและประเมินผลกำรดำเนินกำรใช้หลักสูตรสถำนศึกษำ (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตำมหลักสตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำข้ันพื้นฐำน พุทธศกั รำช 2551 3) แบบประเมินกำรใช้หลักสูตรหลักสูตรสถำนศึกษำ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตำม หลักสตู รแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พทุ ธศักรำช 2551 4) จัดทำเว็บไซต์ กลุ่มงำนพัฒนำหลักสูตรกำรศึกษำข้ันพื้นฐำนและกระบวนกำรเรียนรู้ เพ่ือเป็นคลังข้อมูลด้ำนงำนพัฒนำหลักสูตรกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำนและกระบวนกำรเรียนรู้ ให้โรงเรียน สำมำรถดำวนโ์ หลดขอ้ มลู 5) แจ้งเป็นหนงั สอื รำชกำรให้โรงเรยี นดำเนินกำรตำมขน้ั ตอน 3. กำรยกระดบั ผลสมั ฤทธิ์ พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 หมวดที่ 4 แนวทำงจัดกำรศึกษำ มำตรำท่ี 22 กำรจดั กำรศึกษำต้องยึดหลักว่ำ ผู้เรียนทกุ คนมีควำมสำมำรถเรยี นรู้ และพัฒนำตนเองได้และถือว่ำผู้เรียนสำคัญที่สุด กระบวนกำรจัดกำรศึกษำต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสำมำรถ พัฒนำตำมธรรมชำตแิ ละเต็มตำมศกั ยภำพ
12 แนวคิดในกำรพฒั นำ และยกระดับผลสมั ฤทธิ์ทำงกำรเรยี น กำรยกระดับผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรยี นเปน็ ภำรกิจท่ีสำคัญที่สุดของสถำนศึกษำ ซึ่งสำนักงำนเขต พื้นทีก่ ำรศึกษำ มีบทบำทหลักในกำรสนบั สนนุ ส่งเสริม อำนวยกำร ใหโ้ รงเรียนไดด้ ำเนินกำรเพ่ือพัฒนำ นกั เรียนทกุ คนที่ไดเ้ ขำ้ เรียน และจบกำรศึกษำอยำ่ งมคี ณุ ภำพ และคุณภำพสูงตำมเกณฑ์ เปำ้ หมำย และ มำตรฐำนของหลกั สตู รให้นกั เรยี นได้พฒั นำเต็มศักยภำพ เป็นรำยบุคคลและทกุ คน รศ.ดร.สุพักตร์ พิบูลย์ จำกมหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมำธิรำช (http://www. gotoknow.ovg/blog/sur001/278591) ได้เสนอแนวคดิ ในกำรพฒั นำผลสัมฤทธท์ิ ำงกำรเรียน โดยใช้ แนวคดิ “Empowerment Approach และ Theory- Driven Approach ไวน้ ่ำสนใจมำก ดงั มี รำยละเอยี ดของกระบวนกำรยกระดับผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรียน พอสรุปได้ดงั นี้ ข้ันที่ 1 Taking Stock คือ กำรตรวจสภำพปัจจุบันเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนหรือ ผลกำรประเมินคณุ ภำพโรงเรียน เพื่อวิเครำะหว์ ำ่ โรงเรียนเรำมคี ณุ ภำพมำกนอ้ ยเพียงใดเปน็ กำรวเิ ครำะห์ และจัดทำฐำนข้อมูล (Baseline) เช่น พิจำรณำจำกผลกำรสอบ O-NET, N.T. หรือผลสัมฤทธ์ิทำงกำร เรียนประจำปขี องสถำนศกึ ษำ ข้นั ที่ 2 Setting Goal เป็นกำรกำหนดเป้ำหมำยควำมสำเร็จ เป็นต้นวำ่ ภำยในปี เรำต้องมี 1) ผลกำรประเมินคณุ ภำพภำยในระดับดีมำก 2) กลุ่มสำระกำรเรียนรู้หลักอย่ำงนอ้ ยร้อยละ 90 อย่ใู นระดบั ดมี ำก 3) ผลสัมฤทธิท์ ำงกำรเรียน โดยเฉพำะกำรประเมินO-NET จะตอ้ งเพมิ่ ขน้ึ อย่ำงนอ้ ย ร้อยละ 3 ของฐำนเดิม ข้ันที่ 3 Developing Strategies and implementing มุ่งพัฒนำกลยุทธ์แล้วนำกลยุทธ์สู่ กำรปฏบิ ัติ ตัวอย่ำงของกลยทุ ธ์ เช่น 1) ขับเคลื่อนห้องเรียนคุณภำพ หรือประกันคณุ ภำพแต่ละรำยวิชำ แตล่ ะกล่มุ สำระ กำรเรียนรู้แม้แต่ครูทุกคนต้องต้ังเป้ำหมำยในกำรพัฒนำคุณภำพ และดำเนินกำรยกระดับคุณภำพให้ได้ ตำมเป้ำหมำย ดังนัน้ กำรนิยำมว่ำ “ผู้นำกำรเปลยี่ นแปลง ก็คอื ผู้ที่ทำงำนสำเร็จใครสำมำรถทำผลงำนปีน้ี ได้ดีกวำ่ ปีทีแ่ ล้ว เรยี กว่ำ ผู้นำกำรเปล่ยี นแปลง 2) ปฏิรูปกำรบริหำรจัดกำรห้องเรียนประจำช้ันกำหนดเกณฑ์ “ห้องประจำช้ัน/ ท่ี ปรกึ ษำคุณภำพ” 3) บริหำรจัดกำรสถำนศึกษำที่เน้นกำรขับเคล่ือนเชิงทฤษฎีอย่ำงเป็นระบบตำม กรอบหลกั วิชำ ขั้นที่ 4 Documenting Progress เป็นขั้นตอนกำรประเมินรวบรวมเอกสำรหลักฐำนที่ แสดงถึงควำมกำ้ วหนำ้ ของงำนตำมเปำ้ หมำย
13 ท้งั นี้ กำรดำเนนิ งำนแต่ละขนั้ ตอนเน้น “กำรมีสว่ นรว่ ม” ของ ครู อำจำรย์ ผู้เก่ียวข้องฝ่ำย ต่ำง ๆ เช่น กรรมกำรสถำนศกึ ษำ เครือข่ำยผ้ปู กครอง สมำคมศษิ ย์เก่ำ เป็นตน้ นอกจำกน้ี ดร.จันทมำ นนทิกร (http://info.thaihealth.or.th/library/hot/12444) โดย โครงกำรพฒั นำโรงเรียนเข้มแขง็ ดว้ ยกำรจดั กำรควำมรู้ (Healthy School by Knowledge Management ) มลู นิธิสถำบนั วิจัย และพฒั นำกำรเรียนรู้ (มสวร.) ได้สงั เครำะห์วธิ ีกำรปฏิบัตทิ ีเ่ ป็นเลิศ (Best Practices) เรอ่ื ง กำรยกระดบั ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน จำก 16 โรงเรียนดเี ด่นแลว้ จำแนกเปน็ ประเดน็ หลักเพอ่ื อธิบำย วิธปี ฏบิ ตั ิ ดังนี้ 1. กำรบรหิ ำรจดั กำรเพือ่ ยกระดับผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน มวี ิธกี ำรดำเนนิ กำร ดังน้ี 1.1 กำรจัดกำรควำมรู้เพื่อกำหนดนโยบำย และจัดทำแผนพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำ ของโรงเรียน 1.2 กำรวเิ ครำะหส์ ภำพกำรจดั กำรศึกษำของโรงเรียน 1.3 กำรกำหนดยุทธศำสตร์ในกำรพัฒนำกระบวนกำรยกระดับผลสัมฤทธ์ิทำงกำร เรยี น 1.4 กำรนเิ ทศภำยในแบบกลั ยำณมิตร 1.5 กำรประสำนงำนกบั ผูป้ กครองเพ่ือเฝำ้ ระวังและติดตำมแก้ไขปัญหำ 2. วิธกี ำรยกระดบั ผลสัมฤทธท์ิ ำงกำรเรียน ดำเนนิ กำรได้ 3 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 กำรยกระดับผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนของนักเรียนให้สูงข้ึนตำมเกณฑ์ท่ี คำดหวัง มีวธิ ีกำรดำเนินกำร ดงั นี้ 1) กำรปรบั เปล่ียนท่ำทขี องครูในกำรจดั กำรเรยี นรู้ 2) กำรกำหนดเกณฑท์ ่คี ำดหวังและเกณฑ์กำรประเมินผล 3) กำรจดั กลมุ่ ผู้เรียนทเ่ี หมำะสม 4) กำรกำหนดรปู แบบกำรพฒั นำกำรเรียนรแู้ ละกำรจดั กจิ กรรม รปู แบบท่ี 2 กำรยกระดับผลสมั ฤทธท์ิ ำงกำรเรียนเพื่อมุ่งสคู่ วำมเปน็ เลิศ 1) กำรจดั กำรเรียนรู้แบบห้องเรยี นพเิ ศษ 2) กำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้เพือ่ สง่ เสรมิ ควำมเปน็ เลศิ รปู แบบที่ 3 กำรช่วยเหลอื นักเรียนท่ีไม่ผ่ำนเกณฑก์ ำรจบหลักสตู ร 1) กำรดูแลใกลช้ ดิ เพ่ือปรับพฤติกรรมและให้โอกำสนกั เรียน 2) กำรเพิ่มพูนผลสมั ฤทธิ์เพ่ือให้ได้ตำมเกณฑ์กำรจบหลกั สตู ร 4. กำรจัดกำรเรยี นกำรสอน Active Learning
14 กำรจัดกำรเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) คือกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ท่ีผู้เรียนได้ลงมือ กระทำและได้ใช้กระบวนกำรคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขำได้กระทำลงไป (Bonwell, 1991) เป็นกำรจัดกิจกรรม กำรเรียนรู้ภำยใต้สมมติฐำนพื้นฐำน 2 ประกำรคือ 1) กำรเรียนรู้เป็นควำมพยำยำมโดยธรรมชำติของ มนุษย์, และ 2) แต่ละบุคคลมีแนวทำงในกำรเรียนรู้ท่ีแตกต่ำงกัน (Meyers and Jones, 1993) โดย ผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบำทจำกผู้รับควำมรู้ (receive) ไปสู่กำรมีส่วนร่วมในกำรสร้ำงควำมรู้ (co- creators) (Fedler and Brent, 1996) Active Learning เป็นกระบวนกำรเรยี นกำรสอนอยำ่ งหน่ึง แปลตำมตวั กค็ ือเป็นกำรเรียนรูผ้ ่ำน กำรปฏบิ ัติ หรอื กำรลงมอื ทำซึ่ง “ควำมรู้” ท่เี กิดขึน้ กเ็ ป็นควำมรู้ทไ่ี ดจ้ ำกระสบกำรณ์ กระบวนกำรในกำร จดั กจิ กรรมกำรเรยี นรทู้ ผ่ี เู้ รยี นต้องไดม้ ีโอกำสลงมือกระทำมำกกว่ำกำรฟังเพียงอยำ่ งเดียว ตอ้ งจัดกิจกรรม ใหผ้ ูเ้ รียนไดก้ ำรเรียนรโู้ ดยกำรอำ่ น, กำรเขยี น, กำรโตต้ อบ, และกำรวิเครำะหป์ ญั หำ อีกทั้งให้ผ้เู รียนไดใ้ ช้ กระบวนกำรคดิ ขน้ั สงู ได้แก่ กำรวิเครำะห์, กำรสงั เครำะห์, และกำรประเมินค่ำดังกล่ำวนน่ั เองหรือพดู ให้ งำ่ ยขนึ้ มำหน่อยก็คอื หำกเปรียบควำมรู้เปน็ “กับข้ำว” อยำ่ งหนง่ึ แล้ว Active learning ก็คอื “วิธีกำร ปรุง” กับขำ้ วชนิดนนั้ ดังนั้นเพ่ือให้ได้กบั ขำ้ วดังกลำ่ ว เรำก็ต้องใช้วิธีกำรปรุงอันน้ีแหละแต่วำ่ รสชำติจะ ออกมำอย่ำงไรกข็ ้นึ กบั ประสบกำรณค์ วำมชำนำญ ของผู้ปรงุ น่นั เอง (ส่วนหนง่ึ จำกผูส้ อนให้ปรุงดว้ ย) “เป็นกระบวนกำรเรียนร้ทู ่ใี ห้ผูเ้ รยี นได้เรยี นรอู้ ย่ำงมคี วำมหมำย โดยกำรรว่ มมือระหวำ่ งผู้เรียนดว้ ยกัน ในกำรน้ี ครตู ้องลดบทบำทในกำรสอนและกำรให้ขอ้ ควำมรู้แกผ่ เู้ รียนโดยตรงลง แตไ่ ปเพ่ิมกระบวนกำร และกจิ กรรมท่ีจะทำให้ผู้เรียนเกดิ ควำมกระตือรือร้นในกำรจะทำกิจกรรมต่ำง ๆมำกขน้ึ และอย่ำงหลำกหลำย ไมว่ ำ่ จะเป็นกำรแลกเปลยี่ นประสบกำรณ์ โดยกำรพูด กำรเขียน กำรอภปิ รำยกบั เพ่ือน ๆ” สำนักงำน เขตพนื้ ทกี่ ำรศึกษำมธั ยมศึกษำ เขต 42 ไดด้ ำเนินกำรดังนี้ 1) มนี โยบำย แผนยุทธศำสตร์สอดคล้องกับนโยบำย สพฐ. กำหนดเปำ้ หมำยกำรพฒั นำที่ มีจุดเน้นคุณภำพนักเรียนสนับสนุน ส่งเสริมกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอย่ำงชัดเจน โดยมี รปู แบบกำรบรหิ ำรจัดกำรของสถำนศกึ ษำท่เี นน้ กำรพฒั นำทั้งระบบ 5 S Model 2) กำหนดแผนกำรดำเนินงำนทุกองค์ประกอบของสถำนศึกษำสอดคล้องกับเป้ำหมำย และเป็นไปตำมแผนยุทธศำสตร์ของ สำนักงำนเขตพ้ืนท่ีกำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 42 Smart Principle, Smart School, Smart Teacher และ Smart Student 3) อบรมพัฒนำครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำให้ควำมรู้เรื่อง กำรพัฒนำกำรจัดกำร เรยี นรู้ “กำรเสรมิ สรำ้ งทกั ษะกำรคดิ วเิ ครำะห์ผำ่ นกจิ กรรม Active Learning” 4) กำหนดให้สถำนศึกษำวำงแผนกำหนดให้ครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ บริหำร หลักสูตรและงำนวิชำกำรของสถำนศึกษำ เขยี นแผนกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน กำรเรยี นรู้ผ่ำนกำรปฏิบัติ หรือกำรลงมือทำ ซ่ึง “ควำมรู้” ทเี่ กิดขึ้นของผูเ้ รยี นเปน็ ควำมรู้ท่ไี ด้จำกประสบกำรณ์ กระบวนกำรในกำร จัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มีโอกำสลงมือทำมำกกว่ำกำรฟังเพียงอย่ำงเดียว ต้องจัดกิจกรรมให้
15 ผู้เรียนได้กำรเรียนรู้โดยกำรอ่ำน, กำรเขียน, กำรโต้ตอบ, และกำรวิเครำะห์ปัญหำอีกท้ังให้ผู้เรียนได้ใช้ กระบวนกำรคิดขัน้ สงู ไดแ้ ก่ กำรวิเครำะห์, กำรสังเครำะห์, และกำรประเมินคำ่ รูปแบบวิธีกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้แบบ Active Learning เน้นกำรจัดกำรเรียนรู้ท่ีเน้นบทบำท และกำรมีส่วนรว่ มของผ้เู รยี น มวี ธิ ีกำรจดั กำรเรยี นรู้หลำกหลำยวธิ ี เชน่ 1. กำรเรยี นรโู้ ดยใชก้ ิจกรรมเปน็ ฐำน (Activity-Based Learning) 2. กำรเรียนรู้เชงิ ประสบกำรณ์ (Experiential Learning) 3. กำรเรยี นรู้โดยใช้ปญั หำเปน็ ฐำน (Problem-Based Learning) 4. กำรเรียนรโู้ ดยใช้โครงงำนเป็นฐำน (Project-Based Learning) 5. กำรเรยี นรทู้ ี่เน้นทักษะกระบวนกำรคิด (Thinking Based Learning) 6. กำรเรยี นรู้กำรบรกิ ำร (Service Learning) 7. กำรเรยี นรู้จำกกำรสบื คน้ (Inquiry-Based Learning) 8. กำรเรยี นรดู้ ว้ ยกำรค้นพบ (Discovery Learning) 5) กำหนดให้สถำนศึกษำวำงแผนกำหนดให้ครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ บริหำร หลักสูตรและงำนวิชำกำรของสถำนศกึ ษำเรือ่ งกำรออกแบบจัดกระบวนกำรเรียนรู้เกิดทกั ษะในศตวรรษที่ 21 มี 3 ลักษณะดว้ ยกนั คือ (1) กระบวนกำรเรียนรู้แบบลงมือปฏิบตั ิ (2) กระบวนกำรเรยี นรู้ผ่ำนกำรส่อื สำรอย่ำงสรำ้ งสรรค์ (3) กำรเรยี นรแู้ บบขน้ั บันได (IS) เครื่องมอื ที่ใช้ในกำรปฏบิ ตั ิกำรนเิ ทศ 1) แบบนเิ ทศตดิ ตำมกำรพัฒนำคุณภำพกำรบริหำรกำรศึกษำและกำรจัดกำรเรียนรู้ 2) แจง้ เปน็ หนงั สือรำชกำรให้โรงเรยี นดำเนนิ กำรตำมขนั้ ตอน 5. กำรจัดกำรเรียนรโู้ ดยใช้ DLIT/DLTV DLIT เปน็ กำรจัดกำรเรยี นรูผ้ ่ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศ ท่ีม่งุ แกป้ ัญหำกำรขำดแคลนครูของ โรงเรียนขนำดกลำง และขนำดใหญ่ ครอบคลมุ โรงเรยี นท่ัวประเทศซง่ึ เปน็ กำรแกป้ ัญหำกำรศึกษำโดยรวม อย่ำงยัง่ ยนื ซึง่ กำรพฒั นำคุณภำพศกึ ษำทำงไกลผำ่ นเทคโนโลยีสำรสนเทศ (Distance learning information technology : DLIT) มี 5 รปู แบบ คอื 1. DLIT Classroom ห้องเรยี นแห่งคุณภำพ 2. DLIT Resources คลังส่อื ประกอบกำรเรียนกำรสอน 3. DLIT Library หอ้ งสมดุ ออนไลน์
16 4. DLIT Professional Learning Community : DLIT PLC ชมุ ชนแห่งกำรพัฒนำวชิ ำชพี 5. DLIT Assessment คลังข้อสอบ 1. DLIT Classroom คอื กำรขยำย “หอ้ งเรียนแห่งคุณภำพ” จำกโรงเรียนช้ันนำทวั่ ประเทศ ไปสู่โรงเรยี นขนำดกลำง เพ่ือสรำ้ งโอกำสทำงกำรศึกษำทเ่ี ท่ำเทียม เนน้ กลมุ่ สำระกำรเรียนรูแ้ ละตัวชี้วัดท่ี สอนยำก เขำ้ ใจยำก และมีปัญหำดำ้ นผลสัมฤทธท์ิ ำงกำรศึกษำ ตำมที่ สทศ. ให้ตน้ สงั กัดเร่งพฒั นำ โดย ผ่ำนช่องทำงเทคโนโลยสี ำรสนเทศ ช่ือเวบ็ ไซต์ www.dlit.ac.th โดยใหโ้ รงเรยี นปลำยทำงสำมำรถจดั กำร เรยี นกำรสอนพร้อมกบั ครตู น้ ทำงหรอื สำมำรถเรยี กดยู ้อนหลงั ในชว่ั โมงสอนเสริม โดยครูปลำยทำงจะ ดำวนโ์ หลดให้ชมแบบ Offline ก็ได้ 2. DLIT Resources คือ คลังส่ือประกอบกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนทต่ี รงกับ หลกั สตู รแกนกลำง กำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน ทมี่ ีกำรจดั ระบบและหมวดหมทู่ ่ีให้ครูสำมำรถนำไปใช้งำนได้ทนั ที มีท้ังส่อื ท่เี ป็น ภำพน่งิ วีดทิ ัศน์ เกมส์ และแอพพลิเคชั่นตำ่ ง ๆ ครูสำมำรถใช้สอื่ จำก DLIT Resources นำเขำ้ สู่ บทเรยี น กระตนุ้ ให้นกั เรียนคิด ใช้สอื่ ต้ังคำถำม ใชส้ ือ่ เป็นคำตอบ ใช้สอ่ื เป็นแบบฝึกหดั หรือทบทวนควำม เข้ำใจ นอกจำกน้ี ยงั มวี ีดโี อ“สอนวธิ ีกำรทำส่อื รูปแบบต่ำง ๆ” ด้วย เพอื่ ทำให้ครูมีเคร่ืองมอื ทผี่ ลติ สื่อ ประกอบกำรเรยี นกำรสอนท่ีมีประสทิ ธิภำพมำกข้นึ 3. DLIT Library คือ ห้องสมดุ ออนไลนเ์ พอื่ ครู นกั เรียน ผู้ปกครองและผสู้ นใจทั่วไป ลักษณะ DLIT Library เป็นห้องสมดุ ออนไลนท์ ่ีมีเน้อื หำถูกต้อง แบง่ เป็นหมวดหมู่ ตอบสนองควำมตอ้ งกำรของครู และควำมสนใจของผเู้ รยี น มีรูปแบบทห่ี ลำกหลำยท้ังบทควำม, รปู ภำพและวดี โี อ มีระบบคน้ คว้ำทท่ี ำได้ ง่ำย เพิม่ ช่องทำงใหน้ กั เรยี นมีแหล่งค้นควำ้ สำหรบั กำรเรยี นแบบโครงงำน (Project-Based Learning) 4. DLIT Professional Learning Community : DLIT PLC “ชุมชนกำรเรียนรู้ครมู ืออำชีพ” คอื ช่องทำงในกำรสรำ้ งและพัฒนำชมุ ชนแหง่ กำรเรยี นร้ใู หก้ ับครูท่ัวประเทศ รวมทงั้ กำรพัฒนำวชิ ำชีพครู เพรำะกำรจะพัฒนำกำรศึกษำใหย้ งั่ ยนื คือ กำรสรำ้ งชมุ ชนแหง่ กำรเรยี นรใู้ นกลุ่มครูทัว่ ประเทศ DLIT PLC มี 3 รูปแบบ คือ 4.1 สื่อรำยกำรท่ีทำใหค้ รูได้เหน็ แบบปฏบิ ตั กิ ำรสอนท่ีดี หรือ Good Practice ของครู ไทยและครูทัว่ โลก เช่น โทรทศั น์ครู 4.2 กจิ กรรมกำรแบง่ ปนั และกำรเรียนร้หู รือ Share and Learn ผ่ำนกจิ กรรมต่ำง ๆและ ผำ่ นเครือขำ่ ยสังคมออนไลน์ เชน่ ครูมนี วตั กรรมกน็ ำเสนอผ่ำนช่องทำง DLIT, PLC คณุ ครสู นใจกเ็ ลือกไป ประกอบกำรเรยี นกำรสอน นวตั กรรมใดถูกเลือกมำกก็อำจจดั เป็นผลงำนรำงวัลต่อไป 4.3 กิจกรรมกำรช้แี นะและระบบพ่เี ลี้ยง หรอื Coaching and Mentoring กิจกรรม ท่สี รำ้ งครหู รอื ผู้บริหำรให้มคี วำมเชี่ยวชำญแลว้ พัฒนำต่อยอดใหเ้ ป็นผู้ชีแ้ นะหรือพ่เี ล้ียง เพ่อื ใหเ้ กิดกำร พฒั นำอยำ่ งยัง่ ยนื ในโรงเรียน โดยอำจสรำ้ งครู หรือผู้บริหำรในโรงเรยี นเอง DLIT PLC จะทำให้ครูไมโ่ ดด
17 เดีย่ วอกี ต่อไป แต่ครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำทกุ ชวี ิตจะรวมพลงั กัน พัฒนำกำรศกึ ษำไทยและเยำวชน ไทยใหด้ ีขนึ้ 5. DLIT Assessment คือคลังขอ้ สอบ ทร่ี วบรวมขอ้ สอบมำกมำย ต้ังแตป่ ระถมศกึ ษำปี ท่ี 1 จนถงึ มัธยมศึกษำปีท่ี 6 DLIT Assessment คลงั ขอ้ สอบเปน็ กำรสอบที่เรยี กว่ำ Assessment for Learning สอบเพ่ือเรยี นไม่ใช้เรียนเพ่ือสอบ นน่ั คอื ครูสำมำรถใช้ข้อสอบเพอ่ื ทดสอบควำมเขำ้ ใจของ นักเรยี น ได้ตลอดเวลำเพ่ือสอนเสรมิ และวำงแผนกำรสอนใหต้ รงกบั ควำมสำมำรถของนักเรยี น นอกจำกน้ี คลังข้อสอบ DLIT Assessment ยงั มีข้อสอบกลำงภำค ปลำยภำค และข้อสอบเพอื่ กำรเตรยี ม ตัวสอบแบบตำ่ ง ๆ เป้ำหมำยสำคญั DLIT Assessment มเี ป้ำหมำยเพื่อทำให้ผลสมั ฤทธิ์ของนักเรยี นดี ข้ึน นกั เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงคท์ ี่สอดคล้องกบั ศตวรรษท่ี 21 ครมู ีเครอ่ื งมือท่ีทำให้เกิดกำร พัฒนำทำงวชิ ำชีพอยำ่ งต่อเน่ือง และกำรศึกษำของไทยได้ก้ำวไปขำ้ งหนำ้ อยำ่ งแท้จรงิ สำนกั งำนเขตพ้ืนท่ีกำรศึกษำมัธยมศกึ ษำ เขต 42 ได้ดำเนินกำร ดังน้ี 1) จัดประชุมผู้บรหิ ำร เพื่อสร้ำงควำมตระหนักถึงควำมสำคัญของกำรจัดกำรเรียนรู้ผ่ำน เทคโนโลยสี ำรสนเทศ DLIT โดยสถำนศึกษำต้องมโี ครงสร้ำงพื้นฐำนท่ีเอ้ือต่อกำรจัดกำรศึกษำทำงไกลผ่ำน เทคโนโลยีสำรสนเทศ (DLIT) จัดเตรียมสื่อ วัสดุอุปกรณ์ สำหรับนักเรียนให้มีเพียงพอต่อกำรเรียนรู้ ด้วย กำรพัฒนำคุณภำพกำรศกึ ษำทำงไกลผำ่ นเทคโนโลยีสำรสนเทศ (DLIT) สง่ เสริม สนับสนุน ICT ในทกุ ดำ้ น 2) จัดอบรมให้มีควำมรู้กำรจัดกำรเรียนรู้ผ่ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศ DLIT (Distance Learning information technology) ใช้ Social Media ในกำรเข้ำร่วมเครือข่ำยชุมชนกำรเรียนรู้ครูมือ อำชีพ กำรสร้ำงเนื้อหำควำมรู้ เผยแพร่และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่ำนเครือข่ำยออนไลน์ กำรใช้ YouTube Channel เป็นชอ่ งทำงเพ่อื กำรแลกเปล่ียนเรยี นรแู้ ละพฒั นำคุณภำพกำรศึกษำ กำรแลกเปลีย่ นเรยี นรผู้ ่ำน DLIT PLC และทำงำนแบบร่วมมือ (Collaboration) โดยเชิญวิทยำกรจำกภำยนอกมำให้ควำมรู้แก่คณะ ครู 3) มีกำรนิเทศออนไลน์ โดยให้คณะครูนำบรรยำกำศกำรสอนภำยในห้องเรียน รูปแบบ วิดีโอ ขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ Youtube โดยส่งลิงค์ที่อยู่ของแต่ละคนมำในไลน์กลุ่ม เพื่อเผยแพร่ให้คณะ ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน พร้อมด้วยคณะศึกษำนิเทศก์ กำกับ ติดตำม ให้คำปรึกษำในรูปแบบนิเทศ ออนไลน์ มกี ำรโต้ตอบดว้ ยข้อควำมระหวำ่ งครแู ละศึกษำนเิ ทศก์ 4) ตรวจเยี่ยมโรงเรียนต้นแบบโดยใช้วิธีกำรสัมภำษณ์ครูผู้สอน พร้อมสังเกตกำรจัดกำร เรยี นร้ผู ำ่ นเทคโนโลยีสำรสนเทศ DLIT ในห้องเรียน
18 เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นกำรปฏิบตั กิ ำรนเิ ทศ 1) แบบประเมินมำตรฐำนกำรจัดกำรศึกษำด้วยเทคโนโลยีกำรศึกษำทำงไกลผ่ำน เทคโนโลยสี ำรสนเทศ (DLIT) 2) แบบประเมนิ ประสทิ ธภิ ำพกำรจดั กำรเรียนรูดว้ ยกำรสังเกตกำรสอน 3) แบบกำรสังเกตและบันทกึ ตำมประเดน็ คำถำม 4) แบบสรุปรำยงำนผลกำรสงั เกตกำรสอน 6. โรงเรยี นในโครงกำรพเิ ศษ เช่น - โรงเรยี นคุณภำพประจำตำบล สพฐ. ได้ดำเนินกำรขับเคล่อื นโครงกำร “1 ตำบล 1 โรงเรียนคณุ ภำพ” ตำมนโยบำยของ รัฐบำล เพื่อลดควำมเหล่ือมล้ำดำ้ นกำรจัดกำรศึกษำของประเทศ โดยใหโ้ รงเรยี นเป็นศนู ยก์ ลำงของชมุ ชน มีควำมพร้อมในกำรจดั กำรเรียนกำรสอนอย่ำงมีคุณภำพ ตลอดจนเปน็ ศูนยร์ วมหรอื เปน็ แหล่งกำรเรยี นรู้ ของชมุ ชน สรำ้ งโอกำสให้นักเรียนในพน้ื ที่ไดพ้ ฒั นำศักยภำพอยำ่ งเต็มท่ี โดยขณะน้ีอยใู่ นระหว่ำง กระบวนกำรคัดเลอื กโรงเรยี นคุณภำพประจำตำบลจำนวนกวำ่ 7,200 ตำบล ซง่ึ สำนักงำนเขตพืน้ ท่ี กำรศึกษำมธั ยมศกึ ษำ เขต 42 มจี ำนวน 26 โรง รัฐบำลได้กำหนดแนวทำงกำรพัฒนำโรงเรียนคณุ ภำพประจำตำบล โดยแบ่งเปน็ 3 ระยะ ระยะที่ 1 ตรวจสอบและเปิดรับ เริ่มจำกกำรประเมนิ ตนเองของโรงเรยี น สร้ำงกำรรบั รูแ้ ละปรับ ทศั นคติของผู้บรหิ ำร ครู และบคุ ลำกรทำงกำรศึกษำให้ตรงกนั สร้ำง \"เครอื ข่ำยกำรพฒั นำ\" เปดิ โอกำสให้ หนว่ ยงำนในทอ้ งถิน่ ได้มีสว่ นรว่ ม ระยะท่ี 2 เสริมควำมรู้เพื่อสร้ำงภูมคิ มุ้ กนั ใหเ้ กิดควำมร่วมมือระหวำ่ งสำนักงำนเขตพ้ืนที่ กำรศึกษำ โรงเรียน และชมุ ชน สนบั สนุนโครงสร้ำงพน้ื ฐำนทจ่ี ำเป็น ยกระดับขีดควำมสำมำรถ พฒั นำ ทกั ษะ ผ้บู รหิ ำร คณุ ครู และบุคลำกรทำงกำรศึกษำ เนน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั เอื้อต่อกำรสร้ำงทักษะชวี ติ และทักษะวิชำชพี ของผู้เรยี น ระยะที่ 3 พัฒนำสู่ \"โรงเรียนของชุมชน\" จำเปน็ ต้องสร้ำงทักษะกำรส่อื สำรและควำมร่วมมอื เพื่อสร้ำงควำมยง่ั ยนื ของกำรเปน็ โรงเรียนของชมุ ชน พร้อมท้ังสร้ำงเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดำ้ นกำรพัฒนำ โรงเรียนคณุ ภำพประจำตำบลอีกด้วย แนวคดิ ในกำรพัฒนำคุณภำพโรงเรยี นจงึ มคี วำมสำคญั สูงสุดในกำรปฏิบตั ิงำน โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง กำรพัฒนำโรงเรียนในท้องถิ่นชนบท โรงเรียนทีไ่ ดร้ บั กำรคดั เลือก ให้เข้ำรว่ มโครงกำรโรงเรยี นคุณภำพ ประจำตำบลจึงเปรยี บเสมือนกำรได้รบั โอกำส กำรยกยอ่ งเชดิ ชู เกียรติยศ และควำมร่งุ โรจน์ ทีจ่ ะมุ่งเน้น กำรพัฒนำใหเ้ ปน็ หนง่ึ ในระดับตำบล มีควำมเข้มแข็งและมีควำมพร้อม ในกำรใหบ้ ริกำรทำงกำรศึกษำ ตำมนโยบำย 1 ตำบล 1 โรงเรยี นคณุ ภำพ โดยจะไดร้ บั กำรส่งเสริมควำมร่วมมือและสร้ำงกำรมีส่วนรว่ มใน
19 กระบวนกำรบรหิ ำร กำรจดั กำรสถำนศกึ ษำ ของภำคเี ครอื ขำ่ ยที่เปรียบเสมือนดำว 5 ดวง ซ่งึ เป็นตวั แทน ของ เอกชน บำ้ น วดั รัฐ โรงเรยี น ท้ังนเ้ี พื่อพัฒนำนักเรยี นใหม้ ีคณุ ภำพ ตลอดจนมีควำมรู้ควำมสำมำรถ ตรงกับควำมต้องกำรและทิศทำงในกำรพฒั นำประเทศ อนั จะเป็นกำรเตรียมควำมพร้อมในกำร วำงรำกฐำนของประเทศไทยใหม้ ีควำมมั่นคงทจ่ี ะก้ำวไปสู่กำรพฒั นำทย่ี ั่งยืนสืบไป จดุ เน้นของโครงกำรโรงเรียนคุณภำพประจำตำบล คือ - กำรพฒั นำโรงเรยี นให้มีคุณภำพและได้มำตรฐำนตำมบริบทของตนเอง - เกิดควำมเท่ำเทียมและครอบคลุมทว่ั ประเทศ เพื่อลดควำมเหล่ือมลำ้ ดำ้ นกำรจดั กำรศึกษำของ ประเทศ - สรำ้ งโรงเรยี นใหม้ ีควำมพร้อมในกำรจัดกำรเรยี นกำรสอน มอี ุปกรณแ์ ละส่ิงอำนวยควำมสะดวก ท่เี อ้ือต่อกำรเรยี นรู้ - ผู้บริหำรและครทู ่ีมีประสทิ ธิภำพ - ทุกภำคส่วนมีส่วนร่วมในกำรส่งเสรมิ และสนบั สนนุ ให้เกิดกำรจัดกระบวนกำรเรียนรูท้ ่ีมี ประสิทธิภำพใหก้ ับผู้เรียน แนวทำงกำรขับเคลื่อนโครงกำรโรงเรียนคณุ ภำพประจำตำบล โรงเรียนคณุ ภำพประจำตำบล (1 ตำบล 1 โรงเรยี นคณุ ภำพ) มีควำมพร้อม 5 ด้ำน ไดแ้ ก่ ดำ้ นโครงสร้ำงพื้นฐำน ด้ำนผูบ้ ริหำรสถำนศึกษำ ด้ำนครู ดำ้ นนกั เรียน และกำรมีส่วนร่วมในกำร พัฒนำ ดำ้ นท่ี 1 โครงสร้ำงพน้ื ฐำน มอี งค์ประกอบ 7 เรื่อง คือ 1) อำคำรสถำนท่ี 2) ระบบสำธำรณปู โภค 3) สภำพแวดลอ้ มและแหล่งเรยี นรู้ 4) ระบบกำรป้องกันและระบบควำมปลอดภยั ภยั ในโรงเรยี น 5) โภชนำกำรและสุขภำพ 6) สงิ่ อำนวยควำมสะดวก สำหรบั ผพู้ ิกำร หรือผู้มีควำมต้องกำรพเิ ศษ 7) เทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรสอ่ื สำร ด้ำนท่ี 2 ผบู้ ริหำรสถำนศึกษำ มอี งค์ประกอบ 5 เร่ือง คือ 1) ภำวะผ้นู ำ 2) ภำษำและกำรสื่อสำร (อย่ำงน้อย 2 ภำษำ ไทย/อังกฤษ)
20 3) กำรบรหิ ำรสถำนศึกษำ 4) กำรบรหิ ำรแบบมสี ่วนรว่ ม 5) กำรสร้ำงควำมสัมพนั ธแ์ ละควำมร่วมมือกบั ชุมชน ด้ำนที่ 3 ครู และบุคลำกรทำงกำรศกึ ษำ มอี งค์ประกอบ 8 เร่ือง คือ 1) ครคู รบช้นั เรยี น ตรงสำขำวชิ ำ มบี คุ ลำกรธุรกำร และนักกำรภำรโรง และ ครมู ีทักษะวชิ ำชีพ 2) หลักสูตรกำรจดั กำรเรยี นรแู้ ละกำรประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ 3) กำรจดั กำรชน้ั เรียน 4) ภำษำและกำรส่อื สำร อย่ำงน้อย 2 ภำษำ (ไทย/อังกฤษ) 5) กำรจัดระบบดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียน ครู มศี ักยภำพในกำรแยก ควำมสำมำรถของนกั เรยี นในชนั้ ได้เป็นรำยบุคคล 6) กำรวจิ ยั และพฒั นำนวัตกรรมกำรเรียนกำรสอน 7) กำรพัฒนำตนเองแบบชมุ ชนแหง่ กำรเรียนรู้ 8) ครสู ำมำรถใชเ้ ทคโนโลยี ICT ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอน และกำรคน้ คว้ำ หำควำมรเู้ พ่ิมเตมิ ดำ้ นที่ 4 นักเรยี น มีองคป์ ระกอบ 11 เรอื่ ง คือ 1) ควำมเปน็ พลเมืองดี (Moral Quotient) ตำมค่ำนิยม 12 ประกำร 2) ทกั ษะชีวิต (ผำ่ นกระบวนกำรลกู เสอื ) 3) พัฒนำกำรทำงสตปิ ญั ญำ (Intelligence Quotient) 4) ควำมฉลำดทำงอำรมณ์ (Emotional Quotient) 5) ทศั นคติ (Attitude) 6) พัฒนำกำรดำ้ นร่ำงกำยสมวยั (Physical) 7) จบกำรศึกษำ-มงี ำนทำ สำมำรถประกอบอำชีพได้ (ได้รับกำรแนะแนวอย่ำง ถกู ต้องและรอบดำ้ น) 8) ภำษำและกำรสื่อสำร (อย่ำงน้อย 4 ภำษำ ไทย องั กฤษ จีน ญปี่ ุน่ / เกำหล/ี ฝร่ังเศส) 9) เดก็ เกง่ ICT 10) มีทักษะของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 11) รักกำรเรยี นรู้ มีควำมคดิ รเิ ริม่ สร้ำงสรรค์
21 ดำ้ นท่ี 5 กำรมีส่วนร่วมกำรพัฒนำ เอกชน บ้ำน วัด/ศำสนสถำนอนื่ ๆ รัฐ และโรงเรยี น เข้ำมำมสี ่วนรว่ มและ สนบั สนนุ ในกำรพัฒนำโรงเรยี นคณุ ภำพประจำตำบล - โรงเรยี นประชำรฐั แนวทำงกำรขับเคลื่อนโครงกำรโรงเรียนประชำรฐั ประจำปงี บประมำณ 2563 สำนกั งำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 42 มโี รงเรยี นทเี่ ขำ้ ร่วมโครงกำรโรงเรียน ประชำรัฐ จำนวน 3 โรงเรียนไดแ้ ก่ โรงเรียนรฐั รำษฎร์อนุสรณ์ โรงเรยี นวังบ่อวทิ ยำ และโรงเรียนกำรุ้ง วิทยำคม ในปีงบประมำณ 2563 สำนกั งำนเขตพ้ืนทก่ี ำรศึกษำมธั ยมศึกษำ เขต 42 มีแผนงำนโครงกำรท่ี จะพฒั นำ ยกระดบั ผลสมั ฤทธท์ิ ำงกำรเรียนดังน้ี 1. โรงเรียนดำเนินกำรจดั ทำฐำนขอ้ มูลโรงเรยี น และควำมต้องกำรของโรงเรยี น (เปน็ ระบบและ เปน็ ปัจจบุ ัน) 2. เขตพ้ืนที่รว่ มประชุมกับผู้บรหิ ำร ครู เพื่อสะท้อนผลกำรดำเนินงำนในปที ผ่ี ่ำนมำ (AAR) 3. โรงเรยี นจดั ทำรำยงำนข้อมูลเพื่อกำรบริหำรแบบธรรมำภิบำลในสถำนศึกษำ 4. โรงเรยี นเลือกรปู แบบหลักสูตร สอ่ื และปรบั เปล่ียนวธิ ีกำรสอน 5. ร่วมพัฒนำโรงเรียนกบั บริษัทเอกชนทดี่ แู ลโรงเรยี น 6. นิเทศ ตดิ ตำม กำรจัดกำรเรยี นกำรสอน ภำคเรียนละอยำ่ งน้อย 1 คร้ังต่อ 1 ภำคเรยี น 7. โรงเรยี นรำยงำนผลกำรพฒั นำเปน็ ระยะ อย่ำงต่อเน่ือง 8. สิน้ ปกี ำรศกึ ษำ เขตพนื้ ท่ีกำรศึกษำสรปุ รำยงำนผลกำรพัฒนำของโรงเรยี นประชำรฐั - โรงเรียนในโครงกำรพระรำชดำริ สถำนศึกษำพอเพยี ง ตำมทกี่ ระทรวงศึกษำธิกำร ไดม้ ีนโยบำยกำรขบั เคลือ่ นปรัชญำของเศรษฐกิจ พอเพยี งสูส่ ถำนศกึ ษำ ในทุกระดบั เพ่ือให้ ผบู้ ริหำรองคก์ ร ครู ผบู้ รหิ ำรสถำนศึกษำ บุคลำกรด้ำน กำรศึกษำ และนักเรยี น นกั ศึกษำ มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจในหลกั ปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพียง และ สำมำรถนำหลกั คดิ หลกั ปฏบิ ตั ติ ำมหลกั ปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพยี งมำบูรณำกำรในกำรบริหำรจดั กำร กำรเรียนกำรสอน ตลอดจนกำรประยุกต์ใช้ ในชีวติ ประจำวัน ก่อใหเ้ กดิ ควำมตระหนกั และฝังรำกลึก ภำยในตนเองและผอู้ ืน่ อยำ่ งย่งั ยืนตลอดไป นนั้ คณะกรรมกำรขับเคล่ือนปรัชญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ภำคกำรศึกษำ ซ่ึงมรี ฐั มนตรวี ำ่ กำร กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร เปน็ ประธำนคณะกรรมกำรฯ โดยตำแหน่ง และมหี นว่ ยงำนทงั้ ภำครัฐและเอกชน รว่ มเป็นคณะกรรมกำรฯ ได้กำหนดนโยบำยใหห้ น่วยงำนท่ีมสี ถำนศึกษำท้ังในและนอกสังกัด กระทรวง
22 ศึกษำธิกำรมีกำรขยำยผลกำรขับเคลอ่ื นปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถำนศึกษำอยำ่ งตอ่ เนื่อง โดย ดำเนินกำรตำมหลักเกณฑแ์ ละแนวทำงที่กระทรวงศึกษำธิกำรกำหนด กระทรวงศึกษำธกิ ำร โดยหน่วยงำนภำคีเครอื ขำ่ ยขับเคลื่อนปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ สถำนศึกษำ มีนโยบำยขยำยผลสถำนศกึ ษำแบบอย่ำงกำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้และกำรบริหำรจดั กำร ตำมหลักปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพยี ง “สถำนศึกษำพอเพียง” โดยเรม่ิ พัฒนำเพ่ือขยำยผล ในปี 2554 และในปี พ.ศ. 2557 ได้ดำเนินกำรตดิ ตำมประเมินผลสถำนศกึ ษำในสังกดั ทัว่ ประเทศ พบว่ำมสี ถำนศกึ ษำ ทผี่ ่ำนเกณฑ์กำรประเมนิ ของกระทรวงศึกษำธิกำร สำมำรถเปน็ สถำนศกึ ษำแบบอย่ำงกำรจดั กิจกรรมกำร เรยี นรแู้ ละกำรบรหิ ำรจัดกำรตำมหลกั ปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพยี ง “สถำนศกึ ษำพอเพียง” ไดจ้ ำนวน ทงั้ ส้ิน 2,123 แห่งประกอบด้วยสถำนศึกษำในสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำข้ันพื้นฐำน จำนวน 1,903 แหง่ สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศกึ ษำ จำนวน 2 แห่ง สำนักงำนสง่ เสริมกำรศึกษำนอก ระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศยั จำนวน 212 แห่ง และสำนกั กำรศึกษำกรงุ เทพมหำนครจำนวน 6 แหง่ กระทรวงศึกษำธกิ ำร จงึ ไดป้ ระกำศให้สถำนศกึ ษำทัง้ 2,123 แห่ง เปน็ สถำนศึกษำแบบอยำ่ งกำร จัดกิจกรรมกำรเรียนรู้และกำรบริหำรจัดกำรตำมหลกั ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง “สถำนศกึ ษำ พอเพยี ง 2557” เม่ือวันที่ 20 ตุลำคม พ.ศ. 2558 และได้ดำเนินกำรขยำยผลต่อไปอยำ่ งตอ่ เนื่อง สำนกั งำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมธั ยมศึกษำ เขต 42 ไดร้ ับกำรประกำศใหส้ ถำนศึกษำทั้ง 58 แห่ง เปน็ สถำนศึกษำแบบอยำ่ งกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้และกำรบริหำรจัดกำรตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกิจ พอเพียง “สถำนศึกษำพอเพยี ง” ครบเม่ือปีงบประมำณ 2560 และไดด้ ำเนนิ กำรพัฒนำให้ยัง่ ยนื ต่อไป อยำ่ งต่อเน่ือง - โรงเรียนคณุ ธรรม สพฐ. แนวทำงกำรขบั เคล่ือนโครงกำรโรงเรียนคณุ ธรรม สพฐ. ประจำปงี บประมำณ 2563 ในปงี บประมำณ 2563 สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศกึ ษำ เขต 42 ได้บูรณำกำร โครงกำรโรงเรยี นคุณธรรม สพฐ. เข้ำกับ โครงกำรโรงเรยี นวถิ พี ุทธและค่ำนยิ มหลกั ของคนไทย 12 ประกำร เข้ำด้วยกนั ทั้งน้ีโดยใช้กจิ กรรมโครงกำรโรงเรยี นคุณธรรม สพฐ.เป็นหลัก และพัฒนำกำรจัด กจิ กรรมโครงกำรโดยใช้โครงงำนคุณธรรมเปน็ ฐำน ซง่ึ จะพัฒนำโครงกำรภำยใต้ กรอบ แนวคิด โครงกำร โรงเรียนคณุ ธรรม สพฐ. โดยมคี ุณธรรมหลัก 5 ประกำรคือ พอเพยี ง กตัญญู ซื่อสัตย์สจุ ริต ควำม รบั ผดิ ชอบ และอุดมกำรณ์คุณธรรม และภำยใตต้ ัวชวี้ ดั โรงเรยี นคณุ ธรรม 7 ตัวชว้ี ัด คือ 1. มอี ดุ มกำรณ์คุณธรรมในกำรพัฒนำในโรงเรยี นคุณธรรม 2. มีกลไกและเคร่อื งมือในกำรปฏิบัติคณุ ธรรมจริยธรรมร่วมกันทั้งโรงเรียน 3. มพี ฤติกรรมที่พงึ ระสงค์ด้ำนควำมพอเพยี ง ควำมกตญั ญู และควำมซ่ือสัตย์สุจรติ ในโรงเรียน เพม่ิ ข้ึน
23 4. พฤติกรรมท่ีไม่พงึ ประสงค์ลดน้อยลง 5. มกี ระบวนกำรมีสว่ นรว่ ม และสรำ้ งควำมรบั ผิดชอบจำกผเู้ ก่ียวขอ้ งในโรงเรียน 6. มคี วำมรู้ นวตั กรรมดำ้ นคุณธรรมฯและบรู ณำกำรไว้ในชั้นเรียน 7. เปน็ แหลง่ เรยี นรำ้ นคุณธรรมฯ ในกำรพัฒนำโครงกำรคณุ ธรรมโรงเรยี นคณุ ธรรม สพฐ. ปีกำรศึกษำ 2563 นั้น มีกำรดำเนิน กจิ กรรมดงั นี้ 1. โรงเรียนพัฒนำคณุ ธรรมในโรงเรยี นโดยใชโ้ ครงงำนคณุ ธรรมเปน็ ฐำน (Moral Project ) 2. กิจกรรมผลติ นวัตกรรมสรรค์สรำ่ งคนดี 3. กิจกรรมค่ำยยวุ ชนคนคุณธรรม 4. กจิ กรรมคืนคณุ ธรรมส่หู ้องเรียน 5. กจิ กรรมครอบครัวที่ สำม (ครอบครวั คณุ ธรรม ) 6. นเิ ทศกำกบั ตดิ ตำม แบบบรู ณำกำร - โรงเรยี นสจุ รติ แนวทำงกำรขบั เคล่ือนโครงกำรเสรมิ สร้ำงคุณธรรม จริยธรรมและธรรมำภบิ ำลใน สถำนศกึ ษำ(โครงกำรโรงเรยี นสจุ ริต) ประจำปีงบประมำณ 2563 สำนกั งำนเขตพนื้ ที่กำรศึกษำมัธยมศกึ ษำ เขต 42 มแี นวทำงกำรขับเคล่อื นโรงเรยี นในโครงกำร โรงเรียนสจุ ริต ครบ 100% ทั้งน้ี โรงเรียนในสงั กดั สำนักงำนเขตพน้ื ที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต 42 มี จำนวน ท้ังสิ้น 58 โรงเรยี น ซง่ึ จะไดร้ บั กำรพฒั นำอยำ่ งท่ัวถึงตำมแนวทำงกำรขบั เคลือ่ นดังน้ี 1. เขตพ้ืนท่ีกำรศึกษำดำเนินกำรขับเคลอ่ื นกำรนำหลักสูตรตำ้ นทจุ ริตศกึ ษำ (หลักสตู ร กำรศกึ ษำข้ันพ้นื ฐำน) ไปปรับใช้ในกำรจดั กำรเรยี นกำรสอน 2. จัดกจิ กรรมบริษทั สรำ้ งกำรดี 3. กำรสร้ำงสำนกึ พลเมือง (Project Citizen)สำหรับโรงเรยี นสุจรติ ต้นแบบ 4. สอื่ ภำพยนตร์สนั้ รณรงค์กำรสร้ำงสงั คมท่ีไมท่ นตอ่ กำรทุจริต 5. กำรประเมนิ โรงเรยี นสจุ ริตพระรำชทำน ดำ้ นควำมโปร่งใส สำหรบั โรงเรียนต้นแบบและ เครือข่ำยโรงเรยี นสุจรติ ร้อยละ 10 6. กำรทอดบทเรียน ( Best practice ) 7. กำรประเมินคุณธรรมและควำมโปร่งใสในกำรดำเนินงำนของสถำนศกึ ษำออนไลน์ (ITA ) 8. นเิ ทศ กำกบั ตดิ ตำม แบบบรู ณำกำร 9. รำยงำนผลกำรดำเนินกจิ กรรมตำมโครงกำรเสรมิ สร้ำงคุณธรรม จรยิ ธรรมและธรรมำภบิ ำล ในสถำนศึกษำ( โครงกำรโรงเรยี นสุจรติ )
24 ขอบข่ำยกำรนิเทศ (กำรนิเทศ กำกบั ติดตำม ในครัง้ น้ี เปน็ กำรนเิ ทศ ติดตำมงำนนโยบำย จดุ เนน้ ของ สพฐ.) 1. กำรประกนั คุณภำพกำรศึกษำ 2. กำรพฒั นำหลกั สตู รสถำนศึกษำ 3. กำรยกระดับผลสัมฤทธิ์ 4. กำรจัดกำรเรียนกำรสอน Active Learning 5. กำรจดั กำรเรียนรูโ้ ดยใช้ DLIT/DLTV 6. โรงเรียนในโครงกำรพิเศษ เช่น - โรงเรยี นคณุ ภำพประจำตำบล - โรงเรยี นประชำรัฐ - โรงเรียนในโครงกำรพระรำชดำริ - โรงเรยี นคุณธรรม สพฐ. - โรงเรยี นสุจรติ ผลที่คำดว่ำจะได้รับ 1. สถำนศึกษำในสังกดั ไดร้ บั กำรพฒั นำใหส้ ำมำรถบรหิ ำรจัดกำรศึกษำได้อย่ำงมีคุณภำพ 2. นกั เรียนไดร้ ับกำรพัฒนำ ทุกดำ้ นตำมตวั ชี้วัดทจ่ี ดุ เนน้ กำหนด 3. สถำนศึกษำในสังกัด ได้รับกำรนเิ ทศอย่ำงสม่ำเสมอ 4 สถำนศึกษำสำมำรถดำเนินกำรตำมนโยบำยของ สพฐ. และสำนักงำนเขตพื้นท่กี ำรศึกษำ มธั ยมศกึ ษำ เขต 42 ได้อย่ำงมีประสทิ ธภิ ำพ
25 สว่ นที่ 2 ฐำนขอ้ มูล ขอ้ มูลพน้ื ฐำนทำงกำรศกึ ษำ สำนกั งำนเขตพ้นื ที่กำรศึกษำมธั ยมศึกษำ เขต 42 มีบุคลำกร ครู นักเรียน สถำนศึกษำในเขต 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวดั นครสวรรค์ และจังหวดั อทุ ยั ธำนี ดังรำยละเอยี ดเสนอตำมตำรำง ดังน้ี ตำรำงที่ 1 แสดงข้อมลู จำนวนครู ที่ โรงเรียน ผู้บริหำร คร/ู บุคลำกร 1 นครสวรรค์ นำยพันศักดิ์ ศรที อง 203 2 สตรนี ครสวรรค์ นำงสำวสุดสวำท ยังแจ่ม 189 3 บ้ำนแก่งชัชวลติ วทิ ยำ นำยสมบัติ ล้อจงเฮง 20 4 พระบำงวทิ ยำ นำยอำรมณ์ นอ้ ยเกิด 40 5 นวมนิ ทรำชทู ศิ มัชฌิม นำยชำญณรงค์ ยำสุทธิ 154 6 บงึ บอระเพ็ดวทิ ยำ นำยปญั ญำ พรหมบุตร 13 7 โกรกพระ นำยบัญชำ วงศ์ซื่อ 36 8 ทบั กฤชพฒั นำ นำยกิจจำ เอ่ียมระหงษ์ 22 9 ชุมแสงชนูทิศ นำยชำญชยั ชนิดสะ 139 10 เก้ำเล้ียววิทยำ นำยสมบูรณ์ นนท์สกุล 31 11 หัวดงรำชพรหมำภรณ์ นำยสมคดิ เจรญิ สขุ 16 12 พยุหะพทิ ยำคม นำยพงษเ์ ทพ เจริญไทย 53 13 เขำทองพิทยำคม นำยกำ้ นตอง เสง็ เอี่ยม 24 14 เขำกะลำวทิ ยำคม นำยอินทพงษ์ จินดำทิพย์ 18 15 บรรพตพสิ ัยพทิ ยำคม นำงสำวชรินรตั น์ แผงดี 66 16 หนองกรดพทิ ยำคม นำยสิงหวรรธน์ มำตรำช 38 17 รัฐรำษฎรอ์ นสุ รณ์ ว่ำท่ี ร.ต.เบญจรงค์ ทองอ่อน 19 18 วังเมอื งชนประสิทธ์วิ ิทยำคม นำยนรศิ ธรรมปรัชญำ 15 19 เทพศำลำประชำสรรค์ นำยสังวร ยมรัตน์ 59 20 ลำดยำววทิ ยำคม นำยไพบลู ย์ เขยี นประเสริฐ 88
ที่ โรงเรียน ผ้บู รหิ ำร 26 21 แมว่ งก์พิทยำคม นำยบรรพต สมสวย 22 ห้วยน้ำหอมวทิ ยำคำร นำยเฉลมิ ชัย สง่ ศรี คร/ู บุคลำกร 23 หนองบัว นำยสำโรจน์ กลั่นด้วง 32 24 วังบอ่ วทิ ยำ นำยเกษม รตั นพรหม 79 25 ตำคลปี ระชำสรรค์ นำงสำวจงกล เดชปนั้ 86 26 จนั เสนเอง็ สุวรรณอนุสรณ์ นำยประหัส ปุม้ กระโทก 22 27 หนองโพพทิ ยำ นำยสุกิจ ดัน่ เจรญิ 144 28 ทหำรอำกำศอนุสรณ์ นำงสำวณฐั ชำนนท์ ยอดทอง 24 29 ลำดทิพรสพิทยำคม นำงประภำพร ม่ันพรม 17 30 ชอ่ งแคพิทยำคม นำยจกั รกฤษณ์ สนอ่วม 31 31 ท่ำตะโกพิทยำคม นำยจันทร์เทพจ์ เพ็ชรยิ้ม 13 32 พนมรอกวิทยำ นำยนทิ ัศ อนิ ทรฉ์ ำ่ 20 33 ไพศำลพี ทิ ยำ นำยทพิ ย์ แดงน่มิ 101 34 ตะคร้อพิทยำ นำงสำวศรีภำวรรณ ไสโสภำ 19 35 วังข่อยพิทยำ นำงสำวพะยอม เกิดมงคล 73 36 ตำกฟำ้ วิชำประสิทธิ์ นำยวฑิ ูรย์ งำมนิธิจำรเุ มธี 25 37 อดุ มธัญญำประชำนุเครำะห์ นำงศิรริ ตั น์ น่ิมมำ 17 38 ทพั ทนั อนุสรณ์ นำยอดิศักดิ์ อินทรช์ ื่น 48 39 สวำ่ งอำรมณ์วทิ ยำคม นำยเสวก พันธุ์อ้น 18 40 หนองฉำงวิทยำ นำยธนกฤต นโิ รจน์ 60 41 อุทัยวิทยำคม นำยจิณณำวฒั น์ โคมบัว 39 42 หนองเตำ่ วิทยำ นำยชยพล สอนซิว 135 43 ตลกุ ดวู่ ทิ ยำคม นำยอัคคณัฐ อยั รำ 122 44 บ่อยำงวทิ ยำ นำยชกู ิต สัมมำพิทักษ์ 13 45 บ้ำนทงุ่ นำวทิ ยำ นำยประเสริฐ สวุ รรณชัยเลศิ 37 46 พุทธมงคลวิทยำ นำยรัตนชัย ศรีโกมล 22 47 ทงุ่ โพวิทยำ นำงสำวสภุ ำพร ธนะแสง 31 48 หนองขำหยำ่ งวทิ ยำ นำงสำวกฤตยิ ำ พทุ ธโกศัย 26 15 26
ที่ โรงเรียน ผบู้ ริหำร 27 49 กำญจนำภิเษกวิทยำลยั อุทยั ธำนี นำยกติ ิศักดิ์ นิโรจน์ ครู/บคุ ลำกร 28 50 บ้ำนไรว่ ิทยำ นำยอนุกลู กรัณย์เมธำกุล 99 26 51 กำรุง้ วทิ ยำคม นำยถวลั ย์ วงษส์ ำธภุ ำพ 21 26 52 ทองหลำงวิทยำคม นำงจนิ ดำ กมลมำลย์ (รก.) 11 46 53 หนองจอกประชำนสุ รณ์ นำยประกิจ บุญศรี 21 33 54 วังหินวิทยำคม นำงศวิ ภำ บัวสวุ รรณ 15 2,902 55 ลำนสกั วิทยำ นำยภำณุพงศ์ ม่นั พรม 56 รอ่ งตำทวี ิทยำ นำยปวิช พรศริ ชัย 57 หว้ ยคตพทิ ยำคม นำยมนต์อิศวร รตั นะวงศ์ไชย 58 สมอทองปทปี พลผี ลอปุ ถัมภ์ นำงน้ำฝน ย้ิมจำรสั (รก.) รวม หมำยเหตุ ข้อมูล ณ วันที่ 23 เมษำยน 2563
28 ตำรำงที่ 2 แสดงจำนวนโรงเรียน จงั หวัดนครสวรรค์ จำนวน 37 โรงเรียน ไดแ้ ก่ ที่ โรงเรยี น ตำบล อำเภอ หมำยเหตุ เมอื งนครสวรรค์ 1. โรงเรยี นนครสวรรค์ ปำกนำ้ โพ เมืองนครสวรรค์ เมอื งนครสวรรค์ 2. โรงเรียนสตรนี ครสวรรค์ ปำกน้ำโพ เมอื งนครสวรรค์ เมืองนครสวรรค์ 3. โรงเรียนบำ้ นแกง่ ชชั วลิตวทิ ยำ บ้ำนแก่ง เมืองนครสวรรค์ เก้ำเล้ียว 4. โรงเรียนพระบำงวิทยำ หนองกระโดน เกำ้ เล้ียว โกรกพระ 5. โรงเรยี นนวมนิ ทรำชทู ศิ มชั ฌิม นครสวรรค์ตก ชมุ แสง ชุมแสง 6. โรงเรียนบึงบอระเพด็ วิทยำ พระนอน พยุหะคีรี พยหุ ะคีรี 7. โรงเรียนเก้ำเลีย้ ววิทยำ เกำ้ เล้ยี ว พยหุ ะครี ี บรรพตพิสยั 8. โรงเรยี นหวั ดงรำชพรหมำภรณ์ หัวดง บรรพตพิสัย บรรพตพสิ ัย 9. โรงเรียนโกรกพระ บำงมะฝ่อ ลำดยำว ลำดยำว 10. โรงเรยี นชมุ แสงชนูทิศ พกิ ุล ลำดยำว 11. โรงเรยี นทับกฤชพัฒนำ ทบั กฤช แมว่ งก์ ชมุ ตำบง 12. โรงเรยี นพยหุ ะพิทยำคม พยุหะ ตำกฟำ้ ตำกฟำ้ 13. โรงเรยี นเขำทองพทิ ยำคม เขำทอง ตำคลี ตำคลี 14. โรงเรยี นเขำกะลำวิทยำคม เขำกะลำ 15. โรงเรยี นบรรพตพสิ ยั พิทยำคม ทำ่ งวิ้ 16. โรงเรียนหนองกรดพิทยำคม หนองกรด 17. โรงเรยี นรฐั รำษฎร์อนุสรณ์ บึงปลำทู 18. โรงเรียนลำดยำววิทยำคม สระแก้ว 19. โรงเรียนวงั เมอื งชนประสทิ ธ์ิ ลำดยำว วิทยำคม 20. โรงเรยี นเทพศำลำประชำสรรค์ ศำลเจ้ำไก่ตอ่ 21. โรงเรียนแมว่ งก์พิทยำคม แม่วงก์ 22. โรงเรียนห้วยนำ้ หอมวิทยำคำร ชมุ ตำบง 23. โรงเรยี นตำกฟ้ำวิชำประสิทธ์ิ ตำกฟำ้ 24. โรงเรียนอุดมธัญญำประชำนุเครำะห์ อดุ มธัญญำ 25. โรงเรียนตำคลีประชำสรรค์ ตำคลี 26. โรงเรียนจันเสนเอง็ สุวรรณอนุสรณ์ จนั เสน
ท่ี โรงเรยี น ตำบล อำเภอ 29 27. โรงเรยี นหนองโพพิทยำ หนองโพ ตำคลี 28. โรงเรียนทหำรอำกำศอนสุ รณ์ ตำคลี ตำคลี หมำยเหตุ 29. โรงเรียนลำดทพิ รสพิทยำคม ลำดทพิ รส ตำคลี 30. โรงเรยี นชอ่ งแคพทิ ยำคม ชอ่ งแค ตำคลี 31. โรงเรียนท่ำตะโกพทิ ยำคม ดอนคำ ท่ำตะโก 32. โรงเรียนพนมรอกวิทยำ พนมรอก ท่ำตะโก 33. โรงเรียนไพศำลีพทิ ยำ ไพศำลี ไพศำลี 34. โรงเรยี นตะครอ้ พทิ ยำ ตะคร้อ ไพศำลี 35. โรงเรียนวังข่อยพิทยำ วังขอ่ ย ไพศำลี 36. โรงเรียนหนองบวั หนองบวั หนองบวั 37. โรงเรียนวงั บ่อวทิ ยำ วังบ่อ หนองบัว
30 จังหวดั อุทัยธำนี จำนวน 21 โรงเรียน ไดแ้ ก่ ที่ โรงเรียน ตำบล อำเภอ หมำยเหตุ เมืองอุทยั ธำนี 1. โรงเรยี นอุทัยวทิ ยำคม สะแกกรงั เมืองอทุ ยั ธำนี เมืองอทุ ัยธำนี 2. โรงเรยี นพทุ ธมงคลวิทยำ อุทยั ใหม่ หนองขำหยำ่ ง หนองขำหยำ่ ง 3. โรงเรียนหนองเตำ่ วทิ ยำ หนองเต่ำ ทัพทัน ทัพทนั 4. โรงเรียนหนองขำหยำ่ งวิทยำ หนองขำหยำ่ ง สวำ่ งอำรมณ์ สวำ่ งอำรมณ์ 5. โรงเรยี นกำญจนำภเิ ษกวิทยำลัย อุทยั ธำนี ดอนกลอย หนองฉำง หนองฉำง 6. โรงเรียนทัพทันอนุสรณ์ ทพั ทนั หนองฉำง บ้ำนไร่ 7. โรงเรียนตลุกดู่วิทยำคม ตลกุ ดู่ บำ้ นไร่ บ้ำนไร่ 8. โรงเรียนสว่ำงอำรมณ์วทิ ยำคม สวำ่ งอำรมณ์ บ้ำนไร่ บำ้ นไร่ 9. โรงเรียนบ่อยำงวทิ ยำ บอ่ ยำง ลำนสกั ลำนสัก 10. โรงเรียนหนองฉำงวทิ ยำ หนองฉำง หว้ ยคต ห้วยคต 11. โรงเรียนบำ้ นทุ่งนำวิทยำ เขำบำงแกรก 12. โรงเรียนทงุ่ โพวทิ ยำ เขำกวำงทอง 13. โรงเรียนบำ้ นไรว่ ิทยำ บ้ำนบึง 14. โรงเรยี นกำรุ้งวิทยำคม เมืองกำรงุ้ 15. โรงเรยี นทองหลำงวทิ ยำคม คอกควำย 16. โรงเรยี นหนองจอกประชำนุสรณ์ หนองจอก 17. โรงเรยี นวงั หนิ วทิ ยำคม วงั หิน 18. โรงเรยี นลำนสกั วิทยำ ปำ่ ออ้ 19. โรงเรียนรอ่ งตำทีวทิ ยำ ลำนสัก 20. โรงเรยี นหว้ ยคตพิทยำคม สุขฤทัย 21. โรงเรียนสมอทองปทีปพลผี ลอปุ ถมั ภ์ ทองหลำง
31 ตำรำงท่ี 2.1 ชือ่ โรงเรยี นโครงการโรงเรียนคุณภาพประจาตาบล ระดบั มัธยมศกึ ษา จำนวน 26 โรง ท่ี โรงเรียน ตาบล อาเภอ จงั หวดั หมำยเหตุ 1 พระบำงวิทยำ หนองกระโดน เมืองนครสวรรค์ นครสวรรค์ 2 โกรกพระ บำงมะฝ่อ โกรกพระ นครสวรรค์ 3 พยหุ ะพทิ ยำคม พยหุ ะ พยหุ ะคีรี นครสวรรค์ 4 เขำทองพิทยำคม เขำทอง พยหุ ะครี ี นครสวรรค์ 5 หนองบวั หนองบวั หนองบวั นครสวรรค์ 6 ไพศำลีพทิ ยำ ไพศำลี ไพศำลี นครสวรรค์ 7 ทำ่ ตะโกพทิ ยำคม ดอนคำ ทำ่ ตะโก นครสวรรค์ 8 ชมุ แสงชนทู ิศ พิกลุ ชมุ แสง นครสวรรค์ 9 เกำ้ เลยี้ ววิทยำ เกำ้ เลี้ยว เกำ้ เลย้ี ว นครสวรรค์ 10 ตำคลีประชำสรรค์ ตำคลี ตำคลี นครสวรรค์ 11 ตำกฟ้ำวชิ ำประสทิ ธิ์ ตำกฟำ้ ตำกฟำ้ นครสวรรค์ 12 ลำดยำววิทยำคม สระแกว้ ลำดยำว นครสวรรค์ 13 เทพศำลำประชำสรรค์ ศำลเจำ้ ไก่ต่อ ลำดยำว นครสวรรค์ 14 ห้วยนำ้ หอมวิทยำคำร ชมุ ตำบง ชมุ ตำบง นครสวรรค์ 15 แมว่ งก์พิทยำคม แมว่ งก์ แมว่ งก์ นครสวรรค์ 16 บรรพตพสิ ัยพทิ ยำคม ทำ่ งิว้ บรรพต นครสวรรค์ 17 พทุ ธมงคลวิทยำ อุทัยใหม่ เมือง อทุ ัยธำนี 18 ทพั ทนั อนุสรณ์ ทัพทัน ทัพทนั อุทัยธำนี 19 ตลุกดวู่ ทิ ยำคม ตลกุ ดู่ ทัพทนั อทุ ัยธำนี 20 สว่ำงอำรมณ์วิทยำคม สวำ่ งอำรมณ์ สวำ่ งอำรมณ์ อุทยั ธำนี 21 หนองขำหยำ่ งวิทยำ หนองขำหย่ำง หนองขำหย่ำง อทุ ยั ธำนี 22 หนองฉำงวทิ ยำ หนองฉำง หนองฉำง อุทยั ธำนี 23 บำ้ นทงุ่ นำวิทยำ เขำบำงแกรก หนองฉำง อทุ ัยธำนี 24 ลำนสกั วทิ ยำ ป่ำออ้ ลำนสัก อุทยั ธำนี 25 บำ้ นไร่วิทยำ บำ้ นบึง บำ้ นไร่ อทุ ัยธำนี 26 หว้ ยคตพทิ ยำคม สขุ ฤทัย ห้วยคต อทุ ัยธำนี
32 ตำรำงท่ี 3 แสดงจำนวนโรงเรียนและนกั เรียน จังหวดั นครสวรรค์ 32,060 คน จงั หวัดอุทัยธำนี 11,858 คน ลำดับ โรงเรยี น จำนวนนกั เรยี น จำนวนหอ้ งเรียน 81 1 นครสวรรค์ 3,425 75 12 2 สตรนี ครสวรรค์ 2,982 22 60 3 บำ้ นแก่งชชั วลติ วทิ ยำ 349 10 15 4 พระบำงวิทยำ 700 13 63 5 นวมนิ ทรำชทู ิศ มัชฌิม 2,452 18 9 6 บงึ บอระเพ็ดวิทยำ 152 19 9 7 โกรกพระ 468 6 27 8 ทับกฤชพฒั นำ 385 15 7 9 ชมุ แสงชนทู ศิ 2,252 12 29 10 เก้ำเล้ยี ววทิ ยำ 542 45 18 11 หัวดงรำชพรหมำภรณ์ 205 34 46 12 พยุหะพิทยำคม 687 7 70 13 เขำทองพิทยำคม 267 11 9 14 เขำกะลำวทิ ยำคม 91 15 บรรพตพสิ ัยพิทยำคม 1,067 16 หนองกรดพทิ ยำคม 554 17 รฐั รำษฎรอ์ นสุ รณ์ 206 18 วังเมอื งชนประสิทธ์ิวิทยำคม 178 19 เทพศำลำประชำสรรค์ 1,024 20 ลำดยำววทิ ยำคม 1,743 21 แม่วงก์พทิ ยำคม 473 22 หว้ ยนำ้ หอมวิทยำคำร 1,147 23 หนองบวั 1,795 24 วังบ่อวทิ ยำ 236 25 ตำคลปี ระชำสรรค์ 2,660 26 จนั เสนเอ็งสวุ รรณอนสุ รณ์ 374 27 หนองโพพทิ ยำ 248
ลำดบั โรงเรยี น จำนวนนกั เรยี น 33 28 ทหำรอำกำศอนุสรณ์ 570 จำนวนหอ้ งเรยี น 29 ลำดทพิ รสพิทยำคม 103 30 ช่องแคพิทยำคม 209 20 31 ทำ่ ตะโกพิทยำคม 1,652 6 32 พนมรอกวทิ ยำ 364 11 33 ไพศำลพี ทิ ยำ 1,157 47 34 ตะคร้อพิทยำ 381 12 35 วังข่อยพิทยำ 266 33 36 ตำกฟ้ำวชิ ำประสทิ ธ์ิ 978 12 37 อดุ มธญั ญำประชำนเุ ครำะห์ 232 9 38 ทัพทนั อนุสรณ์ 740 32 39 สว่ำงอำรมณ์วทิ ยำคม 506 10 40 หนองฉำงวทิ ยำ 2,400 22 41 อุทยั วิทยำคม 1,883 16 42 หนองเตำ่ วิทยำ 116 66 43 ตลุกดวู่ ิทยำคม 507 53 44 บอ่ ยำงวิทยำ 246 11 45 บำ้ นทุ่งนำวิทยำ 352 17 46 พทุ ธมงคลวิทยำ 409 11 47 ทุง่ โพวิทยำ 116 12 48 หนองขำหยำ่ งวิทยำ 293 13 49 กำญจนำภิเษกวทิ ยำลัย อทุ ัยธำนี 250 11 50 บำ้ นไรว่ ิทยำ 1,544 13 51 กำรุ้งวิทยำคม 426 18 52 ทองหลำงวิทยำคม 234 41 53 หนองจอกประชำนุสรณ์ 248 14 54 วงั หนิ วิทยำคม 196 8 55 ลำนสกั วทิ ยำ 709 12 56 ร่องตำทวี ิทยำ 290 10 23 11
34 ลำดบั โรงเรยี น จำนวนนกั เรยี น จำนวนหอ้ งเรยี น 57 หว้ ยคตพทิ ยำคม 421 15 58 สมอทองปทีปพลีผลอุปถัมภ์ 96 6 44,556 1,337 รวม หมำยเหตุ ขอ้ มูล ณ วนั ท่ี 23 เมษำยน 2563 ตำรำงที่ 4 แสดงจำนวนศกึ ษำนิเทศก์ 11 คน ไดแ้ ก่ ท่ี ช่ือ – สกลุ ตำแหนง่ 1. นำยสำยชล ทองฤทธิ์ ผอู้ ำนวยกำรกลุ่มนิเทศ ฯ ศึกษำนเิ ทศก์ชำนำญกำรพิเศษ 2. นำงวริ ะดำ แก่นกระโทก ศึกษำนิเทศก์ชำนำญกำรพิเศษ 3. นำงสมั พรรณ ถวิลไทย ศกึ ษำนิเทศกช์ ำนำญกำรพิเศษ 4. นำงเมตตำ ถวิลไทย ศกึ ษำนิเทศก์ชำนำญกำรพเิ ศษ 5. นำงวชิ ริ ตำ วรธำดำสวสั ดิ์ ศึกษำนเิ ทศกช์ ำนำญกำรพิเศษ 6. นำงสำวรชั นีวรรณ์ คำเฉลียว ศึกษำนเิ ทศกช์ ำนำญกำรพเิ ศษ 7. นำงอัจฉรำ ทิวำพรภำนุกลู ศึกษำนเิ ทศก์ชำนำญกำรพเิ ศษ 8. นำงมณฑิรำ บุตโยธี ศกึ ษำนเิ ทศก์ชำนำญกำรพเิ ศษ 9. นำงสำวอมรรัตน์ มำลำ ศกึ ษำนิเทศกช์ ำนำญกำรพเิ ศษ 10. นำยคมกฤช แผนเสือ ศกึ ษำนเิ ทศกช์ ำนำญกำร 11. นำยวชั รพฐั มะธติ ะโน ศกึ ษำนิเทศก์ชำนำญกำร
35 ผลกำรทดสอบ(O-NET) ภำพรวมของ สพท. ผลกำรทดสอบทำงกำรศึกษำระดบั ชำติข้ันพนื้ ฐำน O-NET ชน้ั มธั ยมศกึ ษำปีท่ี 3 ช้นั มธั ยมศกึ ษำปีที่ 6 ปีกำรศึกษำ 2562 ระดับเขตพื้นที่ ระดับสงั กดั สพฐ. ระดบั ประเทศ คะแนนกำรทดสอบทำงกำรศกึ ษำระดบั ชำตขิ ้นั พนื้ ฐำน (O-Net) ปีกำรศกึ ษำ 2562 ชั้นมธั ยมศึกษำปที ี่ 3 เปรียบเทยี บระหว่ำงระดับเขตพ้นื ทีก่ บั ระดบั ประเทศ รำยกลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้ สำระกำรเรยี นรู้ คะแนนเฉล่ยี ผลต่ำง ระดบั เขตพนื้ ท่ี ระดบั ประเทศ ภำษำไทย 55.52 55.14 0.38 ภำษำองั กฤษ 33.11 33.25 -0.14 คณติ ศำสตร์ 27.69 26.73 0.96 วทิ ยำศำสตร์ 30.19 30.07 0.12 เฉล่ยี 4 กลุม่ สำระ 36.62 36.29 0.33 คะแนนกำรทดสอบทำงกำรศกึ ษำระดับชำติข้ันพน้ื ฐำน (O-Net) ปีกำรศกึ ษำ 2562 ช้ันมธั ยมศึกษำปที ี่ 6 เปรยี บเทียบระหวำ่ งระดบั เขตพน้ื ที่กับระดับประเทศ รำยกลมุ่ สำระกำรเรียนรู้ สำระกำรเรียนรู้ คะแนนเฉลี่ย ผลตำ่ ง ระดับเขตพ้ืนท่ี ระดับประเทศ ภำษำไทย 41.51 42.21 -0.70 สังคมศกึ ษำ 35.49 35.70 -0.21 คณติ ศำสตร์ 25.25 25.41 -0.16 วิทยำศำสตร์ 29.25 29.20 0.05 ภำษำอังกฤษ 28.12 29.20 -1.08 เฉล่ีย 5 กลุ่มสำระ 31.92 32.34 -0.42
36
37
38
39
40
41
Search