Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยในชั้นเรียน 1-62

วิจัยในชั้นเรียน 1-62

Published by แฮมเตอร์ ทานตะวัน, 2021-05-17 09:21:19

Description: วิจัยในชั้นเรียน 1-62

Search

Read the Text Version

โรงเรียนชุมชนบ้านหัวขัว สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาขอนแก่น เขต 2 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน

ก ช่ือเร่ือง การพฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคาพน้ื ฐานภาษาองั กฤษ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ผู้วจิ ยั นางสาวพรรัตน์ พาเช้ือ ปี การศึกษา 2562 บทคดั ยอ่ การวจิ ยั ในคร้ังน้ีเป็นการวจิ ยั เชิงทดลอง โดยใชร้ ูปแบบ One Group Pretest- posttest Design มีวตั ถุประสงค์เพ่ือ 1) เพื่อพฒั นาแบบฝึ กทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาพ้ืนฐาน กลุ่มสาระการ เรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ทีม่ ีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนก่อนและหลงั การใชแ้ บบฝึกทกั ษะ การอ่านและการเขยี นสะกดคาพ้นื ฐาน กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั มธั ยมศกึ ษา ปี ท่ี 1 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ประชากรที่ใชใ้ นการวจิ ยั เป็นช้นั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ปี การศึกษา 2562 จานวน 45 คน เรียนโดยใช้แบบฝึ กทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาพ้ืนฐาน ภาษาองั กฤษ เครื่องมือท่ีใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูล ไดแ้ ก่ 1) แบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียน สะกดคาพ้ืนฐานภาษาอังกฤษ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 2) แบบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมีลกั ษณะเป็ น แบบทดสอบปรนัยชนิด 4 ตวั เลือก ดาเนินการทดลองโดยให้กลุ่มตวั อย่างทดสอบก่อนเรียน แลว้ จึงให้ เรียนโดยใชบ้ ทเรียนสาเร็จรูป เม่ือเรียนจบแลว้ ใหน้ กั เรียนทาแบบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนแลว้ จึงนาผล ไปวเิ คราะห์และทดสอบสมมติฐาน สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล คอื ร้อยละ คา่ เฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที (t-test) ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. แบบฝึ กทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาพ้ืนฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากบั 88.60/86.83 2. นกั เรียนทเี่ รียนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคาพ้นื ฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ างสถิติที่ระดบั .01

สารบญั หน้า บทท่ี ก บทคดั ยอ่ 1 1. บทนา 3 3 ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา 3 วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั 4 ขอบเขตของการวจิ ยั 4 4 เน้ือหา 4 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 5 ตวั แปรที่ใชใ้ นการวจิ ยั 6 สมมตฐิ านการวจิ ยั นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 7 ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั 18 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 19 2. เอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง 21 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 22 สาระการเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ 24 จติ วทิ ยาการสอนภาษาองั กฤษ 24 ความหมายของการอ่าน 24 จุดม่งหมายในการอ่าน 25 ประเภทของการอ่าน 27 การสอนอ่านออกเสียง 27 การวดั และประเมินผลดา้ นการอ่าน 30 ความหมายและความสาคญั ของแบบฝึกทกั ษะ หลกั การสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ รูปแบบของแบบฝึกทกั ษะ ลกั ษณะของแบบฝึกทกั ษะทด่ี ี แนวคดิ /ทฤษฎีที่เกี่ยวกบั การสอนทกั ษะการอ่านโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ

สารบัญ (ต่อ) หน้า บทท่ี 31 31 งานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง 32 งานวจิ ยั ในประเทศ งานวจิ ยั ต่างประเทศ 34 34 3. วธิ ีดาเนินการวจิ ยั 36 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 36 เครื่องมือและวธิ ีการสร้างเคร่ืองมือ 36 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 38 สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 38 39 4. ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล สญั ลกั ษณ์ท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 40 ลาดบั ข้นั ตอนในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 40 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 40 41 5. สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 41 วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั 42 ขอบเขตของการวจิ ยั สรุปผลการวจิ ยั อภิปรายผลการวจิ ยั ขอ้ เสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก

บทที่ 1 บทนา ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา ภาษานบั วา่ เป็นสิ่งสาคญั และจาเป็นอยา่ งยงิ่ ต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ เพราะภาษาเป็น ท้งั มวล ประสบการณ์และเคร่ืองมือในการติดตอ่ สื่อสารระหวา่ งมนุษย์ ถา้ ขาดสื่อสาคญั น้ีแลว้ มนุษยค์ งไมส่ ามารถ รวมกนั เป็ นสงั คมได้ ภาษาจงึ เป็ นเครื่องมือสื่อสารที่สาคญั ท่ที าใหค้ นเขา้ ใจกนั ภาษา คอื การฟัง การพดู การอ่าน และการเขียน มนุษยอ์ าศยั ทกั ษะท้งั 4 ประการ สรา้ งเสริมสติปัญญาและความรูส้ ึกนึกคิดพฒั นา อาชีพและพฒั นาบคุ ลิกภาพ รวมท้งั อ่ืนๆอกี มากใหก้ บั ตนเองและสงั คม ดว้ ยเหตผุ ลดงั กล่าวภาษาจงึ มี บทบาทและความสาคญั สาหรับบุคคลทุกคนของชาติ (วรรณี โสมประยรู . 2537 : 16) ภาษาองั กฤษนบั วา่ เป็นภาษาสากลของโลก ทท่ี ุกคนใหค้ วามสาคญั อยา่ งยงิ่ เพราะต้งั แต่ ในอดีต จนถึงปัจจบุ นั ภาษาองั กฤษมีความสาคญั และความจาเป็ นทตี่ อ้ งใช้ โดยเฉพาะการตดิ ต่อส่ือสารไม่วา่ จะเป็ น ดา้ นการเขยี นหรือการพดู อีกท้งั ยงั เขา้ มาเกี่ยวขอ้ งในชีวติ ประจาวนั เช่น ส่ิงของ เครื่องใช้ ยารักษาโรค รายการวทิ ยุ โทรทศั น์ อินเทอร์เน็ต (internet) สารเคมีท่ใี ชใ้ นการเกษตร เป็ นตน้ และในปัจจุบนั น้นั การ ส่ือสารยงิ่ ตอ้ งใชเ้ ครื่องมือทีท่ นั สมยั และรวดเร็ว เพอื่ การตดิ ตอ่ สื่อสารกนั ทว่ั โลก ภาษาองั กฤษทแี่ ทรกตวั อยกู่ บั การใชเ้ คร่ืองมือเหล่าน้นั ถา้ ผใู้ ชเ้ คร่ืองมือในการสื่อสาร ไม่มีความรู้ทางดา้ นภาษาดงั กล่าว ยอ่ มทา ใหเ้ กิดปัญหาการส่ือสารติดขดั ล่าชา้ นอกจากน้ีภาษาองั กฤษยงั แทรกอยตู่ ามสื่อตา่ งๆ ทพ่ี บเห็นไดท้ วั่ ไป ซ่ึงทกุ คนตอ้ งเรียนรูแ้ ละสมั ผสั อยทู่ ุกวนั ฉะน้นั การเรียนภาษา จงึ มีความจาเป็ นอยา่ งยง่ิ ท่ที ุกคนตอ้ งเรียนรู้ ถา้ มีโอกาส ดว้ ยเหตนุ ้ีจึงจาเป็นที่ประเทศไทยตอ้ งพฒั นาบคุ ลากรในประเทศใหม้ ีความรู้ ความสามารถใน การใชภ้ าษาองั กฤษ เพอ่ื จะไดเ้ ขา้ ใจสามารถส่ือสาร รู้จกั เลือกรบั สารสนเทศท่มี ีประโยชน์ แลว้ นาไปใชใ้ น การพฒั นาการเรียนรู้ การประกอบอาชีพ ตลอดจนนาภาษาองั กฤษไปใชไ้ ดถ้ ูกตอ้ ง อนั จะเป็นการพฒั นา ประเทศต่อไป จะเห็นไดจ้ าก แผนพฒั นาการศึกษาแห่งชาตฉิ บบั ท่ี 8 (พ.ศ.2540 – 2544) ไดร้ ะบุ วสิ ยั ทศั น์ของการศึกษา หรือการศึกษาทีพ่ งึ ประสงคใ์ นอนาคตไวว้ า่ “ตอ้ งพฒั นาคนไทยใหม้ ีความรู้ ความสามารถ และทกั ษะที่จาเป็นตอ่ การดารงชีวติ ในยคุ โลกาววิ ฒั น์ เช่น มีความรูภ้ าษาต่างประเทศเป็ น อยา่ งดี โดยเฉพาะวชิ าภาษาองั กฤษ” (สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2539) หลกั สูตร ภาษาองั กฤษ พ.ศ. 2539 ระบจุ ุมุ่งหมายของการเรียนการสอนภาษาองั กฤษวา่ “เพอื่ ใหม้ ีความสามารถใน การฟัง พดู อ่าน และเขียน เพอ่ื ใชใ้ นการสื่อสารและการแสวงหาความรู้” (กรมวชิ าการ, 2539) จาก ความสาคญั ดงั กล่าวรัฐจึงกาหนดใหภ้ าษาต่างประเทศ เป็ น 1 ใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรูพ้ ้นื ฐานทีผ่ เู้ รียน ทกุ คนตอ้ งเรียนรูต้ ามหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน กาหนดใหม้ ี การเรียนการสอนภาษาองั กฤษเป็น ภาษาตา่ งประเทศทุกช่วงช้นั การเรียนภาษาตา่ งประเทศตอ้ งอาศยั กระบวนการคดิ และการฝึกฝนการใช้

2 ภาษาส่ือสารในสถานการณ์ตา่ งๆ ท้งั ในและนอกหอ้ งเรียน เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รียนนาภาษาไปใชใ้ น สถานการณ์จริง ท้งั ภาษาพดู และภาษาเขยี นใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ เหมาะสมกบั กาลเทศะ และ สงั คมวฒั นธรรมของการใชภ้ าษาน้นั ๆ นอกจากน้นั ยงั ตอ้ งเนน้ ความสามารถในการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ที่เรียนเพอื่ เป็นเคร่ืองมือในการคน้ หาความรู้ในการเรียนวชิ าอื่นๆ และในการศึกษาต่อ รวมท้งั การประกอบอาชีพ (สานกั งานทดสอบทางการศึกษา, 2546) การอ่านเป็นกระบวนการเรียนรู้อยา่ งหน่ึงท่จี ะตอ้ งดาเนินการจดั กิจกรรมใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรู้จาก ประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบตั ิใหท้ าได้ คิดเป็ น ทาเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่ รูอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง (พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. 2542 : 24) การอ่านเป็ นเคร่ืองมือสาคญั ในการศกึ ษา คน้ ควา้ หาความรู้ คนทม่ี ีทกั ษะในการอ่านยอ่ มไดเ้ ปรียบ สามารถนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั เช่น การคน้ ควา้ หาความรู้เพมิ่ เตมิ จากส่ิงพมิ พต์ า่ งๆ (สนิท ต้งั ทว.ี 2426 : 35) จึงเห็นไดว้ า่ ผทู้ ี่มีนิสยั รกั การอ่านและมี ทกั ษะในการอ่านยอ่ มแสวงหาความรูแ้ ละศึกษาเล่าเรียนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพสามารถนาความรูท้ ีไ่ ดจ้ าก การอ่านไปใชใ้ นการพดู และการเขยี นไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ไวทแ์ มน (Wiseman 1992: 2) กล่าววา่ การสอนอ่าน ภาษาองั กฤษใหแ้ ก่นกั เรียนทม่ี ีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนภาษาองั กฤษต่าน้นั ครูควรจะหาทกั ษะการอ่าน ภาษาองั กฤษในดา้ นการใชโ้ ครงสรา้ งทางภาษาและการหาความหมายของคาศพั ทอ์ ีกดว้ ย เพราะความรู้ใน เรื่องดงั กล่าว เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ท่จี ะช่วยให้ผอู้ ่านประสบความสาเร็จในการอ่านเพอ่ื ความเขา้ ใจได้ แต่ นกั เรียนกลุ่มดงั กล่าวจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองไดใ้ นเรื่องเหล่าน้ี ส่วนข้นั ตอนของ ฮาดเลย์ (Hadley. 1996 : 195-200) ไดก้ ล่าววา่ การฝึกหดั การอ่านเป็ นเร่ืองจาเป็นสาหรับนกั เรียนท่เี รียนภาษาองั กฤษเป็ นภาษา ทสี่ องหรือเป็ นภาษาตา่ งประเทศ การสอนทกั ษะการอ่านควรสอนหลงั จากทน่ี กั เรียนไดอ้ ่านเน้ือหาท้งั หมด ไปแลว้ และสอนเฉพาะโครงสร้างทางภาษาและการหาความหมายของคาศพั ทท์ ีจ่ าเป็ นตอ่ การอ่านเน้ือหา ดงั กล่าวเทา่ น้นั จากการศกึ ษาการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาองั กฤษ พบวา่ ทกั ษะการอ่านมีปัญหาหลาย ประการ มีนกั การศกึ ษาและผทู้ เ่ี กี่ยวขอ้ งหลายๆ คนไดพ้ ยายามแกไ้ ข ปรบั ปรุงและพฒั นาประสิทธิภาพการ อ่าน เช่น ธิดารกั ดาบพลอ่อน (2542: บทคดั ยอ่ ) ไดพ้ ฒั นาแบบฝึกเสริมทกั ษะ การอ่านภาษาองั กฤษ เพอื่ จบั ใจความช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2541 โรงเรียนกุดบากราษฎร์บารุง สังกดั สานกั งานการประถมศึกษากดุ บาก จงั หวดั สกลนคร จานวน 30 คน ผลการศึกษาพบวา่ แบบฝึกเสริม ทกั ษะการอ่านจบั ใจความภาษาองั กฤษมีประสิทธิภาพ 80.26/79.08 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑม์ าตรฐาน 75/75 ท่ีต้งั ไว้ และผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .01 นอกจากน้ี ดวงสมร อปราชิตา (2547: บทคดั ยอ่ ) ไดศ้ ึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนบทเรียนการ สอนภาษาองั กฤษดว้ ยหนงั สือการ์ตูน สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1 โรงเรียนทา่ เรือพทิ ยาคม อาเภอ ท่ามะกา จงั หวดั กาญจนบุรี พบวา่ บทเรียนการสอนอ่านภาษาองั กฤษดว้ ยหนงั สือการ์ตนู มีประสิทธิภาพ เทา่ กบั 83.75/80.43 สูงกวา่ เกณฑท์ ตี่ ้งั ไว้ 80/80 นกั เรียนทเี่ รียนโดยใชบ้ ทเรียนการสอนอ่านภาษาองั กฤษดว้ ย หนงั สือการ์ตูนมีคะแนนหลงั การเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั 0.01

3 จากการศกึ ษาสภาพปัญหาการเรียนการสอนภาษาองั กฤษในช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนมธั ยม วดั สิงห์ พบวา่ นกั เรียนไม่สามารถอ่านและเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษได้ คนทอ่ี ่านไดก้ ็มีจานวนนอ้ ยมาก จึง เป็นปัญหาส่งผลใหน้ กั เรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนภาษาองั กฤษต่า ดว้ ยเหตนุ ้ี ผวู้ จิ ยั จงึ สรา้ งแบบฝึกทกั ษะ การอ่านและการเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษช้นั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ เพอื่ ใชใ้ นการ สอนอ่านและเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษ ซ่ึงจะทาใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึนและเพอื่ เป็ นแนว ทางการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาองั กฤษใหม้ ีประสิทธิภาพต่อไป วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั 1. เพอ่ื พฒั นาแบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ใหม้ ีคุณภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพอื่ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทาการเรียนก่อนการใชแ้ บบฝึกกบั หลงั การใชแ้ บบฝึกทกั ษะ การอ่านและการเขยี นสะกดคาภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ขอบเขตของการวิจัย 1. ด้านเนื้อหา การพฒั นาการอ่านภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ โดยใช้ แบบฝึกทกั ษะการอ่านและเขยี นสะกดคาภาษาองั กฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ มีท้งั หมด 10 เล่ม ดงั น้ี 1. Fun with body vocabularies . 2. Fun with family vocabularies. 3. Fun with occupation vocabularies . 4. Fun with animal vocabularies . 5. Fun with fruit vocabularies . 6. Fun with food vocabularies . 7. Fun with vegetable vocabularies . 8. Fun with weather vocabularies . 9. Fun with transportation vocabularies . 10. Fun with sport vocabularies . 2. ประชากรละกลุ่มตวั อย่าง ประชากรท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ในเรื่องน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ปี การศึกษา 2562 จานวน 45 คน กลุ่มตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ปี การศกึ ษา 2562 จานวน 45 คน ซ่ึงไดม้ าโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling)

4 3. ตวั แปรทว่ี ิจยั 3.1 ตวั แปรตน้ ไดแ้ ก่ การสอนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคา ภาษาองั กฤษ 3.2 ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธ์ิดา้ นการอ่านและการเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษ ของ นกั เรียนนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ สมมตฐิ านการวจิ ัย นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั ทไี่ ดร้ ับการจดั การเรียนรู้โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการ อ่านและการเขยี นสะกดคาภาษาองั กฤษ มีทกั ษะในการอ่านและเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษดีข้นึ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ทักษะการอ่านและการเขยี นสะกดคาภาษาองั กฤษ หมายถึง ความสามารถในการอ่านและ การเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั 2. แบบฝึ กทกั ษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนท่ใี ชฝ้ ึกทกั ษะกบั ผเู้ รียน เพอื่ ฝนใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจ รวมท้งั เกิดความชานาญในเร่ืองการอ่านและการเขยี นสะกดคาภาษาองั กฤษที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้นึ ประกอบดว้ ย 1. Fun with body vocabularies . 2. Fun with family vocabularies. 3. Fun with occupation vocabularies . 4. Fun with animal vocabularies . 5. Fun with fruit vocabularies . 6. Fun with food vocabularies . 7. Fun with vegetable vocabularies . 8. Fun with weather vocabularies . 9. Fun with transportation vocabularies . 10. Fun with sport vocabularies . 3. นักเรียน หมายถึง นกั เรียนที่กาลงั ศึกษาอยใู่ นช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ปี การศกึ ษา 2562 สานกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 1 4. ประสิทธิภาพของแบบฝึ กทกั ษะ หมายถึง เกณฑท์ ี่ใชใ้ นการกาหนดประสิทธิภาพของ แบบฝึกทกั ษะการอ่านศพั ทภ์ าษาองั กฤษโดยผวู้ จิ ยั ต้งั เกณฑไ์ ว้ 80/80 คือ 80 ตวั แรก หมายถึง ผลรวมเฉล่ียของคะแนนจากการนาแบบทดสอบระหวา่ งเรียนของ นกั เรียนไดถ้ ูกตอ้ ง คดิ เป็นรอ้ ยละ 80 80 ตวั หลงั หมายถึง ผลรวมเฉลี่ยของคะแนนจากการทาแบบทดสอบหลงั เรียนของนกั เรียน ไดถ้ ูกตอ้ ง คดิ เป็นร้อยละ 80

5 5. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน หมายถงึ แบบทดสอบทีใ่ ชว้ ดั ความรูภ้ าษาองั กฤษ หลงั จากทเี่ รียนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 โรงเรียน มธั ยมวดั สิงห์ ที่ผวู้ จิ ยั สรา้ งข้นึ เป็นแบบทดสอบแบบ 4 ตวั เลือก ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ 1. ไดแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นคาภาษาองั กฤษ สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงหเ์ พอื่ ใหค้ รูผูส้ อนใชใ้ นการจดั กิจกรรมเพอ่ื พฒั นาทกั ษะกระบวนการอา่ นและการเขยี น สะกดคาภาษาองั กฤษ 2. นาขอ้ คน้ พบที่ไดจ้ ากการวจิ ยั คร้ังน้ีไปประยกุ ตใ์ ชเ้ ป็ นแนวทางในการสอนอ่านออกเสียงและ การเขยี นสะกดคาภาษาองั กฤษ เพอ่ื เพมิ่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษของนกั เรียนใหส้ ูงข้นึ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย การวจิ ยั คร้งั น้ีผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการศึกษาการพฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคา ภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ โดยใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะ ตาม แผนภมู ิแสดงกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ดงั น้ี ตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตาม 1. Fun with body vocabularies . ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดา้ นการอ่านและ 2. Fun with family vocabularies. การเขยี นสะกดคาภาษาองั กฤษ ของ 3. Fun with occupation vocabularies . นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1/7 4. Fun with animal vocabularies . 5. Fun with fruit vocabularies . 6. Fun with food vocabularies . 7. Fun with vegetable vocabularies . 8. Fun with weather vocabularies . 9. Fun with transportation vocabularies . 10. Fun with sport vocabularies . แผนภูมแิ สดงกรอบแนวคดิ ในการวิจัย

6 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้อง ในการศกึ ษาเอกสารงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การพฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคา ภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียน ผวู้ จิ ยั ไดค้ น้ ควา้ เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง โดยลาดบั เน้ือหาที่เป็นสาระสาคญั ดงั ต่อไปน้ี 1. เอกสารเกี่ยวกบั การเรียนการสอนภาษาองั กฤษ 1.1 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 สาระการเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ 1.2 จิตวทิ ยาการสอนอ่านภาษาองั กฤษ 2. เอกสารที่เกี่ยวขอ้ งกบั การอ่านและการเขยี น 2.1 ความหมายของการอ่าน 2.2 จุดมุ่งหมายในการอ่าน 2.3 ประเภทของการอ่าน 2.4 การสอนอ่านออกเสียง 2.5 การวดั และประเมินผลดา้ นการอ่าน 3. เอกสารเก่ียวกบั การสอนภาษาองั กฤษโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 4. แนวคดิ และทฤษฎีท่ีเกี่ยวกบั การสอนทกั ษะการอ่านวชิ าภาษาองั กฤษโดยใชแ้ บบฝึก ทกั ษะ 5. งานวจิ ยั ท่เี กี่ยวขอ้ ง 5.1 งานวจิ ยั ในประเทศ 5.2 งานวจิ ยั ตา่ งประเทศ 1. เอกสารเกย่ี วกับการเรียนการสอนภาษาองั กฤษ 1.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ วิสัยทัศน์ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน มุ่งพฒั นาผเู้ รียนทุกคน ซ่ึงเป็ นกาลงั ของชาติใหเ้ ป็ นมนุษยท์ ี่ มีความสมดุลท้งั ดา้ นร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็ นพลเมืองไทยและเป็ นพลโลก ยดึ มน่ั ใน การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นประมุข มีความรู้และทกั ษะพ้นื ฐาน รวมท้งั เจตคติ ทจ่ี าเป็นต่อการศึกษาตอ่ การประกอบอาชีพและการศกึ ษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเนน้ ผเู้ รียนเป็ นสาคญั บน พ้นื ฐานความเชื่อวา่ ทกุ คนสามารถเรียนรูแ้ ละพฒั นาตนเองไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ

7 หลักการ หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน มีหลกั การทีส่ าคญั ดงั น้ี 1. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาเพอ่ื ความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสาหรับพฒั นาเดก็ และเยาวชนใหม้ ีความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพ้นื ฐานของความ เป็นไทยควบคูก่ บั ความเป็ นสากล 2. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาเพอ่ื ปวงชน ท่ีประชาชนทกุ คนมีโอกาสไดร้ ับการศกึ ษาอยา่ งเสมอภาค และมี คุณภาพ 3. เป็นหลกั สูตรการศึกษาทส่ี นองการกระจายอานาจ ใหส้ งั คมมีส่วนร่วมในการจดั การศึกษา ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถ่ิน 4. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาทม่ี ีโครงสรา้ งยดื หยนุ่ ท้งั ดา้ นสาระการเรียนรู้ เวลาและการจดั การเรียนรู้ 5. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาท่เี นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั 6. เป็นหลกั สูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศยั ครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ จุดหมาย หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน มุ่งพฒั นาผเู้ รียนใหเ้ ป็ นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศกั ยภาพในการศึกษาตอ่ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็ นจุดหมายเพอื่ ใหเ้ กิดกบั ผเู้ รียน เม่ือจบ การศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน ดงั น้ี 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมทพ่ี งึ ประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวนิ ยั และปฏิบตั ิตน ตามหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนบั ถือ ยดึ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคดิ การแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยี และมีทกั ษะชีวติ 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสยั และรักการออกกาลงั กาย 4. มีความรกั ชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยดึ มน่ั ในวถิ ีชีวติ และการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข 5. มีจติ สานึกในการอนุรักษว์ ฒั นธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาสิ่งแวดลอ้ ม มี จิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างส่ิงท่ีดีงามในสงั คม และอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ งมีความสุข สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน และคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ในการพฒั นาผเู้ รียนตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน มุ่งเนน้ พฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีคุณภาพ ตามมาตรฐานทก่ี าหนด ซ่ึงจะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคญั และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ดงั น้ี สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน มุ่งใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดงั น้ี

8 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน มุ่งพฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เพอื่ ให้ สามารถอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ื่นในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดงั น้ี 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 2. ซื่อสตั ยส์ ุจริต 3. มีวนิ ยั 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง 6. มุ่งมนั่ ในการทางาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจติ สาธารณะ นอกจากน้ี สถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคเ์ พ่มิ เติมใหส้ อดคลอ้ งตามบริบท และจุดเนน้ ของตนเอง สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 1 ภาษาเพ่ือการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตีความเร่ืองท่ีฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเห็นอยา่ งมี เหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทกั ษะการส่ือสารทางภาษาในการแลกเปล่ียนขอ้ มลู ขา่ วสาร แสดงความรู้สึก และความ คิดเห็นอยา่ งมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอขอ้ มลู ข่าวสาร ความคดิ รวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องตา่ งๆ โดยการพดู และการเขยี น สาระท่ี 2 ภาษาและวฒั นธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งภาษากบั วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา และนาไปใช้ ไดอ้ ยา่ ง เหมาะสมกบั กาลเทศะ มาตรฐาน ต 2.2 เขา้ ใจความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งภาษาและวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษากบั ภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม สาระท่ี 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกล่มุ สาระการเรียนรู้อ่ืน

9 มาตรฐาน ต 3.1 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการเชื่อมโยงความรูก้ บั กลุ่มสาระการเรียนรูอ้ ่ืน และเป็นพน้ื ฐาน ในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทศั น์ของตน สาระท่ี 4 ภาษากับความสัมพันธ์กบั ชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ท้งั ในสถานศึกษา ชุมชน และสงั คม มาตรฐาน ต 4.2 ใชภ้ าษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพน้ื ฐานในการศกึ ษาต่อ การประกอบอาชีพ และการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กบั สงั คมโลก ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 1 ภาษาเพ่ือการส่ือสาร มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตีความเร่ืองท่ีฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเห็น อยา่ งมี เหตุผล ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. ปฏิบตั ิตามคาสง่ั คาขอร้อง และ คาสง่ั และคาขอรอ้ งทใ่ี ชใ้ นหอ้ งเรียน ภาษาท่าทาง คาแนะนางา่ ยๆ ทฟ่ี ังและอา่ น และคาแนะนาในการเล่นเกม การวาดภาพ หรือการ ทาอาหารและเคร่ืองด่ืม - คาสงั่ เช่น Look at the…/here/over there./ Say it again./ Read and draw./ Put a/an…in/on/under a/an…/ Don’t go over there. etc. - คาขอร้อง เช่น Please take a queue./ Take a queue, please./ Can/Could you help me, please? etc. - คาแนะนา เช่น You should read everyday./ Think before you speak./ คาศพั ทท์ ่ีใชใ้ น การเล่นเกม Start./ My turn./ Your turn./ Roll the dice./ Count the number./ Finish./ คาบอกลาดบั ข้นั ตอน First,… Second,… Next,… Then,… Finally,… etc.

2. อ่านออกเสียงประโยคขอ้ ความ 10 และบทกลอนส้นั ๆ ถูกตอ้ งตาม หลกั การอ่าน ประโยค ขอ้ ความ และบทกลอน การใชพ้ จนานุกรม หลกั การอ่านออกเสียง เช่น - การออกเสียงพยญั ชนะตน้ คาและพยญั ชนะทา้ ยคา - การออกเสียงเนน้ หนกั -เบา ในคาและกลุ่มคา - การออกเสียงตามระดบั เสียงสูง-ต่า ในประโยค - การออกเสียงเชื่อมโยง (linking sound) ในขอ้ ความ - การออกเสียงบทกลอนตามจงั หวะ ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 3. ระบ/ุ วาดภาพ สญั ลกั ษณ์ หรือ กลุ่มคา ประโยคผสม ขอ้ ความ สญั ลกั ษณ์ เคร่ืองหมายตรงตามความหมายของ เครื่องหมาย และความหมายเกี่ยวกบั ตนเอง ประโยคและขอ้ ความส้นั ๆ ทฟ่ี ัง หรือ ครอบครวั โรงเรียน ส่ิงแวดลอ้ ม อาหาร เครื่องดื่ม อ่าน เวลาวา่ งและนนั ทนาการ สุขภาพและสวสั ดิการ การ ซ้ือ-ขาย และลมฟ้าอากาศ และเป็นวงคาศพั ทส์ ะสม ประมาณ ๗5๐-๙5๐ คา (คาศพั ทท์ เี่ ป็นรูปธรรมและ นามธรรม) 4. บอกใจความสาคญั และตอบ ประโยค บทสนทนา นิทาน หรือเรื่องส้นั ๆ คาถามจากการฟังและอา่ นบทสนทนา คาถามเกี่ยวกบั ใจความสาคญั ของเร่ือง เช่น ใคร และนิทานงา่ ยๆ หรือ เร่ืองส้นั ๆ ทาอะไร ทีไ่ หน เม่ือไร - Yes/No Question เช่น Is/Are/Can…? Yes,…is/are/can./ No,…isn’t/aren’t/can’t. Do/Does/Can/Is/Are...? Yes/No… etc. - Wh-Question เช่น Who is/are…? He/She is…/They are… What…?/Where…? It is …/They are…

11 สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการส่ือสาร มาตรฐาน ต 1.2 มีทกั ษะการส่ือสารทางภาษาในการแลกเปล่ียนขอ้ มูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคดิ เห็นอยา่ งมีประสิทธิภาพ ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. พดู /เขยี นโตต้ อบในการส่ือสาร บทสนทนาที่ใชใ้ นการทกั ทาย กล่าวลา ขอบคุณ ระหวา่ งบคุ คล ขอโทษ ชมเชย การพดู แทรกอยา่ งสุภาพ ประโยค/ ขอ้ ความท่ใี ชแ้ นะนาตนเอง เพอื่ น และบคุ คลใกลต้ วั และสานวนการตอบรับ เช่น Hi/ Hello/ Good morning/ Good afternoon/ Good evening/ I am sorry./ How are you?/ I’m fine. Thank you. And you?/ Hello. I am…/ Hello,…I am… This is my sister. Her name is… /Hello,…/ Nice to see you. Nice to see you too./ Goodbye./ Bye./ See you soon/later./ Good/Very good./ Thanks./ Thank you./ Thank you very much./ You’re welcome./ It’s O.K. etc. 2. ใชค้ าสง่ั คาขอรอ้ ง คาขออนุญาต คาสง่ั คาขอร้อง คาแนะนาทมี่ ี 1-2 ข้นั ตอน และใหค้ าแนะนางา่ ยๆ 3. พดู /เขยี นแสดงความตอ้ งการ คาศพั ท์ สานวน และประโยคทีใ่ ชบ้ อกความตอ้ งการ ขอความช่วยเหลือ ตอบรบั และปฏเิ สธ ขอความช่วยเหลือ ตอบรบั และปฏิเสธการใหค้ วาม การใหค้ วามช่วยเหลือในสถานการณ์ ช่วยเหลือ เช่น Please…/ May…?/ I need…/ Help ง่ายๆ me!/ Can/ Could…?/ Yes,.../No,… etc.

12 ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. พดู /เขียนเพอ่ื ขอและใหข้ อ้ มลู คาศพั ท์ สานวน และประโยคท่ใี ชข้ อและใหข้ อ้ มูล เก่ียวกบั ตนเอง เพอ่ื น ครอบครวั และ เก่ียวกบั ตนเอง เพอ่ื น ครอบครวั และเรื่องใกลต้ วั เช่น เรื่องใกลต้ วั What do you do? I’m a/an… What is she/he? …is a/an (อาชีพ) How old/tall…? I am… Is/Are/Can…or…? …is/are/can… 5. พดู /เขียนแสดงความรู้สึกของ Is/Are…going to…or…? …is/are going to… ตนเองเกี่ยวกบั เร่ืองตา่ งๆ ใกลต้ วั และ etc. กิจกรรมตา่ งๆ พรอ้ มท้งั ใหเ้ หตผุ ล ส้นั ๆ ประกอบ คาและประโยคทใ่ี ชแ้ สดงความรูส้ ึก เช่น ชอบ ไม่ ชอบ ดีใจ เสียใจ มีความสุข เศร้า หิว รสชาติ เช่น I’m…/He/She/It is…/You/We/They are… I/You/We/They like…/He/She likes…because… I/You/We/They love…/He/She loves…because… I/You/We/They don’t like/love/feel…because… He/She doesn’t like/love/feel…because… I/You/We/They feel…because… etc.

13 สาระที่ 1 ภาษาเพ่ือการส่ือสาร มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอขอ้ มูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องตา่ งๆ โดยการพดู และการเขียน ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. พดู /เขียนใหข้ อ้ มูลเก่ียวกบั ตนเอง ประโยคและขอ้ ความทีใ่ ชใ้ นการใหข้ อ้ มูลเก่ียวกบั และเรื่องใกลต้ วั บุคคล สตั ว์ สถานที่ และกิจกรรมตา่ งๆ เช่น ขอ้ มลู ส่วนบุคคล เร่ืองตา่ งๆ ใกลต้ วั จานวน 1-5๐๐ ลาดบั ท่ี วนั เดือน ปี ฤดูกาล เวลา สภาพดินฟ้าอากาศ อารมณ์ ความรูส้ ึก สี ขนาด รูปทรง ท่ีอยขู่ องส่ิง ต่างๆ เคร่ืองหมายวรรคตอน 2. เขียนภาพ แผนผงั และแผนภมู ิ คา กลุ่มคา ประโยคท่ีแสดงขอ้ มูลและความหมายของ แสดงขอ้ มูลตา่ งๆ ตามที่ฟังหรืออ่าน เร่ืองตา่ งๆ ภาพ แผนผงั แผนภมู ิ ตาราง 3. พดู แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ประโยคทีใ่ ชใ้ นการพดู แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั เรื่องต่างๆ ใกลต้ วั กิจกรรมหรือเร่ืองต่างๆ ใกลต้ วั สาระท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งภาษากบั วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา และนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ ง เหมาะสมกบั กาลเทศะ ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. ใชถ้ อ้ ยคา น้าเสียง และกิริยาทา่ ทาง การใชถ้ อ้ ยคา น้าเสียง และกิริยาท่าทาง ตามมารยาท อยา่ งสุภาพ ตามมารยาทสงั คมและ สงั คมและวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา เช่น การ วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา ขอบคุณ ขอโทษ การใชส้ ีหนา้ ท่าทางประกอบการ พดู ขณะแนะนาตนเอง การสมั ผสั มือ การโบกมือ การ แสดงความรูส้ ึกชอบ/ไม่ชอบ การกล่าวอวยพร การ แสดงอาการตอบรบั หรือปฏิเสธ

14 ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 2. ตอบคาถาม/บอกความสาคญั ของ ขอ้ มูลและความสาคญั ของเทศกาล/วนั สาคญั /งาน เทศกาล/วนั สาคญั /งานฉลองและชีวติ ฉลองและชีวติ ความเป็ นอยขู่ องเจา้ ของภาษา เช่น ความเป็นอยงู่ า่ ยๆ ของเจา้ ของภาษา วนั คริสตม์ าส วนั ข้นึ ปี ใหม่ วนั วาเลนไทน์ เครื่องแต่งกาย ฤดูกาล อาหาร เครื่องด่ืม 3. เขา้ ร่วมกิจกรรมทางภาษาและ กิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรม เช่น การเล่นเกม วฒั นธรรมตามความสนใจ การรอ้ งเพลง การเล่านิทาน บทบาทสมมุติ วนั ขอบคุณพระเจา้ วนั คริสตม์ าส วนั ข้ึนปี ใหม่ วนั วาเลนไทน์ สาระท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.2 เขา้ ใจความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งภาษาและวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษากบั ภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. บอกความเหมือน/ความแตกตา่ งระหวา่ ง ความเหมือน/ความแตกต่างระหวา่ งการออก การออกเสียงประโยค เสียงประโยคชนิดตา่ งๆ ของเจา้ ของภาษากบั ชนิดต่างๆ การใชเ้ ครื่องหมาย ของไทย วรรคตอน และการลาดบั คา (order) ตาม การใชเ้ คร่ืองหมายวรรคตอนและการลาดบั คา โครงสร้างประโยค ของภาษาต่างประเทศและ ตามโครงสร้างประโยคของภาษาตา่ งประเทศ ภาษาไทย และภาษาไทย 2. บอกความเหมือน/ความแตกต่างระหวา่ ง ความเหมือน/ความแตกตา่ งระหวา่ งเทศกาล เทศกาลและงานฉลอง และงานฉลองของเจา้ ของภาษากบั ของไทย ของเจา้ ของภาษากบั ของไทย

15 สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั กล่มุ สาระการเรียนรู้อ่ืน มาตรฐาน ต 3.1 ใชภ้ าษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็ นพ้นื ฐานใน การพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทศั น์ของตน ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. คน้ ควา้ รวบรวมคาศพั ทท์ เี่ กี่ยวขอ้ ง การคน้ ควา้ การรวบรวม และการนาเสนอคาศพั ทท์ ี่ กบั กลุ่มสาระการเรียนรูอ้ ่ืน และ เกี่ยวขอ้ งกบั กลุ่มสาระการเรียนรูอ้ ื่น นาเสนอดว้ ยการพดู / การเขยี น สาระท่ี 4 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั ชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ท้งั ในสถานศกึ ษา ชุมชน และสงั คม ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง การใชภ้ าษาในการฟัง พดู และอ่าน/เขียนใน ม.1 1. ฟัง พดู และอ่าน/เขียนใน สถานการณ์ต่างๆ ทีเ่ กิดข้นึ ในหอ้ งเรียน สถานการณ์ต่างๆ ทีเ่ กิดข้ึนใน หอ้ งเรียนและสถานศกึ ษา สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพนั ธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.2 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศเป็นเคร่ืองมือพ้นื ฐานในการศกึ ษาต่อ การประกอบอาชีพ และการ แลกเปล่ียนเรียนรูก้ บั สงั คมโลก ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการสืบคน้ การใชภ้ าษาต่างประเทศในการสืบคน้ และการ และรวบรวมขอ้ มูลตา่ งๆ รวบรวมคาศพั ทท์ ่เี ก่ียวขอ้ งใกลต้ วั จากส่ือและแหล่ง การเรียนรู้ตา่ งๆ จากการศกึ ษาแนวทางการจดั การเรียนรูก้ ลุ่มสาระการเรียนรูส้ าระภาษาตา่ งประเทศช่วงช้นั ท่ี 2 (ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 4-6) สรุปไดว้ า่ การจดั การเรียนการสอนน้นั ตอ้ งจดั ใหส้ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ อง วชิ า โดยเนน้ การฝึกภาษาเพอ่ื การส่ือสาร ใชภ้ าษาง่ายๆ ในสถานการณ์ต่างๆ มุ่งใหผ้ เู้ รียนสามารถเขา้ ใจ เร่ืองราวและวฒั นธรรมอนั หลากหลายของประชาคมโลก สามารถเช่ือมโยงความรู้กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้ อ่ืนได้ และตอ้ งรูว้ ธิ ีการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซ่ึงนาไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวติ 1.2 จิตวิทยาการสอนภาษาองั กฤษ เสงย่ี ม ไตรตั น์ (2543) ไดแ้ บ่งจิตวทิ ยาการเรียนรูภ้ าษาองั กฤษ ออกเป็ นดงั น้ี

16 1. การเรียนรูภ้ าษาเป็นขบวนการท่ีวบั ซอ้ น ตอ้ งอาศยั ความคุน้ เคยกบั ทกั ษะต่างๆ การทีท่ กั ษะจะดีหรือไม่ดีข้นึ อยกู่ บั องคป์ ระกอบยอ่ ยของแต่ละทกั ษะ เมื่อนกั เรียนมีความสามารถ แตล่ ะ ทกั ษะตา่ งๆ เป็นอยา่ งดี กห็ มายถึงความสามารถใชภ้ าษาเพอื่ การส่ือสารไดด้ ีดว้ ย 2. แรงจูงใจเป็นสิ่งสาคญั ในการเสริมแรง และเป็นการสรา้ งความเขา้ ใจใน การเรียนภาษาการใหค้ าชมเชย รางวลั การจดั สภาพหอ้ งเรียนท่ีส่งเสริมบรรยากาศทางการเรียนจะช่วยให้ นกั เรียนพฒั นาการใชภ้ าษาอยา่ งดี 3. การจดั กิจกรรมในหอ้ งเรียน มุ่งใหน้ กั เรียนเกิดความรู้สึกถึงความสาเร็จ ความมน่ั ใจและความปลอดภยั ในการเรียน 4. การฝึกภาษาควรจะฝึกใชใ้ หเ้ หมือนสภาพความจริงในชีวติ ประจาวนั เพอ่ื นกั เรียนจะไดเ้ ล็งเห็นประโยชน์ของการเรียน 5. การทบทวนส่ิงที่เรียนมาแลว้ อยา่ งสม่าเสมอจะช่วยใหน้ กั เรียนจดจาไดน้ าน 6. การบทวน การฝึกหดั ควรคานึงถึงเวลา และช่วงความสนใจของการเรียนดว้ ย 7. การเร่ิมตน้ เน้ือหาใหม่ ควรจะสมั พนั ธแ์ ละสอดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มและ ประสบการณ์ของนกั เรียน เพอ่ื ใหน้ กั เรียนเชื่อมโยงความรูใ้ หม่กบั ความรู้เก่าไดด้ ี ทิพวลั ย์ มาแสง (2532) ไดเ้ สนอแนะวธิ ีสอนตามหลกั จิตวทิ ยา ไวด้ งั น้ี 1. การเรียนรู้ทจ่ี ะเกิดข้ึนไดเ้ มื่อส่ิงท่เี รียนสมั พนั ธก์ บั แรงจงู ใจ ความตอ้ งการและ ประสบการณ์ 2. การสอนเน้ือหาใหม่น้นั ควรสอนต้งั แตง่ ่ายไปหายากตามลาดบั 3. การฝึกและการทาซ้าๆ จะทาใหผ้ เู้ รียนเกิดการจา ความแม่นยา และคล่องแคล่ว ในการใชภ้ าษา 4. ในขณะทาการสอน ควรแสดงการยอมรบั ขอ้ ถูกตอ้ งและขอ้ ผดิ พลาดของผเู้ รียน โดยครูจะตอ้ งบอกใหท้ ราบทนั ที อาจจะดว้ ยอาการ ท่าทางหรือคาพดู วา่ คาถามน้นั ถูกตอ้ งหรือไม่ 5. การเรียนรู้จะเกิดข้ึนไดเ้ ร็วข้ึน ถา้ สิ่งท่ีเรียนมีความหมายในดา้ นวฒั นธรรมหรือ สภาพสงั คม การสร้างบทเรียนทมี่ ีแบบฝึกทมี่ ีประโยชน์ มีความหาย และนกั เรียนสามารถนาไปใชน้ กั เรียน จะเรียนไดเ้ ร็วและจาไดเ้ ร็วข้นึ 6. ควรใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้ถึงระดบั ของทกั ษะทางภาษาวา่ สิ่งใด เกิดข้ึนก่อนและ หลงั (ฟัง พดู อ่าน เขียน) 7. ความสามารถในการเรียนภาษา จะแสดงใหท้ ราบวา่ นกั เรียนควรท่จี ะเรียนภาษาใน ช้นั สูงต่อไปหรือไม่ 8. ควรสอนจากสิ่งท่ไี ม่ซบั ซอ้ น จากส่ิงท่ีรูไ้ ปหาสิ่งที่ไม่รู้ 9. ครูทราบถึงความสามารถ และความแตกตา่ งของบุคคล แตล่ ะบคุ คลมีวธิ ี การเรียน ท่ีไม่เหมือนกนั และไม่เทา่ กนั

17 10. การใชอ้ ุปกรณ์ช่วยในการสอน จะทาใหบ้ ทเรียนมีความหมาย และนกั เรียนจา บทเรียนไดง้ า่ ยยง่ิ ข้ึน กล่าวโดยสรุป จิตวทิ ยาการสอนภาษาองั กฤษ คอื ขบวนการทซี่ บั ซอ้ นท่ีผสู้ อนตอ้ งอาศยั ความคุน้ เคยกบั ทกั ษะต่างๆ เช่น แรงจูงใจ การสเริมแรง การใหค้ าชมเชย รางวลั การจดั สภาพหอ้ งเรียน สร้างบรรยากาศ ความมน่ั ใจ ความปลอดภยั นกั เรียนมีการทบทวน การฝึกหดั นกั เรียนมีการเชื่อมโยง ความรู้ใหม่กบั ความรูเ้ ก่า เรียนจากสิ่งทีง่ ่ายไปหายาก เรียนจากสิ่งทไ่ี ม่ซบั ซอ้ นไปหาสิ่งทซี่ บั ซอ้ น จากส่ิง ที่รูไ้ ปหาสิ่งทไ่ี ม่รู้ การฝึกและการทาซ้าๆ ทาใหผ้ เู้ รียนเกิดการจา ความแม่นยา และคล่องแคล่วในการใช้ ภาษา การสอนควรแสดงการยอมรบั ขอ้ ถูกตอ้ งและขอ้ ผดิ พลาดของนกั เรียนทนั ที อาจจะดว้ ยอาการ ทา่ ทาง หรือคาพดู วา่ คาถามน้นั ถูกตอ้ งหรือไม่ ครูสร้างบทเรียนท่มี ีแบบฝึกที่มีประโยชน์ มีความหมาย และนกั เรียนสามารถนาไปใช้ เรียนไดเ้ ร็วและจาไดเ้ ร็วข้นึ ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้ถึงระดบั ของทกั ษะทางภาษาวา่ สิ่งใด เกิดข้ึนก่อนและหลงั เขา้ ใจความสามารถ และความแตกตา่ งของบคุ คล ครูมีการใชอ้ ุปกรณ์ช่วย สอน และอธิบายใหน้ กั เรียนเกิดการเรียนรู้ดียงิ่ ข้ึน รู้จกั การสร้างสถานการณ์ในการสอน และทาให้ บทเรียนมีความหมาย และนกั เรียนจาบทเรียนไดง้ า่ ยยง่ิ ข้ึน 2. เอกสารเกยี่ วกบั การอ่านและการเขยี น 2.1 ความหมายของการอ่าน การอ่านเป็นทกั ษะทมี่ ีความสาคญั ในชีวติ ประจาวนั เพราะการอ่านจะทาใหไ้ ดร้ ับความรู้ ความเพลิดเพลิน ก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจแนวคดิ อารมณ์ และจินตนาการได้ นอกจากน้นั การอา่ นยงั มี บทบาทสูงสุดในการเล่าเรียนดว้ ยเหตุน้ี นกั การศึกษา นกั จติ วทิ ยา นกั ภาษาศาสตร์ หลายทา่ นใหค้ วามเห็น เกี่ยวกบั ความหมายของการอ่านไวด้ งั น้ี บนั ลือ พฤกษะวนั (2545) ไดใ้ หค้ วามหมายของการอ่านไวด้ งั น้ี 1. การอ่าน คอื การผสมเสียงของตวั อกั ษรหรือสะกดตวั ผสมคา ซ่ึงระยะหน่ึง เรียกวา่ “อ่านออก” เพอ่ื มุ่งใหอ้ ่านหนงั สือไดถ้ ูกตอ้ ง แตกฉาน ขยายประสบการณ์ในการอ่านคาโดยตรง 2. การอ่าน เป็ นการใชค้ วามสามารถในการผสมผสานของตวั อกั ษรออกเสียงเป็ น คา เป็ นประโยค ทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจความหมายของส่ิงที่อ่าน ซ่ึงผฟู้ ังฟังแลว้ รูเ้ รื่อง เรียกวา่ “อ่านได”้ 3. การอ่าน เป็นการใชเ้ ทคนิคการจารูปคา (word’s figuration) เขา้ ใจรูปประโยค แลว้ สรุปเร่ืองราว เขา้ ใจเรื่องราวท่ผี ูเ้ ขยี นส่ือความคิดมายงั ผอู้ ่าน คอื อ่านแลว้ สามารถประเมนิ ผลของส่ิงท่ี อ่านได้ เรียกวา่ “อ่านเป็ น” 4. การอ่าน เป็ นการพฒั นาความคิด โดยผอู้ ่านใชค้ วามสามารถหลายๆ ดา้ น นบั ต้งั แตก่ ารสงั เกต การจารูปคา การใชป้ ระสบการณ์เดิมมาแปลความ ตคี วาม หรือถอดความใหเ้ กิด ความเขา้ ใจเรื่องราวที่อ่านไดด้ ี ตลอดจนนาสิ่งท่ีอ่านมาใชเ้ ป็นประโยชน์ เป็ นแนวคิด แนวปฏบิ ตั ไิ ดด้ ี

18 สุปราณี ดาราฉาย และคณะ (2535), หน่วยศกึ ษานิเทศก์ กรมการฝึกหดั ครู (อา้ งถึงในนภดล จนั ทร์เพญ็ . 2534, หนา้ 73), โกชยั สาริกบุตร (2519, หนา้ 17) ไดใ้ หค้ วามหมายของ การอ่านไวเ้ หมือนกนั วา่ การอ่านเป็ นการแปลความหมายของตวั อกั ษรออกมาเป็ นความคดิ และนาความคดิ ไปใชใ้ ห้เป็นประโยชน์ ดงั น้นั หวั ใจของการอ่านอยทู่ ่คี วามเขา้ ใจความหมายของคา ประเทิน มหาขนั ธ์ (2534) และ สุขมุ เฉลยศพั ท์ (2531, หนา้ 27) ไดใ้ หค้ วามหมาย ของการอ่านไวอ้ ยา่ งสอดคลอ้ งกนั วา่ การอา่ นเป็ นกระบวนการในการคน้ หาเพอ่ื แปลความหมายของ ตวั อกั ษรหรือสญั ลกั ษณ์อ่ืนๆ ท่ีใชแ้ ทนความคิดเพอื่ เพมิ่ พนู ประสบการณ์ของผอู้ ่าน นอกจากน้ีแลว้ การอ่าน ยงั เป็นการรวบรวม การตคี วามหมาย และการประเมินความคิดเหล่าน้นั เพอ่ื ทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจแก่ผอู้ ่าน การอ่านถือเป็นองคป์ ระกอบทสี่ าคญั ท่สี ุดในดา้ นศลิ ปะเกี่ยวกบั ภาษาศาสตร์ จากทีก่ ล่าวมาท้งั หมดพอสรุปไดว้ า่ การอ่าน คอื กระบวนการในการแปลความหมายจาก ภาพ จากสญั ลกั ษณ์ต่างๆ จากตวั อกั ษร หรือเรื่องราวออกมาเป็ นความคดิ โดยอาศยั การรวบรวมและ ตีความหมายจากการอ่าน เพอื่ ใหไ้ ดม้ าซ่ึงความเขา้ ใจเป็นสาคญั และการอ่านจะประสบความสาเร็จหรือไม่ ข้ึนอยกู่ บั ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของผอู้ ่านเป็ นสาคญั 2.2 จุดมุ่งหมายในการอ่าน นกั ภาษาศาสตร์ และผเู้ ชี่ยวชาญทางดา้ นภาษาไดแ้ บง่ จุดมุ่งหมายของการอ่านออกเป็ น ขอ้ ๆ ไวด้ งั น้ี พนั ธุท์ พิ า หลายเลิศบญุ (2535) สมพร มนั ตะสูตร (2534) และชุลี อินมน่ั (2533) มีความคดิ เห็นที่สอดคลอ้ งกนั วา่ จุดม่งุ หมายของการอ่านคือ 1. อ่านเพอื่ รอบรู้ การอ่านเพอื่ รอบรู้มีวตั ถุประสงคย์ อ่ ยๆ 6 ประเดน็ คือเพอื่ หาคาตอบในสิ่งท่ี ตอ้ งการ ไดแ้ ก่ การอ่านคาแนะนา การอ่านเพอ่ื ตอบปัญหาทขี่ อ้ งใจอยกู่ ารอ่านเพอ่ื คน้ หาความรูต้ ่างๆ ท้งั โดยยอ่ และอยา่ งละเอียดการอ่านเพอื่ รับรูข้ า่ วสาร ขอ้ เทจ็ จริงการอ่านเพอื่ ศกึ ษาคน้ ควา้ เป็ นพเิ ศษ เพอื่ นาไปใชป้ ระโยชน์เร่ืองใดเร่ืองหน่ึงหรือเพอื่ เขยี นตาราวชิ าการ อ่านเพอื่ รวบรวมขอ้ มูลนามาทารายงาน ทา การวจิ ยั เผยแพร่ในหมู่นกั วชิ าการ ผสู้ นใจทวั่ ไปอนั เป็ นประโยชนแ์ ก่ส่วนรวมเป็ นการอ่านเพอ่ื ตอ้ งการรู้ ในสิ่งท่ีผอู้ ่านเป็นปัญหาหรือตอ้ งการใหค้ วามรูข้ องตนเองงอกเงยหรือตอ้ งการเพอื่ ประกอบอาชีพ การอ่าน จึงเนน้ ถึงความรู้ในวทิ ยาการแขนงต่างๆ 2. อ่านเพอ่ื ความคดิ การอ่านเพอ่ื ใหเ้ กิดความคดิ เป็นการอ่านทแี่ สดงทศั นะท่ีไดจ้ ากการอ่านวสั ดุ

19 ส่ิงพมิ พ์ ซ่ึงไดแ้ ก่ บทความ บทวจิ ารณ์ บทวจิ ยั ต่างๆ การอ่านลกั ษณะน้ีเป็ นการอ่านเพอ่ื ทาความเขา้ ใจ แนวคิดสาคญั การจดั ลาดบั ข้นั แนวความคิดของผเู้ ขียนพร้อมท้งั พจิ ารณาหาเหตผุ ลและแรงจูงใจในการเขยี น เร่ืองน้นั ข้ึนมา 3. อ่านเพอื่ ความบนั เทิง เป็ นการอ่านหนงั สือเพอ่ื การพกั ผอ่ น ผอ่ นคลายอารมณ์และเป็ นการอ่านท่ชี ่วย ใหเ้ กิดความบนั เทิงควบคูไ่ ปกบั ความคดิ ไดแ้ ก่ การอ่านหนงั สือประเภทเรื่องส้นั นิทาน นิยาย นวนิยาย บทละคร ท้งั ระดบั ท่เี ป็นวรรณกรรม หรือวรรณคดี โดยมีจุดมุ่งหมายในการอ่านเพอื่ ความเริงรมยเ์ ป็ น สาคญั 4. อ่านเพอ่ื หาความคดิ แปลกใหม่ เป็ นกระบวนการใหเ้ กิดความคดิ สร้างสรรคใ์ นตวั ผอู้ ่าน เช่น การอ่านผลการ ทดลอง การคน้ ควา้ วจิ ยั และการสเนอความคิดใหม่ในหนงั สือตา่ งๆ ซ่ึงอาจหาไดท้ ้งั จากหนงั สือสารคดี และบนั เทงิ คดี 5. การอ่านเพอ่ื ปรบั ปรุงบุคลิกภาพ เป็ นทยี่ อมรับกนั โดยทวั่ ไปวา่ การอ่านเป็นการพฒั นาความรูค้ วามคดิ และ ทศั นคติไดด้ ียงิ่ ข้ึน ผรู้ ักการอ่านจงึ เป็ นคนทนั สมยั น่าคบ สามารถท่ีจะเขา้ ร่วมสนทนากบั ทกุ ชนช้นั เพราะ รบั รู้ข่าวสารและพร้อมท่จี ะแลกเปลี่ยนความรู้ขา่ วสารกบั ผอู้ ื่นได้ เน่ืองจากการอ่านมากยอ่ มทาใหร้ ูม้ าก ทา ใหบ้ ุคคลเป็นท่ียอมรับของสงั คม เน้ือหาข่าวสารบางประการในหนงั สือจะทาใหผ้ อู้ ่านนามาปรบั ปรุง บุคลิกภาพของตนไดเ้ ป็นอยา่ งดี การอ่านจึงช่วยพฒั นาบุคลิกภาพไดเ้ ป็ นอยา่ งดี 6. อ่านเพอื่ สนองความตอ้ งการอ่ืนๆ เป็ นการอ่านทใี่ ชใ้ นการช่วยชดเชยความตอ้ งการของคนเราทย่ี งั ขาดอยู่ เช่น ความตอ้ งการความมนั่ คงในชีวติ ตอ้ งการเป็ นทีย่ อมรับของกล่มุ การอ่านจึงมีส่วนช่วยชดเชยความตอ้ งการ โดยผอู้ ่านใชห้ นงั สือในการแกป้ ัญหาของตนเองเพอื่ ขยายขอบเขตของความสนใจในสิ่งใหม่ หรือเพอ่ื สร้าง ภาพอารมณ์ท่ีตอ้ งการ เช่น เมื่อเกิดความรูส้ ึกเหน่ือย กลุม้ ใจ ผอู้ ่านมกั จะไปพ่งึ หนงั สือเบาๆ เร่ืองทเ่ี คย รูจ้ กั หรือเคยอ่านสนุกสนานมาอ่าน แต่บางคร้งั กอ็ ยากจะอา่ นเรื่องใหม่ๆ แนวทางใหม่ๆ เพอ่ื ปรบั ตวั ให้ เขา้ กบั วถิ ีการดารงชีวติ Harris and Sipay (1979) แบ่งจุดมุ่งหมายของการอ่านออกเป็น 3 ประการ คือ 1. เพอ่ื พฒั นาสมรรถภาพในการอ่าน 2. เพอื่ จบั ใจความสาคญั 3. อ่านเพอ่ื ความเพลิดเพลิน สรุปไดว้ า่ จุดมุ่งหมายของการอ่านมีมากมาย เช่น อ่านเพอื่ ความรู้ เพอ่ื ความบนั เทงิ เพอื่ หาความคดิ ที่แปลกใหม่ หรือเพอื่ ปรบั ปรุงบคุ ลิกภาพ อ่านเพอ่ื จบั ใจความ ซ่ึงแตล่ ะอยา่ งก็มีจดุ มุ่งหมายใน

20 การอ่านท่ีแตกตา่ งกนั ท้งั น้ีกข็ ้นึ อยกู่ บั ความตอ้ งการของผอู้ ่านท่ตี อ้ งการคน้ หาสิ่งท่ีเป็ นเป้าหมายในการอ่าน ในคร้ังน้นั 2.3 ประเภทของการอ่าน ทพิ วลั ย์ มาแสง (2532) และ ฉววี รรณ บุญยะกาญจน (2523, อา้ งถึงใน ลมโชย ด่านขนุ ทด, 2544) ไดแ้ บ่งประเภทของการอ่านอยา่ งกวา้ งๆ ไวด้ ว้ ยกนั 2 ประเภท คอื การอ่านในใจ (Silent Reading) และการอ่านออกเสียง (Oral Reading) 2.3.1 การอ่านในใจ (Silent Reading) การอ่านในใจ เป็นการถ่ายทอดตวั อกั ษรออกมาเป็นความคดิ โดยตรง โดยผอู้ ่านมี จุดมุ่งหมายจะจบั ใจความอยา่ งรวดเร็ว รูเ้ ร่ืองเร็ว และถูกตอ้ ง การอา่ นในใจช่วยใหเ้ ขา้ ใจเน้ือความไดเ้ ร็ว กวา่ การอ่านออกเสียง เพราะผอู้ ่านไม่ตอ้ งแบง่ สมองไวส้ าหรับการแปลงความคดิ ออกมาเป็ นเสียง เมื่อเบ่อื ก็ หยดุ พกั ได้ หลกั สาคญั ของการอ่านในใจ คือ ความแม่นยาในการจบั ตาดูตวั หนงั สือ การเคล่ือนสายตา จากคาตน้ วรรคไปสู่คาทา้ ยวรรค และการแบ่งช่วยระหวา่ งวรรคหน่ึง ผา่ นไปสู่วรรคหน่ึง ความแม่นยาใน การกวาดสายตาเป็นสิ่งทจ่ี ะตอ้ งฝึกให้เร็ว จงึ จะสามารถเกบ็ คาไดค้ รบ ทุกคา การเปล่ียนบรรทดั ตอ้ ง คล่องแคล่ว เม่ือจบยอ่ หนา้ หน่ึงควรหยดุ คิดเล็กนอ้ ย เพอ่ื สรุปความคดิ วา่ ยอ่ หนา้ ทอ่ี ่านจบลงกลา่ วถึงอะไร เน้ือความสาคญั อยทู่ ีใ่ ด 2.3.2 การอ่านออกเสียง (Oral Reading) การอ่านออกเสียง เป็นการอ่านที่ตอ้ งการความถกู ตอ้ งในเร่ืองของเสียง เสียงสูงต่า จงั หวะ การหยดุ วรรคตอนใหถ้ ูกตอ้ งชดั เจน เป็ นกระบวนการตอ่ เน่ืองระหวา่ งสายตา สมองและ การเปล่ง เสียงออกทางช่องปาก นน่ั คือ สายตาจะตอ้ งจบั จอ้ งตวั อกั ษรและเครื่องหมายตา่ งๆ ที่เขียนไวแ้ ลว้ สมอง จะตอ้ งประมวลใหเ้ ป็นถอ้ ยคา จากน้นั จึงเปล่งเสียงออกมา การอา่ นออกเสียงจะตอ้ งเกี่ยวขอ้ งกบั ผฟู้ ังดว้ ย เพราะเป็ นวธิ ีส่ือความหมายใหเ้ กิดความเขา้ ใจกนั ได้ ภารกิจของผอู้ ่านคอื อ่านสารเดิมท่มี ีผเู้ ขยี นไวแ้ ลว้ ถ่ายทอดไปสู่ผฟู้ ัง โดยท่ีจะตอ้ งพยายามรกั ษาสารเดิมเอาไวใ้ หไ้ ดอ้ ยา่ ง สมบรู ณ์ทส่ี ุด ลกั ษณะของการอ่านออกเสียงทีด่ ี สรุปไดด้ งั น้ี 1. ศึกษาเรื่องทอ่ี ่านใหเ้ ขา้ ใจเสียก่อน 2. อยา่ อ่านเร็วเกินไป หรือชา้ เกินไป 3. แบ่งประโยคเป็นขอ้ ความส้นั ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 4. ตอ้ งรู้จกั เนน้ เสียงพอเหมาะแก่เร่ือง 5. อ่านใหด้ งั พอที่จะไดย้ นิ ทว่ั ไป 6. อ่านใหค้ ล่องชดั ถอ้ ยชดั คา 7. รู้จกั วธิ ีอ่านเรื่องตามประเภทของเร่ือง ซ่ึงเรียกวา่ อ่านตบี ท

21 8. ผอู้ ่านไม่ยกหนงั สือหรือเอกสารทอี่ ่านบงั หนา้ ตนเอง 9. ผอู้ ่านควรวางสีหนา้ ใหเ้ ป็นปกติ มีอาการอนั เป็นธรรมชาติ 10. อ่านใหผ้ อู้ ื่นฟังไดท้ นั ตอ้ งไม่เอาตนเองเป็นมาตรฐาน วธิ ีวดั คุณภาพของการอ่านออกเสียง ควรอ่านหนงั สือบางตอนหนา้ ช้นั เรียน หรือ อ่านสู่กนั ฟังเป็นกลุ่มยอ่ ย ช่วยกนั วจิ ารณ์แกไ้ ข ถา้ ติชมกนั ดว้ ยความจริงใจยอ่ มรูข้ อ้ บกพร่องได้ หรือใช้ เคร่ืองบนั ทึกเสียง เพอื่ นามาฟังทบทวนคน้ หาขอ้ บกพร่องกนั ไดอ้ ยา่ งละเอียดยง่ิ ข้ึน 2.4 การสอนอ่านออกเสียง (Teaching Pronunciation) สมยศ เม่นแยม้ (2530) การสอนอ่านออกเสียงเป็ นเรื่องสาคญั มากในการสอน ภาษาองั กฤษ เนื่องจากเสียงในภาษาองั กฤษมาเหมือนกบั เสียงในภาษาไทย การออกเสียงไดถ้ ูกตอ้ งจะทาให้ พดู ภาษาองั กฤษไดด้ ีเมอ่ื ตดิ ตอ่ กบั เจา้ ของภาษาจะทาใหเ้ จา้ ของภาษาองั กฤษเขา้ ใจ ซ่ึงมีข้นั ตอนการสอน อยา่ งนอ้ ย 4 ข้นั ตอนดงั น้ี 1. ครูออกเสียงใหน้ กั เรียนฟังและเขยี นสญั ลกั ษณ์(Symbol) บนกระดานดาหรือ บตั รคา 2. การใหน้ กั เรียนแยกเสียงท่ีแตกตา่ ง (Different sound) 3. ครูออกเสียงใหน้ กั เรียน แลว้ นกั เรียนออกเสียงตาม 4. นกั เรียนออกเสียงเอง คือ อาจช้ีไปทต่ี วั อกั ษร , สญั ลกั ษณ์ หากนกั เรียน ออกเสียงผดิ ครูแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ ง 2.5 การวดั และประเมนิ ผลด้านการอ่าน เพอ่ื ใหก้ ารอ่านมีประสิทธิภาพ ครูผสู้ อนจาเป็นตอ้ งมีการวดั และประเมินผลความรู้ ความสามารถวา่ มีความกา้ วหนา้ เพยี งใดอยตู่ ลอดเวลา การวดั และประเมินผลการอ่านของเด็กจึงมีประโยชน์ มาก นพคุณ บุญมาพลิ า (2540) กล่าววา่ การประเมินผลการอ่านอยา่ งถูกตอ้ งจาเป็ นตอ้ งอาศยั เคร่ืองมือประเมินผลการอ่านต่อไปน้ี 1. การใชข้ อ้ สอบ มีท้งั แบบอตั นยั และปรนยั 2. การใชแ้ บบบนั ทึกวดั พฤตกิ รรมจากการสงั เกต การซกั ถามหรือสมั ภาษณ์ 3. เอกสารเกีย่ วกบั การสอนภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึ กทกั ษะ 3.1 ความหมายและความสาคญั ของแบบฝึ กทักษะ แบบฝึกหรือแบบฝึกหดั เป็นส่ือการเรียนการสอนประเภทหน่ึงท่ใี หน้ กั เรียนไดฝ้ ึก

22 ปฏิบตั ิเพอื่ ใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจและทกั ษะเพม่ิ เติมข้ึน ส่วนใหญห่ นงั สือเรียนจะมีแบบฝึกหดั ทา้ ย บทเรียน ในบางวชิ าแบบฝึกหดั จะมีลกั ษณะเป็นแบบฝึกปฏบิ ตั ิ (สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา แห่งชาต,ิ 2537 : 147) สนอง คาศรี (2537 : 147) กล่าววา่ แบบฝึกหดั เป็นส่ิงทีช่ ่วยใหน้ กั เรียนประสบ ผลสาเร็จในการเรียนการสอน ดงั น้นั แบบฝึกหดั จะมีลกั ษณะทก่ี ่อใหเ้ กิดความสนุกสนาน ความพอใจใน การเรียนใหก้ บั นกั เรียน ขจรี ัตน์ หงส์ประสงค์ (2534) กล่าววา่ แบบฝึกเป็ นอุปกรณ์การเรียนการสอน อยา่ งหน่ึง ท่ีครูใชฝ้ ึกทกั ษะ หลงั จากท่ีนกั เรียนไดเ้ รียนเน้ือหาจากบทเรียนแลว้ โดยสรา้ งข้นึ เพอื่ เสริมทกั ษะใหแ้ ก่ นกั เรียน มีลกั ษณะเป็นแบบฝึกหดั ทมี่ ีกิจกรรมใหน้ กั เรียนกระทา โดยมีจดุ มุ่งหมายเพอ่ื พฒั นาความสามารถ ของนกั เรียน วรสุดา บญุ ยไวโรจน์ (2536) กล่าวา่ แบบฝึกหดั เป็ นส่ือการสอนทจ่ี ดั ทาข้ึนเพอื่ ใหผ้ เู้ รียน ไดศ้ ึกษา ทาความเขา้ ใจ ฝึกฝนจนเกิดแนวคิดท่ีถูกตอ้ ง และเกิดทกั ษะในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง นอกจากน้นั แบบฝึกหดั ยงั เป็นเครื่องบ่งช้ีใหค้ รูทราบวา่ ผเู้ รียนหรือผใู้ ชแ้ บบฝึกหดั มีความรู้ ความเขา้ ใจในบทเรียนและ สามารถนาความรู้น้นั ไปใชไ้ ดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด ผเู้ รียนมีจุดเด่นท่ีควรส่งเสริมหรือจุดดอ้ ยทคี่ วรปรับปรุง แกไ้ ขตรงไหน อยา่ งไร แบบฝึกหดั จงึ เป็นเคร่ืองมือสาคญั ทค่ี รูทุกคนใชใ้ นการตรวจสอบความรู้ ความ เขา้ ใจ และพฒั นาทกั ษะของนกั เรียนในวชิ าตา่ งๆ จากความเห็นของนกั วชิ าการดงั กล่าว เกี่ยวกบั ความหมายและความสาคญั ของ แบบฝึก หรือแบบฝึกหดั จงึ พอสรุปไดว้ า่ แบบฝึกหรือแบบฝึกหดั คือ ส่ือการเรียนการสอนชนิดหน่ึงทีใ่ ชฝ้ ึกทกั ษะ ใหก้ บั ผเู้ รียนหลงั จากเรียนจบเน้ือหาในช่วงหน่ึงๆ เพอื่ ฝึกฝนให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจ รวมท้งั เกิดความ ชานาญในเรื่องน้นั ๆ อยา่ งกวา้ งขวางมากข้ึน ดงั น้นั แบบฝึกจึงมีความสาคญั ต่อผเู้ รียนไม่นอ้ ยในการที่จะ ช่วยเสริมสรา้ งทกั ษะใหก้ บั ผเู้ รียนไดเ้ กิดการเรียนรูแ้ ละเขา้ ใจไดเ้ ร็วข้ึน ชดั เจนข้ึน กวา้ งขวางข้ึน ทาใหก้ าร สอนของครูและการเรียนของนกั เรียนประสบผลสาเร็จอยา่ งมีประสิทธิภาพ 3.2 หลกั การสร้างแบบฝึ กทกั ษะ ส่ิงสาคญั ท่คี วรคานึงถึงการสรา้ งแบบฝึกคือข้นั ตอนและหลกั ในการสรา้ งซ่ึง Seel & Glasgow (1990) ไดเ้ สนอแนะไวว้ า่ ในการจดั สถานการณ์ทางการเรียนการสอนน้นั สามารถกาหนด ขอบเขตเน้ือหาจากหลกั สูตร โดยกาหนดจากหน่วยการเรียนยอ่ ย ๆ ไปสู่หน่วยการเรียนใหญ่ แตอ่ ยา่ งไรก็ ตามในการออกแบบการสอนหรือการสร้างแบบฝึกควรคานึงถึงองคป์ ระกอบดงั ตอ่ ไปน้ี 1. เน้ือหาท่ีคดั เลือกมาสรา้ งแบบฝึกตอ้ งอิงจุดประสงคร์ ายงวชิ า 2. กลวธิ ีทใ่ี ชใ้ นการสอนตอ้ งอิงทฤษฎีและผลการวจิ ยั ทมี่ ีผทู้ าไวแ้ ลว้ 3. การวดั ตอ้ งอิงพฤตกิ รรมการเรียนรู้ 4. รูจ้ กั นาเทคโนโลยมี าใชป้ ระกอบเพอ่ื ใหแ้ บบฝึกมีประสิทธิภาพและคุม้ ค่า

23 นอกจากน้ี Bock (1993) ไดเ้ สนอหลกั ในการสร้างแบบฝึกดงั น้ี 1. ก่อนทจ่ี ะสรา้ งแบบฝึกจะตอ้ งกาหนดโครงร่างคร่าว ๆ ก่อนวา่ จะเขียน แบบฝึกเก่ียวกบั เร่ืองอะไร มีจุดประสงคอ์ ยา่ งไร 2. ศกึ ษาเอกสารทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั เรื่องที่จะใชส้ ร้างแบบฝึก 3. เขยี นจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมและเน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกนั 4. จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมออกเป็นกิกรรมยอ่ ย โดยคานึงถึงความเหมาะสม ของผเู้ รียน และเรียงกิจกรรมหรืองานท่ีนกั เรียนตอ้ งปฏบิ ตั ิจากงา่ ยไปหายาก 5. กาหนดอุปกรณ์ทีจ่ ะใชใ้ นแต่ละตอนใหเ้ หมาะสมกบั แบบฝึก 6. กาหนดเวลาท่ีจะใชใ้ นแบบฝึกแต่ละตอนใหเ้ หมาะสม 7. ควรประเมินผลก่อนและหลงั นิภา เล็กบารุง (2518 อา้ งถึงใน กุศยา แสงเดช, 2545) ไดก้ ล่าวถึงหลกั ในการสรา้ ง แบบฝึกดงั น้ี 1. แบบฝึกตอ้ งแจ่มแจง้ และแน่น ครูจะตอ้ งอธิบายวธิ ีทาให้ชดั เจน นกั เรียน เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และกาหนดขอบเขตใหแ้ น่นอนไม่กวา้ งเกินไป 2. ใชภ้ าษาท่ีเขา้ ใจงา่ ย เหมาะสมกบั วยั และพ้นื ฐานความรู้ของนกั เรียน 3. แบบฝึกควรเป็นเรื่องทนี่ กั เรียนเคยเรียนมาแลว้ เพราะความรู้หรือ ประสบการณ์เดิม ยอ่ มเป็ นรากฐานของประสบการณ์ใหม่ ช่วยใหก้ ารเรียนรู้เป็ นไปไดง้ า่ ยและสะดวกข้นึ 4. ช้ีแจงใหน้ กั เรียนเขา้ ใจความสาคญั ของแบบฝึก เพอื่ ใหน้ กั เรียนมองเห็น คุณคา่ อนั เป็ นเคร่ืองเร้าใจใหน้ กั เรียนทาสาเร็จลุล่วงไปดว้ ยดี 5. ครูตอ้ งเรา้ ความสนใจของนกั เรียนใหม้ ีต่อแบบฝึกน้นั 6. ครูเป็นผตู้ ้งั ปัญหาข้นึ และเป็นปัญหาที่ไม่ยากเกินความสนใจของนกั เรียน แต่เรา้ ความอยากรูอ้ ยากเห็น และยวั่ ยใุ หน้ กั เรียนอยากแกป้ ัญหาน้นั 7. การใหน้ กั เรียนรู้เคา้ โครงก่อน จะเป็ นเครื่องเร้าใจใหน้ กั เรียนทาต่อไปจน สาเร็จ 8. เน่ืองจากนกั เรียนแตล่ ะคนมีความแตกต่างกนั แบบฝึกทกี่ าหนดใหน้ กั เรียน เก่ง นกั เรียนปานกลาง และนกั เรียนอ่อนน้นั ควรยากง่ายต่างกนั แตถ่ า้ หากใหแ้ บบฝึกอยา่ งเดียวกนั กค็ วร พจิ ารณาดา้ นคุณภาพของแบบฝึกใหแ้ ตกต่างกนั หรือใหน้ กั เรียนท่เี รียนอ่อนมีเวลาทามากกวา่ จากทีก่ ล่าวมาท้งั หมดหลกั การสร้างแบบฝึกน้นั ตอ้ งคานึงถึง หลกั สูตร จดุ ประสงคก์ าร เรียนรู้ จึงคดั เลือกเน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั สูตรและจุดประสงค์ เพอื่ นาไปสรา้ งแบบฝึก ซ่ึงจะตอ้ งมี รูปแบบทหี่ ลากหลาย และสามารถสร้างความเขา้ ใจใหก้ บั ผเู้ รียนและทีส่ าคญั อีกอยา่ งหน่ึงคอื ภาระงานและ กิจกรรมท่ีเลือกใชใ้ นแบบฝึกตอ้ งสอดคลอ้ งกบั รูปแบบการสอน

24 3.3 รูปแบบของแบบฝึ กทักษะ สมเดช สีแสง, สุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2543 อา้ งถึงใน กุศยา แสงเดช, 2545) กล่าว วา่ รูปแบบของแบบฝึกควรมีความหลากหลายเพอื่ ป้องกนั ไม่ใหผ้ เู้ รียนเกิดความเบือ่ หน่าย ไม่อยากทา และ ไดเ้ สนอรูปแบบของแบบฝึกไวด้ งั น้ี 1. แบบถูกผดิ เป็นแบบฝึกท่เี ป็ นประโยคบอกเล่าใหผ้ เู้ รียนอ่านแลว้ เลือกใส่ เครื่องหมายถูกหรือผดิ ตามดุลยพนิ ิจของผเู้ รียน 2. แบบจบั คู่ เป็ นแบบฝึกทป่ี ระกอบดว้ ยคาถามหรือตวั ปัญหาซ่ึงเป็ นตวั ยนื ไวใ้ น สดมภซ์ า้ ยมือโดยมีทวี่ า่ งไวห้ นา้ ขอ้ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเลือกหาคาตอบทก่ี าหนดไวใ้ นสดมภข์ วามือมาจบั คูก่ บั คาถามใหส้ อคลอ้ งกนั โดยใชห้ มายเลขคาตอบไปวางไวท้ ว่ี า่ งหนา้ ขอ้ คาถาม หรือจะใชโ้ ยงเสน้ 3. แบบเติมคาหรือแบบเตมิ ขอ้ ความ เป็ นแบบฝึกทม่ี ีขอ้ ความไวใ้ ห้ แตจ่ ะเวน้ ช่องวา่ งไวใ้ หผ้ เู้ รียนเตมิ คาหรือขอ้ ความทข่ี าดหายไป ซ่ึงคาทนี่ ามาเติมอาจใหเ้ ตมิ อยา่ งอิสระหรือกาหนด ตวั เลือกใหเ้ ตมิ ก็ได้ 4. แบบหลายตวั เลือก เป็ นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบ โดยมี 2 ส่วน คอื ส่วนที่เป็น คาถาม ซ่ึงจะตอ้ งเป็นประโยคคาถามที่สมบรู ณ์ชดั เจน ส่วนท่ี 2 เป็นตวั เลือก คือคาตอบซ่ึงอาจมี 3-4 ตวั เลือกก็ได้ ตวั เลือกท้งั หมดจะมีตวั เลือกท่ีถูกตอ้ งท่สี ุดเพยี งตวั เดียวส่วนทเ่ี หลือเป็ นตวั ลวง 5. แบบอตั นยั คือความเรียงเป็นแบบฝึกทมี่ ีตวั คาถาม ผเู้ รียนเขยี นบรรยายตอบ อยา่ งเสรี ไม่จากดั คาตอบ แต่จากดั ในเรื่องเวลา อาจใชใ้ นรูปคาถามทว่ั ไปหรือเป็ นคาสง่ั ใหเ้ ขยี นเร่ืองราว ต่างๆ กาหนดเวลาทจี่ ะใชใ้ นแบบฝึกแตล่ ะตอนใหเ้ หมาะสมกไ็ ด้ 3.4 ลักษณะของแบบฝึ กทักษะทีด่ ี กศุ ยา แสงเดช (2545) กล่าววา่ แบบฝึกทีด่ ีควรมีลกั ษณะดงั น้ี 1. เก่ียวขอ้ งกบั เร่ืองทีเ่ รียนมาแลว้ 2. เหมาะสมกบั วยั ระดบั ช้นั ของผเู้ รียน 3. มีคาช้ีแจงส้นั ๆ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจง่าย 4. ใชเ้ วลาท่เี หมาะสม 5. มีส่ิงที่น่าสนใจและทา้ ทายใหแ้ สดงความสามารถ 6. ควรมีขอ้ เสนอแนะในการใช้ 7. มีใหเ้ ลือกตอบอยา่ งจากดั และตอบอยา่ งเสรี 8. ถา้ เป็นแบบฝึกท่ตี อ้ งการใหผ้ เู้ รียนศึกษาดว้ ยตนเองแบบฝึกควรมีหลาย รูปแบบ 9. ควรใชภ้ าษาง่ายๆ ฝึกใหค้ ิดและสนุกสนาน นอกจากน้ี อารีย์ วาศนอ์ านวย (2545) ไดก้ ล่าววา่ แบบฝึกทดี่ ีควรมีลกั ษณะดงั น้ี

25 คือ การสรา้ งตอ้ งคานึงถึงหลกั จติ วทิ ยา ควรสร้างใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผเู้ รียนและควรจดั เน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผเู้ รียนและควรจดั เน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกบั เน้ือหาบทเรียนทเ่ี รียน มาแลว้ ท้งั น้ีตอ้ งคานึงถึงความเหมาะสมกบั วยั และความสามารถของผเู้ รียน โดยใชเ้ วลาอยา่ งเหมาะสมกบั แบบฝึกน้นั ๆ ท้งั น้ีหากจะมีคาช้ีแจงกค็ วรส้นั ๆ และใชภ้ าษาท่งี ่ายตอ่ การทาความเขา้ ใจ แบบฝึกควรมี ลกั ษณะทที่ า้ ทายความสามารถ ดึงดูดความสนใจทจี่ ะทา การสรา้ งแบบฝึกควรมีหลากหลายรูปแบบเพอ่ื ไม่ใหผ้ เู้ รียนเกิดความเบ่อื หน่าย ควรมีราคาถูกหางา่ ย สามารถนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ วรสุดา บญุ ยไวโรจน์ (2536) กล่าวแนะนาใหผ้ สู้ ร้างแบบฝึกไดย้ ดึ ลกั ษณะของ แบบฝึกทด่ี ี ไวด้ งั น้ี 1. แบบฝึกทด่ี ีควรมีความชดั เจนท้งั คาสงั่ และวธิ ีทา สง่ั หรือตวั อยา่ งแสดงวธิ ี ทาท่ีใชไ้ ม่ควรยาวเกินไป เพราะจะทาใหเ้ ขา้ ใจยาก ควรปรบั ปรุงไดง้ ่าย เหมาะสมกบั ผใู้ ช้ ท้งั น้ีเพอ่ื ให้ นกั เรียนสามารถศกึ ษาไดด้ ว้ ยตนเองไดถ้ า้ ตอ้ งการ 2. แบบฝึกทด่ี ีควรมีความหมายต่อผเู้ รียนและตรงตามจดุ มุ่งหมายของการฝึก ลงทุนนอ้ ย ใชไ้ ดน้ านและทนั สมยั อยเู่ สมอ 3. ภาษาและภาพทีใ่ ชใ้ นแบบฝึกหดั ควรเหมาะสมกบั วยั และพ้นื ฐานความรู้ ของผเู้ รียน 4. แบบฝึกหดั ท่ีดีควรแยกฝึกเป็นเร่ืองๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแตค่ วร มีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพอื่ เร้าใหน้ กั เรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบ่ือหน่ายในการทา และเพอื่ ฝึกทกั ษะ ใดทกั ษะหน่ึงจนเกิดความชานาญ 5. แบบฝึกท่ดี ีควรมีท้งั แบบกาหนดคาตอบให้ แบบใหต้ อบโดยเสรี การเลือกใชค้ า ขอ้ ความ หรือรูปภาพในแบบฝึกหดั ควรเป็นส่ิงทีน่ กั เรียนคุน้ เคย และตรงกบั ความในใจ ของนกั เรียน เพอ่ื วา่ แบบฝึกหดั ทีส่ ร้างข้นึ จะไดก้ ่อใหเ้ กิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผใู้ ช้ ซ่ึงตรงกบั หลกั การเรียนรู้ทีว่ า่ เด็กมกั จะเรียนรูไ้ ดเ้ ร็วในการกระทาท่กี ่อใหเ้ กิดความพงึ พอใจ 6. แบบฝึกหดั ทดี่ ีควรเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดศ้ กึ ษาดว้ ยตนเอง ใหร้ ู้จกั คน้ ควา้ รวบรวมส่ิงที่พบเห็นบอ่ ยๆหรือที่ตวั เองเคยใช้ จะทาใหน้ กั เรียนเขา้ ใจเร่ืองน้นั ๆมากยงิ่ ข้ึน และรูจ้ กั นา ความรูไ้ ปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง มีหลกั เกณฑแ์ ละมองเห็นวา่ ส่ิงที่เขาไดฝ้ ึกฝนน้นั มีความหมาย ต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกหดั ทดี่ ี ควรตอบสนองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ผเู้ รียนแตล่ ะ คนมีความแตกต่างในหลายๆ ดา้ น เช่น ความตอ้ งการ ความสนใจ ความพรอ้ ม ระดบั สตปิ ัญญาและ ประสบการณ์ ฯลฯ ฉะน้นั การทาแบบฝึกหดั แต่ละเรื่องควรจดั ทาใหม้ ากพอและมีทกุ ระดบั ต้งั แตง่ ่าย ปาน กลางจนถึงระดบั คอ่ นขา้ งยาก เพอ่ื วา่ ท้งั เด็กเก่ง กลางและอ่อน จะไดเ้ ลือกทาไดต้ ามความสามารถ ท้งั น้ี เพอื่ ใหเ้ ด็กทกุ คนประสบผลสาเร็จในการทาแบบฝึกหดั

26 8. แบบฝึกหดั ทดี่ ี ควรสามารถเรา้ ความสนใจของนกั เรียนไดต้ ้งั แตห่ นา้ ปกไป จนถึงหนา้ สุดทา้ ย 9. แบบฝึกหดั ทดี่ ีควรไดร้ บั การปรับปรุงควบคูไ่ ปกบั หนงั สือเรียนอยเู่ สมอและ ควรใชไ้ ดด้ ีท้งั ในและนอกหอ้ งเรียน 10. แบบฝึกหดั ที่ดีควรเป็นแบบฝึกหดั ทีส่ ามารถประเมิน และจาแนกความ เจริญงอกงามของเดก็ ไดด้ ว้ ย ขนั ธชยั มหาโพธ์ิ (2535 : 20) กล่าววา่ ลกั ษณะของแบบฝึกที่ดีควรประกอบดว้ ย 1. มีเน้ือหาท่ตี รงกบั จดุ ประสงค์ 2. กิจกรรมเหมาะสมกบั ระดบั หรือความสามารถของนกั เรียน 3. มีภาพประกอบ มีการวางฟอร์มทีด่ ี 4. มีท่วี า่ งเหมาะสมสาหรบั ฝึกเขยี น 5. ใชเ้ วลาที่เหมาะสม 6. ทา้ ทายความสามารถของผเู้ รียนและสามารถนาไปฝึกดว้ ยตนเองได้ บรู๊ค (Brook. 1964 : 212-215) ไดเ้ สนอรูปแบบฝึกไวห้ ลายชนิดท่เี ป็นประโยชน์ ในการฝึกทกั ษะทางภาษา มีดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การเลียนคา (Repetition) ฝึกโดยใหน้ กั เรียนเลียนแบบครู 2. การเปลี่ยนโครงสร้างของประโยค (Transformation) 3. การแทนทข่ี องคาโดยเปล่ียนคานามเป็นสรรพนาม (Replacement) 4. แตง่ บทโตต้ อบ (Rejoinder) ใหน้ กั เรียนแต่งประโยคโตต้ อบประโยคที่ กาหนดให้ 5. การเรียบเรียงขอ้ ความใหม่ (Restatement) หรือหาขอ้ ความมาเติม จากรูปแบบลกั ษณะของแบบฝึกทก่ี ล่าวมาขา้ งตน้ จะเห็นวา่ มีหลากหลายลกั ษณะ ผสู้ ร้างแบบฝึ ก เองจะตอ้ งเลือกรูปแบบทเ่ี หมาะสมกบั จุดประสงคใ์ นการสร้างแบบฝึกน้นั ๆวา่ เราตอ้ งการท่ีจะฝึกทกั ษะใด กบั นกั เรียน เน้ือหาสาระสาคญั ของหลกั สูตร วยั ของผเู้ รียน ท้งั น้ีจะยดึ หลกั การพฒั นาการของผเู้ รียน เพอื่ ใหไ้ ดแ้ บบฝึกทกั ษะท่มี ีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ 4. แนวคดิ และทฤษฎที ี่เกยี่ วกับการสอนทกั ษะการอ่านวชิ าภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึ กทกั ษะ การสอนอ่านโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ผวู้ จิ ยั ไดย้ ดึ ทฤษฎีการเรียนรูแ้ ละหลกั การเรียนรู้ ดงั น้ี 1. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ของ Thorndike Thorndike ไดเ้ ป็ นผูใ้ หก้ าเนิดทฤษฎีการเรียนรูท้ ีเ่ นน้ ความสมั พนั ธเ์ ช่ือมโยงระหวา่ งส่ิงเรา้ (S) กบั การตอบสนอง (R) เขาเช่ือวา่ การเรียนรู้จะเกิดข้ึนไดตอ้ งสรา้ งส่ิงเชื่อมโยงหรือพนั ธะระหวา่ งส่ิงเรา้ กบั การตอบสนอง ซ่ึงทฤษฎีการเรียนรูข้ อง Thorndike มีอยู่ 3 ขอ้ คือ

27 1) กฎแห่งความพรอ้ ม (Law of readiness) กล่าวถึงความพร้อมของผเู้ รียนท้งั ร่างกาย จิตใจ ทางร่างกาย หมายถึงความพร้อมทางวฒุ ิภาวะและอวยั วะของร่างกาย เช่น หูและตา ทางจิตใจ หมายถึงความพรอ้ มทเ่ี กิดจากความพงึ พอใจเป็นสาคญั คือถา้ เกิดความพอใจจะนาไปสู่การเรียนรู้ ถา้ ไม่เกิด ความพอใจจะทาใหก้ ารเรียนรู้หยดุ ชะงกั ไปได้ 2) กฎแห่งการฝึกหดั (Law of exercise) กล่าวถึงความมนั่ คงของการเช่ือมโยงระหวา่ ง ส่ิงเร้ากบั ตอบสนองท่ถี ูกตอ้ ง โดยการฝึกหดั ทาซ้าบ่อยๆ ยอ่ มทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ไดน้ านและคงทาถาวร 3) กฎแห่งผล (Law of effect) กล่าวถึงผลทไ่ี ดร้ บั เมื่อแสดงพฤติกรรมการเรียนรูแ้ ลว้ วา่ ถา้ ไดร้ บั ผลทพ่ี อใจ อินทรียก์ อ็ ยากจะเรียนรูต้ อ่ ไป แต่ถา้ ไดร้ ับผลทไี่ ม่พอใจ อินทรียก์ ็ไม่อยากเรียนรู้ หรือ เกิดความเบ่อื หน่ายตอ่ การเรียนรู้ จากทฤษฎีการเรียนรู้ของ Thorndike ท้งั 3 ขอ้ ดงั ทีก่ ล่าวมาน้ี ผวู้ จิ ยั ไดน้ ามาประยกุ ตใ์ ช้ ท้งั 3 ขอ้ กล่าวคอื จากกฎขอ้ ที่ 3.1 ของ Thorndike กล่าวถึง กฎแห่งความพร้อม ผวู้ จิ ยั ไดน้ าไปใชท้ ุก ข้นั ตอนของการสอนเพราะผวู้ จิ ยั เองเช่ือวา่ เด็กจะเรียนรูไ้ ดด้ ีจะตอ้ งมีความพรอ้ มก่อน ซ่ึงเป็ นประเดน็ สาคญั ทผ่ี สู้ อนทุกคนก็ตอ้ งตระหนกั กล่าวคือไม่วา่ จะเป็นข้นั นา ข้นั สอน ข้นั สรุป และข้นั วดั ผลและ ประเมินผล ผเู้ รียนจะตอ้ งมีความพรอ้ มท้งั สิ้น ส่วนกฎขอ้ ที่ 3.2 กฎแห่งการปฏิบตั ิ ผวู้ จิ ยั ก็ไดน้ ามา ประยกุ ตใ์ ชก้ บั ข้นั สอนในข้นั ตอนการฝึกปฏิบตั ิ จากกฎขอ้ ที่ 3.3 กฎแห่งผล ผวู้ จิ ยั ไดน้ าไปใช้ เช่นกนั คือ ไดน้ าไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นข้นั สรุปการสอน ไพบูลย์ เทวรักษ์ (2540) ไดก้ ล่าวถึงกฎการฝึกหดั ไวว้ า่ การฝึกหดั ใหบ้ คุ คลทากิจกรรม ตา่ งๆ น้นั ผฝู้ ึกจะตอ้ งควบคุมและจดั สภาพการใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องตนเอง บุคคลจะถูก กาหนดลกั ษณะพฤตกิ รรมที่แสดงออก ดงั น้นั ผสู้ ร้างแบบฝึกจงึ จะตอ้ งกาหนดกิจกรรมตลอดจนคาสง่ั ต่างๆ ในแบบฝึกใหผ้ ฝู้ ึกได้ แสดงพฤตกิ รรมสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคท์ ี่ผสู้ รา้ งตอ้ งการ 2. ทฤษฎีพฤตกิ รรมนยิ มของสกินเนอร์ ซ่ึงมีความเช่ือวา่ สามารถควบคุมบคุ คลใหท้ าตามความประสงค์ หรือแนวทางท่ี กาหนดไดโ้ ดยไม่ตอ้ งคานึงถึงความรูส้ ึกทางจติ ใจของบุคคลผนู้ ้นั วา่ จะรู้สึกนึกคดิ อยา่ งไร โดยมีการ เสริมแรงเป็นตวั การเมื่อบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเรา้ ควบคู่กนั ในช่วงเวลาทีเ่ หมาะสม สิ่งเร้าน้นั จะ รกั ษาระดบั หรือเพม่ิ การตอบสนองใหเ้ ขม้ ข้นึ 3. วธิ ีการสอนของกาเย่ ซ่ึงมีความเห็นวา่ การเรียนรู้มีลาดบั ข้นั และผเู้ รียนจะตอ้ งเรียนรูเ้ น้ือหาทงี่ า่ ยไปหายาก พรรณี ช.เจนจติ (2538) ไดก้ ล่าวถึงแนวคดิ ของกาเย่ ไวด้ งั น้ี การเรียนรู้มีลาดบั ข้นั ดงั น้นั ก่อนที่จะสอนเด็กแกป้ ัญหาไดน้ ้นั เดก็ จะตอ้ งเรียนรูค้ วามคิด รวบยอด หรือกฎเกณฑม์ าก่อน ซ่ึงในการสอนใหเ้ ดก็ ไดค้ วามคิดรวบยอดหรือกฎเกณฑน์ ้นั จะทาใหเ้ ดก็

28 เป็นผสู้ รุปความคดิ รวบยอดดว้ ยตนเองแทนทีค่ รูจะเป็นผบู้ อก การสรา้ งแบบฝึกจึงควรคานึงถึงการฝึก ตามลาดบั ข้นั จากงา่ ยไปหายาก โดยสรุปแลว้ ผวู้ จิ ยั ก็ไดน้ าแนวคดิ ของทฤษฎีตา่ งๆ ทีไ่ ดก้ ล่าวมาไปใชใ้ นทุกข้นั ตอน ท้งั ข้นั นา ข้นั สอน ข้นั สรุปและข้นั วดั ผลและประเมินผล ท้งั น้ีก็เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ กิดการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง และมีแรงกระตุน้ ในการท่จี ะรกั การอ่านใหม้ ากทส่ี ุด 5. งายวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วข้อง 5.1 งานวิจยั ในประเทศ วไิ ลรัตน์ วสุรีย์ (2545) ศึกษาการพฒั นาแบบฝึกเสริมทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใช้ เอกสารจริงเกี่ยวกบั ทอ้ งถ่ิน ในรายวชิ า อ 0112 สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 6 โรงเรียนพบิ ูล วทิ ยาลยั จงั หวดั ลพบรุ ี กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 45 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะ การอ่านภาษาองั กฤษโดยใชเ้ อกสารจริงเกี่ยวกบั ทอ้ งถิ่น มีคา่ เท่ากบั 87.80/80.50 2. ความสามารถในการ อ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียนหลงั การใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะ การอ่านสูงกวา่ ก่อนการใชแ้ บบฝึกอยา่ งมี นยั สาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั 0.05 และ 3. นกั เรียนมีความคดิ เห็นที่ดีต่อแบบฝึกทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษ โดยใชเ้ อกสารจริงเกี่ยวกบั ทอ้ งถิ่นที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน อรชร วงษษ์ า (2548) ไดศ้ ึกษาการพฒั นากิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระ การ เรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (วชิ าภาษาองั กฤษ) โดยใชน้ ิทานพน้ื บา้ นอีสานเป็ นส่ือ สาหรบั นกั เรียนช่วงช้นั ที่ 3 (ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2) กลุ่มเป้าหมาย จานวน 35 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ า ภาษาองั กฤษของนกั เรียนหลงั สิ้นสุดการทดลองวงจรตามแผนการจดั การเรียนรู้ โดยใชน้ ิทานพ้นื บา้ น อีสานเป็นสื่อ มีจานวนนกั เรียนท่สี อบผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 ของคะแนนเตม็ จานวน 27 คน คิดเป็นร้อย ละ 77.14 สุจิตรา ศาสตรวาหา (2541 อา้ งถึงใน รุ่งวนา สุดจติ ต,์ 2545) ไดท้ าการศกึ ษา ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 ในช้นั เรียนท่ีมีการสอนแบบ ส่ือสารโดยมีนิทานเป็ นองคป์ ระกอบ กลุ่มตวั อยา่ งคอื นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 จานวน 30 คน แบง่ เป็ นกลุ่มทดลอง 15 คน กลุ่มควบคุม 15 คน ทาการสอนแบบส่ือสารท่มี ีนิทานเป็นองคป์ ระกอบ จานวน 3 เรื่อง ในกลุ่มทดลองส่วนกลุ่มควบคุมทาการสอนตามคูม่ อื ครู นิทานท่เี ลือกใชเ้ ป็ นนิทานของชน ชาตอิ ่ืน มีการสงั เกตพฤติกรรมระหวา่ งเรียนท้งั 2 กลุ่ม ผลการวจิ ยั สรุปไดว้ า่ นกั เรียนในกลุ่มทดลองมี ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงกวา่ กลุ่มควบคุม ซ่ึงมีความแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 แสดงใหเ้ ห็นวา่ แนวทางการเรียนการสอนแบบสื่อสารโดยมีนิทานเป็ นองคป์ ระกอบ เป็ นแนวการสอนทด่ี ี มีประสิทธิภาพ ส่งผลใหน้ กั เรียนมีความกา้ วหนา้ และพฒั นาทกั ษะทางภาษาท้งั 4 ดา้ น จากการสงั เกต พฤติกรรมในขณะทีเ่ รียนพบวา่ นกั เรียนในกลุ่มทดลองมีการแสดงพฤตกิ รรมท่อี ยใู่ นเกณฑท์ ีส่ ูงกวา่ นกั เรียน ในกลุ่มควบคุม ท้งั น้ีเพราะนกั เรียนในกลุ่มทดลองมีความสนใจชื่นชอบทาใหส้ ามารถทาความเขา้ ใจเน้ือหา ทีเ่ รียนไดด้ ี

29 วไิ ลลกั ษณ์ ลาจนั ทกึ (2548) ไดศ้ กึ ษาการพฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใช้ หนงั สือการ์ตูนประกอบบทเรียนสาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1 โดยใชร้ ูปแบบการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการ ผลการวจิ ยั พบวา่ การจดั การเรียนรู้โดยใชห้ นงั สือการ์ตูนประกอบบทเรียนส่งเสริมใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรูแ้ ละ ฝึกทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษดว้ ยตนเอง มีปฏิสมั พนั ธใ์ นการช่วยเหลือกนั ในการเรียนรู้ และหนงั สือ การ์ตูนไดช้ ่วยกระตุน้ ความสนใจของนกั เรียนให้เกิดความกระตอื รือร้นและเขา้ ใจบทเรียนมากยงิ่ ข้ึน ผล การทดสอบผเู้ รียนพบวา่ นกั เรียนมีการพฒั นาทางดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษในดา้ นทกั ษะการอ่านออกเสียง คิดเป็นรอ้ ยละ 68 ของจานวนนกั เรียนท้งั หมดและดา้ นทกั ษะการอ่านในใจ นกั เรียนทกุ คนผา่ นเกณฑ์ มาตรฐานทก่ี าหนด ดา้ นความคิดเห็นพบวา่ นกั เรียนมีความคดิ เห็นสอดคลอ้ งกบั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เพอื่ พฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใชห้ นังสือการ์ตนู ประกอบบทเรียนในทกุ ๆ ดา้ น 5.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ ลอเรย์ (Lawrey. 1978 : 817-A) ไดศ้ ึกษาผลสมั ฤทธ์ิของการใชแ้ บบฝึกทกั ษะกบั นกั เรียน ระดบั 1 ถึงระดบั 3 จานวน 87 คน พบวา่ นกั เรียนที่ไดร้ ับการฝึกโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ มีคะแนนหลงั การทาแบบฝึกมากกวา่ คะแนนการทดสอบก่อนการทาแบบฝึกทกั ษะ แมคพคิ (Mcpeake. 1979 : 7199-A) ไดศ้ ึกษาผลการเรียนจากแบบฝึกอยา่ งเป็ นระบบ ต้งั แตเ่ ร่ิมศกึ ษาจนถึงความในการอ่านและเพศท่ีมีตอ่ ความสามารถในการสะกดคาของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 พบวา่ แบบฝึกช่วยปรบั ปรุงความสามารถในการสะกดคาของนกั เรียนทุกคน แตเ่ วลา 12 สปั ดาห์ไม่เพยี งพอท่ีจะทาใหเ้ กิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ ในการสะกดคาไปสู่คาใหม่ทยี่ งั ไม่ไดศ้ กึ ษา และคะแนนนกั เรียนหญิงสูงกวา่ นกั เรียนชายอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ นอกจากน้ีการอ่านยงั มีความสมั พนั ธ์ กบั ความสามารถในการสะกดคา จากการศึกษางานวจิ ยั ท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศสรุปไดว้ า่ แบบฝึกทกั ษะเป็ นสื่อการ เรียนการสอนท่สี าคญั สาหรับนกั เรียน ทาใหน้ กั เรียนสนใจบทเรียน เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ช่วย ใหผ้ เู้ รียนเรียนรูแ้ ละเขา้ ใจบทเรียนไดเ้ ร็ว ทาใหก้ ารสอนของครู การเรียนของนกั เรียนมีประสิทธิภาพและ นกั เรียนมีพฒั นาการทกั ษะทางภาษาไดด้ ียงิ่ ข้นึ

30 บทที่ 3 วธิ ีดาเนินการวิจยั ในการศกึ ษาการพฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคาภาษาองั กฤษ โดยใชแ้ บบฝึก ทกั ษะของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ซ่ึงดาเนินการวจิ ยั ในปี การศึกษา 2562 ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการวจิ ยั โดยลาดบั ข้นั ตอนดงั น้ี 1. ประชากร/กลุ่มตวั อยา่ ง 2. เครื่องมือและวธิ ีการสร้างเคร่ืองมือ 3. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 4. การจดั กระทาขอ้ มูล 5. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 6. สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล ประชากร/กลุ่มตวั อย่าง 1. ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ในเรื่องน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ปี การศึกษา 2562 แขวงบางขนุ เทียน เขตจอมทอง สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 1 จานวน 45 คน 2. ประชากรท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ในเร่ืองน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ปี การศึกษา 2562 แขวงบางขนุ เทียน เขตจอมทอง สานกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษา มธั ยมศกึ ษา เขต 1 จานวน 45 คน โดยใชว้ ธิ ีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือและวิธีการสร้างเคร่ืองมือ เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั มีดงั น้ี 1. แบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคาพ้นื ฐานภาษาองั กฤษที่ผศู้ กึ ษาสรา้ งข้ึน จานวน 10 ชุด 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนท่ผี ศู้ กึ ษาสรา้ งข้ึน จานวน 1 ชุด วิธีการสร้างและการหาคณุ ภาพของเครื่องมือ ข้นั ตอนการสรา้ งเคร่ืองมือและการหาคุณภาพของเคร่ืองมือ 1. แบบฝึ กทักษะการอ่านและการเขยี น มีข้นั ตอนในการสร้างดงั น้ี 1.1 ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลกั การจากเอกสาร และงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การสรา้ ง

31 แบบฝึกทกั ษะ 1.2 ศึกษาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ในกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 1.3 ศึกษาหลกั สูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาตา่ งประเทศ ช่วงช้นั ท่ี 3 (ม.1-3) 1.4 ศกึ ษาแนวการสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ 1.5 วเิ คราะห์เน้ือหา และผลการเรียนรูท้ ี่คาดหวงั รายปี 1.6 จดั ทาแบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี น จานวน 10 ชุด 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน มีข้นั ตอนในการสรา้ งดงั น้ี 2.1 กาหนดน้าหนกั ขอ้ สอบ 2.2 สร้างแบบทดสอบ เป็ นแบบอตั นัย ให้นักเรียนเขียนตอบซ่ึงมีคาตอบที่ถูกตอ้ งเพียง คาตอบเดียว ครอบคลุมเน้ือหาและวตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ของเน้ือหาแต่ละหน่วยการเรียน จานวน 1 ชุด การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การวจิ ยั ในคร้ังน้ีผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล โดยไดด้ าเนินการตามข้นั ตอนดงั น้ี 1. ปฐมนิเทศนกั เรียนพรอ้ มช้ีแจงวตั ถุประสงค์ 2. เก็บรวบรวมขอ้ มูลก่อนการทดลอง ผศู้ ึกษาไดน้ าแบบทดสอบก่อนเรียน จานวน 1 ชุด ให้ นกั เรียนทาการทดสอบ ใชเ้ วลา 1 ชวั่ โมง 3. เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลขณะดาเนินการทดลอง ผวู้ จิ ยั ดาเนินการสอนดว้ ยตนเองและขณะทาการสอน ผวู้ จิ ยั ไดเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูลจากการตรวจแบบฝึกทกั ษะ 4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลหลงั การทดลอง หลงั จากทาการทดลองสอนครบท้งั 10 แบบฝึก นกั เรียนทาแบบทอสอบหลงั เรียน การวเิ คราะห์ข้อมูล การวเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยนาขอ้ มูลท่ีไดม้ าหาความถ่ีแลว้ วเิ คราะห์ บรรยายเป็นความเรียง ประกอบ ตาราง โดยเปรียบเทยี บความแตกตา่ งคะแนนเฉลี่ย คา่ ร้อยละ ระหวา่ งการทดสอบคร้งั แรกกบั คร้งั หลงั ของ กลุ่มตวั อยา่ งและเปรียบเทียบคะแนนการทาแบบฝึกทกั ษะกบั คะแนนทดสอบหลงั เรียน

32 6.1 สถติ ทิ ใ่ี ช้ 1) หาคา่ เฉล่ีย (Mean) ของคะแนนใชส้ ูตร ลว้ น สายยศ และ องั คณา สายยศ (2538) x = X/N เม่ือ x แทน คะแนนเฉลี่ย  X แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด N แทน จานวนนกั เรียนในกลุ่มตวั อยา่ ง 2) หาคา่ ร้อยละ (Percentage) ใชส้ ูตร ศกั รินทร์ สุวรรณโรจน์ และคณะ (2538) คา่ รอ้ ยละ = XN  100 เม่ือ X แทน คะแนนทไี่ ด้ N แทน คะแนนเตม็ 3) หาค่าประสิทธิภาพ ใชส้ ูตร ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2537) สูตรที่ 1 E1 = X / N  A  100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ X แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหดั หรืองาน A แทน คะแนนเก็บของแบบฝึกหดั ทกุ ช้ินรวมกนั N แทน จานวนผเู้ รียน สูตรท่ี 2 E2 = F/N  B  100 เม่ือ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ F แทน คะแนนรวมของผลลพั ธห์ ลงั เรียน B แทน คะแนนเตม็ ของการสอบหลงั เรียน N แทน จานวนผเู้ รียน

33 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ในการวจิ ยั คร้ังน้ี ผวู้ ิจยั ไดส้ ร้างแบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคาพ้นื ฐานภาษาองั กฤษ สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ แลว้ ไดน้ าไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ไดว้ เิ คราะหข์ อ้ มูล และเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลตามลาดบั ดงั น้ี 1. สญั ลกั ษณ์ทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 2. ลาดบั ข้นั ตอนในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 3. ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. สัญลักษณ์ท่ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพอ่ื ใหก้ ารนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลเป็ นที่เขา้ ใจตรงกนั ไดก้ าหนดความหมายของสญั ลกั ษณ์ท่ี ใชน้ าเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลดงั น้ี N แทน จานวนนกั เรียนกลุ่มตวั อยา่ ง X แทน คะแนนเฉลี่ย  D แทน ผลบวกของผลตา่ งของคะแนนคร้งั หลงั กบั คร้งั แรก  D2 แทน ผลบวกของผลตา่ งของคะแนนคร้ังหลงั กบั คร้งั แรกทแี่ ตล่ ะตวั ยกกาลงั สอง 2. ลาดับข้นั ตอนในการวเิ คราะห์ข้อมูล 2.1 คะแนนจากการทดสอบยอ่ ยเพอื่ พฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาพน้ื ฐาน ภาษาองั กฤษ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 2.2 ผลการหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจดั การเรียนรูเ้ พอ่ื พฒั นาทกั ษะการอ่านและ การเขยี นสะกดคาพ้นื ฐานภาษาองั กฤษ

34 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 คะแนนจากการจดั การเรียนรู้เพอื่ พฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาพน้ื ฐาน ภาษาองั กฤษ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ผรู้ ายงานไดท้ าการ ทดสอบยอ่ ยทกุ ชว่ั โมงหลงั จากสอนคาศพั ทโ์ ดยใชส้ ื่อประกอบการสอนไดผ้ ลตามตาราง ดงั น้ี ตารางท่ี 1 คะแนนจากการทดสอบตามแบบฝึ กทกั ษะการอ่านและเขียนสะกดคาพนื้ ฐานภาษาอังกฤษ โดย ใช้แบบฝึ กทกั ษะ แบบฝึ กทักษะการอ่าน คะแนนเตม็ คะแนนรวม คะแนนเฉล่ยี คะแนนเฉล่ยี ร้อย ละ แบบฝึกทกั ษะ ชุดท่ี 1 10 170 8.50 85.00 แบบฝึกทกั ษะ ชุดที่ 2 10 176 8.80 88.00 แบบฝึกทกั ษะ ชุดที่ 3 10 173 8.55 85.50 แบบฝึกทกั ษะ ชุดที่ 4 10 175 8.75 87.50 แบบฝึกทกั ษะ ชุดท่ี 5 10 178 8.90 89.00 แบบฝึกทกั ษะ ชุดที่ 6 10 175 8.75 87.50 แบบฝึกทกั ษะ ชุดที่ 7 10 179 9.00 90.00 แบบฝึกทกั ษะ ชุดที่ 8 10 180 9.05 90.50 แบบฝึกทกั ษะ ชุดที่ 9 10 182 9.10 91.00 แบบฝึกทกั ษะ ชุดท่ี 10 10 184 9.20 92.00 120 1772 88.60 886 รวม 8.86 88.60 เฉล่ีย จากตารางที่ 1 พบวา่ คะแนนจากการทดสอบยอ่ ยเพอื่ พฒั นาทกั ษะการอ่านและเขียนสะกดคา พ้นื ฐานภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 มีคะแนนเฉล่ีย 8.86 จากคะแนนเตม็ 10 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ 88.60 ของคะแนนเตม็ ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑท์ ่ีต้งั ไว้

35 บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ การวจิ ยั ในคร้ังน้ี ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการพฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาพน้ื ฐาน ภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ซ่ึงสรุปได้ ดงั น้ี วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั 1. เพอ่ื พฒั นาแบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคาพน้ื ฐานภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 ใหม้ ีคุณภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพอื่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทาการเรียนก่อนการใชแ้ บบฝึกกบั หลงั การใชแ้ บบฝึกทกั ษะ การอ่านและการเขยี นสะกดคาพ้นื ฐานภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1/7 ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ในเร่ืองน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้ชั ้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ปี การศึกษา 2562 แขวงบางขนุ เทยี น เขตจอมทอง สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 1 จานวน 45 คน โดยใชว้ ธิ ีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) สรุปผลการวจิ ยั ผวู้ จิ ยั ไดส้ รุปผลการวจิ ยั ตามประเดน็ ทศ่ี กึ ษา ดงั น้ี 1. การจดั การเรียนรู้เพอื่ พฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคาภาษาองั กฤษ ของ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ทผี่ วู้ จิ ยั สร้างข้นึ มี ประสิทธิภาพ 88.60/86.83 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑท์ ่ีต้งั ไว้ 80/80 2. นกั เรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการอ่านและการเขยี นคาภาษาองั กฤษโดยรวมสูงข้ึน

36 อภปิ รายผลการวจิ ยั ผลการวจิ ยั พบวา่ การจดั การเรียนรู้เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาพ้นื ฐาน ภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1/7 โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ที่ผวู้ จิ ยั สรา้ งข้ึนมีประสิทธิภาพ 88.60/86.83 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑท์ ่ตี ้งั ไว้ หมายความวา่ นกั เรียนไดค้ ะแนนเฉลี่ยจาก การจดั การเรียนรู้เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษ คิดเป็ นรอ้ ยละ 88.60 และไดค้ ะแนนเฉลี่ยหลงั เรียนคิดเป็นรอ้ ยละ 86.83 สื่อทส่ี ร้างข้ึนมีประสิทธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ซ่ึงเป็นไปตาม สมมุตฐิ านท่ตี ้งั ไว้ ข้อเสนอแนะ ส่ือทพี่ ฒั นาน้ียงั สามารถพฒั นาต่อไปใหส้ มบรู ณ์มากข้นึ อีกโดยการวเิ คราะหก์ ระบวนการที่นามาใช้ ในการเรียนรู้และเสริมสรา้ งคุณลกั ษณะ เก่ง ดี มีสุข แก่นกั เรียนตามแนวปฏิรูปการเรียนรู้ สาหรับครูในการนาสื่อมาใชต้ อ้ งศกึ ษารายละเอียดของการใช้ ข้นั ตอนการใช้ และตอ้ งใหส้ อดคลอ้ ง กบั แผนการเรียนรู้ และควรเตรียมการสอนมาล่วงหนา้ และไม่จาเป็ นตอ้ งใชก้ ระบวน การสอนตามทกี่ ล่าวมาท้งั หมด

37 บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธิการ. กรมวิชาการ. หลักสูตรการศึกษาข้ันพืน้ ฐานพุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : องคก์ ารรบั ส่งสินคา้ และพสั ดุภณั ฑ,์ 2544. กระทรวงศกึ ษาธิการ. คู่มือสาระการเรียนรู้พืน้ ฐานภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระภาษาอังกฤษ. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พค์ ุรุสภา ลาดพร้าว, 2542. คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาต,ิ สานกั งาน. “เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ.” ในชุด การฝึ กอบรมการสอนภาษาอังกฤษช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3. กรุงเทพฯ :โรงพมิ พค์ ุรุสภา, 2540. ฉววี รรณ จอ้ ยจิตร. การพัฒนาแผนการสอนทักษะการฟังและการพูดภาษาองั กฤษ สาหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ตามแนวคู่มือการจดั กจิ กรรมการเตรียมความพร้อมภาษาอังกฤษ ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาศึกษาศาสตร์มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตร และการสอน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2541. ดวงเดือน แสงชยั . การสอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2531. ทรงสิทธ์ิ ทองจรัส. การพฒั นากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสาร ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยใช้เกม. วทิ ยานิพนธ์ ปริญญาศกึ ษาศาสตร์ มหาบณั ฑิต สาขาการประถมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2544. ทิพพดี อ่อนแสงคุณ. ส่ือการสอนภาษาองั กฤษระดบั ประถมศึกษาในกิจกรรมและส่ือการสอน ภาษาองั กฤษเพื่อการสื่อสารระดับประถมศึกษา หนา้ 6-8 , ประนอม สุรสั วดี. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2539. ธิดารัก ดาบพลอ่อน. “การพัฒนาแบบฝึ กเสริมทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจ ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6.” ปริญญานิพนธก์ ารศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการประถมศึกษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม : ถ่ายเอกสาร, 2542. บนั ลือ พฤกษะวนั . อปุ เทศการสอนภาษาไทยระดบั ประถมศึกษาแนวบูรณาการสอน. ไทยวฒั นาพานิช กรุงเพมหานคร, 2522. ปราณี ชินกลาง. การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านแลการเขยี นภาษาองั กฤษของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 ท่ีเรียนโดยการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษาและท่ีเรียนโดย การสอนตามคู่มือครู. ปริญญานิพนธ์ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, 2537. พจนุกรมภาพ. อังกฤษ ไทย จนี : บริษทั จีเนียส บคุ จากดั 28/58 สามเสนใน พญาไท.

38 กรุงเทพฯ. พติ รวลั ย์ โกวทิ วท.ี การสอนภาษาองั กฤษในระดับช้ันประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . พวงเพญ็ อินทรประวตั ิ. วธิ ีสอนภาษาอังกฤษ. สงขลา : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ, 2521. ภาวนิ ี ทอนสูงเนิน. การพฒั นาผลสัมฤทธ์กิ ารเรียนคาศัพท์ภาษาองั กฤษโดยใช้แบบฝึ กเสริมทกั ษะ คาศัพท์ภาษาอังกฤษสาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนบ้านหนองหมาก จงั หวดั นครราชสีมา. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาศกึ ษาศาสตร์มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตร และการสอน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2543. มานิต บุญประเสริฐ. “การสอนภาษาองั กฤษ”. จนั ทรเกษม. 17 (4) : 9 ; กนั ยายน 2540. รตั ตกิ าล สุทธิสวสั ด์ิกลุ . การพฒั นาทกั ษะด้านคาศัพท์ภาษาองั กฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยใช้การสอนแบบโครงงาน. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินวิโรฒ : ถ่ายเอกสาร, 2545. โรงเรียนชุมชนบา้ นหวั ขวั . หลักสูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ฉบบั ปรับปรุง คร้ังท่ี 2/2547 (ม.ป.พ.), 2547. วราพนั ธุ์ สวา่ งเนตร. การศึกษาการทดลองสอนทักษะความเข้าใจในการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้เทป โทรทัศน์ร่วมกบั เทปบันทึกเสียง เปรียบเทยี บกบั การใช้เทปบันทึกเสียงแต่เพียงอย่างเดยี ว. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาศลิ ปะศาสตร์มหาบณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหิดล, 2530. วชิ าการ, กรม. การวิจยั เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน. คร้ังที่ 1 กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพร้าว, 2545. ________. กรม. คู่มือหลักสูตรประถมศึกษา พทุ ธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533 ) กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, 2534. ________ . กรม. พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542. กรุงเทพมหานคร: คุรุสภา ลาดพร้าว, 2542. ________ . กรม. หลกั สูตรการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรุสภา ลาดพรา้ ว, 2545. ________. กรม. หลักสูตรประถมศึกษา พทุ ธศักราช 2521 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2533). พมิ พค์ ร้งั ที่ 2 .กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, 2535. สมยศ เม่นแยม้ . คู่มือครูไทยสอนภาษาองั กฤษ. (ม.ป.ท. : ม.ป.พ.), 2530. สกุลรัตน์ กมุทมาศ. กิจกรรมปฏิรูปการเรียนรู้ ผู้เรียนสาคญั ทส่ี ุด. สานกั พมิ พป์ ระสานมิตร : กรุงเทพฯ, 2546. เสมอจติ สจั จปิ ยะนิจกลุ . Basic English : สานักพิมพ์ดอกหญ้าวิชาการ, 2549. สุนียร์ ัตน์ ซงั ธาดา. ภาษาอังกฤษแนวใหม่ ป.5 : กรุงเทพ เดอะบุคส์, 2548.

39 สุปรียา มาลากาญจน์. การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. วทิ ยาลยั ครูนครศรีธรรมราช, 2528. สุภทั รา อกั ษรานุเคราะห์. การสอนทักษะภาษาองั กฤษ. กรุงเทพฯ : ภาควชิ ามธั ยมศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2529. ________. การสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาควิชาหลกั สูตรและ การสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2532. สุมิตรา องั วฒั นากุล. การสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , 2535. ________. วธิ ีสอนภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2537. ________. วิธีสอนภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2540. วนิ ยั พฒั นรฐั . แบบเรียนมาตรฐานภาษาองั กฤษ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 กรุงเทพฯ : ประสานมิตร, 2541. อรพนิ พจนานนท.์ การสอนภาษาอังกฤษเป็ นภาษาต่างประเทศในระดบั ประถมศึกษา. คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2537. อุบลวณั ณา รอนยทุ ธ.์ การสร้างและประเมนิ ประสิทธิภาพชุดเสริมทกั ษะภาษาองั กฤษสาหรับ นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษา. วทิ ยานิพนธศ์ กึ ษาศาสตร์มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตร และการสอน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2535. Carroll, Brendan J. Testing Communicative Performance. Oxford : Oxford Performance Press, 1982. Drune Donn. Teaching oral English. Essex : Longman Group UK. Ltd., 1987. Mcpeake. Poyce Guinta. TheEffects of Oricmal syatcmatit Study Worksteets, Reading Level and Sex on The Spelling Aehievement of Sixth Grads Students, Disscrtation Abstracts International. 39 ( 12 ) : 1799 – A; June, 1979. Schwendinger. James Rea, “ A Study of Modality of Inferences and Their Relationship to Spelling Achievement of Sixth Grads Students,” Resoures in Education. 12 ( 12 ) : 51; December. 1977. Scott, Roger. “Speaking” Communication in the Classroom. ed. By Keith Johnson and Keith Morrow : Longman Group Ltd., 1980. Widdowson. H. Teaching Language Communication. Oxford : Oxford University Press, 1983.

ภาคผนวก ชุดแบบฝึ กทักษะ

เล่ม 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 Name………………………………………………. No …………

คาชี้แจง 1.แบบฝึ กเสริมทกั ษะการอา่ นและเขียนคาศพั ท์ กลุ่มประสบการณ์ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 มีท้งั หมด 10 เล่ม ดงั น้ี 11. Fun with body vocabularies . 12. Fun with family vocabularies. 13. Fun with occupation vocabularies . 14. Fun with animal vocabularies . 15. Fun with fruit vocabularies . 16. Fun with food vocabularies . 17. Fun with vegetable vocabularies . 18. Fun with weather vocabularies . 19. Fun with transportation vocabularies . 20. Fun with sport vocabularies . 2. ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั เน้ือหาและกิจกรรมของแบบฝึ กแต่ละเล่มเสร็จ สมบรู ณ์ในตวั เอง ผเู้ รียนสามารถใชไ้ ดด้ ว้ ยตวั เอง 3. ผเู้ รียนสามารถประเมินตนเองดว้ ยการตรวจคาตอบจากเฉลยในภาคผนวก

คาแนะนาการใช้แบบฝึ กเสริมทักษะสาหรับนักเรียน แบบฝึ กเสริมทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาศพั ท์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ทีน่ กั เรียนกาลงั ศึกษาอยนู่ ้ี มีจุดมุ่งหมายเพือ่ ใหน้ กั เรียนไดฝ้ ึ กทกั ษะ การอา่ นและการเขียนสะกดคาศพั ท์ โดยรูจ้ กั คิดคน้ ควา้ หาคาตอบและฝึ กทกั ษะดว้ ยตนเอง 1. แบบฝึกเสริมทกั ษะเล่มน้ีเป็นแบบฝึ กเรื่องคาศพั ทเ์ ก่ียวกบั ครอบครัว มีคาศพั ท์ ท้งั หมด 10 คา มีแบบฝึก 10 แบบฝึก 2. นกั เรียนศึกษาการใชแ้ บบฝึ กเสริมทกั ษะแต่ละชุดใหเ้ ขา้ ใจก่อนลงมือปฏิบตั ิ ดงั น้ี 2.1 อ่านรายละเอยี ดของผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั ใหเ้ ขา้ ใจ 2.2 ทาแบบทดสอบก่อนเรียน 2.3 ศึกษาและทาความเขา้ ใจกบั กิจกรรมทุกข้นั ตอน 2.4 ทาแบบฝึกที่ 1- 10 อยา่ งรอบคอบ 2.5 ทาแบบทดสอบหลงั เรียน 2.6 เมื่อเสร็จกิจกรรมแลว้ ครูและนกั เรียนร่วมกนั เฉลยและอภปิ รายเก่ียวกบั คาตอบ ในแบบฝึกเสริมทกั ษะและแบบทดสอบ เพอ่ื วดั ความรู้ท่ีพฒั นาข้ึน ในเรื่องน้นั ๆ

สวสั ดคี ะ เพ่ือน ๆ ทน่ี ่ารักทุกคน วนั นเี้ รามาศึกษาคาศัพท์เกย่ี วกบั ครอบครัวนะคะ ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั เร่ือง คาศัพท์เกย่ี วกบั ครอบครัว 1. สามารถอา่ นออกเสียงคาศพั ทเ์ กี่ยวกบั ครอบครัวไดถ้ ูกตอ้ ง 2. บอกความหมายเก่ียวกบั คาศพั ทค์ รอบครัวได้ 3. สามารถเขียนคาศพั ทเ์ ก่ียวกบั ครอบครัวได้

แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรียน แบบฝึ กทกั ษะการอ่านและเขยี นคาศัพท์พืน้ ฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (องั กฤษ ) ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 1/7 ชุด Fun with family vocabularies เวลา 5 นาที 10 คะแนน ****************************************************************************** Choose the best answer. (เลือกคาตอบใหถ้ ูกตอ้ ง) 1. 6. a. sister b. aunt a. son b. brother c. mother d. uncle c. father d. uncle 2. 7. a. grandmother b. son a. sister b. grandmother c. mother d. aunt c. mother d. aunt 3. 8. a. father b. son a. sister b. son c. grandfather d. uncle c.. mother d. aunt 4. 9. a. son b. brother a. aunt b. mother c. father d. uncle c. sister d. daughter 5. 10. a. uncle b. son a. uncle b. son c. father d. brother c. son d. brother

ใบความรู้ Vocabularies Read and write vocabularies ( ฝึกอ่านเขียนคาศพั ทก์ นั นะคะ) father พอ่ mother แม่ ฟาเธอะ ป่ ,ู ตา มาเธอะ ยา่ , ยาย grandmother grandfather แกรนมาเธอะ เอียร์ แกรนดฟ์ าเธอะ brother sister บราเธอะ พีช่ าย –นอ้ งชาย ซิลเทอะ นอ้ งสาว พีส่ าว uncle องั เคิล ลุง aunt ป้า daughter อาทน์ ดอเธอะ ลูกสาว son ซนั ลูกชาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook