Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Panjit413 Sustainable Agriculture

Panjit413 Sustainable Agriculture

Published by Khun Ratchanon, 2023-06-30 02:48:00

Description: Panjit413 Sustainable Agriculture

Search

Read the Text Version

เอกสารคาํ สอน วิชา 02032413 การส่งเสริมเกษตรยงั่ ยืน (Extension of Sustainable Agriculture) โดย ผศ.ดร.พนั ธจ์ ิตต์ สีเหน่ียง ภาควิชาส่งเสริมและนิเทศศาสตรเ์ กษตร คณะเกษตร กาํ แพงแสน พฤษภาคม 2556



คาํ นํา เอกสารคาํ สอนรายวชิ า 02032413 การสง่ เสรมิ เกษตรยงั่ ยนื (Extension of Sustainable Agriculture) เรยี บเรยี งข้นึ เพ่อื เป็นเอกสารประกอบการเรยี น การสร้างพ้นื ฐานความรู้ และสรุป บทเรยี นในหวั ขอ้ ต่างๆ ใหแ้ ก่นิสติ ในรายวชิ าดงั กล่าว ตลอดจนเป็นเอกสารอ่านเพม่ิ เตมิ ใหแ้ ก่นิสติ สาขาส่งเสรมิ และนิเทศศาสตรเ์ กษตร รวมทงั้ ผูส้ นใจทวั่ ไป เน่ืองจากปจั จุบนั ปญั หาผลกระทบจาก การทําการเกษตรแบบเคมกี ่อใหเ้ กดิ ปญั หาทงั้ ทางด้านสุขภาพ สงิ่ แวดล้อม ตลอดจนกระทบต่อ เศรษฐกจิ ทงั้ ในระดบั บุคคลและสงั คมโดยรวม การทาํ เกษตรยงั่ ยนื จงึ เป็นทางเลอื กหน่ึงทก่ี าํ ลงั ไดร้ บั ความสนใจ ซ่งึ จําเป็นอย่างยงิ่ ท่นี ิสติ สาขาเกษตรจะต้องมคี วามรู้ และความเขา้ ใจเร่อื งของเกษตร ยัง่ ยืนท่ีถูกต้องก่อนการส่งเสริมเผยแพร่ให้แก่เกษตรกร โดยเอกสารเล่มน้ีมีเน้ือหาเก่ียวกับ สถานการณ์และปญั หาทางการเกษตร พฒั นาการของเกษตรยงั่ ยนื แนวคิด ความหมาย และ หลกั การของเกษตรยงั่ ยนื นโยบายทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง รูปแบบ วธิ กี าร และกระบวนการของระบบเกษตร ยงั่ ยนื พนั ธุกรรมพชื พนั ธุกรรมสตั ว์ และอธปิ ไตยเกษตรกร แนวคดิ เศรษฐกิจพอเพยี งกบั ระบบ เกษตรยงั่ ยนื ตลาดสนิ คา้ เกษตรยงั่ ยนื การส่งเสรมิ เกษตรยงั่ ยนื ตลอดจนผลของเกษตรยงั่ ยนื ต่อ การพฒั นาการเกษตรและชนบท ผเู้ รยี บเรยี งหวงั เป็นอยา่ งยงิ่ ว่าเอกสารฉบบั น้ีจะมปี ระโยชน์ และก่อใหเ้ กดิ ความรแู้ ละความ เขา้ ใจต่อแนวทางการพฒั นาการสง่ เสรมิ เกษตรแบบยงั่ ยนื พนั ธจ์ ติ ต์ สเี หน่ียง พฤษภาคม 2556

ii วิชา 02032413 การส่งเสริมเกษตรยงั่ ยืน (Extension of Sustainable Agriculture) เนื้อหารายวิชา (Course description) แนวคิด หลกั การ วิธีการ ระบบและสถานการณ์เกษตรยงั่ ยนื การส่งเสรมิ เกษตรยงั่ ยืน แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การทาํ เกษตรยงั่ ยนื ผลต่อการพฒั นาการเกษตรและชนบท จดุ ประสงคข์ องวิชา 1. เพอ่ื ใหค้ วามรดู้ า้ นเกษตรยงั่ ยนื สรา้ งแนวคดิ และระบบการผลติ แบบยงั่ ยนื ใหแ้ ก่นิสติ 2. เพ่อื ใหน้ ิสติ สามารถนําความรทู้ ไ่ี ดร้ บั ไปใชใ้ นการทาํ งานทางดา้ นการเกษตร สง่ เสรมิ และ พฒั นาการเกษตรเพ่อื ใหเ้ กดิ ความยงั่ ยนื ตลอดจนนําไปปรบั ใชก้ บั การดําเนินชวี ติ และ ชว่ ยเหลอื สงั คมตามระดบั ความสามารถทม่ี อี ยไู่ ด้ หวั ข้อวิชา (Course outline) 1. สถานการณ์การเกษตรและพฒั นาการเกษตรยงั่ ยนื 2. แนวคดิ ความหมาย และหลกั การของเกษตรยงั่ ยนื 3. นโยบายทางการเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื ในประเทศไทย 4. รปู แบบ วธิ กี าร และกระบวนการของระบบเกษตรยงั่ ยนื 5. พนั ธุกรรมพชื พนั ธุกรรมสตั ว์ และอธปิ ไตยเกษตรกร 6. แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั ระบบเกษตรยงั่ ยนื 7. ตลาดสนิ คา้ เกษตรยงั่ ยนื 8. การสง่ เสรมิ เกษตรยงั่ ยนื 9. ผลของเกษตรยงั่ ยนื ต่อการพฒั นาการเกษตรและชมุ ชนชนบท

สารบาญ iii บทท่ี 1 สถานการณ์การเกษตร และพฒั นาการเกษตรยงั่ ยนื หน้า พฒั นาการของการเกษตร 1 ปญั หาจากการทาํ การเกษตรแบบทวั่ ไป 1 ผลกระทบของการเกษตรปจั จบุ นั 3 วดี ทิ ศั น์ เรอ่ื ง ชะตากรรมเกษตรเชงิ เดย่ี ว 5 ความสาํ คญั ของเกษตรยงั่ ยนื 12 เกษตรยงั่ ยนื เพอ่ื ใคร 12 พฒั นาการของเกษตรยงั่ ยนื 13 14 บทท่ี 2 แนวคดิ ความหมาย และหลกั การของเกษตรยงั่ ยนื 18 แนวคดิ เกษตรยงั่ ยนื 18 ความหมายเกษตรยงั่ ยนื 18 องคป์ ระกอบเกษตรยงั่ ยนื 20 หลกั การเกษตรยงั่ ยนื 20 ตวั ชว้ี ดั เกษตรยงั่ ยนื 21 ตวั ชว้ี ดั ความยงั่ ยนื ทางการเกษตร 23 หลกั เกณฑก์ ารประเมนิ เทคนิคทางการเกษตร 25 ระดบั ความกา้ วหน้าของเกษตรยงั่ ยนื 27 30 บทท่ี 3 นโยบายทางการเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื ในประเทศไทย 30 การพฒั นาการเกษตรในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 1 30 31 การพฒั นาการเกษตรในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 2 31 การพฒั นาการเกษตรในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 3 31 การพฒั นาการเกษตรในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 4 32 การพฒั นาการเกษตรในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 5 32 การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื ในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 6 33 การพฒั นาการเกษตรในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 7 34 38 การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื ในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 8 39 การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื ในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 9 40 การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื ในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 10 40 การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื ในชว่ งแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 11 บทท่ี 4 รปู แบบ วธิ กี าร และกระบวนการของระบบเกษตรยงั่ ยนื เกษตรผสมผสาน

เกษตรอนิ ทรยี ์ iv เกษตรธรรมชาติ เกษตรทฤษฎใี หม่ 43 วนเกษตร 49 วดี ทิ ศั น์ เรอ่ื ง ชาวนาเงนิ ลา้ น 51 บทท่ี 5 พนั ธุกรรมพชื พนั ธุกรรมสตั ว์ และอธปิ ไตยเกษตรกร 56 ฐานทรพั ยากรกบั ระบบการผลติ อาหารของประเทศไทย 60 เรอ่ื งท่ี 1: ขา้ วสายพนั ธุ์ กข กบั ขา้ วสายพนั ธุพ์ น้ื บา้ น 65 เรอ่ื งท่ี 2 เมลด็ พนั ธุแ์ หง่ ความเป็นไท 65 เรอ่ื งท่ี 3: ลอ้ มกรอบ 66 วดี ทิ ศั น์ เรอ่ื ง ตุ๊หลา่ งเลอื ดชาวนา 68 บทท่ี 6 แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั ระบบเกษตรยงั่ ยนื 72 แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี ง 72 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 73 หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 73 ตวั อยา่ งการประยกุ ตเ์ ศรษฐกจิ พอเพยี งในการเกษตร 73 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั เกษตรยงั่ ยนื 73 ศกึ ษาดงู านตวั อยา่ งจรงิ 75 บทท่ี 7 ตลาดสนิ คา้ เกษตรยงั่ ยนื 76 การตลาด 78 ตลาดสาํ หรบั การเกษตรแบบยงั่ ยนื 79 ชอ่ งทางการตลาดเกษตรยงั่ ยนื 79 บทท่ี 8 การสง่ เสรมิ เกษตรยงั่ ยนื 81 การสง่ เสรมิ 82 กระบวนทศั น์การสง่ เสรมิ การเกษตร 86 วธิ กี ารสง่ เสรมิ เกษตรยงั่ ยนื 86 กระบวนการปรบั เปลย่ี นสเู่ กษตรยงั่ ยนื 87 ตวั ชว้ี ดั การปรบั เปลย่ี นสเู่ กษตรยงั่ ยนื 93 ปจั จยั สาํ คญั ทเ่ี ป็นอปุ สรรคขดั ขวางการปรบั เปลย่ี น 94 งานมอบหมาย: รายงานกลุ่ม 97 บทท่ี 9 ผลของเกษตรยงั่ ยนื ต่อการพฒั นาการเกษตรและชนบท 99 ผลของเกษตรยงั่ ยนื ต่อระบบเกษตร 99 ผลของเกษตรยงั่ ยนื ต่อการพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื 101 เอกสารอา้ งองิ 101 105 108

สารบญั ตาราง v ตารางท่ี 1-1: ประมาณการตน้ ทุนแฝงทเ่ี กดิ จากการใชส้ ารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื หน้า ตารางท่ี 1-2: ปญั หาผลกระทบสง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี ป็นปญั หาหลกั ของการเกษตร 4 ตารางท่ี 2-1: ขอ้ บง่ ชด้ี นิ ทม่ี สี ขุ ภาพดี 6 ตารางท่ี 2-2: เทคนิคเกษตรยงั่ ยนื 24 ตารางท่ี 4-1: การเปรยี บเทยี บเหตุผลและหลกั การของเกษตรยงั่ ยนื รปู แบบต่างๆ 29 ตารางท่ี 4-2: การเปรยี บเทยี บเทคนคิ วธิ กี ารและการจดั การฟารม์ เกษตรยงั่ ยนื 62 ตารางท่ี 9-1: ศกั ยภาพของเกษตรยงั่ ยนื ในการลดก๊าซเรอื นกระจก 64 ตารางท่ี 9-2: การเปรยี บเทยี บประโยชน์ทางเศรษฐกจิ สงั คม และสงิ่ แวดลอ้ มของ 102 เกษตรยงั่ ยนื รปู แบบต่างๆ 104 ตารางท่ี 9-3: ผลของเกษตรยงั่ ยนื ต่อการพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื 105 สารบญั ภาพ หน้า 2 ภาพท่ี 1-1: ผลการเปลย่ี นแปลงจากปฏวิ ตั เิ ขยี ว 28 ภาพท่ี 2-1: ขนั้ ความกา้ วหน้าของความยงั่ ยนื ทางการเกษตร 39 ภาพท่ี 3-1: การวางแผนพฒั นาประเทศในแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตทิ ่ี 1 -10 54 ภาพท่ี 4-1: แบบแปลนการทาํ เกษตรทฤษฎใี หม่ 59 ภาพท่ี 4-2: ระบบของวนเกษตรทเ่ี กดิ จากการผสมผสานของการเลย้ี งสตั ว์ ปลกู ปา่ นาไร่ 65 ภาพท่ี 5-1: ฐานของความมนั่ คงทางอาหาร 77 ภาพท่ี 6-1: ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การเกษตรยงั่ ยนื 98 ภาพท่ี 8-1: กระบวนการปรบั เปลย่ี นของเกษตรกร

บทที่ 1 สถานการณ์การเกษตร และพฒั นาการเกษตรยงั่ ยืน พฒั นาการของการเกษตร ระบบเกษตรแบบดงั้ เดมิ ก่อนหน้าจะมกี ารเปลย่ี นแปลงไปสรู่ ะบบการเกษตรกระแสหลกั ใน ปจั จบุ นั มลี กั ษณะดงั น้ี (วฑิ รู ย,์ 2539) 1. เป็นระบบการเกษตรทม่ี ุ่งผลติ เพ่อื ตอบสนองความต้องการของครอบครวั และชุมชน เป็นหลกั 2. เป็นระบบการเกษตรท่มี กี ารใช้ทรพั ยากรในทอ้ งถิ่น มไิ ดม้ กี ารใช้ปจั จยั จากภายนอก ระบบเขา้ มาใชใ้ นไรน่ า 3. เป็นระบบการเกษตรทม่ี คี วามหลากหลายของชนิดพชื และสตั ว์ 4. เป็นระบบการเกษตรทต่ี อ้ งพง่ึ พงิ ต่อธรรมชาติ และอย่ภู ายใตอ้ ทิ ธพิ ลของธรรมชาตเิ ป็น สว่ นใหญ่ ภายใตข้ ดี จาํ กดั ของเทคโนโลยี และความเช่อื ทอ่ี ยภู่ ายใตอ้ ทิ ธพิ ลของธรรมชาตทิ ําใหร้ ะบบ การผลติ ในระบบเกษตรแบบดงั้ เดมิ มไิ ดส้ ง่ ผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้ มถงึ ขนั้ รุนแรงดงั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ใน ระบบเกษตรกรรมปจั จุบนั ซง่ึ มพี น้ื ฐานความเช่อื ทถ่ี อื ว่าตนอยเู่ หนือธรรมชาติ และสามารถควบคุม ธรรมชาตไิ ด้ เกษตรกรรมตามแบบแผนปจั จุบนั (Conventional agriculture) หรอื เกษตรกรรมกระแส หลกั (Mainstream agriculture) หรอื เกษตรเคมี (Chemical agriculture) เป็นรปู แบบการเกษตรท่ี ไดร้ บั การพฒั นาขน้ึ ในประเทศตะวนั ตก เม่อื ประมาณทศวรรษท่ี 1870-1890 โดยเรม่ิ ตน้ ทป่ี ระเทศ องั กฤษ แลว้ คอ่ ยขยายไปสปู่ ระเทศต่างๆ ในยโุ รปและอเมรกิ า สว่ นการขยายตวั สปู่ ระเทศโลกทส่ี าม ซง่ึ รวมถงึ ประเทศไทยดว้ ยนนั้ เป็นปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชว่ งหลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 โดยเฉพาะ อยา่ งยงิ่ ในชว่ งทศวรรษท่ี 1960 อนั เป็นชว่ งทเ่ี กดิ ปฏวิ ตั เิ ขยี ว (Green revolution) ขน้ึ ในประเทศโลก ทส่ี าม ภายใตก้ ารสนบั สนุนของประเทศอุตสาหกรรม และบรรษทั ขา้ มชาตทิ างการเกษตร (วฑิ รู ย,์ 2539) ดงั นัน้ หลงั จากการปฏวิ ตั เิ ขยี วระบบเกษตรเพ่อื ยงั ชพี ในประเทศโลกทส่ี ามไดถ้ ูกเปล่ยี นให้ เป็นระบบเกษตรแผนใหมซ่ ง่ึ มลี กั ษณะสาํ คญั คอื (วฑิ รู ย,์ 2539) 1. เป็นระบบการเกษตรทอ่ี าศยั เทคโนโลยสี มยั ใหม่ 2. เป็นระบบการเกษตรท่เี น้นการลงทุนจํานวนมาก โดยปรากฏในรูปของเคร่อื งจกั รกล ปจั จยั การผลติ ซง่ึ ไดแ้ ก่ พนั ธุพ์ ชื -สตั ว์ ป๋ ยุ เคมแี ละสารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื 3. เป็นระบบการเกษตรทเ่ี น้นความเชย่ี วชาญเฉพาะดา้ น โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การผลติ พชื และสตั วช์ นิดใดชนิดหน่ึงในพน้ื ทข่ี นาดใหญ่

2 4. เป็นระบบการเกษตรท่ีมีการใช้พลงั งานสูง โดยพลงั งานท่ีใช้จะอยู่ในรูปของน้ํามนั เชอ้ื เพลงิ สาํ หรบั เครอ่ื งจกั รกลการเกษตรโดยตรง 5. เป็นระบบการเกษตร ทบ่ี รษิ ทั ธุรกจิ การเกษตรเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลในการควบคุมปจั จยั การ ผลติ การแปรรปู การตลาดและการขนสง่ 6. เป็นระบบการเกษตรทร่ี ฐั เขา้ มามบี ทบาทสงู เช่น การเขา้ มากําหนดว่าทใ่ี ดควรจะปลูก อะไร กาํ หนดราคาสนิ คา้ วา่ สนิ คา้ ชนิดไหนจะมรี าคาเทา่ ไร เป็นตน้ อยา่ งไรกต็ ามผลการเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ จากปฏวิ ตั เิ ขยี ว (ภาพท่ี 1-1) ของประเทศทวั่ โลกใน การผลติ ขา้ วสาลแี ละขา้ วเจา้ แสดงใหเ้ หน็ ว่าประเทศผนู้ ําซง่ึ ไดร้ บั ประโยชน์จากปฏวิ ตั เิ ขยี วมหี ลาย ประเทศด้วยกนั โดยเฉพาะประเทศในเอเซยี ได้แก่ เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ เมยี นม่า พลิ ิปปินส์ อนิ โดนีเซยี เป็นตน้ ซง่ึ ไม่มปี ระเทศไทยรว่ มอย่ดู ว้ ย แมว้ ่าไทยจะไดช้ ่อื ว่าเป็นประเทศผสู้ ่งออกขา้ ว รายใหญ่ของโลก และเป็นผนู้ ําการสง่ ออกสนิ คา้ เกษตรหลายชนิดในระดบั โลก จากภาพดงั กล่าวอาจ กล่าวไดว้ า่ ประเทศไทยไมไ่ ดร้ บั ประโยชน์จากการปฏวิ ตั เิ ขยี ว ภาพที่ 1-1: ผลการเปล่ียนแปลงจากปฏิวตั ิเขียว (Technological change: the green revolution) แหลง่ ทม่ี า: http://www.research.umbc.edu/~earickso/Bobsweb/pages/Agriculture_graphics.html อา้ งถงึ ใน Weibel (2009)

3 ปัญหาจากการทาํ การเกษตรแบบทวั่ ไป โครงการนโยบายสาธารณะเพ่อื ความปลอดภยั ด้านอาหารและเศรษฐกิจการค้าท่ียงั่ ยนื (2549) ไดก้ ลา่ วถงึ ปญั หาและผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการทาํ การเกษตรแบบใชส้ ารเคมที ส่ี าํ คญั ดงั น้ี 1) ปัญหาผลกระทบจากป๋ ยุ เคมี การขยายตวั ของปฏิวตั ิเขยี วมผี ลโดยตรงต่อปรมิ าณการใช้ป๋ ุยเคมี แต่การใช้ป๋ ุยเคมใี น ประเทศไทยมปี ระสทิ ธภิ าพค่อนขา้ งต่ํา ธาตุอาหารไนโตรเจนเป็นธาตุอาหารทม่ี กี ารสูญเสยี ไดส้ ูง โดยเฉพาะเมอ่ื สภาพภมู อิ ากาศไมอ่ าํ นวย เช่น ฝนตกหนกั เกนิ ไป มภี ยั แลง้ ดนิ เสอ่ื มโทรมเน่ืองจาก ขาดอนิ ทรยี วตั ถุ มกี ารศกึ ษาพบว่า ธาตุอาหารไนโตรเจนในป๋ ุยเคมสี ูญเสยี ไปโดยไม่ไดป้ ระโยชน์ มากถงึ 40-70% ซง่ึ ทาํ ใหเ้ กษตรกรตอ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการซอ้ื ป๋ ยุ เคมคี อ่ นขา้ งสงู การสง่ เสรมิ การใชป้ ๋ ุยเคมเี พยี งอย่างเดยี วโดยไมไ่ ดม้ กี ารส่งเสรมิ การใชป้ ๋ ุยอนิ ทรยี เ์ พ่อื การ ปรบั ปรุงดนิ สงิ่ ท่เี กดิ ขน้ึ ก็คอื ดนิ เส่อื มโทรม อนั เน่ืองมาจากป๋ ุยเคมจี ะเร่งอตั ราการสลายตวั ของ อนิ ทรยี วตั ถุในดนิ ซ่งึ ทําใหโ้ ครงสรา้ งของดนิ แน่นแขง็ ดนิ กระดา้ ง ไม่อุม้ น้ํา การใช้ป๋ ุยเคมอี ย่าง ต่อเน่ืองทําใหด้ นิ ขาดธาตุอาหารรอง ทําใหเ้ กดิ ปญั หาโรคและแมลงได้ง่าย และการใชป้ ๋ ุยเคมที ่มี ี ไนโตรเจนสูง (โดยเฉพาะป๋ ุยยูเรยี ) ทําใหด้ นิ เป็นกรด ซ่งึ ธาตุอาหารพชื โดยเฉพาะฟอสฟอรสั จะ เปลย่ี นสภาพไปอยใู่ นรปู ทพ่ี ชื เอาไปใชไ้ มไ่ ด้ นอกจากน้ีการใชป้ ๋ ุยเคมยี งั มผี ลต่อสุขภาพผบู้ รโิ ภคทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม โดยผลกระทบ ทางตรงกค็ อื การตกคา้ งของธาตุอาหาร โดยเฉพาะไนโตรเจนซง่ึ อยใู่ นรปู ของสารไนเตรท ทเ่ี กดิ จาก การใชป้ ๋ ยุ ทม่ี ไี นโตรเจนมากเกนิ ไป ซง่ึ นอกจากจะพบในผลผลติ การเกษตรโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ผกั สด แล้วอาจพบสารไนเตรทในแหล่งน้ําใต้ดนิ ดว้ ย สารไนเตรทน้ีเป็นอนั ตรายต่อเดก็ อ่อน เพราะสาร ไนเตรทจะเขา้ ไปจบั กบั ฮโี มโกลบนิ ในเมด็ เลอื ดแดง ทําใหเ้ มด็ เลอื ดแดงไม่สามารถนําออกซเิ จนไป เลย้ี งส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ ส่งผลใหร้ ่างกายขาดออกซเิ จน จนมลี กั ษณะอาการ “ตวั เขยี ว” ซ่งึ อาการเชน่ น้ีจะพบกบั เดก็ ทารกเทา่ นนั้ นอกจากน้ีสารไนเตรทยงั เป็นสารทก่ี ระตุน้ ใหเ้ กดิ มะเรง็ ไดอ้ กี ดว้ ย ปญั หาผลกระทบทางอ้อมเกดิ ขน้ึ จากการท่กี ารใช้ป๋ ุยเคมจี ะทําใหพ้ ชื ท่เี พาะปลูกอ่อนแอ เน่ืองจากการใชป้ ๋ ยุ เคมมี กั จะไมใ่ ชร้ ว่ มกบั ป๋ ยุ อนิ ทรยี ท์ ําใหพ้ ชื ทป่ี ลูกขาดธาตุอาหารรองต่างๆ สง่ ผล ใหพ้ ชื เกดิ ความอ่อนแอ โรคและแมลงจงึ สามารถระบาดไดโ้ ดยง่าย เม่อื เกดิ การระบาดของโรคและ แมลงเกษตรกรก็นิยมฉีดพ่นด้วยสารเคมกี ําจดั ศตั รูพชื ซ่งึ ทําใหเ้ กดิ การตกค้างและปนเป้ือนของ สารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื ในผลผลติ ทางการเกษตร เป็นอนั ตรายต่อสขุ ภาพของผบู้ รโิ ภคไดอ้ กี ต่อหน่ึง

4 2) ปัญหาผลกระทบจากสารเคมีกาํ จดั ศตั รพู ืช ในส่วนของสารเคมกี ําจดั ศตั รูพชื ก็เช่นกนั เน่ืองจากประเทศไทยมกี ารใช้สารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื กบั พชื หลายชนิด โดยสารเคมสี ว่ นใหญ่จะใชใ้ นการเพาะปลูกขา้ ว ทงั้ น้ีเพราะพน้ื ทป่ี ลูกขา้ ว มากทส่ี ดุ โดยเฉลย่ี แลว้ ประมาณ 20% ของการใชส้ ารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื ในประเทศไทยจะเป็นการใช้ ในนาขา้ ว แต่เม่อื เฉล่ียการใช้สารเคมตี ่อหน่วยพ้นื ท่แี ล้ว พชื ผกั และผลไมม้ กี ารใชส้ ารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื เขม้ ขน้ มากกวา่ (ยกตวั อยา่ งเชน่ องนุ่ มกี ารใชส้ ารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื สงู ถงึ 24.63 กโิ ลกรมั ต่อ ไร่ มะเขอื เทศ 6.78 กิโลกรมั ต่อไร่ ส้ม 4.92 กิโลกรมั ต่อไร่ และผกั 4.73 กิโลกรมั ต่อไร่) แต่ถ้า เปรียบเทียบกบั พืชไร่อ่นื ๆ แล้วข้าวก็นับว่ามกี ารใช้สารเคมเี ขม้ ข้นมากท่ีสุด คือประมาณ 0.14 กโิ ลกรมั ต่อไร่ (ถวั่ เหลอื ง 0.12 กโิ ลกรมั ต่อไร่ ออ้ ย 0.02 กโิ ลกรมั ต่อไร่ ปาลม์ น้ํามนั 0.014 กโิ ลกรมั ต่อไร่ และขา้ วโพดใช้ 0.011 กโิ ลกรมั ต่อไร)่ (Jungbluth, 1996 อา้ งถงึ ในโครงการนโยบายสาธารณะ เพอ่ื ความปลอดภยั ดา้ นอาหารและเศรษฐกจิ การคา้ ทย่ี งั่ ยนื , 2549) ประเทศไทยมกี ารนําเขา้ สารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื ต่างๆ ในแต่ละปีเฉลย่ี ประมาณเกอื บ 80,000 ตนั ต่อปี ซง่ึ ทงั้ หมดจะถูกใชใ้ นการผลติ ภาคการเกษตร หรอื คดิ เฉลย่ี ต่อหวั ประชากร (62.279 ลา้ น คน) จะมปี รมิ าณการใชส้ ารเคมสี งู ถงึ 1.28 กโิ ลกรมั ต่อประชากร ซง่ึ มากพอทจ่ี ะทาํ ใหป้ ระชากรทวั่ ประเทศเสยี ชวี ติ ได้ นอกจากน้ียงั พบว่าในแต่ละปีมเี กษตรกรไทยเสย่ี งต่ออตั ราการเกดิ โรคมะเรง็ มากกว่ากลุ่มอาชพี อ่นื เน่ืองจากยาฆ่าแมลงทําใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อระดบั ดเี อน็ เอ (DNA) ใน เน้ือเยอ่ื ของรา่ งกาย ซง่ึ อาจก่อใหเ้ กดิ โรคมะเรง็ ได้ (ววิ ฒั น์, 2552) ตารางที่ 1-1: ประมาณการต้นทนุ แฝงที่เกิดจากการใช้สารเคมีกาํ จดั ศตั รพู ืช ประเดน็ ต้นทุน (ล้านบาท) สขุ ภาพ 1.00 – 13.00 สารเคมตี กคา้ งในอาหาร 2,067.00 – 2,950.00 ความตา้ นทานของศตั รพู ชื ต่อสารเคมี 57.40 งานวจิ ยั เกย่ี วกบั การใชส้ ารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื 25.29 การตดิ ตามสารเคมตี กคา้ งในอาหารและสงิ่ แวดลอ้ ม 48.47 การควบคุมและตดิ ตามการจาํ หน่ายสารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื 46.00 การสง่ เสรมิ การใชส้ ารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื โดยหน่วยงานราชการ 284.64 รวม 462.80 – 5,491.80 มลู ค่าของสารเคมีกาํ จดั ศตั รพู ืชที่ใช้ทวั่ ประเทศ 3,550.00 แหล่งทม่ี า: Jungbluth (1996) อา้ งถงึ ใน โครงการนโยบายสาธารณะเพ่อื ความปลอดภยั ดา้ นอาหาร และเศรษฐกจิ การคา้ ทย่ี งั่ ยนื (2549)

5 ปญั หาทส่ี าํ คญั อกี ประการหน่ึง คอื การใชส้ ารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื จะมตี น้ ทุนแฝงทม่ี กั จะไมไ่ ด้ นํามาวเิ คราะห์ ไมว่ า่ จะเป็นตน้ ทุนในแงส่ ุขภาพของผผู้ ลติ ปญั หาสารเคมตี กคา้ งในอาหารและระบบ นิเวศ และปญั หาผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ ม ถา้ มกี ารนําตน้ ทุนเหล่าน้ีมาพจิ ารณาร่วมดว้ ย จะพบว่า การใชส้ ารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื ควรจะตอ้ งถูกลดการสนบั สนุนลง เพราะตน้ ทุนแฝงของการใชส้ ารเคมสี งู ถงึ 13-155% ดตู ารางท่ี 1-1 3) ปัญหาแมลงต้านทานสารเคมี ปญั หาแมลงศตั รขู า้ วทส่ี าํ คญั ทส่ี ุดอนั ดบั หน่ึงในประเทศไทย คอื เพลย้ี กระโดดสนี ้ําตาล ท่ี ผ่านมาประเทศไทยประสบกบั ปญั หาเพล้ยี ระบาดสาํ คญั ใน 2 ช่วง คอื ปี 2518-2527 และช่วงปี 2532-2534 ข้าวนาปรงั ในปี 2533 มีผลผลิตเสียหายกว่าคร่ึงหน่ึงของผลผลิตทงั้ หมด คิดเป็น ค่าเสยี หายกว่า 5,000-6,000 ลา้ นบาท (กลุ่มงานวจิ ยั แมลงศตั รขู า้ วและธญั พชื เมอื งหนาว, 2539 อา้ งถงึ ใน โครงการนโยบายสาธารณะเพ่อื ความปลอดภยั ดา้ นอาหารและเศรษฐกจิ การคา้ ท่ยี งั่ ยนื , 2549) การป้องกนั กาํ จดั เพลย้ี กระโดดสนี ้ําตาลมงุ่ เน้นการใชส้ ารเคมกี าํ จดั แมลง โดยเรมิ่ จากสารเคมี กําจดั แมลงทวั่ ไป แต่กลบั พบว่า เพล้ยี กระโดดยงั คงระบาดเพม่ิ ขน้ึ ทําใหเ้ กษตรกรต้องหนั มาใช้ สารเคมกี ําจดั แมลงท่ีมพี ิษรุนแรงเพม่ิ ข้นึ และหลายชนิดมากข้นึ แม้ว่าจะใช้สารเคมกี ําจดั แมลง เพมิ่ ขน้ึ และรุนแรงขน้ึ เพยี งใด ผลกลบั ปรากฏว่า ปญั หาการระบาดของเพล้ยี กระโดดสนี ้ําตาลยง่ิ รนุ แรงขน้ึ ซง่ึ จากการศกึ ษาของ Rumakom (1992) อา้ งถงึ ใน โครงการนโยบายสาธารณะเพอ่ื ความ ปลอดภยั ด้านอาหารและเศรษฐกจิ การค้าท่ยี งั่ ยนื (2549) พบว่า การใชส้ ารเคมกี ําจดั แมลงทําให้ ประชากรของศตั รธู รรมชาตลิ ดลงมากกวา่ ประชากรของเพลย้ี กระโดดสนี ้ําตาล ดงั นนั้ การใชส้ ารเคมี กําจดั แมลงไม่ได้ช่วยแก้ปญั หาเพล้ียกระโดดสนี ้ําตาล แต่กลบั จะทําให้การระบาดรุนแรงเพมิ่ ข้นึ นอกจากน้ี การใชส้ ารเคมกี ําจดั แมลงกย็ งั ทําใหเ้ พลย้ี กระโดดสนี ้ําตาลพฒั นาภมู ติ า้ นทานไดม้ ากขน้ึ ส่งผลใหเ้ กษตรกรตอ้ งเพมิ่ ปรมิ าณและความเขม้ ขน้ ของการใชส้ ารกําจดั แมลง แต่ผลทไ่ี ดก้ ลบั เป็น ตรงกนั ขา้ มคอื ยงิ่ ใชส้ ารเคมเี พมิ่ ขน้ึ การระบาดของเพลย้ี กระโดดสนี ้ําตาลและแมลงศตั รขู า้ วอ่นื ๆ ก็ ยงิ่ เพม่ิ ขน้ึ ผลกระทบของการเกษตรปัจจบุ นั 1) ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและทรพั ยากร สถานการณ์ของภาคการเกษตรทัว่ โลกอยู่ในสภาพวิกฤต รวมทัง้ ในประเทศไทย วิกฤตการณ์ทางการเกษตรท่ีสําคัญประการหน่ึงท่ีส่งผลกระทบกบั ทุกคนในสงั คม คือ ปญั หา ผลกระทบดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม ทงั้ ในแง่ของความเส่อื มโทรมของทรพั ยากรทางการเกษตร ทงั้ ดนิ น้ํา และทรพั ยากรพนั ธุกรรม มลพษิ ทเ่ี กดิ จากสารเคมกี ารเกษตร เป็นต้น ดงั ตารางท่ี 1-2 แสดง ภาพรวมปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มของภาคการเกษตรในปจั จุบนั ซง่ึ โครงการนโยบายสาธารณะเพ่อื ความ ปลอดภยั ดา้ นอาหารและเศรษฐกจิ การคา้ ทย่ี งั่ ยนื (2549) ไดอ้ ธบิ ายไวด้ งั ต่อไปน้ี

6 1. การชะลา้ งและพงั ทลายของหน้าดนิ ดนิ ชนั้ บน (หน้าดนิ ) เป็นทรพั ยากรพน้ื ฐานทส่ี าํ คญั ของการเกษตร แต่ปรากฏว่า การเกษตร ทวั่ ไปในปจั จุบนั กลบั เป็นสาเหตุหลกั ทท่ี าํ ใหเ้ กดิ การชะลา้ งและการพงั ทลายของหน้าดนิ การผลติ ใน ฟารม์ ทห่ี น้าดนิ บางลงจะทาํ ใหผ้ ลผลติ ลดลง เพราะหน้าดนิ เป็นแหลง่ ของธาตุอาหารและน้ําทพ่ี ชื ตอ้ ง ใชใ้ นการเจรญิ เตบิ โตและใหผ้ ลผลติ อกี ทงั้ พ้นื ท่ที ม่ี หี น้าดนิ บางกจ็ ะมพี ชื ขน้ึ ปกคลุมไดเ้ พยี งต้นื ๆ สง่ ผลใหน้ ้ําผวิ ดนิ สามารถไหลผ่านไปอย่างรวดเรว็ (แทนทจ่ี ะไหลไปอย่างชา้ ๆ และถูกดูดซบั ลงใต้ ดนิ ) เกดิ เป็นน้ําไหลหลากเขา้ ท่วมพน้ื ทต่ี ่างๆ ทต่ี งั้ อยใู่ นทล่ี ุ่ม นอกจากน้ี ตะกอนดนิ ทถ่ี ูกชะลา้ งจะ ไปสะสมในแหล่งน้ําต่างๆ รวมทงั้ ไหลลงไปตกตะกอนหน้าเขอ่ื นหรอื ฝาย ทาํ ใหเ้ ขอ่ื นหรอื ฝายมอี ายุ การใชง้ านสนั้ ลง หรอื ไมก่ ไ็ ปตกตะกอนบรเิ วณปากแมน่ ้ําหรอื พน้ื ทช่ี ุม่ น้ํา สง่ ผลใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อ ระบบนิเวศใกลช้ ายฝงั่ ปะการงั และพน้ื ทช่ี ุม่ น้ํา ตารางที่ 1-2: ปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมท่ีเป็นปัญหาหลกั ของการเกษตร การปฏิบตั ิ ดิน แหล่งน้ําผิวดิน ทรพั ยากร อ่ืนๆ ทาง และนํ้าใต้ดิน พนั ธกุ รรม การเกษตร ทวั่ ไป การไถพรวน หน้าดนิ ถูกชะ ตะกอนดนิ ทาํ ใหเ้ กดิ ความหลากหลาย การกลายเป็น ลา้ งโดยน้ํา และ น้ําทว่ ม ตะกอนดนิ ทางชวี ภาพของ ทะเลทราย ลม จมหน้าเขอ่ื นและ นิเวศการเกษตร ฝาย ลดลง การเผาฟาง ธาตุอาหารใน - ความหลากหลาย เพม่ิ ก๊าซเรอื น และ ดนิ ลดลง ทางชวี ภาพของ กระจก การ อนิ ทรยี วตั ถุใน สงิ่ มชี วี ติ ในดนิ นิเวศการเกษตร กลายเป็น ฟารม์ ลดลง ดนิ แขง็ ลดลง ทะเลทราย การใชป้ ๋ ยุ เคมี ดนิ เปรย้ี ว อาจ ไนเตรทจากป๋ ยุ เคมี น้ําเสยี จาก - ทาํ ใหเ้ กดิ การ ปนเป้ือนในแหล่งน้ํา ฟอสเฟตทาํ ให้ สะสมของโลหะ ใตด้ นิ ฟอสเฟต สง่ิ มชี วี ติ ในน้ํา หนกั ในดนิ สว่ นเกนิ ทาํ ใหเ้ กดิ ลดลง น้ําเสยี (จาก Eutrophication)

7 การปฏิบตั ิ ดิน แหล่งน้ําผิวดิน ทรพั ยากร อื่นๆ ทาง และน้ําใต้ดิน พนั ธกุ รรม การเกษตร ทวั่ ไป การใชส้ ารเคมี สารพษิ สะสมใน สารพษิ สะสมในน้ํา การเสยี สมดลุ ของ มลพษิ ต่อ กาํ จดั ศตั รพู ชื ดนิ ผวิ ดนิ และน้ําใตด้ นิ สง่ิ มชี วี ติ ในระบบ เกษตรกรและ นิเวศการเกษตร ผบู้ รโิ ภค ความหลากหลาย ทางชวี ภาพลดลง แหล่งทม่ี า: โครงการนโยบายสาธารณะเพ่อื ความปลอดภยั ดา้ นอาหารและเศรษฐกจิ การคา้ ทย่ี งั่ ยนื (2549) 2. ดนิ เสอ่ื มโทรม และการกลายเป็นทะเลทราย ความเส่อื มโทรมของทด่ี นิ และการกลายเป็นทะเลทรายนนั้ มสี าเหตุจาการกระทําของมนุษย์ ซง่ึ ส่วนใหญ่เกดิ จากการใชท้ ด่ี นิ เกนิ กว่าศกั ยภาพของผนื ดนิ เช่น การใชท้ ุ่งหญา้ เลย้ี งปศุสตั วอ์ ย่าง หนาแน่นเกนิ ไป (Over-grazing) การตดั ไมเ้ พ่อื ใชเ้ ป็นเชอ้ื ฟืน ดนิ เคม็ เพราะการใชน้ ้ําชลประทาน อยา่ งไมถ่ ูกตอ้ ง เพ่อื ปลกู พชื อย่างหนาแน่น รวมไปถงึ การเปลย่ี นแปลงของภมู อิ ากาศโลก (Climate change) ทท่ี าํ ใหเ้ กดิ ภยั แลง้ ในบางพน้ื ทอ่ี ยา่ งต่อเน่ือง เป็นตน้ ปญั หาความเส่อื มโทรมของผนื ดนิ ได้ ทวคี วามรุนแรงเพม่ิ ขน้ึ จนไม่สามารถใชผ้ นื ดนิ นัน้ ในการเกษตรไดอ้ กี และอาจรุนแรงจนถงึ สภาพ นิเวศของพน้ื ทด่ี งั กล่าวกลายเป็นทะเลทราย (Desertification) ในทส่ี ุด คาดกนั วา่ มปี ระชากรไมน่ ้อย กว่า 250 ลา้ นคนท่ปี ระสบปญั หาจากวกิ ฤตการณ์ดงั กล่าวน้ีโดยตรง โดยปญั หาดนิ เส่อื มโทรมและ การกลายเป็นทะเลทรายน้ีเป็นปญั หาสําคัญในระดับโลก และทวีความสําคัญมากข้ึนเร่ือยๆ จนกระทงั่ สหประชาชาตติ อ้ งจดั ทาํ สนธสิ ญั ญาระหว่างประเทศเพ่อื แกไ้ ขปญั หาน้ีตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2537 ประมาณว่ามพี น้ื ท่ดี นิ เส่อื มโทรมทวั่ โลกราว 86.69 ลา้ นตารางกโิ ลเมตร ส่วนในประเทศไทยมพี น้ื ทด่ี นิ เสอ่ื มโทรมราว 0.514 ลา้ นตารางกโิ ลเมตร 3. ทรพั ยากรน้ํา ประมาณ 70% ของการใชน้ ้ําทวั่ โลกเป็นการใชใ้ นภาคการเกษตร แต่เกษตรกรสว่ นใหญ่จะ มพี น้ื ท่กี ารเกษตรท่มี ชี ลประทานเพยี ง 1,729.49 ลา้ นไร่ หรอื 5.52% ของพน้ื ทก่ี ารเกษตร โดยใน ประเทศไทยมพี น้ื ทช่ี ลประทาน 12.33% (16.2 ลา้ นไร)่ เกษตรกรทเ่ี หลอื เป็นเกษตรกรทต่ี อ้ งพง่ึ พา อาศยั น้ําฝนหรอื แหลง่ น้ําธรรมชาตอิ น่ื เป็นหลกั ในระบบท่ีมีการเพาะปลูกพืชอย่างหนาแน่นเกินไป ทําให้มีการใช้ทรพั ยากรน้ําอย่าง ฟุ่มเฟือย น้ําจากแหล่งน้ําผวิ ดนิ และน้ําใต้ดนิ ถูกนํามาใช้ในการเกษตรจนทําใหร้ ะดบั น้ําใต้ดนิ ลด

8 ต่ําลงอยา่ งรวดเรว็ อกี ทงั้ ในการแยง่ ชงิ น้ําระหว่างภาคการเกษตรกบั ภาคธุรกจิ อ่นื ๆ มแี นวโน้มทจ่ี ะ ทาํ ใหเ้ กดิ ปญั หาการเผชญิ หน้าและความขดั แยง้ ในการใชน้ ้ําทงั้ ในระดบั ประเทศ และในบางกรณอี าจ เป็นปญั หาขอ้ พพิ าทระหวา่ งประเทศไดด้ ว้ ย นอกจากน้ี น้ําท่ใี ช้แล้วจากภาคการเกษตรมกั จะพบว่ามมี ลพษิ และสารเคมปี นเป้ือนอยู่ ค่อนขา้ งสงู ทงั้ สารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื และป๋ ุยเคมี น้ําทง้ิ จากภาคการเกษตรเหล่าน้ีไมไ่ ดม้ กี ารบําบดั ก่อนท่จี ะปล่อยลงสู่แหล่งน้ําธรรมชาติ ทําให้เกดิ ปญั หามลพษิ ต่อสง่ิ แวดล้อมโดยรวม ซ่งึ เป็นผล คกุ คามต่อสง่ิ แวดลอ้ มและสขุ ภาพของมนุษยไ์ ดด้ ว้ ย โดยเฉพาะเมอ่ื น้ําทม่ี กี ารปนเป้ือนสารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื จะส่งผลกระทบต่อสง่ิ มชี วี ติ ในน้ํา รวมทงั้ ทําใหป้ ระชากรสตั วน์ ้ําลดลงไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ หรอื แมแ้ ต่ฟอสฟอรสั ทต่ี กคา้ งในน้ําทง้ิ ของภาคการเกษตร เมอ่ื ไหลลงแหล่งน้ําธรรมชาตจิ ะทาํ ใหเ้ กดิ การ ขยายตวั ของสาหร่ายเซลลเ์ ดยี วเพม่ิ จํานวนมากเกนิ ไป และเม่อื สาหรา่ ยเหล่าน้ีตายลงจะทําใหเ้ กดิ น้ําเน่าเสยี และสง่ ผลกระทบต่อสง่ิ มชี วี ติ ทุกชนิดในแหล่งน้ํานนั้ 4. การเปลย่ี นแปลงของภมู อิ ากาศและโลกรอ้ น การทําการเกษตรทวั่ ไปเป็นสาเหตุสําคญั ประการหน่ึงของการเปล่ยี นแปลงภูมอิ ากาศและ โลกรอ้ น ทงั้ การปล่อยก๊าซมเี ทนจากการเลย้ี งโค หรอื กระบวนการหมกั อนิ ทรยี วตั ถุโดยไม่มอี ากาศ รวมทงั้ การเพมิ่ ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากการเผาอนิ ทรยี วตั ถุ และการใชพ้ ลงั งานอยา่ งฟุ่มเฟือย (ทงั้ จากการใชป้ ๋ ยุ และสารเคมกี ารเกษตรทต่ี อ้ งผลติ ขน้ึ จากปิโตรเลยี ม หรอื การใชเ้ ครอ่ื งจกั รกล หรอื เครอ่ื งสบู น้ําบาดาล) การเปล่ยี นแปลงของภูมอิ ากาศทําใหเ้ กดิ การแปรปรวนของฤดูกาล ปญั หาภยั แลง้ สลบั กบั น้ําท่วม รวมทัง้ การแปรปรวนของการตกของฝนเกิดข้ึนอย่างต่อเน่ืองจนทําให้ผลผลิตทาง การเกษตรเสยี หายเป็นจํานวนมากทุกปี นอกจากน้ี บรรยากาศท่ีร้อนขน้ึ (หรอื ในบางกรณีการ แปรปรวนของภูมอิ ากาศทําใหอ้ ากาศหนาวเยน็ ขน้ึ ผดิ ปกต)ิ ก่อผลกระทบต่อพชื และสตั วใ์ นฟารม์ รวมทงั้ สมดุลของศตั รพู ชื ต่างๆ อกี ดว้ ย ปญั หาเหล่าน้ีไม่เพยี งแต่สรา้ งผลกระทบต่อภาคการเกษตร แต่ยงั มผี ลคุกคามต่อสขุ ภาพอนามยั และความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ ของประเทศโดยรวมอกี ดว้ ย 5. สารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื เป็นทย่ี อมรบั กนั วา่ การใชส้ ารเคมที างการเกษตรสว่ นมากเป็นสาเหตุสาํ คญั ประการหน่ึงของ ความไม่ปลอดภยั ในอาหาร ซ่งึ เป็นภยั คุกคามต่อมวลมนุษยท์ งั้ หมด รวมทงั้ สารเคมที ่ตี กคา้ งหรอื ปนเป้ือนในระบบนิเวศกเ็ ป็นอนั ตรายต่อสงิ่ มชี วี ติ ต่างๆ อยา่ งมาก องคก์ ารอาหารและการเกษตรแหง่ สหประชาชาติ ประมาณว่า ณ ปี 2544 มกี ารใชส้ ารเคมี กําจดั ศตั รูพชื กว่า 474,145 ตนั ต่อปี ซ่งึ ถ้าเฉล่ยี ต่อประชากรทวั่ โลกแล้ว พบว่า มกี ารใช้สารเคมี กําจดั ศตั รูพชื เกือบ 77 กรมั ต่อคนต่อปี ซ่ึงน่าจะมากพอท่ีจะเป็นอนั ตรายต่อสุขภาพของมนุษย์

9 ทงั้ หมดได้ (สารกําจดั ศตั รูพชื ทม่ี พี ษิ ปานกลาง คอื มี LD50 ประมาณ 50-500 มลิ ลกิ รมั ต่อกโิ ลกรมั นนั้ เมอ่ื บรโิ ภคโดยตรงมากกวา่ 3.5-35 กรมั จะทาํ ใหค้ นทม่ี นี ้ําหนกั ตวั 70 กโิ ลกรมั เสยี ชวี ติ ลงได)้ ในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2544 มกี ารใช้สารเคมกี ําจดั ศตั รูพชื ในประเทศไทยประมาณ 52,738 ตนั (ในขณะทป่ี ีดงั กล่าวมกี ารนําเขา้ สารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื 60,543 ตนั ) โดยเกอื บครง่ึ หน่ึง เป็นสารเคมกี ําจดั วชั พชื (45.7%) รองลงมาคอื สารกําจดั แมลง (32.3%) และสารป้องกนั กําจดั โรค พชื (11.9%) (เดชรตั สขุ กาํ เนิด, 2546 อา้ งถงึ ในโครงการนโยบายสาธารณะเพ่อื ความปลอดภยั ดา้ น อาหารและเศรษฐกจิ การคา้ ทย่ี งั่ ยนื , 2549) และเพมิ่ ขน้ึ เป็น 118,152 ตนั ในปี 2552 (สาํ นกั งาน เศรษฐกจิ การเกษตร, 2555) ในปีพ.ศ.2550 มยี ห่ี อ้ สารเคมเี กษตร 27,126 ยห่ี อ้ ซง่ึ มากกว่าใน ประเทศจนี (20,000 ยห่ี อ้ ) เวยี ดนาม (1,743 ยห่ี อ้ ) อนิ โดนีเซยี (1,158 ยห่ี อ้ ) และมาเลเซยี (917 ยห่ี อ้ ) (Agropages.com, 2011) ปญั หาทน่ี ่าเป็นห่วงกค็ อื การใชส้ ารเคมมี แี นวโน้มเพมิ่ ขน้ึ อยา่ ง ค่อนขา้ งรวดเรว็ โดยในช่วง 20 ปีทผ่ี ่านมา (พ.ศ. 2525-2544) มอี ตั ราการใชเ้ พมิ่ ขน้ึ กว่า 4 เท่าตวั จนกระทงั่ สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสขุ ซง่ึ เป็นหน่วยงานสง่ เสรมิ ดา้ นสุขภาพระดบั ประเทศไดห้ ยบิ ยกประเดน็ ปญั หาเรอ่ื งสารเคมกี ารเกษตรเป็นประเดน็ รณรงคใ์ นการประชุมสมชั ชาสขุ ภาพแหง่ ชาติ ครงั้ ท่ี 3 พ.ศ. 2546 นอกจากน้ีจากรายงานการสํารวจขององค์การอาหารและเกษตรแห่ง สหประชาชาติ (FAO) พบว่าประเทศไทยมเี น้ือทท่ี ําการเกษตรมากเป็นอนั ดบั ท่ี 48 ของโลก แต่ใช้ สารเคมกี ําจดั แมลงมากเป็นอนั ดบั 5 ของโลก ใช้สารเคมกี ําจดั วชั พชื เป็นอนั ดบั 4 ของโลก และ นําเขา้ สารเคมสี งั เคราะหท์ างการเกษตร เป็นเงนิ 30,000 ลา้ นบาทต่อปี (ววิ ฒั น์, 2552) 2) ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การขยายตวั ของเกษตรแผนใหม่อย่างต่อเน่ือง ส่งผลใหป้ ญั หาเกษตรกรทวคี วามซบั ซอ้ น มากข้นึ เพราะนอกจากปญั หาเดมิ ท่ีดํารงอยู่อย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะปญั หาความขดั แย้งเร่อื ง กรรมสิทธิท์ ่ีดินทํากิน เกษตรกรยงั ประสบปญั หาและผลกระทบจากการทําเกษตรแผนใหม่ใน ลกั ษณะอ่นื ๆ อกี ดงั น้ี (อนุสรณ์, 2546) 1. ปญั หาตน้ ทุนการผลติ เพม่ิ ขน้ึ เพราะนอกจากปจั จยั การผลติ ต่างๆ เช่น ป๋ ุยเคมี ยาฆ่า แมลง ยาปราบศตั รพู ชื เชอ้ื เพลงิ ค่าจา้ งแรงงาน ฯลฯ มรี าคาต่อหน่วยเพมิ่ ขน้ึ ปรมิ าณการใชป้ จั จยั การผลติ จําพวกสารเคมตี ่อหน่วยพน้ื ทเ่ี พาะปลูกเพมิ่ จํานวนขน้ึ เช่นกนั โดยในปี พ.ศ. 2532 อตั รา การใชป้ ๋ ุยเคมขี า้ วอยทู่ ไ่ี รล่ ะ 10.8 กโิ ลกรมั ก่อนจะเพมิ่ เป็นไร่ละ 23.8 กโิ ลกรมั ในปีพ.ศ. 2539 หรอื เพม่ิ ขน้ึ กวา่ 2 เทา่ ตวั 2. อัตราการเพ่ิมของผลผลิตลดลง โดยในแผนพฒั นาฯ ฉบับท่ี 1 ผลผลิตการเกษตร ขยายตวั รอ้ ยละ 7.6 ก่อนจะลดลงเหลอื รอ้ ยละ 4.2 ในแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 3 และรอ้ ยละ 3.5 ใน แผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 6 ซง่ึ ผกผนั กบั ปรมิ าณการใชป้ ๋ ยุ เพราะในชว่ งปี พ.ศ. 2532-2539 ปรมิ าณการ ใชป้ ๋ ยุ เคมเี พม่ิ ขน้ึ กวา่ 2 เทา่ ตวั ขณะทผ่ี ลผลติ ขา้ วต่อไรเ่ พม่ิ จาก 32 กโิ ลกรมั เป็น 34 กโิ ลกรมั

10 3. ราคาผลผลติ ตกต่ํา เน่ืองจากภาวะอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลกและประเทศคู่แข่งมี ความผนั ผวนสงู โดยเฉพาะเกษตรพนั ธะสญั ญาแมจ้ ะมตี ลาดรบั ซอ้ื ทแ่ี น่นอน แต่ขณะเดยี วกนั กต็ อ้ ง เสย่ี งต่อการถูกกดราคาหรอื ปฏเิ สธการรบั ซอ้ื ผลผลติ ดงั กรณีโครงการส่งเสรมิ การปลูกขา้ วโพดฝกั ออ่ นทจ่ี งั หวดั พจิ ติ ร ซง่ึ เกษตรกรประสบปญั หาบรษิ ทั ไม่รบั ซอ้ื ผลผลติ แมช้ ่วงแรกจะใหร้ าคาสงู แต่ ต่อมาจะใหร้ าคาต่ําลงและเขม้ งวดในการคดั เลอื กคุณภาพผลผลติ มากขน้ึ 4. ความยากจนซง่ึ มแี นวโน้มทวคี วามรุนแรงเพมิ่ ขน้ึ โดยในปี พ.ศ. 2523 ประมาณ 1 ใน 3 ของชาวนาทงั้ ประเทศถูกจดั อย่ใู นกลุ่มยากจน หรอื มรี ายไดต้ ่ํากว่าเสน้ วดั ระดบั ความยากจน คอื มี รายได้ต่ํากว่า 1,980 บาทต่อคน เพราะขณะท่ีต้นทุนการผลิตเพ่ิมข้นึ ราคาผลผลิตกลบั ลดลง นอกจากน้ีหากพจิ ารณาระยะยาวจะพบว่ารายไดเ้ กษตรกรไม่ไดเ้ พม่ิ ขน้ึ เท่าทค่ี วรและบางครงั้ กลบั ลดลง ซง่ึ ปญั หาทไ่ี ดก้ ลา่ วมาน้ียงั คงเกดิ ขน้ึ ในปจั จบุ นั และมแี นวโน้มทวคี วามรนุ แรงขน้ึ 3) ผลกระทบต่อสขุ ภาพของเกษตรกรและผบู้ ริโภค ประเด็นสําคญั ประเด็นหน่ึงท่ีปฏิวตั ิเขียวถูกวิพากษ์วิจารณ์มากท่ีสุดก็คือ ปญั หาเร่ือง ผลกระทบของสารกาํ จดั ศตั รพู ชื ต่อสขุ ภาพของเกษตรกรและผบู้ รโิ ภค ประเทศไทยเป็นประเทศหน่ึง ทม่ี ปี ญั หาในเรอ่ื งสารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื ตกคา้ งในหว่ งโซอ่ าหารเป็นจาํ นวนมาก ซง่ึ เกษตรกรมกั จะฉดี พน่ สารเคมโี ดยไมม่ กี ารป้องกนั ตนเองอยา่ งเหมาะสม ดงั นนั้ เกษตรกรเกอื บทงั้ หมดทต่ี อ้ งใชส้ ารเคมี การเกษตรจงึ มกั มปี ญั หาสขุ ภาพเรอ้ื รงั อยตู่ ลอดเวลา ในขณะเดยี วกนั ผบู้ รโิ ภคเองกม็ โี อกาสทจ่ี ะไดร้ บั สารเคมกี ารเกษตรจากสารเคมที ต่ี กคา้ งอยู่ ในอาหารไดค้ ่อนขา้ งมากเช่นกนั ผกั และผลไมอ้ าจมสี ารกําจดั ศตั รพู ชื ตกคา้ งอยเู่ ม่อื บรโิ ภคสารเคมี เหล่าน้ีบางสว่ นอาจถูกกาํ จดั ออกจากรา่ งกาย แต่บางสว่ นกต็ กคา้ งสะสมในรา่ งกาย โดยเฉพาะอยา่ ง ยงิ่ ในสว่ นทเ่ี ป็นไขมนั ในรา่ งกาย ซง่ึ สารเหล่าน้ีสามารถถ่ายทอดจากแมไ่ ปสลู่ กู ได้ จากการวเิ คราะหข์ องกรมวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ ประมาณเดอื นตุลาคม 2534 พบวา่ 1. ผกั ประเภททค่ี นไทยนิยมบรโิ ภคสดๆ เช่น ถวั่ ฝกั ยาว แตงกวา กะหล่ําปลี มะเขอื เปราะ เป็นตน้ พบการตกคา้ งของสารเคมกี าํ จดั ศตั รพู ชื รอ้ ยละ 37 2. ผกั ประเภททน่ี ิยมปรุงใหส้ ุก พบว่า คะน้า กวางตุง้ ดอกกะหล่ํา ถวั่ แขก และบวบ มี สารพษิ ตกคา้ งเกนิ คา่ ความปลอดภยั 3. ผกั ประเภทนิยมปรุงแต่งรส พบว่าร้อยละ 27 มสี ารพษิ ตกคา้ งในเกณฑ์ปลอดภยั รอ้ ยละ 6 เกนิ คา่ ความปลอดภยั ซง่ึ พบในตน้ หอม พรกิ สะระแหน่ และโหระพา 4. ผลไมป้ ระเภทบรโิ ภคทงั้ เปลอื ก 5 ชนิด คอื องุ่น ชมพู่ ฝรงั่ พุทรา และสตรอเบอร่ี พบว่ารอ้ ยละ 96 มสี ารพษิ ตกคา้ งอย่ใู นเกณฑป์ ลอดภยั รอ้ ยละ 13 เกนิ ค่าความปลอดภยั (พบใน องนุ่ )

11 5. ผลไม้ประเภทไม่บริโภคเปลือก พบว่าร้อยละ 44 มีสารพิษตกค้างอยู่ในเกณฑ์ ปลอดภยั รอ้ ยละ 6 เกนิ คา่ ความปลอดภยั (พบในสม้ เขยี วหวาน) สารตกคา้ งสว่ นใหญ่ทพ่ี บ คอื โมโนโครโตฟอส เมธามโิ ดฟอส และเมทธลิ พาราไธออน ซง่ึ ก่อใหเ้ กดิ พษิ ต่อร่างกาย และทําใหเ้ กดิ โรคแก่ทงั้ เกษตรกรผูผ้ ลติ และผบู้ รโิ ภค องคก์ ารอาหารและ การเกษตรแห่งสหประชาชาติ ประมาณว่ามกี ารใชส้ ารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื กว่า 474,145 ตนั ต่อปี ซง่ึ ถา้ เฉลย่ี ต่อประชากรทวั่ โลกแลว้ พบว่า มกี ารใชส้ ารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื เกอื บ 77 กรมั /คน/ปี ซง่ึ น่าจะ เป็นอนั ตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ทงั้ หมดได้ (สารกําจัดศัตรูพืชท่ีมีพิษปานกลาง คือมี LD50 ประมาณ 50-500 mg/kg นนั้ เมอ่ื บรโิ ภคโดยตรงมากกวา่ 3.5-35 กรมั จะทาํ ใหค้ นทม่ี นี ้ําหนกั ตวั 70 กโิ ลกรมั เสยี ชวี ติ ลงได)้ (โครงการนโยบายสาธารณะเพอ่ื ปลอดภยั ดา้ นอาหารและเศรษฐกจิ การคา้ ท่ี ยงั่ ยนื , 2549) 4) ผลกระทบต่อพฒั นาการของภมู ิปัญญาท้องถ่ิน เกษตรแผนใหม่ไม่เพยี งแต่เปล่ยี นวถิ ชี วี ติ ระบบเศรษฐกจิ และสงั คมของเกษตรกรเท่านัน้ ความเปลย่ี นแปลงดา้ นความคดิ ทม่ี ตี ่อภูมปิ ญั ญาในสงั คมของไทยเอง ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ถูกละเลย ดว้ ยเขา้ ใจว่าเป็นความเช่อื หรอื วธิ ปี ฏบิ ตั ทิ ไ่ี ม่ทนั สมยั ไม่เป็นวทิ ยาศาสตร์ และไม่มปี ระสทิ ธภิ าพ ทศั นะท่เี หยยี ดหยามต่อภูมปิ ญั ญาของเราเองยงิ่ รุนแรงมากยง่ิ ขน้ึ เม่อื เรมิ่ ยุคการปฏวิ ตั เิ ขยี ว การ พฒั นาและแก้ไขปญั หาทางการเกษตรกลายเป็นบทบาทของผู้เช่ียวชาญทางการเกษตรจาก หน่วยงานของรฐั มหาวิทยาลยั หรอื บรษิ ัทการเกษตร ในขณะท่เี กษตรกรกลบั กลายเป็นเพยี ง ผรู้ บั บรกิ าร ทส่ี าํ คญั คอื เกษตรกรถูกทาํ ใหข้ าดความเช่อื มนั่ ในภูมปิ ญั ญาของตนและบรรพบุรุษทส่ี งั่ สมมานับพนั ปี ทงั้ ๆ ท่ขี ณะน้ีเรมิ่ เป็นท่ยี อมรบั กนั มากขน้ึ ทุกทแี ล้วว่าภูมปิ ญั ญาหลายๆ ด้านของ เกษตรกรเป็นความรูท้ ม่ี คี ุณค่าต่อการแกไ้ ขปญั หาวกิ ฤตการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการเกษตรสมยั ใหม่ใน ปจั จุบนั ไม่ว่าจะเป็นดา้ นการปรบั ปรุงบํารุงดนิ การผลติ เมลด็ พนั ธุ์ เคร่อื งมอื การผลติ และการเกบ็ เกย่ี ว เป็นตน้ นอกจากน้ีในอดตี ทผ่ี ่านมา นโยบายพฒั นาการเกษตรมกั เน้นการใชป้ จั จยั ภายนอกฟารม์ เพ่ือเพ่ิมผลผลิต ซ่ึงก่อให้เกิดความต้องการใช้สารเคมีป้ องกันและกําจัดศัตรูพืช ป๋ ุยเคมี และ เคร่ืองจักรกลมากยิ่งข้ึน ปจั จัยภายนอกเหล่าน้ีได้เข้ามาทดแทนกระบวนการผลิต และ ทรพั ยากรธรรมชาติ สารเคมปี ้องกนั และกําจดั ศตั รพู ชื เขา้ มาทดแทนชวี วธิ ี การเขตกรรม และการ จดั การเชงิ กลในการควบคุมศตั รพู ชื วชั พชื และเชอ้ื โรค ป๋ ุยเคมเี ขา้ มาทดแทนป๋ ุยคอก ป๋ ยุ หมกั และ ป๋ ุยพชื สด ซ่ึงการตัดสินใจใช้ปจั จยั ดงั กล่าวของเกษตรกรมีผลมาจากพ่อค้าขายปจั จยั การผลิต นกั วจิ ยั และนกั สง่ เสรมิ การเกษตรนนั่ เอง ในขณะทเ่ี กษตรยงั่ ยนื ใชห้ ลกั ของการลดการใชป้ จั จยั การ ผลิตจากภายนอก และเน้นการใช้ปจั จัยการผลิตภายในฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ การ ผสมผสานการใชป้ จั จยั การผลติ ทงั้ 2 ทาง เกษตรยงั่ ยนื ทเ่ี กดิ ขน้ึ ใชเ้ ทคโนโลยที ฟ่ี ้ืนฟู และอนุรกั ษ์

12 ทรพั ยากร ซ่งึ การปฏบิ ตั ิดงั กล่าวเป็นประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อมและเศรษฐกจิ ของเกษตรกรเอง ตลอดจนเศรษฐกจิ โดยรวม (FAO, 1997) วีดิทศั น์ เรือ่ ง ชะตากรรมเกษตรเชิงเดี่ยว (รายการแผน่ ดนิ ไทย, 2551) เร่อื งยอ่ จากการพฒั นาประเทศตามแนวทางเศรษฐกจิ เสรี ซง่ึ เป็นกระแสหลกั ทผ่ี า่ นมา ได้ ทําใหส้ งั คมไทยเปล่ยี นแปลงแบบกา้ วกระโดดไปสู่ สงั คมทนั สมยั ตามแนวทางตะวนั ตก แต่การ เปล่ยี นอย่างรวดเรว็ และรุนแรง ได้ส่งผลด้านลบอย่างมากมายต่อวถิ ีสงั คมไทย โดยเฉพาะภาค การเกษตร ทพ่ี ฒั นาส่กู ารผลติ เพ่อื ขาย โดยมี “เงนิ ” และผลกําไรเป็นเป้าหมายหลกั เมอ่ื เป็นเชน่ น้ี จากการทาํ เกษตรแบบผสมผสาน เป็นสงั คมเกษตรทพ่ี ง่ึ พาตนเอง และพง่ึ พาอาศยั กนั สกู่ ารเกษตร แบบใหมท่ เ่ี น้นการปลูกพชื เชงิ เดย่ี ว ทต่ี อ้ งพง่ึ พงิ สารเคมี ป๋ ยุ ยาฆา่ แมลง ใชเ้ คร่อื งจกั ร แทนแรงาน คน เพอ่ื เรง่ ผลผลติ ไดม้ ากทส่ี ดุ กระบวนคดิ จากการผลติ เพ่อื บรโิ ภคในครอบครวั เหลอื จงึ แบ่งปนั ใน ชุมชน เป็นการผลติ เพอ่ื การคา้ มกี าํ ไรใหม้ ากทส่ี ุด มุง่ เป้าหมายในการผลติ เพอ่ื การเชงิ พาณชิ ย์ ผล ทต่ี ามมากค็ อื มกี ารทาํ ลายระบบนิเวศน์ อย่างรุนแรง มกี ารบุกเบกิ แผว้ ถางขยายพน้ื ทท่ี าํ กนิ มกี าร ทาํ ลายพน้ื ทป่ี า่ ตน้ น้ํา มกี ารใชส้ ารเคมใี นแปลงเกษตร การทาํ ใหผ้ วิ ดนิ โล่งเตยี น ในขณะทเ่ี กษตรกร ถูกทาํ ใหเ้ ช่อื และฝนั ถงึ ผลตอบแทน จนทําใหต้ อ้ งกูย้ มื สาํ หรบั การลงทุน และทา้ ยทส่ี ุดกต็ กอย่ใู นวงั วนของหน้ีสนิ เมอ่ื ไมส่ ามารถทจ่ี ะควบคุมราคาและกลไกการตลาดได้ คุณภาพชวี ติ และความสขุ ของ เกษตรกรไทยลดลงเรอ่ื ยๆ จนกระทงั่ อยใู่ นภาวะวกิ ฤต ความสาํ คญั ของเกษตรยงั่ ยืน การพฒั นาการเกษตรแผนใหม่กาํ ลงั ถูกทา้ ทายและตงั้ คาํ ถามกนั มากขน้ึ ทุกวนั ไมว่ า่ จะเป็น ในด้านผลกระทบทางสงั คมและสง่ิ แวดล้อมของเทคโนโลยกี ารปฏวิ ตั เิ ขยี ว และการใช้ทรพั ยากร อย่างไมย่ งั่ ยนื ตลอดจนความเหมาะสมของปจั จยั การผลติ สมยั ใหม่ทต่ี อ้ งซอ้ื หามาโดยราคาแพงแต่ ในขณะเดยี วกนั ความจําเป็นในการขยายพลงั การผลติ และเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในภาคการเกษตรก็ เป็นสงิ่ จําเป็น อกี ทงั้ ปจั จยั การผลติ จากธรรมชาตกิ ใ็ ช่ว่าจะไมม่ ผี ลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ มแต่อยา่ งใด เกษตรยงั่ ยนื เป็นทางเลอื กหน่ึงของเกษตรกรรายยอ่ ยทม่ี ฐี านะยากจน เกษตรกรเหล่าน้ีสว่ นใหญ่ไม่ มีเงินแม้แต่จะซ้ือป๋ ุยเคมี ดงั นัน้ จึงจําเป็นต้องพ่ึงพาเทคโนโลยีการเกษตรท่ีใช้ประโยชน์จาก ทรพั ยากรในทอ้ งถน่ิ แมแ้ ต่เกษตรกรทท่ี าํ การเกษตรแผนใหมก่ ย็ งั อาจใชเ้ ทคโนโลยเี กษตรยงั่ ยนื ได้ ดว้ ยเช่นกนั เพ่อื ช่วยลดการปนเป้ือนของสารเคมแี ละลดต้นทุนการผลติ ดงั นัน้ จงึ มคี วามจําเป็นท่ี นกั วชิ าการและปราชญช์ าวบา้ นจะตอ้ งรว่ มกนั พฒั นาองคค์ วามรดู้ า้ นนิเวศการเกษตร เพ่อื ทจ่ี ะทาํ ให้ ระบบการเกษตรยงั่ ยนื เป็นระบบทอ่ี นุรกั ษ์และฟ้ืนฟูทรพั ยากรธรรมชาติ และมปี ระสทิ ธภิ าพอย่าง แทจ้ รงิ (วฑิ รู ย,์ 2547) แนวทางการพฒั นาระบบเกษตรยงั่ ยนื มหี ลกั สาํ คญั อยู่ 2 ประการ คอื

13 - พยายามหาวธิ กี ารท่เี หมาะสมในการใช้ประโยชน์จากทรพั ยากรในท้องถิ่น โดยการ ประยุกต์ใชอ้ งคป์ ระกอบต่างๆ ในระดบั ไรน่ า ไมว่ ่าจะเป็น พชื สตั ว์ ดนิ น้ํา ภูมอิ ากาศ และอ่นื ๆ เพอ่ื ทว่ี า่ องคป์ ระกอบต่างๆ เหล่าน้ีจะเกอ้ื กลู กนั มากทส่ี ดุ - คน้ หาวธิ กี ารในการใชป้ จั จยั การผลติ จากภายนอกใหน้ ้อยท่สี ุดเท่าท่จี ําเป็นจรงิ ๆ เพ่อื เสรมิ ส่วนท่ีขาดหรอื บกพร่องในระบบนิเวศ หรอื เพมิ่ ศกั ยภาพของทรพั ยากรท่มี อี ยู่ ภายในไร่นา โดยจะเน้นการใช้ทรพั ยากรหมุนเวยี น และการป้องกนั ผลกระทบทาง สง่ิ แวดลอ้ ม โดยมเี ป้าหมายในการทําการผลติ ใหไ้ ดผ้ ลผลติ ท่พี อเพยี ง และต่อเน่ืองในระยะยาว อกี ทงั้ พยายามอนุรกั ษ์และฟ้ืนฟูทรพั ยากรธรรมชาติ โดยอาศยั กระบวนการธรรมชาตใิ หม้ ากทส่ี ุดและใน กรณีท่มี กี ารขายผลผลติ ออกสู่ตลาด ก็จะต้องมกี ารค้นหาวธิ ใี นการชดเชยแร่ธาตุท่สี ูญเสยี ไปกบั ผลผลติ ทข่ี ายออกสตู่ ลาดดว้ ย เกษตรยงั่ ยืนเพ่ือใคร จรญั (2536) ไดก้ ล่าวไวว้ ่าแนวคดิ และหลกั การของเกษตรยงั่ ยนื อาจมองไดจ้ ากหลายระดบั ซง่ึ ทาํ ใหเ้ กดิ แนวคดิ ทแ่ี ตกต่างกนั ได้ 1. แนวคดิ ระดบั ไร่นาหรอื เกษตรกร กอ็ าจจะมองการผลติ ทพ่ี อเพยี ง ความพอมพี อกนิ หรอื อยู่ดีกินดีของตนเอง โดยไม่จําเป็นต้องใช้ปจั จยั การผลิตจากภายนอกหรือหากใช้ก็ใช้แต่น้อย ยกตวั อยา่ ง ฟูกุโอกะ ระบบการผลติ แบบวนเกษตรของผใู้ หญ่วบิ ูลย์ เขม็ เฉลมิ อนั เป็นสว่ นหน่ึงของ หลกั การเกษตรยงั่ ยนื แต่ไม่ใช่แนวคิดและหลกั การทงั้ หมดของเกษตรยงั่ ยนื เกษตรยงั่ ยนื เป็น หลกั การกว้างๆ ท่ยี อมรบั ในความหลากหลายของระบบเกษตรนิเวศ และยอมรบั ว่าแนวคดิ หรอื ระบบหน่ึงนนั้ ไมอ่ าจนําไปใชก้ บั ทุกๆ สภาพของระบบเกษตรนิเวศได้ ยกตวั อยา่ งเช่น ในพน้ื ทด่ี นิ ท่ี ขาดความอุดมสมบูรณ์ กอ็ าจจําเป็นตอ้ งใชป้ ๋ ยุ และปจั จยั การผลติ ทจ่ี าํ เป็นได้ แต่ตอ้ งคาํ นึงถงึ ความ ประหยดั และความวฒั นาถาวรของการผลติ ไปพรอ้ มกนั 2. แนวคดิ ในระดบั ประเทศ ผบู้ รหิ ารประเทศจาํ เป็นตอ้ งคาํ นึงถงึ ปรมิ าณอาหารทเ่ี พยี งพอใน การเล้ยี งประชากรของประเทศ (Self-sufficiency) การทเ่ี กษตรกรรายหน่ึงๆ อยู่รอดไดอ้ าจไม่ เพยี งพอสําหรบั ผู้บรหิ ารประเทศหากประเทศนัน้ มอี าหารไม่พอเล้ยี งประชากร นอกจากนัน้ ต้อง คาํ นึงถงึ การอนุรกั ษ์สง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากร ตลอดจนการควบคุมมลภาวะ ฯลฯ ในระดบั ประเทศ นัน้ อาจคํานึงถึงการส่งเป็นสนิ ค้าออก เพ่อื ให้ได้เงนิ ตราต่างประเทศสําหรบั ซ้ือสนิ ค้าอย่างอ่นื ท่ี จาํ เป็นแกส่ ว่ นรวมมาใชอ้ กี ดว้ ย (Self-reliance) 3. แนวคดิ ระดบั ภมู ภิ าค/ทวปี /โลก ในระดบั นานาชาตนิ นั้ มองกวา้ งออกไปอกี ถงึ เรอ่ื งสภาวะ สงิ่ แวดล้อม การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติ มลภาวะ สวสั ดภิ าพของมนุษยโลก ตลอดจนการพฒั นา นานาชาติ เป็นตน้

14 พฒั นาการของเกษตรยงั่ ยืน รปู แบบการเกษตรกรรมของมนุษยไ์ ดพ้ ฒั นามาตามลําดบั ตลอดประวตั ศิ าสตรอ์ นั ยาวนาน พฒั นาการเกษตรในอดตี ดาํ เนินไปอยา่ งสอดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มในแต่ละยคุ สมยั เป็นการผลติ เพ่อื ตอบสนองความเป็นอยู่พ้นื ฐานและพง่ึ พาอาศยั ธรรมชาติ ตราบจนกระทงั่ เกดิ การปฏวิ ตั ิ อุตสาหกรรม ทท่ี าํ ใหม้ นุษยห์ ลงตวั คดิ วา่ สามารถควบคุมและเอาชนะธรรมชาตไิ ด้ การเกษตรแผน ใหมเ่ รมิ่ ทําการผลติ แบบกอบโกยและเกดิ การทําลายลา้ งสภาพแวดลอ้ มขน้ึ ภายใต้คาํ ขวญั \"การ ปฏวิ ตั เิ ขยี ว\" (Green Revolution) การพฒั นาการเกษตรแผนใหมน่ ้ีมงุ่ เน้นเฉพาะแต่การเพมิ่ ผลผลติ โดยการใชเ้ ทคโนโลยเี พ่อื เอาชนะธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเคร่อื งจกั รกล ป๋ ุยเคมี และสารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื ต่างๆ ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามมาก็คอื ระบบนิเวศการเกษตรเส่อื มโทรมลงอย่างรวดเรว็ เน่ืองจากการผลาญใช้ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการสง่ เสรมิ การใชป้ จั จยั การผลติ ทม่ี ผี ลกระทบต่อสมดุลนิเวศ วกิ ฤตการณ์น้ี เรม่ิ สนั่ คลอนรากฐานการพฒั นาเกษตรในอนาคต รวมทงั้ ความอยู่รอดของมนุษยชาตโิ ดยรวม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ปญั หาทเ่ี กดิ จากพษิ ภยั ของสารเคมกี ําจดั ศตั รพู ชื ทต่ี กคา้ งในดนิ น้ํา และผลผลติ การเกษตรทา่ มกลางวกิ ฤตกิ ารณ์ปญั หาการเกษตรและสง่ิ แวดลอ้ ม ความลม้ เหลวในการแกป้ ญั หา การเกษตรของรฐั และขอ้ จํากดั ของแนวทางการพฒั นาชนบทเกษตรกร และองคก์ รพฒั นา เอกชนจํานวนหน่ึงได้พยายามแก้ปญั หาการเกษตรและส่ิงแวดล้อมด้วยการคิดค้นเทคนิคและ รปู แบบการเกษตรทแ่ี ตกต่างไปจากทร่ี ฐั สง่ เสรมิ และเกษตรกรทวั่ ไปปฏบิ ตั ิ โดยอาศยั แนวความคดิ ประสบการณ์ และผลงานการทดลองของบุคคลกลุ่มต่างๆเป็นจาํ นวนมาก ทงั้ ทเ่ี ป็นนกั วทิ ยาศาสตร์ การเกษตร นักธรรมชาตวิ ทิ ยา นักการแพทย์ นักปรชั ญา รวมทงั้ เกษตรกร และเม่อื กล่าวถงึ ผู้ บุกเบกิ การเกษตรกรรมทางเลอื กยคุ ใหม่คงจะตอ้ งกล่าวถงึ บุคคลสาํ คญั ๆ หลายคน ทงั้ ทอ่ี ยใู่ นโลก ตะวนั ออกและตะวนั ตก ดงั น้ี - เซอร์ โรเบริ ต์ แมคคารสิ นั นายแพทยท์ หารบกชาวองั กฤษซง่ึ ไดท้ าํ งานวจิ ยั เกย่ี วกบั เร่อื ง การแพทยแ์ ละสขุ ภาพของชาวฮนั ซา (HANZA) ทป่ี ระเทศอนิ เดยี เมอ่ื ปี 2444 ผลการวจิ ยั ของเขา พบว่า เบอ้ื งหลงั สุขภาพทแ่ี ขง็ แรงปราศจากโรคภยั และมอี ายุยนื กว่า 100 ปีของชาวฮนั ซากค็ อื อาหารทป่ี ระกอบไปดว้ ยเมลด็ ธญั พชื ทไ่ี มข่ ดั สี ผกั ผลไม้ นมแพะ ทไ่ี ดม้ าจากอาหารแบบธรรมชาติ นัน่ เอง นอกจากนัน้ เขายงั ไดท้ ําการทดลองเปรยี บเทยี บการเตบิ โตของหนูทก่ี นิ ขา้ วสาลที ใ่ี ชป้ ๋ ุย ธรรมชาติ และหนูทก่ี นิ ขา้ วสาลที ใ่ี ชป้ ๋ ุยเคมี ผลกค็ อื หนูทก่ี นิ ขา้ วสาลที ใ่ี ชป้ ๋ ุยธรรมชาตมิ อี ตั ราการ เจรญิ เตบิ โตดกี วา่ ประมาณ 15% งานของแมคคารสิ นั อาจถอื ไดว้ ่าเป็นงานบุกเบกิ สาํ คญั ทม่ี อี ทิ ธพิ ล ต่อนกั การแพทย์ นกั โภชนาการ และนกั วทิ ยาศาสตรก์ ารเกษตรอกี ดว้ ย - เซอร์ อลั เบริ ต์ โฮวารค์ นกั ปฐพวี ทิ ยาชาวองั กฤษ ผซู้ ง่ึ วางหลกั การสาํ คญั เกย่ี วกบั การ เกษตรกรรม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การใหบ้ ทบาทสาํ คญั แก่ดนิ ทใ่ี ชใ้ นการเพาะปลกู วา่ เป็นรากฐานของ อารยธรรมมนุษย์ โดยเขาไดก้ ล่าวไวเ้ มอ่ื ทศวรรษท่ี 1930 ว่า \"ดนิ ทส่ี มบูรณ์-พชื สมบรู ณ์-สตั วย์ อ่ ม สมบรู ณ์\"

15 - รดู อลฟ์ สไตเนอร์ ผกู้ ่อตงั้ ขบวนการทเ่ี รยี กวา่ \"Biodynamic Agriculture\" โดยมคี วามเช่อื ว่า เกษตรกรรมมใิ ชเ่ ป็นแค่เพยี งงานธรรมดาเทา่ นนั้ แต่เป็น \"วถิ แี หง่ ชวี ติ \" การเกษตรกรรมนนั้ เป็น ความสมั พนั ธท์ ่ี \"สงั คม\" มตี ่อผนื ดนิ เกษตรกรตอ้ งมพี นั ธะหน้าทต่ี ่อผนื ดนิ ทเ่ี ขาครอบครองอยู่ โดย ความสมั พนั ธท์ ใ่ี กลช้ ดิ ระหวา่ งเกษตรกร พชื และสตั วเ์ ป็นสง่ิ สาํ คญั ของผลติ ภาพและคุณภาพของ ฟารม์ นอกจากนนั้ ระบบเกษตรกรรมตอ้ งสามารถสรา้ งความสมดุลของระบบนิเวศอยา่ งสมบรู ณ์โดย ไมต่ อ้ งพง่ึ พาปจั จยั ภายนอก - ราเชล คารส์ นั นกั เขยี นสารคดวี ทิ ยาศาสตรแ์ ละสภาพแวดลอ้ มชาวอเมรกิ นั กบั ผลงาน หนงั สอื เร่อื ง \"ฤดใู บไมผ้ ลอิ นั เงยี บเหงา\" (Silent Spring) ซง่ึ ไดถ้ ูกตพี มิ พเ์ มอ่ื ประมาณปลายเดอื น กนั ยายน ปี 2505 หนงั สอื เลม่ น้ีไดส้ รา้ งปรากฏการณ์สนั่ สะเทอื นวงการวทิ ยาศาสตรก์ ารเกษตรอยา่ ง รุนแรง ขอ้ เขยี นทเ่ี ต็มไปดว้ ยขอ้ มูลเก่ยี วกบั ปญั หาสารเคมกี ารเกษตรทส่ี ่งผลกระทบต่อสภาวะ แวดลอ้ ม ไดท้ าํ ใหเ้ กดิ การถกเถยี งกนั อยา่ งหนกั ในอเมรกิ าและยโุ รป แมก้ ระทงั่ ประธานาธบิ ดเี คเนด้ี ยงั ต้องมอบหมายใหค้ ณะท่ปี รกึ ษาการเกษตรของเขารายงานผลกระทบของหนังสอื เล่มน้ีท่มี ตี ่อ สาธารณชน - มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ กบั ระบบ \"เกษตรกรรมธรรมชาต\"ิ ฟูกโู อกะไดก้ ล่าวไวว้ ่า เป้าหมาย สงู สุดทแ่ี ทจ้ รงิ ของการเกษตรกรรมคอื การบ่มเพาะความอุดมสมบูรณ์ของมนุษยน์ นั่ เอง ดงั นัน้ แนวทางการเกษตรกรรมและความคดิ ของเขาจงึ มใิ ช่อยทู่ ก่ี ารแสดงออกเฉพาะเร่อื งการผลติ เท่านัน้ แต่เป็นวถิ แี หง่ การดาํ เนินชวี ติ ทม่ี เี ป้าหมายในตวั มนั เอง แนวคดิ และขอ้ เสนอของบุคคลเหล่าน้ี เป็นทม่ี าของเกษตรกรรมทางเลอื ก อนั เป็นระบบ การเกษตรทเ่ี กอ้ื กลู ต่อสงิ่ แวดลอ้ ม มคี วามเป็นไปไดท้ างเศรษฐกจิ และมคี วามยตุ ธิ รรมทางสงั คม ซง่ึ ต่อมาในภายหลงั ไดเ้ รยี กกนั ใหมว่ า่ \"เกษตรยงั่ ยนื \" (สหกรณ์กรนี เนท, มปป.) ส่วนแนวความคดิ และแนวการปฏบิ ตั ขิ องการเกษตรยงั่ ยนื ในประเทศไทย ไดด้ ําเนินมาใน อดตี เป็นเวลาเนิ่นนานแลว้ เพยี งแต่รปู แบบ วธิ กี ารและช่อื เรยี กทต่ี ่างกนั ออกไปตามแต่ภมู นิ ิเวศของ แต่ละพน้ื ท่ี ทเ่ี กษตรกรคดิ สรา้ งจากภูมปิ ญั ญาร่วมกบั สภาพทรพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ มในภูมนิ ิเวศ ของตน (สภุ าวด,ี 2547) ดงั เชน่ มหาอยู่ สุนทรธัย ปี พ.ศ. 2516 จากการเล้ียงปลาในนาข้าว มาเป็นการเกษตรแบบ ผสมผสาน โดยประยกุ ตจ์ ากการทาํ สวนแบบยกรอ่ งในภาคกลาง การเล้ยี งปลาในนาขา้ วและการเกษตรแบบผสมผสาน ปี พ.ศ. 2520 ในภาคอสี าน โดย องคก์ รพฒั นาเอกชน ผใู้ หญ่วบิ ลู ย์ เขม็ เฉลมิ จากปญั หาดา้ นราคาผลผลติ มนั สาํ ปะหลงั ซง่ึ ปลูกถงึ 200 ไร่ ตงั้ แต่ ปีพ.ศ. 2517-2524 พบวา่ ผลประโยชน์สว่ นใหญ่ตกอยกู่ บั ฝา่ ยอน่ื จงึ คดิ ไดว้ า่ ถา้ เราปลกู เพอ่ื กนิ เป็น หลกั ขายเป็นรอง ไมเ่ น้นการขาย แต่เน้นการปลูกใหพ้ อกนิ กไ็ มต่ อ้ งไปต่อรอง ปี พ.ศ. 2525 จงึ ได้

16 ปลูกพืชอาหารอายุสัน้ พืชผักพ้ืนบ้าน ไม้ผล ไม้ยืนต้น แบบคละเคล้าปะปนกันไป ปลูกพืช ผสมผสานเหมอื นปา่ ธรรมชาติ (วนเกษตร) นายคาํ เดอ่ื ง ภาษี เกษตรกรในจงั หวดั บุรรี มั ย์ หลงั จากประสบความลม้ เหลวขาดทุนจากการ เพาะปลูกมนั สาํ ปะหลงั และออ้ ย ไดห้ นั มาทาํ ระบบเกษตรธรรมชาตติ ามแนวทางของ ฟูกูโอกะ ในท่ี นา โดยใชห้ ลกั การควบคุมซง่ึ กนั และกนั ของขา้ ว ถวั่ และผกั ต่างๆ ในพน้ื ทเ่ี ดยี วกนั (บรรเทา, 2548) ซง่ึ โดยสรุปการทําการเกษตรแบบผสมผสานระหว่างพชื หลายชนิด หรอื อาจจะรว่ มกบั การ เลย้ี งสตั วด์ ว้ ยในภาคกลาง อาจจะเรยี กว่า เป็นสวนผสมผสาน (ถา้ ไมม่ ที น่ี ารวมอยู่) หรอื ไร่นาสวน ผสม (ถ้ามีการทํานาด้วย) ในภาคใต้ เรยี กว่า สวนสมรม หรือสวนสะป๊ะสะเป๊ียะ ในภาคเหนือ รปู ธรรมของการพฒั นาการเกษตรแบบยงั่ ยนื ในประเทศไทย เรม่ิ มคี วามชดั เจนมากขน้ึ จากการเกดิ วกิ ฤตการณ์เศรษฐกจิ ระหว่างปี พ.ศ. 2526-2527 เกษตรกรประสบปญั หาการขาดทุนจากราคา ผลผลติ ตกต่ํา ต้นทุนการผลติ สูงซ่งึ เป็นการเกษตรเชงิ เด่ยี วตามกระแสหลกั ทําให้เกิดการระดม ความคดิ เพอ่ื แกป้ ญั หาดงั กลา่ ว ประกอบกบั การมบี ทบาทของเกษตรกรบางรายทป่ี ระสบความสาํ เรจ็ ในการแสวงหาทางเลอื กในระบบการเกษตร และมกี ารเผยแพรแ่ นวความคดิ ขยายกวา้ งขวางขน้ึ ต่อมาได้มอี งค์กรต่างๆ ทงั้ ภาครฐั และเอกชนได้ให้ความสนใจมากข้นึ ในการพฒั นาการ เกษตรเพ่อื ใหเ้ กดิ ความยงั่ ยนื โดยตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2529 เป็นตน้ มา องคก์ รต่างๆ ทท่ี าํ งานพฒั นาการ เกษตรและชนบทไดร้ เิ รมิ่ โครงการอบรมสมั มนาอยา่ งเป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการเกย่ี วกบั การทาํ เกษตรผสมผสานและแนวคดิ ด้านการเกษตรแบบยงั่ ยนื อย่างแพร่หลายทวั่ ประเทศ ในส่วนของ ภาคเอกชน นักพฒั นาจากองค์กรพฒั นาเอกชนท่มี บี ทบาทในการผลกั ดนั ด้านเกษตรแบบยงั่ ยนื อาทเิ ชน่ เดชา ศริ ภิ ทั ร และวฑิ รู เลย่ี นจาํ รญ เป็นตน้ (บรรเทา, 2548) เดชา ศิริภัทร ได้เรียนรู้ถึงการเปล่ียนแปลงด้านการเกษตรของเกษตรกร จากระบบ การเกษตรแบบดงั้ เดมิ ท่มี กี ารจดั ระบบพชื และสตั ว์อย่างหลากหลายเพ่อื สนองความต้องการของ ครอบครวั มาสรู่ ะบบการทาํ เกษตรเพ่อื การคา้ ไดน้ ําเสนอแนวความคดิ เกษตรกรรมแบบผสมผสาน คอื การเล้ยี งปลานในนาขา้ ว เพ่อื เน้นใหเ้ กษตรกรพ่งึ ตนเองได้ และรกั ษาสภาพแวดล้อมใหด้ อี ยู่ เสมอ วฑิ รู ย์ เลย่ี นจาํ รญู มบี ทบาทสาํ คญั ในการผลกั ดนั เกษตรกรรมทางเลอื กในประเทศไทย โดย ในปีพ.ศ. 2530 ได้เรม่ิ นําเสนอหนังสอื ช่อื “การเกษตรแบบผสมผสาน: โอกาสสุดท้ายของ เกษตรกรรมไทย” พยายามช้ีให้เห็นว่า คน สัตว์ พืช ระบบการเกษตร และระบบนิเวศน์มี ความสมั พนั ธแ์ ละสายใยเชอ่ื มต่อกนั อยา่ งสลบั ซบั ซอ้ น ในส่วนของภาครฐั มหี น่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่น กรมวชิ าการเกษตร กรม ส่งเสรมิ การเกษตร ถอื เป็นหน่วยงานหลกั ในการรเิ รมิ่ ทําวจิ ยั และพฒั นาตลอดจนส่งเสรมิ เผยแพร่ แนวคิดเร่ืองการเกษตรแบบยงั่ ยืน โดยมีการพฒั นาแนวทางการส่งเสริม และประสานงานกบั หน่วยงานรฐั หลายหน่วยงาน โดยเฉพาะสถาบนั ทรพั ยากรธรรมชาติและความหลากหลายทาง

17 ชวี ภาพ สํานักงานปลดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไดม้ สี ่วนในการสนับสนุนการประสานงานจน ผลกั ดนั ใหเ้ ป็นนโยบายของรฐั กาํ หนดเป็นแนวทางในแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 8 เพ่ือเป็นทางออกแก่เกษตรกรรายย่อยให้สามารถพ่ึงพาตนเองได้ ในสถานการณ์วิกฤติ เศรษฐกจิ หลงั ปี พ.ศ. 2540 เป็นตน้ มา (บรรเทา, 2548)

บทท่ี 2 แนวคิด ความหมาย และหลกั การของเกษตรยงั่ ยืน แนวคิดเกษตรยงั่ ยืน คาํ ว่า ความยงั่ ยนื มาจากคาํ ภาษาองั กฤษว่า Sustainability ซง่ึ ในพจนานุกรมนัน้ อธบิ าย ความหมายว่า คอื การดําเนินการไปอยา่ งต่อเน่ืองหรอื ความสามารถในการดํารงอย่โู ดยไม่มวี นั สญู หายไป แต่เม่อื นําคาํ น้ีมาใชใ้ นทางการเกษตร คาํ ว่า ความยงั่ ยนื น้ีน่าจะหมายถงึ ศกั ยภาพในการ ผลติ ทด่ี าํ รงอยอู่ ยา่ งต่อเน่ืองโดยไมท่ าํ ใหฐ้ านทรพั ยากรทรุดโทรมหรอื สญู สน้ิ ไป (วฑิ รู ย,์ 2547) ดงั ท่ี คณะกรรมการทป่ี รกึ ษาดา้ นเทคนิคของกลุ่ม CGIAR (Consultative Group on International Agricultural Research) ไดน้ ิยามวา่ เกษตรยงั่ ยนื คอื ระบบการบรหิ ารทรพั ยากร เพอ่ื ทาํ การผลติ การเกษตรทต่ี อบสนองต่อความจาํ เป็นและตอ้ งการของมนุษย์ และในขณะเดยี วกนั กธ็ ํารงรกั ษาและ ฟ้ืนฟูคุณภาพของสง่ิ แวดลอ้ ม ตลอดจนชว่ ยอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ (TAC/CGIAR, 1988 อา้ ง ใน วฑิ รู ย,์ 2547) ความหมายเกษตรยงั่ ยืน เกษตรยัง่ ยืน คือ ระบบเกษตรกรรมท่ีมีความสัมพันธ์ และเก้ือกูลกับสภาพ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมของแต่ละภูมินิเวศ สามารถให้ผลผลิตท่ีปลอดภัยและ หลากหลายเพ่อื ลดความเสย่ี งภยั ทางเศรษฐกจิ และการพง่ึ พาปจั จยั ภายนอก โดยผ่านกระบวนการ แลกเปล่ยี นเรยี นรูข้ องเกษตรกร อนั จะนําไปสู่คุณภาพชวี ติ ทด่ี แี ละการพง่ึ พาตนเองของเกษตรกร ซง่ึ สรปุ ไดด้ งั น้ี (สภุ าวด,ี 2547) 1. ดา้ นเศรษฐศาสตร์ มองวา่ จะมคี วามยงั่ ยนื ในการทาํ การเกษตร ผลกําไร ความมนั่ คง และ ความปลอดภยั ทางดา้ นอาหาร และมปี จั จยั พน้ื ฐานในการดาํ รงชวี ติ ของเกษตรกรอยา่ งพอเพยี ง 2 . ด้า น ร ะ บ บ นิ เ ว ศ ก า ร ทํ า เ ก ษ ต ร แ บ บ ยัง่ ยืน จ ะ ต้อ ง ช่ ว ย ฟ้ื น ฟู แ ล ะ อ นุ รัก ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม ทําให้เกิดความหลากหลายทางชวี ภาพในไร่นา ตามแต่ละ ภมู นิ ิเวศทเ่ี ป็นอยู่ 3. ด้านสงั คม การเกษตรแบบยงั่ ยืนนอกจากจะสร้างความมนั่ คงทางด้านอาหาร และ ปจั จยั พน้ื ฐานในการดํารงชพี ของคนในสงั คมแลว้ สงิ่ ทต่ี ามมา คอื ประชาชนจะมคี วามเสมอภาคใน กระบวนการเรยี นรู้ เกดิ ชุมชนเขม้ แขง็ มกี ารสรา้ งเครอื ขา่ ยรองรบั ประชาชนไดร้ บั ความเป็นธรรม ทาํ ใหเ้ กยี รตศิ กั ดศิ ์ รเี ป็นทย่ี อมรบั ในสงั คม 4. ดา้ นวฒั นธรรม การพฒั นาการเกษตรแบบยงั่ ยนื จะตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ งเป็นทย่ี อมรบั กบั ปจั จยั วฒั นธรรม อนั ประกอบดว้ ย ภมู ปิ ญั ญา ความเช่อื คา่ นิยม ศาสนา และประเพณสี งั คม 5. การมององค์ประกอบหรือภาพองค์รวม การเกษตรแบบยงั่ ยืนจะต้องเป็นระบบท่ีมี ความสมั พนั ธห์ ลากหลายดา้ นสอดคลอ้ งกนั เป็นองคร์ วมในเวลาเดยี วกนั ไมแ่ ยกสว่ นจากกนั ในการ

19 พจิ ารณา ไมว่ า่ จะเป็นลกั ษณะทางกายภาพของสงิ่ มชี วี ติ สงิ่ ไมม่ ชี วี ติ สงั คม เศรษฐกจิ และนโยบาย เพ่อื ท่จี ะทําให้ทงั้ กจิ กรรมการเกษตรภายในไร่นา และกิจกรรมอ่นื ๆ นอกไร่นา มคี วามประสาน สอดคลอ้ งกนั ทุกดา้ น เกษตรยงั่ ยนื หมายถงึ ระบบเกษตรทม่ี คี วามเป็นไปไดท้ างเศรษฐกจิ เกอ้ื กูลต่อระบบนิเวศ มคี วามเป็นธรรม เคารพในความเป็นมนุษยแ์ ละมรี ะบบวฒั นธรรมท่เี หมาะสม (วฑิ ูรย์, 2539) ซ่งึ หลายรูปแบบ ข้นึ อยู่กบั การให้ความสําคญั กบั องค์ประกอบด้านใดของระบบเกษตรกรรม โดย รปู แบบเกษตรยงั่ ยนื ทโ่ี ดดเด่นในประเทศไทยและไดร้ บั การยอมรบั มี 5 รปู แบบ (อนุสรณ์, 2546 และมลู นิธเิ กษตรยงั่ ยนื , มปป.) คอื 1) เกษตรผสมผสาน หมายถงึ ระบบการเกษตรทม่ี กี ารปลกู พชื และเลย้ี งสตั วห์ ลายชนิดใน พน้ื ทเ่ี ดยี วกนั หรอื มกี จิ กรรมการเกษตรตงั้ แต่ 2 กจิ กรรมขน้ึ ไป 2) เกษตรอินทรีย์ หมายถึง ระบบการผลิตทางการเกษตรท่ีหลีกเล่ียงการใช้ป๋ ุยเคมี สงั เคราะห์ สารเคมกี ําจดั ศตั รูพชื ฮอร์โมนท่กี ระตุ้นการเจรญิ เติบโตของพชื และสตั ว์ รวมทงั้ สง่ิ มชี ีวิตดดั แปลงทางพนั ธุกรรม เกษตรอินทรยี ์ให้ความสําคญั สูงสุดในการ ปรบั ปรุงบํารุงดิน โดยเช่ือว่า หากดินมคี วามอุดมสมบูรณ์ ย่อมทําให้พืชและสตั ว์ท่ี เจรญิ เตบิ โตจากผนื ดนิ นนั้ มคี วามอุดมสมบรู ณ์ตามไปดว้ ย 3) เกษตรธรรมชาติ ประกอบดว้ ยหลายแนวทาง ไดแ้ ก่ เกษตรธรรมชาตแิ นวทางฟูกูโอกะ ซง่ึ เป็นการทาํ เกษตรแบบอกรรม (Doing nothing farming) คอื เป็นการยุตเิ กษตรกรรม ท่แี ทรกแซงธรรมชาติ นอกจากน้ีมเี กษตรธรรมชาติคิวเซ ซ่ึงพฒั นามาจากเกษตร ธรรมชาตขิ องโมกจิ ิ โอกาดะ มหี ลกั การว่า “การนําพลงั อนั สูงส่งตามธรรมชาตขิ องดนิ มาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์…สงิ่ สําคญั ทก่ี ่อใหเ้ กดิ ปญั หาในการเกษตรทผ่ี ่านมาคอื การขาด ความรคู้ วามเขา้ ใจต่อธรรมชาตขิ องดนิ ” 4) วนเกษตร เป็นเกษตรกรรมทน่ี ําเอาหลกั การความยงั่ ยนื ถาวรของระบบปา่ ธรรมชาติ มา เป็นแนวทางในการทําการเกษตร ใหค้ วามสาํ คญั เป็นอย่างสูงกบั การปลูกไมย้ นื ตน้ ไม้ ผล และไมใ้ ชส้ อยต่าง ๆ ใหเ้ ป็นองคป์ ระกอบหลกั ของไร่นา ผสมผสานกบั การปลูกพชื ชนั้ ล่างทไ่ี มต่ อ้ งการแสงแดดมาก หรอื ไดอ้ าศยั รม่ เงา และความชน้ื จากการทม่ี พี ชื ชนั้ บน ขน้ึ ปกคลุม รวมทงั้ การจดั องค์ประกอบการผลติ ทางการเกษตรใหม้ คี วามหลากหลาย ชนิดของพชื และสตั ว์ 5) เกษตรทฤษฎใี หม่ เน้นการจดั การแหล่งน้ํา และการจดั สรรแบ่งสว่ นพน้ื ทท่ี าํ การเกษตร อย่างเหมาะสม ซ่ึงจะทําให้เกษตรกรมขี ้าวปลาอาหารไว้บริโภคอย่างพอเพยี งตาม อัตภาพ อันจะเป็นการแก้ปญั หาในเร่ืองชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรแล้ว ยัง ก่อใหเ้ กดิ ความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ โดยรวมของประเทศ

20 องคป์ ระกอบเกษตรยงั่ ยืน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO, 2008) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบ 5 ประการของเกษตรยงั่ ยนื ซง่ึ จาํ เป็นตอ้ งมอี งคป์ ระกอบครบทงั้ 5 ประการน้ีจงึ จะเป็นเกษตรยงั่ ยนื ท่ี แทจ้ รงิ 1. การอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ (Resources-conserving) เชน่ ทด่ี นิ น้ํา เป็นตน้ 2. ไมท่ าํ ลายสง่ิ แวดลอ้ ม (Environmentally non-degrading) 3. ยอมรบั ไดท้ างเทคนิค (Technically appropriate) 4. ยอมรบั ไดท้ างเศรษฐกจิ (Economically acceptable) 5. ยอมรบั ไดท้ างสงั คม (Socially acceptable) นอกจากน้ีในทางปฏบิ ตั ิ เกษตรยงั่ ยนื ยงั ตอ้ งใชป้ จั จยั การผลติ จากภายนอกใหน้ ้อยทส่ี ดุ (ป๋ ยุ ทซ่ี อ้ื ใชใ้ นฟารม์ ) และใชท้ รพั ยากรธรรชาตทิ ม่ี อี ยใู่ นทอ้ งถน่ิ หากจาํ เป็นตอ้ งซอ้ื ปจั จยั การผลติ กต็ อ้ ง มกี ารใชอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ (Lee, 2005) หลกั การเกษตรยงั่ ยืน หลกั การนิเวศของเกษตรยงั่ ยนื (วฑิ รู ย,์ 2547) ประกอบดว้ ยหลกั 5 ประการสาํ คญั คอื 1. การปรบั ปรงุ บาํ รงุ ดนิ ใหม้ คี วามอุดมสมบรู ณ์เพอ่ื ใหพ้ ชื สามารถเจรญิ เตบิ โต และมคี วาม แขง็ แรง โดยเน้นการจดั การอนิ ทรยี วตั ถุในดนิ และการสง่ เสรมิ สง่ิ มชี วี ติ ในดนิ 2. การรกั ษาธาตุอาหาร และสรา้ งสมดุลของวงจรธาตุอาหารโดยการตรงึ ไนโตรเจน การดงึ ธาตุอาหารจากดนิ ชนั้ ล่าง และการใชป้ ๋ ยุ อยา่ งหมนุ เวยี น 3. การลดการสูญเสยี อนั เน่ืองมาจากรงั สีแสงอาทิตย์ อากาศ และน้ํา โดยการจดั การ ภมู อิ ากาศยอ่ ย การจดั การน้ํา และการควบคมุ การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ 4. การลดการสญู เสยี อนั เน่ืองมาจากศตั รพู ชื โดยการป้องกนั และกาํ จดั ศตั รพู ชื ทป่ี ลอดภยั 5. ส่งเสริมการเก้ือกูลกนั ระหว่างสิ่งมชี ีวิตในฟาร์ม โดยการเร่มิ ความหลากหลายทาง พนั ธุกรรม ซง่ึ เป็นวธิ กี ารเกษตรทผ่ี สมผสาน และมคี วามหลากหลายของลําดบั ชนั้ ทาง นิเวศ แนวทางปฏบิ ตั เิ พอ่ื บรรลุหลกั การดงั กล่าวขา้ งตน้ มหี ลายรปู แบบ หลายเทคนิค ซง่ึ แต่ละวธิ ี จะมคี วามแตกต่างกนั ในหลายมติ ิ ทงั้ ประสทิ ธผิ ล ความมนั่ คง ความต่อเน่ือง และเอกลกั ษณ์ของ ฟารม์ ทงั้ น้ีขน้ึ อยู่กบั เง่อื นไข โอกาส และขอ้ จํากดั ในทอ้ งถน่ิ โดยเฉพาะขอ้ จํากดั ในดา้ นทรพั ยากร ของเจา้ ของฟาร์มและระบบตลาด อย่างไรก็ตามเกษตรยงั่ ยนื ได้ผสมผสาน 3 เป้าหมายหลกั คอื สุขภาพของทงั้ ผู้ผลติ และผูบ้ รโิ ภค ผลไดท้ างเศรษฐกิจ และความเท่าเทยี มกนั ทางเศรษฐกจิ และ สงั คม เชน่ ระบบการคา้ ทเ่ี ป็นธรรมไวใ้ นระบบการผลติ มากทส่ี ดุ

21 มลู นิธเิ กษตรยงั่ ยนื (มปป.ก) ไดอ้ ธบิ ายหลกั 10 ประการของระบบเกษตรยงั่ ยนื ไวด้ งั น้ี 1. มกี ารใชป้ ระโยชน์จากภูมปิ ญั ญาพน้ื บา้ น และมกี ารพฒั นาต่อยอดภูมปิ ญั ญาพน้ื บา้ นใน เรอ่ื งเกษตรยงั่ ยนื 2. เกษตรกรมบี ทบาทหลกั ในการพฒั นาความรแู้ ละการวจิ ยั ทางการเกษตรดว้ ยตนเอง 3. ใชท้ รพั ยากรภายในฟารม์ ใหม้ ากทส่ี ดุ และลดการใชป้ จั จยั การผลติ จากภายนอก 4. หลกี เล่ยี งและปฏเิ สธการใชส้ ารเคมเี พ่อื การเกษตร และผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ดม้ าจากเชอ้ื เพลงิ ฟอสซลิ 5. ใหค้ วามสําคญั สูงสุดในการปรบั ปรุงบํารุงดนิ ดว้ ยอนิ ทรยี วตั ถุ และใช้กระบวนการทาง ธรรมชาตใิ หด้ นิ มคี วามอดุ มสมบรู ณ์อยไู่ ดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื 6. มคี วามหลากหลายทางชวี ภาพ มหี ลากหลายของกจิ กรรมการผลติ ทางการเกษตรในไร่ นา และผสมผสานกจิ กรรมการผลติ เหล่านนั้ ใหเ้ กอ้ื กลู ประโยชน์กนั 7. ควบคมุ ศตั รพู ชื โดยวธิ ธี รรมชาติ และวธิ กี ารซง่ึ ไมใ่ ชส้ ารเคมรี ปู แบบต่างๆ 8. ผลิตอาหารท่มี คี ุณภาพทางโภชนาการมธี าตุอาหารครบถ้วนในปรมิ าณท่เี พยี งพอแก่ ความต้องการท่ีจําเป็นในการดํารงชีวติ โดยตอบสนองต่อความต้องการอาหารและปจั จยั ในการ ดาํ เนินชวี ติ ภายในครอบครวั /ชมุ ชนก่อนเป็นเบอ้ื งตน้ 9. ปฏบิ ตั ติ ่อธรรมชาตแิ ละสง่ิ มชี วี ติ อ่นื ดว้ ยความเคารพ 10. เออ้ื อํานวยใหเ้ กษตรกรและชุมชนสามารถพฒั นาตนเองไดโ้ ดยอสิ ระ พง่ึ พาตนเองได้ โดยปราศจากการครอบงาํ จากภายนอก นอกจากน้ีเงอ่ื นไขจําเป็นสาํ หรบั การทําเกษตรยงั่ ยนื ใหป้ ระสบผลสาํ เรจ็ คอื เกษตรกรตอ้ ง รจู้ กั การจดั การทรพั ยากรรว่ มกนั จดั การศตั รพู ชื โดยใชต้ วั หา้ํ ตวั เบยี น จดั การธาตุอาหารพชื ควบคุม การปนเป้ือนของน้ํา จดั การอนุรกั ษ์ดนิ และน้ํา และจดั การพนั ธุส์ ําหรบั ปลูก แต่ปญั หาส่วนใหญ่ คอื การขาดรากฐานต่อการตดั สนิ ใจในการจดั การทรพั ยากร (Röling, 1994a and 1994b) ตวั ชี้วดั เกษตรยงั่ ยืน มลู นิธเิ กษตรยงั่ ยนื (2546) ไดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ มหี ลกั การสาํ คญั 3 ประการคอื 1. ความยงั่ ยนื ทางเศรษฐกจิ ในระบบการผลติ ทางการเกษตรโดยทวั่ ไปราคาของผลผลติ และรายไดจ้ ะเป็นแรงจูงใจให้ เกษตรกรตัดสินใจว่าจะผลิตอไร ระบบการผลิตแบบน้ีเรียกว่า “เศรษฐกิจการตลาด” (Market economy) ซ่งึ จะไม่ค่อยคํานึงถงึ สภาวะอ่นื ๆ นอกจากผลตอบแทนในรูปของผลผลติ และรายได้ อยา่ งไรกต็ ามระบบการผลติ แบบเกษตรยงั่ ยนื จะมงุ่ ผลติ เพอ่ื ความอยรู่ อด (Survival economy) ของ

22 เกษตรกรเอง ลกั ษณะการผลติ อย่างน้ีเกษตรกรจะผลติ หรอื เปล่ยี นแปลงการผลติ ขน้ึ อย่กู บั สภาพ ทางกายภาพ สงั คมและสงิ่ แวดล้อม โดยมวี ตั ถุประสงค์เพ่อื ให้ไดผ้ ลผลติ เพยี งพอบรโิ ภคภายใน ครอบครวั สว่ นทเ่ี หลอื เป็นสว่ นของสวสั ดกิ าร (อาจจาํ หน่ายเพอ่ื แลกเปลย่ี นเป็นปจั จยั อ่นื ๆ) 2. ความยงั่ ยนื ทางดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม ทรพั ยากรธรรมชาตซิ ง่ึ เป็นปจั จยั ทส่ี าํ คญั ในการผลติ พชื โดยเฉพาะดนิ และน้ําหลกั จากไดม้ ี การทําการเกษตรเป็นเวลานานทรพั ยากรเหล่าน้ีไดเ้ ส่อื มโทรมลงเป็นอนั มาก หรอื อาจนับยอ้ นหลงั ไปถึงสมยั “ปฏิวตั ิเขยี ว” ราว 4 ทศวรรษท่ีผ่านมา เพ่ือเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการผลิตให้สูงข้นึ โดย คํานึงถงึ ผลตอบแทนในเชงิ เศรษฐกจิ เป็นหลกั มกี ารใชป้ จั จยั การผลติ ท่มี อี ยู่ในธรรมชาติ เช่น ป๋ ุย คอก ป๋ ุยหมกั สมุนไพร เทคโนโลยดี งั กล่าวสามารถเพมิ่ ผลผลิตได้อย่างรวดเรว็ และชดั เจนแต่ ผลกระทบจากการใชป้ จั จยั ดงั กล่าวเม่อื เวลาผ่านๆไปหลายๆ ปีทาํ ใหส้ ภาพดนิ น้ํา และระบบนิเวศ เส่อื มโทรม เปรยี บเทียบกบั ระบบการผลิตของเกษตรยงั่ ยนื ซ่ึงเน้นการผสมผสานให้เกิดความ หลากหลายทางชวี ภาพ โดยกจิ กรรมต่างๆ เกอ้ื กลู ซง่ึ กนั และกนั เชน่ พชื สตั ว์ ประมง และปา่ ไม้ ใน ระบบเกษตรผสมผสาน โดยเน้นการหมนุ เวยี นใชท้ รพั ยากรทม่ี อี ยใู่ นไรน่ า และสวนเป็นสาํ คญั 3. ความยงั่ ยนื ทางดา้ นสงั คม เกษตรกรซ่งึ เป็นประชากรส่วนใหญ่ยงั ยากจน จะเหน็ ไดว้ ่าการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม ตงั้ แต่แผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 1 เรม่ิ ใชป้ ี พ.ศ. 2504 จนถงึ แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมฉบบั ปจั จุบนั เกษตรกรส่วนใหญ่กย็ งั ยากจนอยู่ ฉะนัน้ ระบบการผลติ การเกษตรในระบบปฏวิ ตั เิ ขยี วทผ่ี ่านมา 4 ทศวรรษนัน้ ยงั ไม่สามารถฟ้ืนฟูสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรใหด้ ขี น้ึ กว่าสมยั อดตี กาล ระบบ การผลติ เกษตรกรรมแบบยงั่ ยนื จะเป็นทางเลอื กใหก้ บั เกษตรกรทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงระบบการผลติ เพ่อื ก่อใหเ้ กดิ รายไดท้ ย่ี งั่ ยนื พรอ้ มทงั้ อนุรกั ษส์ ภาพแวดลอ้ ม จะเป็นการสรา้ งครอบครวั ชมุ ชน และสงั คม ใหม้ คี วามแขง็ แกรง่ ยงิ่ ขน้ึ นอกจากน้ี Gips (1986) อ้างถึงใน วฑิ ูรย์ (2547) มองว่าระบบเกษตรยงั่ ยนื ต้อง ประกอบดว้ ยเงอ่ื นไข 5 ประการ คอื 1. สอดคล้องกบั ระบบนิเวศ คอื มกี ารรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตใิ หค้ งสภาพท่สี มบูรณ์ รวมทงั้ ระบบนิเวศการเกษตรอย่างเป็นองค์รวม ไม่ว่าจะเป็นส่ิงท่ีไม่มีชีวิต เช่น ดิน น้ํา หรือ สงิ่ มชี วี ติ เช่น มนุษย์ พชื หรอื สตั ว์ ตลอดจนส่งมชี วี ติ ขนาดเลก็ ในดนิ ควรไดร้ บั การดแู ลจดั การใหม้ ี ความสมดุลและมสี ุขภาพทด่ี ี โดยนําระบบการจดั การปรบั ปรุงบํารุงดนิ และการดูแลสุขภาพของพชื สตั ว์ และมนุษย์โดยกระบวนการทางชวี วิทยา (การควบคุมกนั เอง) มาใช้ รวมทงั้ นําทรพั ยากร ทอ้ งถนิ่ มาใชป้ ระโยชน์ แต่ขณะเดยี วกนั กม็ มี าตรการป้องกนั การสญู เสยี ธาตุอาหาร มวลชวี ภาพและ พลงั งาน รวมทงั้ ป้องกนั การเกดิ มลพษิ ต่างๆ ตลอดจนควรเน้นการใชแ้ หล่งทรพั ยากรและพลงั งาน หมนุ เวยี นเพม่ิ ขน้ึ

23 2. มคี วามเป็นไปไดท้ างเศรษฐกจิ คอื เกษตรกรควรจะสามารถทําการผลติ พอเพยี งท่จี ะ เล้ยี งดูครอบครวั และมรี ายไดต้ ามอตั ภาพ รวมทงั้ มผี ลตอบแทนทเ่ี หมาะสมต่อแรงงานหรอื ต้นทุน การผลติ อ่นื กรอบในการพจิ ารณาความอยู่รอดทางเศรษฐกจิ น้ีไม่ควรดูเฉพาะแต่ผลผลติ โดยตรง จากฟาร์มเท่านัน้ แต่รวมถึงประโยชน์อ่นื ด้านกว้าง เช่น การลดค่าใช้จ่ายในชีวติ ประจําวนั การ อนุรกั ษ์ทรพั ยากร และการลดความเสย่ี ง 3. มคี วามยุตธิ รรมทางสงั คม คอื มกี ารกระจายทรพั ยากรและอํานาจใหก้ บั ประชาชนเพ่อื เป็นหลกั ประกนั วา่ ประชาชนทกุ คนจะไดร้ บั การตอบสนองในดา้ นปจั จยั ยงั ชพี และโครงสรา้ งพน้ื ฐาน เพ่อื การผลติ เท่าเทยี มกนั รวมทงั้ มหี ลกั ประกนั สําหรบั สทิ ธใิ ์ นการใชท้ ด่ี นิ การมเี งนิ ทุนท่พี อเพยี ง ความช่วยเหลือด้านเทคนิค และช่องทางด้านตลาด ประชาชนทุกคนมีโอกาสท่ีจะเข้าร่วมใน กระบวนการตดั สนิ ใจ ทงั้ ในระดบั พน้ื ทแ่ี ละในระดบั สงั คมโดยรวม วกิ ฤตการณ์ทางสงั คมไมว่ ่าจะเกดิ จากสาเหตุอนั ใดก็ตามอาจมผี ลคุกคามต่อระบบสงั คมโดยรวมได้ รวมทงั้ ระบบเกษตรกรรมด้วย เชน่ กนั 4. มีมนุษยธรรม คือ สงิ่ มชี ีวิตทงั้ มวล (พืช สตั ว์ และมนุษย์) มีสทิ ธิท่ีจะมชี ีวิตอยู่อย่าง เหมาะสม มนุษย์ทุกคนควรได้รบั การยอมรบั อย่างเท่าเทยี มกนั รวมทงั้ ความสมั พนั ธ์ต่างๆ ควร ตงั้ อยบู่ นคา่ นิยมทถ่ี ูกตอ้ ง โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การไวว้ างใจซง่ึ กนั และกนั ความซ่อื สตั ย์ การเคารพใน ตนเองและผูอ้ ่นื ความร่วมมอื สามคั คี และความรกั ในเพ่อื นมนุษย์ หลกั การทางวฒั นธรรมและจติ วญิ ญาณของสงั คมจะตอ้ งไดร้ บั การรกั ษาและพฒั นาใหก้ า้ วรดุ หน้าไป 5. มคี วามยดื หยนุ่ คอื ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ สามารถปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาวการณ์ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป ไมว่ า่ จะเป็นเงอ่ื นไขดา้ นประชากรหรอื นโยบายตลาด ซง่ึ ความหมายจะตอ้ งมกี ารพฒั นาเทคโนโลยที ่ี เหมาะสมและการเปลย่ี นแปลงทางสงั คมวฒั นธรรมควบคกู่ นั ไป ตวั ชี้วดั ความยงั่ ยืนทางการเกษตร ความยงั่ ยนื ทางการผลติ เป็นแงม่ ุมทส่ี ําคญั ทจ่ี ะนําไปส่คู วามยงั่ ยนื ของระบบนิเวศโดยรวม ดงั้ นนั้ ตวั ชว้ี ดั ความยงั่ ยนื ของระบบเกษตรซง่ึ สรปุ จาก Gliessman (2007) อา้ งถงึ ใน สุพจน์ (2552) จงึ เป็นสง่ิ ทผ่ี ผู้ ลติ จาํ เป็นตอ้ งพจิ ารณาเพ่อื ใหเ้ กดิ ความยงั่ ยนื ของระบบการเกษตร โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 1. สขุ ภาพของดนิ (Soil health) หมายถงึ สภาพดนิ ทม่ี คี วามสมบูรณ์ช่วยใหพ้ ชื เจรญิ เตบิ โต แขง็ แรง ซง่ึ สามารถใชว้ ธิ กี ารวดั ดงั รายละเอยี ดในตารางท่ี 2-1

24 ตารางท่ี 2-1: ข้อบง่ ชี้ดินที่มีสขุ ภาพดี ตวั ชี้วดั เวลาที่เหมาะสมในการวดั สภาพบง่ ชี้ว่าดินสขุ ภาพดี มไี สเ้ ดอื นอาศยั อยู่ ชว่ งฤดฝู นและเมอ่ื ดนิ มคี วามชน้ื มากกวา่ 10 ตวั ต่อตารางฟุต สขี องอนิ ทรยี วตั ถุ เมอ่ื ดนิ มคี วามชน้ื ผวิ หน้าดนิ มสี ดี าํ ต่างจากดนิ ชนั้ ลา่ งชดั เจน มพี ชื ชนิดต่างๆ ทุกเวลา ทกุ ฤดกู าล พบตน้ พชื เจรญิ เตบิ โตแมไ้ มใ่ ช่ เจรญิ เตบิ โต ฤดกู าลทท่ี าํ การเพาะปลกู สภาพของรากพชื ชว่ งทก่ี าํ ลงั เจรญิ เตบิ โตอยา่ ง รากแตกแขนงจาํ นวนมากและแผ่ รวดเรว็ ขยายลงสดู่ นิ ชนั้ ล่าง การกดั กรอ่ นดนิ หลงั ฝนตกอยา่ งหนกั ไมม่ รี อ่ งน้ําเลก็ ๆ จากการกดั เซาะ และน้ําไหลบ่าจากผวิ ดนิ ไมข่ นุ่ ความสามารถในการอมุ้ น้ํา หลงั ฝนตกหรอื ชว่ งฤดกู าล สามารถกกั เกบ็ ความชน้ื ได้ เพาะปลกู มากกวา่ 1 สปั ดาห์ ลกั ษณะน้ําทว่ มขงั หลงั ฝนตกอยา่ งหนกั ไมเ่ ป็นแอง่ หรอื เกดิ การไหลบ่า หน้าดนิ ไมแ่ ฉะ คา่ พเี อช ของดนิ ตลอดฤดกู าล ใกลเ้ ป็นกลาง (7.0) ความสามารถในการกกั เกบ็ ตลอดฤดกู าล มธี าตุ N P K สงู แต่ไมม่ ากเกนิ ไป ธาตุอาหาร ทม่ี า: สพุ จน์ (2552) 2. คา่ ดชั นีผลติ ภาพ (Productivity index, PI) เป็นค่าทแ่ี สดงถงึ กระบวนการในระบบนิเวศ ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งกบั การเกบ็ พลงั งานแสงอาทติ ยเ์ ปลย่ี นเป็นชวี มวล โดยวธิ กี ารวดั ปรมิ าณของผลติ ภาพ ได้ คอื การวดั ปรมิ าณชวี มวลทเ่ี กบ็ เกย่ี ว คา่ ดชั นีผลติ ภาพ (PI) = ชวี มวลทงั้ หมดทส่ี ะสมในระบบ/ คา่ ผลติ ภาพขนั้ ปฐมภมู สิ ทุ ธิ ค่า PI น้ีอาจต่ํากวา่ 1 สาํ หรบั พน้ื ทซ่ี ง่ึ ปลกู พชื อยตู่ ลอดเวลา และอาจถงึ 50 สาํ หรบั พน้ื ทซ่ี ง่ึ เป็นระบบนิเวศธรรมชาติ พน้ื ทใ่ี ดทม่ี คี า่ PI สงู ยอ่ มบง่ ชถ้ี งึ ศกั ยภาพในการใหผ้ ลผลติ ทย่ี าวนานอยา่ ง ต่อเน่ือง เป็นสงิ่ สะทอ้ นถงึ ความยงั่ ยนื ของระบบเกษตรไดโ้ ดยตรง 3. สภาพความยงั่ ยนื ของนิเวศ ประกอบดว้ ยปจั จยั บ่งชถ้ี งึ ความยงั่ ยนื ของนิเวศเกษตร ดงั น้ี 1) ดา้ นคุณลกั ษณะทรพั ยากรดนิ ไดแ้ ก่ ความลกึ ของหน้าดนิ ปรมิ าณ และคุณภาพ ของอนิ ทรยี วตั ถุ ความหนาแน่นและการยดึ เกาะของเม็ดดิน ปรมิ าณธาตุ ความสามารถในการ แลกเปลย่ี นประจุ อตั ราสว่ นแรธ่ าตุ เชน่ คารบ์ อนต่อไนโตรเจน 2) ด้านอุทกธรณีวิทยา เป็นการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างน้ํากับดิน หมายถงึ ความสามารถในการกกั เกบ็ น้ํา การอุม้ น้ําและความชน้ื ในดนิ การกระจายความชน้ื ในดนิ ท่ี

25 สอดคลอ้ งกบั ความต้องการของพชื การเคล่อื นตวั ของน้ําระหว่างชนั้ ดนิ การชะแร่ธาตุอาหาร และ การชะลา้ งสารปนเป้ือนในดนิ 3) ด้านชีวภาพ คือ ความหลากหลายของจุลินทรยี ์ ปรมิ าณของจุลินทรยี ์ในดิน อตั ราการหมุนเวียนของชีวมวลและแร่ธาตุท่ีสมั พนั ธ์กบั กิจกรรมของจุลินทรยี ์ ความสมดุลของ จลุ นิ ทรยี ท์ ม่ี ปี ระโยชน์และกอ่ โรค ตลอดจนความหลากหลายของสตั วแ์ ละแมลงทอ่ี าศยั ในดนิ 4) ดา้ นลกั ษณะของระบบนิเวศ ได้แก่ ความหลากหลาย โครงสรา้ งหน้าท่ี ความ เสถยี รของระบบนิเวศต่อการเปล่ยี นแปลง การฟ้ืนฟูจากสงิ่ รบกวน ประสทิ ธภิ าพการหมุนเวยี นแร่ ธาตุ อตั ราการเจรญิ ของประชากร และปฏกิ ริ ยิ าสมั พนั ธข์ องสงั คมสงิ่ มชี วี ติ 4. สภาพความยงั่ ยนื ทางสงั คม เป็นตวั ชว้ี ดั อกี ประการหน่ึงของความยงั่ ยนื ของนิเวศเกษตร และความยงั่ ยนื ของระบบการผลติ อาหาร โดยพจิ ารณาไดห้ ลายมติ ดิ งั ต่อไปน้ี 1) ทางเศรษฐกจิ ไดแ้ ก่ ตน้ ทุน และผลตอบแทนต่อหน่วย อตั ราการลงทุนและการ อนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ ความมนั่ คงทางรายได้ 2) ทางสงั คมและวฒั นธรรม ไดแ้ ก่ ความเสมอภาค ความยุตธิ รรม และความเป็น ธรรมทงั้ ผูผ้ ลติ และผูบ้ รโิ ภค ความสามารถในการพง่ึ พาตนเองโดยอาศยั ทรพั ยากรในทอ้ งถน่ิ เป็น ปจั จยั ในการผลติ และมกี จิ กรรมเครอื ขา่ ยทางสงั คม เป็นตน้ หลกั เกณฑก์ ารประเมินเทคนิคทางการเกษตร หากตอ้ งการทราบวา่ เทคนิคการผลติ ทใ่ี ชใ้ นฟารม์ สอดคลอ้ งกบั หลกั การเกษตรยงั่ ยนื หรอื ไม่ จรญั และผกาพรรณ (2546) ไดอ้ ธบิ ายหลกั เกณฑก์ ารประเมนิ เทคนิคทางเกษตร ไวด้ งั น้ี 1. ผลติ ภาพ (productivity) อาจประเมนิ ดว้ ยคาํ ถามดงั ต่อไปน้ี 1) เทคนิคดงั กล่าวสามารถตอบสนองความจําเป็นของเกษตรกร และครวั เรอื น หรอื ไม่ 2) เทคนิคนัน้ สามารถสนองตอบความจําเป็นของเกษตรกรและครวั เรอื นในดา้ น ผลผลติ เพอ่ื แลกเปลย่ี น หรอื ขายเอาเงนิ สดหรอื ไม่ 3) มพี น้ื ทพ่ี อเพยี งเพอ่ื ใหเ้ กษตรกร และครวั เรอื นทาํ การผลติ สง่ิ จาํ เป็นหรอื ไม่ 4) ความตอ้ งการใชแ้ รงงานของเทคนิคเหมาะสมพอดกี บั เกษตรกร แหล่งแรงงาน และขดี ความสามารถของแรงงานหรอื ไม่ 5) เกษตรกรเขา้ ถงึ แหล่งปจั จยั การผลติ ทจ่ี าํ เป็นไหม 6) ความจําเป็นในการใช้เงนิ ของเทคนิค เหมาะสมกบั เกษตรกร แหล่งเงนิ และ ประสทิ ธภิ าพของตน้ ทุนหรอื ไม่ 2. ความมนั่ คง (security) 1) เทคนิคชว่ ยลดความเสย่ี งต่อไปน้ีหรอื ไม่ - ความลม้ เหลวในการเพาะปลกู

26 - ความลม้ เหลวดา้ นการเงนิ - พษิ ภยั ต่อสขุ ภาพ - ความขาดแคลนปจั จยั การผลติ จากภายนอก - ความไมเ่ หมาะสมของพนั ธุพ์ ชื พนั ธุส์ ตั ว์ 2) เทคนิคมคี วามยดื หยนุ่ ดา้ นการจดั การในระดบั พอเพยี งไหม 3) เทคนิคใชท้ รพั ยากรส่วนมากทม่ี อี ยู่แลว้ ในทอ้ งถน่ิ และปจั จยั การผลติ ทท่ี ําขน้ึ ในทอ้ งถน่ิ ไหม 4) เทคนิคช่วยลดการพง่ึ พาขอ้ มลู ขา่ วสาร ปจั จยั การผลติ เงนิ อุดหนุนสนิ เช่อื และ ตลาดไหม 3. ความต่อเน่ือง (continuity) 1) เทคนิคชว่ ยดาํ รงและบาํ รงุ คุณภาพดนิ หรอื ไม่ 2) เทคนิคชว่ ยในการหมนุ เวยี นอาหารพชื 3) เทคนิคชว่ ยป้องกนั /ลด การสญู เสยี โภชนะในดนิ หรอื ไม่ 4) เทคนิคชว่ ยบาํ รงุ และดาํ รงชวี มวลขา้ มปีหรอื ไม่ 5) เทคนิคใชน้ ้ําในลกั ษณะประหยดั และมปี ระสทิ ธภิ าพหรอื ไม่ 6) เทคนิคชว่ ยสง่ เสรมิ ความหลากหลายหรอื ไม่ 7) เทคนิคชว่ ยลดผลกระทบทเ่ี ป็นพษิ ต่อคนและแหล่งทรพั ยากรหรไื ม่ 8) เทคนิคชว่ ยสง่ เสรมิ สขุ ภาพของคนหรอื ไม่ 9) สามารถจ่ายค่าบํารุงรกั ษาโครงสร้างพ้นื ฐานด้านเศรษฐกิจ และนิเวศวทิ ยา หรอื ไม่ 10) เทคนิคก่อใหเ้ กดิ การหมนุ เวยี นของเงนิ ลงทนุ หรอื ไม่ 11) เทคนิคมผี ลเป็นกลางหรอื เป็นบวกต่อระบบนอกฟารม์ หรอื ไม่ 4. เอกภาพ (identity) 1) เทคนิคสามารถบรู ณาการเขา้ กบั ระบบฟารม์ ทเ่ี ป็นอยหู่ รอื ไม่ 2) สามารถใชเ้ ทคนิคตามสภาพโครงสรา้ งพน้ื ทท่ี เ่ี ป็นอยหู่ รอื ไม่ 3) เทคนิคเหมาะสม หรอื เสรมิ สรา้ งวฒั นธรรมของสงั คมเกษตรหรอื ไม่ 4) เทคนิคมคี วามสอดคลอ้ งกบั นโยบายรฐั บาลหรอื ไม่ 5) ก่อใหเ้ กดิ ผลดตี ่อเกษตรกรยากจนหรอื ไม่ 5. ความสามารถปรบั ตวั (adaptability) 1) เป็นเทคนิคท่ีใช้กันอยู่แล้วในหมู่เกษตรกร และขยายการใช้ออกไปได้เอง หรอื ไม่ 2) เทคนิคนํามาซง่ึ ความสาํ เรจ็ ทส่ี งั เกตได้ และรวดเรว็ หรอื ไม่ 3) เทคนิคกระตุน้ หรอื เปิดโอกาสใหเ้ กษตรกรทดสอบและปรบั ใชห้ รอื ไม่ 4) สามารถถ่ายทอดเทคนิคสเู่ กษตรกรรายอน่ื ๆ ไดง้ า่ ยหรอื ไม่

27 5) สามารถถ่ายทอดความรู้ และทกั ษะให้แก่เกษตรกรด้วยการฝึกอบรมได้ง่าย หรอื ไม่ นอกจากน้ีเงอ่ื นไขจาํ เป็นสาํ หรบั การทาํ เกษตรยงั่ ยนื คอื เกษตรกรสว่ นใหญ่ตอ้ งถูกกระตุน้ ไปสู่การรูจ้ กั จดั การทรพั ยากรร่วมกนั จดั การศตั รูพชื โดยใช้ตวั ห้ําตวั เบยี น จดั การธาตุอาหารพชื ควบคุมการปนเป้ือนของน้ํา จดั การอนุรกั ษ์ดนิ และน้ํา และจดั การพนั ธุ์สําหรบั ปลูก แต่ปญั หาส่วน ใหญ่ คอื การขาดรากฐานต่อการตดั สนิ ใจในการจดั การทรพั ยากร (Röling, 1994a and 1994b) และ หลกั สาํ หรบั การสง่ เสรมิ การเกษตร 3 ขอ้ ทต่ี อ้ งพงึ ระวงั มดี งั น้ี (Brouwers & Röling, in press and Matteson,1992) 1) ทาํ ในสง่ิ ทม่ี องเหน็ รจู้ กั การสงั เกต และการตดิ ตามสง่ิ ต่างๆ ในฟารม์ 2) การใชป้ ระโยชน์จากความรขู้ องเกษตรกรทม่ี อี ยู่ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ 3) อํานวยความสะดวกในการหาความรูม้ ากกว่าจะเป็นผู้ใหค้ วามรู้เกษตรกรให้ เกษตรกรเดนิ ตามกระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ระดบั ความก้าวหน้าของเกษตรยงั่ ยืน ความยงั่ ยนื ในระบบการทําฟาร์มสามารถสรุปลกั ษณะได้ดงั ภาพท่ี 8-1 ซ่ึงแสดงให้เหน็ ระดบั ของความกา้ วหน้าในการทาํ ฟารม์ ของแต่ละสาํ นกั คดิ ซง่ึ ไดเ้ สนอรปู แบบเกษตรยงั่ ยนื ต่างๆ กนั โดยการเกษตรทใ่ี ชป้ จั จยั การผลติ แบบเคมอี ย่างเขม้ ขน้ และเกษตรเชงิ เด่ยี ว ซ่งึ มรี ะดบั การพง่ึ พา ตนเองต่ํา ก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบในทางลบสงู ขณะเดยี วกนั จะใชป้ จั จยั หรอื วธิ แี กป้ ญั หาจากภายนอก เขา้ มาแกไ้ ขปญั หาภายในฟารม์ และทส่ี าํ คญั มุง่ เน้นไปทป่ี ระสทิ ธภิ าพและการผลติ ขณะทส่ี าํ นกั คดิ ทน่ี ําเสนอการเกษตรทพ่ี ยายามลดการไถพรวน การหา้ มใชส้ ารเคมี และพชื ตดั ต่อพนั ธุกรรม จะมี ลกั ษณะเป็นวงจรการเกษตรแบบเปิด มุง่ เน้นการผลติ พชื เชงิ เดย่ี วซง่ึ ทาํ ใหส้ ญู เสยี ความหลากหลาย ทางชวี ภาพเกษตร สาํ นกั คดิ ทม่ี ุง่ ใหท้ ําเกษตรแบบใชป้ จั จยั การผลติ ต่ํา หรอื เป็นเกษตรสง่ิ แวดลอ้ ม จะมุ่งเน้นการใชป้ จั จยั การผลติ ทดแทนปจั จยั การผลติ ทเ่ี ป็นพษิ หรอื ไมป่ ลอดภยั ส่วนสํานักคดิ ทว่ี ่า ดว้ ยเกษตรยงั่ ยนื แบบต่างๆ เช่น การเกษตรแบบฟ้ืนฟู แบบดงั้ เดมิ เกษตรอนิ ทรยี ์ เกษตรชวี ภาพ เกษตรชวี พลวตั ร เกษตรนิเวศวทิ ยา เกษตรกรรมถาวร ภมู ภิ าคชวี ภาพ และเกบ็ ของปา่ มลี กั ษณะท่ี มกี ารออกแบบและจดั การเพ่อื ลดสารพษิ มผี ลกระทบในทางลบน้อย และใช้การแก้ไขปญั หาจาก ภายในสาํ หรบั แกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ทงั้ ภายในและภายนอกฟารม์ มกี ารพง่ึ พาตนเองไดส้ งู เป็นระบบ วงจรเกษตรแบบปิด เพาะปลูกพชื หลายชนิดร่วมกนั รกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพ และท่ี สาํ คญั มงุ่ สกู่ ารพผลติ ในระดบั ทเ่ี หมาะสม

28 สาํ นักคิด Low (shallow) sustainability (Schools of Thought) ลกั ษณะ High input chemical intensive Low degree of self-sufficiency Conventional (monoculture) High negative externalities External solutions to internal problems: emphasis on (minimum or zero tillage, compartmentalization and control; simple, direct short-term 28hysic- chemical banding, genetically chemical, imported curative solutions to local problems engineered crops) Increased focus on efficiency and production Low input agriculture Open cycle agrosystems Ecoagriculture Monocultures and losses of agricultural biodiversity Regenerative Traditional Substitution of benign inputs Organic Biological Benign design and management Biodynamic Low negative externalities Ecological Internal solutions to internal (and external) problems: emphasis on Permaculture integration, balance and response to feedback; complex, indirect, long- Bioregionalism term, bioecological, selective and ecological controls, local approaches Wild harvest (natural) to solving both local and global problems. High degree of self-sufficiency Closed cycle agrosystems Polycultures and retention of agricultural biodiversity Optimisation of production High (deep) sustainability ภาพที่ 2-1: ขนั้ ความก้าวหน้าของความยงั่ ยืนทางการเกษตร ทม่ี า: Wheeler (2008)

29 ตารางที่ 2-2: เทคนิคเกษตรยงั่ ยืน Soil fertility management Crop rotations, including grain-legume Mulching rotations Drip irrigation Agroforestry systems Intercropping and polycultures: mixed, row, Trash lines strip, relay Ditches Legume intercropping Improved water efficiency Introduction of improved crop varieties Use of inorganic/organic fertilizers Improved fallow management Cover crops and green manures Hedgerows and live barriers Weed management, minimization or Alley farming elimination of chemicals Rainfall harvesting and storage, micro and Integrated pest management macro catchments Zero tillage, reduced tillage, minimum tillage, Soil aeration deep tillage Improved use and efficiency of animal Contour farming manures Improved drainage Improved forage and grazing management Windbreaks Grass strips Terraces Raised beds, raised fields Seed conservation and seed banks Precision farming Stone and soil bounds ทม่ี า: Wheeler (2008) ภายใตข้ ดี จาํ กดั ของเทคโนโลยี และความเช่อื ทอ่ี ย่ภู ายใตอ้ ทิ ธพิ ลของธรรมชาตทิ าํ ใหร้ ะบบ การผลติ ในระบบเกษตรแบบดงั้ เดมิ มไิ ดส้ ง่ ผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้ มถงึ ขนั้ รุนแรงดงั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ใน ระบบเกษตรกรรมปจั จุบนั ซง่ึ มพี น้ื ฐานความเช่อื ทถ่ี อื ว่าตนอยเู่ หนือธรรมชาติ และสามารถควบคุม ธรรมชาตไิ ด้ ดงั นัน้ เทคนิคการทําเกษตรยงั่ ยนื จงึ เช่อื มโยงกบั ธรรมชาติ ซ่งึ มหี ลากหลายแบบดงั ตารางท่ี 2-2 ทงั้ เร่อื งของการจดั การระบบปลูกพชื การปลูกพชื ตระกูลถวั่ เป็นพชื หมุนเวยี น การพกั ดนิ การลดการไถพรวน การยกแปลง การจดั การความอุดมสมบรู ณ์ของดนิ การคลุมดนิ การจดั การ การใหน้ ้ําพชื อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การจดั การศตั รพู ชื วชั พชื กรปลูกไมก้ นั ลม หรอื ปลูกเป็นแนวรวั้ การเกบ็ เมลด็ พนั ธุ์ เป็นตน้

บทท่ี 3 นโยบายทางการเกษตรและเกษตรยงั่ ยืนในประเทศไทย รฐั เรมิ่ ปรบั ตวั ส่แู นวทางเกษตรยงั่ ยนื ในระดบั นโยบายตงั้ แต่ 2530 เป็นตน้ มา สาเหตุเพราะ องคก์ รระหว่างประเทศ เช่น CGIAR (Consultative Group on International Agriculture Research) ซ่งึ มบี ทบาทสําคญั ในการกําหนดทศิ ทางการวจิ ยั เก่ยี วกบั การเกษตรในประเทศกําลงั พฒั นาไดใ้ หค้ วามสําคญั กบั แนวทางการพฒั นาเกษตรยงั่ ยนื นอกจากน้ีรฐั บาลยงั เรมิ่ ตระหนักว่า นโยบายส่งเสริมการขยายตัวของภาคเกษตรกรรมภายใต้แผนพฒั นาฯ ฉบับต่างๆ ท่ีผ่านมา ก่อใหเ้ กดิ ปญั หาและผลกระทบในดา้ นต่างๆ เช่น ความเส่อื มโทรมของสงิ่ แวดล้อมและทรพั ยากร พน้ื ท่ปี ่าลดลง แหล่งน้ําต้นื เขนิ และแหง้ แล้ง ผลผลติ ทางการเกษตรลดลง และราคาผลผลติ ตกต่ํา แนวทางการพฒั นาเกษตรกระแสหลกั ทไ่ี ดด้ ําเนินการมาตลอด ไม่ประสบผลสาํ เรจ็ ขณะทน่ี โยบาย ดา้ นราคาและตลาดขาดความต่อเน่ืองและผลประโยชน์ไมต่ กถงึ เกษตรกรเทา่ ทค่ี วร สํานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ (2554) และกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ (2550) ไดก้ ล่าวถงึ แผนพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื ในช่วงแผนพฒั นา เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ตงั้ แต่ฉบบั ท่ี 1 – 11 ไวด้ งั น้ี การพฒั นาการเกษตรในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 1 (พ.ศ. 2504-2509) แผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 1 ไดก้ ําหนดเป้าหมายการเจรญิ เตบิ โตในภาคเศรษฐกจิ ส่วนรวมและ ภาคเกษตรไว้ในอตั ราร้อยละ 5.0 และ 3.0 ตามลําดบั ให้ความสําคญั ในการปรบั ปรุงโครงสร้าง พน้ื ฐานทางการเกษตร โดยเฉพาะระบบชลประทาน การคมนาคมขนส่งเพ่อื เช่อื มโยงแหล่งตลาด สนิ คา้ ต่างๆ การพฒั นาการตลาดสนิ เช่อื เพ่อื การเกษตร ส่งเสรมิ การคน้ ควา้ วจิ ยั ทงั้ ดา้ นพชื และปศุ สตั ว์ ปรบั เปล่ยี นระบบการผลติ ทางการเกษตรจากการผลติ เพ่อื การยงั ชพี ไปสู่ระบบธุรกจิ ฟารม์ โดยเพมิ่ ผลผลติ ต่อไร่ใหส้ ูงขน้ึ กระจายพชื เศรษฐกจิ หลกั ท่มี อี ยู่ ไม่กช่ี นิดใหไ้ ปสู่ความหลากหลาย ของชนิดพชื และสตั ว์เพม่ิ มากขน้ึ เรมิ่ ใหม้ กี ารจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ มกี ารจําแนกท่ดี นิ และ จดั การเกย่ี วกบั การสงวนพน้ื ทป่ี า่ โดยกาํ หนดเป้าหมายไวใ้ หไ้ มต่ ่ํากวา่ รอ้ ยละ 50 ของพน้ื ทป่ี ระเทศ การพฒั นาการเกษตรในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ 2 (พ.ศ. 2510-2514) การพฒั นาการเกษตรในแผนพฒั นาฯ ฉบบั น้ี ไดเ้ รง่ รดั ดําเนินการพฒั นาโครงสรา้ งพน้ื ฐาน ทางการเกษตรต่อเน่ืองจากแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 1 โดยเพม่ิ พ้นื ท่ชี ลประทานให้กบั การผลิตทาง การเกษตร สร้างระบบการขนส่งทางบก สถานีทดลองทางการเกษตร ส่งเสรมิ การเกษตร การ ปรบั ปรุงพนั ธุ์พืชและสตั ว์ การควบคุมการระบาดของโรคพืชและสตั ว์ พฒั นาโครงสร้างระบบ การตลาดสนิ คา้ เกษตร และระบบสนิ เช่อื เพ่อื การเกษตร เพ่อื เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการผลติ รวมทงั้ สนับสนุนให้เกดิ การวิจยั และยกระดบั รายได้และฐานะ ความเป็นอยู่ของเกษตรกรใหด้ ีข้นึ การ

31 จดั การทรพั ยากรธรรมชาติ ไดใ้ หค้ วามสาํ คญั เกย่ี วกบั การจดั สมรรถนะทด่ี นิ และเรมิ่ จดั ทําสาํ มะโน ทด่ี นิ เกษตรในบางจงั หวดั จดั ตงั้ ศนู ยอ์ นุรกั ษ์ดนิ และน้ํา การพฒั นาการเกษตรในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 3 (พ.ศ. 2515-2519) การพฒั นาการเกษตรในช่วงของแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 3 มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื เร่งรดั การผลติ และการสง่ ออกสนิ คา้ เกษตรใหไ้ ดม้ ากยงิ่ ขน้ึ จดั ตงั้ เขตสง่ เสรมิ การเกษตร เพอ่ื การผลติ พชื เศรษฐกจิ ทส่ี าํ คญั บางชนิด โดยเฉพาะการผลติ พชื เพ่อื การส่งออก ใหม้ กี ารปลูกพชื หลายครงั้ ในรอบปีในเขต ชลประทาน ขยายงานวจิ ยั ใหก้ วา้ งขวางยงิ่ ขน้ึ สนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรและสถาบนั ทาง การเกษตร เพ่อื ใหก้ ารสนับสนุนในเร่อื งของปจั จยั การผลติ และการใหส้ นิ เช่อื มกี ารเร่งรดั สํารวจ จําแนกประเภททด่ี นิ กําหนดสมรรถนะท่ดี นิ ท่เี หมาะสมกบั การเกษตร พฒั นาทด่ี นิ เคม็ ดนิ เปรย้ี ว รวมถงึ ทด่ี นิ ชายฝงั่ ทะเลทม่ี กี ารใชป้ ระโยชน์น้อย จดั หาทท่ี าํ กนิ ใหก้ บั เกษตรกร ผไู้ มม่ ที ท่ี าํ กนิ ออก เอกสารสทิ ธใิ ์ นทด่ี นิ ทาํ กนิ ใหก้ บั เกษตรกร การพฒั นาการเกษตรในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 4 (พ.ศ. 2520-2524) เน่ืองจากภาวะเศรษฐกจิ ถดถอยท่เี กดิ ขน้ึ ในช่วงของแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 3 แผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 4 จงึ ไดป้ รบั เปลย่ี นกลยุทธจ์ ากการใหค้ วามสาํ คญั กบั ภาคการเกษตร ไปส่กู ารมงุ่ เน้นถงึ การ พฒั นาชนบท และการผลติ ในภาคอุตสาหกรรม โดยใหก้ ารสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมการ ผลติ เพ่อื ทดแทนการนําเขา้ การพฒั นามุ่งเน้นปรบั ปรุงระบบชลประทานขนาดเลก็ และขนาดกลาง เพ่อื สนับสนุนการปลูกพชื หลายครงั้ ในรอบปี ปรบั โครงสรา้ งการผลติ ในระดบั ไร่นา การวจิ ยั และ คน้ ควา้ ทางการเกษตร โดยเฉพาะการปรบั ปรงุ พนั ธุพชื และสตั ว์ สรา้ งสง่ิ อาํ นวยความสะดวกพน้ื ฐาน ทางการตลาด เช่น ถนนในชนบทคลงั สนิ ค้าเพ่อื เพม่ิ อํานาจการต่อรองให้กบั เกษตรกร รวมถึง พยายามตดั มาตรการต่างๆ ทเ่ี ป็นภาระต่อเกษตรกร สนับสนุนสถาบนั การเงนิ ของรฐั และธนาคาร พาณิชย์ เพ่อื ขยายสนิ เช่ือทางการเกษตรให้แก่เกษตรกรและสถาบนั เกษตรกรอย่างกว้างขวาง ส่งเสรมิ การรวมกลุ่มของสถาบนั ต่างๆ ในชนบทเพ่อื ช่วยเหลอื ซ่งึ กนั และกนั ฝึกอบรม ใหค้ วามรู้ เกย่ี วกบั การผลติ การจาํ หน่าย และการเพมิ่ รายได้ เพอ่ื เป็นการสรา้ งประสทิ ธภิ าพใหก้ บั ภาคเกษตร มกี ารจดั กรรมสทิ ธทิ ์ ด่ี นิ ปรบั ปรงุ คณุ ภาพทด่ี นิ และการจดั ระบบการปลกู พชื ใหเ้ หมาะสมกบั คุณภาพ ทด่ี นิ การพฒั นาการเกษตรในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) การพฒั นาการเกษตรภายใตแ้ ผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 5 ไดด้ ําเนินการปรบั โครงสรา้ งการผลติ ทางการเกษตรจากทเ่ี คยเพมิ่ ผลผลติ ดว้ ยการขยายพน้ื ทเ่ี พาะปลูก เปลย่ี นเป็นการเพมิ่ ผลผลติ ดว้ ย การปรบั ประสทิ ธภิ าพการผลติ ต่อไร่ใหส้ งู ขน้ึ เร่งรดั การกระจายการถอื ครองทด่ี นิ และใหก้ รรมสทิ ธิ ์ ทด่ี นิ ทาํ กนิ เพ่อื การเกษตร ขยายการใหส้ นิ เช่อื เพ่อื การเกษตรเขา้ ดว้ ยกนั กบั สนิ เช่อื อุตสาหกรรมใน

32 ครวั เรอื น และปรบั เป็นสนิ เช่อื ชนบท สรา้ งสง่ิ อํานวยความสะดวกทางพน้ื ฐานของการตลาด พรอ้ ม กบั การหาทางจดั ตงั้ ตลาดกลางสนิ ค้าเกษตรเพ่อื ใหเ้ ป็นแหล่งกระจายสนิ ค้าระหว่างผู้ผลิตและผู้ บรโิ ภค ส่งเสรมิ การรวมกลุ่มของสถาบนั ต่างๆ ในชนบท เพ่อื การใหค้ วามช่วยเหลือและการฝึก อบรมความรทู้ างการเกษตรสมยั ใหมเ่ พ่อื เป็นการเพม่ิ รายไดแ้ ละลดปญั หาความยากจน สาํ หรบั ใน กรณีของป่าเศรษฐกจิ ไดม้ แี นวนโยบายใหเ้ อกชนร่วมในการปลูกป่าเศรษฐกจิ เพ่อื ขยายเน้ือท่ปี ่า สง่ เสรมิ ใหม้ กี ารปลกู ไมโ้ ตเรว็ เพ่อื ใชป้ ระโยชน์ในการทาํ ฟืน และทาํ การสาํ รวจเพ่อื แยกพน้ื ทป่ี าเส่อื ม โทรมทเ่ี หมาะสมกบั การเกษตร เพ่อื จดั ทด่ี นิ ทาํ กนิ ใหก้ บั เกษตรกรในรปู ของหมบู่ า้ นปา่ ไม้ ปรบั ปรุง พน้ื ทใ่ี นเขตชลประทานเพ่อื ใหเ้ ป็นแหล่งเกษตรกรรมเชงิ พาณิชย์ และสามารถใชป้ ระโยชน์จากการ ใชท้ ่ดี นิ เพาะปลูกไดห้ ลายครงั้ ในรอบปี เพ่อื เพม่ิ ผลติ ภาพของท่ดี นิ และมุ่งแกไ้ ขปญั หากรรมสทิ ธิ ์ ทด่ี นิ การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยืนในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 6 ไดก้ าํ หนดนโยบาย การพฒั นาการเกษตร สบื เน่ืองมาจากแผนพฒั นาฯ ฉบบั กอ่ นๆ โดยเน้นการปรบั โครงสรา้ งการผลติ ดา้ นการเกษตร เพ่อื ให้ ครวั เรือนเกษตรมีรายได้และความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึน การจัดสรรทรพั ยากรท่ีมีอยู่และยงั ไม่ได้ใช้ ประโยชน์ใหส้ ามารถใช้ได้อย่างเหมาะสมและมปี ระสทิ ธิภาพ การเผยแพร่ขอ้ มูลเก่ยี วกบั การใช้ ทรพั ยากรและผลติ ภณั ฑใ์ หม่ใหแ้ ก่เกษตรกรอย่างทวั่ ถงึ ปรบั ปรุงกรรมวธิ กี ารผลติ ทางการเกษตร โดยการลดต้นทุนการผลติ และใชป้ จจยั การผลติ ท่มี อี ยู่ในประเทศ เร่งรดั การกระจายการผลติ และ การตลาด เพ่อื ลดความเส่ยี งในด้านรายได้ของเกษตรกรและรายได้จากการส่งออกของประเทศ ปรบั ปรุงการผลิตใหส้ อดคล้องกบั ความต้องการของตลาด พฒั นาเทคโนโลยเี พ่อื การเกษตรและ อุตสาหกรรม อาทิ เทคโนโลยีชีวภาพ และนํามาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม สนับสนุนสินเช่ือ การเกษตร และจดั ตงั้ ไซโลเพอ่ื ใชเ้ กบ็ รกั ษาพชื ผลทางการเกษตรและสรา้ งเสถยี รภาพทางดา้ นราคา รฐั เรม่ิ ปรบั ตวั สแู่ นวทางเกษตรยงั่ ยนื ในระดบั นโยบายตงั้ แต่ 2530 เป็นตน้ มา เรมิ่ กําหนดให้ มีแผนงานด้านการวิจัยเก่ียวกับเกษตรยงั่ ยืน กําหนดให้ธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตรจดั สรรสนิ เช่อื เพ่อื สนับสนุนเกษตรกรทต่ี ้องการเปลย่ี นรปู แบบการทําฟารม์ มาเป็นแบบ ผสมผสาน อย่างไรก็ตามการดําเนินงานด้านเกษตรยงั่ ยนื ยงั คงไม่ชดั เจน (มูลนิธิเกษตรยงั่ ยนื , 2550) การพฒั นาการเกษตรในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 7 เน้นการพฒั นาท่ยี งั่ ยนื โดยเน้นความ สมดุลของการพฒั นาดา้ นเศรษฐกจิ คุณภาพชวี ติ และความเป็นธรรมในสงั คมควบคกู่ นั ไป สว่ นของ แผนพฒั นาการเกษตร เน้นการเพม่ิ ขดี ความสามารถในการพฒั นา การกระจายผลของการพฒั นา

33 และการจดั การเร่อื งทรพั ยากรธรรมชาตทิ างการเกษตรควบคู่กบั การพฒั นา โดยกําหนดเป้าหมาย การขยายตวั ของภาคการเกษตรไวใ้ นระดบั เฉล่ียรอยละ 3.4 ต่อปี และเป้าหมายรายได้ท่แี ท้จรงิ เฉล่ยี ต่อหวั (ภาคเกษตร) เพมิ่ ขน้ึ รอ้ ยละ 7 ต่อปี ดา้ นทรพั ยากรป่าไมไ้ ดก้ ําหนดเป้าหมายอนุรกั ษ์ พ้นื ท่ปี ่าไมใ้ หร้ อ้ ยละ 25 ของพ้นื ท่ที งั้ ประเทศ ด้านทรพั ยากรประมง ไดก้ ําหนดเป้าหมายว่าต้อง อนุรกั ษ์แหล่งปะการงั ในอุทยานแห่งชาตทิ างทะเลทุกแห่งใหอ้ ยู่ในสภาพสมบูรณ์ และรกั ษาฟ้ืนฟู พน้ื ทป่ี ่าชายเลนทเ่ี หลอื อยู่ประมาณ 1.1 ล้านไร่ ใหค้ งอยู่ในสภาพท่สี มบูรณ์ต่อไป ดา้ นทรพั ยากร แหลงน้ํา มเี ป้าหมายพฒั นาแหล่งน้ําอย่างเป็นระบบลุ่มน้ําทงั้ 25 ลุ่มน้ําทวั่ ประเทศ ดา้ นทรพั ยากร ทด่ี นิ มเี ป้าหมายการพฒั นาในเรอ่ื งการเรง่ รดั การแกป้ ญั หากรรมสทิ ธทิ ์ ด่ี นิ โดยวธิ กี ารปฏริ ปู ทด่ี นิ ปีละ ไม่ต่ํากว่า 4 ลา้ นไร่ การกําหนดเขตการใชป้ ระโยชน์จากทด่ี นิ ใหเ้ หมาะสม ขยายการใหบ้ รกิ ารและ อุดหนุนค่าใชจ้ ่ายในการปรบั ปรุงและแก้ไขคุณภาพดนิ ท่มี ปี ญั หา เช่น ดนิ เคม็ ดนิ เปรย้ี ว และดนิ ทรายจดั เป็นตน้ เร่งรดั การอนุรกั ษ์ดนิ และน้ําโดยใชว้ ธิ กี ารทไ่ี ม่ยุ่งยากและลงทุนน้อย ถ่ายทอดให้ นําไปปฏบิ ตั ไิ ด้ โดยรฐั จะเป็นผใู้ หบ้ รกิ ารสาํ หรบั พน้ื ทท่ี ม่ี ปี ญั หารนุ แรง การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยืนในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) การพฒั นาการเกษตรในแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 8 กําหนดยุทธศาสตรส์ าํ คญั 3 ประการคอื 1) การรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันสินค้าเกษตรในตลาดโลก 2) การอนุ รักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาตกิ ารพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื และ 3) การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละองคก์ รเกษตรกร ใหเ้ ขม้ แขง็ รวมทงั้ ยกระดบั มาตรฐานการดาํ รงชวี ติ ใหส้ งู ขน้ึ และใหม้ คี ุณภาพชวี ติ ทด่ี ขี น้ึ เมอ่ื เรม่ิ ตน้ แผนพฒั นาฯ ได้กําหนดเป้าหมายของอตั ราการขยายตวั ของภาคเกษตรเฉล่ียร้อยละ 2.9 ต่อปี และต่อมาไดป้ รบั เป็นรอ้ ยละ 3.0 การเกดิ ภาวะวกิ ฤตทางเศรษฐกจิ และการเปลย่ี นแปลงในค่าเงนิ บาทในช่วงกลางปี 2540 ทําให้ภาคเกษตรปรบั ยุทธศาสตร์การดําเนินงานใหม่ เช่น การปรบั โครงสรา้ งการเกษตร การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ และลดต้นทุนการผลติ การปรบั ปรุงคุณภาพ และการแปรรปู สง่ เสรมิ การออมในชนบท เป็นตน้ โดยในยทุ ธศาสตรก์ ารจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ ม มแี นวทางจดั การฟ้ืนฟูทรพั ยากรดนิ ทผ่ี ่านการใชป้ ระโยชน์และขาดการดูแลรกั ษา เพ่อื เพมิ่ ผลผลติ ในกจิ กรรมการเกษตรอย่างต่อเน่ืองและไม่ก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ ม ใน พน้ื ทท่ี ผ่ี า่ นการทาํ เหมอื งแรแ่ ลว้ พน้ื ทน่ี ากุง้ ทง้ิ รา้ ง รวมทงั้ พน้ื ทท่ี ม่ี ปี ญั หาต่อการเกษตรและดนิ ทถ่ี ูก ใชโ้ ดยไม่เหมาะสม เช่น พ้นื ท่ดี นิ เคม็ ดนิ เปรย้ี ว ดนิ ชายทะเล โดยส่งเสรมิ การอนุรกั ษ์ดนิ และน้ํา รวมทงั้ การปรบั ปรุงบาํ รุงดนิ ดว้ ยวธิ กี ารธรรมชาติ วธิ กี ารทเ่ี กษตรกรยอมรบั และสามารถถ่ายทอด นําไปปฏบิ ตั ิได้ เช่น ส่งเสรมิ การปลูกพชื แบบผสมผสานแทนการปลูกพชื เชงิ เด่ยี ว ใช้ป๋ ุยอนิ ทรยี ์ แทนป๋ ุยเคมี และปลูกพืชตามแนวระดับในพ้ืนท่ีลาดชัน เป็นต้น ส่งเสริมการนําระบบเกษตร ทางเลอื กในรปู แบบต่างๆ มาใชใ้ นเขตปฏริ ปู ทด่ี นิ พน้ื ทน่ี ากุง้ ทง้ิ รา้ ง และพน้ื ทผ่ี ่านการทําเหมอื งแร่ แลว้ โดยการใหค้ วามรู้ ฝึกอบรม และสนับสนุนดา้ นเงนิ ทุน ตลอดจนเทคโนโลยที เ่ี หมาะสม เพ่อื ให้

34 ราษฎรมีรายได้เพียงพอกับการยงั ชีพอย่างต่อเน่ือง เป็นการลดปญั หาการละท้ิงท่ีดิน การใช้ ประโยชน์ทด่ี นิ เพอ่ื วตั ถุประสงคน์ อกภาคเกษตรกรรม ตลอดจนเพอ่ื ฟ้ืนฟูสภาพพน้ื ทด่ี นิ ทเ่ี สอ่ื มโทรม ใหก้ ลบั สมบูรณ์ โดยแผนงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ แผนการอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพ และ แผนงานพฒั นาระบบเกษตรยงั่ ยนื และเกษตรกรรมยากจน ซง่ึ มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื - ขยายพน้ื ทป่ี รบั โครงสรา้ งเกษตรกรรมแบบยงั่ ยนื 25 ลา้ นไร่ - สร้างโอกาสให้คนจนประกอบอาชีพเกษตรและมีทางเลือกอาชีพในชนบท มีรายได้ เพยี งพอและมนั่ คง 8 ลา้ นคน - เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการบรหิ าร การจดั การแผนปฏบิ ตั กิ ารของกระทรวงใหส้ ามารถนําไปสู่ การปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยางมปี ระสทิ ธภิ าพ - คน้ หากระบวนการ รปู แบบ เทคนิค วธิ กี ารในการพฒั นาเกษตรกรรายยอ่ ยใหส้ ามารถพง่ึ ตวั เองไดใ้ นระบบเกษตรยงั่ ยนื - จดั ทาํ ทางเลอื กในการทาํ การเกษตรแบบยงั่ ยนื ของเกษตรกร การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยืนในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) จากการกําหนดวสิ ยั ทศั น์และเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหาร และแหล่ง เกษตรอุตสาหกรรมทม่ี คี ุณภาพและมคี วามสามารถในการแข่งขนั ระบบการผลติ การเกษตรอย่บู น พน้ื ฐานการใช้ และการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตอิ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและยงั่ ยนื และเกษตรกรไทย มคี ุณภาพชวี ติ ท่ดี ี มคี วามรู้ มรี ายได้มนั่ คง เป็นธรรม และก้าวหน้าในการประกอบอาชพี องค์กร เกษตรกรเขม้ แขง็ และมเี อกภาพ เพ่อื เป็นกลไกสําคญั ในการพฒั นาการเกษตร ประกอบด้วย 9 ยุทธศาสตร์ โดยยุทธศาสตรก์ ารผลติ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพและเพม่ิ ขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั ซ่งึ เป็นยทุ ธศาตรท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เกษตรยงั่ ยนื มกี รอบงานไดแ้ ก่ การกาํ หนดเขตเกษตรเศรษฐกจิ สาํ หรบั สินค้าเกษตร โครงการปรบั ปรุงระบบชลประทานขนาดเล็ก งานการเตือนภัยด้านเกษตร/ภัย ธรรมชาติ งานผลติ พนั ธุ์ซ่งึ เป็นไปในทศิ ทางท่ตี ่นื ตวั และเป็นไปตามมาตรฐานสากลมากขน้ึ การ พัฒนาทรัพยากรดิน-น้ํา ส่งเสริมการใช้ป๋ ุยอินทรีย์ ป๋ ุยชีวภาพ และผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ทาง การเกษตร โครงการปรบั ปรุงประสทิ ธภิ าพและคุณภาพผลติ ผลการเกษตรของสถาบนั เกษตรกร ในส่วนของงานทม่ี คี วามกา้ วหน้าของโครงการเหน็ ไดช้ ดั เช่น โครงการสง่ เสรมิ เกษตรอนิ ทรยี ์ และ สนิ คา้ ปลอดภยั จากสารพษิ โครงการปรบั ปรุงคุณภาพและรบั รองคุณภาพ (บูรณาการตามแนวทาง Good Agriculture Practice: GAP) กาํ หนดมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหาร การเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพ การตรวจสอบและรบั รองสนิ คา้ การแกไ้ ขปญั หาดา้ นมาตรฐานสนิ คา้ เกษตร ซง่ึ ในช่วงแผนพฒั นาฯ น้ี รฐั บาลไดป้ ระกาศเจตนารมณ์ในการขบั เคล่อื นเกษตรอนิ ทรยี เ์ ป็น วาระแหง่ ชาตโิ ดยมกี ารจดั การประชุมสมชั ชาเกษตรอนิ ทรยี แ์ ห่งชาติ การจดั ทาํ แผนงบประมาณใน

35 เชงิ บูรณาการประจาํ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 “การพฒั นาเกษตรอนิ ทรยี ”์ กรมพฒั นาทด่ี นิ ในฐานะ หน่วยงานเจา้ ภาพ ร่วมกบั หน่วยงานทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง (6 กระทรวง 26 หน่วยงาน) จดั ทําสรุปภาพรวม และรายละเอยี ดแผนงบประมาณในเชงิ บูรณาการวงเงนิ งบประมาณจํานวน 1,262.166 ล้านบาท โดยมเี ป้าหมายและแนวทางการดาํ เนินงาน ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2548- 2552 (มลู นิธเิ กษตรยงั่ ยนื , 2550) วาระแห่งชาติเกษตรอินทรีย์ มลู นิธเิ กษตรยงั่ ยนื (2550) ไดส้ รปุ สาระสาํ คญั ของวาระแหง่ ชาตเิ กษตรอนิ ทรยี ์ ไวด้ งั น้ี สบื เน่ืองจากคาํ แถลงนโยบายของคณะรฐั มนตรี เม่อื วนั ท่ี 26 กุมภาพนั ธ์ 2544 ทจ่ี ะสง่ เสรมิ การทาํ เกษตรแบบผสมผสาน เกษตรกรรมทางเลอื กและเกษตรอนิ ทรยี ์ รวมทงั้ สง่ เสรมิ กระบวนการ เรยี นรใู้ หแ้ ก่เกษตรกรชุมชนเกษตรกร และจะผลกั ดนั ใหป้ ระเทศไทยเป็นศนู ยก์ ลางผลติ สนิ คา้ เกษตร อนิ ทรยี ์ การพฒั นาคุณภาพมาตรฐานแปรรปู และบรรจุภณั ฑข์ องสนิ คา้ เกษตรอนิ ทรยี ใ์ นตลาดให้ เป็นศูนยก์ ลางในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตน้ นั้ จงึ ไดม้ มี ตคิ ณะรฐั มนตรเี ม่อื วนั ท่ี 30 มนี าคม 2547 ใหก้ ระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดําเนินการรณรงค์ ส่งเสรมิ และแนะนําใหเ้ กษตรกรมี ความรู้ ความเขา้ ใจทถ่ี ูกตอ้ งเกย่ี วกบั เรอ่ื งการปรบั ปรงุ บาํ รงุ ดนิ ดา้ นอนิ ทรยี วตั ถุเพอ่ื ลดการใชป้ ๋ ยุ เคมี เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการใชป้ ๋ ยุ เคมแี ละสามารถนําไปใชป้ ระโยชน์อยา่ งจรงิ จงั เพอ่ื การพฒั นาคุณภาพดนิ ลดปรมิ าณการใชป้ ๋ ยุ เคมแี ละสารเคมี โดยคณะรฐั มนตรมี มี ตเิ ม่อื วนั ท่ี 22 มถิ ุนายน 2547 มอบหมาย ใหร้ องนายกรฐั มนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เป็นเจา้ ภาพรบั ผดิ ชอบเรอ่ื งการผลติ และรณรงคก์ าร ใชป้ ๋ ยุ อนิ ทรยี ห์ รอื ป๋ ุยชวี ภาพใหแ้ พรห่ ลาย โดยมกี ระทรวงและหน่วยงานต่างๆ เขา้ รว่ ม โดยใหถ้ อื วา่ เร่อื งน้ีเป็นวาระแห่งชาตทิ ่ตี อ้ งทําใหเ้ ป็นรูปธรรมโดยเรว็ จนกระทงั่ ในวนั ท่ี 4 มกราคม 2548 คณะรฐั มนตรจี งึ มมี ตเิ หน็ ชอบในหลกั การยุทธศาสตรเ์ กษตรอนิ ทรยี ใ์ หเ้ ป็นวาระแหง่ ชาติ และอนุมตั ิ ในหลักการให้แต่งตัง้ คณะกรรมการอํานวยการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติโดยมีรอง นายกรฐั มนตรที ก่ี าํ กบั การบรหิ ารราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน นอกจากน้ีในคาํ แถลงนโยบายของคณะรฐั มนตรี เมอ่ื วนั ท่ี 23 มนี าคม 2548 แสดงใหเ้ หน็ วา่ รฐั บาลมแี นวทางในการปรบั โครงสรา้ งภาคการเกษตร สนับสนุนการเพมิ่ มลู ค่าใหแ้ ก่สนิ คา้ เกษตร โดยสง่ เสรมิ ดา้ นการวจิ ยั และพฒั นานวตั กรรมและเทคโนโลยชี วี ภาพควบค่ไู ปกบั ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ และกระบวนการบม่ เพาะวสิ าหกจิ ชุมชนในการเพมิ่ มลู คา่ สนิ คา้ โดยใหค้ วามสาํ คญั ในการสรา้ งความ มนั่ คงทางดา้ นอาหาร และนําผลผลติ เกษตรไปผลติ เป็นพลงั งานทดแทน เช่น ปาลม์ น้ํามนั ออ้ ย มนั สาํ ปะหลงั การผลติ สนิ คา้ เกษตรทม่ี ศี กั ยภาพทางการตลาดสงู และมโี อกาสเพม่ิ มลู ค่า เช่น ยางพารา ปศุสตั ว์ การเพาะเล้ยี งสตั ว์น้ําชายฝงั่ เป็นต้น และส่งเสรมิ การแปรรูปสนิ ค้าเกษตรตามระบบ มาตรฐานความปลอดภยั อาหาร โดยพฒั นาระบบการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรทงั้ การนําเขา้ และส่งออกใหเ้ ป็นไปตามมาตรฐานโลก รวมทงั้ ส่งเสรมิ และสนับสนุนการเกษตรแบบ ยงั่ ยนื ตามแนวทฤษฎีใหม่ และเกษตรอนิ ทรยี ์ เพ่อื อนุรกั ษ์และฟ้ืนฟูทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ สภาพแวดลอ้ ม

36 การดาํ เนินงานขบั เคลือ่ นวาระแห่งชาติเกษตรอินทรีย์ 1. รฐั บาลไดป้ ระกาศเจตนารมณ์ในการขบั เคล่อื นเกษตรอนิ ทรยี เ์ ป็นวาระแหง่ ชาตโิ ดยมกี าร จดั การประชุมสมชั ชาเกษตรอนิ ทรยี แ์ หง่ ชาติ เพ่อื ใหเ้ กดิ การขบั เคล่อื นนโยบายสําคญั ของรฐั บาล อย่างเป็นรปู ธรรมและต่อเน่ืองเป็นระยะ โดยจดั ประชุมสมชั ชาฯ จาํ นวน 3 วนั คอื วนั ท่ี 24-26 ธนั วาคม 2547 ณ พพิ ธิ ภณั ฑก์ ารเกษตรเฉลมิ พระเกยี รตฯิ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ทงั้ น้ี ในวนั ท่ี 24 ธนั วาคม 2547 ฯพณฯ นายกรฐั มนตรี (พนั ตํารวจโท ดร.ทกั ษณิ ชนิ วตั ร) ไดใ้ หเ้ กยี รตมิ าเป็น ประธานในพธิ เี ปิดการประชุมและพธิ ลี งนามปฏญิ ญาวา่ ดว้ ยเกษตรอนิ ทรยี แ์ หง่ ชาติ โดยมผี แู้ ทนจาก ภาครฐั ภาคเอกชน และเครอื ขา่ ยเกษตรกร ร่วมลงนามเพ่อื ประกาศเจตนารมณ์ขบั เคล่อื นเกษตร อนิ ทรยี เ์ ป็นวาระแหง่ ชาติ ซง่ึ นายกรฐั มนตรไี ดม้ อบหมายใหท้ ุกภาคส่วนรว่ มกนั ปฏบิ ตั อิ ยา่ งจรงิ จงั และต่อเน่ือง เพ่อื ใหม้ กี ารปรบั เปลย่ี นระบบการผลติ ทพ่ี ง่ึ พาการใชป้ ๋ ุยเคมแี ละสารเคมมี าเป็นการ พ่งึ พาตนเองในการผลติ ป๋ ุยอนิ ทรยี ์และสารชีวภาพเพ่อื ใช้เองในประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจ พอเพยี ง โดยคํานึงถงึ ทุกมติ ิ ทงั้ ในแง่มติ ขิ องอาหารปลอดภยั มติ คิ วามปลอดภยั ของเกษตรกร มิติของการประหยัดค่าใช้จ่ายท่ีเป็นเงินตราต่างประเทศ มิติแห่งการฟ้ืนฟูนิเวศของดินและ ทรพั ยากรธรรมชาติ และมติ แิ หง่ การสาํ นึกต่อผบู้ รโิ ภคของตวั เกษตรกรทุกๆ คน ซง่ึ ในการประชุม ครงั้ น้ี มผี เู้ ขา้ รว่ มประชุมจากทุกภาคสว่ น ทงั้ จากภาครฐั ภาคเอกชน เกษตรกร เครอื ขา่ ยเกษตร อนิ ทรยี ์ และผสู้ นใจทวั่ ไป รวมทงั้ สน้ิ จาํ นวน 15,030 คน และตน้ ปี 2548 เป็นตน้ มาหน่วยงานต่างๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งทงั้ ภาครฐั และเครอื ข่ายเกษตรกรก็ได้มกี ารจดั การประชุมเพ่อื รณรงค์ประชาสมั พนั ธ์ ขบั เคล่อื นวาระแหง่ ชาตเิ กษตรอนิ ทรยี เ์ ป็นระยะๆ อยา่ งต่อเน่ือง 2. การจดั ทาํ แผนงบประมาณในเชงิ บูรณาการประจาํ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 “การพฒั นา เกษตรอนิ ทรยี ”์ กรมพฒั นาทด่ี นิ ในฐานะหน่วยงานเจา้ ภาพ ไดร้ ่วมกบั หน่วยงานท่เี ก่ยี วขอ้ ง (6 กระทรวง 26 หน่วยงาน) ประชุมระดมความคดิ จดั ทําสรุปภาพรวมและรายละเอยี ดแผน งบประมาณในเชงิ บูรณาการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 “การพฒั นาเกษตรอนิ ทรยี ”์ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ และผา่ นการอนุมตั ใิ นหลกั การตามมตคิ ณะรฐั มนตรี เมอ่ื วนั ท่ี 31 พฤษภาคม 2548 แลว้ ภายในวงเงนิ งบประมาณจํานวน 1,262.166 ลา้ นบาท โดยมเี ป้าหมายและแนวทางการ ดาํ เนินงาน ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2548- 2552 ดงั น้ี 2.1 เป้าหมายการดาํ เนินงาน  จํานวนเกษตรกรทม่ี กี ารปรบั เปล่ยี นใชส้ ารอนิ ทรยี ท์ ดแทนสารเคมที างการเกษตร 4.25 ลา้ นราย (ปี พ.ศ. 2549 จาํ นวนเกษตรกร 850,000 ราย)  จาํ นวนพน้ื ทท่ี ม่ี กี ารปรบั เปลย่ี นใชส้ ารอนิ ทรยี ท์ ดแทนสารเคมที างการเกษตรเน้ือท่ี 85 ลา้ นไร่ (ปี พ.ศ. 2549 เน้ือท่ี 17 ลา้ นไร)่  ปรมิ าณการนําเขา้ ป๋ ยุ เคมี และสารเคมที างการเกษตร ลดลง 50% (ปี พ.ศ. 2549 ลดลง 5%) คดิ เป็นมลู คา่ 2,220 ลา้ นบาท (คดิ จากปีฐาน 2547)  เกษตรกรมรี ายไดส้ ทุ ธเิ พม่ิ ขน้ึ 20 %

37  ปรมิ าณและมลู คา่ การสง่ ออกสนิ คา้ เกษตรอนิ ทรยี เ์ พมิ่ ขน้ึ 100 % ต่อปี 2.2 แนวทางการดาํ เนินงาน  รณรงคป์ ระชาสมั พนั ธใ์ หเ้ กษตรกรทวั่ ประเทศรบั รถู้ งึ นโยบายและเจตนารมณ์ของ รฐั บาลในเร่อื งวาระแหง่ ชาตเิ กษตรอนิ ทรยี ์ รวมทงั้ ปลูกฝงั และสรา้ งกระแสคา่ นิยม ใหเ้ กษตรกรหนั มาใชส้ ารอนิ ทรยี ท์ ดแทนสารเคมที างการเกษตร ซง่ึ เจา้ หน้าทข่ี องรฐั เกษตรกรและประชาชนทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกนั ขบั เคล่ือนวาระแห่งชาติ เกษตรอนิ ทรยี ไ์ ปสเู่ ป้าหมายความสาํ เรจ็ ใหไ้ ด้  วจิ ยั และพฒั นาเทคโนโลยเี กษตรอนิ ทรยี ์ ไดแ้ ก่ การวจิ ยั เทคนิคการผลติ ป๋ ุยอนิ ทรยี ์ คุณภาพสงู การนําขยะมาผลติ ป๋ ุยอนิ ทรยี ์ การคดิ คน้ พฒั นานวตั กรรมใหม่ ๆ ใน การใชส้ ารอนิ ทรยี ท์ ดแทนสารเคมี รวมทงั้ พฒั นาเทคโนโลยกี ารบรรจุภณั ฑแ์ ละแปร รปู สนิ คา้ เกษตรอนิ ทรยี ์  การสรา้ งระบบเครอื ข่ายเกษตรกร โดยใชว้ ธิ กี ารสรา้ งทมี แกนนําเกษตรกรเพ่อื ขยายฐานสมาชกิ และการสรา้ งระบบตดิ ตามประเมนิ ผลเพอ่ื สนบั สนุนทมี ทม่ี คี วาม เขม้ แขง็ ทงั้ น้ีจะใหเ้ ครอื ขา่ ยเกษตรกร มลู นิธิ สถาบนั และองคก์ รอสิ ระต่างๆ ท่ี ดําเนินงานฝึกอบรมเกษตรกรดา้ นการผลติ ในระบบเกษตรอนิ ทรยี ์ ตามแนวทาง ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ซ่งึ มศี ูนยฝ์ ึกอบรมเกษตรกรอยู่แล้ว เป็นผูด้ ําเนิน ฝึกอบรมและสรา้ งทมี แกนนําเกษตรกรขน้ึ โดยจะต้องมกี ารประชุมเครอื ข่าย เกษตรกรทงั้ หมด เพ่อื กําหนดกรอบของหลกั สูตรใหเ้ ป็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั ก่อนทจ่ี ะมกี ารจดั กจิ กรรมดงั กล่าวขน้ึ  การสร้างมูลค่าเพม่ิ และพฒั นาตลาดสนิ ค้าเกษตรอนิ ทรยี ์ โดยทางภาครฐั จะ สนบั สนุนในเรอ่ื งของตลาดสนิ คา้ เกษตรอนิ ทรยี ์ และผลกั ดนั ใหส้ นิ คา้ เกษตรอนิ ทรยี ์ มมี ูลค่าสูงกว่าสนิ ค้าปกติ ซ่ึงเป็นปจั จยั หน่ึงท่จี ะส่งเสรมิ ให้เกษตรกรสนใจ ปรบั เปลย่ี นเขา้ สรู่ ะบบการผลติ สนิ คา้ เกษตรอนิ ทรยี ์ 3. การสง่ เสรมิ การทาํ เกษตรอนิ ทรยี :์ รบั ผดิ ชอบโดย คณะกรรมการสง่ เสรมิ เกษตรอนิ ทรยี ์ แหง่ ชาตโิ ดยมพี ลตรจี าํ ลอง ศรเี มอื ง เป็นประธานคณะกรรมการ กรมวชิ าการเกษตรและกรมพฒั นา ทด่ี นิ เป็นฝา่ ยเลขานุการฯ 4. การสง่ เสรมิ การใชส้ ารอนิ ทรยี ท์ ดแทนสารเคมที างการเกษตร สนับสนุนการขบั เคล่อื น วาระแห่งชาตเิ กษตรอนิ ทรยี :์ รบั ผดิ ชอบโดยคณะกรรมการส่งเสรมิ การใชส้ ารอนิ ทรยี ท์ ดแทน สารเคมที างการเกษตร โดยมกี รรมการผชู้ ่วยรฐั มนตรปี ระจาํ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายสุนยั เศรษฐบ์ ุญสรา้ ง) เป็นประธานคณะกรรมการ กรมพฒั นาทด่ี นิ เป็นฝา่ ยเลขานุการฯ

38 5. การจดั ทาํ ค่มู อื การจดั ตงั้ และบรหิ ารโรงงานผลติ ป๋ ุยอนิ ทรยี -์ ชวี ภาพ ชุมชน กรมพฒั นา ท่ดี นิ ไดร้ ่วมประชุมกบั หน่วยงานต่าง ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ ง ได้แก่ กรมส่งเสรมิ สหกรณ์ กรมส่งเสรมิ การเกษตร กรมวชิ าการเกษตร สาํ นกั งานปลดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสมาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎร เพอ่ื รว่ มกนั แกไ้ ขรา่ งคมู่ อื การจดั ตงั้ และบรหิ ารโรงงานผลติ ป๋ ยุ อนิ ทรยี -์ ชวี ภาพ ชุมชน ใหม้ ี เน้ือหาครอบคลุมและมคี วามชดั เจนมากทส่ี ุด โดยคู่มอื ฉบบั ร่างประกอบดว้ ยสาระสําคญั เร่อื ง โครงการสรา้ งโรงงานฯ รายละเอยี ดของแบบโรงงานฯ เคร่อื งจกั รและอุปกรณ์ภายในโรงงานฯ ศนู ย์ ขอ้ มลู เกษตรอนิ ทรยี แ์ ละการควบคุมมาตรฐาน ขอ้ มลู ชนิดและปรมิ าณวสั ดุเหลอื ใชจ้ ากเกษตรกรรม ปรมิ าณธาตุอาหารของวสั ดเุ หลอื ใชท้ างการเกษตร แนวทางการบรหิ ารจดั การและการจดั องคก์ ร ซง่ึ ขณะน้ีไดด้ ําเนินการเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ อย่รู ะหว่างรอการเสนอพจิ ารณาในคณะกรรมการสง่ เสรมิ การใชส้ ารอนิ ทรยี ท์ ดแทนสารเคมที างการเกษตร และเม่อื ไดค้ ่มู อื ฉบบั สมบูรณ์ทผ่ี า่ นการเหน็ ชอบ จากคณะกรรมการฯ เรยี บรอ้ ยแลว้ จะดาํ เนินการจดั พมิ พแ์ จกจา่ ย การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยืนในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 10 (พ.ศ. 2550-2554) ส่วนในแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาตฉิ บบั ท่ี 10 ซง่ึ มุ่งเน้นการพฒั นาคนมากขน้ึ โดยมจี ุดมุ่งหมายสรา้ งสงั คมท่อี ยู่เยน็ เป็นสุขร่วมกนั โดยมปี รชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งเป็น หลกั การปฏบิ ตั ทิ ส่ี าํ คญั ยทุ ธศาสตรท์ เ่ี กย่ี วขอ้ ง คอื การพฒั นาบนฐานความหลากหลายทางชวี ภาพ และการสรา้ งความมนั่ คงของฐานทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม ซ่งึ ใหค้ วามสําคญั กบั การรกั ษาฐาน ทรพั ยากรและความสมดลุ ของระบบนิเวศ การสรา้ งสภาพแวดลอ้ มทด่ี เี พอ่ื ยกระดบั คุณภาพชวี ติ และ การพฒั นาทย่ี งั่ ยนื และการพฒั นาคุณค่าความหลากหลายทางชวี ภาพและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ซง่ึ ใน แผนฯ น้ีไดก้ ล่าวถงึ แนวทางการพฒั นาทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การทาํ การเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื โดยการลด การนําเขา้ ป๋ ุยและสารเคมที างการเกษตรใหไ้ มเ่ กนิ ปีละ 3.5 ลา้ นตนั รวมทงั้ มรี ะบบจดั การสารเคมี อยา่ งครบวงจรตงั้ แต่การผลติ การนําเขา้ จนถงึ การกาํ จดั ทาํ ลาย การฟ้ืนฟูความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ โดยลดและควบคุมการปลูกพชื เชงิ เดย่ี ว สง่ เสรมิ เกษตรกรรมเชงิ อนุรกั ษ์ ขยายพน้ื ทเ่ี กษตรอนิ ทรยี ์ เกษตรยงั่ ยนื เพ่อื รกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพในพน้ื ทเ่ี กษตรกรรม (สาํ นักงานคณะกรรมการ พฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาต,ิ 2549) ดงั นัน้ พอจะสรุปการวางแผนการพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยนื ในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 1-10 ไดด้ งั ภาพท่ี 3-1

39 การวางแผนพฒั นาประเทศ แผนฯ 1-10 ยคุ ทองของการวางแผน ยคุ ผนั ผวน ยคุ ประชาธปิ ไตย แผนฯ 1: 2504-2509 ทางการเมอื ง แผนฯ 2: 2510-2514 ยุคเปลย่ี นผา่ นสกู่ ระบวนทศั น์ใหม่ แผนฯ 3: 2515-2519 ยดึ คนเป็นศนู ยก์ ลางเน้นการมสี ่วนรว่ ม เน้นการเตบิ โตทางเศรษฐกจิ แผนฯ 4: 2520-2524 ใชเ้ ศรษฐกจิ เป็นเครอ่ื งมอื พฒั นาคน ดว้ ยโครงสรา้ งพน้ื ฐาน ยดึ ปฏบิ ตั ติ ามปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง แผนฯ 5: 2525-2529 เน้นการพฒั นา แผนฯ 6: 2530-2534 มุ่งสสู่ งั คมอย่เู ยน็ เป็นสุขรว่ มกนั เศรษฐกจิ ควบค่กู บั การพฒั นาสงั คม แผนฯ 7: 2535-2539 เน้นเสถยี รภาพเศรษฐกจิ มงุ่ แผนฯ 8: 2540-2544 พฒั นาภมู ภิ าค ชนบท แผนฯ 9: 2545-2549 แผนฯ 10: 2550-2554 เร่ิมแผนวิจยั เกษตรยงั่ ยืน วาระแห่งชาติเกษตรอินทรยี ์ ภาพที่ 3-1: การวางแผนพฒั นาประเทศในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติที่ 1 -10 การพฒั นาการเกษตรและเกษตรยงั่ ยืนในช่วงแผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ขณะท่แี ผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติฉบบั ท่ี 11 (พ.ศ.2555-2559) ซ่ึงคํานึงถึง สถานการณ์และความเส่ียงซ่ึงเกิดข้ึนจากการเปล่ียนแปลงในระดับโลกและภายในประเทศ โดยเฉพาะภาวะผนั ผวนดา้ นเศรษฐกจิ พลงั งาน และภมู อิ ากาศ โดยไดร้ ะบุยทุ ธศาสตรค์ วามเขม้ แขง็ ภาคเกษตร ความมนั่ คงของอาหาร และพลงั งาน ซ่ึงระบุแนวทางสรา้ งภูมคิ ุ้มกนั ฐานการผลิตท่ี เขม้ แขง็ โดยใหค้ วามสําคญั กบั ระบบเกษตรกรรมเพมิ่ ขน้ึ การเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการผลติ โดยการใช้ วสั ดุเหลือใช้ และมกี ารกําหนดเป้าหมายพฒั นาคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภยั ของสนิ ค้า เกษตรและอาหารอยา่ งต่อเน่ือง โดยเพมิ่ พน้ื ทก่ี ารทาํ เกษตรยงั่ ยนื อยา่ งน้อยรอ้ ยละ 5 ต่อปี และ ครอบครวั เกษตรกรสามารถพง่ึ พาตนเองทางอาหารจากไรน่ าไดเ้ พม่ิ ขน้ึ เป็นรอ้ ยละ 50 ในปี 2559 (สาํ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาต,ิ 2554)

บทที่ 4 รปู แบบ วิธีการ และกระบวนการของระบบเกษตรยงั่ ยนื แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติฉบบั ท่ี 8 และ 9 ไดร้ ะบุรูปแบบของระบบเกษตร ยงั่ ยนื ไว้ 5 รปู แบบดว้ ยกนั ดงั น้ี 1. เกษตรผสมผสาน 2. เกษตรอนิ ทรยี ์ 3. เกษตรธรรมชาติ 4. เกษตรทฤษฎใี หม่ 5. วนเกษตร เกษตรผสมผสาน การทําเกษตรผสมผสาน เกดิ ขน้ึ จากการทําเกษตรกระแสหลกั โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การทํา เกษตรเชงิ เดย่ี วหรอื การผลติ สนิ คา้ เกษตรชนิดเดยี ว ซง่ึ เกดิ ปญั หาหลายๆ ดา้ น คอื 1. รายไดข้ องครวั เรอื นไมม่ เี สถยี รภาพ 2. เศษวสั ดุจากพชื และมลู สตั วไ์ มไ่ ดน้ ําไปใชป้ ระโยชน์ 3. การผลติ สนิ คา้ เดย่ี วบางชนิดใชเ้ งนิ ลงทนุ มาก 4. ครวั เรอื นตอ้ งพง่ึ พาอาหารจากภายนอก ดงั นัน้ จงึ เกดิ แนวคดิ ในการหาระบบการผลติ ในไร่นาทส่ี ามารถใชป้ ระโยชน์จากพน้ื ทท่ี ํากนิ ขนาดเล็ก เพ่ือลดความเส่ยี งจากการผลิต ลดการพ่งึ พิงเงินทุน ปจั จยั การผลิตและอาหารจาก ภายนอก เศษพชื และมลู สตั วซ์ ง่ึ เป็นผลพลอยไดจ้ ากกจิ กรรมการผลติ ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ในไรน่ า และทาํ ใหผ้ ลผลติ และรายไดเ้ พม่ิ ขน้ึ ระบบการผลติ ดงั กลา่ ว คอื เกษตรผสมผสาน (สภุ าวด,ี 2547) วตั ถปุ ระสงคข์ องเกษตรผสมผสาน สภุ าวดี (2547) ไดอ้ ธบิ ายไวด้ งั น้ี 1. เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความมนั่ คงดา้ นรายได้ 2. เพอ่ื ลดการพง่ึ พาดา้ นเงนิ ทนุ ปจั จยั การผลติ และอาหารจากภายนอก 3. เพอ่ื ใหเ้ กดิ การประหยดั ทางขอบขา่ ย 4. เพมิ่ รายไดจ้ ากพน้ื ทเ่ี กษตรขนาดยอ่ ยทจ่ี าํ กดั นอกจากน้ียงั มีการเพ่ิมพูนความอุดมสมบูรณ์ของทรพั ยากรธรรมชาติ ลดการทําลาย สงิ่ แวดลอ้ ม ทาํ ใหเ้ กษตรกรมคี วามเป็นอสิ ระในการดาํ รงชวี ติ

41 ความหมายของเกษตรผสมผสาน เกษตรผสมผสาน (Integrated Farming) หมายถงึ ระบบเกษตรทม่ี กี ารปลูกพชื และมกี าร เลย้ี งสตั วห์ ลากหลายชนิดในพน้ื ทเ่ี ดยี วกนั โดยทก่ี จิ กรรมการผลติ แต่ละชนิด เกอ้ื กลู ประโยชน์ต่อกนั ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ (วฑิ ูรย,์ 2530) มกี ารใชท้ รพั ยากรท่มี อี ยู่ในไร่นาอย่างเหมาะสม เกดิ ประโยชน์สงู สุด มคี วามสมดุลต่อสงิ่ แวดลอ้ มอย่างต่อเน่ืองและเกดิ การเพมิ่ พูนความอุดมสมบูรณ์ ของทรพั ยากรธรรมชาติ (ชนวน และประเวศ, 2532) การเกอ้ื กูลกนั ระหวา่ งพชื และสตั ว์ เศษซาก และผลพลอยไดจ้ ากการปลกู พชื จะเป็นประโยชน์ต่อกจิ กรรมการเลย้ี งสตั ว์ ในทางตรงกนั ขา้ ม ผลท่ี ไดจ้ ากการเลย้ี งสตั วก์ จ็ ะเป็นประโยชน์ต่อพชื ดว้ ยเชน่ กนั (มลู นิธเิ กษตรยงั่ ยนื , มปป.) ขอ้ ท่นี ่าสงั เกต คอื การเกษตรแบบผสมผสานมใิ ช่แค่เพยี งการทําการเกษตรหลายอย่าง รวมกนั (Mixed farming) เท่านัน้ (Hutanuwatr, 1988) ทงั้ น้ีเน่ืองจากความหมายของระบบ การเกษตรแบบผสมผสานนนั้ มุง่ เป้าหมายไปทก่ี ารประสานเกอ้ื กลู กนั ระหวา่ งพชื และสตั ว์ เศษซาก และผลพลอยไดจ้ าการปลกู พชื จะเป็นประโยชน์ต่อกจิ กรรมการเลย้ี งสตั ว์ และในทางตรงกนั ขา้ มผลท่ี ไดจ้ ากการเลย้ี งสตั วก์ จ็ ะเป็นประโยชน์ต่อพชื ดว้ ย (วฑิ รู ย,์ 2539) หลกั การเกษตรผสมผสาน หลกั การพน้ื ฐานของระบบเกษตรกรรมแบบผสมผสานมอี ย่อู ย่างน้อย 2 ประการสาํ คญั ๆ (วฑิ รู ย,์ 2539) คอื 1. ตอ้ งมกี จิ กรรมการเกษตรตงั้ แต่ 2 กจิ กรรมเป็นตน้ ไป โดยการทาํ การเกษตรทงั้ สอง กจิ กรรมนนั้ ตอ้ งทาํ ในพน้ื ทแ่ี ละระยะเวลาเดยี วกนั ซง่ึ กจิ กรรมเหล่านนั้ ควรประกอบไปดว้ ยการปลูก พชื และการเลย้ี งสตั ว์ และสามารถผสมผสานระหว่างการปลูกพชื ต่างชนิด หรอื การเลย้ี งสตั วต์ ่าง ชนิดกนั ได้ 2. การเกอ้ื กูลประโยชน์ระหวา่ งกจิ กรรมเกษตรต่างๆ และการใชป้ ระโยชน์จากทรพั ยากรใน ระบบเกษตรแบบผสมผสานนนั้ เกดิ ขน้ึ ทงั้ จากวงจรการใชแ้ รธ่ าตุอาหารรวมทงั้ อากาศ และพลงั งาน เชน่ การหมุนเวยี นใชป้ ระโยชน์จากมลู สตั วใ์ หเ้ ป็นประโยชน์กบั พชื และใหเ้ ศษพชื เป็นอาหารสตั ว์ โดยทก่ี ระบวนการใชป้ ระโยชน์จะเป็นไปทงั้ โดยตรงหรอื โดยออ้ ม เช่น ผ่านการหมกั ของจุลนิ ทรยี ์ เสยี กอ่ น ลกั ษณะของการผสมผสาน ลกั ษณะการผสมผสานในระบบเกษตร สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 กลุ่มใหญ่ (วฑิ รู ย,์ 2539) ดงั น้ี 1. การปลกู พชื แบบผสมผสาน

42 เป็นการอาศยั หลกั การความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพชื สงิ่ มชี วี ติ และจุลนิ ทรยี ต์ ่างๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ใน ระบบนิเวศตามธรรมชาตมิ าจดั การและปรบั ใชใ้ นระบบการเกษตร ตวั อยา่ งเชน่ การปลูกตาลโตนด ในนาขา้ ว การปลกู พรกิ ไทยรว่ มกบั มะพรา้ ว การปลูกพชื ไรผ่ สมกบั ถวั่ การปลกู ทุเรยี นรว่ มกบั สะตอ การปลูกระกาํ ในสวนยาง เป็นตน้ โดยทย่ี ง่ิ มคี วามหลากหลายของพชื ปลกู มากเท่าใด กจ็ ะสามารถ เพม่ิ เสถยี รภาพใหก้ บั ระบบมากขน้ึ เทา่ นนั้ พชื ทต่ี อ้ งการแสงแดดในการเจรญิ เตบิ โต จะเป็นพชื ซง่ึ อยใู่ นระดบั สงู กว่าพชื อ่นื ๆ ในขณะท่ี บรเิ วณความสบู ระดบั กลาง จะเป็นบรเิ วณทเ่ี หมาะสมกบั การเจรญิ เตบิ โตของพชื ทต่ี อ้ งการแสงแดด ปานกลาง สว่ นพชื ทต่ี อ้ งการแสงแดดน้อยสามารถงอกงามไดใ้ นระดบั ชนั้ ล่างสุด โครงสรา้ งของพนั ธุ์ ไมซ้ ่งึ มหี ลายระดบั ชนั้ ไดท้ ําใหเ้ กดิ ความหลากหลายของภูมอิ ากาศ และความชน้ื ภายในระบบดว้ ย โดยสงั เกตไดจ้ ากมพี นั ธพ์ ชื พนั ธุส์ ตั วเ์ ป็นจาํ นวนมากพง่ึ พาอาศยั อยกู่ บั พชื อน่ื ๆ พชื ทม่ี ลี ําตน้ สงู และมรี ะบบรากลกึ จะดงึ ดดู แร่ธาตุอาหารจากพน้ื ดนิ ชนั้ ล่างขน้ึ ไปบํารุงการ เจรญิ เติบโตของใบ ดอก และผล เม่อื ส่วนต่างๆ เหล่านัน้ ร่วงลงมากจ็ ะถูกย่อยสลายโดยสง่ิ มชี วี ติ ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ จากจุลนิ ทรยี ์ จนกลายเป็นแร่ธาตุอนั อุดมสมบูรณ์สะสมอยู่ท่ผี วิ หน้าดนิ พชื ชนั้ ล่างซง่ึ มรี ะบบรากตน้ื กว่าไดใ้ ชแ้ ร่ธาตุเหล่านัน้ เป็นอาหารและเจรญิ เตบิ โตแผ่คลุมผวิ หน้าดนิ เป็นการรกั ษาน้ํา ความชมุ่ ชน้ื เอาไวใ้ นระบบ 2. การผสมผสานการเลย้ี งสตั ว์ หลกั การผสมผสานเป็นไปเชน่ เดยี วกบั การผสมผสานระหว่างพชื เน่ืองจากสตั วช์ นิดหน่ึงจะ มคี วามสมั พนั ธก์ บั สตั วอ์ กี ชนิดหน่ึงและเกย่ี วขอ้ งกบั สง่ิ มชี วี ติ อ่นื ๆ เช่น พชื และจุลนิ ทรยี ์ ตวั อย่าง ของระบบการผสมผสานการเลย้ี งสตั ว์ เช่น การเลย้ี งหมคู วบค่กู บั ปลา การเลย้ี งเป็ดหรอื ไก่รว่ มกบั ปลา การเลย้ี งปลาแบบผสมผสาน เป็นตน้ อยา่ งไรกต็ าม การผสมผสานการเลย้ี งสตั วเ์ พยี งอยา่ ง เดยี วอาจจะไม่สามารถสรา้ งระบบทส่ี มบูรณ์ไดเ้ หมอื นกบั การผสมผสานการปลูกพชื และเล้ยี งสตั ว์ แต่กด็ กี วา่ การทาํ การเกษตรทม่ี กี ารเลย้ี งสตั วเ์ พยี งชนิดเดยี ว เน่ืองจากสามารถใชท้ รพั ยากรไดอ้ ยา่ ง มปี ระสทิ ธภิ าพและมเี สถยี รภาพของระบบมากกวา่ 3. การปลกู พชื ผสมผสานกบั การเลย้ี งสตั ว์ การปลูกพชื แบบผสมผสาน และการผสมผสานการเล้ียงสตั ว์หลายชนิดร่วมกนั นัน้ เม่อื พจิ ารณาอย่างละเอยี ดแลว้ จะพบว่าการผสมผสานกนั ระหว่างพชื กบั พชื และสตั ว์กบั สตั ว์ ดงั กล่าว ลว้ นมคี วามสมั พนั ธก์ บั สงิ่ มชี วี ติ ทงั้ พชื และสตั วข์ นาดเลก็ เป็นจํานวนมาก โดยทเ่ี ราไม่อาจสงั เกตได้ ดว้ ยตาเปลา่ ตวั อยา่ งของระบบการปลกู พชื ผสมผสานกบั การเลย้ี งสตั ว์ เชน่ การเลย้ี งปลาในนาขา้ ว การเลย้ี งเป็ดในนาขา้ ว การเลย้ี งหมแู ละปลกู ผกั การเลย้ี งสตั วแ์ ละปลกู พชื ไร่ เป็นตน้ ดงั นัน้ รูปแบบการผสมผสานระหว่างการปลูกพืชและสตั ว์จึงเป็นรูปแบบการเกษตรท่ี สอดคลอ้ งกบั สมดุลของแรธ่ าตุพลงั งาน และมกี ารเกอ้ื กูลประโยชน์ระหว่างกจิ กรรมการผลติ ต่างๆ มากขน้ึ ใกลเ้ คยี งกบั ระบบนิเวศตามธรรมชาตมิ ากยง่ิ ขน้ึ

43 ประโยชน์ทีไ่ ด้รบั ของระบบเกษตรผสมผสาน ระบบเกษตรผสมผสานเป็นรปู แบบหน่ึงของระบบเกษตรกรรมทม่ี กี จิ กรรมตงั้ แต่ 2 กจิ กรรม ขน้ึ ไปในพ้นื ท่เี ดยี วกนั และกจิ กรรมเหล่าน้ีจะมกี ารเก้อื กูลประโยชน์ซ่งึ กนั และกนั ไม่ทางใดก็ทาง หน่ึง ดงั นนั้ จงึ เป็นระบบทน่ี ําไปสกู่ ารเกษตรแบบยงั่ ยนื (Sustainable agriculture) จงึ ก่อใหเ้ กดิ ผลดี และประโยชน์ในดา้ นต่างๆ ดงั พลู สวสั ดิ ์(2546) ไดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ 1. ลดความเสย่ี งจากความแปรปรวนของสภาพลมฟ้าอากาศ 2. ลดความเสย่ี งจากความผนั แปรของราคาผลผลติ 3. ลดความเสย่ี งจากการระบาดของศตั รพู ชื 4. ชว่ ยเพม่ิ รายไดแ้ ละกระจายรายไดต้ ลอดปี 5. ชว่ ยกอ่ ใหเ้ กดิ ความหลากหลายทางพนั ธุกรรม 6. ช่วยกระจายการใชแ้ รงงาน ทําใหม้ งี านทําตลอดปี เป็นการลดการเคล่อื นยา้ ยแรงงาน ออกนอกภาคเกษตร 7. ช่วยก่อใหเ้ กดิ การหมุนเวยี น (Recycling) ของกจิ กรรมต่างๆ ในระดบั ไร่นา เป็นการ ชว่ ยอนุรกั ษ์ทรพั ยากรในระดบั ไรน่ า 8. ชว่ ยใหเ้ กษตรกรมอี าหารเพยี งพอต่อการบรโิ ภคภายในครวั เรอื น 9. ชว่ ยทาํ ใหค้ ณุ ภาพชวี ติ ของเกษตรกรดขี น้ึ เกษตรอินทรีย์ เกษตรอนิ ทรยี ์ เป็นระบบการผลติ ทางการเกษตรทางเลอื กทห่ี ลกี เลย่ี งการใชส้ ารสงั เคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นป๋ ุยเคมี สารเคมกี ําจดั ศตั รูพชื และฮอรโ์ มนต่างๆ ทก่ี ระตุ้นการเจรญิ เตบิ โตของพชื และ สตั ว์ ตลอดจนไมใ่ ชพ้ ชื หรอื สตั วท์ เ่ี กดิ จากการตดั ต่อทางพนั ธุกรรมทอ่ี าจเกดิ แลพษิ ในสภาพแวดลอ้ ม เน้นการใช้อนิ ทรยี วตั ถุ เน่ืองจากการใชป้ ๋ ุยเคมแี ละสารเคมกี ําจดั ศตั รูพชื ในไร่นา ก่อใหเ้ กษตรกร ประสบปญั หาในด้านสุขภาพอย่างรุนแรง ประกอบกับต้องลงทุนสูง แต่ผลผลิตท่ีได้มีความไม่ แน่นอนข้ึนอยู่กับสภาพแวดล้อม นอกจากน้ีสารเคมีท่ีใช้ยงั ไปทําลายแมลงและส่ิงมีชีวิตตาม ธรรมชาติ เป็นผลใหร้ ะบบนิเวศเกดิ ความไม่สมดุล เกษตรอนิ ทรยี จ์ ะเน้นการใชภ้ ูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ท่ี เกดิ จากประสบการณ์ ผสมผสานกบั วทิ ยาการสมยั ใหมแ่ บบพง่ึ พาธรรมชาตเิ พอ่ื แกป้ ญั หา และนํามา สู่ความยงั่ ยนื ทางการเกษตร จงึ อาจกล่าวได้ว่า เกษตรอนิ ทรยี ์เป็นการเกษตรท่หี ลกี เล่ยี งการใช้ สารเคมี เพ่ือความปลอดภยั ในสุขภาพ ใช้ซากพืช มูลสตั ว์ การปลูกพืชหมุนเวียนแร่ธาตุตาม ธรรมชาตใิ นการปรบั ปรุงดนิ ผสมผสานกบั การกําจดั ศตั รูพชื โดยชวี วธิ ี หรอื สงิ่ มชี วี ติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตาม ธรรมชาตชิ ว่ ยในการควบคุมทาํ ลายศตั รพู ชื (สภุ าวด,ี 2547)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook