Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้และใบงานวิชาการพัฒนาสังคม ชุมชน ระดับประถม

ใบความรู้และใบงานวิชาการพัฒนาสังคม ชุมชน ระดับประถม

Description: ใบความรู้และใบงาน

Search

Read the Text Version

1 หนงั สือเรียนสาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ า การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม (สค 1003) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช สาํ นกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ห้ามจําหน่าย หนงั สือเรียนเลม่ นีจดั พิมพด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพอื การศกึ ษาตลอดชีวติ สาํ หรับประชาชน ลิขสิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาํ ดบั ที /

2 หนงั สือเรียนสาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ า การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม (สค 1003) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ลขิ สิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาํ ดบั ที 36/2554

3 คาํ นํา สาํ นกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ไดด้ าํ เนินการจดั ทาํ หนังสือเรี ยนชุดใหม่นีขึน เพือสําหรับใช้ในการเรี ยนการสอนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช ทีมีวตั ถุประสงค์ในการพฒั นาผเู้ รี ยนให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญา และศกั ยภาพในการประกอบอาชีพ การศึกษาต่อ และสามารถดาํ รงชีวิตอยใู่ น ครอบครัว ชุมชน สังคมไดอ้ ย่างมีความสุข โดยผเู้ รียนสามารถนาํ หนงั สือเรียนไปใช้ ดว้ ยวิธีการศึกษา คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ปฏิบตั ิกิจกรรมรวมทังแบบฝึ กหัดเพือทดสอบความรู้ความเขา้ ใจในสาระเนือหา โดยเมือศึกษาแลว้ ยงั ไม่เขา้ ใจ สามารถกลบั ไปศกึ ษาใหมไ่ ด้ ผเู้ รียนอาจจะสามารถเพมิ พนู ความรู้หลงั จาก ศึกษาหนังสือเรียนนี โดยนําความรู้ไปแลกเปลียนกับเพือนในชันเรียน ศึกษาจากภูมิปัญญาท้องถิน จากแหล่งเรียนรู้และจากสืออนื ๆ ในการดาํ เนินการจดั ทาํ หนงั สือเรียนตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษา ขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช ไดร้ ับความร่วมมอื ทีดีจากผทู้ รงคุณวุฒิและผเู้ กียวขอ้ งหลายท่านทีคน้ ควา้ และเรียบเรี ยงเนือหาสาระจากสือต่าง ๆ เพือให้ได้สือทีสอดคลอ้ งกับหลักสูตร และเป็ นประโยชน์ ต่อผเู้ รียนทีอยนู่ อกระบบอยา่ งแทจ้ ริง สาํ นกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ขอขอบคุณคณะทีปรึกษา คณะผเู้ รียบเรียง ตลอดจนคณะผจู้ ดั ทาํ ทุกท่านทีได้ให้ความร่วมมือด้วยดี ไว้ ณ โอกาสนี สาํ นกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั หวงั ว่าหนังสือเรียน ชุดนีจะเป็นประโยชน์ในการจดั การเรียนการสอนตามสมควร หากมีขอ้ เสนอแนะประการใด สาํ นกั งาน ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ขอนอ้ มรับไวด้ ว้ ยความขอบคุณยงิ สํานกั งาน กศน.

4 สารบัญ หน้า คาํ นํา 1 คาํ แนะนาํ การใช้หนงั สือเรียน 2 โครงสร้างรายวชิ า 6 บทที 1 การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม 9 เรืองที 1 การพฒั นาตนเอง 20 เรืองที 2 การพฒั นาชุมชน 21 เรืองที การพฒั นาสงั คม 22 กิจกรรมบทที 23 บทที 2 ข้อมลู ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม 24 เรืองที ความหมาย ความสาํ คญั และประโยชน์ของขอ้ มลู 25 เรืองที ขอ้ มลู ตนเอง ครอบครัว 27 เรืองที ขอ้ มลู ชุมชน สงั คม 31 กิจกรรมบทที 33 บทที การจดั เกบ็ ข้อมูล และวเิ คราะห์ข้อมูล 34 เรืองที การจดั เกบ็ ขอ้ มลู 37 เรืองที การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 41 เรืองที การนาํ เสนอขอ้ มลู 42 กิจกรรมบทที 43 บทที การมสี ่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม 53 เรืองที การวางแผน 58 เรืองที การมีส่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม 61 กิจกรรมบทที บทที เทคนิคการมสี ่วนร่วมในการจดั ทาํ แผน เรืองที เทคนิคการมสี ่วนร่วมในการจดั ทาํ แผน เรืองที การจดั ทาํ แผน เรืองที การเผยแพร่สู่การปฏบิ ตั ิ กิจกรรมบทที

บทที บทบาท หน้าทขี องผ้นู ํา/สมาชิกทดี ขี องชุมชน สังคม 5 เรืองที ผนู้ าํ และผตู้ าม เรืองที ผนู้ าํ ผตู้ ามในการจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชน สงั คม 62 เรืองที ผนู้ าํ ผตู้ ามในการขบั เคลอื นแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม 70 กิจกรรมบทที 75 76 แนวเฉลยกจิ กรรม บรรณานุกรม

ก6 คําแนะนําในการใช้หนังสือเรียน หนงั สือเรียนสาระการพฒั นาสงั คมรายวิชาการพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม ระดบั มธั ยมศกึ ษา ตอนปลาย เป็นหนงั สือเรียนทีจดั ทาํ ขึน สาํ หรับผเู้ รียนทีเป็นนกั ศกึ ษาการศกึ ษานอกระบบ ในการศึกษาหนังสือเรียนสาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม ผเู้ รียนควรปฏิบตั ิดงั นี . ศึกษาโครงสร้างรายวิชาให้เข้าใจในหัวข้อสาระสําคัญ ผลการเรี ยนรู้ทีคาดหวัง และขอบข่ายเนือหา . ศึกษารายละเอียดเนือหาของแต่ละบทอย่างละเอียด และทาํ กิจกรรมตามทีกําหนด แลว้ ตรวจสอบกับแนวเฉลยกิจกรรมท้ายเล่ม ถา้ ผเู้ รียนตอบผดิ ควรกลบั ไปศึกษาและทาํ ความเขา้ ใจ ในเนือหานนั ใหม่ ใหเ้ ขา้ ใจก่อนทีจะศกึ ษาเรืองต่อไป . ปฏิบตั ิกิจกรรมท้ายบทของแต่ละบท เพือเป็ นการสรุปความรู้ ความเขา้ ใจของเนือหา ในเรืองนนั ๆ อกี ครัง . หนงั สือเรียนเลม่ นีมี บท คือ บทที การพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม บทที ขอ้ มลู ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม บทที การจดั เกบ็ ขอ้ มลู และวเิ คราะหข์ อ้ มลู บทที การมสี ่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม บทที เทคนิคการมสี ่วนร่วมในการจดั ทาํ แผน บทที บทบาท หนา้ ทีของผนู้ าํ /สมาชิกทีดีของชุมชน สงั คม

7 ข โครงสร้างรายวชิ าการพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย สาระสําคญั การพฒั นาตนเอง เป็นการพฒั นาความสามารถของตนเองใหม้ ศี กั ยภาพ สมรรถนะทีทนั ต่อสภาพ ความจาํ เป็นตามความกา้ วหนา้ และการเปลียนแปลงของสงั คม เพือใหต้ นเองมีชีวิตทีดีขึน ดงั นัน การที จะพฒั นาตนอง ครอบครัว ชุมชน และสงั คมได้ จะตอ้ งมคี วามรู้ ความเขา้ ใจหลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม ความสาํ คญั ของขอ้ มลู ประโยชนข์ องขอ้ มลู ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม ในดา้ นต่าง ๆ รู้วิธีการ จดั เก็บ วิเคราะห์ขอ้ มลู ดว้ ยวิธีการทีหลากหลาย และการเผยแพร่ขอ้ มูล การมีส่วนร่วมในการวางแผน พฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม รู้เทคนิคการมีส่วนร่วมใน การจดั ทาํ แผนครอบครัว ชุมชน สงั คม เข้าใจบทบาทหนา้ ทีของผนู้ ําชุมชน ในฐานะผนู้ าํ และผูต้ ามในการจัดทาํ และขับเคลือนแผนพฒั นา ตนเอง ชุมชน และสงั คม ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. เพือใหผ้ เู้ รียนสามารถมคี วามรู้ ความเขา้ ใจหลกั การพฒั นาชุมชน สงั คม 2. บอกความหมายและความสาํ คญั ของแผนชีวิต และแผนชุมชน สงั คม 3. วิเคราะห์และนาํ เสนอขอ้ มูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน/สังคม ด้วยเทคนิคและวิธีการ ทีหลากหลาย 4. จูงใจใหส้ มาชิกของชุมชนมสี ่วนร่วมในการจดั ทาํ แผนชีวติ และแผนชุมชน สงั คมได้ 5. เป็นผนู้ าํ ผตู้ ามในการจดั ทาํ ประชาคม ประชาพจิ ารณ์ของชุมชน 6. กาํ หนดแนวทางในการดาํ เนินการเพอื นาํ ไปสู่การทาํ แผนชีวติ ครอบครัว ชุมชน สงั คม 7. ร่วมพฒั นาแผนชุมชนตามขนั ตอน ขอบข่ายเนือหา บทที การพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม บทที ขอ้ มลู ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม บทที การจดั เก็บขอ้ มลู และวิเคราะหข์ อ้ มลู บทที การมสี ่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม บทที เทคนิคการมสี ่วนร่วมในการจดั ทาํ แผน บทที บทบาท หนา้ ทีของผนู้ าํ /สมาชิกทีดขี องชุมชน สงั คม

1 บทที การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม สาระสําคญั การพฒั นาเป็นการทาํ ใหด้ ีขึน ใหเ้ จริญขึน เป็นการเพมิ คุณค่าของสิงต่าง ๆ พฒั นาจากสิงทีมี อยเู่ ดิม หรือสร้างสรรคส์ ิงใหม่ขึนมา ดงั นนั การพฒั นาจึงเริมตน้ ดว้ ยการพฒั นาตนเอง ต่อจากนนั เป็น การพฒั นาชุมชน และท้ายสุดเป็ นการพฒั นาสงั คม ซึงจะตอ้ งเรียนรู้ความหมาย ความสําคญั แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ พฒั นาตนเอง ชุมชน และสงั คม ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั เมือศึกษาบทที จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ 1. บอกความหมาย ความสาํ คญั ของการพฒั นาตนเอง ชุมชน และสงั คมได้ 2. อธิบายหลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน และสงั คมได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที การพฒั นาตนเอง เรืองที การพฒั นาชุมชน เรืองที การพฒั นาสงั คม

2 เรืองที การพฒั นาตนเอง . ความหมายของ “การพฒั นา” (Development) การพฒั นา (Development) หมายถงึ การทาํ ใหด้ ีขึน ใหเ้ จริญขึน เป็นการเพิมคุณค่าของ สิงต่าง ๆ การพฒั นาอาจพฒั นาจากสิงทีมอี ยเู่ ดิม หรือสร้างสรรคส์ ิงใหม่ขึนมาก็ได้ 1.2 ความหมายของ “การพฒั นาตนเอง” การพฒั นาตนเอง (Self Development) หมายถึง ความตอ้ งการของบุคคลในการที จะพฒั นาความรู้ ความสามารถของตนจากทีเป็นอยู่ ให้มีความรู้ ความสามารถเพิมขึนเกิดประโยชน์ต่อ ตน และหน่วยงาน อีกทังยงั เป็ นการพฒั นาตนเองตามศกั ยภาพของตนให้ดีขึน ทังทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา เพอื เป็นสมาชิกทีมปี ระสิทธิภาพของสงั คมเป็นประโยชน์ต่อผอู้ ืน ตลอดจน เพือการดาํ เนินชีวิตอยา่ งมคี วามสุข . หลกั การพฒั นาตนเอง การพฒั นาตนเองเป็นการพฒั นาคุณสมบตั ิทีอยใู่ นตวั บคุ คล เป็นการจดั การตนเอง ใหม้ เี ป้ าหมายชีวิตทีดี ทงั ในปัจจุบนั และอนาคต การพฒั นาตนเอง จะทาํ ใหบ้ ุคคลสาํ นึกในคุณค่า ความเป็นคนไดม้ ากยงิ ขึน ชาญชยั อาจินสมาจาร (ม.ป.ป.) ไดก้ ล่าวถึง การพฒั นาตนเองเป็ นการเปลียนแปลง ตนเองจากศกั ยภาพเดิมทีมอี ยไู่ ปสู่ศกั ยภาพระดบั ทีสูงกวา่ โดย . . ) บุคคลตอ้ งสามารถปลดปล่อยศกั ยภาพระดบั ใหมอ่ อกมา . . ) มีสิงทา้ ทายภายนอกทีเหมาะสม . . ) คนทีมีการพฒั นาตนเอง ควรรับรู้ความทา้ ทายในตวั คนทงั หมด (total self) 1.3.4) เป็นการริเริมดว้ ยตวั เอง แรงจงู ใจเบืองตน้ เกิดขึนผา่ นผลสมั ฤทธิของตวั เอง และการทาํ ใหบ้ รรลคุ วามสาํ เร็จดว้ ยตนเอง รางวลั และการลงโทษจากภายนอกเป็นเรืองทีรองลงมา . . ) การพฒั นาตนเอง ตอ้ งมกี ารเรียนรู้ มกี ารหยงั เชิงอยา่ งสร้างสรรค์ . . ) การพฒั นาตนเอง ตอ้ งเตม็ ใจทีจะเสียง . . ) ตอ้ งมีความตงั ใจทีเขม้ แข็งเพยี งพอทีจะผา่ นขึนไปสู่ศกั ยภาพใหม่ . . ) การพฒั นาตนเองตอ้ งการคาํ แนะนาํ และการสนบั สนุนของนักพฒั นาตนเองทีมี วุฒิภาวะมากกวา่ ดงั นัน การพฒั นาตนเองจะประสบความสําเร็จได้ เมือมีความตอ้ งการทีเกิดจากงาน บุคคลควรมีความตอ้ งการในการปรับปรุงเพือใหเ้ ป็นผทู้ าํ ใหเ้ กิดผลสมั ฤทธิ

3 ปราณี รามสูต และจาํ รัส ดว้ งสุวรรณ ( : - ) ไดก้ ล่าวถึง หลกั การพฒั นา ตนเอง แบ่งออกเป็น ขนั ตอน คือ ขนั ที การตระหนกั รู้ถึงความจาํ เป็นในการปรับปรุงตนเอง เป็ นความตอ้ งการในการที จะพฒั นาตนเอง เพือชีวิตทีประสบความสาํ เร็จ คือ การพฒั นาตนเองในแง่ความรู้และในทุกดา้ นใหด้ ีขึน มากทีสุดเท่าทีจะทาํ ได้ ขนั ที เป็ นขันการวิเคราะห์ตนเอง โดยการสังเกตตนเอง ประเมินตนเอง และสังเกต พฤติกรรมของผอู้ ืน รวมทงั เปรียบเทียบบุคลกิ ภาพทีสงั คมตอ้ งการ ขนั ที การวางแผนพฒั นาตนเองและการตงั เป้ าหมาย . แนวทางการพฒั นาตนเอง นอกจากหลกั การพฒั นาตนเองทีกล่าวมาแลว้ ยงั มแี นวทางการพฒั นาตนเอง ดงั นี . . การพฒั นาดา้ นจิตใจ หมายถึง การพฒั นาสภาพของจิตทีมีความรู้สึกทีดี ต่อตนเองและสิงแวดลอ้ ม มองโลกในแง่ดี เชิงสร้างสรรค์ . . การพฒั นาดา้ นร่างกาย หมายถงึ การพฒั นารูปร่างหนา้ ตา กิริยาท่าทาง การแสดงออก นําเสียงวาจา การสือความหมายรวมไปถึงสุขภาพอนามยั และการแต่งกายเหมาะกับ กาลเทศะ รูปร่างและผวิ พรรณ . . การพฒั นาดา้ นอารมณ์ หมายถึง การพฒั นาความสามารถในการควบคุมความรู้สึก นึกคิดและการแสดงออก ควบคุมอารมณ์ทีเป็นโทษต่อตนเองและผอู้ นื . . การพฒั นาดา้ นสติปัญญา และความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง การพฒั นา ความรอบรู้ ความฉลาด ไหวพริบ ปฏิภาณ การวิเคราะห์ การตดั สินใจ ความสามารถในการแสวงหา ความรู้ และฝึกทกั ษะใหม่ ๆ เรียนรู้วิถีทางการดาํ เนินชีวติ ทีดี . . การพฒั นาดา้ นสงั คม หมายถึง การพฒั นาปฏิบตั ิตน ท่าทีต่อสิงแวดลอ้ ม ประพฤติ ตนตามปทสั ถานทางสงั คม . . การพฒั นาดา้ นความรู้ ความสามารถ หมายถึง การพฒั นาความรู้ ความสามารถทีมี อยใู่ หก้ า้ วหนา้ ยงิ ขึน . . การพฒั นาตนเองสู่ความตอ้ งการของตลาดแรงงาน หมายถึง การพฒั นาความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ ความชาํ นาญทางอาชีพใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของตลาดแรงงาน การพฒั นาคนในองค์การ จึงจาํ เป็ นตอ้ งสร้างวฒั นธรรมองคก์ ารทีส่งเสริมการเรียนรู้ เพิมเติมอย่เู สมอ โดยเฉพาะอย่างยิงการแสวงหาความรู้โดยการอ่าน และการคิด เพราะความรู้เป็ น ทรัพยส์ ินทีมคี ่าทีสามารถสร้างคุณค่าและประโยชนใ์ หแ้ ก่ตนเองและองคก์ าร

4 . วธิ กี ารพฒั นาตนเอง องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ มีจุดมุ่งหมายทีจะพฒั นาบุคลากรของตน ให้มีประสิทธิภาพ สูงสุด เป็ นผทู้ รงคุณค่า การทีบุคลากรไดร้ ับการพฒั นานัน จะเป็ นหลกั ประกนั ไดว้ ่า หน่วยงานนันจะ สามารถรักษาบุคลากรไวไ้ ดย้ าวนาน และเป็นทรัพยากรมนุษยท์ ีมคี ่าสูงขององคก์ รนนั ต่อไป ซึงมีวิธีการ พฒั นาตนเองโดยการฝึกอบรม ตามหลกั วชิ าการ ดงั นี . การลงมอื ฝึกปฏบิ ตั ิจริง . การบรรยายในหอ้ งเรียน . การลงมือปฏิบตั ิงานจริง นอกเวลางานควบคู่กนั ไป . การอบรมเพมิ เติม . การฝึกจาํ ลองเหตุการณ์ และใชว้ ิธีการอนื ๆ 6. การศึกษา คน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตนเองจากแหล่งความรู้ต่างๆ แลว้ นาํ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ ห้ เป็นประโยชนอ์ ยเู่ สมอ เมือบุคคลไดม้ กี ารพฒั นาตนเองไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์แลว้ จะก่อใหเ้ กิดประโยชน์ต่าง ๆ กบั ตนเอง รวมถงึ ประโยชน์จากการเกียวขอ้ งกบั บุคคลอืนและสงั คม ดงั นี 1. ประโยชนท์ ีจะเกิดขึนกบั ตนเอง . การประสบความสาํ เร็จในการดาํ รงชีวิต . การประสบความสาํ เร็จในการประกอบอาชีพการงาน . การมสี ุขภาพอนามยั สมบูรณ์ . การมคี วามเชือมนั ในตนเอง . การมีความสงบสุขทางจิตใจ . ประโยชน์จากการเกียวขอ้ งกบั บุคคลอนื และสงั คม 2.1 การไดร้ ับความเชือถอื และไวว้ างใจจากเพอื นร่วมงานและบุคคลอืน . ความสามารถร่วมมือและประสานงานกบั บุคคลอนื . ความรับผดิ ชอบและความมานะอดทนในการปฏิบตั ิงาน . ความคิดริเริมสร้างสรรคเ์ พือพฒั นางาน ความเป็นอยแู่ ละสภาพแวดลอ้ ม . ความจริงใจ ความเสียสละ และความซือสตั ยส์ ุจริต . การรักและเคารพหม่คู ณะ และการทาํ ประโยชน์เพอื ส่วนรวม . การไดร้ ับการยกยอ่ ง และยอมรับจากเพอื นร่วมงาน

5 การดาํ เนินการพฒั นาตนเอง เป็นการลงมือปฏิบตั ิเพือเสริมสร้างตนเองใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ตามทีกาํ หนดไว้ ควรดาํ เนินการ ดงั ต่อไปนี . การหาความรู้เพมิ เติม อาจกระทาํ โดย . การอ่านหนงั สือเป็นประจาํ และอยา่ งต่อเนือง . การเขา้ ร่วมประชุมหรือเขา้ รับการฝึกอบรม . การสอนหนงั สือหรือการบรรยายต่าง ๆ 1.4 การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนหรือองคก์ ารต่าง ๆ . การร่วมเป็นทีปรึกษาแก่บุคคลหรือหน่วยงาน . การศกึ ษาต่อหรือเพมิ เติมจากสถาบนั การศกึ ษาหรือมหาวทิ ยาลยั เปิ ด . การพบปะเยยี มเยยี นบุคคลหรือหน่วยงานต่าง ๆ . การเป็นผแู้ ทนในการประชุมต่าง ๆ . การจดั ทาํ โครงการพิเศษ 1.10 การปฏิบตั ิงานแทนหวั หนา้ งาน . การคน้ ควา้ หรือวิจยั . การศกึ ษาดูงาน . การเพมิ ความสามารถและประสบการณ์ อาจกระทาํ โดย . การลงมอื ปฏิบตั ิจริง . การฝึกฝนโดยผทู้ รงคุณวุฒิหรือหวั หนา้ งาน . การอ่าน การฟัง และการถาม จากเอกสารและหรือผทู้ รงคุณวุฒิหรือหวั หนา้ งาน . การทาํ งานร่วมกบั บุคคลอืน . การคน้ ควา้ วิจยั . การหมนุ เวยี นเปลียนงาน

6 เรืองที การพฒั นาชุมชน การพฒั นาชุมชน เป็ นการนาํ คาํ สองคาํ มารวมกนั คือ คาํ ว่า “การพฒั นา” กบั คาํ ว่า“ชุมชน” ซึงความหมายของคาํ ว่า “การพฒั นา” ไดก้ ล่าวถึงแลว้ ในเรืองของการพฒั นาตนเอง ในทีนีจะกล่าวถึง ความหมายของชุมชน . ความหมายของ “ชุมชน” (Community) ชุมชน (Community) หมายถึง กลุม่ คนทีอาศยั อย่ใู นอาณาเขตเดียวกนั มีความรู้สึกเป็ น พวกเดียวกนั มคี วามศรัทธา ความเชือ เชือชาติ การงาน มคี วามสนใจ และปฏิบตั ิตนในวิถีชีวิตประจาํ วนั ทีคลา้ ยคลงึ กนั มคี วามเอืออาทรต่อกนั . ความหมายของ “การพฒั นาชุมชน” การพฒั นาชุมชน (Community Development) หมายถึง การทําให้ชุมชนมีการ เปลียนแปลงไปในทางทีดีขึน หรือเจริ ญขึน ทังในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวฒั นธรรม ตลอดจนการยกระดบั คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนให้ดีขึน ประชาชนในชุมชนนัน ๆ ร่วมกนั วางแผนและลงมอื กระทาํ เอง กาํ หนดว่ากลุ่มของตนและของแต่ละคนตอ้ งการ และมีปัญหาอะไร เพือให้ ไดม้ าในสิงทีตอ้ งการและสามารถแกไ้ ขปัญหานนั โดยใชท้ รัพยากรในชุมชนใหม้ ากทีสุด ถา้ จาํ เป็ นอาจ ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลและองคก์ รต่าง ๆ สนบั สนุน ดงั นนั เมือนาํ คาํ วา่ “การพฒั นา” รวมกบั “ชุมชน” แลว้ ก็จะไดค้ วามหมายว่า การพฒั นา ชุมชน กค็ ือ การเปลียนแปลงชุมชนใหด้ ีขึน หรือใหเ้ จริญขึนในทุก ๆ ดา้ นนนั เอง นนั คือจะตอ้ งพฒั นาคน กลุม่ ชน สิงแวดลอ้ มทางวตั ถหุ รือสาธารณสมบตั ิ และพฒั นาทางดา้ นเศรษฐกิจและสงั คม เพือให้ บงั เกิดผลดีแก่ประเทศชาติโดยส่วนรวม . ปรัชญาขันมูลฐานของงานพฒั นาชุมชน ปรัชญาขนั มลู ฐานของงานพฒั นาชุมชน สรุปไดด้ งั นี . . บุคคลแต่ละคนย่อมมีความสาํ คญั และมีความเป็ นเอกลกั ษณ์ทีไม่เหมือนกนั จึงมสี ิทธิอนั พงึ ไดร้ ับการปฏิบตั ิดว้ ยความยตุ ิธรรม และอยา่ งบุคคลมีเกียรติในฐานะทีเป็ นมนุษยป์ ุถุชน ผหู้ นึง . . บุคคลแต่ละคนยอ่ มมีสิทธิ และสามารถทีจะกาํ หนดวิธีการดาํ รงชีวิตของตนไป ในทิศทางทีตนตอ้ งการ . . บุคคลแต่ละคนถา้ หากมีโอกาสแลว้ ยอ่ มมคี วามสามารถทีจะเรียนรู้ เปลียนแปลง ทศั นะ ประพฤติปฏบิ ตั ิและพฒั นาขีดความสามารถใหม้ คี วามรับผดิ ชอบต่อสงั คมสูงขึนได้

7 . . มนุษยท์ ุกคนมีพลงั ในเรืองความคิดริเริม ความเป็ นผูน้ ํา และความคิดใหม่ ๆ ซึงซ่อนเร้นอยู่ และพลงั ความสามารถเหล่านีสามารถเจริญเติบโต และนาํ ออกมาใชไ้ ด้ ถา้ พลงั ทีซ่อนเร้น เหลา่ นีไดร้ ับการพฒั นา . . การพฒั นาพลงั และขีดความสามารถของชุมชนในทุกดา้ นเป็ นสิงทีพึงปรารถนา และมีความสาํ คญั ยงิ ต่อชีวติ ของบุคคล ชุมชน และรัฐ . แนวคดิ พนื ฐานของการพฒั นาชุมชน การศึกษาแนวคิดพืนฐานของงานพฒั นาชุมชน เป็ นสิงสาํ คญั ทีจะทาํ ใหเ้ จา้ หนา้ ทีหรือ นกั พฒั นาไดล้ งไปทาํ งานกบั ประชาชนไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง และทาํ ให้งานมีประสิทธิภาพ ซึงแนวคิดพืนฐาน งานพฒั นาชุมชน มีดงั นี . . การมีส่วนร่วมของประชาชน (People Participation) เป็ นหวั ใจของการพฒั นา ชุมชน โดยยึดหลักของการมีส่วนร่ วมทีว่า ประชาชนมีส่วนร่ วมในการคิด ตัดสินใจ วางแผน การปฏบิ ตั ิการ ร่วมบาํ รุงรักษา ติดตามและประเมนิ ผล . . การช่วยเหลอื ตนเอง (Aide Self-Help) เป็นแนวทางในการพฒั นาทียดึ เป็นหลกั การ สาํ คัญประการหนึง คือ ต้องพฒั นาให้ประชาชนพึงตนเองไดม้ ากขึน โดยมีรัฐคอยใหก้ ารช่วยเหลือ สนบั สนุน ในส่วนทีเกินขีดความสามารถของประชาชน ตามโอกาสและหลกั เกณฑท์ ีเหมาะสม . . ความคิดริเริมของประชาชน (Initiative) ในการทาํ งานกบั ประชาชนตอ้ งยึด หลกั การทีว่า ความคิดริเริมตอ้ งมาจากประชาชน ซึงตอ้ งใชว้ ิถีแห่งประชาธิปไตย และหาโอกาสกระตุน้ ให้การศึกษา ให้ประชาชนเกิดความคิด และแสดงออกซึงความคิดเห็นอนั เป็ นประโยชน์ต่อหม่บู ้าน ตาํ บล . . ความตอ้ งการของชุมชน (Felt-Needs) ในการพฒั นาชุมชนตอ้ งใหป้ ระชาชน และองคก์ รประชาชนคิด และตดั สินใจบนพืนฐานความตอ้ งการของชุมชนเอง เพือใหเ้ กิดความคิดทีว่า งานเป็นของประชาชน และจะช่วยกนั ดแู ลรักษาต่อไป . . การศึกษาตลอดชีวิต (Life-Long Education) ในการทาํ งานพฒั นาชุมชน ถือเป็ น กระบวนการใหก้ ารศึกษาตลอดชีวิตแก่ประชาชน เพือนาํ ไปสู่การพฒั นาคน การให้การศึกษาตอ้ งให้ การศกึ ษาอยา่ งต่อเนืองกนั ไป ตราบเท่าทีบุคคลยงั ดาํ รงชีวติ อยใู่ นชุมชน . หลกั การพฒั นาชุมชน จากปรัชญา และแนวคิดพืนฐานของการพฒั นาชุมชน ไดน้ าํ มาใชเ้ ป็ นหลกั การพฒั นา ชุมชน ซึงนกั พฒั นาตอ้ งยดึ เป็นแนวทางปฏิบตั ิ มีดงั นี . . หลกั ความมีศกั ดิศรี และศกั ยภาพของประชาชน และเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชน ใชศ้ กั ยภาพทีมอี ยใู่ หม้ ากทีสุด จึงตอ้ งใหโ้ อกาสประชาชนในการคิด วางแผนเพอื แกป้ ัญหาชุมชนดว้ ย ตวั ของเขาเอง นกั พฒั นาควรเป็นผกู้ ระตุน้ แนะนาํ ส่งเสริม

8 . . หลกั การพึงตนเองของประชาชน ตอ้ งสนับสนุนใหป้ ระชาชนพึงตนเองได้ โดยการสร้างพลงั ชุมชนเพือพฒั นาชุมชน ส่วนรัฐบาลจะช่วยเหลอื สนบั สนุนอยเู่ บืองหลงั และช่วยเหลือ ในส่วนทีเกินความสามารถของประชาชน . . หลกั การมีส่วนร่วมของประชาชน เป็ นการเปิ ดโอกาสให้ประชาชนร่วมคิด ตัดสินใจ วางแผน ปฏิบัติตามแผน และติดตามประเมินผลในกิจกรรม หรือโครงการใด ๆ ทีจะทาํ ในชุมชน เพือให้ประชาชนไดม้ ีส่วนร่วมอยา่ งแทจ้ ริงในการดาํ เนินงาน อนั เป็ นการปลูกฝังจิตสํานึก ในเรืองความเป็นเจา้ ของโครงการ หรือกิจกรรม . . หลกั ประชาธิปไตย ในการทาํ งานพฒั นาชุมชนจะตอ้ งเริมดว้ ยการพูดคุย ประชุมหารือร่วมกนั คิด ร่วมกนั ตดั สินใจ และทาํ ร่วมกนั รวมถงึ รับผดิ ชอบร่วมกนั ภายใต้ ความช่วยเหลือ ซึงกนั และกนั ตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย นอกจากหลกั การพฒั นาชุมชนดงั กลา่ วแลว้ องคก์ ารสหประชาชาติ ยงั ไดก้ าํ หนด หลกั การดาํ เนินงานพฒั นาชุมชนไว้ ประการ คือ . ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการทีแทจ้ ริงของประชาชน . ตอ้ งเป็นโครงการเอนกประสงคท์ ีช่วยแกป้ ัญหาไดห้ ลายดา้ น . ตอ้ งเปลียนแปลงทศั นคติไปพร้อม ๆ กบั การดาํ เนินงาน . ตอ้ งใหป้ ระชาชนมีส่วนร่วมอยา่ งเตม็ ที . ตอ้ งแสวงหาและพฒั นาใหเ้ กิดผนู้ าํ ในทอ้ งถนิ . ตอ้ งยอมรับใหโ้ อกาสสตรี และเยาวชนมีส่วนร่วมในโครงการ . รัฐตอ้ งเตรียมจดั บริการใหก้ ารสนบั สนุน . ตอ้ งวางแผนอยา่ งเป็นระบบ และมปี ระสิทธิภาพทุกระดบั . สนบั สนุนใหอ้ งคก์ รเอกชน อาสาสมคั รต่าง ๆ เขา้ มามีส่วนร่วม . ตอ้ งมกี ารวางแผนใหเ้ กิดความเจริญแก่ชุมชนทีสอดคลอ้ งกบั ความเจริญในระดบั ชาติดว้ ย จากหลกั การดงั กลา่ ว สรุปไดว้ ่า การพฒั นาชุมชนเป็นกระบวนการทีจะพยายามเปลยี นแปลง ความคิด ทศั นคติและพฤติกรรมของประชาชนในชุมชนใหด้ ีขึนกว่าเดิม โดยร่วมมือกนั พฒั นาใหช้ ุมชน ของตนเองเป็นชุมชนทีดี สร้างความรู้สึกรักและผกู พนั ต่อชุมชนตนเอง เป้ าหมายสาํ คญั ของการพฒั นา ชุมชนจึงมงุ่ ไปยงั ประชาชน โดยผา่ นกระบวนการใหก้ ารศึกษาแก่ประชาชนและกระบวนการรวมกลุ่ม เป็นสาํ คญั เพราะพลงั สาํ คญั ทีจะบนั ดาลใหก้ ารพฒั นาบรรลุผลสาํ เร็จนนั อยทู่ ีตวั ประชาชน

9 เรืองที การพฒั นาสังคม . ความหมายของการพฒั นาสังคม การพฒั นาสงั คม (Social Development) หมายถึง กระบวนการเปลียนแปลงทีดีทงั ใน ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง การปกครอง และวฒั นธรรม เพือประชาชนจะไดม้ ีชีวิต ความเป็ นอย่ทู ีดี ขึนทงั ทางดา้ นทีอย่อู าศยั อาหาร เครืองนุ่งห่ม สุขภาพอนามยั การศึกษา การมีงานทาํ มีรายไดเ้ พียงพอ ในการครองชีพ ประชาชนได้รับความเสมอภาค ความยุติธรรม มีคุณภาพชีวิต ทังนีประชาชนต้องมี ส่วนร่วมในกระบวนการเปลียนแปลงทุกขนั ตอนอยา่ งมรี ะบบ . ความสําคญั ของการพฒั นาสังคม เมือบุคคลมาอย่รู วมกันเป็ นสังคม ปัญหาต่าง ๆ ก็ย่อมจะเกิดตามมาเสมอ ยิงสังคม มีขนาดใหญ่ ปัญหาก็ยิงจะมีมากและสลบั ซบั ซอ้ นเป็ นเงาตามตัว ปัญหาหนึงอาจจะกลายเป็ นสาเหตุ อกี หลายปัญหาเกียวโยงกนั ไปเป็ นลกู โซ่ ถา้ ปล่อยไวก้ ็จะเพิมความรุนแรง เพิมความสลบั ซบั ซอ้ น และ ขยายวงกวา้ งออกไปเรือย ๆ ยากต่อการแกไ้ ข ความสงบสุขของประชาชนในสังคมนันก็จะ ไม่มี ดงั นัน ความสาํ คญั ของการพฒั นาสงั คม อาจกลา่ วเป็นขอ้ ๆ ไดด้ งั นี . ทาํ ใหป้ ัญหาของสงั คมลดนอ้ ยและหมดไปในทีสุด . ป้ องกนั ไมใ่ หป้ ัญหานนั หรือปัญหาในลกั ษณะเดียวกนั เกิดขึนแก่สงั คมอีก . ทาํ ใหเ้ กิดความเจริญกา้ วหนา้ ขึนมาแทน . ทาํ ใหป้ ระชาชนในสงั คมสมานสามคั คีและอย่รู ่วมกนั อย่างมีความสุขตามฐานะของ แต่ละบุคคล . ทาํ ใหเ้ กิดความเป็นปึ กแผน่ มนั คงของสงั คม . แนวคดิ ในการพฒั นาสังคม การพฒั นาสังคมมีขอบเขตกวา้ งขวาง เพราะปัญหาของสังคมมีมาก และสลบั ซับซอ้ น การแกป้ ัญหาสังคมจึงตอ้ งทาํ อย่างรอบคอบ และตอ้ งอาศยั ความร่วมมือกันของบุคคลจากหลาย ๆ ฝ่ าย และโดยเฉพาะอยา่ งยงิ ประชาชนในสงั คมนนั ๆ จะตอ้ งรับรู้ พร้อมทีจะใหข้ อ้ มลู ทีถูกตอ้ งและเขา้ มา มีส่วนร่วมดว้ ยเสมอ การพฒั นาสงั คมจึงตอ้ งเป็ นทังกระบวนการ วิธีการ กรรมวิธีเปลียนแปลง และ แผนการดาํ เนินงาน ซึงมรี ายละเอียด คือ . กระบวนการ (Process) การแกป้ ัญหาสงั คมตอ้ งกระทาํ ต่อเนืองกนั อย่างมีระบบ เพือให้ เกิดการเปลยี นแปลงจากลกั ษณะหนึงไปสู่อีกลกั ษณะหนึง ซึงจะตอ้ งเป็นลกั ษณะทีดีกวา่ เดิม . วิธีการ (Method) การกาํ หนดวิธีการในการดาํ เนินงาน โดยเฉพาะเน้นความร่วมมือของ ประชาชนในสังคมนันกบั เจ้าหนา้ ทีของรัฐบาลทีจะทาํ งานร่วมกนั และวิธีการนีตอ้ งเป็ นทียอมรับว่า สามารถนาํ การเปลียนแปลงมาสู่สงั คมไดอ้ ยา่ งถาวรและมปี ระโยชนต์ ่อสงั คม

10 . กรรมวิธีเปลียนแปลง (Movement) การพฒั นาสังคมจะตอ้ งทาํ ให้เกิดการเปลียนแปลง ใหไ้ ด้ และจะตอ้ งเปลียนแปลงไปในทางทีดีขึน โดยเฉพาะเน้นการเปลียนแปลงทศั นคติของตน เพือให้ เกิดสาํ นึกในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของส่วนรวม และรักความเจริญกา้ วหนา้ อนั จะ นาํ ไปสู่การเปลียนแปลงทางวตั ถุ . แผนการดาํ เนินงาน (Planning) การพฒั นาสงั คมจะตอ้ งทาํ อยา่ งมแี ผน มีขนั ตอน สามารถ ตรวจสอบ และประเมินผลได้ แผนงานนีจะต้องมีทุกระดบั นับตงั แต่ระดบั ชาติ คือ แผนการพฒั นา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงมาจนถึงระดับผปู้ ฏิบตั ิ แผนงานจึงมีความสาํ คญั และจาํ เป็ นอย่างยิง ในการพฒั นาสงั คม . การพฒั นาสังคมไทย การพฒั นาสงั คมไทย สามารถกระทาํ ไปพร้อม ๆ กนั ทงั สังคมในเมืองและสงั คมชนบท แต่เนืองจากสงั คมชนบทเป็ นทีอยู่อาศยั ของชนส่วนใหญ่ของประเทศ การพฒั นาจึงทุ่มเทไปทีชนบท มากกว่าในเมือง และการพฒั นาสงั คมจะตอ้ งพฒั นาหลาย ๆ ดา้ น ไปพร้อม ๆ กนั โดยเฉพาะทีเป็ นปัจจยั ต่อการพฒั นาดา้ นอืน ๆ ไดแ้ ก่การศกึ ษา และการสาธารณสุข การพัฒนาด้านการศึกษา การศึกษาเป็ นปัจจยั สาํ คญั ทีสุด ในการวดั ความเจริญของสังคม สาํ หรับประเทศไทยการพฒั นาดา้ นการศึกษายงั ไม่เจริญกา้ วหน้าอย่างเต็มที โดยเฉพาะอย่างยิงสงั คม ในชนบทของไทย จะพบประชาชนทีไมร่ ู้หนงั สือ และไมจ่ บการศกึ ษาภาคบงั คบั อยคู่ ่อนขา้ งมาก ความสําคญั ของการศึกษาทีมตี ่อบุคคลและสังคม การศึกษาก่อให้เกิดความเปลียนแปลงไปในทางทีดี ทาํ ให้คนมีความรู้ ความเข้าใจ ในวิทยาการใหม่ ๆ กระตุน้ ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ปรับปรุง เปลียนแปลง ตลอดทังมีเหตุผลใน การแกป้ ัญหาต่าง ๆ การพฒั นาดา้ นการศึกษา ก็คือ การพฒั นาคุณภาพและประสิทธิภาพของบุคคล และเมือบุคคลซึงเป็นสมาชิกของสงั คมมีคุณภาพแลว้ ก็จะทาํ ใหส้ ังคมมีการพฒั นาตามไปดว้ ย สถาบนั ทีสาํ คญั ในการพฒั นาการศึกษา ไดแ้ ก่ บา้ น วดั โรงเรียน หน่วยงานอืน ๆ ทงั ของรัฐและเอกชน การพัฒนาด้านสาธารณสุข การสาธารณสุข เป็ นการป้ องกนั และรักษาโรค ทาํ นุบาํ รุ ง ให้ประชาชนมีสุขภาพและพลานามัยทีดี มีความสมบูรณ์ทังทางร่ างกายและจิตใจ สังคมใด จะเจริญรุ่งเรืองกา้ วหน้าได้ จาํ เป็ นตอ้ งมีพลเมืองทีมีสุขภาพอนามยั ดี อนั เป็ นส่วนสาํ คญั ในการพฒั นา ประเทศ จึงจาํ เป็นตอ้ งจดั ใหม้ กี ารพฒั นาสาธารณสุขขึน เพราะมีความสาํ คญั ทงั ต่อตวั บุคคลและสงั คม

11 การบริหารงานของทุกรัฐบาล เนน้ ทีความกินดีอยดู่ ี หรือมีคุณภาพชีวิตทีดีของประชาชน อยากให้คนมีความสุข มีรายไดม้ นั คง มีสุขภาพดี ครอบครัวอบอุ่น มีชุมชนเขม้ แข็ง และสังคมอย่เู ยน็ เป็นสุข มีความสมานฉนั ท์ และเอืออาทรต่อกนั ในดา้ นการพฒั นาทางสงั คมนัน อาจกล่าวไดว้ ่า ทาํ ไป เพอื ใหค้ นมีความมนั คง ดา้ น คือ . ดา้ นการมีงานทาํ และรายได้ . ดา้ นครอบครัว . ดา้ นสุขภาพอนามยั . ดา้ นการศึกษา . ดา้ นความปลอดภยั ในชีวิตและทรัพยส์ ิน (ส่วนบุคคล) . ดา้ นทีอยอู่ าศยั และสิงแวดลอ้ ม . ดา้ นสิทธิและความเป็นธรรม . ดา้ นสงั คม วฒั นธรรม . ดา้ นการสนบั สนุนทางสงั คม . ดา้ นการเมอื ง ธรรมาภิบาล หรือมคี วามมนั คงทางสงั คมนนั เอง

12 กิจกรรมบทที ใหผ้ เู้ รียนทาํ กิจกรรมต่อไปนี ขอ้ บอกความหมายของคาํ ต่อไปนี ) การพฒั นาตนเอง หมายถงึ ............................................................................................................ ................................................................................................................................................................... ) การพฒั นาชุมชน หมายถึง............................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ) การพฒั นาสงั คม หมายถงึ .............................................................................................. ....................................................................................................................... ..................................... ขอ้ บอกวิธีการพฒั นาตนเองของตวั ท่าน ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ขอ้ บอกหลกั การพฒั นาตนเอง ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................. ........................................................................................ ............................................................................ ........................................................................................................................................................... ขอ้ บอกประโยชนท์ ีไดร้ ับจากการพฒั นาตนเองทีเกิดขึนกบั ตนเอง ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................................... ...........................................................................................................................................................

13 ขอ้ บอกวิธีการพฒั นาตนเองดว้ ยการหาความรู้เพมิ เติม กระทาํ ไดโ้ ดยวธิ ีใด ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ขอ้ อธิบายแนวคิดพืนฐานของการพฒั นาชุมชน ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ขอ้ อธิบายหลกั การพฒั นาชุมชน ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ขอ้ อธิบายแนวคิดของการพฒั นาสงั คม ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................ ............................................................................... ............................................................................

14 บทที ข้อมูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม สาระสําคญั ขอ้ มลู คือ ขอ้ เทจ็ จริงของบุคคล สตั ว์ สิงของ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ทีเกิดขึนซึงอาจเป็น ขอ้ ความ ตวั เลข หรือภาพกไ็ ด้ ขอ้ มลู มีความสาํ คญั ต่อการดาํ รงชีวติ ของมนุษย์ มนุษยน์ าํ ขอ้ มลู ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม มาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาํ วนั และการปฏบิ ตั ิงาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั เมอื ศึกษาบทที 2 จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ 2 บอกความหมาย ความสาํ คญั และประโยชนข์ องขอ้ มลู ได้ 3 บอกขอ้ มลู ของตนเองและครอบครัวได้ 4 บอกขอ้ มลู ของชุมชนและสงั คมได้ ขอบข่ายเนอื หา เรืองที 1 ความหมาย ความสาํ คญั และประโยชนข์ องขอ้ มลู เรืองที 2 ขอ้ มลู ตนเอง ครอบครัว เรืองที 3 ขอ้ มลู ชุมชน สงั คม

15 เรืองที 1 ความหมาย ความสําคญั และประโยชน์ของข้อมูล 1.1 ความหมายของข้อมลู ข้อมูล (Data) หมายถึง กลมุ่ ตวั อกั ขระทีเมอื นาํ มารวมกนั แลว้ มคี วามหมายอยา่ งใดอยา่ งหนึง และมคี วามสาํ คญั ควรค่าแก่การจดั เก็บเพือนาํ ไปใชใ้ นโอกาสต่อ ๆ ไป ขอ้ มูลมกั เป็ นขอ้ ความทีอธิบาย ถึงสิงใดสิงหนึง อาจเป็ นตัวอักษร ตัวเลข หรื อสัญลกั ษณ์ใด ๆ ทีสามารถนําไปประมวลผลด้วย คอมพิวเตอร์ได้ (IT Destination Tech Archive [00005] : ) ข้อมูล (Data) หมายถึง ขอ้ เท็จจริงของสิงต่าง ๆ ทีอย่รู อบตวั เรา ไม่ว่าจะเป็ นคน สัตว์ สิงของ สถานทีต่าง ๆ ธรรมชาติทัวไป ลว้ นแลว้ แต่มีข้อมูลในตนเอง ทําให้เรารู้ความเป็ นมา ความสาํ คญั และประโยชนข์ องสิงเหลา่ นนั ดงั นนั ขอ้ มลู ของทุก ๆ สิงจึงมคี วามสาํ คญั มาก (ภิรมย์ เกตุขวญั ชยั , :1) ข้อมูล (data) หมายถึง ขอ้ เท็จจริง (facts) หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ (phenomena) หรือ เหตุการณ์ (events) ทีเกิดขึนหรือมีอยเู่ ป็นอยเู่ องแลว้ ตามปกติและไดร้ ับการตรวจพบและบนั ทึกหรือเก็บ รวบรวมไวใ้ ชป้ ระโยชน์ หากขอ้ เท็จจริง หรือปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์เหล่านนั ไม่มีผใู้ ดไดพ้ บเห็น ไดม้ ีการบนั ทึกรวบรวมไวด้ ว้ ยวธิ ีการใด ๆ ก็ตาม ความเป็ นขอ้ มลู ก็ไม่เกิดขึน ตวั อย่างเช่น ทุก ๆ เชา้ มี นกั ศกึ ษา เดินทางไปเรียน คนทงั หลายไปทาํ งาน มีลมพดั แรงบา้ ง เบาบา้ ง อากาศร้อนบา้ ง เยน็ บา้ ง เป็ น ปกติแต่หากมใี ครบางคนทาํ การสังเกตแลว้ บนั ทึกว่าโรงเรียนใดมีนกั เรียนไปเรียนกีคนในแต่ละวนั มี ผโู้ ดยสารรถไปทาํ งานวนั ละกีคน มีรถวิงกีเทียว ลมพดั ดว้ ยความเร็วเท่าใด เวลาใด อุณหภูมิแต่ละวนั สูง ตาํ เพยี งใด ซึงทีตรวจพบและบนั ทึกไวน้ ีเรียกว่าขอ้ มลู ไพโรจน์ ชลารักษ์ ( : ) ข้อมูล หมายถึง ความจริงทีเกิดขึนซึงอาจจะเป็ นตวั เลขหรือขอ้ ความ หรือประกอบดว้ ย ขอ้ มลู ทงั ขอ้ ความ และตวั เลข เช่น 1. “นางกลั ยา วานิชยบ์ ญั ชา จบปริญญาเอก สาขาสถิติ จาก University of Georgia ประเทศสหรัฐอเมริกา” ซึงเป็ นขอ้ มูลทีแสดงความจริงของนางกัลยา ซึงอย่ใู นรูปข้อความเพียง อยา่ งเดียว . “นางกลั ยา วานิชยบ์ ญั ชา รับราชการเป็นอาจารยท์ ีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั และมี เงินเดือน , บาท” ซึงเป็นขอ้ มลู ทีอยใู่ นรูปขอ้ ความและตวั เลข . “ยอดขายรายวนั ของหา้ งสรรพสินคา้ ก. ในสัปดาห์ทีผา่ นมาเป็ น . , , . , 6, 3.5, และ . ลา้ นบาท” เป็นขอ้ มลู ทีอยใู่ นรูปตวั เลข กลั ยา วานิชยบ์ ญั ชา ( : ) สรุปไดว้ ่า ข้อมลู (Data) หมายถงึ ขอ้ เท็จจริงของคน สตั ว์ วตั ถสุ ิงของทีไดจ้ ากการสงั เกต ปรากฏการณ์ การกระทาํ หรือลกั ษณะต่าง ๆ แลว้ นาํ มาบนั ทึกเป็นตวั เลข สญั ลกั ษณ์ เสียง หรือภาพ

16 ชนดิ ของข้อมูล . จาํ แนกตามลกั ษณะของข้อมูล จาํ แนกออกไดเ้ ป็น ชนิด คือ . ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ (Qualitative Data) หมายถึง ขอ้ มลู ทีไม่สามารถบอกไดว้ า่ มีค่า มากหรือนอ้ ย แต่สามารถบอกไดว้ ่าดีหรือไม่ดี หรือบอกลกั ษณะความเป็ นกลุ่มของขอ้ มูล เช่น เพศ ศาสนา สีผม อาชีพ คุณภาพสินคา้ ความพึงพอใจ ฯลฯ . ขอ้ มลู เชิงปริมาณ (Quantitative Data) หมายถงึ ขอ้ มลู ทีสามารถวดั ค่าไดว้ ่ามีค่ามาก หรือนอ้ ยซึงสามารถวดั ค่าออกมาเป็นตวั เลขได้ เช่น อายุ ส่วนสูง นาํ หนกั อณุ หภูมิ ฯลฯ . จาํ แนกตามแหล่งทีมาของข้อมูล แบ่งออกไดเ้ ป็น ชนิด คือ 2.1 ขอ้ มลู ปฐมภูมิ (Primary Data) หมายถึง ขอ้ มูลทีผใู้ ชเ้ ป็ นผเู้ ก็บรวบรวมขอ้ มูลเอง เช่น การเก็บแบบสอบถาม การทดลองในหอ้ งทดลอง การสงั เกต การสมั ภาษณ์ เป็นตน้ 2.2 ขอ้ มลู ทุติยภมู ิ (Second Data) หมายถงึ ขอ้ มลู ทีผใู้ ชน้ าํ มาจากหน่วยงานอืนหรือผอู้ ืน ทีไดท้ าํ การเกบ็ รวบรวมไวแ้ ลว้ ในอดีต เช่น รายงานประจาํ ปี ของหน่วยงานต่าง ๆ ขอ้ มลู ทอ้ งถนิ ซึงแต่ละ อบต. เป็นผรู้ วบรวมไว้ เป็นตน้ ตวั อย่างข้อมลู ในด้านต่าง ๆ ข้อมลู ด้านภูมศิ าสตร์ คือ ขอ้ มลู เกียวกบั ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสิงแวดลอ้ มทางธรรมชาติกบั สงั คม เช่น จาํ นวนประชากร ลกั ษณะของภูมิประเทศ ลกั ษณะภมู ิอากาศ เขตการปกครองตาํ บล/อาํ เภอ/ เทศบาล จงั หวดั ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่ าไม้ แร่ธาตุ แหล่งนาํ การคมนาคม ขนส่งทางบก ทางนาํ ทางอากาศ สงั คมและวฒั นธรรม เช่น เชือชาติของประชากร การนับถือศาสนา การตังถินฐานของ ประชากร ความเชือ ขอบเขตของสถานที สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ สภาพปัญหาและภยั ธรรมชาติ ข้อมลู ด้านประวตั ศิ าสตร์ คือ ขอ้ มลู เหตุการณ์ทีเป็ นมาหรือเรืองราวของประเทศชาติตามที บนั ทึกไวเ้ ป็นหลกั ฐาน เช่น ประวตั ิความเป็นมาของหมู่บา้ น/ชุมชน/ตาํ บล/ จงั หวดั สภาพความเป็ นอยู่ ของคนในอดีต การปกครองในอดีต สถานทีสาํ คญั ทางประวตั ิศาสตร์ เป็นตน้ ข้อมูลด้านเศรษฐศาสตร์ คือ ขอ้ มลู การผลติ การบริโภค การกระจายสินคา้ และบริการ

17 ข้อมลู ด้านการเมอื ง คือ กระบวนการและวธิ ีการ ทีจะนาํ ไปสู่การตดั สินใจของกลุ่มคน คาํ นี มกั จะถกู นาํ ไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั รัฐบาล แต่กิจกรรมทางการเมอื งสามารถเกิดขึนไดท้ วั ไปในทุกกลุ่มคนทีมี ปฏิสมั พนั ธก์ นั ซึงรวมไปถงึ ใน บริษทั , แวดวงวชิ าการ และในวงการศาสนา ข้อมูลด้านการเมือง เช่น ผู้นําชุมชน ผู้นําท้องถิน อาสาสมัคร พรรคการเมือง คณะกรรมการเลอื กตงั การแบ่งเขตเลือกตงั องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บล การมีส่วนร่วมของประชาชน ในกิจกรรมทางการเมอื ง เป็นตน้ ข้อมลู ด้านการปกครอง เช่น ผบู้ ริหารองคก์ รทอ้ งถนิ องคก์ รทอ้ งถิน ผนู้ าํ ในดา้ นต่าง ๆ ของ ทอ้ งถนิ เช่น กาํ นนั ผใู้ หญ่บา้ น การแบ่งเขตการปกครอง ทีตงั และอาณาเขตของการปกครอง ข้อมูลด้านศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี ดา้ นศาสนา เช่น ศาสนาทีประชาชนนับถือ ศาสนสถาน สถานทีตงั ศาสนสถาน วนั สาํ คญั ทางศาสนา ดา้ นวฒั นธรรม เช่น ค่านิยม ความเชือ ภาษา โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ความรู้และระบบ การถ่ายทอดความรู้ สภาพปัญหาทีเกียวขอ้ งกบั วฒั นธรรม ดา้ นประเพณี เช่น การเกิด การบวชนาค การแต่งงาน การทาํ บุญขึนบา้ นใหม่ พิธีกรรม ในวนั สาํ คญั สภาพปัญหาทีเกียวขอ้ งกบั ประเพณี ข้อมลู ด้านหน้าทพี ลเมอื ง หนา้ ที หมายถงึ ภาระรับผดิ ชอบของบุคคลทีตอ้ งปฏิบตั ิกิจทีตอ้ งทาํ กิจทีควรทาํ เป็ นสิงที กาํ หนดใหท้ าํ หรือหา้ มมใิ หก้ ระทาํ พลเมือง หมายถึง พละกาํ ลงั ของประเทศซึงมีส่วนเป็นเจา้ ของประเทศ ข้อมูลด้านหน้าทีพลเมือง เช่น ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริ ย์ ความรับผดิ ชอบต่อหน้าที ความมีระเบียบวินยั ความซือสตั ย์ ความเสียสละ ความอดทน การไม่ทาํ บาป ความสามคั คี การรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การปฏิบตั ิตามกฎหมาย การไปใชส้ ิทธิ เลอื กตงั การพฒั นาประเทศ การป้ องกนั ประเทศ การรับราชการทหาร การเสียภาษีอากร การช่วยเหลือ ราชการ การศึกษาอบรม การพิทกั ษ์ปกป้ องและสืบสานศิลปะ วฒั นธรรมของชาติ และภูมิปัญญา ทอ้ งถนิ การอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม

18 ข้อมูลด้านสิงแวดล้อม ทรัพยากร สิงแวดล้อม หมายถึง สิงต่าง ๆ ทีอยรู่ อบตวั เรา ทงั สิงทีมชี ีวติ สิงไมม่ ชี ีวิต เห็นไดด้ ว้ ยตา เปล่า และไมส่ ามารถเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า รวมทงั สิงทีเกิดขนึ โดยธรรมชาติและสิงทีมนุษยเ์ ป็นผสู้ ร้างขึน หรืออาจจะกล่าวไดว้ า่ สิงแวดลอ้ มจะประกอบดว้ ยทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรทีมนุษยส์ ร้างขึน ในช่วงเวลาหนึงเพือสนองความตอ้ งการของมนุษยน์ นั เอง สิงแวดลอ้ มทีเกิดขึนโดยธรรมชาติ ไดแ้ ก่บรรยากาศ นาํ ดิน แร่ธาตุ และสิงมีชีวิตทีอาศยั อยบู่ นโลก (พืช และสตั ว)์ ฯลฯ สิงแวดลอ้ มทีมนุษยส์ ร้างขึน ไดแ้ ก่ สาธารณูปการต่าง ๆ เช่น ถนน เขือนกนั นาํ ฯลฯ หรือ ระบบของสถาบนั สงั คมมนุษยท์ ีดาํ เนินชวี ติ อยู่ ฯลฯ ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิงต่าง ๆ (สิงแวดลอ้ ม) ทีเกิดขึนเองตามธรรมชาติและมนุษย์ สามารถนาํ มาใชป้ ระโยชน์ได้ เช่น บรรยากาศ ดิน นาํ ป่ าไม้ ทุ่งหญา้ สตั วป์ ่ า แร่ธาตุ พลงั งาน และกาํ ลงั แรงงานมนุษย์ เป็นตน้ ขอ้ มลู ดา้ นสิงแวดลอ้ ม ทรัพยากร ไดแ้ ก่ 1. กลมุ่ ขอ้ มลู ดา้ นธรณีวิทยา เช่น โครงสร้างของโลก ส่วนประกอบของโลก คุณสมบตั ิ ของดิน แผน่ ดินไหว ภูเขาไฟ นาํ พรุ ้อน แหล่งแร่ หิน และวฏั จกั ร การเคลอื นทีของแผน่ เปลอื กโลก 2. กลมุ่ ขอ้ มลู ทางทะเล เช่น อณุ หภูมขิ องนาํ ทะเล ตาํ แหน่งทีตรวจวดั อณุ หภมู ิ ตวั เลข ทีแสดงอณุ หภมู ิ 3. กล่มุ ขอ้ มลู นิเวศวทิ ยา เช่น ตาํ แหน่งทีตงั ของสตั วห์ ายาก สภาพภมู ปิ ระเทศ สภาพภูมอิ ากาศทีมกั พบสตั วห์ ายาก ลกั ษณะการตงั ถนิ ฐาน ฤดกู าลทีอพยพ 4. กลุ่มขอ้ มลู เกียวกบั นาํ เช่น ปริมาณฝนตก ปริมาณความชืนสมั พทั ธใ์ นอากาศ ตาํ แหน่ง ทีตงั สถานีวดั ปริมาณนาํ ฝนในแต่ละภาค 5. กลมุ่ ขอ้ มลู อากาศ เช่น อณุ หภมู ิอากาศทีระดบั ความสูงต่าง ๆ 6. กลุม่ ขอ้ มลู เสน้ เช่น ขอ้ มลู เสน้ รอบจงั หวดั ขอ้ มลู เสน้ ถนน และทางรถไฟ 7. กลุ่มขอ้ มลู โทรสมั ผสั (Remote Sensing) เช่น ขอ้ มูลภาพถ่ายจากดาวเทียม ขอ้ มลู ทาง ดาวเทียมทีแสดงขอ้ เท็จจริงของสภาพพนื ทีของเกาะ หรือภเู ขา ข้อมลู ด้านสาธารณสุข เช่น จาํ นวนโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน สถานีอนามยั ประจาํ ตาํ บล จาํ นวนแพทย์ พยาบาล เจา้ หนา้ ทีสาธารณสุข จาํ นวนคนเกิด คนตาย สาเหตุการตาย โรคทีพบ บ่อย โรคระบาด

19 ข้อมลู ด้านการศึกษา เช่น จาํ นวนสถานศึกษาในระดบั ต่าง ๆ รายชือสถานศกึ ษา จาํ นวนครู จาํ นวนนกั เรียนในสถานศึกษานนั ๆ จาํ นวนผจู้ บการศึกษา สภาพปัญหาดา้ นการศกึ ษา . ความสําคญั ของข้อมูล ความสําคญั ของข้อมลู ต่อตนเอง 1. ทาํ ใหม้ นุษยส์ ามารถดาํ รงชีวิตอยรู่ อดปลอดภยั มนุษยร์ ู้จกั นาํ ขอ้ มลู มาใชใ้ นการดาํ รงชีวิต แต่โบราณแลว้ มนุษยร์ ู้จกั สงั เกตสิงต่าง ๆ ทีอยรู่ อบตวั เช่น สงั เกตว่าดิน อากาศ ฤดูกาลใดทีเหมาะสม กบั การปลกู พืชผกั กินไดช้ นิดใด พืชชนิดใดใชเ้ ป็ นยารักษาโรคได้ สะสมเป็ นองค์ความรู้แลว้ ถ่ายทอด สืบต่อกนั มา ขอ้ มลู ต่าง ๆ ทาํ ใหม้ นุษยส์ ามารถนาํ ทรัพยากรธรรมชาติมาใชเ้ ป็ นอาหาร สิงของเครืองใช้ ทีอยอู่ าศยั และยารักษาโรคเพือการดาํ รงชีพได้ 2. ช่วยให้เรามีความรู้ความเขา้ ใจเรืองราวต่าง ๆ ทีเกิดขึนรอบตวั เช่น เรืองร่างกาย จิตใจ ความตอ้ งการ พฤติกรรมของตนเอง และผอู้ นื ทาํ ใหม้ นุษยส์ ามารถปรับตวั เอง ใหอ้ ยรู่ ่วมกบั คน ในครอบครัวและสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุข 3. ทาํ ให้ตนเองสามารถแกป้ ัญหาต่าง ๆ ทีเกิดขึนใหผ้ ่านพน้ ไปไดด้ ว้ ยดี การตดั สินใจต่อ การกระทาํ หรือไม่กระทาํ สิงใด ทีไม่มขี อ้ มลู หรือมีขอ้ มลู ไมถ่ กู ตอ้ งอาจทาํ ใหเ้ กิดการผดิ พลาดเสียหายได้ ความสําคญั ของข้อมูลต่อชุมชน/สังคม 1. ทาํ ให้เกิดการศึกษาเรียนรู้ ซึงการศึกษาเป็ นสิงจาํ เป็ นต่อการพฒั นาชุมชน/สังคมเป็ น อยา่ งยงิ ชุมชน/สงั คมใดทีมผี ไู้ ดร้ ับการศึกษา การพฒั นากจ็ ะเขา้ ไปสู่ชุมชน/สงั คมนนั ไดง้ ่ายและรวดเร็ว 2. ขอ้ มลู ต่าง ๆ ทีสะสมเป็นองคค์ วามรู้นนั สามารถรักษาไวแ้ ละถ่ายทอดความรู้ไปสู่คนรุ่น ต่อ ๆ ไปในชุมชน/สงั คม ทาํ ใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจ วฒั นธรรมของชุมชน/สงั คม ตนเอง และต่างสังคม ไดก้ ่อใหเ้ กิดการอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งสงบสุข 3. ช่วยเสริมสร้างความรู้ ความสามารถใหม่ ๆในด้านต่าง ๆ ทังทางด้านเทคโนโลยี การศึกษา เศรษฐศาสตร์ การคมนาคม การเกษตร การพาณิชย์ ฯลฯ ทีเป็ นพืนฐานต่อการพฒั นาชุมชน/ สงั คม . ประโยชน์ของข้อมลู . เพอื การเรียนรู้ . เพือการศกึ ษาคน้ ควา้ . เพอื ใชเ้ ป็นแนวทางในการพฒั นา . เพอื ใชใ้ นการนาํ มาปรับปรุงแกไ้ ข . เพือใชเ้ ป็นหลกั ฐานสาํ คญั ต่าง ๆ

20 . เพือการสือสาร . เพอื การตดั สินใจ ข้อมลู ในชีวติ ประจาํ วนั มจี าํ นวนมากทนี าํ ไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ กนั เช่น ขอ้ มลู ภูมอิ ากาศ ใชป้ ระโยชน์ในดา้ นการพยากรณ์อากาศ ขอ้ มลู ประชากร ใชป้ ระโยชน์ทางดา้ นการวางแผนพฒั นาประเทศ ขอ้ มลู ดา้ นการเงิน ใชป้ ระโยชน์ในการพฒั นาเศรษฐกิจ ขอ้ มลู วทิ ยาศาสตร์ ใชป้ ระโยชน์ในดา้ นการวิจยั ข้อมูลด้านทรัพยากร สิงแวดล้อม ใช้ประโยชน์ในด้านการติดตามสถานภาพของ สิงแวดลอ้ ม การตรวจสอบความเปลียนแปลงของทรัพยากร การวางแผนการพฒั นาทอ้ งถินหรือการ ท่องเทียว การวางแผนการจดั การดา้ นสิงแวดลอ้ ม ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ ใช้ประโยชน์ในการประเมินค่าความเสียหายของการเกิดภัย ทางธรรมชาติ ประเมินภาษีป้ าย โรงเรือน ทีดิน วเิ คราะห์การลงทุนสร้างสาธารณูปโภค เรืองที ข้อมูลตนเอง ครอบครัว . ข้อมลู ตนเอง คือ ขอ้ มลู ความเป็นตวั เราซึงมสี ิงทีแสดงใหเ้ ห็นถึงความแตกต่างจากผอู้ ืน ทงั ภายนอกทีสามารถมองเห็นได้ เช่น ชือ – นามสกุล วนั เดือน ปี เกิด อายุ สัญชาติ เชือชาติ สถานภาพ สีผิว รูปร่าง ส่วนสูง นําหนัก อาชีพ รายได้ และภายในตัวเรา เช่น อารมณ์ บุคลิกลกั ษณะ ความคิด ความรู้สึก และความเชือ เป็นตน้ . ข้อมูลครอบครัว เป็นขอ้ มลู ของกลุม่ คนตงั แต่ คนขึนไปทีมคี วามสมั พนั ธเ์ กียวขอ้ งกนั ทางสายโลหิต การสมรส หรือการรับผอู้ ืนไวใ้ นความอปุ การะ เช่น บุตรบุญธรรม คนใช้ ญาติพีนอ้ ง มา อาศยั อยดู่ ว้ ยกนั ในครัวเรือนเดียวกนั ขอ้ มูลครอบครัว เช่น จาํ นวนสมาชิกในครอบครัว ขอ้ มูลตนเองของทุกคนในครอบครัว สภาพทีพกั อาศยั และสิงแวดลอ้ ม ระยะเวลาทีอาศยั อยใู่ นชุมชน รายได้ – รายจ่ายรวมของครอบครัว : เดือน ปี เป็นตน้

21 เรืองที ข้อมูลชุมชน สังคม . ข้อมูลชุมชน ชุมชน หมายถึง อาณาเขตบริเวณหนึงทีมกี ลุม่ คนซึงมีวิถีชีวิตเกียวขอ้ งกนั อาศยั อยรู่ ่วมกนั มาเป็ นเวลานาน มีการติดต่อสือสารกนั เป็ นปกติอย่างต่อเนือง มีวฒั นธรรม ความเชือ จารีตประเพณี เดียวกนั ใชส้ าธารณสถานและสถาบนั ร่วมกนั ชุมชนมีลักษณะหลายประการเหมือนกบั สังคม แต่มีขนาดเล็กกว่า มีความสนใจร่ วม ทีประสานสมั พนั ธก์ นั ในวงแคบกว่า ขอ้ มลู ชุมชน ประกอบดว้ ยขอ้ มูลดา้ นต่าง ๆ ดงั นี คือ ขอ้ มลู ดา้ นภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ และความเป็นมา ขอ้ มูลดา้ นเศรษฐกิจ – สังคม ขอ้ มูลดา้ นการเมืองและการปกครอง ขอ้ มูลดา้ นศาสนา และวฒั นธรรม และขอ้ มลู ดา้ นสิงแวดลอ้ ม เป็นตน้ . ข้อมลู สังคม สงั คม หมายถึง กลมุ่ คนมากกว่าสองคนขึนไปอยอู่ าศยั ร่วมกนั เป็นเวลาอนั ยาวนานในพนื ที ทีกาํ หนด คนในกล่มุ มีความสมั พนั ธเ์ กียวขอ้ งกนั มีระเบียบแบบแผนร่วมกนั เพือให้การดาํ รงอยเู่ ป็ นไป ดว้ ยดี มีกิจกรรมร่วมกนั มีประเพณีและวฒั นธรรมทีเหมือนกนั เป็นแนวทางในการดาํ เนินชีวิตอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ งสงบสุข ขอ้ มูลทางสังคม เช่น ข้อมูลด้านการศึกษา ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี สาธารณสุข อาชญากรรม สาธารณภยั ทรัพยากรธรรมชาติ สิงแวดลอ้ ม เศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง หนา้ ที พลเมือง ประวตั ิศาสตร์ ภมู ิศาสตร์ เป็นตน้

22 กจิ กรรมบทที ให้ผ้เู รียนทํากจิ กรรมต่อไปนี . ขอ้ มลู หมายถึงอะไร . ขอ้ มลู มีความสาํ คญั อยา่ งไร . จงบอกถงึ ประโยชนข์ องขอ้ มลู . จงกรอกขอ้ มลู ตนเองลงในแบบพมิ พท์ ีกาํ หนด ข้อมูลตนเอง . ชือ-นามสกลุ ……………………………………………………………………..……………… เลขประจําตวั ประชาชน เกิดวนั ท…ี ……..… เดือน ……………..…………. พ.ศ. ……..……….. อายุ ………….. ปี สถานทีเกิด จงั หวดั ................................................................ . กลมุ่ เลือด.........................................................สผี วิ ....................................................... 3. สว่ นสงู .........................................เซนตเิ มตร นําหนกั .......................................กิโลกรมั 4. สญั ชาติ................................. เชือชาติ................................... ศาสนา.............................. 5. ชือบิดา..................................................... มารดา.......................................................... 6. สถานทีอยปู่ ัจจบุ นั บ้านเลขที.....................หมทู่ ี...................หมบู่ ้าน/อาคาร.................................................. ถนน.....................................ตาํ บล.................................. อําเภอ.................................... จงั หวดั .....................................................รหสั ไปรษณีย์................................................... หมายเลขโทรศพั ทบ์ ้าน................................หมายเลขโทรศพั ท์มือถือ................................ 7. จบการศกึ ษาระดบั ...................................... จากสถานศกึ ษา........................................... ตาํ บล..................................อําเภอ................................จงั หวดั ..................................... ปัจจบุ นั กําลงั ศกึ ษาระดบั ............................ทีสถานศกึ ษา................................................ ตาํ บล................................อําเภอ......................................จงั หวดั .................................. . ประกอบอาชีพ............................................รายได้เดือนละ............................................... สถานทีประกอบอาชีพ บริษัท/หน่วยงาน.......................................................................... ตาํ บล.....................................อําเภอ.....................................จงั หวดั ............................... . สถานภาพ  โสด  สมรส  หยา่  หม้าย . จํานวนบตุ ร........................................คน

23 บทที การจดั เกบ็ ข้อมลู และวเิ คราะห์ข้อมลู สาระสําคญั สงั คมไทยในปัจจุบนั มกี ารเปลียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว ทงั ในดา้ นข่าวสาร เศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ และการดาํ เนินชีวติ ในแต่ละวนั การพจิ ารณาตดั สินใจในการดาํ เนินชีวติ หรือ ประกอบอาชีพ จาํ เป็นจะตอ้ งใชข้ อ้ มลู หลาย ๆ ดา้ น นาํ มาวิเคราะห์ขอ้ มลู เพือหาแนวโนม้ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั เมอื ศกึ ษาบทที จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ . บอกวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู และเก็บรวบรวมขอ้ มลู ได้ . วเิ คราะห์ขอ้ มลู ได้ . นาํ เสนอขอ้ มลู ได้ ขอบข่ายเนอื หา เรืองที การจดั เก็บขอ้ มลู เรืองที การวิเคราะห์ขอ้ มลู เรืองที การนาํ เสนอขอ้ มลู

24 เรืองที การจดั เกบ็ ข้อมลู การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เป็นขนั ตอนทีใหไ้ ดม้ าซึงขอ้ มลู ทีตอ้ งการมคี วามหมายรวมทงั การเก็บขอ้ มลู ขึนมาใหม่ และการรวบรวมขอ้ มลู จากผอู้ ืนทีไดเ้ ก็บไวแ้ ลว้ หรือไดร้ ายงานไวใ้ นเอกสาร ต่าง ๆ เพือนาํ มาศึกษาต่อไป ตวั อยา่ ง เช่น เมือตอ้ งการเก็บรวบรวมขอ้ มลู พืนฐานเรืองอาชีพและรายไดค้ รัวเรือนของ คนในหม่บู า้ น อาจเริมตน้ ดว้ ยการออกแบบสอบถามสาํ หรับการไปสาํ รวจขอ้ มูล เพือใหค้ รอบครัวต่าง ๆ ในหม่บู า้ นกรอกขอ้ มลู มีการส่งแบบสอบถามไปยงั ผกู้ รอกขอ้ มลู เพือทาํ การกรอกรายละเอียด มีการเก็บ รวบรวมขอ้ มลู ซึงการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มเี ทคนิคและวิธีการหลายวิธี ดงั นี 1. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากรายงาน (Reporting System) เป็นผลพลอยไดจ้ ากระบบ การบริหารงาน เป็นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากรายงานทีทาํ ไวห้ รือจากเอกสารประกอบการทาํ งานซึงการ เก็บรวบรวมขอ้ มลู จากรายงานส่วนมากใชเ้ พียงครังเดียว จากรายงานดงั กล่าว อาจมีขอ้ มูลเบืองตน้ บาง ประเภททีสามารถนาํ มาประมวลเป็นยอดรวมขอ้ มลู สถิติได้ วิธีเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากรายงานของหน่วย บริหาร นับว่าเป็ นวิธีการรวบรวมขอ้ มูลสถิติโดยไม่ตอ้ งสินเปลืองค่าใชจ้ ่ายในการดาํ เนินงานมากนัก ค่าใชจ้ ่ายทีใชส้ ่วนใหญ่ก็เพือการประมวลผล พมิ พแ์ บบฟอร์มต่าง ๆ ตลอดจนการพิมพร์ ายงาน วิธีการนี ใช้กนั มากทังในหน่วยงานรัฐบาลและเอกชน หน่วยงานของรัฐทีมีขอ้ มูลสถิติทีรวบรวมจากรายงาน ได้แก่ กรมศุลกากรมีระบบการรายงานเกียวกับการส่งสินค้าออก และการนําสินค้าเข้าและ กระทรวงศกึ ษาธิการ มรี ายงานผล การปฏบิ ตั ิงานของโรงเรียนภายในสงั กดั ซึงสามารถนาํ มาใช้ ในการประมวลผลสถิติทางการศกึ ษาได้ 2. การเกบ็ รวบรวมข้อมูลจากทะเบียน (Registration) เป็นขอ้ มลู สถติ ิทีรวบรวมจากระบบ ทะเบียน มลี กั ษณะคลา้ ยกบั การรวบรวมจากรายงานตรงทีเป็ นผลพลอยไดเ้ ช่นเดียวกนั จะต่างกนั ตรงที แหล่งเบืองตน้ ของข้อมูลเป็ นเอกสารการทะเบียนซึงการเก็บมีลกั ษณะต่อเนือง มีการปรับแกห้ รือ เปลียนแปลง ใหถ้ กู ตอ้ งทนั สมยั ทาํ ใหไ้ ดส้ ถิติทีต่อเนืองเป็นอนุกรมเวลา ขอ้ มลู ทีเก็บโดยวิธีการทะเบียน มีขอ้ รายการไม่มากนัก เนืองจากระบบทะเบียนเป็ นระบบขอ้ มูลทีค่อนขา้ งใหญ่ ตวั อยา่ งขอ้ มลู สถิติที รวบรวมจากระบบทะเบียน ไดแ้ ก่ สถิติจาํ นวนประชากรทีกรมการปกครอง ดาํ เนินการเก็บรวบรวมจาก ทะเบียนราษฎร์ ประกอบดว้ ย จาํ นวนประชากร จาํ แนกตามเพศเป็ นรายจงั หวดั อาํ เภอ ตาํ บล นอกจาก ทะเบียนราษฎร์แลว้ ก็มีทะเบียนยานพาหนะของกรมตาํ รวจทีจะทาํ ให้ได้ข้อมูลสถิติจาํ นวนรถยนต์ จาํ แนกตามชนิดหรือประเภทของรถยนต์ เป็นตน้

25 3. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยวธิ สี ํามะโน (Census) เป็นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สถติ ิของ ทุก ๆ หน่วยของประชากรทีสนใจศึกษาภายในพืนทีทีกาํ หนด และภายในระยะเวลาทีกาํ หนด การเก็บ รวบรวมขอ้ มลู สถิติดว้ ยวิธีนี จะทาํ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ในระดบั พนื ทียอ่ ย เช่น หมบู่ า้ น ตาํ บล อาํ เภอ และทาํ ใหไ้ ด้ ขอ้ มลู ทีเป็นค่าจริง ตามพระราชบญั ญตั ิสถิติ พ.ศ.2508 ไดบ้ ญั ญตั ิไวว้ ่า สาํ นกั งานสถิติแห่งชาติเป็ นหน่วยงาน เดียวทีสามารถจดั ทาํ สาํ มะโนได้ และการเก็บรวบรวมขอ้ มูลสถิติดว้ ยวิธีการสาํ มะโน เป็ นงานทีตอ้ งใช้ เงินงบประมาณ เวลาและกาํ ลงั คนเป็นจาํ นวนมาก ส่วนใหญ่จะจดั ทาํ สาํ มะโนทุก ๆ 10 ปี หรือ 5 ปี 4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยวธิ สี ํารวจ (Sample Survey) เป็นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สถติ ิ จากบางหน่วยของประชากรดว้ ยวิธีการเลือกตวั อยา่ ง การเก็บรวบรวมขอ้ มูลสถิติดว้ ยวิธีนี จะทาํ ใหไ้ ด้ ขอ้ มูลในระดบั รวม เช่น จงั หวดั ภาค เขตการปกครอง และรวมทวั ประเทศ และขอ้ มูลทีได้จะเป็ นค่า โดยประมาณ การสาํ รวจเป็ นวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลทีใชง้ บประมาณ เวลา และกาํ ลงั คนไม่มากนัก จึงสามารถจดั ทาํ ไดเ้ ป็นประจาํ ทุกปี หรือทุก 2 ปี ปัจจุบนั การสาํ รวจเป็นวธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สถติ ิทีมี ความสาํ คญั และใชก้ นั อยา่ งแพร่หลายมากทีสุด ทงั ในวงการราชการและเอกชน ไม่ว่าจะเป็ นการสาํ รวจ เพือหาข้อมูลทางดา้ นการเกษตร อุตสาหกรรม สาธารณสุข การคมนาคม การศึกษา และข้อมูลทาง เศรษฐกิจและสงั คมอนื ๆ เป็นตน้ . วธิ กี ารสังเกตการณ์ (Observation) เป็ นวิธีเก็บขอ้ มูลโดยการสังเกตโดยตรงจากปฏิกิริยา ท่าทาง หรือเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ ทีเกิดขึนในขณะใดขณะหนึง และจดบนั ทึกไวโ้ ดยไม่มีการ สัมภาษณ์ วิธีนีใชก้ นั อย่างกวา้ งขวางในการวิจยั เช่น จะศึกษาดูปฏิกิริยาของผขู้ บั รถยนต์บนทอ้ งถนน ภายใตส้ ภาพการณ์จราจรต่าง ๆ กนั กอ็ าจจะส่งเจา้ หนา้ ทีไปยนื สังเกตการณ์ได้ การสังเกตจาํ นวนลูกคา้ และบนั ทึกปริมาณการขายของสถานประกอบการ โดยพนกั งานเก็บภาษีของกรมสรรพากร เนืองจากการ ไปสมั ภาษณ์ผปู้ ระกอบการถงึ ปริมาณการขาย ยอ่ มไมไ่ ดข้ อ้ มลู ทีแทจ้ ริง . วิธีการบันทึกข้อมูลจากการวัดหรือนับ วิธีนีจะมีอุปกรณ์เพือใชใ้ นการวดั หรือนับตาม ความจาํ เป็นและความเหมาะสม เช่น การนบั จาํ นวนรถยนตท์ ีแลน่ ผา่ นทีจุดใดจุดหนึง ก็อาจใชเ้ ครืองนับ โดยใหร้ ถแลน่ ผา่ นเครืองนบั หรือการเกบ็ ขอ้ มลู จาํ นวนผมู้ าใชบ้ ริการในห้องสมุดประชาชน ก็ใชเ้ ครือง นบั เมือมคี นเดินผา่ นเครือง เป็นตน้ เรืองที การวเิ คราะห์ข้อมลู การวิเคราะห์ขอ้ มูลเป็ นขันตอนการนําข้อมูลทีไดม้ าประมวลผลและทาํ การวิเคราะห์ โดยเลือกค่าสถติ ิทีนาํ มาใชใ้ หเ้ หมาะสม ค่าสถติ ิทีนิยมใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ไดแ้ ก่

26 1. ยอดรวม (Total) คือ การนาํ ขอ้ มลู สถิติมารวมกนั เป็นผลรวมทงั หมด เช่น จาํ นวนนกั ศกึ ษา กศน. ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ในจงั หวดั ตราด จาํ นวนประชากรทงั หมดในจงั หวดั ระยอง จาํ นวนคนที เป็นไขเ้ ลือดออกในภาคตะวนั ออก จาํ นวนคนวา่ งงานทงั ประเทศ เป็นตน้ 2. ค่าเฉลยี (Average, Mean) หมายถงึ ค่าเฉลียซึงเกิดจากขอ้ มลู ของผลรวมทงั หมดหารดว้ ย จาํ นวนรายการของขอ้ มลู เช่น การวดั ส่วนสูงของนักศึกษา กศน. ระดบั ประถมศึกษา ศรช. บา้ นเพ จาํ นวน 10 คน วดั ไดเ้ ป็นเซนติเมตร มดี งั นี คนที 0 ส่วนสูง 155 165 152 170 163 158 160 168 167 171 ส่วนสูงโดยเฉลยี ของนกั ศกึ ษา กศน. ระดบั ประถมศกึ ษา ศรช. บา้ นเพ คือ = 155 165 152 170 163 158 160 168 167 171 10 = 1629 10 = 162.9 เซนติเมตร . สัดส่วน (Proportion) คือ ความสมั พนั ธข์ องจาํ นวนยอ่ ยกบั จาํ นวนรวมทงั หมด โดยให้ ถือว่าจาํ นวนรวมทงั หมดเป็ น ส่วน เช่น การสาํ รวจการลงทะเบียนเรียนของนักศึกษา กศน. ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ จงั หวดั นครนายก จาํ นวน คน ลงทะเบียนเรียนในหมวดวิชาภาษาไทย จาํ นวน คน ลงทะเบียนเรียนในหมวดวิชาภาษาองั กฤษ จาํ นวน คน ดงั นันสัดส่วนของนักศึกษาที ลงทะเบียนเรียนในหมวดวชิ าภาษาไทย = 300 = 0.60 และสดั ส่วนของนกั ศึกษาทีลงทะเบียนเรียน 500 ในหมวดวชิ าภาษาองั กฤษ = 200 หรือ - . = 0.40 500 4. อัตราร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ (Percentage or Percent) คือ สดั ส่วน เมือเทียบต่อ 100 สามารถคาํ นวณได้ โดยนาํ 100 ไปคณู สดั ส่วนทีตอ้ งการหาผลลพั ธก์ จ็ ะออกมาเป็นร้อยละ หรือเปอร์เซน็ ต์ ตัวอย่าง ใน กศน. อาํ เภอแห่งหนึง มีนักศึกษาทังหมด 50 คน แยกเป็ นนกั ศึกษาระดับ ประถมศึกษา จาํ นวน คน นกั ศึกษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ จาํ นวน คน และนักศึกษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย จาํ นวน คน เราจะหาร้อยละหรือเปอร์เซน็ ตข์ องนกั ศกึ ษาแต่ละระดบั ไดด้ งั นี

27 ระดบั ประถมศึกษา = 118 100 = 18.15 % ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ = 38.46 % ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย 650 = 43.38 % รวมทงั หมด = 250 100 % 650 = 282 100 650 เรืองที การนําเสนอข้อมลู (Presentation of Data) การนาํ เสนอขอ้ มลู (Presentation of Data)โดยทวั ไปแบ่งเป็น 2 วิธี คือ การนาํ เสนอขอ้ มลู อยา่ งไมเ่ ป็นแบบแผน และการนาํ เสนอขอ้ มลู อยา่ งเป็นแบบแผน ซึงมรี ายละเอียด ดงั นี 1. การนาํ เสนอข้อมูลอย่างไม่เป็ นแบบแผน การนาํ เสนอขอ้ มลู อยา่ งไม่เป็นแบบแผน หมายถึง การนาํ เสนอขอ้ มลู ทีไม่ตอ้ ง ถกู กฎเกณฑแ์ ละแบบแผนอะไรมากนกั นิยมใช้ 2 วิธี คือ 1. การนาํ เสนอขอ้ มลู ในรูปขอ้ ความ เป็นการนาํ เสนอขอ้ มลู โดยการบรรยายเกยี วกบั ขอ้ มลู นนั ๆ เช่น ในระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ประเภทอาชีวศึกษา อตั ราส่วนนกั เรียนต่ออาจารยใ์ นปี การศึกษา 2548 คือ 19 ต่อ 1 ในปี การศึกษา 2549 อตั ราส่วน คือ 21 ต่อ 1 และในปี การศึกษา 2550 อตั ราส่วน คือ 22 ต่อ 1 จะเห็นไดว้ า่ อตั ราส่วนของนกั เรียนต่ออาจารย์ มีแนวโนม้ เพมิ ขึนอยา่ งเห็นไดช้ ดั . การนาํ เสนอขอ้ มลู ในรูปขอ้ ความกึงตาราง เป็นการนาํ เสนอขอ้ มลู โดยการแยก ขอ้ ความและตวั เลขออกจากกนั เพอื ไดเ้ ปรียบเทียบความแตกต่างของขอ้ มลู ไดช้ ดั เจนยงิ ขึน เชน่ จากการสาํ รวจตลาดสดแห่งหนึง ผลไมบ้ างชนิดขายในราคา ต่อไปนี สม้ เขียวหวาน กิโลกรัมละ 35 บาท ชมพู่ กิโลกรัมละ 25 บาท มะม่วง กิโลกรัมละ 40 บาท สบั ปะรด กิโลกรัมละ 25 บาท เงาะ กิโลกรัมละ 15 บาท มงั คุด กิโลกรัมละ 25 บาท

28 2. การนาํ เสนอข้อมลู อย่างเป็ นแบบแผน การนาํ เสนอขอ้ มลู อยา่ งเป็นแบบแผน เป็นการนาํ เสนอทีจะตอ้ งปฏบิ ตั ิตามหลกั เกณฑ์ ทีได้กาํ หนดไวเ้ ป็ นมาตรฐาน ตวั อย่างการนาํ เสนอแบบนี เช่น การนําเสนอในรูปตาราง กราฟ และ แผนภมู ิ เป็นตน้ .1 การนําเสนอในรูปตาราง (Tabular Presentation) ขอ้ มลู ต่าง ๆ ทีเกบ็ รวบรวมมาได้ เมอื ทาํ การประมวลผลแลว้ จะอยใู่ นรูปตาราง ส่วนการนาํ เสนออยา่ งอืนเป็นการนาํ เสนอโดยใชข้ อ้ มลู จากตาราง จาํ นวนขา้ ราชการ ในโรงเรียนแห่งหนึง มี คน จาํ แนกตามคณุ วฒุ ิสูงสุด ดงั นี คุณวฒุ ิสูงสุด จาํ นวนขา้ ราชการ(คน) ปริญญาเอก ปริญญาโท 16 ปริญญาตรี 5 ตาํ กว่าปริญญาตรี 0 22 รวม 2. การนําเสนอด้วยกราฟเส้น (Line graph) เป็นแบบทีรู้จกั กนั ดีและใชก้ นั มากทีสุด แบบหนึง เหมาะสาํ หรับขอ้ มลู ทีอยใู่ นรูปของอนุกรมเวลา เช่น ราคาขา้ วเปลือกในเดือนต่าง ๆ ปริมาณ สินคา้ ส่งออกรายปี ราคาผลไมแ้ ต่ละปี เป็นตน้ ราคาขายปลกี ลองกอง ทีตลาดกลางผลไมต้ าํ บลตะพง ปี มดี งั นี ปี พ.ศ. ราคา (บาท) : กิโลกรัม 120.- 95.- 80.- 65.- 40.- สามารถนาํ เสนอแนวโนม้ ของราคาขายปลีกลองกอง ปี ดว้ ยกราฟเสน้ ไดด้ งั นี

29 ราคา ราคาลองกอง 140 120 100 80 60 40 20 0 พ.ศ. 2548 พ.ศ.2549 พ.ศ.2550 พ.ศ.2551 พ.ศ.2552 . การนําเสนอด้วยแผนภูมแิ ท่ง (Bar Chart) ประกอบดว้ ยรูปแท่งสีเหลยี มผนื ผา้ ซึง แต่ละแท่งมคี วามหนาเท่า ๆ กนั โดยจะวางตามแนวตงั หรือแนวนอนของแกนพกิ ดั ฉากกไ็ ด้ ตวั อย่าง นกั ศกึ ษา กศน. ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ในภาคตะวนั ออกทีสอบผา่ นในหมวด วิชาคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภาษาองั กฤษ ภาษาไทย และพฒั นาสงั คมและชุมชน คน นกั ศกึ ษา กศน .ม.ตน้ ทสี อบผา่ น 8000 2350 2135 2035 6734 7000 5600 6000 5000 หมวดวชิ า 4000 คณิตศาสตร์ 3000 วิทยาศาสตร์ 2000 ร์ 1000 ภาษา ัองกฤษ ษ 0 ภาษาไทย ัพฒนาสังคมฯ

30 ตวั อย่าง จาํ นวนนกั ศึกษาทีลงทะเบียนเรียนหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษา ขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช ในจงั หวดั ชลบุรี และจงั หวดั ระยอง แบ่งตามระดบั การศกึ ษา คน 700 ประถม ม.ตน้ 600 ม.ปลาย 500 400 ระยอง จงั หวัด 300 200 100 0 ชลบุรี .4 การนาํ เสนอด้วยรูปแผนภูมวิ งกลม (Pie Chart) เป็นการแบ่งวงกลมออกเป็นส่วนต่าง ๆ ตามตวั อยา่ งแผนภมู แิ สดงผลการสอบของนกั ศกึ ษาทีสอบผา่ นจาํ แนกตามหมวดวชิ า พฒั นาสังคมฯ นกั ศกึ ษา กศน.ม.ตน้ ทีสอบผา่ น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 36% คณติ ศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย 12% พัฒนาสังคมฯ วิทยาศาสตร์ 11% ภาษาองั กฤษ 11% ภาษาไทย 30%

31 กิจกรรมบทที ใหผ้ เู้ รียนทาํ กิจกรรมต่อไปนี ขอ้ 1 ถา้ ครูตอ้ งการศกึ ษาพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มของนกั ศกึ ษา ครูควรจะเก็บรวบรวม ขอ้ มลู ดว้ ยวธิ ีใดจึงจะเหมาะสม ...................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ขอ้ ใหผ้ เู้ รียนเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ครอบครัวของตนเองตามแบบสาํ รวจ ต่อไปนี แบบสาํ รวจขอ้ มลู ครอบครัว . จาํ นวนสมาชิกในครอบครัว........................คน . หวั หนา้ ครอบครัว . ชือ................................................อาย.ุ .............ปี . อาชีพหลกั ......................................รายไดต้ ่อปี ....................บาท . อาชีพรอง/อาชีพเสริม..............................รายไดต้ ่อปี ............บาท . รายไดร้ วมต่อปี .................................บาท . การศึกษาสูงสุดของหวั หนา้ ครอบครัว.................................................. . บทบาทในชุมชน (กาํ นนั , ผใู้ หญ่บา้ น, สมาชิก อบต. ฯลฯ)................................................... . โปรดใส่รายละเอียดเกียวกบั สมาชิกภายในครอบครัวทุกคนทีอาศยั อยรู่ ่วมกนั ในตารางต่อไปนี ความสัมพนั ธ์ อาชพี อาชพี รอง/ รายไดเ้ ฉลีย การศกึ ษา กาํ ลงั บทบาทใน ชอื – ชอื สกุล อายุ กบั หวั หนา้ หลกั เสริม ตอ่ ปี สูงสุด ศกึ ษา ชมุ ชน ครอบครัว ระดบั

32 . การถอื ครอง/การใชป้ ระโยชนข์ องทีดิน  มี  ไมม่ ี การถอื ครองทีดิน  เป็นของตนเอง  รับการจดั สรรจากทางราชการ การใชป้ ระโยชนท์ ดี ิน คือ....................................................................... ปัญหาทีดิน........................................................................................... . การเพาะปลกู พชื /การกระจายผลผลิต....................................................... จากการขาย................................................................บาท/ปี . การเลยี งสตั ว/์ การกระจายผลผลติ ............................................................. รายไดจ้ ากการขาย...................................................บาท/ปี . รายไดเ้ งินสด จากการทาํ การเกษตร และนอกเหนือจากการทาํ การเกษตร รายไดเ้ งินสดจากการทาํ การเกษตร...............................................บาท/ปี รายไดเ้ งินสดนอกเหนือจากการทาํ การเกษตร................................บาท/ปี . รายจ่ายหลกั ในการประกอบอาชีพ................................................บาท/ปี รายจ่ายประจาํ เดือนภายในครัวเรือน............................................บาท/ปี รายจ่ายอืน ๆ..............................................................................บาท/ปี . ครอบครวั ของท่าน มคี วามเชียวชาญ หรือความสามารถพิเศษ ในเรืองใดบา้ ง ........................................................................................................................................ . ความตอ้ งการในการพฒั นาอาชีพ/ฝึกอาชีพ/ประกอบอาชีพ ......................................................................................................................................... ขอ้ จากขอ้ มลู การสอบปลายภาคเรียน หมวดวชิ าภาษาไทย นกั ศึกษาระดบั ประถมศกึ ษา จาํ นวน คน ไดค้ ะแนนดงั นี จงหาคะแนนเฉลียของหมวดวิชาภาษาไทย ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... ขอ้ ในชุมชน ๆ หนึง มผี ปู้ ระกอบอาชีพ เลียงไก่ คน เลียงววั คน ทาํ ไร่ขา้ วโพด คน ทาํ สวนผลไม้ คน จงนาํ เสนอขอ้ มลู ในรูปของตาราง ...................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................

33 บทที การมสี ่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม สาระสําคญั การพฒั นาตนเอง การพฒั นาครอบครัวนาํ ไปสู่การพฒั นาชุมชน และการเขา้ ไปมีส่วนร่วม ในการวางแผนพฒั นาทุกภาคส่วนของสงั คม โดยการเขา้ ร่วมแสดงทศั นะ ร่วมเสนอปัญหาในประเดน็ ทีเกียวขอ้ ง ร่วมวางแนวทาง ร่วมแกไ้ ขปัญหา และร่วมในกระบวนการตดั สินใจ เป็นแรงบนั ดาลใจในการ สร้างสรรคส์ ิงทีดีงาม และเกิดประโยชนส์ ูงสุดต่อสงั คมและประเทศชาติ ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั เมือศกึ ษาบทที จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ . รู้และเขา้ ใจวธิ ีการวางแผนพฒั นาตนเอง พฒั นาครอบครัวและการพฒั นาชุมชน 2. มีส่วนร่วมในการจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชนและสงั คม ขอบข่ายเนอื หา เรืองที การวางแผน เรืองที การมสี ่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม

34 เรืองที 1 การวางแผน แผนเป็ นสิงทีแสดงให้เห็นว่าองค์กรพยายามทีจะทาํ สิงทีทาํ อยใู่ ห้ไดผ้ ลออกมาดีทีสุดและ ประสบความสาํ เร็จ ฉะนนั การวางแผนเป็นการตดั สินใจลว่ งหนา้ ก่อนเหตุการณ์นนั เกิดขึนจริง การวางแผน (Planning) หมายถงึ กระบวนการในการกาํ หนดวตั ถปุ ระสงค์ เพอื การตดั สินใจ เพอื เลือกแนวทางในการทาํ งานใหด้ ีทีสุด สาํ หรับอนาคตและใหอ้ งคก์ รไดบ้ รรลตุ ามวตั ถุประสงค์ ความสําคญั ของการวางแผน 1. เพอื ลดความไม่แน่นอนและความเสียงใหเ้ หลอื นอ้ ยทีสุด 2. สร้างการยอมรับในแนวคิดใหม่ ๆ 3. เพอื ใหก้ ารดาํ เนินงานบรรลุเป้ าหมาย 4. ลดขนั ตอนการทาํ งานทีซบั ซอ้ น 5. ทาํ ใหเ้ กิดความชดั เจนในการทาํ งาน วตั ถุประสงค์ในการวางแผน 1. ทาํ ใหร้ ู้ทิศทางในการทาํ งาน 2. ทาํ ใหล้ ดความไมแ่ น่นอนลง 3. ลดความเสียหายหรือการซาํ ซอ้ นของงานทีทาํ 4. ทาํ ใหร้ ู้มาตรฐานในการควบคุมใหเ้ ป็นไปตามทีกาํ หนด ข้อดขี องการวางแผน 1. ทาํ ใหเ้ กิดการปรับปรุงการทาํ งานใหด้ ีขึน 2. ทาํ ใหเ้ กิดการประสานงานดียงิ ขึน 3. ทาํ ใหก้ ารปรับปรุงและการควบคุมดีขึน 4. ทาํ ใหเ้ กิดการปรับปรุงการบริหารเวลาใหด้ ีขึน ซึงเป็นส่วนทีสาํ คญั ทีสุดในการวางแผน หลกั พนื ฐานการวางแผน 1. ตอ้ งสนบั สนุนเป้ าหมายและวตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ร 2. เป็นงานอนั ดบั แรกของกระบวนการจดั การ 3. เป็นหนา้ ทีของผบู้ ริหารทุกคน 4. ตอ้ งคาํ นึงถึงประสิทธิภาพของแผนงาน

กระบวนการในการวางแผน 35 กําหนดวตั ถปุ ระสงค์ กําหนดข้อตกลงตา่ ง ๆ ที เป็ นขอบเขตในการวางแผน พิจารณาข้อจํากดั ตา่ ง ๆ ที อาจเกิดขนึ ในการวางแผน นําแผนสกู่ ารปฏบิ ตั ิ พฒั นาทางเลอื ก - ทําตารางการปฏบิ ตั งิ าน (แสวงหาทางเลอื ก) - มาตรฐานการทํางาน - ปรบั ปรุง / แก้ไข ประเมินทางเลอื ก (พิจารณาความเสียง) ลกั ษณะของแผนทดี ี 1. มลี กั ษณะชีเฉพาะมากกวา่ มีลกั ษณะกวา้ ง ๆ หรือกลา่ วทวั ๆ ไป 2. มีการจาํ แนกความแตกต่างระหวา่ งสิงทีรู้และไมร่ ู้ใหช้ ดั เจน 3. มีการเชือมโยงอยา่ งเป็นเหตุเป็นผล และสามารถนาํ ไปปฏบิ ตั ิได้ 4. มลี กั ษณะยดื หยนุ่ สามารถปรับปรุงและพฒั นาได้ 5. ตอ้ งไดร้ ับการยอมรับจากกระบวนการทีเกียวขอ้ ง

36 ตวั อย่างแผนการมสี ่วนร่วมของประชาชน (คนเกบ็ ขยะ) การทาํ งานของเทศบาลนครพิษณุโลก จะเน้นทีการมสี ่วนร่วมของประชาชน นอกจากจะให้ ประชาชนร่วมคิด เช่น การใหป้ ระชาชนมสี ่วนในการทาํ แผนพฒั นาเทศบาลแลว้ ยงั ไดข้ ยายลงไปถึง การทาํ แผนพฒั นาชุมชนประจาํ ปี ซึงเป็ นการจดั ทาํ ประชาคม ใหส้ มาชิกในชุมชนมีส่วนร่วมในการทาํ แผนพฒั นาชุมชนของตวั เองและไดเ้ รียงลาํ ดบั ความสาํ คญั หรือความตอ้ งการของชุมชนนนั ๆ ประชาชนเขา้ มามสี ่วนร่วมตงั แต่ขันตอนการวางแผน ทางเทศบาลไดม้ กี ารจดั ทาํ แผน เฉพาะการจดั การขยะมลู ฝอยของเทศบาล โดยให้ประชาชนและผ้ทู เี กยี วข้องทังหมดเข้ามามสี ่วนร่วม ในการทําแผน และได้เริมขยายการจดั ทาํ แผนการจดั การขยะมลู ฝอยลงในชุมชนบางแห่ง มกี ารอบรม ใหค้ วามรู้ดา้ นการจดั การขยะมลู ฝอยแก่ประชาชนในชุมชนและกลุ่มต่าง ๆ เช่น ชมรมสตรีอาสาพฒั นา กล่มุ ผปู้ ระกอบการอาหารสถานศกึ ษาในพืนที กลุม่ เยาวชน กลมุ่ ออกกาํ ลงั กายเพือสุขภาพ ฯลฯ พร้อมทงั ขอความร่วมมอื ในการจดั การขยะมลู ฝอย เช่น ช่วยในการคดั แยกของขายได้ (หรือขยะรีไซเคิล) ระดบั ครัวเรือน ช่วยคดั แยกขยะอินทรียห์ รือขยะชีวภาพทาํ ป๋ ุยหมกั ทีบา้ นหรือร่วมมือกนั ทาํ ระดบั ชุมชน ช่วยจดั หาถงั ขยะของแต่ละครัวเรือนเอง นาํ ถงั ขยะออกมาใหส้ มั พนั ธก์ บั เวลาจดั เก็บ ทาํ ใหช้ ุมชนปลอดถงั ขยะหรือถนนปลอดถงั ขยะ เทศบาลสามารถลดความถีในการจดั เก็บขยะมลู ฝอย ลงได้ บางชุมชนนดั หมายเทศบาลมาเก็บขยะสปั ดาหล์ ะครัง หรืออยา่ งนอ้ ยก็สามารถลดลงไดเ้ ป็นวนั เวน้ วนั ทงั ยงั ใหค้ วามร่วมมอื อยา่ งดีในการชาํ ระค่าธรรมเนียมขยะมลู ฝอย ภาครัฐควรใส่ใจและทาํ การประชาสมั พนั ธแ์ ละรณรงค์ เพือสือสารทาํ ความเขา้ ใจกบั ประชาชน รวมทงั ขอความร่วมมือจากประชาชน ถา้ ประชาชนเขา้ ใจและเห็นประโยชนท์ ีจะเกิดขึนทงั ต่อตนเองและ ส่วนรวมแลว้ จะส่งผลใหเ้ กิดความร่วมมือเป็นอยา่ งดี ทาํ ใหก้ ารงานต่าง ๆ สาํ เร็จลุลว่ งตามวตั ถุประสงค์ และก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อทุกฝ่ าย

37 เรืองที การมสี ่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม การมสี ่วนร่วม หมายถงึ การเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนไดม้ สี ่วนร่วมในทุกขนั ตอนของ การพัฒนาทังในการแก้ไขปัญหาและป้ องกันปัญหา โดยเปิ ดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการคิดริเริ ม ร่วมกาํ หนดนโยบาย ร่วมวางแผน ตดั สินใจและปฏิบตั ิตามแผน ร่วมตรวจสอบการใชอ้ าํ นาจรัฐทุกระดบั ร่วมติดตามประเมินผลรับผดิ ชอบในเรืองต่าง ๆ อนั มีผลกระทบกบั ประชาชน ชุมชนและเครือข่ายทุก รูปแบบในพืนที การมสี ่วนร่วมของประชาชน (Public Participation) หมายถงึ กระบวนการทีประชาชนและ ผทู้ ีเกียวขอ้ งมโี อกาสไดเ้ ขา้ ร่วมในการแสดงทศั นะ ร่วมเสนอปัญหา ประเด็นสาํ คญั ทีเกียวขอ้ ง ร่วมคิด แนวทาง ร่วมแกไ้ ขปัญหาและร่วมในกระบวนการตดั สินใจ ประชาชนกบั การมสี ่วนร่วมในการพฒั นาสังคม มนุษยถ์ กู จดั ใหเ้ ป็นทรัพยากรทีมคี ุณภาพทีสุดในสงั คม และยงั เป็ นองค์ประกอบทีถกู จดั ให้ เป็นหน่วยยอ่ ยของสงั คม สงั คมจะเจริญหรือมีการพฒั นาไปไดห้ รือไมข่ ึนอยกู่ บั คุณภาพของประชาชน ทีเป็นองคป์ ระกอบในสงั คมนนั ๆ การทีสังคมจะพฒั นาไดอ้ ย่างมีคุณภาพจาํ เป็ นอย่างยิงทีจะตอ้ งเริมตน้ ทีจะทาํ การพฒั นา หน่วยทียอ่ ยทีสุดของสังคมก่อน ซึงไดแ้ ก่ การพฒั นาคน การพฒั นาในลาํ ดบั ต่อมาเริมกนั ทีครอบครัว และต่อยอดไปจนถึงชุมชน สงั คม และประเทศ . การพฒั นาตนเอง และครอบครัว การพฒั นาตนเอง หมายถึง การพฒั นาตนเองด้วยตนเอง หรือการสอนใจตนเองในการ สร้างอปุ นิสยั ทีดี ซึงจะส่งผลใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อตนเองและทาํ ใหส้ งั คมเกิดความสงบสุข การเปิ ดโอกาสใหท้ ุกคน ทุกกลุ่มในหม่บู า้ นมสี ่วนเกียวขอ้ งในการตดั สินใจทีจะดาํ เนินการ ใด ๆ เพือหมู่บา้ น แต่ละคนต้องเข้ามามีส่วนร่ วม ซึงลกั ษณะการทาํ งานดงั กล่าวจะมีลกั ษณะของ “หุน้ ส่วน” ระหวา่ งเจา้ หนา้ ทีรัฐกบั ประชาชน ซึงจะเป็นผไู้ ดร้ ับผลจากการพฒั นา การทาํ งานลกั ษณะนี จะตอ้ งอาศยั ประชาชนทุกคนมามสี ่วนร่วมตงั แต่การตดั สินใจการดาํ เนินงาน การตรวจสอบผลงาน และ การประเมินผลงาน ดงั นนั ประชาชนแต่ละคนตอ้ งเพมิ ความรู้ ความสามารถพฒั นาตนเองใหเ้ ป็ นผรู้ อบรู้ เพือช่วยกนั แสดงความคิดเห็นทีเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม การพัฒนาครอบครัว หมู่บ้าน ตาํ บล อาํ เภอ จงั หวดั และประเทศ การพฒั นาสังคมใน หน่วยยอ่ ยนาํ ไปสู่การพฒั นาสงั คมทีเป็นหน่วยใหญ่ มกั จะมีจุดเริมตน้ ทีเหมือนกนั คือ การพฒั นาที ตวั บุคคล ซึงบุคคลเหล่านีจะกระจายอยตู่ ามสงั คมต่าง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ ประชาชนจาํ นวนมากมกั จะอาศยั อยตู่ ามชนบท ถา้ ประชาชนเหล่านีไดร้ ับการพฒั นาใหเ้ ป็นบุคคลทีมีจิตใจดีงาม มีความเอือเฟื อ มคี ุณธรรม รู้จกั การพงึ พาตนเอง มคี วามร่วมมือร่วมใจ มคี วามคิดริเริมสร้างสรรค์ มีความเชือมนั

38 ในภูมิปัญญาของตนเอง และพร้อมทีจะรับความรู้ใหม่ ๆ เช่น ดา้ นวิชาการ วิชาชีพ หรือแมก้ ระทัง ข่าวสารขอ้ มลู ทีจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสงั คมแลว้ ประชาชนเหล่านีก็จะเป็ นกลุ่มคนทีมีคุณภาพ และมีคุณค่าต่อสงั คมไทย ซึงสามารถเป็นตวั ขบั เคลือนความเจริญกา้ วหนา้ ใหแ้ ก่ประเทศในอนาคต การพฒั นาไม่วา่ จะเป็นชนบทหรือในเมือง ถา้ ไดม้ ีการฝึกใหค้ นไดม้ ีความสามารถและมีการ เรียนรู้ทีจะเขา้ มามีส่วนร่วมในการดาํ เนินงาน นับไดว้ ่าเป็ นปัจจยั พืนฐานทีสาํ คญั ซึงการพฒั นาคนทีดี ทีสุดคือ การรวมกลุ่มประชาชนให้เป็ นองคก์ รเพือพฒั นาคนในกลุ่ม เพราะกลุ่มคนนันจะก่อให้เกิดการ เรียนรู้ ฝึ กการคิดและการแกป้ ัญหา หรือกลุ่มทีฝึ กฝนดา้ นบุคลิกภาพของคน ฝึ กในการทาํ งานร่วมกนั ซึงจะช่วยใหค้ นไดเ้ กิดการพฒั นาในดา้ นความคิด ทศั นคติ ความมีเหตุผล ซึงเป็ นรากฐานทีสําคัญของ ระบอบประชาธปิ ไตย 2. การพฒั นาชุมชน และสังคม การพฒั นาชุมชน และสังคม หมายถึง การทาํ กิจกรรมทีมีผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคนใน ชุมชนร่วมกนั ดงั นันการพฒั นาชุมชนและสังคม จึงตอ้ งใชก้ ารมีส่วนร่วมของประชาชน ร่วมกันคิด เกียวกบั ปัญหาต่างๆ เช่น ยาเสพติด สิงแวดลอ้ มทีถูกทาํ ลาย ปัญหาทีไม่พึงประสงค์อืน ๆ ตดั สินใจ ร่วมกนั ในกิจกรรมทีเป็นปัญหาส่วนรวม เหตุทีตอ้ งใหป้ ระชาชนเขา้ มามสี ่วนร่วม เนืองจากประชาชนรู้ว่า ความตอ้ งการของเขาคืออะไร ปัญหาคืออะไร และจะแกป้ ัญหานนั อยา่ งไร ถา้ ประชาชนช่วยกนั แกป้ ัญหา กิจกรรมทุกอยา่ งจะนาํ ไปสู่ความตอ้ งการทีแทจ้ ริง หลกั การพฒั นากบั การมสี ่วนร่วมของประชาชน . การมสี ่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและสาเหตขุ องปัญหา เป็นขนั ตอนทีสาํ คญั ทีสุด เพราะถา้ ประชาชนไม่สามารถเขา้ ใจปัญหาและหาสาเหตุของ ปัญหาดว้ ยตนเองไม่ได้ กิจกรรมต่าง ๆ ทีตามมาก็จะไมเ่ กิดประโยชน์ เนืองจากประชาชนขาดความรู้ ความเขา้ ใจ และไมส่ ามารถมองเห็นความสาํ คญั ของกิจกรรมนนั สิงทีสาํ คญั ทีสุด คือ ประชาชนทีอยกู่ บั ปัญหาและรู้จกั ปัญหาของตนเองดีทีสุด แต่อาจ มองปัญหาไม่ออกนนั อาจจะขอความร่วมมอื จากเพอื นหรือขา้ ราชการทีรับผดิ ชอบในเรืองนัน ๆ มาช่วย วเิ คราะห์ปัญหาและหาสาเหตุของปัญหา . การมสี ่วนร่วมในการวางแผนการดาํ เนนิ งาน ในการวางแผนการดาํ เนินงานหรือกิจกรรม เจา้ หนา้ ทีของรัฐควรทีจะตอ้ งเขา้ ใจประชาชน และเขา้ ไปมสี ่วนร่วมในการวางแผน โดยคอยใหค้ าํ แนะนาํ ปรึกษา หรือชีแนะกระบวนการดาํ เนินงาน ใหก้ บั ประชาชนจนกว่าจะเสร็จสินกระบวนการ

39 . การมสี ่วนร่วมในการลงทุนและปฏิบตั งิ าน เจา้ หนา้ ทีรัฐควรจะช่วยสร้างแรงบนั ดาลใจและจิตสาํ นึกใหป้ ระชาชน โดยใหร้ ู้สึกถึงความ เป็นเจา้ ของใหเ้ กิดสาํ นึกในการดแู ลรักษาหวงแหนสิงนนั ถา้ การลงทุนและการปฏิบตั ิงานทงั หมดมาจาก ภายนอก ในกรณีทีเกิดความเสียหายประชาชนจะไม่รู้สํานึกหรือเดือดร้อนต่อความเสียหายทีเกิดขึน เพราะไมเ่ ดือดร้อนเนืองจากไม่ใช่ของตนเองจึงไมม่ ีการบาํ รุงรักษา ไม่ตอ้ ง หวงแหน นอกจากจะมีการเขา้ มามีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิงานดว้ ยตนเอง จะทาํ ให้เกิดประสบการณ์ ตรง โดยเรียนรู้จากการดาํ เนินกจิ กรรมอยา่ งใกลช้ ิดและสามารถดาํ เนินกิจกรรมชนิดนนั ดว้ ยตนเองต่อไป ได้ นอกเหนือจากการพฒั นาตนเองในดา้ นบุคลิกภาพ อารมณ์ สงั คม สติปัญญาแลว้ บุคคลควรมคี ่านิยมที เกือหนุนในการพฒั นาสงั คมอีกดว้ ย ไดแ้ ก่ การมรี ะเบียบวินยั ความอดทน ขยนั ขนั แข็ง มานะอดออม ไม่ สุรุ่ยสุร่าย ซือสตั ย์ การเออื เฟื อเผอื แผ่ ตรงต่อเวลา . การมสี ่วนร่วมในการตดิ ตามและประเมนิ ผลงาน ควรใหป้ ระชาชนไดเ้ ขา้ มามีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผลงาน เพือทีจะสามารถ บอกไดว้ ่างานทีทาํ ไปนนั ไดร้ ับผลดีเพียงใด ก่อใหเ้ กิดประโยชนห์ รือไม่ ดงั นนั ในการประเมินผลควรที จะตอ้ งมีทงั ประชาชนในชุมชนนนั และบุคคลภายนอกชุมชนช่วยกนั พิจารณาว่า กิจกรรมทีกระทาํ ลงไป นนั เกิดผลดีหรือไมด่ ีอยา่ งไร ซึงจะทาํ ใหป้ ระชาชนเห็นคุณค่าของการทาํ กิจกรรมนนั ร่วมกนั ตวั อย่างที 1 การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วฒั นธรรม ในการอนุรักษว์ ฒั นธรรมดงั เดิมของหมบู่ า้ นวฒั นธรรมถลาง บา้ นแขนน หมบู่ า้ นวฒั นธรรม ถลาง จงั หวดั ภูเก็ต จดั เป็ นหมู่บา้ นทีสืบสานความรู้ดงั เดิมของภูเก็ตตงั แต่สมยั ทา้ วเทพกระษตั รี อีกทงั วฒั นธรรมในการปรุงอาหารซึงเป็ นอาหารตาํ รับเจา้ เมืองในสมยั โบราณของภูเก็ต และศิลปวฒั นธรรม ดา้ นนาฏศลิ ป์ ของภเู กต็ เช่น การรํามโนราห์ ไดม้ กี ารถา่ ยทอดและเปิ ดโอกาสใหผ้ ทู้ ีสนใจเขา้ ร่วมสืบสาน วฒั นธรรมดังเดิม และสามารถทีจะพฒั นาเป็ นชุมชนทีมีความเขม้ แข็ง ซึงเป็ นผลสืบเนืองมาจากการ ส่งเสริมการมสี ่วนร่วมของประชาชนในการสืบสานวฒั นธรรมทอ้ งถนิ ใหอ้ ยอู่ ยา่ งยงั ยนื ตวั อย่างที 2 การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์สิงแวดล้อมในเขตวนอุทยานแห่งชาติ สิรินาถ จงั หวดั ภูเกต็ เป็นผลสืบเนืองจากการบุกรุกทาํ ลายทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม โดยการเขา้ ไป ขุดคลอง การปล่อยนําเสียจากสถานประกอบการ ส่งผลให้ประชาชนทีอยู่บริเวณโดยรอบได้รับ ผลกระทบเสียหาย จากการทาํ ลายทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม ทาํ ใหป้ ระชาชนและภาครัฐไดเ้ ขา้ มามีส่วนร่ วมในการจัดระบบการบาํ บัดนําเสีย และการขุดลอกคูคลอง เพือป้ องกันและอนุรักษ์ สิงแวดลอ้ มใหค้ งอยใู่ นสภาพทีเป็นธรรมชาติต่อไป

40 ตวั อย่างที 3 การบริหารจดั การของเสีย โดยเตาเผาขยะและการบําบัดของเสียของเทศบาลนครภูเกต็ จงั หวดั ภูเกต็ สืบเนืองจากปริมาณขยะทีมมี ากถึง 500 ตนั ต่อวนั ซึงเกินความสามารถในการกาํ จดั โดยเตาเผาทีมีอยสู่ ามารถกาํ จดั ขยะได้ 250 ตนั ต่อวนั หลมุ ฝังกลบของเทศบาลมีเพียง 5 บ่อ ซึงถูกใชง้ าน จนหมด และไม่สามารถรองรับขยะไดอ้ ีก ประชาชนไดเ้ ขา้ ไปมีส่วนร่วมโดยใหค้ วามร่วมมือในการคดั แยกขยะก่อนทิง ซึงแยกตาม ลกั ษณะของขยะ เช่น 1. ขยะอินทรีย์ หรือขยะเปี ยกทีสามารถยอ่ ยไดต้ ามธรรมชาติ เทศบาลนครภูเก็ต ไดน้ าํ ไปทาํ ป๋ ุยหมกั สาํ หรับเกษตรกร 2. ขยะรีไซเคิล เช่น แกว้ พลาสติก กระดาษ ทองแดง เป็นตน้ นาํ ไปจาํ หน่าย 3. ขยะอนั ตราย เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดไฟ เป็นตน้ นาํ ไปฝังกลบและทาํ ลาย 4. ขยะทวั ไปทีจะนาํ เขา้ เตาเผาขยะเพือทาํ ลาย ในการจดั กระบวนการดงั กลา่ ว ส่งผลใหป้ ระชาชนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสิงแวดลอ้ มทีดี ใหก้ บั จงั หวดั ภเู ก็ต อีกทงั เป็นการบูรณาการในการดาํ เนินกิจกรรมร่วมกนั ระหว่างส่วนราชการเทศบาล นครภูเก็ต และภาคประชาชน เป็ นการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถินกับ ประชาชนในการร่วมกนั สร้างสรรคส์ ิงแวดลอ้ มทีดีต่อกนั

41 กิจกรรมบทที ข้อ ใหผ้ เู้ รียนแบ่งกลมุ่ 3 – 4 คน ต่อ 1 กลุ่ม และใหร้ ่วมกนั ศกึ ษารูปแบบขนั ตอนในการวางแผน โดยช่วยกันระดมความคิด อภิปราย จากนันทาํ การสรุปและร่วมกันจดั ทาํ แผนการพฒั นาชุมชนหรือ หมบู่ า้ นของผเู้ รียน ใหม้ ีความเป็นอยทู่ ีดี โดยยดึ หลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง มากลมุ่ ละ แผน ข้อ ใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาตวั อยา่ งของการมสี ่วนร่วมของภาคประชาชน ในการเขา้ ร่วมพฒั นาสงั คม จากนนั ใหร้ ่วมกนั จดั ทาํ แนวทางการบริหารจดั การ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในดา้ นต่อไปนี 1. การอนุรักษส์ ิงแวดลอ้ ม 2. การอนุรกั ษด์ า้ นศลิ ปวฒั นธรรมไทย 3. การรณรงคป์ ้ องกนั ยาเสพติด 4. การรณรงคป์ ้ องกนั ไขห้ วดั 2009 . การรณรงคก์ ารเลอื กใชผ้ ลิตภณั ฑข์ องไทย (ใหเ้ ลอื กเฉพาะดา้ นใดดา้ นหนึงเท่านนั )

42 บทที เทคนิคการมสี ่วนร่วมในการจดั ทาํ แผน สาระสําคญั แผนมีปัจจยั สาํ คญั คือ สิงทีตอ้ งการใหเ้ กิดขึน การจดั ทาํ แผนใหเ้ ป็นทียอมรับจาํ เป็นตอ้ งมี วธิ ีการร่วมมอื ร่วมตดั สินใจ ใหป้ ระสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ ความตอ้ งการกระบวนการแกป้ ัญหา และ ผลลพั ธท์ ีจะเกิดขึน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั เมือศกึ ษาบทที จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ . มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ แนวคิดเกียวกบั การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการจดั ทาํ แผน . บอกขนั ตอนการจดั ทาํ เวทีประชาคม การจดั สนทนากลุม่ การทาํ ประชาพจิ ารณ์ ลกั ษณะ ของการสมั มนาและกระบวนการประชามติได้ . บอกลกั ษณะสาํ คญั ของการจดั ทาํ แผนและโครงการได้ . บอกวิธีการเขียนรายงานและโครงงานได้ ขอบข่ายเนอื หา เรืองที เทคนิคการมีส่วนร่วมในการจดั ทาํ แผน เรืองที การจดั ทาํ แผน เรืองที การเผยแพร่สู่การปฏบิ ตั ิ

43 เรืองที 1 เทคนิคการมีส่วนร่วมในการจดั ทําแผน . การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการจดั ทาํ แผน การเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนมสี ่วนร่วมในการจดั ทาํ แผน ตดั สินใจ ในการวางโครงการ สาํ หรับประชาชนเอง มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พือ 1.1.1 ใหป้ ระชาชนยอมรับในแผนการดาํ เนินงาน และพร้อมจะร่วมมือ เป็นการลด การต่อตา้ น และลดความรู้สึกแตกแยกจากโครงการ . . ใหป้ ระชาชนไดร้ ่วมตดั สินใจเกียวกบั สถานการณ์ ปัญหาความตอ้ งการ ทิศทางของ การแกป้ ัญหา และผลลพั ธท์ ีจะเกิดขึน . . ใหป้ ระชาชนมีประสบการณ์ตรงในการร่วมแกป้ ัญหาของประชาชนเอง ทาํ ใหป้ ระชาชนเกิดการเรียนรู้ในกระบวนการแกป้ ัญหา . การจดั ทาํ เวทปี ระชาคม เวทีประชาคม เป็นวธิ ีการกระตุน้ ให้เกิดการเรียนรู้อยา่ งมีส่วนร่วม ระหว่างคนทีมีประเด็น หรือปัญหาร่วมกนั โดยใชเ้ วทีในการสือสารเพอื การรับรู้และเขา้ ใจในประเดน็ /ปัญหาและช่วยกนั หา แนวทางแกไ้ ขประเด็นปัญหานนั ๆ ซึงมีขนั ตอนในกระบวนการจดั ทาํ เวทีประชาคม ดงั นี 1.2.1 เตรียมการ การเตรียมทีมงานจดั เวทีประชาคม ควรแบ่งเป็น ส่วน คือ ) ผอู้ าํ นวยการเรียนรู้หลกั หรือวิทยากรกระบวนการหลกั ทีมหี นา้ ทีขบั เคลือนการมี ส่วนร่วมเวทีประชาสงั คมทงั กระบวน และเป็นวิทยากรหลกั ทีทาํ ใหเ้ กิดการแสดงความคิดเห็นร่วมกนั ระหวา่ งผเู้ ขา้ ร่วมอภิปรายในเวทีประชาคม ) ผสู้ นบั สนุนวทิ ยากรกระบวนการ ซึงอาจจะแสดงบทบาทเป็นวทิ ยากรรอง หรือผจู้ ด บนั ทึกการประชุม ผสู้ นบั สนุนฯ มีหนา้ ทีเติมคาํ ถามในเวทีเพอื ใหป้ ระเด็นบางประเดน็ สมบูรณ์มากยงิ ขึน สงั เกตลกั ษณะท่าทีและบรรยากาศของการอภิปราย สรุปประเด็นทีอภิปรายไปแลว้ และให้ขอ้ มูลเพิมเติม ทีเกียวกับกลุ่มและบรรยากาศแก่วิทยากรหลกั หากพบว่าทิศทางของกระบวนการเบียงเบนไปจาก วตั ถุประสงค์ หรือประเดน็ ทีตงั ไว้ . . ดาํ เนินการเวทีประชาคม ในกระบวนการนีผอู้ าํ นวยการเรียนรู้หรือวิทยากรกระบวนการหลกั มีบทบาทมากทีสุด ขนั ตอนในกระบวนการนีประกอบดว้ ย 1) การทาํ ความรู้จกั กนั ระหวา่ งผเู้ ขา้ ร่วมอภิปราย และทีมงานจดั การซึงวิธีการอาจจะ ให้หลากหลายกิจกรรมขึนอยู่กับกลุ่ม และภูมิหลงั กลุ่ม จุดมุ่งหมายของขันตอนนี คือ การละลาย พฤติกรรมในกลุ่มและระหว่างกลมุ่ กบั ทีมงาน เพือสร้างบรรยากาศทีดีระหวา่ งการอภิปราย