คำนำ กระทรวงสาธารณสขุ มีแผนพฒั นาระบบบริการสขุ ภาพ (Service Plan) ในรูปแบบเขตสุขภาพ เชอ่ื มโยงการบรกิ าร ตงั้ แต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และศูนย์ความเชี่ยวชาญระดับสูงในภาพเครือข่ายบริการ เน้นการพัฒนาประสิทธิภาพ ด้านบริหารจัดการ วิชาการและระบบบริการที่ตอบสนองปัญหาสุขภาพที่สาคัญตามบริบทของพื้นท่ี เพื่อให้ประชาชนเข้าถึง บริการที่ได้มาตรฐาน ลดอัตราป่วย ลดอัตราตาย ลดระยะเวลารอคอย ทาให้องค์กรมีความเข็มแข็ง มีศักยภาพในการดูแล ผปู้ ่วย มีการพัฒนานวัตกรรมหรือผลงานท่ีโดดเด่น เกิดการสร้างเครอื ข่ายการทางานร่วมกันทกุ ภาคส่วน ขยายโอกาสในการ พัฒนางาน ซึ่งแสดงถึงผลสาเร็จในการดาเนินการพัฒนาระบบบริการสุขภาพใน ๑๒ เขตสุขภาพภูมิภาค และเขต ๑๓ กรุงเทพมหานคร ในปีงบประมาณ ๒๕๖๔ สานักงานเขตสุขภาพท่ี ๑๑ ได้รวบรวมผลงาน Best Practice การพัฒนาระบบบริการ สขุ ภาพ (Service Plan) จากบุคลากรทางการแพทย์ในเขตสุขภาพท่ี ๑๑ ท้ังส้ินจานวน ๒๙ ผลงาน ประกอบด้วย ผลงานทาง วิชาการ ๑๙ ผลงาน และผลงานนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ ๑๐ ผลงาน เพ่ือจัดทาเป็นรูปเล่มการเผยแพร่ผลงาน Best Practice ของเขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ซ่งึ บุคลากรทางการแพทย์สามารถนาข้อมลู ไปประยุกตใ์ ช้ในเวชปฏิบัติหรอื ใช้อา้ งองิ ในการต่อ ยอดผลงาน Best Practice เร่ืองใหม่ได้ อีกท้งั ยังเป็นการสร้างขวัญกาลังใจในการทางานด้านการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ ของบคุ ลากรทางการแพทย์ตอ่ ไป Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ก
สำรบัญ เร่อื ง หน้ำ คำนำ ก สำรบญั ข ผลงำน Best Practice ประเภทผลงำนวิชำกำร ๒ สำขำโรคไม่ติดตอ่ เรอ้ื รงั ๔ การพัฒนาระบบการส่งยาทางไปรษณียผ์ ู้ป่วยโรคเรอื้ รัง โรงพยาบาลปากนา้ ชมุ พร จังหวัดชมุ พร ๖ ผลการพัฒนาคณุ ภาพการดูแลรักษาโรคความดนั โลหติ สงู ดว้ ยการวัดความดันโลหติ ที่บา้ นดว้ ยตนเอง การรับรู้ขอ้ มลู ด้านสขุ ภาพท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของผปู้ ่วยโรคความดนั โลหิตสูงรับบริการ โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลบา้ นคลองยาง ตาบลคลองยาง อาเภอเกาะลนั ตา จงั หวัดกระบ่ี สำขำกำรรบั บรจิ ำคและปลกู ถำ่ ยอวยั วะ ๘ Sustainable Of Organ Donation MNST Hospital in Covid-19 Situation สำขำสขุ ภำพจติ และจติ เวช ๑๐ “เพราะเรา.....ใสใ่ จ” (การบริการจิตเวชยคุ โควิด-19) สำขำ Intermediate care ๑๒ การพัฒนางานวางแผนจาหน่ายผปู้ ว่ ยโรคระบบประสาทและสมองท่มี ีภาวะกลืนลาบาก สำขำหวั ใจ ๑๕ รเู้ ร็ว เขา้ ถึงไว ส่งตอ่ ทันที: ความเปน็ เลศิ การจัดการผปู้ ่วยโรคหัวใจขาดเลอื ด โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพ ๑๗ ตาบลปากหมาก อาเภอไชยา จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี ผลของการเสรมิ พลงั อานาจ ตอ่ พฤติกรรมการเลกิ สบู บหุ รี่ในกลมุ่ เส่ียงโรคหัวใจขาดเลือดเฉยี บพลนั สำขำมะเรง็ ๒๒ การเปรียบเทยี บอุบัติการณโ์ รคมะเรง็ ลาไส้ใหญ่ ระหว่างประชากรกลมุ่ เป้าหมายในโครงการคดั กรองมะเรง็ ลาไส้ใหญ่ของ สปสช. และกลุ่มท่ีไม่ได้อยู่ในโครงการ ซึ่งเข้ามารับบริการส่องกล้องท่ีโรงพยาบาลมะเร็ง สรุ าษฎรธ์ านี สำขำศลั ยกรรม ๒๔ ศึกษาผลของการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดแดงเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจชนิดหยุดหัวใจเต้น ร่วมกับการพยุงชีพด้วยเคร่ืองหัวใจและปอดเทียม โดยเปรียบเทียบผลจากการใช้ สารละลายหยุด หวั ใจเต้นชนิดเดลนิโด เทียบกบั สารละลายหยดุ หัวใจเตน้ ชนดิ เซนตโ์ ทมสั Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ข
สำขำผำ่ ตดั สมอง ๒๗ การพฒั นาทมี เพือ่ ให้ผ้ปู ว่ ยท่มี เี ลอื ดออกภายในกะโหลกศรี ษะได้รับการผา่ ตัดฉุกเฉนิ ภายใน ๓๐ นาที ๓๒ ประสบการณ์ ๓ ปี ในการติดตามผปู้ ่วยความดันโลหิตสูงอย่างใกลช้ ิดผ่านโปรแกรมไลนแ์ อพพลิเคช่ันเพ่ือ ปอ้ งกนั โรคหลอดเลือดสมองแตกในประชากรตาบลทุง่ คา ตาบลหาดพันไกร ตาบลหาดทรายรี อาเภอเมอื ง จงั หวัดชมุ พร สำขำ RDU&AMR ๓๔ ปัจจัยที่มผี ลตอ่ ความรอบรดู้ า้ นการใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ลของประชาชนในตาบลปากนา้ ชมุ พร ๓๗ การเปรียบเทียบอตั ราการไหลของการให้สารละลาย ด้วยเคร่ืองควบคมุ สารละลายทางหลอดเลอื ดดา โดยใช้ ชุดใหส้ ารละลายทีแ่ ตกตา่ งกนั สำขำ Stroke ๔๐ การพัฒนารปู แบบการประสานรบั ส่งต่อผู้ป่วยชอ่ งทางด่วนโรคหลอดเลอื ดสมอง (Stroke Fast track) ของจงั หวดั ภเู กต็ สำขำกุมำรเวชกรรม ผลการใช้ Maharaj Pediatric Respiratory Care Program ในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะโรคทางเดิน ๔๒ หายใจเรื้อรงั โรงพยาบาลมหาราชนครศรธี รรมราช สำขำปฐมภมู ิและสุขภำพอำเภอ ๔๔ การพฒั นารปู แบบและกลไกการป้องกนั ควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) แบบมสี ว่ นรว่ ม ๔๖ ของชุมชนในพื้นท่ีเขตเมือง กรณีศึกษา ชุมชนการเคหะแห่งชาตินครศรีธรรมราช ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จงั หวดั นครศรธี รรมราช “KURABURI MODEL” การจดั การการแพร่ระบาดของโรคตดิ เชื้อไวรสั โคโรนา 2019 (Covid-19) ด้วยมาตรการ Bubble and Seal แพปลาคุระบรุ ี สำขำโสต ศอ นำสกิ ๔๘ การศึกษาลกั ษณะทางคลนิ ิกของภาวะการไดก้ ลน่ิ ลดลงในผู้ปว่ ยโรค COVID-19 ในโรงพยาบาลปา่ ตอง ผลงำน Best Practice ประเภทผลงำนนวัตกรรม ๕๑ สำขำโรคไมต่ ิดต่อเรื้อรัง นวัตกรรม “โหรา ชะตา เบาหวาน” สำขำสขุ ภำพจิตและจิตเวช ๕๔ พัฒนาระบบการชว่ ยเหลือเยยี วยาจิตใจทง้ั ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ ในรูปแบบสากล จากสถานการณ์ COVID-19 Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ค
สำขำ Stroke ๕๖ PVC ๔ in ๑ ฝกึ มอื แขนแสน งา๊ ย งา่ ย ๕๘ สำขำปฐมภูมแิ ละสขุ ภำพอำเภอ แอพพลิเคชนั่ การป้องกันโรคไวรสั COVID-19 สาหรับนักเรยี นมธั ยมศึกษา ๕๙ สำขำสขุ ภำพชอ่ งปำก ๖๒ การพฒั นาระบบบริการส่งเสริมป้องกันสขุ ภาพชอ่ งปากในเดก็ ปฐมวยั เขตสุขภาพที่ ๑๑ ๖๕ สำขำสูต-ิ นรเี วชกรรม ๖๗ นวตั กรรมหมอนรองใหน้ มท่านอน นั่ง เพิ่มพลัง สามดดู ๖๘ สำขำกำรดแู ลระยะกลำง ๗๐ อุปกรณ์ชว่ ยเคล่อื นยา้ ยผสู้ ูงอายุ (Standing transfer aids for elderly) การพัฒนาส่ือวิดีโอใหค้ วามรแู้ กผ่ ้ดู ูแลผสู้ ูงอายแุ ละผสู้ ูงอายุดว้ ยหลัก ๕ อ. ให้สงู วัยหา่ งไกลโควดิ -19 สำขำอ่นื ๆ ตู้ต่อชีวิต ระบบการรับ-สง่ เวรของพยาบาลวิชาชพี (E-Kardex SSR) Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ง
ผลงานวิชาการ Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑
ชอ่ื เรือ่ ง การพฒั นาระบบการส่งยาทางไปรษณีย์ผู้ปว่ ยโรคเร้อื รงั โรงพยาบาลปากน้าชมุ พร จงั หวดั ชุมพร ชื่อเจา้ ของผลงาน พว.ณกานต์ชญาน์ นววัชรนิ ทร์ และ ภก.สพุ านี นอ้ ยเอียด โรงพยาบาลปากนาชุมพร บทนา้ /หลกั การและเหตผุ ล/ท่ีมาและความสา้ คญั จากสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เชอื ไวรสั โคโรนา 2019 หรือโรคโควดิ -19 ในประเทศไทย มีนโยบายขอให้ ประชาชนคนไทยพร้อมใจกัน“อยู่บ้าน หยุดเชือ เพ่ือชาติ” และ แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น การใช้หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ การหมั่นล้างมือ การไม่สัมผัสหรือรับเชือที่มากับฝอย ละอองนาลาย การเว้นระยะสัมผัสห่างจากผู้อื่น ให้อยู่ใน เคหสถาน หรือบรเิ วณสถานทีพ่ านักของตนเพื่อป้องกันตนเองจากการติดเชอื ไดแ้ ก่ (๑) ผู้สูงอายุตังแตเ่ จ็ดสิบปขี นึ ไป (๒) กลุ่ม คนท่ีมโี รคประจาตัวได้แก่ โรคไม่ตดิ ตอ่ เรอื รงั ต่าง ๆ เช่นโรคเบาหวาน โรคความดนั โลหิตสงู โรคหลอดเลอื ดหัวใจและสมอง โรค ในระบบทางเดนิ หายใจ เปน็ ต้น ทีมโรคไม่ติดต่อเรือรังตาบลปากนาชุมพร มีการพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื อรัง (NCD) เพื่อลดการ เดินทาง ออกจากบ้าน ลดการรวมตัวและการแออัดในหน่วยบริการ ลดความเสี่ยงการสัมผัสและติดเชือโรคโควิด -19 และ ทาให้บรกิ ารสุขภาพยังดาเนินไปได้อย่างมีคุณภาพและตอ่ เนือ่ ง โดยเลือกใช้การโทรศัพทต์ ิดตอ่ กับผู้ป่วยโรคเรอื รัง และใชก้ าร ส่งยาให้กับผู้ป่วยทางไปรษณีย์ เนื่องจากเหมาะสมกับบริบทของพืนที่เน่ืองจาก สะดวก ประหยัด เข้าถึงได้ทุกพืนที่ โดยให้ พนักงานไปรษณีย์เป็นบุคคลเคล่ือนท่ีในพืนท่ี และไม่เป็นภาระให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลและอาสาสมัคร สาธารณสุขประจาหมู่บ้านในการนาสง่ ยาให้กับผปู้ ่วยซึ่งเสี่ยงต่อการสัมผัส และแพรก่ กระจายเชือไวรสั โควิด-19 วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือพัฒนาระบบการส่งยาทางไปรษณียใ์ ห้กับผูป้ ว่ ยโรคเรือรังที่ ใหไ้ ด้รบั การดูแลอยา่ งตอ่ เนือ่ ง วิธกี ารดา้ เนินงาน การศึกษาครังนีเป็นการพัฒนาระบบการส่งยาทางไปรษณีย์ให้กับผู้ป่วยโรคเรือรังได้แก่โรคเบาหวาน โรคความดัน โลหิตสูง โรคหืด และโรคถุงลมอุดกันเรือรังท่ีรักษาต่อเน่ืองในพืนที่ตาบลปากนาชุมพรและเครือข่าย ประกอบด้วยขันตอน การวางแผนแก้ปัญหา (Plan) การดาเนินการปฏิบัติ (Do) มีการตรวจสอบควบคุมคุณภาพในการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน (Check) ค้นหาข้อจากัดของการปฏบิ ตั ิ และปรบั ปรงุ (Action)ให้แนวทางทีพ่ ฒั นาขนึ มีความสมบรู ณ์ และเป็นไปไดใ้ นการนาไป ปฏบิ ตั จิ รงิ มากทสี่ ดุ การวางแผนแก้ปญั หา/พัฒนา (Plan) : รอบท่ี ๑ (เดอื นมีนาคม ๒๕๖๓) ทีมศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัญหา สถานการณ์ และประเมินความต้องการที่จาเป็นความเป็นไปได้ในการพัฒนา ระบบรกิ ารการส่งยาทางไปรษณีย์โดยใช้ ๖ System Building Blocks ในด้าน ระบบบริการ กาลังคนดา้ นสขุ ภาพ ระบบข้อมูล ข่าวสาร เวชภัณฑ์และเทคโนโลยี คา่ ใชจ้ ่ายดา้ นสขุ ภาพ และภาวะผูน้ าฯ ในการมองปัญหาอย่างเปน็ องคร์ วม การดาเนินการปฏบิ ัติ (Do) : ออกแบบและพฒั นาระบบการสง่ ยาทางไปรษณีย์ โดยกาหนดบทบาทหนา้ ท่ี จดั เตรยี มทรพั ยากร บคุ ลากรดงั นี ๑. NCD Manager ติดตอ่ ผู้ปว่ ยทางโทรศัพท์กอ่ นวนั นัดหมาย ๑ สปั ดาห์ นารายชอ่ื ผูป้ ่วย สง่ กบั งานเวชระเบียน ๒. งานเวชระเบยี น เปิด visit โรคเรือรงั แกไ้ ข ตรวจสอบข้อมลู เบอร์โทรศัพท์ ทีอ่ ยู่ปจั จบุ ันของผปู้ ่วยให้ถูกตอ้ ง ๓. พยาบาลซักประวตั /ิ NCM ลงข้อมลู ผ้ปู ว่ ยใน HOSxP ใหค้ รบถ้วน ๔. แพทย์ พิจารณาการส่งั ยา จากการโทรสอบถามผ้ปู ่วย นดั หมายตามความเหมาะสมของผูป้ ว่ ยแตล่ ะราย ๕. พยาบาลจุดนดั หมาย ลงวันนัดหมาย และแนบวนั นดั กบั ใบนาทางส่งใหก้ บั ห้องยา ๖. เภสัชกร รับใบนาทางและตรวจสอบข้อมูล และการส่ังยา>พิมพ์ฉลากยา>จัดยา>ตรวจสอบความถูกต้อง>บรรจุ ยา ใบนัดหมายลงกลอ่ ง/ซองไปรษณยี ์>พมิ พ์/ตดิ ชื่อ ท่อี ยู่ และลงทะเบยี น>พนักงานไปรษณยี พ์ สั ดกุ อ่ น ๑๕.๐๐ น. ตรวจสอบควบคมุ คณุ ภาพในการปฏิบตั ใิ ห้เปน็ ไปตามแผน (Check) : ทดลองส่งยาทางไปรษณีย์ให้กับผู้ป่วยโรคเรือรังจานวน ๒๐ คน เป็นชาย ๖ คนหญิง ๑๔ คน พบว่าร้อยละ ๗๐ สามารถติดต่อได้ทางโทรศัพท์ตามเบอร์โทรทีใ่ ห้ไว้กับงานเวชระเบียน โดยรอ้ ยละ ๖๔.๒๘ ผปู้ ่วยเปน็ ผู้รบั โทรศัพท์ด้วยตนเอง ร้อยละ ๒๘.๕๗ เป็นสามี หรือภรรยา และร้อยละ ๗.๑๔ เป็นบตุ ร Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒
ร้อยละ ๑๐๐ มีความพอใจที่โรงพยาบาลจะมีส่งยาถงึ ท่ีบ้าน โดยไม่ต้องเดนิ ทางมารับบริการดว้ ยตนเอง ร้อยละ ๓๕ สอบถามและกังวลเรื่องการเจาะเลือดท่ีปลายนิว ร้อยละ ๑๕ สอบถามเรื่องการตรวจกับแพทย์ ร้อยละ ๔๐ สอบถามเร่ือง การเสยี คา่ ใช้จา่ ยในการจัดสง่ ยาทางไปรษณีย์ และรอ้ ยละ ๘๕ สอบถามเร่อื งการนัดครงั ตอ่ ไป ปรับปรุง (Act) : ๑) ประสาน อสม. เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้พบว่าผู้ป่วยได้รับการจัดการรายกรณีเพ่ิมขึนร้อยละ ๑๘.๖ ๒) เพิ่มเติมขอ้ มลู ในซักประวัตผิ ปู้ ่วยการทางโทรศัพท์ ๓)แบบสอบถามประเมนิ ความพงึ พอใจทางโทรศพั ท์ การวางแผนแกป้ ญั หา/พฒั นา (Plan) : รอบที่ ๒ (เดอื นเมษายน-มิถนุ ายน ๒๕๖๓) ประชุมทบทวน กาหนดวิธกี ารตดิ ตอ่ ผปู้ ่วยเพอื่ ปอ้ งกันการเกดิ ความเส่ียงท่ีอาจเกิดจากการไดร้ ับยาท่บี า้ น การดาเนินการปฏบิ ตั ิ (Do) : พัฒนาแนวทางใหพ้ ดู คุยทางโทรศัพท์ประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ (Health Assessment) จากโปรแกรมซกั ประวตั ิ HOSxP ประเมินนาหนักตัว BMI ความดันโลหิต ผลlab การใช้ยา ซักประวัติปัจจุบัน ประเมินความเสี่ยง ปัญหา อุปสรรค ในการ ควบคุมโรค การรบั ประทานอาหาร ออกกาลังกาย ยา อาการผิดปกตินาตาลตา่ /สูง ประเมนิ ๒Q และอาการผิดปกตอิ ่นื ๆ เพ่มิ ทกั ษะ Health coach กใ็ นการสร้างแรงจงู ใจแนะนา แบบสนั (Brief Advice หรอื BA : 3 เป็น คอื ถาม ชม แนะ เปน็ ) และการใหค้ า ปรกึ ษาแบบสัน (Brief intervention หรอื BI:3 เป็นร่วมกบั ประเมิน แก้ไขปัญหาเป็น) ตรวจสอบควบคมุ คณุ ภาพฯ (Check) : ติดตามผลการตอบกลับทางโทรศพั ทไ์ ดร้ บั ยาไม่ครบ ๑ ราย พงึ พอใจรอ้ ยละ ๑๐๐ ปรบั ปรุง (Act) : ปรับปรงุ ให้เหมาะสมกับปญั หาที่พบ การวางแผนแก้ปญั หา/พฒั นา (Plan) : รอบท่ี ๓ (เดือนตลุ าคม ๒๕๖๓ - มิถุนายน ๒๕๖๔) ประเมินผลการความถูกต้องของท่ีอยู่ จากพนักงานไปรษณยี ์,ประเมนิ ผลจากการโทรศัพทก์ ลับจากผู้ปว่ ย การดาเนินการปฏิบตั ิ (Do) : นาแนวทางท่ีพฒั นาและปรับปรงุ ในรอบท่ี ๑ – ๒ มาใช้ในการสง่ ยาทางไปรษณยี ก์ บั ผู้ปว่ ยโรคเรือรงั ตามขันตอนที่ ออกแบบ ผลการดา้ เนินงาน ผลการศึกษาหรอื สรุปผลการดาเนนิ งานปี เมษายน ๒๕๖๓ - กรกฎาคม ๒๕๖๔ จา้ นวนการส่งยาผ้ปู ่วยโรคเรอ้ื รังทางไปรษณยี ์ ๙๔๓ จำนวนคน จำนวนครง้ั ๒๘๙ ๕๓๖ ๓๖๗ ๓๙ ๑๐๒ ๒๗ ๘๗ เบาหวาน ความดนั โลหิตสงู COPD ASTHMA ความพึงพอใจในระบบการสง่ ยาทางไปรษณีย์พบว่า : พงึ พอใจระบบทางไปรษณียม์ ากทส่ี ุดร้อยละ ๙๘.๖๓ รองลงมา คอื ไดร้ ับยา เอกสาร สะดวก ถูกต้อง ครบถ้วน ทันเวลาร้อยละ ๙๕.๘๙ และการให้คาอธิบายและตอบข้อสงสัย ชัดเจน เข้าใจ งา่ ยพอใจรอ้ ยละ ๙๔.๕๒ อภิปรายผล ผปู้ ่วยโรคเรอื รังทไี่ ด้รับยาทางไปรษณยี ์มีความสะดวก ประหยดั ไม่ตอ้ งเดินทางมารบั บรกิ ารท่โี รงพยาบาล ไดร้ ับการ รกั ษาทต่ี ่อเนือ่ ง โดยไม่มีรายงานการเกดิ ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลนั จากการรบั ยาทางไปรษณยี ์ มีความปลอดภัย Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓
ชอ่ื เรือ่ ง ผลการพัฒนาคณุ ภาพการดแู ลรักษาโรคความดันโลหิตสงู ดว้ ยการวดั ความดันโลหิตทีบ่ า้ นดว้ ยตนเอง ชอื่ เจา้ ของผลงาน พว.ณกานตช์ ญาน์ นววชั รนิ ทร์ โรงพยาบาลปากนาชุมพร บทน้า/หลักการและเหตุผล/ทมี่ าและความสา้ คัญ โรคความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุท่ีคร่าชีวิตของคนไทยจานวนมากในแต่ละปี ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเครือข่าย โรงพยาบาลปากนาชุมพรปี ๒๕๖๐ – ๒๕๖๓ ได้แก่ ๑,๗๑๓ , ๑,๘๙๖ ๒,๑๔๕ และ ๒,๒๕๒ ราย ตามลาดับ ซ่ึงมีจานวน เพ่ิมขึนทุกปี ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๖๐ การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงจะใช้ความดันท่ีวัดจากโรงพยาบาล (Office Blood Pressure) มากกว่า ๑๔๐/๙๐ mm.Hg. อย่างน้อย ๒ ครัง ซ่ึงการวัดความดันโลหิตท่ีสถานพยาบาล มีข้อจากัด สามารถ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ค่าความดันโลหิตท่ีวัดได้ อาจจะคลาดเคลื่อนจากค่าความดันโลหิตจริง การวัดความดันโลหิตด้วย ตนเองท่ีบ้าน(Home Blood Pressure)เร่ิมมีความสาคัญ และมีประโยชน์มากขึนในปัจจุบัน เน่ืองจากการวัดความดันโลหิต ด้วยตนเอง สามารถช่วยให้วินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงให้มีความแม่นยามากย่ิงขึน ซ่ึงเป็นค่าความดันโลหิตท่ีเป็นชีวิตจริง อีกทังสามารถนามาใช้ในการประเมิน ติดตามการรักษา เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและความร่วมมือในการใช้ยา ของผู้ป่วยและป้องกันการใช้ยาลดความดันโลหิตสูงเกินความจาเป็น นอกจากนีการวัดความดันโลหิตที่บ้านมีประโยชน์ในการ วนิ ิจฉัยภาวะความดันโลหติ ปลอม (White-coat hypertension) ทีม NCD เครือข่ายโรงพยาบาลปากนาชุมพร จึงนาการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน มาเป็นเครื่องมือในการ วินิจฉัย ติดตาม ประเมิน รักษา และใช้ในการควบคุมโรคความดันโลหิตสูงในเครือข่าย และมีการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ตังแต่ปี ๒๕๖๑ เปน็ ตน้ มา วตั ถปุ ระสงค์ ๑. พฒั นาคุณภาพการดูแลรกั ษาผปู้ ว่ ยความดนั โลหติ สงู ให้ไดต้ ามมาตรฐาน ๒. พัฒนาระบบการวัดความดันโลหิตทบ่ี ้านในเครอื ขา่ ย วธิ กี ารด้าเนินงาน การศกึ ษาครงั นีเปน็ การพฒั นาคุณภาพการดแู ลรกั ษาโรคความดนั โลหิตสูงดว้ ยการวดั ความดนั โลหิตทบ่ี ้านดว้ ยตนเอง ในพนื ทต่ี าบลปากนาชุมพร ซ่ึงประกอบดว้ ยขันตอน การวางแผนแก้ปัญหา (Plan) การดาเนนิ การปฏิบตั ิ (Do) มกี ารตรวจสอบ ควบคุมคุณภาพในการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน (Check) ค้นหาข้อจากัดของการปฏิบัติ และปรับปรุง(Action)ให้แนวทางที่ พัฒนาขนึ มีความสมบูรณ์ และเปน็ ไปไดใ้ นการนาไปปฏบิ ัตจิ รงิ มากทสี่ ุด การวางแผนแกป้ ญั หา/พัฒนา (Plan) : ๑. ทีมทาการทบทวน และติดตามผปู้ ่วยความดนั โลหติ สูงทขี่ าดนัด การรักษามากกว่า ๑ ปี ในปี พ.ศ.๒๕๕๘-๒๕๕๙ จานวน ๗๙ รายพบว่าร้อยละ ๒๙.๑๑ วนิ ิจฉยั ความดันสงู เมื่อมาทาแผล อุบตั ิเหตุ และทาฟัน ๒๒.๗๘ อสม. มาวัดความดันท่ี บา้ น/วัดจากท่ีอื่นแล้วความดันปกติ ร้อยละ ๒๑.๕๑ บอกว่าไม่มีอาการอะไรจึงไม่ไดม้ ารกั ษา ร้อยละ ๑๕.๑๘ มาโรงพยาบาล แลว้ วดั ความดนั สงู ๒ ครงั แพทย์วนิ ิจฉัย HT ร้อยละ ๓.๘ รักษาทค่ี ลนิ กิ และร้อยละ ๓.๘ เบ่อื หนา่ ย ไมอ่ ยากมาโรงพยาบาล ซึ่ง เกดิ จากการวินจิ ฉยั โรคโดยการใชค้ ่าความดนั โลหติ ท่ีไดจ้ ากการวัดท่ีโรงพยาบาลทม่ี ีคา่ มากกว่า ๑๔๐/๙๐ mmHg ตดิ ต่อสองครงั ๒. ประชุมทีมและเครือขา่ ย จดั หาเคร่อื งมอื วสั ดุ อุปกรณ์ ออกแบบการบันทกึ และระบบบริการ การดาเนินการปฏิบัติ (Do) รอบที่ ๑ (๒๕๖๑-๒๕๖๒) : ๑ จัดหาเครื่องวัดความดันโดยได้รับจากการบริจาค ๓ เคร่ือง จดั เตรยี มเอกสาร คู่มือการปฏบิ ตั ิและลงขอ้ มูลใหแ้ กท่ มี และเครอื ข่าย ๒) ให้ความรู้แก่เจา้ หนา้ ทร่ี พสต. หาดทรายรี และ อสม. ตาบลปากนาชมุ พร/หาดทรายรี และศนู ย์สาธารณสุขเทศบาล ตรวจสอบควบคุมคุณภาพในการปฏิบัตใิ หเ้ ป็นไปตามแผน (Check) : พบว่า มีการทา HBP จานวน ๖๕ ราย เครอ่ื งวัดความดัน ไม่เพียงพอ ต้องใช้เคร่ืองจาก อสม. ร่วมด้วย ขันตอนการทา HBP และการบันทึกยังเข้าใจยาก เวชปฏิบัติด้านการทา HBPM ไม่ชดั เจนทาใหห้ ลังการทราบผลแล้ว จดั การยังไมเ่ หมาะสม เกิดความสูญเปล่าบางราย ปรบั ปรงุ (Action) : ปรบั ปรงุ แนวทางการบนั ทกึ และเวชปฏิบตั ิ การวางแผนแก้ปญั หา/พัฒนา (Plan) : รอบท่ี ๒ (๒๕๖๒-๒๕๖๓) เพ่มิ การเขา้ ถงึ การวัดความดนั โลหติ ทบี่ า้ นด้วยตนเองให้ มากขนึ Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๔
การดาเนนิ การปฏิบตั ิ (Do) : ๑. นาเวชปฏิบตั ิความดันโลหิตสงู ปี ๒๕๖๒ มาใช้ในการวินิจฉัย ติดตามประเมินผเู้ สีย่ งโรคความดนั โลหติ สูงซึ่งต้องมี ผลการวดั ความดันโลหติ ทบ่ี ้านกอ่ นการวินจิ ฉัยในกลมุ่ ทไี่ มม่ ี TOD,CVD risk<10 และกลมุ่ ทไ่ี มม่ ีโรค DM ๒. ได้รบั บรจิ าคเครื่องวัดความดนั โลหิตเพ่ิมอีก ๑๐ เคร่อื ง ๓. ปรบั ปรุงแบบบนั ทึกความดันที่บา้ นใหม่ เพิ่มขันตอนวิธีการทาการวดั ความดัน การบันทึกให้เขา้ ใจง่าย ตรวจสอบ ควบคุมคุณภาพในการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน (Check) : พบว่าจานวนผู้ทา HBPM เพ่ิมขึน ใช้เวลาอธิบาย แนะนาหลาย ขนั ตอน ทกุ หน่วยงานส่งผู้ทีต่ อ้ งวัดความดนั ทบี่ ้านมาทีห่ นว่ ยงาน OPD ทาใหผ้ ู้รับบรกิ ารรอนาน ลา่ ชา้ และไมใ่ หค้ วามร่วมมือ ปรบั ปรุง (Action) : เพิ่มบทบาททีมสหวชิ าชีพนา HBP มาใชใ้ นการรักษา ติดตาม ประเมนิ ผล และควบคมุ โรคความดันโลหิต การวางแผนแก้ปัญหา/พัฒนา (Plan) : รอบท่ี ๓ (๒๕๖๓-๒๕๖๔) เพ่ิมการเข้าถึง การวัดความดันโลหิตที่บ้านด้วยตนเอง ทุกหน่วยงาน เครอื ขา่ ยและชมุ ชน การดาเนนิ การปฏิบตั ิ (Do) : ๑. ประชุม/ สื่อสาร / ให้ความรู้ อธบิ ายวธิ ีการให้ผ้รู บั บริการไปวดั ความดันโลหติ ดว้ ยตนเองที่บา้ นกบั ทุกหน่วยงาน ๒. ส่งเสริม สร้างศักยภาพ เพิ่มทักษะ ให้กับ อสม. ในการให้คาแนะนาและให้บริการตามขันตอนแก่ผู้รับบริการท่ี บ้านในชุมชน ผลการศกึ ษาหรือสรุปผลการดาเนนิ งานการวัดความดนั ท่ีบ้านปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ดังนี 2562 2563 2564 80 64.5 60 43.07 35.64 3.07 3.96 1.87 9.23 17.82 7.48 21.53 15.84 17.75 3.07 3.96 1.87 40 20 22.77 20 6.54 0 HT รายใหม่ WCH ปรบั การรักษา รกั ษาเดมิ off ยา HT BP ปกติ การวัดความดันท่ีบ้านสามารถช่วยวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงได้มากที่สุดและมีจานวนเพิ่มขึนทุกปีจาก ๔๓.๐๗ , ๓๕.๖๔ และ ๖๔.๕ ตามลาดับ นามาใช้ในการแยกผู้ป่วยที่มีค่าความดันปกติ และในกลุ่มที่เป็น WCH มีการปรับยาลดลง เพ่ิมขนึ ตามระดับความดันทบี่ า้ น และบางส่วนสามารถหยดุ ยาความดันได้ ส่งผลให้สามารถลดค่าใช้จา่ ย off ยา HT และลดการ ใช้ยา จานวน ๒๕ คน ลดการจ่ายยาเป็นราคาจานวน ๙,๑๒๕ บาท และค่า Lab เป็นจานวน ๓,๗๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๒,๘๗๕ บาท และสง่ ผลใหผ้ ู้ป่วยโรคความดนั โลหติ สูงสามารถควบคมุ ความดันโลหิตได้ตามเปา้ หมายเพ่ิมขึนร้อยละ ๕๑.๙๒, ๕๙.๕๒, ๕๘.๕๓ และ ๖๑.๓๕ ตามลาดับ สรปุ วิธปี ฏิบตั ทิ ีด่ ี : ๑. ผรู้ ับบริการทีส่ งสัยโรคความดันโลหติ สูงตอ้ งไดร้ ับการทา HBP กอ่ นการวินจิ ฉัยโรคความดนั โลหิตสงู ตามเวชปฏบิ ตั ิฯ ๒. ทกุ หนว่ ยงานทพี่ บผู้รับบรกิ ารมีความดนั โลหติ ท่ีวัดใน รพ.สงู กว่า ๑๔๐/๙๐ - ๑๕๙/๙๙ mmHg ให้คาแนะนาให้ วดั ความดนั ที่บา้ น ๓. อสม. สามารถให้คาแนะนาการวัดความดันที่บ้านได้ถูกต้องประเมินจากใบบันทึกการวัดความดันโลหิตที่บ้านที่ ส่งมาทโ่ี รงพยาบาล ๔. เครือข่าย รพสต. ศูนยบ์ ริการสาธารณสขุ ทา HBPM ในผูร้ ับบรกิ ารทีส่ งสัยปว่ ย ควบคมุ โรคไม่ดี ในการขอ คาปรกึ ษากบั แพทย์ ๕. มีแนวทางปฏบิ ตั ิ คมู่ ือ แบบบันทกึ วิธีการใหค้ าแนะนาการวัดความดันท่ีบ้านในเครือขา่ ย ประโยชนท์ ไ่ี ด้รบั : การวัดความดันโลหิตท่ีบ้านด้วยตนเองทาให้ประชาชนกลุ่มเส่ียงได้รับการวินิจฉัยท่ีถูกต้องตามเวชปฏิบัติ กลุ่มป่วย สามารถประเมนิ ติดตามความดันโลหิตด้วยตนเองท่บี ้าน เครอื ขา่ ยมีแนวทางปฏบิ ัตกิ ารวัดความดันโลหติ ทีบ่ ้าน Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๕
ช่อื เรอ่ื ง การรบั รขู้ ้อมูลดา้ นสุขภาพทีม่ คี วามสมั พนั ธ์กบั พฤตกิ รรมสุขภาพของผู้ปว่ ยโรคความดันโลหติ สูงทีม่ ารบั บรกิ าร โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพต้าบลบ้านคลองยาง ตา้ บลคลองยาง อา้ เภอเกาะลนั ตา จงั หวัดกระบ่ี ชอื่ เจา้ ของผลงาน พรเทพ โสพล โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตาบลบ้านคลองยาง อาเภอเกาะลันตา จังหวดั กระบี่ บทนา้ /หลักการและเหตุผล/ที่มาและความสา้ คัญ การศึกษาการรับรู้ข้อมูลด้านสุขภาพที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ที่มา รบั บริการ โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลบ้านคลองยาง ตาบลคลองยาง อาเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา การรับรู้ข้อมูลด้านสุขภาพ และ พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้าน สขุ ภาพกับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ปว่ ยโรคความดันโลหิตสูง ท่ีมารับบริการที่โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตาบลบ้านคลองยาง ตาบลคลองยาง อาเภอเกาะลนั ตา จงั หวดั กระบ่ี กลุม่ ตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จานวน ๒๓๔ คน วิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใช้สถิติเชิงพรรณา รอ้ ยละ ค่าเฉลีย่ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และสถติ ทิ ดสอบไควส์ แควร์ ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตวั อยา่ ง มีรับรู้ว่าภาวะสขุ ภาพตนเองอยู่ในระดบั ดี ๕๗.๓ ระดบั ปานกลาง รอ้ ยละ ๔๑.๕ ได้รับคาแนะนาการดแู ลตนเองจากแพทยแ์ ละ พยาบาลทุกราย รองลงมาคือจากกลุ่มผปู้ ่วย และญาตพิ ่ีน้อง ร้อยละ ๙๕.๖ และ ๗๙.๑ ตามลาดับ คาแนะนาการดูแลตนเอง ที่ยังได้รับน้อยอยู่ คือ การจัดการความเครียด และพฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ ๔๓.๒ และ ๓.๔ ตามลาดับ ไม่พบประวัติการสูบบุหรี่ และด่ืมสุรา ร้อยละ ๘๗.๖ และ ๙๘.๗ ตามลาดับ พฤติกรรมสุขภาพ มีพฤติกรรมการปฏิบัติตน ในการดแู ลตนเองด้านการบริโภคอาหาร ออกกาลงั กาย สูบบุหรี่ และการใชย้ าอย่างสมเหตุสมผล อย่ใู นระดบั ดี ร้อยละ ๕๒.๑ และมกี ารรับรู้ขอ้ มูลสุขภาพ มรี ะดบั การรับรู้ขอ้ มูลสุขภาพในระดบั มาก ร้อยละ ๘๗.๒ พบความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการรบั รขู้ อ้ มลู สขุ ภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิ ท่รี ะดับ ๐.๐๕ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านคลองยาง อาเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ มีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในปี ๒๕๖๔ ทังหมด ๕๗๔ ราย พบประวัติเข้ารับบริการ จานวน ๔๗๙ ราย คิดเป็นร้อยละ ๘๓.๔๔ ควบคุมระดับความดัน โลหติ ไดด้ ี ร้อยละ ๘๑.๐๑ การรับร้ขู ้อมลู ดา้ นสุขภาพทม่ี คี วามสัมพันธก์ ับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหิตสูงทีม่ า รับบริการ โดยนาแนวคิดการรับรู้ข้อมูลสุขภาพ ๔ ด้าน ประยุกต์จากแบบแผนความเช่ือด้านสุขภาพ ของ Becker และ Maiman (Becker M. H. & Maiman L. A., 1975) มาศึกษาเพ่ือให้ได้ข้อมูลสาคัญในการใช้เป็นแนวทางในการพัฒนางาน Service Plan สาขาโรคไมต่ ิดตอ่ เรือรัง ในระดับปฐมภมู ิ ซึ่งจะชว่ ยใหอ้ อกแบบระบบบริการได้ตรงกับสภาพทแ่ี ท้จริงของพืนที่ และปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรมผ้ปู ่วยไดม้ ปี ระสทิ ธิภาพมากขนึ วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพ่ือศึกษาการรับรู้ข้อมูลด้านสุขภาพ และ พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงท่ีมารับบริการ ทีโ่ รงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบลบ้านคลองยาง ตาบลคลองยาง อาเภอเกาะลันตา จงั หวดั กระบ่ี ๒. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ท่ีมารับ บริการท่โี รงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบลบ้านคลองยาง ตาบลคลองยาง อาเภอเกาะลันตา จงั หวดั กระบี่ วธิ ีการด้าเนนิ งาน/วธิ ีการศกึ ษา รูปแบบการศึกษา การวิจัยเชงิ พรรณนา (Descriptive Research) ประชากร คือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทังหมด ในเขตรับผิดชอบของ รพ.สต.บ้านคลองยาง ตาบลคลองยาง อาเภอเกาะลนั ตา จังหวดั กระบี่ ในปี ๒๕๖๔ จานวน ๕๗๔ คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในเขตรับผิดชอบของ รพ.สต.บ้านคลองยาง ตาบลคลองยาง อาเภอ เกาะลันตา จงั หวัดกระบี่ ในปี ๒๕๖๔ จานวน ๒๓๔ คน การสุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) ของกลุ่มตัวอย่างในการคานวณ ใชการ ประมาณขนาดกล่มุ ตัวอยา่ งจากสตู รของทาโร ยามาแน่ ไดขนาดกลมุ่ ตวั อย่าง ๒๓๔ คน การเก็บรวบรวมขอมูล ใช้แบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างตอบด้วยตนเอง ในคนท่ีไม่สามารถอ่านได้ ผู้วิจัยจะทา การอ่านให้ฟังและบันทึกขอ้ มูล Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๖
เครื่องมือวิจยั เป็น แบบสอบถามประกอบด้วย ๓ สวน คือ ๑) ข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส อาชพี รายได้ สถานะสขุ ภาพ ๒) การรับรู้ข้อมูลสุขภาพ ประกอบดว้ ย การรับรู้โอกาสเสย่ี งต่อการเกิดโรคและ ภาวะแทรกซ้อน,การรับรู้ถึงความรุนแรงของการเป็นโรค,การรับรู้ถึงประโยชน์ของการรักษาและป้องกันโรค,การรับรู้ถึง อุปสรรคในการปฏิบัติตน และ ๓) พฤติกรรมสุขภาพ ประกอบด้วย การรับประทานอาหาร, การออกกาลังกาย, การจัดการ อารมณ์, การสบู บหุ รแี่ ละดม่ื แอลกอฮอล์ เคร่ืองมือทังฉบับผ่านการหาความเท่ียงตรงด้านเนือหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และตรวจสอบหาค่าความเช่ือม่ัน แบบสอบถามไดค่าสัมประสิทธิอัลฟาครอนบาค ของการรับรูสุขภาพผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ๐.๗๖ พฤติกรรมสุขภาพ ผู้ปว่ ยโรคความดันโลหติ สูง ไดคาความเชือ่ ม่นั ของแบบสอบถาม ๐.๘ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู วิเคราะห์ขอ้ มลู รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถติ ิทดสอบไคว์- สแควร์ ผลการด้าเนนิ งาน/ผลการศกึ ษา กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิงและเพศชายใกล้เคียงกัน (หญิง ร้อยละ ๕๕.๑ ชาย ร้อยละ ๔๔.๙) อายุ ๖๐ ปีขึนไป รอ้ ยละ ๘๖.๘ จบการศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ ๖๖.๗ สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ ๘๐.๓ อาชีพทาสวน ร้อยละ ๖๗.๕ รายได้ ๕,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ บาท ร้อยละ ๔๙.๖ ระยะเวลาป่วย ๑ – ๕ ปี ร้อยละ ๗๙.๑ เกือบทังหมดไม่พบประวัติ ภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ ๙๘.๗ ไม่พบโรคประจาตัวอ่ืนๆ ร้อยละ ๙๘.๗ และประวัติพันธุกรรมป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรือรัง ร้อยละ ๙๖.๒ รับรู้ว่าภาวะสุขภาพตนเองอยู่ในระดับดี ๕๗.๓ ระดบั ปานกลาง ร้อยละ ๔๑.๕ ได้รับคาแนะนาการดูแลตนเอง จากแพทย์และพยาบาลทุกราย รองลงมาคือจากกลุ่มผู้ป่วย และญาตพิ ี่น้อง ร้อยละ ๙๕.๖ และ ๗๙.๑ ตามลาดับ คาแนะนา การดูแลตนเองท่ียังได้รบั นอ้ ยอยู่ คือ การจัดการความเครียด และพฤติกรรมป้องกนั ภาวะแทรกซ้อน รอ้ ยละ ๔๓.๒ และ ๓.๔ ตามลาดับ ไม่พบประวัติการสูบบุหร่ี และดื่มสุรา ร้อยละ ๘๗.๖ และ ๙๘.๗ ตามลาดับ พฤติกรรมสุขภาพ มีพฤติกรรมการ ปฏิบัติตนในการดูแลตนเองด้านการบริโภคอาหาร ออกกาลังกาย สูบบุหร่ี และการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล อยู่ในระดับดี รอ้ ยละ ๕๒.๑ และมกี ารรับร้ขู อ้ มูลสขุ ภาพ มีระดบั การรับรู้ขอ้ มูลสุขภาพในระดบั มาก ร้อยละ ๘๗.๒ พบความสัมพันธ์ระหว่าง การรับรู้ข้อมูลสขุ ภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพอย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิ ทีร่ ะดับ ๐.๐๕ อภิปรายผล พฤตกิ รรมสุขภาพมีความสมั พันธก์ บั การรับรขู้ ้อมูลสขุ ภาพของผปู้ ่วยโรคความดนั โลหติ สูง สอดคล้องกับผลการศกึ ษา ของจิราวรรณ เจนจบ และสุพัฒนา คาสอน (๒๕๕๘) ท่ีพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมความดันโลหิต ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ประกอบด้วย ทัศนคติเกี่ยวกับโรคความดันโลหติ การรับรู้อุปสรรค ของการควบคุมความดันโลหติ การไดร้ ับแรงสนับสนุนทางสังคม และสอดคล้องกบั การศึกษาของ ดวงใจ เปล่ียนบารงุ (๒๕๕๙) ทพ่ี บว่าการรับรู้สุขภาพด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพ ด้านการควบคุม นาหนกั การจดั การกับความเครียด และพฤตกิ รรมสุขภาพโดยรวม สรปุ และข้อเสนอแนะ ทีมสุขภาพควรมกี ารจัดกจิ กรรมการรกั ษาพยาบาลเชิงรุกเนนการป้องกนั เฝ้าระวังการเกิดโรค สร้างชอ่ งทางการรับรู้ ข้อมูลด้านสุขภาพที่เหมาะสม จากการศึกษาพบว่านอกจากบุคลากรทางการแพทย์แล้ว กลุ่มผู้ป่วยด้วยกันก็เป็นแหล่งข้อมูล ในการเรียนรู้ที่สาคัญ จึงควรจัดรูปแบบการสอนที่ให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ร่วมกับการประเมินระดับความรูความเขาใจ ของผู้รบั บริการต่อการเกิดโรค และติดตามประเมินระดับความสามารถในการดูแลตนเอง การปรับเปล่ียนพฤติกรรมการดูแล ตนเอง พฤตกิ รรมสขุ ภาพของผู้ปว่ ยโรคความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมเส่ียง ให้ลด โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนท่ีจะนาไปสู่การเจ็บปว่ ยทม่ี ากขึน และต้องใช้การรักษาพยาบาลในระบบบรกิ ารสุขภาพทีซ่ ับซ้อนขึน ผู้ป่วยก็จะมคี ุณภาพชีวติ ท่ีลดลง ผลจากการวิจัยนีจะสามารถนาไปใช้เป็นข้อมูลพืนฐานเพ่ือใชใ้ นการวิเคราะห์และพัฒนางาน ดูแลสขุ ภาพผ้ปู ว่ ยโรคความดนั โลหิตสูงใหม้ คี ณุ ภาพมากย่ิงขึน Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๗
ช่ือเรอื่ ง Sustainable Of Organ Donation MNST Hospital in Covid-19 Situation ชอ่ื เจ้าของผลงาน พว.สมจติ ร์ ยอดระบา และ พว. สุปาณี หิรญั รตั น์ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช บทนา้ /หลักการและเหตผุ ล/ที่มาและความส้าคญั เนอ่ื งดว้ ยในสถานการณ์ปจั จุบัน มกี ารระบาดของไวรัส Covid 19 ในระลอก ๒ ตังแต่ เดือน ธันวาคม ๒๕๖๓ จนถึง ปัจจุบัน ส่งผลกระทบแก่ประเทศไทยในทุกด้าน ระบบบริการสุขภาพ (service plan) บางสาขาได้รับผลกระทบต่อโครงการ ต่างๆ ที่จะเข้าถึงประชาชน สาขาบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะเป็นสาขาหน่ึงที่ ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังจะเห็นได้จาก สถิติ ผู้แสดงความจานงบริจาคอวัยวะปี ๒๕๖๔ มีจานวน ๙๓,๗๐๙ ราย จานวนผู้บริจาคอวัยวะ จานวน ๑๑๙ ราย ซ่ึงพบว่ามี จานวนลดลงจากปี ๒๕๖๓ ท่ีมีผู้แสดงความจานงบริจาคอวัยวะ ๑๒๖,๔๔๐ ราย ผู้บริจาคอวัยวะ จานวน ๓๑๕ ราย (ท่ีมา ข้อมูลศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ณ กรกฎาคม ๒๕๖๔) ในส่วนของศูนย์รับบริจาคอวัยวะโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช มจี านวนผูแ้ สดงความจานงบรจิ าคอวัยวะ ที่ลดลง จากปีกอ่ นหนา้ นเี ชน่ เดยี วกนั เม่ือศึกษาถึงสาเหตุ พบว่า การได้มาซึ่งผู้บริจาคอวัยวะสมองตาย และผู้แสดงความจานงบริจาคอวัยวะ มีข้อจากัด มากขนึ ในสถานการณร์ ะบาดของโรค เช่น การออกคน้ หาผู้เขา้ ข่ายสมองตาย ผลตรวจเชือ การเดนิ ทางของทมี ผ่าตัด การขนส่ง อวัยวะ การออกประชาสมั พันธ์ตามแหลง่ ชมุ ชน ภาระงานของบุคลากรที่รบั ผิดชอบ และ การหยุดชะงกั ของโครงการที่วางแผน งานไว้ แต่เมื่อดูตัวเลขผู้ยังรออวัยวะ ยังมีจานวนเพิ่มขึนเร่ือย ๆ ดังนันโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชจึงตระหนักถึง ปัญหาการขาดแคลนอวัยวะ ผลกระทบจากโรคระบาดครังนี จึงได้ออกแบบวิธีดาเนินงาน ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ปัจจุบัน หาวิธีจัดการปัญหาเพื่อให้ได้มาซ่ึงอวัยวะให้ตอบสนองกับผู้รอคอย เพราะเราเช่ื อว่า ตราบใดที่ยังมี ผู้รอคอยชีวิตใหม่ งานบริจาคอวัยวะ ยังคงต้องดาเนินต่อไป และ ยังต้องมีการพัฒนาระบบบริจาคอวัยวะอย่างต่อเนื่องและ ยั่งยืนสืบไป วตั ถุประสงค์ ๑. มีจานวนผู้แสดงความจานงบริจาคอวัยวะ(Donor card) และผู้บริจาคอวัยวะ/ดวงตา (Donor) ไม่น้อยกว่า ๕๐ เปอรเ์ ซ็นต์ ของปีท่ีผา่ นมา ๒. เพ่อื ให้การดาเนินงานบริจาคอวัยวะเป็นไปอยา่ งต่อเนือ่ ง และย่ังยืน วธิ กี ารด้าเนนิ งาน ๑. วิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึน และผลกระทบที่ได้รับจากสถานการณ์ระบาดของโรคไวรัส Covid ตอ่ การบริจาคอวยั วะ ๒. หากลวิธีในการแก้ปัญหาจากสาเหตุที่ค้นพบ โดยใช้ Proactive Program in MNST Organ Donation (Best Practice,๒๕๖๒) และ Model in ๒๐๒๐ Partnership(Best Practice ,๒๕๖๓) มาปรับและประยุกต์ใช้บูรณาการ รว่ มกนั ออกแบบวิธกี ารทางานโดยใช้แนวคิดการพัฒนาท่ียงั่ ยนื (Sustainable development) ดังนี วธิ ีทางานเดิม วธิ ีทางานใหม่ P.Select Donor P.Select Donor -Daily Round ward By TC -Telephone round -Family Approach -Alert case By Nurse ward , Line group -Key Person approach/vdo conference P.Donor management P.Donor management -Guideline from Thai red cross -Checklist screen Covid from MNST -Standard Doctor order -Universal precaution Organ Transportation -มองหาเครือขา่ ยความร่วมมอื ในการขนส่งอวัยวะ การ เดินทางทมี ผ่าตดั จากภาคสาธารณะ เครือขา่ ยเอกชน P.Public Relation P.Public Relation Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๘
-ออกหนว่ ยประชาสัมพันธ/์ หนว่ ยรับบรจิ าคในชุมชน -Social media -ประชาชนเดนิ ทางมาแสดงความจานงบรจิ าคอวยั วะท่ี -Direct phone /message โรงพยาบาล -สง่ แบบฟอรม์ ให้กรอกทางไปรษณีย์ -ความร่วมมือจากภาคเอกชน ผลการดา้ เนนิ การ ผลดาเนินงาน ปี ๖๒ (ราย) ปี ๖๓ (ราย) ปี ๖๔ (เดอื น(ราย) ๑.จานวนDonor card ๓๓๖ ๒๑๒ ๑๙๓ ๒.จานวนOrgan donor ๓ ๐ ๓ ๓.จานวนEye donor ๕ ๔ ๖ อภิปราย จากความเชื่อที่ว่า ตราบใดที่ยังมีผู้รอคอยชีวิตใหม่ งานบริจาคอวัยวะยังคงต้องดาเนินต่อไปทาให้นามาสู่การบูรณาการ กลวธิ ีทางานแบบใหม่ เพอ่ื ตอบสนองต่อสถานการณ์ในปัจจุบันท่ีมีการระบาดของโรคไวรัส Covid19 เราจึงเกดิ การนาแนวคิด การพัฒนาที่ย่ังยืน (Sustainable development) มาผสมผสานร่วมกับวิธีการทางานแบบเดิม มาแก้ปัญหาการได้มาซ่ึง ผู้บริจาคอวัยวะ/ผู้แสดงความจานงบริจาคอวัยวะ อันเกิดขึนจากการระบาดของโรค ปัญหาหลักที่พบได้แก่ การจากัดในการ ค้นหา การดูแลDonor and family การบริหารจัดการระบบขนส่งอวัยวะและทีมผ่าตัด ดังนันการหาทรัพยากร แหล่งความ ร่วมมือ การขับเคล่ือนจากทุกภาคส่วน ที่จะฝ่าอุปสรรค รวมทังการมีมุมมองในระยะยาว มีการนาเสนอ เหตุการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดขึนในการบริจาคอวัยวะอย่างสม่าเสมอ ตามแนวคิดห่วงโซ่ตอบกลับ(Feed back loop)เป็นวิธีท่ีสามารถนามาใช้แล้ว เกดิ ผลลพั ธ์ ผลการดาเนินงานในปี ๒๕๖๔ พบว่า เม่ือนาแนวคิดการพัฒนาท่ีย่ังยืน (Sustainable development) มาประยุกต์ใช้ จานวนผู้แสดงความจานงบริจาคอวัยวะ(Donor card) ยังคงมีจานวนมากกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ของปีที่ผ่านมา จานวนผ้บู ริจาคอวยั วะและดวงตา (Organ/eye donor) มจี านวนเพ่ิมขนึ กว่าปกี อ่ นหน้าอย่างเห็นไดช้ ัด สรุปและขอ้ เสนอแนะ งานรบั บริจาคอวยั วะเป็นงานท่ีต้องทาภายใต้ความเช่ือและทศั นคติของประชาชน ตัวเลขอาจชีใหเ้ ห็นผลสมั ฤทธิ์ของ งานที่ทา แตเ่ หนือส่ิงอื่นใด ในช่วงภาวะวกิ ฤตินียงั ทาให้เราเห็นวา่ เร่ืองราวการทาบุญครังสุดท้ายยังเป็นสิ่งทีค่ นไทยอยากรับรู้ และสัมผัส ยังคงชื่นชม มีทัศนคติที่ดีขึน มีความละเอียดอ่อนต่อเรื่องการทาบุญครังสุดท้ายด้วยการบริจาคอวัยวะ รวมทัง คนไทยยังอยากเห็นเร่ืองราวเหล่านีอย่างต่อเนื่อง ส่ิงนีอาจเป็นส่ิงท่ีบ่งบอกได้ว่า ถ้าเรามีการพัฒนาระบบบริจาคอวัยวะให้ ดาเนินไดใ้ นทุกสถานการณ์ งานบรจิ าคอวยั วะจะยงั คงอยยู่ ่งั ยืนสบื ไปอย่างแน่นอน Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๙
ชือ่ เรื่อง “ เพราะเรา…ใสใ่ จ” (การบริการจิตเวชยคุ โควิด-19) ชอ่ื เจา้ ของผลงาน พว.ปลดา เหมโลหะ และบุคลากรคลนิ ิกเฉพาะทาง โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ บทนา้ /หลักการและเหตุผล/ทมี่ าและคามส้าคญั คลนิ ิกเฉพาะทาง โรงพยาบาลสวนสราญรมยใ์ ห้บริการผู้ป่วยกลุม่ โรคจติ เภท โรคซมึ เศรา้ โรคจติ จากสารเสพติด และ โรคสมองเส่ือมท่ีมีปญั หาพฤติกรรมและจิตใจ ซ่ึงเปน็ กล่มุ ๔ โรคหลกั ของโรงพยาบาล การใหบ้ รกิ ารมขี ันตอนปฏบิ ตั ิซักประวัติ ให้การบาบัดทางจิตสังคม พบแพทย์และรับยา จึงทาให้เกิดความล่าช้า เกิดความแออัดของการให้บริการและเสี่ยงต่อ การแพร่กระจายเชือได้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 การปรับระบบบริการ ให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชือ จึงไดม้ ีการพัฒนาระบบให้บรกิ ารจดั ส่งยาทางไปรษณยี ์ เพ่ือลดความ แออัดในการรับบริการ วตั ถุประสงค์ ๑. เพ่ือพัฒนาระบบการให้บริการรับยาทางไปรษณีย์สาหรับผู้ป่วยกลุ่มโรคหลักของโรงพยาบาลในสถานการณ์ การแพรร่ ะบาดของเชอื ไวรสั โคโรนาสายพันธุใ์ หม่ 2019 ๒. เพือ่ ศกึ ษาผลของระบบการจัดส่งยาทาง ไปรษณีย์ ๓. เพื่อศกึ ษาความพงึ พอใจของผูร้ บั บรกิ ารท่รี บั ยาทางไปรษณยี ์ วิธกี ารดา้ เนินงาน/วิธกี ารศกึ ษา การศกึ ษาครงั นี ประกอบดว้ ย ๔ ขันตอน ได้แก่ ๑) การศึกษาวิเคราะหส์ ภาพ ปัญหา และประเมนิ ความตอ้ งการของ ผู้รับบริการ ทาการรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ๒) ประชุมทีมที่เกี่ยวข้องเพอื่ ออกแบบและพัฒนาระบบการจดั สง่ ยาทาง ไปรษณีย์ ๓) การทดลองใช้รูปแบบระบบการจัดส่งยาทางไปรษณีย์ที่พัฒนาขึน ๔) การประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบระบบ การจัดส่งยาทางไปรษณีย์ให้ เหมาะสมและพร้อมนาไปใช้ต่อไป โดยดาเนินการศึกษาระหว่างวันท่ี ๑ พฤษภาคม – วันที่ ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔ ผลการดา้ เนินงาน ให้บริการผู้ป่วยโดยมีการโทรศัพท์สัมภาษณ์ ก่อนถึงวันนัด ๒ สัปดาห์ ในรอบ ๖ เดือน จานวน ๖,๕๖๐ ราย ผู้ป่วย ขอรับยาทางไปรษณีย์ จานวน ๕,๕๗๐ ราย คดิ เป็นรอ้ ยละ ๘๔.๙ เปน็ ผู้ปว่ ยโรคจิตเภท มากท่สี ุด ๒,๒๖๘ ราย คดิ เป็นร้อยละ ๔๐.๗ รองลงมาโรคซึมเศร้า ๑,๕๓๑ ราย (ร้อยละ๒๗.๔) โรคจิตจากสารเสพติด ๑,๒๗๗ ราย (ร้อยละ๒๒.๙) และโรคสมอง เสื่อมท่ีมปี ัญหาพฤติกรรม/จิตใจ ๖๙๔ ราย (ร้อยละ๑๒) เป็นผู้ป่วยท่ีรายงานแพทย์ ๖๓๐ ราย เนื่องมาจากมอี าการข้างเคียง จากยา มีอาการนอนไม่หลับตอ้ งการปรับการรักษา ให้บรกิ ารรับยาบนรถ (Drive Thru) ๗๗ ราย เป็นผู้ป่วยท่ีมีความเสี่ยงสูง ๙๔ ราย และให้บริการตรวจรักษาจิตเวชทางไกล (Telepsychiatry) ๕๖ ราย ผู้รับบริการมีความพึงพอใจต่อการส่งยาทาง ไปรษณยี ์ในระดับมากท่ีสุด รอ้ ยละ ๙๖.๙ อภิปรายผล ผ้ปู ว่ ยจิตเวช มคี วามจาเป็นต้องรับประทานยาตอ่ เนอ่ื งและมารบั การรักษาตามนดั เพื่อป้องกนั การป่วยซา การกาเรบิ ของอาการทางจิต ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชือไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019 ผู้ป่วยจึงเกิดความวิตกกังวลกลัว การติดเชือ ผู้ป่วยบางรายอยู่ในพืนที่ห่างไกลโรงพยาบาลมีปัญหายากลาบากในการเดินทางมารับบริการ การพัฒนาระบบ การใหบ้ รกิ ารรบั ยาทางไปรษณีย์จึงเป็นการให้บรกิ ารที่ผูร้ ับบรกิ ารมีความพงึ พอใจ (ร้อยละ ๙๖.๖) จากคาพูดท่ีว่า “รู้สึกคลาย กังวลกับการเดินทางลดความเส่ียงจากการติดเชือ” “รู้สึกอบอุ่นใจที่มีการโทรศัพท์มาให้คาปรึกษาช่วยคลายเครียดได้” “ลดคา่ ใชจ้ ่ายในการเดินทางลงครงั ละประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ บาท” “ขอบคณุ ท่ที างโรงพยาบาลใส่ใจ ห่วงใยผู้รับบรกิ าร บง่ บอก ถงึ คุณภาพบรกิ ารและการดูแลผูป้ ว่ ยในยุค New Normal” ดังนนั การพัฒนาระบบการรับยาทางไปรษณยี จ์ ึงเป็นการใหบ้ ริการ Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๐
ที่เอือให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงบริการ ได้รับการบริการอย่างต่อเนื่อง เกิดความพึงพอใจ และยังช่วยลดความแออัด เว้นระยะห่าง ลดการแพร่กระจายเชอื ได้ สรปุ และขอ้ เสนอแนะ การพัฒนาระบบจัดส่งยาทางไปรษณีย์ของคลินิกเฉพาะทาง โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ผลการดาเนินงานพบว่า ผรู้ ับบริการมีความพึงพอใจ ชว่ ยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และช่วยลดความแออัด เวน้ ระยะห่าง ลดการแพร่กระจายเชือได้ จึงควรมีการพฒั นาระบบการรบั ยาทางไปรษณยี อ์ ย่างตอ่ เนื่อง Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๑
เรอ่ื ง การพัฒนางานวางแผนจ้าหน่ายผปู้ ่วยโรคระบบประสาทและสมองท่มี ีภาวะกลนื ลา้ บาก ชือ่ เจ้าของผลงาน พว.บงั อร หนบู รรจง โรงพยาบาลชมุ พรเขตรอดุ มศกั ดิ์ บทนา้ /หลักการและเหตุผล/ท่ีมาและความส้าคัญ ผูป้ ่วยโรคทางระบบประสาทและสมองทรี่ อดชวี ิตจากภาวะเฉียบพลันและวิกฤต มกั พบวา่ มกี ารกลืนลาบากถงึ รอ้ ยละ ๖๕-๘๔ จาเป็นท่ีจะต้องใส่สายให้อาหารปั่น ขาดคุณภาพชีวิตที่ปกติสุขและส่งผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สาคัญคือ ปอดตดิ เชือจากการสาลักอาหาร ทุพโภชนาการ ขาดนา ในโรงพยาบาลชุมพรเขตรอดุ มศักด์ิพบวา่ มผี ู้ปว่ ยภาวะกลนื ลาบาก กลับมารักษาซาด้วยปอดติดเชือจากการสาลักในปีงบประมาณ ๒๕๖๓ จานวน ๑๙๘ ราย มีค่าใช้จ่ายในการรักษารวม ๑๓,๐๗๙,๖๖๐.๒๐ บาท โดยการรักษาเฉลี่ยต่อรายในทุกกลุ่มอายุ ๖๖,๐๕๘.๘๙ บาทและยังพบว่าในผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะ กลืนลาบากมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครังสูงขึนถึงรายละ ๙๐,๗๒๗.๐๑ บาท ในการดาเนินงานดูแลผู้ป่วยโรคระบบประสาทและ สมองของโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักด์ิและเครือข่ายที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาในด้านการดูแลผู้ป่วยในระยะเฉียบพลัน แต่ยังขาดการพัฒนาการฟ้ืนฟูผู้ป่วยโดยเฉพาะด้านการกลืนอาหาร อย่างจริงจังและต่อเน่ือง จึงได้ดาเนินการพัฒนางาน วางแผนจาหน่ายผู้ป่วยโรคระบบประสาทและสมองท่ีมีภาวะกลืนลาบากขึน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการกลืนให้ ผ้ปู ่วยอยา่ งปลอดภยั และช่วยให้ผ้ปู ่วยมีคุณภาพชวี ติ ท่ีดีต่อไป วัตถุประสงค์ ๑. เพ่ือลดอัตราการเกดิ โรคปอดตดิ เชือจากการสาลกั ๒. เพื่อพฒั นาความสามารถด้านการกลืนของผ้ปู ว่ ย วธิ ีการดา้ เนินงาน ด้วยการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์โดยใช้แนวคิดของ Weiss และ Piacentine เก่ียวกับการเตรียมความพร้อมในการ จาหน่ายผู้ป่วยร่วมกับงานวิจัยของ เอืองขวัญ สีต๊ะสาร เร่ืองการพัฒนาแนวปฏิบัติทางคลินิกสาหรับการจัดการอาการกลืน ลาบาก อีกทังประยุกต์ใช้แนวคิดความเชื่อด้านสุขภาพของ Rosenstock และ การสร้างEmpowerment มาใช้พัฒนางาน ดาเนนิ การพฒั นาด้วยวงล้อ P-D-C-A ดงั นี วงล้อที่๑ : เดอื นตลุ าคม – ธนั วาคม ๒๕๖๓ Plan :วิเคราะห์ปัญหาท่ีเกิดขึนร่วมกันของแพทย์อายุรกรรมประสาทและศัลยกรรมประสาท พยาบาล case manager โรคหลอดเลือดสมอง พยาบาลศูนย์วางแผนจาหน่ายผู้ป่วย กลุ่มงานเวชกรรมสังคม นักกิจกรรมบาบัด พบว่าผู้ท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั การดูแลผู้ป่วยทังในโรงพยาบาลและในชุมชนยังขาดความเขา้ ใจในการดแู ลผปู้ ว่ ยเรือ่ งการกลืนลาบาก Do: ได้จดั ตังศนู ย์การเรียนรู้ขึนในโรงพยาบาล มกี ารจัดกจิ กรรมให้ความรู้ สาธิต ฝกึ ปฏบิ ัติการดูแลผปู้ ว่ ยกลืนลาบาก ใหก้ ับพยาบาลและผสู้ นใจกลมุ่ งานศลั ยกรรม กลุ่มงานอายรุ กรรม พยาบาลชุมชน รวม ๘ รุ่น ประสานงาน อบจ.ชมุ พร เพื่อขอ งบประมาณการอบรม อสม.๒ รุ่น รวมถงึ สร้างความเขา้ ใจในPCT.อายุรกรรม PCT.ศัลยกรรมประสาท กลุ่มงานการพยาบาล ชุมชน เพื่อหาข้อตกลงในการดาเนินงานต่อเนื่องร่วมกันจากโรงพยาบาลถึงชุมชนหลังจากผู้ป่วยจาหน่ายออกจากโรงพยาบาล เพ่ือไปอยู่ที่บ้านหรือส่งกลับไป Intermediate Care ต่อท่ี โรงพยาบาลชุมชน สร้างแนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยโดยนา ผลการวิจัยมาประยุกต์ใช้ในบริบทของ รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จัดตังline กลุ่มสหวิชาชีพโดยมีแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู เปน็ ที่ปรกึ ษา เพ่ือใหก้ ลมุ่ สหวชิ าชพี มีส่วนรว่ มและร่วมกันดแู ลและแลกเปล่ียนเรียนรกู้ ารดาเนนิ งาน Check: ผลการดาเนินงาน ภายหลังผู้ป่วยจาหน่ายกลับบ้าน ๓ เดือนพบว่า การเกิดปอดติดเชือจากการสาลัก พบร้อยละ ๘.๙๔ ผู้ป่วยมีความสามารถด้านการกลืน ≥ level ๔ ( สามารถถอดสายให้อาหารและฝึกรับประทานอาหารฝึก กลนื ทางปากดว้ ยอาหารอ่อนเปน็ เนือเดยี วกัน) รอ้ ยละ ๖๑.๕๔ Action: พบโอกาสพัฒนาในเร่ืองของเทคนิคการให้ความรู้ทาให้ผู้ดูแลผู้ป่วย (care giver) ขาดความเข้าใจและมี ความเครยี ดในการดูแลผปู้ ่วยตอ่ เนอื่ งในภาวะกลนื ลาบาก วงล้อท่ี ๒ : เดือน ม.ค.-มี.ค.๒๕๖๔ Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๒
Plan: ควรมีการดาเนินการร่วมกันของสหวิชาชีพที่เก่ียวข้อง มีการจัดอบรมและฝึกปฏิบัติผู้ที่เก่ียวข้องถึงการให้ ความรู้ care giver โดยมีเทคนิคต่างๆรวมถึงมีแนวทางการติดตามเพื่อให้การดูแลต่อเนื่อง เพราะว่าบุคคลที่มีความสาคัญใน การดูแลตอ่ เน่ืองเมอื่ กลับไปอย่ทู ีบ่ ้านคอื care giver เพราะผปู้ ่วยเหลา่ นียงั ชว่ ยเหลือตัวเองไมไ่ ด้ Do: ให้นักกิจกรรมบาบัดมีส่วนร่วมในการสอนและฝึกปฏิบัตผิ ู้ดูแลผู้ป่วยทังด้านการฝึกกลนื การเตรียมความพร้อม กล้ามเนือและอวัยวะท่ีเก่ียวข้องกับการกลืน พร้อมทังบันทึกข้อมูลส่งต่อเพ่ือให้พยาบาลเจ้าของไข้ได้ฝึกปฏิบัติ care giver ต่อเนื่องทุกวัน แต่งตังคณะกรรมการดูแลผู้ป่วยกลืนลาบากประจาหอผู้ป่วยเพื่อร่วมนิเทศการเตรียมความพร้อมผู้ดูแลผู้ป่วย กอ่ นจาหนา่ ย ใน ๔ องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ ๑) ความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ ๒) ความพร้อมด้านความรูเ้ ม่ือกลับไปอย่ทู ี่บา้ น ๓) ความพร้อมในการปรับตัวและการแก้ปัญหา ๔) การได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีอยู่ในชุมชน จัดอบรมให้ความรู้และ ฝึกปฏิบตั ิพยาบาลทร่ี บั ผิดชอบงานวางแผนจาหน่ายผูป้ ว่ ย (Discharge Planning) ประจาหอผูป้ ว่ ย รว่ มกบั พยาบาลชุมชนเรื่อง การให้คาปรึกษาทางจิตวิทยาเบืองต้น เพ่ือนามาใช้ในการสร้าง Empowerment ให้กับ care giver และประยุกต์ใช้แนวคิด ความเช่ือด้านสขุ ภาพมาร่วมในการวางแผนจาหน่ายผู้ปว่ ยเฉพาะราย ให้พยาบาลประจาการในหอผู้ปว่ ยและพยาบาลในศนู ย์ วางแผนจาหน่ายผ้ปู ่วยรว่ มกนั โทรศพั ทเ์ ยยี่ มผปู้ ว่ ยภายหลงั ผู้ป่วยจาหน่ายออกจากโรงพยาบาล ใน 1สัปดาห์และ2สัปดาห์และ ส่งต่อให้พยาบาลชุมชนเยี่ยมบ้าน เมื่อผู้ป่วยสามารถฝึกกลืนอาหารระดับท่ี ๑ และระดับท่ี ๒ ทางปากได้ ให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วย ประสานนักโภชนาการร่วมดูแลค่าพลังงานในอาหารฝึกกลืนทางปากและสอนcare giver เร่ืองการทาอาหารฝึกกลืน จัดทาแบบบันทึก พลังงานจากอาหารที่ใช้ฝึกกลืน มีการคืนข้อมูลผลการดาเนินงานแก่หัวหน้าหอผู้ป่วยและหัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วย อายรุ กรรมและศัลยกรรม เพ่ือรว่ มกนั พฒั นา Check : ผลการดาเนินงาน ภายหลังผู้ป่วยจาหน่ายกลับบ้าน ๓ เดือนพบว่า การเกิดปอดติดเชือจากการสาลัก พบร้อยละ ๗.๔๕ ผู้ป่วยมคี วามสามารถด้านการกลืน ≥ level ๔ ร้อยละ ๖๙.๒๓ แมว้ า่ ขอ้ มลู ในวงล้อที่ ๒ คา่ เฉล่ีย ๓ เดือน จะมแี นวโน้มทีด่ ขี นึ แต่เม่อื ดูผลลัพธร์ ายเดือน พบว่า ความสามารถดา้ นการกลนื ≥ level ๔ ของเดือน มีนาคม ลดลง Action: พบโอกาสพัฒนาในเร่ืองการดูแลต่อเน่ืองจากโรงพยาบาลสู่ชุมชนและภาวการณ์วางแผนจาหน่ายผู้ป่วย ในสถานการณ์โควิด 19 ที่งดและจากัดญาติเยยี่ ม อีกทังมีการยบุ รวมหอผู้ป่วยต่างๆมาไว้ดว้ ยกันเพื่อให้มีพยาบาลไปร่วมดูแล ผู้ป่วยโควิด 19 ท่ีเปิดหอผู้ป่วยให้บริการเพิ่มขึน ทาให้เพ่ิมภาระงานให้กับพยาบาลมากขึน รวมถึงความเส่ียงต่อการติดเชือ โควิด 19 ของเจ้าหน้าท่ีเยย่ี มบ้านในชุมชน นอกจากนีแล้วจากการที่มีการระบาดของโรคโควดิ 19 มากขึน พยาบาลชุมชนต้อง มาร่วมรับผิดชอบดูแลผู้ปว่ ยโควิดรวมถงึ การสอบสวนโรคในชุมชนทาใหผ้ ู้ปว่ ยขาดการติดตามเย่ียมบา้ นตอ่ เนอ่ื ง วงล้อที่ ๓ : เดือน เม.ย.-ม.ิ ย.๒๕๖๔ Plan: เตรียมส่ืออิเลค็ ทรอนิค ในการสอนหรือการฝึกทักษะ ให้กบั care giver เพ่อื ใหน้ าไปใช้ในการดูแลผู้ป่วย และควรจัดให้ มีระบบการขอคาปรกึ ษาจากเจ้าหน้าที่ ทางโทรศัพท์ เพื่อไมใ่ ห้ผ้ปู ว่ ยถูกละเลยและขาดการดแู ลตอ่ เน่ืองแมอ้ ยู่ในชว่ งวิกฤตโควิด 19 Do: ประสานการดูแลต่อเนื่องกับชุมชนโดยใช้สื่ออิเล็คทรอนิคในการส่งต่อและตอบกลับข้อมูลสร้างนวตกรรม ส่งเสริมการกลนื โดยใชห้ นุ่ ตุก๊ ตาสาหรับฝกึ ใหก้ บั care giver สรา้ ง QR Codeใชส้ อนการดแู ลผู้ปว่ ยและ VDO ชว่ ยสอน เพ่ือให้ เจ้าหน้าท่ีใช้สื่อในการสอน care giver ทาง Line และcare giver สามารถเปิดดูสื่อต่างๆท่ีสร้างขึนในโทรศัพท์มือถือได้ ตลอดเวลา มีช่องทางให้คาปรึกษาทางlineส่วนตัวสาหรับ care giver และพยาบาลชุมชน โดยปรึกษามาท่ีศูนย์วางแผน จาหน่ายผปู้ ่วยโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศกั ดิ์ โดยพยาบาลจากศูนย์วางแผนจาหน่ายผปู้ ่วยช่วยในการรบั ปรกึ ษาปัญหาจาก care giver และรับประสานงานสหวิชาชีพให้ นอกจากนมี ีการฝึก care giver ทาอาหารฝึกกลืนระดับต่างๆทงั การสอนปกติที่ ศนู ย์การเรียนรูแ้ ละทางlineตามบริบทของผู้ดูแลผู้ปว่ ยแตล่ ะราย Check: ผลการดาเนินงาน ภายหลังผู้ป่วยจาหน่ายกลับบ้าน 3 เดือนพบว่า การเกิดปอดติดเชือจากการสาลัก พบร้อยละ ๓.๔๒ ผ้ปู ่วยมีความสามารถดา้ นการกลนื ≥ level ๔ รอ้ ยละ ๖๗.๔๓ ผลการดา้ เนินงาน หลงั จากผ้ปู ่วยจาหน่ายกลับบา้ น ๓ เดือนพบว่า ๑. การเกดิ ปอดตดิ เชอื จากการสาลกั พบรอ้ ยละ ๘.๙๔ , ๗.๔๕ , ๓.๔๒ ตามลาดับ ๒. ผ้ปู ว่ ยมีความสามารถด้านการกลนื ≥ level ๔ รอ้ ยละ ๖๑.๕๔ , ๖๙.๒๓, ๖๗.๔๓ ตามลาดับ Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๓
อภปิ รายผล การดาเนินงานดังกล่าวสามารถนาไปพัฒนาเครือข่าย เพ่ือเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยและเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแล ผปู้ ว่ ยต่อไป ปัจจยั แหง่ ความสาเร็จในการพัฒนาในเร่ืองนี คือ มกี ารสร้างและพฒั นาทีมใหด้ าเนินงานไปด้วยกันในบริบทท่เี ป็นจริงตาม บทบาทหน้าที่ในแต่ละวชิ าชพี ด้วยการนาหลกั ฐานเชงิ ประจักษม์ าใชใ้ นการพัฒนา โดยมผี ้ปู ่วยเป็นศูนย์กลาง สรปุ และข้อเสนอแนะ ๑.สาหรับโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ ควรมีการจัดทาวิจัยและพัฒนา (R & D) และมีทีมสหวิชาชีพร่วมในการ วิจยั ด้วยกนั ๒.สาหรับจังหวัดชุมพร สาธาณสุขจังหวัดชุมพร ควรมีการจัดทาแนวทางร่วมกันและสร้างตัวชีวัดการดาเนินงานใน เรือ่ งนรี ว่ มกับโรงพยาบาลชมุ พรเขตรอดุ มศกั ด์ิเพื่อใหโ้ รงพยาบาลชมุ ชนนาไปดาเนินงานตอ่ เน่อื งในการดูแลผู้ป่วย ๓.สาหรับกระทรวงสาธารณสุข ควรมีตัวชีวัดเร่ืองการฟ้ืนฟูและส่งเสริมการกลืนอย่างปลอดภัย ใน service plan สาขาโรคหลอดเลือดสมองและสาขาผ่าตดั สมอง Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๔
ชื่อเร่ือง รู้เร็ว เข้าถึงไว ส่งต่อทันที : ความเป็นเลิศการจัดการผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต้าบลปากหมาก อ้าเภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี ช่อื เจ้าของผลงาน ลาวัลย์ เวทยาวงศ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลปากหมาก บทน้า/หลักการและเหตุผล/ทม่ี าและความสา้ คญั โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุสาคัญการเสียชีวิตของจงั หวัดสุราษฎร์ธานี พบว่าปี พ.ศ. ๒๕๖๐ มีอัตราตาย ๔๐.๖๐ ต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน และมีอัตราการตายเพิ่มขึนอย่างต่อเนื่องเป็น ๔๗.๘๐ และ ๖๕.๑๘ ต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน ในปี ๒๕๖๑ และ ๒๕๖๒ ตามลาดับ ซง่ึ สอดคล้องกับอัตราตายในพืนที่ ตาบลปากหมาก อาเภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี พบว่าโรคหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ อัตราตาย ๑๙๙.๗๐ ต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน และยังคงมีผู้เสียชีวิตต่อเน่ืองทุกปี จึงเป็นจุดเริ่มต้นความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในชุมชน เพ่ือหาแนว ทางแก้ไขปัญหาด้วยการดาเนินงานเชิงรุก ปัจจุบันตาบลปากหมากมีผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดจานวน ๑๐ คน เป็นวัยทางาน และวัยสงู อายุ มปี ระวตั ิการสูบบุหร่ีมากกวา่ ๓๐ ปี เปน็ ผู้ปว่ ยโรคเรอื รังที่ขาดการรักษาอยา่ งต่อเนอื่ ง และไดร้ บั การวนิ ิจฉัยเปน็ โรคหัวใจขาดเลือดเม่อื มีอายุเฉลี่ย ๖๒ ปี จากการวิเคราะห์และกาหนดแนวทางแก้ไขของภาคีเครือข่ายในชุมชน พบว่าปัจจัย สาคญั ของการรอดชีวติ จากโรคหวั ใจขาดเลือดก็คือ การเขา้ ถงึ บริการอยา่ งรวดเรว็ โดยกระบวนการ “ร้เู ร็ว เข้าถงึ ไว ส่งตอ่ ทนั ที TIME TO ALARM&ALERT, SEEK AND TRANSFER EXPLOROR (TASTE) เพ่อื ลดอุบตั กิ ารณแ์ ละอตั ราตายจากโรคหวั ใจขาดเลอื ด วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพ่อื ส่งเสรมิ สุขภาพ โดยใชห้ ลกั รเู้ ร็ว เข้าถึงไว ส่งต่อทนั ที ๒. เพมิ่ อตั ราการเข้าถึงบริการการรกั ษาอย่างถูกต้องและทันเวลา ๓. ลดอตั ราการตายของผูป้ ่วยโรคหัวใจขาดเลือด วิธกี ารด้าเนินงาน/วธิ กี ารศกึ ษา ใช้หลัก รู้เรว็ เขา้ ถงึ ไว สง่ ตอ่ ทันที TIME TO ALARM&ALERT, SEEK AND TRANSFER EXPLOROR (TASTE) โดย มขี นั ตอน ดังต่อไปนี ขนั ท่ี ๑ ร้เู รว็ (Alarm & Alert) ใหป้ ระชาชนเรียนรอู้ าการของโรคหัวใจขาดเลอื ด โดยการสร้างกระแสใหป้ ระชาชน ต่ืนตัวโดยใช้เทคนิคการอบรมกลุ่มเส่ียงและญาติ อาสาสมัครกู้ชีพ และอสม. การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ และการจัดมหกรรม สุขภาพ ทังนี ตาบลปากหมากอยู่ห่างไกลและการคมนาคมลาบาก หากเกิดภาวะวิกฤตการนาตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลไชยา อย่างรวดเร็วมีความยากลาบากมาก ดังนันการสร้างทีมภาคีเครือข่ายระดมความคิด เพื่อสร้างระบบให้ประชาชนทราบว่า ตนเองมีความเสยี่ งของโรคอยใู่ นระดบั ใดจงึ เป็นสงิ่ สาคญั ขันที่ ๒ เขา้ ถงึ ไว (Seek) สร้างทีมนักลา่ ACS โดยใช้อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) ที่ผ่านหลักสูตร ฝกึ อบรมการคัดกรองโรคหัวใจขาดเลือด ๓๕ ช่ัวโมง ร่วมกบั เครือข่ายอาสาส่งต่อภายในหมู่บ้าน ได้แก่ ญาติ อาสาสมคั รกู้ชีพ ตารวจ หมู่บ้านละ ๕ คน ซงึ่ ได้รบั การอบรมพฒั นาศักยภาพระบบสง่ ตอ่ ลงพนื ที่ เสาะแสวงหาผู้ปว่ ยและกลุ่มเสีย่ ง ขันที่ ๓ สง่ ตอ่ ทันที (Transfer) การสง่ ต่อผู้ป่วยภาวะวิกฤติ โดยใช้ระบบ GPS และสมุดเบอรโ์ ทรคใู่ จติดตามผูป้ ่วย และกลมุ่ เสี่ยง เพอื่ ให้เกิดผลลพั ธ์ Distance Time ไม่เกนิ ๓๐ นาที ผลการดา้ เนินงาน/ผลการศกึ ษา ๑. ประชาชนกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายในพืนที่มีความตื่นตัวและให้ความร่วมมือในการดาเนินงานตาม หลกั การ TASTE ๒. ภาคีเครือข่ายชุมชนมีส่วนร่วมและส่งเสริม สนับสนุน การดาเนินงานให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธผิ ลใน การลดอนั ตรายและอัตราตายจากโรคหวั ใจขาดเลือด ๓. สรา้ งความภาคภมู ิใจให้กบั ชุมชนในการสร้างความเป็นเลศิ และเป็นชุมชนต้นแบบดา้ นการจดั การโรคหวั ใจขาดเลือด Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๕
อภปิ รายผล การใช้หลกั รู้เร็ว เข้าถึงไว ส่งต่อทนั ที TIME TO ALARM&ALERT, SEEK AND TRANSFER EXPLOROR (TASTE) ในการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด โดยอาศัยความร่วมมือจากเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข และนักล่า ACS มีศักยภาพ ทาให้ชุมชนตาบลปากหมากเข้มแขง็ ด้วยชมุ ชนเอง สรุปและขอ้ เสนอแนะ การใช้หลกั TASTE มศี ักยภาพในการสง่ เสรมิ สุขภาพผปู้ ว่ ยโรคหัวใจขาดเลือด ทาใหช้ มุ ชนตาบลปากหมากเข้มแข็ง ด้วยชุมชนเอง ดังนันจึงควรมีแผนขยายความเข้มแข็งไปสู่ชุมชนใกล้เคียง ได้แก่ ตาบลตะกรบ และตาบลพุมเรียง โดยใช้ ศกั ยภาพของบุคลากรตน้ แบบจากตาบลปากหมาก เปน็ พเี่ ลียง เพ่อื ให้เกิดความเขม้ แข็งของเครอื ขา่ ยการสง่ เสรมิ สขุ ภาพชุมชน โรคหัวใจขาดเลือด และขยายผลไปในระดบั อาเภอและระดับจังหวัดสง่ ผลให้เกดิ การพัฒนาทย่ี ่งั ยืน Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๖
ชอื่ เรอ่ื ง ผลของการเสริมพลงั อ้านาจ ตอ่ พฤติกรรมการเลกิ สบู บหุ ร่ใี นกลุ่มเส่ยี งโรคหัวใจขาดเลือดเฉยี บพลนั ช่ือเจา้ ของผลงาน วนิ ิตตา ลาสศลิ ป์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลปากหมาก บทน้า/หลกั การและเหตุผล/ท่ีมาและความส้าคญั องค์การอนามัยโลกจัดอันดับโรคหัวใจและหลอดเลือด (ร้อยละ๑๓.๘๐) อยู่ในอันดับ ๒ ท่ีเปน็ สาเหตุให้ประชากร เกิดการสูญเสียด้านสุขภาพ รองจากโรคติดเชือ (WHO, ๒๐๑๔) เช่นเดียวกันกับประเทศไทยที่พบว่าโรคหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน (Acute Coronary syndrome; ACS) เป็นปัญหาสาธารณสุขท่ีสาคัญและพบบ่อย โดยเป็นสาเหตุความพิการและ การเสียชีวิตของผู้ป่วย จากการประมาณการพบว่า อตั ราการเสียชีวิตของคนไทยจากโรคหัวใจและหลอดเลือดถึงร้อยละ ๒๗ ของประชากรทังหมด ทุกเพศ ทุกวัย (WHO, ๒๐๑๑) และมีแนวโน้มของอุบัติการณ์ท่ีเพิ่มขึนเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงหลักท่ีมี แนวโนม้ เพ่ิมขนึ ซึ่งได้แก่ ภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดผดิ ปกติ การไม่ออกกาลังกาย การไม่กินผัก ผลไม้ ความเครียด ภาวะอ้วนลงพุง และการสูบบุหร่ี (วิชัย เอกพลากร, ๒๕๕๙) แม้ว่ารายงานสถานการณ์การสูบบุหรี่ ทัว่ ประเทศ ในปี พ.ศ.๒๕๖๑ ในภาพรวม อตั ราการสูบบุหรี่ในแตล่ ะภูมภิ าคของประเทศไทยจะลดลงอย่างตอ่ เน่ือง แต่ภาคใต้ ยงั มีอตั ราการสูบบหุ รีท่ ีส่ งู ที่สดุ โดยมอี ัตราการสูบบุหรี่ ร้อยละ ๔๘.๔๘ และจังหวดั สุราษฎร์ธานี เป็นหนึ่งในสบิ จังหวดั ท่มี อี ตั รา การสูบบุหรี่สูงที่สุดของประเทศ (ศจย.,๒๕๖๑) ประกอบกับข้อมูลการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดของจังหวัด สุราษฎร์ธานีมีแนวโน้มเพิ่มขึน โดยพบอัตราป่วยตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพ่ิมขึนจากปี พ.ศ.๒๕๖๐ ท่ีพบผู้เสียชีวิต จานวน ๔๑ คน คิดเป็นอัตรา ๓๗.๙๙ เพ่ิมขึนเป็น ๕๘ คน คิดเป็นอัตรา ๔๕.๘๕ ต่อพันประชากรในปีพ.ศ.๒๕๖๓ (HDC, ๒๕๖๓) ซ่ึงสารนิโคตินและก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากการสูบบุหรสี่ ่งผลทาให้หัวใจเต้นเร็ว หลอดเลือดหัวใจหดตวั และเกิด การเปล่ียนแปลงภายในหลอดเลือด มีการจับตัวของไขมันท่ีผนังหลอดเลือด ทาให้หลอดเลือดทั่วร่างกายตีบแคบลง เลือดไป เลยี งหัวใจไม่เพยี งพอ หัวใจขาดออกซเิ จน เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลนั และเสียชีวิตในท่ีสดุ (กรมควบคุมโรค, ๒๕๕๙) ผลจากการคัดกรองความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันของประชากรกลุ่มเป้าหมายอายุ ๓๕ ปีขึนไป ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ของพืนท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลปากหมาก โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) พบประชาชนกลุ่มเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดในระดบั เสีย่ งสูงจนถึงเสีย่ งสูงอนั ตราย จานวน ๕๕ คน (ร้อยละ๓.๑๖) ในจานวน กลมุ่ เสี่ยงนันเป็นกลมุ่ ผูป้ ่วยโรคเรือรัง ๒๔ คน (ร้อยละ๔๓.๖๔) และเปน็ ผูม้ ปี ระวตั ิสูบบหุ รี่ ๒๔ คน (รอ้ ยละ๔๓.๖๔) โดยกลุ่ม เส่ียงสว่ นใหญอ่ ยู่ในวัยสูงอายุ และวัยทางาน ร้อยละ ๘๐ และร้อยละ ๒๐ ข้อมูลผู้ปว่ ยสะสมด้วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ในพนื ทต่ี าบลปากหมากตงั แตป่ ีพ.ศ.๒๕๕๗ มีจานวนทังหมด ๑๐ คน ผปู้ ่วยสว่ นใหญ่ร้อยละ ๗๐ มปี ระวัตกิ ารสบู บุหร่นี านกว่า ๓๐ ปี อยู่ในกลมุ่ สูงอายุ และวัยทางาน ร้อยละ ๖๐ และรอ้ ยละ ๔๐ ตามลาดับ โดยมีอายเุ ฉล่ียที่ ๖๓.๕๐ ปี ได้รับการวินิจฉัย วา่ ปว่ ยด้วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉยี บพลนั ที่อายุเฉลีย่ ๕๖.๖๐ ปี (รพ.สต.ปากหมาก, ๒๕๖๔) แนวทางการลดความเสีย่ งของการ เกดิ โรคหวั ใจขาดเลอื ดเฉยี บพลันคอื การส่งเสริมการเลกิ สูบบหุ รี่ในชว่ งวยั ทางานก่อนการเขา้ สูว่ ัยผูส้ งู อายุ จากการสัมภาษณ์ผู้สูบบุหร่ีทีเ่ ป็นกลุม่ เสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันในพืนทตี่ าบลปากหมาก พบวา่ มีความคิด ทอ่ี ยากเลิกสูบบุหรี่ แต่ทาไม่สาเร็จเนื่องจากความเคยชินท่ีต้องหยิบบุหร่ีมาสูบเมื่ออยู่ในสถานการณ์หรือมีส่ิงกระตุ้นท่ีคุ้นเคย หากแตใ่ นช่วงเวลาที่ผ่านมา รพ.สต.ปากหมาก มีการจัดโครงการส่งเสริมการเลิกบุหรีใ่ นกลุ่มเส่ียงโรคหัวใจและหลอดเลือดผล จากการดาเนินโครงการพบว่ามกี ล่มุ ตัวอยา่ งทส่ี ามารถเลิกสบู บหุ รี่ได้รอ้ ยละ ๕๘.๔๐ ทงั นีเกิดจากกลมุ่ ตัวอย่างได้มกี ารเรียนรู้ ผา่ นกิจกรรมในโครงการดว้ ยการมสี ่วนรว่ ม สง่ ผลใหม้ ีความสามารถในการตัดสนิ ใจเลกิ สูบบหุ ร่ี โดยใชป้ ระสบการณ์จากตัวเอง และบุคคลตัวอย่าง พร้อมทังมีการกาหนดเป้าหมายแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมด้วยตนเอง จนสามารถเลิกสูบบุหร่ีได้สาเร็จ ถือว่าพลังอานาจท่ีเกิดขึน ทังพลังใจ พลังความคิด และพลังความสามารถมีส่วนสาคัญในการส่งเสริ มการเลิกสูบบุหรี่ ดว้ ยเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการเลิกสูบบุหรี่ในประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน ด้วยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเสริมพลังอานาจของกิบสัน (Gibson, 1995) ให้ผู้สูบบุหรี่สามารถจัดการกับความ เส่ียงต่อการเกิดโรคท่ีมีอยู่ และควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อชีวิตและสุขภาพของตนเอง (รินดา เจวประเสริฐพันธ์, ๒๕๕๖) นาไปสู่ การเลิกบหุ รี่และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือดเฉยี บพลันได้ในที่สุด Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๗
วัตถปุ ระสงค์ เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการเลิกสูบบุหร่ีของกลุ่มเส่ียงโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ก่อนและหลังการเข้าร่วม โปรแกรมการเสรมิ สรา้ งพลังอานาจ วิธกี ารด้าเนนิ งาน/วธิ ีการศกึ ษา การศึกษาครังนีเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) แบบ one group pretest – posttest design ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง : คือ กลุ่มเส่ียงโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันท่ีเป็นผู้สูบบุหร่ีในปัจจุบัน อาศัยในพืนท่ีตาบลปากหมาก โดยมีเกณฑก์ ารคัดเขา้ คอื เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือดเฉยี บพลันในระดบั เส่ียงสูง เส่ียงสูงมาก เสี่ยงสูงอันตราย สามารถ อา่ น เขียน เข้าใจภาษาไทย และสมัครใจเข้ารว่ มโปรแกรม คานวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรเปรียบเทียบค่าเฉลย่ี ของกลุ่ม ตัวอย่างท่ีไม่เป็นอิสระต่อกัน (ธวัชชัย วรพงศธร, ๒๕๓๐) ได้จานวน ๑๑.๓๔ คน เพื่ออานวยความสะดวกในการจัดกิจกรรม และการเดินทางของกลุ่มตัวอย่างจึงทาการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ในกลุ่มเสี่ยงหมู่ท่ี ๓ บ้านท่าไม้แดงตาบล ปากหมาก อาเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซ่ึงใกลเ้ คียงขนาดของกล่มุ ตัวอยา่ งทค่ี านวณไดม้ ากทส่ี ดุ ไดจ้ านวน ๒๕ คน เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการศกึ ษา (เครอื่ งมือทีใ่ ชใ้ นการทดลอง) : ๑. โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอานาจ ท่ีประยุกต์กระบวนการเสริมสร้างพลังอานาจตามแนวคิดของกิบสัน (Gibson, 1995) มกี ิจกรรมทังหมด ๕ ครัง ใช้ระยะเวลา ๕ สปั ดาห์ ประกอบไปด้วยกิจกรรมดงั นี กิจกรรมท่ี ๑ การค้นพบสภาพการณ์จริง กิจกรรมวัดปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ในลมหายใจ ให้กับ กลุ่มตวั อยา่ ง จากนนั อธบิ ายความหมายค่าที่วดั ได้ และบรรยายความรู้เรือ่ งบหุ รกี่ ับการเกดิ โรคหัวใจขาดเลือดเฉยี บพลัน กิจกรรมท่ี ๒ การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ กจิ กรรมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากตัวแบบผู้ป่วยโรคหวั ใจ ขาดเลือดเฉยี บพลัน ในประเดน็ “บหุ รี่รา้ ยทาลายหวั ใจ เลกิ บหุ ร่ีได้ไมย่ าก” และสรปุ ผลการแลกเปลีย่ นเรยี นรภู้ ายในกลุ่ม กจิ กรรมท่ี ๓ การตดั สินใจเลือกวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับตนเอง กิจกรรมการแลกเปล่ยี นประสบการณ์จากตัวแบบ ในกลมุ่ ตัวอย่างทส่ี ามารถเลกิ บุหร่ีได้ ในประเดน็ “ความพยายามทท่ี ามา สู่ผลลัพธท์ ่เี กิดขึนด้านรา่ งกายและสงั คม” พร้อมแจก แผ่นพบั ความรู้ การซักถามเพื่อให้กลมุ่ ตัวอยา่ งรว่ มตังเป้าหมายการเลิกสูบบุหรี่ พรอ้ มวิธกี ารทีใ่ ช้ในการเลกิ บหุ ร่ใี นครงั นี กิจกรรมที่ ๔ การคงไว้ซึ่งการปฏิบัติท่ีมีประสิทธิภาพ จัดกิจกรรมวัดปริมาณ CO ในลมหายใจ ให้กลุ่มตัวอย่าง อกี ครัง พรอ้ มทงั ร่วมสนทนากล่มุ (Focus group) เพ่ือเป็นกาลงั ใจในการเลกิ บุหรี่อย่างต่อเน่ือง กิจกรรมท่ี ๕ การกระตนุ้ เตอื นและใหก้ าลังใจจากผู้วิจัย โดยการโทรศพั ท์พูดคุย ๒. อุปกรณ์ที่ใช้ในโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอานาจ ประกอบไปด้วย ส่ือท่ีผลิตโดยผู้วิจัย ได้แก่ แผ่นพับความรู้ เทคนคิ วิธกี ารเลิกบหุ ร่ี และเคร่ืองตรวจวดั ปรมิ าณ CO ในลมหายใจ เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษา (เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล) : เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็น แบบสัมภาษณท์ ่ผี ู้วจิ ัยพัฒนาขึน ประกอบด้วย ๓ ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนที่ ๑ ข้อมลู ทั่วไป (ดา้ นคณุ ลักษณะประชากร และพฤติกรรม การสบู บุหร่)ี สว่ นท่ี ๒ ความรเู้ กีย่ วกบั บหุ ร่แี ละโรคหวั ใจขาดเลือดเฉยี บพลนั และสว่ นท่ี ๓ พฤตกิ รรมการเลกิ สบู บุหรี่ โดยแบบ สัมภาษณ์ผ่านการตรวจสอบด้านความชัดเจนของภาษาและความตรงของเนือหาจากผู้เช่ียวชาญ วิเคราะห์ความเชื่อมั่น (Reliability) ในแบบสมั ภาษณ์สว่ นท่ี ๒ ดว้ ยคา่ KR – ๒๐ เท่ากับ ๐.๘๗ การวิเคราะหข์ ้อมูล : วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเรจ็ รูป ใช้สถิตเิ ชิงพรรณนา ไดแ้ ก่ การแจกแจง ความถ่ี คา่ เฉลีย่ ร้อยละ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลด้านคณุ ลักษณะประชากรและพฤติกรรมการสูบบุหร่ี ใชส้ ถิติ เชิงวเิ คราะห์ ได้แก่ paired t – test เปรยี บเทียบขอ้ มลู ความรแู้ ละพฤตกิ รรมการเลิกสูบบหุ รี่ ในระยะก่อนและหลังการทดลอง ผลการดา้ เนินงาน/ผลการศกึ ษา กลุม่ ตัวอย่างในการศึกษาครังนีทังสินจานวน ๒๕ คน สามารถเข้าร่วมกิจกรรมไดค้ รบทุกครัง จานวน ๒๓ คน และ เมื่อสนิ สุดการวจิ ัยไดผ้ ลการวจิ ยั ดงั นี ๑. คุณลักษณะประชากร พบว่า เป็นเพศชายทังหมด มีอายุเฉล่ีย ๔๖.๒๘ ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส ร้อยละ ๗๘.๒๖ การศึกษาสูงสุดในระดับประถมศึกษา รอ้ ยละ ๖๙.๕๖ ประกอบอาชีพเกษตรกร/ทาไร่/ทาสวนเป็นอาชีพหลกั ร้อยละ๙๑.๓๐ โดยมีรายไดเ้ ฉลี่ยต่อเดอื นอยูท่ ี่ ๑๕,๐๐๑ และ ๒๐,๐๐๐ บาท รอ้ ยละ ๗๘.๒๖ และส่วนใหญ่ไมม่ ีโรคประจาตัว รอ้ ยละ ๘๒.๖๑ Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๘
๒. พฤติกรรมการสูบบุหรี่ พบว่า กลุ่มตัวอย่างทัง ๒๓ คน ทุกคนยังสูบบุหรี่ทุกวัน อายุเฉลี่ยท่ีเริ่มสูบบุหรี่ครังแรก ๑๘.๒๔ ปี ส่วนใหญ่มรี ะยะเวลาทส่ี บู บุหรี่นานกว่า ๒๐ ปี ร้อยละ ๗๓.๙๑ ปรมิ าณการสูบเฉลีย่ ๑๗.๒๔ มวนต่อวนั สว่ นใหญส่ ูบบหุ ร่ี มวนเอง/ยาเส้นรอ้ ยละ ๖๙.๕๗ และสาเหตุสาคญั ท่เี ร่ิมตน้ สูบบุหร่ีครังแรก คอื อยากลอง รอ้ ยละ ๘๖.๙๖ สว่ นใหญเ่ คยพยายาม เลกิ บุหร่ีในรอบ ๑ ปีท่ีผ่านมา รอ้ ยละ ๕๒.๑๗ มีระยะเวลาทีเ่ ลิกครังล่าสุดเฉลี่ย ๒๖ วัน สาเหตสุ าคัญที่พยายามเลกิ บุหรี่มาจากกลัว การเจ็บป่วย บุคคลในครอบครัวต้องการให้เลิก และมีปัญหาสุขภาพเกิดขึน ร้อยละ ๓๔.๗๘ ร้อยละ ๒๖.๐๙ และร้อยละ ๑๗.๓๙ ตามลาดบั ใช้วิธีการหยดุ สูบทันที/หกั ดิบเป็นวิธีเลิกบุหร่ีครงั ลา่ สุด ร้อยละ ๘๖.๙๕ และการอยู่ในสถานการณ์เคยชินหรอื มีส่ิงกระตุ้น ให้หยบิ บหุ ร่ีมาสูบเปน็ สาเหตุสาคัญทท่ี าให้เลิกบหุ ร่ไี มส่ าเรจ็ ร้อยละ ๕๒.๑๗ กลมุ่ ตัวอย่างสว่ นใหญม่ คี วามตงั ใจทจี่ ะเลิกสูบบุหร่ี โดยมี ความคิดจะเลิกบุหรภ่ี ายใน ๖ เดอื นข้างหน้า ร้อยละ ๔๓.๔๗ และสว่ นใหญ่มีระดับการตดิ นิโคตนิ ในระดับปานกลาง ร้อยละ ๗๘.๒๖ ๓. ความรู้เกี่ยวกับบุหร่ีและโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉล่ียความรู้เกี่ยวกับบุหรี่ และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลนั ก่อนการทดลอง เท่ากับ ๘.๙๒ + ๒.๐๕ และหลังการทดลองเพ่ิมขึนเป็น ๑๕.๘๒ + ๑.๘๐ และเมื่อทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลีย่ ความรู้เก่ียวกับบุหรีแ่ ละโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันกอ่ นและหลงั การทดลอง ด้วยสถิติ Paired Samples t-test พบวา่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<๐.๐๐๑) ๔. พฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ จากการติดตามพฤติกรรมการเลิกสูบบุหร่ีหลังการทดลอง พบว่า กลุ่มตัวอย่างทัง ๒๓ คน สามารถเลิกบุหรี่ได้ทังหมด ๑๒ คน (ร้อยละ ๕๒.๑๗) และยังคงสูบบุหร่ี ทังหมด ๑๑ คน (ร้อยละ ๔๗.๘๓) โดยมี ๗ คน จาก ๑๑ คน สามารถลดจานวนมวนบหุ รท่ี ส่ี บู ต่อวันได้ อภปิ รายผล ผลของโปรแกรมการเสริมพลังอานาจฯ นีส่งผลต่อการเพิ่มความรู้เก่ียวกับบุหรี่และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ในกลุ่มทดลองอยา่ งชัดเจน ซ่ึงเป็นผลจากการออกแบบโปรแกรมนันสอดแทรกการให้ความรู้ การบรรยายให้ความรู้เร่ืองบุหรี่ กับการเกดิ โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน อธิบายพยาธิสภาพของการเกิดโรคทีร่ ุนแรงและเฉียบพลัน โดยเนน้ การบรรยายด้วย ภาษาที่เข้าใจง่าย ใช้ภาพน่ิงและภาพเคล่ือนไหวท่ีชัดเจน ให้เห็นถึงพิษภัยของบุหร่ี ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ท่ีเป็นปัญหาไม่ไกลตัว การนาเสนอแสดงข้อมูลสถานการณ์ความรุนแรงของโรคทังในระดับประเทศ จังหวัด และใ นพืนท่ีตาบลปากหมาก มีการเชื่อมโยงความรู้สอดคล้องกับการใช้ในชวี ติ ประจาวนั สร้างการเรียนรู้และจดจาได้ดี สอดคล้องกบั การศึกษาที่ผ่านมาของ ชนกนันท์ รักษาสนธ์ิ (๒๕๖๓) และการศกึ ษาของวนิ ิตตา ลาสศลิ ป์ (๒๕๖๓) การเสริมพลงั อานาจ เป็นกระบวนการบนพืนฐานของการมีปฏิสัมพันธซ์ ่ึงกันและกัน การมีส่วนร่วมกัน โดยสง่ เสริม ให้บุคคลมีความตระหนักในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพตนเอง (Gibson, 1995) เป็นกระบวนการสาคัญในการส่งเสริม พฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง การค้นพบสภาพการณ์จริงท่ีเกิดขึนกับตนเอง โดยจัดกิจกรรมการวัดปริมาณ CO ในลมหายใจ ให้กับกลุ่มตัวอย่างพร้อมทังผู้วิจัยอธิบายความหมายของค่าท่ีวัดได้ ซึ่งค่าท่ีวัดได้แสดงผลเป็นตัวเลขและสีตาม ระดับของปริมาณ CO ในลมหายใจ (ชนกนันท์ รักษาสนธ์ิ, ๒๕๖๓) ส่งผลให้กลุ่มตัวอย่างเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ยอมรับใน เหตุการณแ์ ละสภาพท่เี กิดขนึ ตามความเป็นจรงิ เกดิ การรับร้แู ละตระหนักถึงปัญหาท่ีเกดิ ขึนว่าตนเป็นผู้ทม่ี คี วามเสี่ยงสงู ต่อการ เกิดโรคหวั ใจขาดเลอื ดเฉยี บพลันเนอื่ งมาจากการสบู บุหร่ี ทาใหม้ ีความพยายามท่ีจะลดปริมาณมวนบุหรที่ ่ีสูบ หรือเลิกสูบบหุ ร่ี มากย่ิงขึน (วินิตตา ลาสศิลป์, ๒๕๖๓) การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จาก ตัวแบบผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ตัวแบบพยายามทบทวนเหตุการณ์ของพฤติกรรมสุขภาพตังแต่ก่อนป่วย ท่ีมี พฤติกรรมการสูบบุหร่ีอย่างต่อเนื่องมามากกว่า ๒๐ ปี จากนันได้รับการคัดกรองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกันกับกลุ่มตัวอย่าง สดุ ท้ายกลายมาเป็นกลมุ่ ป่วยเขา้ สู่กระบวนการรกั ษาและต้องรบั ประทานยาอย่างต่อเนอ่ื ง โดยกจิ กรรมครงั นีมีการสรุปผลจาก การแลกเปล่ียนเรียนรู้ภายในกลุ่มเพื่อใหก้ ลุ่มตัวอย่างได้ทบทวนเหตุการณ์ พิจารณาถึงความคลา้ ยคลึงของพฤติกรรมสุขภาพ ของตนเองเปรียบเทียบกับผู้ป่วยโดยเฉพาะพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการเป็นกลุ่มเสี่ยงก่อนการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน เกิดเป็นมุมมองใหม่และเกิดพลังมากขึน เพ่ือนาไปสู่กระบวนการตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติท่ีเหมาะสม โดยการ ตดั สนิ ใจเลอื กวธิ ีปฏิบัตทิ ีเ่ หมาะสมกับตนเอง มกี ารจัดกิจกรรมการแลกเปล่ียนประสบการณ์จากตวั แบบมชี วี ิตในกลุ่มตวั อย่างที่ เข้าร่วมโปรแกรมท่ีสามารถเลิกสูบบุหร่ีได้ พร้อมทังมีการแจกแผ่นพับความรู้เทคนิควิธีการเลิกบุหร่ี เป็นส่ิงท่ีช่วยใช้ ประกอบการตัดสินใจของกลุ่มตัวอย่างในการเลือกรูปแบบหรือวิธกี ารในการเลิกสูบบุหรี่ ทังรูปแบบหรือวธิ ีการจากตัวแบบใน Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑๙
กลุ่มตัวอย่าง หรือจากแผ่นพับเทคนิควิธีการเลิกบุหร่ีที่ผู้วิจัยแจก เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างสามารถคิดวิเคราะห์ เลือกรูปแบบหรือ วิธีการท่ีคดิ วา่ เหมาะสมกับตวั เองมากทส่ี ุดดว้ ยตัวเอง โดยรปู แบบหรอื วธิ กี ารท่เี กิดขึนจากตวั แบบภายในกลมุ่ ตัวอยา่ งที่เข้ารว่ ม โปรแกรมในครังนี ไดแ้ ก่ การใชว้ ธิ ีอมลูกอมท่ีมีรสเปรียว การเคยี วหมากฝร่ังในเวลาทเี่ กดิ ความอยากสบู บุหรี่ การขอสนับสนุน สมนุ ไพรหญ้าดอกขาวจากโรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบลปากหมากเพือ่ ชว่ ยลดความอยากสบู บหุ ร่ี การหากาลังใจในการเลกิ บุหร่ี เช่น คนในครอบครัวต้องการให้เลิกสูบ กลุ่มตัวอย่างเองมีความกลัวการเกิดโรคและกลัวความรุนแรงของโรคหัวใจขาด เลือดเฉียบพลันที่ตนมีความเส่ียงอยู่ และการพยายามยืดระยะเวลาการสูบบุหรี่มวนแรกในตอนเช้าให้นานท่ีสุด เป็นต้น เม่ือ กลุ่มตัวอย่างได้ตัดสินใจเลือกรูปแบบหรือวิธีการในการเลิกบุหรี่แล้วนัน กลุ่มตัวอย่างร่วมตังเป้าหมายการเลิกสูบบุหรี่ พร้อม วธิ ีการท่ีใช้ในการเลิกบุหรี่ในครังนี บันทึกเก็บไว้เป็นสิ่งที่คอยยาเตือนให้สามารถตัดสินใจเลิกสูบบุหร่ีให้สาเร็จ อีกทังการมีตัว แบบในกลุ่มตัวอย่างที่สามารถเลิกบุหรี่ได้ ด้วยพืนฐานความเข้าใจเหตุผลและมีความเช่ือท่ีคล้ายคลึงกัน เข้ามาร่วมเป็นทีม สุขภาพ ที่ช่วยเหลือสนับสนุนกลุ่มตัวอย่างด้วยกันนัน ย่อมทาให้เกิดการเสริมสร้างพลังอานาจขึน (รินดา เจวประเสริฐพันธ์ , ๒๕๕๖) ประกอบกับการเลือกกล่มุ ตัวอย่างเฉพาะเจาะจงท่อี ย่ใู นพืนท่ีเดียวกนั มที ี่อยใู่ นละแวกบ้านเดียวกัน สถานการณ์ความ เคยชินกับสภาพแวดล้อมทีเ่ ห็นเพื่อนสบู บุหรี่แล้วต้องหยิบบุหรี่มาสูบตาม กลบั กลายเป็นการถามไถ่ถึงการเลิกหรือลดจานวน มวนบุหร่ี มีการให้กาลังใจและให้คาแนะนาเพื่อนในกลุ่มตัวอย่างด้วยกันเพ่ือรับมือกับความอยากบุหร่ีด้วยวิธีการหรือรูปแบบ ตา่ งๆ และทา้ ยสดุ การคงไว้ซ่งึ การปฏิบตั ทิ ี่มปี ระสทิ ธิภาพ โดยจัดกิจกรรมวดั ปรมิ าณ CO ในลมหายใจ ให้กลุ่มตัวอยา่ งอีกครัง พรอ้ มทงั รว่ มสนทนากลุม่ เพอ่ื เป็นกาลงั ใจในการเลิกบหุ รอ่ี ยา่ งต่อเนอื่ ง ซึง่ การวัด CO ในลมหายใจ นบั เปน็ เคร่อื งมือแปลกใหม่ ทีก่ ลุ่มตัวอย่างไม่คุน้ ชินกับการใช้ หากแต่ส่งผลต่อกลมุ่ ตัวอยา่ งเป็นอย่างมาก ผลการวัด CO ในลมหายใจ เปรยี บเทียบกับครัง แรก ช่วยให้เหน็ ค่าที่ลดลงไดเ้ ชิงประจักษ์แกส่ ายตาของกล่มุ ตัวอยา่ งเอง สร้างความดีใจ ภาคภูมิใจ (วินติ ตา ลาสศิลป์, ๒๕๖๓) จนกลมุ่ ตวั อย่างรสู้ ึกมพี ลงั อานาจ มคี วามสามารถ และคงไวซ้ งึ่ พฤติกรรมการเลกิ สบู บุหรีอ่ ย่างต่อเนื่องตอ่ ไป จากการศึกษาครงั นีปัจจัยภายในบุคคล และแรงสนับสนุนทางสงั คม เปน็ อกี ปจั จัยสาคัญที่ชว่ ยสนบั สนุนให้เกิดการ เสรมิ พลังอานาจ โดยปัจจยั ภายในบุคคลได้แก่ ความเชอ่ื (Beliefs) ความเชอ่ื ท่ีว่าตนเองสามารถจัดการกบั ปญั หา หรอื อปุ สรรค ที่เกิดขึน โดยกลุม่ ตัวอย่างต่างมคี วามเชื่อทวี่ ่าตนเองสามารถเลกิ สูบบหุ รไี่ ดไ้ มย่ าก ค่านิยม (Values) โดยกลุ่มตวั อย่างมคี า่ นยิ ม รกั ตัวเอง เม่ือทราบว่าตนเองอยใู่ นกลุ่มเส่ียงต่อการเกดิ โรคหัวใจขาดเลือดเฉยี บพลัน จึงเกดิ ความพยายามท่ีจะเลกิ หรือลดการ สูบบุหรี่ลง ประสบการณ์ (Experience) โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับประสบการณ์จากทังตัวแบบที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน ตวั แบบท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างด้วยกันภายในกลุ่ม และจากประสบการณ์ความสาเร็จท่ีเกิดขึนจากการเลกิ สูบบุหรี่ของ ตนเอง เป้าหมายในชีวิต (Determination) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยภายในบุคคลที่สนับสนุนให้เกิดการเสริมพลังอานาจ โดยกลุ่ม ตัวอยา่ งมีการตังเปา้ หมายการเลิกสูบบุหร่ี พรอ้ มวิธีการที่ใชใ้ นการเลิกบุหร่ีในกิจกรรมครงั ที่ ๓ ซึ่งมีพลังและแรงใจสู่เป้าหมาย การเลิกหรอื ลดการสูบบหุ รท่ี ีต่ ังไว้ โดยพลงั และแรงใจมาจากทงั ตัวเองและบคุ คลรอบข้างทีค่ าดหวังวา่ จะได้รบั สงิ่ ทีด่ ที ส่ี ดุ นนั เอง แรงสนับสนุนทางสังคมซึ่งมาจากทังกลุ่มปฐมภูมิ ได้แก่ ครอบครัว ญาติพ่ีน้อง กลุ่มตัวอย่างด้วยกัน และมาจากกลุ่มทุติยภูมิ ได้แก่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และผู้วิจัย (สุปรียา ตันสกุล, ๒๕๔๘) มีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดการเสริมพลังอานาจ ได้แก่ การสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสารความรู้เร่ืองบุหรี่กับโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจากผู้วิจัย การสนับสนุนด้านอารมณ์จากทัง บคุ คลในครอบครัวของผสู้ ูบบุหร่ี หรือจากตวั ผู้วจิ ัยเองดว้ ยการโทรศัพท์ตดิ ตามในกิจกรรมครังท่ี ๕ กล่มุ ตัวอย่างได้รบั คาชน่ื ชม กาลังใจ และการกระตนุ้ เตือน (ชนกนันท์ รกั ษาสนธ์ิ, ๒๕๖๓) ส่งผลให้กลมุ่ ตัวอย่างได้รบั ความรู้สกึ ห่วงใยเชน่ เดยี วกันกบั ญาติ พี่น้อง (ปรัชพร กลีบประทุม, ๒๕๕๙) นอกจากนียังมีการสนับสนุนด้านเคร่ืองมือ โดยการสนับสนุนส่ือต่างๆ เช่น แผ่นพับ สนับสนุนสมุนไพรหญ้าดอกขาวจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลช่วยลดความอยากสูบบุหรี่ และการสนับสนุนการ ประเมินค่าใช้การให้ข้อมูลป้อนกลับ ท่ีกลุ่มตัวอย่างแสดงถึงผลลัพธ์ที่ดีที่เกิดขึนด้านร่างกายและสังคมของการเลิกสูบบุหรี่ หากแต่มีกลุ่มทดลองบางคนที่ยังไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่หรือแม้กระท่ังลดปริมาณมวนบุหร่ีลง โดยเมื่อศึกษาข้อมูลของบุคคล แบบเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับประเด็นระดับการติดนิโคติน พบว่า บุคคลดังกล่าวมีระดับการติดนิโคตินอยู่ในระดับสูง อีกทั ง ในพืนท่ี ยังคงมีผู้สูบบุหร่ีที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในโปรแกรมครังนี การอยู่ในสถานการณ์ความเคยชินหรือมีสิ่งกระตุ้นให้ต้อง หยบิ บหุ ร่มี าสบู ยังคงเป็นสาเหตุหนง่ึ ทสี่ าคัญท่ีทาใหก้ ลุ่มทดลองไมส่ ามารถเลกิ สบู บหุ ร่ไี ด้ (วนิ ติ ตา ลาศลิ ป์, ๒๕๖๓) Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๐
สรุปและขอ้ เสนอแนะ การส่งเสริมการเลิกสูบบุหรี่ด้วยการจัดกิจกรรมการเสริมสร้างพลังอานาจ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในกลุ่มเส่ียง โรคเรือรังทกุ กลุ่มโรค และทุกกลุ่มวัย โดยเหมาะกับกลมุ่ เป้าหมายที่อาศัยรวมกัน หากกล่มุ ประชาชนทว่ั ไปนันไม่ไดอ้ ย่รู วมกัน การสนับสนุนให้มีการเลิกสูบบุหร่ีอย่างต่อเนื่องต้องใช้วิธีการอ่ืนๆ มาร่วมด้วย และเพ่ือสนับสนุนการเข้าถึงและการจูงใจให้ เข้ารับบริการเลิกสูบบุหรี่ในชุมชนเพิ่มมากขึนหน่วยงานสาธารณสุขที่เก่ียวข้องควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการเลิกบุหร่ีเชิงรุก ในพนื ที่ และมกี ารสนับสนุนเครือ่ งมอื การทางานช่วยเลกิ เช่น เครื่องเป่าคารบ์ อนมอนอกไซดใ์ นลมหายใจ การทาวิจยั ครงั ตอ่ ไป การศกึ ษาผลของการเสริมพลังอานาจต่อพฤตกิ รรมการเลิกสูบบหุ รี่ ควรมกี ล่มุ เปรยี บเทยี บ Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๑
ช่ือเรือ่ ง การเปรยี บเทียบอบุ ัติการณโ์ รคมะเร็งล้าไส้ใหญ่ ระหวา่ งประชากรกลมุ่ เปา้ หมายในโครงการคัดกรองมะเร็ง ลา้ ไส้ใหญข่ อง สปสช. และกลมุ่ ทไ่ี มไ่ ด้อยู่ในโครงการ ซึ่งเข้ามารับบริการสอ่ งกลอ้ งที่โรงพยาบาลมะเร็งสรุ าษฎร์ธานี ชอื่ เจ้าของผลงาน ปนัดดา กลบั รนิ ทร์ โรงพยาบาลมะเร็งสรุ าษฎรธ์ านี บทน้า/หลักการและเหตผุ ล/ที่มาและความสา้ คัญ มะเรง็ ลาไส้ใหญ่และไส้ตรง ตดิ อันดับ ๑ ใน ๕ ของมะเรง็ ทพ่ี บบ่อยในคนไทยโดยเฉพาะกล่มุ ผ้สู งู อายโุ ดยมีอุบัตกิ ารณ์ เพ่ิมขึนเรื่อยๆเนื่องจากการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การแปลงแปลงวิถีการบริโภค และการมีชวี ิตยืนยาวขึน แม้ว่ามะเร็งลาไส้ใหญ่ฯ ในระยะต้นจะสามารถรกั ษาให้หายขาดได้ ด้วยการผา่ ตัดแต่มกั จะไมม่ ีอาการแสดงใดๆ ที่นาไปสู่การวินิจฉยั และรักษา ทาให้ ผู้ป่วยมะเร็งลาไส้ใหญ่ฯ ในประเทศไทยมากกว่าร้อยละ ๖๐ ตรวจพบโรคในระยะท้าย ซ่ึงมีค่าใช้จ่ายสูง รวมถึงมีอัตราการ รอดชีพตา่ ทังนีเป็นทยี่ อมรบั โดยทั่วไปวา่ มะเร็งลาไส้ใหญฯ่ เป็นหนึ่งในมะเรง็ ไมก่ ีช่ นิดท่ีปอ้ งกันไดด้ ้วยการคัดกรองเพอ่ื หาความ ผิดปกติตังแต่ยังไม่มีอาการ ความผิดปกตินีมักพบในลักษณะของต่ิงเนือ adenomas ซึ่งมีโอกาสกลายไปเป็นมะเร็งในท่ีสุด ดงั นันหากตรวจพบ และกาจดั ต่ิงเนือออกไป ก็จะช่วยปอ้ งกันการเกิดมะเร็งลาไสใ้ หญ่ฯ ได้รวมถงึ ลดความสูญเสียต่อชีวิตและ ค่าใช้จ่ายในการรักษาหากตรวจพบโรคในระยะเร่ิมต้นการคัดกรองมะเร็งลาไส้ใหญ่ฯ สามารถทาได้หลายวิธี วิธีท่ีนิยมใช้ อย่างแพร่หลายมี ๒ วิธี คือ การตรวจหาเม็ดเลือดแดงแฝงในอุจจาระ ด้วยชุดตรวจ fecal immunochemical test (FIT) และการส่องกล้อง colonoscopy ซ่ึงถือเป็นวิธีมาตรฐานในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่ฯ ทังนีแนวคิดการคัดกรอง มะเร็งลาไส้ใหญ่ฯ อย่างเป็นระบบในระดับประชากร ได้มีการดาเนินนโยบายคัดกรองไปแล้วในหลายประเทศ โดยเฉพาะ ประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจดี และพบอุบัติการณ์สูง สาหรับในประเทศไทย จากรายงานของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ พบว่า ในปี ๒๕๖๒ พบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่และไส้ตรง มากเป็นอันดับที่ ๑ ในเพศชาย จานวน ๑,๘๒๙ ราย และพบมากเป็นอันดับที่ ๒ ในเพศหญิง จานวน ๑,๑๔๓ ราย คิดเป็น ๑๗.๔๒% และ ๑๑.๕๖% ตามลาดับ ในเขตสุขภาพท่ี ๑๑ ได้ดาเนินการตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ Service Plan สาขาโรคมะเร็ง โดยมีการประสาน ความร่วมมือภายในเขตสุขภาพท่ี ๑๑ ทงั ๗ จังหวดั ภาคใตต้ อนบน ได้แก่ จังหวดั ชุมพร ระนอง สุราษฎรธ์ านี นครศรธี รรมราช กระบี่ พังงา ภูเก็ต และยังได้มีการประสานความร่วมมือภายนอกเขตสุขภาพเพ่ือให้บริการประชาชน ตามแผนยุทธศาสตร์ การป้องกันและควบคุมโรคมะเร็ง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ทัง ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การป้องกันและรณรงค์เพื่อ ลดความเสยี่ ง (Primary Prevention) ยทุ ธศาสตร์ท่ี ๒ การตรวจคดั กรองและตรวจค้นหามะเรง็ ระยะเริ่มต้น (Screening and Early Detection) ยทุ ธศาสตร์ท่ี ๓ การตรวจวินิจฉยั โรคมะเร็ง (Cancer Diagnosis) : Pathology ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๔ การรกั ษา โรคมะเร็ง (Cancer Treatment) ยุทธศาสตร์ท่ี ๕ การดูแลเพ่ือประคับประคองผู้ป่วย (Palliative Care) ยุทธศาสตร์ที่ ๖ สารสนเทศโรคมะเรง็ (Cancer Informatics) ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การวจิ ัยด้านโรคมะเรง็ (Cancer Research) วตั ถปุ ระสงค์ ๑. เพ่ือเปรียบเทียบอุบัติการณ์โรคมะเร็งลาไส้ใหญ่ ระหว่างประชากรกลุ่มเป้าหมายในโครงการคัดกรองมะเร็ง ลาไสใ้ หญข่ อง สปสช. และกลุ่มทีไ่ มไ่ ดอ้ ย่ใู นโครงการ ที่เข้ามารบั บริการส่องกลอ้ ง ๒. เพ่ืออธิบายคุณลกั ษณะประชากรได้แก่ เพศ อายุ การศกึ ษา เศรษฐกิจ สังคม สทิ ธกิ ารรกั ษาระหว่างประชากรทงั สองกลมุ่ วธิ กี ารด้าเนนิ งาน/วิธกี ารศกึ ษา การวจิ ัยเชงิ พรรณนาครังนี ประชากร ไดแ้ ก่ กลุ่มเป้าหมายท่เี ข้ามารับบริการส่องกล้องตรวจลาไส้ใหญ่ ท่ีโรงพยาบาล มะเร็งสุราษฎร์ธานี เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบบันทึกการวิจัย ซึ่งประกอบด้วยข้อมูล ๒ ส่วน คือ ข้อมูลท่ัวไป และ ประวัติการรักษา เก็บรวมรวมข้อมูลโดยผู้วิจัยทาหนังสือขอความร่วมมือถึงหน่วยงาน และขออนุญาตใช้ข้อมูลในแฟ้ม เวชระเบียน เพ่ือลงบันทึกข้อมูลในแบบบันทึกการวิจัยท่ีสร้างขึน ใช้แบบบันทึกการวิจัยท่ีสมบูรณ์ นามาวิเคราะห์ จานวน Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๒
๒๐๐ ฉบับ ระหว่าง วันท่ี๑ เมษายน ๒๕๖๒ - วันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ จานวน รอ้ ยละ และสถิตอิ นมุ านไดแ้ ก่ Chi square test ผลการดา้ เนนิ งาน/ผลการศกึ ษา ข้อมลู ทวั่ ไป ประชากรกลุ่มเปา้ หมายในโครงการคัดกรองมะเร็งลาไสใ้ หญ่ ของ สปสช. และกลุ่มท่ไี มไ่ ด้อย่ใู นโครงการ มีข้อมูลทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ ๖๒.๘ และ ๕๐.๙, สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ ๘๙.๐ และ ๙๐.๙, อาชีพ เกษตรกรรม รอ้ ยละ ๖๑.๔ และ ๔๐.๐, สิทธิการรักษาบตั รทอง รอ้ ยละ ๙๙.๓ และ ๒๕.๕, สว่ นอายุ กลุ่มเป้าหมายในโครงการ มอี ายุระหวา่ ง ๕๐-๕๔ ปี มากทส่ี ุด ร้อยละ ๒๙.๐ สว่ นกลุ่มที่ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นโครงการ มีอายรุ ะหวา่ ง ๖๕-๗๐ ปี มากที่สุดร้อยละ ๓๐.๙ ประวตั กิ ารรกั ษา ผลการศกึ ษาพบว่า ประชากรกลุม่ เป้าหมายในโครงการคัดกรองมะเรง็ ลาไสใ้ หญ่ ของ สปสช. และ กลุ่มท่ีไม่ได้อยู่ในโครงการ มาทาการส่องกล้อง Colonoscopy มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๙ และ ๕๒.๗ กลุ่มเป้าหมาย ในโครงการส่วนใหญ่ ได้รับการตรวจ Fit test มผี ลการตรวจพบเลอื ดแฝงในอุจจาระ คิดเปน็ รอ้ ยละ ๙๘.๖ การเปรียบเทียบการเกิดอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่ ผลการศึกษาพบว่า ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ในโครงการคัดกรองมะเร็งลาไส้ใหญ่ ของ สปสช. และกลุ่มท่ีไม่ได้อยู่ในโครงการ มีอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่ คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๓.๔ และ ๕.๕ ตามลาดบั ไมแ่ ตกตา่ งกันทางสถติ ิ อภปิ รายผล ผลการศึกษาพบว่า ประชากรกลุ่มเป้าหมายในโครงการคัดกรองมะเร็งลาไส้ใหญ่ ของ สปสช. และกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ ในโครงการ มีอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่คิดเป็นร้อยละ ๓.๔ และ ๕.๕ มาทาการส่องกล้อง Colonoscopy มากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๙ และ ๕๒.๗, กลุ่มเป้าหมายในโครงการส่วนใหญ่ ได้รับการตรวจ Fit test มีผลการตรวจพบ เลือดแฝงในอุจจาระ คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๖ ผลการศึกษาในครังนีสอดคล้องกับ อุบัติการณ์ของการเกิด มะเร็งลาไส้ใหญ่ใน ประเทศไทยท่ีพบมากเป็นลาดับที่ ๔ หรือพบผู้ป่วยรายใหม่ ๑๑,๔๙๖ ราย/ปี อัตราการเสียชีวิต ๖,๘๔๕ ราย/ปี รองจาก มะเรง็ ตบั มะเรง็ ปอด และ มะเร็งเต้านม ตามลาดับ ซึ่งอัตราการตายในมะเรง็ ลาไส้นนั ลดลงอยา่ งมีนยั สาคญั เมื่อมกี ารตรวจคัด กรองและป้องกนั การเกดิ ด้วยการตดั ตง่ิ เนือ (Polypectomy) ตงั แตอ่ าการเร่มิ แรกของตวั โรคเริ่มเกิดขนึ คุณลักษณะประชากรได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม สิทธิการรักษา ของประชากรทังสองกลุ่มพบว่า ประชากรกลุ่มเป้าหมายในโครงการคัดกรองมะเร็งลาไส้ใหญ่ ของ สปสช. และกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในโครงการ มีข้อมูลทั่ว ไป ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ ๖๒.๘ และ ๕๐.๙,สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ ๘๙.๐ และ ๙๐.๐, อาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ ๖๑.๔ และ ๔๐.๐, สิทธิการรักษาบัตรทอง ร้อยละ ๙๙.๓ และ ๒๕.๕, ส่วนอายุ กลุ่มเป้าหมายในโครงการ มีอายุระหว่าง ๕๐-๕๔ ปี มากทีส่ ุด รอ้ ยละ ๒๙.๐ ส่วนกลุ่มทีไ่ ม่ไดอ้ ยใู่ นโครงการ มอี ายรุ ะหวา่ ง ๖๕-๗๐ ปี มากทีส่ ดุ ร้อยละ ๓๐.๙ สอดคลอ้ ง กบั ขอ้ มลู ในประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ พบมะเรง็ ลาไสใ้ หญ่ มากเปน็ อันดบั ๓ ในชายไทย รอง จากมะเร็งตบั และมะเร็งปอด และพบมากเป็นอนั ดับ ๕ ในหญิงไทย รองจากมะเร็งปากมดลูก มะเรง็ เต้านม มะเรง็ ตับ และมะเร็งปอด โดยพบผู้ป่วยรายใหม่ ๘,๗๖๐ รายต่อปี พบในเพศชาย ๔,๗๑๐ ราย (ASR ๑๔.๕) และเพศหญิง ๔,๐๕๐ ราย (ASR ๑๐.๗) มากกว่าร้อยละ ๘๐ ของผู้ป่วยมะเรง็ ลาไสใ้ หญ่ มีอายุ ๕๐ ปขี ึนไป สรุปและข้อเสนอแนะ การพัฒนาแนวทางในการคัดกรองโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่ เพ่ือให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว และมปี ระสทิ ธภิ าพ สามารถค้นพบมะเร็งลาไสใ้ หญไ่ ด้ในระยะเรม่ิ ตน้ การให้ข้อมูลกับประชาชน เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสาคัญในการคัดกรองโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่ ซ่ึงมอี ุบัติการณส์ งู ขนึ ในปจั จบุ ัน สามารถควบคุมและป้องกนั โรคมะเร็งไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๓
ช่ือผลงาน ศึกษาผลของการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดแดงเล้ียงกล้ามเนื้อหัวใจชนิดหยุดหัวใจเต้น ร่วมกับการพยุงชีพด้วยเคร่ืองหัวใจและปอดเทียม โดยเปรียบเทียบผลจากการใช้ สารละลายหยุดหัวใจเต้น ชนิดเดลนิโด เทียบกับ สารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเซนต์โทมัส (Comparison of the Outcomes Between St.thomas cardioplegia and Del Nido cardioplegia in On pump Coronary Bypass Surgery) ชอื่ เจ้าของผลงาน น.พ.วริ ฬุ นภาอมั พร, พญ.สภุ สั สรางค์ จนั ทรเ์ พญ็ โรงพยาบาลวชิระภเู ก็ต พว.ฌาณิศา จนั ทวะรี โรงพยาบาลกรงุ เทพ บทนา้ /หลักการและเหตุผล/ท่มี าและความส้าคญั การผ่าตัดหัวใจบายพาสชนดิ หยุดหวั ใจเต้นร่วมกบั การพยุงชีพด้วยเคร่ืองหัวใจและปอดเทียม(arrested heart with cardiopulmonary bypass support) มีความจาเป็นอย่างย่ิงที่ต้องใช้สารละลายหยุดหัวใจเต้น(cardioplegic solution) เพราะสารละลายจะไปทาหน้าที่ให้หัวใจหยุดเต้นในลักษณะหัวใจคลายตัว(diastolic phase) จะส่งผลให้กล้ามเนือหัวใจ สามารถทนต่อการขาดเลือดไปเลียงได้ในระหว่างที่ทาการผ่าตัด ในปัจจุบันมีสารละลายหยุดหัวใจเต้น (cardioplegic solution)หลายชนิด เชน่ สารสะสายเซนต์โทมสั (St.Thomas cardioplegic solution) สารละลายคาสโตรไดออล(Custodiol cardioplegic solution) สารละลายเดลนิโด(Del Nido cardioplegic solution) สารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเซนต์โทมัส(St. Thomas cardioplegia) ซึ่งใช้กันมานานและมีความปลอดภัย เป็นสารละลายที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายๆโรงพยาบาลศูนย์ท่ีมีการผ่าตัดหัวใจ แต่พบว่าตัวแทนจาหน่ายสารละลาย หยุดหัวใจเตน้ ชนิดเซนต์โทมัส (St. Thomas cardioplegia) ไม่ได้นาสารละลายดังกล่าวเข้ามาจาหนา่ ย ในประเทศไทยตงั แต่ ปลายปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงยังคงเหลือแค่ศูนย์หัวใจที่สามารถผลิตสารละลายหยุดหัวใจเต้นดังกล่าวเองได้ ผลิตใช้เองอยู่เท่านัน หลายๆ ศูนย์หัวใจจึงต้องมองหาทางเลือกใหม่ๆ ทางโรงพยาบาลศูนย์วชิระภูเก็ต ไม่สามารถผลิตสารละลายเซนต์โทมัส (St.Thomas cardioplegia) ไดเ้ อง จงึ มองทางเลือกทจี่ ะใชส้ ารสารละลายหยดุ หวั ใจชนิดอืน่ ๆ สารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเดลนิโด (Del Nido cardioplegia) จึงเป็นทางเลือกในการพิจารณาเพ่ือนามาใช้แทน สารละลายเซนต์โทมัส (St.Thomas cardioplegia) ในการผ่าตัดหัวใจบายพาสชนิดหยุดหัวใจเต้นร่วมกับการพยุงชีพ ดว้ ยเครอ่ื งหัวใจและปอดเทียม (arrested heart with cardiopulmonary bypass support) ดว้ ยเหตุผลวา่ จากการทบทวน งานวิจัยในต่างประเทศพบว่ามีความปลอดภัยในการใช้ในการผ่าตัดสูง, สามารถจัดผสมเองได้จากสารละลายต่างๆที่เ ป็น เวชภัณฑ์เดิมที่มีในโรงพยาบาล, ราคาต้นทุนถูก และระยะหยุดหัวใจเต้นได้นานกว่าสารละลายเซนต์โทมัส (St.Thomas cardioplegia) วัตถปุ ระสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลของการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดแดงเลียงกล้ามเนือหัวใจชนิดหยุดหัวใจเต้น ร่วมกับการพยุงชีพด้วยเครื่องหัวใจและปอดเทียม โดยเปรียบเทียบผลจากการใช้ สารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเดลนิโด เทยี บกับ สารละลายหยดุ หวั ใจเต้นชนิดเซนตโ์ ทมัส วิธกี ารดา้ เนนิ งาน/วิธีการศึกษา เป็นการรวบรวมข้อมูลแบบย้อนหลังแล้วเก็บข้อมูลแบบเดินหน้า จากนันนาข้อมูลที่ได้มาจัดทาเป็นข้อมูลเชิงสถิติ จากจานวนผู้ปว่ ยทังสิน ๑๐๒ รายท่ีเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดแดงหัวใจแบบหยุดหัวใจเต้นภายใต้เครื่องหัวใจและ ปอดเทียมท่ีศูนย์หัวใจอันดามัน โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตตังแต่ เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ ถึงเดือน เมษายน ๒๕๖๓ โดยแบ่ง ผูป้ ่วยเปน็ สองกลุ่มได้แก่กลุ่ม A จานวน ๖๘ ราย ซง่ึ เป็นกลุ่มของผู้ป่วยท่ีได้การผ่าตัดหัวใจบายพาสชนดิ หยุดหัวใจเต้นรว่ มกับ การพยุงชีพด้วยเครื่องหัวใจและปอดเทียม(arrested heart with cardiopulmonary bypass support) โดยใช้สารละลาย หยุดหัวใจเต้นชนิดเซนต์โทมัส (St. Thomas cardioplegia) และกลุ่ม B จานวน ๓๔ ราย ซึ่งเป็นกลุ่มของผู้ป่วยท่ีได้รับการ ผ่าตัดหัวใจบายพาสชนิดหยุดหัวใจเต้นร่วมกับการพยุงชีพด้วยเคร่ืองหัวใจและปอดเทียม (arrested heart with cardiopulmonary bypass support) โดยใชส้ ารละลายหยดุ หวั ใจเต้นชนดิ เดลนิโด (Del Nido cardioplegia) การศึกษานีได้รับอนุญาตให้จัดเก็บข้อมูลและนาข้อมูลไปประมวลผลเชิงสถิติต่อได้ โดยคณะกรรมการตรวจสอบ จริยธรรม ของโรงพยาบาลศูนย์วชริ ะภเู ก็ต Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๔
ในโรงพยาบาลศูนย์วชิระภูเก็ตการผ่าตัดหัวใจบายพาสชนิดหยุดหัวใจเต้นร่วมกับการพยุงชีพด้วยเคร่ืองหัวใจและ ปอดเทียม(arrested heart with cardiopulmonary bypass support) จะทาการผ่าตัดหัวใจโดยใช้ทีมผ่าตัดหัวใจเท่านัน ประกอบไปด้วย ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอกอย่างน้อย ๒ ท่าน พยาบาลส่งเครื่องมือผ่าตัด ๒ ท่าน นักเทคโนโลยีหัวใจและ ทรวงอก ๒ ทา่ น วสิ ัญญีแพทย์โรคหัวใจ ๑ ทา่ นและทีมพยาบาลวิสัญญี ผปู้ ว่ ยทุกรายได้รับการใส่เคร่ืองอัลตร้าซาวด์หัวใจผ่าน ทางหลอดอาหารทุกราย (tranesophageal echocardiogram :TEE) หลังจากที่ผูป้ ่วยถูกทาให้สลบโดยวิสัญญีแพทย์ ภายใต้ ภาวะปลอดเชือ ผปู้ ว่ ยทกุ รายจะไดร้ บั การผา่ ตัดเปิดแผลบริเวณกลางหนา้ อก (Median sternotomy) จากนนั เส้นเลอื ดบรเิ วณ ตา่ งๆ เชน่ ผนงั หนา้ อก (Left internal mammary artery) บรเิ วณขา ( greater saphenous vein) จะถูกเตรยี มเพ่ือนาไปใช้ ทาบายพาส ผู้ป่วยจะได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดเฮ็บพาริน (Heparin) ในขนาด ๓-๔ มิลลิกรัมต่อ ๑ กิโลกรัม ขันตอน ต่อไป คือ การเช่ือมต่อผู้ป่วยเข้ากับเครื่องหัวใจและปอดเทียม โดยเลือดแดงจากเครื่องหัวใจและปอดเทียมจะเข้าไปเลียง อวัยวะต่างๆในร่างกายทางหลอดเลือดแดงใหญ่ (Ascending aorta) สว่ นเลือดดาจะถูกนาไปฟอกกลับท่ีเครื่องหัวใจและปอด เทียมโดยจะถูกนาออกทางหัวใจห้องขวาบน (Right atrium) เมื่อระดับค่าความแข็งตัวของเลือด ACT (activated clotting time) ถงึ ระดบั ๒๕๐-๓๐๐ เคร่ืองหวั ใจและปอดเทยี มก็จะเร่ิมทางาน จากนันผ้ปู ่วยจะถูกทาใหอ้ ุณหภูมิของร่างกายลดลงไปท่ี ๓๒ องศาเซลเซียส ในช่วงเวลาดังกล่าวนี ผู้ป่วยกลุ่ม A ก็จะได้รับสารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเซนต์โทมัส (St. Thomas cardioplegia) ในขนาดเบอื งต้นท่ี ๒๐ CC ต่อนาหนักหน่ึงกิโลกรัม จากนนั จะให้อีกตอ่ เน่ืองทุก ๒๐ นาที ในขนาดยา ๑๐ CC ต่อนาหนักตัวหน่ึงกิโลกรัม ในส่วนของผู้ป่วยกลุ่ม B ในขันตอนนีจะได้รับสารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเดลนิโด (Del Nido cardioplegia) ในขนาด ๒๐ CC ต่อนาหนักตวั หน่ึงกิโลกรัม (แต่จะไมเ่ กิน ๑๐๐๐ CC) จากนันจะใหอ้ ีกต่อเน่ืองทุก ๙๐ นาที ในขนาด ๑๐ CC ต่อนาหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ในกลุ่ม B จะมีการผสมสารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเดลนิโด (Del Nido cardioplegia) กับ เลือดที่ได้รับยาต้านการแขง็ ตัวของเลือด (heparinized blood) ในสัดส่วน ๑:๑ โดยการประมาณ เพ่ือไว้ ใช้ในการทดสอบฝีเย็บว่ามีการรับเลือดไปเลียงกล้ามเนือหัวใจได้ดีหรือไม่หลงั จากต่อเส้นเลือดเสร็จ ในช่วงทไี่ ด้รับสารละลาย หยุดหวั ใจเต้น เส้นเลือดแดงใหญ่ (Ascending aorta) จะถูกหนบี ในส่วนของการนาเลือดออกจากหัวใจหอ้ งฝ่ังซา้ ยนัน (Vent) จะถูกนาออกทางสายระบายทเี่ ส้นลอื ดแดงใหญ่ (ascending aorta) ต่อจากนันจึงเร่ิมทาการบายพาสหลอดเลอื ดโดยต่อฝีเย็บ ที่อยู่ไกลก่อน (distal anastomosis) เมื่อต่อฝีเย็บที่อยู่ไกลเสร็จ จากนันจึงมาต่อฝีเย็บท่ีอยู่ใกล้ (proximal anastomosis) เม่ือตอ่ หลอดเลือดบายพาสหัวใจเสร็จแล้ว ผูป้ ่วยจะถูกทาให้กลับมาอยู่ที่อุณหภูมิ ๓๗ องศาเซลเซียสอีกครัง เคร่ืองหัวใจและ ปอดเทียมจะค่อยๆ ถูกลดความช่วยเหลือลงจนกระทั่งถูกแยกออกไปจากผู้ป่วย จุดเลือดออกต่างๆจะถูกตรวจสอบอีกครัง สายระบายจะถกู นามาวางไว้ในช่องทรวงอก แผลผ่าตัดจะถูกเย็บปิด เม่ือปิดแผลเรียบร้อยผู้ป่วยจะถูกนาตวั ไปดูแลรักษาต่อท่ี หอผปู้ ว่ ยวิกฤตโิ รคหัวใจ หลังจากนนั ข้อมูลต่างๆ ท่ีบนั ทึกในช่วงท่ีมกี ารรักษาตังแต่ช่วงระหว่างการผ่าตัดและการดูแลหลงั ผ่าตัดจะถูกบันทึก และนาออกมาประมวลผลเชิงสถติ ิ โดยใช้โปรแกรม ปริซึมกราฟแพด (Prism-GraphPad) ผลการด้าเนินงาน/ผลการศกึ ษา ทาให้ไดอ้ งคค์ วามรู้ทีว่ ่าสารละลายหยุดหัวใจเต้นชนดิ เดลนิโด (Del Nido cardioplegia) มีความปลอดภัยสงู เท่าเทียม กับสารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเซนต์โทมัส (St.Thomas cardioplegia) ในการนาไปใช้ผ่าตัดบายพาสหลอดแดงหัวใจชนิด หยุดหัวใจเต้นร่วมกับการพยุงชีพด้วยเคร่ืองหัวใจและปอดเทียม (arrested heart coronary artery bypass graft with cardiopulmonary bypass support) อภิปรายผล ๑. ความรู้ดังกล่าวสามารถเอาไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสาหรับการรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค หลอดเลือดแดงหวั ใจตบี (coronary artery disease) ท่ีมขี อ้ บ่งชีในการผา่ ตดั บายพาสผา่ ตดั บายพาสหลอดแดงหวั ใจ ๒. ในเชิงปริมาณ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงหัวใจตีบ (coronary artery disease) ท่ีมี ข้อบ่งชใี นการผ่าตัดบายพาสหลอดแดงหัวใจจะไดร้ ับประโยชน์ทกุ ราย เนือ่ งจากมที างเลอื กมากขึนกวา่ เดิมในการใชส้ ารละลาย หยุดหัวใจเต้น ถ้าผู้ป่วยรายดังกล่าวได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดบายพาส หลอดเลือดแดงหัวใจ ชนิดหยุดหัวใจเต้นร่วมกับ Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๕
การพยุงชีพด้วยเครื่องหัวใจและปอดเทียม (arrested heart coronary artery bypass graft with cardiopulmonary bypass support) ๓. ความรู้จากการศกึ ษาวจิ ัยนีสามารถนาไปเผยแพร่สู่โรงพยาบาลอื่นๆท่ีทาการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดแดงหัวใจ และสามารถนาไปใชไ้ ด้ในการรกั ษาจริง ๔. โรงพยาบาลทมี่ กี ารผ่าตดั บายพาสหลอดเลือดแดงหัวใจชนิดหยุดหวั ใจเต้นร่วมกบั ใช้เคร่อื งหัวใจและปอดเทยี มมา พยุงชีพ สามารถใช้สารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเดลนิโด (Del Nido cardioplegia) แทนสารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิด เซนต์โทมัส (St.Thomas cardioplegia) เนื่องจากสารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเซนต์โทมัส (St.Thomas cardioplegia) ไมไ่ ด้ถูกนาเข้ามาจาหน่ายในประเทศไทยอีกตอ่ ไปแลว้ ๕. นาความรจู้ ากการศึกษานีไปเผยแพร่ในโรงพยาบาลที่มีการผา่ ตัดบายพาสหลอดเลือดแดงหวั ใจ เพอ่ื นาองคค์ วามรู้ ดงั กล่าวไปเปน็ ทางเลอื กในการใช้รักษาผู้ปว่ ยที่ต้องเขา้ รบั การผา่ ตัดบายพาสหลอดเลือดแดงหวั ใจ ๖. สารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเดลนิโด (Del Nido cardioplegia) สามารถผสมได้เองจากเวชภัณฑ์ท่ีมีอยู่แล้วใน โรงพยาบาล ซง่ึ สะดวกกว่า สารละลายหยุดหวั ใจเต้นชนดิ อน่ื ๆท่ีต้องจัดซือเขา้ มา ๗. เนื่องจากสารละลายหยุดหวั ใจเต้นชนิดเดลนิโด (Del Nido cardioplegia) สามารถผสมได้เองจากเวชภัณฑ์ ที่มี อย่แู ลว้ ในโรงพยาบาล จงึ ชว่ ยลดภาระงานจัดซอื และงานจดั เกบ็ เวชภัณฑ์ ๘. ลดค่าใช้จา่ ยของโรงพยาบาลเพราะลดเวชภัณฑ์ ไปหน่งึ รายการ ๙. นาความรดู้ งั กล่าวไปศกึ ษาตอ่ ยอดงานวิจยั อืน่ หรอื ใช้อ้างองิ ในงานวจิ ัยอ่ืนๆได้ ๑๐. มีความเหมาะสมกับเศษฐสถานะของประเทศชาติ เพราะต้นทุนของสารละลายหยุดหัวใจเต้นเดลนิโด (Del Nido cardioplegia) นันมรี าคาถกู สรปุ และข้อเสนอแนะ สารละลายหยุดหัวใจเต้นชนิดเดลนิโด (Del Nido cardioplegia) มีความปลอดภัยสูงเท่าเทียมกับ สารละลาย หยุดหัวใจเต้นชนิดเซนต์โทมัส (St.Thomas cardioplegia) ในการนาไปใช้ผ่าตัดบายพาสหลอดแดงหัวใจชนิดหยุดหัวใจเต้น ร่วมกบั การพยงุ ชพี ดว้ ยเครื่องหวั ใจและปอดเทยี ม (arrested heart coronary artery bypass graft with cardiopulmonary bypass support) ความรทู้ ี่ได้จากการศึกษาวิจัยในครงั นีสามารถนาไปใช้ในการผา่ ตัดได้จริง, สามารถนาไปใช้ศึกษาต่อยอด, ใช้อ้างอิง ในงานวิจัยหรอื ในตาราอ่ืนๆได้ อีกทังยังมคี วามเหมาะสมกับเศษฐสถานะของประเทศชาติ แต่การศึกษานจี ะได้ข้อมลู ที่ละเอียดขึน ถ้านาไปศึกษาต่อยอดแบบเก็บขอ้ มูลแบบส่มุ และเกบ็ ข้อมลู แบบเดินหน้า(Randomized control trial) Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๖
ชื่อเรอ่ื ง การพัฒนาทีมเพอ่ื ให้ผ้ปู ่วยที่มเี ลือดออกภายในกะโหลกศีรษะได้รับการผา่ ตัดฉกุ เฉินภายใน ๓๐ นาที ช่ือเจ้าของผลงาน นพ.บุญเลิศ มติ รเมอื ง และคณะ โรงพยาบาลชมุ พรเขตรอดุ มศักดิ์ บทน้า/หลักการการและเหตุผล/ท่ีมาและความสา้ คัญ ในประเทศไทยพบว่าภาวะเลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ (Intracranial hemorrhage) ที่พบบ่อยในเวชปฏิบัติ ได้แก่ เลือดออกจากการบาดเจ็บศีรษะ (Head trauma) และโรคหลอดเลอื ดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) จากสถติ ิของ ประเทศไทยพบว่าอัตราตายที่พบมากที่สุดจากอุบัติเหตุได้แก่การตายจากการบาดเจ็บศีรษะท่ีมีเลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ จากขอ้ มลู ย้อนหลงั สามปีของประเทศไทย พบว่าการบาดเจบ็ ศีรษะสว่ นใหญ่เกิดจากการจราจร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผเู้ สียชวี ิต ๑๑,๓๘๙ คน ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ มผี ู้เสียชีวิต ๙,๘๑๕ คน และปี พ.ศ.๒๕๖๐ มผี ูเ้ สยี ชีวิต ๑๕,๒๕๖ คน และมแี นวโน้มเพมิ่ ขนึ ทุกปี สว่ นผู้บาดเจ็บก็เพิม่ ขึนจาก ๖๖๐,๘๘๘ คน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็น ๘๓๑,๑๘๘ คน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ มีจานวนทังสิน ๑,๐๐๒,๑๙๓คน ส่วนเร่ืองโรคหลอดเลือดสมองแตกเป็นภาวะฉุกเฉินที่พบได้ร้อยละ ๑๐ – ๑๕ ของกลุ่ม โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular diseases) ทังหมด จากการศึกษาของ นิจศรี สุวรรณเวลา พบว่าโรคหลอดเลือด สมองแตกในประชากรไทยสงู กว่าชาติตะวนั ตกโดยมีอุบตั ิการณป์ ระมาณรอ้ ยละ ๒๐ มีอัตราตายสูงถึงรอ้ ยละ ๓๕ – ๕๒ ในช่วง ๓๐ วันแรก และพบว่าอัตราการรอดชีวิตในระยะเวลา ๑ ปี น้อยกว่าร้อยละ ๕๐.๘ โดยสาเหตุท่ีพบบ่อยท่ีสุดท่ีทาให้เกิด โรคหลอดเลอื ดสมองแตกคือภาวะความดันโลหิตสูงเรือรัง จากการศึกษาพบว่าการที่มเี ลอื ดออกภายในกะโหลกศีรษะจะทาให้ เกิดแรงดันภายในกะโหลกศีรษะสูงขึน (Increase Intracranial Pressure : IICP) ซ่ึงจะทาให้เกิดการกดเบียดอวัยวะภายใน กะโหลกศีรษะ ทาให้เลือดไปเลียงสมอง (Cerebral blood flow) ลดลง ทาให้เนือสมองได้รับสารพิษท่ีเกิดจากการสลายตัว ของเม็ดเลือดแดง (Blood-breakdown toxins) ทาให้เกิดสมองบวมรุนแรงจนเกิดภาวะสมองเคล่ือน (Brain herniation) จนเกิดการกดทับก้านสมอง (Brainstem compression) จนทาให้เสียชีวิตหรือพิการรุนแรง ดังนันตามทฤษฎีและการศึกษา ตา่ งๆพบว่าการทาผ่าตัดเพ่อื ระบายเลือดในสมอง (Surgical evacuation) จะชว่ ยใหล้ ดแรงดันในสมอง และทาใหเ้ ลือดไปเลยี ง สมองดีขึน ซ่ึงจะช่วยเพ่ิมอัตราการรอดชีวิตและลดความพิการรุนแรงลงได้ การศึกษาในต่างประเทศพบว่าการผ่าตัดได้เร็ว จะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตมากขึน และมีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึนกว่าการ delayed surgical evacuation ในประเทศไทย ราชวทิ ยาลัยประสาทศลั ยแพทย์แหง่ ประเทศไทยไดก้ าหนดเวลามาตรฐานในการผา่ ตัดฉกุ เฉินไว้ที่ไมเ่ กนิ ๖๐ นาที โรงพยาบาล ชมุ พรเขตรอดุ มศักดิ์เป็นศนู ย์รบั ส่งต่อผู้ปว่ ยมาจากโรงพยาบาลระนองและโรงพยาบาลชุมชนทัง ๑๐ แห่งในจังหวดั ชุมพร ซงึ่ มี ระยะทางท่ีไกลจากโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ดังนันผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อใช้เวลาค่อนข้างนานในการเดินทางมาถึง โรงพยาบาล ดังนันทีมนาการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมประสาท (Clinical Lead Team : Neurosurgery) จึงได้พยายามหาวิธี และมีการพัฒนาระบบเพื่อให้ผู้ป่วยได้รบั การผ่าตดั ฉุกเฉินท่ีรวดเร็วกวา่ ๖๐ นาที (เพือ่ ชดเชยเวลาที่เสียไประหว่างการส่งต่อ) เพ่ือเพม่ิ โอกาสรอดชีวิตและส่งผลถึงคุณภาพชีวติ ท่ีดีของผ้ปู ่วยหลังการผา่ ตดั โดยทีมงานได้ตังเป้าหมายให้ผปู้ ่วยท่ีมีเลือดออก ภายในกะโหลกศีรษะท่ีมขี อ้ บง่ ชีในการผา่ ตัดฉกุ เฉินต้องได้รับการผา่ ตัดภายใน ๓๐ นาที วัตถปุ ระสงค์ เพ่อื ใหผ้ ู้ป่วยทม่ี เี ลอื ดออกภายในกะโหลกศรี ษะท่มี ขี ้อบง่ ชีในการผา่ ตดั ฉุกเฉนิ ได้รบั การผา่ ตัดภายใน ๓๐ นาที วิธกี ารดา้ เนนิ งาน/วิธกี ารศกึ ษา รูปแบบการศึกษา: เป็นการศึกษาแบบ Research and Development โดยทาการศึกษาวิจัยและพัฒนาระบบ ตังแต่ เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ถงึ เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ กลุ่มตัวอย่าง: ผ้ปู ่วยทกุ รายทไี่ ดร้ บั การผ่าตัดสมองแบบฉกุ เฉิน (Emergency cases) ในช่วง ๓ ปี Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๗
วิธีการดาเนนิ งานศึกษาดังนี ขนั ท่ี ๑ Plan (วางแผน) : ในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ โรงพยาบาลชมุ พรเขตรอดุ มศกั ด์ิมีนโยบายมุง่ ม่ันที่จะผา่ นมาตรฐาน Hospital Accreditation ขนั ท่ี ๓ ของสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) และในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เขตสขุ ภาพท่ี ๑๑ ได้ประกาศ ให้มีการจัดตัง service plan สาขาผ่าตัดสมองขึน โรงพยาบาลได้เล็งเห็นถึงความสาคัญของการดูแลผู้ป่วยโรคสมองจึงได้มี การจัดตังทีมนาทางคลินิกการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมประสาท(Clinical Lead Team : Neurosurgery) ขึนมาเพื่อพัฒนา ศักยภาพการดแู ลผู้ป่วยให้ได้มาตรฐานเพ่ือตอบสนองนโยบายของเขต ๑๑ และตอบวิสยั ทศั นข์ องโรงพยาบาลคอื “โรงพยาบาล คุณภาพที่ประชาชนไว้วางใจและบุคลากรมีความสุข” ดังนันทีมนาทางคลินิกการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมประสาท จึงได้ทาการ วเิ คราะหจ์ ุดเด่นจุดด้อยปญั หาอปุ สรรคและแนวทางพัฒนา จึงพบวา่ ความเสยี่ งเฉพาะสาคัญ (specific clinical risk) คือผูป้ ว่ ย ท่ีมีเลือดออกภายในกะโหลกศีรษะที่มีข้อบ่งชีที่ต้องรับการผ่าตัดสมองแบบฉุกเฉินได้รับการผ่าตัดล่าช้า ซ่ึงทาให้เกิดปัญหา ตามมาเช่น อัตราตายสูง ปัญหาการร้องเรียน ความไม่พอใจในการรับบริการที่ล่าช้า ดังนันทีมนาทางคลินิกการดูแลผู้ป่วย ศัลยกรรมประสาทจึงได้นาปัญหานีมาทาการวางแผนท่ีจะพัฒนา โดยการจัดทาแผนยุทธศาสตร์ ๕ ปี ของหน่วยศัลยกรรม ประสาทขึน และตังเป้าหมายท่ีจะพัฒนาศักยภาพของทีมให้สามารถผ่าตัดสมองฉุกเฉินได้ภายใน ๓๐ นาทีหลังจากแพทย์ส่ัง (Order) ขนั ท่ี ๒ Do (การลงมือปฏบิ ตั )ิ : ๑. จัดประชุมบูรณาการความรู้ (Integrated neurosurgery knowledge) ให้ทีมงานผู้มีส่วนเก่ียวข้องทุกคน รับทราบและเข้าใจในเรื่องอันตรายท่ีเกิดจากภาวะเลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ ปัญหาเรื่องแรงดันในสมองท่ีสูงขึน (Increase intracranial pressure) ภาวะแทรกซ้อนทต่ี ามมาและอตั ราตาย ๒. จดั ประชุมสหสาขาวิชาชพี ทีม่ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง เพอ่ื วางแนวทางปฏิบตั ิที่ได้มาตรฐานของแต่ละสหสาขาวิชาชพี ไดแ้ ก่ ประสาทศัลยแพทย์ วิสัญญีแพทย์ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน พยาบาลหอผู้ป่วยอุบัติเหตุ พยาบาลหอผู้ป่วยสามัญ พยาบาล หอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมประสาท พยาบาลห้องฉุกเฉิน พยาบาลหอ้ งผ่าตัด วสิ ัญญีพยาบาล เภสัชกร นักรังสวี ิทยา นกั เทคนิค การแพทย์และพนักงานเปลเคล่ือนย้ายผู้ป่วย มีข้อตกลงเป้าหมายร่วมกัน โดยใช้คาว่า “fast track” ในการสื่อสารในกรณี ต้องการความเร่งด่วน เพื่อให้สามารถทาผ่าตัดสมองแบบฉุกเฉินได้ภายในเวลา ๓๐ นาที โดยพัฒนาร่วมกันภายใต้โครงการ “Fast track neurosurgery Project” ๓. เร่ิมดาเนนิ โครงการ “Fast track neurosurgery Project” ในวันท่ี ๑ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ขันท่ี ๓ Check (วเิ คราะห์ ทบทวน เรียนรู้) : ๑. เม่ือครบกาหนด ๑ เดือนในการดาเนินโครงการ ทีมนาทางคลินิกการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมประสาทได้มีการจัด ประชุมนาเสนอผลงาน ปัญหาอุปสรรคตา่ งๆ รับฟงั ข้อคดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะจากผูม้ ีส่วนได้สว่ นเสยี (Stakeholder) ทุกภาคส่วน ๒. ตน้ ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ หลังจากดาเนินงานได้ ๖ เดือน (นับจากวนั ท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑) พบว่าจานวนผู้ป่วยทีไ่ ด้รับ การผ่าตัดสมองแบบฉุกเฉินในเวลา ๓๐ นาที ยังไม่บรรลุเป้าหมายทว่ี างไว้ จากการวิเคราะห์ปัญหา ( root causes analysis) ของทีมนาทางคลินิกการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมประสาท พบว่าปัญหาสาคัญคือเร่ืองการเตรียมผู้ป่วยของหอผู้ป่วยใน และการ สื่อสารระหว่างหอผู้ป่วยในและระบบเคล่ือนย้ายผู้ป่วยทางานไม่สอดคล้องกันจนทาให้เวลาคลาดเคลื่อนจนเกิน ๓๐ นาที ศึกษาในรายละเอยี ดพบวา่ บางรายได้รบั การผา่ ตดั ท่ี ๖๐ นาทีหรอื มากกว่า ขันท่ี ๔ Act (การปรับปรงุ วิธกี ารดาเนินงานหลังการวิเคราะหท์ บทวน) : ๑. ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงได้มีการบูรณาการใหม่โดยการหมุนวงล้อ PDCA (Plan-Do-Check-Action) โดยการสร้าง การเรียนรู้โดยใช้วิธีแบบอย่างท่ีดี (good practice) มาช่วยจัดการความรู้ (knowledge management) โดยการแบ่งปัน ความร้แู ละประสบการณ์ในทมี โดยให้หน่วยงานท่ีทาได้ตามเป้าหมายมาเล่าถงึ วธิ กี ารทที่ าให้บรรลุเป้าหมายใหห้ น่วยงานอื่นๆฟัง Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๘
(Success story telling) และการหมนุ วงลอ้ PDCA ครังท่ี ๒ ใน ๖ เดือนหลังของปี ๒๕๖๒ สิ่งทที่ าใหโ้ ครงการบรรลุเปา้ หมาย (Key success) อกี อย่างคอื การสร้างมาตรฐานเวลาการให้บริการของแตล่ ะหน่วยงานเรียกว่าใช้ระบบการประกันเวลา (Time guarantee) และการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ไปยังหน่วยงานที่เก่ียวข้อง เพื่อให้ปรับปรุงแนวทางการดาเนนิ งานของ แต่ละหนว่ ยใหไ้ ดผ้ ลงานตามเป้าประสงค์ ๒. ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ - ๒๕๖๔ มีการศึกษาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยการบริหารจัดการผ่านทีมนาทางคลินิก การดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมประสาทโดยใช้กลยุทธ์ที่สาคัญเหมือนปี ๒๕๖๒ คือการแลกเปล่ียนเรียนรู้ การให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) การประกนั เวลา การให้รางวัล และการสร้างคุณคา่ ใหแ้ กท่ ีม เพอ่ื มอบสายธารแห่งคุณค่า (value stream) สง่ ผ่าน ไปยงั ผ้ปู ว่ ย ๓. การประชมุ สรปุ ผลงานเดือนละ ๑ ครัง และมอบรางวลั หนว่ ยงานดเี ดน่ การเกบ็ ข้อมูลและเครื่องมือท่ใี ช้ การศึกษานีเก็บรวบรวมข้อมูลจากการบันทึกในเวชระเบียนโดยนิยามเวลาท่ีได้รับการผ่าตัดใน ๓๐ นาที หมายถึง นับเวลาตังแต่ประสาทศัลยแพทย์ส่ัง (order) ให้มีการผ่าตัดแบบฉุกเฉิน โดยดูจากบันทึกเวลาของพยาบาลห้องฉุกเฉินหรือ หอผู้ป่วย จนถึงเวลาการเริ่มผ่าตัด (“start operation”) จากบันทึกของพยาบาลห้องผ่าตัดที่บันทึกไว้ในแบบฟอร์มบันทึก การผ่าตัด (Operative Note) ผวู้ จิ ัยนาขอ้ มูลเวลามาหักลบกันโดยนาเสนอเปน็ หน่วยนาที วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถติ ิเชิงพรรณนา โดยรายงานเป็นจานวนและร้อยละของผลการดาเนินงานในแตล่ ะปี ผลการดา้ เนนิ งาน/ผลการศึกษา การศึกษานีเก็บข้อมูลเวลาจากเวชระเบียนผู้ป่วยท่ีได้รับการผ่าตัดสมองแบบฉุกเฉิน (Emergency case) ในโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ ระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๑ ถึง กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๔ ทังหมด ๓๐๗ ราย ในจานวนนีมีเวชระเบียนที่ข้อมูลไม่สมบูรณ์จานวน ๓๗ ราย จึงเหลือผู้ป่วยนามาวิเคราะห์ทังหมดจานวน ๒๖๘ ราย เป็นเพศชายจานวน ๑๕๑ คน (ร้อยละ ๕๖.๔) เพศหญงิ จานวน ๑๑๗ คน (ร้อยละ ๔๓.๖) อายุเฉล่ีย ๔๙.๒ ปี (พิสัย ๑๒ – ๗๙ ปี) เปน็ ผู้ป่วยที่มเี ลือดออกภายในกะโหลกศีรษะจากการบาดเจบ็ ศีรษะจานวน ๑๙๐ ราย (รอ้ ยละ ๗๐.๙) โดยกลมุ่ นีพบว่าร้อยละ ๙๒.๕ เป็นเลือดออกชนิด epidural hematoma หรือ acute subdural hematoma และเลือดออกในสมองที่เกิดจาก hemorrhagic stroke จานวน ๗๘ ราย (ร้อยละ ๒๙.๑) โดยกลุ่มนีพบว่าร้อยละ ๘๓.๙ เป็นเลือดออกชนิด Basal ganglia hemorrhage หรือ Thalamic hemorrhage with intraventricular hemorrhage โดยแบ่งผู้ป่วยทังหมดเป็นรายปีได้ดังนี พ.ศ. ๒๕๖๑ จานวน ๓๑ ราย พ.ศ. ๒๕๖๒ จานวน ๙๘ ราย พ.ศ. ๒๕๖๓ จานวน ๙๒ ราย พ.ศ.๒๕๖๔ จานวน ๔๗ ราย ผลการดาเนนิ งานภายใตก้ ารพัฒนาทีมตามนโยบาย “Fast track Neurosurgery Project” มผี ลดังแสดงในตารางที่ ๑ และภาพที่ ๑ ตารางที่ ๑ แสดงผลการดาเนินงานตามปีปฏิทนิ ปพี ทุ ธศักราช ๒๕๖๑ ๒๕๖๒ ๒๕๖๓ ๒๕๖๔ รอ้ ยละของการผา่ ตดั ไดใ้ นเวลา 30 นาที ๘๘.๖ ๙๒.๔ ๙๘.๖ ๙๖.๓ (ผ้ปู ว่ ย hemorrhagic stroke) ร้อยละของการผา่ ตดั ไดใ้ นเวลา 30 นาที ๘๐.๔ ๘๙.๕ ๙๗.๖ ๙๖.๔ (ผปู้ ่วยบาดเจ็บศีรษะ) อตั ราการตายในภาพรวม ๑๕.๒ ๑๓.๘ ๑๓.๕ ๖.๓ ความพงึ พอใจของญาติ ๙๓.๔ ๙๒.๑ ๙๓.๒ ๙๒.๗ Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒๙
ภาพท่ี ๑ กราฟแสดงร้อยละของผปู้ ่วยท่ไี ด้รับผ่าตัดฉกุ เฉินภายใน ๓๐ นาที โดยแสดงรายปพี ุทธศกั ราช อภปิ รายผล การพัฒนาของทีมผ่าตัดสมอง โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ ภายใต้การทางานผ่านทีมนาทางคลินิกการดูแล ผู้ป่วยศัลยกรรมประสาท (Clinical Lead Team : Neurosurgery) ได้มุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการดูแลผู้ป่วยให้สอดคล้องกับ นโยบายของเขตสุขภาพที่ ๑๑ ในการปฏิบัติงานการผ่าตัดสมองแบบฉุกเฉิน โดยในอดีต (ก่อน พ.ศ. ๒๕๖๑) พบว่าผู้ป่วยที่มี เลือดออกในสมองได้รับการผ่าตัดสมองล่าช้ากว่ามาตรฐาน (โดยเฉล่ียใช้เวลาประมาณ ๖๗ นาที) ทาให้มีอัตราตายสูงและ มีความพิการรุนแรงติดตัวสูง และมีปัญหาเร่ืองความไม่พอใจในการบริการท่ีล่าช้าจนเกิดปัญหาเร่ืองการร้องเรียน ซึ่งทาให้ ส่งผลกระทบทังด้านผู้ป่วยและญาติตลอดจนผู้ให้บริการและช่ือเสียงของโรงพยาบาล ในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ โรงพยาบาล ชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ ได้ดาเนินนโยบายโรงพยาบาลตามมาตรฐาน (Hospital Accreditation :HA) และเขตสุขภาพที่ ๑๑ ได้ประกาศการจัดตัง service plan สาขาผ่าตัดสมองขึนมา ทีมนาทางคลินิกการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมประสาท จึงได้นาเอา ปัญหาเรื่องการผ่าตัดฉกุ เฉินลา่ ช้ามาเป็นประเด็นความเสยี่ งสาคญั (specific clinical risk) ในการพัฒนาเพื่อประโยชน์ในเรื่อง ๒P safety โดยการพัฒนาให้ทังทีมเห็นถึงความสาคัญของผลเสียที่เกิดจากภาวะ increase intracranial pressure (IICP) ดงั นันการพัฒนาจงึ เร่มิ ในกลางปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และมาเรม่ิ เห็นผลที่ชดั เจนในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ แตก่ ารพัฒนาในชว่ ง (phase) ท่ี ๑ พบวา่ ทมี ห้องผ่าตัดและทีมวสิ ัญญสี ามารถดาเนินการไดต้ ามมาตรฐานที่วางไว้ แต่มปี ัญหาเรอื่ งการสื่อสารและการเตรยี มผู้ป่วย ที่หอผู้ป่วยในและระบบการเคล่ือนย้ายผู้ป่วย ดังนันในช่วง (phase) ท่ี ๒ ได้มีการพัฒนาเพ่ิมคือการตังเวลามาตรฐานของ แตล่ ะหนว่ ยงานท่ีรบั ผิดชอบ (time guarantee) และใชว้ ิธีการแลกเปลี่ยนเรยี นรแู้ ละการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั แกผ่ ู้มสี ว่ นเก่ยี วขอ้ ง จงึ พบวา่ ผลงานในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ดีขนึ กวา่ ในปี ๒๕๖๒ ส่วนในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ความสาเรจ็ ของผลงานลดลงกว่าปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เล็กน้อยเน่ืองมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชือไวรัสโรค COVID-19 ทาให้โรงพยาบาลต้องประกาศใช้มาตรการ เข้มงวดเร่ืองการผ่าตัด โดยผู้ป่วยท่ีเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินทุกรายต้องมีการตรวจหาเชืออย่างน้อยต้องเปน็ Rapid SARS-CoV-2 Antigen Test Kit (ATK) จากการศึกษาพบว่าการได้ผ่าตัดท่ีเร็วขึน ทาให้อัตราการตายลดลงในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ และ ๒๕๖๔ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๖๑ และ ๒๕๖๒ ซึ่งตรงกับการศึกษาอื่นๆท่ีพบว่าการผ่าตัดท่ีเร็ว (early surgical evacuation) จะช่วย ลดอตั ราตายลงได้ สว่ นเรื่องความพงึ พอใจของผู้รบั บริการ ในการศึกษานีทมี งานไดท้ าแบบสารวจความพงึ พอใจของญาติผปู้ ว่ ย ทุกราย ซึ่งทีมงานได้ศึกษาทังในเชิงปริมาณ (คะแนน) และเชิงคุณภาพโดยการเขียนในสมุดความคิดเห็น IP voice และการ แสดงความคดิ เห็นผ่าน QR code ซง่ึ ความพงึ พอใจของญาติผู้ป่วยไดส้ ะทอ้ นให้เห็นถึงความพึงพอใจในระดบั สงู มากในทุกๆ มติ ิ ข้อจากัดของการศึกษานีแบ่งได้เป็น ๓ ข้อด้วยกันได้แก่ ๑) ไม่มีข้อมูลด้านเวลาก่อนปี ๒๕๖๑ มาเปรียบเทียบ เน่อื งจากการบันทึกในเวชระเบียนไมส่ มบรู ณ์ และเวชระเบยี นท่ีอายุมากกว่า ๕ ปีบางส่วนถกู ทาลาย ๒) อัตราการตายทลี่ ดลง ไม่ได้เกิดจากการผ่าตัดได้เร็วใน ๓๐ นาทีเพียงเหตุผลเดียวยังมีเหตุผลอื่นๆท่ีมีผลต่ออัตราตายเช่นความรุนแรงของโรค Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๐
ระยะเวลาตังแต่เกิดเหตุจนได้รับการผ่าตัด ดังนันการผ่าตัดได้เรว็ หมายถึงเร็วในโรงพยาบาลชมุ พรเขตรอุดมศักด์ิ แต่ถ้าผู้ป่วย ได้รบั การวินจิ ฉัยหรือการส่งตอ่ ล่าชา้ แม้จะไดร้ บั การผา่ ตัดได้เร็วภายใน ๓๐นาทีกอ็ าจจะไม่สามารถลดอตั ราตายหรือพิการ รนุ แรงได้ ๓) คะแนนความพึงพอใจของผ้รู ับบริการมาจากหลายปัจจยั ไมเ่ พียงแตผ่ ่าตัดได้เรว็ เทา่ นนั สรุปและข้อเสนอแนะ ๑. สรปุ สาระสาคัญของผลการศกึ ษา การศึกษานีพบว่าผลของการพัฒนาทีมผ่าตัดสมองของโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ภายใต้การดาเนินงานของ ทีมนาทางคลินิกการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมประสาทสามารถทาเวลาให้ผู้ป่วยได้รับผ่าตัดสมองแบบฉุกเฉินได้ภายในเวลา ๓๐ นาที ได้อย่างน่าพอใจ อัตราการตายลดลง และผู้รับบริการมีความพึงพอใจสูง เปน็ การส่งมอบสายธารแห่งคุณค่า (Value stream) จากผู้ให้บริการไปสู่ผรู้ บั บรกิ ารอยา่ งแท้จรงิ ๒. ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาตอ่ ไป ทมี นาทางคลินิกการดแู ลผปู้ ว่ ยศลั ยกรรมประสาทวางแนวทางการพัฒนา Service Plan สาขาผ่าตดั สมองเพือ่ พัฒนา ต่อยอดในสองประเด็นสาคัญคือ ๑) พัฒนาระบบการส่งต่อให้รวดเร็วยิ่งขึน ๒) พัฒนาแพทย์ท่ีอยู่ด่านหน้าโดยเฉพาะแพทย์ เพิม่ พูนทกั ษะใหส้ ามารถวนิ จิ ฉัยโรคไดเ้ ร็วขนึ ซงึ่ จะเป็นการเพ่ิมโอกาสในการรอดชีวิตและคุณภาพชีวิตทด่ี ขี องแก่ผู้ป่วย Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๑
ชอ่ื เรอื่ ง ประสบการณ์ ๓ ปี ในการติดตามผ้ปู ่วยความดันโลหิตสูงอยา่ งใกล้ชดิ ผ่านโปรแกรมไลน์แอปพลิเคชัน เพ่อื ปอ้ งกัน โรคหลอดเลือดสมองแตกในประชากรตา้ บลทุง่ คา ตา้ บลหาดพนั ไกร ต้าบลหาดทรายรี อ้าเภอเมือง จังหวัดชมุ พร ชอ่ื เจ้าของผลงาน พว.มณฑา นาพิรุณ และคณะ โรงพยาบาลชมุ พรเขตรอดุ มศักด์ิ บทนา้ / หลกั การและเหตผุ ล/ ท่มี าและความส้าคัญ โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) เป็นปัญหาสาคัญของประเทศไทย พบผู้ป่วยรายใหม่มากกว่า ๒๕๐,๐๐๐ รายต่อปี หรือทุกๆ ๒ นาทีจะมีผู้ป่วยรายใหม่ ๑ ราย พบว่าเป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับสองของประเทศ โรคหลอดเลือดสมองแตก (hemorrhagic stroke) พบประมาณร้อยละ ๑๓-๒๐ ของโรคหลอดเลือดสมองทังหมด และพบว่าสาเหตุสาคัญของ โรคหลอดเลือดสมองแตกร้อยละ ๗๐ เกิดจากความดันโลหิตสูง การศึกษาพบว่าโรคหลอดเลือดสมองแตกมีอัตราการตาย ใน ๑ เดือนสูงประมาณร้อยละ ๔๐ และมีอัตราความพิการรุนแรงร้อยละ ๔๘ มีเพียงร้อยละ ๑๒ ที่มีความพิการไม่รุนแรง สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพิง จากข้อมูลของจังหวัดชุมพรพบว่ามีผู้ป่วยหลอดเลือดสมองในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๑ จานวน ๑,๑๙๙ , ๑,๓๗๘, ๑๓๙๖รายตามลาดับ และพบว่าในเขตอาเภอเมืองมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงสูงสุด ในปี พ.ศ.๒๕๕๙-๒๕๖๑ จานวน ๑๖,๒๓๑, ๑๔,๖๓๓, ๑๕,๑๐๓ ราย ตามลาดบั โดยเฉพาะตาบลทุ่งคา มีผปู้ ่วยความดันโลหิตสูง ในปี ๒๕๕๙ -๒๕๖๑ จานวน ๗๕๕, ๖๘๒, ๗๑๕ รายตามลาดับ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนมี ีความเส่ียงสูงทจ่ี ะทาให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง การทางานแบบตังรับในโรงพยาบาลโดยการให้การรักษาแก่ผู้ป่วยท่ีเป็นโรคแล้วจึงเพียงแต่เป็นการช่วยให้รอดพ้นจากการ เสียชีวิตเท่านัน แตย่ ังคงเหลือความพิการในผูท้ ่ีรอดชีวิต ดงั นันคนเป็นโรคนีจงึ เป็นได้สองประการคือไม่เสยี ชีวติ ก็มีความพกิ าร หลงเหลือ บางคนรุนแรงถงึ ขันนอนพิการตดิ เตียง ซึ่งเป็นภาระแก่ญาติ สังคมและประเทศชาติ ดังนันหน่วยประสาทศัลยกรรม และศูนย์โรคหลอดเลอื ดสมองโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้ร่วมกันประชุมและเห็นว่ายุทธศาสตรเ์ ชิงรุกคือการป้องกัน ไม่ใหเ้ กดิ โรคนนั สาคัญท่ีสดุ และจะทาโครงการดงั กลา่ วให้ครอบคลุมทุกอาเภอในจงั หวัดชมุ พรภายในเวลา ๓ ปี โดยเลือกกลมุ่ ตวั อยา่ งในเขตอาเภอเมืองเปน็ ลาดบั แรก วตั ถุประสงค์ ๑. เพอ่ื เสริมสรา้ งการมสี ว่ นร่วมของประชาชนในกระบวนการมีส่วนร่วมในการป้องกันการเกดิ โรคหลอดเลอื ดสมอง ๒. เพือ่ ลดการเกดิ โรคหลอดเลือดสมองแตกรายใหม่ในประชาชนกลมุ่ เสีย่ งทีท่ าโครงการ วธิ กี ารด้าเนินงาน/วิธีการศกึ ษา ศึกษาในกล่มุ ตัวอย่างคือผู้ปว่ ยโรคความดันโลหิตสูงในตาบลทุ่งคา ตาบลหาดพันไกร ตาบลหาดทรายรี อาเภอเมือง จังหวัดชุมพร ในปี ๒๕๖๒, ๒๕๖๓ และ ๒๕๖๔ เก็บข้อมูลจากไลน์แอปพลิเคชันเพื่อติดตามค่าความดันโลหิตของผู้ป่วย แต่ละราย ศึกษาความแตกต่างของคา่ ความดันโลหติ กอ่ นและหลังการเข้ารว่ มโครงการ อตั ราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแตก รายใหม่ และประเมินความพึงพอใจของผู้เข้ารว่ มการศกึ ษา ผลการดา้ เนนิ งาน/ผลการศึกษา การศึกษาเป็นเวลา ๓ ปี มีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจานวน ๕๘๑ ราย และอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน จานวน ๘๐ ราย เข้าร่วมโครงการ มีการส่งข้อมูลเข้าทางไลน์แอปพลิเคชันทังหมดจานวน๑๖,๑๘๖ ครัง ก่อนทาโครงการ มผี ู้ป่วยที่ความดันโลหิตสงู ระดับ ๑ จานวน ๔๕๖ ราย ระดับ ๒ จานวน ๗๘ ราย และระดับ ๓ จานวน ๔๗ ราย หลังเขา้ ร่วม โครงการพบว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตกลับเป็นปกติจานวน ๓๒๘ ราย (ร้อยละ ๕๖.๕) ความดันโลหิตสูงระดับ ๑ จานวน ๒๔๗ ราย (รอ้ ยละ ๔๒.๕) ความดนั โลหิตสงู ระดับ ๒ จานวน ๖ ราย (ร้อยละ ๑.๐) และไม่มผี ู้ปว่ ยทค่ี วามดันโลหิตสงู ระดับ ๓ ผลการวเิ คราะหพ์ บว่าหลงั เข้ารว่ มโครงการผ้ปู ว่ ยมีความดนั โลหติ ลดลงอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ (p <๐.๐๐๑) และไมม่ ผี ปู้ ่วย ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองแตกรายใหม่ โดยผเู้ ขา้ รว่ มการศึกษามคี วามพึงพอใจในระดับสูงมากเฉลย่ี ร้อยละ ๙๔.๒ Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๒
แสดงการประชมุ ทีมงานตาบลทงุ่ คาและทมี งานโรงพยาบาลชมุ พรเขตรอุดมศักดิ์ แสดงบรรยากาศการให้ความรู้เร่ืองความดนั โลหิตสงู และโรคหลอดเลือดสมองแตก ท่ีโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบลทงุ่ คา อภิปรายผล การติดตามผูป้ ว่ ยความดันโลหิตสูงผ่านทางไลน์แอปพลเิ คชันช่วยใหก้ ารดแู ลผ้ปู ว่ ยได้ใกลช้ ิดมากขึน โดยเฉพาะผู้ป่วย ความดันโลหิตสูงระดับ ๒ และ ๓ ซึง่ ถอื เป็นกลมุ่ ทม่ี ีความเส่ียงสงู ตอ่ การเกดิ โรคหลอดเลือดสมองแตก การทผ่ี ู้ปว่ ยได้รบั การวัด ความดันโลหิตและส่งผลเข้าในไลน์แอปพลิเคชันทุกวัน ทาให้ทีมผู้วิจัยสามารถให้คาแนะนาและปรับวิธีการรักษาได้ทันเวลา จนทาให้ความดันโลหิตลดลงอย่างชัดเจน ส่วนในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงระดับที่ ๑ พบว่าการลดลงของความดันโลหิตไม่มาก เหมือนในระดับ ๒ และ ๓ เน่ืองจากผู้ป่วยบางรายรักษาแบบไม่ต้องใช้ยา และมีการติดตามห่างกว่าระดับท่ี ๒ และ ๓ อย่างไร กต็ าม ความดนั โลหติ สงู ระดับ ๑ ถือวา่ มคี วามเสี่ยงตา่ ในการเกิดโรคหลอดเลอื ดสมองแตก สรปุ และขอ้ เสนอแนะ การติดตามผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอย่างใกล้ชิดโดยการสื่อสารผ่านทางไลน์แอปพลิเคชัน ช่วยให้ผู้ป่วยคุมความดันโลหิต ได้ดแี ละไม่เกดิ โรคเสน้ เลอื ดสมองแตกรายใหม่ Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๓
ช่อื ผลงาน ปจั จยั ท่มี ผี ลต่อความรอบรดู้ ้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของประชาชนในต้าบลปากนา้ ชมุ พร ชอ่ื เจ้าของผลงาน ภก.ปิยะวรรณ กวุ ลัยรัตน์ และ ภก.โอรสิ า พรหมสถิตย์ โรงพยาบาลปากนาชมุ พร บทนา้ / หลักการและเหตผุ ล/ ที่มาและความสา้ คญั การใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผลเป็นปัญหาที่ทาให้เกิดผลเสียต่อตัวผู้ป่วยและมีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม จากรายงาน ขององคก์ ารอนามัยโลกพบว่าการใช้ยาประมาณครง่ึ หนึง่ เป็นการใช้อย่างไม่สมเหตผุ ล สาหรับของประเทศไทยมีการใช้ยาอย่าง ทไี่ ม่สมเหตผุ ลส่งผลใหม้ ูลค่าการบริโภคยาสูง และมีการใชย้ าท่ีเกิดอันตราย จึงได้มกี ารขับเคลอ่ื นด้วยยุทธศาสตร์ชาตขิ องไทย ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลซ่ึงมีชุมชนเป็นศูนย์กลาง เพ่ือให้ประชาชนปลอดภัยจากการใช้ยาและสามารถพ่ึงตนเองด้าน สุขภาพได้ มีเปา้ หมายใหเ้ กดิ ผลลัพธ์คือประชาชนมคี วามรอบรดู้ า้ นการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ลในปี ๒๕๖๕ โดยมีตัวชีวดั คืออัตรา ความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของประชาชนไทยอายุ ๑๕ ปีขึนไปมีค่าเป้าหมายร้อยละ ๕๐ ได้มีการขยายการ ดาเนินงานด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลไปสู่ตัวประชาชนในชุมชน เพ่ือเพ่ิมศักยภาพของประชาชนในการดูแลตนเองในด้าน การใช้ยา โดยมีประเด็นสาคัญทีค่ รอบคลุมในด้านตัวผลิตภัณฑย์ า การเข้าถงึ และแหลง่ การขายยา สอ่ื ในการเข้าถึงข้อมูลยาและ ความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาของประชาชน โดยในการศึกษานีแบ่งเป็นประเด็นของความรอบรู้ในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ดงั นคี อื วิธกี ารใชย้ าและอปุ กรณก์ ารใชย้ า การเฝา้ ระวงั การโฆษณาอาหารและยา การใช้ยาปฏชิ ีวนะอยา่ งรับผิดชอบ การระวัง และป้องกันอันตรายจากการใช้ยา และความรู้ด้านสุขภาพที่เก่ียวข้องกับการใช้ยา มีการศึกษาท่ีผ่านมาพบว่าอาจมีปัจจัย สว่ นบคุ คลหลายประการทม่ี ีผลต่อความรอบร้ใู นการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ล จังหวัดชุมพรมีการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในชุมชนตามยุทธศาสตร์ ที่ผ่านมาพบว่ายังมีการใช้ยา อย่างไม่สมเหตุผลในชุมชนจากการประสานงานค้นหาปัญหาสาธารณสุขร่วมกับชุมชนเพื่อการวางแผนยุทธศาสตร์ของ เครือข่าย (การประชุมเครือข่ายโรงพยาบาลปากนาชุมพรปี ๒๕๖๓) จึงได้มีการทาโครงการวิจัยนีขึนเพ่ือศึกษาระดับความ รอบรู้ของประชาชนในชุมชนและปัจจัยท่ีมีผลต่อความรอบรู้ของประชาชนในชุมชนเพื่อการหาแนวทางในการพัฒนาส่งเสริม ความรอบรดู้ า้ นการใช้ยาสมเหตุผลของประชาชน วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพอื่ วเิ คราะหค์ วามรอบรูอ้ ย่างสมเหตุผลของประชนใน ตาบลปากนาชุมพร ๒. เพื่อวิเคราะหป์ ัจจัยทีม่ ผี ลต่อความรอบรูด้ า้ นการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ลของประชาชนใน ตาบลปากนาชุมพร วธิ กี ารด้าเนนิ งาน/วิธีการศึกษา ระเบียบวิธีวิจัย : การวิจัยนีใช้รูปแบบการสารวจภาคตัดขวาง (cross-sectional survey) ในประชาชนของชุมชน ตาบลปากนาชมุ พร ในชว่ งกมุ ภาพันธ์ – พฤษภาคม ๒๕๖๔ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง : กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนท่ีอยู่ใน ๑๐ หมู่บ้านที่กาหนดและยินดีเข้าร่วมการวิจัย (verbal consent) คานวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G*power Version ๓.๑.๙.๗ ของ Heinrich-Heine Universität Düsseldorf จาก http://www.gpower.hhu.de/en.html คานวณได้ประมาณ ๒๐๐ คน โดยสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling) และอาศัยเกณฑ์การคัดเลือกเข้าคือ ประชาชนที่มีอายุ ๑๕ ปีขึนไปที่อาศัยอยู่ในชุมชน โดยผู้ที่มีอายุ ๑๕-๑๘ ปี ต้องได้รับความยนิ ยอมจากผู้ปกครองก่อนเข้าร่วมการวจิ ัย และยินดีเขา้ ร่วมการวิจัย (consent) ส่วน เกณฑ์ในการคัดออกคือ ผูท้ ่ไี มส่ ามารถสอื่ สารได้ การพทิ กั ษส์ ทิ ธกิ ลุ่มตวั อยา่ งโดยให้ขอ้ มูลแก่ผู้ท่ีเข้าร่วมในการวจิ ัยโดยสมัครใจ และนาเสนอข้อมูลของ ผเู้ ขา้ ร่วมการวิจัยในรูปแบบสถติ ิโดยรวมทไี่ มร่ ะบขุ ้อมูลรายบุคคล เคร่ืองมือในการศึกษา : ใช้แบบสอบถามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขซ่ึงประกอบด้วย ๒ ตอนคือ ตอนที่ ๑ เป็นข้อมูลส่วนบุคคล และตอนที่ ๒ เป็นการสารวจความรอบรู้ ๕ ด้านคือ วิธีการใช้ยาและอุปกรณ์การใช้ยา การเฝ้าระวัง การโฆษณาอาหารและยา การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบ การระวังและป้องกันอันตรายจากการใช้ยา และสุขภาพ ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั การใช้ยา โดยแบบสอบถามได้ผา่ นการประเมนิ คา่ ความตรงท่ี IOC = ๐.๙๗ และค่าความเที่ยงโดย Cronbach's Alpha Coefficient การเก็บข้อมูล : ประชาชนท่ีเข้าร่วมวิจัยสามารถตอบแบบสอบถามด้วยตนเอง หรืออสม.ช่วยสัมภาษณ์ตาม แบบสอบถามสาหรบั ผูท้ มี่ ีปญั หาในการอ่านหรอื ทาความเขา้ ใจ Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๔
การวิเคราะห์ข้อมูล : วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอรส์ าเร็จรูป วิเคราะห์ปัจจัยท่ีมีผลต่อความรอบรู้ใน การใช้ยาอย่างสมเหตุผลโดยใชส้ ถิติ Descriptive analysis และ Multivariate regression analysis ตวั แปรต้นคือ เพศ อายุ อาชีพ การศกึ ษา ประสบการณ์ใช้ยารักษาโรคเรอื รงั จานวนชอ่ งทางในการรับขอ้ มูลด้านการใช้ยาสมเหตผุ ล การรับข้อมลู ทาง Social media ตวั แปรตามคอื คะแนนความรอบรู้ดา้ นการใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล โดยกาหนดระดับนัยสาคญั (α) เท่ากบั ๐.๐๕ ผลการด้าเนนิ งาน/ผลการศึกษา ประชาชนในชุมชนจานวน ๒๓๕ คน สว่ นใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ ๗๕.๗) อายุเฉลยี่ ๔๙.๗ ปี (SD= ๑๓.๖) มอี ายุ อยใู่ นชว่ ง ๔๐-๖๐ ปี (รอ้ ยละ ๔๙.๐) มีการศึกษาโดยรวมต่ากว่าอนปุ รญิ ญา (ร้อยละ ๗๔.๙) อาชพี รับจ้าง (รอ้ ยละ ๔๔.๗) และ มีประสบการณ์ใช้ยารกั ษาโรคเรือรัง (ร้อยละ ๓๒.๙) จานวนช่องทางในการรับข้อมูลด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เฉลีย่ ๕.๗ ช่องทาง (SD=4.4) และได้รับข้อมูลทาง Social media ร้อยละ 35.7 ผลวิเคราะห์พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีระดับความรู้ ในระดับปานกลาง (รอ้ ยละ ๕๐ – ๘๐) ดงั ในตารางท่ี ๑ ตารางท่ี 1 ความรอบรู้ในดา้ นการใชย้ าอยา่ งสมเหตุผลของประชาชน (N=๒๓๕) ความรอบรใู้ นดา้ นการใช้ยาอย่างสมเหตุผล รอ้ ยละ (SD) ประเดน็ ของความรอบร้ใู นการใชย้ าอยา่ งสมเหตุผล: ร้อยละของคะแนน (SD) - วิธีการใช้ยาและอุปกรณ์การใชย้ า ๗๙.๘๘ (๒๑.๒๓) - การเฝ้าระวงั การโฆษณาอาหารและยา ๖๔.๑๘ (๒๒.๕๓) - การใช้ยาปฏิชวี นะอย่างรบั ผดิ ชอบ ๕๐.๙๙ (๒๓.๔๙) - การระวังและป้องกันอนั ตรายจากการใช้ยา ๖๗.๑๓ (๒๗.๒๓) - ความรดู้ ้านสุขภาพท่ีเก่ียวขอ้ งกับการใชย้ า ๙๓.๖๒ (๑๖.๕๖) คา่ เฉลยี่ ความรอบรใู้ นการใชย้ าอย่างสมเหตผุ ล; mean (SD) ๖๗.๒๖ (๑๒.๖๒) จานวนประชาชนทีม่ ีความรอบรูใ้ นแต่ละระดบั ราย (รอ้ ยละ) ระดบั นอ้ ย (< รอ้ ยละ ๕๐) ๒๔ (๑๐.๒) ระดบั ปานกลาง (รอ้ ยละ ๕๐ – ๘๐) ๑๗๙ (๗๖.๒) ระดบั มาก (>ร้อยละ ๘๐) ๓๒ (๑๓.๖) ผลการวเิ คราะหป์ ัจจยั ทม่ี ีผลต่อความรอบรดู้ ้านการใชย้ าอย่างสมเหตุผลของประชาชนโดยวิเคราะห์ปจั จัยส่วนบุคคล ท่อี าจส่งผลต่อความรอบรู้ในดา้ น เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ประสบการณก์ ารใช้ยาโรคเรือรัง จานวนชอ่ งทางในการรับขอ้ มูล ความรอบรูด้ า้ นยา และการได้รับขอ้ มูลทาง Social media ผลการวิเคราะหด์ ้วย Multiple regression analysis พบว่า ปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ ความรอบรูใ้ นดา้ นการใชย้ าอย่างสมเหตผุ ลของประชาชนในตาบลปากนาชุมพร คอื การศกึ ษา และจานวนช่องทางใน การรบั ขอ้ มูลดา้ นการใช้ยาสมเหตผุ ล ดงั ในตารางท่ี ๒ (แสดงเฉพาะปจั จัยทม่ี ผี ลอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ) ตารางท่ี ๒ ปัจจัยท่มี ผี ลตอ่ ความรอบร้ใู นดา้ นการใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ลของประชาชน ปจั จัย รายละเอยี ด (code) ข้อมลู Multiple regression Beta ๙๕ % CI B P-value คา่ คงท่ี - ๖๓.๖๒๑ <๐.๐๐๑ - ๕๓.๓๑๔ ๗๓.๙๒๙ การศึกษา ต่ากว่าอนปุ รญิ ญา ๔.๔๕๑ .๐๒๐ .๑๕๓ .๗๑๓ ๘.๑๘๙ อนปุ รญิ ญาขนึ ไป จานวนช่องทางในการรับ คา่ จรงิ .๘๔๔ <.๐๐๑ .๒๙๖ .๔๕๗ ๑.๒๓๑ ข้อมลู ดา้ นการใชย้ าสมเหตุผล อภปิ รายผล ผลการสารวจความรอบรู้ในด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล พบว่าประชาส่วนใหญ่มีระดับความรู้ในระดับปานกลาง (ร้อยละ ๕๐ – ๘๐) ระดับความรอบรู้เฉลย่ี ร้อยละ ๖๗.๑๓ (SD: ๑๒.๖๒) ซึ่งเป็นระดบั ทสี่ ูงกวา่ เกณฑ์เปา้ หมายแตม่ คี วามรอบรู้ Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๕
ในด้านท่ีต้องพัฒนาได้แก่ การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบในโรคหวัด การใช้ยาปฏิชีวนะในแผลชนิดต่างๆ ในด้านการรู้ เท่าทันการโฆษณาอาหารและยา การระวังและป้องกันอันตรายจากการใช้ยา ได้แก่การป้องกันการใช้ยาซาซ้อน และผลของ สเตียรอยดต์ ่อระบบต่างๆของร่างกาย ในด้านสขุ ภาพที่เกี่ยวขอ้ งกบั การใช้ยาเป็นด้านท่ีมคี ะแนนความรอบรู้ค่อนข้างสงู ยกเว้น ความรู้เก่ียวกับเชือแบคทีเรีย ซ่ึงควรสร้างความรอบรู้ที่ควบคู่ไปกับด้านการใช้ยาปฏิชีวนะ มีปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลและต้อง คานึงถึงในการเสริมสร้างความรอบรู้ในด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของประชาชนในชุมชน โดยเฉพาะปัจจัยท่ีมีผลอย่างมี นัยสาคัญคือในด้านการศึกษาซ่ึงพบว่าผู้ที่มีการศึกษาในระดับอนุปริญญาขึนไป มีความรอบรู้มากกว่าผู้มีระดับการศึกษา นอ้ ยกวา่ อนุปริญญา ๔.๔๕๑ เท่า และในด้านจานวนช่องทางในการรับข้อมูลด้านการใช้ยาสมเหตุผลพบว่าเมอื่ ประชาชนได้รับ ข้อมูลเพ่ิมขึน ๑ ช่องทางจะมีความรอบรู้ท่ีเพ่ิมขึน ๐.๘๔๔ เท่า ดังนันในการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อเสริมสร้างความรอบรู้ ในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของประชาชนต้องให้เหมาะสมกับระดับการศึกษา เน้นช่องทางการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน ให้เข้าถงึ และเอือต่อการเกดิ ความรอบรู้ สรุปและขอ้ เสนอแนะ ปัญหาสาคัญเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผลที่ยังคงต้องมุ่งเป้าคือในด้านการใช้ยาปฏิชีวนะ การเฝ้าระวั งยาชุด ยาสเตียรอยด์ และมีปัญหาสาคัญที่ต้องระวังในปัจจุบันนีคือความรู้เท่าทันการโฆษณาเกินจริงอาหารและยาในสื่อต่างๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงสื่อท่ีเข้าถึงง่ายจากอินเทอร์เน็ต ต้องหาแนวทางปรับปรุงแผนการดาเนินงานโดยคานึงถึงปัจจัยส่วนบุคคล ท่ีจะมีผลต่อความรอบรู้ เช่น ข้อมูลท่ีเหมาะกับแต่ละระดับการศึกษา การปรับปรุงช่องทางการถ่ายทอดสื่อสารข้อมูลและ การเข้าถึงของประชาชนให้เอือต่อการเกดิ ความรอบรู้ เพือ่ นามาสูก่ ารใชย้ าอย่างสมเหตุผล Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๖
ช่ือเรอ่ื ง การเปรียบเทียบอตั ราการไหลของการใหส้ ารละลาย ดว้ ยเครื่องควบคมุ สารละลายทางหลอดเลอื ดด้าโดยใช้ ชุดให้สารละลายทแ่ี ตกต่างกนั ช่ือเจ้าของผลงาน วริ ญั ชนา คุ้มเดช ศูนยส์ นับสนนุ บริการสุขภาพที่ ๑๑ กรมสนับสนนุ บริการสขุ ภาพ บทน้า/หลักการและเหตุผล/ที่มาและความส้าคัญ เครื่องให้สารละลายทางหลอดเลือดดาเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ใช้สาหรับการให้สารอาหารและยาทางหลอดเลือดดา เป็นเครื่องมือท่ีมีความสาคัญท่ีมีใช้อยู่ทุกโรงพยาบาลโดยเฉพาะในส่วนของผู้ป่วยที่วิกฤติ และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเครื่องมือ แพทย์ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากต้องการความละเอียดและความแม่นยาในการใช้งานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของ การควบคุมอัตราการไหลของสารละลายที่เข้าสู่ร่างกาย ซ่ึงหาก ได้รับยาหรือสารละลายปริมาณท่ีมากหรือน้อยกว่าที่แพทย์ กาหนดจะส่งผลตอ่ คุณภาพการรกั ษาพยาบาลโดยตรง ซ่ึงความแม่นยาของอัตราการไหลของสารละลาย นอกจากปัจจัยที่เกิด จากตัวเครื่องแล้ว อุปกรณ์ ประกอบการใช้งานก็เป็นปัจจัยหลักท่ีส่งผลกระทบต่ออัตราการไหล โดยเฉพาะชุดให้สารละลาย (IV Set) เนื่องจากสภาพปัญหาการในปัจจุบันสาหรับโรงพยาบาลในประเทศไทย พบว่ามีความหลากหลายในการใช้ชุดให้ สารละลายมีหลายย่ีห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อ/รุ่น ของชุดให้สารละลาย จะมีคุณสมบัติของสายที่แตกต่างกัน ทังวัสดุท่ี ใช้ผลิต Drops/min ขนาด ความยาว ขนาดกระเปาะหยด ความยืดหยุ่นของสาย ก็จะส่งผลต่ออัตราการไหลของสารละลาย ที่ต่างกัน ซ่ึงในแต่ละย่ีห้อ รุ่น ของเคร่ืองให้สารละลายนัน ได้ระบุความเข้ากันได้ในการใช้งานของชุดให้สารละลาย ( IV Set) กับตัวเคร่ือง แต่ในทางปฏิบัติมีการใช้งานที่ไม่ตรงตามที่ระบุไว้ใน คุณสมบัติเฉพาะของเคร่ืองแต่ละย่ีห้อ จึงส่งผลให้เกิด ความไมเ่ ที่ยงตรงแม่นยาในการใช้งานและส่งผลกระทบต่อการให้การรกั ษาโดยตรง ดังนันงานวิจัยนีจึงทาการศึกษา สารวจ ความเข้ากันได้ของเครื่องควบคุมการให้สารละลายทางหลอดเลือดดากับ ชดุ ใหส้ ารละลาย (IV Set) จะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลการสอบเทยี บมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ ของโรงพยาบาลในสังกดั ของ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการเลือกใช้งานทถี่ กู ต้องเหมาะสม การคมุ้ ครองผู้บริโภคและเพิ่มประสิทธภิ าพการใหบ้ ริการสุขภาพ อยา่ งมีคณุ ภาพ วัตถุประสงค์ เพ่ือเปรียบเทียบอัตราการไหลของสารละลายจากเคร่ืองควบคุมการให้สารละลายทางหลอดเลือดดาที่ใช้ชุด ให้สารละลาย (IV Set) แยกต่างยีห่ อ้ วธิ กี ารดา้ เนินงาน/วธิ ีการศกึ ษา ๑. ประชากรท่ีศกึ ษา เลอื กใช้เครอ่ื งให้สารละลายทางหลอดเลือดดาท่มี ีใช้ ในโรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ ๑๑ ดังนี - เครอื่ งควบคุมการใหส้ ารละลายทางหลอดเลอื ดดา จานวน ๕ ย่ีหอ้ / รุ่น ย่ีหอ้ ละ ๑๐ เคร่อื ง - ชดุ ใหส้ ารละลาย (IV Set) จานวน ๕ ย่ีหอ้ /รนุ่ (โดยกาหนดช่อื เรียก ชดุ ให้ สารละลายทงั ๕ ยีห่ อ้ เปน็ A B C D E และ F) ย่หี ้อละ ๒ ขนาด คือ ๑๕ หรอื ๒๐ drop/ml และ ๕๐ drop/ml - ค่ามาตรฐานการสอบเทยี บ ๑๐, ๕๐, ๑๐๐ ml/h - ทดสอบซา ๓ ครงั (จานวนครังในการทดสอบรวมทงั สิน ๔,๕๐๐ ครงั ) ๒. ขอบเขตของเนอื หาสาระที่ศกึ ษา ใชก้ ารสอบเทยี บตามมาตรฐานการสอบเทยี บของกองวิศวกรรมการแพทย์ โดยพจิ ารณาจากค่าทไ่ี ดด้ งั ต่อไปนี - ปริมาตรรวม (Total Volume) ของสารละลาย - อัตราการไหลของสารละลาย (Flow Rate) ๓. สถิติทใี่ ช้ในการวิจยั สาหรับงานวิจัยนีได้เลือก การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจาแนกทางเดียว (One-Way ANOVA) โดยศึกษาหา ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้น : ยี่ห้อของชุดให้สารละลาย และตัวแปรตาม : อัตราการไหลของสารละลาย และมีตัวแปร Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๗
ควบคุม ไดแ้ ก่ ยี่ห้อ/รนุ่ ของเครื่องให้สารละลาย การติดตังอุปกรณ์ การปรับกลไก ของลูกรีด (Speed pump) ชนิดของสารละลาย เครื่องมือมาตรฐานสาหรับการ ทดสอบ สภาพแวดล้อม และอายุการใชง้ านของเคร่อื ง ๔. เงื่อนไขของการทดสอบ ปรับตังค่า Speed pump ของเคร่ืองให้สารละลายแต่ละเคร่ืองเป็นค่าต่าและ ค่าสูงสุดที่เคร่ืองสามารถตังได้ เพ่ือเป็นการควบคุมให้แต่ละเคร่ืองมีการไหลของ สารละลายทีต่ า่ สุดและสูงสดุ จากคา่ ทต่ี งั มาจากโรงงาน ผลการด้าเนินงาน/ผลการศกึ ษา เปรียบเทยี บกลุ่มข้อมลู โดยใช้ Box Plot เปรียบเทยี บให้เห็นชว่ งของอัตราการไหลในชดุ ให้ สารละลายแตล่ ะยห่ี ้อ และแยกกนั ระหว่างชนดิ หยดธรรมดาและชนิดหยดเลก็ (ในทน่ี ีขอกล่าวถึงเฉพาะเครื่องให้สารละลายยี่ห้อ Arcomed AG โดย ใช้ IV set ชนิดธรรมดา ในอตั ราไหลท่ี ๑๐ ml/h) จากตวั อย่างอัตราการไหลของสารละลาย ปรับ Speed pump ต่าสดุ พบว่า ชุดใหส้ ารละลายยหี่ ้อ C มีค่ามัธยฐานอยู่ที่ ๑๐.๙๔ ml/h อยู่ ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (±๑๐%) ส่วนยีห่ ้อ A และ B มีค่ามัธยฐาน อยู่ท่ี ๑๒.๘๕ และ ๑๑.๙๕ ซงึ่ สูงกว่าเกณฑ์ยอมรับ แต่สามารถปรับลด Speed pump เพื่อให้อัตราของสารละลายมีปริมาณ ลดลงได้ ส่วนชุดให้สารละลายย่ีห้อ D และ E มีค่ามัธยฐานอยู่ท่ี ๘.๑๕ และ ๗.๓๓ ml/h ซึ่งต่ากว่าเกณฑ์ท่ียอมรับได้ และ ไมส่ ามารถปรับเพมิ่ Speed pump ไดอ้ ีก ดังนัน IV-set ย่หี อ้ D และ E จงึ ไมส่ ามารถใช้งานได้ ทดสอบสมมติฐานโดยใชส้ ถติ ิ ANOVA ซ่ึงเปน็ การพิสจู น์หาความแตกต่างของ ค่าเฉลย่ี (Mean) และวเิ คราะหค์ วาม แตกต่างโดยใช้ค่าความแปรปรวน (Variance) ซ่ึงจากสมมติฐานที่ตังไว้ H0 : อัตราการไหลของสารละลายในชุด ให้สารละลายยีห่ อ้ ตา่ ง ๆ ไมแ่ ตกต่างกนั H1: อัตราการไหลของสารละลายในชุดให้สารละลายยีห่ อ้ ตา่ ง ๆ แตกต่างกนั อย่างน้อย หน่ึงกลุ่ม ซึ่งจากการวิเคราะห์ความแปรปรวน ค่า p-value ในเคร่ืองให้สารละลายทุกยห่ี ้อ ทังชนดิ หยดธรรมดาและชนดิ หยด เล็กมีค่าน้อยกว่า α=๐.๐๕ แสดงว่า ปฏิเสธสมมติฐานหลัก H0 ยอมรับสมมติฐานรอง H1 น่ันคือ เคร่ืองให้สารละลายทัง ๕ ย่ีห้อที่นามาทดสอบ เมื่อใช้งานกับชุดให้สารละลายแต่ละยี่ห้อ (ชนิดหยดธรรมดา ๕ ยี่ห้อ ชนิดหยดเล็ก ๕ ย่ีห้อ) ปรากฏว่า อตั ราการไหลของ สารละลายมคี วามแตกตา่ งอย่างน้อยสองกลมุ่ อย่างมีนัยสาคัญ ท่รี ะดับความเช่อื ม่นั ที่ ๙๕ เปอร์เซนต์ อภิปรายผล จากข้อมูลการสอบเทียบมาตรฐานเครื่องมือทางการแพทย์ โดยศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ ๑๑ กรมสนับสนุน บริการสุขภาพ พบว่าโรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขมีปัญหาเร่ืองความเข้ากันได้ของเครื่องควบคุม การให้สารละลายทางหลอดเลือดดากับชุดให้สารละลาย (IV Set) ซึ่งส่งผลต่อความเที่ยงตรงของปริมาตร และอัตรา การให้สารละลายหรือยาทางหลอดเลือดดาโดยตรง โดยจากการทดสอบอัตราการไหลของสารละลายจากเคร่อื งให้สารละลาย ย่ีห้อหน่ึง พบว่า เครื่องท่ี ๕ ทดสอบที่อัตรา ๑๐๐ ml/h โดยใช้ชุดให้สารละลายชนิดหยดธรรมดาจานวน ๕ ยี่ห้อ พบว่าชุด ให้สารละลายที่มีอัตราไหล สูงสุดคือ A มีอัตราการไหลอยู่ท่ี ๑๔๓.๗๔ ml/h ชุดให้สารละลายท่ีมีอัตราไหลต่าสุดคือ ย่ีห้อ C มีอัตราการไหลอย่ทู ่ี ๙๒.๗๕ ml/h ซง่ึ มีอัตราไหลที่แตกต่างกันถึง ๕๐.๙๙ ml/h หรือ ๕๐.๙๙ เปอร์เซนต์ ดังนันหากผใู้ ชง้ าน มีการ เปล่ียนแปลงเซตระหว่าง 2 ยี่ห้อดังกล่าว ก็อาจจะก่อให้เกิดค่าความผิดพลาดที่เพ่ิมมากขึนถึง ๕๐.๙๙ เปอร์เซนต์ เป็นต้น ซ่งึ จะตอ้ งระมดั ระวงั ในการใชง้ านเป็นอย่างสูง ซ่ึงจากการ ทดสอบโดยใช้สถิติ ANOVA แสดงใหเ้ ห็นว่าการเปล่ียนแปลง IV Set ชนิดหยดธรรมดาและชนิดหยดเล็ก อัตราการไหลของสารละลายใน IV Set แต่ละย่ีห้อ/รุ่น ทาให้อัตราการไหลของ สารละลายแตกต่างกันอยา่ งมนี ยั สาคัญ ทรี่ ะดับความเช่อื มั่นท่ี ๙๕ เปอรเ์ ซนต์ สรปุ และขอ้ เสนอแนะ ๑. ปญั หาทีพ่ บ เน่ืองจากการออกแบบเครื่องท่แี ตกตา่ งกันของแต่ละย่หี ้อและ IV set ทีห่ ลากหลายเมื่อใชไ้ มต่ รงกบั ท่ี ระบุในขอ้ กาหนดทางเทคนคิ ของเครอ่ื งทาให้เกิดความไม่แม่นยาในการจ่ายปรมิ าตรของเหลวเกดิ ขึนไดส้ งู ๒. สาเหตุของปัญหา เนื่องจากโครงสร้างของตัวเคร่ืองให้สารละลายเองและวัสดุทใี่ ช้ผลิตชุด IV set เช่น ความแข็ง หรือนิ่ม รวมทังขนาดพนื ที่หน้าตัดท่ีแตกตา่ งกัน ควรเลอื กใชช้ ดุ ให้ สารละลายใหต้ รงตามทีโ่ รงงานผู้ผลิตเครื่องระบใุ นคู่มอื หรือ นอกเหนอื แต่มีค่าผดิ พลาดไมเ่ กินมาตรฐานทย่ี อมรบั ได้ Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๘
๓. โดยปกติ สามารถใช้ IV set ได้แทบทกุ ยหี่ ้อท่ผี ลิตตามมาตรฐาน แตผ่ ้ใู ช้ควรมั่นใจว่าเครอ่ื ง สามารถใช้กับ IV set ยี่ห้อนันได้ ซ่ึงบางครังจาเป็นต้องมีการสอบเทียบเพ่ือปรับการตังค่าตัวเคร่ืองใหม่ หรือคายืนยันจากผู้ผลิตว่าสามารถใช้กับ IV set นนั ๆได้ จงึ จะใช้ได้ ๔. จะตอ้ งสอบเทยี บ IV set ท่ใี ชก้ บั เครอ่ื งทุกครังที่มกี ารเปลี่ยนย่หี ้อ/รนุ่ ทใ่ี ชง้ าน ไม่ควรใชย้ ี่ห้อ/รุ่นอื่นทีโ่ รงพยาบาล ไมไ่ ดท้ าการสอบเทียบ โดยปกติควรมีการสอบเทยี บเคร่อื งกับ IV set ที่ใช้งานจรงิ อย่างนอ้ ยปลี ะ ๑ ครงั ๕. ผู้ใช้งานควรจะนาชุด IV set ที่ใช้งานจริงมาทาการสอบเทียบคู่กับตัวเคร่ือง เพื่อทดสอบว่าชุด IV set ท่ีเราใช้ เหมาะสมท่ีจะใช้งานกับเคร่ืองยี่ห้อนันๆ หรือไม่ หรืออัตราไหลที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ท่ีเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยหรือไม่ ซึ่งหาก เครื่องสามารถทาการ ปรบั Speed pump ก็จะได้เปน็ ข้อมลู สาหรบั ช่างหรอื บริษัทเพ่ือทาการปรบั แต่งคา่ ต่อไป Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓๙
ชอื่ เรอื่ ง การพัฒนารปู แบบการประสานรับสง่ ตอ่ ผู้ปว่ ยชอ่ งทางด่วนโรคหลอดเลอื ดสมอง (Stroke Fast track) ของจงั หวดั ภูเกต็ ชอื่ เจา้ ของผลงาน พว.วนั ดี ศิริโชติ โรงพยาบาลศนู ย์วชิระภเู ก็ต บทน้า/หลักการและเหตผุ ล/ทม่ี าและความส้าคัญ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดเฉยี บพลันที่มีอาการภายใน ๒๗๐ นาที (๔.๕ ชั่วโมง) สามารถให้การรักษาด้วย ยาละลายล่ิมเลือดโดยผลการรักษาขึนอยู่กับระยะเวลาท่ีผู้ป่วยได้รับยา ดังวลีท่ีว่า “ย่ิงให้ยาเร็วย่ิงดี” โดยพบว่าทุก ๑ นาที ท่เี สียไปเซลล์สมองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดเฉียบพลันจะตาย ๑.๙ ล้านเซลล์ ดังนันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ สูงสุดจึงจาเป็นต้องมีการพัฒนากระบวนการท่ีผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการให้ยาละลายลิ่มเลือดได้รวดเร็วท่ีสุด ตังแต่ก่อนผู้ป่วย มาถึงโรงพยาบาล ระหวา่ งนาส่งโรงพยาบาล และหลังจากผปู้ ว่ ยมาถึงโรงพยาบาล บริบทของจังหวดั ภูเก็ตนัน โรงพยาบาลศูนยว์ ชิระภูเก็ตเป็นโรงพยาบาลแมข่ ่ายท่ีรับส่งต่อผูป้ ่วย Stroke Fast Track ทังจากภาครัฐและเอกชน โดยสถิติผู้ป่วย Stroke Fast Track ที่ได้รับยาละลายล่ิมเลือดเม่ือมาถึงโรงพยาบาลใน ๖๐ นาที (Door to drug time) ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ – ๒๕๖๒ คิดเป็น ๕๐%, ๕๔.๒% และ ๕๙.๖๑% ตามลาดับ ต่ากว่าเป้าหมาย ท่ีตังไว้ และต่ากว่าบัญชีตัวชวี ัดเปรียบเทียบ (THIP) เมื่อทบทวนผลการดาเนินงานพบว่า สาเหตุที่ทาให้ผู้ป่วยเข้าถงึ ยาได้น้อย เนือ่ งจากขนั ตอนการส่งตอ่ และการให้คาปรึกษาโดยแพทย์ผู้เช่ียวชาญ ผ่านศนู ยป์ ระสานรับส่งต่อมีความซบั ซ้อน จากสถิติการ ประสานรับส่งต่อผู้ป่วยท่ี activated Stroke Fast Track ผ่านศูนย์ประสานรับส่งต่อผู้ป่วยจังหวัดภูเก็ตในปี ๒๕๖๑ และ ๒๕๖๒ พบว่า มีจานวน ๙๐ และ ๑๐๒ ราย มีแนวโน้มเพ่ิมมากขึน แต่ประสบปัญหาในการติดต่อกับศูนย์ประสานรับส่งต่อ ผปู้ ว่ ย เนอ่ื งจากมีชอ่ งทางการประสานงาน เบอรโ์ ทรศัพทเ์ พียง ๑ คูส่ าย ทาใหต้ ิดต่อได้ยาก เนื่องจากใช้สายรบั ประสานผู้ป่วย อืน่ ๆ สายไมว่ า่ ง รว่ มกบั ขนั ตอนการประสานงานหลายขันตอน ทาใหใ้ ชเ้ วลาในการประสานงานนาน ทาให้ผู้ป่วย Stroke Fast Track ถูกส่งตอ่ มาช้าและได้รับยาละลายล่ิมเลือดไม่ทันภายในระยะเวลา ๒๗๐ นาที ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางกาย จิตใจ และสังคม เน่ืองมาจากภาวะทุพพลภาพหรือจากการสูญเสียชีวิต ศูนย์ประสานรับส่งต่อผู้ป่วยจังหวัดภูเก็ตจึงนาแนวคิดของ LEAN: Just-in-TIME มาใช้ในการบริหารจัดการ ลดระยะเวลาและความสูญเปล่า เพื่อพัฒนารูปแบบการประสานรับส่งต่อ ผู้ป่วย สร้างโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงการได้รับยาอย่างรวดเร็วท่ีสุด และสามารถเช่ืองโยงกับระบบการดูแลผู้ป่วย Stroke Fast Track ของห้องอบุ ตั ิเหตุและฉุกเฉนิ ท่รี บั ผู้ป่วยแบบไร้รอยต่อ วัตถุประสงค์ เพอ่ื พัฒนารูปแบบการประสานรับสง่ ต่อผู้ปว่ ยชอ่ งทางด่วนโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke Fast track) ของจงั หวัดภเู ก็ต วิธกี ารดา้ เนนิ งานและผลการดา้ เนนิ งาน แบ่งการดาเนินงานเปน็ ๔ ระยะ คอื ๑. ศึกษาสถานการณ์ปัญหาร่วมกันภายในจังหวัด ผ่านเวทีการประชุมคณะทางานพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยระดับ โรงพยาบาลทังภาครัฐและเอกชนร่วมกันทา RCA พบว่าเกิดปัญหาเนื่องจากศูนย์ประสานรับส่งต่อผู้ป่วยจังหวัดภูเก็ต มีชอ่ งทางการประสานเพียงช่องทางเดยี ว ตดิ ตอ่ ยาก สายไม่ว่าง ขันตอนการประสานหลายขันตอนตอ้ งใช้ระยะเวลานาน ๒. พัฒนารูปแบบการประสานรับส่งต่อผู้ป่วย Stroke Fast Track ภายใต้แนวคิด LEAN: Just-in-TIME และมีการ เพิม่ ชอ่ งทางการประสานงานกรณีรบั การสง่ ต่อ (Refer in) เป็นโทรศัพท์ ๒ คู่สายโดยแบง่ เป็นสาย fast track ๑ คู่สายร่วมกับ มีการปรับให้สามารถประชุมสายร่วมกับแพทย์ผู้เช่ียวชาญได้แบบ real-time และสร้างข้อตกลงภายในจังหวัดภูเก็ตว่าผู้ป่วย จะตอ้ งสง่ มาถงึ หอ้ งฉกุ เฉนิ โรงพยาบาลศูนย์วชิระภเู กต็ ภายในระยะเวลา ๒๑๐ นาที (๓.๕ ชัว่ โมง) นับจากมอี าการ ๓. นารูปแบบการประสานรับส่งต่อผู้ป่วยสู่การปฏิบตั ิ ๔.ประเมินผลการใช้รูปแบบการประสานรับส่งต่อผู้ป่วยแบบใหม่พบว่า ระยะเวลาการประสานลดลงเหลือ ค่า median (IQR) = ๖ (๕,๙) นาที สารวจความพึงพอใจของบุคลากรจาก รพ.ต้นทาง คิดเป็น 97% และความพึงพอใจของ บคุ ลากร รพ.ปลายทาง คดิ เปน็ ๙๒% Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๔๐
รูปแบบการประสานงานแบบเดมิ รูปแบบการประสานงานแบบใหม่ ช่องทาง Refer in: โทรศพั ท์ ๑ คูส่ าย ช่องทาง Refer in: โทรศพั ท์ ๒ คูส่ าย (๑ คสู่ ายสาหรับ Fast track) Median (IQR) of time = 18 (16,20) min Median (IQR) of time = 6 (5,9) min พยาบาล รพ.ตน้ ทาง ประสาน พยาบาลศูนยฯ์ - ซกั ถามข้อมูลผปู้ ่วย เชค็ สิทธกิ์ ารรกั ษา อาการ แพทย์ รพ.ตน้ ทาง ประสานศูนย์ฯ ผ่านคสู่ าย Fast track และอาการแสดง สญั ญาณชีพ - พยาบาล รพ.ตน้ ทาง สง่ ต่อบตั รประชาชนผูป้ ว่ ยและใบส่งต่อผ่าน - จดบันทกึ ข้อมูลตามแบบบนั ทกึ การประสาน Application LINE - พยาบาลศูนยฯ์ ประชุมสายร่วมกับแพทย์เวรเฉพาะทาง พยาบาลศูนยฯ์ ปรกึ ษา แพทย์เวรเฉพาะทาง - พยาบาลศูนย์ฯ จดบนั ทกึ ข้อมลู ตามแบบบนั ทกึ การประสาน/ตอบ รบั ส่งตอ่ ใชเ้ วลาเฉล่ีย 4-5 นาที พยาบาลศูนยฯ์ ประสาน พยาบาล รพ.ต้นทาง ใช้เวลาเฉลี่ย 4-5 นาที - แจง้ ผลการปรึกษาแก่ รพ.ตน้ ทาง พยาบาลศูนยฯ์ ประสาน พยาบาลห้องฉกุ เฉนิ และหอ้ งบตั ร - สอบถามสญั ญาณชพี ก่อนส่งตอ่ - ส่งตอ่ แบบบนั ทกึ การประสาน - แจง้ หอ้ งบัตรเพ่อื เปิดบตั ร พยาบาลศนู ยฯ์ ประสาน พยาบาลห้องฉกุ เฉิน - สง่ ต่อแบบบันทกึ การประสาน อภปิ รายผล ใชเ้ วลาเฉลีย่ 1-2 นาที ผลของการพัฒนารปู แบบการประสานรบั ส่งตอ่ ผู้ปว่ ย Stroke Fast Track ภายใต้แนวคิด LEAN: Just-in-TIME เพ่ือ ลดขันตอนต่างๆของการประสานรับส่งต่อ สามารถลดระยะเวลาในการประสานจากค่า median (IQR) = ๑๘ (๑๖,๒๐) นาที เหลือ ค่า median (IQR) = ๖ (๕,๙) นาที ทาให้ลด Median of door to drug time ได้มากถึง ๑๒ นาที (๖๖.๗%) ซึ่งส่งผล โดยตรงให้ในปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ความรวดเร็วในส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตได้ทันเวลาและมี โอกาสไดร้ ับยาละลายล่มิ เลือดเพิ่มมากขนึ ปงี บประมาณ ศนู ยป์ ระสานฯ(ราย) Activate Stroke Fast Track ER ทันเวลา ER ไมท่ ันเวลา/ Non Fast track ปี ๒๕๖๑ ๙๐ ๒๓ (๒๕.๕%) ๖๗ (๗๔.๕%) ปี ๒๕๖๒ ๑๐๒ ๔๑ (๔๐.๒%) ๖๑ (๕๙.๘%) ปี ๒๕๖๓ ๑๑๔ ๖๖ (๕๗.๙%) ๔๘ (๔๒.๑%) สรปุ และขอ้ เสนอแนะ จากผลของการพัฒนารปู แบบการประสานรับสง่ ตอ่ ผ้ปู ่วย Stroke Fast Track ภายใตแ้ นวคดิ LEAN: Just-in-TIME สามารถลดระยะเวลาการประสานได้จริง ทังนีเนื่องมาจากความร่วมมือกันเป็นอย่างดีภายในภาคีเครือข่ายทังภาครัฐและ เอกชน โดยมีการประชุมระดับจังหวัดร่วมกันทุกเดือนเพื่อค้นหา แนวทางแก้ไขและป้องกันปญั หาท่ีอาจเกิดขึนจากระบบการ ส่งต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วย Stroke Fast Track ซึ่งมีปัจจัยด้านเวลาท่ีส่งผลต่อการรักษา ทังนีระบบส่งต่อก็ยังคงเป็นเพียง ฟันเฟือนตัวหนึง่ เท่านนั การพฒั นาการดูแลผูป้ ่วย Stroke Fast track ยังตอ้ งอาศัยความร่วมมอื ทงั จากประชาชนและสหสาขา วิชาชีพในการเข้าถึงยาละลายล่ิมเลือดให้ทันเวลา เพ่ือลดภาวะทุพพลภาพ ลดอัตราการเสียชีวิต และเกิดผลลัพธ์ท่ีดี ตามมาตรฐานสากล Best Practice เขตสขุ ภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๔๑
ชอ่ื เรอื่ ง ผลการใช้ Maharaj Pediatric Respiratory Care Program ในการดูแลผปู้ ว่ ยเด็กทีม่ ีภาวะโรคทางเดนิ หายใจ เรอ้ื รงั โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ชื่อเจ้าของผลงาน พ.ญ.อัจจิมาวดี พงศ์ดารา, พว.นางนลนิ ี พวงมาลา และ พว.นางฉัตรกมล ชดู วง โรงพยาบาลมหาราชนครศรธี รรมราช บทนา้ /หลักการและเหตุผล / ทม่ี าและความสา้ คญั โรคระบบหายใจเรือรังหรือ Chronic lung disease (CLD) เป็นผลจากการที่ได้รับการช่วยหายใจจากเครื่อง ช่วยหายใจหรือการให้ออกซิเจน ในกระบวนการบาบัดรักษาเพื่อการรักษาชีวิต มีผลทาให้เนือเยื่อปอดเกิดการบาดเจ็บและ อักเสบจนเกิดเป็นพังผืด ทาให้มีสมรรถภาพปอดผิดปกติและสูญเสียหน้าที่ในการทางาน ผู้ป่วยกลุ่มนีมักมีปัญหาหลายระบบ ในร่างกาย ดังนันนอกจากจะพึ่งพาเทคโนโลยีแล้วยังต้องมีการดูแลเรื่องอ่ืนๆควบคู่กันไปด้วย และเมื่อกลับไปดูแลต่อเน่ือง ที่บ้านมักมีความจาเป็นต้องใช้อุปกรณ์บางอย่าง เช่น ออกซิเจน เคร่ืองดูดเสมหะ ท่อเจาะคอ ยาขยายหลอดลม เครื่องชว่ ยหายใจ และการให้อาหารทางสายยาง เปน็ ตน้ เพ่ือประคับประคองชวี ิตจนกวา่ สมรรถภาพทางปอดเป็นปกติ วัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาผลของการใช้โปรแกรม Maharaj Pediatric Respiratory Care Program ในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะ โรคระบบหายใจเรอื รัง โรงพยาบาลมหาราชนครศรธี รรมราช วธิ กี ารด้าเนินงาน/วธิ กี ารศกึ ษา อธิบายรูปแบบการศึกษา การกาหนดตัวอย่าง และวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง วิธีการวิเคราะห์ / สถิติท่ีใช้ เครื่องมือ ท่ใี ช้ การเก็บรวมรวมข้อมลู เป็นการศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา (Retrospective descriptive study) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียน ประวัติผู้ป่วยเด็กอายุ ๑ เดือน ถึง ๑๕ ปี ท่ีได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคระบบหายใจเรือรัง และจาเป็นต้องใช้อุปกรณ์ ทางการแพทย์ติดตัวกลับบ้าน ได้แก่ ออกซิเจน เครื่องดูดเสมหะ ท่อเจาะคอ ยาขยายหลอดลม เครื่องช่วยหายใจ และ การให้อาหารทางสายยาง โดยเข้ารับการรักษาท่ีแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ระหว่างวันท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๕ถงึ วนั ท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๖๔ ผลการด้าเนินงาน/ผลการศึกษา ผู้ป่วยเด็กท่ีได้รับการวินิจฉัยโรคระบบหายใจเรือรัง ทังสิน ๒๑๗ คน ผู้ป่วยท่ีอาการคงท่ี ๑๓๖ คน(ร้อยละ ๖๒.๖) อาการดีขึนและจาหน่ายออกจากโครงการ ๕๒ คน (ร้อยละ ๒๓.๙) ผู้ป่วยอาการดีขึน (ไม่ต้องให้ออกซิเจน /ไม่ต้องใช้ยาพ่น ชนิดคอร์ติโคสเตียรอด์) และยังติดตามอาการ ๘ คน (ร้อยละ๓.๖) เสียชีวิต ๒๑ คน (ร้อยละ ๙.๖๗) จานวนผู้ป่วยท่ีกลับมา รักษาซาในโรงพยาบาลในปี พ.ศ.๒๕๕๔-๒๕๕๕ มจี านวนเฉลยี่ ๓-๔ ครัง/ปี/คน หลังจากใช้ Maharaj Pediatric Respiratory Care Program มีผู้ป่วยท่ีกลับมารักษาซาในโรงพยาบาล ปีพ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๖๐ เฉลี่ย ๑ – ๒ ครัง/ปี/คน และตังแตป่ ี ๒๕๖๑ จนถงึ ปัจจบุ ันพบวา่ ไม่มีการกลบั มารกั ษาซาในโรงพยาบาล อภิปรายผล ในการดูแลผปู้ ่วยเด็กท่ีมภี าวะโรคระบบหายใจเรือรัง พบว่าอัตราการกลับมารักษาของผู้ป่วยลดลงเป็น ๑ – ๒ ครัง/คน/ปี ในปี ๒๕๖๐ และตังแต่ปี ๒๕๖๑ ไม่พบการกลับมารักษาซาในโรงพยาบาล ดังนันการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนีโดยใช้ Maharaj Pediatric Respiratory Care Program ซ่ึงจะเน้นการออกแบบสร้างเสริมพลัง เน้นทักษะ การปฏิบัติการของผู้ดูแลแบบ Holistic approach จงึ เป็นสิ่งสาคัญและจาเป็น รวมทังการส่งเสริมการฟ้ืนฟูในกลุ่มท่ีเป็นโรค นอกเหนือจากการปอ้ งกันหรือ ลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรค การดูแลจะประสบความสาเร็จได้ด้วยดีถ้ามีการประสานงานระหว่างบุคลากรในทีมผู้ดูแล ความร่วมมือ ขวญั กาลังใจของผปู้ ่วยและครอบครัวกเ็ ป็นสง่ิ สาคัญเช่นเดียวกัน ในอนาคตการดูแลรักษาทบี่ ้านจะเป็นสิ่งจาเป็น มากขึนในทางการแพทย์ทงั ในผู้ปว่ ยเด็ก ผปู้ ่วยโรคระบบหายใจและโรคอน่ื ๆ การฝึกทักษะในการดูแลท่ีบา้ นเป็นสิ่งสาคัญเพื่อ เพม่ิ ความมน่ั ใจและลดความวิตกกังวล การใช้ Maharaj Pediatric Respiratory Care Program ในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะโรคระบบหายใจเรือรัง โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชโดยความร่วมมือของทีมสหวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วย เริ่มตังแต่การเตรียมตัวผู้ป่วยและ Best Practice เขตสุขภาพท่ี ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๔๒
ครอบครัว โดยการประเมินผู้ป่วยและผู้ดูแล การสอน การฝกึ ปฏิบัติ และการประเมนิ ผู้ดูแลซาจนเกดิ ความม่ันใจในการกลับไป ดูแลต่อเน่ืองท่ีบ้าน มีการติดตามเยี่ยมบ้าน มีระบบให้คาปรึกษา (Telephone protocol) รวมทังการจัดหาอุปกรณ์ท่ีจาเป็น สาหรับใช้ดแู ลผู้ปว่ ย ทาใหผ้ ู้ดูแลสามารถใหก้ ารดแู ลผปู้ ่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซอ้ นลดลง หายจากโรค ได้มากขึน อัตราการกลับมารักษาซาของผู้ป่วยและระยะในการนอนโรงพยาบาลเฉลี่ยของผู้ป่วยกรณีกลับมารักษาซาลดลง ลดคา่ ใช้จา่ ยของโรงพยาบาล อยู่ในส่งิ แวดล้อมและคนทคี่ นุ้ เคย และไดร้ บั ความรกั ความอบอุน่ ผ้ปู ่วยและ ครอบครวั มคี ุณภาพ ชวี ติ ทีด่ ขี ึน สรปุ และขอ้ เสนอแนะ การใช้ Maharaj Pediatric Respiratory Care Program ในการดูแลผู้ป่วยเด็กท่ีมีภาวะโรคระบบหายใจเรือรัง โรงพยาบาลมหาราชนครศรธี รรมราชโดยความร่วมมอื ของทีมสหสาขาวิชาชพี เพือ่ ให้ผู้ดูแลสามารถกลบั ไปดูแลผูป้ ว่ ยต่อเนือ่ งที่ บา้ นได้ ทาให้ผดู้ ูแลเกิดความมั่นใจในการดูแลผปู้ ่วย ช่วยลดอตั ราการกลับมารับการรักษาซาของผู้ปว่ ย ผปู้ ่วยมคี ุณภาพชวี ิตท่ี ดขี ึนและผ้ดู ูแลมีความพงึ พอใจตอ่ ทีมผใู้ ห้การรกั ษา นอกเหนือจากการป้องกันหรือลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรค การดูแลจะประสบความสาเร็จได้ด้วยดีถ้ามีการ ประสานงานระหว่างบุคลากรในทีมผู้ดูแล ความร่วมมือ ขวัญกาลังใจของผู้ป่วยและครอบครัวก็เป็นส่ิงสาคัญเช่นเดียวกัน ในอนาคตการดูแลรักษาที่บ้านจะเป็นสิ่งจาเป็นมากขึนในทางการแพทย์ทังในผู้ป่วยเด็ก ผู้ป่วยโรคระบบหายใจและโรคอื่น ๆ การฝึกทักษะในการดูแลท่บี า้ นเป็นสิ่งสาคัญเพ่ือเพิ่มความมัน่ ใจและลดความวติ กกังวล Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๔๓
ช่ือเร่ือง การพัฒนารูปแบบและกลไกการป้องกันควบคุมโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แบบมีส่วนร่วมของชุมชนใน พื้นทเ่ี ขตเมอื ง กรณศี ึกษา ชุมชนการเคหะแหง่ ชาตนิ ครศรีธรรมราช ต้าบลในเมอื ง อา้ เภอเมือง จงั หวัดนครศรธี รรมราช ชือ่ เจา้ ของผลงาน สทุ ศิ า รักขาว, วรรณวรา หวานสนิท, กรรณกิ า สวุ รรณา สานักงานป้องกันควบคุมโรคท่ี ๑๑ นครศรีธรรมราช บทนา้ /หลักการและเหตุผล/ที่มาและความสา้ คัญ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชอื ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในทั่วภูมิภาคของโลก เป็นภาวะฉุกเฉิน ดา้ นสาธารณสุขระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการวางระบบทางการเฝ้าระวงั และสอบสวนโรค ตังแต่ระดบั พืนที่ อาเภอ จังหวัด เขต และส่วนกลาง กาหนดให้มีการสอบสวนโรค เพอ่ื ควบคุมการระบาดของโรคฯ ในการศกึ ษาในครังนีจะเน้นให้เห็นถึง การขับเคล่ือนงานการป้องกันควบคุมโรคในเขตเมือง(Urban Village Care : uVilleCare) ซ่ึงเป็นจุดเน้นสาคัญในการดูแลของ นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค สานักงานป้องกันควบคุมโรคท่ี ๑๑ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ให้ความสาคัญ ต่อนโยบายทีเ่ ปน็ จุดเน้นของกรมควบคุมโรค จึงไดม้ ีการขบั เคลอื่ นนโยบายดงั กล่าว จึงได้จัดเวทีประชมุ เพื่อหารือในการเลือกพืนท่ีนาร่อง โดยมีกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง จากสานักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช สานักงานสาธารณสุขอาเภอเมืองนครศรีธรรมราช และสานักงานเทศบาลนครนครศรีธรรมราช จากมติท่ีประชุมได้ลงความเห็น และเลือกให้ชุมชนการเคหะแห่งชาตินครศรีธรรมราช ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นชุมชนนาร่องในการ พัฒนารูปแบบฯ ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มคี วามหลากหลายทางด้านการประกอบอาชีพ จึงมีโอกาสและความเส่ยี งสูงตอ่ การติดต่อ และการแพร่กระจายอย่างรวดเรว็ ของโรคตดิ เชือไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) จงึ ได้มีการขับเคล่ือนการพัฒนารูปแบบฯ สร้างเป็น รูปแบบและกลไกการดาเนินงานที่เป็นรูปธรรม เพ่ือให้ชุมชนมีแนวทาง วิธีการดาเนินงาน และกระบวนการดาเนินงานป้องกัน ควบคุมโรคฯ อย่างเปน็ ระบบ นาไปใช้ไดจ้ รงิ หากเกดิ เหตุการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในชมุ ชน วัตถุประสงค์ เพ่ือพัฒนารูปแบบและกลไกการป้องกันควบคุมโรคติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เหมาะสมกับบริบท ของชุมชน และสร้างการมีส่วนร่วมในการดาเนินงานป้องกันควบคุมโรคฯ ของคนในชุมชน วิธีการด้าเนินงาน/วิธีการศึกษา การศึกษาครังนีเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพ่ือพัฒนารูปแบบและกลไกการป้องกันควบคุม โรคติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แบบมีส่วนร่วมของชุมชนในพืนที่เขตเมือง กรณีศึกษา ชุมชนการเคหะแห่งชาติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ มีขันตอนการวิจัย ๓ ขันตอน ดังนี ๑) ขันเตรียมการ ทาความเข้าใจ ชีแจงวัตถุประสงค์ ศึกษาบริบทของชุมชน และสภาพปัญหา ประเมินความรู้และพฤติกรรมการป้องกันโรคของคนในชุมชน จานวน ๔๒๑ คน ๒) ขันการดาเนินการจัดทารูปแบบฯ และ ๓) ขันประเมินผล ประกอบด้วย ความพึงพอใจต่อรูปแบบฯ การประเมินผลการคัดกรองกลุ่มเส่ียง การส่งต่อ และการกักกันในชุมชน เก็บข้อมูลแบบผสมผสาน (Mix methods) เคร่ืองมือ ท่ใี ช้เป็นแบบสอบถาม แบบประเมินความพึงพอใจ แบบสังเกต กลุ่มตัวอยา่ งคือ แกนนา และประชาชนในชุมชน โดยเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) จานวน ๑๐๐ คน ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้วธิ กี ารเรียบเรียง จดั หมวดหม่ตู ามประเดน็ ปญั หา วเิ คราะหเ์ ชงิ เนือหา (Content analysis) ผลการด้าเนนิ งาน/ผลการศึกษา กรณีศกึ ษา ชุมชนการเคหะแหง่ ชาตนิ ครศรธี รรมราช ตาบลในเมือง อาเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นชมุ ชนขนาดใหญ่ (CL๓) มีจานวนประชากรในพืนที่ประมาณ ๒,๒๐๐ คน ๗๔๐ หลังคาเรือน การประกอบอาชีพของคนในชุมชนค่อนข้างมีความ หลากหลาย อยู่ภายใต้การปกครองของเทศบาลนครนครศรีธรรมราช จากขันเตรียมการ ทาความเข้าใจ ชีแจงวัตถุประสงค์ ศึกษาบริบทของชุมชน พบว่า แกนนาฯ และประชาชน มีความรู้เก่ียวกับโรคฯ ในระดับปานกลาง ร้อยละ ๖๐.๖ พฤติกรรม การปอ้ งกนั โรคฯ ส่วนใหญส่ วมหน้ากากอนามัย รอ้ ยละ ๙๖.๒ ลา้ งมอื และหลีกเล่ยี งการอยใู่ นทีแ่ ออัด รอ้ ยละ ๙๐.๕ และ ๘๘.๑ ตามลาดับ ผลการศึกษาสภาพปัญหาของการป้องกันควบคุมโรคฯ ในชุมชนสรุปได้ ๖ ประเด็นดังนี ๑) ประชาชนยังไม่ร่วมมือ อย่างเต็มท่ี ๒) ไม่มีรูปแบบท่ีเป็นรูปธรรม ๓) ผู้นาชุมชน ยังไม่มีบทบาทที่ชัดเจนในการจัดการโรคฯ ๔) การประชาสัมพันธ์และ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไม่ครอบคลุม ขาดความต่อเนื่อง ๕) การสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรภาคีเครือข่ายไม่พอเพียง และ ๖) ประชาชนในชุมชนบางส่วนขาดความตระหนัก ขันการดาเนินการจัดทารูปแบบฯ ได้จัดทารูปแบบและกลไกการป้องกัน Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๔๔
ควบคุมโรคติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยใช้การระดมความคิดด้วยกระบวนการ AIC จัดทาในลักษณะ Flow กระบวนการดาเนินงาน และร่วมกาหนดมาตรการในการป้องกันโรคฯในชุมชนตามกลุ่มเป้าหมาย ดังนี มาตรการภาพรวมของ ชุมชน มาตรการสาหรับประธานหรือคณะกรรมการชุมชน มาตรการและบทบาทสาหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) มาตรการและการปฏิบัติตัวของผู้ท่ีเข้ามาพักอาศัยและกักตัวในชุมชน มาตรการและการปฏิบัติตัวของผู้อยู่อาศัยและ การทาลายเชือในส่งิ แวดลอ้ มของบ้านทีม่ ีผูถ้ กู กักกนั หรือคุมไว้สังเกต และขันประเมินผล การประเมนิ ความพงึ พอใจต่อการจัดทา รูปแบบและกลไกการป้องกันควบคุมโรคฯ จากกลุ่มตัวอย่าง จานวน ๑๐๐ คน พบว่า รูปแบบมีความเหมาะสมร้อยละ ๙๙.๐ ในภาพรวมมีความพึงพอใจระดับมาก ร้อยละ ๕๑.๐ ระดับปานกลาง ร้อยละ ๔๕.๐ มาตรการภาพรวมของชุมชนมีความ เหมาะสมและสามารถปฏิบัติได้จริง ร้อยละ ๙๕.๐ ชุมชนมีการคัดกรองกลมุ่ เสี่ยงทังหมด ๑๔๑ คน ได้รับการกักตัวครบ ๑๔ วัน และไม่มีการส่งต่อไปรับการรักษา กิจกรรมที่เห็นควรให้มีการดาเนินงานอย่างต่อเน่ือง ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการ มีส่วนร่วม สร้างความตระหนักของประชาชนในชุมชน ส่งเสริมการมีผู้นาที่เข้มแข็ง และมีกรรมการผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน การมีรูปแบบการดาเนินงานของชุมชนเอง การสนบั สนุนงบประมาณจากองค์กรภาคเี ครอื ข่ายอยา่ งพอเพยี งและต่อเนอื่ ง อภิปรายผล ผลการประเมินความรู้เก่ียวกับโรคฯ พบว่า แกนนาฯ และประชาชน มีความรู้อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ ๖๐.๖ ซ่ึงควรมีการรณรงค์ให้ความรู้ที่ถูกต้องต่อเน่ือง พฤติกรรมการป้องกันโรคฯ ส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัย ร้อยละ ๙๖.๒ ล้างมือ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในท่ีแออัด ร้อยละ ๙๐.๕ และ ๘๘.๑ ซึ่งสอดคล้องและเป็นไปแนวทางท่ีกระทรวงสาธารณสุข กาหนด ผลการศึกษาสภาพปัญหาของการป้องกนั ควบคุมโรคฯ ในชมุ ชนสรุปได้ ๖ ประเด็นดังนี ๑) ประชาชนยงั ไม่ร่วมมืออยา่ ง เต็มท่ี ๒) ไมม่ รี ูปแบบท่ีเปน็ รปู ธรรม ๓) ผูน้ าชมุ ชน ยงั ไมม่ ีบทบาทท่ชี ดั เจนในการจดั การโรคฯ ๔) การประชาสัมพนั ธ์และเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารไม่ครอบคลุม ขาดความต่อเน่ือง ๕) การสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรภาคีเครือข่ายไม่พอเพียง ๖) ประชาชนในชุมชนบางส่วนขาดความตระหนัก ผลการจัดทารูปแบบและกลไกการป้องกันควบคุมโรคติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยใช้การระดมความคิดดว้ ยกระบวนการ AIC ไดเ้ ปน็ รูปแบบฯ Flow กระบวนการดาเนินงาน และมาตรการ ในการป้องกันโรคฯในชุมชนตามกลุ่มเป้าหมาย ดังนี มาตรการภาพรวมของชุมชน มาตรการสาหรับประธานหรือคณะกรรมการ ชุมชน มาตรการและบทบาทสาหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) มาตรการและการปฏิบัติตัวของผู้ที่เข้ามา พกั อาศัยและกักตัวในชุมชน มาตรการและการปฏบิ ัติตัวของผู้อยู่อาศัยและการทาลายเชือในสิ่งแวดล้อมของบ้านที่มผี ู้ถูกกักกัน หรือคุมไว้สังเกต ซง่ึ สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ในการศกึ ษาในครังนี คือ มีพฒั นารูปแบบและกลไกการป้องกันควบคุมโรค ติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ท่ีเหมาะสมกับบริบทของชุมชน และการมีส่วนร่วมในการดาเนนิ งานป้องกนั ควบคุมโรค ติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของคนในชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การประเมินความพึงพอใจต่อการจัดทา รูปแบบและกลไกการป้องกันควบคุมโรคฯ จากกลุ่มตัวอย่าง จานวน ๑๐๐ คน พบว่า รูปแบบมีความเหมาะสมร้อยละ ๙๙.๐ ในภาพรวมมีความพึงพอใจระดับมาก ร้อยละ ๕๑.๐ มาตรการภาพรวมของชุมชนมีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติได้จริง รอ้ ยละ ๙๕.๐ ชุมชนมกี ารคัดกรองกลมุ่ เสี่ยง การกกั ตัวครบ ๑๔ วนั ซงึ่ เป็นไปตามรปู แบบฯ ทร่ี ่วมกาหนดไว้ ส่วนกจิ กรรมที่เห็น ควรให้มีการดาเนินงานอย่างต่อเนื่อง และทาให้เกิดความสาเร็จในการดาเนินงานป้องกันควบคุมโรคติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในชุมชน ไดแ้ ก่ การประชาสัมพันธ์ ส่งเสรมิ การมีส่วนร่วม สร้างความตระหนกั ของประชาชนในชุมชน ส่งเสริมการมี ผ้นู าทเ่ี ข้มแขง็ และมีกรรมการผ้รู บั ผิดชอบอย่างชัดเจน การมีรปู แบบการดาเนินงานของชุมชนเอง การสนับสนนุ งบประมาณจาก องค์กรภาคีเครอื ข่ายอย่างพอเพยี งและต่อเนื่อง สรปุ และขอ้ เสนอแนะ จากการศึกษาครังนี บรรลุวัตถุประสงค์ในการศึกษา ชุมชนการเคหะแห่งชาตินครศรีธรรมราชมีรูปแบบและกลไกการ ปอ้ งกันควบคุมโรคติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เหมาะสมกบั บริบทของชุมชน และการมีส่วนรว่ มในการดาเนินงาน ป้องกันควบคุมโรคฯ ของคนในชุมชน มีข้อเสนอแนะในการดาเนินงานดังนี การนากระบวนการ AIC และกิจกรรมท่ีทาให้เกิด ความสาเร็จในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มาใช้ในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ทาให้มี ประสทิ ธิภาพและเกิดความยัง่ ยืนในทสี่ ดุ Best Practice เขตสุขภาพที่ ๑๑ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๔๕
Search