๔๑ ๕. กายทวารกิ จิต ๔๖ มโี ผฏฐัพพารมณ ทเี่ ปนปจ จบุ ันอยา งเดียว ๖. มโนทวารกิ จิต ๖๗/๙๙ ภ ตี น ท ป กา สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ มีอารมณ ๖ ทเ่ี ปน ป. อดีต.อนา. และกาลวมิ ตุ ติ ตามสมควรแกอ ารมณ ภนทมช ช ช ชช ช ช ตต ภภ ๑ ๒๙ - ๒๖/๕๘ ๑๑ ๗. ทวารวิมตุ ตจติ ๑๙ ท่ีเกดิ ขน้ึ ทาํ หนา ท่ี ปฏิสนธิ ภวังค จตุ ิ ทงั้ ๑๙ ดวงน้ัน มีอารมณหนงึ่ อารมณใดใน บรรดาอารมณ ๖ ทีเ่ รยี กวา กรรม กรรมนมิ ติ คตนิ มิ ิต ซ่ึงเปน ปจจบุ นั อดีตและ บัญญัติ ที่ ฉทวาริกมรณาสนั นชวนะรบั เอามาจากภพกอ นเมื่อใกลจะตายเปนสว นมาก อารมณ ๖ เหลา น้ี แบง ออกเปน ๒ อยา ง คอื ๑. สามัญญอารมณ อารมณชนิดสามัญธรรมดาทว่ั ๆ ไป ไมมอี ะไรเปนพเิ ศษ ๒. อธบิ ดอี ารมณ อารมณชนดิ พเิ ศษ ท่ีมอี าํ นาจครอบครองจติ และเจตสกิ และเหนยี่ วจิต เจตสกิ ใหเขา มาหาตน อารมณ ๖ เหลานี้ แบงออกเปน ๒ พวก คือ ๑. เตกาลกิ อารมณ ไดแ กอ ารมณท ่เี กี่ยวเนอื่ งดว ยกาลทงั้ ๓ คือ ปจจบุ ัน อดตี อนาคต ไดแก จิต เจตสกิ รูป ๒. กาลวิมุตตอารมณ ไดแก อารมณท ่ีไมเกยี่ วเนือ่ งดว ยกาลทั้ง ๓ ไดแ ก นิพพาน บัญญตั ิ (เพราะธรรม ๒ พวกนี้ เปน อสงั ขตธรรม ไมไดถูกปรุงแตงดว ยปจ จยั ๔) ฉะนั้น การเกดิ ขึ้นของธรรม ๒ พวกนี้จึงไมม ี เม่ือไมม กี ารเกิดข้ึนแลว กก็ ลาวไมไ ดว า นพิ พาน หรอื บญั ญตั ิ เหลา นี้ เปน ปจจุบนั อดีต อนาคต ฉะนน้ั จึงเรยี กวา กาลวิมุตตอารมณ
๔๒ ภพเกา ภพใหม ปฏิ. ภ. จุ ในภพเกา มีอารมณเ ดียวกัน ปฏิ ภ .. ฯลฯ .. ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช จุ ปฏิ ภ ภ .. ฯลฯ .. ภ จุ มรณาสันน.ชวน ในภพเกา กบั ปฏิ. ภ. จุ ในภพใหม มีอารมณเดียวกัน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช จุ ปฏิ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ .. ฯลฯ .. ภ มีกรรมนมิ ิต หรือคตินมิ ิตอารมณเ ดยี วกนั มกี รรมนิมิต หรือคตนิ มิ ิตอารมณเดียวกันกบั เปน ปจ จุบนั อารมณ มรณาสันน.ชวน ในภพเกา, ปฏิ.ในภพใหมแ ละ ภ.๖ ดวงแรก แตอารมณน นั้ เปนปจ จบุ ันไมได ภวังคจติ ท่ีเกิดตออยา งมาก ๖ ดวง ทม่ี ีอารมณเปน ปจ จบุ นั ภพเกา ภพใหม ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ต ต ภ จุ ปฏิ .. ฯลฯ .. ภ มีอารมณทเ่ี ปน ปจจบุ ันนปิ ผันนรูป มีกรรมนมิ ิต หรือคตนิ มิ ติ อารมณเ ดยี วกัน ทเี่ รียกวา กรรมนิมิต หรือคตินมิ ิต กบั มรณาสันน.ชวน ในภพกอนที่เปนอดีต นปิ ผันนรปู อารมณ ดับลงพรอมกับจตุ ิจิต และปฏ.ิ ภ. จุ. ในภพใหมกม็ ีอารมณเ ปน อดีต ช ช ช ช ช จุ ..ปฏิ. ดวยชวี ิตนวกกลาปและจุติดวย ปฏิ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ชีวิตนวกลาปเม่ืออายุ ๕๐๐ มหากัปป ¾เมอ่ื ตายจากอสญั ญสัตตพรหมแลว มาเกดิ ในกามภมู ิ เปน มนุษยห รอื เทวดา ปฏ.ิ ภ. จุ ยอมมอี ารมณที่ เปน กรรมอารมณ กรรมนิมติ อารมณ คตนิ ิมติ อารมณ อยา งใดอยา งหนง่ึ ท่ไี ดรบั มาจากอปราปริยกรรม ( คอื กรรมท่ตี นเคยทํามาแลว ในภพกอ นๆ นบั ตั้งแตภ พท่ี ๓ เปนตน ไปตามสมควร )
๔๓ อารมณ ๖ เหลา นี้เมอ่ื จาํ แนกโดยประเภทใหญแลวมี ๔ ประเภท คือ ๑. กามอารมณ ไดแก อารมณ ๖ (องคธรรม คือ กามาวจรจติ ๕๔ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘) ๒. มหคั คตอารมณ ไดแ ก ธรรมารมณ ๑ (องคธรรม คือ มหัคคตจติ ๒๗ เจตสิก ๓๕) ๓. โลกุตตรอารมณ ไดแก ธรรมารมณ ๑ (องคธรรม คือ โลกตุ ตรจิต ๘ เจตสกิ ๓๖ นพิ พาน ๑) ๔. บญั ญัตอิ ารมณ ไดแก ธรรมารมณ ๑ (องคธ รรม คือ อัตถบัญญัติ สัททบัญญตั ิ ) คาถาแสดงจิตที่รับอารมณแ นน อน ๔ ประเภท และไมแ นนอน ๓ ประเภท ๑. ปฺจวสี ปรติ ตฺ มหฺ ิ ฉ จิตตฺ านิ มหคคฺ เต เอกวีสติ โวหาเร อฏ นพิ ฺพานโคจเร ฯ ๒. วีสานุตตฺ รมุตตฺ มฺหิ อคคฺ มคคฺ ผลชุ ฌฺ ิเต ปฺจ สพฺพตถฺ ฉจเฺ จติ สตฺตธา ตตถฺ สงฺคโห ฯ ๑. จิต ๒๕ ดวง คือ ทวปิ ญ จวญิ ญาณจติ ๑๐ มโนธาตุ ๓ สันตีรณจิต ๓ มหาวปิ ากจิต ๘ หสิตปุ ปาทจติ ๑ เกิดไดในอารมณ ๖ ที่เปน กามธรรมอยางเดียว จิต ๖ ดวง คอื วญิ ญาณญั จายตนฌานจติ ๓ เนวสญั ญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ เกดิ ไดในธรรมารมณท เี่ ปนมหคั คตะอยางเดยี ว จติ ๒๑ ดวง คอื รูปาวจรจติ ๑๕ (เวน อภญิ ญาจติ ๒) อากาสานญั จายตนฌานจิต ๓ อากญิ จัญญายตนฌานจิต ๓ เกดิ ไดใ นธรรมารมณท่เี ปน บัญญัตอิ ยางเดยี ว จิต ๘ ดวง คือ โลกตุ ตรจติ ๘ เกิดไดในธรรมารมณท ่ีเปนนิพพานอยางเดยี ว ๒. จติ ๒๐ ดวง คอื อกศุ ลจิต ๑๒ มหากศุ ลญาณวปิ ปยตุ ตจิต ๔ มหากรยิ าญาณวิปปยตุ ตจิต ๔ เกดิ ไดใ นอารมณ ๖ ทีเ่ ปนกามะ มหคั คตะ บญั ญัติ (เวน โลกตุ ตรธรรม ๙) จิต ๕ ดวง คอื มหากุศลญาณสัมปยตุ ตจติ ๔ กศุ ลอภญิ ญาจติ ๑ เกิดไดใ นอารมณท ัง้ ๖ ทเี่ ปน กามะ มหคั คตะ โลกตุ ตระ บัญญัติ ( เวน อรหัตตมรรค อรหตั ตผล ) จิต ๖ ดวง คือ มหากริยาญาณสมั ปยุตตจิต ๔ กรยิ าอภิญญาจิต ๑ มโนทวาราวชั ชนจติ ๑ เกิดไดใ นอารมณทัง้ ๖ ทเ่ี ปน กามะ มหคั คตะ โลกุตตระ บญั ญัติ โดยไมม เี หลือ ในอารัมมณสงั คหะน้ี มกี ารสงเคราะหจติ ๗ นัย โดยประเภทแหง เอกนั ตะ ๔ อเนกนั ตะ ๓ ดงั ท่กี ลา วมาแลว ดว ยประการฉะน้ี
๔๔ จาํ แนกจิต ๖๐ หรือ ๙๒ ดวง ท่ีรบั อารมณแนน อน โดยอารมณ ๖ และ กาล ๓ ตามลําดบั ปจฺ วีส ปริตตฺ มฺหิ คอื จิต ๒๕ ดวง เกดิ ไดใ นอารมณ ๖ ท่ีเปนกามธรรมอยางเดยี ว ๑. จักขุวญิ ญาณจติ ๒ มี รูปารมณ ท่ีเปน ปจ จบุ นั อยา งเดยี ว ๒. โสตวญิ ญาณจติ ๒ มี สทั ทารมณ ที่เปน ปจจบุ นั อยา งเดยี ว ๓. ฆานวิญญาณจติ ๒ มี คันธารมณ ที่เปน ปจ จุบนั อยา งเดยี ว ๔. ชิวหาวิญญาณจติ ๒ มี รสารมณ ท่เี ปน ปจ จบุ นั อยา งเดยี ว ๕. กายวิญญาณจติ ๒ มี โผฏฐพั พารมณ ทีเ่ ปน ปจจบุ นั อยางเดยี ว ๖. มโนธาตุ ๓ (สัมปฏจิ ฉนจติ ๒ ปญจทวาราวัชชนจติ ๑) มี ปญ จารมณ (อา. ๕) ทเ่ี ปน ปจจบุ นั อยา งเดียว ๗. สนั ตีรณจิต ๓ มหาวปิ ากจิต ๘ หสิตปุ ปาทจติ ๑ รวม ๑๒ ดวงน้ี มี อารมณ ๖ ท่ีเปน ปจจุบนั อดตี อนาคต ฉ จติ ฺตานิ มหคคฺ เต คอื จติ ๖ ดวงเกิดไดใ นธรรมารมณทีเ่ ปน มหัคคตะ อยา งเดยี ว ๘. วิญญาณัญจายตนกศุ ลจิต ๑ วปิ ากจติ ๑ มี มหคั คตธรรมารมณ คือ อากาสานญั จายตนกุศล ที่เปน อดีตอยา งเดยี ว ๙. วิญญาณัญจายตนกริยาจิต ๑ มี มหคั คตธรรมารมณ คือ อากาสานัญจายตนกุศลและกรยิ า ท่เี ปน อดตี อยา งเดียว ๑๐. เนวสัญญานาสญั ญายตนกุศลจิต ๑ วปิ ากจติ ๑ มี มหัคคตธรรมารมณ คือ อากิญจัญญายตนกุศล ทเี่ ปน อดตี อยา งเดียว ๑๑. เนวสัญญานาสัญญายตนกรยิ าจติ ๑ มี มหคั คตธรรมารมณ คอื อากญิ จญั ญายตนกศุ ล และกรยิ า ท่เี ปน อดตี อยา งเดยี ว เอกวสี ติ โวหาเร จติ ๒๑ ดวง น้ี เกดิ ไดใ นธรรมารมณทเี่ ปน บญั ญัตอิ ยางเดยี ว ๑๒. รูปาวจรปฐมฌานจิต ๓ มี บัญญัตธิ รรมารมณ คอื กสิณบัญญัติ ๑๐ อสภุ บญั ญัติ ๑๐ โกฏฐาสบญั ญัติ ๑ อานาปานบัญญัติ ๑ ปย มนาปสตั วบญั ญัติ ๑ ทกุ ขติ สัตวบญั ญัติ ๑ สขุ ติ สตั วบญั ญตั ิ ๑ ทเ่ี ปน กาลวมิ ตุ ตอ ยา งเดยี ว ๑๓.รูปาวจรทุติยฌานจติ ๓ ตตยิ ฌานจติ ๓ จตตุ ถฌานจติ ๓ รวม ๙ ดวงนี้ มี บัญญตั ธิ รรมารมณ คอื สิณบัญญัติ ๑๐ อานาปานบัญญตั ิ ๑ ปยมนาปสัตวบญั ญัติ ๑ ทุกขิตสัตวบญั ญัติ ๑ สขุ ติ สัตวบญั ญตั ิ ๑ ที่เปน กาลวิมตุ ตอยางเดยี ว ๑๔. รูปวจรปญ จมฌานจติ ๓ (เวน อภญิ ญา) มี บัญญัติธรรมารมณ คอื กสิณบัญญัติ ๑๐ อานาปานบญั ญัติ ๑ มัชฌัตตสตั วบญั ญตั ิ ๑ ท่เี ปน กาลวมิ ุตตอยางเดยี ว ๑๕.อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ มี บัญญัตธิ รรมารมณ คือ กสณิ คุ ฆาฏิมากาสบัญญตั ิ ท่ีเปน กาลวมิ ตุ ตอยางเดยี ว ๑๖. อากญิ จัญญายตนฌานจิต ๓ มี บัญญตั ิธรรมารมณ คือ นตั ถภิ าวบญั ญตั ิ ทเ่ี ปนกาล วมิ ตุ ตอยา งเดยี ว อฏ นิพฺพานโคจเร จติ ๘ ดวงนี้ เกิดไดในธรรมารมณที่เปนนพิ พานอยา งเดยี ว ๑๗.โลกุตตรจิต ๘/๔๐ มี ธรรมารมณ คอื นพิ พาน ทเี่ ปน กาลวิมุตตอยา งเดียว (หมายถงึ สอุปาทเิ สสนิพพาน)
๔๕ จาํ แนกจิต ๓๑ ดวง ท่รี บั อารมณไมแนน อนโดยอารมณ ๖ และ กาล ๓ วสี านุตตฺ รมุตตฺ มหฺ ิ จติ ๒๐ ดวงนี้ เกดิ ไดใ นอารมณ ๖ ทีเ่ ปน กามะ มหคั คตะ บัญญตั ิ (เวน โลกุตตร. ๙) ๑. อกุศลจติ ๑๒ มหากุศลญาณวิปปยตุ ตจติ ๔ มหากริยาญาณวปิ ปยตุ ตจิต ๔ รวม ๒๐ ดวงนี้ มี อารมณ ๖ คอื รปู ารมณ สทั ทารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ และ ธรรมารมณ ไดแก โลกยี จิต ๘๑ เจตสกิ ๕๒ ปสาทรปู ๕ สขุ ุมรูป ๑๖ บัญญัติ ทเี่ ปน ปจ จบุ ัน อดีต อนาคต และกาลวมิ ตุ ต อคคฺ มคคฺ ผลชุ ฌฺ เิ ต ปฺจ จติ ๕ ดวงนี้ เกิดไดใ นอารมณท ี่เปนกามะ มหัคคตะ โลกตุ ตระ บัญญัติ (เวน ๒) ๒. มหากุศลญาณสมั ปยตุ ตจติ ๔ กศุ ลอภญิ ญาจติ ๑ รวม ๕ ดวงนี้ มอี ารมณ ๖ คือ รูปารมณ สทั ทารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ และ ธรรมารมณ ไดแ ก จติ ๘๗ (เวนอรหตั ตมรรค อรหัตตผล) เจตสิก ๕๒ ปสาทรูป ๕ สขุ ุมรูป ๑๖ บญั ญตั ิ นพิ พาน ทเี่ ปน ปจจุบนั อดีต อนาคต และกาลวมิ ตุ ต สพพฺ ตถฺ ฉ จ จิต ๖ ดวงนเี้ กิดไดในอารมณ ๖ ที่เปน กามะ มหัคคตะ โลกตุ ตระ บัญญัติ ทัง้ หมดโดยไมม ีเหลือ ๓. มโนทวาราวัชชนจิต ๑ มหากรยิ าญาณสัมปยุตตจติ ๔ กริยาอภญิ ญาจติ ๑ รวม ๖ ดวงนี้ มีอารมณ ๖ คือ รปู ารมณ สทั ทารมณ คนั ธารมณ รสารมณ โผฏฐพั พารมณ และ ธรรมารมณ ไดแ ก จติ ๘๙ เจตสิก ๕๒ ปสาทรูป ๕ สขุ ุมรูป ๑๕ บัญญัติ ที่เปนปจ จุบัน อดตี อนาคต และ กาลวิมุตต ท้งั หมดโดยไมม ีเหลือ แสดงจติ ทร่ี ับอารมณแ นน อน ๔ ประเภท คอื ๑. จติ ท่ีรบั กามธรรม เปนอารมณแ นนอน มี ๒๕ ดวง คือ ทวปิ ญ จ ๑๐ มโนธาตุ ๓ สันตีรณจติ ๓ หสติ ุปปาทจติ ๑ มหาวปิ ากจติ ๘ ๒. จติ ทีร่ บั มหัคคตธรรม เปนอารมณแ นนอน มี ๖ ดวง คือ วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ เนวสญั ญานาสญั ญายตนฌานจติ ๓ ๓. จติ ทรี่ บั บญั ญตั ธิ รรม เปนอารมณแ นน อน มี ๒๑ ดวง คือ รปู าวจรจิต ๑๕ ( เวน อภญิ ญาจติ ๒ ) อากาสานญั จายตนฌานจติ ๓ อากญิ จญั ญายตนฌานจิต ๓ ๔. จติ ที่รบั โลกตุ ตรธรรม เปนอารมณแ นน อน มี ๘ ดวง คือ โลกตุ ตรจิต ๘ แสดงจติ ทร่ี บั อารมณไ มแ นน อน ๓ ประเภท คือ ๑. จิตทร่ี ับ กามะ-มหคั คตะ-บญั ญัติ เปนอารมณได มี ๒๐ ดวง คือ อกศุ ลจติ ๑๒ มหากุศลญาณวิปปยุตตจติ ๔ มหากรยิ าญาณวิปปยตุ ตจิต ๔ ๒. จิตทร่ี บั กามะ-มหัคคตะ-โลกตุ ตระ-บัญญัติ (เวน อรหัตตมรรค-ผล) เปนอารมณได มี ๕ ดวง คือ มหากศุ ลญาณสัมปยตุ ตจติ ๔ กุศลอภญิ ญาจิต ๑ ๓. จิตทรี่ ับ กามะ-มหัคคตะ-โลกตุ ตระ-บญั ญตั ิ เปนอารมณไ ด มี ๖ ดวง คือ มโนทวาราวชั ชนจิต ๑ มหากรยิ าญาณสัมปยุตตจิต ๔ กรยิ าอภญิ ญาจิต ๑
๔๖ จําแนกอารมณเปน คูไ ด ๓ ประเภท คอื ๑. รปู อารมณ กบั นามอารมณ รปู อารมณ ไดแ ก รูป ๒๘ นามอารมณ ไดแ ก จติ ๘๙ เจตสิก ๕๒ นพิ พาน ๒. ปรมตั ถอารมณ กับ บญั ญัตอิ ารมณ ปรมัตถอารมณ ไดแ ก จติ เจตสิก รูป นิพพาน บญั ญัติอารมณ ไดแ ก อตั ถบัญญตั ิ และ สทั ทบัญญัติ ไดแก บัญญัตทิ ุกอยา งน้ไี มม ีสภาวะปรมัตถ ๓. อัชฌตั ตารมณ กบั พหิทธารมณ อชั ฌัตตารมณ ไดแก จิต เจตสกิ รูป ทมี่ ีอยใู นตวั เราเปนอารมณภายใน พหิทธารมณ ไดแ ก จิต เจตสกิ รูป ทีอ่ ยูนอกตวั เรา และบญั ญัติ นิพพาน เปน อารมณภ ายนอก สรปุ จติ ทร่ี บั อารมณแนน อน มี ๕ หมวด คือ จติ ๑๓+๑๒+๒๑+๖+๘ รวม ๖๐ ดวง จติ ทร่ี บั อารมณไ มแ นน อน มี ๓ หมวด คอื จิต ๒๐+๕+๖ รวม ๓๑ ดวง รวมทัง้ ๒ นัย มี ๙๑ ดวง อภญิ ญา คือ ปญ ญาที่รยู ิง่ มที ง้ั โลกียแ ละโลกตุ ตระ รวม ๗ อยาง คือ ๑. อิทธิวญิ ญาณ คือ การแสดงฤทธต์ิ า ง ๆ ๒. ทิพยจกั ษุญาณ คอื ตาทิพย หมายถึงจุตูปปาตญาณ คอื รูจ ตุ แิ ละปฏิสนธิของสัตวท้งั หลาย จตุ ปู ปาตญาณ ยังแยกเปน 2 คือ ๒.๑ ยถากมั มปู คญาณ คอื รวู า สตั วมสี ุขมที ุกขเ พราะทาํ กรรมอะไรมา ๒.๒ อนาคตงั สญาณ คอื รูวาอนาคตของสตั วจ ะเปน ไปอยางไร ๓. ทิพโสต คือ หทู พิ ย ๔. ปรจิตตวิชานน คอื รูวาระจติ ของผอู ื่น หรือ เจโตปรยิ ญาณก็ได ๕. ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ คือ รรู ะลกึ ชาตแิ ตป างกอน ๖. วิปส สนาญาณ คือ เห็นนามรปู เปน ไตรลกั ษณ ๗. อาสวักขยญาณ คือ รวู ากเิ ลสส้นิ แลว อภญิ ญาโลกียท ีอ่ าศัยรูปปญ จมฌานเปน บาทมี ๕ อยาง คอื ขอท่ี ๑ ถึง ขอที่ ๕ อภิญญา ขอท่ี ๑ ถงึ ขอ ท่ี ๖ เปน โลกยี ธรรม ขอที่ ๗ เปนโลกตุ ตรธรรม
๔๗ กสณิ คุ ฆาฏมิ ากาส คอื บญั ญัตทิ ่เี กดิ จากกสณิ ท้งั ๙ เปน อารมณ ( กสณิ ุคฆาฏิมากาส คอื อากาศที่วางเปลา ) อากาสา. วิญญา. อากญิ . เนวา. กศุ ล ภพนแ้ี ละภพกอนเปนอารมณ ภพนี้และภพกอนเปน อารมณ วิปาก ภพกอ นเปนอารมณ ภพกอ นเปน อารมณ กริ ยิ า น้ี ภพนี้และภพกอนเปน อารมณ นี้ ภพนี้และภพกอนเปนอารมณ น้ีกอ น นีก้ อ น พระอเสขบคุ คล พระอเสขบคุ คล บัญญตั ทิ ่เี กดิ จากกสิณท้งั ๙ แยกเปน ๓ คือ นัตถิภาวบญั ญตั ิ คอื ความไมม ีอะไรๆ ของ ๑. ภตู กสิณ ๔ ไดแ ก ดนิ น้าํ ไฟ ลม อากาสานญั จายตนกศุ ล หรือกิริยาเปนอารมณ ๒. วัณณกสณิ ๔ ไดแ ก สเี ขยี ว สขี าว สแี ดง สีเหลือง ๓. อาโลกกสิณ ๑ ไดแ ก แสงสวา ง ( เวน อากาศกสิณ ) พระอรหันตมอี ยดู ว ยกันหลายประเภทแตเ มือ่ วาโดยประเภทใหญ ๆ แลว มอี ยู ๒ ประเภท คือ ๑. พระอรหันต ทส่ี ําเร็จเปนพระอรหันตดว ย ปญญาวมิ ุตต หมายถึง พระอรหันตท่บี รรลมุ รรคผล ดวยการ ปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนาภาวนาลวน ๆ โดยไมไ ดป ฏบิ ัตสิ มถภาวนา คอื ไมไดท ําฌานมากอ นเลยและเมอ่ื วิปสสนาญาณ ดาํ เนนิ ไปจนมรรคผลเกดิ ข้ึนจงึ ไมมีอารมั มณปนชิ ฌาน คือ การเขาเพง องคฌ านเกดิ ขนึ้ ดว ย และพระอรหันตผู ไมไ ดฌานน้ี เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา สุกขวิปส สกพระอรหนั ต (พระอรหนั ตผ ูเห่ยี วแหงดวยฌาน) ๒. พระอรหนั ต ท่สี าํ เรจ็ เปน พระอรหันตดว ย เจโตวมิ ุตต หมายถงึ พระอรหนั ตทีบ่ รรลุมรรคผลโดยมีเรอ่ื ง สมถภาวนา คอื การไดฌ านเขามาเก่ยี วของ และฌานที่เขา มาเก่ยี วขอ งนนั้ มอี ยดู ว ยกัน ๒ อยางคอื ๑. ปฏิปทาสิทธฌิ าน คือ การไดฌานจากการปฏบิ ตั สิ มถภาวนากอ น ตอจากนน้ั จงึ มาเจรญิ วิปส สนามรรคผลเกิดข้ึน แลว ไดบรรลุเปนพระอรหนั ต ๒. มัคคสิทธิฌาน คอื การไดฌ านดวยอํานาจแหง มรรค กลาวคือ ทานไมไดปฏบิ ัติสมถภาวนาจนได กอน แตเมือ่ ทานไดเ จรญิ วปิ สสนาไปตามลําดบั จนบรรลุเปนพระอรหนั ตด ว ยอํานาจแหง บญุ ญาธกิ ารทเี่ คยส่งั สมไวในปางกอ น หลงั จากบรรลมุ รรคผลแลว ทา นกไ็ ดบ รรลุฌานดวย เพราะฉะนนั้ ฌานทไ่ี ดม านน้ั มาดวยอํานาจแหง มรรค และฌานที่ไดมาดวยอํานาจแหงมรรคนนั้ อาจจะไดอ ภญิ ญาดวยกไ็ ด เชน พระอานนท เมอ่ื บรรลุเปนพระอรหันตแ ลว ก็ไดอภญิ ญาดวย การละอกุศลธรรมมีความแตกตาง ๓ ประการ คอื ๑. ราคะมโี ทษนอยคลายชา ละดวยอสุภนมิ ติ ๒. โทสะมีโทษมากคลายเรว็ ละดวยเมตตา ๓. โมหะมโี ทษมากคลายชา ละดวยโยนิโสมนสกิ าร อง. ตกิ . ๒๐/๒๕๗-๒๖๐
๔๘ อารัมมณสงั คหะ จําแนกจิต ๖๐/๙๒ ท่ีรับอารมณแ นนอน โดยอารมณ ๖ และกาล ๓ จําแนกจิต ๑๒๑ โดย อารมณ ๖ ๑ ปจฺ วสี ปรติ ฺตมฺหิ กามะ มหัคคตะ ๕๕๕๕ บัญญตั ิ ๕๕๕๕ จิต ๒๕ ดวงทเ่ี กดิ ไดใ น อารมณ ๖ ๕๕ ทเี่ ปน กามธรรม อยา งเดียว (เวน โลกุตตร ๙) ๕๕ ๒ ฉ จติ ตฺ านิ มหคฺคเต กามธรรม ๑๑๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑๑๑๑ จติ ๖ ดวงท่ีเกดิ ไดใน ธรรมารมณ ๑๗๑ ทเ่ี ปน มหัคคต อยา งเดยี ว กามะ มหคั คตะ ๖ ๖๕๕ ๓ เอกวสี ติ โวหาเร โลกุตตระ บัญญตั ิ ๖ ๖๕๕ (เวน อ.มรรค อ.ผล) จติ ๒๑ ดวงที่เกดิ ไดใ น ธรรมารมณ ๑๑๑๑ ที่เปน บัญญัติ อยางเดยี ว กามะ มหคั คตะ ๑๑๑๑ โลกุตตระ บัญญัติ ๔ อฏ นพิ ฺพานโคจเร ๗๗๕๕ บญั ญตั ิ ๗๗๕๕ จิต ๘ ดวงทเี่ กดิ ไดใ น ธรรมารมณ ๓๓๓๓๓ ๖ ท่ีเปน นิพพาน อยา งเดยี ว นิพพาน ๓๓๓๓๓ ๓๓๓๓๓๗ จาํ แนกจติ ๓๑ ทีร่ ับอารมณไ มแ นนอน โดยอารมณ ๖ และกาล ๓ ๓๒๓๒ ๓๒๓๒ ๕ วสี านุตตฺ รมตุ ตฺ มหฺ ิ ๓๒๓๒ จิต ๒๐ ดวงท่เี กดิ ไดใ น อารมณ ๖ ๔ มหคั คตะ ทเ่ี ปน กามะ มหัคคตะ บญั ญตั ิ ๔ ( เวน โลกตุ ตร ๙ ) ๔ ๖ อคฺคมคคฺ ผลุชฌฺ เิ ต ปจฺ ๔ จิต ๕ ดวงที่เกดิ ไดใน อารมณท ง้ั ๖ ทเ่ี ปน กามะ มหคั คตะ โลกุตตระ บญั ญัติ ๔ ( เวน อรหตั ตมรรค อรหัตตผล ) ๔ ๔ ๗ สพพฺ ตถฺ ฉ จ ๔ จิต ๖ ดวงทีเ่ กดิ ไดใน อารมณท ัง้ ๖ ท่ีเปน กามะ มหคั คตะ โลกุตตระ บัญญตั ิ โดยไมมีเหลอื
๔๙ แสดงอารมณโ ดยพสิ ดาร และการจาํ แนกจิตเจตสิกท่รี บั อารมณโ ดยแนน อน และไมแ นน อน อารมณโดยพสิ ดาร ๒๑ - องคธ รรม จิตที่รับอารมณ เจตสกิ ท่รี ับอารมณ ๑. กาม. อา. ๕๔, ๕๒, ๒๘ แนนอน ไมแ นนอน รวม แนนอน ไมแ นน อน ๒. มหคั คตอา. ๒๗, ๓๕ ๓. นิพพานอา. นพิ พาน ๒๕ - ๑๓, ๑๒ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๕๖ ไมม ี ๕๐(อปั .๒) ๔. นามอา. ๘๙, ๕๒, นพิ พาน ๖ - ๓, ๓ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๓๗ ไมม ี ๔๗(ว.ิ ๓-อปั .๒) ๕. รูปอา. รูป ๒๘ ๘ -๘ ๑๑ - ๑๙ ไมม ี ๓๖(อกุ.๑๔-อัป.๒) ๖. ปจจุบนั อา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๕,๖ ๕๗ ๗. อดีตอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๕๖ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๘. อนาคตอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๑๔ - ๖, ๘ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๕๖ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๙. กาลวมิ ตุ อา. นพิ พาน, บัญญัติ ๑๓ -๑๐, ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๔๙ ๑๐. บัญญัติอา. อัตถ, สัทท ๔๓ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๑๑. ปรมัตถอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ . ๑๓ -๑๐, ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๕๘/๖๐ ไมมี ๔๗(วิ.๓-อัป.๒) ๑๒. อชั ฌตั ตอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๖ - ๓, ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๑๓. พหทิ ธอา. ๘๙,๕๒,๒๘ ไมม ี ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๕๐/๕๒ อัป.๒ ๕๐(อัป.๒) ๒๙ - ๒๑, ๘ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๗๐ นิพพาน, บัญญัติ ๖๒ อัป.๒ ๔๗(วิ.๓-อัป.๒) ๑๔. อชั . พหิท. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๒๑ - ๑๕, ๖ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๘๐/๘๒ วิ.๓ ๔๗(ว.ิ ๓-อัป.๒) ๑๕. ปญ จารมณ. วสิ ยรูป ๗ ๓๙ - ๒๕,๖, ๘ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๑๖. รปู ารมณ สตี า ง ๆ ๕๖ ไมมี ๔๙(อสิ .๑-อปั .๒) ๑๗. สัททารมณ เสยี งตาง ๆ ๖ - ๓, ๓ ๕๖ - ๒๕,๒๐,๕,๖ ๔๖ อิส.๑, ๔๙(อิส.๑-อัป.๒) ๑๘. คันธารมณ กลนิ่ ตา ง ๆ ๒๖ - ๑๕, อากา. ๕๖ - ๒๕,๒๐,๕,๖ ๔๘ อปั .๒ ๑๙. รสารมณ รสตา ง ๆ ๔๘ ไมม ี ๔๙(อสิ .๑-อัป.๒) ๒๐. โผฏฐพั พารมณ เยน็ รอนฯ ๓,๘ ๕๖ - ๒๕,๒๐,๕,๖ ๔๘ ๒๑. ธมั มารมณ ๘๙, ๕๒, ๕, ๑๖ ไมม ี ๔๘ ไมม ี ๕๐(อปั .๒) ๔๘ ไมมี ๕๐(อปั .๒) นพิ พพาน, บัญญัติ ๓ - มโนธาตุ ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๒ - จักขวุ ญิ .๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ๗๖/๗๘ ไมมี ๕๐(อปั .๒) ๒ - โสตวิญ.๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ไมมี ๕๐(อัป.๒) ๒ - ฆานวญิ .๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ไมม ี ๕๐(อปั .๒) ๒ - ชิวหาวิญ.๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ๒ - กายวญิ .๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ อปั .๒ ๕๐(อปั .๒) ๓๕ - ๒๑,๖,๘ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ จบ อารมั มณสงั คหะ
๕๐ จําแนกเจตสิก ๕๒ อารมณโดยพิสดาร ๒๑ จาํ แนกจิต ๑๒๑ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๑๗ ๒๐ ๒๐ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๕๖ ๒๐ ๒๐ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๕๖ ๖ ๒๐ ๕ หก ๖ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ หา หา ๒๐ ๒๐ จิต หา หา ๒๐ ๒๐ ๑๘ ๑๘ ๑๘ ๒๑ ๒๑ ๑ จติ ท่ีรบั อารมณไ ด อยา งเดยี ว ๖๖๖๖ ๒ จิตที่รับอารมณได สองอยาง ๔ ๔ ๒๑ ๒๑ ๖๖๖๖ ๕ จิตทีร่ บั อารมณไ ด หา อยาง หก หก ๒๐ ๒๐ ๑๒ จิตทรี่ บั อารมณไ ด สิบสองอยาง ๒๑ ๒๑ ๒๑ หก หก ๒๐ ๒๐ ๑๔ จติ ท่ีรบั อารมณได สบิ สอ่ี ยาง ๒๑ ๒๑ ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ หา ๒๕ จิตทร่ี บั อารมณได ยี่สิบหาอยาง ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ หก เจตสกิ ๑๑๑๑ ๒๐ คอื อารมณ ๒๑ เวน นิพพาน ๑๑๑๑ ๑๘ คือ อารมณ ๒๑ เวน มหคั คตอารมณ อดีตอารมณ ๑๒๑๒ บญั ญตั ิอารมณ ๑๑๑๑๑ หก จิตที่รบั อารมณ หก คือ ๑๗ คอื อารมณ ๒๑ เวน นิพพาน อัชฌตั ตอารมณ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ ๘๙ ๕๒ ๒๘ นิพ. บัญ พหทิ ธอารมณ อชั ฌตั ตพหิทธอารมณ ๑๑๑๑๑ หา จติ ทรี่ ับอารมณ หก คอื ๔ คอื กาลวมิ ุตต บญั ญตั ิอารมณ พหทิ ธอารมณ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ ๘๗ ๕๒ ๒๘ นิพ. บัญ ธรรมารมณ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ ๒๐ จติ ที่รบั อารมณ หก คอื ๘๑ ๕๒ ๒๘ บัญ ๖ จติ ทรี่ บั อารมณ หก คือ ๕๔ ๕๒ ๒๘
๕๑ มาติกาที่ ๖ วตั ถุสังคหะ วัตถุสงั คหะ หมายถึง การสงเคราะหจ ิต เจตสกิ โดยประเภทแหง วตั ถุ ชื่อวา วตั ถุสังคหะ มี ๖ คือ ๑.) จักขุวตั ถุ ไดแก จักขุปสาท ๒.) โสตวตั ถุ ไดแก โสตปสาท ๓.) ฆานวตั ถุ ไดแ ก ฆานปสาท ๔.) ชวิ หาวัตถุ ไดแ ก ชวิ หาปสาท ๕.) กายวัตถุ ไดแ ก กายปสาท ๖.) หทยั วัตถุ ไดแก หทัยรูป คําวา วัตถุ แปลวา เปนทีอ่ าศัยเกดิ ของจติ และเจตสกิ หรอื ธรรมทีเ่ ปน ทอี่ าศัยเกดิ ของจิต และเจตสิก สงั คหะ แปลวา การสงเคราะห หรอื รวบรวม เมอ่ื รวม 2 ศพั ทนี้แลว เรียกวา วัตถุสงั คหะ แสดงวจนตั ถะของคําวา วตั ถุ มีดงั น้ี คือ วสนตฺ ิ ปติฏ หนตฺ ิ จิตตฺ เจตสิกา เอตฺถาติ = วตฺถุ แปลเปนใจความวา จติ เจตสกิ ท้งั หลาย ยอมอาศยั อยูในธรรมใด ฉะนนั้ ธรรมที่เปนท่ีอาศัยของจิต และ เจตสิกเหลา นนั้ ฉะน้ัน ธรรมเหลานน้ั จงึ ช่อื วา วตั ถุ อธบิ ายวตั ถุ ธรรมทเี่ ปนท่ีอาศยั มอี ยู ๒ ประการ คอื ๑. อวญิ ญาณกวัตถุ คอื ธรรมทเ่ี ปน ทอ่ี าศยั เกิดของส่งิ ทไี่ มม ชี วี ิตทัง้ หลาย เชน ตน ไม ภูเขา แมนํ้าเหลานี้ เปนตน ๒. สวญิ ญาณกวตั ถุ คอื ธรรมท่เี ปน ที่อาศยั เกิดของสง่ิ ท่ีมีชีวิตทั้งหลาย เชน มนุษย สัตวดิรจั ฉาน เปน ตน สรปุ ธรรมทเี่ ปน ท่ีอาศัยแสดงเปน ๒ นยั คอื นยั ที่ ๑.) วัตถรุ ูป ๖ อปุ มาเหมอื นกับพืน้ แผน ดิน ซึง่ เปน ทอ่ี าศยั เกดิ ของสงิ่ มีชีวิต และไมม ีชวี ิต นัยที่ ๒.) จิต และ เจตสกิ อปุ มาเหมือนกบั อวญิ ญาณกวัตถุ คอื วัตถทุ ไ่ี มม ีชวี ิต และ สวญิ ญาณกวัตถุ คอื สิ่งทีม่ ีชวี ติ ทง้ั หลาย สรุปความแลว จึงกลา วไดว า จติ เจตสกิ ทงั้ หลายอยใู นวัตถรุ ูปทงั้ ๖ แตข อ หาน้ี หาใชเ ปนไปตามปรมัตถ นยั ไม ( คอื นยั ตามสภาวธรรมที่เปน จริง ) กลาวโดยโวหารเทา นน้ั เหมอื นกับทกี่ ลา ววา ตนไมต า งๆ อยูในพชื หรอื เสยี งระฆังอยใู นระฆัง ซึง่ ความเปน จรงิ นั้นตนไมก ็ไมไดอยใู นพืช เสยี งระฆงั กไ็ มไดอยใู นระฆัง แลว แต เหตปุ จ จยั ถาเหตุปจ จยั เกดิ ขนึ้ ครบแลว ตน ไมกเ็ กิดจากพืชได เสยี งระฆังกเ็ กดิ จากระฆังได จิตเจตสกิ ท่เี กดิ ขึ้น โดยอาศยั วัตถรุ ูป ๖ ก็เชน เดยี วกัน ถามีเหตปุ จ จยั ครบแลว จิต เจตสกิ ก็เกดิ จากวัตถรุ ปู ได ถาเหตปุ จจัยไมค รบ จติ และเจตสิกกเ็ กิดจากวตั ถุรูป ๖ ไมไ ด
๕๒ ธรรมที่เปนเหตเุ ปนปจจยั ใหจิตเจตสกิ เกิดข้ึนจากวตั ถุรปู ๖ ไดน ั้นมเี หตุที่เปน หลกั สําคญั อยู ๓ อยา งคือ ๑. อดีตกรรม คือ กรรมที่ทํามาแลว ในชาตปิ างกอน หรือ ในชาตนิ ที้ สี่ าํ คัญ ๒. วตั ถุ คอื วตั ถรุ ูป ๖ มีจกั ขวุ ตั ถุ เปนตน ท่ีเกดิ จากกรรม ๓. อารมณ คอื อารมณ ๖ มีรูปารมณ สทั ทารมณ ธรรมารมณ ฯลฯ เม่ือครบเหตปุ จ จยั ทั้ง ๓ อยา งนแ้ี ลว จิตและเจตสกิ กเ็ กดิ จากวตั ถุรปู ๖ ได การแสดงเหตปุ จ จัยแหง การ เกดิ ข้ึนของจติ เจตสกิ ทเี่ กยี่ วดว ยวตั ถรุ ูป ๖ กม็ งุ หมายเอาเฉพาะแตใ นปญ จโวการภูมเิ ทานั้น (คือ ภมู ทิ ี่มขี นั ธ ๕ คอื ภูมทิ ่มี ที ง้ั รปู และนาม) สําหรบั ในจตโุ วการภมู นิ ้นั เหตุปจ จยั ท่ที าํ ใหจ ติ เจตสกิ เกดิ ข้นึ นนั้ ยอ มมเี พยี ง 2 อยา ง คือ ๑. อดีตกรรม ๒. อารมณ เพราะวา จตโุ วการภูมิ (คอื ภูมทิ ม่ี ีขันธ ๔ หรือภูมทิ ีม่ นี ามขันธอ ยา งเดยี วไมม ีรปู ) เปน ภมู ิท่ปี ฏิเสธรูป ฉะนน้ั วัตถุรปู จึงไมม ีใน จตโุ วการภมู ิ คาถาแสดงการจาํ แนกภูมิ ๓๐ โดยวัตถรุ ปู ๖ และวิญญาณธาตุ ๗ ๑. ฉวตฺถุ นิสฺสติ า กาเม สตฺต รเู ป จตพุ พฺ ธิ า ติวตถฺ ุ นสิ สฺ ติ ารูเป ธาเตวฺ กานิสฺสติ า มตา ฯ นักศกึ ษาท้งั หลายพึงทราบ วิญญาณธาตุ ๗ ทีอ่ าศัยวตั ถรุ ปู ๖ เกิดในกามภูมิ ๑๑ พึงทราบ วญิ ญาณธาตุ ๔ คอื จักขุวญิ ญาณธาตุ โสตวญิ ญาณธาตุ มโนธาตุ มโนวญิ ญาณธาตุ ท่อี าศัย วตั ถุรปู ๓ คอื จักขุวตั ถุ โสตวัตถุ หทัยวตั ถุ เกดิ ในรปู ภูมิ ๑๕ (เวนอสญั ญสัตตภมู )ิ พงึ ทราบ มโนวญิ ญาณธาตุ ท่ไี มไ ดอาศัยวตั ถุรูป เกิดในอรูปภูมิ ๔ จาํ แนกวญิ ญาณธาตุ ๗ โดยจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ๑. จกั ขุวญิ ญาณธาตุ องคธ รรมไดแก จกั ขุวิญญาณจติ ๒ ๒. โสตวญิ ญาณธาตุ องคธรรมไดแก โสตวิญญาณจติ ๒ ๓. ฆานวิญญาณธาตุ องคธ รรมไดแก ฆานวิญญาณจติ ๒ ๔. ชิวหาวิญญาณธาตุ องคธ รรมไดแ ก ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ๕. กายวิญญาณธาตุ องคธ รรมไดแ ก กายวญิ ญาณจติ ๒ ๖. มโนธาตุ องคธรรมไดแก สัมปฏจิ ฉนจิต ๒ ปญ จทวาราวชั ชนจิต ๑ ๗. มโนวญิ ญาณธาตุ องคธรรมไดแ ก จิต ๗๖ หรือ ๑๐๘ (เวน ทวิ.๑๐ มโนธาตุ ๓)
๕๓ คาถาแสดงการจาํ แนกจิตท่ีอาศัย และไมอาศยั วัตถุเกดิ โดยแนน อน และไมแ นนอน ๒. เตจตตฺ าลีส นสิ ฺสาย เทวฺ จตตฺ าลสี ชายเร นิสสฺ าย จ อนสิ สฺ าย ปาการปุ ปฺ า อนิสฺสติ า ฯ จติ ๔๓ ดวง คอื ปญจวิญญาณธาตุ ๑๐ มโนธาตุ ๓ มโนวิญญาณธาตุ ๓๐ ไดแ ก โทสมูลจิต ๒ สนั ตีรณจติ ๓ หสติ ปุ ปาทจติ ๑ มหาวิปากจติ ๘ รปู าวจรจติ ๑๕ โสดาปต ติมรรคจติ ๑ เหลาน้ี เกิดขน้ึ โดยอาศยั วตั ถุรูปแนน อน จติ ๔๒ ดวง คอื โลภมลู จติ ๘ โมหมลู จิต ๒ มโนทวาราวชั ชนจิต ๑ มหากุศลจิต ๘ มหากรยิ าจติ ๘ อรูปาวจรกศุ ลจิต ๔ อรูปาวจรกรยิ าจติ ๔ โลกตุ ตรจติ ๗ (เวน โสดาปต ติมรรค) เหลานี้ เกิดขน้ึ โดยอาศยั วัตถรุ ูปไมแนน อน อรปู วิบาก ๔ ยอ มเกดิ ขน้ึ โดยไมไ ดอ าศยั วตั ถุรูปเลย แสดงการจาํ แนกจติ ทอี่ าศยั วัตถรุ ปู เกดิ โดยแนน อนและไมแ นนอนโดยวัตถรุ ปู ๖ จิตทอ่ี าศยั วตั ถุรปู เกิด เต จตฺตาลสี นิสฺสาย ชายเร เทวฺ จตฺตาลสี นสิ ฺสาย จ อนสิ ฺสาย ชายเร (แนน อน ๔๓) (ไมแนน อน ๔๒) ๑. จิตที่อาศยั จักขวุ ัตถุเกิด ๒-จกั ขุวิญญาณจิต 2 ไมม ี............. ๒. จิตทีอ่ าศยั โสตวัตถเุ กิด ๒-โสตวิญญาณจติ 2 ไมม.ี ............ ๓. จิตท่ีอาศยั ฆานวัตถเุ กิด ๒-ฆานวญิ ญาณจติ 2 ไมม ี............. ๔. จติ ทอ่ี าศยั ชิวหาวัตถุเกดิ ๒-ชิวหาวญิ ญาณ 2 ไมม .ี ............ ๕. จติ ท่อี าศยั กายวัตถุเกดิ ๒-กายวิญญาณจติ ไมมี............. ๖. จิตทอี่ าศยั หทยวัตถเุ กิด ๓๓-โท.๒ มโนธาตุ ๓ ตทา.๑๑ ๔๒-โลภ.๘ โมห.๒ มโน.๑ มหากุ.๘ มหากิ.๘ อรูปกุ.๔ อรูปก.ิ ๔ โลกตุ .๗(๑) หส.ิ ๑ รูปา. ๑๕, โสดาม. ๑ อรูปวปิ ากจติ ๔ ไมไดอาศยั วัตถุรปู เกิดโดยแนนอน “ ปาการปุ ปฺ า อนิสฺสิตา ชายเร ” จิตทไี่ มไ ดอ าศยั วัตถรุ ปู โดยแนนอนมี ๔ คือ อรูปวปิ าก ๔ เพราะอรปู วิปาก ๔ ดวงน้ี เกดิ เฉพาะ แตใ นอรปู ภูมิ ซ่ึงเปน ภมู ิทไี่ มม รี ูป ฉะนน้ั จติ ๔ ดวงนี้ จงึ ไมไดอาศยั วตั ถุรปู เกดิ แนน อน แสดงการจาํ แนก เจตสกิ ๕๒ โดยวตั ถรุ ปู ๖ จติ ที่อาศัยวตั ถุรูปเกดิ แนนอน ไมแนน อน ๑. เจตสิกที่อาศัยจักขวุ ตั ถุเกิด ไมมี............. ๗-สัพพจติ ตสาธารณเจ. ๗ ๒. เจตสิกท่ีอาศยั โสตวัตถเุ กดิ ไมม .ี ............ ๗-สัพพจิตตสาธารณเจ. ๗ ๓. เจตสกิ ท่อี าศัยฆานวตั ถุเกิด ไมม .ี ............ ๗-สพั พจิตตสาธารณเจ. ๗ ๔. เจตสกิ ทอ่ี าศยั ชวิ หาวตั ถเุ กดิ ไมม ี............. ๗-สัพพจติ ตสาธารณเจ. ๗ ๕. เจตสกิ ทอ่ี าศยั กายวตั ถุเกิด ไมม ี............. ๗-สัพพจิตตสาธารณเจ. ๗ ๖. เจตสิกทีอ่ าศัยหทยวัตถเุ กิด ๖-โทจตกุ เจ.๔, อปั .เจ. ๒ ๔๖-เจ. ๔๖ (เวน โท.๔ อัป.๒) จบ ปริจเฉท ๓
๕๔ วตั ถุสังคหะ จําแนกเจตสิก ๕๒ โดยวตั ถุ ๖ จาํ แนกจติ ๑๒๑ โดย วตั ถุ ๖ ๒๒ ๒ ๒ ๒๒๒๒๒๒๒ ๒๒ ๒ ๒ ๒๒๒๒๒๒ ๑๑ ๒๒๒๒ ๒๒๒ ๒๒ ๑๑๑๑ ๑๑ ๑ ๑ ๑ ๑๑ ๑๑๑๑๑๑๑๑ ๒๒ ๑ ๒๑ ๒ ๒๒๒๒ จติ ๒๒๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒ ๑ จติ ๔๓ ดวง อาศยั วัตถเุ กิดแนนอน ๒๒๒ ๒๒ ๒๒ ๑๑๑๑ - เกิดในปญ จโวการภูมเิ ทานั้น ๑๑ ๑๑๑๑ ๒ จิต ๔๒ ดวง อาศัยวตั ถุเกิดไมแนนอน ๒ ๒๒ ๒๒๒๒ - ถาเกดิ ในปญจโวการภมู ิ ๒๒ ๒๒๒๒ ก็อาศยั หทยวัตถเุ กิด - ถาเกิดในจตุโวการภมู ิ ๒๒ ๑๑๑๑๑ ก็ไมไ ดอ าศัยหทยวัตถุเกดิ ๑๑๑๑๑ ๒๒ ๑๑๑๑๑ เจตสกิ ๒๒๒๒ ๑ เจตสกิ ๖ ดวง อาศัยวตั ถุรูป ( หทยวัตถุ ) 22 22 เกดิ โดยแนน อน - โทจตกุ ๔ เกิดในกามภมู ิ เทา นั้น ๒๒๒๒ - อัปปมญั ญา ๒ เกดิ ในปญ จโวการภมู ิ เทาน้ัน ๑๑๑๑๑ 2 จติ ๔ ดวง ไมอาศยั วัตถุเกิด ๒ เจตสิก ๔๖ ดวง ( เวน โทจตุก ๔, อัปปมญั ญา ๒ ) ๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒๒ จิตที่นอกจาก ทวิปญจวิญญาณจิต ๑๐ อาศัยวัตถุรูป เกิดโดยไมแ นนอน ๒๒๒๒๒ และอรูปาวจรวิปากจิต ๔ - ถา เกดิ ในปญจโวการภูมิ ก็อาศัยวัตถรุ ูปเกดิ ๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒๒ อาศัย หทยวัตถเุ กิด - ถา เกิดในจตโุ วการภูมิ กไ็ มไ ดอาศัยวัตถุรูปเกดิ ๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒๒
๕๕ จาํ แนกวิญญาณธาตุ ๗ ทเี่ กดิ ในกามภูมิ ๑๑ จําแนกวญิ ญาณธาตุ ๔ ท่ีเกิดในรปู ภูมิ ๑๕ จาํ แนกวิญญาณธาตุ ๑ ท่เี กิดในอรปู ภูมิ ๔ โดย อาศยั วตั ถรุ ูป ๖ โดย อาศัยวตั ถรุ ปู ๓ โดย ไมไดอาศัยวัตถรุ ปู 22 22 222 222 2 22 222 2222 2 22 2222 22222222 เกดิ ใน รูปภูมิ ไมไ ด ๒๐ 22222222 เกดิ ใน อรปู ภมู ิ ไมได ๔๓ 2 22 22 เกิดใน กามภมู ิ ไมได ๙ 2222 222 222222222222 2222 2 “ ฉวตถฺ ุ นสิ ฺสิตา กาเม สตฺต ” “ รเู ป จตุพฺพิธา ติวตถฺ ุ นสิ ฺสิตา ” “ อรเู ป ธาเตฺวกานสิ ฺสิตา ” จติ ทเ่ี กิดในกามภมู ไิ ด มี ๘๐ ดวง ( เวน มหคั .ว.ิ ๙ ) จิตทีเ่ กดิ ในรูปภูมไิ ด มี ๖๙ ดวง จิตที่เกดิ ในอรปู ภมู ไิ ด มี ๔๖ ดวง ๑. จกั ขวุ ญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั จักขวุ ัตถเุ กดิ ๑. จกั ขวุ ญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั จกั ขวุ ตั ถุเกิด - โลภมูลจิต ๘, โมหมูลจิต ๒, มโนทวาราวัชชนจติ ๑ - มหากศุ ลจิต ๘, มหากริ ิยาจติ ๘ ๒. โสตวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวตั ถุเกิด ๒. โสตวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวัตถุเกดิ - อรูปาวจรจิต ๑๒, โลกตุ ตรจิต ๗ ( เวน โสดา. ๑ ) ๓. ฆานวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศัยฆานวตั ถเุ กดิ ๓. มโนธาตุ ๓ อาศยั หทยวตั ถุเกิด จิตที่เกดิ ในอรูปภมู ิไมได มี ๔๓ ดวง ๔. ชิวหาวิญญาณธาตุ ๒ อาศัยชวิ หาวตั ถเุ กิด ๔. มโนวิญญาณธาตุ ๖๒ - ทวปิ ญ จวิญญาณจติ ๑๐, มโนธาตุ ๓ ๕. กายวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั กายวัตถุเกดิ - กามจติ ๓๑ ( ทวิ.๑๐, มโน.๓, โท.๒, มหาวิ.๘ ) - มโนวญิ ญาณธาตุ ๓๐ ๖. มโนธาตุ ๓ อาศัยหทยวัตถุเกิด - รปู า. ๑๕ อรูปากุศล ๔, อรปู ากิริยา ๔ ( โทส. ๒, ตทา.๑๑, หส.ิ ๑, รูปาวจรจติ ๑๕, ๗. มโนวญิ ญาณธาตุ ๖๗ - โลกตุ ตรจิต ๘ โสดาปต ติมัคคจติ ๑ ) - กามจิต ๔๑ ( ทวิ.๑๐, มโน. ๓ ) จติ ที่เกิดในรูปภมู ไิ มไ ด มี ๒๐ ดวง - มหัค. กุ. ๙, มหัค.กิ. ๙, โลก.ุ ๘ - โทส.๒, ฆาน ๒, ชิวหา ๒, กาย ๒ - มหาว.ิ ๘, อรูปาวจรว.ิ ๔ ภมู ิเมอื่ จาํ แนกโดยขันธม ี ๓ คอื มโนวญิ ญาณธาตุ ๗๖ ( ทว.ิ ๑๐, มโนธาตุ ๓ ) ภมู ทิ ่พี ระอริยบคุ คลไปเกิดแลว จะไมกลบั ไปเกดิ ๑. เอกโวการภูมิ - ภมู ทิ ่มี ีขันธ ๑ ( รปู ขันธ ) - อาศยั วัตถุเกิด ๗๒ ในภมู อิ ืน่ ๆ อีกตอไป มีอยู ๓ ภมู ิ คอื ๒. จตุโวการภูมิ - ภมู ิท่มี ีขันธ ๔ ( นามขันธ ) - ไมอ าศยั วัตถุเกิด ๔ ๑) เวหปั ผลาภูมิ ๓. ปญจโวการภมู ิ - ภูมทิ ่ีมีขันธ ๕ ( รปู ๑, นาม ๔ ) ๒) อกนิฏฐาภมู ิ ๓) เนวสัญญานาสญั ญายตนภูมิ พระอรยิ บคุ คลไดไปบงั เกิดในภมู ทิ ้ัง ๓ น้แี ลว เมอ่ื ตายไปจะไมไปเกิดในภูมิอืน่ อกี เลย จะเกดิ ซ้าํ อยูในภมู นิ ้นั จนกวา จะสําเรจ็ เปนพระอรหันตแลว นพิ พานในภมู นิ น้ั เอง
X แสดงการจําแนกวญิ ญาณธาตุ ๗ ที่เกิดในกามภมู ิ ๑๑ โดยอาศยั วัตถุรูป ๖ “ ฉวตฺถุ นิสฺสิตา กาเม สตตฺ ” จิตท่เี กิดในกามภมู ไิ ด มี ๘๐ ดวง ( เวน มหคั .วิปาก ๙ ) ๑. จักขุวิญญาณธาตุ ๒ อาศัยจกั ขวุ ัตถเุ กิด ๒. โสตวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวัตถุเกิด ๓. ฆานวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั ฆานวัตถุเกิด ๔. ชิวหาวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั ชิวหาวตั ถุเกดิ ๕. กายวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั กายวตั ถเุ กิด ๖. มโนธาตุ ๓ อาศัยหทยวัตถเุ กิด ๗. มโนวิญญาณธาตุ ๖๗ - กามจิต ๔๑ ( ทวิ.๑๐, มโนธาตุ ๓ ) - มหัคคต. กุศล ๙ - มหคั คต. กริ ิยา ๙ - โลกตุ ตรจิต ๘ 2222 2 เกิดในกามภูมไิ มไ ด ภมู เิ มื่อจําแนกโดยขันธม ี ๓ คือ 22 22 ๑. เอกโวการภมู ิ - ภูมทิ มี่ ีขนั ธ ๑ ( รูปขันธ ) ๒. จตโุ วการภูมิ - ภมู ทิ ม่ี ีขันธ ๔ ( นามขันธ ) ๓. ปญจโวการภูมิ - ภูมิทมี่ ีขันธ ๕ ( รปู ๑, นาม ๔ )
X แสดงการจําแนกวญิ ญาณธาตุ ๔ ทเี่ กิดในรูปภูมิ ๑๕ โดยอาศัยวตั ถรุ ูป ๓ “ รเู ป จตุพพฺ ธิ า ตวิ ตถฺ ุ นสิ สฺ ติ า ” 2 2 เกิดในรูปภูมไิ มได จิตทีเ่ กดิ ในรูปภูมิได มี ๖๙ ดวง 22 2 22 2 ๑. จักขวุ ิญญาณธาตุ ๒ อาศยั จักขวุ ัตถเุ กิด ๒. โสตวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวัตถุเกิด ๓. มโนธาตุ ๓ อาศัยหทยวัตถุเกิด ๔. มโนวิญญาณธาตุ ๖๒ - กามจิต ๓๑ ( ทวิ.๑๐, มโน.๓, โท.๒, มหา.วิ.๘ ) - รูปาวจรจติ ๑๕ - อรูปาวจรกุศล ๔, อรปู าวจรกริ ิยา ๔ 22 22 - โลกตุ ตรจิต ๘ 22 22 เกิดในรูปภมู ไิ มได จติ ทเี่ กิดในรูปภูมิไมได มี ๒๐ ดวง . - โทส.๒, ฆาน ๒, ชวิ หา ๒, กาย ๒ - มหาวิปากจิต ๘, อรูปาวจรวิปากจิต ๔ มโนวญิ ญาณธาตุ ๗๖ ( ทว.ิ ๑๐, มโนธาตุ ๓ ) - อาศยั วตั ถุเกดิ ๗๒ - ไมอ าศยั วัตถเุ กิด ๔ 22 22
X แสดงการจําแนกวิญญาณธาตุ ๑ ท่เี กิดในอรูปภูมิ ๔ โดยไมไ ดอาศยั วตั ถุรูป เ ิกดในอรูปภู ิมไ มได 22 “ อรูเป ธาเตฺวกานสิ ฺสิตา ” 22 22 2 22 22 22 2 22 2 จติ ที่เกิดในอรูปภูมไิ ด มี ๔๖ ดวง 22 - โลภมูลจิต ๘, โมหมลู จิต ๒, มโนทวาราวัชชนจติ ๑ - มหากศุ ลจิต ๘, มหากิริยาจิต ๘ 22 22 - อรปู าวจรจติ ๑๒, โลกุตตรจิต ๗ ( เวน โสดา. ๑ ) 22 22 จติ ที่เกดิ ในอรปู ภูมไิ มได มี ๔๓ ดวง - ทวิปญจวิญญาณจติ ๑๐, มโนธาตุ ๓ - มโนวญิ ญาณธาตุ ๓๐ ( โทส. ๒, ตทา.๑๑, หส.ิ ๑, รูปาวจรจิต ๑๕, โสดาปตตมิ คั คจิต ๑ ) 22 22 2 ภูมทิ ี่พระอริยบคุ คลไปเกดิ แลว จะไมก ลับไปเกิด 22 22 2 ในภมู ิอนื่ ๆ อกี ตอไป มอี ยู ๓ ภูมิ คือ 22 22 2 2 ๑) เวหปั ผลาภมู ิ ๒) อกนฏิ ฐาภมู ิ ๓) เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พระอรยิ บคุ คลไดไ ปบงั เกดิ ในภูมทิ ้งั ๓ นแี้ ลว เมอ่ื ตายไปจะไมไปเกดิ ในภูมอิ ืน่ อกี เลย จะเกดิ ซาํ้ อยใู นภมู นิ ั้น จนกวาจะสาํ เรจ็ เปนพระอรหันตแลว นพิ พานในภมู นิ ้นั เอง
๕๖ คาถาสาํ คญั ในจูฬอาภธิ รรมิกะโท ปรจิ เฉทท่ี ๗ สมจุ จยสงั คหะ อนสุ นธิ และ คาํ ปฏญิ ญา ทฺวาสตตฺ ตวิ ธิ า วุตฺตา วตถฺ ุธมมฺ า สลกขฺ ณา เตสํ ทานิ ยถาโยคํ ปวกฺขามิ สมุจจฺ ยํ ฯ วัตถุธรรม คอื ธรรมท่ีมสี ภาพของตนโดยแท ๗๒ ประการนั้น ขาพเจา ไดแสดงไปแลว บดั นี้ จะแสดงสมุจจยสังคหะ คือ สังคหะท่ีรวบรวมธรรมตา งๆ ของวัตถธุ รรม ๗๒ ประการนั้น ตามท่จี ะเขากนั ได คาถาแสดงองคธ รรม ในอกศุ ลสังคหะท้งั ๙ หมวด ๑. อาสโวฆา จ โยคา จ ตโย คนถฺ า จ วตถฺ ุโต อุปาทานา ทเุ ว วตุ ตฺ า อฏ นีวรณา สยิ ุ ฯ ๒. ฉเฬวานสุ ยา โหนฺติ นว สโํ ยชนา มตา กเิ ลสา ทส วตุ โฺ ตยํ นวธา ปาปสงฺคโห ฯ ๑. อาสวะ โอฆะ โยคะ และคันถะ เหลา น้ี เมื่อวา โดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มอี ยางละ ๓, อปุ าทาน มีองคธ รรมปรมัตถ ๒, นีวรณะ มีองคธรรมปรมตั ถ ๘ ๒. อนุสยั มอี งคธ รรมปรมัตถ ๖, สงั โยชน มอี งคธ รรมปรมตั ถ ๙, กเิ ลส มีองคธรรมปรมัตถ ๑๐ นักศึกษาทง้ั หลายพงึ ทราบ การแสดงอกุศลสังคหะ โดยมี ๙ หมวดดังนี้
๕๘ คาถาแสดงองคธรรมในโพธปิ ก ขิยสังคหะทัง้ ๗ หมวด ๑. ฉนฺโท จติ ฺตมเุ ปกขฺ า จ สทฺธาปสฺสทฺธิปต ิโย สมมฺ าทิฏ ิ จ สงกฺ ปฺโป วายาโม วิรติตตฺ ย จุทฺทเสเต สภาวโต ๒. สมมฺ าสติ สมาธีติ สตตฺ ธา ตฺตถ สงคฺ โห ฯ สตฺตติสปฺปเภเทน โพธิปก ขิยธรรมเหลาน้ี เม่อื วาโดยองคธ รรมปรมตั ถ มี ๑๔ ดังนี้ คือ ฉนั ทะ จติ ตัตตรมัชฌัตตตา สทั ธา ปสสทั ธิ ( กายปส สัทธิและจติ ตปสสัทธิ ท้งั ๒ น้นั รวม ๑ ) ปต ิ ปญญา วติ ก วีรยิ ะ วิรตเี จตสิก ๓ สติ เอกคั คตา เม่ือวา โดยประเภทมี ๓๗ การสงเคราะหเปนหมวดๆ ในโพธิปก ขยิ ธรรม ๓๗ เหลา น้มี ี ๗ หมวด ดงั นี้ คาถาแสดงการจาํ แนกองคธ รรม ๑๔ โดย ฐานของโพธิปก ขิยธรรม สงกฺ ปปฺ ปสสฺ ทธฺ ิ จ ปต ุเปกฺขา ฉนฺโท จ จิตฺตํ วิรตติ ฺตยจฺ นเวกานา วริ ิยํ นวฏ สตี สมาธี จตุ ปฺจ ปฺา สทฺธา ทุานตุ ตฺ มสตฺตติส- ธมฺมานเมโส ปวโร วภิ าโค ฯ o วติ ก ปสสัทธิ ปต ิ ตัตตรมชั ฌัตตตา ฉันทะ จติ และวิรตเี จตสิก ๓ องคธ รรมทัง้ ๙ น้ี มีฐานอยา งละ ๑ คอื ๑. วิตกเจตสิก เปน สมั มาสังกปั ปมรรค ๒. ปส สทั ธิเจตสกิ เปน ปส สทั ธสิ ัมโพชฌงค ๓. ปต ิเจตสกิ เปน ปตสิ ัมโพชฌงค ๔. ตัตตรมชั ฌัตตตาเจตสิก เปน อเุ บกขาสัมโพชฌงค ๕. ฉนั ทเจตสิก เปน ฉันททิ ธบิ าท ๖. จิต เปน จติ ตทิ ธิบาท ๗. สมั มาวาจาเจตสกิ เปน สัมมาวาจามรรค ๘. สมั มากมั มนั ตเจตสกิ เปน สมั มากมั มนั ตมรรค ๙. สมั มาอาชวี เจตสกิ เปน สัมมาอาชีวมรรค
๖๐ คาถาแสดงการนบั องคธรรมในปญ จขนั ธและอปุ าทานกั ขันธ พรอมทง้ั แสดงเหตุ ที่นพิ พานเปน ขันธวิมุตต ๑. รปู จฺ เวทนา สฺ า เสสเจตสกิ า ตถา วิ ฺาณมิติ ปเฺ จเต ปฺจกฺขนฺธาติ ภาสิตา ฯ ตถา เตภูมกา มตา ๒. ปจฺ ปุ าทานกฺขนฺธาติ ขนธฺ สงคฺ หนิสฺสฏํ ฯ เภทาภาเวน นพิ พฺ านํ ๑. นกั ศึกษาท้งั หลาย พึงแสดงธรรมท้งั ๕ คอื รูป เวทนา สัญญาและเจตสกิ ท่ีเหลือ ๕๐ ดวง วญิ ญาณเหลา นีว้ า ขนั ธ ๕ ๒. นกั ศึกษาทง้ั หลายพึงทราบ รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ทีเ่ กิดในภมู ิทัง้ ๓ วา อุปาทานักขนั ธ ๕ สวนนิพพานพนจากขันธท ัง้ ๕ เพราะไมมีประเภททต่ี างกนั เชน ปจจบุ นั อดีต อนาคต เปน ตน คาถาแสดงความเปนไปแหง อายตนะและธาตุ ที่มปี ระเภท ๑๒ และ ๑๘ ทฺวาราลมฺพนเภเทน ภวนตฺ ายตนานิ จ ทวฺ าราลมฺพตทุปปฺ นนฺ - ปริยาเยน ธาตโุ ย ฯ อายตนะ มีจํานวน ๑๒ เพราะมีประเภทตา งกันแหง ทวาร ๖ และอารมณ ๖ ธาตุ มีจาํ นวน ๑๘ โดยปริยายแหงทวาร ๖ อารมณ ๖ และวิญญาณ ๖ ทเ่ี กดิ ในทวารอารมณนน้ั
คาถาแสดงองคธรรมในมสิ สกะสงั คหะ ทั้ง ๗ หมวด ๕๗ ๑. ฉ เหตู ปจฺ ฌานงฺคา มคคฺ งฺคา นว วตถฺ ุโต โสฬสินฺทฺริยธมมฺ า จ พลธมมฺ า นเวรติ า ฯ ตถาหาราติ สตตฺ ธา ๒. จตตฺ าโรธิปตี วุตตฺ า วุตฺโต มสิ ฺสกสงคฺ โห ฯ กุสลาทสิ มากณิ โฺ ณ ๑. เหตุ เมอ่ื วา โดยองคธ รรมปรมัตถแ ลว มี ๖ ฌานงั คะ เมือ่ วาโดยองคธ รรมปรมัตถแ ลว มี ๕ มคั คังคะ เม่อื วา โดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มี ๙ อินทรีย เมอื่ วาโดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๑๖ พละ เม่อื วา โดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มี ๙ ๒. อธิบดี เมอื่ วา โดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มี ๔ อาหาร เมอื่ วา โดยองคธรรมปรมตั ถแลว มี ๔ เหมอื นกัน นกั ศกึ ษาทง้ั หลายพงึ ทราบ การแสดงมิสสกสงั คหะท่มี ี กศุ ล เปนตน ปะปนกนั โดยมี ๗ หมวด ดังนี้ คาถา อาหาร ๔ โอชฏ มกรูป เย เวทนํ ปฏสิ นฺธิกํ นามรูป อาหรนตฺ ิ ตสมฺ าหาราติ วจุ จฺ เร ฯ ธรรมเหลาใดยอ มนาํ อาหารชสทุ ธัฏฐกกลาป เวทนา ปฏสิ นธิวญิ ญาณ เจตสิก และกมั มชรปู โดยเฉพาะของตนๆ ฉะนัน้ ธรรมเหลา นน้ั จงึ ไดชอ่ื วา อาหาร
o วีรยิ เจตสิก ๑ ดวง มี ๙ ฐาน คอื ๕๙ ๑. เปน สมั มัปปาน ๔ ๒. เปน วรี ิยิทธบิ าท ๑ ๓. เปน วีริยินทรยี ๑ ๔. เปน วีรยิ พละ ๑ ๕. เปน วีริยสัมโพชฌงค ๑ ๖. เปน สมั มาวายามรรค ๑ o สตเิ จตสกิ ๑ ดวง มี ๘ ฐาน คอื ๑. เปน สตปิ ฏฐาน ๔ ๒. เปน สตินทรยี ๑ ๓. เปน สติพละ ๑ ๔. เปน สตสิ มั โพชฌงค ๑ ๕. เปน สัมมาสติมรรค ๑ o เอกคั คตาเจตสิก ๑ ดวง มี ๔ ฐาน คอื ๑. เปน สมาธินทรยี ๑ ๒. เปน สมาธิพละ ๑ ๓. เปน สมาธสิ ัมโพชฌงค ๑ ๔. เปน สมั มาสมาธมิ รรค ๑ o ปญ ญาเจตสิก ๑ ดวง มี ๕ ฐาน คอื ๑. เปน วิมังสิทธิบาท ๑ ๒. เปน ปญญนิ ทรยี ๑ ๓. เปน ปญญาพละ ๑ ๔. เปน ธมั มวิจยสมั โพชฌงค ๑ ๕. เปน สมั มาทฏิ ฐมิ รรค ๑ o สัทธาเจตสิก ๑ ดวง มี ๒ ฐาน คอื ๑. เปน สทั ธินทรีย ๑ ๒. เปน สทั ธาพละ ๑ การจาํ แนกโพธปิ กขิยธรรม ๓๗ ประการ อันประเสริฐ โดยถูกตอ งมีนัยดังนี้ คาถาแสดงทเ่ี กดิ ของโพธิปก ขิยธรรม ๓๗ สพฺเพ โลกตุ ฺตเร โหนตฺ ิ น วา สงฺกปปฺ ปติโย โลกิเยป ยถาโยคํ ฉพพฺ สิ ุทธฺ ปิ วตฺติยํ ฯ โพธปิ ก ขิยธรรม ๓๗ ทัง้ หมด ยอมเกดิ ข้นึ ไดใ นโลกตุ ตรจติ สมั มาสังกปั ปมรรคและปตสิ มั โพชฌงคท้ัง ๒ นี้ ยอ มไมเกดิ ขึน้ ในโลกตุ ตรจติ บางดวง คอื สัมมาสงั กปั ปะ ยอ มไมเ กดิ ในโลกุตตรทตุ ยิ ฌานจติ ขึ้นไป ปตสิ ัมโพชฌงค ยอ มไมเกดิ ในโลกุตตรจตตุ ถฌาน และปญจมฌาน โพธปิ กขิยธรรม ๓๗ เหลา น้ี เม่อื เวลาสาํ เรจ็ เปน วิสุทธิทั้ง ๖ ( เวน ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ) แลว แมในโลกียกศุ ลและกรยิ าจติ ก็ยอ มเกิดขึ้นตามทจี่ ะประกอบได ( เพราะการปฏิบตั ิใหส ําเรจ็ เปน วิสทุ ธิ ทั้ง ๖ มี ศลี วสิ ุทธิ เปนตน จนถึงปฏปิ ทาญาณทสั สน-วสิ ทุ ธิ เหลาน้ี ใชป ฏิบตั ดิ ว ยโลกียกศุ ล และ กริยาจติ ทั้งสิ้น )
คาถาแสดงการนบั องคธรรมทใ่ี น อรยิ สัจจะ ๔ ๖๑ ทกุ ขฺ ํ เตภมู กํ วฏฏ ํ ตณหฺ า สมุทโย ภเว นิโรโธ นาม นิพพฺ านํ มคโฺ ค โลกตุ ฺตโร มโต ฯ นักศึกษาทง้ั หลายพึงทราบ ชื่อวา ทกุ ขสัจจะ ธรรมที่วนเวียนอยูในภูมทิ ง้ั ๓ ชอ่ื วา สมุทยสัจจะ ตัณหา ช่อื วา นิโรธสัจจะ นิพพาน ช่ือวา มรรคสจั จะ องคมรรค ๘ ทเ่ี กดิ ในโลกตุ ตรมรรค คาถาแสดงธรรมทีเ่ ปน สจั จวมิ ตุ ต มคฺคยุตฺตา ผลา เจว จตสุ จจฺ วินสิ ฺสฏา อิติ ปฺจปเภเทน ปวุตฺโต สพพฺ สงคฺ โห ฯ มรรคจติ ตุปบาท ๒๙ ( เวน องคธ รรม ๘ ) ทีป่ ระกอบกับมรรคจิตกด็ ี ผลจิตตปุ ปาท ๓๗ ก็ดี พน จากสัจจะทัง้ ๔ ช่ือวา สจั จวมิ ตุ ต พระอนุรุทธาจารย แสดงสัพพสงั คหะ โดยแบงออกเปน ๕ ประเภท มีดังกลา วแลวนี้
๖๒ ปรจิ เฉทที่ ๗ สมจุ จยสงั คหะ แสดงถึงการรวบรวมปรมัตถธรรม ๔ คอื จิต(๑) เจตสกิ (๕๒) นปิ ผนั นรปู (๑๘) นพิ พาน(๑) ทเ่ี รียกวา วัตถุธรรม ๗๒ ประการ ใหเปนหมเู ปน พวกกัน ช่ือวา สมจุ จยสังคหะ มี ๔ หมวดใหญ ๆ คือ ๑. อกศุ ลสังคหะ ๙ หมวด ๒. มิสสกสังคหะ ๗ หมวด ๓. โพธปิ ก ขิยสงั คหะ ๗ หมวด ๔. สัพพสงั คหะ ๕ หมวด แผนผงั สมุจจยสงั คหะ อกศุ ลสงั คหะ มสิ สกสงั คหะ โพธปิ กขยิ สงั คหะ สพั พสงั คหะ ๙ หมวด ๗ หมวด ๗ หมวด ๕ หมวด ๑. อาสวะ ๔ ๑. เหตุ ๖ ๑. สตปิ ฏฐาน ๔ ๑. ขันธ ๕ ๒. โอฆะ ๔ ๒. ฌานังคะ ๗ ๒. สมั มัปปธาน ๔ ๒. อปุ าทานกั ขันธ๕ ๓. โยคะ ๔ ๓. มัคคงั คะ ๑๒ ๓. อทิ ธบิ าท ๔ ๓. อายตนะ ๑๒ ๔. คันถะ ๔ ๔. อินทรยี ๒๒ ๔. อนิ ทรีย ๕ ๔. ธาตุ ๑๘ ๕. อุปาทาน ๔ ๕. พละ ๙ ๕. พละ ๕ ๕. อริยสัจจ ๔ ๖. นวี รณะ ๖ ๖. อธบิ ดี ๔ ๖. โพชฌงค ๗ ๗. อนุสยั ๗ ๗. อาหาร ๔ ๗. มคั คงั คะ ๘ ๘. สังโยชน ๑๒ - ตามนัยพระอภิธรรม ๑๐ - ตามนยั พระสตู ร ๑๐ ๙. กเิ ลส ๑๐ รวมประเภท ๕๕ รวมประเภท ๖๔ รวมประเภท ๓๗ รวมประเภท ๓๙ ( ไมตอ งนับอปุ าทานกั ขันธ โดยเฉพาะ )
๖๓ สมจุ จยสงั คหะ ในปรจิ เฉทที่ ๗ นี้ พระอนรุ ทุ ธาจารยแ สดงการรวบรวม จติ เจตสิก รปู นพิ พาน ท่เี รียกวา วัตถธุ รรม ๗๒ ประการ ตามทจ่ี ดั รวบรวมเขาเปน หมเู ปนพวกกนั ได โดยช่ือวา สมจุ จยสังคหะ แสดง อนสุ นั ธิ และ ปฏิญญา ทฺวาสตตฺ ตวิ ิธา วุตตฺ า วตฺถุธมฺมา สลกขฺ ณา เตสํ ทานิ ยถาโยคํ ปวกฺขามิ สมจุ ฺจยํ วตั ถธุ รรม คือ ธรรมทีม่ ีสภาพของตนโดยแท ๗๒ ประการนั้น ขาพเจา ไดแ สดงไปแลว บัดน้ีจะแสดง สมุจจยสังคหะ คอื สงั คหะท่รี วบรวมธรรมตา งๆ ของวตั ถุธรรม ๗๒ ประการน้นั ตามที่จะเขากนั ได อธิบาย วตั ถุธรรม ๗๒ ประการ คาํ วา วตั ถุธรรม หมายความวา ธรรมท่ีมีองคธ รรมปรมตั ถของตนโดยเฉพาะสามารถปรากฏแกปญ ญาได ฉะนัน้ บรรดาสิง่ ทม่ี ชี ีวติ และไมมีชวี ิตทั้งหลาย ถา นับเอาธรรมทมี่ สี ภาวะลกั ษณะของตนแลว ยอ มมี ๗๒ กลาวคือ จติ ทั้งหมดนับเปน ๑ เพราะเม่อื วา โดยสภาวลักษณะแลว ยอมมลี กั ษณะอยา งเดียวกัน คอื มกี ารรู อารมณเปนลกั ษณะ ทีเ่ รยี กวา “อารมมฺ ณวชิ านนลกฺขณา” ดว ยเหตนุ จี้ ติ ท้งั หมดจึงนบั เปน ๑ เจตสิก ๕๒ ดวง เมอื่ กลา วโดยพิสดารมี ๓,๔๒๖ ดวง แตถ า นับตามสภาวลักษณะของตน ๆ แลว มี ๕๒ ดวง ในจาํ นวนรูปทงั้ หมดนนั้ นบั แตเ ฉพาะนปิ ผนั นรปู ซง่ึ มอี ยหู ลายประเภทดว ยกันคอื กมั มชนิปผนั นรูป ก็มี จติ ตชนปิ ผันนรูปก็มี อตุ ุชนิปผนั นรปู กม็ ี อาหารชนปิ ผันนรปู กม็ ี แตเม่ือกลาวโดยสภาวลักษณะแลว ก็มอี ยู เพียง ๑๘ ฉะนน้ั จึงนับเอานิปผันนรูป ๑๘ และ นพิ พาน ๑ สว นอนิปผนั นรปู ๑๐ นน้ั ไมมีสภาวลกั ษณะของตนโดยเฉพาะ เปน การกาํ หนดรูปกลาปตอรปู กลาป และเปน อาการของนปิ ผนั นรูปนนั้ เอง ฉะน้นั จึงไมน ับเอาอนิปผันนรูปท้งั ๑๐ เขาอยูใ นวตั ถธุ รรมใหเปน พิเศษขึ้นไปอกี จงึ คงมวี ัตถธุ รรมเพียง ๗๒ เทา นนั้ อน่งึ การแสดงโดยพิสดารของวตั ถธุ รรม ๗๒ ประการเหลา นนั้ พระอนุรทุ ธาจารยไ ดแ สดงมาแลว โดยเฉพาะ ๆ ต้ังแตปรจิ เฉทท่ี ๑ เปนตน จนถึงปริจเฉทที่ ๖ ฉะนั้นในปริจเฉทที่ ๗ น้ี ทา นจะแสดงรวมจติ เจตสิก รปู นพิ พาน ที่เรยี กวา วัตถธุ รรม ๗๒ ประการ ตามท่จี ะจัดรวบรวมเขาเปน หมูเปนพวกกันไดอกี วาระ หนง่ึ โดยชอื่ วา สมจุ จยสงั คหะ
๖๔ คาํ วา สมจุ จฺ ย เม่ือตดั บทแลว เปนดังน้ี สํ + อจุ ยฺ = สมจุ ฺจย สํ แปลวา เขา ดว ยกนั หรอื ธรรมท่ีมีสภาพเขากนั ได อจุ ฺย แปลวา รวบรวม เมอื่ รวมเขา ทง้ั ๒ บทแลว แปลวา การรวบรวมเขาดว ยกัน หรือ การรวบรวมธรรมทีม่ สี ภาพเขากนั ได เชน แสดง ธรรมท่ชี ่ือวา อาสวะ พวกหนึง่ เปน ตน จนถึงธรรมท่ีเรียกวา สัจจะ พวกหน่ึงเปนทสี่ ดุ ดงั มวี จนตั ถะแสดงวา “สห อุจจฺ ียนฺเต เอตถฺ าติ = สมจุ จฺ โย” (วา) “สมปฺ ณ ฺเฑตวฺ า อจุ จฺ ียนฺเต เอเตนาติ = สมุจจฺ โย” ปริจเฉทที่ชือ่ วา สมจุ จยะ เพราะเปน ปริจเฉทที่แสดงการรวบรวมปรมัตถธรรมทง้ั ๔ ประการพรอ มกนั (หรอื ) ปริจเฉทที่ช่ือวา สมุจจยะ เพราะเปน เหตแุ หง การแสดงการรวบรวมปรมตั ถธรรมท่มี ีสภาพเขา กันไดใหอยูเ ปน หมวด ๆ ในปริจเฉทท่ี ๗ นี้ พระอนุรทุ ธาจารย แสดงการรวบรวมธรรมท่มี สี ภาพเขากันไดทเี่ รียกวา สมุจจยสังคหะ นั้น เปน ๔ หมวด ดว ยกนั คอื (๑) อกศุ ลสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธรรมทเี่ ปนฝายอกศุ ล โดยสว นเดยี วหมวดหน่งึ (๒) มิสสกสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธ รรมทเ่ี ปน กุศล อกุศล อพยากตะ ทงั้ ๓ ปนกัน หมวดหนึง่ (๓) โพธิปกขิยสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธรรมทเี่ ปนฝายมรรคญาณ หมวดหนงึ่ (๔) สัพพสงั คหะ การแสดงสงเคราะหจ ิต เจตสิก รปู นพิ พาน ซึ่งเปนวตั ถุธรรมทั้งหมดรวมกนั หมวดหนง่ึ ตอ ไปนี้จะแสดงสมุจจยสังคหะทงั้ ๔ หมวด ไปตามลาํ ดบั ดังน้ี แสดงธรรมในหมวดของอกศุ ลสังคหะทั้ง ๙ หมวด คาถาแสดงองคธ รรมในอกศุ ลสงั คหะทัง้ ๙ หมวด ๑. อาสโวฆา จ โยคา จ ตโย คนฺถา จ วตถฺ โุ ต อปุ าทานา ทเุ ว วุตฺตา อฏฐ นวี รณา สิยุ ๒. ฉเฬวานสุ ยา โหนฺติ นว สโํ ยชนา มตา กิเลสา ทส วุตฺโตยํ นวธา ปาปสงฺคโห. ๑. อาสวะ โอฆะ โยคะ และคนั ถะ เหลา น้ี เมอ่ื วา โดยองคธ รรมปรมตั ถแ ลว มอี ยางละ ๓ อปุ าทาน มอี งคธรรมปรมัตถ ๒ นวี รณะ มอี งคธรรมปรมตั ถ ๘ ๒. อนสุ ัย มอี งคธ รรมปรมัตถ ๖ สังโยชน มีองคธ รรมปรมัตถ ๙ กิเลส มอี งคธรรมปรมัตถ ๑๐ นักศึกษาท้งั หลายพึงทราบ การแสดงอกศุ ลสงั คหะ โดยมี ๙ หมวด ดงั นี้ ดังมีวจนัตถะแสดงวา : เอกนฺตากสุ ลชาติกานํ โอฆจตกุ ฺกาทีนํ สงคฺ โหตตี ิ = อกุสลสงฺคโห หมวดทส่ี งเคราะหส ภาวธรรมตาง ๆ มี โอฆะ ๔ เปน ตน ทเ่ี ปน อกุศลชาติลวน ๆ ฉะนน้ั จงึ ช่ือวา อกศุ ลสงั คหะ
๖๕ ๑. อาสวะ คาํ วา อาสวะ นี้ หมายความวา สิ่งทีถ่ ูกหมกั ดองไวนานๆ ไดแ ก สุรา แตใ นทนี่ ี้ คําวา อาสวะไดแ ก โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ซึง่ มีสภาพเหมือนกับสุรา ฉะนัน้ พระพทุ ธองคจ ึงทรงแสดงโลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทง้ั 3 นีว้ าเปน อาสวะ ดังมวี จนัตถะแสดงวา : อาสวนตฺ ิ จริ ํ ปริวสนฺตีติ = อาสวา สง่ิ ใดถูกหมกั ดองอยูนานๆ สงิ่ นั้นช่ือวา อาสวะ (ไดแก สุรา) อาสวา วิยาติ = อาสวา ธรรมเหลาใดมีสภาพเหมอื นสุรา ฉะน้ัน ธรรมเหลา น้ันชอ่ื วา อาสวะ ( ไดแ ก โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ) ๒. โอฆะ คาํ วา โอฆะ ในทนี่ ี้หมายความวา ธรรมที่เหมือนกบั หว งนา้ํ ไดแก โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ดังมวี จนัตถะแสดงวา : อวตถฺ ริตฺวา หนนฺตตี ิ = โอฆา ธรรมชาตใิ ด ยอ มทว มทบั เบียดเบยี นสตั วทง้ั หลาย ธรรมชาติน้นั ชอ่ื วา โอฆะ (ไดแก หว งนาํ้ ) อวหนนตฺ ิ โอสที าเปนตฺ ตี ิ = โอฆา ธรรมชาตใิ ด ทาํ ใหส ัตวท้ังหลายจมลง ธรรมชาติน้นั ชื่อวา โอฆะ (ไดแก หวงนํ้า) โอฆา วยิ าติ = โอฆา ธรรมชาติใด ทว มทบั เบียดเบยี นสตั วท ้ังหลาย และทําใหสัตวท้ังหลาย จมลง ในวฏั ฏสงสารจนถึงอบายภูมิเหมอื นกบั หว งนาํ้ ฉะนน้ั ธรรมเหลา นัน้ ช่อื วา โอฆะ (ไดแ ก โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ) ๓. โยคะ คําวา โยคะ แปลวา ประกอบ เหมือนกบั กาวทีป่ ระกอบของ ๒ สิง่ ใหติดแนน ไมใ หห ลดุ จาก กันฉันใด โลภะ ทิฏฐิ และโมหะ ก็ฉนั นน้ั หรือ อุปมาอกี นัยหน่ึง เปรยี บเหมือนววั ทีถ่ กู นํามาผูกเทยี มเกวยี นไว เม่ือสัตวน้ันจะเดนิ ไปทางไหนก็ตอ งลากเอาเกวยี นตดิ ไปดวยเสมอฉันใด สตั วท้งั หลายท่ีวนเวยี นอยใู นวฏั ฏทกุ ข หลดุ พนไปไมไ ดเพราะถกู ประกอบดว ย โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ก็ฉนั น้ัน เมอ่ื เปรยี บเทยี บแลว ววั เปรยี บไดก บั สตั ว ทง้ั หลาย เกวยี นเปรียบไดกับกามภพ รูปภพ อรปู ภพ ซง่ึ เปนวฏั ฏทกุ ข เชอื กท่ผี ูกววั ไวใหต ิดกบั เกวยี นเปรียบได กับ โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ดงั มวี จนตั ถะแสดงวา : วฏฏสมฺ ิ สตเฺ ต โยเชนตฺ ตี ิ = โยคา ธรรมเหลา ใด ประกอบสัตวใ หตดิ อยใู นวฏั ฏทุกข คือภพตา ง ๆ ฉะน้ัน ธรรมเหลา นนั้ ชอ่ื วา โยคะ (ไดแก โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ) ๔. คนั ถะ คาํ วา คันถะ หมายถงึ เครอ่ื งผูกสัตวไ วโดยอาการทเ่ี กีย่ วคลอ งกัน ประดุจโซเหล็กฉันใด โลภะ ทฏิ ฐิ โทสะ ท้งั ๓ นี้ ยอมเกยี่ วคลองสัตวไ วใ นระหวาง จตุ กิ บั ปฏิสนธิ ฯ
๖๖ ความแตกตางระหวางอภิชฌาและพยาบาทท่ีเปนมโนทุจรติ กบั อภิชฌาและพยาบาททเ่ี ปนคันถะ ๑) อภชิ ฌาที่เปน มโนทุจรติ นน้ั เปนโลภะอยา งหยาบ มีสภาพอยากไดท รพั ยส มบัตขิ องผูอนื่ มาเปนของ ๆ ตนโดยไมชอบธรรม ๒) สวนอภิชฌากายคนั ถะนน้ั เปนไดท้ัง โลภะอยา งหยาบและอยางละเอยี ดทั้งหมดทเี่ กย่ี วกับ ความอยากได ความพอใจในทรพั ยส มบัตขิ องผอู ่นื หรือของตนเอง โดยชอบธรรมก็ตาม ไมชอบธรรมก็ตาม จัดเปน อภชิ ฌากายคันถะทงั้ สิน้ ๓) พยาบาทท่เี ปน มโนทจุ ริต ไดแก โทสะอยา งหยาบ ท่ีเกย่ี วกบั ความปองรายผูอ่นื โดยนกึ คดิ ใหเ ขามีความลาํ บากเสยี หายตา ง ๆ หรอื นึกแชง ใหผูทต่ี นไมช อบนั้นใหถึงตาย ๔) สว น พยาปาทกายคนั ถะนนั้ ไดแก โทสะอยางหยาบก็ตาม อยางละเอยี ดกต็ าม คือ ความไมช อบ ไมพ อใจ โกรธ กลวั กลมุ ใจ เสยี ใจ ไปจนถงึ การทาํ ปาณาตบิ าต ผรสุ วาจาเหลานี้ จดั เปน พยาปาทกายคนั ถะทง้ั ส้นิ ๕. อปุ าทาน คาํ วา อปุ าทาน หมายถึง การยดึ ม่นั ในอารมณ ธรรมที่ยดึ มนั่ ในอารมณ ท่ีเรยี กวา อปุ าทาน น้ีเปรียบเสมือนหน่ึง งทู ี่จบั กบได กดั กบนน้ั ไวไ มยอมปลอยฉันใด โลภะ ทฏิ ฐิ ทัง้ ๒ ท่มี ีสภาพยดึ มนั่ ในอารมณของตน ๆ ไมย อมปลอย กฉ็ ันนั้น ดังแสดงวจนตั ถะวา : อปุ าทยี นตฺ ีติ = อุปาทานานิ ธรรมเหลา ใดยอ มยดึ มนั่ ในอารมณ ฉะนั้น ธรรมเหลานน้ั ชอื่ วา อปุ าทาน ๖. นีวรณะ คําวา นวี รณะ นี้ หมายถงึ ธรรมที่เปน เครอื่ งหาม หรอื กน้ั ความดี คือ กศุ ลธรรมตาง ๆ ไมใหเ กดิ และ กุศลบางอยา ง เชน ฌานทีเ่ กดิ อยแู ลว ทําใหเสอ่ื มสิ้นไปได ตามธรรมดาบคุ คลท้ังหลายน้ัน ยอมยนิ ดใี นการบาํ เพ็ญทาน ศลี ภาวนา เปน สว นมาก ท่ีเปน เชนนี้ กเ็ พราะดวยอํานาจแหง นวี รณธรรม อนั ไดแ ก โลภะ โทสะ ถนี ะ มทิ ธะ อุทธจั จะ กกุ กจุ จะ วิจกิ จิ ฉา โมหะ อยางใดอยา งหน่งึ หรอื ๒, ๓, ๔ นน้ั เอง หรอื บางทขี ณะทก่ี าํ ลงั ทาํ กศุ ลอยนู น้ั กเ็ กดิ ความทอ ถอย เบอ่ื หนายไม พอใจเกดิ ข้ึนได ทําใหศรทั ธาสตปิ ญญาถอยเสอ่ื มสน้ิ ไปน้ี กเ็ ปนเพราะอํานาจแหง ถีนมทิ ธนวี รณเกดิ ข้นึ ก้นั ความ ดี คอื ศรทั ธา เปนตนเสีย และหากวากามฉนั ทนีวรณ พยาปาทนวี รณ ชนิดหยาบเกดิ ขนึ้ แกฌ านลาภบี คุ คลแลว ก็ ทําใหฌ านทไ่ี ดอ ยูน น้ั เสื่อมไป ไมสามารถจะเขา ฌานได ดังแสดงวจนัตถะวา : ฌานาทกิ ํ นิวาเรนฺตีติ = นีวรณานิ ธรรมเหลาใด หามความดี มี ฌาน เปนตน ไมใ หเ กิดข้นึ ฉะนน้ั ธรรมเหลา นั้น ชอื่ วา นวี รณ
๖๗ ๗. อนุสัย คาํ วา อนุสยั น้เี ปนกิเลสชนิดหนึ่งทนี่ อนเนอ่ื งอยูในขนั ธสนั ดานของสตั วท ้ังหลายและเปน ธรรมที่เรน ลบั ไมมใี ครสามารถมองเห็นได ยกเวน แตพ ระสัมมาสัมพุทธเจา พระองคเดยี วเทาน้ัน มี ๓ อยา งคอื ๗.๑ อนุสยั กิเลส เปนกิเลสท่ี นอนเนือ่ งอยูในขันธสนั ดานของสัตวทงั้ หลาย ๗.๒ ปริยุฏฐานกิเลส เปนกิเลสที่ เกดิ ขึ้นทางใจ ๗.๓ วีตกิ กมกเิ ลส เปนกิเลสท่ี เกดิ ขึ้นทางกายและทางวาจา ดงั วจนตั ถะวา สนตฺ าเน อนุ อนุ เสนฺตตี ิ = อนสุ ยา ธรรมเหลา ใด ยอมนอนเน่ืองอยูในความสบื ตอแหง รปู นาม ฉะน้นั ธรรมเหลาน้นั ช่อื วา อนุสัย การประหาณกเิ ลสทงั้ ๓ โดย ศลี สมาธิ ปญ ญา ๑). ศีลกุศล สามารถประหาณ วีตกิ กมกเิ ลส ได ๒). สมาธกิ ุศล สามารถประหาณ ปริยฏุ ฐานกิเลส ได ๓). ปญ ญากุศล สามารถประหาณ อนสุ ยั กิเลส ได ( ปญญาในอรหตั ตมรรค ) ๘. สังโยชน คาํ วา สังโยชน หมายถึง ธรรมชาตทิ ่ีผกู สตั วท ัง้ หลายไว ไมใ หออกไปจากวัฏฏทกุ ขไ ด เหมือนหนง่ึ เชอื กท่ผี กู โยงสัตว หรือ วตั ถุสิ่งของไวไ มใ หหลุดไป ดงั แสดงวจนัตถะวา สโํ ยเชนฺติ พนธฺ นฺตตี ิ = สํโยชนานิ ธรรมเหลาใดยอมผกู สัตวท้งั หลายไว ฉะนน้ั ธรรมเหลานน้ั ช่อื วา สังโยชน การจาํ แนกสงั โยชน ๑๐ ตามสตุ ตนั ตนยั โดย โอรัมภาคิยสังโยชน และ อทุ ธมั ภาคิยสังโยชน - โอรัมภาคยิ สงั โยชน สงั โยชนท่ีเปน ไปในสว นเบอ้ื งตํ่า ไดแ ก กามภูมิ ๑๑ มี ๕ คอื ๑). กามราคสงั โยชน ๒). ปฏิฆสังโยชน ๓). ทฏิ ฐิสังโยชน ๔). สลี ัพพตปรามาสสงั โยชน ๕). วจิ กิ จิ ฉาสงั โยชน - อุทธมั ภาคิยสงั โยชน สังโยชนที่เปนไปในสวนเบื้องสูง ไดแก รูปภูมิ ๑๖ อรปู ภมู ิ ๔ มี ๕ คอื ๑). รปู ราคสังโยชน ๒). อรูปราคสงั โยชน ๓). มานสังโยชน ๔). อทุ ธจั จสังโยชน ๕). อวชิ ชาสังโยชน อนงึ่ การแบงสงั โยชน ๑๐ นั้นในปรมตั ถทีปนีมหาฎกี าแสดงวา : - สงั โยชนท ่ีถูกประหาณดว ยมรรคเบ้อื งต่ํา ๓ ช่อื วา โอรมั ภาคยิ สงั โยชน - สงั โยชนท ี่ถูกประหาณดว ยอรหัตตมรรคนั้น ชือ่ วา อทุ ธัมภาคิยสังโยชน การจาํ แนกสังโยชน ๑๐ ตามอภิธรรมนยั โดย โอรมั ภาคิยสงั โยชน และ อุทธัมภาคิยสังโยชน - โอรัมภาคิยสงั โยชน สงั โยชนท ่เี ปน ไปในสวนเบื้องตาํ่ มี ๗ คือ ๑). กามราคสงั โยชน ๒). ปฏฆิ สงั โยชน ๓). ทิฏฐสิ งั โยชน ๔). สีสพั พตปรามาสสังโยชน ๕). วจิ กิ จิ ฉาสงั โยชน ๖). อสิ สาสังโยชน ๗). มจั ฉรยิ สงั โยชน - อทุ ธมั ภาคยิ สงั โยชน สังโยชนที่เปนไปในสวนเบอ้ื งสูง มี ๓ คอื ๑). ภวราคสงั โยชน ๒). มานสังโยชน ๓). อวชิ ชาสงั โยชน โอรัมภาคยิ สงั โยชน ทง้ั ๗ นี้ ถูกประหาณดวย มรรคเบอื้ งต่าํ ๓ อุทธัมภาคยิ สังโยชน ท้ัง ๓ นี้ ถูกประหาณดว ย อรหัตตมรรค
๖๘ ๙. กเิ ลส คําวา กเิ ลส หมายถงึ ธรรมชาติท่เี ปนเครอื่ งทาํ ใหเ ศราหมอง หรอื เรารอ น ฉะนน้ั จิต เจตสกิ รูป ที่เกิดพรอ มกับกเิ ลสเหลา นัน้ จึงมีความเศราหมองเรา รอ นไปดว ย ดงั มีวจนัตถะแสดงวา : กิเลเสนฺติ อุปตาเปนฺตตี ิ = กเิ ลสา ธรรมชาติ ยอมใหเ รา รอ น ฉะน้ัน ช่ือวา กิเลส กลิ ิสฺสติ เอเตหีติ = กเิ ลสา สมั ปยตุ ตธรรม คือ จิต เจตสกิ ยอมเศราหมองดวยธรรมชาตใิ ด ฉะน้นั ธรรมชาตทิ ี่เปนเหตุแหงการเศราหมองของสมั ปยตุ ตธรรมนั้น จึงชอื่ วา กิเลส (ไดแ ก กิเลส ๑๐) แสดงกิเลส ๑๐ โดยพสิ ดาร ๑,๕๐๐ - อารมณท่ีเปนเหตใุ หก เิ ลส ๑๐ เกดิ ขึ้นไดนนั้ มี ๑๕๐ คอื ¾ นามเตปญญาสะ คอื นามธรรม ๕๓ จิต ๑ นิปผันนรูป ๑๘ ลักษณะรปู ๔ รวมเปน ๗๕ เจตสิก ๕๒ ¾ ในอชั ฌัตตสันดาน คอื ภายในตวั เรา มี ๗๕ ¾ ในพหิทธสันดาน คอื ส่งิ มชี วี ิต และ ไมมชี วี ติ ที่อยภู ายนอกตวั เรา มี ๗๕ รวมเปน ๑๕๐ อารมณ ๑๕๐ x กเิ ลส ๑๐ = กิเลส ๑,๕๐๐ สรปุ องคธ รรมปรมัตถของอกศุ ลสังคหะ ๙ หมวด ๕๕ ประเภท ดงั น้ี คอื ๑. อาสวะ๔ องคธ รรม ๓ ๒. โอฆะ ๔ องคธรรม ๓ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ๓. โยคะ ๔ องคธ รรม ๓ ๔. คันถะ ๔ องคธ รรม ๓ โลภะ ทิฏฐิ โทสะ ๕. อุปาทาน ๔ องคธรรม ๒ โลภะ ทิฏฐิ ๖. นีวรณะ ๖ องคธ รรม ๘ โลภะ โทสะ ถีนะ มิทธะ อุทธจั จะ กกุ กจุ จะ วจิ กิ ิจฉา โมหะ ๗. อนุสัย ๗ องคธ รรม ๖ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา โมหะ ๘. สงั โยชน ๑๐ องคธรรม ๙ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ วจิ กิ จิ ฉา อทุ ธัจจะ อสิ สา มจั ฉริยะ โมหะ ๙. กิเลส ๑๐ องคธรรม ๑๐ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทฏิ ฐิ วิจิกจิ ฉา ถนี ะ อุทธัจจะ อหริ กิ ะ อโนตตัปปะ แสดงองคธ รรมอกุศลเจตสิกทั้ง ๑๔ ดวง ตามหลกั สมั ปโยคนัย ดงั น้ี คอื ๑. โลภเจตสิก ๑ ท่ีในโลภมลู จติ ๘ ๘. กกุ กจุ จเจตสกิ ๑ ทใ่ี นโทสมลู จิต ๒ ๒. ทิฏฐเิ จตสกิ ๑ ท่ีในอกุศลจิต ๑๒ ท้ังหมด ๙. วิจกิ ิจฉาเจตสกิ ๑ ท่ใี นวจิ ิกิจฉาสมั ปยุตตจิต ๑ ๓. โมหเจตสิก ๑ ท่ใี นทิฏฐิคตสัมปยตุ ตจติ ๔ ๑๐. มานเจตสกิ ๑ ท่ใี นทฏิ ฐิคตวปิ ปยตุ ตจติ ๔ ๔.โทสเจตสิก ๑ ทใ่ี นโทสมลู จิต ๒ ๑๑. อสิ สาเจตสกิ ๑ ท่ใี นโทสมลู จติ ๒ ๕. ถนี เจตสกิ ๑ ทีใ่ นอกศุ ลสสงั ขาริกจิต ๕ ๑๒. มจั ฉรยิ เจตสกิ ๑ ทใ่ี นโทสมูลจิต ๒ ๖. มิทธเจตสิก ๑ ทใ่ี นอกุศลสสังขารกิ จิต ๕ ๑๓. อหริ กิ เจตสิก ๑ ที่ในอกศุ ลจิต ๑๒ ท้งั หมด ๗. อทุ ธัจจเจตสิก ๑ ท่ใี นอกศุ ลจิต ๑๒ ทง้ั หมด ๑๔. อโนตตปั ปเจตสกิ ๑ ทใี่ นอกุศลจติ ๑๒ ทง้ั หมด จบ อกศุ ลสงั คหะ
อกศุ ลสงั คหะ มีธรรมอยู ๙ หมวด ๖๙ อาสวะ โอฆะ โยคะ สงั โยชน ตามสตุ ตันตนยั องคธ รรมปรมตั ถ มี อยางละ ๓ คือ องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คอื โลภเจตสกิ ทฏิ ฐเิ จตสกิ โมหเจตสิก คันถะ สงั โยชน ตามอภิธรรมนยั องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คอื องคธรรมปรมตั ถ มี .......... คือ นวี รณะ กิเลส องคธรรมปรมตั ถ มี .......... คือ องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คือ อปุ าทาน องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คอื อนุสัย องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คอื
สรุปอกุศลสังคหะ ๙ หมวด ๕๕ อกุศลเจตสิก ๑๔ อกุศลสังคหะ ๙ อาสวะ โอฆะ โ โ โม อหิ อโน อทุ - โมจตกุ เจตสกิ ๔ อกุศลเจตสกิ ๑๔ (๔) (๔) โล ทิฏ มา - โลติกเจตสิก ๓ โ โท อสิ มัจ กุก - โทจตุกเจตสกิ ๔ ๑. โมหะเจตสกิ โมหะ โมหะ ถีน มิท - ถที กุ เจตสิก ๒ ๒. อหิรกิ ะเจตสกิ วิจิ - วิจกิ จิ ฉาเจตสิก ๑ ๓. อโนตตปั ปะเจตสิก - - ๔. อทุ ธัจจะเจตสกิ - - ๕. โลภะเจตสกิ - - ๖. ทิฏฐิเจตสกิ ๗. มานะเจตสิก โลภะ โลภะ ๗๑ ๑ ๓ ๘. โทสะเจตสิก ทิฏฐิ ทิฏฐิ ๙ ๘๓ ๙. อิสสาเจตสกิ - - ๕๑ ๑ ๑ ๑๐. มัจฉรยิ ะเจตสกิ - - ๒๑ ๑๑. กกุ กจุ จะเจตสกิ - - ๔ ๑๒. ถนี ะเจตสิก - - ๑๓. มิทธะเจตสิก - - ๑๔. วิจิกิจฉาเจตสิก - - - - สรปุ องคธ รรม - - ๓ ๓ อาสวะไหลอยูไมรจู บ โอฆะกลบทบั ถมใหจ มดิ่ง โยคะเขา ประกอบเกาะแนน จริง คนั ถะย่ิงเกี่ยวคลอ งใหห มองมัว อปุ าทานกไ็ มเบาเขายดึ ม่นั นีวรณะชะกนั้ ใหป วดหัว อนสุ ัยไหลนอนเนอ่ื งไมร ตู ัว สงั โยชนช่ัวผูกดงึ ตดิ ตรงึ ตรา กเิ ลสนั้นต้ังพนั หา พาเศรา หมอง พกั ตรงามผองเผอื ดไปไมห รรษา อกุศลสังคหะแสดงมา มเี กาหมวดเทา นนั้ หนาอยา ทอใจ
๕ ประเภท พรอมดว ยองคธรรม ๗๐ โยคะ คันถะ อปุ าทาน นวี รณะ อนสุ ยั สงั โยชน กเิ ลส อกศุ ลสังคหะ ๙ หมวด (๔) (๔) (๔) (๖) (๗) (๑๒) (๑๐) ได ไมได โมหะ - - โมหะ โมหะ โมหะ โมหะ - - อหิริกะ ๗๒ - - - - - - อโนตตปั ปะ ๑๘ - - - - อุทธัจจะ ๑๘ - - - อทุ ธัจจะ - อทุ ธัจจะ ๓๖ โลภะ โลภะ โลภะ ๙๐ โลภะ โลภะ โลภะ - โลภะ ทฏิ ฐิ ทฏิ ฐิ ๘๑ ทิฏฐิ ทฏิ ฐิ - ทฏิ ฐิ มานะ มานะ ๓๖ ทฏิ ฐิ โทสะ มานะ โทสะ โทสะ ๕๔ - - - โทสะ อิสสา ๑๘ - โทสะ - - - ๑๘ - - - มัจฉรยิ ะ - ๑๘ - - - กุกกจุ จะ - - - ๒๗ - - - ถนี ะ - - ถนี ะ ๑๘ - - - มิทธะ - - - ๔๕ - - - - วิจกิ ิจฉา - - - วิจกิ จิ ฉา วจิ ิกิจฉา วจิ ิกิจฉา - - ๑๐ ๒ ๘ ๖ ๙ ๓ ๓
๗๑ อธบิ ายในมสิ สกสงั คหะ ๒. มิสสกสงั คหะ หมายความวา การแสดงสงเคราะหธ รรมท่ีเปน กศุ ล อกศุ ล อพยากตทงั้ ๓ ปนกนั หมวดหน่งึ มีอยู ๗ หมวด ๖๔ ประเภท มี ดังนี้ :- หมวดที่ ประเภท องคธรรม ๑. เหตุ ๖ ๖ - โลภเจ. โทสเจ. โมหเจ. อโลภเจ. อโทสเจ. อโมหเจ. (ปญ ญนิ ทรยี ) ๒. ฌานังคะ ๗ ๕ - วติ ก. วจิ าร. ปติ. เอกัคคตา. เวทนาเจ. ๓. มัคคังคะ ๑๒ ๙ - ปญญา, วติ ก, สมั มาวาจา, กมั มนั ตะ, อาชวี ะ, วีรยิ ะ, สติ, เอกคั คตา, ทิฏฐิ ๔. อนิ ทรยี ๒๒ ๑๖ - ปสาทรปู ๕, ภาวรปู ๒, ชีวิตรปู ๑, จิต, ชีวิตินทรีย, เวทนา, สทั ธา, วรี ิยะ, สต,ิ เอกคั คตา, ปญ ญาเจตสกิ ๕. พละ ๙ ๙ - สทั ธา, วรี ยิ ะ, สติ, เอกคั คตา, ปญ ญา, หริ ิ, โอตตัปปะ, อหริ กิ ะ, อโนตตัปปะ ๖. อธบิ ดี ๔ ๔ - ฉนั ทะ, วรี ยิ ะ, ทฺวเิ หตกุ ชวนะ และ ตเิ หตุกชวนะ ๕๒/๘๔ ( สาธิปติชวนะ ๕๒/๘๔) ปญญา :- ติเหตุกชวนะ ๓๔/๖๖ ๗. อาหาร ๔ ๔ - โอชา, ผสั สะ, เจตนาเจตสิก, จิต รวม ๗ หมวด รวม ๖๔ ประเภท สรุปแลว ในมสิ สกสังคหะมีธรรมอยู ๗ หมวด ๖๔ ประเภท องคธรรมก็แลว แตห มวดนนั้ ๆ ๑. เหตุ ๖ คําวา เหตุ คอื ธรรมทีท่ ําใหผลเกดิ ข้นึ กค็ ือ เหตุ ๖ มี โลภเหตุ เปน ตน ผลยอมเกิดเพราะธรรมเหลา น้ี ฉะน้นั ธรรมเหลานจ้ี ึงชอ่ื วา เหตุ หมายความวา ธรรมทั้งหลายทีไ่ ดร ับ อปุ การะจากเหตุ ยอ มมสี ภาพมัน่ คงในอารมณ ประดจุ ตน ไมท มี่ ีรากงอกงามแผไ ป ฉะน้ัน ๒. ฌานงั คะ คาํ วา ฌาน มคี วามหมาย ๒ อยาง คือ ๒.๑ ฌาน แปลวา เพง คอื เปน ธรรมชาติทีม่ สี ภาพเขา ไปเพงอารมณอยา งมั่นคง และอารมณ ท่ถี ูกเพงนั้นไมจ ํากัด จะเปน อารมณกรรมฐานหรอื ไมใ ชกต็ าม เปน โลกยี ะหรือ โลกตุ ตระก็ตาม เปน ปรมตั ถห รือบญั ญตั กิ ต็ ามลวนเปนอารมณของฌาณไดทั้งส้นิ ๒.๒ ฌาน แปลวา เผา คอื เผาธรรมทีเ่ ปนปฏปิ ก ษกบั ตนใหม กี ําลงั ลดนอยลงไป หรอื ไมใ ห เกิดขึ้น ไดแ ก องคฌาน ๖ (เวน โทมนสั เวทนา) ทีอ่ ยใู นมหัคคตจติ ( สาํ หรับองคฌานในกามจิตนนั้ มีสภาพที่เขา ไปเพงอารมณอยา งมัน่ คง ปรากฏชัดกวา การ เผาธรรมท่ีเปน ปฏิปก ษก บั ตน )
๗๒ แสดงธรรมทเี่ ปนปฏปิ ก ษกบั องคฌานนนั้ คือ ถีนมทิ ธะ เปน ปฏปิ กษก บั วิตก วจิ ิกจิ ฉา เปนปฏิปกษก บั วิจาร พยาบาท เปน ปฏิปก ษก บั ปต ิ กามฉนั ทะ เปนปฏิปก ษก บั เอกคั คตา อทุ ธจั จกกุ กจุ จะและโทมนสั เวทนา เปน ปฏปิ ก ษก บั โสมนสั เวทนาและอเุ บกขาเวทนา ปติและโสมนสั เวทนา เปนปฏิปกษก บั โทมนัสเวทนา ๓. มัคคงั คะ ธรรมที่เรียกวา เปน องคม รรค เพราะเปน เหตแุ ละเปน หนทางใหเขา ถงึ สคุ ตภิ มู ิ ทุคตภิ ูมิ และ พระนิพพาน เปน สวนหน่งึ ๆ ของมรรค ในจํานวนองคม รรค ๑๒ นี้ - องคม รรคทเ่ี ปน เหตแุ ละเปน หนทางใหไ ปถงึ สคุ ตภิ มู แิ ละพระนพิ พานน้ัน มอี ยู ๘ คอื สัมมาทิฏฐิ สัมมาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สัมมากมั มันตะ สัมมาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ - องคม รรคทีเ่ ปน เหตุและเปน หนทางใหไ ปถงึ ทคุ ตภิ ูมิ มี ๔ คอื มิจฉาทฏิ ฐิ มจิ ฉาสังกัปปะ มจิ ฉาวายามะ มจิ ฉาสมาธิ ๔. อนิ ทรีย คาํ วา อนิ ทรยี แปลวา เปน ผปู กครอง อนิ ทรยี หมายความวา สามารถทําใหส ภาวธรรมทีเ่ กิดขึ้นพรอ มกันกบั ตนนนั้ ตองเปน ไปตามอํานาจ ของตนหรือ เปนธรรมที่ยอ มกระทําใหต นเปนอิสระยิ่ง ดังมวี จนตั ถะแสดงวา : อินทฺ นตฺ ิ ปรมอสิ ฺสรยิ ํ กโรนตฺ ีติ = อินฺทรฺ ยิ านิ ธรรมเหลาใด เปนผูปกครอง คอื ยอ มกระทาํ ใหตนเปน อสิ ระยิ่ง ฉะนนั้ ธรรมเหลา น้ัน จงึ ช่ือวา อนิ ทรีย
๗๓ จําแนกอนิ ทรีย ๒๒ โดยภูมิ ๔ คือ กามภมู ิ – รูปภมู ิ – อรปู ภูมิ – โลกตุ ตรภูมิ กามธรรมเรยี กวา กาม-รูป-อรูป-โลกตุ . กาม-รปู -โลกตุ . โลกตุ ตรธรรมเรยี ก องคธรรม มี ๑๖ กามอนิ ทรีย ๑๐ อินทรยี มี ๘ อิน. อินทรยี ม ี ๑ อนิ . อินทรีย มี ๓ อิน. ๑. จักขนุ ทรยี ๑. ชีวิตินทรยี โสมนัสสนิ ทรีย ๑. อนัญญาตัญญสั - จกั ขปุ สาท รปู -นาม สามติ นิ ทรยี โสตปสาท ๒. โสตินทรยี ๒. มนนิ ทรยี ๒. อัญญินทรยี ฆานปสาท ๓. ฆานินทรีย ๓. อุเปกขินทรยี ๓. อัญญาตาวนิ ทรีย ชวิ หาปสาท ๔. ชิวหนิ ทรีย ๔. สัทธนิ ทรยี กายปสาท, ชีวติ รูป ๕. กายนิ ทรยี ๕. วรี ยิ ินทรยี ชีวติ นิ ทรยี เ จตสิก ๖. อิตถินทรีย ๖. สตินทรยี จิตทง้ั หมด ๗. ปุริสินทรีย ๗. สมาธนิ ทรยี เวทนาเจ.,สทั ธาเจ. ๘. สุขนิ ทรยี ๘. ปญญนิ ทรยี วีรยิ เจ., สติเจ. ๙. ทุกขนิ ทรีย เอกัคคตาเจ. ๑๐.โทมนัสสนิ ทรีย ปญ ญาเจ.,ภาวรูป ๒ รวม ๑๐ อินทรยี รวม ๘ อินทรยี รวม ๓ อนิ ทรีย รวมองคธรรม มี ๑๖ สรุปแลว อินทรยี ๒๒ นี้ เปน รูป ๗ เปน นาม ๑๔ และเปน ท้งั รปู และนาม มี ๑ คอื ชวี ติ ินทรยี ๕. พละ คาํ วา พละ หมายความวา ไมห วัน่ ไหวหรอื ธรรมที่มีกาํ ลังกดซ่งึ ปฏิปกขธรรมที่เกดิ ขึน้ แลว - พละธรรมทเ่ี ปนฝา ยกศุ ล - ไมห วั่นไหวในหนา ที่ของตน - ไมห วน่ั ไหวในอกุศลธรรมทีเ่ ปนปฏปิ ก ษก ับตน และสามารถ ทาํ ลายอกศุ ลธรรมน้นั ใหเ สอ่ื มส้นิ ไปได - พละธรรมทเ่ี ปนฝา ยอกุศล - ไมห วัน่ ไหวในหนา ทขี่ องตน คือ ตัง้ มั่นอยใู นกจิ การงานและธรรม ทีเ่ กดิ ข้ึน พรอ มกนั กบั ตนเทานัน้ แตไ มส ามารถทําลายกศุ ลธรรมท่ี เปน ปฏิปกษกบั ตนได ดงั มบี าลีแสดงวา : อกมฺปนฏเ ฐน พลํ ช่อื วา พละ ดว ยอรรถวา ไมห วนั่ ไหว ๖. อธบิ ดี คําวา อธิบดี หมายถงึ ธรรมท่เี ปน ใหญ หรอื ธรรมท่มี อี ํานาจยง่ิ กวาธรรมท่เี ก่ียวเน่อื งกัน กับตน ดงั มวี จนัตถะแสดงวา : อธนิ านํ ปติ = อธิปติ ธรรมทเี่ ปนเจาแหง ธรรมที่เก่ยี วเน่ืองกนั กับตน หรอื ธรรมทีเ่ ปนใหญก วา ธรรมที่ เกีย่ วเนื่องกันกับตน ฉะนัน้ ธรรมนัน้ ชอ่ื วา อธิปติ หรืออีกนยั หนงึ่ แสดงวา : อธิโก ปติ = อธิปติ ธรรมท่ีเปนเจา ท่ีมอี าํ นาจยงิ่ หรือ ธรรมทเี่ ปน ใหญ ทีม่ ีอาํ นาจยิง่ ชอื่ วา อธิปติ
๗๔ ความเปน ใหญ เปน ผปู กครองน้ี มอี ยู ๒ อยา ง คือ ๑. ความเปน ใหญ เปน ผูป กครอง โดยความเปน อินทรยี อยางหนึง่ ๒. ความเปน ใหญ เปนผปู กครอง โดยความเปน อธบิ ดี อยา งหนึง่ ธรรมท่เี ปน ใหญเ ปน ผปู กครอง โดยความเปนอนิ ทรียนี้ เมอ่ื ขณะที่เกิดขึน้ นนั้ ยอ มเกดิ ขึน้ พรอ ม ๆ กันในคราวเดยี วกันหลาย ๆ อนิ ทรยี ไดโ ดยไมขดั กัน เพราะธรรมทีเ่ ปน อนิ ทรียเ หลาน้ีเปนใหญปกครองเฉพาะ ในหนาทข่ี องตนๆ เทาน้ัน คือ จกั ขนุ ทรยี ก็เปน ใหญเ ฉพาะในการเห็น มนนิ ทรียก เ็ ปนใหญเฉพาะในการรบั อารมณ เหลา นเ้ี ปน ตนฯ สวนธรรมทเ่ี ปน ใหญเปน ผูป กครองโดยความเปน อธิบดนี ั้น เมอื่ ขณะเกิดข้นึ ในคราวหน่งึ ๆ ยอม เกิดเปน อธิบดไี ดแตเ พียงอยางเดียว เชน ในขณะที่ฉนั ทะเปนอธบิ ดี คอื มีความพอใจอยางแรงกลา เกดิ ขึน้ แลว วีริยะ จิต ปญญา กต็ องคลอ ยตามฉันทะไปในอารมณน น้ั ๆ เปน ตนฯ สรปุ ความวา ความเปน ใหญโ ดยความเปน อนิ ทรียใ นคราวเดยี วกัน เปน ไดห ลายๆ อินทรียไมข ดั กนั สว นความเปน ใหญโ ดยความเปน อธบิ ดนี ้นั ในคราวหน่งึ ๆ เปน ไดอยางเดยี วเทา นน้ั เกดิ รวมกนั หลาย ๆ อธบิ ดไี มไ ด หมายเหตุ ธรรมทเ่ี ปนอธิบดไี ดน ้ันตองอยใู นทวเิ หตุกชวนะ หรือติเหตกุ ชวนะ เทานนั้ ฉะน้นั พระอนรุ ุทธาจารย จงึ แสดงไวใน อภิธัมมตั ถสังคหะวา ทฺวเิ หตกุ ติเหตกุ ชวเนเสฺวว ยถาสมฺภวํ อธิปติเอโกว ลพฺภติ แปลความวา ในทวิเหตกุ ชวนะ และ ติเหตกุ ชวนะ เทานน้ั ทีจ่ ะมอี ธบิ ดไี ดอ ยางเดยี วในจาํ นวนอธบิ ดี ๔ นน้ั ตามทีจ่ ะเปน ได ๗. อาหาร คาํ วา อาหาร แปลวา นํามา หมายความวา ทาํ ใหผลเกดิ ข้นึ และชว ยอุดหนนุ ใหต้งั อยูได เจรญิ ขึ้นได ดงั แสดงวจนตั ถะวา : อาหรนฺตีติ = อาหารา ธรรมเหลา ใด ยอมนาํ มาซ่งึ ธรรมท่เี ปนผลของตน ๆ ฉะนน้ั ธรรมเหลา นนั้ ชอื่ วา อาหาร สรุปความวา ๑. กพฬกี าราหาร นํามาซึง่ อาหารชสุทธฏั ฐกกลาปใหเ กดิ ขึ้นในสนั ดานของสัตวท้ังหลาย ๒. ผสั สาหาร นํามาซง่ึ เวทนา คือ การเสวยอารมณเ ปน สขุ บา ง ทกุ ขบาง เฉย ๆ บา ง ๓. มโนสัญเจตนาหาร นาํ มาซึ่งปฏิสนธิวญิ ญาณ คอื การเกิดมนษุ ย เทวดา พรหม อบายสัตว และ ปวตั ติวญิ ญาณ คอื การเห็น การไดยนิ เปนตน ๔. วิญญาณาหาร นาํ มาซงึ่ เจตสิก และ กัมมชรูป
๗๕ แสดงจติ ทไี่ มไ ดองคฌ าณ องคมรรค อินทรีย และ พละ ดังน้ี ในทวิปญจวิญญาณจิต ๑๐ ยอมไมไ ดอ งคฌ าน ในอเหตกุ จติ ๘ ยอ มไมไดองคฌ าน เอกัคคตาเจตสกิ ในอวรี ิยจติ ๑๖ ยอมไมถงึ สมาธนิ ทรีย และ สมาธพิ ละ เอกคั คตาเจตสกิ ในวิจกิ ิจฉาสมั ปยุตตจิต ๑ ยอมไมถงึ มิจฉาสมาธิ สมาธนิ ทรีย และสมาธพิ ละ คาถาทแี่ สดงองคธรรมในมิสสกสังคหะทง้ั ๗ หมวด ๑. ฉเหตู ปฺจฌานงคา มคฺคงคฺ า นว วตฺถโุ ต โสฬสินทรียธมมฺ า จ พลธมฺมา นเวรติ า ฯ ๒. จตฺตาโรธปิ ตี วุตตฺ า ตถาหาราติ สตตฺ ธา กุสลาทิสมากณิ ฺโณ วตุ โฺ ต มิสสฺ กสงคฺ โห ฯ ๑. เหตุ เม่อื วา โดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๖ ฌานงั คะ เมอ่ื วาโดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มี ๕ มัคคงั คะ เม่อื วาโดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๙ อนิ ทรีย เมอ่ื วา โดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๑๖ พละ เมอ่ื วาโดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๙ ๒. อธบิ ดี เมอื่ วาโดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๔ อาหาร เม่อื วา โดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๔ เหมอื นกัน นักศกึ ษาทัง้ หลายพงึ ทราบการแสดง มิสสกสังคหะ ท่มี กี ศุ ลเปนตน ปะปนกัน โดยมี ๗ หมวดดังนี้ จบมสิ สกสังคหะ
๗๖ อธิบายในโพธิปก ขยิ สงั คหะ ๓. โพธปิ ก ขยิ สังคหะ หมายความวา การแสดงสงเคราะหธรรมท่ีเปน ฝา ยมรรคญาณ หมวดหนึ่ง มีอยู ๗ หมวด ๓๗ ประเภท มีดังนี้ คือ หมวดท่ี ประเภท องคธรรม :- ๑. สตปิ ฏฐาน ๔ ๑ สตเิ จตสิก :- มหาก.ุ ๘ มหาก.ิ ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖ ๒ สัมมัปปธาน ๔ ๑ วริ ยิ เจตสกิ : - กศุ ลจติ ๒๑ ๓. อิทธบิ าท ๔ ๔ ฉนั ทะ, วีริยะ, สต,ิ กศุ ลจติ 21, ปญญา ๔. อนิ ทรีย ๕ ๕ สัทธา, วริ ยิ ะ, สต,ิ เอกคั คตา, ปญญา ๕. พละ ๕ ๕ สทั ธา, วรี ยะ, สติ, เอกคั คตา, ปญญา ๖. โพชฌงค ๗ ๘ สต,ิ ปญญา, วีรยิ ะ, ปต ิ, กายปส ., จติ ตปส ., เอกคั คตา, ตัตร., ๗. มคั คงั คะ ๘ ๘ ปญญา, วติ ก, สัมมาวาจา-กัมมันตะ-อาชวี ะ, วีรยิ ะ, สติ เอกคั คตาเจตสกิ รวม ๗ หมวด ๓๗ ประเภท โพธปิ ก ขยิ สงั คหะ คือ การแสดงการสงเคราะหธ รรมที่เปนฝายมรรคญาณ ๔ ธรรมชาตใิ ดรอู ริยสจั จท้งั ๔ ฉะนน้ั ธรรมชาติน้นั ชอื่ วา โพธิ ไดแก ปญ ญาทีอ่ ยใู นมรรคจิต ๔ ธรรมท่เี กดิ ในฝา ยแหงมรรคญาณ ๔ ชือ่ วา โพธิปก ขยิ ะ ไดแ ก โพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗ ๑. สตปิ ฏ ฐาน หมายความวา ทต่ี ั้งทว่ั ไปแหง สติ (อารมณ กาย เวทนา จิต ธรรม) ดงั แสดงวจนตั ถะวา : สติ เอว ปฏ านนตฺ ิ = สติปฏ านํ สตนิ นั่ แหละเปนประธานในสมั ปยุตตธรรม แลว ต้ังมัน่ ในอารมณ มกี าย เปน ตน ฉะนั้น จงึ ชื่อวา สตปิ ฏ ฐาน แสดงสตดิ วงเดยี วเปน สตปิ ฏฐานทัง้ ๔ ไดเ พราะ อารมณอ ันเปน ทตี่ ้งั แหง การกําหนดของสตมิ ี ๔ ลักขณะอนั เปนนิมติ การประหาณ ท่ปี รากฏขึน้ มี ๔ คือ วิปลาสธรรม มี ๔ คอื ๑. รปู ขนั ธ เปน อารมณข องสติ เรยี กวากายานปุ สสนาฯ ๑. อสุภลักขณะ สุภวิปลาส ถูกประหาณ ๒. เวทนาขันธ เปนอารมณข องสติ เรียกวา เวทนานปุ ส สนาฯ ๒. ทุกขลกั ขณะ สุขวปิ ลาส ถกู ประหาณ ๓. วิญญาณขนั ธ เปน อารมณข องสติ เรยี กวา จติ ตานปุ ส สนาฯ ๓. อนจิ จลักขณะ นิจจวปิ ลาส ถกู ประหาณ ๔. สญั ญาขนั ธ เปน อารมณข องสติ เรยี กวา ธัมมานปุ สสนาฯ ๔. อนัตตลกั ขณะ อัตตวิปลาส ถกู ประหาณ ๕. สังขารขนั ธ เปน อารมณข องสติ เรยี กวา ธัมมานุปส สนาฯ
๗๗ ๒. สมั มัปปธาน คาํ วา สมั มปั ปธาน หมายความวา ธรรมทีม่ ีความพยายามโดยชอบธรรม สมั ปยตุ ตธรรมทัง้ หลาย มคี วามพยายามโดยชอบธรรม ดวยการอาศยั ธรรมชาตินน้ั ฉะนัน้ ธรรมชาติท่ีเปน เหตุ แหง ความพยายามนัน้ จึงชื่อวา สัมมปั ปธาน ไดแก วรี ยิ เจตสิก ซงึ่ ตองเปนวีริยะอยา งแรงกลา (ไมใ ชอยางสามญั ) ทอ่ี ยใู นกศุ ลชวนะ เทา นัน้ - วรี ยิ ะทีอ่ ยใู นกรยิ าชวนะ ไมเปน สมั มัปปธาน เพราะพระอรหันตท ั้งหลายยอ มพน จากหนาทกี่ าร งานทเ่ี กยี่ วกับการประหาณอกุศล และ การทําใหกศุ ลเกดิ เสยี แลว - วรี ิยะที่อยใู นผลจติ ไมเปน สัมมัปปธาน เพราะไมเ กี่ยวของกบั หนา ท่ีทัง้ ๔ ของวีริยะที่เปน สมั มัปปธาน และตัวเองเปน วิบากอยูแลว แสดงเหตผุ ลทว่ี ีรยิ ะดวงเดยี วเปนสมั มปั ปธานทงั้ ๔ ได วรี ยิ ะดวงเดยี วเปน สัมมปั ปธานทั้ง ๔ ได เพราะกิจของวรี ิยะในท่ีนมี้ ีอยู ๔ อยา ง คือ ๑. พยายามเพือ่ ละอกุศลทีเ่ กดิ ขน้ึ แลว ๒. พยายามเพอ่ื ไมใหอ กุศลใหมเ กิด ๓. พยายามเพือ่ ใหก ศุ ลใหมเ กิด ๔. พยายามเพ่อื ใหกศุ ลที่เกดิ ข้นึ แลวเจริญรงุ เรอื งขนึ้ ๓. อทิ ธบิ าท คําวา อทิ ธิบาท หมายความวา ธรรมทีเ่ ปน เหตใุ หถ งึ ความสําเร็จฌาน อภญิ ญา มรรคผล ความสําเรจ็ โดยบรบิ ูรณ ช่ือวา อทิ ธบิ าท ไดแ ก ฌาน อภญิ ญา มรรค ผล ผใู ดผหู นง่ึ ยอ มถงึ ดว ยอาศยั ธรรมนนั้ ฉะนั้น ธรรมทเี่ ปน เหตใุ หถึงของผนู ้ัน ชอ่ื วา ปาท ไดแก องคธรรมของ อิทธบิ าท ๔ ธรรมทเ่ี ปนเหตใุ หถงึ ความสาํ เรจ็ คอื ฌาน อภญิ ญา มรรค ผล ชื่อวา อิทธิบาท ไดแก กศุ ลจิต ๒๑ และฉันทะ วรี ยิ ะ ปญ ญา ทีอ่ ยูใ นกุศลจิตทม่ี กี ําลงั อยางแรงกลา (ไมใชอ ยา งสามญั ) ฉนั ทะ วีรยิ ะ กริ ยิ าจติ และปญญาของพระอรหนั ต ไมใ ชอ ทิ ธิบาท เพราะธรรมดา พระอรหนั ต ท้งั หลายน้นั เปน ผถู งึ ความสาํ เรจ็ โดยบริบูรณอ ยแู ลว ผลจิต ฉันทะ วีรยิ ะ ปญ ญาทอ่ี ยูใ นผลจิต ไมชื่อวา อิทธบิ าท เพราะผลจติ กเ็ ปน ผลของมรรคจิตอยู แลว องคธรรมของอทิ ธิบาท ๔ กค็ อื อธบิ ดี ๔ นน่ั เอง ตา งกันแตเ พยี งวา ธรรมทเี่ ปน อทิ ธิบาท เปน ไดเ ฉพาะ กุศล เทาน้นั แตธ รรมที่เปน อธิบดี เปน ไดท ัง้ กศุ ล อกศุ ล และ อพยากตะ ๔. และ ๕. อนิ ทรยี คอื ความเปน ใหญ และ พละ ๕ คือ ความไมห วัน่ ไหว ในโพธิปกขิยสงั คหะ ไม ตอ งอธิบายซํา้ อกี เพราะแสดงเหมอื นกนั ในมสิ สกสังคหะ
๗๘ ๖. โพชฌงค คําวา โพชฌงค หมายความวา องคแ หงการรอู ริยสัจจ ๔ ธรรมอนั เปนเครอื่ งประกอบของธรรมหมวดที่เปน เหตใุ หรอู รยิ สจั จ ๔ ชอื่ วา โพชฌงค ไดแ ก องคธ รรม ของโพชฌงคโ ดยเฉพาะ ๆ ดงั แสดงวจนตั ถะวา : พุชฌฺ นตฺ ิ เอตายาติ = โพธิ พระโยคีท้ังหลาย ยอ มรูอริยสจั จ ๔ ดว ยธรรมหมวดน้ี ฉะนัน้ ธรรมหมวดน้ี เปนเหตใุ หร ูอรยิ สจั จ ๔ นี้ชื่อวา โพธิ ไดแ ก องคธ รรมของโพชฌงค ๗ รวมกนั มี สติ ปญ ญา เปนตน โพธิยา องโฺ ค = โพชฺฌงฺโค ธรรมอนั เปนเครอ่ื งประกอบของหมวดทเี่ ปน เหตุใหรูอรยิ สจั จ ๔ ชื่อวา โพชฌงค ไดแก องคธ รรมของโพธฌงคโ ดยเฉพาะ ๆ ๗. มัคคังคะ คําวา มคั คงั คะ หมายความวา ธรรมอนั เปน เครอ่ื งประกอบของธรรมซึ่งเปนเหตแุ หง การฆา กิเลส และเขา ถึงพระนพิ พาน ชอ่ื วา มคั คังคะ ไดแ ก องคมรรค ๘ โดยเฉพาะ ดงั แสดงวจนตั ถะวา : กิเลเส มาเรนฺตา นพิ พฺ านํ คจฺฉนติ เอตานาติ = มคโฺ ค พระโยคีบุคคลทง้ั หลายฆา กเิ ลส และ ยอ มเขาถึงพระนิพพานดว ยธรรมนน้ั ฉะนนั้ ธรรมที่เปน เหตแุ หงการ ฆา กิเลส และเขา ถึงพระนิพพานของพระโยคีบุคคลเหลานั้น ชื่อวา มคั คะ ไดแ ก องคมรรค ๘ รวมกันมี สัมมาทิฏฐิ เปนตน องคมรรค ๘ อธบิ าย จาํ แนกโดยศลี ขันธเ ปน ตน ๑. สัมมาทิฏฐิ การเหน็ แจงในอริยสัจจท้ัง ๔ โดยกิจท้งั ๔ คอื เหน็ แจง ใน ทกุ ขสจั จะ โดยปริญญากิจ (กจิ คือการกาํ หนดร)ู สงเคราะหเขา เหน็ แจง ใน สมทุ ยสัจจะ โดยปหาณกิจ (กจิ คือการละหรอื การประหาณ) ในปญญาขันธ เหน็ แจง ใน นโิ รธสจั จะ โดยสจั ฉิกรณกจิ (กิจคอื การกระทาํ ใหแ จง) เหน็ แจง ใน มรรคสจั จะ โดยภาวนากิจ (กิจคือการกระทําใหเกิดขน้ึ ) สงเคราะหเขา ในปญ ญาขนั ธ ๒. สัมมาสงั กปั ปะ ความดําริชอบทเ่ี กยี่ วกับ นิกฺขมสงฺกปปฺ ความดาํ รทิ ี่ออกจากกามคณุ อารมณ สงเคราะหเขา อพฺยาปาทสงกฺ ปฺป ความดํารทิ ปี่ ระกอบดว ยเมตตา ในศลี ขันธ อวหิ งึ ฺสาสงฺกปปฺ ความดํารปิ ระกอบดว ยกรุณา สงเคราะหเ ขา ๓. สัมมาวาจา การเวน จาก วจที ุจริตท้งั ๔ ท่ีไมเก่ียวกบั อาชีพ ในสมาธขิ นั ธ ๔. สมั มากมั มนั ตะ การเวนจาก กายทุจริตทง้ั ๓ ที่ไมเ ก่ียวกับอาชีพ ๕. สัมมาอาชวี ะ การเวน จาก วจที ุจริต ๔ และ กายทจุ รติ ๓ ทเี่ กย่ี วกบั อาชพี ๖. สมั มาวายามะ ความเพยี รทด่ี าํ เนนิ ไปตามสมั มัปปธานท้ัง ๔ ๗. สัมมาสติ ความระลึกทดี่ าํ เนินไปตามสติปฏฐานทง้ั ๔ ๘ สัมมาสมาธิ ความต้งั ม่นั ในอารมณวปิ ส สนากรรมฐาน
๗๙ จําแนกองคธ รรม ๑๔ โดยฐานของโพธิปกขยิ ธรรม ๓๗ สงฺกปปฺ ปสฺสทธฺ ิ จ ปต ุเปกขฺ า ฉนโฺ ท จ จิตฺตํ วิรตติ ตฺ ยฺจ นเวกานา วริ ยิ ํ นวฏ สตี สมาธี จตุ ปฺจ ปฺา สทฺธา ทุ านตุ ฺตมสตฺตตสิ - ธมมฺ านเมโส ปวโร วิภาโค ฯ วติ ก ปส สทั ธิ ปติ ตตั ตรมัชฌัตตตา ฉันทะ จติ และ วิรตเี จตสิก ๓ องคธ รรมท้ัง ๙ นี้ มีฐานอยา งละ ๑ คอื วิตกเจตสิก เปน สัมมาสังกปั ปมรรค ปส สัทธเิ จตสิก เปน ปส สัทธิสมั โพชฌงค ปต ิเจตสิก เปน ปต สิ ัมโพชฌงค ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก เปน อุเบกขาสัมโพชฌงค ฉนั ทเจตสิก เปน ฉันททิ ธิบาท จิต เปน จิตติทธิบาท สัมมาวาจาเจตสกิ เปน สัมมาวาจามรรค สัมมากัมมนั ตเจตสิก เปน สมั มากัมมนั ตมรรค สัมมาอาชวี เจตสกิ เปน สัมมาอาชวี มรรค วรี ิยเจตสิก ๑ ดวง มี ๙ ฐาน คือ ๑. เปน สมั มปั ปธาน ๔ ๒. เปน วรี ยิ ทิ ธบิ าท ๑ ๓. เปนวีรยิ นิ ทรยี ๑ ๔. เปนวีรยิ ะพละ ๑ ๕. เปนวรี ยิ สัมโพชฌงค ๑ ๖. เปนสมั มาวายามรรค ๑ สติเจตสกิ ๑ ดวง มี ๘ ฐาน คือ ๓. เปนสตพิ ละ ๑ ๔. เปน สตสิ ัมโพชฌงค ๑ ๑. เปนสติปฏฐาน ๔ ๒. เปน สตนิ ทรยี ๑ ๕. เปน สมั มาสติมรรค ๑ เอกัคคตาเจตสกิ ๑ ดวง มี ๔ ฐาน คือ ๑. เปนสมาธินทรยี ๑ ๒. เปน สมาธพิ ละ ๑ ๓. เปนสมาธิสมั โพชฌงค ๑ ๔. เปน สัมมาสมาธมิ รรค ๑ ปญญาเจตสิก ๑ ดวง มี ๕ ฐาน คอื ๑. เปนวีมงั สิทธบิ าท ๑ ๒. เปน ปญ ญนิ ทรยี ๑ ๓. เปน ปญ ญาพละ ๑ ๔. เปน ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค ๑ ๕. เปนสมั มาทฏิ ฐิมรรค ๑ สทั ธาเจตสิก ๑ ดวง มี ๒ ฐาน คอื ๑. เปน สทั ธนิ ทรยี ๑ ๒. เปน สทั ธาพละ ๑
๘๐ สรปุ แลวองคธ รรมในโพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗ มี องคธ รรม ๑๔ ดวง คอื ๑. วิตกเจตสกิ ๘. สมั มากมั มันตเจตสกิ ๒. ปสสัทธิเจตสิก ๙. สัมมาอาชีวเจตสกิ ๓. ปตเิ จตสกิ ๑๐. วีริยเจตสิก ๔. ตตั ตรมชั ฌัตตตาเจตสกิ ๑๑. สติเจตสิก ๕. ฉันทเจตสิก ๑๒. เอกัคคตาเจตสกิ ๖. จิต ๑๓. ปญญาเจตสิก ๗. สมั มาวาจาเจตสิก ๑๔. สัทธาเจตสกิ หมายเหตุ มัคคงั คะทีใ่ นมิสสกสงั คหะ กบั มคั คังคะท่ใี นโพธปิ ก ขยิ สังคหะนนั้ ตา งกนั หรอื เหมือนกนั ถาเห็นวา ตา งกัน ตา งกนั ทต่ี รงไหน และธรรมสว นนัน้ เปน กุศลหรืออกุศลใหอธิบาย มัคคงั คะในมสิ สกสงั คหะ กบั ในโพธปิ ก ขยิ สังคหะ นน้ั ตา งกัน กลา วคอื มคั คงั คะท่ใี นมิสสกสงั คหะน้นั เปนเหตใุ หถงึ สคุ ตภิ ูมิ ทุคตภิ มู ิ และพระนพิ พาน เปนทง้ั กศุ ล และอกุศล คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสังกัปปะ สัมมาวาจา เปนเหตใุ หถ ึง สมั มากมั มันตะ สัมมาอาชีวะ สมั มาวายามะ สคุ ติภมู ิ และนพิ พาน สมั มาสติ สัมมาสมาธิ เปน กุศล สว น มิจฉาทฏิ ฐิ มิจฉาสังกัปปะ เปน เหตใุ หถึง มจิ ฉาวายามะ มจิ ฉาสมาธิ ทุคตภิ มู ิ เปน อกศุ ล มัคคงั คะท่ใี นโพธปิ ก ขิยสังคหะนนั้ เปน องคต รสั รู มงุ ตรงตอ มรรค ผล นิพพาน โดยตรง เปน กุศลโดยสว นเดียว ๑. สลี วิสุทธิ วิสทุ ธิ ๗ ๒. จิตตวิสทุ ธิ ๓. ทฏิ ฐิวิสุทธิ จตปุ ารสิ ุทธิศีล ๔. กังขาวิตรณวิสทุ ธิ ขณกิ สมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ๕. มัคคามคั คญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ นามรูปปรเิ ฉทญาณ ปจ จยปริคคหญาณ ๖. ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ สัมมสนญาณ ๗. ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ตรณุ อทุ ยพั พยญาณ พลวอุทยัพพยญาณ จนถงึ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มคั คญาณ ผลญาณ ปจ จเวกขณญาณ จบ โพธปิ กขยิ สงั คหะ
๘๑ อธบิ ายในสพั พสังคหะ ๔. สัพพสังคหะ หมายความวา การแสดงสงเคราะห ปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รปู นพิ พาน ซงึ่ เปนวตั ถธุ รรมทงั้ หมดรวมกนั หมวดหนง่ึ มีอยู ๖ หมวด ๓๙ ประเภท มดี ังนี้ คือ หมวดท่ี ประเภท องคธ รรม ๑. ขันธ ๕ ๗๑ รูป ๒๘, เวทนา, สญั ญา, เจตสกิ ๕๐, จติ ๘๙/๑๒๑ ๒. อุปาทานักขนั ธ ๕ * ๗๑ รูป ๒๘, เวทนา, สัญญา, เจตสิก ๕๐, โลกยี จติ ๘๑ ๓. อายตนะ ๑๒ ๗๒ ปสาทรูป ๕, จิต, วิสยรปู ๗, เจ.๕๒, สุขุม.๑๖, นพิ . ๔. ธาตุ ๑๘ ๗๒ อารมณ ๖, ทวาร ๖, วิญญาณ ๖ ๕. อรยิ สจั จะ ๔ ๗๒ โลกียจิต ๘๑, เจ.๕๑ (เวน โลภ.),รปู ๒๘, โลภเจ., นพิ ., มัคเจ. ๘ รวม ๕ หมวด ๓๙ ประเภท * ไมตองนบั อปุ าทานกั ขันธโ ดยเฉพาะ ๑. ขนั ธ คาํ วา ขันธ หมายความวา เปน กลมุ เปนกอง สรปุ แลว คําวา ขนั ธ มคี วามหมาย ๓ อยา ง คอื ๑.๑ ขนั ธ หมายความวา เปนกลมุ เปนกอง ซงึ่ มไิ ดม ุงหมายเอาจาํ นวนมากมารวมกนั แตม ุง หมาย เอาประเภทตางกนั ๕ กอง ( ๑๑ ประเภทยอ ย ) คือ - ธรรมที่เปน ปจ จบุ ัน อดตี อนาคต รวมกนั เปนกอง ๑ มี ๓ ประเภท - ธรรมทเ่ี ปน อชั ฌัตตะ และ พหทิ ธะ รวมกันเปน กอง ๑ มี ๒ ประเภท - ธรรมทีเ่ ปน โอฬาริกะ และ สุขุมะ รวมกันเปน กอง ๑ มี ๒ ประเภท - ธรรมทเ่ี ปน หนี ะ และ ปณตี ะ รวมกนั เปน กอง ๑ มี ๒ ประเภท - ธรรมทเี่ ปน ทรู ะ และ สนั ติกะ รวมกนั เปน กอง ๑ มี ๒ ประเภท รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ - เปน ขนั ธได นิพพาน - เปนขันธไมไ ด คอื เปนขันธวิมุตต เพราะ ไมมปี ระเภทตางกนั ดงั กลาว ๑.๒ ขนั ธ หมายความวา เปน อาการของทกุ ขต า ง ๆ อนั ไดแ ก ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ( ขนั ธเปนธรรมท่ีถูกทกุ ขตาง ๆ เคยี้ วกนิ หมายถึงขันธ ๕ เปนทเี่ กดิ แหง ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เปน ตน ) ๑.๓ ขันธ หมายความวา ธรรมที่แสดงอาการวา งเปลา จากอัตตะ - นพิ พาน ไมม ีประเภทแหง ปจ จบุ ัน อดตี อนาคต มแี ตกาลวิมตุ ตอยางเดยี ว ฉะน้ัน จงึ เปน ขนั ธวมิ ตุ ตห รอื เปน ขันธไ มไ ด - นพิ พาน ทีเ่ ปนอัชฌตั ตะไมม ี เปน พหิทธะอยา งเดยี ว ฉะนั้น จงึ เปน ขันธไ มไ ด - นพิ พาน ท่เี ปน โอฬารกิ ะไมม ี เปน สขุ ุมะอยางเดยี ว ฉะนน้ั จงึ เปน ขันธไ มได - นพิ พาน ทเี่ ปนหีนะไมมี เปน ปณีตะอยา งเดยี ว ฉะนนั้ จงึ เปน ขันธไ มได - นิพพาน ที่เปนสนั ตกิ ะไมม ี เปน ทูระอยา งเดยี ว ฉะน้นั จึงเปน ขนั ธไมไ ด ทก่ี ลาววา นพิ พาน เปน กาลวิมุตต พหทิ ธะ สุขุมะ ปณตี ะ ทรู ะ เหลา น้ี ก็ไมเ รยี กวา นพิ พาน มี ๕ ประเภท เพราะนิพพาน ที่เปนกาลวิมุตตน้นั เอง เปนพหทิ ธะ สุขมุ ะ ปณตี ะ ทรู ะ ดวย
๘๒ สรปุ แลวความเปนไปของขันธ ๕ ทเี่ ปน กลมุ เปนกองมดี งั ตอ ไปนั้น คอื ๑.) การเปลี่ยนแปลงของรา งกาย มีการเตบิ โต เจริญข้ึน ผมหงอกเหลานเี้ ปน ตน เปนรปู ขนั ธ ๒.) ความรสู กึ สบาย ไมส บาย เฉย ๆ เปน ตน เปน เวทนาขันธ ๓.) ความจําสงิ่ ตาง ๆ ได เปน สญั ญาขนั ธ ๔.) ความอยากได ความโกรธ ความเสื่อม เปนตน เปนสังขารขันธ ๕.) ความรูในอารมณต า งๆ เปนวญิ ญาณขันธ ดวยเหตนุ ้ี ผทู ่ปี ระกอบดว ยสุตมยปญญา จนิ ตามยปญญา และภาวนามยปญญาท้งั หลาย จึงรูว า บรรดาส่ิงตาง ๆ ท่มี ีอยใู นโลกนี้ นอกจากขนั ธ ๕ แลว กไ็ มมอี ะไรอน่ื อกี เปน สภาพอนัตตาทง้ั สนิ้ สว นท่ีรถู ึง สภาพของอนตั ตาของรปู นามเหลาน้ี จะตอ งรูชัดเพยี งใดน้นั กต็ องแลว แตก ําลังของปญญาน้ัน ๆ ตามลําดับ ๒. อุปาทานกั ขนั ธ คาํ วา อปุ าทานักขันธ หมายความวา ขันธท ี่เปนอารมณข องอุปาทาน ดังแสดงวจนตั ถะวา : อุปาทานานํ โคจรา ขนธฺ า = อปุ าทานกฺขนธฺ า ขนั ธ ทเี่ ปนอารมณของอุปาทาน ชื่อวา อปุ าทานกั ขนั ธ ในการท่ีพระพุทธองคท รงแสดงอปุ าทานักขันธ แยกออกมาจากขนั ธ ๕ นั้นก็เพ่อื ใหเปนประโยชน ในการเจริญวปิ ส สนา เพราะผูทเี่ จรญิ วปิ ส สนาน้ัน จะตอ งกาํ หนดขันธ ๕ ทเ่ี ปน โลกยี ะ ซ่ึงเปน อารมณข อง อปุ าทานได กลา วคือ กามปุ าทาน ทิฏปุ าทาน สสี พั พตุปาทาน อตั ตวาทุปาทาน เหลา นี้ เกดิ ขนึ้ ดว ยอาศยั รูป เวทนา สญั ญา สังขาร และ วญิ ญาณ ทเี่ ปน โลกยี ะเปน เหตเุ ทานนั้ สาํ หรับเวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ทเ่ี ปน โลกตุ ตระน้นั ยอมไมมี ดว ยเหตุนี้ จงึ ทรงแสดงอปุ าทานักขนั ธโ ดยเฉพาะอีก อธบิ ายอุปาทานกั ขนั ธ ๕ อยา ง มดี งั นี้ คือ อปุ าทาน คือ การยดึ มั่น หรอื การสืบตอ ของรปู นามอยูเนอื ง ๆ ในรปู ขันธ ๕ เหลาน้ี เพราะเปน ไป ตามอาํ นาจของอุปาทาน คอื การยดึ ม่นั เวลารูตามความเปน จริงของรปู นามขนั ธ ๕ เวลาน้ัน อุปาทานก็ไมม ี และ ถา ไมร ตู ามความเปนจริง อุปาทาน กม็ ีอยู (๑) ยนิ ดพี อใจในรปู ท้งั หมดเปนอารมณของอุปาทานได คือ เอารูป ๒๘ เปน อารมณ กเ็ รยี กวา เปน อารมณข องอุปาทาน คอื ยึดวา เปนเรา เปน เขา เชน ยดึ วาเปนของเรา เปน ของญาติเราเหลา น้ีเปน ตน ก็ถอื วา เปน อารมณข องอุปาทาน คอื การยนิ ดวี า เปน เรายนื เราเดนิ เหลา น้ี กเ็ ปน รูปทงั้ นนั้ (๒) เวทนปุ าทานักขันธ กองเวทนาเปน อารมณข องอปุ าทาน คือ สขุ ทุกข เฉย ๆ เหลา น้ี เปนเวทนา เชน เราทกุ ขกาย เราสุขใจ เราเฉย ๆ คอื สุข ทุกข เฉย ๆ เปนเวทนา ทเี่ รายึดวา สขุ ทุกข เฉยๆ เหลานี้ เปน อปุ าทาน คือ การยดึ ม่นั ในเวทนา (๓) สัญุปาทานักขนั ธ กองสัญญาเปน อารมณข องอุปาทาน สัญญา เปนธรรมชาตทิ ่ีจาํ ในอารมณ แตเ รากลบั ไปจําวาเปน เรา เปน เขา แตไ มจ าํ วา เปนรูป เปน นาม หรือเปน รปู เวทนา เหลา น้ี คือ สญั ญาในการจาํ อยา งนนั้ อยา งน้ี – อุปาทาน เขา ไปยดึ วาเปน เราเปนเขา
๘๓ (๔) สังขารุปาทานกั ขันธ กองสงั ขารที่เปน อารมณข องอปุ าทาน คอื เจตสกิ ๕๐ ( เวน เวทนาและสัญญา) คือ เจตสกิ ดวงหนึง่ ๆ ท่เี กิดในเจตสกิ ๕๐ ดวง เชน โลภเจตสกิ คอื ความยนิ ดี พอใจในอารมณ ก็คดิ วาเราพอใจ ถาโทสเจตสกิ เกิดขน้ึ กว็ า เราไมพ อใจ และถาสัทธาเจตสิก เกิดข้นึ ก็คดิ วาเราเชอ่ื วา คุณพระพทุ ธเจา มจี รงิ เหลานเี้ ปน ตน ทเี่ รียกวาเปน กเิ ลสอยา งละเอยี ด แตไมหา มสวรรค แตเราไปยดึ วาเปน เรา เปน เขา (๕) วิญญาณปุ าทานกั ขนั ธ กองจติ ทเี่ ปน อารมณข องอปุ าทาน คือจิต เปน ธรรมชาตทิ ่นี อ มไปรใู นอารมณ คอื เปนการรบั อารมณเ ปน ลกั ษณะอยางเดียว แตก ลบั ไปคิดวา เราคิด เรารูใ นอารมณต า งๆ ทัง้ ทเี่ ปน อดตี อนาคต เหลา น้ี เปน ตน บุคคลที่ไมย ึดม่นั ในอารมณ คือ อุปทาน คอื บุคคลทีเ่ จริญวปิ ส สนา กมั มฏั ฐานและพระอริยบคุ คล บคุ คลทีย่ ดึ มั่นในอารมณค อื อุปาทาน คือ บคุ คลที่ไมร ูต ามความเปน จริง คอื ผูทไี่ มไ ดเจรญิ วิปส สนา เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ ท่ีอยใู นโลกตุ ตระไมเ รียกวา เปนอารมณข องอปุ าทาน ๓. อายตนะ คําวา อายตนะ มคี วามหมาย ๒ อยางคอื (๑) อายตนะ หมายความวา ธรรมทม่ี ีสภาพคลายกบั วามคี วามพยายามเพือ่ ยงั ผลของตน ใหเกดิ ข้ึน เชน จักขายตนะ กับ รูปายตนะ เปน เหตใุ หการเห็นเกดิ ขึ้น (เปน ผล) เปน ตน (๒) อายตนะ หมายความวา ธรรมท่กี ระทําซึ่งจติ และเจตสกิ ใหก วา งขวางเจริญขน้ึ ดังแสดง วจนตั ถะวา : อายตนตฺ ิ อตตฺ โน ผลปุ ปฺ ตตฺ ิยา อสุ สฺ าหนตฺ า วิย โหนตฺ ีติ = อายตนานิ ธรรมเหลา ใด มสี ภาพคลา ยกบั วา มีความพยายาม เพอ่ื ยงั ผลของตนใหเ กิดขน้ึ ฉะนัน้ ธรรมเหลานนั้ ชอื่ วา อายตนะ ( หมายความวา ) (๑) จกั ขายตนะ กบั รูปายตนะ ทั้ง ๒ เปน เหตุใหก ารเหน็ เกิดขน้ึ ฉะนน้ั การเหน็ นี้จงึ เปน ผลของอายตนะ ทง้ั ๒ น้ัน ในทางอายตนะอื่น ๆ กเ็ ปน ไปเชน เดยี วกนั คือ (๒) โสตายตนะ กับ สัททายตนะ เปน เหตุ การไดยนิ เปน ผล (๓) ฆานายตนะ กับ คันธาตนะ เปนเหตุ การรูกล่ิน เปน ผล (๔) ชวิ หายตนะ กบั รสายตนะ เปนเหตุ การรูร ส เปนผล (๕) กายายตนะ กบั โผฏฐพั พายตนะ เปนเหตุ การรสู มั ผัส เปน ผล (๖) มนายตนะ กบั ธมั มายตนะ เปน เหตุ การรเู รอื่ งราวตา ง ๆ เปน ผล เหตุกบั ผลทีก่ ลาวมาน้ี ยอ มเปนไปตามสภาวะอนตั ตาทั้งสิ้น อายตนะตา ง ๆ เหลานั้น หาไดมี ความพยายามขึ้นอยางหนึ่งอยา งใดไม แตสภาพความเปนไปของอายตนะตาง ๆ เหลา น้ันดูคลา ย ๆ กบั วามกี าร ขวนขวายพยายามเพ่อื ใหผลของตน ๆ เกดิ ขน้ึ ฉะนัน้
๘๔ เน้อื ความ ๕ อยา ง ของศพั ทว า อายตนะ น้ี มเี นอื้ ความแสดงอยู ๕ อยา ง คอื (๑) สฺชาติเทสฏ หมายความวา เพราะเปน ทเี่ กดิ แหง วถิ ีจติ บอ ย ๆ (๒) นวิ าสฏ หมายความวา เพราะเปนทอ่ี ยูของวถิ ีจติ (๓) อากรฏ หมายความวา เพราะเกดิ อยใู นสตั วทว่ั ไปไมเลอื กชน้ั (๔) สโมสรณฏ หมายความวา เพราะเปน ที่ประชุมแหง วถิ ีจติ ทงั้ หลาย (๕) การณฏ หมายความวา เพราะเปน เหตุใหว ีถจี ติ เกดิ ขน้ึ ๔. ธาตุ ๑๘ คําวา ธาตุ หมายความวา ธรรมชาติท่ที รงไวซ่งึ สภาพของตน เปนสภาวะแท ๆ ไมใชสัตว ไมใ ชช วี ะ เปนแตเ พียงสภาวะ จึงชอ่ื วา ธาตุ ธาตุ มี ๑๘ คือ ตั้งแต จกั ขุธาตุ จนถึง โผฏฐพั พธาตุ เปน ทส่ี ุด องคธ รรมเปนรปู อยา งเดยี ว ตั้งแต จกั ขวุ ญิ ญาณธาตุ จนถงึ มโนวญิ ญาณธาตุ องคธรรมเปน นาม คอื จติ อยางเดยี ว สวนธัมมธาตุ เปน ไดท ง้ั รูปและนาม คือ เจตสิก ๕๒ สขุ ุมรปู ๑๖ นพิ พาน ๑ สรุปแลว ธาตุ ๑๘ ท่ีเปน ท้งั รปู และนาม เรยี กชื่ออกี อยางหนึ่งวา - โอฬาริกรูป ๑๒ คือ ปสาทรปู ๕ วิสยรูป ๗ เรยี กวา โอฬารกิ ธาตุ ๑๐ - ทวปิ ญ จวญิ ญาณจิต ๑๐ เรยี กวา ปญจวิญญาณธาตุ ๕ ( มจี กั ขุวญิ ญาณธาตุ ๑ เปนตน ) - สัมปฏจิ ฉนจติ ๒ ปญจทวาราวัชชนจติ ๑ เรยี กวา มโนธาตุ - จติ ๗๖ (เวน ทว.ิ ๑๐ มโนธาตุ ๓) เรยี กวา มโนวญิ ญาณธาตุ - เจตสกิ ๕๒ สขุ มุ รูป ๑๖ นพิ พาน ๑ เรยี กวา ธมั มธาตุ ธรรมทร่ี วมเปนธาตุ ๑๘ คือ ทวาร ๖ อารมณ ๖ วญิ ญาณ ๖ รวมแลว เปน ธาตุ ๑๘ ๕. อรยิ สัจจะ ๔ คําวา อริยสจั จะ หมายความวา ธรรมท่ีเปน ความจรงิ ของพระอรยิ เจา ดงั แสดงวจนัตถะวา อริยานํ สจฺจานิ = อรยิ สจจฺ านิ ธรรมท่ีเปน ความจรงิ ของพระอรยิ เจาทั้งหลาย ช่อื วา อรยิ สจั จะ หมายความวา ความจรงิ ๔ อยา ง ทพ่ี ระพทุ ธองคท รงแสดงไวน นั้ บรรดาปุถุชนทงั้ หลาย แมว า จะ ไดย นิ ไดฟง กต็ าม แตส ภาพทเ่ี ปน จรงิ ดังทพี่ ระพทุ ธองคท รงแสดงวา ธรรมนเี้ ปนทกุ ข ธรรมนเ้ี ปนเหตใุ หเกดิ ทุกข ธรรมนเี้ ปนเครอ่ื งดับทกุ ข ธรรมนี้เปน หนทางใหถงึ ความดับทุกข เหลาน้ี ปุถุชนเหลานนั้ ยอมเห็นไมลึกซึง้ มั่นคงเหมือนพระอรยิ เจา ดงั นน้ั ธรรมทเ่ี ปนความจริงตามทพ่ี ระพุทธองคทรงแสดงไวนน้ั จึงช่ือวา อรยิ สัจจะ
๘๕ แสดงการจําแนกอรยิ สจั จ ๔ โดยเหตุ – ผล – โลกียะ – โลกตุ ตระ – โดยวฏั สงสาร ดังน้ี ทุกขสัจจะ ๑ สมทุ ยสัจจะ ๒ นิโรธสัจจะ ๓ มรรคสจั จะ ๔ เปน ผล เปน เหตุ เปน ผล เปน เหตุ เปนโลกียธรรม เปนโลกยี ธรรม เปน โลกตุ ตรธรรม เปนโลกตุ ตรธรรม เปน โลกียสจั จะ เปนโลกียสจั จะ เปนโลกตุ ตรสจั จะ เปนโลกตุ ตรสจั จะ ชื่อวา ปวัตตสิ จั จะ ชอื่ วา ปวตั ตเิ หตสุ ัจจะ ช่อื วา นวิ ตั ตสิ ัจจะ ชื่อวา นวิ ตั ตเิ หตสุ ัจจะ เปน สจั จะทมี่ คี วาม เปน สจั จะที่เปน เหตใุ ห เปน สจั จะที่ถอยออก เปน สจั จะทเ่ี ปน เหตใุ หถ งึ ความ เปน อยใู นวฏั ฏสงสาร ทุกขสจั จะเกิดขึ้น จากวฏั ฏทุกข ถอยออกจากวฏั ฏทกุ ข เปน ไปอยใู นวฏั ฏสงสาร สรุปปริจเฉทที่ ๗ ท่เี รยี กวา สมจุ จยสังคหะ ทพ่ี ระอนุรทุ ธาจารยแ สดงการรวบรวมจิต เจตสกิ รูป นิพพาน ทีเ่ รยี กวา วัตถุธรรม ๗๒ ประการ วตั ถุธรรม หมายความวา ธรรมที่มสี ภาวลักษณะ มีองคธ รรมปรมตั ถของตนโดยเฉพาะ สามารถ ปรากฏแกปญญาได มี ๗๒ ประเภท คือ จติ ทัง้ หมด นับเปนหนึ่ง เจตสกิ ๕๒ ( แตละประเภททม่ี ีลักษณะ ของตน ๆ โดยเฉพาะ) นปิ ผันนรูป ๑๘ นพิ พาน ๑ รวมเปน ๗๒ ในปริจเฉทท่ี ๗ น้นั มธี รรม ๔ หมวดใหญๆ คอื ๑) อกุศลสงั คหะ ๒) มิสสกสงั คหะ ๓) โพธิปก ขิยสงั คหะ ๔) สพั พสังคหะ ในธรรม ๔ หมวดใหญๆ นนั้ ก็มีธรรมหมวดเลก็ ของแตล ะหมวดเปนของตนโดยเฉพาะๆ ดงั น้ี คอื ๑) อกศุ ลสังคหะ มีธรรมอยู ๙ หมวด ๕๕ ประเภท ๒) มสิ สกสังคหะ มธี รรมอยู ๗ หมวด ๖๔ ประเภท ๓) โพธปิ ก ขิยสังคหะ มธี รรมอยู ๗ หมวด ๓๗ ประเภท ๔) สัพพสังคหะ มีธรรมอยู ๕ หมวด ๓๙ ประเภท จบ ปริจเฉท ๗ คนเหลา ใด ทัง้ เดก็ ผูใ หญ ท้งั พาลทง้ั บณั ฑติ ท้งั ม่ังมที ั้งขดั สน ลวนมคี วามตายเปนเบอื้ งหนา ภาชนะดิน ชางหมอ ทําทั้งเลก็ ทั้งใหญ ทั้งสกุ ทั้งดบิ ทกุ ชนดิ มคี วามแตกเปน ท่ีสุด ฉันใด ชวี ิตของสัตวทงั้ หลาย ก็ ฉนั นั้น......................................( ฑ.ี มหา 108/290 ) พระศาสดาไดต รัสคาถาประพนั ธต อไปอกี วา วัยของเราแกห งอ มแลว ชีวิตของเราเปน ของนอย เราจกั ละพวกเธอไป เราทาํ ที่พ่ึงแกต นแลว.......................พระอาจารย ทวี เกตุธมโฺ ม .......วดั ราชสิทธาราม คณะ 5
๘๖ คํากรวดนํ้าแบบยอ อิทํ โน ญาตนี ํ โหตุ สุขติ า โหนตฺ ุ ญาตโย. ขา พเจาขอตั้งจติ อทุ ศิ ผล บญุ กศุ ลนีแ้ ผไปใหไพศาล ถึงบดิ ามารดาครอู าจารย ท้งั ลูกหลานญาตมิ ติ รสนทิ กนั คนเคยรว มกิจการงานท้งั หลาย ขอใหไดใ นกศุ ลผลของฉนั ทง้ั เจา กรรมนายเวรและเทวญั ขอใหทา นโมทนาทั่วหนา เทอญ สพฺเพ สตฺตา คําแผเมตตา อเวรา สัตวทั้งหลายทเ่ี ปนเพอื่ นทกุ ข อพฺยาปชฌฺ า เกิดแกเ จบ็ ตาย ดว ยกนั ทง้ั หมดทงั้ ส้ิน อนฆี า จงเปนสุข ๆ เถิด อยา ไดม ีเวรแกกนั และกนั เลย สขุ ี อตตฺ านํ ปรหิ รนตฺ ุ จงเปน สขุ ๆ เถิด อยาไดเบยี ดเบียนซงึ่ กนั และกนั เลย จงเปนสขุ ๆ เถิด อยา ไดม คี วามทุกขกาย ทุกขใ จเลย จงมคี วามสุขกาย สขุ ใจ รักษาตนใหพ น จากทกุ ขภ ยั ทัง้ สนิ้ เถิด คาํ อธิษฐาน ขา พเจา ขอต้งั สัจจะอธิษฐาน ขออานุภาพ แหงบญุ กศุ ล ท่ไี ดศ กึ ษาเลา เรียนแลวในวนั น้ี จงเปนพลวปจ จัย เปนนิสัยตามสง ใหเ กดิ ปญ ญาญาณ ทั้งชาติน้แี ละชาตหิ นาตลอดชาติอยา งยิง่ จนถึงความพน ทกุ ข คือ พระนิพพาน เทอญ. กราบลาครอู าจารย พรอมกนั ครูอปุ ชฌา อาจรยิ ะคณุ ัง อะหังวนั ทามิ ขา พเจา กราบวนั ทา ครูอุปชฌา อาจารย ผูมพี ระคุณ โดยความเคารพ กราบ ๓ ครง้ั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113