Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือ จูฬอาภิธรรมิกโท [ ปกิณณก.สมุจยสังคหะ ]

คู่มือ จูฬอาภิธรรมิกโท [ ปกิณณก.สมุจยสังคหะ ]

Published by WATKAO, 2021-01-17 05:08:14

Description: ชั้น จูฬอาภิธรรมิกโท [ ปกิณณก.สมุจยสังคหะ ] อ.พระครูสมุห์ทวี เกตุธมฺโม

Search

Read the Text Version

๔๑ ๕. กายทวารกิ จิต ๔๖ มโี ผฏฐัพพารมณ ทเี่ ปนปจ จบุ ันอยา งเดียว ๖. มโนทวารกิ จิต ๖๗/๙๙ ภ ตี น ท ป กา สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ มีอารมณ ๖ ทเ่ี ปน ป. อดีต.อนา. และกาลวมิ ตุ ติ ตามสมควรแกอ ารมณ ภนทมช ช ช ชช ช ช ตต ภภ ๑ ๒๙ - ๒๖/๕๘ ๑๑ ๗. ทวารวิมตุ ตจติ ๑๙ ท่ีเกดิ ขน้ึ ทาํ หนา ท่ี ปฏิสนธิ ภวังค จตุ ิ ทงั้ ๑๙ ดวงน้ัน มีอารมณหนงึ่ อารมณใดใน บรรดาอารมณ ๖ ทีเ่ รยี กวา กรรม กรรมนมิ ติ คตนิ มิ ิต ซ่ึงเปน ปจจบุ นั อดีตและ บัญญัติ ที่ ฉทวาริกมรณาสนั นชวนะรบั เอามาจากภพกอ นเมื่อใกลจะตายเปนสว นมาก อารมณ ๖ เหลา น้ี แบง ออกเปน ๒ อยา ง คอื ๑. สามัญญอารมณ อารมณชนิดสามัญธรรมดาทว่ั ๆ ไป ไมมอี ะไรเปนพเิ ศษ ๒. อธบิ ดอี ารมณ อารมณชนดิ พเิ ศษ ท่ีมอี าํ นาจครอบครองจติ และเจตสกิ และเหนยี่ วจิต เจตสกิ ใหเขา มาหาตน อารมณ ๖ เหลานี้ แบงออกเปน ๒ พวก คือ ๑. เตกาลกิ อารมณ ไดแ กอ ารมณท ่เี กี่ยวเนอื่ งดว ยกาลทงั้ ๓ คือ ปจจบุ ัน อดตี อนาคต ไดแก จิต เจตสกิ รูป ๒. กาลวิมุตตอารมณ ไดแก อารมณท ่ีไมเกยี่ วเนือ่ งดว ยกาลทั้ง ๓ ไดแ ก นิพพาน บัญญตั ิ (เพราะธรรม ๒ พวกนี้ เปน อสงั ขตธรรม ไมไดถูกปรุงแตงดว ยปจ จยั ๔) ฉะนั้น การเกดิ ขึ้นของธรรม ๒ พวกนี้จึงไมม ี เม่ือไมม กี ารเกิดข้ึนแลว กก็ ลาวไมไ ดว า นพิ พาน หรอื บญั ญตั ิ เหลา นี้ เปน ปจจุบนั อดีต อนาคต ฉะนน้ั จึงเรยี กวา กาลวิมุตตอารมณ

๔๒ ภพเกา ภพใหม ปฏิ. ภ. จุ ในภพเกา มีอารมณเ ดียวกัน ปฏิ ภ .. ฯลฯ .. ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช จุ ปฏิ ภ ภ .. ฯลฯ .. ภ จุ มรณาสันน.ชวน ในภพเกา กบั ปฏิ. ภ. จุ ในภพใหม มีอารมณเดียวกัน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช จุ ปฏิ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ .. ฯลฯ .. ภ มีกรรมนมิ ิต หรือคตินมิ ิตอารมณเ ดยี วกนั มกี รรมนิมิต หรือคตนิ มิ ิตอารมณเดียวกันกบั เปน ปจ จุบนั อารมณ มรณาสันน.ชวน ในภพเกา, ปฏิ.ในภพใหมแ ละ ภ.๖ ดวงแรก แตอารมณน นั้ เปนปจ จบุ ันไมได ภวังคจติ ท่ีเกิดตออยา งมาก ๖ ดวง ทม่ี ีอารมณเปน ปจ จบุ นั ภพเกา ภพใหม ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ต ต ภ จุ ปฏิ .. ฯลฯ .. ภ มีอารมณทเ่ี ปน ปจจบุ ันนปิ ผันนรูป มีกรรมนมิ ิต หรือคตนิ มิ ติ อารมณเ ดยี วกัน ทเี่ รียกวา กรรมนิมิต หรือคตินมิ ิต กบั มรณาสันน.ชวน ในภพกอนที่เปนอดีต นปิ ผันนรปู อารมณ ดับลงพรอมกับจตุ ิจิต และปฏ.ิ ภ. จุ. ในภพใหมกม็ ีอารมณเ ปน อดีต ช ช ช ช ช จุ ..ปฏิ. ดวยชวี ิตนวกกลาปและจุติดวย ปฏิ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ชีวิตนวกลาปเม่ืออายุ ๕๐๐ มหากัปป ¾เมอ่ื ตายจากอสญั ญสัตตพรหมแลว มาเกดิ ในกามภมู ิ เปน มนุษยห รอื เทวดา ปฏ.ิ ภ. จุ ยอมมอี ารมณที่ เปน กรรมอารมณ กรรมนิมติ อารมณ คตนิ ิมติ อารมณ อยา งใดอยา งหนง่ึ ท่ไี ดรบั มาจากอปราปริยกรรม ( คอื กรรมท่ตี นเคยทํามาแลว ในภพกอ นๆ นบั ตั้งแตภ พท่ี ๓ เปนตน ไปตามสมควร )

๔๓ อารมณ ๖ เหลา นี้เมอ่ื จาํ แนกโดยประเภทใหญแลวมี ๔ ประเภท คือ ๑. กามอารมณ ไดแก อารมณ ๖ (องคธรรม คือ กามาวจรจติ ๕๔ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘) ๒. มหคั คตอารมณ ไดแ ก ธรรมารมณ ๑ (องคธรรม คือ มหัคคตจติ ๒๗ เจตสิก ๓๕) ๓. โลกุตตรอารมณ ไดแก ธรรมารมณ ๑ (องคธรรม คือ โลกตุ ตรจิต ๘ เจตสกิ ๓๖ นพิ พาน ๑) ๔. บญั ญัตอิ ารมณ ไดแก ธรรมารมณ ๑ (องคธ รรม คือ อัตถบัญญัติ สัททบัญญตั ิ ) คาถาแสดงจิตที่รับอารมณแ นน อน ๔ ประเภท และไมแ นนอน ๓ ประเภท ๑. ปฺจวสี ปรติ ตฺ มหฺ ิ ฉ จิตตฺ านิ มหคคฺ เต เอกวีสติ โวหาเร อฏ นพิ ฺพานโคจเร ฯ ๒. วีสานุตตฺ รมุตตฺ มฺหิ อคคฺ มคคฺ ผลชุ ฌฺ ิเต ปฺจ สพฺพตถฺ ฉจเฺ จติ สตฺตธา ตตถฺ สงฺคโห ฯ ๑. จิต ๒๕ ดวง คือ ทวปิ ญ จวญิ ญาณจติ ๑๐ มโนธาตุ ๓ สันตีรณจิต ๓ มหาวปิ ากจิต ๘ หสิตปุ ปาทจติ ๑ เกิดไดในอารมณ ๖ ที่เปน กามธรรมอยางเดียว จิต ๖ ดวง คอื วญิ ญาณญั จายตนฌานจติ ๓ เนวสญั ญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ เกดิ ไดในธรรมารมณท เี่ ปนมหคั คตะอยางเดยี ว จติ ๒๑ ดวง คอื รูปาวจรจติ ๑๕ (เวน อภญิ ญาจติ ๒) อากาสานญั จายตนฌานจิต ๓ อากญิ จัญญายตนฌานจิต ๓ เกดิ ไดใ นธรรมารมณท่เี ปน บัญญัตอิ ยางเดยี ว จิต ๘ ดวง คือ โลกตุ ตรจติ ๘ เกิดไดในธรรมารมณท ่ีเปนนิพพานอยางเดยี ว ๒. จติ ๒๐ ดวง คอื อกศุ ลจิต ๑๒ มหากศุ ลญาณวปิ ปยตุ ตจิต ๔ มหากรยิ าญาณวิปปยตุ ตจิต ๔ เกดิ ไดใ นอารมณ ๖ ทีเ่ ปนกามะ มหคั คตะ บญั ญัติ (เวน โลกตุ ตรธรรม ๙) จิต ๕ ดวง คอื มหากุศลญาณสัมปยตุ ตจติ ๔ กศุ ลอภญิ ญาจติ ๑ เกิดไดใ นอารมณท ัง้ ๖ ทเี่ ปน กามะ มหคั คตะ โลกตุ ตระ บัญญัติ ( เวน อรหัตตมรรค อรหตั ตผล ) จิต ๖ ดวง คือ มหากริยาญาณสมั ปยุตตจิต ๔ กรยิ าอภิญญาจิต ๑ มโนทวาราวชั ชนจติ ๑ เกิดไดใ นอารมณทัง้ ๖ ทเ่ี ปน กามะ มหคั คตะ โลกุตตระ บญั ญัติ โดยไมม เี หลือ ในอารัมมณสงั คหะน้ี มกี ารสงเคราะหจติ ๗ นัย โดยประเภทแหง เอกนั ตะ ๔ อเนกนั ตะ ๓ ดงั ท่กี ลา วมาแลว ดว ยประการฉะน้ี

๔๔ จาํ แนกจิต ๖๐ หรือ ๙๒ ดวง ท่ีรบั อารมณแนน อน โดยอารมณ ๖ และ กาล ๓ ตามลําดบั ปจฺ วีส ปริตตฺ มฺหิ คอื จิต ๒๕ ดวง เกดิ ไดใ นอารมณ ๖ ท่ีเปนกามธรรมอยางเดยี ว ๑. จักขุวญิ ญาณจติ ๒ มี รูปารมณ ท่ีเปน ปจ จบุ นั อยา งเดยี ว ๒. โสตวญิ ญาณจติ ๒ มี สทั ทารมณ ที่เปน ปจจบุ นั อยา งเดยี ว ๓. ฆานวิญญาณจติ ๒ มี คันธารมณ ที่เปน ปจ จุบนั อยา งเดยี ว ๔. ชิวหาวิญญาณจติ ๒ มี รสารมณ ท่เี ปน ปจ จบุ นั อยา งเดยี ว ๕. กายวิญญาณจติ ๒ มี โผฏฐพั พารมณ ทีเ่ ปน ปจจบุ นั อยางเดยี ว ๖. มโนธาตุ ๓ (สัมปฏจิ ฉนจติ ๒ ปญจทวาราวัชชนจติ ๑) มี ปญ จารมณ (อา. ๕) ทเ่ี ปน ปจจบุ นั อยา งเดียว ๗. สนั ตีรณจิต ๓ มหาวปิ ากจิต ๘ หสิตปุ ปาทจติ ๑ รวม ๑๒ ดวงน้ี มี อารมณ ๖ ท่ีเปน ปจจุบนั อดตี อนาคต ฉ จติ ฺตานิ มหคคฺ เต คอื จติ ๖ ดวงเกิดไดใ นธรรมารมณทีเ่ ปน มหัคคตะ อยา งเดยี ว ๘. วิญญาณัญจายตนกศุ ลจิต ๑ วปิ ากจติ ๑ มี มหคั คตธรรมารมณ คือ อากาสานญั จายตนกุศล ที่เปน อดีตอยา งเดยี ว ๙. วิญญาณัญจายตนกริยาจิต ๑ มี มหคั คตธรรมารมณ คือ อากาสานัญจายตนกุศลและกรยิ า ท่เี ปน อดตี อยา งเดียว ๑๐. เนวสัญญานาสญั ญายตนกุศลจิต ๑ วปิ ากจติ ๑ มี มหัคคตธรรมารมณ คือ อากิญจัญญายตนกุศล ทเี่ ปน อดตี อยา งเดียว ๑๑. เนวสัญญานาสัญญายตนกรยิ าจติ ๑ มี มหคั คตธรรมารมณ คอื อากญิ จญั ญายตนกศุ ล และกรยิ า ท่เี ปน อดตี อยา งเดยี ว เอกวสี ติ โวหาเร จติ ๒๑ ดวง น้ี เกดิ ไดใ นธรรมารมณทเี่ ปน บญั ญัตอิ ยางเดยี ว ๑๒. รูปาวจรปฐมฌานจิต ๓ มี บัญญัตธิ รรมารมณ คอื กสิณบัญญัติ ๑๐ อสภุ บญั ญัติ ๑๐ โกฏฐาสบญั ญัติ ๑ อานาปานบัญญัติ ๑ ปย มนาปสตั วบญั ญัติ ๑ ทกุ ขติ สัตวบญั ญัติ ๑ สขุ ติ สตั วบญั ญตั ิ ๑ ทเ่ี ปน กาลวมิ ตุ ตอ ยา งเดยี ว ๑๓.รูปาวจรทุติยฌานจติ ๓ ตตยิ ฌานจติ ๓ จตตุ ถฌานจติ ๓ รวม ๙ ดวงนี้ มี บัญญตั ธิ รรมารมณ คอื สิณบัญญัติ ๑๐ อานาปานบัญญตั ิ ๑ ปยมนาปสัตวบญั ญัติ ๑ ทุกขิตสัตวบญั ญัติ ๑ สขุ ติ สัตวบญั ญตั ิ ๑ ที่เปน กาลวิมตุ ตอยางเดยี ว ๑๔. รูปวจรปญ จมฌานจติ ๓ (เวน อภญิ ญา) มี บัญญัติธรรมารมณ คอื กสิณบัญญัติ ๑๐ อานาปานบญั ญัติ ๑ มัชฌัตตสตั วบญั ญตั ิ ๑ ท่เี ปน กาลวมิ ุตตอยางเดยี ว ๑๕.อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ มี บัญญัตธิ รรมารมณ คือ กสณิ คุ ฆาฏิมากาสบัญญตั ิ ท่ีเปน กาลวมิ ตุ ตอยางเดยี ว ๑๖. อากญิ จัญญายตนฌานจิต ๓ มี บัญญตั ิธรรมารมณ คือ นตั ถภิ าวบญั ญตั ิ ทเ่ี ปนกาล วมิ ตุ ตอยา งเดยี ว อฏ นิพฺพานโคจเร จติ ๘ ดวงนี้ เกิดไดในธรรมารมณที่เปนนพิ พานอยา งเดยี ว ๑๗.โลกุตตรจิต ๘/๔๐ มี ธรรมารมณ คอื นพิ พาน ทเี่ ปน กาลวิมุตตอยา งเดียว (หมายถงึ สอุปาทเิ สสนิพพาน)

๔๕ จาํ แนกจิต ๓๑ ดวง ท่รี บั อารมณไมแนน อนโดยอารมณ ๖ และ กาล ๓ วสี านุตตฺ รมุตตฺ มหฺ ิ จติ ๒๐ ดวงนี้ เกดิ ไดใ นอารมณ ๖ ทีเ่ ปน กามะ มหคั คตะ บัญญตั ิ (เวน โลกุตตร. ๙) ๑. อกุศลจติ ๑๒ มหากุศลญาณวิปปยตุ ตจติ ๔ มหากริยาญาณวปิ ปยตุ ตจิต ๔ รวม ๒๐ ดวงนี้ มี อารมณ ๖ คอื รปู ารมณ สทั ทารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ และ ธรรมารมณ ไดแก โลกยี จิต ๘๑ เจตสกิ ๕๒ ปสาทรปู ๕ สขุ ุมรูป ๑๖ บัญญัติ ทเี่ ปน ปจ จบุ ัน อดีต อนาคต และกาลวมิ ตุ ต อคคฺ มคคฺ ผลชุ ฌฺ เิ ต ปฺจ จติ ๕ ดวงนี้ เกิดไดใ นอารมณท ี่เปนกามะ มหัคคตะ โลกตุ ตระ บัญญัติ (เวน ๒) ๒. มหากุศลญาณสมั ปยตุ ตจติ ๔ กศุ ลอภญิ ญาจติ ๑ รวม ๕ ดวงนี้ มอี ารมณ ๖ คือ รูปารมณ สทั ทารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ และ ธรรมารมณ ไดแ ก จติ ๘๗ (เวนอรหตั ตมรรค อรหัตตผล) เจตสิก ๕๒ ปสาทรูป ๕ สขุ ุมรูป ๑๖ บญั ญตั ิ นพิ พาน ทเี่ ปน ปจจุบนั อดีต อนาคต และกาลวมิ ตุ ต สพพฺ ตถฺ ฉ จ จิต ๖ ดวงนเี้ กิดไดในอารมณ ๖ ที่เปน กามะ มหัคคตะ โลกตุ ตระ บัญญัติ ทัง้ หมดโดยไมม ีเหลือ ๓. มโนทวาราวัชชนจิต ๑ มหากรยิ าญาณสัมปยุตตจติ ๔ กริยาอภญิ ญาจติ ๑ รวม ๖ ดวงนี้ มีอารมณ ๖ คือ รปู ารมณ สทั ทารมณ คนั ธารมณ รสารมณ โผฏฐพั พารมณ และ ธรรมารมณ ไดแ ก จติ ๘๙ เจตสิก ๕๒ ปสาทรูป ๕ สขุ ุมรูป ๑๕ บัญญัติ ที่เปนปจ จุบัน อดตี อนาคต และ กาลวิมุตต ท้งั หมดโดยไมม ีเหลือ แสดงจติ ทร่ี ับอารมณแ นน อน ๔ ประเภท คอื ๑. จติ ท่ีรบั กามธรรม เปนอารมณแ นนอน มี ๒๕ ดวง คือ ทวปิ ญ จ ๑๐ มโนธาตุ ๓ สันตีรณจติ ๓ หสติ ุปปาทจติ ๑ มหาวปิ ากจติ ๘ ๒. จติ ทีร่ บั มหัคคตธรรม เปนอารมณแ นนอน มี ๖ ดวง คือ วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ เนวสญั ญานาสญั ญายตนฌานจติ ๓ ๓. จติ ทรี่ บั บญั ญตั ธิ รรม เปนอารมณแ นน อน มี ๒๑ ดวง คือ รปู าวจรจิต ๑๕ ( เวน อภญิ ญาจติ ๒ ) อากาสานญั จายตนฌานจติ ๓ อากญิ จญั ญายตนฌานจิต ๓ ๔. จติ ที่รบั โลกตุ ตรธรรม เปนอารมณแ นน อน มี ๘ ดวง คือ โลกตุ ตรจิต ๘ แสดงจติ ทร่ี บั อารมณไ มแ นน อน ๓ ประเภท คือ ๑. จิตทร่ี ับ กามะ-มหคั คตะ-บญั ญัติ เปนอารมณได มี ๒๐ ดวง คือ อกศุ ลจติ ๑๒ มหากุศลญาณวิปปยุตตจติ ๔ มหากรยิ าญาณวิปปยตุ ตจิต ๔ ๒. จิตทร่ี บั กามะ-มหัคคตะ-โลกตุ ตระ-บัญญัติ (เวน อรหัตตมรรค-ผล) เปนอารมณได มี ๕ ดวง คือ มหากศุ ลญาณสัมปยตุ ตจติ ๔ กุศลอภญิ ญาจิต ๑ ๓. จิตทรี่ ับ กามะ-มหัคคตะ-โลกตุ ตระ-บญั ญตั ิ เปนอารมณไ ด มี ๖ ดวง คือ มโนทวาราวชั ชนจิต ๑ มหากรยิ าญาณสัมปยุตตจิต ๔ กรยิ าอภญิ ญาจิต ๑

๔๖ จําแนกอารมณเปน คูไ ด ๓ ประเภท คอื ๑. รปู อารมณ กบั นามอารมณ รปู อารมณ ไดแ ก รูป ๒๘ นามอารมณ ไดแ ก จติ ๘๙ เจตสิก ๕๒ นพิ พาน ๒. ปรมตั ถอารมณ กับ บญั ญัตอิ ารมณ ปรมัตถอารมณ ไดแ ก จติ เจตสิก รูป นิพพาน บญั ญัติอารมณ ไดแ ก อตั ถบัญญตั ิ และ สทั ทบัญญัติ ไดแก บัญญัตทิ ุกอยา งน้ไี มม ีสภาวะปรมัตถ ๓. อัชฌตั ตารมณ กบั พหิทธารมณ อชั ฌัตตารมณ ไดแก จิต เจตสกิ รูป ทมี่ ีอยใู นตวั เราเปนอารมณภายใน พหิทธารมณ ไดแ ก จิต เจตสกิ รูป ทีอ่ ยูนอกตวั เรา และบญั ญัติ นิพพาน เปน อารมณภ ายนอก สรปุ จติ ทร่ี บั อารมณแนน อน มี ๕ หมวด คือ จติ ๑๓+๑๒+๒๑+๖+๘ รวม ๖๐ ดวง จติ ทร่ี บั อารมณไ มแ นน อน มี ๓ หมวด คอื จิต ๒๐+๕+๖ รวม ๓๑ ดวง รวมทัง้ ๒ นัย มี ๙๑ ดวง อภญิ ญา คือ ปญ ญาที่รยู ิง่ มที ง้ั โลกียแ ละโลกตุ ตระ รวม ๗ อยาง คือ ๑. อิทธิวญิ ญาณ คือ การแสดงฤทธต์ิ า ง ๆ ๒. ทิพยจกั ษุญาณ คอื ตาทิพย หมายถึงจุตูปปาตญาณ คอื รูจ ตุ แิ ละปฏิสนธิของสัตวท้งั หลาย จตุ ปู ปาตญาณ ยังแยกเปน 2 คือ ๒.๑ ยถากมั มปู คญาณ คอื รวู า สตั วมสี ุขมที ุกขเ พราะทาํ กรรมอะไรมา ๒.๒ อนาคตงั สญาณ คอื รูวาอนาคตของสตั วจ ะเปน ไปอยางไร ๓. ทิพโสต คือ หทู พิ ย ๔. ปรจิตตวิชานน คอื รูวาระจติ ของผอู ื่น หรือ เจโตปรยิ ญาณก็ได ๕. ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ คือ รรู ะลกึ ชาตแิ ตป างกอน ๖. วิปส สนาญาณ คือ เห็นนามรปู เปน ไตรลกั ษณ ๗. อาสวักขยญาณ คือ รวู ากเิ ลสส้นิ แลว อภญิ ญาโลกียท ีอ่ าศัยรูปปญ จมฌานเปน บาทมี ๕ อยาง คอื ขอท่ี ๑ ถึง ขอที่ ๕ อภิญญา ขอท่ี ๑ ถงึ ขอ ท่ี ๖ เปน โลกยี ธรรม ขอที่ ๗ เปนโลกตุ ตรธรรม

๔๗ กสณิ คุ ฆาฏมิ ากาส คอื บญั ญัตทิ ่เี กดิ จากกสณิ ท้งั ๙ เปน อารมณ ( กสณิ ุคฆาฏิมากาส คอื อากาศที่วางเปลา ) อากาสา. วิญญา. อากญิ . เนวา. กศุ ล ภพนแ้ี ละภพกอนเปนอารมณ ภพนี้และภพกอนเปน อารมณ วิปาก ภพกอ นเปนอารมณ ภพกอ นเปน อารมณ กริ ยิ า น้ี ภพนี้และภพกอนเปน อารมณ นี้ ภพนี้และภพกอนเปนอารมณ น้ีกอ น นีก้ อ น พระอเสขบคุ คล พระอเสขบคุ คล บัญญตั ทิ ่เี กดิ จากกสิณท้งั ๙ แยกเปน ๓ คือ นัตถิภาวบญั ญตั ิ คอื ความไมม ีอะไรๆ ของ ๑. ภตู กสิณ ๔ ไดแ ก ดนิ น้าํ ไฟ ลม อากาสานญั จายตนกศุ ล หรือกิริยาเปนอารมณ ๒. วัณณกสณิ ๔ ไดแ ก สเี ขยี ว สขี าว สแี ดง สีเหลือง ๓. อาโลกกสิณ ๑ ไดแ ก แสงสวา ง ( เวน อากาศกสิณ ) พระอรหันตมอี ยดู ว ยกันหลายประเภทแตเ มือ่ วาโดยประเภทใหญ ๆ แลว มอี ยู ๒ ประเภท คือ ๑. พระอรหันต ทส่ี ําเร็จเปนพระอรหันตดว ย ปญญาวมิ ุตต หมายถึง พระอรหันตท่บี รรลมุ รรคผล ดวยการ ปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนาภาวนาลวน ๆ โดยไมไ ดป ฏบิ ัตสิ มถภาวนา คอื ไมไดท ําฌานมากอ นเลยและเมอ่ื วิปสสนาญาณ ดาํ เนนิ ไปจนมรรคผลเกดิ ข้ึนจงึ ไมมีอารมั มณปนชิ ฌาน คือ การเขาเพง องคฌ านเกดิ ขนึ้ ดว ย และพระอรหันตผู ไมไ ดฌานน้ี เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา สุกขวิปส สกพระอรหนั ต (พระอรหนั ตผ ูเห่ยี วแหงดวยฌาน) ๒. พระอรหนั ต ท่สี าํ เรจ็ เปน พระอรหันตดว ย เจโตวมิ ุตต หมายถงึ พระอรหนั ตทีบ่ รรลุมรรคผลโดยมีเรอ่ื ง สมถภาวนา คอื การไดฌ านเขามาเก่ยี วของ และฌานที่เขา มาเก่ยี วขอ งนนั้ มอี ยดู ว ยกัน ๒ อยางคอื ๑. ปฏิปทาสิทธฌิ าน คือ การไดฌานจากการปฏบิ ตั สิ มถภาวนากอ น ตอจากนน้ั จงึ มาเจรญิ วิปส สนามรรคผลเกิดข้ึน แลว ไดบรรลุเปนพระอรหนั ต ๒. มัคคสิทธิฌาน คอื การไดฌ านดวยอํานาจแหง มรรค กลาวคือ ทานไมไดปฏบิ ัติสมถภาวนาจนได กอน แตเมือ่ ทานไดเ จรญิ วปิ สสนาไปตามลําดบั จนบรรลุเปนพระอรหนั ตด ว ยอํานาจแหง บญุ ญาธกิ ารทเี่ คยส่งั สมไวในปางกอ น หลงั จากบรรลมุ รรคผลแลว ทา นกไ็ ดบ รรลุฌานดวย เพราะฉะนนั้ ฌานทไ่ี ดม านน้ั มาดวยอํานาจแหง มรรค และฌานที่ไดมาดวยอํานาจแหงมรรคนนั้ อาจจะไดอ ภญิ ญาดวยกไ็ ด เชน พระอานนท เมอ่ื บรรลุเปนพระอรหันตแ ลว ก็ไดอภญิ ญาดวย การละอกุศลธรรมมีความแตกตาง ๓ ประการ คอื ๑. ราคะมโี ทษนอยคลายชา ละดวยอสุภนมิ ติ ๒. โทสะมีโทษมากคลายเรว็ ละดวยเมตตา ๓. โมหะมโี ทษมากคลายชา ละดวยโยนิโสมนสกิ าร อง. ตกิ . ๒๐/๒๕๗-๒๖๐

๔๘ อารัมมณสงั คหะ จําแนกจิต ๖๐/๙๒ ท่ีรับอารมณแ นนอน โดยอารมณ ๖ และกาล ๓ จําแนกจิต ๑๒๑ โดย อารมณ ๖ ๑ ปจฺ วสี ปรติ ฺตมฺหิ กามะ มหัคคตะ ๕๕๕๕ บัญญตั ิ ๕๕๕๕ จิต ๒๕ ดวงทเ่ี กดิ ไดใ น อารมณ ๖ ๕๕ ทเี่ ปน กามธรรม อยา งเดียว (เวน โลกุตตร ๙) ๕๕ ๒ ฉ จติ ตฺ านิ มหคฺคเต กามธรรม ๑๑๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑๑๑๑ จติ ๖ ดวงท่ีเกดิ ไดใน ธรรมารมณ ๑๗๑ ทเ่ี ปน มหัคคต อยา งเดยี ว กามะ มหคั คตะ ๖ ๖๕๕ ๓ เอกวสี ติ โวหาเร โลกุตตระ บัญญตั ิ ๖ ๖๕๕ (เวน อ.มรรค อ.ผล) จติ ๒๑ ดวงที่เกดิ ไดใ น ธรรมารมณ ๑๑๑๑ ที่เปน บัญญัติ อยางเดยี ว กามะ มหคั คตะ ๑๑๑๑ โลกุตตระ บัญญัติ ๔ อฏ นพิ ฺพานโคจเร ๗๗๕๕ บญั ญตั ิ ๗๗๕๕ จิต ๘ ดวงทเี่ กดิ ไดใ น ธรรมารมณ ๓๓๓๓๓ ๖ ท่ีเปน นิพพาน อยา งเดยี ว นิพพาน ๓๓๓๓๓ ๓๓๓๓๓๗ จาํ แนกจติ ๓๑ ทีร่ ับอารมณไ มแ นนอน โดยอารมณ ๖ และกาล ๓ ๓๒๓๒ ๓๒๓๒ ๕ วสี านุตตฺ รมตุ ตฺ มหฺ ิ ๓๒๓๒ จิต ๒๐ ดวงท่เี กดิ ไดใ น อารมณ ๖ ๔ มหคั คตะ ทเ่ี ปน กามะ มหัคคตะ บญั ญตั ิ ๔ ( เวน โลกตุ ตร ๙ ) ๔ ๖ อคฺคมคคฺ ผลุชฌฺ เิ ต ปจฺ ๔ จิต ๕ ดวงที่เกดิ ไดใน อารมณท ง้ั ๖ ทเ่ี ปน กามะ มหคั คตะ โลกุตตระ บญั ญัติ ๔ ( เวน อรหตั ตมรรค อรหัตตผล ) ๔ ๔ ๗ สพพฺ ตถฺ ฉ จ ๔ จิต ๖ ดวงทีเ่ กดิ ไดใน อารมณท ัง้ ๖ ท่ีเปน กามะ มหคั คตะ โลกุตตระ บัญญตั ิ โดยไมมีเหลอื

๔๙ แสดงอารมณโ ดยพสิ ดาร และการจาํ แนกจิตเจตสิกท่รี บั อารมณโ ดยแนน อน และไมแ นน อน อารมณโดยพสิ ดาร ๒๑ - องคธ รรม จิตที่รับอารมณ เจตสกิ ท่รี ับอารมณ ๑. กาม. อา. ๕๔, ๕๒, ๒๘ แนนอน ไมแ นนอน รวม แนนอน ไมแ นน อน ๒. มหคั คตอา. ๒๗, ๓๕ ๓. นิพพานอา. นพิ พาน ๒๕ - ๑๓, ๑๒ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๕๖ ไมม ี ๕๐(อปั .๒) ๔. นามอา. ๘๙, ๕๒, นพิ พาน ๖ - ๓, ๓ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๓๗ ไมม ี ๔๗(ว.ิ ๓-อปั .๒) ๕. รูปอา. รูป ๒๘ ๘ -๘ ๑๑ - ๑๙ ไมม ี ๓๖(อกุ.๑๔-อัป.๒) ๖. ปจจุบนั อา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๕,๖ ๕๗ ๗. อดีตอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๕๖ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๘. อนาคตอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๑๔ - ๖, ๘ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๕๖ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๙. กาลวมิ ตุ อา. นพิ พาน, บัญญัติ ๑๓ -๑๐, ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๔๙ ๑๐. บัญญัติอา. อัตถ, สัทท ๔๓ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๑๑. ปรมัตถอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ . ๑๓ -๑๐, ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๕๘/๖๐ ไมมี ๔๗(วิ.๓-อัป.๒) ๑๒. อชั ฌตั ตอา. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๖ - ๓, ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๑๓. พหทิ ธอา. ๘๙,๕๒,๒๘ ไมม ี ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ๕๐/๕๒ อัป.๒ ๕๐(อัป.๒) ๒๙ - ๒๑, ๘ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๗๐ นิพพาน, บัญญัติ ๖๒ อัป.๒ ๔๗(วิ.๓-อัป.๒) ๑๔. อชั . พหิท. ๘๙, ๕๒, ๒๘ ๒๑ - ๑๕, ๖ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๘๐/๘๒ วิ.๓ ๔๗(ว.ิ ๓-อัป.๒) ๑๕. ปญ จารมณ. วสิ ยรูป ๗ ๓๙ - ๒๕,๖, ๘ ๓๑ - ๒๐,๕,๖ ๑๖. รปู ารมณ สตี า ง ๆ ๕๖ ไมมี ๔๙(อสิ .๑-อปั .๒) ๑๗. สัททารมณ เสยี งตาง ๆ ๖ - ๓, ๓ ๕๖ - ๒๕,๒๐,๕,๖ ๔๖ อิส.๑, ๔๙(อิส.๑-อัป.๒) ๑๘. คันธารมณ กลนิ่ ตา ง ๆ ๒๖ - ๑๕, อากา. ๕๖ - ๒๕,๒๐,๕,๖ ๔๘ อปั .๒ ๑๙. รสารมณ รสตา ง ๆ ๔๘ ไมม ี ๔๙(อสิ .๑-อัป.๒) ๒๐. โผฏฐพั พารมณ เยน็ รอนฯ ๓,๘ ๕๖ - ๒๕,๒๐,๕,๖ ๔๘ ๒๑. ธมั มารมณ ๘๙, ๕๒, ๕, ๑๖ ไมม ี ๔๘ ไมม ี ๕๐(อปั .๒) ๔๘ ไมมี ๕๐(อปั .๒) นพิ พพาน, บัญญัติ ๓ - มโนธาตุ ๓ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ ไมม ี ๕๐(อัป.๒) ๒ - จักขวุ ญิ .๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ๗๖/๗๘ ไมมี ๕๐(อปั .๒) ๒ - โสตวิญ.๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ไมมี ๕๐(อัป.๒) ๒ - ฆานวญิ .๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ไมม ี ๕๐(อปั .๒) ๒ - ชิวหาวิญ.๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ ๒ - กายวญิ .๒ ๔๖ - ๓,๑๒,๒๐,๕,๖ อปั .๒ ๕๐(อปั .๒) ๓๕ - ๒๑,๖,๘ ๔๓ - ๑๒,๒๐,๕,๖ จบ อารมั มณสงั คหะ

๕๐ จําแนกเจตสิก ๕๒ อารมณโดยพิสดาร ๒๑ จาํ แนกจิต ๑๒๑ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๒๐ ๑๗ ๒๐ ๒๐ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๕๖ ๒๐ ๒๐ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑๕๖ ๖ ๒๐ ๕ หก ๖ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ หา หา ๒๐ ๒๐ จิต หา หา ๒๐ ๒๐ ๑๘ ๑๘ ๑๘ ๒๑ ๒๑ ๑ จติ ท่ีรบั อารมณไ ด อยา งเดยี ว ๖๖๖๖ ๒ จิตที่รับอารมณได สองอยาง ๔ ๔ ๒๑ ๒๑ ๖๖๖๖ ๕ จิตทีร่ บั อารมณไ ด หา อยาง หก หก ๒๐ ๒๐ ๑๒ จิตทรี่ บั อารมณไ ด สิบสองอยาง ๒๑ ๒๑ ๒๑ หก หก ๒๐ ๒๐ ๑๔ จติ ท่ีรบั อารมณได สบิ สอ่ี ยาง ๒๑ ๒๑ ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ หา ๒๕ จิตทร่ี บั อารมณได ยี่สิบหาอยาง ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ ๒๕ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๒ หก เจตสกิ ๑๑๑๑ ๒๐ คอื อารมณ ๒๑ เวน นิพพาน ๑๑๑๑ ๑๘ คือ อารมณ ๒๑ เวน มหคั คตอารมณ อดีตอารมณ ๑๒๑๒ บญั ญตั ิอารมณ ๑๑๑๑๑ หก จิตที่รบั อารมณ หก คือ ๑๗ คอื อารมณ ๒๑ เวน นิพพาน อัชฌตั ตอารมณ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ ๘๙ ๕๒ ๒๘ นิพ. บัญ พหทิ ธอารมณ อชั ฌตั ตพหิทธอารมณ ๑๑๑๑๑ หา จติ ทรี่ ับอารมณ หก คอื ๔ คอื กาลวมิ ุตต บญั ญตั ิอารมณ พหทิ ธอารมณ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ ๘๗ ๕๒ ๒๘ นิพ. บัญ ธรรมารมณ ๑๑๑๑๑ ๑๑๑๑๑ ๒๐ จติ ที่รบั อารมณ หก คอื ๘๑ ๕๒ ๒๘ บัญ ๖ จติ ทรี่ บั อารมณ หก คือ ๕๔ ๕๒ ๒๘

๕๑ มาติกาที่ ๖ วตั ถุสังคหะ วัตถุสงั คหะ หมายถึง การสงเคราะหจ ิต เจตสกิ โดยประเภทแหง วตั ถุ ชื่อวา วตั ถุสังคหะ มี ๖ คือ ๑.) จักขุวตั ถุ ไดแก จักขุปสาท ๒.) โสตวตั ถุ ไดแก โสตปสาท ๓.) ฆานวตั ถุ ไดแ ก ฆานปสาท ๔.) ชวิ หาวัตถุ ไดแ ก ชวิ หาปสาท ๕.) กายวัตถุ ไดแ ก กายปสาท ๖.) หทยั วัตถุ ไดแก หทัยรูป คําวา วัตถุ แปลวา เปนทีอ่ าศัยเกดิ ของจติ และเจตสกิ หรอื ธรรมทีเ่ ปน ทอี่ าศัยเกดิ ของจิต และเจตสิก สงั คหะ แปลวา การสงเคราะห หรอื รวบรวม เมอ่ื รวม 2 ศพั ทนี้แลว เรียกวา วัตถุสงั คหะ แสดงวจนตั ถะของคําวา วตั ถุ มีดงั น้ี คือ วสนตฺ ิ ปติฏ หนตฺ ิ จิตตฺ เจตสิกา เอตฺถาติ = วตฺถุ แปลเปนใจความวา จติ เจตสกิ ท้งั หลาย ยอมอาศยั อยูในธรรมใด ฉะนนั้ ธรรมที่เปนท่ีอาศัยของจิต และ เจตสิกเหลา นนั้ ฉะน้ัน ธรรมเหลานน้ั จงึ ช่อื วา วตั ถุ อธบิ ายวตั ถุ ธรรมทเี่ ปนท่ีอาศยั มอี ยู ๒ ประการ คอื ๑. อวญิ ญาณกวัตถุ คอื ธรรมทเ่ี ปน ทอ่ี าศยั เกิดของส่งิ ทไี่ มม ชี วี ิตทัง้ หลาย เชน ตน ไม ภูเขา แมนํ้าเหลานี้ เปนตน ๒. สวญิ ญาณกวตั ถุ คอื ธรรมท่เี ปน ที่อาศยั เกิดของสง่ิ ท่ีมีชีวิตทั้งหลาย เชน มนุษย สัตวดิรจั ฉาน เปน ตน สรปุ ธรรมทเี่ ปน ท่ีอาศัยแสดงเปน ๒ นยั คอื นยั ที่ ๑.) วัตถรุ ูป ๖ อปุ มาเหมอื นกับพืน้ แผน ดิน ซึง่ เปน ทอ่ี าศยั เกดิ ของสงิ่ มีชีวิต และไมม ีชวี ิต นัยที่ ๒.) จิต และ เจตสกิ อปุ มาเหมือนกบั อวญิ ญาณกวัตถุ คอื วัตถทุ ไ่ี มม ีชวี ิต และ สวญิ ญาณกวัตถุ คอื สิ่งทีม่ ีชวี ติ ทง้ั หลาย สรุปความแลว จึงกลา วไดว า จติ เจตสกิ ทงั้ หลายอยใู นวัตถรุ ูปทงั้ ๖ แตข อ หาน้ี หาใชเ ปนไปตามปรมัตถ นยั ไม ( คอื นยั ตามสภาวธรรมที่เปน จริง ) กลาวโดยโวหารเทา นน้ั เหมอื นกับทกี่ ลา ววา ตนไมต า งๆ อยูในพชื หรอื เสยี งระฆังอยใู นระฆัง ซึง่ ความเปน จรงิ นั้นตนไมก ็ไมไดอยใู นพืช เสยี งระฆงั กไ็ มไดอยใู นระฆัง แลว แต เหตปุ จ จยั ถาเหตุปจ จยั เกดิ ขนึ้ ครบแลว ตน ไมกเ็ กิดจากพืชได เสยี งระฆังกเ็ กดิ จากระฆังได จิตเจตสกิ ท่เี กดิ ขึ้น โดยอาศยั วัตถรุ ูป ๖ ก็เชน เดยี วกัน ถามีเหตปุ จ จยั ครบแลว จิต เจตสกิ ก็เกดิ จากวัตถรุ ปู ได ถาเหตปุ จจัยไมค รบ จติ และเจตสิกกเ็ กิดจากวตั ถุรูป ๖ ไมไ ด

๕๒ ธรรมที่เปนเหตเุ ปนปจจยั ใหจิตเจตสกิ เกิดข้ึนจากวตั ถุรปู ๖ ไดน ั้นมเี หตุที่เปน หลกั สําคญั อยู ๓ อยา งคือ ๑. อดีตกรรม คือ กรรมที่ทํามาแลว ในชาตปิ างกอน หรือ ในชาตนิ ที้ สี่ าํ คัญ ๒. วตั ถุ คอื วตั ถรุ ูป ๖ มีจกั ขวุ ตั ถุ เปนตน ท่ีเกดิ จากกรรม ๓. อารมณ คอื อารมณ ๖ มีรูปารมณ สทั ทารมณ ธรรมารมณ ฯลฯ เม่ือครบเหตปุ จ จยั ทั้ง ๓ อยา งนแ้ี ลว จิตและเจตสกิ กเ็ กดิ จากวตั ถุรปู ๖ ได การแสดงเหตปุ จ จัยแหง การ เกดิ ข้ึนของจติ เจตสกิ ทเี่ กยี่ วดว ยวตั ถรุ ูป ๖ กม็ งุ หมายเอาเฉพาะแตใ นปญ จโวการภูมเิ ทานั้น (คือ ภมู ทิ ี่มขี นั ธ ๕ คอื ภูมทิ ่มี ที ง้ั รปู และนาม) สําหรบั ในจตโุ วการภมู นิ ้นั เหตุปจ จยั ท่ที าํ ใหจ ติ เจตสกิ เกดิ ข้นึ นนั้ ยอ มมเี พยี ง 2 อยา ง คือ ๑. อดีตกรรม ๒. อารมณ เพราะวา จตโุ วการภูมิ (คอื ภูมทิ ม่ี ีขันธ ๔ หรือภูมทิ ีม่ นี ามขันธอ ยา งเดยี วไมม ีรปู ) เปน ภมู ิท่ปี ฏิเสธรูป ฉะนน้ั วัตถุรปู จึงไมม ีใน จตโุ วการภมู ิ คาถาแสดงการจาํ แนกภูมิ ๓๐ โดยวัตถรุ ปู ๖ และวิญญาณธาตุ ๗ ๑. ฉวตฺถุ นิสฺสติ า กาเม สตฺต รเู ป จตพุ พฺ ธิ า ติวตถฺ ุ นสิ สฺ ติ ารูเป ธาเตวฺ กานิสฺสติ า มตา ฯ นักศกึ ษาท้งั หลายพึงทราบ วิญญาณธาตุ ๗ ทีอ่ าศัยวตั ถรุ ปู ๖ เกิดในกามภูมิ ๑๑ พึงทราบ วญิ ญาณธาตุ ๔ คอื จักขุวญิ ญาณธาตุ โสตวญิ ญาณธาตุ มโนธาตุ มโนวญิ ญาณธาตุ ท่อี าศัย วตั ถุรปู ๓ คอื จักขุวตั ถุ โสตวัตถุ หทัยวตั ถุ เกดิ ในรปู ภูมิ ๑๕ (เวนอสญั ญสัตตภมู )ิ พงึ ทราบ มโนวญิ ญาณธาตุ ท่ไี มไ ดอาศัยวตั ถุรูป เกิดในอรูปภูมิ ๔ จาํ แนกวญิ ญาณธาตุ ๗ โดยจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ๑. จกั ขุวญิ ญาณธาตุ องคธ รรมไดแก จกั ขุวิญญาณจติ ๒ ๒. โสตวญิ ญาณธาตุ องคธรรมไดแก โสตวิญญาณจติ ๒ ๓. ฆานวิญญาณธาตุ องคธ รรมไดแก ฆานวิญญาณจติ ๒ ๔. ชิวหาวิญญาณธาตุ องคธ รรมไดแ ก ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ๕. กายวิญญาณธาตุ องคธ รรมไดแ ก กายวญิ ญาณจติ ๒ ๖. มโนธาตุ องคธรรมไดแก สัมปฏจิ ฉนจิต ๒ ปญ จทวาราวชั ชนจิต ๑ ๗. มโนวญิ ญาณธาตุ องคธรรมไดแ ก จิต ๗๖ หรือ ๑๐๘ (เวน ทวิ.๑๐ มโนธาตุ ๓)

๕๓ คาถาแสดงการจาํ แนกจิตท่ีอาศัย และไมอาศยั วัตถุเกดิ โดยแนน อน และไมแ นนอน ๒. เตจตตฺ าลีส นสิ ฺสาย เทวฺ จตตฺ าลสี ชายเร นิสสฺ าย จ อนสิ สฺ าย ปาการปุ ปฺ า อนิสฺสติ า ฯ จติ ๔๓ ดวง คอื ปญจวิญญาณธาตุ ๑๐ มโนธาตุ ๓ มโนวิญญาณธาตุ ๓๐ ไดแ ก โทสมูลจิต ๒ สนั ตีรณจติ ๓ หสติ ปุ ปาทจติ ๑ มหาวิปากจติ ๘ รปู าวจรจติ ๑๕ โสดาปต ติมรรคจติ ๑ เหลาน้ี เกิดขน้ึ โดยอาศยั วตั ถุรูปแนน อน จติ ๔๒ ดวง คอื โลภมลู จติ ๘ โมหมลู จิต ๒ มโนทวาราวชั ชนจิต ๑ มหากุศลจิต ๘ มหากรยิ าจติ ๘ อรูปาวจรกศุ ลจิต ๔ อรูปาวจรกรยิ าจติ ๔ โลกตุ ตรจติ ๗ (เวน โสดาปต ติมรรค) เหลานี้ เกิดขน้ึ โดยอาศยั วัตถรุ ูปไมแนน อน อรปู วิบาก ๔ ยอ มเกดิ ขน้ึ โดยไมไ ดอ าศยั วตั ถุรูปเลย แสดงการจาํ แนกจติ ทอี่ าศยั วัตถรุ ปู เกดิ โดยแนน อนและไมแ นนอนโดยวัตถรุ ปู ๖ จิตทอ่ี าศยั วตั ถุรปู เกิด เต จตฺตาลสี นิสฺสาย ชายเร เทวฺ จตฺตาลสี นสิ ฺสาย จ อนสิ ฺสาย ชายเร (แนน อน ๔๓) (ไมแนน อน ๔๒) ๑. จิตที่อาศยั จักขวุ ัตถุเกิด ๒-จกั ขุวิญญาณจิต 2 ไมม ี............. ๒. จิตทีอ่ าศยั โสตวัตถเุ กิด ๒-โสตวิญญาณจติ 2 ไมม.ี ............ ๓. จิตท่ีอาศยั ฆานวัตถเุ กิด ๒-ฆานวญิ ญาณจติ 2 ไมม ี............. ๔. จติ ทอ่ี าศยั ชิวหาวัตถุเกดิ ๒-ชิวหาวญิ ญาณ 2 ไมม .ี ............ ๕. จติ ท่อี าศยั กายวัตถุเกดิ ๒-กายวิญญาณจติ ไมมี............. ๖. จิตทอี่ าศยั หทยวัตถเุ กิด ๓๓-โท.๒ มโนธาตุ ๓ ตทา.๑๑ ๔๒-โลภ.๘ โมห.๒ มโน.๑ มหากุ.๘ มหากิ.๘ อรูปกุ.๔ อรูปก.ิ ๔ โลกตุ .๗(๑) หส.ิ ๑ รูปา. ๑๕, โสดาม. ๑ อรูปวปิ ากจติ ๔ ไมไดอาศยั วัตถุรปู เกิดโดยแนนอน “ ปาการปุ ปฺ า อนิสฺสิตา ชายเร ” จิตทไี่ มไ ดอ าศยั วัตถรุ ปู โดยแนนอนมี ๔ คือ อรูปวปิ าก ๔ เพราะอรปู วิปาก ๔ ดวงน้ี เกดิ เฉพาะ แตใ นอรปู ภูมิ ซ่ึงเปน ภมู ิทไี่ มม รี ูป ฉะนน้ั จติ ๔ ดวงนี้ จงึ ไมไดอาศยั วตั ถุรปู เกดิ แนน อน แสดงการจาํ แนก เจตสกิ ๕๒ โดยวตั ถรุ ปู ๖ จติ ที่อาศัยวตั ถุรูปเกดิ แนนอน ไมแนน อน ๑. เจตสิกที่อาศัยจักขวุ ตั ถุเกิด ไมมี............. ๗-สัพพจติ ตสาธารณเจ. ๗ ๒. เจตสิกท่ีอาศยั โสตวัตถเุ กดิ ไมม .ี ............ ๗-สัพพจิตตสาธารณเจ. ๗ ๓. เจตสกิ ท่อี าศัยฆานวตั ถุเกิด ไมม .ี ............ ๗-สพั พจิตตสาธารณเจ. ๗ ๔. เจตสกิ ทอ่ี าศยั ชวิ หาวตั ถเุ กดิ ไมม ี............. ๗-สัพพจติ ตสาธารณเจ. ๗ ๕. เจตสกิ ทอ่ี าศยั กายวตั ถุเกิด ไมม ี............. ๗-สัพพจิตตสาธารณเจ. ๗ ๖. เจตสิกทีอ่ าศัยหทยวัตถเุ กิด ๖-โทจตกุ เจ.๔, อปั .เจ. ๒ ๔๖-เจ. ๔๖ (เวน โท.๔ อัป.๒) จบ ปริจเฉท ๓

๕๔ วตั ถุสังคหะ จําแนกเจตสิก ๕๒ โดยวตั ถุ ๖ จาํ แนกจติ ๑๒๑ โดย วตั ถุ ๖ ๒๒ ๒ ๒ ๒๒๒๒๒๒๒ ๒๒ ๒ ๒ ๒๒๒๒๒๒ ๑๑ ๒๒๒๒ ๒๒๒ ๒๒ ๑๑๑๑ ๑๑ ๑ ๑ ๑ ๑๑ ๑๑๑๑๑๑๑๑ ๒๒ ๑ ๒๑ ๒ ๒๒๒๒ จติ ๒๒๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒ ๑ จติ ๔๓ ดวง อาศยั วัตถเุ กิดแนนอน ๒๒๒ ๒๒ ๒๒ ๑๑๑๑ - เกิดในปญ จโวการภูมเิ ทานั้น ๑๑ ๑๑๑๑ ๒ จิต ๔๒ ดวง อาศัยวตั ถุเกิดไมแนนอน ๒ ๒๒ ๒๒๒๒ - ถาเกดิ ในปญจโวการภมู ิ ๒๒ ๒๒๒๒ ก็อาศยั หทยวัตถเุ กิด - ถาเกิดในจตุโวการภมู ิ ๒๒ ๑๑๑๑๑ ก็ไมไ ดอ าศัยหทยวัตถุเกดิ ๑๑๑๑๑ ๒๒ ๑๑๑๑๑ เจตสกิ ๒๒๒๒ ๑ เจตสกิ ๖ ดวง อาศัยวตั ถุรูป ( หทยวัตถุ ) 22 22 เกดิ โดยแนน อน - โทจตกุ ๔ เกิดในกามภมู ิ เทา นั้น ๒๒๒๒ - อัปปมญั ญา ๒ เกดิ ในปญ จโวการภมู ิ เทาน้ัน ๑๑๑๑๑ 2 จติ ๔ ดวง ไมอาศยั วัตถุเกิด ๒ เจตสิก ๔๖ ดวง ( เวน โทจตุก ๔, อัปปมญั ญา ๒ ) ๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒๒ จิตที่นอกจาก ทวิปญจวิญญาณจิต ๑๐ อาศัยวัตถุรูป เกิดโดยไมแ นนอน ๒๒๒๒๒ และอรูปาวจรวิปากจิต ๔ - ถา เกดิ ในปญจโวการภูมิ ก็อาศัยวัตถรุ ูปเกดิ ๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒๒ อาศัย หทยวัตถเุ กิด - ถา เกิดในจตโุ วการภูมิ กไ็ มไ ดอาศัยวัตถุรูปเกดิ ๒๒๒๒๒ ๒๒๒๒๒

๕๕ จาํ แนกวิญญาณธาตุ ๗ ทเี่ กดิ ในกามภูมิ ๑๑ จําแนกวญิ ญาณธาตุ ๔ ท่ีเกิดในรปู ภูมิ ๑๕ จาํ แนกวิญญาณธาตุ ๑ ท่เี กิดในอรปู ภูมิ ๔ โดย อาศยั วตั ถรุ ูป ๖ โดย อาศัยวตั ถรุ ปู ๓ โดย ไมไดอาศัยวัตถรุ ปู 22 22 222 222 2 22 222 2222 2 22 2222 22222222 เกดิ ใน รูปภูมิ ไมไ ด ๒๐ 22222222 เกดิ ใน อรปู ภมู ิ ไมได ๔๓ 2 22 22 เกิดใน กามภมู ิ ไมได ๙ 2222 222 222222222222 2222 2 “ ฉวตถฺ ุ นสิ ฺสิตา กาเม สตฺต ” “ รเู ป จตุพฺพิธา ติวตถฺ ุ นสิ ฺสิตา ” “ อรเู ป ธาเตฺวกานสิ ฺสิตา ” จติ ทเ่ี กิดในกามภมู ไิ ด มี ๘๐ ดวง ( เวน มหคั .ว.ิ ๙ ) จิตทีเ่ กดิ ในรูปภูมไิ ด มี ๖๙ ดวง จิตที่เกดิ ในอรปู ภมู ไิ ด มี ๔๖ ดวง ๑. จกั ขวุ ญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั จักขวุ ัตถเุ กดิ ๑. จกั ขวุ ญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั จกั ขวุ ตั ถุเกิด - โลภมูลจิต ๘, โมหมูลจิต ๒, มโนทวาราวัชชนจติ ๑ - มหากศุ ลจิต ๘, มหากริ ิยาจติ ๘ ๒. โสตวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวตั ถุเกิด ๒. โสตวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวัตถุเกดิ - อรูปาวจรจิต ๑๒, โลกตุ ตรจิต ๗ ( เวน โสดา. ๑ ) ๓. ฆานวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศัยฆานวตั ถเุ กดิ ๓. มโนธาตุ ๓ อาศยั หทยวตั ถุเกิด จิตที่เกดิ ในอรูปภมู ิไมได มี ๔๓ ดวง ๔. ชิวหาวิญญาณธาตุ ๒ อาศัยชวิ หาวตั ถเุ กิด ๔. มโนวิญญาณธาตุ ๖๒ - ทวปิ ญ จวิญญาณจติ ๑๐, มโนธาตุ ๓ ๕. กายวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั กายวัตถุเกดิ - กามจติ ๓๑ ( ทวิ.๑๐, มโน.๓, โท.๒, มหาวิ.๘ ) - มโนวญิ ญาณธาตุ ๓๐ ๖. มโนธาตุ ๓ อาศัยหทยวัตถุเกิด - รปู า. ๑๕ อรูปากุศล ๔, อรปู ากิริยา ๔ ( โทส. ๒, ตทา.๑๑, หส.ิ ๑, รูปาวจรจติ ๑๕, ๗. มโนวญิ ญาณธาตุ ๖๗ - โลกตุ ตรจิต ๘ โสดาปต ติมัคคจติ ๑ ) - กามจิต ๔๑ ( ทวิ.๑๐, มโน. ๓ ) จติ ที่เกิดในรูปภมู ไิ มไ ด มี ๒๐ ดวง - มหัค. กุ. ๙, มหัค.กิ. ๙, โลก.ุ ๘ - โทส.๒, ฆาน ๒, ชิวหา ๒, กาย ๒ - มหาว.ิ ๘, อรูปาวจรว.ิ ๔ ภมู ิเมอื่ จาํ แนกโดยขันธม ี ๓ คอื มโนวญิ ญาณธาตุ ๗๖ ( ทว.ิ ๑๐, มโนธาตุ ๓ ) ภมู ทิ ่พี ระอริยบคุ คลไปเกิดแลว จะไมกลบั ไปเกดิ ๑. เอกโวการภูมิ - ภมู ทิ ่มี ีขันธ ๑ ( รปู ขันธ ) - อาศยั วัตถุเกิด ๗๒ ในภมู อิ ืน่ ๆ อีกตอไป มีอยู ๓ ภมู ิ คอื ๒. จตุโวการภูมิ - ภมู ิท่มี ีขันธ ๔ ( นามขันธ ) - ไมอ าศยั วัตถุเกิด ๔ ๑) เวหปั ผลาภูมิ ๓. ปญจโวการภมู ิ - ภูมทิ ่ีมีขันธ ๕ ( รปู ๑, นาม ๔ ) ๒) อกนิฏฐาภมู ิ ๓) เนวสัญญานาสญั ญายตนภูมิ พระอรยิ บคุ คลไดไปบงั เกิดในภมู ทิ ้ัง ๓ น้แี ลว เมอ่ื ตายไปจะไมไปเกิดในภูมิอืน่ อกี เลย จะเกดิ ซ้าํ อยูในภมู นิ ้นั จนกวา จะสําเรจ็ เปนพระอรหันตแลว นพิ พานในภมู นิ น้ั เอง

X แสดงการจําแนกวญิ ญาณธาตุ ๗ ที่เกิดในกามภมู ิ ๑๑ โดยอาศยั วัตถุรูป ๖ “ ฉวตฺถุ นิสฺสิตา กาเม สตตฺ ” จิตท่เี กิดในกามภมู ไิ ด มี ๘๐ ดวง ( เวน มหคั .วิปาก ๙ ) ๑. จักขุวิญญาณธาตุ ๒ อาศัยจกั ขวุ ัตถเุ กิด ๒. โสตวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวัตถุเกิด ๓. ฆานวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั ฆานวัตถุเกิด ๔. ชิวหาวิญญาณธาตุ ๒ อาศยั ชิวหาวตั ถุเกดิ ๕. กายวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั กายวตั ถเุ กิด ๖. มโนธาตุ ๓ อาศัยหทยวัตถเุ กิด ๗. มโนวิญญาณธาตุ ๖๗ - กามจิต ๔๑ ( ทวิ.๑๐, มโนธาตุ ๓ ) - มหัคคต. กุศล ๙ - มหคั คต. กริ ิยา ๙ - โลกตุ ตรจิต ๘ 2222 2 เกิดในกามภูมไิ มไ ด ภมู เิ มื่อจําแนกโดยขันธม ี ๓ คือ 22 22 ๑. เอกโวการภมู ิ - ภูมทิ มี่ ีขนั ธ ๑ ( รูปขันธ ) ๒. จตโุ วการภูมิ - ภมู ทิ ม่ี ีขันธ ๔ ( นามขันธ ) ๓. ปญจโวการภูมิ - ภูมิทมี่ ีขันธ ๕ ( รปู ๑, นาม ๔ )

X แสดงการจําแนกวญิ ญาณธาตุ ๔ ทเี่ กิดในรูปภูมิ ๑๕ โดยอาศัยวตั ถรุ ูป ๓ “ รเู ป จตุพพฺ ธิ า ตวิ ตถฺ ุ นสิ สฺ ติ า ” 2 2 เกิดในรูปภูมไิ มได จิตทีเ่ กดิ ในรูปภูมิได มี ๖๙ ดวง 22 2 22 2 ๑. จักขวุ ิญญาณธาตุ ๒ อาศยั จักขวุ ัตถเุ กิด ๒. โสตวญิ ญาณธาตุ ๒ อาศยั โสตวัตถุเกิด ๓. มโนธาตุ ๓ อาศัยหทยวัตถุเกิด ๔. มโนวิญญาณธาตุ ๖๒ - กามจิต ๓๑ ( ทวิ.๑๐, มโน.๓, โท.๒, มหา.วิ.๘ ) - รูปาวจรจติ ๑๕ - อรูปาวจรกุศล ๔, อรปู าวจรกริ ิยา ๔ 22 22 - โลกตุ ตรจิต ๘ 22 22 เกิดในรูปภมู ไิ มได จติ ทเี่ กิดในรูปภูมิไมได มี ๒๐ ดวง . - โทส.๒, ฆาน ๒, ชวิ หา ๒, กาย ๒ - มหาวิปากจิต ๘, อรูปาวจรวิปากจิต ๔ มโนวญิ ญาณธาตุ ๗๖ ( ทว.ิ ๑๐, มโนธาตุ ๓ ) - อาศยั วตั ถุเกดิ ๗๒ - ไมอ าศยั วัตถเุ กิด ๔ 22 22

X แสดงการจําแนกวิญญาณธาตุ ๑ ท่เี กิดในอรูปภูมิ ๔ โดยไมไ ดอาศยั วตั ถุรูป เ ิกดในอรูปภู ิมไ มได 22 “ อรูเป ธาเตฺวกานสิ ฺสิตา ” 22 22 2 22 22 22 2 22 2 จติ ที่เกิดในอรูปภูมไิ ด มี ๔๖ ดวง 22 - โลภมูลจิต ๘, โมหมลู จิต ๒, มโนทวาราวัชชนจติ ๑ - มหากศุ ลจิต ๘, มหากิริยาจิต ๘ 22 22 - อรปู าวจรจติ ๑๒, โลกุตตรจิต ๗ ( เวน โสดา. ๑ ) 22 22 จติ ที่เกดิ ในอรปู ภูมไิ มได มี ๔๓ ดวง - ทวิปญจวิญญาณจติ ๑๐, มโนธาตุ ๓ - มโนวญิ ญาณธาตุ ๓๐ ( โทส. ๒, ตทา.๑๑, หส.ิ ๑, รูปาวจรจิต ๑๕, โสดาปตตมิ คั คจิต ๑ ) 22 22 2 ภูมทิ ี่พระอริยบคุ คลไปเกดิ แลว จะไมก ลับไปเกิด 22 22 2 ในภมู ิอนื่ ๆ อกี ตอไป มอี ยู ๓ ภูมิ คือ 22 22 2 2 ๑) เวหปั ผลาภมู ิ ๒) อกนฏิ ฐาภมู ิ ๓) เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พระอรยิ บคุ คลไดไ ปบงั เกดิ ในภูมทิ ้งั ๓ นแี้ ลว เมอ่ื ตายไปจะไมไปเกดิ ในภูมอิ ืน่ อกี เลย จะเกดิ ซาํ้ อยใู นภมู นิ ั้น จนกวาจะสาํ เรจ็ เปนพระอรหันตแลว นพิ พานในภมู นิ ้นั เอง

๕๖ คาถาสาํ คญั ในจูฬอาภธิ รรมิกะโท ปรจิ เฉทท่ี ๗ สมจุ จยสงั คหะ อนสุ นธิ และ คาํ ปฏญิ ญา ทฺวาสตตฺ ตวิ ธิ า วุตฺตา วตถฺ ุธมมฺ า สลกขฺ ณา เตสํ ทานิ ยถาโยคํ ปวกฺขามิ สมุจจฺ ยํ ฯ วัตถุธรรม คอื ธรรมท่ีมสี ภาพของตนโดยแท ๗๒ ประการนั้น ขาพเจา ไดแสดงไปแลว บดั นี้ จะแสดงสมุจจยสังคหะ คือ สังคหะท่ีรวบรวมธรรมตา งๆ ของวัตถธุ รรม ๗๒ ประการนั้น ตามท่จี ะเขากนั ได คาถาแสดงองคธ รรม ในอกศุ ลสังคหะท้งั ๙ หมวด ๑. อาสโวฆา จ โยคา จ ตโย คนถฺ า จ วตถฺ ุโต อุปาทานา ทเุ ว วตุ ตฺ า อฏ นีวรณา สยิ ุ  ฯ ๒. ฉเฬวานสุ ยา โหนฺติ นว สโํ ยชนา มตา กเิ ลสา ทส วตุ โฺ ตยํ นวธา ปาปสงฺคโห ฯ ๑. อาสวะ โอฆะ โยคะ และคันถะ เหลา น้ี เมื่อวา โดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มอี ยางละ ๓, อปุ าทาน มีองคธ รรมปรมัตถ ๒, นีวรณะ มีองคธรรมปรมตั ถ ๘ ๒. อนุสยั มอี งคธ รรมปรมัตถ ๖, สงั โยชน มอี งคธ รรมปรมตั ถ ๙, กเิ ลส มีองคธรรมปรมัตถ ๑๐ นักศึกษาทง้ั หลายพงึ ทราบ การแสดงอกุศลสังคหะ โดยมี ๙ หมวดดังนี้

๕๘ คาถาแสดงองคธรรมในโพธปิ ก ขิยสังคหะทัง้ ๗ หมวด ๑. ฉนฺโท จติ ฺตมเุ ปกขฺ า จ สทฺธาปสฺสทฺธิปต ิโย สมมฺ าทิฏ ิ จ สงกฺ ปฺโป วายาโม วิรติตตฺ ย  จุทฺทเสเต สภาวโต ๒. สมมฺ าสติ สมาธีติ สตตฺ ธา ตฺตถ สงคฺ โห ฯ สตฺตติสปฺปเภเทน โพธิปก ขิยธรรมเหลาน้ี เม่อื วาโดยองคธ รรมปรมตั ถ มี ๑๔ ดังนี้ คือ ฉนั ทะ จติ ตัตตรมัชฌัตตตา สทั ธา ปสสทั ธิ ( กายปส สัทธิและจติ ตปสสัทธิ ท้งั ๒ น้นั รวม ๑ ) ปต ิ ปญญา วติ ก วีรยิ ะ วิรตเี จตสิก ๓ สติ เอกคั คตา เม่ือวา โดยประเภทมี ๓๗ การสงเคราะหเปนหมวดๆ ในโพธิปก ขยิ ธรรม ๓๗ เหลา น้มี ี ๗ หมวด ดงั นี้ คาถาแสดงการจาํ แนกองคธ รรม ๑๔ โดย ฐานของโพธิปก ขิยธรรม สงกฺ ปปฺ ปสสฺ ทธฺ ิ จ ปต ุเปกฺขา ฉนฺโท จ จิตฺตํ วิรตติ ฺตยจฺ นเวกานา วริ ิยํ นวฏ สตี สมาธี จตุ ปฺจ ปฺา สทฺธา ทุานตุ ตฺ มสตฺตติส- ธมฺมานเมโส ปวโร วภิ าโค ฯ o วติ ก ปสสัทธิ ปต ิ ตัตตรมชั ฌัตตตา ฉันทะ จติ และวิรตเี จตสิก ๓ องคธ รรมทัง้ ๙ น้ี มีฐานอยา งละ ๑ คอื ๑. วิตกเจตสิก เปน สมั มาสังกปั ปมรรค ๒. ปส สทั ธิเจตสกิ เปน ปส สทั ธสิ ัมโพชฌงค ๓. ปต ิเจตสกิ เปน ปตสิ ัมโพชฌงค ๔. ตัตตรมชั ฌัตตตาเจตสิก เปน อเุ บกขาสัมโพชฌงค ๕. ฉนั ทเจตสิก เปน ฉันททิ ธบิ าท ๖. จิต เปน จติ ตทิ ธิบาท ๗. สมั มาวาจาเจตสกิ เปน สัมมาวาจามรรค ๘. สมั มากมั มนั ตเจตสกิ เปน สมั มากมั มนั ตมรรค ๙. สมั มาอาชวี เจตสกิ เปน สัมมาอาชีวมรรค

๖๐ คาถาแสดงการนบั องคธรรมในปญ จขนั ธและอปุ าทานกั ขันธ พรอมทง้ั แสดงเหตุ ที่นพิ พานเปน ขันธวิมุตต ๑. รปู จฺ เวทนา สฺ า เสสเจตสกิ า ตถา วิ ฺาณมิติ ปเฺ จเต ปฺจกฺขนฺธาติ ภาสิตา ฯ ตถา เตภูมกา มตา ๒. ปจฺ ปุ าทานกฺขนฺธาติ ขนธฺ สงคฺ หนิสฺสฏํ ฯ เภทาภาเวน นพิ พฺ านํ ๑. นกั ศึกษาท้งั หลาย พึงแสดงธรรมท้งั ๕ คอื รูป เวทนา สัญญาและเจตสกิ ท่ีเหลือ ๕๐ ดวง วญิ ญาณเหลา นีว้ า ขนั ธ ๕ ๒. นกั ศึกษาทง้ั หลายพึงทราบ รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ทีเ่ กิดในภมู ิทัง้ ๓ วา อุปาทานักขนั ธ ๕ สวนนิพพานพนจากขันธท ัง้ ๕ เพราะไมมีประเภททต่ี างกนั เชน ปจจบุ นั อดีต อนาคต เปน ตน คาถาแสดงความเปนไปแหง อายตนะและธาตุ ที่มปี ระเภท ๑๒ และ ๑๘ ทฺวาราลมฺพนเภเทน ภวนตฺ ายตนานิ จ ทวฺ าราลมฺพตทุปปฺ นนฺ - ปริยาเยน ธาตโุ ย ฯ อายตนะ มีจํานวน ๑๒ เพราะมีประเภทตา งกันแหง ทวาร ๖ และอารมณ ๖ ธาตุ มีจาํ นวน ๑๘ โดยปริยายแหงทวาร ๖ อารมณ ๖ และวิญญาณ ๖ ทเ่ี กดิ ในทวารอารมณนน้ั

คาถาแสดงองคธรรมในมสิ สกะสงั คหะ ทั้ง ๗ หมวด ๕๗ ๑. ฉ เหตู ปจฺ ฌานงฺคา มคคฺ งฺคา นว วตถฺ ุโต โสฬสินฺทฺริยธมมฺ า จ พลธมมฺ า นเวรติ า ฯ ตถาหาราติ สตตฺ ธา ๒. จตตฺ าโรธิปตี วุตตฺ า วุตฺโต มสิ ฺสกสงคฺ โห ฯ กุสลาทสิ มากณิ โฺ ณ ๑. เหตุ เมอ่ื วา โดยองคธ รรมปรมัตถแ ลว มี ๖ ฌานงั คะ เมือ่ วาโดยองคธ รรมปรมัตถแ ลว มี ๕ มคั คังคะ เม่อื วา โดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มี ๙ อินทรีย เมอื่ วาโดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๑๖ พละ เม่อื วา โดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มี ๙ ๒. อธิบดี เมอื่ วา โดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มี ๔ อาหาร เมอื่ วา โดยองคธรรมปรมตั ถแลว มี ๔ เหมอื นกัน นกั ศกึ ษาทง้ั หลายพงึ ทราบ การแสดงมิสสกสงั คหะท่มี ี กศุ ล เปนตน ปะปนกนั โดยมี ๗ หมวด ดังนี้ คาถา อาหาร ๔ โอชฏ มกรูป เย เวทนํ ปฏสิ นฺธิกํ นามรูป อาหรนตฺ ิ ตสมฺ าหาราติ วจุ จฺ เร ฯ ธรรมเหลาใดยอ มนาํ อาหารชสทุ ธัฏฐกกลาป เวทนา ปฏสิ นธิวญิ ญาณ เจตสิก และกมั มชรปู โดยเฉพาะของตนๆ ฉะนัน้ ธรรมเหลา นน้ั จงึ ไดชอ่ื วา อาหาร

o วีรยิ เจตสิก ๑ ดวง มี ๙ ฐาน คอื ๕๙ ๑. เปน สมั มัปปาน ๔ ๒. เปน วรี ิยิทธบิ าท ๑ ๓. เปน วีริยินทรยี  ๑ ๔. เปน วีรยิ พละ ๑ ๕. เปน วีริยสัมโพชฌงค ๑ ๖. เปน สมั มาวายามรรค ๑ o สตเิ จตสกิ ๑ ดวง มี ๘ ฐาน คอื ๑. เปน สตปิ ฏฐาน ๔ ๒. เปน สตินทรยี  ๑ ๓. เปน สติพละ ๑ ๔. เปน สตสิ มั โพชฌงค ๑ ๕. เปน สัมมาสติมรรค ๑ o เอกคั คตาเจตสิก ๑ ดวง มี ๔ ฐาน คอื ๑. เปน สมาธินทรยี  ๑ ๒. เปน สมาธิพละ ๑ ๓. เปน สมาธสิ ัมโพชฌงค ๑ ๔. เปน สมั มาสมาธมิ รรค ๑ o ปญ ญาเจตสิก ๑ ดวง มี ๕ ฐาน คอื ๑. เปน วิมังสิทธิบาท ๑ ๒. เปน ปญญนิ ทรยี  ๑ ๓. เปน ปญญาพละ ๑ ๔. เปน ธมั มวิจยสมั โพชฌงค ๑ ๕. เปน สมั มาทฏิ ฐมิ รรค ๑ o สัทธาเจตสิก ๑ ดวง มี ๒ ฐาน คอื ๑. เปน สทั ธินทรีย ๑ ๒. เปน สทั ธาพละ ๑ การจาํ แนกโพธปิ กขิยธรรม ๓๗ ประการ อันประเสริฐ โดยถูกตอ งมีนัยดังนี้ คาถาแสดงทเ่ี กดิ ของโพธิปก ขิยธรรม ๓๗ สพฺเพ โลกตุ ฺตเร โหนตฺ ิ น วา สงฺกปปฺ ปติโย โลกิเยป ยถาโยคํ ฉพพฺ สิ ุทธฺ ปิ วตฺติยํ ฯ โพธปิ ก ขิยธรรม ๓๗ ทัง้ หมด ยอมเกดิ ข้นึ ไดใ นโลกตุ ตรจติ สมั มาสังกปั ปมรรคและปตสิ มั โพชฌงคท้ัง ๒ นี้ ยอ มไมเกดิ ขึน้ ในโลกตุ ตรจติ บางดวง คอื สัมมาสงั กปั ปะ ยอ มไมเ กดิ ในโลกุตตรทตุ ยิ ฌานจติ ขึ้นไป ปตสิ ัมโพชฌงค ยอ มไมเกดิ ในโลกุตตรจตตุ ถฌาน และปญจมฌาน โพธปิ กขิยธรรม ๓๗ เหลา น้ี เม่อื เวลาสาํ เรจ็ เปน วิสุทธิทั้ง ๖ ( เวน ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ) แลว แมในโลกียกศุ ลและกรยิ าจติ ก็ยอ มเกิดขึ้นตามทจี่ ะประกอบได ( เพราะการปฏิบตั ิใหส ําเรจ็ เปน วิสทุ ธิ ทั้ง ๖ มี ศลี วสิ ุทธิ เปนตน จนถึงปฏปิ ทาญาณทสั สน-วสิ ทุ ธิ เหลาน้ี ใชป ฏิบตั ดิ ว ยโลกียกศุ ล และ กริยาจติ ทั้งสิ้น )

คาถาแสดงการนบั องคธรรมทใ่ี น อรยิ สัจจะ ๔ ๖๑ ทกุ ขฺ ํ เตภมู กํ วฏฏ ํ ตณหฺ า สมุทโย ภเว นิโรโธ นาม นิพพฺ านํ มคโฺ ค โลกตุ ฺตโร มโต ฯ นักศึกษาทง้ั หลายพึงทราบ ชื่อวา ทกุ ขสัจจะ ธรรมที่วนเวียนอยูในภูมทิ ง้ั ๓ ชอ่ื วา สมุทยสัจจะ ตัณหา ช่อื วา นิโรธสัจจะ นิพพาน ช่ือวา มรรคสจั จะ องคมรรค ๘ ทเ่ี กดิ ในโลกตุ ตรมรรค คาถาแสดงธรรมทีเ่ ปน สจั จวมิ ตุ ต มคฺคยุตฺตา ผลา เจว จตสุ จจฺ วินสิ ฺสฏา อิติ ปฺจปเภเทน ปวุตฺโต สพพฺ สงคฺ โห ฯ มรรคจติ ตุปบาท ๒๙ ( เวน องคธ รรม ๘ ) ทีป่ ระกอบกับมรรคจิตกด็ ี ผลจิตตปุ ปาท ๓๗ ก็ดี พน จากสัจจะทัง้ ๔ ช่ือวา สจั จวมิ ตุ ต พระอนุรุทธาจารย แสดงสัพพสงั คหะ โดยแบงออกเปน ๕ ประเภท มีดังกลา วแลวนี้

๖๒ ปรจิ เฉทที่ ๗ สมจุ จยสงั คหะ แสดงถึงการรวบรวมปรมัตถธรรม ๔ คอื จิต(๑) เจตสกิ (๕๒) นปิ ผนั นรปู (๑๘) นพิ พาน(๑) ทเ่ี รียกวา วัตถุธรรม ๗๒ ประการ ใหเปนหมเู ปน พวกกัน ช่ือวา สมจุ จยสังคหะ มี ๔ หมวดใหญ ๆ คือ ๑. อกศุ ลสังคหะ ๙ หมวด ๒. มิสสกสังคหะ ๗ หมวด ๓. โพธปิ ก ขิยสงั คหะ ๗ หมวด ๔. สัพพสงั คหะ ๕ หมวด แผนผงั สมุจจยสงั คหะ อกศุ ลสงั คหะ มสิ สกสงั คหะ โพธปิ กขยิ สงั คหะ สพั พสงั คหะ ๙ หมวด ๗ หมวด ๗ หมวด ๕ หมวด ๑. อาสวะ ๔ ๑. เหตุ ๖ ๑. สตปิ ฏฐาน ๔ ๑. ขันธ ๕ ๒. โอฆะ ๔ ๒. ฌานังคะ ๗ ๒. สมั มัปปธาน ๔ ๒. อปุ าทานกั ขันธ๕ ๓. โยคะ ๔ ๓. มัคคงั คะ ๑๒ ๓. อทิ ธบิ าท ๔ ๓. อายตนะ ๑๒ ๔. คันถะ ๔ ๔. อินทรยี  ๒๒ ๔. อนิ ทรีย ๕ ๔. ธาตุ ๑๘ ๕. อุปาทาน ๔ ๕. พละ ๙ ๕. พละ ๕ ๕. อริยสัจจ ๔ ๖. นวี รณะ ๖ ๖. อธบิ ดี ๔ ๖. โพชฌงค ๗ ๗. อนุสยั ๗ ๗. อาหาร ๔ ๗. มคั คงั คะ ๘ ๘. สังโยชน ๑๒ - ตามนัยพระอภิธรรม ๑๐ - ตามนยั พระสตู ร ๑๐ ๙. กเิ ลส ๑๐ รวมประเภท ๕๕ รวมประเภท ๖๔ รวมประเภท ๓๗ รวมประเภท ๓๙ ( ไมตอ งนับอปุ าทานกั ขันธ โดยเฉพาะ )

๖๓ สมจุ จยสงั คหะ ในปรจิ เฉทที่ ๗ นี้ พระอนรุ ทุ ธาจารยแ สดงการรวบรวม จติ เจตสิก รปู นพิ พาน ท่เี รียกวา วัตถธุ รรม ๗๒ ประการ ตามทจ่ี ดั รวบรวมเขาเปน หมเู ปนพวกกนั ได โดยช่ือวา สมจุ จยสังคหะ แสดง อนสุ นั ธิ และ ปฏิญญา ทฺวาสตตฺ ตวิ ิธา วุตตฺ า วตฺถุธมฺมา สลกขฺ ณา เตสํ ทานิ ยถาโยคํ ปวกฺขามิ สมจุ ฺจยํ วตั ถธุ รรม คือ ธรรมทีม่ ีสภาพของตนโดยแท ๗๒ ประการนั้น ขาพเจา ไดแ สดงไปแลว บัดน้ีจะแสดง สมุจจยสังคหะ คอื สงั คหะท่รี วบรวมธรรมตา งๆ ของวตั ถุธรรม ๗๒ ประการน้นั ตามที่จะเขากนั ได อธิบาย วตั ถุธรรม ๗๒ ประการ คาํ วา วตั ถุธรรม หมายความวา ธรรมท่ีมีองคธ รรมปรมตั ถของตนโดยเฉพาะสามารถปรากฏแกปญ ญาได ฉะนัน้ บรรดาสิง่ ทม่ี ชี ีวติ และไมมีชวี ิตทั้งหลาย ถา นับเอาธรรมทมี่ สี ภาวะลกั ษณะของตนแลว ยอ มมี ๗๒ กลาวคือ ” จติ ทั้งหมดนับเปน ๑ เพราะเม่อื วา โดยสภาวลักษณะแลว ยอมมลี กั ษณะอยา งเดียวกัน คอื มกี ารรู อารมณเปนลกั ษณะ ทีเ่ รยี กวา “อารมมฺ ณวชิ านนลกฺขณา” ดว ยเหตนุ จี้ ติ ท้งั หมดจึงนบั เปน ๑ ” เจตสิก ๕๒ ดวง เมอื่ กลา วโดยพิสดารมี ๓,๔๒๖ ดวง แตถ า นับตามสภาวลักษณะของตน ๆ แลว มี ๕๒ ดวง ” ในจาํ นวนรูปทงั้ หมดนนั้ นบั แตเ ฉพาะนปิ ผนั นรปู ซง่ึ มอี ยหู ลายประเภทดว ยกันคอื กมั มชนิปผนั นรูป ก็มี จติ ตชนปิ ผันนรูปก็มี อตุ ุชนิปผนั นรปู กม็ ี อาหารชนปิ ผันนรปู กม็ ี แตเม่ือกลาวโดยสภาวลักษณะแลว ก็มอี ยู เพียง ๑๘ ฉะนน้ั จึงนับเอานิปผันนรูป ๑๘ และ นพิ พาน ๑ ” สว นอนิปผนั นรปู ๑๐ นน้ั ไมมีสภาวลกั ษณะของตนโดยเฉพาะ เปน การกาํ หนดรูปกลาปตอรปู กลาป และเปน อาการของนปิ ผนั นรูปนนั้ เอง ฉะน้นั จึงไมน ับเอาอนิปผันนรูปท้งั ๑๐ เขาอยูใ นวตั ถธุ รรมใหเปน พิเศษขึ้นไปอกี จงึ คงมวี ัตถธุ รรมเพียง ๗๒ เทา นนั้ ” อน่งึ การแสดงโดยพิสดารของวตั ถธุ รรม ๗๒ ประการเหลา นนั้ พระอนุรทุ ธาจารยไ ดแ สดงมาแลว โดยเฉพาะ ๆ ต้ังแตปรจิ เฉทท่ี ๑ เปนตน จนถึงปริจเฉทที่ ๖ ฉะนั้นในปริจเฉทที่ ๗ น้ี ทา นจะแสดงรวมจติ เจตสิก รปู นพิ พาน ที่เรยี กวา วัตถธุ รรม ๗๒ ประการ ตามท่จี ะจัดรวบรวมเขาเปน หมูเปนพวกกันไดอกี วาระ หนง่ึ โดยชอื่ วา สมจุ จยสงั คหะ

๖๔ ” คาํ วา สมจุ จฺ ย เม่ือตดั บทแลว เปนดังน้ี สํ + อจุ ยฺ = สมจุ ฺจย สํ แปลวา เขา ดว ยกนั หรอื ธรรมท่ีมีสภาพเขากนั ได อจุ ฺย แปลวา รวบรวม เมอื่ รวมเขา ทง้ั ๒ บทแลว แปลวา การรวบรวมเขาดว ยกัน หรือ การรวบรวมธรรมทีม่ สี ภาพเขากนั ได เชน แสดง ธรรมท่ชี ่ือวา อาสวะ พวกหนึง่ เปน ตน จนถึงธรรมท่ีเรียกวา สัจจะ พวกหน่ึงเปนทสี่ ดุ ดงั มวี จนตั ถะแสดงวา “สห อุจจฺ ียนฺเต เอตถฺ าติ = สมจุ จฺ โย” (วา) “สมปฺ ณ ฺเฑตวฺ า อจุ จฺ ียนฺเต เอเตนาติ = สมุจจฺ โย” ปริจเฉทที่ชือ่ วา สมจุ จยะ เพราะเปน ปริจเฉทที่แสดงการรวบรวมปรมัตถธรรมทง้ั ๔ ประการพรอ มกนั (หรอื ) ปริจเฉทที่ช่ือวา สมุจจยะ เพราะเปน เหตแุ หง การแสดงการรวบรวมปรมตั ถธรรมท่มี ีสภาพเขา กันไดใหอยูเ ปน หมวด ๆ ”ในปริจเฉทท่ี ๗ นี้ พระอนุรทุ ธาจารย แสดงการรวบรวมธรรมท่มี สี ภาพเขากันไดทเี่ รียกวา สมุจจยสังคหะ นั้น เปน ๔ หมวด ดว ยกนั คอื (๑) อกศุ ลสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธรรมทเี่ ปนฝายอกศุ ล โดยสว นเดยี วหมวดหน่งึ (๒) มิสสกสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธ รรมทเ่ี ปน กุศล อกุศล อพยากตะ ทงั้ ๓ ปนกัน หมวดหนึง่ (๓) โพธิปกขิยสงั คหะ การแสดงสงเคราะหธรรมทเี่ ปนฝายมรรคญาณ หมวดหนงึ่ (๔) สัพพสงั คหะ การแสดงสงเคราะหจ ิต เจตสิก รปู นพิ พาน ซึ่งเปนวตั ถุธรรมทั้งหมดรวมกนั หมวดหนง่ึ ตอ ไปนี้จะแสดงสมุจจยสังคหะทงั้ ๔ หมวด ไปตามลาํ ดบั ดังน้ี แสดงธรรมในหมวดของอกศุ ลสังคหะทั้ง ๙ หมวด คาถาแสดงองคธ รรมในอกศุ ลสงั คหะทัง้ ๙ หมวด ๑. อาสโวฆา จ โยคา จ ตโย คนฺถา จ วตถฺ โุ ต อปุ าทานา ทเุ ว วุตฺตา อฏฐ นวี รณา สิยุ ๒. ฉเฬวานสุ ยา โหนฺติ นว สโํ ยชนา มตา กิเลสา ทส วุตฺโตยํ นวธา ปาปสงฺคโห. ๑. อาสวะ โอฆะ โยคะ และคนั ถะ เหลา น้ี เมอ่ื วา โดยองคธ รรมปรมตั ถแ ลว มอี ยางละ ๓ อปุ าทาน มอี งคธรรมปรมัตถ ๒ นวี รณะ มอี งคธรรมปรมตั ถ ๘ ๒. อนสุ ัย มอี งคธ รรมปรมัตถ ๖ สังโยชน มีองคธ รรมปรมัตถ ๙ กิเลส มอี งคธรรมปรมัตถ ๑๐ นักศึกษาท้งั หลายพึงทราบ การแสดงอกศุ ลสงั คหะ โดยมี ๙ หมวด ดงั นี้ ดังมีวจนัตถะแสดงวา : เอกนฺตากสุ ลชาติกานํ โอฆจตกุ ฺกาทีนํ สงคฺ โหตตี ิ = อกุสลสงฺคโห หมวดทส่ี งเคราะหส ภาวธรรมตาง ๆ มี โอฆะ ๔ เปน ตน ทเ่ี ปน อกุศลชาติลวน ๆ ฉะนน้ั จงึ ช่ือวา อกศุ ลสงั คหะ

๖๕ ๑. อาสวะ คาํ วา อาสวะ นี้ หมายความวา สิ่งทีถ่ ูกหมกั ดองไวนานๆ ไดแ ก สุรา แตใ นทนี่ ี้ คําวา อาสวะไดแ ก โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ซึง่ มีสภาพเหมือนกับสุรา ฉะนัน้ พระพทุ ธองคจ ึงทรงแสดงโลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทง้ั 3 นีว้ าเปน อาสวะ ดังมวี จนัตถะแสดงวา : อาสวนตฺ ิ จริ ํ ปริวสนฺตีติ = อาสวา สง่ิ ใดถูกหมกั ดองอยูนานๆ สงิ่ นั้นช่ือวา อาสวะ (ไดแก สุรา) อาสวา วิยาติ = อาสวา ธรรมเหลาใดมีสภาพเหมอื นสุรา ฉะน้ัน ธรรมเหลา น้ันชอ่ื วา อาสวะ ( ไดแ ก โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ) ๒. โอฆะ คาํ วา โอฆะ ในทนี่ ี้หมายความวา ธรรมที่เหมือนกบั หว งนา้ํ ไดแก โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ดังมวี จนัตถะแสดงวา : อวตถฺ ริตฺวา หนนฺตตี ิ = โอฆา ธรรมชาตใิ ด ยอ มทว มทบั เบียดเบยี นสตั วทง้ั หลาย ธรรมชาติน้นั ชอ่ื วา โอฆะ (ไดแก หว งนาํ้ ) อวหนนตฺ ิ โอสที าเปนตฺ ตี ิ = โอฆา ธรรมชาตใิ ด ทาํ ใหส ัตวท้ังหลายจมลง ธรรมชาติน้นั ชื่อวา โอฆะ (ไดแก หวงนํ้า) โอฆา วยิ าติ = โอฆา ธรรมชาติใด ทว มทบั เบียดเบยี นสตั วท ้ังหลาย และทําใหสัตวท้ังหลาย จมลง ในวฏั ฏสงสารจนถึงอบายภูมิเหมอื นกบั หว งนาํ้ ฉะนน้ั ธรรมเหลา นัน้ ช่อื วา โอฆะ (ไดแ ก โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ) ๓. โยคะ คําวา โยคะ แปลวา ประกอบ เหมือนกบั กาวทีป่ ระกอบของ ๒ สิง่ ใหติดแนน ไมใ หห ลดุ จาก กันฉันใด โลภะ ทิฏฐิ และโมหะ ก็ฉนั นน้ั หรือ อุปมาอกี นัยหน่ึง เปรยี บเหมือนววั ทีถ่ กู นํามาผูกเทยี มเกวยี นไว เม่ือสัตวน้ันจะเดนิ ไปทางไหนก็ตอ งลากเอาเกวยี นตดิ ไปดวยเสมอฉันใด สตั วท้งั หลายท่ีวนเวยี นอยใู นวฏั ฏทกุ ข หลดุ พนไปไมไ ดเพราะถกู ประกอบดว ย โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ก็ฉนั น้ัน เมอ่ื เปรยี บเทยี บแลว ววั เปรยี บไดก บั สตั ว ทง้ั หลาย เกวยี นเปรียบไดกับกามภพ รูปภพ อรปู ภพ ซง่ึ เปนวฏั ฏทกุ ข เชอื กท่ผี ูกววั ไวใหต ิดกบั เกวยี นเปรียบได กับ โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ ดงั มวี จนตั ถะแสดงวา : วฏฏสมฺ ิ สตเฺ ต โยเชนตฺ ตี ิ = โยคา ธรรมเหลา ใด ประกอบสัตวใ หตดิ อยใู นวฏั ฏทุกข คือภพตา ง ๆ ฉะน้ัน ธรรมเหลา นนั้ ชอ่ื วา โยคะ (ไดแก โลภะ ทฏิ ฐิ โมหะ) ๔. คนั ถะ คาํ วา คันถะ หมายถงึ เครอ่ื งผูกสัตวไ วโดยอาการทเ่ี กีย่ วคลอ งกัน ประดุจโซเหล็กฉันใด โลภะ ทฏิ ฐิ โทสะ ท้งั ๓ นี้ ยอมเกยี่ วคลองสัตวไ วใ นระหวาง จตุ กิ บั ปฏิสนธิ ฯ

๖๖ ความแตกตางระหวางอภิชฌาและพยาบาทท่ีเปนมโนทุจรติ กบั อภิชฌาและพยาบาททเ่ี ปนคันถะ ๑) อภชิ ฌาที่เปน มโนทุจรติ นน้ั เปนโลภะอยา งหยาบ มีสภาพอยากไดท รพั ยส มบัตขิ องผูอนื่ มาเปนของ ๆ ตนโดยไมชอบธรรม ๒) สวนอภิชฌากายคนั ถะนน้ั เปนไดท้ัง โลภะอยา งหยาบและอยางละเอยี ดทั้งหมดทเี่ กย่ี วกับ ความอยากได ความพอใจในทรพั ยส มบัตขิ องผอู ่นื หรือของตนเอง โดยชอบธรรมก็ตาม ไมชอบธรรมก็ตาม จัดเปน อภชิ ฌากายคันถะทงั้ สิน้ ๓) พยาบาทท่เี ปน มโนทจุ ริต ไดแก โทสะอยา งหยาบ ท่ีเกย่ี วกบั ความปองรายผูอ่นื โดยนกึ คดิ ใหเ ขามีความลาํ บากเสยี หายตา ง ๆ หรอื นึกแชง ใหผูทต่ี นไมช อบนั้นใหถึงตาย ๔) สว น พยาปาทกายคนั ถะนนั้ ไดแก โทสะอยางหยาบก็ตาม อยางละเอยี ดกต็ าม คือ ความไมช อบ ไมพ อใจ โกรธ กลวั กลมุ ใจ เสยี ใจ ไปจนถงึ การทาํ ปาณาตบิ าต ผรสุ วาจาเหลานี้ จดั เปน พยาปาทกายคนั ถะทง้ั ส้นิ ๕. อปุ าทาน คาํ วา อปุ าทาน หมายถึง การยดึ ม่นั ในอารมณ ธรรมที่ยดึ มนั่ ในอารมณ ท่ีเรยี กวา อปุ าทาน น้ีเปรียบเสมือนหน่ึง งทู ี่จบั กบได กดั กบนน้ั ไวไ มยอมปลอยฉันใด โลภะ ทฏิ ฐิ ทัง้ ๒ ท่มี ีสภาพยดึ มนั่ ในอารมณของตน ๆ ไมย อมปลอย กฉ็ ันนั้น ดังแสดงวจนตั ถะวา : อปุ าทยี นตฺ ีติ = อุปาทานานิ ธรรมเหลา ใดยอ มยดึ มนั่ ในอารมณ ฉะนั้น ธรรมเหลานน้ั ชอื่ วา อปุ าทาน ๖. นีวรณะ คําวา นวี รณะ นี้ หมายถงึ ธรรมที่เปน เครอื่ งหาม หรอื กน้ั ความดี คือ กศุ ลธรรมตาง ๆ ไมใหเ กดิ และ กุศลบางอยา ง เชน ฌานทีเ่ กดิ อยแู ลว ทําใหเสอ่ื มสิ้นไปได ตามธรรมดาบคุ คลท้ังหลายน้ัน ยอมยนิ ดใี นการบาํ เพ็ญทาน ศลี ภาวนา เปน สว นมาก ท่ีเปน เชนนี้ กเ็ พราะดวยอํานาจแหง นวี รณธรรม อนั ไดแ ก โลภะ โทสะ ถนี ะ มทิ ธะ อุทธจั จะ กกุ กจุ จะ วิจกิ จิ ฉา โมหะ อยางใดอยา งหน่งึ หรอื ๒, ๓, ๔ นน้ั เอง หรอื บางทขี ณะทก่ี าํ ลงั ทาํ กศุ ลอยนู น้ั กเ็ กดิ ความทอ ถอย เบอ่ื หนายไม พอใจเกดิ ข้ึนได ทําใหศรทั ธาสตปิ ญญาถอยเสอ่ื มสน้ิ ไปน้ี กเ็ ปนเพราะอํานาจแหง ถีนมทิ ธนวี รณเกดิ ข้นึ ก้นั ความ ดี คอื ศรทั ธา เปนตนเสีย และหากวากามฉนั ทนีวรณ พยาปาทนวี รณ ชนิดหยาบเกดิ ขนึ้ แกฌ านลาภบี คุ คลแลว ก็ ทําใหฌ านทไ่ี ดอ ยูน น้ั เสื่อมไป ไมสามารถจะเขา ฌานได ดังแสดงวจนัตถะวา : ฌานาทกิ ํ นิวาเรนฺตีติ = นีวรณานิ ธรรมเหลาใด หามความดี มี ฌาน เปนตน ไมใ หเ กิดข้นึ ฉะนน้ั ธรรมเหลา นั้น ชอื่ วา นวี รณ

๖๗ ๗. อนุสัย คาํ วา อนุสยั น้เี ปนกิเลสชนิดหนึ่งทนี่ อนเนอ่ื งอยูในขนั ธสนั ดานของสตั วท ้ังหลายและเปน ธรรมที่เรน ลบั ไมมใี ครสามารถมองเห็นได ยกเวน แตพ ระสัมมาสัมพุทธเจา พระองคเดยี วเทาน้ัน มี ๓ อยา งคอื ๗.๑ อนุสยั กิเลส เปนกิเลสท่ี นอนเนือ่ งอยูในขันธสนั ดานของสัตวทงั้ หลาย ๗.๒ ปริยุฏฐานกิเลส เปนกิเลสที่ เกดิ ขึ้นทางใจ ๗.๓ วีตกิ กมกเิ ลส เปนกิเลสท่ี เกดิ ขึ้นทางกายและทางวาจา ดงั วจนตั ถะวา สนตฺ าเน อนุ อนุ เสนฺตตี ิ = อนสุ ยา ธรรมเหลา ใด ยอมนอนเน่ืองอยูในความสบื ตอแหง รปู นาม ฉะน้นั ธรรมเหลาน้นั ช่อื วา อนุสัย ” การประหาณกเิ ลสทงั้ ๓ โดย ศลี สมาธิ ปญ ญา ๑). ศีลกุศล สามารถประหาณ วีตกิ กมกเิ ลส ได ๒). สมาธกิ ุศล สามารถประหาณ ปริยฏุ ฐานกิเลส ได ๓). ปญ ญากุศล สามารถประหาณ อนสุ ยั กิเลส ได ( ปญญาในอรหตั ตมรรค ) ๘. สังโยชน คาํ วา สังโยชน หมายถึง ธรรมชาตทิ ่ีผกู สตั วท ัง้ หลายไว ไมใ หออกไปจากวัฏฏทกุ ขไ ด เหมือนหนง่ึ เชอื กท่ผี กู โยงสัตว หรือ วตั ถุสิ่งของไวไ มใ หหลุดไป ดงั แสดงวจนัตถะวา สโํ ยเชนฺติ พนธฺ นฺตตี ิ = สํโยชนานิ ธรรมเหลาใดยอมผกู สัตวท้งั หลายไว ฉะนน้ั ธรรมเหลานน้ั ช่อื วา สังโยชน ” การจาํ แนกสงั โยชน ๑๐ ตามสตุ ตนั ตนยั โดย โอรัมภาคิยสังโยชน และ อทุ ธมั ภาคิยสังโยชน - โอรัมภาคยิ สงั โยชน สงั โยชนท่ีเปน ไปในสว นเบอ้ื งตํ่า ไดแ ก กามภูมิ ๑๑ มี ๕ คอื ๑). กามราคสงั โยชน ๒). ปฏิฆสังโยชน ๓). ทฏิ ฐิสังโยชน ๔). สลี ัพพตปรามาสสงั โยชน ๕). วจิ กิ จิ ฉาสงั โยชน - อุทธมั ภาคิยสงั โยชน สังโยชนที่เปนไปในสวนเบื้องสูง ไดแก รูปภูมิ ๑๖ อรปู ภมู ิ ๔ มี ๕ คอื ๑). รปู ราคสังโยชน ๒). อรูปราคสงั โยชน ๓). มานสังโยชน ๔). อทุ ธจั จสังโยชน ๕). อวชิ ชาสังโยชน อนงึ่ การแบงสงั โยชน ๑๐ นั้นในปรมตั ถทีปนีมหาฎกี าแสดงวา : - สงั โยชนท ่ีถูกประหาณดว ยมรรคเบ้อื งต่ํา ๓ ช่อื วา โอรมั ภาคยิ สงั โยชน - สงั โยชนท ี่ถูกประหาณดว ยอรหัตตมรรคนั้น ชือ่ วา อทุ ธัมภาคิยสังโยชน ” การจาํ แนกสังโยชน ๑๐ ตามอภิธรรมนยั โดย โอรมั ภาคิยสงั โยชน และ อุทธัมภาคิยสังโยชน - โอรัมภาคิยสงั โยชน สงั โยชนท ่เี ปน ไปในสวนเบื้องตาํ่ มี ๗ คือ ๑). กามราคสงั โยชน ๒). ปฏฆิ สงั โยชน ๓). ทิฏฐสิ งั โยชน ๔). สีสพั พตปรามาสสังโยชน ๕). วจิ กิ จิ ฉาสงั โยชน ๖). อสิ สาสังโยชน ๗). มจั ฉรยิ สงั โยชน - อทุ ธมั ภาคยิ สงั โยชน สังโยชนที่เปนไปในสวนเบอ้ื งสูง มี ๓ คอื ๑). ภวราคสงั โยชน ๒). มานสังโยชน ๓). อวชิ ชาสงั โยชน โอรัมภาคยิ สงั โยชน ทง้ั ๗ นี้ ถูกประหาณดวย มรรคเบอื้ งต่าํ ๓ อุทธัมภาคยิ สังโยชน ท้ัง ๓ นี้ ถูกประหาณดว ย อรหัตตมรรค

๖๘ ๙. กเิ ลส คําวา กเิ ลส หมายถงึ ธรรมชาติท่เี ปนเครอื่ งทาํ ใหเ ศราหมอง หรอื เรารอ น ฉะนน้ั จิต เจตสกิ รูป ที่เกิดพรอ มกับกเิ ลสเหลา นัน้ จึงมีความเศราหมองเรา รอ นไปดว ย ดงั มีวจนัตถะแสดงวา : กิเลเสนฺติ อุปตาเปนฺตตี ิ = กเิ ลสา ธรรมชาติ ยอมใหเ รา รอ น ฉะน้ัน ช่ือวา กิเลส กลิ ิสฺสติ เอเตหีติ = กเิ ลสา สมั ปยตุ ตธรรม คือ จิต เจตสกิ ยอมเศราหมองดวยธรรมชาตใิ ด ฉะน้นั ธรรมชาตทิ ี่เปนเหตุแหงการเศราหมองของสมั ปยตุ ตธรรมนั้น จึงชอื่ วา กิเลส (ไดแ ก กิเลส ๑๐) แสดงกิเลส ๑๐ โดยพสิ ดาร ๑,๕๐๐ - อารมณท่ีเปนเหตใุ หก เิ ลส ๑๐ เกดิ ขึ้นไดนนั้ มี ๑๕๐ คอื ¾ นามเตปญญาสะ คอื นามธรรม ๕๓ จิต ๑ นิปผันนรูป ๑๘ ลักษณะรปู ๔ รวมเปน ๗๕ เจตสิก ๕๒ ¾ ในอชั ฌัตตสันดาน คอื ภายในตวั เรา มี ๗๕ ¾ ในพหิทธสันดาน คอื ส่งิ มชี วี ิต และ ไมมชี วี ติ ที่อยภู ายนอกตวั เรา มี ๗๕ รวมเปน ๑๕๐ อารมณ ๑๕๐ x กเิ ลส ๑๐ = กิเลส ๑,๕๐๐ สรปุ องคธ รรมปรมัตถของอกศุ ลสังคหะ ๙ หมวด ๕๕ ประเภท ดงั น้ี คอื ๑. อาสวะ๔ องคธ รรม ๓ ๒. โอฆะ ๔ องคธรรม ๓ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ๓. โยคะ ๔ องคธ รรม ๓ ๔. คันถะ ๔ องคธ รรม ๓ โลภะ ทิฏฐิ โทสะ ๕. อุปาทาน ๔ องคธรรม ๒ โลภะ ทิฏฐิ ๖. นีวรณะ ๖ องคธ รรม ๘ โลภะ โทสะ ถีนะ มิทธะ อุทธจั จะ กกุ กจุ จะ วจิ กิ ิจฉา โมหะ ๗. อนุสัย ๗ องคธ รรม ๖ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา โมหะ ๘. สงั โยชน ๑๐ องคธรรม ๙ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ วจิ กิ จิ ฉา อทุ ธัจจะ อสิ สา มจั ฉริยะ โมหะ ๙. กิเลส ๑๐ องคธรรม ๑๐ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทฏิ ฐิ วิจิกจิ ฉา ถนี ะ อุทธัจจะ อหริ กิ ะ อโนตตัปปะ แสดงองคธ รรมอกุศลเจตสิกทั้ง ๑๔ ดวง ตามหลกั สมั ปโยคนัย ดงั น้ี คอื ๑. โลภเจตสิก ๑ ท่ีในโลภมลู จติ ๘ ๘. กกุ กจุ จเจตสกิ ๑ ทใ่ี นโทสมลู จิต ๒ ๒. ทิฏฐเิ จตสกิ ๑ ท่ีในอกุศลจิต ๑๒ ท้ังหมด ๙. วิจกิ ิจฉาเจตสกิ ๑ ท่ใี นวจิ ิกิจฉาสมั ปยุตตจิต ๑ ๓. โมหเจตสิก ๑ ท่ใี นทิฏฐิคตสัมปยตุ ตจติ ๔ ๑๐. มานเจตสกิ ๑ ท่ใี นทฏิ ฐิคตวปิ ปยตุ ตจติ ๔ ๔.โทสเจตสิก ๑ ทใ่ี นโทสมลู จิต ๒ ๑๑. อสิ สาเจตสกิ ๑ ท่ใี นโทสมลู จติ ๒ ๕. ถนี เจตสกิ ๑ ทีใ่ นอกศุ ลสสงั ขาริกจิต ๕ ๑๒. มจั ฉรยิ เจตสกิ ๑ ทใ่ี นโทสมูลจิต ๒ ๖. มิทธเจตสิก ๑ ทใ่ี นอกุศลสสังขารกิ จิต ๕ ๑๓. อหริ กิ เจตสิก ๑ ที่ในอกศุ ลจิต ๑๒ ท้งั หมด ๗. อทุ ธัจจเจตสิก ๑ ท่ใี นอกศุ ลจิต ๑๒ ทง้ั หมด ๑๔. อโนตตปั ปเจตสกิ ๑ ทใี่ นอกุศลจติ ๑๒ ทง้ั หมด จบ อกศุ ลสงั คหะ

อกศุ ลสงั คหะ มีธรรมอยู ๙ หมวด ๖๙ อาสวะ โอฆะ โยคะ สงั โยชน ตามสตุ ตันตนยั องคธ รรมปรมตั ถ มี อยางละ ๓ คือ องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คอื โลภเจตสกิ ทฏิ ฐเิ จตสกิ โมหเจตสิก คันถะ สงั โยชน ตามอภิธรรมนยั องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คอื องคธรรมปรมตั ถ มี .......... คือ นวี รณะ กิเลส องคธรรมปรมตั ถ มี .......... คือ องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คือ อปุ าทาน องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คอื อนุสัย องคธ รรมปรมตั ถ มี .......... คอื

สรุปอกุศลสังคหะ ๙ หมวด ๕๕ อกุศลเจตสิก ๑๔ อกุศลสังคหะ ๙ อาสวะ โอฆะ โ โ โม อหิ อโน อทุ - โมจตกุ เจตสกิ ๔ อกุศลเจตสกิ ๑๔ (๔) (๔) โล ทิฏ มา - โลติกเจตสิก ๓ โ โท อสิ มัจ กุก - โทจตุกเจตสกิ ๔ ๑. โมหะเจตสกิ โมหะ โมหะ ถีน มิท - ถที กุ เจตสิก ๒ ๒. อหิรกิ ะเจตสกิ วิจิ - วิจกิ จิ ฉาเจตสิก ๑ ๓. อโนตตปั ปะเจตสิก - - ๔. อทุ ธัจจะเจตสกิ - - ๕. โลภะเจตสกิ - - ๖. ทิฏฐิเจตสกิ ๗. มานะเจตสิก โลภะ โลภะ ๗๑ ๑ ๓ ๘. โทสะเจตสิก ทิฏฐิ ทิฏฐิ ๙ ๘๓ ๙. อิสสาเจตสกิ - - ๕๑ ๑ ๑ ๑๐. มัจฉรยิ ะเจตสกิ - - ๒๑ ๑๑. กกุ กจุ จะเจตสกิ - - ๔ ๑๒. ถนี ะเจตสิก - - ๑๓. มิทธะเจตสิก - - ๑๔. วิจิกิจฉาเจตสิก - - - - สรปุ องคธ รรม - - ๓ ๓ อาสวะไหลอยูไมรจู บ โอฆะกลบทบั ถมใหจ มดิ่ง โยคะเขา ประกอบเกาะแนน จริง คนั ถะย่ิงเกี่ยวคลอ งใหห มองมัว อปุ าทานกไ็ มเบาเขายดึ ม่นั นีวรณะชะกนั้ ใหป วดหัว อนสุ ัยไหลนอนเนอ่ื งไมร ตู ัว สงั โยชนช่ัวผูกดงึ ตดิ ตรงึ ตรา กเิ ลสนั้นต้ังพนั หา พาเศรา หมอง พกั ตรงามผองเผอื ดไปไมห รรษา อกุศลสังคหะแสดงมา มเี กาหมวดเทา นนั้ หนาอยา ทอใจ

๕ ประเภท พรอมดว ยองคธรรม ๗๐ โยคะ คันถะ อปุ าทาน นวี รณะ อนสุ ยั สงั โยชน กเิ ลส อกศุ ลสังคหะ ๙ หมวด (๔) (๔) (๔) (๖) (๗) (๑๒) (๑๐) ได ไมได โมหะ - - โมหะ โมหะ โมหะ โมหะ - - อหิริกะ ๗๒ - - - - - - อโนตตปั ปะ ๑๘ - - - - อุทธัจจะ ๑๘ - - - อทุ ธัจจะ - อทุ ธัจจะ ๓๖ โลภะ โลภะ โลภะ ๙๐ โลภะ โลภะ โลภะ - โลภะ ทฏิ ฐิ ทฏิ ฐิ ๘๑ ทิฏฐิ ทฏิ ฐิ - ทฏิ ฐิ มานะ มานะ ๓๖ ทฏิ ฐิ โทสะ มานะ โทสะ โทสะ ๕๔ - - - โทสะ อิสสา ๑๘ - โทสะ - - - ๑๘ - - - มัจฉรยิ ะ - ๑๘ - - - กุกกจุ จะ - - - ๒๗ - - - ถนี ะ - - ถนี ะ ๑๘ - - - มิทธะ - - - ๔๕ - - - - วิจกิ ิจฉา - - - วิจกิ จิ ฉา วจิ ิกิจฉา วจิ ิกิจฉา - - ๑๐ ๒ ๘ ๖ ๙ ๓ ๓

๗๑ อธบิ ายในมสิ สกสงั คหะ ๒. มิสสกสงั คหะ หมายความวา การแสดงสงเคราะหธ รรมท่ีเปน กศุ ล อกศุ ล อพยากตทงั้ ๓ ปนกนั หมวดหน่งึ มีอยู ๗ หมวด ๖๔ ประเภท มี ดังนี้ :- หมวดที่ ประเภท องคธรรม ๑. เหตุ ๖ ๖ - โลภเจ. โทสเจ. โมหเจ. อโลภเจ. อโทสเจ. อโมหเจ. (ปญ ญนิ ทรยี ) ๒. ฌานังคะ ๗ ๕ - วติ ก. วจิ าร. ปติ. เอกัคคตา. เวทนาเจ. ๓. มัคคังคะ ๑๒ ๙ - ปญญา, วติ ก, สมั มาวาจา, กมั มนั ตะ, อาชวี ะ, วีรยิ ะ, สติ, เอกคั คตา, ทิฏฐิ ๔. อนิ ทรยี  ๒๒ ๑๖ - ปสาทรปู ๕, ภาวรปู ๒, ชีวิตรปู ๑, จิต, ชีวิตินทรีย, เวทนา, สทั ธา, วรี ิยะ, สต,ิ เอกคั คตา, ปญ ญาเจตสกิ ๕. พละ ๙ ๙ - สทั ธา, วรี ยิ ะ, สติ, เอกคั คตา, ปญ ญา, หริ ิ, โอตตัปปะ, อหริ กิ ะ, อโนตตัปปะ ๖. อธบิ ดี ๔ ๔ - ฉนั ทะ, วรี ยิ ะ, ทฺวเิ หตกุ ชวนะ และ ตเิ หตุกชวนะ ๕๒/๘๔ ( สาธิปติชวนะ ๕๒/๘๔) ปญญา :- ติเหตุกชวนะ ๓๔/๖๖ ๗. อาหาร ๔ ๔ - โอชา, ผสั สะ, เจตนาเจตสิก, จิต รวม ๗ หมวด รวม ๖๔ ประเภท สรุปแลว ในมสิ สกสังคหะมีธรรมอยู ๗ หมวด ๖๔ ประเภท องคธรรมก็แลว แตห มวดนนั้ ๆ ๑. เหตุ ๖ คําวา เหตุ คอื ธรรมทีท่ ําใหผลเกดิ ข้นึ กค็ ือ เหตุ ๖ มี โลภเหตุ เปน ตน ผลยอมเกิดเพราะธรรมเหลา น้ี ฉะน้นั ธรรมเหลานจ้ี ึงชอ่ื วา เหตุ หมายความวา ธรรมทั้งหลายทีไ่ ดร ับ อปุ การะจากเหตุ ยอ มมสี ภาพมัน่ คงในอารมณ ประดจุ ตน ไมท มี่ ีรากงอกงามแผไ ป ฉะน้ัน ๒. ฌานงั คะ คาํ วา ฌาน มคี วามหมาย ๒ อยาง คือ ๒.๑ ฌาน แปลวา เพง คอื เปน ธรรมชาติทีม่ สี ภาพเขา ไปเพงอารมณอยา งมั่นคง และอารมณ ท่ถี ูกเพงนั้นไมจ ํากัด จะเปน อารมณกรรมฐานหรอื ไมใ ชกต็ าม เปน โลกยี ะหรือ โลกตุ ตระก็ตาม เปน ปรมตั ถห รือบญั ญตั กิ ต็ ามลวนเปนอารมณของฌาณไดทั้งส้นิ ๒.๒ ฌาน แปลวา เผา คอื เผาธรรมทีเ่ ปนปฏปิ ก ษกบั ตนใหม กี ําลงั ลดนอยลงไป หรอื ไมใ ห เกิดขึ้น ไดแ ก องคฌาน ๖ (เวน โทมนสั เวทนา) ทีอ่ ยใู นมหัคคตจติ ( สาํ หรับองคฌานในกามจิตนนั้ มีสภาพที่เขา ไปเพงอารมณอยา งมัน่ คง ปรากฏชัดกวา การ เผาธรรมท่ีเปน ปฏิปก ษก บั ตน )

๗๒ แสดงธรรมทเี่ ปนปฏปิ ก ษกบั องคฌานนนั้ คือ ถีนมทิ ธะ เปน ปฏปิ กษก บั วิตก วจิ ิกจิ ฉา เปนปฏิปกษก บั วิจาร พยาบาท เปน ปฏิปก ษก บั ปต ิ กามฉนั ทะ เปนปฏิปก ษก บั เอกคั คตา อทุ ธจั จกกุ กจุ จะและโทมนสั เวทนา เปน ปฏปิ ก ษก บั โสมนสั เวทนาและอเุ บกขาเวทนา ปติและโสมนสั เวทนา เปนปฏิปกษก บั โทมนัสเวทนา ๓. มัคคงั คะ ธรรมที่เรียกวา เปน องคม รรค เพราะเปน เหตแุ ละเปน หนทางใหเขา ถงึ สคุ ตภิ มู ิ ทุคตภิ ูมิ และ พระนิพพาน เปน สวนหน่งึ ๆ ของมรรค ในจํานวนองคม รรค ๑๒ นี้ - องคม รรคทเ่ี ปน เหตแุ ละเปน หนทางใหไ ปถงึ สคุ ตภิ มู แิ ละพระนพิ พานน้ัน มอี ยู ๘ คอื สัมมาทิฏฐิ สัมมาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สัมมากมั มันตะ สัมมาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ - องคม รรคทีเ่ ปน เหตุและเปน หนทางใหไ ปถงึ ทคุ ตภิ ูมิ มี ๔ คอื มิจฉาทฏิ ฐิ มจิ ฉาสังกัปปะ มจิ ฉาวายามะ มจิ ฉาสมาธิ ๔. อนิ ทรีย คาํ วา อนิ ทรยี  แปลวา เปน ผปู กครอง อนิ ทรยี  หมายความวา สามารถทําใหส ภาวธรรมทีเ่ กิดขึ้นพรอ มกันกบั ตนนนั้ ตองเปน ไปตามอํานาจ ของตนหรือ เปนธรรมที่ยอ มกระทําใหต นเปนอิสระยิ่ง ดังมวี จนตั ถะแสดงวา : อินทฺ นตฺ ิ ปรมอสิ ฺสรยิ ํ กโรนตฺ ีติ = อินฺทรฺ ยิ านิ ธรรมเหลาใด เปนผูปกครอง คอื ยอ มกระทาํ ใหตนเปน อสิ ระยิ่ง ฉะนนั้ ธรรมเหลา น้ัน จงึ ช่ือวา อนิ ทรีย

๗๓ จําแนกอนิ ทรีย ๒๒ โดยภูมิ ๔ คือ กามภมู ิ – รูปภมู ิ – อรปู ภูมิ – โลกตุ ตรภูมิ กามธรรมเรยี กวา กาม-รูป-อรูป-โลกตุ . กาม-รปู -โลกตุ . โลกตุ ตรธรรมเรยี ก องคธรรม มี ๑๖ กามอนิ ทรีย ๑๐ อินทรยี  มี ๘ อิน. อินทรยี ม ี ๑ อนิ . อินทรีย มี ๓ อิน. ๑. จักขนุ ทรยี  ๑. ชีวิตินทรยี  โสมนัสสนิ ทรีย ๑. อนัญญาตัญญสั - จกั ขปุ สาท รปู -นาม สามติ นิ ทรยี  โสตปสาท ๒. โสตินทรยี  ๒. มนนิ ทรยี  ๒. อัญญินทรยี  ฆานปสาท ๓. ฆานินทรีย ๓. อุเปกขินทรยี  ๓. อัญญาตาวนิ ทรีย ชวิ หาปสาท ๔. ชิวหนิ ทรีย ๔. สัทธนิ ทรยี  กายปสาท, ชีวติ รูป ๕. กายนิ ทรยี  ๕. วรี ยิ ินทรยี  ชีวติ นิ ทรยี เ จตสิก ๖. อิตถินทรีย ๖. สตินทรยี  จิตทง้ั หมด ๗. ปุริสินทรีย ๗. สมาธนิ ทรยี  เวทนาเจ.,สทั ธาเจ. ๘. สุขนิ ทรยี  ๘. ปญญนิ ทรยี  วีรยิ เจ., สติเจ. ๙. ทุกขนิ ทรีย เอกัคคตาเจ. ๑๐.โทมนัสสนิ ทรีย ปญ ญาเจ.,ภาวรูป ๒ รวม ๑๐ อินทรยี  รวม ๘ อินทรยี  รวม ๓ อนิ ทรีย รวมองคธรรม มี ๑๖ สรุปแลว อินทรยี  ๒๒ นี้ เปน รูป ๗ เปน นาม ๑๔ และเปน ท้งั รปู และนาม มี ๑ คอื ชวี ติ ินทรยี  ๕. พละ คาํ วา พละ หมายความวา ไมห วัน่ ไหวหรอื ธรรมที่มีกาํ ลังกดซ่งึ ปฏิปกขธรรมที่เกดิ ขึน้ แลว - พละธรรมทเ่ี ปนฝา ยกศุ ล - ไมห วั่นไหวในหนา ที่ของตน - ไมห วน่ั ไหวในอกุศลธรรมทีเ่ ปนปฏปิ ก ษก ับตน และสามารถ ทาํ ลายอกศุ ลธรรมน้นั ใหเ สอ่ื มส้นิ ไปได - พละธรรมทเ่ี ปนฝา ยอกุศล - ไมห วัน่ ไหวในหนา ทขี่ องตน คือ ตัง้ มั่นอยใู นกจิ การงานและธรรม ทีเ่ กดิ ข้ึน พรอ มกนั กบั ตนเทานัน้ แตไ มส ามารถทําลายกศุ ลธรรมท่ี เปน ปฏิปกษกบั ตนได ดงั มบี าลีแสดงวา : อกมฺปนฏเ ฐน พลํ ช่อื วา พละ ดว ยอรรถวา ไมห วนั่ ไหว ๖. อธบิ ดี คําวา อธิบดี หมายถงึ ธรรมท่เี ปน ใหญ หรอื ธรรมท่มี อี ํานาจยง่ิ กวาธรรมท่เี ก่ียวเน่อื งกัน กับตน ดงั มวี จนัตถะแสดงวา : อธนิ านํ ปติ = อธิปติ ธรรมทเี่ ปนเจาแหง ธรรมที่เก่ยี วเน่ืองกนั กับตน หรอื ธรรมทีเ่ ปนใหญก วา ธรรมที่ เกีย่ วเนื่องกันกับตน ฉะนัน้ ธรรมนัน้ ชอ่ื วา อธิปติ หรืออีกนยั หนงึ่ แสดงวา : อธิโก ปติ = อธิปติ ธรรมท่ีเปนเจา ท่ีมอี าํ นาจยงิ่ หรือ ธรรมทเี่ ปน ใหญ ทีม่ ีอาํ นาจยิง่ ชอื่ วา อธิปติ

๗๔ ความเปน ใหญ เปน ผปู กครองน้ี มอี ยู ๒ อยา ง คือ ๑. ความเปน ใหญ เปน ผูป กครอง โดยความเปน อินทรยี  อยางหนึง่ ๒. ความเปน ใหญ เปนผปู กครอง โดยความเปน อธบิ ดี อยา งหนึง่ ” ธรรมท่เี ปน ใหญเ ปน ผปู กครอง โดยความเปนอนิ ทรียนี้ เมอ่ื ขณะที่เกิดขึน้ นนั้ ยอ มเกดิ ขึน้ พรอ ม ๆ กันในคราวเดยี วกันหลาย ๆ อนิ ทรยี ไดโ ดยไมขดั กัน เพราะธรรมทีเ่ ปน อนิ ทรียเ หลาน้ีเปนใหญปกครองเฉพาะ ในหนาทข่ี องตนๆ เทาน้ัน คือ จกั ขนุ ทรยี ก็เปน ใหญเ ฉพาะในการเห็น มนนิ ทรียก เ็ ปนใหญเฉพาะในการรบั อารมณ เหลา นเ้ี ปน ตนฯ ” สวนธรรมทเ่ี ปน ใหญเปน ผูป กครองโดยความเปน อธิบดนี ั้น เมอื่ ขณะเกิดข้นึ ในคราวหน่งึ ๆ ยอม เกิดเปน อธิบดไี ดแตเ พียงอยางเดียว เชน ในขณะที่ฉนั ทะเปนอธบิ ดี คอื มีความพอใจอยางแรงกลา เกดิ ขึน้ แลว วีริยะ จิต ปญญา กต็ องคลอ ยตามฉันทะไปในอารมณน น้ั ๆ เปน ตนฯ สรปุ ความวา ความเปน ใหญโ ดยความเปน อนิ ทรียใ นคราวเดยี วกัน เปน ไดห ลายๆ อินทรียไมข ดั กนั สว นความเปน ใหญโ ดยความเปน อธบิ ดนี ้นั ในคราวหน่งึ ๆ เปน ไดอยางเดยี วเทา นน้ั เกดิ รวมกนั หลาย ๆ อธบิ ดไี มไ ด หมายเหตุ ธรรมทเ่ี ปนอธิบดไี ดน ้ันตองอยใู นทวเิ หตุกชวนะ หรือติเหตกุ ชวนะ เทานนั้ ฉะน้นั พระอนรุ ุทธาจารย จงึ แสดงไวใน อภิธัมมตั ถสังคหะวา ทฺวเิ หตกุ ติเหตกุ ชวเนเสฺวว ยถาสมฺภวํ อธิปติเอโกว ลพฺภติ แปลความวา ในทวิเหตกุ ชวนะ และ ติเหตกุ ชวนะ เทานน้ั ทีจ่ ะมอี ธบิ ดไี ดอ ยางเดยี วในจาํ นวนอธบิ ดี ๔ นน้ั ตามทีจ่ ะเปน ได ๗. อาหาร คาํ วา อาหาร แปลวา นํามา หมายความวา ทาํ ใหผลเกดิ ข้นึ และชว ยอุดหนนุ ใหต้งั อยูได เจรญิ ขึ้นได ดงั แสดงวจนตั ถะวา : อาหรนฺตีติ = อาหารา ธรรมเหลา ใด ยอมนาํ มาซ่งึ ธรรมท่เี ปนผลของตน ๆ ฉะนน้ั ธรรมเหลา นนั้ ชอื่ วา อาหาร สรุปความวา ๑. กพฬกี าราหาร นํามาซึง่ อาหารชสุทธฏั ฐกกลาปใหเ กดิ ขึ้นในสนั ดานของสัตวท้ังหลาย ๒. ผสั สาหาร นํามาซง่ึ เวทนา คือ การเสวยอารมณเ ปน สขุ บา ง ทกุ ขบาง เฉย ๆ บา ง ๓. มโนสัญเจตนาหาร นาํ มาซึ่งปฏิสนธิวญิ ญาณ คอื การเกิดมนษุ ย เทวดา พรหม อบายสัตว และ ปวตั ติวญิ ญาณ คอื การเห็น การไดยนิ เปนตน ๔. วิญญาณาหาร นาํ มาซงึ่ เจตสิก และ กัมมชรูป

๗๕ แสดงจติ ทไี่ มไ ดองคฌ าณ องคมรรค อินทรีย และ พละ ดังน้ี ในทวิปญจวิญญาณจิต ๑๐ ยอมไมไ ดอ งคฌ าน ในอเหตกุ จติ ๘ ยอ มไมไดองคฌ าน เอกัคคตาเจตสกิ ในอวรี ิยจติ ๑๖ ยอมไมถงึ สมาธนิ ทรีย และ สมาธพิ ละ เอกคั คตาเจตสกิ ในวิจกิ ิจฉาสมั ปยุตตจิต ๑ ยอมไมถงึ มิจฉาสมาธิ สมาธนิ ทรีย และสมาธพิ ละ คาถาทแี่ สดงองคธรรมในมิสสกสังคหะทง้ั ๗ หมวด ๑. ฉเหตู ปฺจฌานงคา มคฺคงคฺ า นว วตฺถโุ ต โสฬสินทรียธมมฺ า จ พลธมฺมา นเวรติ า ฯ ๒. จตฺตาโรธปิ ตี วุตตฺ า ตถาหาราติ สตตฺ ธา กุสลาทิสมากณิ ฺโณ วตุ โฺ ต มิสสฺ กสงคฺ โห ฯ ๑. เหตุ เม่อื วา โดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๖ ฌานงั คะ เมอ่ื วาโดยองคธ รรมปรมตั ถแลว มี ๕ มัคคงั คะ เม่อื วาโดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๙ อนิ ทรีย เมอ่ื วา โดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๑๖ พละ เมอ่ื วาโดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๙ ๒. อธบิ ดี เมอื่ วาโดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๔ อาหาร เม่อื วา โดยองคธ รรมปรมัตถแลว มี ๔ เหมอื นกัน นักศกึ ษาทัง้ หลายพงึ ทราบการแสดง มิสสกสังคหะ ท่มี กี ศุ ลเปนตน ปะปนกัน โดยมี ๗ หมวดดังนี้ จบมสิ สกสังคหะ

๗๖ อธิบายในโพธิปก ขยิ สงั คหะ ๓. โพธปิ ก ขยิ สังคหะ หมายความวา การแสดงสงเคราะหธรรมท่ีเปน ฝา ยมรรคญาณ หมวดหนึ่ง มีอยู ๗ หมวด ๓๗ ประเภท มีดังนี้ คือ หมวดท่ี ประเภท องคธรรม :- ๑. สตปิ ฏฐาน ๔ ๑ สตเิ จตสิก :- มหาก.ุ ๘ มหาก.ิ ๘ อปั ปนาชวนะ ๒๖ ๒ สัมมัปปธาน ๔ ๑ วริ ยิ เจตสกิ : - กศุ ลจติ ๒๑ ๓. อิทธบิ าท ๔ ๔ ฉนั ทะ, วีริยะ, สต,ิ กศุ ลจติ 21, ปญญา ๔. อนิ ทรีย ๕ ๕ สัทธา, วริ ยิ ะ, สต,ิ เอกคั คตา, ปญญา ๕. พละ ๕ ๕ สทั ธา, วรี ยะ, สติ, เอกคั คตา, ปญญา ๖. โพชฌงค ๗ ๘ สต,ิ ปญญา, วีรยิ ะ, ปต ิ, กายปส ., จติ ตปส ., เอกคั คตา, ตัตร., ๗. มคั คงั คะ ๘ ๘ ปญญา, วติ ก, สัมมาวาจา-กัมมันตะ-อาชวี ะ, วีรยิ ะ, สติ เอกคั คตาเจตสกิ รวม ๗ หมวด ๓๗ ประเภท โพธปิ ก ขยิ สงั คหะ คือ การแสดงการสงเคราะหธ รรมที่เปนฝายมรรคญาณ ๔ ธรรมชาตใิ ดรอู ริยสจั จท้งั ๔ ฉะนน้ั ธรรมชาติน้นั ชอื่ วา โพธิ ไดแก ปญ ญาทีอ่ ยใู นมรรคจิต ๔ ธรรมท่เี กดิ ในฝา ยแหงมรรคญาณ ๔ ชือ่ วา โพธิปก ขยิ ะ ไดแ ก โพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗ ๑. สตปิ ฏ ฐาน หมายความวา ทต่ี ั้งทว่ั ไปแหง สติ (อารมณ กาย เวทนา จิต ธรรม) ดงั แสดงวจนตั ถะวา : สติ เอว ปฏ านนตฺ ิ = สติปฏ านํ สตนิ นั่ แหละเปนประธานในสมั ปยุตตธรรม แลว ต้ังมัน่ ในอารมณ มกี าย เปน ตน ฉะนั้น จงึ ชื่อวา สตปิ ฏ ฐาน แสดงสตดิ วงเดยี วเปน สตปิ ฏฐานทัง้ ๔ ไดเ พราะ อารมณอ ันเปน ทตี่ ้งั แหง การกําหนดของสตมิ ี ๔ ลักขณะอนั เปนนิมติ การประหาณ ท่ปี รากฏขึน้ มี ๔ คือ วิปลาสธรรม มี ๔ คอื ๑. รปู ขนั ธ เปน อารมณข องสติ เรยี กวากายานปุ สสนาฯ ๑. อสุภลักขณะ สุภวิปลาส ถูกประหาณ ๒. เวทนาขันธ เปนอารมณข องสติ เรียกวา เวทนานปุ ส สนาฯ ๒. ทุกขลกั ขณะ สุขวปิ ลาส ถกู ประหาณ ๓. วิญญาณขนั ธ เปน อารมณข องสติ เรยี กวา จติ ตานปุ ส สนาฯ ๓. อนจิ จลักขณะ นิจจวปิ ลาส ถกู ประหาณ ๔. สญั ญาขนั ธ เปน อารมณข องสติ เรยี กวา ธัมมานปุ สสนาฯ ๔. อนัตตลกั ขณะ อัตตวิปลาส ถกู ประหาณ ๕. สังขารขนั ธ เปน อารมณข องสติ เรยี กวา ธัมมานุปส สนาฯ

๗๗ ๒. สมั มัปปธาน คาํ วา สมั มปั ปธาน หมายความวา ธรรมทีม่ ีความพยายามโดยชอบธรรม สมั ปยตุ ตธรรมทัง้ หลาย มคี วามพยายามโดยชอบธรรม ดวยการอาศยั ธรรมชาตินน้ั ฉะนัน้ ธรรมชาติท่ีเปน เหตุ แหง ความพยายามนัน้ จึงชื่อวา สัมมปั ปธาน ไดแก วรี ยิ เจตสิก ซงึ่ ตองเปนวีริยะอยา งแรงกลา (ไมใ ชอยางสามญั ) ทอ่ี ยใู นกศุ ลชวนะ เทา นัน้ - วรี ยิ ะทีอ่ ยใู นกรยิ าชวนะ ไมเปน สมั มัปปธาน เพราะพระอรหันตท ั้งหลายยอ มพน จากหนาทกี่ าร งานทเ่ี กยี่ วกับการประหาณอกุศล และ การทําใหกศุ ลเกดิ เสยี แลว - วรี ิยะที่อยใู นผลจติ ไมเปน สัมมัปปธาน เพราะไมเ กี่ยวของกบั หนา ท่ีทัง้ ๔ ของวีริยะที่เปน สมั มัปปธาน และตัวเองเปน วิบากอยูแลว แสดงเหตผุ ลทว่ี ีรยิ ะดวงเดยี วเปนสมั มปั ปธานทงั้ ๔ ได วรี ยิ ะดวงเดยี วเปน สัมมปั ปธานทั้ง ๔ ได เพราะกิจของวรี ิยะในท่ีนมี้ ีอยู ๔ อยา ง คือ ๑. พยายามเพือ่ ละอกุศลทีเ่ กดิ ขน้ึ แลว ๒. พยายามเพอ่ื ไมใหอ กุศลใหมเ กิด ๓. พยายามเพือ่ ใหก ศุ ลใหมเ กิด ๔. พยายามเพ่อื ใหกศุ ลที่เกดิ ข้นึ แลวเจริญรงุ เรอื งขนึ้ ๓. อทิ ธบิ าท คําวา อทิ ธิบาท หมายความวา ธรรมทีเ่ ปน เหตใุ หถ งึ ความสําเร็จฌาน อภญิ ญา มรรคผล ” ความสําเรจ็ โดยบรบิ ูรณ ช่ือวา อทิ ธบิ าท ไดแ ก ฌาน อภญิ ญา มรรค ผล ผใู ดผหู นง่ึ ยอ มถงึ ดว ยอาศยั ธรรมนนั้ ฉะนั้น ธรรมทเี่ ปน เหตใุ หถึงของผนู ้ัน ชอ่ื วา ปาท ไดแก องคธรรมของ อิทธบิ าท ๔ ” ธรรมทเ่ี ปนเหตใุ หถงึ ความสาํ เรจ็ คอื ฌาน อภญิ ญา มรรค ผล ชื่อวา อิทธิบาท ไดแก กศุ ลจิต ๒๑ และฉันทะ วรี ยิ ะ ปญ ญา ทีอ่ ยูใ นกุศลจิตทม่ี กี ําลงั อยางแรงกลา (ไมใชอ ยา งสามญั ) ” ฉนั ทะ วีรยิ ะ กริ ยิ าจติ และปญญาของพระอรหนั ต ไมใ ชอ ทิ ธิบาท เพราะธรรมดา พระอรหนั ต ท้งั หลายน้นั เปน ผถู งึ ความสาํ เรจ็ โดยบริบูรณอ ยแู ลว ” ผลจิต ฉันทะ วีรยิ ะ ปญ ญาทอ่ี ยูใ นผลจิต ไมชื่อวา อิทธบิ าท เพราะผลจติ กเ็ ปน ผลของมรรคจิตอยู แลว องคธรรมของอทิ ธิบาท ๔ กค็ อื อธบิ ดี ๔ นน่ั เอง ตา งกันแตเ พยี งวา ” ธรรมทเี่ ปน อทิ ธิบาท เปน ไดเ ฉพาะ กุศล เทาน้นั แตธ รรมที่เปน อธิบดี เปน ไดท ัง้ กศุ ล อกศุ ล และ อพยากตะ ๔. และ ๕. อนิ ทรยี  คอื ความเปน ใหญ และ พละ ๕ คือ ความไมห วัน่ ไหว ในโพธิปกขิยสงั คหะ ไม ตอ งอธิบายซํา้ อกี เพราะแสดงเหมอื นกนั ในมสิ สกสังคหะ

๗๘ ๖. โพชฌงค คําวา โพชฌงค หมายความวา องคแ หงการรอู ริยสัจจ ๔ ธรรมอนั เปนเครอื่ งประกอบของธรรมหมวดที่เปน เหตใุ หรอู รยิ สจั จ ๔ ชอื่ วา โพชฌงค ไดแ ก องคธ รรม ของโพชฌงคโ ดยเฉพาะ ๆ ดงั แสดงวจนตั ถะวา : พุชฌฺ นตฺ ิ เอตายาติ = โพธิ พระโยคีท้ังหลาย ยอ มรูอริยสจั จ ๔ ดว ยธรรมหมวดน้ี ฉะนัน้ ธรรมหมวดน้ี เปนเหตใุ หร ูอรยิ สจั จ ๔ นี้ชื่อวา โพธิ ไดแ ก องคธ รรมของโพชฌงค ๗ รวมกนั มี สติ ปญ ญา เปนตน โพธิยา องโฺ ค = โพชฺฌงฺโค ธรรมอนั เปนเครอ่ื งประกอบของหมวดทเี่ ปน เหตุใหรูอรยิ สจั จ ๔ ชื่อวา โพชฌงค ไดแก องคธ รรมของโพธฌงคโ ดยเฉพาะ ๆ ๗. มัคคังคะ คําวา มคั คงั คะ หมายความวา ธรรมอนั เปน เครอ่ื งประกอบของธรรมซึ่งเปนเหตแุ หง การฆา กิเลส และเขา ถึงพระนพิ พาน ชอ่ื วา มคั คังคะ ไดแ ก องคมรรค ๘ โดยเฉพาะ ดงั แสดงวจนตั ถะวา : กิเลเส มาเรนฺตา นพิ พฺ านํ คจฺฉนติ เอตานาติ = มคโฺ ค พระโยคีบุคคลทง้ั หลายฆา กเิ ลส และ ยอ มเขาถึงพระนิพพานดว ยธรรมนน้ั ฉะนนั้ ธรรมที่เปน เหตแุ หงการ ฆา กิเลส และเขา ถึงพระนิพพานของพระโยคีบุคคลเหลานั้น ชื่อวา มคั คะ ไดแ ก องคมรรค ๘ รวมกันมี สัมมาทิฏฐิ เปนตน องคมรรค ๘ อธบิ าย จาํ แนกโดยศลี ขันธเ ปน ตน ๑. สัมมาทิฏฐิ การเหน็ แจงในอริยสัจจท้ัง ๔ โดยกิจท้งั ๔ คอื เหน็ แจง ใน ทกุ ขสจั จะ โดยปริญญากิจ (กจิ คือการกาํ หนดร)ู สงเคราะหเขา เหน็ แจง ใน สมทุ ยสัจจะ โดยปหาณกิจ (กจิ คือการละหรอื การประหาณ) ในปญญาขันธ เหน็ แจง ใน นโิ รธสจั จะ โดยสจั ฉิกรณกจิ (กิจคอื การกระทาํ ใหแ จง) เหน็ แจง ใน มรรคสจั จะ โดยภาวนากิจ (กิจคือการกระทําใหเกิดขน้ึ ) สงเคราะหเขา ในปญ ญาขนั ธ ๒. สัมมาสงั กปั ปะ ความดําริชอบทเ่ี กยี่ วกับ นิกฺขมสงฺกปปฺ ความดาํ รทิ ี่ออกจากกามคณุ อารมณ สงเคราะหเขา อพฺยาปาทสงกฺ ปฺป ความดํารทิ ปี่ ระกอบดว ยเมตตา ในศลี ขันธ อวหิ งึ ฺสาสงฺกปปฺ ความดํารปิ ระกอบดว ยกรุณา สงเคราะหเ ขา ๓. สัมมาวาจา การเวน จาก วจที ุจริตท้งั ๔ ท่ีไมเก่ียวกบั อาชีพ ในสมาธขิ นั ธ ๔. สมั มากมั มนั ตะ การเวนจาก กายทุจริตทง้ั ๓ ที่ไมเ ก่ียวกับอาชีพ ๕. สัมมาอาชวี ะ การเวน จาก วจที ุจริต ๔ และ กายทจุ รติ ๓ ทเี่ กย่ี วกบั อาชพี ๖. สมั มาวายามะ ความเพยี รทด่ี าํ เนนิ ไปตามสมั มัปปธานท้ัง ๔ ๗. สัมมาสติ ความระลึกทดี่ าํ เนินไปตามสติปฏฐานทง้ั ๔ ๘ สัมมาสมาธิ ความต้งั ม่นั ในอารมณวปิ ส สนากรรมฐาน

๗๙ จําแนกองคธ รรม ๑๔ โดยฐานของโพธิปกขยิ ธรรม ๓๗ สงฺกปปฺ ปสฺสทธฺ ิ จ ปต ุเปกขฺ า ฉนโฺ ท จ จิตฺตํ วิรตติ ตฺ ยฺจ นเวกานา วริ ยิ ํ นวฏ สตี สมาธี จตุ ปฺจ ปฺา สทฺธา ทุ านตุ ฺตมสตฺตตสิ - ธมมฺ านเมโส ปวโร วิภาโค ฯ วติ ก ปส สทั ธิ ปติ ตตั ตรมัชฌัตตตา ฉันทะ จติ และ วิรตเี จตสิก ๓ องคธ รรมท้ัง ๙ นี้ มีฐานอยา งละ ๑ คอื วิตกเจตสิก เปน สัมมาสังกปั ปมรรค ปส สัทธเิ จตสิก เปน ปส สัทธิสมั โพชฌงค ปต ิเจตสิก เปน ปต สิ ัมโพชฌงค ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก เปน อุเบกขาสัมโพชฌงค ฉนั ทเจตสิก เปน ฉันททิ ธิบาท จิต เปน จิตติทธิบาท สัมมาวาจาเจตสกิ เปน สัมมาวาจามรรค สัมมากัมมนั ตเจตสิก เปน สมั มากัมมนั ตมรรค สัมมาอาชวี เจตสกิ เปน สัมมาอาชวี มรรค วรี ิยเจตสิก ๑ ดวง มี ๙ ฐาน คือ ๑. เปน สมั มปั ปธาน ๔ ๒. เปน วรี ยิ ทิ ธบิ าท ๑ ๓. เปนวีรยิ นิ ทรยี  ๑ ๔. เปนวีรยิ ะพละ ๑ ๕. เปนวรี ยิ สัมโพชฌงค ๑ ๖. เปนสมั มาวายามรรค ๑ สติเจตสกิ ๑ ดวง มี ๘ ฐาน คือ ๓. เปนสตพิ ละ ๑ ๔. เปน สตสิ ัมโพชฌงค ๑ ๑. เปนสติปฏฐาน ๔ ๒. เปน สตนิ ทรยี  ๑ ๕. เปน สมั มาสติมรรค ๑ เอกัคคตาเจตสกิ ๑ ดวง มี ๔ ฐาน คือ ๑. เปนสมาธินทรยี  ๑ ๒. เปน สมาธพิ ละ ๑ ๓. เปนสมาธิสมั โพชฌงค ๑ ๔. เปน สัมมาสมาธมิ รรค ๑ ปญญาเจตสิก ๑ ดวง มี ๕ ฐาน คอื ๑. เปนวีมงั สิทธบิ าท ๑ ๒. เปน ปญ ญนิ ทรยี  ๑ ๓. เปน ปญ ญาพละ ๑ ๔. เปน ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค ๑ ๕. เปนสมั มาทฏิ ฐิมรรค ๑ สทั ธาเจตสิก ๑ ดวง มี ๒ ฐาน คอื ๑. เปน สทั ธนิ ทรยี  ๑ ๒. เปน สทั ธาพละ ๑

๘๐ สรปุ แลวองคธ รรมในโพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗ มี องคธ รรม ๑๔ ดวง คอื ๑. วิตกเจตสกิ ๘. สมั มากมั มันตเจตสกิ ๒. ปสสัทธิเจตสิก ๙. สัมมาอาชีวเจตสกิ ๓. ปตเิ จตสกิ ๑๐. วีริยเจตสิก ๔. ตตั ตรมชั ฌัตตตาเจตสกิ ๑๑. สติเจตสิก ๕. ฉันทเจตสิก ๑๒. เอกัคคตาเจตสกิ ๖. จิต ๑๓. ปญญาเจตสิก ๗. สมั มาวาจาเจตสิก ๑๔. สัทธาเจตสกิ หมายเหตุ มัคคงั คะทีใ่ นมิสสกสงั คหะ กบั มคั คังคะท่ใี นโพธปิ ก ขยิ สังคหะนนั้ ตา งกนั หรอื เหมือนกนั ถาเห็นวา ตา งกัน ตา งกนั ทต่ี รงไหน และธรรมสว นนัน้ เปน กุศลหรืออกุศลใหอธิบาย มัคคงั คะในมสิ สกสงั คหะ กบั ในโพธปิ ก ขยิ สังคหะ นน้ั ตา งกัน กลา วคอื มคั คงั คะท่ใี นมิสสกสงั คหะน้นั เปนเหตใุ หถงึ สคุ ตภิ ูมิ ทุคตภิ มู ิ และพระนพิ พาน เปนทง้ั กศุ ล และอกุศล คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสังกัปปะ สัมมาวาจา เปนเหตใุ หถ ึง สมั มากมั มันตะ สัมมาอาชีวะ สมั มาวายามะ สคุ ติภมู ิ และนพิ พาน สมั มาสติ สัมมาสมาธิ เปน กุศล สว น มิจฉาทฏิ ฐิ มิจฉาสังกัปปะ เปน เหตใุ หถึง มจิ ฉาวายามะ มจิ ฉาสมาธิ ทุคตภิ มู ิ เปน อกศุ ล มัคคงั คะท่ใี นโพธปิ ก ขิยสังคหะนนั้ เปน องคต รสั รู มงุ ตรงตอ มรรค ผล นิพพาน โดยตรง เปน กุศลโดยสว นเดียว ๑. สลี วิสุทธิ วิสทุ ธิ ๗ ๒. จิตตวิสทุ ธิ ๓. ทฏิ ฐิวิสุทธิ จตปุ ารสิ ุทธิศีล ๔. กังขาวิตรณวิสทุ ธิ ขณกิ สมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ๕. มัคคามคั คญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ นามรูปปรเิ ฉทญาณ ปจ จยปริคคหญาณ ๖. ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ สัมมสนญาณ ๗. ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ตรณุ อทุ ยพั พยญาณ พลวอุทยัพพยญาณ จนถงึ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มคั คญาณ ผลญาณ ปจ จเวกขณญาณ จบ โพธปิ กขยิ สงั คหะ

๘๑ อธบิ ายในสพั พสังคหะ ๔. สัพพสังคหะ หมายความวา การแสดงสงเคราะห ปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รปู นพิ พาน ซงึ่ เปนวตั ถธุ รรมทงั้ หมดรวมกนั หมวดหนง่ึ มีอยู ๖ หมวด ๓๙ ประเภท มดี ังนี้ คือ หมวดท่ี ประเภท องคธ รรม ๑. ขันธ ๕ ๗๑ รูป ๒๘, เวทนา, สญั ญา, เจตสกิ ๕๐, จติ ๘๙/๑๒๑ ๒. อุปาทานักขนั ธ ๕ * ๗๑ รูป ๒๘, เวทนา, สัญญา, เจตสิก ๕๐, โลกยี จติ ๘๑ ๓. อายตนะ ๑๒ ๗๒ ปสาทรูป ๕, จิต, วิสยรปู ๗, เจ.๕๒, สุขุม.๑๖, นพิ . ๔. ธาตุ ๑๘ ๗๒ อารมณ ๖, ทวาร ๖, วิญญาณ ๖ ๕. อรยิ สจั จะ ๔ ๗๒ โลกียจิต ๘๑, เจ.๕๑ (เวน โลภ.),รปู ๒๘, โลภเจ., นพิ ., มัคเจ. ๘ รวม ๕ หมวด ๓๙ ประเภท * ไมตองนบั อปุ าทานกั ขันธโ ดยเฉพาะ ๑. ขนั ธ คาํ วา ขันธ หมายความวา เปน กลมุ เปนกอง สรปุ แลว คําวา ขนั ธ มคี วามหมาย ๓ อยา ง คอื ๑.๑ ขนั ธ หมายความวา เปนกลมุ เปนกอง ซงึ่ มไิ ดม ุงหมายเอาจาํ นวนมากมารวมกนั แตม ุง หมาย เอาประเภทตางกนั ๕ กอง ( ๑๑ ประเภทยอ ย ) คือ - ธรรมที่เปน ปจ จบุ ัน อดตี อนาคต รวมกนั เปนกอง ๑ มี ๓ ประเภท - ธรรมทเ่ี ปน อชั ฌัตตะ และ พหทิ ธะ รวมกันเปน กอง ๑ มี ๒ ประเภท - ธรรมทีเ่ ปน โอฬาริกะ และ สุขุมะ รวมกันเปน กอง ๑ มี ๒ ประเภท - ธรรมทเ่ี ปน หนี ะ และ ปณตี ะ รวมกนั เปน กอง ๑ มี ๒ ประเภท - ธรรมทเี่ ปน ทรู ะ และ สนั ติกะ รวมกนั เปน กอง ๑ มี ๒ ประเภท รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ - เปน ขนั ธได นิพพาน - เปนขันธไมไ ด คอื เปนขันธวิมุตต เพราะ ไมมปี ระเภทตางกนั ดงั กลาว ๑.๒ ขนั ธ หมายความวา เปน อาการของทกุ ขต า ง ๆ อนั ไดแ ก ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ( ขนั ธเปนธรรมท่ีถูกทกุ ขตาง ๆ เคยี้ วกนิ หมายถึงขันธ ๕ เปนทเี่ กดิ แหง ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เปน ตน ) ๑.๓ ขันธ หมายความวา ธรรมที่แสดงอาการวา งเปลา จากอัตตะ - นพิ พาน ไมม ีประเภทแหง ปจ จบุ ัน อดตี อนาคต มแี ตกาลวิมตุ ตอยางเดยี ว ฉะน้ัน จงึ เปน ขนั ธวมิ ตุ ตห รอื เปน ขันธไ มไ ด - นพิ พาน ทีเ่ ปนอัชฌตั ตะไมม ี เปน พหิทธะอยา งเดยี ว ฉะนั้น จงึ เปน ขันธไ มไ ด - นพิ พาน ท่เี ปน โอฬารกิ ะไมม ี เปน สขุ ุมะอยางเดยี ว ฉะนน้ั จงึ เปน ขันธไ มได - นพิ พาน ทเี่ ปนหีนะไมมี เปน ปณีตะอยา งเดยี ว ฉะนนั้ จงึ เปน ขันธไ มได - นิพพาน ที่เปนสนั ตกิ ะไมม ี เปน ทูระอยา งเดยี ว ฉะน้นั จึงเปน ขนั ธไมไ ด ทก่ี ลาววา นพิ พาน เปน กาลวิมุตต พหทิ ธะ สุขุมะ ปณตี ะ ทรู ะ เหลา น้ี ก็ไมเ รยี กวา นพิ พาน มี ๕ ประเภท เพราะนิพพาน ที่เปนกาลวิมุตตน้นั เอง เปนพหทิ ธะ สุขมุ ะ ปณตี ะ ทรู ะ ดวย

๘๒ สรปุ แลวความเปนไปของขันธ ๕ ทเี่ ปน กลมุ เปนกองมดี งั ตอ ไปนั้น คอื ๑.) การเปลี่ยนแปลงของรา งกาย มีการเตบิ โต เจริญข้ึน ผมหงอกเหลานเี้ ปน ตน เปนรปู ขนั ธ ๒.) ความรสู กึ สบาย ไมส บาย เฉย ๆ เปน ตน เปน เวทนาขันธ ๓.) ความจําสงิ่ ตาง ๆ ได เปน สญั ญาขนั ธ ๔.) ความอยากได ความโกรธ ความเสื่อม เปนตน เปนสังขารขันธ ๕.) ความรูในอารมณต า งๆ เปนวญิ ญาณขันธ ” ดวยเหตนุ ้ี ผทู ่ปี ระกอบดว ยสุตมยปญญา จนิ ตามยปญญา และภาวนามยปญญาท้งั หลาย จึงรูว า บรรดาส่ิงตาง ๆ ท่มี ีอยใู นโลกนี้ นอกจากขนั ธ ๕ แลว กไ็ มมอี ะไรอน่ื อกี เปน สภาพอนัตตาทง้ั สนิ้ สว นท่ีรถู ึง สภาพของอนตั ตาของรปู นามเหลาน้ี จะตอ งรูชัดเพยี งใดน้นั กต็ องแลว แตก ําลังของปญญาน้ัน ๆ ตามลําดับ ๒. อุปาทานกั ขนั ธ คาํ วา อปุ าทานักขันธ หมายความวา ขันธท ี่เปนอารมณข องอุปาทาน ดังแสดงวจนตั ถะวา : อุปาทานานํ โคจรา ขนธฺ า = อปุ าทานกฺขนธฺ า ขนั ธ ทเี่ ปนอารมณของอุปาทาน ชื่อวา อปุ าทานกั ขนั ธ ” ในการท่ีพระพุทธองคท รงแสดงอปุ าทานักขันธ แยกออกมาจากขนั ธ ๕ นั้นก็เพ่อื ใหเปนประโยชน ในการเจริญวปิ ส สนา เพราะผูทเี่ จรญิ วปิ ส สนาน้ัน จะตอ งกาํ หนดขันธ ๕ ทเ่ี ปน โลกยี ะ ซ่ึงเปน อารมณข อง อปุ าทานได กลา วคือ กามปุ าทาน ทิฏปุ าทาน สสี พั พตุปาทาน อตั ตวาทุปาทาน เหลา นี้ เกดิ ขนึ้ ดว ยอาศยั รูป เวทนา สญั ญา สังขาร และ วญิ ญาณ ทเี่ ปน โลกยี ะเปน เหตเุ ทานนั้ สาํ หรับเวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ทเ่ี ปน โลกตุ ตระน้นั ยอมไมมี ดว ยเหตุนี้ จงึ ทรงแสดงอปุ าทานักขนั ธโ ดยเฉพาะอีก อธบิ ายอุปาทานกั ขนั ธ ๕ อยา ง มดี งั นี้ คือ ” อปุ าทาน คือ การยดึ มั่น หรอื การสืบตอ ของรปู นามอยูเนอื ง ๆ ในรปู ขันธ ๕ เหลาน้ี เพราะเปน ไป ตามอาํ นาจของอุปาทาน คอื การยดึ ม่นั เวลารูตามความเปน จริงของรปู นามขนั ธ ๕ เวลาน้ัน อุปาทานก็ไมม ี และ ถา ไมร ตู ามความเปนจริง อุปาทาน กม็ ีอยู (๑) ยนิ ดพี อใจในรปู ท้งั หมดเปนอารมณของอุปาทานได คือ เอารูป ๒๘ เปน อารมณ กเ็ รยี กวา เปน อารมณข องอุปาทาน คอื ยึดวา เปนเรา เปน เขา เชน ยดึ วาเปนของเรา เปน ของญาติเราเหลา น้ีเปน ตน ก็ถอื วา เปน อารมณข องอุปาทาน คอื การยนิ ดวี า เปน เรายนื เราเดนิ เหลา น้ี กเ็ ปน รูปทงั้ นนั้ (๒) เวทนปุ าทานักขันธ กองเวทนาเปน อารมณข องอปุ าทาน คือ สขุ ทุกข เฉย ๆ เหลา น้ี เปนเวทนา เชน เราทกุ ขกาย เราสุขใจ เราเฉย ๆ คอื สุข ทุกข เฉย ๆ เปนเวทนา ทเี่ รายึดวา สขุ ทุกข เฉยๆ เหลานี้ เปน อปุ าทาน คือ การยดึ ม่นั ในเวทนา (๓) สัญุปาทานักขนั ธ กองสัญญาเปน อารมณข องอุปาทาน สัญญา เปนธรรมชาตทิ ่ีจาํ ในอารมณ แตเ รากลบั ไปจําวาเปน เรา เปน เขา แตไ มจ าํ วา เปนรูป เปน นาม หรือเปน รปู เวทนา เหลา น้ี คือ สญั ญาในการจาํ อยา งนนั้ อยา งน้ี – อุปาทาน เขา ไปยดึ วาเปน เราเปนเขา

๘๓ (๔) สังขารุปาทานกั ขันธ กองสงั ขารที่เปน อารมณข องอปุ าทาน คอื เจตสกิ ๕๐ ( เวน เวทนาและสัญญา) คือ เจตสกิ ดวงหนึง่ ๆ ท่เี กิดในเจตสกิ ๕๐ ดวง เชน โลภเจตสกิ คอื ความยนิ ดี พอใจในอารมณ ก็คดิ วาเราพอใจ ถาโทสเจตสกิ เกิดขน้ึ กว็ า เราไมพ อใจ และถาสัทธาเจตสิก เกิดข้นึ ก็คดิ วาเราเชอ่ื วา คุณพระพทุ ธเจา มจี รงิ เหลานเี้ ปน ตน ทเี่ รียกวาเปน กเิ ลสอยา งละเอยี ด แตไมหา มสวรรค แตเราไปยดึ วาเปน เรา เปน เขา (๕) วิญญาณปุ าทานกั ขนั ธ กองจติ ทเี่ ปน อารมณข องอปุ าทาน คือจิต เปน ธรรมชาตทิ ่นี อ มไปรใู นอารมณ คอื เปนการรบั อารมณเ ปน ลกั ษณะอยางเดียว แตก ลบั ไปคิดวา เราคิด เรารูใ นอารมณต า งๆ ทัง้ ทเี่ ปน อดตี อนาคต เหลา น้ี เปน ตน บุคคลที่ไมย ึดม่นั ในอารมณ คือ อุปทาน คอื บุคคลทีเ่ จริญวปิ ส สนา กมั มฏั ฐานและพระอริยบคุ คล บคุ คลทีย่ ดึ มั่นในอารมณค อื อุปาทาน คือ บคุ คลที่ไมร ูต ามความเปน จริง คอื ผูทไี่ มไ ดเจรญิ วิปส สนา เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ ท่ีอยใู นโลกตุ ตระไมเ รียกวา เปนอารมณข องอปุ าทาน ๓. อายตนะ คําวา อายตนะ มคี วามหมาย ๒ อยางคอื (๑) อายตนะ หมายความวา ธรรมทม่ี ีสภาพคลายกบั วามคี วามพยายามเพือ่ ยงั ผลของตน ใหเกดิ ข้ึน เชน จักขายตนะ กับ รูปายตนะ เปน เหตใุ หการเห็นเกดิ ขึ้น (เปน ผล) เปน ตน (๒) อายตนะ หมายความวา ธรรมท่กี ระทําซึ่งจติ และเจตสกิ ใหก วา งขวางเจริญขน้ึ ดังแสดง วจนตั ถะวา : อายตนตฺ ิ อตตฺ โน ผลปุ ปฺ ตตฺ ิยา อสุ สฺ าหนตฺ า วิย โหนตฺ ีติ = อายตนานิ ธรรมเหลา ใด มสี ภาพคลา ยกบั วา มีความพยายาม เพอ่ื ยงั ผลของตนใหเ กิดขน้ึ ฉะนัน้ ธรรมเหลานนั้ ชอื่ วา อายตนะ ( หมายความวา ) (๑) จกั ขายตนะ กบั รูปายตนะ ทั้ง ๒ เปน เหตุใหก ารเหน็ เกิดขน้ึ ฉะนน้ั การเหน็ นี้จงึ เปน ผลของอายตนะ ทง้ั ๒ น้ัน ในทางอายตนะอื่น ๆ กเ็ ปน ไปเชน เดยี วกนั คือ (๒) โสตายตนะ กับ สัททายตนะ เปน เหตุ การไดยนิ เปน ผล (๓) ฆานายตนะ กับ คันธาตนะ เปนเหตุ การรูกล่ิน เปน ผล (๔) ชวิ หายตนะ กบั รสายตนะ เปนเหตุ การรูร ส เปนผล (๕) กายายตนะ กบั โผฏฐพั พายตนะ เปนเหตุ การรสู มั ผัส เปน ผล (๖) มนายตนะ กบั ธมั มายตนะ เปน เหตุ การรเู รอื่ งราวตา ง ๆ เปน ผล เหตุกบั ผลทีก่ ลาวมาน้ี ยอ มเปนไปตามสภาวะอนตั ตาทั้งสิ้น อายตนะตา ง ๆ เหลานั้น หาไดมี ความพยายามขึ้นอยางหนึ่งอยา งใดไม แตสภาพความเปนไปของอายตนะตาง ๆ เหลา น้ันดูคลา ย ๆ กบั วามกี าร ขวนขวายพยายามเพ่อื ใหผลของตน ๆ เกดิ ขน้ึ ฉะนัน้

๘๔ ” เน้อื ความ ๕ อยา ง ของศพั ทว า อายตนะ น้ี มเี นอื้ ความแสดงอยู ๕ อยา ง คอื (๑) สฺชาติเทสฏ หมายความวา เพราะเปน ทเี่ กดิ แหง วถิ ีจติ บอ ย ๆ (๒) นวิ าสฏ หมายความวา เพราะเปนทอ่ี ยูของวถิ ีจติ (๓) อากรฏ หมายความวา เพราะเกดิ อยใู นสตั วทว่ั ไปไมเลอื กชน้ั (๔) สโมสรณฏ หมายความวา เพราะเปน ที่ประชุมแหง วถิ ีจติ ทงั้ หลาย (๕) การณฏ หมายความวา เพราะเปน เหตุใหว ีถจี ติ เกดิ ขน้ึ ๔. ธาตุ ๑๘ คําวา ธาตุ หมายความวา ธรรมชาติท่ที รงไวซ่งึ สภาพของตน เปนสภาวะแท ๆ ไมใชสัตว ไมใ ชช วี ะ เปนแตเ พียงสภาวะ จึงชอ่ื วา ธาตุ ” ธาตุ มี ๑๘ คือ ตั้งแต จกั ขุธาตุ จนถึง โผฏฐพั พธาตุ เปน ทส่ี ุด องคธ รรมเปนรปู อยา งเดยี ว ตั้งแต จกั ขวุ ญิ ญาณธาตุ จนถงึ มโนวญิ ญาณธาตุ องคธรรมเปน นาม คอื จติ อยางเดยี ว สวนธัมมธาตุ เปน ไดท ง้ั รูปและนาม คือ เจตสิก ๕๒ สขุ ุมรปู ๑๖ นพิ พาน ๑ สรุปแลว ธาตุ ๑๘ ท่ีเปน ท้งั รปู และนาม เรยี กชื่ออกี อยางหนึ่งวา - โอฬาริกรูป ๑๒ คือ ปสาทรปู ๕ วิสยรูป ๗ เรยี กวา โอฬารกิ ธาตุ ๑๐ - ทวปิ ญ จวญิ ญาณจิต ๑๐ เรยี กวา ปญจวิญญาณธาตุ ๕ ( มจี กั ขุวญิ ญาณธาตุ ๑ เปนตน ) - สัมปฏจิ ฉนจติ ๒ ปญจทวาราวัชชนจติ ๑ เรยี กวา มโนธาตุ - จติ ๗๖ (เวน ทว.ิ ๑๐ มโนธาตุ ๓) เรยี กวา มโนวญิ ญาณธาตุ - เจตสกิ ๕๒ สขุ มุ รูป ๑๖ นพิ พาน ๑ เรยี กวา ธมั มธาตุ ” ธรรมทร่ี วมเปนธาตุ ๑๘ คือ ทวาร ๖ อารมณ ๖ วญิ ญาณ ๖ รวมแลว เปน ธาตุ ๑๘ ๕. อรยิ สัจจะ ๔ คําวา อริยสจั จะ หมายความวา ธรรมท่ีเปน ความจรงิ ของพระอรยิ เจา ดงั แสดงวจนัตถะวา อริยานํ สจฺจานิ = อรยิ สจจฺ านิ ธรรมท่ีเปน ความจรงิ ของพระอรยิ เจาทั้งหลาย ช่อื วา อรยิ สจั จะ หมายความวา ความจรงิ ๔ อยา ง ทพ่ี ระพทุ ธองคท รงแสดงไวน นั้ บรรดาปุถุชนทงั้ หลาย แมว า จะ ไดย นิ ไดฟง กต็ าม แตส ภาพทเ่ี ปน จรงิ ดังทพี่ ระพทุ ธองคท รงแสดงวา ธรรมนเี้ ปนทกุ ข ธรรมนเ้ี ปนเหตใุ หเกดิ ทุกข ธรรมนเี้ ปนเครอ่ื งดับทกุ ข ธรรมนี้เปน หนทางใหถงึ ความดับทุกข เหลาน้ี ปุถุชนเหลานนั้ ยอมเห็นไมลึกซึง้ มั่นคงเหมือนพระอรยิ เจา ดงั นน้ั ธรรมทเ่ี ปนความจริงตามทพ่ี ระพุทธองคทรงแสดงไวนน้ั จึงช่ือวา อรยิ สัจจะ

๘๕ แสดงการจําแนกอรยิ สจั จ ๔ โดยเหตุ – ผล – โลกียะ – โลกตุ ตระ – โดยวฏั สงสาร ดังน้ี ทุกขสัจจะ ๑ สมทุ ยสัจจะ ๒ นิโรธสัจจะ ๓ มรรคสจั จะ ๔ เปน ผล เปน เหตุ เปน ผล เปน เหตุ เปนโลกียธรรม เปนโลกยี ธรรม เปน โลกตุ ตรธรรม เปนโลกตุ ตรธรรม เปน โลกียสจั จะ เปนโลกียสจั จะ เปนโลกตุ ตรสจั จะ เปนโลกตุ ตรสจั จะ ชื่อวา ปวัตตสิ จั จะ ชอื่ วา ปวตั ตเิ หตสุ ัจจะ ช่อื วา นวิ ตั ตสิ ัจจะ ชื่อวา นวิ ตั ตเิ หตสุ ัจจะ เปน สจั จะทมี่ คี วาม เปน สจั จะที่เปน เหตใุ ห เปน สจั จะที่ถอยออก เปน สจั จะทเ่ี ปน เหตใุ หถ งึ ความ เปน อยใู นวฏั ฏสงสาร ทุกขสจั จะเกิดขึ้น จากวฏั ฏทุกข ถอยออกจากวฏั ฏทกุ ข เปน ไปอยใู นวฏั ฏสงสาร สรุปปริจเฉทที่ ๗ ท่เี รยี กวา สมจุ จยสังคหะ ทพ่ี ระอนุรทุ ธาจารยแ สดงการรวบรวมจิต เจตสกิ รูป นิพพาน ทีเ่ รยี กวา วัตถุธรรม ๗๒ ประการ ” วตั ถุธรรม หมายความวา ธรรมที่มสี ภาวลักษณะ มีองคธ รรมปรมตั ถของตนโดยเฉพาะ สามารถ ปรากฏแกปญญาได มี ๗๒ ประเภท คือ จติ ทัง้ หมด นับเปนหนึ่ง เจตสกิ ๕๒ ( แตละประเภททม่ี ีลักษณะ ของตน ๆ โดยเฉพาะ) นปิ ผันนรูป ๑๘ นพิ พาน ๑ รวมเปน ๗๒ ในปริจเฉทท่ี ๗ น้นั มธี รรม ๔ หมวดใหญๆ คอื ๑) อกุศลสงั คหะ ๒) มิสสกสงั คหะ ๓) โพธิปก ขิยสงั คหะ ๔) สพั พสังคหะ ในธรรม ๔ หมวดใหญๆ นนั้ ก็มีธรรมหมวดเลก็ ของแตล ะหมวดเปนของตนโดยเฉพาะๆ ดงั น้ี คอื ๑) อกศุ ลสังคหะ มีธรรมอยู ๙ หมวด ๕๕ ประเภท ๒) มสิ สกสังคหะ มธี รรมอยู ๗ หมวด ๖๔ ประเภท ๓) โพธปิ ก ขิยสังคหะ มธี รรมอยู ๗ หมวด ๓๗ ประเภท ๔) สัพพสังคหะ มีธรรมอยู ๕ หมวด ๓๙ ประเภท จบ ปริจเฉท ๗ คนเหลา ใด ทัง้ เดก็ ผูใ หญ ท้งั พาลทง้ั บณั ฑติ ท้งั ม่ังมที ั้งขดั สน ลวนมคี วามตายเปนเบอื้ งหนา ภาชนะดิน ชางหมอ ทําทั้งเลก็ ทั้งใหญ ทั้งสกุ ทั้งดบิ ทกุ ชนดิ มคี วามแตกเปน ท่ีสุด ฉันใด ชวี ิตของสัตวทงั้ หลาย ก็ ฉนั นั้น......................................( ฑ.ี มหา 108/290 ) พระศาสดาไดต รัสคาถาประพนั ธต อไปอกี วา วัยของเราแกห งอ มแลว ชีวิตของเราเปน ของนอย เราจกั ละพวกเธอไป เราทาํ ที่พ่ึงแกต นแลว.......................พระอาจารย ทวี เกตุธมโฺ ม .......วดั ราชสิทธาราม คณะ 5

๘๖ คํากรวดนํ้าแบบยอ อิทํ โน ญาตนี ํ โหตุ สุขติ า โหนตฺ ุ ญาตโย. ขา พเจาขอตั้งจติ อทุ ศิ ผล บญุ กศุ ลนีแ้ ผไปใหไพศาล ถึงบดิ ามารดาครอู าจารย ท้งั ลูกหลานญาตมิ ติ รสนทิ กนั คนเคยรว มกิจการงานท้งั หลาย ขอใหไดใ นกศุ ลผลของฉนั ทง้ั เจา กรรมนายเวรและเทวญั ขอใหทา นโมทนาทั่วหนา เทอญ สพฺเพ สตฺตา คําแผเมตตา อเวรา สัตวทั้งหลายทเ่ี ปนเพอื่ นทกุ ข อพฺยาปชฌฺ า เกิดแกเ จบ็ ตาย ดว ยกนั ทง้ั หมดทงั้ ส้ิน อนฆี า จงเปนสุข ๆ เถิด อยา ไดม ีเวรแกกนั และกนั เลย สขุ ี อตตฺ านํ ปรหิ รนตฺ ุ จงเปน สขุ ๆ เถิด อยาไดเบยี ดเบียนซงึ่ กนั และกนั เลย จงเปนสขุ ๆ เถิด อยา ไดม คี วามทุกขกาย ทุกขใ จเลย จงมคี วามสุขกาย สขุ ใจ รักษาตนใหพ น จากทกุ ขภ ยั ทัง้ สนิ้ เถิด คาํ อธิษฐาน ขา พเจา ขอต้งั สัจจะอธิษฐาน ขออานุภาพ แหงบญุ กศุ ล ท่ไี ดศ กึ ษาเลา เรียนแลวในวนั น้ี จงเปนพลวปจ จัย เปนนิสัยตามสง ใหเ กดิ ปญ ญาญาณ ทั้งชาติน้แี ละชาตหิ นาตลอดชาติอยา งยิง่ จนถึงความพน ทกุ ข คือ พระนิพพาน เทอญ. กราบลาครอู าจารย พรอมกนั ครูอปุ ชฌา อาจรยิ ะคณุ ัง อะหังวนั ทามิ ขา พเจา กราบวนั ทา ครูอุปชฌา อาจารย ผูมพี ระคุณ โดยความเคารพ กราบ ๓ ครง้ั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook